Tag : PR

144 ผลลัพธ์
[PR News] พฤกษา โฮลดิ้งโชว์ปี 65 กำไรโต 18% เตรียมผุดศูนย์สุขภาพ

[PR News] พฤกษา โฮลดิ้งโชว์ปี 65 กำไรโต 18% เตรียมผุดศูนย์สุขภาพ

พฤกษา โฮลดิ้ง โชว์ปี 65  ทำกำไรสุทธิ 2,772 ล้านบาท โต 18% มีรายได้ 28,640 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปี 64 ขณะที่รายได้จากวิมุตเติบโตอย่างก้าวกระโดดเพิ่มขึ้น 4.7 เท่า พร้อมวางแผนเปิดศูนย์สุขภาพแห่งใหม่ มอบบริการครอบคลุมทุกมุมเมือง   นายอุเทน โลหชิตพิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยผลการดำเนินงานในปี 2565 ว่า พฤกษา โฮลดิ้ง มีกำไรสุทธิ 2,772 ล้านบาท เติบโต 18% เมื่อเทียบกับปี 2564 โดยมีรายได้ใกล้เคียงกับปี 2564 ที่ 28,640 ล้านบาท หรือ เติบโต 1% สามารถทำกำไรขั้นต้นได้ดีขึ้น 9% สะท้อนถึงการบริหารจัดการต้นทุนของสินค้าและบริการได้ดี จากการนำวิศวกรรมคุณค่ามาใช้ (Value Engineering) ทั้งเรื่องการพัฒนาใช้แผ่นพื้นคอนกรีตสำเร็จรูปชนิดมีรูกลวง (Hollow Core) การออกแบบคานคอดิน (Ground Beam) และการเชื่อมซีเมนต์ (Cement Jointing) แบบใหม่ในขั้นตอนการก่อสร้าง รวมถึงการนำเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) เข้ามาใช้เพื่อลดต้นทุนการก่อสร้าง จากปริมาณการใช้ซีเมนต์ที่ลดลง พร้อมกับลดค่าขนส่งและจำนวนชั่วโมงการทำงานที่ลดลงด้วย   ปีที่ผ่านมาพฤกษามุ่งเพิ่มสัดส่วนการสร้างรายได้ประจำต่อเนื่อง (Recurring Income) เพื่อสร้างการเติบโตในระยะยาว จึงได้มีการลงทุนเชิงกลยุทธ์ในธุรกิจใหม่ต่อเนื่องตลอดทั้งปี อาทิ การตั้งกองทุน Corporate Venture 3,500 ล้านบาท เพื่อลงทุนใน Prop Tech, Health Tech และ Sustainable Tech  และล่าสุดได้ร่วมกับแคปปิตอลแลนด์ อินเวสเม้นท์ กรุ๊ป  และ  แอลลี่ โลจิสติกส์ พร็อพเพอร์ตี้  จัดตั้งกองทุน “CapitaLand SEA Logistics Fund” ตั้งเป้ามูลค่าอสังหาริมทรัพย์โลจิสติกส์ภายใต้การจัดการ 1,000 ล้านเหรียญสิงคโปร์ เป็นต้น   ในขณะที่สถานะทางการเงินของพฤกษายังคงแข็งแกร่ง โดยมีอัตราส่วนเงินกู้ยืมต่อหุ้นทุนสุทธิ (Net Gearing Ratio) อยู่ในระดับต่ำที่ 0.22 เท่า และจากผลการดำเนินงานในปีที่ผ่านมา บริษัทฯ สามารถประกาศจ่ายเงินปันผลเท่ากับ 65 สตางค์ รวมเงินปันระหว่างกาลแล้วจ่ายทั้งสิ้นเท่ากับ 96 สตางค์ กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้น (Record Date) ที่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 10 มี.ค. โดยจะนำเสนอขออนุมัติต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นในเดือนเมษายน 2565 มีอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนเท่ากับ 7.4% และกำหนดจ่ายเงินปันผลวันที่ 19 พ.ค.นี้   สำหรับปี 2566 คาดการณ์รายได้รวมของทั้งกลุ่มประมาณ 30,000 ล้านบาท เติบโตขึ้น 5% เมื่อเทียบจากปี 2565 โดยคาดว่าจะได้รับแรงสนับสนุนมาจากธุรกิจอสังหาฯ ที่จะมีการเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งสิ้น 23 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 23,500 ล้านบาท และยังมีแผนการลงทุนในธุรกิจใหม่อีกราว 6,000 ล้านบาทด้วย ซึ่งการลงทุนในธุรกิจใหม่จะเริ่มมีความชัดเจน ทั้งธุรกิจโลจิสติกส์ รวมถึงการปรับโครงสร้างของธุรกิจพรีคาสท์ที่คาดว่าจะมีรายได้ขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามแผนงานการสร้างความยั่งยืนแก่องค์กรต่อไป ด้านนายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน)  กล่าวว่า ปี 2565 พฤกษาทำรายได้ 27,191 ล้านบาท เปิดโครงการใหม่รวม 19 โครงการ มูลค่า 11,100 ล้านบาท และในปี 2566 วางกลยุทธ์เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้พอร์ตโฟลิโอ (Portfolio)  มีแผนเปิดโครงการใหม่ 23 โครงการ แบ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยว  8 โครงการ ทาวน์เฮาส์ 11 โครงการ และ คอนโดมิเนียม 4 โครงการ  รวมมูลค่าทั้งหมดราว 23,500 ล้านบาท มุ่งเพิ่มกลุ่มสินค้าที่จับกลุ่มลูกค้าในเซ็กเม้นต์ระดับกลางไปสูง โดยมีแผนเปิดบ้านเดี่ยวพรีเมียมถึง 3 โครงการ ได้แก่  เดอะปาล์มวัชรพล เดอะปาล์ม บางนาวงแหวน และ เดอะปาล์มพัฒนาการ  พร้อมมุ่งบริหารสินทรัพย์ที่มีในมือ โดยมีที่อยู่อาศัยโครงการปัจจุบันที่ยังเปิดขายอยู่ทั่วประเทศ รวมมูลค่าราว 69,900 ล้านบาท 158 โครงการ   ปี 2566 บริษัทตั้งเป้ายอดขายที่ 24,000 ล้านบาท และตั้งเป้ายอดโอนที่  28,000 ล้านบาท  มุ่งสร้างคุณค่าเพิ่มเพื่อลูกค้า (Customer Value) ด้วยการพัฒนาลิฟวิ่งโซลูชั่น (Living Solution) รองรับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปตามเมกะเทรนด์ของโลก โดยคำนึงถึงการสร้างความยั่งยืน (Sustainability) อย่างต่อเนื่อง และในปีนี้ มีแผนการซื้อที่ดินราว 5,000 ล้านบาท มุ่งเน้นทำเลที่มีศักยภาพเพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์ในระดับพรีเมียมเพิ่มขึ้น และมุ่งผสานความร่วมมือระหว่างธุรกิจในเครือพฤกษาทั้งธุรกิจด้านสุขภาพ และธุรกิจอื่นในเครือที่กำลังจะเปิดตัวในปีนี้ด้วย ส่วนนายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรงพยาบาลวิมุต โฮลดิ้ง จำกัด เปิดเผยผลการดำเนินงานปี 2565 ว่า วิมุตทำรายได้เติบโตแบบก้าวกระโดด 1,340 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.7 เท่า จากปี 2564  ซึ่ง 80% เป็นรายได้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับโรคโควิด-19  แม้ว่ารายได้จากโรคที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 ลดลงในปีที่ผ่านมา แต่สามารถทำรายได้เพิ่มขึ้น จากการขยายเครือข่ายระบบนิเวศ หรือ Ecosystem ของโรงพยาบาล ได้แก่ เวลเนสต์ เซ็นเตอร์ บ้านหมอวิมุต โรงพยาบาลเทพธารินทร์ บริการผ่านดิจิตัลแพลท์ฟอร์ม ทั้งแอพพลิเคชั่น  เทเลเมดิซีน ไปจนถึงความร่วมมือกับพันธมิตรต่าง ๆ เสริมทัพด้วยรายได้จากโรงพยาบาลเทพธารินทร์ ที่มีผลการดำเนินงานดีขึ้นด้วย ประกอบกับปีที่ผานมาวิมุตสร้างความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ต่างชาติ ทำให้จำนวนผู้ป่วยต่างชาติที่มาใช้บริการที่โรงพยาบาลมีจำนวนสูงขึ้น 3.2 เท่าด้วย  ในปี 2566 ทางกลุ่มมีแผนการลงทุนราว 2,500 ล้านบาท   มุ่งเน้นการสร้างและเปิดศูนย์สุขภาพ (Health Center) เพิ่มอีก 3 แห่ง และเตรียมงานพัฒนาโรงพยาบาลวิมุตที่ปิ่นเกล้า   นอกจากนี้ในปีที่ผ่านมา พฤกษายังได้รับรางวัลเกียรติยศการันตีผลการดำเนินงานจากเวทีระดับนานาชาติ และระดับประเทศหลายแห่ง อาทิ รางวัลจากเวทีระดับอินเตอร์ ได้แก่ รางวัล 3G Excellence in Sustainable Development Award 2022 รางวัล 3G CSR Leadership Award 2022 และรางวัลระดับประเทศ ได้แก่ “รางวัลองค์กรโปร่งใส ครั้งที่ 10” จากสำนักคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)  รางวัล Thailand Top Company Awards รางวัล BCI Asia Top 10 Developers Awards และ รางวัล FINALIST ของกลุ่มรางวัล BEST BRAND PERFORMANCE ON SOCIAL MEDIA เป็นต้น
[PR News] เอสซีจี X เอสซี แอสเสท​ ติด Active AIR Quality บ้าน 1,000 ยูนิต​

[PR News] เอสซีจี X เอสซี แอสเสท​ ติด Active AIR Quality บ้าน 1,000 ยูนิต​

เอสซีจี  จับมือ เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น ติดตั้ง​ SCG Active AIR Quality เครื่องเติมอากาศดีสำหรับบ้านและคอนโด  รับความต้องการและพฤติกรรมที่หลากหลายของผู้บริโภคปัจจุบัน ที่มุ่งเน้นให้ความสนใจในด้านเทคโนโลยีทันสมัยและเรื่องสุขอนามัย  นำร่องติดตั้งเครื่องเติมอากาศดี กว่า 1,000 ยูนิต ภายในปี 2566     นายวชิระชัย คูนำวัฒนา Head of Smart System Solution Business ในธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เอสซีจี เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ปัจจุบันเรื่องฝุ่น PM 2.5 ในประเทศไทยกำลังเข้าสู่ขั้นวิกฤต โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานครติดอันดับต้น ๆ ของเมืองที่มีมลพิษมากที่สุดของโลก  เอสซีจีได้เล็งเห็นและเข้าใจถึงความสำคัญด้านสุขภาพ และความปลอดภัยของผู้บริโภค ไปสู่การพัฒนาสินค้าเพื่อยกระดับคุณภาพอากาศที่คนเมืองกำลังเผชิญ ด้วยเหตุนี้จึงได้พัฒนาสินค้านวัตกรรม SCG Active AIR Quality เครื่องเติมอากาศดีสำหรับบ้านและคอนโด ภายใต้แนวคิด Clean Air For All ผลักดันโซลูชันเพื่ออากาศสะอาดและคุณภาพชีวิตการอยู่อาศัยที่ดีสำหรับทุกคนในบ้าน โดยในปี 2566 เอสซีจีได้วางกลยุทธ์ให้สินค้านวัตกรรม SCG Active AIR Quality เดินหน้ารุกตลาด Housing Project ให้เครื่องเติมอากาศดีเป็นส่วนสำคัญของบ้าน  ด้วยการจับมือกับ SC Asset ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ของไทย ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในการร่วมผลักดันสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับที่พักอาศัย โดยเฉพาะเรื่องคุณภาพอากาศ กับการติดตั้งเครื่องเติมอากาศดีให้กับโครงการบ้าน SC Asset จำนวน 1,000 ยูนิตภายในปีนี้ ซึ่งเอสซีจีมีทีมงาน Smart Living Solution Tech พร้อมร่วมออกแบบระบบ SCG Active AIR Quality ให้เหมาะสมกับงานโครงการแต่ละประเภท   พร้อมกันนี้ เอสซีจียังตั้งเป้าผลักดันยอดขาย SCG Active AIR Quality ที่ 100 ล้านบาทภายในปี 2566 โดยโฟกัสไปยังโครงการบ้าน รวมถึงเจ้าของบ้านทั่วประเทศ ที่ใส่ใจสุขภาพ และความปลอดภัย โดยเฉพาะครอบครัวที่มีเด็กเล็กในบ้าน กลุ่มเสี่ยงต่อโรคภูมิแพ้ ผู้สูงอายุ และยังรวมไปถึงบ้านที่มีสัตว์เลี้ยงอีกด้วย   สำหรับหลักการทำงานของ SCG Active AIR Quality คือ เติมอากาศดีเข้าบ้าน เป็นหลักการที่ช่วยให้เกิดอากาศกหมุนเวียนที่ดีอยู่ตลอดเวลา โดยอากาศใหม่นี้จะมีคุณภาพดีตั้งแต่แรกจากตัวกรอง 5 ชั้น เริ่มจากการกรองฝุ่น PM 2.5 กรองและกำจัดเชื้อโรค ไวรัส แบคทีเรีย รวมถึงไวรัสโคโรน่า สาเหตุของโรคโควิด-19 ได้ 99%   หลังจากนั้น สร้างอากาศแรงดันบวกภายในห้อง จากการที่มีอากาศสะสมภายในห้องมากขึ้น จึงเกิดเป็นแรงดันบวก หรือ Positive Pressure (กรณีในพื้นที่ปิด) ที่จะดันอากาศเสียสะสม มลภาวะ ฝุ่น เชื้อโรคที่ตกค้างในอากาศออกสู่ภายนอก จึงทำให้อากาศภายในห้องเป็นอากาศคุณภาพดีตลอดเวลา  เมื่ออากาศที่เข้าสู่ตัวบ้านมีคุณภาพดี จะเป็นการเติมออกซิเจนให้กับตัวบ้าน ช่วยลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศที่เกิดจากการสะสมภายในห้องลดลงได้ถึง 70% ภายใน 1 ชั่วโมงอีกด้วย ด้านนายดิเรก ตยาคี Head of Tech Solutions บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC Asset กล่าวว่า ปัจจุบันเทรนด์และพฤติกรรมของผู้บริโภคมีความหลากหลายมากขึ้น มองหาสิ่งที่มาตอบโจทย์แตกต่างกัน สำหรับ SC Asset เราพัฒนาสินค้าและบริการแบบยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Human Centric) จึงมีการออกแบบดีไซน์ที่อยู่อาศัยเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคอย่างตรงจุด อีกทั้งยังได้วางกลยุทธ์เพื่อพัฒนาในส่วนดังกล่าวอย่างใกล้ชิด   โดยจัดตั้งทีมเฉพาะ Design Core Team  ไปพร้อม ๆ กับการวางคอนเซปท์ H .O. U. S. E. S คือให้ความสำคัญต่อด้านดีไซน์และการอยู่อาศัย (H : Home is Everything) การเลือกใช้วัสดุคุณภาพ (O : Old) การใส่ใจในเรื่องสุขภาพ (U : Unhealthy) ความปลอดภัย (S : Safety) การดูแลรักษา (E : Expense) ตลอดจนด้านสินค้าและบริการของ SC Asset ต้องเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (S : Scero House)   ในด้านพฤติกรรมและความสนใจของกลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่ในประเภทบ้านเดี่ยว ของปี 2566 อันดับต้น ๆ คือ ความต้องการด้านนวัตกรรมจัดการคุณภาพอากาศ มากถึง 83% รองลงมา Smart Home ด้านความปลอดภัย 75% และ ด้านความสะดวกสบาย 66% จะเห็นได้ว่ากลุ่มเป้าหมายปัจจุบันมองหาด้านเทคโนโลยีเพื่อตอบโจทย์ทุกมิติในชีวิตประจำวัน   สำหรับปี 2566 ทาง SC Asset ได้วางเป้าหมายติดตั้งเครื่องเติมอากาศดีสำหรับบ้านและคอนโด กว่า 1,000 ยูนิต ปัจจุบันนำร่องติดตั้งไปแล้ว จำนวน 8 โครงการแนวราบ 106 ยูนิต เพื่อส่งมอบประสบการณ์การอยู่อาศัยและคุณภาพอากาศที่ดีในบ้านให้กับผู้บริโภค   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เอสซีจี ลุย 2 ธุรกิจ “ให้คำปรึกษา-งานระบบอาคารแบบครบวงจร” รับเทรนด์ Well-being -เอสซี แอสเสท ชู 3 ยุทธศาสตร์  ปั้นรายได้แสนล้าน ประเดิมปี 65 ลุยเปิด 27 โปรเจ็กต์ใหม่
[PR News] นิปปอนเพนต์ จัดกิจกรรม สีสร้างสุข ลงพื้นที่ “ชุมชนเบญจสุข” 

[PR News] นิปปอนเพนต์ จัดกิจกรรม สีสร้างสุข ลงพื้นที่ “ชุมชนเบญจสุข” 

สีสร้างสุข “นิปปอนเพนต์” เดินหน้ากิจกรรมเพื่อสังคม ผ่านโครงการ สีสร้างสุข จุดเริ่มต้นดีๆ ของการพัฒนาอย่างยั่งยืน เชื่อมสัมพันธ์ชุมชน ลงพื้นที่ “ชุมชนเบญจสุข” ในวันแห่งความรัก “วาเลนไทน์” ร่วมปรับปรุงทัศนียภาพ ทาสีกำแพง เก็บขยะ พร้อมมอบกระถางต้นไม้รีไซเคิล จากของเสียในกระบวนการผลิตสี เพื่อช่วยส่งเสริมสุขภาวะ และสิ่งแวดล้อมที่ดีให้กับคนในชุมชนกว่า 100 ครัวเรือน     นายวัชระ ศิริฤทธิชัย ผู้จัดการทั่วไป บริษัท นิปปอนเพนต์ เดคโคเรทีฟ โคทติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า หนึ่งในพันธกิจของนิปปอนเพนต์คือ การเดินหน้าพัฒนาสู่ความยั่งยืน  (Sustainable Development Goals) โดยยึด 3 หลักการคือ Education การส่งเสริมด้านการศึกษา Engagement การสร้างการมีส่วนร่วมของคนในสังคม และ Empowerment การสร้างการเปลี่ยนแปลงในวงกว้าง เพื่อส่งเสริมความยั่งยืนพร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของผู้คน เพื่อเป็นส่วนหนึ่งที่ร่วมพัฒนาและส่งเสริมให้ชุมชนน่าอยู่ จึงจัดทำกิจกรรมเพื่อสังคมภายใต้โครงการ We Care We Share by Nippon Paint ที่ได้จัดมาอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทั้งการลงพื้นที่ไปแบ่งปันเครื่องอุปโภคบริโภคเพื่อการดำรงชีวิตในยามวิกฤต การปรับปรุงทัศนียภาพให้กับสถาบันการศึกษาและพื้นที่สาธารณะประโยชน์มากมาย แนวคิดสำคัญของโครงการ สีสร้างสุข  คือ สุขใจที่ได้ให้ สุขภาวะคนในชุมชน สุขสภาพแวดล้อม เพราะความสุขที่ยั่งยืน คือความสุขที่ทุกคนมีร่วมกัน ​ นอกเหนือจากการคิดค้นและพัฒนานวัตกรรมสีทาอาคารที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคแล้ว นิปปอนเพนต์ยังให้ความสำคัญกับเรื่องของการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง ด้วยความมุ่งมั่นที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยให้สังคมและคุณภาพชีวิตของคนดีขึ้น โดยจุดเริ่มต้นเล็กๆ ในการเปลี่ยนแปลง นั่นคือการจัดการขยะในชุมชนใกล้โรงงาน เพื่อช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต สุขภาวะอนามัย และความเป็นอยู่ของชุมชนโดยรอบให้ดีขึ้น   สำหรับกิจกรรมในปีนี้เป็นการลงพื้นที่ชุมชนเบญจสุข ชุมชนที่มีผู้อาศัยกว่า 100 หลังคาเรือน ซึ่งป็นชุมชนที่อยู่รอบโรงงาน เป็นพี่น้องประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่มาเป็นเวลานาน ตั้งแต่รุ่นพ่อแม่  รุ่นลูก รุ่นหลาน จนถึงปัจจุบัน สำหรับกิจกรรมหลักคือ การปรับปรุงทัศนียภาพ เพื่อส่งเสริมสุขภาวะของผู้คนในชุมชนและร่วมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ด้วยนวัตกรรมสีและผลิตภัณฑ์ของนิปปอนเพนต์ ภายใต้ความร่วมมือของหน่วยงานราชการส่วนท้องถิ่น อาทิ เทศบาลตำบลลัดหลวง สถานีตำรวจภูธรพระประแดง และพี่น้องประชาชนในชุมชน   รวมทั้งการสร้างแรงบันดาลใจโดยศิลปินอาสามาร่วมเพนต์ผนังกำแพง จากกำแพงเก่า ให้ดูมีชีวิตชีวา สดใส ภายใต้แรงบันดาลใจที่ว่า “สีสันสดใส สร้างความสุขและรอยยิ้มให้กับชุมชน” ซึ่งพี่น้องในชุมชนต่างให้ความสนใจเป็นอย่างมาก และอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญคือ การนำของเสียจากอุตสาหกรรมสี มาผ่านกระบวนการรีไซเคิล เป็นกระถางต้นไม้ เพื่อมอบให้กับพี่น้องในชุมชน และสื่อถึงการปลูก ความรัก และความสัมพันธ์ที่ดีให้กับชุมชน และส่งเสริมการเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับโลกอีกด้วย สำหรับกิจกรรมนี้เกิดจากแนวคิดการสร้างการมีส่วนร่วม เราอยากดูแลคนในชุมชนที่อยู่โดยรอบโรงงาน ให้มีสุขภาวะที่ดี และยังเป็นการเชื่อมสัมพันธ์ให้ชุมชนกับโรงงานอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน เพราะความสุขที่ยั่งยืน คือความสุขที่ทุกคนมีร่วมกัน โดยนิปปอนเพนต์เลือกวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นวันแห่งความรัก เพื่อส่งต่อความรัก ให้กับสังคมและชุมชน วันนี้จึงเป็นวันแห่งความทรงจำที่ดีที่นิปปอนเพนต์และชุมชนเบญจสุขมีต่อกัน และจะสานต่อความสัมพันธ์อันดีเช่นนี้ต่อไป   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -นิปปอนเพนต์ ออกสีใหม่ “เวเธอร์บอนด์” สู้ตลาด 2 หมื่นล้านหดตัว 15% -สีนิปปอนเพนต์ วางเป้าโต 20% ลุยตลาดสีท่ามกลางโควิด-19
[PR News] เสนาเจ จับมือ NEC  พลิกโฉม “Smart Living Community”

[PR News] เสนาเจ จับมือ NEC พลิกโฉม “Smart Living Community”

เสนาเจ จับมือบิ๊กด้านไอทีจากญี่ปุ่น NEC Thailand ปั้นแพลตฟอร์มใหม่เพื่อที่อยู่อาศัย  พร้อมลงดีเทลโซลูชั่นด้านเซอร์วิส ตอบโจทย์ดิจิทัลไลฟ์สไตล์รอบด้าน สร้าง “Smart Living Community” เดินหน้าขยายฐานลูกค้าของทั้งสององค์กรสู่กลุ่มใหม่และเพื่อตอบโจทย์ธุรกิจสู่ความยั่งยืน   ผศ.ดร. เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสนา เจ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ SENAJ เปิดเผยว่า ปี 2566 ถือว่าเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงของทางเสนาเจ ซึ่งจะยกระดับ มาพร้อมกับการให้บริการในเรื่องเกี่ยวกับสภาพแวดล้อม พลังงาน สุขภาพ และลดความเหลื่อมล้ำในทุกมิติของสังคม รวมถึงผลกระทบของภาวะโลกร้อน ซึ่งนับวันเป็นปัญหาที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น แม้เป็นเรื่องค่อนข้างใหม่สำหรับประเทศไทย แต่เป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากเพราะเกี่ยวข้องกับการพัฒนาธุรกิจไปสู่ความยั่งยืน ทั้งหมดทั้งมวลล้วนทำให้บริบทของชีวิตและพฤติกรรมของคนเปลี่ยนไป ก่อให้เกิด Mega Trend ต่างๆ ที่เข้ามามีบทบาทในการพัฒนาธุรกิจ เพื่อตอบโจทย์ความท้าทายเชิงสังคม (Social Challenge) และเรื่องของวิกฤตสิ่งแวดล้อม (Environmental Crisis)   อย่างไรก็ดี เสนาเจ มุ่งมั่นสร้างสรรค์พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และการขยายบริการด้านที่อยู่อาศัยอย่างครอบคลุมและคุ้มค่า โดยมุ่งตอบโจทย์ New  Mega Trends ของโลก เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตด้วยความละเอียดใส่ใจ โดยแกนหลักเสนาเจ ให้ความสำคัญด้านความปลอดภัย(Safety) ,ความสะดวกสบาย (Convenience),ด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี (Heath care and wellbeing), โดยยึดหลักการดำเนินธุรกิจสู่ความยั่งยืน และปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ใหม่ให้กับการใช้ชีวิตที่จะช่วยกันลดการปล่อยคาร์บอน (Decarbonization lifestyle) ในรูปแบบของการนำเทคโนโลยีเข้าปรับใช้เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้า โดยเฉพาะบริการที่เกี่ยวกับการอยู่อาศัยให้ตอบโจทย์ทุกมิติของการใช้ชีวิต   SENAJ ร่วมกันกับทาง บริษัท เอ็นอีซี คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด หรือ NEC Thailand ที่ปรึกษาเทคโนโลยีด้านไอที บริษัทชั้นนำระดับโลกที่มีความเชี่ยวชาญมากกว่า 100 ปี ด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีและการสื่อสารอย่างครบวงจร ร่วมพัฒนาแพลตฟอร์ม “Smart Living Community” ผ่าน Application ที่จะมาเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้าและลูกบ้าน ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Smart Living and Health Care Solutions”   ความร่วมมือกันของทั้งสององค์กรในครั้งนี้ ถือเป็นการขยายโอกาสและเสริมฐานลูกค้าทางธุรกิจให้กันและกัน พร้อมเปิดมิติใหม่ของการอยู่อาศัยให้กับลูกบ้านเสนาด้วย   ด้านนายอิชิโร่ คูริฮารา ประธาน บริษัท เอ็นอีซี คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด หรือ NEC  Thailand กล่าวเพิ่มว่า NEC Thailand มีแนวความคิดร่วมกันกับ SENAJ ในเรื่อง Society Serve เพื่อให้ผู้คนได้มีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้สำหรับสังคมของเราในอนาคต เราเชื่อว่าการสร้างสรรค์ร่วมกับลูกค้าและผู้มีส่วนร่วมอื่น ๆ เป็นสิ่งจำเป็น และเรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ก้าวแรกกับ SENAJ ด้วยเทคโนโลยี และนวัตกรรมและประสบการณ์ของเรา เรามุ่งมั่นที่จะร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับ SENAJ เพื่อพัฒนาโซลูชั่นที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการทางสังคม เพื่อให้คนในสังคมของเรามีมาตรฐานการครองชีพที่สูงขึ้น NEC Thailand วางแผนที่จะพัฒนาโซลูชั่นการใช้ชีวิตอย่างชาญฉลาดมากขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาของสังคม   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เสนาฯ เปิดโมเดล​ บ้านพลังงานเป็นศูนย์ เดินหน้าสู่บริษัท ด้านความยั่งยืน
[PR News] พานาโซนิค เปิดตัวระบบควบคุมอากาศ ตรวจับ PM2.5  ประเดิมจับมือ ซื่อตรง ก่อนวางเป้าติดอีกกว่า 25 โครงการ

[PR News] พานาโซนิค เปิดตัวระบบควบคุมอากาศ ตรวจับ PM2.5 ประเดิมจับมือ ซื่อตรง ก่อนวางเป้าติดอีกกว่า 25 โครงการ

พานาโซนิค เปิดตัวระบบควบคุมอากาศ  “Panasonic Complete Air Management System” ชูเทคโนโลยีสร้างคุณภาพอากาศที่ดีกว่า  ตรวจจับ PM2.5 มุ่งเจาะตลาดโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับไฮเอ็นด์ จับมือ  “ซื่อตรง พร็อพเพอร์ตี้” ประเดมติดตั้งในบ้านในโครงการ “ซื่อตรง พรีเมี่ยม ไอแอม พระราม 2 – แสมดำ” เตรียมเดินหน้าบุกอีกกว่า 25 โครงการในปีนี้   นายฮิเดกิ คิตาซาวะ ผู้อำนวยการส่วนการตลาดเครื่องปรับอากาศ และฝ่ายขาย B2B บริษัท พานาโซนิค เอ.พี. เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบัน ผู้บริโภคหันมาให้ความสำคัญกับคุณภาพของอากาศมากขึ้น ซึ่งเทรนด์นี้ชัดเจนมากขึ้นในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 หรือเกิดวิกฤติฝุ่นพิษ PM2.5 พานาโซนิคในฐานะ Professional Solution Provider ของไทย จึงได้พัฒนา Panasonic Complete Air Management System (ระบบควบคุมอากาศสมบูรณ์แบบ) ซึ่งเป็นระบบควบคุมอากาศสมบูรณ์แบบ (Complete Air Management System) ที่จะมาตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่กังวลเรื่องคุณภาพอากาศ จุดเด่นของ Panasonic Complete Air Management System อยู่ที่เทคโนโลยีไฮบริดลิงค์ที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งจะประสานการทำงานกับเครื่องปรับอากาศ และการระบายอากาศ โดยใช้อัลกอริทึมของตัวเอง และเซ็นเซอร์ในตัว ตรวจจับคุณภาพอากาศ เช่น ความชื้น PM2.5, CO2 อุณหภูมิภายในอาคาร และใช้เทคโนโลยี nanoeTM X ที่ได้รับการพัฒนามายาวนานกว่า 20 ปี ทำให้อากาศสะอาดโดยยับยั้งไวรัส แบคทีเรีย มลพิษ กลิ่น ฝุ่น PM2.5 สารก่อภูมิแพ้ เชื้อรา ละอองเกสรดอกไม้ และยังควบคุมความสมดุลของอากาศ เพื่อให้ผิวและผมมีสุขภาพดี ไม่แห้งขาดน้ำ จึงเหมาะที่จะติดตั้งในห้องนอน ซึ่งเป็นที่ที่ทุกคนใช้เวลาอยู่นานกว่า 8 ชั่วโมง   สำหรับการเปิดตัวระบบควบคุมอากาศสมบูรณ์แบบ Panasonic Complete Air Management System ครั้งนี้ ทางบริษัทซื่อตรง พร็อพเพอร์ตี้ ได้นำ ระบบควบคุมอากาศสมบูรณ์แบบ ไปติดตั้งในบ้านในโครงการ ซื่อตรง พรีเมี่ยม ไอแอม พระราม 2 – แสมดำ นับเป็นโครงการนำร่องโครงการแรกในเมืองไทยที่มีการติดตั้งระบบควบคุมอากาศสมบูรณ์แบบในห้องนอนของบ้านทุกหลัง การร่วมมือครั้งนี้จะช่วยสร้างการรับรู้ และสร้างความมั่นใจให้กับกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น และเรายังมีแผนที่จะติดตั้งระบบนี้ในโครงการใหม่ของซื่อตรง พร็อพเพอร์ตี้ รวมถึงโครงการอสังหาฯ  ระดับไฮเอ็นด์อื่น ๆ ประมาณ 25 โครงการ ภายในปีนี้ หลังจากนั้นมีแผนที่จะขยายตลาดไปยังกลุ่มเจ้าของบ้านด้วย​ ด้านนายรุ่งรัตน์ ลิ่มทองแท่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทซื่อตรง พร็อพเพอร์ตี้ และบริษัทในเครือ กล่าวว่า ปัจจัยที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญในการเลือกซื้อบ้าน นอกจากจะอยู่ที่ทำเล แบบบ้าน ราคา คุณภาพการก่อสร้างแล้ว ระบบปรับอากาศที่โครงการมอบให้ก็มีผลต่อการตัดสินใจเช่นกัน เพราะเป็นสิ่งจำเป็นที่ลูกค้าต้องติดตั้งก่อนเข้าพักอาศัย เมื่อบริษัท ซื่อตรง พร็อพเพอร์ตี้ สร้างโครงการ ซื่อตรง พรีเมี่ยม ไอแอม พระราม 2 – แสมดำ ซึ่งมีระดับราคาอยู่ที่ 7-12 ล้านบาท ลูกค้ากลุ่มนี้จะให้ความสำคัญกับสุขภาพ และคุณภาพอากาศในบ้าน ทางโครงการจึงมองหาผลิตภัณฑ์ที่จะตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า จึงได้นำ Panasonic Complete Air Management System มาติดตั้งในบ้านทุกหลังในโครงการนี้ บริษัทซื่อตรง พร็อพเพอร์ตี้ กับ พานาโซนิคเป็นพันธมิตรที่ดีต่อกันมานาน บ้านในโครงการซื่อตรง พรีเมี่ยม ไอแอม พระราม 2 – แสมดำ เลือกใช้เครื่องปรับอากาศจากพานาโซนิค ครั้งนี้เป็นการจับมือกันอีกครั้ง เพื่อมอบความสมบูรณ์แบบของอากาศให้ลูกบ้าน เราอยากให้บ้านเป็นมากกว่าที่อยู่อาศัย ทำให้ลูกบ้านมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น     อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -Suetrong The Oxy Rangsit Klong 6-ซื่อตรง ดิ ออกซี่ รังสิต คลอง 6 : รีวิวบ้าน    
[PR News] “สุริยน–จิตรดี พูลวรลักษณ์” เปิดโปรเจ็กต์แรก ลาวิสต้า เพรสทีจ วิลเลจ

[PR News] “สุริยน–จิตรดี พูลวรลักษณ์” เปิดโปรเจ็กต์แรก ลาวิสต้า เพรสทีจ วิลเลจ

ลาวิสต้า เพรสทีจ วิลเลจ เปิดตัวอย่างเป็นทางการ “บริษัท เอสพีเจ แลนด์ จำกัด” บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ก่อตั้งโดย “สุริยน-จิตรดี พูลวรลักษณ์” สองนักพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โครงการหรูที่มีประสบการณ์กว่า 20 ปี ประเดิมเปิดตัวโปรเจกต์แรก “ลาวิสต้า เพรสทีจ วิลเลจ เอกมัย 10” (Lavista Prestige Village Ekkamai 10) โครงการบ้านเดี่ยวระดับ Ultimate Luxury ภายใต้แนวคิด “Redefined Prestigious Living” บนทำเลศักยภาพ Prime Location เอกมัย พร้อมชูจุดเด่นคอนเซ็ปต์ Prestige Community เน้นความเป็นส่วนตัวสูงสุดกับเอกสิทธิ์เฉพาะ 7 ครอบครัว ในราคาเริ่มต้นที่ 80 ล้านบาท เจาะกลุ่มผู้บริหารและเจ้าของกิจการรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จและมีไลฟ์สไตล์เฉพาะตัว   นายสุริยน พูลวรลักษณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสพีเจ แลนด์ จำกัด  เปิดเผยว่า​ เอสพีเจ แลนด์ เป็นบริษัทที่ก่อตั้งขึ้น ด้วยความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในรูปแบบ Prestige Luxury โดยโฟกัสกลุ่ม Niche Market Customer ที่ต้องการสินค้า Residential ที่แตกต่างและโดดเด่นจากสินค้าที่มีอยู่ในตลาด ตอบโจทย์ลูกค้า Selected Customer อย่างแท้จริง โดยนำเอาประสบการณ์ในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่หลากหลายต่าง ๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโครงการระดับลักซ์ชัวรี ทั้งคอนโดมิเนียมแนวสูง โรงแรม และที่พักอาศัย โดยเฉพาะโครงการที่ผ่าน Mavista Prestige Village กรุงเทพกรีฑา เป็นโครงการที่มีเพียงแค่ 14 ยูนิต ที่ประสบความสำเร็จจากการขายเป็นอย่างมาก ได้รับผลตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี นำมาสู่การพัฒนาเป็นโครงการล่าสุด “ลาวิสต้า เพรสทีจ วิลเลจ เอกมัย 10” บนทำเลศักยภาพของเอกมัยที่ “ดีที่สุด” กับความเอ็กซ์คลูซีฟเพียง 7 ยูนิตเท่านั้น ถือเป็นนิยามใหม่แห่งการพักอาศัยที่หรูหรามีระดับภายใต้แนวคิด “Redefined Prestigious Living” “ด้วยความชำนาญและประสบการณ์ในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มากว่า 20 ปี เราจึงมีความเชี่ยวชาญและเข้าใจถึงความต้องการของกลุ่มลูกค้าในเซกเมนต์ระดับลักชัวรีได้เป็นอย่างดี บริษัทฯ ได้ให้ความสำคัญในทุก ๆ องค์ประกอบ ด้วยแนวคิดสร้างสรรค์ มอบความเป็นส่วนตัวสูงสุด กับจำนวนยูนิตไม่มาก เสมือนการคัดสรรเพื่อนบ้านให้สังคมภายในโครงการด้วยคอนเซ็ปต์ Prestige Community ทั้งพื้นที่ใช้สอยและฟังก์ชันต่าง ๆ ที่ครบครัน มีดีไซน์ที่โดดเด่น ทันสมัย และที่สำคัญตั้งอยู่ในทำเลใจกลางเมืองที่สะดวกสบายทุกการเดินทาง ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของลูกค้าตลาดบนเฉพาะกลุ่ม (Niche Market-Selected Luxury Customer) และสร้าง Prestige Lifestyle ความภูมิใจในการเป็นเจ้าของ และสามารถส่งต่อรุ่นสู่รุ่นได้อย่างล้ำค่า นับเป็นการยกระดับมาตรฐานใหม่ของธุรกิจการพัฒนาที่อยู่อาศัยระดับลักชัวรีได้อย่างแท้จริง”   นางจิตรดี พูลวรลักษณ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสพีเจ แลนด์ จำกัด กล่าวว่า โครงการ“ลาวิสต้า เพรสทีจ วิลเลจ เอกมัย 10”  เกิดขึ้นจากการตอบโจทย์ของธุรกิจบริษัทในปัจจุบัน ที่มีความเปลี่ยนแปลงและเพื่อรองรับการขยายตัวของกลุ่มผู้อยู่อาศัย อาทิ กลุ่มเจ้าของกิจการ กลุ่มผู้บริหาร เจ้าของกิจการรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จและมีไลฟ์สไตล์เฉพาะตัว ด้วยทำเลทองใจกลางเอกมัย ที่สามารถเพิ่มมูลค่าและเป็นมรดกส่งต่อรุ่นสู่รุ่นได้ โดยการออกแบบพื้นที่ภายในบ้านใช้แนวคิดที่คำนึงถึงการใช้งานให้ครอบคลุมสำหรับสมาชิกทุกเจเนอเรชัน ให้สามารถใช้ชีวิตตามสไตล์ที่ชอบได้อย่างเต็มที่ ขณะเดียวกันก็มีหัวใจของบ้านที่เชื่อมโยงความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวเข้าไว้ด้วยกัน บ้านเดี่ยวสุดไพรเวททั้ง 7 ยูนิต ของโครงการ “ลาวิสต้า เพรสทีจ วิลเลจ เอกมัย 10” มีขนาด 4 ชั้น มีพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 429.97- 546.61 ตารางเมตร พร้อมลิฟท์ส่วนตัวภายในบ้าน โดยชั้น 1 เน้นการออกแบบที่ล้ำสมัยและฟังก์ชันที่จอด 4-6 คัน รองรับระบบ EV Charger สำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100%  พร้อมโถงรับแขก Arriving Hall และมี Maid Pavilion ทั้งห้องนอนและห้องน้ำของแม่บ้าน สามารถเข้า-ออกทางหลังบ้าน ชั้น 2 เป็นรูปแบบ Gathering Area ศูนย์รวมการใช้งานขนาดใหญ่ เชื่อมโยงครัวเปิด Western Kitchen จากแบรนด์ RCD โปร่งสบาย เพดานสูงถึง 3 เมตร และห้องอเนกประสงค์สามารถจัดสรรปรับเป็นห้องฟิตเนสหรือห้องนอนได้ ส่วนชั้น 3 มีห้องนอน Grand Suite Master Bedroom เชื่อมต่อพื้นที่บริเวณโซนเตียงนอนกับ Walk-in Closet ขนาดใหญ่ และห้องน้ำแบบ Grand Master Bedroom แยกสัดส่วน Shower และโถสุขภัณฑ์อัตโนมัติ พร้อมพื้นที่อาบน้ำแบบ his&her และชั้น 4 เป็นห้อง Junior Master Bedroom และห้องอเนกประสงค์ที่สามารถจัดเป็นห้องอ่านหนังสือหรือห้องทำงานได้ พร้อมฟังก์ชันที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของลูกค้าตลาดบนเฉพาะกลุ่มได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด   โดยโครงการ “ลาวิสต้า เพรสทีจ วิลเลจ เอกมัย 10” ตั้งอยู่ในซอยเอกมัย 10 หนึ่งในย่านพักอาศัยที่ดีที่สุดใจกลางสุขุมวิท รายล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกทุกรูปแบบสำหรับทุกไลฟ์สไตล์ ทั้งห้างสรรพสินค้าชั้นนำ คอมมูนิตี้มอลล์ โรงพยาบาล และโรงเรียนนานาชาติ โดยเป็นทำเลที่เชื่อมต่อ 3 ถนนหลัก ได้แก่ สุขุมวิท 55 สุขุมวิท 63 และสุขุมวิท 71 ใกล้ 3 ทางขึ้นทางด่วนและสถานีรถไฟฟ้าที่ให้ความสะดวกสบายในการเดินทาง โครงการสร้างเสร็จสมบูรณ์ก่อนขาย พร้อมให้สัมผัสประสบการณ์ทั้งภายนอกและภายในตัวบ้านด้วยวัสดุจริง รวมถึงบรรยากาศโดยรวมทั้งหมด ซึ่งทุกหลังได้รับการตกแต่งภายในพร้อมสำหรับการเข้าพักอาศัย ด้วยราคาเริ่มต้น 80 ล้านบาท   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ประเดิมบ้านเดี่ยวระดับ Super Luxury “มาวิสต้า เพรสทีจ วิลเลจ กรุงเทพกรีฑา”
[PR News] คูน เอสเตท จับมือ AISL  ปั้น ไฮด์พาร์ค การ์เด้น บ้านซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่กว่า 6,500 ล้าน 

[PR News] คูน เอสเตท จับมือ AISL  ปั้น ไฮด์พาร์ค การ์เด้น บ้านซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่กว่า 6,500 ล้าน 

ไฮพาร์ค การ์เด้น คูน เอสเตท (Koon Estate)  จับมือกับ Asia International School Limited (AISL) ผู้บริหารการศึกษาโรงเรียนนานาชาติฮาร์โรว์ในระดับภูมิภาคเอเชีย ปั้นโครงการ  "ไฮด์พาร์ค การ์เด้น" บ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ ติดโรงเรียนนานาชาติฮาร์โรว์กรุงเทพฯ มูลค่าโครงการกว่า 6,500 ล้านบาท ตั้งเป้าเป็น Most Desirable Community สำหรับกลุ่มครอบครัวกำลัง ซื้อสูงทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ พร้อมเปิดบ้านตัวอย่างไตรมาส 2 ปีนี้    นายณัฐวัฒน์ คูวิจิตรสุวรรณ กรรมการบริหาร บริษัท คูน เอสเตท จำกัด  เปิดเผยว่า บริษัทได้จับมือ กับ  Asia International School Limited (AISL) ผู้บริหารโรงเรียนนานาชาติฮาร์โรว์ในภูมิภาคเอเชีย จำนวน 10 แห่ง เพื่อพัฒนาโครงการ ไฮด์พาร์ค การ์เด้น บ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ บนทำเลย่านดอนเมือง มูลค่าโครงการ 6,500 ล้านบาท ชูจุดเด่นบ้านหรูติดโรงเรียนนานาชาติฮาร์โรว์กรุงเทพฯ หวังปั้นเป็น คอมมิวนิตี้ต้นแบบเพื่อการศึกษาและการใช้ชีวิตอย่างลงตัว ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ด้วยสิ่งอำนวยความ สะดวก ที่หลากหลาย ซึ่งในอนาคตหวังจะนำโมเดลนี้ขยายไปยังโลเคชั่นอื่นๆ ต่อไป   ที่ผ่านมา บริษัท คูน เอสเตท จำกัด ได้พัฒนาโรงแรมคิมป์ตัน คีตาเล สมุย รีสอร์ตระดับลักซ์ชัวรีบนหาด เชิงมน เกาะสมุย โครงการบ้านหรูในทำเลใจกลางเมืองบนถนนสุขุมวิท ได้แก่ โครงการ Quarter Thonglor, Quarter 39 และ Quarter 31 นอกจากนี้ ยังได้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมอีก 5 โครงการ ได้แก่ Cooper Siam, Klass Langsuan, Klass Siam, Klass Sarasin และ Klass Silom รวมมูลค่าโครงการที่ผ่านมือมาแล้ว กว่า 9,800 ล้านบาท และล่าสุดกับโครงการ ไฮด์พาร์ค การ์เด้น ซึ่งตรงกับ DNA ของบริษัทที่ต้องการนำ เสนอแนวคิดใหม่ๆ ของการพัฒนาที่อยู่อาศัยรอบนอก เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ครอบครัวคนรุ่นใหม่ นางสาววัลเลอรี่ ชิวชร์ ผู้อำนวยการ Asia International School Limited (AISL) Academy และเป็นบุตรสาวของคุณแดเนียล ชิวชร์ ผู้ก่อตั้ง AISL กล่าวว่า AISL เป็นผู้บริหารการศึกษาโรงเรียนนานาชาติฮาร์โรว์ในระดับภูมิภาคเอเชีย ตั้งแต่ระดับอนุบาล ถึง มัธยมปลาย (K-12) จำนวน 10 แห่งทั่วเอเชีย ได้แก่ ประเทศไทย ฮ่องกง จีนและ ญี่ปุ่น  จำนวนนักเรียนทั้งหมด 7,074 คน และมีทีมงาน 1,876 คน จาก 34 ประเทศ   ที่ AISL โรงเรียนมีการจัดการหลักสูตรที่เป็นนวัตกรรมใหม่ๆ ที่รวมกับค่านิยมและมรดกของฮาร์โรว์กว่า 450 ปี และยังเข้าใจเป็นอย่างดีว่า การให้คุณค่ากับการศึกษาและปรับตัวกับแนวคิดใหม่ๆเป็นสิ่งสำคัญสำหรับโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แต่ละหลักสูตรจะได้รับการออกแบบมาให้เหมาะสมในแต่ละโรงเรียน และหลักสูตรที่มีการริเริ่มทำสิ่งใหม่ๆ ทำทำให้โรงเรียนสามารถส่งมอบคุณภาพการศึกษาที่ดีให้กับนักเรียนซึ่งจะเป็นประโยชน์กับเขาตลอดชีวิต   ปัจจุบันมีโรงเรียนนานาชาติฮาร์โรว์ 6 โรงเรียนที่สามารถรองรับนักเรียนทั้งไป-กลับ และ นักเรียนประจำ ตั้งแต่อายุ 18 เดือน – 18 ปี  และยังมีศูนย์ Harrow Li De Schools และ Harrow Little Lion Early Years Centre ที่ดูแลเด็กเล็กอายุ 2 – 6 ขวบ  ด้วยประสบการณ์การพัฒนาโรงเรียนที่ผ่านมา ทำให้เข้าใจถึงสภาพแวดล้อมการอยู่อาศัยนอกโรงเรียนมีความสำคัญเทียบเท่ากับการศึกษา ด้วยวิสัยทัศน์ของบริษัทที่ต้องการพัฒนาคุณภาพชีวิตทั้งด้านการศึกษาและการใช้ชีวิตประจำวันเข้าด้วยกัน ดังนั้นจึงมองหาบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีแนวความคิดในการทำงานเหมือนกัน และมีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และความเข้าใจในตลาดนิชพรีเมียมในประเทศไทย สำหรับโครงการ ไฮด์พาร์ค การ์เด้น เป็นโครงการบ้านเดี่ยวมูลค่าโครงการกว่า 6,500 ล้านบาท บนเนื้อที่ 52 ไร่ ในทำเลย่านดอนเมือง ติดกับโรงเรียนนานาชาติฮาร์โรว์กรุงเทพฯ นักเรียนสามารถเดินหรือขี่จักรยานไป โรงเรียนได้อย่างสะดวกผ่านทางทางเข้าพิเศษที่เชื่อมกับโรงเรียน ขนาดบ้านเริ่มต้นที่ 73 – 166 ตารางวา ราคาเริ่มต้น 35 -80 ล้านบาท  ออกแบบในสไตล์ Modern Tropical ให้ความรู้สึกสบายเหมือนพักผ่อน อยู่รีสอร์ท มีความทันสมัย ออกแบบให้มีห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่ ให้สมาชิกครอบครัวได้ทำกิจกรรมร่วมกัน และไฮไลท์พื้นที่ส่วนกลาง สวนสวยขนาดพื้นที่กว่า 5 ไร่ และคลับเฮ้าส์ขนาดใหญ่ รองรับกิจกรรมของ ครอบครัวและเด็กๆ เดินทางสะดวกใกล้สนามบินดอนเมือง ทางด่วนและรถไฟฟ้าสายสีแดง   จากข้อมูลของซีบีอาร์อี ประเทศไทย บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ระดับโลก พบว่า ภาพรวมตลาดบ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี่ขึ้นไป ที่ตั้งอยู่ในทำเลกรุงเทพฯ ตอนเหนือ ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 ของปี 2565 มีอัตรา ส่วนยอดขายอยู่ที่ 79% ซึ่งสูงกว่าอัตราเฉลี่ยของยอดขายบ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี่ในทำเลอื่น ๆ ซึ่งอยู่ที่ระดับ 67% ทั้งนี้ เนื่องมาจาก ทำเลกรุงเทพฯตอนเหนือมีที่ดินที่เหมาะสมในการพัฒนาจำนวนจำกัด ทำให้มีซัพพลายออกมาไม่มากนัก จึงทำให้โครงการบ้านเดี่ยวที่เปิดในทำเลนี้สามารถสร้างยอดขายได้เป็นลำดับต้นๆ และมียอดขายสะสมที่สูง เมื่อเทียบกับทำเลอื่นในกรุงเทพฯ โครงการจะเปิดบ้านตัวอย่าง ไตรมาส 2 ปี 2566   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -คูน เอสเตท ผุด คูเปอร์ สยาม เติมเต็มย่านนวัตกรรมแห่งสยาม ฉีกทุกคอนเซ็ปต์ครั้งแรกของวงการอสังหาฯ ไทยกับคอนโดแนวคิดใหม่ ‘Combo Loft’ ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ ชีวิตอิสระทั้งทำงาน และพักอาศัย
[PR News] รพ.อินเตอร์เมดิคัล ปั้นโปรเจกต์ “IMH Medical Hub” ย่าน BTS แบริ่ง

[PR News] รพ.อินเตอร์เมดิคัล ปั้นโปรเจกต์ “IMH Medical Hub” ย่าน BTS แบริ่ง

กลุ่มโรงพยาบาล อินเตอร์เมดิคัลฯ ​จับมือ​ “พรนริศ ชวนไชยสิทธิ์”  อดีตนายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย ปั้นที่ดิน 12 ไร่ย่านแบริ่ง ขึ้นโปรเจกต์  "IMH Medical Hub"   ย่าน BTS แบริ่ง กว่า 12 ไร่ หวังดัน “IMH” ติด TOP 3 กลุ่มธุรกิจโรงพยาบาลไทย     ดร.สิทธิวัตน์ กำกัดวงษ์ ประธานกรรมการบริหารกลุ่มโรงพยาบาลอินเตอร์เมดิคัล แคร์ แอนด์ แล็บ (“IMH”) เปิดเผยว่า ได้เตรียมปรับโครงสร้างกลุ่มบริษัท โดยแชร์ทรัพยากรร่วมกัน (synergy)​ ภายในกลุ่ม IMH​ ซึ่งประกอบด้วย โรงพยาบาล​อินเตอร์​เมด​ฯ โรงพยาบาล IMH​ ธนบุรี โรงพยาบาล มเหสักข์​ ย่านสีลม ที่เพิ่งซื้อกิจการเข้ามาใหม่ เพื่อปูทางสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่งไปสู่ การลงทุนเมกะโปรเจกต์ใหม่ ภายใต้ชื่อ "IMH​ Medical​ Hub" ที่คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ กลางปี 2568 นี้ สู่การ ปูทางเพื่อก้าวเป็นผู้ประกอบการในธุรกิจโรงพยาบาล TOP 3 ในกลุ่มโรงพยาบาลชั้นนำของปะเทศ   โดยล่าสุด กลุ่มโรงพยาบาล​ IMH ได้ลงนามในสัญญาเช่าพื้นที่ระยะยาว 30 ปี (ต่อได้อีก 30ปี รวม60ปี)​ ที่ดินเกรดเอ 12 ไร่  ติดสถานีรถไฟฟ้า BTS แบริ่ง (สายสุขุมวิท)​ เรียบร้อยแล้ว ซึ่งต้นปี 2566 นี้ IMH​ จะเริ่มพัฒนาที่ดินแปลงนี้ ร่วมกับ กลุ่มคุณ พรนริศ ชวน​ไชย​สิทธิ์​ อดีต​นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย และ ประธานกฎบัตร​ไทย ซึ่งเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงประสบความสำเร็จ​ในวงการอสังหา​ริมทรัพย์ เพื่อพัฒนา เมกะโปรเจกต์ใหม่ ภายใต้ชื่อ "IMH​ Medical​ Hub" ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 เฟส​ ดังนี้ โดยเฟส 1 คาดว่า จะเปิดให้บริการในครึ่งปีหลังของปี 2568 ประกอบด้วย โรงพยาบาล IMH​ แบริ่ง ขนาด 200​ เตียง รองรับคนไข้เงินสด และสิทธิประกันสังคม​ อาคาร Retail space ศูนย์แพทย์เฉพาะทาง &​ Wellness Center ส่วนเฟส  2 คาดว่าจะเปิดให้บริการ ปี 2571 ประกอบด้วย โรงพยาบาล IMH​ International ขนาด 400​ เตียง รับคนไข้เงินสด และต่างชาติ ศูนย์พักฟื้นผู้ป่วยและกายภาพบำบัด สำหรับ เมกะโปรเจกต์ “IMH​ Medical​ Hub” มีจุดเด่นคือ 1.ที่ตั้งโครงการมีศักยภาพสูง และพื้นที่มีขนาดใหญ่ถึง 12 ไร่ จึงสามารถจะขยายธุรกิจทางการแพทย์ได้หลากหลาย และดึงดูด พาร์ทเนอร์ที่มีประสบการณ์ มาร่วมลงทุน-แบ่งกำไร ทำให้ธุรกิจแต่ละส่วนในพื้นที่โครงการ อยู่แบบพึ่งพิงกันได้อย่างครบวงจร ซึ่งจะเป็นแม่เหล็กดึงดูดคนไข้เข้ามาใช้บริการในหลายรูปแบบ และ สามารถ cross -​sell บริการต่าง ๆ ในโครงการได้เป็นอย่างดี  ทำให้ได้เปรียบโรงพยาบาลอื่น ๆที่มีข้อจำกัดเรื่องพื้นที่ ซึ่งทำให้การขยายโรงพยาบาล​เป็นไปได้ยาก   2.ที่ตั้งโครงการ อยู่ติด BTS​ แบริ่ง ไป-มาสะดวก สามารถรับคนไข้ได้ทั้งกรุงเทพ​ และสมุทรปราการ พร้อมที่จอดรถ กว่า 800 คัน  และโครงการนี้ยังได้รับการ refer ฐานลูกค้าจาก โรงพยาบาล อื่น ในเครือ IMH​ อีกด้วย   3.การระดมลงทุนสำหรับโครงการนี้ เน้นการลงทุนทีละเฟส โดยใช้เงินทุนหมุนเวียน และเงินกู้จากสถาบันการเงิน ซึ่งปัจจุบัน กลุ่ม IMH​ อยู่ระหว่างเจรจากับพาร์ทเนอร์​ที่มีประสบการณ์ เช่น โรงพยาบาลเบอร์ต้นๆ ของประเทศ มาร่วมลงทุน-แบ่งกำไร ซึ่ง IMH​ จะได้รับส่วนแบ่งกำไร ตามส่วนธุรกิจที่พาร์ทเนอร์ ​เข้ามาลงทุน เพื่อรับรู้รายได้เร็วและคืนทุนเร็ว   4.ทางด้านการแพทย์และจัดหาบุคลากรวิชาชีพ นั้น กลุ่ม IMH​ ได้มอบหมายให้ นายแพทย์สุขุม กา​ญ​จน​พิมาย​ กรรมการ และ ประธานที่ปรึกษาของกลุ่มโรงพยาบาล​ ผู้มีประสบการณ์ด้านการแพทย์ สาธารณสุข และปัจจุบันเป็น นายกแพทยสมาคมฯ เป็นผู้ดูแล ให้มีแพทย์และวิชาชีพ ที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับและมีประสบการณ์​สูง ให้เพียงพอกับจำนวนคนไข้ที่เพิ่มมากขึ้น 5.ทางด้าน Retail space นั้น กลุ่ม IMH​ ได้มอบหมายให้ คุณบุณยฤทธิ์​ กัลยาณมิตร​ กรรมการกลุ่มโรงพยาบาล ที่มีประสบการณ์ด้านการค้าการพาณิชย์ เป็นผู้ดูแล โดยเบื้องต้น IMH​ จะให้เช่าพื้นที่ Retail space ซึ่งอยู่ใกล้สถานที่รถไฟฟ้า BTS แบริ่ง ที่มีคนเข้า-ออกเป็นจำนวนมากทุกวัน จะออกแบบให้เป็นพื้นที่ Retail Mall จำหน่ายสินค้า/บริการ เกี่ยวกับสุขภาพทุกประเภท ตั้งเป้าให้เป็น Organic Market Place ขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศ และ จะเปิดให้บริการได้ทันที ระหว่างการก่อสร้างโรงพยาบาล โดยใช้ประโยชน์จากพื้นที่ดินในส่วนที่ยังไม่ได้ก่อสร้าง เพื่อให้เกิดการทำรายได้สูงสุด สำหรับรายได้ของ เมกะโปรเจกต์ ​IMH​ Medical Hub  ได้ตั้งเป้าไว้ระดับ 5,000 ล้านบาท ใน 5 ปี ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางนโยบายของภาครัฐ ที่จะดันประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ ในระยะใกล้นี้    
[PR News]ซัมซุงชูวิสัยทัศน์หลัก Sustainable Living และ Connectivity  เป้าครองเป็นผู้นำตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในไทย ภายใน 3 ปี

[PR News]ซัมซุงชูวิสัยทัศน์หลัก Sustainable Living และ Connectivity เป้าครองเป็นผู้นำตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในไทย ภายใน 3 ปี

ซัมซุงชูวิสัยทัศน์ Sustainable Living และ Connectivity มอบประสบการณ์การใช้ชีวิตที่ยั่งยืนและเชื่อมต่อแบบอัจฉริยะ ชูนวัตกรรมเปลี่ยนโลก "SmartThings" พร้อม เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ทำตลาดครบทุกกลุ่ม ขยายไลน์กลุ่ม Bespoke เพิ่มผลิตภัณฑ์กลุ่มไลฟ์สไตล์มากขึ้น พร้อมเปิดตัวธีมของปี “Samsung Live A New Day” ตั้งเป้าความสำเร็จเป็นผู้นำตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในเมืองไทย ภายใน 3 ปี [PR News]ซัมซุงชูวิสัยทัศน์หลัก Sustainable Living และ Connectivity เจนนิเฟอร์ ซอง ประธานบริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด เปิดเผยว่า “ปี 2565 ที่ผ่านมา ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในประเทศไทย พบว่าผลิตภัณฑ์ในกลุ่มพรีเมียมเติบโตสูง ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับซัมซุงที่กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าพรีเมียมมียอดขายเติบโต 2 เท่า ตอกย้ำความเชื่อมั่นของผู้บริโภคชาวไทยที่มีต่อซัมซุง ซึ่งเป็นแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าอันดับหนึ่งในใจผู้บริโภคที่มุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมสินค้าทุกประเภทเพื่อยกระดับการใช้ชีวิตที่ดียิ่งขึ้น โดยปีนี้ซัมซุงเตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้ารวมกว่า 100 รุ่น”   “นอกจากนี้ซัมซุงยังประสบความสำเร็จในระดับโลก โดยได้รับการจัดอันดับจากอินเตอร์แบรนด์ ให้เป็น 1 ใน 5 บริษัทที่ดีที่สุดตามการจัดอันดับ Best Global Brands 2022 รวมถึงซัมซุงยังครองความเป็นผู้นำอันดับ 1 ในตลาดทีวีระดับโลกต่อเนื่องเป็นปีที่ 16 และครองอันดับ 1 ยอดขาย Soundbar ติดต่อกัน 8 ปี และล่าสุดได้รับ 42 รางวัล ในงาน International Design Excellence Awards 2022 (IDEA) ด้วยสุดยอดนวัตกรรมการออกแบบที่ช่วยยกระดับไลฟ์สไตล์และประสบการณ์ของผู้บริโภคที่ไม่เคยหยุดนิ่ง และได้รับ 46 รางวัลนวัตกรรมจาก CES® 2023 Innovation Awards รวมถึงรางวัลสุดยอดนวัตกรรม (Best of Innovation) ถึง 3 รางวัล”   “ซัมซุงยังคงเดินหน้าตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านการให้ความสำคัญเรื่องสิ่งแวดล้อมเพื่อการใช้ชีวิตที่ง่ายขึ้นและอนาคตที่ยั่งยืน ผ่านนวัตกรรมทันสมัยและการเชื่อมต่ออัจริยะ และเน้นเรื่องมอบประสบการณ์กลุ่มผลิตภัณฑ์ Bespoke การปรับแต่งเพื่อบ่งบอกตัวตน ซึ่งซัมซุงเป็นแบรนด์แรกและแบรนด์เดียวที่มีความแข็งแกร่งด้าน Personalization การปรับแต่งด้วยดีไซน์ที่สามารถเลือกเองตามความชอบที่สะท้อนสไตล์ของแต่ละคน ทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้าสร้างคุณค่าทางจิตใจ ดึงเอกลักษณ์ของเจ้าของออกมาอย่างชัดเจน สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้บริโภคทำความต้องการให้เป็นจริงและตอบโจทย์การใช้ชีวิตมากที่สุด" Samsung Live A New Day ทุกวันนี้ชีวิตบนโลกเปลี่ยนแปลงเร็ว บ้านในวันนี้ไม่เหมือนเมื่อวาน ซัมซุงมุ่งพัฒนาและสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์เพื่อแสดงออกถึงบุคลิกของผู้อาศัย ตรงความต้องการยิ่งขึ้น เปรียบเหมือนวันใหม่ วิถีใหม่ของการใช้ชีวิต เครื่องปรับอากาศจะเป็นมากกว่าแค่อุปกรณ์ทำความเย็น ทีวีไม่เพียงแค่มอบความบันเทิงเท่านั้น เมื่อเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านสะท้อนถึงสุนทรียภาพของทัศนคติ บ่งบอกไลฟ์สไตล์แต่ละบุคคล    Bringing Calm to Our Connected World มอบพลังการควบคุมแก่ผู้บริโภคบนโลกด้วยทุกอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกันได้ เมื่อนวัตกรรมกำหนดนิยามใหม่ของการใช้ชีวิตอย่างชาญฉลาดด้วยบ้านอัจฉริยะ ซัมซุงผลักดันนวัตกรรม SmartThings เพื่อส่งมอบประสบการณ์การใช้ชีวิตที่ทุกๆ อุปกรณ์ในพื้นที่หรือจุดสำคัญที่มีความจำเป็นกับผู้บริโภคในชีวิตประจำวัน จะดำเนินไปพร้อมกับการมีส่วนร่วมสร้างอนาคตที่ยั่งยืนกว่าเดิม ซึ่งเกิดจากความตั้งใจของซัมซุงที่จะมอบพลังการควบคุม ให้กับผู้บริโภคบนโลกสามารถใช้ทุกอุปกรณ์เชื่อมโยงกัน มอบประสบการณ์ที่ดีกว่า เข้าถึงผู้บริโภคแต่ละคนได้มากกว่าและใช้งานง่ายกว่าเดิม   โดย SmartThings สำหรับผู้บริโภคเป็นแพลตฟอร์มแรกที่ได้รับการรับรองมาตรฐานด้านพลังงาน ENERGY STAR SHEMS  อีกด้วย รวมถึงให้ความสำคัญเรื่องสิ่งแวดล้อมเพื่อการใช้ชีวิตที่ง่ายขึ้นและอนาคตที่ยั่งยืน พร้อมตอกย้ำอีโคซิสเต็มที่เชื่อมต่อกันอย่างชาญฉลาด ซัมซุงประกาศกลยุทธ์ด้านสิ่งแวดล้อม Net Zero เพื่อให้การปล่อยมลพิษสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050 รวมถึงการเข้าร่วม RE100 ซึ่งเป็นโครงการริเริ่มระดับโลกที่ซัมซุงทุ่มเทแสวงหาพลังงานหมุนเวียน 100% นอกจากนี้ยังได้สร้าง Eco Packaging เพื่อสิ่งแวดล้อม คืนชีวิตให้กับกล่องบรรจุภัณฑ์ นำกลับมาใช้ใหม่ หรือเอามาประดิษฐ์เป็นของใช้ที่มีประโยชน์ เช่น กล่องใส่ทีวี ที่นำมาดัดแปลงเป็นของใช้ในบ้านที่หลากหลาย หรือ Solar Cell Remote ประหยัดพลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน   นอกจากนี้ ตลาดผู้บริโภคในปี 2566 โดยรวมทั้งหมด ยังคงมองหาฟังก์ชันการใช้งานที่ตอบโจทย์ อีกทั้งให้ความบันเทิงที่มากกว่าและใส่ใจสิ่งแวดล้อมยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นตลาดทีวีพรีเมียม การออกแบบผลิตภัณฑ์สำหรับ Bespoke และ Smart Home ชีวิตที่ให้บ้านเป็นเทรนด์การใช้ชีวิตรูปแบบใหม่ ดังนั้นผู้บริโภคจึงมองหาการเชื่อมต่อเพื่อรองรับชีวิตส่วนตัวและการทำงาน โดยประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 3 (72%) สำหรับความต้องการติดตั้งสมาร์ทโฮม รองจากเวียดนาม (84%) และอินโดนีเซีย (81%)  ซึ่งยังมีความเป็นไปได้ที่ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านอัจฉริยะจะเติบโตสูงขึ้น แม้ว่าเศรษฐกิจไทยจะมีแนวโน้มลดลงในช่วงที่ผ่านมา แต่ช่องว่างระหว่างครัวเรือนที่มีรายได้สูงและครัวเรือนที่มีรายได้น้อยกลับกว้างขึ้น  นั่นหมายถึงผู้บริโภคระดับพรีเมียมที่สูงขึ้น   ตลาดทีวีพรีเมียมมาแรง ตลาดทีวีปีที่ผ่านมา ผู้บริโภคให้การตอบรับทีวีจอใหญ่มากขึ้น ทำให้สัดส่วนหน้าจอตั้งแต่ 65 นิ้วขึ้นไป เติบโตขึ้นมากแบบเห็นได้ชัดถึง 1.5 เท่า ทีวีพรีเมียมยังคงเติบโตสูง ในปี 2565 ยอดขาย Samsung Neo QLED เติบโตขึ้นถึง 3 เท่า เฉพาะ Neo QLED 8K เติบโตถึง 4 เท่า ไลฟ์สไตล์ทีวียังเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เติบโตได้ดี และยังจะเป็นกลุ่มที่ซัมซุงให้ความสำคัญต่อเนื่องในปีนี้ โดยปีที่ผ่านมายอดขายไลฟ์สไตล์ทีวีโต 2 เท่า นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์กลุ่มเครื่องเสียงของซัมซุงที่ใช้คู่กับทีวี เช่น Soundbar รวมไปถึง Sound Tower ก็ได้รับการตอบรับจากตลาดมากขึ้นตามไปด้วย ทำให้ยอดขายของ Soundbar เติบโต 1.5 เท่า ปัจจัยการเติบโตหลักของกลุ่มภาพและเสียงของซัมซุง มาจากผลิตภัณฑ์กลุ่มพรีเมียม ไลฟ์สไตล์ทีวี รวมถึงได้แรงหนุนจากเทศกาลฟุตบอลระดับโลก ตลอดจนการจับมือกับพาร์ทเนอร์จัดโปรโมชั่นต่างๆ ที่โดนใจผู้บริโภค อาทิ ร่วมกับมินิคูเปอร์, BMW, Snow Peak และ 333 Gallery   ในปี 2566 ซัมซุงจะส่งผลิตภัณฑ์ทีวีรุ่นใหม่ๆ ออกสู่ตลาดอีกมากมาย อาทิ Samsung OLED TV ที่ขณะนี้เปิดให้พรีออเดอร์พร้อมโปรโมชั่นพิเศษ, Neo QLED รุ่นใหม่, Lifestyle TV และทีวีรุ่นที่มี IOT บิลท์อินในตัว เป็นต้น รวมถึงการยกระดับประสบการณ์ของผู้บริโภคทั้งในช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ เช่น ผู้บริโภคออนไลน์จะได้เห็นภาพผลิตภัณฑ์ในมุมต่างๆ อย่างสวยงามชัดเจน และมีการจำลองภาพให้เห็นว่า การนำผลิตภัณฑ์แต่ละรุ่นไปวางตกแต่งในแต่ละห้องจะออกมาเป็นอย่างไร ส่วนหน้าร้านจะมีการเลือกผลิตภัณฑ์ที่วางจำหน่ายในแต่ละช่องทางให้เหมาะกับกลุ่มลูกค้าในช่องทางนั้นๆ โดยกลุ่มภาพและเสียงซัมซุงตั้งเป้าการเติบโตในปี 2566 ที่ 17%   จัดเต็มไลน์อัพเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านทุกกลุ่ม เน้น Bespoke กลยุทธ์การตลาดที่เหนือคู่แข่ง ปีที่ผ่านมา กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านของซัมซุงในภาพรวมเติบโต 5% กลุ่มเครื่องซักผ้าและตู้เย็นเติบโต 5%        กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก (เตาอบไมโครเวฟ เครื่องดูดฝุ่นและเครื่องฟอกอากาศ) เติบโต 10% ปัจจัยหลักมาจากวิถีการใช้ชีวิตที่ปลี่ยนแปลง สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่มีฤดูกาลที่แน่นอนทำให้ผู้บริโภคต้องการเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเครื่องใช้ไฟฟ้าซัมซุงมีนวัตกรรมล้ำหน้า รวมถึงกลุ่มตลาดพรีเมียมที่ขยายตัวขึ้น และซัมซุงมีผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคกลุ่มนี้ โดยเฉพาะกลุ่ม Bespoke ที่ซัมซุงเป็นผู้บุกเบิกตลาด ส่งผลให้เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านกลุ่มพรีเมียมของซัมซุงเติบโตถึง 2 เท่าจากปี 2564   ในปี 2566 ซัมซุงเตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ๆ รวมถึงกลุ่ม Bespoke Home ภายใต้แนวคิด Bespoke My Life มุ่งเน้น 1.ไลฟ์สไตล์ที่ผู้บริโภคออกแบบเองได้ เช่น ตู้เย็นสามารถออกแบบได้ทั้งสีสันและฟังก์ชันการใช้งานให้เหมาะกับความต้องการและพื้นที่ และจะขยายไลน์ Bespoke ออกไปสู่กลุ่มผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของซัมซุง 2. Sustainability การประหยัดพลังงานด้วย AI Saving Mode และความทนทานของผลิตภัณฑ์ ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าของผู้บริโภค โดยซัมซุงมั่นใจในคุณภาพผลิตภัณฑ์ ขยายเวลารับประกันอินเวอร์เตอร์มอเตอร์เครื่องซักผ้าและอินเวอร์เตอร์คอมเพรสเซอร์ตู้เย็นออกไปเป็น 20 ปี ซึ่งถือว่าเป็นการรับประกันที่นานที่สุดในตลาดขณะนี้ และ 3.Connectivity การเชื่อมโยงอัจฉริยะผ่าน SmartThings โดยในปีนี้ซัมซุงตั้งเป้าเติบโต 2 เท่าสำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านกลุ่มพรีเมียม   ผู้นำด้านโซลูชั่นเครื่องปรับอากาศตัวจริง ซัมซุงตั้งเป้าเป็นผู้นำด้านโซลูชั่นเครื่องปรับอากาศด้วยผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ทั้งกลุ่มลูกค้าบ้านที่อยู่อาศัยทั่วไปและกลุ่มลูกค้าองค์กร โดยปีที่ผ่านมาเครื่องปรับอากาศพรีเมี่ยมในกลุ่ม WindFree เติบโตถึง 30% ส่วนยอดขายกลุ่ม B2B เติบโตถึง 40% สำหรับในปีนี้ซัมซุงเตรียมเปิดตัวไลน์อัพเครื่องปรับอากาศรุ่นใหม่ในกลุ่ม WindFree แบบจัดเต็ม ทั้งรุ่น WindFree Premium Plus, WindFree AI, WindFree, 360 Cassette, WindFree 1-Way Cassette, WindFree 4-Way Cassette และ Ceiling ตอกย้ำความเป็นผู้นำนวัตกรรมเครื่องปรับอากาศ WindFree แบรนด์แรกของโลก พร้อมขยายระยะเวลารับประกันสูงสุดถึง 10 ปี นอกจากนี้ยังพร้อมบุกตลาดลูกค้าองค์กรด้วยระบบเครื่องปรับอากาศ DVM S2, Free Joint Multi (FJM) และ Ceiling Fixed Speed R32 Mark5   SmartThings มอบประสบการณ์ Hyper-Connected ที่พัฒนาให้ชีวิตสะดวกสบายยิ่งขึ้น SmartThings เป็นแพล็ตฟอร์มสมาร์ทโฮมอัจฉริยะ ยกระดับการเชื่อมต่อภายในบ้านให้ชีวิตสมาร์ทยิ่งขึ้นด้วย Home Automation ที่ครบวงจร ทางเลือกใหม่ให้ผู้คน Live a New Day ยกระดับประสิทธิภาพของเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านรวมเข้ากับ SmartThings ในแบบที่ไม่มีใครเคยทำมาก่อน ซัมซุงเป็นแบรนด์แรกและแบรนด์เดียวที่ผลิตนวัตกรรมล้ำหน้า SmartThings สามารถควบคุมการใช้พลังงานของเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านได้แบบเรียลไทม์ ผ่านแอพพลิเคชัน SmartThings ที่สามารถสั่งการให้เครื่องใช้ไฟฟ้าประเภทใดก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นทีวี ตู้เย็น เครื่องซักผ้า เครื่องปรับอากาศ หรือโซล่าเซลล์ มอบทั้งความสะดวกสบาย เอื้อชีวิต Multi Tasking มากขึ้น ปลอดภัย ควบคุมและติดตามการใช้พลังงานของเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน และที่สำคัญให้ผู้ใช้งานสามารถประหยัดพลังงานและควบคุมค่าใช้จ่ายได้ และด้วยโหมด AI Saving Mode จะช่วยประหยัดพลังงานได้อย่างยั่งยืน และช่วยลดค่าไฟโดยเฉลี่ยได้ถึง 40% เปลี่ยนบ้านธรรมดาเป็นบ้านอัจฉริยะ นับเป็นนวัตกรรม breakthrough ของการใช้ชีวิตแบบ Live a New Day อย่างแท้จริง   บทความน่าสนใจ รีวิว Dyson V11 Absolute จากเรื่องจริงที่ใช้แล้วฟินเลยต้องบอกต่อ 7 เรื่องต้องรู้ “GREE” แอร์เบอร์ 1 ของโลก 4 จุดเสี่ยง ปัญหาบ้าน ช่วงหน้าร้อน ที่ต้องตรวจเช็คด่วน
คืบหน้า ‘ทาวน์ เซ็นเตอร์’ ในเดอะ ฟอเรสเทียส์ ตั้งเป้าเปิดส่วนแรกปลายปี พ.ศ. 2566

คืบหน้า ‘ทาวน์ เซ็นเตอร์’ ในเดอะ ฟอเรสเทียส์ ตั้งเป้าเปิดส่วนแรกปลายปี พ.ศ. 2566

คืบหน้า ‘ทาวน์ เซ็นเตอร์’ ในเดอะ ฟอเรสเทียส์ “ทาวน์ เซ็นเตอร์ที่เรากำลังเร่งสร้างอยู่นี้เป็นองค์ประกอบสำคัญตามความมุ่งมั่นของเรา ที่จะทำให้เดอะ ฟอเรสเทียส์ เป็นสังคมที่เปี่ยมไปด้วยความสุข ความมีชีวิตชีวา และนำพาครอบครัวให้มาอยู่ใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น”  นายกิตติพันธุ์ อุยยามะพันธุ์ ผู้อำนวยการโครงการ เดอะ ฟอเรสเทียส์ โดย MQDC     การก่อสร้าง ‘ทาวน์ เซ็นเตอร์’ ในเดอะ ฟอเรสเทียส์ คืบหน้า ตั้งเป้าเปิดพื้นที่กิจกรรมความสุขของครอบครัว ส่วนแรกปลายปี พ.ศ. 2566   MQDC (บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด) หนึ่งในบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศไทย ประกาศวันนี้ว่า กำลังเร่งเครื่องการก่อสร้างพื้นที่ส่วนทาวน์ เซ็นเตอร์ ในโครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ ขนาด 398 ไร่ บนถนนบางนา-ตราด ก.ม. 7 ซึ่งเป็นโครงการที่ได้รับรางวัลยกย่องมากมาย และเป็นโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของภาคเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มูลค่า 125,000 ล้านบาท ซึ่งนอกจากทาวน์ เซ็นเตอร์แล้ว ในพื้นที่ของเดอะ ฟอเรสเทียส์ ยังประกอบไปด้วยโครงการที่พักอาศัยหลากหลายแบรนด์ โรงแรม พื้นที่และสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี รวมถึงป่าพื้นที่ 30 ไร่ด้วย   ทาวน์ เซ็นเตอร์ ในโครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ มีขนาดใหญ่ครอบคลุมพื้นที่ 46 ไร่ โดย MQDC ได้ทุ่มเงินลงทุนประมาณ 20,000 ล้านบาทในการพัฒนาส่วนแรกของทาวน์ เซ็นเตอร์ ซึ่งมีกำหนดที่จะเปิดก่อนสิ้นปี 2566     นายกิตติพันธุ์ อุยยามะพันธุ์ ผู้อำนวยการโครงการ เดอะ ฟอเรสเทียส์ โดย MQDC เปิดเผยว่า “ทาวน์ เซ็นเตอร์ เป็นแนวคิดใหม่ที่พัฒนาในสเกลที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งเราหวังว่าจะเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญก้าวใหม่ ในการวางแผนพัฒนาสังคมแห่งสุขภาพที่ดีและความสุข โดยทาวน์ เซ็นเตอร์ เป็นแก่นสำคัญของโครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ ที่ทำหน้าที่เชื่อมความสัมพันธ์ในชุมชนแห่งนี้ และนำพาครอบครัวให้มาอยู่ใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น ด้วยเหตุผลนี้ เราจึงออกแบบพื้นที่ส่วนนี้ให้เป็นที่ที่สมาชิกทุกคนในครอบครัวจากทุกเจเนอเรชั่น จะสามารถมาทำกิจกรรมที่ตอบโจทย์ชีวิต การพักผ่อนหย่อนใจ และความบันเทิง ตามที่ตัวเองต้องการได้ นอกจากนั้น เรายังได้สร้างสรรค์ให้พื้นที่ส่วนนี้ช่วยสร้างโอกาสให้ผู้คนได้มามีปฏิสัมพันธ์กัน ไม่ว่าจะเป็นการทำกิจกรรมประจำวัน หรือกิจกรรมทางสังคม และกิจกรรมนันทนาการต่างๆ หรือแม้กระทั่งจะมาเดินเล่นเฉยๆ ก็ได้”   “ทาวน์ เซ็นเตอร์ ประกอบด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายตามแบบฉบับของการเป็นพื้นที่ศูนย์กลางของเมืองในยุคใหม่ที่ทันสมัย มีชีวิตชีวา มีการวางผังต่างๆ อย่างดี และจะได้รับการดูแลรักษาในระดับมาตรฐานเดียวกันกับเมืองล้ำๆ ตามที่ต่างๆ ในโลก รวมทั้งได้เพิ่มความพิเศษอย่างมากเข้าไปด้วยพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ที่ร่มรื่นและสดชื่น องค์ประกอบส่วนภายในอาคารและภายนอกอาคารได้รับการออกแบบให้เชื่อมต่อกันอย่างกลมกลืนเป็นธรรมชาติ ทั้งยังใกล้กับผืนป่าขนาด 30 ไร่ใจกลางเดอะ ฟอเรสเทียส์ ในระยะเดินเพียงสั้นๆ”     นางสาวอรดา เกิดหงษ์ ประธานผู้อำนวยการ – Storied Place Management, MQDC เปิดเผยว่า “ทาวน์ เซ็นเตอร์ ของเดอะ ฟอเรสเทียส์ มีพื้นที่ สิ่งอำนวยความสะดวก และกิจกรรมต่างๆ ที่หลากหลายเป็นอย่างมาก เป็นทาวน์ เซ็นเตอร์ อย่างแท้จริง ที่มีความผสมผสาน แต่ก็เป็นแต่เป็นสัดเป็นส่วน และมีประสบการณ์ที่น่าค้นหาและรู้สึกเซอร์ไพรส์ได้ตลอดเวลา”   นอกจากสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับกิจกรรมประจำวันแล้ว ยังมีพื้นที่มาร์เก็ตให้ได้จับจ่ายใช้สอยอยู่อีกมากมายหลายจุด รวมไปถึงธีมมาร์เก็ตฮอลล์ ลานกิจกรรม และขบวนพาเหรดเฉลิมฉลองเทศกาลต่างๆ ตื่นตาตื่นใจตลอดทั้งปี นอกจากนี้ยังมีพื้นที่และสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับกีฬาและการออกกำลังกายหลากหลายรูปแบบ รวมไปถึงพื้นที่สำหรับการศึกษาเรียนรู้ และความบันเทิง พื้นที่เพื่อสุขภาพและคุณภาพชีวิต โคเวิร์คกิ้ง สเปซ ตลอดจนแอมฟิเธียเตอร์สำหรับจัดกิจกรรมกลางแจ้งต่างๆ     นางสาวอรดากล่าวต่อไปว่า เพื่อให้เป็นทาวน์ เซ็นเตอร์อย่างแท้จริง เราได้เน้นเป็นอย่างมากกับการสร้างสรรค์ สถานที่แฮงค์เอาท์หลากหลายรูปแบบ พร้อมเมนูอาหารและทางเลือกในการดื่มกินแบบต่างๆ ตอบโจทย์ทุกสไตล์ และหลากหลายราคา   ในบรรดาพื้นที่ที่ก่อสร้างใกล้จะเสร็จสมบูรณ์เป็นส่วนแรกๆ ได้แก่ โรงละครอเนกประสงค์ภายในอาคาร ซึ่งสามารถใช้เป็นสถานที่จัดการแสดงต่างๆ ได้ รวมถึงจัดแสดงงานศิลปะ งานแสดงสินค้า นิทรรศการ การประชุม และงานแต่งงาน รวมทั้งให้ผู้อยู่อาศัยในเดอะ ฟอเรสเทียส์ ใช้เป็นเวทีจัดแสดงละครเองได้ด้วย   ในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา เดอะ ฟอเรสเทียส์ ได้เปิดตัวแนวคิดใหม่ของการอยู่อาศัย ภายใต้แบรนด์ “มัลเบอร์รี่ โกรฟ เดอะ ฟอเรสเทียส์ วิลล่า” ซึ่งนำเสนอบ้านในรูปแบบคลัสเตอร์โฮม ที่เปิดโอกาสให้สมาชิกในครอบครัวเดียวกัน จากหลายเจเนอเรชั่น ได้อยู่อาศัยในบ้านที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ กัน สามารถใช้เวลาร่วมกันได้มากขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็ยังคงรักษาความเป็นส่วนตัวในบ้านแยกหลังของตัวเอง ซึ่งแนวคิดนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากวิถีการใช้ชีวิตของครอบครัวไทยดั้งเดิมนั่นเอง   บ้านเดี่ยวในโครงการมัลเบอร์รี่ โกรฟ เดอะ ฟอเรสเทียส์ วิลล่ามีขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ประมาณ 1,000 ตารางเมตร จนถึงประมาณ 1,700 ตารางเมตร ราคาขายตั้งแต่ประมาณ 185 ล้านบาทไปจนถึง 310 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมี มัลเบอร์รี่ โกรฟ เดอะ ฟอเรสเทียส์ คอนโดมิเนียม ซึ่งออกแบบภายใต้แนวคิดคล้ายๆ กัน โดยมีขนาดให้เลือกตั้งแต่ 63 ตารางเมตรไปจนถึง 1,027 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 15 ล้านบาท   วิลล่าอื่นๆ ที่อยู่ในระหว่างการก่อสร้างในพื้นที่โครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ ภายใต้แบรนด์ต่างๆ ได้แก่ ซิกส์เซนส์ เรสซิเดนซ์ ที่สุดหรูหรา ซึ่งเป็นซิกส์เซนส์ เรสซิเดนซ์แห่งแรกที่สร้างขึ้นในประเทศไทย     ส่วนโครงการที่พักอาศัยอื่นๆ ในเดอะ ฟอเรสเทียส์ ประกอบด้วยคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์วิสซ์ดอม จำนวน 3 อาคาร ซึ่งออกแบบเพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ของคนเริ่มทำงาน คู่สมรสใหม่ที่เริ่มสร้างครอบครัว และมีหนึ่งอาคารที่ออกแบบเป็นพิเศษสำหรับคนรักสัตว์เลี้ยง โดยมีขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ประมาณ 35 ตารางเมตรไปจนถึง 205 ตารางเมตร นอกจากนี้ยังมีคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ ดิ แอสเพนทรี และสกายวิลล่า ซึ่งมีจุดเด่นอยู่ที่การมอบบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อการดูแลผู้พักอาศัยอย่างครบวงจรตลอดชีวิต   เดอะ ฟอเรสเทียส์ตั้งอยู่ในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกที่กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็วบนถนนบางนา-ตราด กม. 7 ถือเป็นโครงการต้นแบบระดับโลกแห่งใหม่ในการพัฒนาเมือง รวมทั้งเป็นโครงการเมืองแห่งแรกของโลกที่ออกแบบทุกมิติเพื่อการใช้ชีวิตที่มีสุขภาพดียิ่งขึ้นและมีความสุขมากขึ้น ตัวโครงการได้รับการออกแบบรังสรรค์และก่อสร้างโดยผู้เชี่ยวชาญซึ่งได้รับการยอมรับและยกย่องมากที่สุดกลุ่มหนึ่งของโลก จนถึงขณะนี้โครงการได้รับรางวัลจากทั่วโลกแล้วมากกว่า 42 รางวัล ซึ่งรับรองความโดดเด่นในด้านการส่งเสริมสุขภาพที่ดีขึ้นในการอยู่อาศัย คุณภาพสิ่งแวดล้อม และความยั่งยืน อาทิ รางวัล Gold Award for Urban Design และรางวัลSilver Award for Sustainable Living and Green Design ซึ่งมอบให้โดยสถาบัน International Design Awards (IDA) อันทรงเกียรติ รางวัล Platinum Award สาขาความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมจากเวที Outstanding Property Awards London อีกทั้งได้รับเลือกให้ได้รับรางวัล Global Settlements Award ด้านการวางแผนและออกแบบจาก Global Forum on Human Settlements และรางวัลจาก International Federation of Landscape Architects   จนถึงขณะนี้ โครงการที่พักอาศัยแบรนด์ต่างๆ ในเดอะ ฟอเรสเทียส์มียอดขายรวมกัน เกินกว่า 22,000 ล้านบาท   บทความอื่นที่เกี่ยวข้อง Mulberry Grove The Forestias Villas บ้านคลัสเตอร์ แนวคิดใหม่ MQDC เปิดขาย “Whizdom The Forestias : Mytopia” อย่างเป็นทางการ MQDC เผยความสำเร็จ “ซิกส์เซนส์ เรสซิเดนซ์”
[PR News] คาราเพซ หัวหิน – เขาเต่า จัดโปรราคาเดียว 3.5 ล้าน  ชูการันตีผลตอบแทน 5% 5 ปี สร้างเสร็จพร้อมโอน

[PR News] คาราเพซ หัวหิน – เขาเต่า จัดโปรราคาเดียว 3.5 ล้าน ชูการันตีผลตอบแทน 5% 5 ปี สร้างเสร็จพร้อมโอน

โครงการคาราเพซ "คาราเพซ หัวหิน - เขาเต่า" เสร็จสมบูรณ์ทั้งโครงการ พร้อมเปิดให้บริการในส่วนของโรงแรม ล่าสุด จ่ายผลตอบแทนการันตีที่ 5% 5 ปี ไตรมาสแรกกับเจ้าของร่วมแล้ว ชู 7 จุดเด่น รับชีวิตวัยเกษียณ พร้อมอัดโปรโมชั่นพิเศษสุดก่อนปิดโครงการ ทุกห้อง ทุกชั้น ราคาเดียว 3.5 ล้านบาท   นายสุวิชัย เจนธนอรรถกิจ ประธานกรรมการบริหาร และ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วัน เพลส เอสเตท จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันโครงการ “คาราเพซ หัวหิน-เขาเต่า” (CARAPACE Huahin-Khaotao) คอนโดมิเนียมหรูติดทะเล หัวหิน-เขาเต่าได้ก่อสร้างแล้วเสร็จทั้งโครงการ พร้อมโอนกรรมสิทธิ์ให้กับเจ้าของห้องชุด Rare Item ติดทะเลเขาเต่าได้แล้ว ซึ่งเจ้าของห้องจะได้ทั้งทรัพย์สิน และเข้าพักผ่อนได้ โดยบริษัทได้จ่ายผลตอบแทนการลงทุนให้กับเจ้าของร่วมในโครงการไตรมาสแรกเป็นที่เรียบร้อยว่า เจ้าของห้องชุดยังได้รับ Passive income ซึ่งการันตีผลตอบแทนการลงทุนสูงถึง 5%* นาน 5 ปี* นานต่อเนื่องถึง 15 ปี* นับเป็นการฉีกกฎการลงทุนแบบเดิม ๆ ด้วยการลงทุนรูปแบบใหม่ ที่ให้ผู้บริโภคได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์คอนโด และปล่อยเช่าได้แบบไม่ต้องดูแลเอง การลงทุนลักษณะนี้ ถือเป็นทางเลือกการลงทุนก่อนเกษียณ เพื่อรับ Passive income แบบไม่ต้องเสี่ยง เงินเดือนอย่างเดียวไม่อาจทำให้เราใช้ชีวิตหลังเกษียณได้อย่างสบาย เพราะฉะนั้น เราควรมองหาการลงทุนเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นหลังเกษียณ ตั้งแต่วัย 30  เป็นต้นไป   นายสุวิชัย  กล่าวว่า ​เหตุผลที่ทำให้  การวางแผนการลงทุนในรูปแบบ Investment Property กับโครงการคาราเพซ หัวหิน- เขาเต่า ดีกว่าการลงทุนในรูปแบบอื่น เนื่องจากมี 7 ข้อเด่นด้วยกัน ได้แก่ 1.ผู้ลงทุนได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในหนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุด(โฉนด) แบบ (Freehold) และเป็นเจ้าของสินทรัพย์ที่ลงทุนไป 2.สามารถขายต่อหรือเปลี่ยนมือได้ตลอดเวลา ส่งต่อเป็นมรดกให้ลูกหลานได้ 3.เป็นการลงทุนที่มีความแน่นอน มั่นคงกว่าหุ้นและกองทุน โดยไม่ต้องรับความเสี่ยงเรื่องความเสียหายของมูลค่าการลงทุน 4.บริหารโดยมืออาชีพเชนโรงแรมชื่อดังระดับโลก Best Western 5.ให้ผลตอบแทนระยะยาว 15 ปี (Passive Income) ซึ่งมากกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารในปัจจุบัน 6.สามารถเก็งกำไรได้ดี สร้าง Capital Gain อย่างต่อเนื่องด้วยทำเลที่ตั้งเด่น กับคอนเซ็ปต์โครงการที่ชัดเจน พร้อมผลตอบแทนระยะยาวอย่างต่อเนื่อง กับการบริหารโดยเชนระดับโลก 7.ได้สิทธิ์พักฟรี 15 คืน ต่อปี โครงการ “คาราเพซ หัวหิน-เขาเต่า” ถือเป็นคอนโดทางเลือกสำหรับการวางแผนให้สบาย ก่อน Early Retire อย่างมีคุณภาพ บริหารงานโดยบริษัท วันเพลส เอสเตท จำกัด นับเป็นคอนโดมิเนียมหรูติดทะเล หัวหิน-เขาเต่า ที่เงียบ สงบ เป็นส่วนตัว ใกล้ชิดธรรมชาติ โดดเด่นด้วยสวนน้ำ และมีพื้นที่สระน้ำขนาดใหญ่ถึง 1,400 ตร.ม. สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งการบริการ และระดับ World Class   โครงการตั้งอยู่บนเนื้อที่เกือบ 10 ไร่ ห่างจากถนนใหญ่เพชรเกษมประมาณ 200 เมตร โดยตัวโครงการแบ่งเป็น 2 เฟส มีทั้งสิ้นจำนวน 6 อาคาร รวม 532 ยูนิต พื้นที่แบ่งเป็น โซน A สำหรับพักอาศัย จำนวน 126 ยูนิต ประกอบด้วยอาคารสูง 4 ชั้น 3 อาคาร  พร้อมด้วยส่วนของ FACILITIES ขนาดใหญ่ และโซน B สำหรับลงทุนและรับผลตอบแทนระยะยาว  จำนวน 406 ยูนิต ประกอบด้วยอาคารสูง 7 ชั้น 2 อาคาร และ 8 ชั้น 1 อาคาร   นอกจากโครงการจะให้ผลตอบแทนนาน 15 ปีการันตีผลกำไร 5% นาน 5 ปี เป็นโครงการที่ตอบโจทย์สำหรับลูกค้าที่ต้องการลงทุน และสร้างผลตอบแทนระยะยาว (Passive Income) ยังได้จัด​​โปรโมชั่นพิเศษสุด ทุกห้อง ทุกชั้น ราคาเดียว 3.5 ล้านบาท* รับฟรี! เฟอร์นิเจอร์ ฟรี! ค่าส่วนกลาง  5 ปี* ​
​[PR News] ทุ่ม 600 ล้านบาท เปิดสาขา โฮมโปร ลาดกระบัง ดึงกำลังซื้อช่วงสิ้นปี ตั้งเป้ายอดขายกว่า 70 ล้านบาท ต่อเดือน

​[PR News] ทุ่ม 600 ล้านบาท เปิดสาขา โฮมโปร ลาดกระบัง ดึงกำลังซื้อช่วงสิ้นปี ตั้งเป้ายอดขายกว่า 70 ล้านบาท ต่อเดือน

โฮมโปร ลาดกระบัง “โฮมโปร” รุกสิ้นปี เปิดสาขาใหม่ ชิงยอดขาย ทุ่ม 600 ล้านบาท เปิดสาขา โฮมโปร “ลาดกระบัง” สาขาแห่งที่ 95 ดึงกำลังซื้อย่านชานเมืองฝั่งตะวันออก ที่กำลังขยายตัว และมีที่พักอาศัยกว่า 1.57 แสนหลังคาเรือน บนพื้นที่กว่า 8,000 ตร.ม. ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ที่ออกไปอยู่ชานเมืองมากขึ้น หวังเป้ายอดขายกว่า 70 ล้านบาท ต่อเดือน   นางสาวเสาวณีย์ สิราริยกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการกลุ่มการตลาด บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ “โฮมโปร” เปิดเผยว่า บริษัทได้ทุ่มเงินลงทุนกว่า 600 ล้านบาท เปิดสาขาสแตนด์อโลนแห่งใหม่ โฮมโปร “ลาดกระบัง” สาขาแห่งที่ 95 บนทำเลศักยภาพที่ดีที่สุดในย่านชานเมืองกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออกรองรับความต้องการเรื่องบ้านของลูกค้าได้ครอบคลุมพื้นที่ ในเขตลาดกระบัง เขตประเวศ เขตสะพานสูง เขตมีนบุรี และจังหวัดสมุทรปราการ อำเภอบางพลี และอำเภอบางเสาธง ที่มีจำนวนครัวเรือนกว่า 157,136 หลังคาเรือน มีสัดส่วนบ้านแนวราบประมาณ 70% และแนวสูงประมาณ 30% คาดว่าจะสร้างยอดขายต่อเดือนได้ประมาณ 70 ล้านบาท โฮมโปร “ลาดกระบัง" ยังเป็นศูนย์การค้าที่ตอบสนองต่อไลฟ์สไตล์คนทำบ้าน ด้วยแนวคิด HOME INSPIRE ที่ทันสมัยขึ้น ดึงดูดกลุ่มคนรุ่นใหม่ให้เข้ามาใช้บริการ ตกแต่งภายในที่เน้นสร้างประสบการณ์ และแรงบันดาลใจใหม่ ๆ มีการจัดเรียงสินค้าหน้าร้านที่ช่วยให้การเลือกซื้อสินค้าลงตัว พร้อมจุดประกายไอเดียแต่งบ้านครอบคลุมทุกเจเนอเรชั่น การจำหน่ายสินค้า​กลุ่มสมาร์ททีวี เครื่องใช้ไฟฟ้า นอกจากนี้โฮมโปรได้เพิ่มพื้นที่โซน PET Club ผลิตภัณฑ์เอาใจคนรักสัตว์เลี้ยง ให้บริการ และดูแลสุขภาพสัตว์เลี้ยงครบวงจร   โฮมโปร ลาดกระบัง ยังมีบริการที่ครอบคลุมทุกปัญหาเกี่ยวกับบ้าน เริ่มจาก โฮมโปรมีบริการส่งสินค้าฟรี ในรัศมี 10 กม. บริการติดตั้งสินค้าฟรี หรือแม้แต่การประกอบสินค้าฟรี ไม่ว่าสินค้านั้นจะเป็นชิ้นเล็ก หรือชิ้นใหญ่ ยังให้การรับประกันคุณภาพของงานแต่ละประเภทอีกด้วย ปัจจุบัน โฮมโปรมีสาขาทั้งสิ้น 95 สาขาในประเทศไทย และโฮมโปรในประเทศมาเลเซีย 7 สาขา และได้มีการขยายดำเนินธุรกิจในประเทศเวียดนามผ่านช่องทาง E-Marketplace  ในรูปแบบออนไลน์ ด้วยคอนเซปต์ “เราสร้างความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นเพื่อทุกคน We Make a Better Living” และยังเป็นผู้นำในธุรกิจ Home Solution and Living Experience ในประเทศไทย และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -โฮมโปร เจอพิษกระทบโควิด-19 ทำรายได้-กำไรลดตามคาด
[PR News] AWC จับมือ Accor เตรียมขยายโรงแรมกว่า 1,000 ห้อง

[PR News] AWC จับมือ Accor เตรียมขยายโรงแรมกว่า 1,000 ห้อง

AWC ลงนามในกรอบความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ฉบับแรกร่วมกับ แอคคอร์ (Accor) เครือข่ายโรงแรมและการบริการชั้นนำระดับสากล เดินหน้าพัฒนาโรงแรมหลายแห่งภายใต้แบรนด์ชั้นนำจากกลุ่ม Accor อาทิ แฟร์มอนท์ (Fairmont) แฟร์มอนท์ เรสซิเดนซ์ (Fairmont Residences) และเอ็มแกลเลอรี (MGallery) ในจุดหมายสำคัญด้านการท่องเที่ยวต่าง ๆ ในประเทศไทยรวมกว่า 1,000 ห้อง     นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC เปิดเผยว่า  ได้ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ครั้งแรกกับทาง Accor ซึ่งเป็นเครือโรงแรมชั้นนำระดับโลก เพื่อขยายพอร์ตโฟลิโอกลุ่มธุรกิจโรงแรมของ AWC บนทำเลศักยภาพในประเทศไทย โดยมีแผนจะนำแบรด์ชั้นนำจากกลุ่ม Accor มาช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมการโรงแรมและบริการของไทย   สำหรับความร่วมมือครั้งนี้เป็นการนำความเชี่ยวชาญของทั้ง AWC ซึ่งเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มุ่งเน้นตอบสนองไลฟ์สไตล์แบบครบวงจรของไทย และกลุ่ม Accor ซึ่งมีฐานลูกค้าทั่วโลกมาร่วมรวมพลังกัน เพื่อยกระดับประเทศไทยให้เป็นจุดหมายปลายทาง ที่มีแบรนด์โรงแรมชั้นนำระดับโลกมากมาย รวมถึงสร้างศักยภาพในการเพิ่มกระแสเงินสดและการเติบโตที่แข็งแกร่งให้กับ AWC อีกด้วย   นายการ์ท ซิมมอนส์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แอคคอร์ ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ กล่าวว่า Accor มุ่งมั่นที่จะขยายการเติบโตอยู่เสมอ ผ่านการทำงานร่วมกับพันธมิตรที่เป็นเจ้าของธุรกิจ ที่เข้าใจถึงวิสัยทัศน์และธุรกิจโรงแรมของ Accor  และด้วยความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ในครั้งนี้ เราตั้งเป้าที่จะนำแบรนด์ชั้นนำระดับโลกมากมายของ Accor มาสู่ประเทศไทย   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -AWC เดินแผนขยายธุรกิจแสนล้าน เตรียมเปิดโรงแรมใหม่เพิ่มอีก 9 แห่ง
[PR News] 5 ประโยชน์และความคุ้มค่าที่ควรรู้ของ โซลาร์ รูฟ

[PR News] 5 ประโยชน์และความคุ้มค่าที่ควรรู้ของ โซลาร์ รูฟ

โซลาร์ รูฟ ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจุบันการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ กำลังเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในทั่วโลกและในประเทศไทย ทั้งในภาคอุตสาหกรรมและครัวเรือน โดยเฉพาะหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ผ่านมา ส่งผลให้คนส่วนใหญ่เริ่มปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต  หลาย ๆ คนทำงานที่บ้าน ทำให้มีการใช้ไฟฟ้าในช่วงเวลากลางวันมากขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงทำให้หลายคนหันมาหาข้อมูล ตลอดจนศึกษาการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ทดแทนพลังงานไฟฟ้า เพื่อประหยัดค่าไฟฟ้าในแต่ละเดือน ซึ่ง “โซลาร์ รูฟ” (Solar Roof) ก็เป็นอีกทางเลือกใหม่ที่น่าสนใจไม่น้อยเลย ทั้งยังตอบโจทย์เทรนด์ Smart Home Energy ที่คนรุ่นใหม่กำลังนิยมเป็นอย่างมากอีกด้วย   หลายคนพอจะทราบกันดีอยู่แล้วว่า ระบบหลังคาโซลาร์ รูฟ คือ การผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ โดยการติดตั้งแผงโซลาร์บนหลังคาบ้านพักอาศัย เมื่อแผงโซลาร์ได้รับพลังงานแสงอาทิตย์ในช่วงเวลากลางวัน ระบบอินเวอร์เตอร์ (Inverter) จะทำการแปลงไฟฟ้า เพื่อเปลี่ยนจากไฟฟ้ากระแสตรงเป็นกระแสสลับ และส่งตรงไปยังตู้ไฟฟ้าหรือตู้เบรกเกอร์ ก่อนจ่ายไปสู่เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านได้อย่างปลอดภัย ซึ่งถือเป็นอีกทางเลือกและเป็นการลงทุนครั้งเดียวแต่คุ้มค่าระยะยาว 5 ประโยชน์และความคุ้มค่า  SCG Solar Roof Solutions 1.ช่วยลดค่าไฟสูงสุด 60% การติดตั้งโซลาร์ รูฟ กับ SCG Solar Roof Solutions สามารถช่วยลดค่าไฟได้สูงสุดถึง 60% ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดของระบบที่ติดตั้งของแต่ละสถานที่ รวมถึงปริมาณการใช้ไฟฟ้าอีกด้วย โดยจะมีการตรวจเช็คสภาพหลังคาและออกแบบแผงโซลาร์ให้เหมาะกับการใช้งานของบ้านแต่ละหลัง ซึ่งการติดตั้ง SCG Solar Roof Solutions จะเหมาะกับบ้านที่มีค่าไฟรายเดือนตั้งแต่ 3,000 ขึ้นไป และเจ้าของบ้านก็สามารถติดตามการทำงานของหลังคาโซลาร์ได้ทันที ผ่านแอพพลิเคชั่น SCG Solar Solutions ที่จะบอกให้เจ้าของบ้านทราบได้ทันทีว่าแต่ละวันหลังคาโซลาร์สามารถประหยัดเงินค่าไฟฟ้าได้เท่าไรแบบเรียลไทม์ ไม่ว่าจะรายวัน รายเดือน หรือรายปี 2.ปลอดภัยต่อผู้อยู่อาศัย หลาย ๆ บ้านที่มีผู้อาศัยเป็นผู้สูงอายุ ต้องอยู่บ้านตอนกลางวัน การติดตั้งโซลาร์ รูฟ จาก SCG Solar Roof Solutions ก็ตอบโจทย์ในด้านความปลอดภัย ซึ่งเอสซีจีได้ใช้ระบบไมโครอินเวอร์เตอร์แปลงกระแสไฟฟ้าเป็นรายแผง จึงเกิดเป็นกระแสไฟฟ้าแรงดันต่ำ หรือ Low Voltage  ทำให้ปลอดภัยมากกว่า อีกทั้งยังมีระบบ Rapid Shutdown ซึ่งจะตัดการทำงานทันทีเมื่อเกิดความผิดปกติกับระบบ นอกจากนี้การติดตั้งยังมีมาตรฐานจากช่างผู้ชำนาญการของเอสซีจี  มีนวัตกรรม Solar FIX ติดตั้งง่ายโดยไม่ต้องเจาะกระเบื้องหลังคา ทนทานต่อแรงลม และไม่รั่วซึมจากการติดตั้ง 3.คุ้มค่าต่อการลงทุน การติดตั้ง SCG Solar Roof Solutions ถือเป็นการลงทุนระยะยาวที่มีความคุ้มค่าสูง เพราะการใช้บริการระบบหลังคาโซลาร์ เอสซีจี  มีการรับประกันแผงโซลาร์และประสิทธิภาพการผลิตไฟนาน 25 ปี (ประสิทธิภาพการผลิตไฟไม่ต่ำกว่า 80%  ในปีที่ 25 ของการใช้งาน) สำหรับบ้านพักอาศัยก็ถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า โดยจะคืนต้นทุนได้ในระยะเวลาประมาณ 7-10 ปี (เฉพาะระบบ On Grid และขึ้นอยู่กับขนาดที่ติดตั้ง)  4.ใช้ไฟได้ไม่จำกัด หลังจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ทำให้หลาย ๆ คนต้องเปลี่ยนบ้านเป็นที่ทำงานมากขึ้น การใช้ไฟฟ้าในช่วงกลางวันจึงเป็นเรื่องจำเป็น ซึ่งมีผลทำให้ค่าไฟฟ้าแพงขึ้น การติดตั้ง SCG Solar Roof Solutions จึงตอบโจทย์สำหรับคนที่ต้องทำงานอยู่ที่บ้านมากที่สุด เพราะสามารถใช้ไฟฟ้าได้ไม่จำกัด สามารถเปิดแอร์ทำงานระหว่างวันโดยไม่ต้องกังวลกับปัญหาค่าไฟแพง และหากติดตั้งเป็นระบบ Hybrid ที่มีแบตเตอรี่สามารถกักเก็บไฟฟ้าไว้ใช้ในตอนกลางคืน ก็ยิ่งช่วยให้เรามีพลังงานสะอาดใช้ได้ตลอด 24 ชั่วโมง 5.เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เหตุผลที่การใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ช่วยลดภาวะโลกร้อนได้ ก็เพราะเป็นพลังงานสะอาด (Clean Energy) 100% ไม่มีการปล่อยก๊าซ CO2 สู่ชั้นบรรยากาศ ซึ่งก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจก จึงเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มนุษย์ และสัตว์ต่าง ๆ หากมีการใช้พลังงานแสงอาทิตย์เพิ่มขึ้น ก็จะมีการพัฒนานวัตกรรม เทคโนโลยีเกี่ยวกับพลังงานทดแทนมากขึ้น ทำให้คนทั่วไปสามารถเข้าถึงพลังงานสะอาดได้อย่างง่ายและมีค่าใช้จ่ายที่ถูกลง   เห็นความคุ้มค่าของการติดตั้งโซลาร์ รูฟ ที่แสนสะดวกสบาย ที่สำคัญยังประหยัดช่วยเซฟเงินในกระเป๋าและคุ้มค่าแบบยาว ๆ แต่ต้องตัดสินใจให้ดีเลือกการใช้งานอย่างปลอดภัยได้มาตรฐานสากล มีผู้เชี่ยวชาญคอยดูแลและให้คำปรึกษา ตลอดจนการรับประกันและบริการหลังบ้านที่ครอบคลุม   บทความที่เกี่ยวข้อง -ไขข้อสงสัย? บ้านแบบไหนเหมาะกับ การติดโซลาร์เซลล์ และ 7 เรื่องควรรู้
[PR News] ‘มัลเบอร์รี่ โกรฟ เดอะ ฟอเรสเทียส์ วิลล่า’ พร้อมเปิดให้ชมวิลล่าหลังแรก 1 ธ.ค.นี้  ‘บ้านคลัสเตอร์’ สำหรับครอบครัวใหญ่หลายเจเนอเรชั่น

[PR News] ‘มัลเบอร์รี่ โกรฟ เดอะ ฟอเรสเทียส์ วิลล่า’ พร้อมเปิดให้ชมวิลล่าหลังแรก 1 ธ.ค.นี้ ‘บ้านคลัสเตอร์’ สำหรับครอบครัวใหญ่หลายเจเนอเรชั่น

MQDC เปิดวิลล่า มัลเบอร์รี่ โกรฟ เดอะ ฟอเรสเทียส์ บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ MQDC เตรียมพร้อมเปิดวิลล่าหลังแรกของโครงการมัลเบอร์รี่ โกรฟ เดอะ ฟอเรสเทียส์ วิลล่า ในวันที่ 1 ธันวาคม 2565 นี้ ซึ่งจะแสดงให้เห็นถึงแนวคิดใหม่ในการออกแบบบ้าน ที่หลายวิลล่าถูกเชื่อมต่อถึงกัน เพื่อให้ครอบครัวขยายที่ประกอบไปด้วยสมาชิกหลายเจเนอเรชั่นสามารถอยู่ร่วมกันได้ โดยยังคงรักษาความเป็นส่วนตัวด้วยการอยู่อาศัยในบ้านเดี่ยวของตัวเอง   MQDC เปิดวิลล่า มัลเบอร์รี่ โกรฟ เดอะ ฟอเรสเทียส์ นายชาคริต หัสสรังสี ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า “นี่เป็นแนวคิดใหม่ที่น่าตื่นเต้น ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากวิถีชีวิตของครอบครัวคนไทย – ที่หลายเจเนอเรชั่นในครอบครัวเดียวกันมักจะปลูกบ้านอยู่ใกล้ๆ กัน แต่ด้วยความจำเป็นของวิถีชีวิตคนเมืองสมัยใหม่ ทำให้การใช้ชีวิตตามแบบที่เคยเป็นมา กลายเป็นเรื่องยากมากขึ้นเรื่อยๆ มัลเบอร์รี่ โกรฟ วิลล่า จึงมุ่งช่วยส่งเสริมให้ครอบครัวได้กลับมาอยู่ใกล้ชิดกันอีกครั้ง ซึ่งแนวคิดนี้ ได้รับความสนใจและการตอบรับเป็นอย่างดี และตอนนี้ทางโครงการพร้อมแล้วที่จะเชิญครอบครัวที่สนใจเข้าชมบ้านจริงได้ในช่วงต้นเดือนธันวาคมนี้เป็นต้นไป”   MQDC เปิดวิลล่า มัลเบอร์รี่ โกรฟ เดอะ ฟอเรสเทียส์ มัลเบอร์รี่ โกรฟ วิลล่า ประกอบด้วยบ้านเดี่ยวที่ออกแบบโดย Foster + Partners โดยแต่ละวิลล่ามีพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ประมาณ 1,000 – 1,700 ตารางเมตร ออกแบบให้มี 3 ขนาด ตั้งแต่ 4-6 ห้องนอน ตั้งกระจายตัวอยู่บนที่ดินพื้นที่ 26 ไร่ ในเดอะ ฟอเรสเทียส์ โครงการมิกซ์ยูส ขนาด 398 ไร่ ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการอสังหาริมทรัพย์ภาคเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย   มัลเบอร์รี่ โกรฟ เดอะ ฟอเรสเทียส์ วิลล่า  นายรุ่งโรจน์ จงศุจิพันธุ์ ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า “มัลเบอรี่ โกรฟ มีแนวคิดที่เปิดโอกาสให้สมาชิกในครอบครัวได้อยู่อาศัยใช้ชีวิตอยู่ในอาณาบริเวณที่ใกล้ชิดติดกับพ่อแม่ หรือลูกที่โตแล้ว หรือทั้งสองอย่าง ยังจะช่วยทำให้เจ้าของบ้านมี ‘โบนัสเวลา’ เป็นช่วงเวลาแห่งความสุขของครอบครัวที่เพิ่มขึ้น โดยทุกเจเนอเรชั่นซึ่งอาศัยอยู่ในบ้านที่ออกแบบเหมาะกับความต้องการของตัวเอง จะสามารถไปมาหาสู่กับสมาชิกคนอื่นๆ ในครอบครัวได้โดยการเดินไปหาเพียงไม่กี่นาที ครอบครัวจะสามารถช่วยกันเลี้ยงเด็กๆ ได้ รวมทั้งช่วยกันดูแลพ่อแม่ที่อายุมากแล้วได้สะดวกสบายมากขึ้น และไม่จำกัดเวลาไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืนก็ตาม เป็นการประหยัดเวลาที่ต้องใช้ในการเดินทางไปมาหาสู่กันระหว่างบ้าน ซึ่งจะทำให้ครอบครัวมีเวลามากขึ้นสำหรับทำกิจกรรมร่วมกัน”     วิลล่าขนาดใหญ่พิเศษของโครงการมัลเบอร์รี่ โกรฟ วิลล่า มีเนื้อที่ใช้สอยประมาณ 1,700 ตารางเมตร ราคาขายอยู่ที่ประมาณ 310 ล้านบาท ส่วนวิลล่าขนาดใหญ่ที่มีเนื้อที่ใช้สอยประมาณ 1,200 ตารางเมตร ราคาขายประมาณ 220 ล้านบาท ในขณะที่บ้านขนาดกลางเนื้อที่ใช้สอยประมาณ 1,000 ตารางเมตร ราคาขายประมาณ 185 ล้านบาท     วิลล่าหลังใหญ่ที่สุดมีห้องรับประทานอาหารและพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่ เพื่อให้ทั้งครอบครัวที่มีสมาชิกทุกเพศทุกวัย สามารถมารวมตัวทำกิจกรรมต่างๆ ด้วยกันได้ในบ้านหลังเดียว โดยบางวิลล่าสามารถนั่งล้อมโต๊ะทานข้าวกันพร้อมกันได้ถึงยี่สิบคน หรือมากกว่านั้น     ทั้งนี้ ความพิเศษประการสำคัญของมัลเบอร์รี่ โกรฟ วิลล่า อยู่ที่แนวคิดสำคัญของโครงการนั่นคือ การเป็นที่อยู่อาศัยสำหรับครอบครัวใหญ่หลายเจเนอเรชั่น ให้สมาชิกในครอบครัวทุกช่วงวัย สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข ในขณะที่ยังสามารถใช้ชีวิตตามไลฟ์สไตล์ของตัวเองได้อีกด้วย และความพิเศษอีกประการหนึ่งอยู่ที่ การตั้งอยู่ในโครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ ซึ่งเป็นโครงการที่ได้รับการยอมรับทั้งในประเทศและในระดับโลก ว่าเป็นโครงการที่มีความพิเศษเป็นอย่างมาก ในฐานะโครงการเมืองที่ออกแบบทุกมิติเพื่อการใช้ชีวิตที่มีสุขภาพดียิ่งขึ้น และมีความสุขมากขึ้น   บทความน่าสนใจ MQDC เปิดโปรเจกต์แฟลกชิพ “THE FORESTIAS – เดอะ ฟอเรสเทียส์”  MQDC เผยความสำเร็จ “ซิกส์เซนส์ เรสซิเดนซ์” บ้านอัลตร้าลักชัวรี่ ทำยอดขายแล้ว 4,700 ล้าน [PR News] MQDC เปิดขาย “Whizdom The Forestias : Mytopia” อย่างเป็นทางการ  
[PR News] อีซี่วิซ  เปิดตัว กล้องวงจรปิด ซีรีย์ใหม่​ “H8 Pro” ความคมชัดระดับ

[PR News] อีซี่วิซ เปิดตัว กล้องวงจรปิด ซีรีย์ใหม่​ “H8 Pro” ความคมชัดระดับ

EZVIZ (อีซี่วิซ) เตรียมอวดโฉม กล้องวงจรปิด สำหรับการติดตั้งภายนอกอาคารซีรีย์ใหม่ “H8 Pro” กล้องสมาร์ท Wi-Fi แบบแพนและเอียง หมุนได้ 360 องศา     EZVIZ H8 Pro Series นวัตกรรมกล้องวงจรปิดอัจฉริยะสำหรับการติดตั้งภายนอกอาคาร เชื่อมต่อสัญญาณผ่านระบบ Wi-Fi ที่มีนวัตกรรมโดดเด่น 4 ด้าน ได้แก่   นวัตกรรมที่ทำงานด้วยระบบอัตโนมัติที่โดดเด่นน่าจับตา ทั้งการตรวจจับด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะขั้นสูง แยกแยะการเคลื่อนไหวของมนุษย์หรือรถยนต์ได้อย่างชาญฉลาด พร้อมล็อกและติดตามเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ และยังเพิ่มวิสัยทัศน์การมองเห็นที่ครอบคลุมทุกมิติมากขึ้น แสดงภาพสีคมชัดทั้งกลางวันและกลางคืน พร้อมสลับโหมดการแสดงภาพอัตโนมัติกับฟีเจอร์ Smart Night Vision (มีไฟ IR 2 ดวง) ช่วยให้คุณตรวจจับทุกเหตุการณ์ที่เคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วและไกลถึง 30 เมตร (98 ฟุต) มาพร้อมระบบเตือนภัยเชิงรุก แจ้งเตือนผู้บุกรุกด้วยไฟกระพริบและไซเรนดังอัตโนมัติ พร้อมส่งข้อความแจ้งเตือนให้คุณรับรู้ในทันที ให้คุณไม่พลาดทุกความเคลื่อนไหวและป้องกันภัยได้อย่างทันท่วงที   เสริมวิสัยทัศน์การมองเห็นครอบคลุมทุกมิติด้วยเลนส์ประสิทธิภาพสูงแบบเรียลไทม์ ช่วยทลายทุกกรอบการมองเห็นเพื่อการปกป้องที่กว้างมากขึ้น ด้วยการออกแบบให้กล้องปรับหมุนได้ทั้งแนวตั้ง 340° และแนวนอน 80° (Pan and tilt camera) ครอบคลุมมุมมองพาโนรามา 360° ผ่านเลนส์อัจฉริยะที่ให้ภาพคมชัดสูงสุด กับ 2 โมเดลที่แตกต่างให้เลือก คือ วิดีโอความละเอียดระดับ 2K (3 ล้านพิกเซล) และระดับ 3K (5 ล้านพิกเซล) ที่คมชัดทุกรายละเอียด ผสานการทำงานกับเซ็นเซอร์ DWDR (Digital Wide Dynamic Range) ที่ช่วยปรับสมดุลความสว่างในภาพย้อนแสงอัตโนมัติ ช่วยให้การบันทึกภาพมีความคมชัดสมจริงแม้อยู่ในที่แสงน้อยที่สุด   นวัตกรรมที่สนับสนุนการควบคุมและสั่งงานจากระยะไกล ผ่าน EZVIZ App ซึ่ง อีซี่วิซ ไม่เคยหยุดยั้งการพัฒนาระบบให้มีความทันสมัยอยู่เสมอ เพื่อให้สามารถเฝ้าติดตามดูแลและควบคุมการสั่งงานได้จากทุกที่ทุกเวลาผ่านสมาร์ทโฟนได้ง่ายและรวดเร็ว มีฟังก์ชั่น “การสื่อสารสองทาง” พร้อมเสริมประสิทธิภาพเสียงให้คมชัดมากยิ่งขึ้นด้วยไมโครโฟนแบบตัดเสียงรบกวนและลำโพงในตัว  สามารถเชื่อมต่อการสื่อสารกับคนในครอบครัวได้จากทุกที่ทุกเวลา และยังมาพร้อมฟีเจอร์เด็ดที่ผู้บริโภคกำลังมองหามากที่สุด กำหนดตำแหน่งเริ่มต้น (Home) ให้กล้องปรับหมุนไปยังจุดที่บันทึกไว้ล่วงหน้าได้มากถึง 12 ตำแหน่งแบบอัตโนมัติ ช่วยลดความยุ่งยากกับการใช้งาน ไม่ต้องคอยกดหมุนกล้องทุกครั้งที่ต้องการเฝ้าดูเหตุการณ์ต่างๆ ในบริเวณโดยรอบ และฟีเจอร์พิเศษที่มีเฉพาะในกล้องรุ่น H8 Pro 3K ให้คุณสามารถสร้างคำสั่งให้กล้องจดจำท่าทาง “การโบกมือ” เพื่อให้คุณ VDO Call หากันได้ง่ายๆ อีกด้วย   ระบบการปกป้องข้อมูลและความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ในระดับสูงสุด ด้วยการเข้ารหัสลับแบบ AES 128 บิต และการยืนยันตัวตนหลายขั้นตอน บน EZVIZ Cloud ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มระดับโลกสำหรับการจัดเก็บวิดีโอที่ปลอดภัย เพื่อให้ทุกข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งานได้รับการรักษาความปลอดภัยสูงสุด และอีกหนึ่งความพิเศษ กล้อง H8 Pro ได้เพิ่มความจุเมมโมรี่ได้สูงถึง 512 GB เสริมด้วยเทคโนโลยีการบีบอัดวิดีโอรูปแบบใหม่ H.265 ที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มความสามารถในการบีบอัดข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพและใช้พื้นที่ความจุน้อยลง เพื่อให้การบันทึกมีความต่อเนื่อง พร้อมทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยเฝ้าดูแลบ้านคุณให้ปลอดภัยตลอด 24 ชม.   EZVIZ H8 Pro มาอวดโฉมด้วยดีไซน์ที่ดูทันสมัยและมีความมินิมัลมากขึ้น ตัวเครื่องออกแบบให้มีสีขาวสะท้อนความเรียบง่ายที่เข้าได้กับการตกแต่งทุกสไตล์ ผลิตภัณฑ์จากวัสดุที่ได้มาตรฐาน กันน้ำ กันฝุ่น ทนต่อทุกสภาพอากาศในเมืองไทย โดยสามารถหาซื้อ EZVIZ “H8 Pro” กล้องสมาร์ท Wi-Fi Outdoor Camera ได้แล้ววันนี้ ที่ตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ
[PR News] TOTO จับมือ ASA จัดงานใหญ่เพื่อสังคม สร้างแรงบันดาลใจให้วงการออกแบบไทย

[PR News] TOTO จับมือ ASA จัดงานใหญ่เพื่อสังคม สร้างแรงบันดาลใจให้วงการออกแบบไทย

TOTO จับมือ ASA จัดงาน TOMOHIKO YAMANASHI LECTURE BREAKING THE NORM โตโต้ ร่วมกับสมาคมสถาปนิกสยามฯ ตอบสนองพันธกิจในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คนในสังคม ผ่านการจัดกิจกรรมบรรยาย “TOMOHIKO YAMANASHI LECTURE: BREAKING THE NORM” โดย คุณ โทโมฮิโกะ ยามานาชิ สถาปนิกชื่อดังชาวญี่ปุ่น ผู้ได้รับรางวัลในแวดวงสถาปนิกมากมาย หวังจุดประกายแรงบันดาลใจให้วงการออกแบบของประเทศไทย TOTO จับมือ ASA จัดงาน TOMOHIKO YAMANASHI LECTURE: BREAKING THE NORM บริษัท โตโต้ (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมมือกับ สมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดกิจกรรมบรรยาย “TOMOHIKO YAMANASHI LECTURE: BREAKING THE NORM” โดยได้รับเกียรติจาก คุณ โทโมฮิโกะ ยามานาชิ (Mr. Tomohiko Yamanashi) สถาปนิกชื่อดังจากประเทศญี่ปุ่น ผู้ได้รับรางวัลในแวดวงสถาปนิกมากมาย มาร่วมแลกเปลี่ยนความรู้ แง่มุม และแนวความคิดในการออกแบบโครงการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอาคาร NBF OSAKI BUILDING (2011) ที่ได้รับรางวัล AIJ prizes (2014) สำหรับการนำเทคโนโลยี “BIOSKIN” ระบบช่วยระบายความร้อนของอาคารมาใช้ในการออกแบบ อากาศโดยรอบอาคารจะเย็นลงโดยใช้ความร้อนจากการระเหยกลายเป็นไอของน้ำฝน ที่หมุนเวียนสะสมอยู่ในท่อเซรามิก ช่วยลดภาระเครื่องปรับอากาศในการทำความเย็นภายในอาคารได้อย่างมีประสิทธิภาพ นับว่าเป็นการออกแบบเพื่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังคงไว้ซึ่งความสวยงามที่มองเห็นได้จากภายนอกโดยคำนึงถึงผู้คนในสังคมเป็นสำคัญ   TOTO จับมือ ASA จัดงาน TOMOHIKO YAMANASHI LECTURE BREAKING THE NORM “ส่วนตัวแล้ว ในด้านการออกแบบผมจะให้ความสำคัญกับ 3 สิ่งด้วยกัน” คุณ โทโมฮิโกะ ยามานาชิ กล่าว “อันดับแรกคือ การคำนึงถึงลูกค้า เนื่องจากว่าสถาปนิกเป็นผู้ได้รับการขอร้องจากลูกค้า อันดับที่ 2 คือคิดถึงบริษัท Nikken Sekkei แต่อย่างไรก็ตามผลงานที่เราสร้างนั้นจะดำรงอยู่ในสังคม ดังนั้นสถาปนิกจำเป็นต้องคำนึงถึงสังคมด้วย สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการที่ได้สร้างความหมายใหม่ พร้อมกับการแก้ปัญหาให้กับสังคม” นอกจากโครงการดังกล่าวแล้ว คุณ โทโมฮิโกะ ยามานาชิ ยังพูดถึงโครงการที่โดดเด่นและได้รับรางวัลด้านการออกแบบหลายรางวัลด้วยเช่นกัน อย่าง โครงการ HOKI MUSEUM (2010) ที่ได้รับรางวัล JIA Grand Prix (2011) ผลงานดังกล่าวเป็นเอกลักษณ์ และสร้างความรู้สึกน่าสนใจให้กับผู้ที่พบเห็น     “ในตอนที่พิพิธภัณฑ์ HOKI เปิดใช้งานแล้ว ผมรู้สึกถึงความสำเร็จมากกว่าตอนที่เพิ่งสร้างเสร็จ ราวกับว่าผมเป็นผู้ที่ถ่ายทอดผลงานภาพเสมือนจริงที่จัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์เหล่านั้นด้วย ผมมีโอกาสได้อ่านบทความในหนังสือพิมพ์ที่กล่าวว่า มูลค่าของภาพวาดเสมือนจริงเหล่านั้น เพิ่มขึ้นตั้งแต่ที่พิพิธภัณฑ์ HOKI สร้างเสร็จ อย่างที่ได้กล่าวไป ผมมีความสุขกับสถาปัตยกรรมที่เราได้สร้างความหมายใหม่ให้สังคม สำหรับผลงานด้านสถาปัตยกรรมแล้ว แม้คนที่ไม่อยากมองก็ยังต้องเห็นอยู่ดี แม้คนที่ไม่อยากดูก็ยังต้องใช้งานอยู่ดี ดังนั้นผมเชื่อว่าการออกแบบที่ดีจะเป็นสิ่งที่สามารถให้ความหมายและคุณค่าใหม่ๆ แก่สังคมได้”   นอกจากนี้ ภายในงานบรรยายยังมีการกล่าวถึงผลงานของคุณ โทโมฮิโกะ ยามานาชิ อีกหลายโครงการ อาทิ JIMBOCHO THEATER (2007), MOKUZAI KAIKAN (2009), TOHO GAKUEN SCHOOL OF MUSIC (2014), ON THE WATER (2015) ฯลฯ ซึ่งได้รับกระแสตอบรับจากผู้เข้าร่วมงานเป็นอย่างดี     นาย ทาคายะสุ ชิมาดะ ประธานบริษัท โตโต้ (ประเทศไทย) จำกัด หนึ่งในหัวเรือใหญ่ของการจัดงานในครั้งนี้ เปิดเผยว่า บริษัท โตโต้ เชื่อมั่นว่าการออกแบบสถาปัตยกรรมนั้น เป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คนในสังคมให้ดียิ่งขึ้นตามปรัชญาของบริษัทฯ และเป็นหนึ่งสิ่งที่สะท้อนถึงวัฒนธรรม วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในแต่ละประเทศได้ การที่บริษัท โตโต้ มุ่งมั่นที่จะส่งเสริมวัฒนธรรมในประเทศที่เข้าไปดำเนินธุรกิจ ทำให้ TOTO เข้าใจและเรียนรู้วิถีชีวิตของคนในประเทศนั้นๆ ได้อย่างลึกซึ้ง รวมถึงในประเทศไทยด้วยเช่นเดียวกัน   TOTO จับมือ ASA จัดงาน TOMOHIKO YAMANASHI LECTURE: BREAKING THE NORM “นอกจากนี้บริษัท โตโต้ เชื่อว่าคุณค่าและความหลากหลายของผลงานที่ได้จากสถาปัตยกรรมจะมีบทบาทที่สำคัญมากยิ่งขึ้นในอนาคต บริษัทฯ จึงมุ่งหวังที่จะเป็นสะพานเชื่อมเพื่อถ่ายทอดและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ตลอดจนแนวคิดของสถาปนิกและนักออกแบบ ระหว่างสถาปนิกในประเทศไทย และสถาปนิกชาวญี่ปุ่น รวมถึงบทบาทของสถาปนิกที่มีต่อผู้คนในสังคม” นาย ทาคายะสุ ชิมาดะ เปิดเผยกับสื่อมวลชน   ทั้งนี้ เพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมายดังกล่าวในการเป็นสะพานเชื่อมระหว่างสถาปนิกชาวญี่ปุ่น และวงการออกแบบในประเทศไทย บริษัท โตโต้ (ประเทศไทย) จำกัด จึงได้ร่วมมือกับทางสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดกิจกรรมที่มีประโยชน์ต่อวงการออกแบบภายในประเทศอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นงานด้านความบันเทิงอย่างการสนับสนุนกิจกรรม งานวิ่ง ASA Run ซึ่งทางบริษัท โตโต้ เองก็สนับสนุนและให้ความร่วมมือในการจัดงานทั้งในปี 2018 และ 2019   ตลอดจนกิจกรรมที่เต็มไปด้วยองค์ความรู้ที่มีประโยชน์ เช่น การพาชมโรงงานผลิตภัณฑ์ของทาง TOTO การจัดงานประกวดออกแบบห้องน้ำ “TRANSIT CENTER DEVELOPMENT 2019”  และ “THE BANGKOK TOILET DESIGN 2022” ที่เปิดโอกาสให้สถาปนิกและนักศึกษาซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ ได้มีโอกาสแสดงฝีมือในด้านการออกแบบห้องน้ำสาธารณะ งานสัมมนาวิชาการเกี่ยวกับ Universal Design หรือการออกแบบเพื่อทุกคน รวมถึงก่อนหน้านี้ยังเคยร่วมกันจัดงาน Shigeru Ban Lecture 2019 ซึ่งได้รับความสนใจและได้รับผลตอบรับจากผู้คนในแวดวงสถาปัตยกรรมและการออกแบบเป็นอย่างดี จนทำให้เกิดการจัด Architect Talk ขึ้นอีกครั้งในปีนี้ นั่นคือกิจกรรมงานบรรยาย “TOMOHIKO YAMANASHI LECTURE: BREAKING THE NORM” ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2565 ที่ผ่านมา   “กิจกรรมดังกล่าวถือว่าเป็นคุณประโยชน์ต่อวงการวิชาชีพเป็นอย่างมาก ผมอยากขอขอบคุณทาง TOTO มา ณ ที่นี้ เนื่องจากว่าโอกาสดังกล่าวไม่ได้มีขึ้นบ่อยๆ” นาย ชนะ สัมพลัง นายกสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าว “การเชิญสถาปนิกชื่อดังจากต่างประเทศมาร่วมแลกเปลี่ยนความรู้ สร้างโอกาสให้สถาปนิกไทยได้พบปะกับสถาปนิกระดับโลกที่เปี่ยมไปด้วยความสามารถมากมาย น่าจะเป็นประโยชน์และสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ที่เข้าฟังได้เป็นอย่างดี และไม่ใช่เพียงแค่มีประโยชน์ต่อวงการออกแบบเท่านั้น แต่ยังมีคุณูประการที่สำคัญต่อผู้คนในสังคม ช่วยสร้างแรงบันดาลใจ และผลักดันให้เกิดสิ่งใหม่ๆ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของทุกคน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็คือพันธกิจของทางสมาคมสถาปนิกสยามฯ และทางบริษัท โตโต้ ยึดถือในการดำเนินงานมาโดยตลอด”   นอกเหนือจากการจัดกิจกรรมอย่างงานบรรยายของสถาปนิกชื่อดังแล้วนั้น นาย ทาคายะสุ ชิมาดะ ประธานบริษัท โตโต้ (ประเทศไทย) จำกัด และ นาย ชนะ สัมพลัง ในนามของสมาคมสถาปนิกสยามฯ เล็งเห็นถึงความสำคัญของการสร้างองค์ความรู้เป็นวงกว้าง พร้อมมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนกิจกรรมที่สร้างคุณประโยชน์ และมีส่วนร่วมในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คนต่อไปในอนาคต โดยงาน“TOMOHIKO YAMANASHI LECTURE: BREAKING THE NORM”  จัดขึ้นในวันที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565 ที่ผ่านมา ณ โรงละครเคแบงก์สยามพิฆเนศ สยามสแควร์วัน ชั้น 7   บทความที่น่าสนใจ [PR News] เลอ เมอริเดียน จับมือ โตโต้ พลิกโฉมโรงแรมใหม่ “โตโต้” เดินเครื่องโรงงานผลิตแห่งที่ 2 ในไทย โชว์เทคโนโลยีตอกย้ำผู้นำสุขภัณฑ์ระดับไฮเอนด์ เมื่อสุขภัณฑ์เป็นมากกว่าส้วม        
[PR News] ดิ อิสสระ สาทร ส่งโปรฯ แรง “Omakase Deal”

[PR News] ดิ อิสสระ สาทร ส่งโปรฯ แรง “Omakase Deal”

ดิ อิสสระ สาทร ส่งโปรฯ แรง “Omakase Deal” โครงการ ดิ อิสสระ สาทร (The Issara Sathorn) ลักชัวรี่คอนโดมิเนียม หนึ่งในโครงการคุณภาพในเครือชาญอิสสระ เตรียมจัดโปรโมชั่นแรงส่งท้ายปี โดยผู้บริหารหนุ่ม ปลาทู-ดิฐวัฒน์ อิสสระ เตรียมคัดห้องสวย ร่วมโปรโมชั่น “Omakase Deal” ยูนิตสวยพร้อมเสิร์ฟ ให้ลูกค้าได้เลือกเป็นเจ้าของก่อนใคร . ดิ อิสสระ สาทร ส่งโปรฯ แรง “Omakase Deal” พร้อมคัดสรรข้อเสนอสุดพิเศษสำหรับลูกค้าที่จองโครงการฯ ทั้ง ตั๋วเครื่องบิน Business Class สายการบินไทย ,Pocket Money สูงสุด 2 ล้านเยน!!*, Voucher Omakase จากร้าน Sushi Masato หรือโรงแรม The Okura Prestige Bangkok มูลค่าสูงสุด 50,000 บาท* ส่วนลดเพิ่มเติม 100,000 บาท* ดิ อิสสระ สาทร ส่งโปรฯ แรง “Omakase Deal” สำหรับลูกค้าที่ลงทะเบียนออนไลน์ ตั้งแต่วันนี้ – 30 พฤศจิกายน 2565 และพิเศษสำหรับลูกค้าที่เข้าร่วมอีเวนต์ในระหว่างวันที่ 19 – 20 พ.ย. 65 และจองห้องชุดภายในวันงานรับ Cash Voucher เฟอร์นิเจอร์จาก SB Design Square มูลค่าสูงสุด 500,000 บาท ดิ อิสสระ สาทร ส่งโปรฯ แรง “Omakase Deal” (ตามเงื่อนไขที่บริษัทกำหนด*) สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร.02-3082222  Line: @theissarasathorn  Website: www.charnissara.com/theissarasathorn     บทความน่าสนใจ รีวิวคอนโดย่านสาทร วิวคุ้งแม่น้ำเจ้าพระยา THE ISSARA SATHORN ชาญอิสสระ เปิดตัว Issara Easy Connect  ดูโครงการ-ซื้อขายผ่านออนไลน์ ชาญอิสสระ แตกไลน์ 2 ธุรกิจ “เวลเนส-คริปโตฯ” พร้อมขนบ้าน-คอนโดหั่นราคา 50%
[PR News] ฮาบิแทท ร่วมสนับสนุนงาน PATTAYA INTERNATIONAL BIKINI BEACH RACE 2022

[PR News] ฮาบิแทท ร่วมสนับสนุนงาน PATTAYA INTERNATIONAL BIKINI BEACH RACE 2022

ฮาบิแทท ร่วมสนับสนุนงาน PATTAYA INTERNATIONAL BIKINI BEACH RACE 2022 บริษัท ฮาบิแทท ฮอสพิทัลลิตี้ จำกัด กลุ่มบริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด ร่วมสนับสนุนของรางวัล และของที่ระลึกสำหรับผู้ร่วมงาน “PATTAYA INTERNATIONAL BIKINI BEACH RACE 2022” ให้กับผู้ร่วมงาน และผู้แข่งขันการประกวดรางวัลหุ่นดีหญิง, รางวัลผิวสวยชาย และรางวัลผิวสวยหญิง อาทิ  บัตรกำนัลห้องพัก 2 วัน 1 คืน พร้อมอาหารเช้า โรงแรมเบสเวสเทิร์นพรีเมียร์ เบย์เฟียร์ พัทยา และโรงแรมครอสทู ไวบ์ พัทยา ซีเฟียร์   ฮาบิแทท ร่วมสนับสนุนงาน PATTAYA INTERNATIONAL BIKINI BEACH RACE 2022 โดยมี คุณชนินทร์ วานิชวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด เป็นผู้มอบรางวัลครั้งนี้ ร่วมกับคณะบริหารศูนย์การค้าเซ็นทรัล พัทยา พร้อมด้วย คุณศศิวิมล สุทธิบุตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด ร่วมงาน อีกทั้งยังมีกิจกรรมแจกของที่ระลึก และมอบสิทธิพิเศษแก่ผู้ร่วมงาน ได้แก่ กระเป๋าผ้ารักษ์โลก, น้ำดื่ม, คูปองส่วนลดห้องพัก 15%, คูปองรับประทานอาหาร มูลค่า 300บาท สำหรับใช้บริการโรงแรม ครอสทู พัทยา โอเชี่ยนเฟียร์, โรงแรม ครอสทู ไวบ์ พัทยา ซีเฟียร์ และโรงแรมเบสเวสเทิร์นพรีเมียร์ เบย์เฟียร์ พัทยา บริเวณหน้าศูนย์การค้า เซ็นทรัล พัทยา เมื่อวันเสาร์ที่ 29 ต.ค. 65 ที่ผ่านมา     บทความน่าสนใจ “ฮาบิแทท กรุ๊ป” ปั้นโปรเจ็กต์มิกซ์ยูส 4,500 ล้าน พร้อมบุกตลาดลูกค้าต่างชาติ รีวิวคอนโด ทองหล่อ Walden Thonglor 13 คอนโดดีไซน์สไตล์ Japanese tropical เรียบง่าย หรูหรา ‘ฮาบิแทท กรุ๊ป’ เปิดเกมขยายตลาดต่างประเทศ ลุยโรดโชว์จีน-ฮ่องกง เชื่อศักยภาพตลาดยังแกร่ง
[PR News]   เคหะสุขประชา เข้าเยี่ยมชมบริษัท “วินโดว์ เอเชีย”

[PR News] เคหะสุขประชา เข้าเยี่ยมชมบริษัท “วินโดว์ เอเชีย”

เคหะสุขประชา เข้าเยี่ยมชมบริษัท “วินโดว์ เอเชีย” ผู้ถือหุ้นและพาร์ทเนอร์ผู้ดูแลประตูหน้าต่าง “บ้านเคหะสุขประชา” เคหะสุขประชา เข้าเยี่ยมชมบริษัท “วินโดว์ เอเชีย” นายพิษณุพร อุทกภาชน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เคหะสุขประชา จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วย นายธนัญชัย โชติศรีลือชา รองผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ เข้าเยี่ยมโรงงาน บริษัท วินโดว์ เอเชีย จำกัด (มหาชน) ผู้นำเรื่องประตูหน้าต่างสำเร็จรูปครบวงจร หนึ่งในผู้ถือหุ้น และผู้ดูแลด้านประตูหน้าต่างของโครงการ “บ้านเคหะสุขประชา” ที่ผลิตขึ้นภายใต้มาตรฐาน ISO 9001 : 2015 และ ISO 14001 ด้วยความเชี่ยวชาญงานประตูหน้าต่างสำเร็จรูปจากวัสดุอลูมิเนียม และยูพีวีซี ที่มีจุดเด่นแตกต่างกัน มีความแข็งแรงทนทาน ไม่เป็นสนิม น้ำหนักเบา เป็นฉนวนไฟฟ้า มีราคาย่อมเยา ให้กับบ้านคุณภาพ “เคหะสุขประชา” โดยมี นาย  ธนินทร์ รัตนศิริวิไล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. วินโดว์ เอเชีย ให้การต้อนรับ ณ โรงงาน วินโดว์ เอเชีย จ.กาญจนบุรี เมื่อเร็ว ๆ นี้   บทความน่าสนใจ การเคหะฯเปิดตัวบ้านเคหะสุขประชาได้ทั้งบ้านแถมมีอาชีพ การเคหะฯ ออก 3 มาตรการช่วยลูกค้าเก่า-ใหม่ จัดโปรฯ ลดดอกเบี้ย-ค่างวด ปรับโครงสร้างหนี้ การเคหะฯ มอบบ้านให้ 86 รายแรก ในโครงการอาคารเช่าผู้มีรายได้น้อย    
[PR News] SB Design Square ร่วมกับ ELLE DECOR

[PR News] SB Design Square ร่วมกับ ELLE DECOR

SB Design Square ร่วมกับ ELLE DECOR เผยโฉมไลฟ์สไตล์เฟอร์นิเจอร์คอลเลคชันล่าสุด ‘A Parisian State of Mind’ นำสัมผัสแห่งแรงบันดาลใจในสไตล์ปารีเซียง มาถ่ายทอดสู่งานดีไซน์ให้เหมือนได้ใช้ชีวิตอยู่ใจกลางมหานครปารีสในทุกวัน SB Design Square ร่วมกับ ELLE DECOR  นายพิเดช ชวาลดิฐ กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท เอสบี เฟอร์นิเจอร์ กล่าวถึงแนวทางการสร้างสรรค์โปรเจคพิเศษด้านความร่วมมือกับแบรนด์ชั้นนำระดับโลก เพื่อเปิดประสบการณ์ใหม่ด้วยโซลูชันที่ล้ำหน้าและไม่ซ้ำใครว่า ในฐานะผู้นำด้านเฟอร์นิเจอร์และการแต่งบ้าน ภายใต้แนวคิด Home Design Solutions การสร้างสรรค์และพัฒนาผลงานดีไซน์ใหม่ๆ อย่างไม่หยุดยั้งเพื่อเติมเต็มความต้องการของไลฟ์สไตล์เทรนด์ในทุกช่วงเวลาจึงเป็นความท้าทายให้ SB Design Square ต้องเฟ้นหาความใหม่ที่พิเศษสุดมานำเสนอในแต่ละปี โดยอาศัยความร่วมมือกับแบรนด์ชั้นนำที่พร้อมจะดึงจุดเด่นของแบรนด์นั้นๆ มาผสานกับความเชี่ยวชาญที่เรามี เพื่อส่งมอบโซลูชันในการอยู่อาศัยโดยมีดีไซน์เข้ามาเติมเต็มเพื่อความสุขในทุกโมเมนต์ของการใช้ชีวิต โดยล่าสุดในปีนี้ SB Design Square ได้ผสานความร่วมมือกับ ELLE DECOR แบรนด์ไลฟ์สไตล์แฟชั่นระดับโลกจากฝรั่งเศส สร้างสรรค์ผลงานไลฟ์สไตล์เฟอร์นิเจอร์ที่มีกลิ่นอายแบบฉบับของปารีเซียงสไตล์ ที่มุ่งเน้นถ่ายทอดความงดงามทางแฟชั่นกับศิลปะในการออกแบบและผลิตเฟอร์นิเจอร์ รวมถึงการเลือกใช้วัสดุที่นำเข้าจากทั่วโลกผ่านเทคโนโลยีการผลิตสุดทันสมัยได้อย่างไม่จำกัด ซึ่งทั้งหมดนี้ได้ถูกหล่อหลอมผ่านมุมมองสร้างสรรค์ให้กลายเป็นคอลเลคชันพิเศษ ที่มีดีไซน์ทันสมัยและรายละเอียดการผลิตสุดประณีตให้สัมผัสถึงความเป็นเฟมินีน มีเสน่ห์โดดเด่นกว่าใครภายใต้ความเรียบอย่างมีสไตล์ในคอลเลคชัน ‘A Parisian State of Mind’ “SB Design Square ต้องการที่จะผสมผสานเรื่องของการแต่งบ้านเข้าไปอยู่ในไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตประจำวันของคนไทยให้มากขึ้น ต้องการสร้างความคิดที่ว่า ‘การแต่งบ้านเป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกวัน’ ให้เหมือนกับการเลือกซื้อเสื้อผ้า เครื่องสำอาง ไม่จำเป็นที่ต้องเป็นของชิ้นใหญ่ ซึ่งคอลเลคชัน ‘A Parisian State of Mind’ จะสะท้อนแนวคิดไลฟ์สไตล์เฟอร์นิเจอร์ได้เป็นอย่างดี” นายพิเดช ชวาลดิฐ  กล่าวถึงแนวคิดในการสร้างสรรค์สไตล์เฟอร์นิเจอร์ ‘A Parisian State of Mind’ “ความร่วมมือในครั้งนี้เสมือนเป็นการย้ำให้เห็นถึง ความมุ่งมั่นในการพัฒนาสินค้าและบริการ รวมถึงคิดค้นเทคโนโลยีการผลิตต่างๆ ที่ทันสมัย เพื่อยกระดับความเป็น     Home Design Solutions    ที่สามารถตอบโจทย์ลูกค้าทั้งเรื่องสินค้าและบริการช่วยออกแบบตกแต่งที่ครบ   วงจร ด้วยความที่เราเป็นผู้นำจึงสามารถสร้างสรรค์เฟอร์นิเจอร์ที่มีดีไซน์ที่โดดเด่น เพียบพร้อมไปด้วยฟังก์ชันการใช้งานที่ตอบโจทย์ นำเสนอในราคาที่สามารถจับต้องได้  โดยเราได้นำลวดลายของ ELLE DECOR มาผสมผสานลงไปในชิ้นงานเฟอร์นิเจอร์ในคอลเลคชัน A Parisian State of Mind ที่นำสัมผัสแห่งแรงบันดาลใจในสไตล์ปารีเซียงมาถ่ายทอดสู่งานดีไซน์ที่เหมือนให้เราใช้ชีวิตอยู่ใจกลางมหานครปารีสในทุกวัน”   ด้านมุมมองต่อทิศทางการพัฒนางานด้านดีไซน์โซลูชันของ SB Design Square จากปัจจุบันสู่อนาคตนั้น นายพิเดช กล่าวเสริมว่า จากพฤติกรรม work from home ที่เกิดขึ้นในกว่า 2 ปีที่ผ่านมาที่ทำให้  "บ้าน" ไม่ได้เป็นแค่เพียง "ที่อยู่อาศัย" แต่ยังกลายเป็นออฟฟิศ ห้องประชุม ฟิตเนส ร้านกาแฟ หรือแม้กระทั่งโรงภาพยนตร์ ประกอบกับการเริ่มเปิดประเทศ ส่งผลให้ภาพรวมสินค้าเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านยังมีศักยภาพในการเติบโตอีกมาก โดยเฉพาะสินค้าในลักษณะไลฟ์สไตล์เฟอร์นิเจอร์ ที่ผสานประสบการณ์ใหม่เข้ากับฟังก์ชันที่ลูกค้าต้องการ SB Design Square จึงได้ร่วมมือกับแบรนด์ชั้นนำระดับโลก เดินหน้าแนวคิดในการพัฒนาเพื่อเติมเต็มไลฟ์สไตล์เทรนด์ในส่วนนี้มาอย่างต่อเนื่อง และจากกลยุทธ์ดังกล่าวทำให้เราได้กลุ่มลูกค้าใหม่ๆ เพิ่มขึ้นในทุกปี โดย SB Design Square จะไม่หยุดที่จะเข้าถึงรูปแบบการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไปของผู้คน ด้วยเหตุนี้เราจึงนำ Big Data ที่ได้มาวิเคราะห์เพื่อนำเสนอสินค้าและบริการในรูปแบบ Personalization ที่ตรงกับความต้องการของลูกค้ามากขึ้น รวมถึงการสร้างสรรค์ไอเดียใหม่ๆ ร่วมกับพาร์ทเนอร์แบรนด์ที่หลากหลายเพื่อเป้าหมายในการขยายกลุ่มลูกค้าในทุกเซกเมนต์ในอนาคต นางสาวปรียรัติ สุทธาพัฒน์ธานนท์ ผู้จัดการทั่วไป ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัท ลาร์กาแดร์ แอคทีฟ เอ็น เตอร์ไพรส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ดูแลลิขสิทธิ์ของแบรนด์ ELLE DECOR ในประเทศไทยกล่าวถึงความพิเศษของคอลเลคชันใหม่ภายใต้โปรเจคพิเศษ SBDS X ELLE DECOR ว่า คอลเลคชัน A Parisian State of Mind ประกอบไปด้วยเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้านกว่า 50 ชิ้น ซึ่งเราได้ผสมผสานลายพริ้นท์ ELLE Signature และ Parisian Touch ซึ่งสะท้อน DNA ของแบรนด์ในความเป็นผู้นำด้านแฟชั่นมาลงอยู่ในคอลเลคชันนี้ และสะท้อนให้เห็นว่า ELLE เป็นมากกว่าสินค้าแฟชั่น แต่หากคือทุกๆช่วงชีวิตของผู้หญิง ELLE ที่ไม่ว่าจะหยิบจับอะไรก็มีสไตล์ไปหมด ความโดดเด่นของคอลเลคชันนี้คือ  ELLE Signature ที่เน้นลาย Signature Monogram สุดคลาสสิค รวมไปถึง The Parisian Journey ที่นำ ELLE Eiffel มาทำให้ห้องของคุณมีชีวิตชีวาดั่งมหานครปารีส และที่ขาดไม่ได้คือลายพริ้นท์camo ที่เป็นลายที่เป็น MUST HAVE ของ Fall Winter 2022 นี้เลยทีเดียว ซึ่งความร่วมมือกับ SB Design Square ในครั้งนี้จะช่วยให้ลูกค้าสามารถ makeover ห้องของคุณจากห้องธรรมดาให้มีความหรูหรา มีสไตล์ น่าค้นหา และเต็มไปด้วยแรงบันดาลใจ สร้างบรรยากาศในบ้านของคุณให้เป็น #ParisianAnywhere ได้อย่างไม่มีที่ติ ทั้งนี้ ไลฟ์สไตล์เฟอร์นิเจอร์ในคอลเลคชัน A Parisian State of Mind พร้อมเปิดให้ได้สัมผัสเพื่อสร้างแรงบัลดาลใจใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นได้ในทุกวัน ชมรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.sbdesignsquare.com หรือเข้าชมสินค้าจริงได้ที่ SB Design Square สาขาคริสตัล ดีไซน์ เซ็นเตอร์ และ SB Design Square สาขาราชพฤกษ์     บทความน่าสนใจ SB สาขา CDC ปรับลุคเป็น Flagship Store ส่ง Zelection Built-in ปฏิวัติวงการบิลท์อิน
อีซี่วิซ รับเทรนด์ชีวิตยุคดิจิทัล ลุยตลาดสินค้าโซลูชั่น สมาร์ทโฮม

อีซี่วิซ รับเทรนด์ชีวิตยุคดิจิทัล ลุยตลาดสินค้าโซลูชั่น สมาร์ทโฮม

อีซี่วิซ อีซี่วิซ เปิดตัวสินค้าโซลูชั่น “บ้านอัจฉริยะ” รับไลฟ์สไตล์ชีวิตยุคดิจิทัล ทั้งกลุ่มผลิตภัณฑ์กล้องวงจรปิดอัจฉริยะ กลุ่มอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยและเซ็นเซอร์ภายในบ้าน และกลุ่มสินค้าสมาร์ทโฮมอัจฉริยะ   นายวิคเตอร์ จาง ผู้อำนวยการฝ่ายขาย EZVIZ (อีซี่วิซ)  แบรนด์นวัตกรรมเทคโนโลยีสมาร์ทโฮมโซลูชั่น เปิดเผยว่า ปัจจุบันแนวคิดบ้านแบบ Smart Home ไม่ใช่เรื่องใหม่ เนื่องจากวิถีชีวิตของคนยุคปัจจุบันได้ปรับเปลี่ยนไป ดังนั้นบ้านจึงต้องปรับตามวิถีชีวิตของคนที่เปลี่ยนไปด้วย  โดยอีซี่วิซผลิตภัณฑ์นวัตกรรมสมาร์ทโฮมโซลูชั่นด้านความปลอดภัยภายในบ้าน  ได้จับกระแสสมาร์ทโฮมที่เติบโตอย่างต่อเนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่อยู่บ้านมากขึ้น   โดยได้มีการเปิดตัวสินค้าเพื่อพร้อมเปิดประสบการณ์ใหม่ของการใช้ชีวิตยุคดิจิทัล เปลี่ยนบ้านธรรมดา ให้เป็น “บ้านอัจฉริยะ” ผ่านอุปกรณ์นวัตกรรมสมาร์ทโฮมโซลูชั่นที่ครบครัน มีฟังก์ชั่นการใช้งานที่ตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลาย สามารถปรับแต่งการตั้งค่าได้ตามไลฟ์สไตล์ ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการอยู่อาศัย ยกระดับความปลอดภัย ดูแลความเรียบร้อยในบ้านได้ตลอด 24 ชั่วโมง   สำหรับสินค้าภายใต้แบรนด์อีซีวิซ มีไลน์อัพผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย​ ที่จะเข้ามาช่วยเติมเต็มและยกระดับบ้านให้กลายเป็นบ้านอัจฉริยะ ตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้อยู่อาศัยในบ้านในด้านต่าง ๆ ดังนี้ กลุ่มผลิตภัณฑ์กล้องวงจรปิดอัจฉริยะ ที่ใช้เทคโนโลยี AI  อาทิ กล้องสมาร์ท Wi-Fi “C8W Pro” สำหรับการดูแลความปลอดภัยภายนอกบ้าน ด้วยภาพคมชัดระดับ 3K ความละเอียดกว่า 5 ล้านพิกเซล พร้อมฟีเจอร์การตรวจจับบุคคลและรถยนต์  กล้องสมาร์ทโฮมในบ้าน รุ่น “C6” กล้องที่สามารถตรวจจับเสียง จดจำ และแยกแยะการตรวจจับความเคลื่อนไหวของมนุษย์หรือสัตว์เลี้ยง  กล้องเบบี้แคร์อัจฉริยะ “Baby Monitor 1” (BM1)  สำหรับเฝ้าดูแลลูกน้อยผ่านจอภาพได้ตลอดเวลา มีฟังก์ชั่นการใช้งานที่ขับเคลื่อนด้วย AI อัจฉริยะ ตัวกล้องมีแบตเตอรี่ในตัว ที่สามารถชาร์จจากแผงโซลาร์เซลล์ได้ และยังมีให้เลือกอีกหลากหลายรุ่นตามการใช้งาน ในราคาที่เหมาะสมกับคุณภาพและการใช้งานที่คุ้มค่า กลุ่มอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยและเซ็นเซอร์ภายในบ้าน  อุปกรณ์ประตูล็อกอัจฉริยะ (Smart Door Lock) ที่รองรับการปลดล็อกได้ทั้งลายนิ้วมือ รหัส คีย์การ์ด กุญแจ และแอปพลิเคชัน กริ่งประตูที่มาพร้อมกล้องวิดีโออัจฉริยะ ที่พร้อมจะแจ้งเตือนให้คุณรับรู้ได้ทันทีเมื่อมีคนยืนอยู่หน้าประตู ชุดอุปกรณ์สมาร์ทโฮมเซ็นเซอร์อัจฉริยะ (Home Sensor Kit) เกตเวย์เชื่อมต่อไร้สายในบ้าน เซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหว เซ็นเซอร์ตรวจจับการเปิด-ปิดประตูหรือหน้าต่าง และเซ็นเซอร์อัจฉริยะสำหรับดูแลผู้สูงอายุ ที่พร้อมทำหน้าที่เป็นปุ่มกดฉุกเฉินอัจฉริยะ ขอความช่วยเหลือได้ทันทีในกรณีฉุกเฉิน กลุ่มสินค้าสมาร์ทโฮมอัจฉริยะ อุปกรณ์ที่สามารถเปลี่ยนอุปกรณ์ไฟฟ้าให้ฉลาดขึ้นด้วยปลั๊กอัจฉริยะ (Smart Plug) ที่ควบคุมการปิด-เปิด หรือตั้งเวลาการใช้งาน ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมแบบ 2in1 เป็นทั้งกล้องวงจรปิดและไฟติดผนังในตัว และผลิตภัณฑ์เครื่องฟองอากาศ เพื่อให้คุณและครอบครัวได้สูดอากาศบริสุทธิ์ภายใน สำหรับอุปกรณ์ของอีซีวิซ มีการทำงานด้วยระบบอัตโนมัติและเรียลไทม์ ช่วยให้การปกป้องดูแลบ้านให้ปลอดภัย  มีการพัฒนาระบบเพื่อเชื่อมโยงการสั่งงานผ่าน EZVIZ App ที่แอปเดียวสามารถควบคุมทุกอุปกรณ์ในบ้านได้จากทุกที่ทุกเวลาเพียงปลายนิ้วสัมผัสบนสมาร์ทโฟน   นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับการปกป้องความปลอดภัยของข้อมูลผู้ใช้งาน รวมถึงการเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ด้วยระบบการรักษาความปลอดภัยแบบ 4 ชั้น ผ่านระบบการเข้ารหัสลับแบบ AES 128 บิต และการยืนยันตัวตนหลายขั้นตอน ซึ่งเป็นเทคโนโลยีของอีซี่วิซ บน EZVIZ CloudPlay สำหรับการบันทึกวิดีโออัตโนมัติและจัดเก็บอย่างปลอดภัย   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -[PR News] “EZVIZ” รุ่น C6W คว้ารางวัลสุดยอดนวัตกรรมสมาร์ทโฮมโซลูชั่นอัจฉริยะภายในบ้านแห่งปี จาก “IoT Innovator Award 2021”
[PR News] IWG จับมือ BDO รับเทรนด์การทำงานแบบไฮบริด เช่าพื้นที่ 500 ตร.ม.

[PR News] IWG จับมือ BDO รับเทรนด์การทำงานแบบไฮบริด เช่าพื้นที่ 500 ตร.ม.

ไอดับบลิวจี  (IWG) ผู้ให้บริการพื้นที่ทุกรูปแบบ ตามความต้องการของผู้ใช้  ในแบบเฟล็กซ์และไฮบริด ประกาศความร่วมมือกับ BDO เครือข่ายธุรกิจบัญชีขนาดใหญ่อันดับ 5 ของโลกที่ให้บริการครอบคลุมด้านประกัน ภาษี และที่ปรึกษาทางการเงินแก่ลูกค้าจากทุกมุมโลก   โดย BDO ไว้วางใจเลือกใช้พื้นที่ 500 ตร.ม. ที่ Regus Exchange Tower ใจกลางกรุงเทพฯ เป็นสำนักงานแบบไฮบริดที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ พนักงานของบริษัทจะสามารถเข้าถึงเครือข่ายของไอดับบลิวจี ทั่วโลกได้ โดยปัจจุบันมีพื้นที่ให้บริการในจุดสำคัญของประเทศไทยถึง 26 แห่ง ปัจจุบัน BDO ให้บริการลูกค้าบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ และกิจการระหว่างประเทศ  มีเครือข่ายทั่วโลก สำหรับไอดับบลิวจี นั้น มีพื้นที่สำนักงานในเมืองสำคัญทั่วโลกกว่า 120 ประเทศ กว่า 3,500 แห่งทั่วโลก  และมีความร่วมมือกับ BDO แล้วในสหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น อิสราเอล และกายอานา จึงได้ขยายความร่วมมือในประเทศไทย ​   นายกาเร็ท เฮเวอร์ ซีอีโอ ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของ IWG เปิดเผยว่า ปัจจุบันหลาย ๆ บริษัทเปลี่ยนมาเป็นไฮบริดโมเดลมากขึ้น เพราะตอบโจทย์ความต้องการของทีมงานให้มีความยืดหยุ่นและสมดุลในชีวิต ทำงาน ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ พร้อมเข้าไปมีส่วนร่วมและช่วยสนับสนุนลูกค้าได้เต็มที่ IWG จึงพยายามผลักดันเทรนด์พื้นที่การทำงานแบบไฮบริด ที่เป็นหนึ่งในโซลูชันบริการของเราที่ช่วยตอบโจทย์ได้ ไม่ว่าจะเป็นการทำงานในรูปแบบใด   ปัจจุบัน IWG มีแบรนด์ในเครือหลากหลาย ได้แก่ Regus, Spaces, No18, Basepoint, Open Office และ Signature โดยในปี 2022  ได้มุ่งสร้างการเติบโตเชิงรุก จึงเตรียมเปิดจุดให้บริการอีก 8 แห่งเร็ว ๆ นี้  ในเขตปริมณฑล เนื่องจากมองเห็นโอกาสและศักยภาพของกรุงเทพฯ ที่จะพัฒนาเป็นการทำงานแบบไฮบริด ซึ่งจะส่งให้เครือข่ายของบริษัทเติบโต ขยายตัว และส่งเสริมการทำงานในพื้นที่ไฮบริด     อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -IWG x รัตนากร ขยายสำนักงานให้เช่า วางเป้า 10 ปี 40 แห่งทั่วไทย -IWG จับมือ รัตนากร แอสเซท บริหารออฟฟิศให้เช่า 40 แห่งทั่วไทย
 [PR News] “Whizdom COEX” คอนโดแบรนด์ใหม่ ออกแบบพื้นที่เพื่อคนเจนใหม่

 [PR News] “Whizdom COEX” คอนโดแบรนด์ใหม่ ออกแบบพื้นที่เพื่อคนเจนใหม่

MQDC เปิดโครงการแนวใหม่ "Whizdom COEX" MQDC บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ประกาศเปิดตัวแบรนด์ Whizdom COEX (วิสซ์ดอม โคเอ็กซ์) อย่างเป็นทางการ ชูแนวคิดพื้นที่เจนใหม่ที่ตอบสนองทุกด้านของชีวิตให้อยู่ร่วมกันได้อย่างลงตัว เชื่อมต่อไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ที่ไม่หยุดนิ่ง และเอนจอยไปกับการใช้ชีวิตในแบบของตัวเองได้ในพื้นที่แห่งนี้   MQDC เปิดโครงการแนวใหม่ "Whizdom COEX" นายอัษฎา แก้วเขียว ประธานผู้อำนวยการ-วิสซ์ดอม โดย MQDC กล่าวว่า “Whizdom COEX คือแบรนด์ที่การศึกษาวิถีชีวิตและเทรนด์ความต้องการของผู้อยู่อาศัยเจนใหม่ ทำให้พบว่าสิ่งที่พวกเขามองหานั้นไม่เพียงแต่เป็นที่พักอาศัยที่สะดวกสบายเท่านั้น แต่คือพื้นที่ที่ส่งเสริมการใช้ชีวิตในทุกๆ ด้านให้มีประสิทธิภาพสูงสุด อีกทั้งยังต้องสามารถสะท้อนไลฟ์สไตล์ที่เป็นตัวเองได้อย่างเต็มที่ ทั้งการทำงาน การเรียน ไปจนถึงกิจกรรมความบันเทิงและไลฟ์สไตล์อื่นๆ ให้ตอบโจทย์ความต้องการของคนเจนใหม่ได้ครบจบในที่เดียว” . Whizdom COEX สะท้อนการออกแบบพื้นที่เจนใหม่ (Smart New Generation Space) โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากแนวคิด ‘Enjoyable Coexistence’ หรือการออกแบบพื้นที่ให้ผู้อยู่อาศัยสามารถสนุกไปกับการใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง (Co-live) เต็มที่กับงานที่ทำ (Co-work) ไม่หยุดเรียนรู้ (Co-learn) และเอนจอยไปกับทุกๆ กิจกรรมร่วมกันได้อย่างไร้ขีดจำกัด (Co-play) ผ่านนวัตกรรมการดีไซน์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของคนเจนใหม่ในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่พักอาศัยหรือสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ล้วนถูกออกแบบให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตในปัจจุบัน ซึ่งคอนเซ็ปต์ดังกล่าวนี้จะถูกนำไปต่อยอดและประยุกต์ใช้ในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในทำเลต่างๆ ภายใต้แบรนด์ Whizdom COEX ต่อไปในอนาคต โดยสะท้อนผ่านแนวคิดการออกแบบ 4 ด้าน ได้แก่ การผสานเทคโนโลยีดิจิทัล (Digitalization) การสร้างพื้นที่สีเขียว (Naturalization) การเชื่อมต่อประสบการณ์ทุกด้าน (Experience) และการออกแบบที่พร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลง (Adaptability) . Digitalization – ผสานเทคโนโลยีดิจิทัล ภายในโครงการของ Whizdom COEX นั้นได้นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมการดีไซน์เข้ามาผสมผสานเพื่อมอบประสบการณ์ที่สะดวกสบายและตอบรับไลฟ์สไตล์ในปัจจุบัน นำโดย Smart Living ที่ประกอบไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการ เช่น Smart Locker รักษาความปลอดภัยให้ของชิ้นสำคัญ หรือ Smart Storage พื้นที่สำหรับเก็บของเพิ่มเติมสำหรับสิ่งของที่ไม่ค่อยได้ใช้ เพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอยภายในห้อง ไปจนถึงระบบ Home Automation ควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ต่างๆ ผ่านแอปพลิเคชัน นอกจากนี้ อาคารของโครงการ Whizdom COEX ยังออกแบบให้เป็น Smart Building ที่ติดตั้ง Central Utilities Plant (CUP) หรือนวัตกรรมระบบปรับอากาศที่ทำความเย็นผ่านท่อน้ำเย็น ช่วยลดอุณหภูมิและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ รวมถึงระบบจอดรถอัตโนมัติ (Automatic Parking) เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้อยู่อาศัยในโครงการ . Naturalization – สร้างพื้นที่สีเขียว นอกจากนี้ Whizdom COEX ยังให้ความสำคัญกับการเชื่อมต่อไลฟ์สไตล์เข้ากับพื้นที่สีเขียว ให้ผู้อยู่อาศัยได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติเพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีจากธรรมชาติบำบัด การสร้างพื้นที่สีเขียวภายในโครงการนั้นยังรวมถึง Pocket Garden ที่กระจายตัวอยู่ทุกที่ ทั้งบริเวณที่พักอาศัย พื้นที่ส่วนกลาง และภายนอกอาคาร อีกทั้ง Whizdom COEX ยังตอกย้ำ ‘มาตรฐานวิสซ์ดอม’ ด้วยการออกแบบที่ใส่ใจต่อสุขภาพของผู้พักอาศัยตั้งแต่เดินเข้าโครงการ ไม่ว่าจะเป็น Sound Absorption ลดมลภาวะทางเสียง และ Air Filtration เพื่อลดมลภาวะทางอากาศโดยรอบโครงการ และยังรวมไปถึงการใช้อุปกรณ์ประหยัดพลังงานเพื่อลดการใช้พลังงานไฟฟ้าและลดปริมาณการใช้น้ำของทั้งโครงการ . Experience – เชื่อมต่อประสบการณ์ทุกด้าน อีกหนึ่งจุดเด่นอันเป็นเอกลักษณ์ของ Whizdom COEX คือ ‘COEX Space’ หรือพื้นที่ส่วนกลางที่เปิดโอกาสให้ทั้งสมาชิกวิสซ์ดอมและผู้คนในชุมชนได้ทำกิจกรรมร่วมกัน ซึ่งไม่ว่าจะมีไลฟ์สไตล์แบบไหน พื้นที่แห่งนี้ก็สามารถตอบโจทย์ Seamless Life Experience ที่คนเจนใหม่มองหาได้อย่างครบวงจร โดยใน COEX Space ประกอบไปด้วยโซนต่างๆ ได้แก่ CO-Café คาเฟ่และร้านอาหารที่เติมพลังด้วยอาหารเช้าพร้อมเสิร์ฟและเมนูที่หลากหลายไว้คอยต้อนรับสำหรับการนั่งทำงานตลอดทั้งวัน CO-Play & Creation Space หรือ Smart Co-working Space ที่สามารถปรับเปลี่ยนตามรูปแบบการใช้งานที่หลากหลายได้ ทั้งกิจกรรมเวิร์คช็อป การประชุม หรือการทำงานที่ต้องการความเป็นส่วนตัว ไปจนถึงการจัดอีเวนต์ รวมถึง CO-Kitchen & Dining ซึ่งเป็นโซนที่รวบรวมร้านอาหารต่างๆ สามารถใช้พบปะสังสรรค์กับกลุ่มเพื่อนในบรรยากาศที่เป็นกันเองและผ่อนคลายได้ นอกจากนี้ ภายใน COEX Space ยังมี CO-Active & Digital Lifestyle หรือพื้นที่สำหรับการออกกำลังกายพร้อมกิจกรรมและอุปกรณ์แบบอินเตอร์แอคทีฟ ที่ไม่ว่าจะเล่นคนเดียวหรือสนุกกับกลุ่มเพื่อนก็สามารถทำได้ตลอด 24 ชั่วโมง  . Adaptability – พร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลง ทุกรายละเอียดภายในโครงการของแบรนด์ Whizdom COEX ได้ถูกคิดค้นและออกแบบให้ตอบสนองวิถีชีวิตยุคใหม่และตอบรับความต้องการที่แตกต่าง ในขณะเดียวกัน ยังคำนึงถึงการดีไซน์ที่พร้อมรองรับความเปลี่ยนแปลงในอนาคต อาทิ การออกแบบโครงสร้างอาคารที่มาพร้อมโซลูชันป้องกันน้ำท่วม (Flood Prevention) การติดตั้งระบบฆ่าเชื้อโรคก่อนเข้าอาคารและจุดบริการแบบไร้สัมผัสเพื่อสร้างความอุ่นใจให้กับผู้อยู่อาศัย หรือการออกแบบระบบท่อน้ำที่คำนึงถึงขั้นตอนการบำรุงรักษาที่สะดวก ไม่รบกวนผู้ที่พักอาศัยห้องอื่น ไปจนถึงการออกแบบพื้นที่ส่วนกลางแบบ Universal Design ที่เอื้อต่อการใช้งานของคนทุกกลุ่ม ทุกวัย เป็นต้น MQDC เปิดโครงการแนวใหม่ "Whizdom COEX" “ด้วยจุดเด่นในด้านการจัดสรรพื้นที่และฟังก์ชันสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน ทำให้ Whizdom COEX เป็นคอนเซ็ปต์โครงการที่อยู่อาศัยที่สามารถตอบรับเทรนด์และความต้องการของผู้คนยุคใหม่ได้ในทุกมิติ และนอกจากการผสานนวัตกรรมการอยู่อาศัยสำหรับไลฟ์สไตล์ที่ไม่หยุดนิ่งแล้ว เรายังตั้งใจออกแบบให้ Whizdom COEX เป็นพื้นที่แห่งการสร้างแรงบันดาลใจและสนับสนุนให้ผู้อยู่อาศัยได้ปลดล็อครูปแบบการใช้ชีวิตในทุกๆ ด้าน เต็มที่ไปกับทุกกิจกรรมได้อย่างมีความสุข ซึ่งนั่นจะนำไปสู่การค้นพบศักยภาพของตนเองและต่อยอดไปสู่การสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ร่วมกัน เกิดเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ที่ขับเคลื่อนโดยคนเจนใหม่เพื่ออนาคตที่ดียิ่งขึ้น ซึ่งเราหวังว่าโครงการจาก Whizdom COEX จะเป็นโซลูชันที่ตอบโจทย์และเติมเต็มทุกไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ได้อย่างเเท้จริง” นายอัษฎา กล่าวสรุป โดย MQDC เตรียมเปิดตัวโครงการ ‘Whizdom COEX Pinklao’ (วิสซ์ดอม โคเอ็กซ์ ปิ่นเกล้า) โครงการที่อยู่อาศัยแห่งแรกภายใต้แบรนด์ Whizdom COEX ในรูปแบบคอนโดมิเนียมมิกซ์ยูส บนพื้นที่รวมกว่า 4 ไร่ บนถนนจรัญสนิทวงศ์ โดยโครงการประกอบไปด้วย 2 ทาวเวอร์ ตั้งอยู่ระหว่างสถานีรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน สถานีบางยี่ขัน ซึ่งมี ‘COEX Space’ พื้นที่ไลฟ์สไตล์คอมมูนิตี้ภายในโครงการ ตอบสนองไลฟ์สไตล์ทุกด้านของชีวิต ให้ทั้งการอยู่อาศัย การทำงาน การเรียน และทุกกิจกรรม ล้วนสามารถเกิดขึ้นพร้อมกันได้บนพื้นที่แห่งอนาคตนี้   บทความสำคัญ MQDC เปิดขาย “Whizdom The Forestias : Mytopia” อย่างเป็นทางการ MQDC เผยความสำเร็จ “ซิกส์เซนส์ เรสซิเดนซ์” บ้านอัลตร้าลักชัวรี่ ทำยอดขายแล้ว 4,700 ล้าน MQDC คว้ารางวัล Thailand’s Best Managed Companies 2022 จาก “ดีลอยท์ ประเทศไทย”