Tag : PR

144 ผลลัพธ์
[PR News] ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ รุกพัฒนาองค์กร พร้อมรับเทรนด์ ESG & Sustainable Living

[PR News] ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ รุกพัฒนาองค์กร พร้อมรับเทรนด์ ESG & Sustainable Living

ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ มุ่งสร้าง Mindset รักษ์โลกจากภายในองค์กรสู่ภายนอก ผ่านการพัฒนาโครงการและงานออกแบบที่อยู่อาศัยในปัจจุบัน เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนบนรากฐานของหลัก ESG และ Sustainable architecture   นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ LALIN  เปิดเผยว่า ตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้กำหนดแนวทางการบริหารงานเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนตามหลัก ESG (Environment-สิ่งแวดล้อม, Social-สังคม และ Governance-ธรรมาภิบาล) ควบคู่ไปกับการกำหนดเป้าหมายการพัฒนาโครงการบ้านภายใต้แนวคิด Sustainable architecture หรือสถาปัตยกรรมยั่งยืน เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สร้างคุณภาพชีวิตและสังคมที่ดีแก่ลูกบ้าน รวมถึงให้ความสำคัญต่อสังคม พนักงาน คู่ค้า และผู้ถือหุ้น ต่อยอดสู่เป้าหมายสูงสุดคือการเป็น National Property Company การสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ สู่ตลาด คือสิ่งที่ ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง โดยบริษัทฯได้ส่งเสริม Lalin Innovations Idea Award กับเหล่าพนักงานในองค์กร เพื่อให้คนรุ่นใหม่ได้มีส่วนร่วมในการคิดค้นและสร้างสรรค์ไอเดียที่จะสามารถช่วยต่อยอดในการทำงาน พร้อมยกระดับให้งานนั้นมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น นอกจากการให้ความสำคัญกับเรื่องนวัตกรรมแล้ว ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ยังให้ความสำคัญกับพื้นที่ส่วนกลางสีเขียว หรือ Green Space ที่ช่วยสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีภายในโครงการด้วยเช่นกัน “พื้นที่สีเขียวภายในโครงการที่เปรียบเสมือนปอดของชุมชนจะถูกตกแต่งด้วยพันธุ์ไม้ที่มีสีสันสดใสมองแล้วสบายตา ทำให้เกิดความรู้สึกสดชื่นผ่อนคลาย นอกจากนี้ยังได้เพิ่มจุดสันทนาการท่ามกลางสวนสวยเพื่อเพิ่มความสุขในวันหยุดพักผ่อน และเพิ่มความประทับใจในการอยู่อาศัยภายในโครงการ โดยสวนมีการออกแบบให้มีความงดงามในสไตล์โพรวองซ์ (Provence) ซึ่งจำลองมาจากประเทศฝรั่งเศส และประยุกต์ใช้ต้นไม้ที่มีในประเทศไทย    เน้นไม้ยืนต้นที่จะช่วยฟอกอากาศในบริเวณโดยรอบ   บริษัทฯ ยังกำหนดเป้าหมายเพื่อสร้างสังคมการอยู่ร่วมกันแบบ "ยั่งยืนและมีความสุข" ภายใต้แนวคิด 3Rs ประกอบด้วย Reduce (ลดการใช้)  ลดการใช้น้ำด้วยการใช้สุขภัณฑ์ประหยัดน้ำ 2 ระบบ ช่วยลดการใช้น้ำที่เกินความจำเป็น ลดการใช้ไฟโดยใช้หลอดไฟ LED และนำระบบ Solar Cell มาใช้ในพื้นที่ส่วนกลางเพื่อลดการใช้ไฟฟ้า อีกทั้งยังใช้หลังคาที่มีฉนวนกันความร้อน เพื่อช่วยลดอุณหภูมิภายในคลับเฮาส์ ทำให้เครื่องปรับอากาศทำงานน้อยลง และประหยัดไฟมากขึ้น ทั้งนี้ยังมีการใช้กระจกเขียวตัดแสงและสีสะท้อนความร้อน ซึ่งจะช่วยลดความร้อนเข้าสู่ตัวอาคาร และช่วยลดค่าไฟฟ้าเกินความจำเป็น Reuse (การใช้ซ้ำ)   ภายในโครงการได้มีการติดตั้งระบบหมุนเวียนน้ำ โดยนำน้ำที่ใช้แล้วกลับมาใช้ดูแลสวนส่วนกลาง พร้อมมีการตั้งเวลาเปิด-ปิด ในการรดน้ำต้นไม้ เพื่อควบคุมการใช้น้ำให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด และ Recycle (การนำกลับมาใช้ใหม่) มีการใช้วัสดุทดแทนวัสดุธรรมชาติ อาทิ การใช้กระเบื้องลายหินอ่อนที่เป็นหินสังเคราะห์ เพื่อให้ความรู้สึกที่ทดแทนวัสดุที่เป็นหินอ่อนแท้จากธรรมชาติ นายชูรัชฏ์ กล่าวเสริมว่า  ปัจจุบันปัจจัยด้านพลังงานถือเป็นประเด็นหลักที่ทุกคนในสังคมเริ่มให้ความใส่ใจอย่างเต็มที่ ซึ่งบริษัทฯ ได้ตระหนักถึงปัจจัยในด้านดังกล่าวเป็นอย่างดี และได้มีการเลือกสรรวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อาทิ การปรับมาใช้หลอดไฟแบบ LED  การใช้แผ่นฝ้าสะท้อนความร้อน  ใช้หลังคาที่มีฉนวนกันความร้อนเพื่อช่วยลดอุณหภูมิภายในบ้าน การเลือกสรรสุขภัณฑ์แบบประหยัดน้ำ ที่สำคัญจะพิจารณาเลือกผลิตภัณฑ์ฉลากเขียวเป็นหลัก เพราะใช้กระบวนการผลิตมีส่วนช่วยลดโลกร้อน และลดการใช้พลังงานต่างๆ   ด้านโครงสร้างมีการออกแบบให้บ้านมีหลังคาที่สูงโปร่ง มีการเพิ่มจุดติดตั้งระบบพัดลมระบายอากาศเพื่อช่วยระบายความร้อนภายในตัวบ้าน   นอกจากนี้ยังออกแบบให้มีช่องแสงที่บริเวณโถงบันได เพื่อให้แสงธรรมชาติสามารถลอดผ่านและกระจายแสงได้อย่างทั่วถึง ช่วยทำให้ลดการใช้ไฟฟ้าภายในบ้านได้เป็นอย่างดี  ซึ่งสิ่งต่างๆ ที่กล่าวมานี้ สามารถช่วยประหยัดพลังงานได้สูงถึง 20-30% นับป็นข้อดีที่ได้ประโยชน์ชัดเจนจากการออกแบบภายใต้แนวคิด Sustainable architecture หรือสถาปัตยกรรมยั่งยืน   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ วางเป้าขาย 8,600 ล้าน โต 10% เน้นธุรกิจทำกำไร-รักษาสภาพคล่อง
[PR News] เพอร์เฟค เปิดตัว “เพอร์เฟค พาร์ค แจ้งวัฒนะ – ราชพฤกษ์”

[PR News] เพอร์เฟค เปิดตัว “เพอร์เฟค พาร์ค แจ้งวัฒนะ – ราชพฤกษ์”

เพอร์เฟค พาร์ค พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค เปิด “เพอร์เฟค พาร์ค แจ้งวัฒนะ – ราชพฤกษ์ โครงการใหม่ ดีไซน์ใหม่ในสไตล์ยุโรป Modern Classic สเปซใหญ่ ฟังก์ชั่นใหม่ รองรับชีวิตเมืองบนทำเลถนนหอการค้าไทยเดินทางสะดวก 5 นาทีถึงถนนแจ้งวัฒนะ ราคาเริ่ม 5.29 ล้านบาท   นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทเปิดโครงการใหม่ เพอร์เฟค พาร์ค แจ้งวัฒนะ-ราชพฤกษ์ ภายใต้แนวคิด “Urban Life & Dream Ville” ชีวิตในเมืองที่เมืองในฝัน เน้นตอบโจทย์การเป็นบ้านหลังแรกของกลุ่มวัยเริ่มทำงานและครอบครัวรุ่นใหม่ในโซนแจ้งวัฒนะและราชพฤกษ์ พร้อมเติมเต็มไลฟ์สไตล์ของการใช้ชีวิตเมืองให้สะดวกสบายครบทุกความต้องการ   โครงการเพอร์เฟค พาร์ค แจ้งวัฒนะ-ราชพฤกษ์ มีมูลค่าโครงการ 1,150 ล้านบาท พื้นที่โครงการ 37 ไร่ จำนวน 204 ยูนิต โดยปรับเปลี่ยนสไตล์ใหม่หมดทั้งภายนอกและภายในให้เป็นแบบบ้านใหม่สไตล์ Modern Classic เน้นความหรูหราแบบยุโรปผสานกับความโมเดิร์นที่มีเอกลักษณ์สะท้อนตัวตนของผู้อยู่อาศัยได้เป็นอย่างดี และยังเพิ่มพื้นที่ใช้สอยให้กว้างมากขึ้น เริ่มต้นที่ 134-173 ตร.ม. รวมทั้งออกแบบฟังก์ชั่นใหม่ให้ตอบรับกับไลฟ์สไตล์ปัจจุบัน Lifestyle Connecting Area เชื่อมต่อพื้นที่ภายในบ้านรวมถึงพื้นที่สีเขียว Lifestyle Flexi Function เพิ่มห้องนอนที่ 4 ชั้นล่างรองรับการเป็นห้องนอนสำหรับผู้สูงอายุได้ Lifestyle Kitchen Studio ครัวขนาดใหญ่ Lifestyle Innovation Smart Airflow นวัตกรรมระบบระบายอากาศกรองฝุ่น PM2.5 ช่วยลดอุณหภูมิและความอับชื้นเพิ่มคุณภาพอากาศที่ดีให้แก่ผู้อยู่อาศัย ภายในโครงการพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบ ทั้งคลับเฮ้าส์ ฟิตเนส ห้องออกกำลังกาย สระว่ายน้ำสไตล์บีช Co-Working space สำหรับทำงานหรืออ่านหนังสือ Dream Park สวนสวยที่มี The Pavilion of Dreams เพื่อการพักผ่อน Dream Playground สนามเด็กเล่นเพื่อช่วงเวลาของครอบครัว และ Jogging Track ลู่วิ่งออกกำลังกลางแจ้งรอบสวน   สำหรับโครงการดังกล่าว​ตั้งอยู่บนถนนหอการค้าไทย ทำเลแห่งการอยู่อาศัย ซึ่งบริษัทยังมีการพัฒนาโครงการบนทำเลดังกล่าวแล้วถึง 6  โครงการ ตอกย้ำถึงความนิยมในทำเลแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี ยังใกล้ รร.นานาชาติ SISB นนทบุรี ใช้เวลาเดินทางเพียง 5 นาทีถึงถนนแจ้งวัฒนะ สะดวกด้วยสะพานพระราม 4 สู่ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ ท่าอากาศยานดอนเมือง และเมืองทองธานี ใกล้จุดขึ้นลงทางด่วนขั้นที่ 2 แจ้งวัฒนะ ใกล้รถไฟฟ้าสายสีชมพูที่มีกำหนดจะเปิดให้บริการเดือน มิ.ย.67 และที่สำคัญยังเชื่อมต่อกับถนนราชพฤกษ์ที่เต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก อาทิ โรบินสัน ราชพฤกษ์, โลตัส นอร์ธ ราชพฤกษ์, อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ ทำให้โครงการอยู่ในทำเลศักยภาพมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โครงการเพอร์เฟค พาร์ค แจ้งวัฒนะ-ราชพฤกษ์ เปิดให้จอง Pre-Sale ในวันที่ 1-2 ก.ค. นี้ พร้อมให้เลือกบ้านแปลงสวยและรับสิทธิพิเศษเฉพาะวันงานเท่านั้น ในราคาเริ่มต้น 5.29 ล้านบาท   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เพอร์เฟค เปิดแผนธุรกิจ 2566 พร้อมเปิด 14 โครงการใหม่ มูลค่า 17,700 ล้าน -เพอร์เฟค เปิดแผนธุรกิจ 2566 พร้อมเปิด 14 โครงการใหม่ มูลค่า 17,700 ล้าน
[PR News] พฤกษา ลุย เปิด “เดอะแพลนท์ ซิตี้ ดอนเมือง-พหลโยธิน 2”   

[PR News] พฤกษา ลุย เปิด “เดอะแพลนท์ ซิตี้ ดอนเมือง-พหลโยธิน 2”   

เดอะแพลนท์ ซิตี้ ดอนเมือง-พหลโยธิน ยังเป็นสุดยอดทำเลที่น่าลงทุน พฤกษา ลุยเปิดโครงการ เดอะ แพลนท์ ซิตี้ ดอนเมือง-พหลโยธิน 2 เฟส 2 อาคารพาณิชย์หน้ากว้าง ตอบรับกำลังซื้อที่ร้อนแรง หลังจากยอดขายเฟสแรกถล่มทะลายหมดภายในวันเดียว มั่นใจทำเลดีและพื้นที่ใช้สอยที่มากกว่า จะทำให้เฟส 2 ขายหมดภายในวันพรีเซล   นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า ได้เปิดโครงการเดอะแพลนท์ ซิตี้ ดอนเมือง-พหลโยธิน 2 เนื่องจากกระแสตอบรับที่ดีของเฟส 1 โดยโครงการในเฟส 2 มีจำนวน 31 ยูนิต เป็นโครงการอาคารพาณิชย์ 3.5 ชั้น เริ่มต้น 25 ตารางวา มีพื้นที่ใช้สอยมากถึง 256 – 272 ตร.ม. รองรับเทรนด์การอยู่อาศัยด้วย Solar Rooftop และรองรับการติดตั้ง EV Charger ทุกหลัง เปิดตัวในราคาพิเศษเพียง 7.39 ล้านบาท เดอะแพลนท์ ซิตี้ ดอนเมือง-พหลโยธิน 2 เป็นเฟสสุดท้ายแล้ว จึงเป็นโอกาสอันดีสำหรับผู้ที่กำลังมองหาอาคารพาณิชย์ทำเลเยี่ยม พื้นที่ใช้สอยกว้างขวาง เหมาะสำหรับการลงทุน ทำออฟฟิศ หรือทำร้านค้า เรามั่นใจว่าเฟส 2 นี้จะสามารถปิดการขายได้ภายในวันพรีเซลวันที่ 24 มิถุนายน 2566     เดอะ แพลนท์ ซิตี้ ดอนเมือง-พหลโยธิน 2 ตั้งอยู่บนทำเลที่น่าลงทุน การเดินทางสะดวกสบาย ห่างจากถนนพหลโยธินเพียง 100 ม. ใกล้แหล่งอำนวยความสะดวกและย่านธุรกิจมากมาย รวมถึงพลัมคอนโด พหลโยธิน 89 คอนโดของพฤกษาซึ่งมีลูกค้าอาศัยอยู่กว่า 5,000 ยูนิต ถือเป็นชุมชนขนาดใหญ่ นอกจากนี้ โครงการยังมีพื้นที่ใช้สอยมากกว่าอาคารพาณิชย์ทั่วไป โดยมีหน้ากว้างถึง 5.9 เมตร รองรับการทำธุรกิจที่หลากหลาย ด้วยจุดเด่นเหล่านี้ ทำให้การเปิดตัวโครงการเฟส 1 ได้รับการตอบรับที่ดีมาก สามารถปิดการขายได้ภายในวันเดียว   สำหรับ เดอะแพลนท์ซิตี้ ดอนเมือง-พหลโยธิน 2 ทำเลเชื่อมต่อดอนเมือง โทลล์เวย์ ถนนวิภาวดี-รังสิต ใกล้รถไฟฟ้าสายสีแดง  แมคโครรังสิต ตลาดสี่มุมเมือง ตลาดรังสิต ไทวัสดุ  เซียร์รังสิต ฟิวเจอร์พาร์ครังสิต โรงพยาบาลแพทย์รังสิต มหาวิทยาลัยรังสิต   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -[PR News] พฤกษา โฮลดิ้งโชว์ปี 65 กำไรโต 18% เตรียมผุดศูนย์สุขภาพ -พฤกษา โชว์ Q3/65 ทำกำไรโต 87% เดินหน้าลุยธุรกิจเฮลท์เทค-โซเชียล คอมเมิร์ส 
เดอะ ฟอเรสเทียส์ เผยโฉม ‘แฮปปี้แทท’ จุดหมายแห่งใหม่ของความสุขเหนือจินตนาการ

เดอะ ฟอเรสเทียส์ เผยโฉม ‘แฮปปี้แทท’ จุดหมายแห่งใหม่ของความสุขเหนือจินตนาการ

เดอะ ฟอเรสเทียส์ เผยโฉม ‘แฮปปี้แทท’ – Themed Destination of Happiness จุดหมายแห่งใหม่ของความสุขเหนือจินตนาการ ตอบโจทย์หลายเจเนอเรชั่น ด้วยหลากหลายกิจกรรม เชื่อมประสบการณ์โลกจริง และโลกเสมือนเข้าด้วยกันในที่เดียว   “เรากำลังยกระดับการพัฒนาโครงการที่เป็นจุดหมายขึ้นไปอีกขั้น และกำลังสร้างสรรค์ประสบการณ์โลกจริงกับโลกเสมือนที่ไม่เคยมีที่ไหนมาก่อน”    “เราอยากให้แฮปปี้แทท ในเดอะ ฟอเรสเทียส์ เป็นที่ที่อยู่ในใจของผู้คน – เป็นที่ที่จะสร้างความทรงจำดีๆ ไม่รู้ลืมให้กับผู้คน และกลับมาเยือนเรื่อยๆ มากี่ครั้ง ก็ยังรู้สึกตื่นเต้นเหมือนกับครั้งแรกที่มา”    “แฮปปี้แททจะเป็นที่ที่มีมนต์เสน่ห์ เต็มไปด้วยช่วงเวลาเซอร์ไพรส์ เป็นที่ที่สร้างความสุขให้กับคนทุกวัย” นางสาวอรดา เกิดหงษ์ ประธานผู้อำนวยการ Storied Place, MQDC     MQDC (บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด) ผู้พัฒนาโครงการเมือง ‘เดอะ ฟอเรสเทียส์’ ซึ่งมีพื้นที่ 398 ไร่ เปิดเผยว่า เตรียมสร้างสรรค์ Themed Destination of Happiness ในเดอะ ฟอเรสเทียส์ เพื่อเป็นจุดหมายแห่งความสุขแห่งใหม่ โดยใช้ชื่อว่า ‘แฮปปี้แทท’ ซึ่งจะเป็นจุดหมายแห่งแรกที่เชื่อมประสบการณ์บนโลกจริงกับโลกเสมือนเข้าด้วยกัน ครอบคลุมพื้นที่ที่กว้างใหญ่ เพื่อให้ผู้คนได้สัมผัสกับมิติใหม่ของประสบการณ์ในเดอะ ฟอเรสเทียส์ นางสาวอรดา เกิดหงษ์ ประธานผู้อำนวยการ Storied Place, MQDC เปิดเผยว่า “เรากำลังสร้างปรากฏการณ์ใหม่ที่แฮปปี้แทท เป็นปรากฏการณ์ที่ยกระดับการพัฒนาจุดหมาย หรือ Destinationไปอีกขั้น แฮปปี้แททจะเป็นที่ที่ผู้คนอยากกลับมาเที่ยวอยู่เรื่อยๆ เพราะทุกครั้งที่มา จะได้เจอกับประสบการณ์ใหม่ๆ เสมอ จากกิจกรรมในร่มและกลางแจ้งที่มีตลอดทั้งปี และกิจกรรมรองรับไลฟ์สไตล์หลากหลาย ซึ่งในอนาคต หลายๆ มิติของแฮปปี้แททจะผสมผสานเชื่อมโยงกับโลกเสมือน โดยเป้าหมายของเราคือการทำให้ผู้คนรู้สึกตื่นเต้น มีความสุข กับทุกสิ่งอย่างที่ได้สัมผัส ในทุกครั้งที่มาเยือน เหมือนกับความรู้สึกครั้งแรกที่ได้มา ไม่ว่าจะมาทำกิจกรรมอะไร แต่ขณะเดียวกันก็มีความรู้สึกอบอุ่น สบายใจ และคุ้นเคยด้วย” “นั่นคือเหตุผลที่เราเรียกที่นี่ว่า แฮปปี้แทท ซึ่งมาจากคำว่า Habitat กับ Happiness ประกอบเข้าด้วยกัน” นางสาวอรดา กล่าว     ในพื้นที่เกือบ 60 ไร่ของแฮปปี้แทท ประกอบไปด้วยพื้นที่ป่า ที่อยู่ใจกลางเดอะ ฟอเรสเทียส์ พื้นที่สวนต่างๆ และโถงทางเดินสำหรับขบวนพาเหรด ร้านค้า ร้านขายอาหารและเครื่องดื่ม ร้านให้บริการต่างๆ สารพัดนับร้อยๆ ร้าน ศูนย์การเรียนรู้ ความบันเทิง สถานที่ทำกิจกรรมทางวัฒนธรรมและสังคม มาร์เก็ตต่างๆ และพิพิธภัณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ รวมถึงพื้นที่สำนักงาน โดยแฮปปี้แททประกอบไปด้วย 3 อาคาร พื้นที่ใช้สอยรวมกันประมาณ 211,000 ตารางเมตร นางสาวอรดากล่าวว่า MQDC ทำงานกับผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียงมากที่สุดระดับโลกในด้านการวางแผนพัฒนาโครงการที่เป็นจุดหมายแห่งความสุข และด้านความบันเทิง เพื่อร่วมกันทำมาสเตอร์แพลนของ แฮปปี้แทท “มาสเตอร์แพลนของแฮปปี้แทท จะนำพาผู้มาเยือนให้เคลื่อนจากถนนใหญ่ เข้าสู่ทางเข้าของเดอะ ฟอเรสเทียส์ จากภูมิทัศน์เมืองและวิถีชีวิตแบบในเมือง ค่อยๆ ผ่านเข้าไปพบกับความเงียบสงบของธรรมชาติ ณ ป่าขนาด 30 ไร่ เป็นการเดินทางที่เติมเต็มชีวิต จาก ‘เมืองใหญ่ที่พลุกพล่าน’ ไปสู่ ‘ธรรมชาติที่เหนือธรรมดา’”     นางสาวอรดากล่าวว่า การเดินเคลื่อนจากชีวิตในเมือง เข้าไปกลางผืนป่าใหญ่ จะผ่านเส้นทางที่มีประสบการณ์มหัศจรรย์มากมายรอรับตลอดเส้นทาง ผู้มาเยือนสามารถเลือกที่จะเพลิดเพลินแบบอิ่มเอมเดินรวดเดียวต้นจนจบ หรือจะปล่อยใจค่อยๆ แวะพัก เพลิดเพลินตามจุดต่างๆ ตลอดเส้นทางก็ทำได้  รวมทั้งสามารถเข้าออกจากการเดินแวะพักที่จุดต่างๆ จากจุดใดก็ได้ นอกจากนั้น ในอนาคตยังจะเสริมด้วยประสบการณ์อันหลากหลายของโลกเสมือน เพื่อทำให้การเดินทางนอกจากจะมีความสนุกสนานแล้ว ยังได้ความรู้ ตลอดจนสร้างโอกาสทางการค้าให้ผู้ร่วมรังสรรค์แฮปปี้แทท ให้สามารถเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ ด้วยผลิตภัณฑ์และบริการที่หลากหลายมากขึ้นด้วย”     หนึ่งในบทบาทสำคัญที่สุดของแฮปปี้แทท คือเป็นศูนย์กลางที่เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา ของเดอะ ฟอเรสเทียส์ เป็นพื้นที่เชื่อมโยงความสุขของคนทุกเจนเนอเรชั่น ทั้งผู้ที่อาศัยอยู่ในโครงการที่พักอาศัยหลากหลายที่อยู่ในพื้นที่เดอะ ฟอเรสเทียส์ รวมไปถึงผู้คนทั่วไปจากภายนอกโครงการที่มาเยือนที่นี่ มีพื้นที่ทำกิจกรรม 4,000 ตารางเมตรที่จัดสรรให้เป็นโรงละคร หรือพื้นที่กิจกรรมและการแสดง สำหรับสมาชิกหรือลูกบ้านของเดอะ ฟอเรสเทียส์ กลุ่มวัฒนธรรมและนักแสดงอาชีพ ทั้งหลายเหล่านี้มีจุดมุ่งหมายที่จะช่วยสร้างความรู้สึกผูกพันภายในชุมชนและช่วยเปลี่ยนสถานที่ที่ธรรมดาทั่วไป ให้กลายเป็นชุมชนที่คึกคักมีชีวิตชีวา   “เราอยากให้ครอบครัวได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน ซึ่งการจะทำเช่นนั้นได้ เราต้องทำให้สมาชิกทุกคนในครอบครัว ไม่ว่าจะเจเนอเรชั่นไหน สามารถค้นพบกิจกรรมที่ทำได้อย่างมีความสุข สร้างสรรค์และมีประโยชน์แบบไม่จำกัด ทั้งกิจกรรมที่ทำคนเดียว หรือทำด้วยกันกับคนอื่น รวมถึงกิจกรรมที่ทำกับสัตว์เลี้ยงของครอบครัวด้วย”   ไฮไลต์ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของแฮปปี้แทท คือ พื้นที่กิจกรรมที่สามารถรองรับขบวนพาเหรดและกิจกรรมได้ตลอดทั้งปี ซึ่งถือเป็นประสบการณ์เฉพาะตัวของแฮปปี้แทท ที่หาไม่ได้จากที่ไหน โดยหลายกิจกรรมในจำนวนนี้จะสร้างสรรค์ให้เด็กๆ ได้ตื่นตาตื่นใจไปกับมนต์เสน่ห์ของงาน จากการได้พบปะและมีปฏิสัมพันธ์กับตัวละครแฟนตาซีต่างๆ รวมทั้งการได้เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรม   นางสาวอรดากล่าวว่า แฮปปี้แททจะเป็นจุดหมายแห่งแรกในโลกที่รวม 3 องค์ประกอบสำคัญไว้ในที่เดียว เพื่อสร้างโครงการจุดหมายที่ล้ำที่สุด ซึ่ง 3 องค์ประกอบดังกล่าวคือ พื้นที่ อีเวนท์และกิจกรรม และโลกเสมือน “องค์ประกอบแรก คือการมีพื้นที่สวยๆ ให้คนทุกเจเนอเรชั่นและทั้งครอบครัวได้ทำสิ่งต่างๆ ร่วมกัน ทุกวัน ไม่ว่าจะทานอาหาร พักผ่อน ใช้ชีวิต ดูแลสุขภาพสุขภาวะ หรือทำกิจกรรมบันเทิง เรียนรู้ หรือกิจกรรมด้านวัฒนธรรม โดยที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและดีต่อสุขภาพ”   “เราผสานสิ่งต่างๆ เข้าไปในกิจกรรมที่จะจัดขึ้นอย่างต่อเนื่อง บ่อยครั้งและเป็นประจำ โชว์และขบวนพาเหรดต่างๆ ที่มุ่งให้คนทุกวัยรู้สึกทึ่ง ตื่นตาตื่นใจ โดยมีการจัดสิ่งอำนวยความสะดวก ตลอดจนสร้างโอกาสให้ผู้คน เป็นได้มากกว่าผู้ชมกิจกรรม แต่ไปเป็นผู้จัดกิจกรรมเองได้ด้วย หรือมีส่วนร่วมอย่างจริงจังในสิ่งที่คอมมูนิตี้ช่วยกันคิดสร้างสรรค์ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการแสดง เล่นดนตรี หรือกิจกรรมการโชว์สัตว์เลี้ยง เป็นต้น “และองค์ประกอบอย่างที่สามก็คือโลกเสมือน ที่คนทุกวัยสามารถสนุกและเรียนรู้จากประสบการณ์อันหลากหลายของโลกเสมือน หรือแม้กระทั่งการเข้าไปในโลกเสมือนแบบเต็มตัว เพื่อทำกิจกรรม เล่นเกมสันทนาการ ทั้งแบบทำคนเดียว ทำกับสมาชิกทั้งครอบครัว หรือกับสมาชิกคนอื่นๆ ทั้งในโลกจริงและโลกเสมือน ประสบการณ์ต่างๆ เหล่านี้ ซึ่งในอนาคตจะถูกผสมผสานเข้าไปกับหลายๆ จุดในแฮปปี้แทท รวมเข้าไปถึงในพื้นที่ป่า เพื่อให้คนได้เรียนรู้เกี่ยวกับธรรมชาติ และมีปฏิสัมพันธ์กับสรรพสัตว์ต่างๆ ได้ด้วย AR สิ่งเหล่านี้ไม่เคยมีใครทำในสเกลที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้มาก่อน ซึ่งเราลงทุนไม่น้อยเพื่อที่จะทำให้โครงการนี้เกิดขึ้น”   นายกิตติพันธุ์ อุยยามะพันธุ์ ประธานผู้อำนวยการโครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ โดย MQDC เปิดเผยว่า โครงการแฮปปี้แททเฟสแรก ใช้เงินลงทุนมากกว่า 20,000 ล้านบาท   “ที่เราลงทุนขนาดนี้ เพราะแฮปปี้แททเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้เดอะ ฟอเรสเทียส์ บรรลุเป้าหมายตามคำมั่นของการเป็นเมืองที่สร้างขึ้นอย่างมุ่งเน้นส่งเสริมการมีชีวิตที่มีความสุขและสุขภาพดี แฮปปี้แททถือเป็นองค์ประกอบหลักที่จะช่วยเชื่อมชุมชนเดอะ ฟอเรสเทียส์ และทำให้ครอบครัวใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น เป็นไปตามเป้าหมายของเราที่จะสร้างชุมชน ที่ไม่ใช่แค่สะอาด ร่มรื่น เป็นระเบียบเรียบร้อยเท่านั้น แต่ยังเป็นชุมชนที่มีความสุข สนุกสนานและเต็มไปด้วยชีวิตชีวา” นายกิตติพันธุ์กล่าวว่า การก่อสร้างและเตรียมการอื่นๆ สำหรับแฮปปี้แททคืบหน้าไปแล้วประมาณ 70% คาดว่าผู้เข้าอยู่อาศัยกลุ่มแรกของการเดอะ ฟอเรสเทียส์ จะสามารถย้ายเข้าไปอยู่อาศัยได้ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2567   โครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ ตั้งอยู่บนพื้นที่ 398 ไร่ บริเวณถนนบางนา-ตราด ก.ม.7 นอกจากพื้นที่แฮปปี้แทท ซึ่งเป็น Themed Destination of Happiness แล้ว เดอะ ฟอเรสเทียส์ ยังประกอบไปด้วยโครงการที่พักอาศัยหลากหลายโครงการ โรงแรม 2 แห่ง ศูนย์สุขภาพ และผืนป่าเนื้อที่ 30 ไร่ ณ ใจกลางโครงการ รังสรรค์ 56% ของโครงการให้เป็นพื้นที่สีเขียว โดยพื้นที่ประมาณ 70% ก็ร่มรื่นเต็มไปด้วยต้นไม้   สำหรับโครงการที่อยู่อาศัยอื่นๆ ในเดอะ ฟอเรสเทียส์ก็ประกอบไปด้วยโครงการซิกส์เซนส์ เรสซิเดนซ์ ซึ่งเป็นซิกส์เซนส์ เรสซิเดนซ์แห่งแรกที่สร้างในประเทศไทย, มัลเบอร์รี่ โกรฟ เดอะ ฟอเรสเทียส์ วิลล่า ซึ่งประกอบไปด้วยบ้านคลัสเตอร์โฮมเชื่อมต่อกัน ที่เปิดโอกาสให้คนต่างเจเนอเรชั่นของครอบครัวเดียวกันได้อาศัยอยู่ใกล้ชิดกัน ในบ้านคนละหลังอย่างเป็นส่วนตัว มัลเบอร์รี่ โกรฟ เดอะ ฟอเรสเทียส์ คอนโดมิเนียม ซึ่งการออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ที่คล้ายกันกับวิลล่า คอนโดมิเนียมแบรนด์ วิสซ์ดอม ที่ประกอบด้วยอาคารสูง 3 อาคาร ออกแบบให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคนวัยเริ่มทำงาน คู่ชีวิตที่สร้างครอบครัวใหม่ และมีหนึ่งอาคารที่ออกแบบสำหรับคนรักสัตว์โดยเฉพาะ ที่อยู่อาศัย ดิ แอสเพน ทรี คอนโดมิเนียมและสกายวิลล่า ซึ่งมีจุดเด่นอยู่ที่การส่งมอบบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อการดูแลผู้พักอาศัยอย่างครบวงจรตลอดชีวิต   เมื่อเร็วๆ นี้ เดอะ ฟอเรสเทียส์ได้เปิดตัวที่พักอาศัยใหม่ ชื่อ เดอะ ฟอเรสเทียส์ ซิกเนเจอร์ ซีรีส์ออกแบบสำหรับคนที่ชื่นชอบอยู่อาศัยในคอนโดที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ ในเมือง ขณะเดียวกันก็ต้องการอยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ โดยโครงการมีทั้งหมด 122 ยูนิต ทุกยูนิตสามารถมองเห็นวิวป่าได้แบบพาโนรามา   บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เดอะ ฟอเรสเทียส์ เปิดตัวโครงการใหม่ล่าสุด ‘ซิกเนเจอร์ ซีรีส์’ ที่อยู่อาศัยหรูใกล้ชิดธรรมชาติ คืบหน้า ‘ทาวน์ เซ็นเตอร์’ ในเดอะ ฟอเรสเทียส์ ตั้งเป้าเปิดส่วนแรกปลายปี พ.ศ. 2566 Mulberry Grove The Forestias Villas บ้านคลัสเตอร์ แนวคิดใหม่เพื่อความสุขที่เพิ่มขึ้นของทุกเจเนอเรชั่นในครอบครัว  
i-Store กางแผนธุรกิจปี 2566 ขยายสาขาใหม่ พร้อมออกหุ้นกู้รองรับธุรกิจเติบโต

i-Store กางแผนธุรกิจปี 2566 ขยายสาขาใหม่ พร้อมออกหุ้นกู้รองรับธุรกิจเติบโต

i-Store Self Storage กางแผนธุรกิจปี 2566 มุ่งเน้นสร้างการเติบโตต่อเนื่อง เล็งเปิดสาขาเพิ่ม 2 แห่ง รับการขยายตัวอุตสาหกรรม Self-Storage ย่านธุรกิจใจกลางเมือง แก้ปัญหาคนพื้นที่น้อยแต่ของเยอะ เพิ่มบริการตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต ผนึกผู้ถือหุ้นและพันธมิตรธุรกิจ WHA, SME D Bank และ SC Asset ร่วมลงทุนเสริมศักยภาพ ดันรายได้โตตามเป้าหมาย พร้อมยื่นไฟลิ่งหุ้นกู้ อายุ 2 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 6.95% ต่อปี เสนอขายแก่ผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือ ผู้ลงทุนรายใหญ่ มูลค่าหุ้นกู้รวมไม่เกิน 150 ล้านบาท คาดจองซื้อวันที่ 19-21 มิ.ย. 2566 และคาดออกหุ้นกู้วันที่ 22 มิ.ย. 2566   นายภักดี อนิวรรตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สตอเรจ เอเชีย จำกัด (มหาชน) ผู้ดำเนินธุรกิจบริการให้เช่าห้องเก็บของหรือทรัพย์สินส่วนตัว (Self-Storage) ภายใต้เครื่องหมายการค้าแบรนด์ i-Store เปิดเผยว่า ปัจจุบันภาพรวมธุรกิจ Self-Storage ในประเทศไทยมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง สอดคล้องกับตลาดธุรกิจ Self-Storage ในทวีปเอเชียที่ยังมีโอกาสขยายตัว เมื่อเทียบกับตลาด Self-Storage ระดับโลก อาทิ สหรัฐอเมริกา และ ยุโรป ด้วยพฤติกรรมการเลือกที่พักอาศัยในเขตเมืองและมีแนวโน้มของพื้นที่อยู่อาศัยลดลง ประกอบกับตลาดธุรกิจออนไลน์ ส่งผลให้เกิดความต้องการพื้นที่การจัดเก็บสินค้าของกลุ่มลูกค้ามากขึ้น     จากแนวโน้มดังกล่าว บริษัทจึงมีแผนเปิดสาขาใหม่อีก 2 แห่ง ในช่วงครึ่งปีหลัง 2566 ได้แก่ สาขาอุดมสุข และ สาขาอ่อนนุช เพื่อตอบรับไลฟ์สไตล์และความต้องการพื้นที่จัดเก็บสินค้าของคนเมืองที่มีแนวโน้มการอยู่อาศัยของประชากรอย่างหนาแน่น โดยมีจำนวนอสังหาฯแนวสูงในพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของบริษัทประมาณ 150 โครงการ ปัจจุบันบริษัทมีการให้บริการทั้งหมด 4 สาขา ได้แก่ สาขาสีลม อัตราการเช่า 98%, สาขาสุขุมวิท 24 อัตราการเช่า 93%, สาขาสุขุมวิท 71 อัตราการเช่า 57% และ สาขาแห่งใหม่ สาทรวัน เปิดให้บริการเมื่อเดือนเมษายน 2566 อัตราการเช่า 6% และมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยจุดเด่นด้านพื้นที่ให้บริการตั้งอยู่ในย่านเขตเศรษฐกิจใจกลางเมือง (Central Business District หรือ CBD) ที่มีความต้องการพื้นที่เก็บสินค้าทั้งสำนักงานและที่อยู่อาศัยในละแวกสีลม และ สาทร   นอกเหนือจากธุรกิจให้บริการ Self-Storage ที่มีสัดส่วนรายได้ 67.21% บริษัทยังมีการเพิ่มบริการอื่นๆอาทิ i-Store Go Door to Door Storage บริการรับฝากสิ่งของส่วนตัวถึงบ้านผ่านระบบการจัดการแบบออนไลน์ โดยให้บริการทั้งการขนย้าย การบรรจุ (Packing) และจัดเก็บรักษาสิ่งของให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน พร้อมนำส่งคืนให้กับลูกค้าที่สามารถดำเนินการด้วยตนเอง, ธุรกิจออกแบบและติดตั้ง (Self-Storage Design & Construction), การรับจ้างบริหารจัดการพื้นที่ (Storage Management) และ การติดตั้งและจำหน่ายตู้จัดเก็บของ ภายใต้แบรนด์ i-Store ในพื้นที่โครงการคอนโดมิเนียมหรือนิติบุคคลอาคารชุด (License Unmanned Storage)     นอกจากนี้ บริษัทมุ่งเน้นความร่วมมือกับผู้ถือหุ้นและพันธมิตรทางธุรกิจ อาทิ บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) อีกทั้งบริษัทเป็นผู้ให้บริการ Self-Storage แห่งแรกที่กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Investment Trust : REIT) โดยบริษัท ดับบลิวเอชเอ เรียล เอสเตท แมเนจเม้นท์ จำกัด เข้าร่วมลงทุน และ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทยผ่าน “กองทุนร่วมลงทุนในกิจการ SMEs” ตอกย้ำศักยภาพการบริหารธุรกิจที่มีคุณภาพ ผ่านการขยายพื้นที่บริการให้ครอบคลุม และ เพิ่มบริการใหม่ให้ครบครันทุกความต้องการของกลุ่มลูกค้า   “อุตสาหกรรม Self-Storage ในประเทศไทยยังมีโอกาสขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยช่วงที่ผ่านมามีจำนวนธุรกิจให้เช่าพื้นที่เปิดให้บริการเพียง 32 แห่งทั่วประเทศ หรือเทียบเท่าประชากรทั้งประเทศเพียง 1% เท่านั้น บริษัทจึงมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจผ่านการเพิ่มสาขาการให้บริการให้ครอบคลุม ควบคู่ไปกับการสร้างบริการที่สะดวกสบาย มีคุณภาพและราคาเป็นมิตร เสมือนว่า i-Store เป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งในบ้านลูกค้า ตามวัตถุประสงค์ของบริษัทที่มุ่งเน้นการเพิ่มพื้นที่ใช้สอยให้กับคนที่อาศัยอยู่ในเมือง โดยสร้างการเติบโตไปพร้อมกับการขยายตัวของอสังหาฯในย่าน CBD และทำเลคุณภาพต่างๆ ส่งผลให้มีจำนวนอัตราการเช่าต่อสาขาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการมีพันธมิตรทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง จากความมั่นใจในศักยภาพที่ดีของบริษัท คาดว่าจะสามารถสร้างการเติบโตของรายได้ตรงตามเป้าหมาย” นายภักดี กล่าวเพิ่มเติม     ทั้งนี้ บริษัทเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจ โดยยื่นแบบแสดงรายการต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา สำหรับการเสนอขายหุ้นกู้ไม่มีประกันของ บริษัท สตอเรจ เอเชีย จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 1/2566 อายุ 2 ปี ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2568 ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และ มีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ อัตราดอกเบี้ย 6.95% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้ มูลค่าหุ้นกู้รวมไม่เกิน 150 ล้านบาท เสนอขายแก่ กลุ่มผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือ ผู้ลงทุนรายใหญ่ (PP-II&HNW) ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการขออนุมัติจาก ก.ล.ต. คาดว่าจะกำหนดวันจองซื้อในช่วงระหว่างวันที่ 19-21 มิถุนายน 2566 และคาดว่าสามารถออกหุ้นกู้ในวันที่ 22 มิถุนายน 2566         
[PR News] “พรอสเพค ดีเวลอปเมนท์” ประกาศเป้าหมายใหม่ เพิ่มพอร์ต พื้นที่โรงงานและคลังสินค้าให้เช่าสู่ 2 ล้านตร.มในปี71

[PR News] “พรอสเพค ดีเวลอปเมนท์” ประกาศเป้าหมายใหม่ เพิ่มพอร์ต พื้นที่โรงงานและคลังสินค้าให้เช่าสู่ 2 ล้านตร.มในปี71

พรอสเพค ดีเวลอปเมนท์ “พรอสเพค ดีเวลอปเมนท์”  ประกาศเป้าหมายใหม่ เพิ่มพอร์ต พื้นที่โรงงานและคลังสินค้าให้เช่าสู่ 2 ล้านตร.มในปี71 ใช้เงินลงทุน 2,000 ล้านบาทต่อปี หลังประสบความสำเร็จเพิ่มพอร์ตพื้นที่เช่า1ล้านตร.ม. ก่อนเป้าหมายล่าสุดเปิดตัวโครงการใหม่BFTZ7 บนทำเลบางนา กม.19 ด้วยพื้นที่เช่า36,000ตร.ม. แจงรายใหญ่จองทำสัญญาเช่าแล้ว2รายกว่า80%ของพื้นที่โครงการ เผยครึ่งปียอดทำสัญญาพื้นที่เช่า 100,000ตร.ม. มั่นใจสิ้นปีไม่ต่ำกว่า 1.5 แสนตร.ม. แจงรายได้2ไตรมาส200ล้านบาทคาดทั้งปีไม่ต่ำ350ล้านบาท   พรอสเพค ดีเวลอปเมนท์ นางสาวรัชนี มหัตเดชกุล กรรมการผู้จัดการบริษัท พรอสเพค ดีเวลอปเมนท์จำกัด หรือ (PD)ผู้พัฒนาและบริหารโครงการบางกอกฟรีเทรดโซน (BFTZ) กล่าวว่า ได้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาพื้นที่คลังสินค้าและโรงงานให้เช่าจำนวน 1ล้านตารางเมตร(ตร.ม.) ก่อนระยะเวลา ซึ่งวางเป้าหมายว่าจะลุล่วงในปี 2567 และเพื่อเป็นการสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องบริษัท จึงมองหาโอกาสพัฒนาโครงการใหม่โดยตั้งเป้าหมายว่า ภายในปี2571 จะขยายพอร์ตพื้นที่โรงงานและคลังสินค้าให้เช่าให้เป็น 2ล้านตร.ม. โดยจะใช้งบประมาณในการลงทุนกว่า 2,000 ล้านบาทต่อปี โดยเม็ดเงินที่จะนำมาใช้ในการลงทุนพัฒนาพื้นที่เช่าจะมาจากการออกหุ้นกู้ การขายพื้นที่เข้ากองลีด และเงินกู้จากสถาบันการเงิน   ทั้งนี้แนวโน้มความต้องการการใช้งานครั้งสินค้าและโรงงานให้เช่าปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในทำเลยุทธศาสตร์อุตสาหกรรมและโลจิสติกส์สะท้อน ได้จากพื้นที่เช่าในโครงการ BFTZ ที่เปิดให้บริการไปแล้วนั้นมีอัตราการเช่าเฉลี่ย 85.88% ของพื้นที่โครงการ โดยในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทสามารถปิดดีล การเช่าพื้นที่ของลูกค้าไปแล้วกว่า 100,000 ตร.ม. จากเป้าหมาย ที่วางไว้ในปีนี้ 150,000 ตร.ม. ส่งผลให้สองไตรมาสที่ผ่านมาบริษัทรับรู้รายได้มาแล้วกว่า 200 ล้านบาท และคาดว่าทั้งปีจะมีรายได้รับรู้จากการดำเนินงานในปีนี้ไม่ต่ำกว่า 350 ล้านบาท ล่าสุดเพื่อ สร้างความต่อเนื่องในการเพิ่มพื้นที่เช่าภายในพอร์ตเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าต่างชาติที่เพิ่มขึ้นหลัง การเปิดประเทศบริษัทเตรียมเปิดตัวโครงการ BFTZ 7 บนพื้นที่ 40 ไร่ในทำเลบางนาตราดกม. 19 ซึ่ง จะมีพื้นที่โกดังและคลังสินค้าให้เช่า 36,000ตร.ม. ปัจจุบันมีสองธุรกิจใหญ่เข้าทำสัญญาจองเช่าพื้นที่แล้ว 80% ส่วนที่เหลือ20% จะเปิดให้ลูกค้าจองสิทธิ์ในช่วงกลางเดือนนี้ “ สำหรับโครงการใหม่ที่จะมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อผลักดันให้บริษัทไปถึงเป้าหมาย 2ล้าน ตร.ม. บริษัทจะยังคงมองหาโอกาสในการพัฒนาโครงการในทำเลยุทธศาสตร์โดยบริษัทมีที่ดินในพอร์ตรอการพัฒนาที่วังน้อยซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์กระจายสินค้าสู่ภูมิภาค และในทำเลแหลมฉบังซึ่งอยู่ในพื้นที่ อีอีซี ซึ่งเป็นเป้าหมายของกลุ่มทุนอุตสาหกรรมที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย” ปัจจุบันสัดส่วนของผู้เช่าพื้นที่ในโครงการที่เปิดให้บริการอยู่เป็นกลุ่มธุรกิจของคนไทยประมาณ 25% ส่วนที่เหลืออีก 75% กระจายเป็นของกลุ่มนักลงทุนชาวจีน 18% กลุ่มนักลงทุนชาวญี่ปุ่น 20% ขณะที่สัดส่วนของ ของกลุ่มนักลงทุนยุโรปและอเมริกามีอัตราที่เพิ่มขึ้น นางสาวรัชนีกล่าวว่า สำหรับ ความคาดหวังจากนโยบายรัฐบาลใหม่คือต้องการการสานต่อนโยบายที่รัฐบาลเก่าทำไว้และมีการต่อยอดส่งเสริมให้มีการลงทุนจากกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศเข้ามาเพิ่ม ซึ่งทำให้นักลงทุนเดิมและนักลงทุนรายใหม่มีความรู้สึกว่าได้รับการดูแลจากรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง “การเปลี่ยนแปลงนโยบายส่งเสริมการลงทุนต่างๆ อยู่บ่อยครั้งไม่ได้ส่งผลดีกับการลงทุนในภาคอุตสาหกรรม ดังนั้นการส่งเสริมและต่อยอดนโยบายของรัฐบาลเดิมน่าจะเป็นแนวทางที่ส่งเสริมให้เกิดการลงทุนเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องมากกว่าการเปลี่ยนแปลงนโยบายใหม่”   บทความน่าสนใจ เอสซีจี ตั้งเป้าโต 200% ลุยตลาดโซลาร์รูฟ ส่ง SCG Solar Expert Station รุกตลาด ตั้งเป้าโต 200% รับค่าไฟพุ่ง หมดยุคห้างสินค้าไอที พันธุ์ทิพย์ ประตูน้ำ AWC ปรับสู่ศูนย์กลางค้าส่งด้านอาหาร ใหญ่สุดในไทย
[PR News]DOS Life  เปิดตัว “บีม-กวี และครอบครัว Brand Ambassador DOS Life Family”

[PR News]DOS Life  เปิดตัว “บีม-กวี และครอบครัว Brand Ambassador DOS Life Family”

DOS Life Family DOS Life สร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้ตลาดถังเก็บน้ำ เสนอแคมเปญเปลี่ยนมุมมองผู้บริโภคด้วยความห่วงใยที่ใหญ่บะเร่อบะร่า เปลี่ยนเรื่องถังเก็บน้ำจากแค่ถังสำรองสู่เรื่องความสำคัญที่ต้องหันมาใส่ใจเพราะดอสไลฟ์คือผู้นำที่คิดค้นนวัตกรรมตลอดเวลาเพื่อตอบสนองความต้องการในทุกไลฟ์สไตล์ของทุกคนในปัจจุบัน DOS Life Family นายดิศนิติ  โตวิวัฒน์ กรรมการ-รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มบริษัท ธรรมสรณ์ จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายถังเก็บน้ำคุณภาพ แบรนด์DOS Life (ดอสไลฟ์) เปิดเผยถึงแคมเปญโอ้มายดอส Oh My DOS! เพราะความห่วงใย มันใหญ่บะเร่อบะร่า  เกิดขึ้นจากการเก็บรวบรวม market data และนำมาวิเคราะห์จนพบว่า “น้ำคือสิ่งจำเป็นที่ถูกนำมาใช้ในชีวิตประจำวันทั้งอุปโภคและบริโภค” ดังนั้นความสะอาดคือปัจจัยหลักที่ผู้ใช้ต้องการ ในขณะเดียวกัน DOS เองได้มีการคิดค้นนวัตกรรมเพื่อตอบสนองเรื่องความสะอาด ในแง่ของการกำจัดเชื้อโรคแบคทีเรีย  รวมถึงเชื้อไวรัสโควิด-19 จึงทำให้ ผู้บริโภคให้การยอมรับในแบรนด์ DOS Life ทำให้ดอสไลฟ์คือแบรนด์ที่ได้ความนิยมในเรื่องของคุณภาพและทำให้ยอดขายเป็นอันดับ 1  ด้วยส่วนแบ่งสูงสุดของตลาดถังเก็บน้ำในปีที่ผ่านมา   และยังสามารถคว้า 2 รางวัลคุณภาพที่การันตีความเป็นเจ้าตลาดของเมืองไทย ได้แก่ รางวัล  NO.1 Brand Thailand และ รางวัล Super Brands Thailand อีกทั้งยังมีผลพิสูจน์จริงในเรื่องของความสะอาด โดยได้รับการรับรองในระดับมาตรฐานสากล  ทำให้ผู้บริโภคมั่นใจในแบรนด์ DOS Life ในเรื่องความสะอาด และความปลอดภัย และจากฐานลูกค้าที่มีความหลากหลายในไลฟ์สไตล์ที่ต่างกัน   ทีมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ได้คิดค้นนวัตกรรมป้อนสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง  รวมถึงฟังก์ชันการใช้งานที่หลากหลายขึ้นและดีไซน์ที่ตอบโจทย์กับบ้านที่หลากหลายขึ้น ยืนยันด้วยรางวัล GOOD DESIGN AWARD ที่เป็นรางวัลระดับโลก     “ที่ผ่านมา DOS Life ได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของทุกคนในบ้าน ด้วยแนวคิดที่มุ่งมั่นจะทำให้ทำทุกๆคุณภาพชีวิตดีขึ้น เราจึงอยากสื่อสารภาพลักษณ์ของแบรนด์โดยให้ทุกคนหันมาคำนึงถึงความสำคัญของถังเก็บน้ำ ทางทีมได้มีการพูดคุยและปรึกษากันเยอะมาก เพื่อที่จะหาตัวแทนครอบครัวที่จะมาเป็น DOS FAMILY และในแคมเปญนี้สุดท้ายเราก็ได้รับเกรียติจากครอบครัว ตันจรารักษ์ โดยมีคุณบีม-กวี คุณออย และน้องพีร์ น้องธีร์   มาร่วมถ่ายถอดเรื่องราวและสื่อสารให้ผู้บริโภคสัมผัสได้ถึงความห่วงใย  ใส่ใจที่  DOS Life สั่งสมมานาน ถ่ายทอดผ่านนวัตกรรมด้วยแนวคิด Constant Caring  Innovation  เพื่อคงความเป็นผู้นำในด้านการออกแบบ นวัตกรรมที่ใส่ใจห่วงใยในทุกคุณภาพชีวิต ให้ผู้บริโภคสัมผัสได้ว่า DOS Life ไม่ได้เป็นแค่ถังเก็บน้ำเท่านั้น แต่ภายในยังบรรจุความห่วงใยที่สะท้อนผ่านนวัตกรรม เพื่อช่วยทำให้น้ำสะอาดและปลอดภัย มั่นใจทุกครั้งที่ใช้น้ำ ส่งมอบความสุขง่ายๆ ผ่านสายน้ำที่ผู้บริโภคได้สัมผัสในทุกวัน   บีม-กวี และครอบครัว Brand Ambassador DOS Life Family การสร้างสรรค์แคมเปญ “โอ้มายดอส Oh My DOS! เพราะความห่วงใย มันใหญ่บะเร่อบะร่า” ในครั้งนี้ จะทำให้กลุ่มเป้าหมายเกิดความรู้ความเข้าใจครั้งใหม่ โดยจะมองเรื่องน้ำเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ใช่แค่ถังเอาไว้สำรองน้ำดังเช่นปัจจุบัน และถังเก็บน้ำถือเป็นสิ่งสำคัญในบ้าน ที่จะส่งมอบน้ำที่มีคุณภาพ สะอาดและปลอดภัยสู่ผู้บริโภค โดยในปีนี้ DOS Life ได้เพิ่มงบด้านการตลาดสูงขึ้น 3  เท่า เพื่อกระจายการรับรู้ผ่านสื่อโฆษณาเพื่อให้เข้าถึงคนทุกกลุ่มในทุกช่องทางการสื่อสาร และ DOS Life คาดการณ์ว่าในปี 2566 จะสามารถเติบโตได้มากกว่า 15% คิดเป็นตัวเลขประมาณ 4,170 ล้านบาทในตลาดถังเก็บน้ำ นอกเหนือจากนี้    ในด้านกิจกรรมเพื่อสังคมที่ดอสไลฟ์ทำมาอย่างต่อเนื่อง ในปีนี้ตั้งเป้าในการส่งมอบถังเก็บน้ำให้แก่โรงเรียน ชุมชน หรือองค์กรที่ต้องการถังเก็บน้ำประมาณ 800-1,000 ใบ เพื่อช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตในสังคมให้ดีขึ้น สุดท้ายดอสไลฟ์สัญญาว่าจะไม่หยุดคิดค้นนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภาพดีที่สุด และสามารถตอบสนองความต้องการในทุกๆไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค รวมถึงสามารถรองรับการเติบโตของตลาดในอนาคต และสานต่อความเป็นแบรนด์ถังเก็บน้ำที่มีคุณภาพอันดับหนึ่งในใจผู้บริโภคตลอดไป     บทความน่าสนใจ เทรนด์สุขภาพมาแรง คนไทยใช้ที่นอนหลังละ 50,000 บาท ซีทรูวอลล์ ปลุกอุณหภูมิสถาปนิก’66 นวัตกรรมสระว่ายน้ำแนวอควาเรียม สมาร์ท อัปเกรด Smart World แอปเพื่อการอยู่อาศัย หวังยอดทะลุ 2 แสนราย    
[PR News] PF เปิดตัวคอนโดโครงการใหม่ “ไอคอนโด แอคทีฟ พัฒนาการ”

[PR News] PF เปิดตัวคอนโดโครงการใหม่ “ไอคอนโด แอคทีฟ พัฒนาการ”

พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค เปิดตัวโครงการใหม่ “ไอคอนโด แอคทีฟ พัฒนาการ” ทำเลติดถนนพัฒนาการ  ติดโรงพยาบาลสินแพทย์แห่งใหม่ ภายใต้แนวคิด "Active" สะท้อนความไม่หยุดนิ่ง ชูจุดเด่นเน้นตอบโจทย์ด้านไลฟ์สไตล์ เอาใจสายแอคทีฟด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกรูปแบบใหม่ๆ ปรับภาพลักษณ์ให้ทันสมัยมากขึ้น   นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) หรือ PF เปิดเผยว่า บริษัทได้เปิดตัวคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ภายใต้แบรนด์ไอคอนโด ได้แก่ ไอคอนโด แอคทีฟ พัฒนาการ จับตลาดกลุ่มคนรุ่นใหม่วัยเริ่มต้นทำงาน รวมถึงกลุ่มนักศึกษา ด้วยการเลือกทำเลที่ตั้งบนถนนพัฒนาการที่เชื่อมต่อย่านธุรกิจเอกมัย ทองหล่อ และยังใกล้มหาวิทยาลัย โดยเปิดตัวด้วยภาพลักษณ์ใหม่ที่ทันสมัยมากขึ้น ภายใต้แนวคิด "Active" สะท้อนถึงความไม่หยุดนิ่ง เพื่อมอบประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่  และตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มผู้บริโภคในปัจจุบันได้อย่างตรงจุด ไอคอนโด แอททีฟ พัฒนาการ ตั้งอยู่บนทำเลถนนพัฒนาการ 37 โดยอยู่ติดกับโรงพยาบาลสินแพทย์แห่งใหม่ สามารถเดินถึงทั้งมหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิตและสถาบันเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่นในไม่กี่นาที  เดินทางสะดวกสบายใกล้รถไฟฟ้า 2 สาย ทั้งแอร์พอร์ตลิงค์และรถไฟฟ้าสายสีเหลือง และใกล้ทางด่วน 2 เส้นหลัก ได้แก่ ทางพิเศษศรีรัชและทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ ใกล้สิ่งอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน ทั้ง โลตัสพัฒนาการ เเม็กซ์แวลูพัฒนาการ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ โรงเรียนปาณยาพัฒนาการ แม็คโครสำนักงานใหญ่ เป็นทำเลเมืองที่เหมาะสำหรับการอยู่อาศัยที่สุดแห่งหนึ่งในวันนี้   โครงการมีพื้นที่ 5 ไร่ เป็นคอนโดมิเนียมในสไตล์โมเดิร์น 8 ชั้น 2 อาคาร จำนวนรวม 445 ยูนิต แบ่งเป็นอาคาร A จำนวน 231 ยูนิต และ อาคาร B จำนวน 214 ยูนิต  ออกแบบให้ตัวอาคารโอบล้อมสระว่ายน้ำและสวนพักผ่อน เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยได้ความเป็นส่วนตัว และสามารถออกมาใช้งานพื้นที่ส่วนกลางได้อย่างสะดวก รูปแบบห้องประกอบด้วย ห้อง 1 Bedroom ขนาด 24 –30 ตร.ม. และ ห้อง 2 Bedroom ขนาด 45.7 ตร.ม. ทุกห้องตกแต่งเฟอร์นิเจอร์ครบชุดแบบ Fully Furnished นอกเหนือจากความสะดวกสบายในชีวิตประจำวันแล้ว  โครงการยังมีจุดเด่นที่เน้นตอบโจทย์ด้านไลฟ์สไตล์ให้กับผู้อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็น การออกแบบให้มีพื้นที่รองรับทั้งจุดรับส่งอาหารและห้องจัดเก็บพัสดุ ฟิตเนสที่มีอุปกรณ์รูปแบบใหม่ๆ อาทิเช่น จักรยานออกกำลัง แบบ Virtual Cycling  กระจกออกกำลังกายอัจฉริยะ Fitness Mirror ที่เหมือนมีเทรนเนอร์ส่วนตัว ระบบรักษาความปลอดภัยแบบ Face Recognition ระบบสแกนทะเบียนรถเข้าออก ตลอดจนมีการนำนวัตกรรมมาใช้เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี ทั้ง ระบบไอออนกำจัดเชื้อโรคในอากาศ SCG Bi-ion ให้คุณภาพอากาศที่ดีทั้งในล็อบบี้ ฟิตเนส และ Co-working Space ทุกห้องพักติดตั้งเครื่องปรับอากาศที่สามารถกรองฝุ่น PM 2.5 และ ประตูห้องระบบ Digital Door Lock ที่สามารถควบคุมด้วยแอปพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟน ทั้งปลอดภัยและสะดวกสบาย    “ไอคอนโด แอคทีฟ พัฒนาการ” จะเปิดให้ชมห้องตัวอย่าง และเปิดจองในช่วงพรีเซล วันที่ 10-11 มิถุนายนนี้ ด้วยราคาเริ่มต้น 2.2 ล้านบาท   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เพอร์เฟค เปิดแผนธุรกิจ 2566 พร้อมเปิด 14 โครงการใหม่ มูลค่า 17,700 ล้าน -[PR News] เพอร์เฟค เดินหน้าเปิด 4 โครงการใหม่ในไตรมาส 2
[PR News] “เสนาคิทท์ เวสต์เกต – บางบัวทอง”  เนรมิตคลับเฮ้าส์ใหม่รองรับลูกบ้าน

[PR News] “เสนาคิทท์ เวสต์เกต – บางบัวทอง” เนรมิตคลับเฮ้าส์ใหม่รองรับลูกบ้าน

เสนา ฮันคิว ฮันชิน เนรมิตคลับเฮ้าส์ใหม่ในโครงการ “เสนาคิทท์ เวสต์เกต – บางบัวทอง” พร้อมเปิดให้บริการลูกบ้านครั้งแรก พบกันในงาน Open House Party 24 มิ.ย.นี้ ชมห้องจริง บรรยากาศจริง ลุ้นรับทอง 1 บาท* ระบุเดินหน้าเปิดเฟส 2 ต่อ จ่อรับดีมานด์ย่านบางบัวทอง ผ่อนเบาๆแค่ 4,100 บาท/เดือน* ด้วยราคาเริ่มเพียง 956,000 บาท ไม่ถึงล้านก็เป็นเจ้าของได้    ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาคอนโดฯ Affordable Segment แบรนด์ เสนาคิทท์ ราคาเริ่มไม่ถึงล้านได้รับการตอบรับดี สามารถปิดการขายและมียอดจองสิทธิ์ได้ตามเป้าหมายทุกโครงการ โดยเฉพาะย่านบางบัวทอง คอนโดมิเนียมโลว์ไรซ์ “เสนาคิทท์ เวสต์เกต – บางบัวทอง”  มีลูกค้าให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก หลังจากสร้างเสร็จและมีลูกค้าโอนเข้าอยู่แล้วเฟส 1 แล้ว ปัจจุบันทางบริษัทเดินหน้าเปิด“เสนาคิทท์ เวสต์เกต – บางบัวทอง” เฟส 2  ต่อทันที สตาร์ทชีวิตทำไมต้อง “คิทท์” เพราะเสนาเราเข้าใจความต้องการของลูกค้า ทุกโครงการของเสนา โดยเฉพาะ เสนาคิทท์ ทางบริษัทเข้าใจลูกค้าที่ต้องการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง แต่มีงบน้อย กลัวผ่อนไม่ไหวด้วยสภาวะเศรษฐกิจที่หลายคนมีความกังวลในการซื้อสินทรัพย์ชิ้นใหญ่และใช้เวลาในการผ่อนระยะยาว คอนโดเสนาคิทท์ เวสต์เกต – บางบัวทอง เข้าร่วมแคมเปญธอส. บ้านล้านหลัง เงินเดือน 15,000 บาทสามารถยื่นกู้ได้  ดอกเบี้ยต่ำ 3% นาน 5 ปี ผ่อนถูกกว่าเช่าแถมได้เป็นเจ้าของ เพียง 4,100 บาท*/เดือน   สตาร์ทชีวิตทำไมต้อง “คิทท์” เพราะที่นี่ เสนาคิทท์ คิดให้ครบ คอนโดเสนาคิทท์ เวสต์เกต – บางบัวทอง (เฟส 2) คอนโด Low Rise สูง 5 ชั้น 6 อาคาร  รวม 474 ยูนิต  แบ่งเป็น 1 ห้องนอน ขนาดพื้นที่ใช้สอย 25 ตร.ม. และ 2 ห้องนอน ขนาดพื้นที่ใช้สอย 38 ตร.ม. แปลนห้องลงตัวเป็นสัดส่วน โซนแรกเป็นห้องนั่งเล่นรวมพื้นที่กับโต๊ะทานอาหาร โซนติดหน้าต่างห้องเป็นห้องนอนที่กั้นจากห้องนั่งเล่นด้วยประตูบานเลื่อน อีกฝั่งจะเป็นห้องน้ำ ส่วนเตรียมอาหารอยู่ติดกับระเบียงห้อง ที่สำคัญซื้อโครงการที่นี่ ไม่ต้องซื้อเฟอร์นิเจอร์ เพราะคอนโดถูกออกแบบให้ตกแต่งพร้อม หิ้วกระเป๋าใบเดียวลากเข้าอยู่ได้เลย    สตาร์ทชีวิตทำไมต้อง “คิทท์” พื้นที่ส่วนกลางครบ คลับเฮ้าส์พร้อมให้บริการ คอนโดมิเนียมที่ได้มากกว่าที่คิดในระดับราคาไม่ถึงล้าน ถือว่าคุ้มค่ากับคุณภาพชีวิตที่ดี โดยภายในโครงการมีสาธารณูปโภครองรับลูกบ้าน พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ พื้นที่พักผ่อนในโซนคลับเฮ้าส์ สระว่ายน้ำ ฟิตเนส พื้นที่ทำงาน Co-Working Space และมีลิฟท์อำนวยความสะดวกทุกอาคาร   สตาร์ทชีวิตทำไมต้อง “คิทท์” เดินทางสะดวก ใกล้แหล่งงาน และสิ่งอำนวยความสะดวกมาครบ ที่ผ่านมา ต้องยอมรับย่านบางบัวทองเป็นเส้นทางหนึ่งที่การเดินทางสะดวกสบายมากขึ้น ผู้คนสัญจรเข้า – ออกเมืองง่าย ทั้งถนนสายหลักและสายรองหลายเส้นทาง  รวมถึงการพัฒนาด้านคมนาคม ระบบขนส่งสาธารณะ ครบลูป และรถไฟฟ้าสายสีม่วง (เตาปูน-คลองบางไผ่) ขณะเดียวกันพื้นที่โดยรอบแวดล้อมด้วยแหล่งงาน ร้านค้าต่าง ๆ สถานที่เที่ยวตอบรับไลฟ์สไตล์ทุกรูปแบบ แหล่งช้อปปิ้ง สถานศึกษา โรงพยาบาล ที่เป็นสีสันทำให้ผู้คนที่อยู่อาศัยละแวกนี้มีครบพร้อมรองรับการขยายตัวของเมืองและตลาดที่อยู่อาศัย ซึ่งทยอยเปิดตัวเพิ่มขึ้นทั้งบ้านเดี่ยว – บ้านแฝด ทาวน์เฮ้าส์ – ทาวน์โฮม คอนโดมิเนียม ค่อนข้างมีให้เลือกหลากหลายตามงบประมาณและรายได้   สัมผัสการใช้ชีวิตพร้อมเติมเต็มทุกความสมบูรณ์แบบ พบกันในงาน Open House Party 24 มิ.ย. นี้ ชมห้องจริง บรรยากาศจริง คลับเฮ้าส์ใหม่เอี่ยม พร้อมกับโปรโมชั่นสุดพิเศษวันงาน ลุ้นรับทอง มูลค่า 1 บาท* มาร่วมสตาร์ทชีวิตที่ดี “เสนาคิทท์ เวสต์เกต – บางบัวทอง” คอนโดที่เหมาะสำหรับคนที่มองหาที่อยู่อาศัยหรือคนที่กำลังมองหาการลงทุนเพื่อปล่อยเช่าในอนาคต คอนโดที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของทุกคน สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.sena.co.th/project/sena-kith-westgate-bangbuathong หรือสอบถามได้ call Center: 1775 กด 25 ส่วนท่านใดสนใจโครงการอื่น ๆ แบรนด์ เสนาคิทท์ หรือโครงการอื่นๆของเสนาและในเครือคลิ๊กเข้าไปดูได้ที่ https://www.sena.co.th/   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เสนาดีเวลลอปเม้นท์ เปิด 7 โปรเจ็กต์ใหม่ Q2 หนุนเป้ายอดขายกว่า 1.8 หมื่นล.
เดอะ ฟอเรสเทียส์ เปิดตัวโครงการใหม่ล่าสุด ‘ซิกเนเจอร์ ซีรีส์’ ที่อยู่อาศัยหรูใกล้ชิดธรรมชาติ

เดอะ ฟอเรสเทียส์ เปิดตัวโครงการใหม่ล่าสุด ‘ซิกเนเจอร์ ซีรีส์’ ที่อยู่อาศัยหรูใกล้ชิดธรรมชาติ

เดอะ ฟอเรสเทียส์ เปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ล่าสุด ‘ซิกเนเจอร์ ซีรีส์’ ที่อยู่อาศัยหรู เจาะกลุ่มผู้ซื้อบ้านที่ต้องการคอนโดพื้นที่ขนาดใหญ่ในเมือง ที่อยู่ใกล้ชิดธรรมชาติ   ขอเชิญชวนผู้สนใจสามารถเยี่ยมชมโครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ ซิกเนเจอร์ ซีรีส์ ในรูปแบบ Virtual Reality ได้ในงาน The Forestias Story and Beyond ที่รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 สยามพารากอน วันที่ 10-11 มิถุนายนนี้ พร้อมมอบสิทธิพิเศษ 30 ยูนิตแรก ในราคาพิเศษแบบ VVIP สำหรับลูกค้าที่จองภายใน 30 มิถุนายน 2566 พร้อมกับจะได้รับสิทธิพิเศษอื่นๆ เพิ่มเติมในการใช้บริการสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่โฮเต็ล อินดิโก้ เดอะ ฟอเรสเทียส์ มูลค่าสูงสุดถึง 500,000 บาท – โทรสอบถามข้อมูลได้ที่ Call Center 1265    “ที่อยู่อาศัย เดอะ ฟอเรสเทียส์ ซิกเนเจอร์ ซีรีส์ ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์คนที่ชื่นชอบการอยู่อาศัยในคอนโดมิเนียมขนาดใหญ่กว่าทั่วๆ ไป กระทั่งแบบมีสระส่วนตัว แวดล้อมไปด้วยธรรมชาติ และง่ายที่จะเข้าถึงบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ สำหรับการใช้ชีวิตแบบใจกลางเมือง ที่เดอะ ฟอเรสเทียส์มอบให้ ทุกห้องพักอาศัย เปิดรับวิวป่า 30 ไร่แบบพาโนรามา และทิวทัศน์ความมหัศจรรย์ของงานเฟสติวัลต่างๆ ที่จะจัดขึ้นเป็นประจำ ทั้งในผืนป่าและเหนือผืนป่า การออกแบบตกแต่งภายในถูกรังสรรค์ภายใต้ธีมที่ได้แรงบันดาลใจจากธรรมชาติ พร้อมทั้งมอบความเป็นส่วนตัวอย่างหรูหราเหนือระดับ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ซื้อบ้านกลุ่มนี้ปรารถนา”  นายยุทธนา ตันติยานนท์ ประธานผู้อำนวยการ กลุ่มงานการจัดการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์MQDC     กรุงเทพฯ (31 พฤษภาคม 2566) – MQDC (บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด) หนึ่งในบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศไทย ประกาศวันนี้ว่า บริษัทฯ กำลังก่อสร้างอาคารที่พักอาศัยแห่งใหม่ ความสูง 44 ชั้น ในชื่อ เดอะ ฟอเรสเทียส์ ซิกเนเจอร์ ซีรีส์ ตั้งอยู่ในพื้นที่ 398 ไร่ของโครงการ ‘เดอะ ฟอเรสเทียส์’ บนถนนบางนา-ตราด ก.ม.7   ‘เดอะ ฟอเรสเทียส์’ คือหนึ่งในโครงการอสังหาริมทรัพย์ของภาคเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย อีกทั้งยังเป็นที่ตั้งของวิลล่าสุดหรู ซิกส์เซนส์ เรสซิเดนซ์ ในประเทศไทยอีกด้วย โดยที่พักอาศัย เดอะ ฟอเรสเทียส์ ซิกเนเจอร์ ซีรีส์ ตั้งอยู่ติดกับป่าขนาด 30 ไร่ใจกลางเดอะ ฟอเรสเทียส์ และเชื่อมโดยตรงกับทางเดินยกระดับที่ทอดยาวเหนือผืนป่า ความยาว 1.6 กิโลเมตร   นายยุทธนา ตันติยานนท์ ประธานผู้อำนวยการ กลุ่มงานการจัดการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ MQDC เปิดเผยว่า “ที่พักอาศัยโครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ ซิกเนเจอร์ ซีรีส์ ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์คนที่ชื่นชอบการอยู่อาศัยในคอนโดมิเนียมขนาดใหญ่กว่าทั่วๆ ไป กระทั่งแบบมีสระส่วนตัว แวดล้อมไปด้วยธรรมชาติ และง่ายที่จะเข้าถึงบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ สำหรับการใช้ชีวิตแบบใจกลางเมือง ที่โครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์มอบให้ โดยอาคารโครงการ ความสูง 44 ชั้น มีเพียง 122 ยูนิตเท่านั้น ซึ่งเป็นยูนิตแบบมีพื้นที่กว้างขวาง และทุกยูนิตเปิดรับวิวป่าแบบพาโนรามา และทิวทัศน์ความมหัศจรรย์ของงานเฟสติวัลต่างๆ ที่จะจัดขึ้นเป็นประจำ ทั้งในผืนป่าและเหนือผืนป่า”     ห้องพักอาศัยมีขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 140 ตารางเมตรไปจนถึง 350 ตารางเมตร โดยมีห้องแบบเพนท์เฮาส์ขนาดพื้นที่ใช้สอย 917 ตารางเมตร บนชั้น 43 ส่วนจำนวนห้องนอนก็มีเลือกหลากหลาย ตั้งแต่ 2 ห้องนอนไปจนถึง 5 ห้องนอน โดยที่พักอาศัยแบบฟรีโฮลด์แห่งนี้ มีราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 37 ล้านบาทสำหรับยูนิตขนาด 2 ห้องนอน และราคาเริ่มต้น 49 ล้านบาทสำหรับยูนิตขนาด 3 ห้องนอน   ตัวอาคารของ เดอะ ฟอเรสเทียส์ ซิกเนเจอร์ ซีรีส์ ได้รับการออกแบบโดย Foster + Partners โดยแนวคิดของโครงการให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับการมอบความเป็นส่วนตัวสูงสุดให้แก่ผู้อยู่อาศัย เราจึงพิถีพิถัน ใส่ใจในการออกแบบทุกรายละเอียด บนพื้นฐานของการทำความเข้าใจผู้อยู่อาศัยมากที่สุดในเรื่องของความเป็นส่วนตัว โดยได้สร้างโถงทางเดินและบันไดสำหรับงานบำรุงรักษาไว้ในจุดต่างๆ “การออกแบบนี้จะช่วยให้ช่างสามารถเข้าบริการหรือดูแลรักษางานระบบอาคาร โดยเฉพาะงานท่อหลักได้โดยไม่ต้องเข้าไปในห้องพักอาศัย อีกทั้งยังสามารถบำรุงรักษาอาคารให้ได้มาตรฐานระดับพรีเมียมอยู่ตลอดเวลาโดยที่ไม่รบกวนพื้นที่ส่วนรวมที่ลูกบ้านใช้ประจำ” นายยุทธนากล่าว   นอกจากนั้น การออกแบบพื้นที่ภายในยังมีความเป็นสัดส่วน โดยแยกพื้นที่ที่ผู้ช่วยดูแลบ้านต้องใช้ เช่น พื้นที่ห้องครัวไทย และห้องพักของผู้ช่วยดูแลบ้าน ไม่รบกวนความเป็นส่วนตัวของผู้อยู่อาศัย พร้อมกันนี้ ทุกยูนิตยังมีล็อบบี้ลิฟต์ส่วนตัวอีกด้วย หนึ่งในลักษณะพิเศษที่เป็นจุดเด่นของโครงการ คือมีที่นั่งพักผ่อนภายนอกอาคารมากมาย รวมไปถึงสวนส่วนตัว สนามหญ้าอเนกประสงค์ ระเบียงชายป่า และบ้านต้นไม้ นอกจากนั้น ยังได้นำเอาวัสดุพิเศษมาใช้ ในการก่อสร้างฟาซาด เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยในอาคารรู้สึกเย็นสบายมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังได้ออกแบบโถงล็อบบี้ส่วนตัวสำหรับผู้อยู่อาศัย ซึ่งแยกเป็นสัดเป็นส่วนกับล็อบบี้หลักของอาคาร เดอะ ฟอเรสเทียส์ ซิกเนเจอร์ ซีรีส์ มีกำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จ ภายในสิ้นปี 2568 โดยงานเสาเข็มได้ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้ว ขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้างชั้นใต้ดิน และเตรียมเปิดให้เข้าชมห้องตัวอย่าง อย่างเป็นทางการ ตั้งแต่วันที่ 8 กรกฎาคม 2566 เป็นต้นไป     นายกิตติพันธุ์ อุยยามะพันธุ์ ประธานผู้อำนวยการ โครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ โดย MQDC กล่าวว่า “ที่พักอาศัยอื่นๆ อีก 4 แบรนด์ของเราในเดอะ ฟอเรสเทียส์ได้รับการตอบรับที่ดีมาก ถึงตอนนี้ ทำยอดขายรวมกันมากกว่า 22,000 ล้านบาทไปแล้ว” “ผมเชื่อว่า เหตุผลที่โครงการได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากทุกวันนี้ผู้คนจำนวนมากขึ้นอยากใช้ชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพมากกว่าทั่วๆ ไป ท่ามกลางพื้นที่สีเขียวเยอะๆ และอยากอยู่ในโครงการที่ได้รับการออกแบบโดยบริษัทที่ได้รับการยอมรับนับถือในระดับโลก ที่มุ่งเน้นส่งเสริมให้ผู้อยู่อาศัยมีสุขภาพดียิ่งขึ้น และผมคิดว่าที่คนเชื่อมั่นว่าโครงการที่อยู่อาศัยต่างๆ ของเรามีศักยภาพสูงในด้านของการลงทุน เป็นเพราะการที่โครงการตั้งอยู่ในทำเลเชื่อมต่อพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งในการขับเคลื่อนและส่งเสริมให้โครงการมีความน่าดึงดูดใจ” นายกิตติพันธุ์กล่าว   ที่พักอาศัยโครงการ ซิกเนเจอร์ ซีรีส์ ตั้งอยู่ใกล้กับโฮเต็ล อินดิโก้ เดอะ ฟอเรสเทียส์ ซึ่งอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง ในสไตล์ที่จะมาเติมเต็มพื้นที่ และสะท้อนธีมใกล้ชิดธรรมชาติของซิกเนเจอร์ ซีรีส์ ได้เป็นอย่างดี พร้อมกับมีทางเดินเชื่อมต่อโดยตรงระหว่างอาคารที่พักอาศัยและอาคารโรงแรม “การตั้งอยู่ใกล้เคียงแบบเชื่อมถึงกันได้อย่างสะดวกสบายกับโรงแรมและพื้นที่จำหน่ายอาหาร เครื่องดื่ม รวมทั้งบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ เป็นสิทธิประโยชน์พิเศษเพิ่มเติมที่สำคัญอย่างหนึ่งสำหรับลูกค้าเจ้าของที่พักอาศัยโครงการซิกเนเจอร์ ซีรีส์” นายกิตติพันธุ์กล่าว   สำหรับโครงการที่อยู่อาศัยอื่นๆ ในเดอะ ฟอเรสเทียส์ มีการก่อสร้างคืบหน้าไปแล้วค่อนข้างมาก ในจำนวนนี้ รวมถึงโครงการซิกส์เซนส์ เรสซิเดนซ์ เดอะ ฟอเรสเทียส์, มัลเบอร์รี่ โกรฟ วิลล่า, มัลเบอร์รี่ โกรฟ คอนโดมิเนียม, คอนโดมิเนียมแบรนด์ วิสซ์ดอม, คอนโดมิเนียมแบรนด์ ดิ แอสเพน ทรี และสกายวิลล่า ซึ่งมีจุดเด่นอยู่ที่การมอบบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อการดูแลผู้พักอาศัยอย่างครบวงจรตลอดชีวิต โครงการ เดอะ ฟอเรสเทียส์ ซิกเนเจอร์ ซีรีส์ มีมูลค่าประมาณ 5,900 ล้านบาท   บทความที่เกี่ยวข้อง Mulberry Grove The Forestias Villas บ้านคลัสเตอร์ แนวคิดใหม่ MQDC เปิดขาย “Whizdom The Forestias : Mytopia” MQDC เผยความสำเร็จ “ซิกส์เซนส์ เรสซิเดนซ์” บ้านอัลตร้าลักชัวรี่ The Forestias – เมืองต้นแบบกลางป่าใหญ่ในกรุงเทพฯ  
[PR News] สมาร์ท อัปเกรด Smart World แอปเพื่อการอยู่อาศัย หวังยอดทะลุ 2 แสนราย

[PR News] สมาร์ท อัปเกรด Smart World แอปเพื่อการอยู่อาศัย หวังยอดทะลุ 2 แสนราย

สมาร์ท  อัปเกรด SMART WORLD โมบาย แอปพลิเคชัน ที่ครบ จบ ในแอปเดียว ภายใต้คอนเซ็ปต์ใหม่ Ultimate Digital Living เพิ่มลูกเล่นและฟังก์ชันการให้บริการที่มากขึ้น   นายสุวัฒน์ กุลไพจิตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท สมาร์ท เซอร์วิส แอนด์ แมเนจเม้นท์ จำกัด (SMART) เปิดเผยว่า บริษัทได้อัปเกรดแอปพลิเคชันสมาร์ท เวิล์ด "SMART WORLD" เวอร์ชันใหม่ ให้เป็นสุดยอดแอปเพื่อการอยู่อาศัย ในคอนเซปต์ SMART WORLD Ultimate Digital Living  เรียกได้ว่าดูแลกันตั้งแต่เริ่มต้นวันแรกของการซื้อบ้าน จนถึงวันโอน และดูแลต่อเนื่องไปตลอดของการพักอาศัย โดยสมาร์ทดำเนินธุรกิจการบริหารจัดการโครงการอสังหาริมทรัพย์มานานกว่า 26ปี ดูแลมากกว่า 390 โครงการ   สำหรับแอปพลิเคชันดังกล่าวจะช่วยอำนวยความสะดวก ตั้งแต่เรื่องการให้ข้อมูลสินเชื่อธนาคาร รวมถึงสามารถเข้าดูรายละเอียดความคืบหน้าของโครงการได้ด้วยตนเอง ผ่านหน้าแอปฯ และยังทำธุรกรรมการผ่อนดาวน์ , Refund , ยื่นขอเอกสารออนไลน์, ฝากขาย-เช่า ได้ง่ายๆ แค่ปลายนิ้ว หลังจากการโอนบ้านแล้ว แอปฯ นี้ยังคงดูแลอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การใช้ชีวิตในบ้านหลังใหม่เป็นไปอย่างสะดวก ง่ายดาย เป็นตัวเชื่อมติดต่อกับนิติบุคคลของ SMART หรือเพื่อนบ้านในโครงการได้สะดวกผ่านแชท และมีข่าวสารที่คอยอัปเดตเพื่อไม่พลาดทุกการเคลื่อนไหวในโครงการ แจ้งเตือนรับพัสดุ , จ่ายบิล , ประทับตรารถเข้า-ออกโครงการผ่านแอปฯ รวมทั้งสามารถดูกล้องวงจรปิดในพื้นที่ส่วนกลางของโครงการได้ในกรณีที่เราไม่อยู่บ้าน   นอกจากนี้ ยังช่วยจัดการเรื่องบ้านให้สมาร์ทมากขึ้นด้วยฟีเจอร์ Home Service หรือบริการเรื่องบ้าน ทั้งตกแต่งต่อเติมก่อนเข้าอยู่ รีโนเวต รวมถึงบริการต่าง ๆ ที่ช่วยให้บ้านดูสวย ใหม่ และ ดูแลรักษาตลอดเวลา เช่น บริการเรื่องบ้าน ทั้งล้างแอร์ ล้างบ่อดักไขมัน ล้างแทงค์น้ำ ติดตั้งโครงหลังคาจอดรถ ติดตั้งรางน้ำฝน และอื่น ๆ อีกมากมายจากพาร์ทเนอร์มืออาชีพ และยังมีสิทธิพิเศษ ส่วนลดต่างๆ ที่ SMART รวบรวมมาครบทุกแกน ทั้ง ร้านอาหาร กีฬา อุปกรณ์เครื่องใช้ สัตว์เลี้ยง และความงาม เพื่อลูกบ้านโดยเฉพาะ เรียกได้ว่าแค่มีแอปพลิเคชันอยู่ในมือ ก็ตอบโจทย์ตั้งแต่ต้น จนเข้าพักอาศัยแบบครบ จบในแอปเดียว เพียงปลายนิ้วสัมผัส บริษัทคาดว่า แอปพลิเคชั่น สมาร์ท เวิล์ดจะมียอดดาวน์โหลด 200,000 user หรือเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวภายในสิ้นปี      อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เทอร์ร่า เผยเทรนด์การอยู่อาศัยในปี 65 ต้องตอบโจทย์ Well-Being & ความปลอดภัย -[PR News]แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์  เปิดให้ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “iDesign” โฉมใหม่แล้ววันนี้
[PR News] CPN ผนึกพันธมิตร ปักธงสีรุ้งรับเดือน Pride Month จัดงาน THAILAND’S PRIDE CELEBRATION 2023

[PR News] CPN ผนึกพันธมิตร ปักธงสีรุ้งรับเดือน Pride Month จัดงาน THAILAND’S PRIDE CELEBRATION 2023

CPN ปักธงสีรุ้งรับเดือน Pride Month ผนึกพันธมิตรจัดงาน THAILAND’S PRIDE CELEBRATION 2023 “PRIDE FOR ALL” สร้างแลนด์มาร์กเทศกาลระดับโลกที่ทุกคนต้องมาเยือน ปลุกเศรษฐกิจ-ท่องเที่ยวไตรมาส 2   โดยในงานแถลงข่าวได้รับเกียรติจาก ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธาน พร้อมด้วย ชนวัฒน์ เอื้อวัฒนะสกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานพัฒนาธุรกิจและโครงการ, ดร. ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บมจ. เซ็นทรัลพัฒนา , มร.เรอโน เมแยร์ ผู้แทนโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ ประจำประเทศไทย UNDP, เมทินี กิ่งโพยม CEO จาก Muse by Metinee, ชุมาพร แต่งเกลี้ยง ผู้ก่อตั้งบางกอกไพรด์ , ภก.พิรพัฒน์ ศรีวัฒนวงศ์ ผู้อำนวยการธุรกิจความงาม ประเทศไทยและกลุ่มประเทศอาเซียน บริษัท กัลเดอร์มา (ประเทศไทย) จำกัด และ ประภัสสร กาญจนสูตร ศิลปินผู้เชื่อในความเท่าเทียมของมนุษย์   ดร. ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บริษัท ซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN เปิดเผยว่า เซ็นทรัลพัฒนา พร้อมเป็นหัวหอกในการผนึกกำลังพันธมิตรทุกภาคส่วน เพื่อร่วมกันผลักดันให้งานฉลองเทศกาล Pride Month ของประเทศไทยเป็น Top of Pride Destination ของคนทั่วโลก และยกระดับสู่การเป็นเจ้าภาพ World Pride 2028 ชาติแรกในเอเชียตามเป้าหมายที่มีร่วมกัน ทั้งนี้ เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศไตรมาส 2 และดึงดูดนักท่องเที่ยวทั่วโลก โดยชู 3 แนวคิดสำคัญ ได้แก่ 1.สร้าง Global Impact ยกระดับงานไพรด์ประเทศไทย ให้เป็นเดสติเนชั่นระดับโลกด้วย Great partnership การผนึกกำลังร่วมกับพาร์ทเนอร์ระดับโลก และพันธมิตรชั้นนำภาครัฐ-เอกชน จัดงานฉลองเทศกาลไพรด์ยิ่งใหญ่ผ่านพื้นที่ของศูนย์การค้าเซ็นทรัลทั่วประเทศ Global destination ชูไทยเป็น 1 ในแลนด์มาร์กแห่งการฉลองเทศกาลที่ทั่วโลกอยากมาเยือน เทียบชั้น NYC Pride นิวยอร์ก, EuroPride 2019 & Pride Week เวียนนา ออสเตรีย, Tokyo Rainbow Pride ญี่ปุ่น และTaiwan LGBT Pride เพราะประเทศไทยเป็นเดสติเนชั่นที่เหมาะสม เปิดกว้าง และยอมรับในความแตกต่าง หลากหลาย และการสร้าง Global awareness สร้างกระแสผ่าน Tourist Platform ทั่วโลก เหมือนที่เราประสบความสำเร็จมาแล้วจากการจัดงานเคานต์ดาวน์ และเทศกาลสงกรานต์ 2.จับเทรนด์ Rainbow Economy เศรษฐกิจสีรุ้งมาแรง-กำลังซื้อสูง ขานรับนโยบาย “เศรษฐกิจดี” ของกรุงเทพมหานคร มุ่งปั้นเศรษฐกิจสร้างสรรค์ กระตุ้นเศรษฐกิจประเทศให้คึกคัก ยกระดับงานไพรด์ของไทยเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลก จับ 2 กลุ่มเป้าหมาย คือ กลุ่ม LGBTQIAN+ กำลังซื้อสูง ตลาดสำคัญในยุค Genderless เป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนการใช้จ่ายสินค้าและท่องเที่ยวมากกว่ากลุ่มทั่วไป ส่วนใหญ่เป็นผู้บริหารระดับสูง รายได้ดี มีรสนิยมดี สร้างเม็ดเงินมหาศาลในหลายอุตสาหกรรม เช่น ท่องเที่ยว ภาพยนตร์ ดนตรี บันเทิง รวมไปถึงอุตสาหกรรมการแพทย์ จากข้อมูล พบว่า ปัจจุบัน LGBTQIAN+ ทั่วโลกมีมากถึง 486 ล้านคน อยู่ในเอเชีย 288 ล้านคน และเป็นคนไทย 4 ล้านคน โดยมีรายได้เฉลี่ยประมาณ 50,000-85,000 ต่อคน กลุ่ม Gen Z ที่เปิดกว้างสนับสนุนความเท่าเทียม ให้ความสำคัญกับ Brand value แบรนด์ดัง Global & Local ผลิต Collectible items ช่วง Pride Month อาทิ สายกิน: Daisen กับเมนูซูชิสีรุ้ง, ไอศกรีม Guss Damn Good พิเศษเฉพาะเทศกาลไพรด์ (เซ็นทรัลเวิลด์ และเซ็นทรัล ลาดพร้าว), สายแฟชั่น: พบกับไอเท็ม Pride คอลเลคชั่น สุดว้าวจาก Adidas, Calvin Klein, Casetify, CPS CHAPS, Guess, Nike, Comma And มัลติแบรนด์คอนเซ็ปต์สโตร์แห่งใหม่ล่าสุดที่เซ็นทรัลเวิลด์ รวมถึง LEGO และแบรนด์อื่นๆ อีกมากมาย 3.ชู Pride Highlight ตอบโจทย์ทุก GEN ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลทั่วประเทศ สร้างปรากฏการณ์ PRIDE ทั่วประเทศ ตลอดเดือนมิถุนายน 2566 ให้ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเป็น Trendsetter ของทุกจังหวัด โดยมีไฮไลต์พิเศษมากมาย อาทิ The Biggest Pride Parade โบกสะบัดธงสีรุ้งใน 8 สาขาทั่วประเทศ อาทิ เซ็นทรัลเวิลด์ จัด 2 งานใหญ่: Pride Fashion Parade จาก Muse by Metinee โดย ลูกเกด เมทินี กิ่งโพยม และศิลปินดัง-นักศึกษากว่า 500 คน และงาน Bangkok Pride 2023 ร่วมกับกรุงเทพมหานครฯ และนฤมิตรไพรด์ ขบวนพาเหรดธงสีรุ้งสุดตระการตาใหญ่ที่สุดในไทยกว่า 8 เมตร ประกาศก้องความหลากหลายและเท่าเทียม โดยขบวน Bangkok Pride2023 จะเคลื่อนตัวจากแยกปทุมวัน ถึงแยกราชประสงค์ พร้อมผู้คนนับแสนที่ร่วมขบวนอย่างยิ่งใหญ่ และโชว์สุดพิเศษ มินิคอนเสิร์ต การฉลองความหลากหลายทางเพศ โดย ผู้ว่าราชการจังหวัด คณะเอก อัคราชฑูต หน่วยงานราชการ และตัวแทนจากชุมชน LGBTQIAN+ ​โดยเซ็นทรัลเวิลด์เป็นไฮไลต์เดสติเนชั่นสุดท้ายฉลองร่วมกัน สมเป็น World’s Best Festive Destination, เซ็นทรัล พัทยา และเซ็นทรัล มารีนา จัดงาน Pattaya International Pride Festival 2023 ไพรด์พาเหรดเลียบชายหาดเมืองพัทยา, Central Phuket Pride For All ไพรด์พาเหรดครั้งแรกใหญ่สุดในภาคใต้​ พร้อมแฟชั่นโชว์ร่วมกับไซม่อนคาบาเร่ต์ และสาขาอื่นๆ อีกมากมาย คือ เซ็นทรัล ขอนแก่น, อุบล, อุดร และสมุย Pride Happening อาทิ Pride Talk ร่วมกับ UNDP และสมาคมฟ้าสีรุ้งแห่งประเทศไทย ฟังเสวนาจาก LGBTQIAN+ คนสำคัญในวงการ สร้างแรงบันดาลใจที่เซ็นทรัลเวิลด์, พัทยา, ภูเก็ต, อุดร, ขอนแก่น, เชียงใหม่, ชลบุรี, Pride Competition ชมการประกวด Miss International Queen ชุดประจำชาติ ที่เซ็นทรัลเวิลด์, Pride Market อาทิ centralwOrld ร่วมกับ SpicyDisc และ Tinder แอพหาคู่ที่ฮิตที่สุดในโลก presents "ตลาดโสด MADE WITH PRIDE" 1-4 มิ.ย.66 เป็นต้นและ Pride Concert จากศิลปินดังที่เซ็นทรัลเวิลด์, เซ็นทรัล พัทยา, ภูเก็ต, อุบล, ชลบุรี Pride Vibes ชม Installation Art จากศิลปินดัง เตยยี่-ประภัสสร เจ้าของผลงาน Seat the Pride ฉลองความเท่าเทียม ตลอด 2 เดือนเต็มที่เซ็นทรัลเวิลด์ (มิ.ย. - ก.ค. 2566) และ เซ็นทรัล ชลบุรี ในคอนเซ็ปต์งาน "Mirror Mirror: Reflect Yourself” และพลาดไม่ได้ จุดเช็คอินสีรุ้ง Pride Photo landmark ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลทั่วประเทศ พบกับกิจกรรมพิเศษจาก กัลเดอร์มา (ประเทศไทย) ผู้นำนวัตกรรมด้านความงามที่ใหญ่ที่สุดของโลก ปีนี้มีกิจกรรมพิเศษ ที่จะให้ผู้ที่สนใจร่วมโชว์“This is my look” ของคุณเอง โดยผู้โชคดีจะได้รับรางวัล Beauty package มูลค่ารวมกว่า 1 ล้านบาท จาก 5 คลินิกความงามชั้นนำ  V Square Clinic, Nitipon Clinic, The Klinique, SLC Clinic, KKC Clinic สามารถเข้าร่วมกิจกรรมได้ที่ Facebook page, TikTok “Central Pattana” พร้อมชมขบวนพาเหรดที่เซ็นทรัลเวิลด์, เซ็นทรัล พัทยา, มารีน่า, ภูเก็ต, อุบล, และอุดร อยากให้ทุกคนรู้สึกมั่นใจ และเชื่อมั่นในตัวเองว่าสามารถดูดีและมีเสน่ห์  โดยไม่คำนึงถึงเพศหรือเชื้อชาติเป็นตัวเองอย่างแท้จริง ในทุกสถานการณ์ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสุขและความพึงพอใจในการเป็นตัวเองได้อย่างอิสระ   เตรียมพบปรากฏการณ์แลนด์มาร์กสีรุ้งสุดยิ่งใหญ่ กับงาน Thailand’s Pride Celebration 2023 “Pride For All” ตลอดเดือนมิถุนายน นี้ ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลทั่วประเทศ
[PR News] เสนา ตั้ง “สุพินท์ มีชูชีพ” ขึ้นแท่นซีอีโอบริษัท SEN X คนใหม่

[PR News] เสนา ตั้ง “สุพินท์ มีชูชีพ” ขึ้นแท่นซีอีโอบริษัท SEN X คนใหม่

บอร์ด SEN X ไฟเขียวแต่งตั้ง “สุพินท์ มีชูชีพ” CEO คนใหม่ ขึ้นแท่นขับเคลื่อนขยายทุกโอกาส ทางธุรกิจใหม่เจาะไลฟ์สไตล์ชีวิตที่เปลี่ยนตามเมกะเทรนด์โลก นำทัพเสริมความแข็งแกร่งสู่การเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนในอนาคต พร้อมชูจุดยืนบริษัท Real Estate Integrated Service Solution  มุ่งมั่นสร้างสรรค์พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และบริการมาตรฐานระดับโลก พร้อมสานต่อเจตนารมย์องค์กรใหญ่ “THE ESSENTIAL LIFELONG TRUSTED PARTNER” เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีในทุกช่วงชีวิตของลูกค้า   หลังจากบอร์ด บริษัท เสนา เจ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ SENAJ ได้มีมติจากคณะกรรมการบริษัทฯ ประกาศแต่งตั้ง คุณสุพินท์ มีชูชีพ ขึ้นเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่ และเมื่อวันที่ 17 พ.ค.2566 ที่ผ่านมา ทางคณะกรรมการบริษัท เสนา เจ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ได้แจ้งตลาดหลักทรัพย์ เปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท เซ็น เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SEN X อย่างเป็นทางการ ขณะที่ ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ ยังดำรงตำแหน่งกรรมการบริษัทและประธานคณะกรรมการบริหาร   โดยคุณสุพินท์ มีชูชีพ เข้าดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท เซ็น เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SEN X  ซึ่งมีผลตั้งแต่ วันที่ 12 พฤษภาคมที่ผ่านมาพร้อมเดินหน้าสานต่อวิสัยทัศน์องค์กรใหญ่เสนาดีเวลลอปเม้นท์ “THE ESSENTIAL LIFELONG TRUSTED PARTNER” เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีในทุกช่วงชีวิตของลูกค้า รวมถึงมุ่งสู่การดำเนินธุรกิจที่เติบโตอย่างยั่งยืน   ขณะเดียวกัน ภายใต้การบริหารงานโครงสร้างองค์กรใหม่โดย คุณสุพินท์ มีชูชีพ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัท เซ็น เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SEN X ได้วางวิชั่นองค์กรบนกรอบแนวคิด Real Estate Integrated Service Solution มุ่งมั่นสร้างสรรค์พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และบริการมาตรฐานระดับโลก เสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจหลักของ บมจ.เสนาดีเวลลอปเม้นท์ รวมถึงต่อยอดการสร้างโอกาสใหม่ทางธุรกิจเน้นสร้างDecarbonization Lifestyle เพื่อช่วยกันลดการปล่อยคาร์บอนให้กับโลก ธุรกิจที่ตอบโจทย์กับไลฟ์สไตล์ใหม่ในการใช้ชีวิตของคนยุคปัจจุบัน และการนำเทคโนโลยีเข้ามาเพิ่มความสะดวกสบายให้กับทุกคนตามเมกะเทรนด์ (Mega Trends) ของโลก เพื่อสร้างการเติบโตอย่างมั่งคงและยั่งยืนต่อไป สำหรับคุณสุพินท์ มีชูชีพ คร่ำหวอดในอสังหาริมทรัพย์มากว่า 30 ปี เคยดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร บริษัท โจนส์ แลง ลาซาลล์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ JLL บริษัทที่ปรึกษาและบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ระหว่างประเทศชั้นนำของโลกและรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีหน้าที่ดูแลการขับเคลื่อนกลยุทธ์หลักทางธุรกิจ นับตั้งแต่ตัวแทนซื้อขาย -ให้เช่า เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าในการลงทุนอย่างครบวงจร   ด้วยผลงานอันโดดเด่นบวกกับประสบการณ์ที่มีความเชี่ยวชาญในการบริหารและการขยายธุรกิจ คุณสุพินท์ยังเป็นที่ปรึกษาให้ความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับนวัตกรรมเพื่ออาคารประหยัดพลังงานตามหลักมาตรฐานอาคารเขียว (LEED & Green building) และนวัตกรรมด้านอสังหาริมทรัพย์และเทคโนโลยีต่าง ๆ มาปรับใช้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในธุรกิจต่างๆ รองรับการเปลี่ยนแปลงของโลกในปัจจุบัน และธุรกิจที่จะเกิดขึ้นในอนาคต อาทิ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัย (RESIDENTIAL PROPERTY) ธุรกิจเชิงพาณิชย์อื่น ๆ ทั้งอาคารสานักงานให้เช่า (Office Building),โรงแรม (Hotel),เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์,คลังสินค้า (Warehouse),อุตสาหกรรมโลจิสติกส์ รวมถึงศูนย์วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกเพื่อซัพพอร์ตลูกค้า เป็นต้น ด้วยประสบการณ์ที่ผ่านมาถือเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนให้การดำเนินธุรกิจใหม่ของ บริษัท เซ็น เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SEN X ให้เติบโตและแข็งแกร่งได้อย่างแน่นอน   นอกจากนี้ คุณสุพินท์ได้รับเชิญเป็นผู้บรรยายในงานสัมมนาและเสวนาเกี่ยวกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์บ่อยครั้งจากองค์กรชั้นนาต่างๆและสถาบันการศึกษา เคยได้รับหน้าที่เป็นประธานคณะกรรมการพิจารณาตัดสินรางวัล PropertyGuru Thailand Property Awards ในปี 2559 จนถึงปี 2565  และได้รับการคัดเลือกให้เข้ารับรางวัลบุคคลคุณภาพแห่งปี 2561 สาขาภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จัดโดยมูลนิธิสภาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย   ด้านวิชาการคุณสุพินท์ เคยได้รับหน้าที่เป็นกรรมการฝ่ายวิชาการให้กับสมาคมบริหารทรัพย์สินแห่งประเทศไทยในการจัดทำมาตรฐานอาชีพและคุณวุฒิวิชาชีพสาขาบริหารทรัพย์สินนับตั้งแต่ปี 2558 รวมถึงเป็นกรรมการที่ปรึกษาสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ไทย (TREBA) ในการประเมินสมรรถนะบุคคลในสาขาอาชีพนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ในปี 2561 เป็นต้น   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ ไม่ขายบ้าน-คอนโดอย่างเดียวแล้ว เปิด 10 ธุรกิจใหม่ 3กลุ่ม โฮลดิ้ง -[PR News] เสนาเจ จับมือ NEC พลิกโฉม “Smart Living Community”
[PR News] แอสเซท ไฟว์ กรุ๊ป โชว์งบไตรมาส 1/66 ทำกำไรเฉียด 87 ล้าน

[PR News] แอสเซท ไฟว์ กรุ๊ป โชว์งบไตรมาส 1/66 ทำกำไรเฉียด 87 ล้าน

แอสเซท ไฟว์ กรุ๊ป โชว์งบไตรมาส 1/66 ทำกำไร New High เฉียด 87 ลบ. โตกว่า 66% หลังโอนบ้านเฟสแรกโครงการ CINQ ROYAL Krungthep Kreetha นายศุภโชค ปัญจทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท ไฟว์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ A5 เปิดเผยว่า บริษัทฯประสบความสำเร็จในการดำเนินงานในไตรมาสแรกของปี 2566 จากภาพรวมของดัชนีความเชื่อผู้บริโภคที่ฟื้นตัวกลับมา หลังจากสถานการณ์ของโรคระบาดคลี่คลาย โดยบริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 86.79 ล้านบาท เติบโต 66.75% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 52.05 ล้านบาท  มีรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์จำนวน 337.01 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.41% จากไตรมาสที่ 1 ปี 2565 โดยมีรายได้มาจากการขายและโอนกรรมสิทธิ์โครงการพร้อมอยู่ทั้งหมด 4 โครงการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกิดจากการโอนกรรมสิทธิ์บ้านเฟสแรกของโครงการแซงค์ รอยัล กรุงเทพกรีฑา ที่เพิ่งเปิดตัวไปในช่วงต้นปี 2566 ซึ่งเป็นโครงการที่บริษัทได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดี อีกทั้ง ไตรมาสที่ 2 ปีนี้บริษัท เตรียมรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากโครงการ Tonson One Residence (ต้นสน วัน เรสซิเดนซ์) คอนโดมิเนียมระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ สูง 29 ชั้น ห้องพักอาศัยเพียง 80 ยูนิต บนทำเลที่ดีที่สุดใจกลางกรุงเทพมหานคร ในซอยต้นสน ย่านเพลินจิต และชิดลม ซึ่งปัจจุบันมียอดจองซื้อแล้วกว่า 87% ล่าสุดเตรียมพร้อมเปิดให้เข้าชมตึกจริง และโอนกรรมสิทธิ์รับรู้รายได้ในเร็วๆ นี้ โครงการ Tonson One Residence  เป็นคอนโด High Rise สูง 29 ชั้น ห้องพักอาศัยเพียง 80 ยูนิต พร้อมลิฟต์ส่วนตัวทุกห้อง บนที่ดินในซอยต้นสน ขนาดประมาณ 1 ไร่ เป็นที่ดินแบบ Freehold มีห้องพักอาศัย 4 รูปแบบ ตั้งแต่แบบ 1 ห้องนอน 2 ห้องนอน  3 ห้องนอน แบบ Penthouse และ Duplex Penthouse จัดเต็ม Facilities อาทิ ห้องรับรองและห้องประชุม, ห้องจัดเลี้ยงและครัวอเนกประสงค์, สระว่ายน้ำระบบน้ำอุ่น, Jacuzzi, ฟิตเนส, ที่จอดรถอัตโนมัติ ทั้งยังโดดเด่นด้านทำเลใกล้ศูนย์การค้าชั้นนำ โรงเรียน มหาวิทยาลัย โรงพยาบาล สวนสาธารณะ เป็นต้น นายศุภโชค กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการฟื้นตัวของภาพรวมเศรษฐกิจ ในปี 2566 บริษัทฯวางกลยุทธ์เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้พอร์ตโฟลิโอ (Portfolio) โดยมีแผนเปิดโครงการใหม่ 4 โครงการ ภายในปี 2567 มูลค่าโครงการรวม 8,400 ล้านบาท  ซึ่งล่าสุดบริษัทฯ ได้รับการสนับสนุนสินเชื่อโครงการจาก ธนาคารเกียรตินาคินภัทร วงเงิน 923 ล้านบาท สำหรับใช้ในการก่อสร้างบ้านเดี่ยวโครงการใหม่ย่านราชพฤกษ์ มูลค่าโครงการ 1,700 ล้านบาท คาดเตรียมเปิดตัวปลายปี 2566 นี้   โครงการดังกล่าวจะถูกพัฒนาภายใต้แบรนด์ "วนา" ต่อยอดความสำเร็จของการพัฒนาโครงการ วนา เรสซิเดนซ์ พระราม9 - ศรีนครินทร์ บ้านเดี่ยว 3 ชั้นระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ ที่ปิดโครงการไปในปีที่ผ่านมา ซึ่งปัจจุบันที่ดินดังกล่าวอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว การที่บริษัทฯได้รับอนุมัติสินเชื่อโครงการครั้งนี้สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพของบริษัทฯ จากสถาบันการเงินดังกล่าว ซึ่งบริษัทฯจะนำมาใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนเพื่อรองรับการพัฒนาโครงการใหม่ต่อไป ต่อเนื่องในปี 2567 เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่อีก 3 โครงการ มูลค่าโครงการ 6,700 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการแบรนด์ "วนา" เป็นโครงการที่ 3 มูลค่าโครงการ 3,400 ล้านบาท โครงการแบรนด์ "แซงค์ รอยัล" โครงการที่ 2 มูลค่าโครงการ 1,600 ล้านบาท และโครงการ "รธานี" ซึ่งเป็นการสร้างแบรนด์ใหม่ขึ้นมา ตั้งอยู่อำเภอบ้านช้าง จังหวัดอุดรธานี มูลค่าโครงการ 1,700 ล้านบาท ทำให้ในปี 2566-2567 บริษัทฯ จะมีโครงการใหม่รวมมูลค่ากว่า 8,400 ล้านบาท โดยทั้ง 3 โครงการมีที่ดินเตรียมพร้อมพัฒนาแล้วทั้งหมด   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -แอสเซท ไฟว์ เปิดบ้านตัวอย่าง โครงการ วนา เรสซิเดนซ์ บ้านเดี่ยวสุดลักซ์ชัวรี่ ตอกย้ำกลุ่มนิชมาร์เก็ตระดับบน โกยยอดขายรวมกว่า 500 ล้านบาท
[PR News] ซีทรูวอลล์  ปลุกอุณหภูมิสถาปนิก’66  นวัตกรรมสระว่ายน้ำแนวอควาเรียม

[PR News] ซีทรูวอลล์ ปลุกอุณหภูมิสถาปนิก’66 นวัตกรรมสระว่ายน้ำแนวอควาเรียม

ซีทรูวอลล์ เจ.ดี.พูลส์สร้างความร้อนแรงงานสถาปนิก’66 โชว์ ซีทรูวอลล์ นวัตกรรมสระว่ายน้ำสร้างประสบการณ์ใหม่แนวอควาเลียม  มั่นใจช่วยยกระดับคุณค่าและมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ทุกประเภท   นายธนูศักดิ์ พึ่งเดช  ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการบริษัท เจ.ดี.พูลส์ จำกัด  ผู้ผลิตและจำหน่ายสระว่ายน้ำคุณภาพเจ.ดี.พูลส์ (J.D.Pools) เปิดเผยว่า ​ งานสถาปนิก’66 ว่า  บรรยากาศในงานดูคึกคักกว่า 2 ปีที่ผ่านมา  เพราะปีนี้มีผู้ประกอบการจากต่างประเทศนำผลิตภัณฑ์มาร่วมออกบูธจำนวนมาก  ขณะที่ผู้ที่เข้ามาชมงานหรือสนใจมาศึกษาตลาดก็พบว่ามีชาวต่างประเทศจำนวนมากเช่นกันโดยเฉพาะชาวจีน  จึงถือเป็นข้อดีเพราะงานสถาปนิกเป็นงานที่รวบรวมวัสดุก่อสร้าง ตกแต่ง จากทั่วประเทศและทั่วโลกเข้ามาไว้ในจุดเดียวกัน  สมกับสโลแกนที่ว่า “ตำถาด รสนัว”   ขณะนี้บรรยากาศเริ่มเข้าสู่โหมดของการก่อสร้างหลังจากที่โควิดทำให้การก่อสร้างชะลอตัวไประยะหนึ่ง  ตอนนี้การก่อสร้างกลับมาแล้วทั่วประเทศโดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว  รวมถึงชาวต่างชาติที่มองหาบ้านหลังที่สอง  และแหล่งลงทุนใหม่ที่ปลอดภัยจากสงครามหรือเป็นทางเลือกใหม่ที่เหมาะสมมีความมั่นคงสำหรับการทำธุรกิจในระยะยาว   ประธานเจ.ดี.พูลส์ กล่าวต่อว่า  งานสถาปนิกคือการบอกเล่านวัตกรรมใหม่ซึ่งเจ.ดี.พูลส์ได้ทำมาตลอด25ปี  มีเรื่องราวของเทคโนโลยีใหม่ๆมานำเสนอจึงประสบความสำเร็จมากกับการใช้เวทีของงานสถาปนิก  ในปีนี้เจ.ดี.พูลส์ได้สร้างนวัตกรรมใหม่ที่ตอบโจทย์บรรยากาศของบ้านพักอาศัยราคาแพงหรือบ้านที่มีความหรูหรา  รวมไปถึงบ้านที่ต้องการวิวพันล้านด้วยซีทรูวอลล์ ( C2Wall : See Through Wall ) นวัตกรรมสระว่ายน้ำรุ่นใหม่ของเจ.ดี.พูลส์ ที่ทำให้สระว่ายน้ำเป็นเหมือนอควาเรียมในบ้าน   ซีทรูวอลล์เป็นการออกแบบที่สมบูรณ์แบบ  เป็นการพัฒนาร่วมกันระหว่างทีมงานของเจ.ดี.พูลส์กับมืออาชีพด้านอคาเรียม  สร้างประสบการณ์ใหม่ด้วยผนังอะคริลิคคุณภาพสูงที่มีความแข็งแรง ทนทานต่อแรงงานดันน้ำ  สามารถมองเห็นในตัวสระ เพิ่มความโดดเด่น ทันสมัย สวยงาม  มีประโยชน์ในการเฝ้าระวังเพื่อความปลอดภัย  สามารถประยุกต์ใช้ได้กับสระทุกรูปแบบทั้งไอพาแนลไลเนอร์และคอมโพสิตพูลส์  ออกแบบและติดตั้งโดยวิศวกรผู้เชี่ยวชาญ   เรามีความตั้งใจในการสร้างมิติใหม่ของสระว่ายน้ำ  เปิดมุมมองใหม่  เปิดความมั่นใจใหม่  นวัตกรรมซีทรูวอลล์จะเป็นการยกระดับสระว่ายน้ำให้เป็นตัวช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับที่อสังหาริมทรัพย์ทุกประเภททั้งบ้านอยู่อาศัย วิลล่า รีสอร์ท คอนโดมิเนียมและโรงแรม  เพราะเป็นการยกระดับมาตรฐานใหม่ ทั้งด้านคุณค่า และมูลค่า    สำหรับเรื่องที่เจ.ดี.พูลส์ให้ความสำคัญและไม่เคยละเลยคือคุณภาพของน้ำในสระของเจ.ดี.พูลส์   เจ.ดี.พูลส์เริ่มพัฒนาจากการใช้คลอรีนฆ่าเชื้อโรค  ต่อมาได้เป็นผู้นำในการนำระบบเกลือเข้ามาเป็นรายแรกและจำหน่ายมายาวนานหลายปี   ถึงปัจจุบันได้เลิกใช้เกลือโดยเปลี่ยนมาใช้แร่ธาตุจากทะเลเดดซี ประเทศจอร์แดนและอิสราเอล  นำมาพัฒนาร่วมกับเครื่องมือให้เป็นน้ำแร่คุณภาพดี  ช่วยบำรุงผิวพรรณให้กับผู้ใช้สระว่ายน้ำให้นุ่มเนียนขึ้นด้วยออยล์ที่ออกมาจากแร่ธาตุ   ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ  บำบัดความตึงเครียด  ทำให้สดชื่นมีความสุขในขณะว่ายน้ำ   งานสถาปนิก’66 มีกำหนดจัดตั้งแต่วันที่ 25 -30 เมษายน 2566 ที่ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี เวลา 10.00 – 20.00 น. ผู้สนใจสามารถแวะชมสระเจ.ดี.พูลส์ ได้ที่โซน Q39 พร้อมโปรโมชั่น J.D.Pools 6 Days Summer Sale  จองสระในงานทุกรุ่น รับฟรีเครื่องทำน้ำแร่  J.D.Mineral Chlorinator และ แร่บริสุทธิ์จากทะเลสาปเดดซีในการบำบัดน้ำครั้งแรก พร้อมแร่เดดซีราคาพิเศษเป็นเวลา 1 ปี   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เจ.ดี.พูลส์ ชู 3 กลยุทธ์สู้โควิด-19 ปั้นรายได้ 1,000 ล้าน
[PR News] NVD กลับมาใช้ชื่อ “เนอวานา ดีเวลลอปเม้นท์” พร้อมเปิด 9 โครงการใหม่

[PR News] NVD กลับมาใช้ชื่อ “เนอวานา ดีเวลลอปเม้นท์” พร้อมเปิด 9 โครงการใหม่

เนอวานา ดีเวลลอปเม้นท์ ถือหุ้น เนอวานา ไดอิ (NVD) เห็นชอบ เปลี่ยนชื่อบริษัท กลับมาใช้ชื่อเดิม  “เนอวานา ดีเวลลอปเม้นท์” ก่อนเข้าตลาด พร้อมอนุมัติจ่ายเงินปันผลงวดปี 2565 เป็นเงินสดในอัตราหุ้นละ 0.06 บาทต่อหุ้น รวมมูลค่าทั้งสิ้น 93.19 ล้าน ดีเดย์วันที่ 9 พฤษภาคมนี้  เดินหน้ารุกขยายธุรกิจเต็มพิกัด เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ 9 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 21,100 ล้าน ตั้งเป้ายอดขายรวม 8,500 ล้าน ดันรายได้รวมแตะ 4,500 ล้าน โต 75%จากปีก่อน   นายศรศักดิ์ สมวัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เนอวานา ไดอิ จำกัด (มหาชน) (NVD) เปิดเผยว่า ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 มีมติอนุมัติให้เปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น บริษัท เนอวานา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ “Nirvana Development Public Company Limited” รวมทั้งอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลจากกำไรสุทธิของการดำเนินงานปี 2565 ระหว่างวันที่ 1 มกราคม ถึง 31 ธันวาคม 2565 และจากกำไรสะสมในอัตราหุ้นละ 0.06 บาท รวมมูลค่าทั้งสิ้น 93.19 ล้านบาท  บริษัทฯ กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date) วันที่ 10 มีนาคม 2566 และกำหนดจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 9 พฤษภาคม 2566 ภาพรวมการดำเนินธุรกิจใน ปี 2566 จะเป็นปีแห่งการรุกขยายธุรกิจเต็มกำลัง โดยเชื่อว่าตลาดที่อยู่อาศัยระดับบนยังคงมีความต้องการอย่างต่อเนื่องและมีศักยภาพในการเติบโตหลังวิกฤติโควิด-19 บริษัท มีความพร้อมเปิดตัวโครงการใหม่รวม 9 โครงการ ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียม มูลค่ารวมกว่า 21,100 ล้านบาท  โดยตั้งเป้ายอดขายรวม 8,500 ล้านบาท ซึ่งเติบโตอย่างก้าวกระโดดกว่า 160% จากปีก่อน และตั้งเป้ารายได้อยู่ที่ 4,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 75%   โครงการที่อยู่อาศัยที่จะเปิดตัวใหม่ทั้ง 9 แห่งนี้ เป็นโครงการในระดับลักชัวรี (Luxury Segment) มีแบรนด์ตอบสนองความต้องการของผู้ซื้อบ้านในหลากหลายเซกเม้นท์ ตั้งแต่ อัลตร้าลักชัวรี (Ultra-luxury) ซุปเปอร์ ลักชัวรี (Super Luxury) โมเดิร์น ลักชัวรี (Modern Luxury) โมเดิร์น ไฮเอนด์ (Modern High-end) ไปจนถึง โมเดิร์น ไฮเอนด์ ในราคาที่จับต้องได้ (Affordable Modern High-end)   เนอวานา ดีเวลลอปเม้นท์ ยังคงมุ่งเน้นพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในย่านกรุงเทพกรีฑาเป็นหลัก เนื่องจากเป็นทำเลที่อยู่อาศัยในระดับบนที่มีการเติบโตอย่างสูง ซึ่งถือเป็นทำเลศักยภาพของการอยู่อาศัย สามารถเชื่อมต่อกับถนนหลักเข้าสู่พื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นในได้หลายเส้นทาง นอกจากนี้ยังอยู่ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ โรงเรียนนานาชาติ โรงพยาบาล ห้างสรรพสินค้าชั้นนำและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ   โดยไตรมาส 2 นี้ เนอวานา ดีเวลลอปเม้นท์ เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่อีก 4 โครงการ คือ  โครงการเนอวานา คอลเลคชั่น กรุงเทพกรีฑา (Nirvana Collection Krungthep Kreetha) บ้านเดี่ยวระดับ ultra luxury ราคา 80-150 ล้านบาท บนทำเล prime ติดถนนกรุงเทพกรีฑา โครงการเนอวานา แอปโซลูท กรุงเทพกรีฑา (Nirvana Absolute Krungthep Kreetha) บ้านเดี่ยวระดับ value luxury ราคา 15-25 ล้านบาท คอนโดมิเนียม THE MOST รัตนาธิเบศร์ คอนโดดับเบิ้ลสเปซ ใกล้ห้างเซ็นทรัลและรถไฟ้ฟ้า เริ่ม 1.79 ล้าน และสุดท้ายกับโครงการเนอวานา ดีไฟน์ กรุงเทพกรีฑา (Nirvana Define Krungthep Kreetha)    พร้อมเผยแลนด์มาร์คแห่งใหม่ เนอวานา ทาวน์ชิพ (Nirvana Township) เมืองแห่งสังคมคุณภาพบนถนนกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ พร้อมกับไลฟ์สไตล์คอมมูนิตี้ มอลล์ โดยใช้ชื่อว่า เนอวานา พอร์ช (Nirvana PORCH) จากคอนเซ็ปต์การพัฒนาโครงการที่จะถูกรังสรรค์ให้เป็นจุดศูนย์รวมความสะดวกสบายอย่างครบครัน ไลฟ์สไตล์คอมมูนิตี้มอลล์แห่งนี้จะช่วยเติมเต็มในเรื่องความสะดวกสบายสำหรับการอยู่อาศัยได้อย่างครบวงจร   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เนอวานา กลับมาลุยตลาดบ้าน-คอนโดลักชัวรี่ งัดแลนด์แบงก์ปั้นโปรเจ็กต์ 40,000 ล้าน
[PR News]โฟกัส มีเดีย​ ลุยสื่อโฆษณาในลิฟท์ออฟฟิศ-คอนโด  เดินหน้าสร้างกำไร ก่อนเข้าตลาดหลักทรัพย์

[PR News]โฟกัส มีเดีย​ ลุยสื่อโฆษณาในลิฟท์ออฟฟิศ-คอนโด เดินหน้าสร้างกำไร ก่อนเข้าตลาดหลักทรัพย์

โฟกัส มีเดีย เดินหน้ารุกตลาดโฆษณาในลิฟท์ทั้งออฟฟิศ-คอนโด  เผยผลงานไตรมาสแรกปีนี้ก้าวกระโดดมั่นใจถึงปลายปีกวาดยอด 250 ล้าน  วางเป้าหมายทำกำไรต่อเนื่อง ปูทางเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์   นายเลมอน ลี รองประธานฝ่ายขาย บริษัท โฟกัส มีเดีย (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำด้านสื่อโฆษณาในและนอกลิฟท์ (Lift Advertising / Elevator Media) อาคารสำนักงานและคอนโดมิเนียม  เปิดเผยว่า  ตลาดที่ประเทศไทยกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว  นับจากเดือนกรกฎาคม 2565 ที่มีสื่อโฆษณา 3,000 จอ ถึงปี 2566 ไตรมาสแรก จำนวนสื่อทะลุเกิน 10,000 จอ  เป็นผลจากการขยายทีมงานจากแค่ 20 คน เป็นประมาณ100 คนทำให้บุกตลาดได้มากขึ้น   ปี 2565 มียอดขายทั้งปี 20 ล้านบาท  ปี 2566 ไตรมาสแรกยอดขายทะลุ 20 ล้านบาทไปแล้ว  จึงตั้งเป้าหมายทั้งปีไว้ที่ 250 ล้านบาท ซึ่งค่อนข้างมั่นใจว่าจะทำได้เมื่อขยายทีมงานได้เพียงพอ  และเชื่อในBusiness Model จากประสบการณ์ 20 ปีในจีน โควิดไม่มีผลต่อตลาดมากนักเพราะ INDOOR MEDIA ไม่เหมือน OUTDOOR MEDIA แม้ช่วงล็อคดาวน์ยังไงก็ต้องใช้ลิฟท์  ความจริงเป็นโอกาสของINDOOR MEDIA ด้วยซ้ำ  มีผลให้ตลาดเติบโตในช่วงนี้อย่างไรก็ตาม ​ตอนนี้บุคลากรยังไม่พอเพียงสำหรับการเจาะตลาดและการติดตั้งจอในช่วงไตรมาสสองจึงต้องปรับจังหวะให้เหมาะสม  เป้าหมายถึงสิ้นปีคือ 15,000 – 18,000 จอ  โดยจะมุ่งเป้าอาคารสำนักงานขนาดใหญ่  ไฮเปอร์มาร์เก็ตของค่ายต่างๆทั่วประเทศ   หัวเมืองสำคัญอาทิจังหวัดชลบุรีที่มีอยู่แล้ว 700 จอ  จะขยายตลาดให้ถึง 5,000 จอ  ส่วนในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ก็ยังมีโอกาสอีกมากเพราะประเมินว่ามี INDOOR MEDIA ไม่ถึง 50,000 จอ   ทั้งนี้ จอโฆษณาเดิมมีขนาด 21 นิ้ว  ตั้งแต่ปี 2565 ได้เปลี่ยนให้เด่นชัดขึ้นเป็นขนาด 25-32 นิ้ว ฉายวิดีโอได้  จอโฆษณานี้มีทั้งในลิฟท์ นอกลิฟท์ และลิฟท์ที่จอดรถ   นายเลมอน ลี กล่าวอีกว่า 4 ปัจจัยสนับสนุนการตลาดของโฆษณาในลิฟท์  ได้แก่  1.กลุ่มผู้บริโภคที่มีรายได้ต่อเดือนไม่ต่ำกว่า 20,000 บาท และเป็นกลุ่มคนทำงานในเมืองที่อาศัยอยู่ในคอนโด  คือผู้ใช้ลิฟท์ที่มีโอกาสเห็นจอโฆษณามากที่สุด  2. มีเส้นทางการเดินทางที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในชีวิตประจำวันที่ต้องใช้ลิฟท์ในคอนโด​ และอาคารสำนักงาน  3. ลิฟท์ คือ พื้นที่ปิด  คนเข้าลิฟท์ไม่รู้จักกัน  มีแต่จอโฆษณา ความสนใจอยู่ที่จอเท่ากับถูกบังคับให้ดู 4-8 ครั้งต่อวัน  และ 4.ในพื้นที่ปิด ด้วยความถี่ที่สูงทำให้เกิดประสิทธิภาพต่อการรับรู้ได้เป็นอย่างดี ในชีวิตประจำวันแม้สายตาจะถูกดึงดูดจากป้ายโฆษณาและโทรศัพท์มือถือ  แต่ก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วไม่เป็นที่จดจำ  ในขณะที่ลิฟท์คือสิ่งที่ต้องเผชิญตั้งแต่เริ่มงานจนเลิกงาน  สำหรับ ตลาดโฆษณาในไทยมีมูลค่าประมาณ 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี หรือประมาณ 100,000 ล้านบาท​ แบ่งเป็นสื่อโทรทัศน์ 50%  สื่ออินเตอร์เน็ท 20%   สิ่งพิมพ์และโรงภาพยนตร์ 10% สื่อ Out of Home (OOH) 10-12%   ซึ่งงานของโฟกัส มีเดียอยู่ในกลุ่ม OOH  โดยตลาดโฆษณาของไทยวันนี้เหมือนกับตลาดจีนเมื่อ 10-15 ปีก่อน   นายเลมอน กล่าวในตอนท้ายว่า  เป้าหมายของบริษัทคือต้องการแชร์ส่วนแบ่งการตลาด 2-3%  เมื่อต้นปีซีอีโอของโฟกัส มีเดียจากประเทศจีนมาประชุมกับทีมงานไทย  มีการคุยกันถึงการเตรียมตัวเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทย  นั่นหมายถึงต้องทำกำไรต่อเนื่อง 3 ปี และต้องมียุทธศาสตร์ในระยะยาวซึ่งบริษัทกำลังหาผู้ร่วมงานด้านการเก็บและวิจัยข้อมูลมาช่วยสร้างความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น   อนึ่ง บริษัท โฟกัส มีเดีย(ประเทศไทย) จำกัด  อยู่ในเครือของบริษัท โฟกัส มีเดีย ประเทศจีน  ซึ่งบริษัทแม่ที่จีนนั้นมีส่วนแบ่งการตลาดในจีนเกินกว่า 1 แสนล้านหยวน(5 แสนล้านบาท)  มียอดขาย 16,000 ล้านหยวนต่อปี  ปี2548 จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แนสแด็กที่สหรัฐอเมริกา  ปี2549 ติดท็อป100ของแนสแด็ก  ปี2558 ถอนจากตลาดแนสแด็กไปจดทะเบียนที่ตลาดหลักทรัพย์เซินเจิ้น  สาธารณรัฐประชาชนจีน   ปี 2560  โฟกัส มีเดีย เริ่มขยายออกต่างประเทศในแถบเอเชียที่เกาหลีใต้ สิงคโปร์ อินโดนีเซีย เวียดนาม มาเลเซีย และไทย  ปี 2564 สาขาเกาหลีใต้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์  เป็นจุดเปลี่ยนให้บริษัทแม่ที่จีนให้ความสำคัญต่อตลาดต่างประเทศมากขึ้นทั้งด้านเงินทุนและบุคลากร  โดยเฉพาะในสิงคโปร์และไทยที่มีตลาดหลักทรัพย์   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -5 โซลูชั่น “S-E-N-S-E” การออกแบบการพัฒนาเมือง กับวิถีชีวิต The Next Normal
[PR News] สีนิปปอนเพนต์ อัดแคมเปญ “เหนือ SHIELD ยังมี BOND – WEATHERBOND”

[PR News] สีนิปปอนเพนต์ อัดแคมเปญ “เหนือ SHIELD ยังมี BOND – WEATHERBOND”

สีนิปปอนเพนต์  สีนิปปอนเพนต์ รุกตลาดสีไตรมาส 2 ส่งเรือธง “นิปปอนเพนต์ เวเธอร์บอนด์” บุกตลาดสีทาอาคารภายนอกระดับอัลตร้าพรีเมียม พร้อมแคมเปญเด็ด “เหนือ SHIELD ยังมี BOND - WEATHERBOND” ชูจุดขายความทนทานนาน 15 ปี+ ตอบรับทุกกลุ่มลูกค้า จัดเต็มกลยุทธ์ O2O มั่นใจดันยอดขายสิ้นปีโตขั้นต่ำ 25%   นายวัชระ ศิริฤทธิชัย ผู้จัดการทั่วไป บริษัท นิปปอนเพนต์ เดคโคเรทีฟ โคทติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด  ผู้ผลิตและจัดจำหน่าย สีนิปปอนเพนต์ ในประเทศไทย ในฐานะผู้ผลิตสีรายใหญ่อันดับ 1 ของเอเชีย และอันดับ 4 ของโลกจากประเทศญี่ปุ่น เปิดเผยว่า เพื่อรองรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่กลับมาขยายตัวตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2565 ที่ผ่านมา อีกทั้งการขยายตัวต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี 2566 ทำให้มีอุปสงค์ในตลาดเพิ่มสูงขึ้น ผนวกกับการที่ผู้บริโภคหันมาปรับปรุงที่อยู่อาศัย เพื่อเตรียมต้อนรับเทศกาลสงกรานต์และความสวยงามของบ้านในระยะยาว ทำให้นิปปอนเพนต์มองเห็นถึงโอกาสในการทำตลาดสีทาภายนอก บริษัทจึงรุกทำตลาดด้วยผลิตภัณฑ์ สีนิปปอนเพนต์ เวเธอร์บอนด์ (NIPPON PAINT WEATHERBOND) สีน้ำทาอาคารภายนอก เกรดอัลตร้าพรีเมียม หนึ่งเดียวที่พร้อมมอบงานสีคุณภาพสูงสุด ทนทาน สวยงาม ด้วยสุดยอด “เทคโนโลยีสี WEATHERBOND” เอกสิทธิ์เฉพาะจากประเทศญี่ปุ่น กับ 4 คุณสมบัติตอบโจทย์ทุกความต้องการ ได้แก่ เหนือกาลเวลา 15 ปี + เหนือการปกปิดรอยแตกลายงา เหนือการปกป้องสภาวะอากาศ เหนือการเช็ดล้างขัดถู คุณสมบัติดังกล่าวเกิดจากการที่สี NIPPON PAINT WEATHERBOND ถูกผลิตและพัฒนามาจากกาวอะคริลิกคุณภาพสูงที่มีการเรียงตัวของพันธะแน่นเป็นพิเศษ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของชั้นฟิล์มสี ตั้งแต่พื้นผิวภายนอกจนถึงโครงสร้างภายในฟิล์มสี ทำให้ฟิล์มสียึดเกาะดีเยี่ยม สวยเหมือนใหม่เสมอ หมดปัญหาสีซีดจาง รอยแตกลายงา ลอกล่อน บวมพอง เป็นฝุ่นชอล์ก พร้อมให้บ้านสวยทนนานกว่า 15 ปี ป้องกันการเกิดคราบด่าง-คราบเกลือ ป้องกันน้ำและความชื้นซึมเข้าสู่ผนัง อีกทั้งยังสะท้อนรังสีแสงอาทิตย์สูงถึง 94% ทำให้ลดอุณหภูมิได้ถึง 12 องศาเซลเซียส และปลอดภัยจากสารปรอทและตะกั่ว   พร้อมกันนี้บริษัทได้จัดแคมเปญ “เหนือ SHIELD ยังมี BOND – WEATHERBOND” แคมเปญเชิงอบอุ่นที่เริ่มจากการศึกษาเพื่อทำความเข้าใจถึงความต้องการอย่างแท้จริงของผู้ที่รักบ้าน ผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์สี NIPPON PAINT WEATHERBOND อย่างแตกต่างด้วยคุณค่าทางอารมณ์ (Emotional Value) ถ่ายทอดผ่านภาพยนตร์โฆษณาหลัก ชุด “ความทรงจำสีไม่จาง” พร้อมแฮชแทก #ฟีลเปลี่ยนสีไม่เปลี่ยน บอกเล่าเรื่องราวของเด็กชายและความทรงจำเกี่ยวกับสีบ้านตั้งแต่ครั้งยังเยาว์ จนกระทั่งเติบโตเป็นเด็กหนุ่มวัยรุ่น ผู้ผ่านเรื่องราวและความรู้สึกมากมายเกี่ยวกับสีบ้านมาตลอดระยะเวลา 15 ปี ถึงแม้ความรู้สึกและสภาพแวดล้อมของตัวบ้านจะเปลี่ยนไปมากเพียงใด แต่สีบ้านที่ทาด้วย NIPPON PAINT WEATHERBOND ก็ยังคงอยู่คู่กับความรู้สึก สวยงามตลอด ไม่เคยเปลี่ยน   โดยภาพยนตร์โฆษณาชุดดังกล่าวสร้างขึ้นเพื่อ ตอกย้ำถึงคุณสมบัติความทนทานเป็นเลิศ สวยงามเหนือกาลเวลากว่า 15 ปีอย่างเต็มประสิทธิภาพและไม่ก่อเกิดปัญหาสีกวนใจในภายหลัง ทั้งนี้แคมเปญยังมาพร้อมแนวคิดการทำการตลาด O2O หรือ ONLINE to OFFLINE เชิงรุก เริ่มต้นด้วยการปลุกชีพตึกร้างคุ้นตา ที่เป็นเสมือนไอคอนหนึ่งแห่งย่านรัชดา - ลาดพร้าว ด้วยครีเอทีฟบิลบอร์ดซิลูเอท (Silhouette) รูปบ้านสีแดงสดกับจอแอลอีดีบอกเล่าภาพเคลื่อนไหวอย่างเข้าใจง่าย ของเด็กชายในแต่ละช่วงอายุที่เชื่อมโยงกับภาพยนตร์โฆษณาชุดความทรงจำสีไม่จาง ก่อนที่แคมเปญจะเพิ่มการสื่อสารไปยังกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้นด้วยมีเดียอีกหลายประเภทที่น่าสนใจและดึงดูด   อีกทั้งแบรนด์ยังได้ยกระดับการเข้าถึงของแคมเปญและผลิตภัณฑ์ด้วยการสื่อสารเฉพาะกลุ่มความสนใจ (Customized message) พร้อมเพิ่มสีสันของแคมเปญด้วยการทำ Localized marketing ผ่าน KOLs ผู้เป็นที่รู้จักและอาศัยอยู่ในแต่ละภูมิภาคของประเทศ ตบท้ายแคมเปญด้วยโปรโมชั่นที่ตอบโจทย์ความต้องการทั้งผู้ที่ต้องการซื้อผ่านออนไลน์หรือจุดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมทั่วประเทศ   สี NIPPON PAINT WEATHERBOND จึงเหมาะกับกลุ่มผู้บริโภคที่กำลังมองหาสีทาบ้านคุณภาพสูง ทนทาน สวยงาม และผู้ประกอบการทั้งช่างสี ดีไซเนอร์ เจ้าของโครงการ ฯลฯ เพื่อให้ได้งานที่สวยงาม ประหยัดเวลา ประหยัดค่าแรง และค่าใช้จ่ายในการให้บริการหลังการขาย เรียกว่าตอบโจทย์อย่างแท้จริง ทำให้มั่นใจว่า NIPPON PAINT WEATHERBOND เป็นสีเรือธงที่ผลักดันให้นิปปอนเพนต์ ในปีนี้มีการเติบโต 25% ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ด้านนายณรงค์ฤทธิ์ มาลัยนวล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด  กล่าวว่า กลยุทธ์การทำตลาดของ สีนิปปอนเพนต์ ยังคงเน้นเดินหน้าตอกย้ำความเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสีทาบ้านและอาคาร หรือ The Coatings Expert ผ่าน Inspired by you ภายใต้แนวคิด “3C” ได้แก่ Customer Centric  Customized Solution และ Concrete Innovationโดยการทำตลาดสี “NIPPON PAINT WEATHERBOND” ครั้งนี้ เริ่มต้นด้วยการนำแนวคิด Customer Centric  ผ่านการทำการศึกษาความต้องการของผู้บริโภค 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่ม Generation X และ กลุ่ม Generation Y   โดยพบว่า ส่วนใหญ่ของ Generation ทั้ง 2 กลุ่ม มองหาสีทาภายนอกที่สวยงามและทนทาน บริษัทจึงเริ่มวางแผนกลยุทธ์การตลาดและการสื่อสารที่สอดคล้องและตอบโจทย์ ผ่านแนวคิด Customized Solution เพื่อสร้างความมั่นใจว่าผลิตภัณฑ์จะครอบคลุมทุกความต้องการ ซึ่งเราพัฒนาด้วย Concrete Innovation จนได้เป็นสุดยอดเทคโนโลยีสีเวเธอร์บอนด์   ทั้งนี้ ตลาดสีทาบ้านและอาคารในปี 2566 นี้คาดว่าจะเติบโตราว 10% ส่งผลให้มีมูลค่ารวมเพิ่มขึ้นเป็น 30,000 ล้านบาท  เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีมูลค่ารวมกว่า 27,000 ล้านบาท เติบโต 6% แบ่งออกเป็น ตลาดสีทาบ้านและอาคารที่จำหน่ายผ่านช่องทาง Modern Trade  30% มีการเติบโต 12-15% ช่องทาง Traditional Trade 50% มีการเติบโตแบบทรงตัว และช่องทาง Direct Sale 20% มีการเติบโต 8-10% ขณะที่ในปีนี้นิปปอนเพนต์ตั้งเป้าหมายที่จะเติบโต 25 %   สนใจดูรายละเอียดแคมเปญ “เหนือ SHIELD ยังมี BOND - WEATHERBOND” พร้อมภาพยนตร์โฆษณาชุด “ความทรงจำสีไม่จาง” ได้ที่ Facebook: Nippon Paint Decorative และ ช่อง Youtube: Nippon Paint Decorative พร้อมกับโปรโมชั่นพิเศษมากมาย  ผ่านร้านค้าชั้นนำ Modern Trade   และร้านตัวแทนจำหน่าย สีนิปปอนเพนต์ ทั่วประเทศ ตั้งแต่วันนี้ถึง 30 มิถุนายน 2566   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -นิปปอนเพนต์ เร่งแก้ 2 โจทย์ธุรกิจ ปูทางสู่เบอร์ 1 ตลาดสี -[PR News] นิปปอนเพนต์ จัดกิจกรรม สีสร้างสุข ลงพื้นที่ “ชุมชนเบญจสุข” 
[PR News] เพอร์เฟค เดินหน้าเปิด 4 โครงการใหม่ในไตรมาส 2

[PR News] เพอร์เฟค เดินหน้าเปิด 4 โครงการใหม่ในไตรมาส 2

พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค เผยไตรมาสแรกเปิดโครงการใหม่ “มาร์เก็ต อเวนิว” ได้รับการตอบรับดี ทำยอดขายได้กว่า 150% เตรียมลุยต่อไตรมาส 2 ด้วยการเปิดเพิ่มอีก 4 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 4,950 ล้านบาท และ เปิดเฟสใหม่ในอีก 2 โครงการ ครอบคลุมลูกค้าทุกระดับ ขณะที่โครงการร่วมทุนมียอดขายดีต่อเนื่อง คาดทำได้ตามเป้าที่วางไว้ พร้อมเพิ่มความแข็งแกร่งทางการเงิน ลดหนี้และทำกำไร จากการขายที่ดิน มูลค่า 830 ล้านบาท   นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาสแรกของปีถือว่ามีสัญญาณที่ดี จากการเปิดตัวโครงการใหม่  ได้แก่ “มาร์เก็ต อเวนิว แจ้งวัฒนะ–ราชพฤกษ์” ย่านธุรกิจแห่งใหม่บนทำเลแจ้งวัฒนะ–ราชพฤกษ์ ที่ได้รับการตอบรับอย่างดีในการเปิดจองรอบวีไอพี สามารถทำยอดขายได้เกินกว่า 150% จากเป้าที่วางไว้ โดยไตรมาสแรกบริษัทมียอดขาย 3,200 ล้านบาท ใกล้เคียงเป้าที่วางไว้ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มสินค้าบ้านระดับกลางถึงบน ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าที่บริษัทเน้นมากขึ้นในปีนี้ และตลาดบ้านระดับบนโดยเฉพาะกลุ่มบ้านระดับไฮเอนด์   ในไตรมาส 2 บริษัทมีแผนเปิดโครงการใหม่เพิ่มอีก 4 โครงการ รวมมูลค่า 4,950 ล้านบาท ครอบคลุมลูกค้าทุกกลุ่ม ทั้งโครงการ “เพอร์เฟค พาร์ค” บ้านเดี่ยวใน 2 ทำเล คือ แจ้งวัฒนะ-ราชพฤกษ์ และ บางใหญ่ มูลค่ารวม 3,250 ล้านบาท ที่จับกลุ่มลูกค้าระดับกลางครอบครัวเริ่มต้น   โครงการ “วาวิล่า สุขุมวิท 77-สุวรรณภูมิ” มูลค่า 700 ล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยว 3 ชั้นแบรนด์ใหม่สำหรับกลุ่มลูกค้าระดับบน  และ “ไอคอนโด แอคทีฟ พัฒนาการ” มูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท ที่ยกระดับแบรนด์ไอคอนโดเพื่อรองรับกลุ่มที่ต้องการอยู่อาศัยในทำเลเมือง   รวมถึงยังเดินหน้าพรีเซลเฟสใหม่ใน 2 โครงการ  ได้แก่ “เบลล่า เดล มอนเต้ เขาใหญ่” เฟส 2 ในคอนเซ็ปท์ “Creek Valley” บ้านบนเนินเล่นระดับ ที่ออกแบบให้มีลำธารไหลผ่านบ้านแต่ละหลัง และ โครงการ “มาร์เก็ต อเวนิว แจ้งวัฒนะ–ราชพฤกษ์” เฟส 2 หลังมีผลตอบรับดีมากในเฟสแรก นอกจากนี้ ยังจะมีการพัฒนา Kids Club ขึ้นในสโมสรโครงการต่างๆ เน้นกิจกรรมเสริมพัฒนากล้ามเนื้อมัดต่างๆ และพัฒนาการทั้ง EQ และ IQ สำหรับเด็กๆ  โดยจะเปิดตัวแห่งแรกในไตรมาส 2 ที่สโมสรโครงการสุขุมวิท 77-สุวรรณภูมิ บริษัทยังมุ่งสร้างการเติบโตจากโครงการร่วมทุนและธุรกิจโรงแรม โดยโครงการร่วมทุนกับพันธมิตรทั้ง 3 ราย ได้แก่ ฮ่องกงแลนด์,  ซูมิโตโม ฟอเรสทรี และ เซกิซุย เคมิคอล ปีนี้วางเป้าขายไว้รวม 4,400 ล้านบาท ในไตรมาสแรกมียอดขายในระดับที่น่าพอใจ โดยเฉพาะโครงการร่วมทุนกับฮ่องกงแลนด์  ที่ทำยอดขายได้ 500 ล้านบาท   ทั้งนี้  จะมีการเปิดโครงการใหม่ร่วมกับ ซูมิโตโม ฟอเรสทรี บนทำเลราชพฤกษ์ตัดใหม่ในไตรมาส 3 ซึ่งบริษัทได้มีการลงทุนขยายถนนและปรับปรุงสภาพภูมิทัศน์ให้สวยงาม เตรียมความพร้อมสำหรับการเปิดตัวโครงการใหม่ ด้านธุรกิจโรงแรมในกลุ่ม  ภาพรวมไตรมาสแรกของปีสามารถสร้างรายได้มากกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 321% มีการเติบโตเพิ่มขึ้นของทั้งอัตราเข้าพัก และราคาขายต่อห้องพัก ซึ่งฟื้นตัวได้เร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเดินหน้าเพิ่มความมั่นคงแข็งแกร่งทางการเงิน   โดยอยู่ระหว่างการดำเนินการเซ็นสัญญาซื้อขายที่ดินมูลค่า 830 ล้านบาท เพื่อลดหนี้และทำกำไร   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เพอร์เฟค เปิดแผนธุรกิจ 2566 พร้อมเปิด 14 โครงการใหม่ มูลค่า 17,700 ล้าน
[PR News] ไซมิส แอสเสท มั่นใจภายใน 3 ปี รายได้ทะลุ 10,000 ล้าน

[PR News] ไซมิส แอสเสท มั่นใจภายใน 3 ปี รายได้ทะลุ 10,000 ล้าน

ไซมิส แอสเสท วางเป้าหมายรายได้ 3 ปีข้างหน้า โดยปี 68 แตะระดับ 10,000 ล้าน เน้นสร้างสมดุลรายได้จากโครงการอสังหาฯ แนวราบ-แนวสูง พร้อมรายได้อื่น 10 - 15% ขณะที่ปีนี้ เตรียมพัฒนา 5 โครงการใหม่ เป็นแนวราบมูลค่ารวม 7,000 ล้านบาท และแนวสูง 1 โครงการ รูปแบบ Mixed Use  ตุน Backlog Forecast มูลค่ากว่า 6,500 ล้านบาท     นายขจรศิษฐ์ สิ่งสรรเสริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไซมิส แอสเสท จำกัด (มหาชน) (SA)  เปิดเผยว่า ได้วางแผนธุรกิจในปี 3 ปีข้างหน้า (2566-2568) จะมุ่งเน้นการสร้างความสมดุล ระหว่างรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์และรายได้จากธุรกิจอื่นที่เกี่ยวเนื่อง  ซึ่งเป็นการปรับโมเดลธุรกิจเพื่อบริหารจัดการความเสี่ยง และสร้างการเติบโตอย่างมั่นคง   โดยวางเป้าหมายการเติบโตทางธุรกิจในปี 2568 คาดว่าจะมีรายได้จากการขายโครงการอสังหาฯ ไม่น้อยกว่า 10,000 ล้านบาท โดยมาจากโครงการแนวราบ และโครงการแนวสูงในสัดส่วนที่เท่า ๆ กัน  และรายได้จากธุรกิจอื่นที่เกี่ยวเนื่องอีกประมาณ 1,700 ล้านบาท  ซึ่งคาดว่าภายใน 3 ปีนับจากนี้ ในส่วนรายได้ประจำ (Recurring Income) จะมีสัดสวน 10-15% ของรายได้รวม สำหรับปี 2566 มีแผนจะพัฒนาโครงการแนวราบจำนวน 4 โครงการใหม่ รวมมูลค่ากว่า 7,000 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.Siamese Kin รามอินทรา (Phase 2) พัฒนาในรูปแบบของบ้านแฝดและทาวน์โฮม จำนวน 36 ยูนิต ราคา 6-10 ล้านบาท มูลค่าโครงการเฟส 2 ประมาณ 250 ล้านบาท 2.Siamese Holm พหลฯ-วิภาวดี พัฒนาในรูปแบบของบ้านเดี่ยว ราคา 8-12 ล้านบาท จำนวน 192  ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 1,700 ล้านบาท 3.Siamese Blossom พหลฯ-วิภาวดี  พัฒนาในรูปแบบของบ้านแฝดและทาวน์โฮม ราคา 2-5 ล้านบาท จำนวน 445 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 1,700 ล้านบาท 4.Monsane ราชพฤกษ์ แจ้งวัฒนะ พัฒนาในรูปแบบของบ้านเดี่ยวระดับ Luxury ราคา 15—25 ล้านบาท จำนวน 175 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 3, 300 ล้านบาท ส่วนการพัฒนาโครงการแนวสูง มุ่งเน้นในรูปแบบ Mixed Use 3 โครงการ ทำเลใจกลางเมือง ซึ่งจะมีการจัดสรรพื้นที่บางส่วนของโครงการเป็นพื้นที่เช่าเชิงพาณิชย์ และเป็นห้องพักในรูปแบบโรงแรมหรือเซอร์วิสเรสซิเดนซ์ เพื่อกระจายแหล่งที่มาของรายได้ให้มีความหลากหลายขึ้น ทั้งนี้ มีแผนเปิดตัว โครงการ  โครงการ Wellness & Healthcare @ Talingchan และอีก 2 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 11,400 ล้านบาท   ขณะที่มีโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ  (อยู่ระหว่างการโอนกรรมสิทธิ์) จำนวน 8 โครงการ มูลค่า 20,000 ล้านบาท และโครงการปัจจุบัน อยู่ระหว่างก่อสร้าง จำนวน 5 โครงการ มูลค่า 19,500 ล้านบาท  โดยปัจจุบันมียอดขายรอโอน (Backlog) มูลค่ากว่า 6,500 ล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ถึงปี 2568   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ไซมิส แอสเสท ปั้นแบรนด์ใหม่ระดับลักชัวรี่ “เดอะ คอลเลคชั่น-THE COLLECTION”  -ไซมิส แอสเสท เปิดตัว คอนโดมิเนียมหรูไฮเอน ติด MRT ศูนย์สิริกิติ์ “ไซมิส เอ๊กซ์คลูซีพ ควีนส์”   
[PR News] ‘อารียา พรอพเพอร์ตี้’ เชิญเหล่าคนดัง เปิดประสบการณ์ใหม่กับความมินิมอลแบบสุดทาง ในงาน “AREN X 5 SENSES EXHIBITION”

[PR News] ‘อารียา พรอพเพอร์ตี้’ เชิญเหล่าคนดัง เปิดประสบการณ์ใหม่กับความมินิมอลแบบสุดทาง ในงาน “AREN X 5 SENSES EXHIBITION”

AREN X 5 SENSES EXHIBITION บริษัท อารียา พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เชิญเหล่าคนดังร่วมงานปาร์ตี้ เปิดตัวงานนิทรรศการ “AREN X 5 SENSES EXHIBITION” ครั้งแรกของการเปิดประสบการณ์ใหม่กับความมินิมอลแบบสุดทาง ผ่านทั้ง 5 ประสาทสัมผัส จากแคมเปญ “MORE MADLY MINIMAL” ของโครงการบ้านเดี่ยว AREN X ต้นแบบนิยามบ้านสไตล์มินิมอล ซึ่งถือปรากฏการณ์ใหม่ของการสร้าง Brand Experience ที่ไปได้สุดกว่าเดิม AREN X 5 SENSES EXHIBITION นำโดย นายวิวัฒน์ เลาหพูนรังษี ประธานกรรมการอาวุโส และนางสาวพัทธมล เลาหพูนรังษี ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัท อารียา พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วย XClusive Partners จาก 5 ศิลปินและครีเอเตอร์ของแบรนด์ดังที่มาเนรมิตประสบการณ์สุดขีดมินิมอลผ่าน รูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส ใน 5  โซนนิทรรศการ ได้แก่ ผลงาน “องค์พระพิฆเนศ” มาสเตอร์พีชจาก อัฏฐกาล วชิราวุฒิชัย ศิลปิน Art Toy ชื่อดังจากแห่งแบรนด์ Kaiju Smuggler โทนขาวแบบมีมิติ ในสไตล์โมเดิร์นมินิมอล, ผลงาน “เมนูค็อกเทลสุดพิเศษ” ที่ผู้ที่ได้ลิ้มรสจะได้ดื่มด่ำกับรสชาติใหม่ของเครื่องดื่มที่มาพร้อมความชิคจาก ศุภวิชญ์ มุททารัตน์ แห่งบาร์ลับสุคชิคชื่อดังอย่าง Rabbit Hole, ผลงาน “กลิ่น” ที่ชวนหลงใหลด้วย Unique และ Energetic จาก ธนาพล เตือนวีระเดช แห่งแบรนด์เครื่องหอมไทยชื่อดัง อย่าง Copenn., ผลงาน “เสียง” ที่มอบประสบการณ์ซาวด์ที่ไร้ขีดจำกัด โดยได้ DJ สุดชิคอย่าง ไปป์ - ธวิศรุต หรือ DJ Supersonic ที่มาครีเอท ‘เพลย์ลิสต์’ แบบ Uncompromised ด้วยเสียงเพลงที่ต่อเนื่อง และเชื่อมต่อความรู้สึกของทุกคนได้อย่างลงตัว ผลงาน “สัมผัส” จาก เดือนระวี อินทรเกิด ดีไซเนอร์จากแบรนด์รองเท้าชื่อดังอย่าง London Brown ที่ได้ดีไซน์รองเท้า Handmade ที่ออกแบบมาพิเศษสำหรับโครงการ AREN X และนิทรรศการครั้งนี้โดยเฉพาะ ซึ่งเป็นรองเท้าที่มีดีไซน์เรียบแต่สะดุดสายตา สามารถสวมใส่ได้ทั้งในบ้าน และนอกบ้าน   นี่จึงถือเป็นปรากฏการณ์ใหม่ของการสร้างสรรค์ประสบการณ์สุดขีดมินิมอลเพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำบ้านสไตล์มินิมอลของ  อารียา พรอพเพอร์ตี้ นอกจากนี้ภายในงานยังเต็มไปด้วยความสนุกแบบสุดขีดมินิมอล จากเหล่า DJ สุดฮอต ได้แก่ DJ Supersonic, DJ Takamichi, DJ Pichy, DJ Tul และการแสดงสุดพิเศษจากศิลปิน Performing Art ชื่อดัง ดุจดาว วัฒนปกรณ์ ในการแสดงโชว์พิเศษชุด Embodiment เพื่อสร้าง Xclusive Experience ภายในงานครั้งนี้ด้วย   ร่วมสัมผัสประสบการณ์สุดขีดมินิมอล ด้วยตัวคุณเอง กับการเปิดตัวโครงการ AREN X บ้านเดี่ยวพร้อมสระว่ายน้ำ สไตล์ Modern Minimal ภายใต้คอนเซ็ปต์ “MORE MADLY MINIMAL” ที่จะมอบความเป็นส่วนตัวด้วยโครงการบ้านเดี่ยวเพียง 25 ยูนิต ในราคาเริ่มต้น 13.9 ล้านบาท ที่มาพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกเหนือระดับที่จะทำให้คุณได้ใช้ชีวิตแบบเป็นตัวเองได้สุดกว่าที่เคย ทั้ง Private Pool*, Private Courtyard* และ Private Barcony* (*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด) ผู้สนใจเตรียมพบกับงาน Pre-Sale ครั้งแรก ในวันที่ 25 มีนาคมนี้ ณ Sale Gallery โครงการ AREN X ติดเมกาบางนา ใกล้ทางด่วน เพียง 5 นาที   บทความน่าสนใจ THE UNIQUE VILLAGE บ้านเดี่ยวสไตล์มินิมอล
[PR News] “เซ็นทรัลพัฒนา” ย้ำเบอร์หนึ่งผู้นำอสังหาฯ ไทย มุ่งสู่โมเดลธุรกิจแห่งอนาคต     

[PR News] “เซ็นทรัลพัฒนา” ย้ำเบอร์หนึ่งผู้นำอสังหาฯ ไทย มุ่งสู่โมเดลธุรกิจแห่งอนาคต     

เซ็นทรัลพัฒนา บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน)  เผยวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ธุรกิจ ประกาศพัฒนาโมเดลธุรกิจแห่งอนาคตเป็น ‘The Ecosystem for All’ ด้วยการ Synergy ธุรกิจหลัก ได้แก่ Retail ที่เป็นหัวใจหลักในการสร้างความแข็งแกร่งของระบบทั้งหมด เชื่อมโยงกับธุรกิจที่อยู่อาศัย, อาคารสำนักงาน และโรงแรม พร้อมตอบโจทย์การใช้ชีวิตของทุกคนทั้ง Online & Offline ครบทั้ง 360 องศา และขยายไปสู่ธุรกิจ New Assets อื่นๆ ที่จะสร้างอนาคตแห่งการใช้ชีวิต ควบคู่ไปกับการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน เซ็นทรัลพัฒนา นางสาววัลยา จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา กล่าวว่า “เรามองเห็นโอกาสใหม่ๆ ภายใต้วิสัยทัศน์ Imagining better futures for all โดยตลอดระยะเวลา 42 ปี เซ็นทรัลพัฒนาไม่เคยหยุดนิ่งที่จะพัฒนา พร้อมยึดมั่นในแนวคิด Centre of Life มาตลอดซึ่งเราได้ทำให้เกิดขึ้นจริงแล้วทั่วประเทศ โดยไม่เพียงสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจศูนย์การค้า แต่ยังขยายไปสู่ธุรกิจคอมมูนิตี้ มอลล์, ที่อยู่อาศัย, อาคารสำนักงาน และโรงแรมทั่วประเทศ พร้อมทั้งพัฒนาให้ทุกส่วนเชื่อมโยงถึงกันแบบ Seamless Synergy และยังเชื่อมต่อไปสู่พันธมิตรธุรกิจ ผู้คน ชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อมอีกด้วย ดังนั้น เราจึงต้องการสร้าง ‘วิวัฒนาการ’ ให้เกิดขึ้น เดินหน้าสู่โมเดลธุรกิจแห่งอนาคตเป็น ‘The Ecosystem for All’ โดยมีธุรกิจ Retail เป็นแกนหลัก ด้วย 3 กลยุทธ์สำคัญ ได้แก่ The 360-Degree Centre of Life: เป็นศูนย์กลางการใช้ชีวิตที่ตอบโจทย์ครบทุกองศาทั้ง Offline & Online ทั้ง shop-eat-work-play-stay-live ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง 365 วัน ทุกที่ ทั่วประเทศ โดยภายใน 5 ปี ทราฟฟิคในโครงการของเราจะเพิ่มขึ้นจาก 1.2 ล้านคนเป็น 1.8 ล้านคนต่อวัน หรือคิดเป็นการมาใช้บริการ 657 ล้านครั้งต่อปี สำหรับ ในปี 2566 นี้จะมีมิกซ์ยูสที่ครบทุกองค์ประกอบเพิ่มขึ้น ได้แก่ เซ็นทรัล อุบลราชธานี, เซ็นทรัล อยุธยา และเซ็นทรัล ระยอง   โดยในแผนลงทุน 5 ปี (ปี 2566-2570) ลงทุนทุกธุรกิจรวมกว่า 135,000 ล้านบาท เฉลี่ยปีละ 25,000-30,000 ล้านบาท โดยมีทั้งหมดมากกว่า 200 โครงการ ครอบคุลม 30 เมืองในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน ประกอบด้วย ศูนย์การค้า 50 แห่ง, คอมมูนิตี้ มอลล์ 17 แห่ง, ที่อยู่อาศัย 90 แห่ง, โรงแรม 37 แห่ง, อาคารสำนักงาน 13 แห่ง และพื้นที่ใหม่ๆ Flex Offices อีก 4 แห่ง โดยจะทำให้จำนวนโครงการมิกซ์ยูสเพิ่มขึ้นจาก 18 โครงการในปี 2566 เป็น 25 โครงการในปี 2570 นอกจากนี้ ยังได้วางแผนระยะยาว 5-10 ปีในการพัฒนาโครงการมิกซ์ยูส Mega Projects รวม 5 โครงการ ซึ่งจะยกมาตรฐานให้กรุงเทพฯ เทียบเท่ามหานครระดับโลก อย่างนิวยอร์ก, โตเกียว หรือโซล โดยโครงการแรก Dusit Central Park จะทยอยเปิดตัวในปี 2567-2568 รวมถึงอีก 4 โครงการใหญ่ที่แต่ละโครงการมีพื้นที่ GFA กว่า 350,000 ตร.ม. และเงินลงทุนกว่า 20,000 ล้านบาท Total B2B2C Solutions: การเชื่อมโยงการทำธุรกิจของพันธมิตรคู่ค้า สู่การใช้ชีวิตของลูกค้าที่ครบวงจร ด้วยการลงทุนด้าน Digital Transformation & Technology Infrastructure ปีละ 300-500 ล้านบาท โดยได้มีการพัฒนา Data-driven Omnichannel ที่มีประโยชน์กับลูกค้า คู่ค้า และสังคม The Place Making for Sustainable Future: ให้ความสำคัญทั้งด้าน ‘คน’ ด้วยการส่งเสริม Local Wealth โดยใน 5 ปีข้างหน้า บริษัทฯ จะมีพนักงานกว่า 6,500 คน พร้อมผลักดันการจ้างงานใน Ecosystem อีกกว่า 100,000 ตำแหน่ง การเปิดพื้นที่ค้าขายฟรีให้เกษตรกรและ SMEs ทั่วประเทศคิดเป็นมูลค่า 300 ล้านบาทต่อปี และการสนับสนุนกิจกรรมภาครัฐและ CSR รวมมูลค่ากว่า 200 ล้านบาทต่อปี รวมไปถึงการดูแล ‘สิ่งแวดล้อม’ เดินหน้าตามโรดแมป NET Zero 2050 อาทิ การประหยัดพลังงานไปแล้วกว่า 200 ล้านบาท, ติดตั้ง Solar Rooftop และขยาย EV Charger Station อย่างต่อเนื่องทั่วประเทศ, การเพิ่มพื้นที่สีเขียว รวมถึงการจัดการขยะและขยาย Recycle Shops ในศูนย์การค้า” ธุรกิจศูนย์การค้า ในฐานะหัวใจสำคัญของ Ecosystem เน้นการเป็น No.1 Market Leader โดยมี ไฮไลท์สำคัญ ได้แก่ การเปิดตัว 4 โครงการใหม่ในปี 2566-2567: Central Westville เปิด Q4/2566 งบลงทุนกว่า 6,200 ล้านบาท ซึ่งจะเป็น The Next Evolution of Semi-Outdoor Model ที่จะพลิกโฉมย่านราชพฤกษ์ ตอนนี้ Occupancy ร้านค้าเกือบเต็ม 100% ตอกย้ำความสำเร็จเช่นเดียวกับที่ Central Eastville Central Nakhon Sawan เปิด Q1/2567 งบลงทุน 5,800 ล้านบาท และ Central Nakhon Pathom เปิด Q2/2567 งบลงทุน 8,200 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ที่ยกระดับศักยภาพของภูมิภาค เชื่อมต่อโซนภาคเหนือ และขยายสู่ภาคตะวันตกของประเทศ Central Krabi งบลงทุน 4,500 ล้านบาท เปิดช่วง Q4/2567 มิกซ์ยูสเมืองท่องเที่ยว ซึ่งจะเป็น The New Gateway to Southern Paradise ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ประกอบด้วยศูนย์การค้า ที่อยู่อาศัย และโรงแรม เติมเต็มศักยภาพของกระบี่ที่เป็นเมืองที่มี world’s most famous islands และเป็น Top 5 จุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลก โดยจะเป็น the first & largest complete landmark ที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของจังหวัดและประเทศ การขยายและรีโนเวทเพื่อ สร้าง Big Impact ได้แก่ เซ็นทรัล พัทยา ที่ได้มีการปรับโฉมโรงแรม Hilton ทำให้มียอดเข้าพักมากกว่าปี 2019 แล้วและเตรียมรีโนเวทศูนย์การค้า เพิ่มโซนต่างๆ ตอบรับการเป็นเมืองท่องเที่ยวระดับโลก โดยจะมีแบรนด์ Bridgeline และ luxury เพิ่มเติม ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และส่วนใหญ่นิยมสินค้าแบรนด์เนม ความสำเร็จของ Central Ramindra ที่มีทราฟฟิคเพิ่มขึ้นเท่าตัว เตรียมเดินหน้าส่วนขยายของ Central Westgate ที่ประสบความสำเร็จเป็น Super Regional Mall ที่ทราฟฟิกดีต่อเนื่อง เติมเต็มด้วย New Anchor ใหญ่ ขยายพื้นที่ค้าขายเพิ่ม และเพิ่มอาคารจอดรถ และยังมี Renovation อื่นๆ ที่ตั้งใจทำให้เป็นศูนย์การค้าที่ดีที่สุดของทุกย่าน อีกทั้ง ยังมีการปรับโฉมเซ็นทรัล อุบลราชธานี เตรียมรับโรงแรม Centara เติมเต็มมิกซ์ยูส, รวมถึงเซ็นทรัล มารีนา ปิ่นเกล้า แจ้งวัฒนะ เชียงใหม่ ขอนแก่น อีกด้วย เป็น Experiential Place Making ระดับโลก นำโดย centralwOrld ตอกย้ำ Global Landmark ที่สร้างปรากฏการณ์ด้วยแบรนด์ระดับโลกเลือกมาเปิดตัวเป็นที่แรก เตรียมมอบประสบการณ์ใหม่ๆ ได้แก่ ร้านเบอร์เกอร์ระดับโลก Shake Shack ที่เตรียมเปิดปลายเดือนมีนาคมนี้เป็นสาขาแรกในไทย รวมถึง Central Phuket ซึ่งเป็น Luxury mall แห่งเดียวของไทยที่ตั้งอยู่ในเมืองท่องเที่ยวระดับโลก เตรียมต้อนรับแบรนด์ลักชูรี่ระดับโลก เดินหน้า 5 Mega Mixed-use Projects ที่แต่ละโครงการใหญ่เทียบเท่า centralwOrld นำโดยโครงการ Dusit Central Park ภายใต้การร่วมทุนกับกลุ่มดุสิตธานี งบลงทุนรวม 46,000 ล้านบาท ซึ่งเป็น One-of-a-kind Mixed-Use Project ระดับโลก ที่เชื่อมพื้นที่สีเขียวให้เข้ากับชีวิตเมืองได้อย่างลงตัว โดยมี 4 องค์ประกอบที่สำคัญที่เชื่อมโยงกันอย่างไร้รอยต่อ โดยมีศูนย์การค้า ‘Central Park’ ที่เชื่อมต่อทุกส่วนเข้าด้วยกัน โดยมีคอนเซ็ปต์ ‘Here for curated experience and inspiration’ ที่จะสร้างประสบการณ์และแรงบันดาลใจใหม่ให้คนกรุงเทพ, อาคารสำนักงาน ‘Central Park Offices’ ระดับ Grade A+ ที่ตั้งใจจะเป็น Global Prototype ของ Future Workplace, Ultra-Luxury Branded Residence, และโรงแรมระดับ Global Legendary Iconic แห่งเดียวของไทย   ธุรกิจคอมมูนิตี้มอลล์ เปิดตัวโปรเจ็คใหญ่ Marché Thonglor มูลค่าโครงการรวม 2,000 ล้านบาท(Soft Launch 26 มี.ค. 66) เป็น Flagship of Community mall และ New Landmark ที่ใหญ่และครบครันที่สุดใจกลางทองหล่อ จับกลุ่มกำลังซื้อสูง, คนทำงานจาก Office ที่อยู่ภายในโครงการเดียวกัน, และ Expat ชาวต่างชาติ เติมเต็มด้วยพื้นที่สีเขียวกว่า 2,300 ตร.ม. / Pet-Friendly / เป็น Food Destination ใหญ่ที่สุดในย่าน มีที่จอดรถ 24 ชม. และยังจะพัฒนาโครงการปัจจุบันที่นวมินทร์ ซิตี้ และปรับปรุง 4 แห่งในปีนี้ ธุรกิจที่อยู่อาศัย ชูกลยุทธ์สำคัญคือ Best Location & Best in class ในทุกโลเคชั่น อยู่ติดหรือใกล้ศูนย์การค้าเซ็นทรัล และเริ่มขยายโปรเจ็คที่อยู่ติดโรบินสัน ไลฟ์สไตล์ด้วย โดยนำจุดแข็งในเรื่องการทำ Synergy กับแบรนด์ชั้นนำ ในเครือ Central Group แผนปี 2566 เตรียมเปิดโครงการใหม่ทั้งหมด 7 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 9,000 ล้านบาท ได้แก่ คอนโดมิเนียม 3 โครงการ คือ ESCENT เพชรบุรี, บุรีรัมย์ และนครศรีธรรมราช และโครงการแนวราบ 4 โครงการ คือ บ้านนิรติ นครศรีธรรมราช และแบรนด์ใหม่ บ้านนิรดา พระราม 2, อุทยาน และเอกชัย ในเขตกรุงเทพฯ คาดว่าภายในปี 2570 จะครอบคลุม 27 จังหวัด นอกจากนี้ ยังได้พัฒนาแพลตฟอร์มใหม่ Central Pattana Residents รวมทุกความสะดวกสบายเพื่อการอยู่อาศัยไว้ในแอปเดียว เพื่อลูกบ้านโดยเฉพาะ ธุรกิจอาคารสำนักงาน ชูจุดแข็ง Strategic Locations in CBD Bangkok โดยเตรียมเปิดเผยโปรเจ็คใหญ่ Central Park Offices ภายในโครงการ Dusit Central Park โดยเป็น World-Class Professional Hub แห่งใหม่รองรับบริษัทชั้นนำระดับโลก บนโลเคชั่น Super Core CBD เป็น interchange station ทั้งรถไฟฟ้า BTS และ MRT และมีพื้นที่สีเขียวทั้งจาก Rooftop Park ขนาดใหญ่ ที่เชื่อมต่อกับสวนลุมพินี และบนชั้นพิเศษ ยังมี Private Outdoor Gardens อีกด้วย และเป็น World-Class Design and Facilities มุ่งเน้นการพัฒนาตามมาตรฐาน World-class LEED Gold Certified และการ Customized พื้นที่เพื่อธุรกิจทุกขนาด ธุรกิจโรงแรม ชูความเชี่ยวชาญของเซ็นทรัลพัฒนาในการพัฒนาทำเลศักยภาพและเข้าถึงลูกค้าทั่วประเทศ พร้อมยกระดับมาตรฐานการเข้าพักอาศัยในโรงแรมและตอบโจทย์ทุกจุดประสงค์ของการเดินทาง ในปี 2566 นี้จะเปิดโรงแรมครบทุก 3 แบรนด์ และจะมีโรงแรมทั้งสิ้น 10 แห่ง 1,600 ห้อง สำหรับโครงการใหม่ที่เตรียมเปิดปีนี้ ได้แก่ 1) แบรนด์ Centara: Upscale Full-Service เตรียมเปิด Centara Ubon’ และ ‘Centara Ayutthaya’, 2) แบรนด์ Centara One: Lifestyle Midscale เตรียมเปิดแห่งแรกคือ Centara One Rayong และ 3) แบรนด์ GO! Hotel: Premium Budget Hotel และเป็น Pet-Friendly เตรียมเปิดที่โรบินสันบ้านฉาง, เซ็นทรัล ศรีราชา และเซ็นทรัล ชลบุรี บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ขับเคลื่อนสู่อนาคตภายใต้เจตจำนงค์ของแบรนด์ Imagining better futures for all ด้วยการสร้างและพัฒนาพื้นที่เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตคุณภาพผู้คนและชุมชน รวมถึงสิ่งแวดล้อมให้เติบโตควบคู่ไปกับการเดินหน้าทางเศรษฐกิจและขับเคลื่อนประเทศไทย   บทความน่าสนใจ เปิดงบลงทุน 120,000 ล้าน เซ็นทรัลพัฒนา ใช้ไปกับธุรกิจอะไรบ้าง เปิดเหตุผล เซ็นทรัลพัฒนา ทุ่ม 14,000 ล้าน ปั้นมิกยูสต์ 2 โปรเจ็กต์ ปักหมุด นครสวรรค์-นครปฐม        
ริสแลนด์ โชว์ยอดขายปี 65 ทะลุเป้ากว่า 6,900 ล้านบาท

ริสแลนด์ โชว์ยอดขายปี 65 ทะลุเป้ากว่า 6,900 ล้านบาท

ริสแลนด์ ประเทศไทย กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ระดับโลกสัญชาติฮ่องกง โชว์ยอดขายปี 2565 กวาดรายได้รวมกว่า 6,900 ล้านบาท จากทั้งหมด 7 โครงการ พร้อมรุกตลาดออนไลน์เจาะกลุ่มลูกค้าต่างชาติ ล่าสุดจัดงานเปิดตึกโครงการ คลาวด์ ทองหล่อ - เพชรบุรี คอนโดมิเนียมไฮไรส์ ราคาเริ่มต้น 3.2 ล้านบาท คาดปิดการขายได้ภายในไตรมาส 3 ปี 2567   นายสวี่ โจว ผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายการขายและการตลาด ประจำภูมิภาคไทย บริษัท ริสแลนด์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ผลประกอบการในปี 2565 ที่ผ่านมา สามารถกวาดยอดขายได้กว่า 6,900 ล้านบาท จากทั้งหมด 7 โครงการ  ประกอบด้วยโครงการบ้านเดี่ยว 1 โครงการ โครงการคอนโดมิเนียม 4 โครงการ และโครงการมิกซ์ยูส 2 โครงการ   โดยปัจจัยความสำเร็จมาจากแนวคิดของริสแลนด์ ซึ่งกล้าที่จะลอง และกล้าที่จะเปลี่ยน จึงมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์และแผนการดำเนินงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ โดยมีการปรับราคาบางส่วนให้เหมาะสมกับราคาตลาด รวมถึงนโยบายส่วนลดพิเศษอื่นๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องของลูกค้าตามสภาพเศษฐกิจในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา และมุ่งเน้นทำการตลาด และการขายผ่านช่องทางออนไลน์ให้มากยิ่งขึ้น เพื่อรองรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป อีกทั้งยังเพิ่มช่องทางการขายผ่านตัวแทนขายในต่างประเทศเพื่ออำนวยความสะดวกให้กลุ่มลูกค้าต่างชาติ ในช่วงที่มีการควบคุมการเดินทางระหว่างประเทศ สำหรับปี 2566 บริษัทวางเป้าหมายรายได้รวมอยู่ที่ 6,808 ล้านบาท โดยยังไม่มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ในปีนี้  แต่มีการวางแผนในระยะยาวมองหาและสะสมที่ดินแปลงใหม่ๆ ที่มีศักยภาพเพื่อวางแผนที่จะเปิดตัวโครงการในอนาคตในช่วงเวลาที่เหมาะสม โดยในปี 2566 บริษัทมีแผนจะจัดอีเว้นท์ใหญ่รวมทุกโครงการ เช่นงานมหกรรมบ้านและคอนโดครั้งที่ 43 พร้อมรับข้อเสนอพิเศษต่างๆภายในงาน และงานเปิดตัวอาคารไฮไรส์ โครงการ เดอะลิฟวิ่น เพชรเกษม ในช่วงกลางปีนี้   สำหรับภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปี 2566 ภาพรวมจะยังคงพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง แนวโน้มราคาจะเพิ่มขึ้นอย่างเหมาะสมประมาณร้อยละ 3 ถึง 8 เมื่อเทียบกับปี 2565 เพื่อป้องกันแรงกดดันจากเงินเฟ้อ โดยผลกระทบของเงินเฟ้อทำให้ต้นทุนหลัก เช่น ค่าก่อสร้าง ค่าแรงงาน ค่าไฟฟ้า และอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ส่วนอุปทานคอนโดมิเนียมในย่านทองหล่อ เอกมัย โดยคาดการณ์ว่า ภายในสิ้นปี 2566 จะมีจำนวนคอนโดมิเนียมใหม่เปิดขายสะสมสูงประมาณ 6,000 ยูนิต มีอัตราการดูดซับของตลาดกว่า 70 - 80% และมีอัตราผลตอบแทนการลงทุนประมาณ 5-6 %   ล่าสุด ได้จัดงานเปิดตึกโครงการ คลาวด์ ทองหล่อ – เพชรบุรี คอนโดมิเนียมไฮไรส์บนถนนเพชรบุรี ให้ผู้ที่สนใจสามารถเข้าชมตึกจริง ห้องจริง วิวจริง เป็นครั้งแรก จัดเต็มด้วยพื้นที่ส่วนกลางรวมกว่า 4,000 ตารางเมตร โดดเด่นด้วยความสูงถึง 55 ชั้น กว่า 202 เมตร พร้อม Sky Facilities Full Function และสระว่ายน้ำบนชั้นลอยฟ้ารับวิวเมืองรอบทิศทางแบบ 360 องศา ออกแบบให้ความหรูหราและเป็นส่วนตัวด้วยเพียง 14 ห้องต่อชั้น และในราคาเริ่มต้นเพียง 3.2 ล้านบาท อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ริสแลนด์ ไม่หวั่นสงครามราคาคอนโด อัพราคา 10%  “เดอะลิฟวิ่น รามคำแหง” -ริสแลนด์ ยังไปต่อด้วยกลยุทธ์ “Think Global, Act Local” ปั้นโปรเจ็กต์ปีละหมื่นล้านสู้โควิด-19
[PR News] “การเคหะแห่งชาติ” ผนึกกำลัง 14 หน่วยงาน เดินหน้า “ศูนย์ข้อมูลที่อยู่อาศัยแห่งชาติ”

[PR News] “การเคหะแห่งชาติ” ผนึกกำลัง 14 หน่วยงาน เดินหน้า “ศูนย์ข้อมูลที่อยู่อาศัยแห่งชาติ”

การเคหะแห่งชาติ นายทวีพงษ์ วิชัยดิษฐ ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ เป็นประธานในพิธีลงนามความร่วมมือทางวิชาการการส่งเสริมการขับเคลื่อนศูนย์ข้อมูลที่อยู่อาศัยแห่งชาติ และการพัฒนาที่อยู่อาศัย ภายใต้ “กิจกรรมวิชาการด้านการพัฒนาที่อยู่อาศัยเนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปี การเคหะแห่งชาติ” พร้อมลงนามความร่วมมือกับ 14 หน่วยงาน    การเคหะแห่งชาติ โดยมีผู้แทนหน่วยงานต่าง ๆ ร่วมลงนาม ได้แก่ นายชยาวุธ จันทร อธิบดีกรมที่ดิน ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน นางบุษกร ปราบนศักดิ์ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาการประเมินราคาอสังหาริมทรัพย์ กรมธนารักษ์ ดร.ปกรณ์ อาภาพันธุ์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) ดร.กนกศรี ศรินนภากร นักวิจัยและรักษาการหัวหน้างานภูมิอากาศและสภาพอากาศ สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ นายวิชานัน นิวาดจินดา รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า นางสาวสุวรรณี วังกานต์ รองผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติ นายสุวัชชัย ใจข้อ ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารข้อมูลและดาต้าอนาไลติกส์ ธนาคารแห่งประเทศไทย นายธำรง บูรณตระกูล รองผู้ว่าการด้านเทคโนโลยีดิจิทัล การประปานครหลวง นายวิชชา อ้างสกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ด้านระบบไปรษณีย์ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด นายวิชัย วิรักพันธุ์ รักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ผศ.ดร.นิคม แหลมสัก รองอธิการบดีฝ่ายนวัตกรรมและกิจการเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผศ.ดร.นฤพนธ์ ไชยยศ คณบดีคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต และ ผศ.จรายุทธ ประทีปวรกาญจน์ รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี พร้อมทั้งผู้บริหารจากหน่วยงานต่าง ๆ ผู้ปฏิบัติงานการเคหะแห่งชาติ และสื่อมวลชนร่วมเป็นสักขีพยาน ณ ห้องประชุมชั้น 3 อาคาร 5 (สันทนาการ) การเคหะแห่งชาติ   การเคหะแห่งชาติ นายทวีพงษ์ วิชัยดิษฐ ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ กล่าวว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยการเคหะแห่งชาติ กล่าวว่า ปัจจุบันเว็บไซต์ศูนย์ข้อมูลที่อยู่อาศัยแห่งชาติ (https://nhic.nha.co.th) มีการเชื่อมโยงชุดข้อมูลภายในประเทศจาก 145 หน่วยงาน ประมาณ 2,900 ชุดข้อมูล แบ่งออกเป็น 3 มิติ ได้แก่ สังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม รวมทั้งสิ้น 13 หมวดหมู่ และระบบบัญชีข้อมูลของศูนย์ข้อมูลที่อยู่อาศัยแห่งชาติ (CKAN) ซึ่งในปี 2565 ที่ผ่านมา การเคหะแห่งชาติได้รับรางวัล Excellent Open Data Hub ในงาน Digi Data Awards 2022 สำหรับการดำเนินงานในปี 2566 - 2567 การเคหะแห่งชาติให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อตอบโจทย์ 3 มิติในการกำหนดนโยบายที่อยู่อาศัย โดยมีเป้าหมายเพื่อจัดทำระบบวิเคราะห์ที่คาดการณ์/พยากรณ์สถานการณ์ที่อยู่อาศัยของประเทศ เช่น อุปสงค์และอุปทานด้านที่อยู่อาศัย กำลังซื้อของประชาชน เป็นต้น นอกจากนี้     การเคหะแห่งชาติ มีแผนจะยกระดับการเชื่อมโยงพัฒนาศูนย์ข้อมูลที่อยู่อาศัยกับนานาชาติ และจัดทำฐานข้อมูลที่อยู่อาศัยของประเทศให้ได้มาตรฐาน เพื่อรองรับการเชื่อมโยงสู่ระดับนานาชาติ 192 ประเทศในอนาคต     “การลงนามร่วมกันของหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และเอกชน ทั้ง 15 หน่วยงานในวันนี้ มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนศูนย์ข้อมูลที่อยู่อาศัยแห่งชาติและการพัฒนาที่อยู่อาศัย โดยร่วมกันส่งเสริม สนับสนุน แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ทางวิชาการ และงานวิจัยด้านการพัฒนาที่อยู่อาศัยในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การวิจัย การฝึกอบรม การสัมมนา เพื่อนำไปสู่การพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับประชาชนอย่างยั่งยืน รวมทั้งยกระดับประสิทธิภาพของการจัดสวัสดิการสังคมและการช่วยเหลือของภาครัฐ โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังตามนโยบายของรัฐบาล” นายทวีพงษ์ กล่าวย้ำ   บทความน่าสนใจ การเคหะฯ มอบบ้านให้ 86 รายแรก ในโครงการอาคารเช่าผู้มีรายได้น้อย การเคหะฯเปิดตัวบ้านเคหะสุขประชาได้ทั้งบ้านแถมมีอาชีพ