Tag : SpecialScoop

96 ผลลัพธ์
เปิดราคาที่ดินล่าสุด เริ่มใช้ปี 61′

เปิดราคาที่ดินล่าสุด เริ่มใช้ปี 61′

ที่ดินเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นอยู่ตลอด โดยผู้ที่กำหนดราคาที่ดิน คือ กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง ซึ่งมีการประกาศราคาประเมินที่ดินใหม่ โดยเปลี่ยนวิธีการจากเดิมประเมินเป็นรายบล็อก เป็นการประเมินราคารายแปลงทั้งหมด 32 ล้านแปลง ราคาใหม่นี้เริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2561 โดยราคาที่ดินสูงสุดเฉพาะในเขตกรุงเทพมหานคร เรียงตามลำดับ ดังนี้ 1.ถ.สีลม เขตบางรัก ตารางวาละ 1,000,000 บาท 2.ถ.เพลินจิต ถ.พระราม1 ถ.ราชดำรอ เขตปทุมวัน ตารางวาละ 900,000 บาท 3.ถ.สาทร เขตสาทร เขตบางรัก ตารางวาละ 750,000 บาท 4.ถ.วิทยุ เขตปทุมวัน ถ.เยาวราช เขตสัมพันธวงศ์ ตารางวาละ 700,000 บาท 5.ถ.สุขุมวิท เขตวัฒนา คลองเตย ตารางวาละ 650,000 บาท 6.ถ.พัฒนพงษ์ ถ.ธนิยะ ถ.นราธิวาสฯ เขตบางรัก ตารางวาละ 600,000 บาท 7.ถ.สำเพ็ง ถ.ราชวงศ์ ตารางวาละ 550,000 บาท 8.ถ.พญาไท ถ.ศาลาแดง ถ.สุรวงศ์ ถ.เจริญกรุง ถ.คอนแวนต์ เขตบางรัก ถ.พระราม 4 ถ.หลังสวน เขตปทุมวัน ถ.มังกร เขตสัมพันธวงศ์ ตารางวาละ 500,000 บาท 9.ถ.มหาจักร เขตสัมพันธวงศ์ ตารางวาละ 475,000 บาท 10.ถ.พระสุเมรุ เขตพระนคร ตารางวาละ 470,000 บาท   ส่วนที่ดินที่ถูกที่สุดในเขตกรุงเทพมหานคร เรียงตามลำดับ ดังนี้ 1.เขตบางขุนเทียน บริเวณคลองโล่งชายทะเล ตารางวาละ 500 บาท 2.คลองพิทยาลงกรณ์ คลองโล่ง เขตบางขุนเทียน ตารางวาละ 800 บาท 3.ถ.ร่วมพัฒนา ถ.คู้คลองสิบ ถ.มิตรไมตรี เขตหนองจอก ตารางวาละ 850 บาท 4.ถ.สุวินทวงศ์ ถ.เลียบวารี เขตหนองจอก ถ.ขุมทอง-ลำต้อยติ่ง เขตลาดกระบัง ตารางวาละ 1,000 บาท 5.ถ.คลองเกาะโพธิ์ ถ.บางขุนเทียนเลียบชายทะเล ตารางวาละ 1,200 บาท 6.ถ.ราษฎร์อุทิศ เขตมีนบุรี คลองสามวา ตารางวาละ 1,300 บาท 7.ถ.พระราม 2 คลองสนามชัย และถ.แสมดำ เขตบางขุนเทียน ตารางวาละ 1,500 บาท 8.ถ.เอกชัย ถ.พระราม 2 เขตบางขุนเทียน 2,000 บาท 9.ซ.เทียนทะเล 22 ตารางวาละ 2,400 บาท 10.คลองหนามแดง ถ.เอกชัย ถ.บางบอน 4 เขตบางขุนเทียน ตารางวาละ 2,500 บาท ราคาที่ดินสูงสุดในต่างจังหวัด เรียงตามลำดับ ดังนี้ 1.อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ตารางวาละ 400,000 บาท 2.อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ตารางวาละ 250,000 บาท 3.ถ.เลียบหาดพัทยา จ.ชลบุรี ตารางวาละ 220,000 บาท 4.ถ.ศรีจันทร์ จ.ขอนแก่น ตารางวาละ 220,000 บาท 5.ถ.เนรมิต จ.นครศรีธรรมราช ถ.ทวีวงศ์ จ.ภูเก็ต ตารางวาละ 200,000 บาท 6.ถ.โพศรี จ.อุดรธานี ตารางวาละ 180,000 บาท 7.ถ.กรุงเทพฯ-นนทบุรี จ.นนทบุรี ถ.สุขยางค์ จ.ยะลา ตารางวาละ 170,000 บาท 8.ถ.สุขุมวิท กรุงเทพ-คลองสำโรง จ.สมุทรปราการ ตารางวาละ 160,000 บาท 9.ถ.ราชดำเนิน จ.ตรัง ถ.หน้าเมือง จ.สุราษฎร์ธานี ตารางวาละ 150,000 บาท 10.ถ.อัษฎางค์ ราชดำเนิน ถ.จอมพล จ.นครราชสีมา ตารางวาละ 130,000 บาท   ส่วนที่ดินที่ถูกที่สุดในต่างจังหวัด ซึ่งทั้งหมดเป็นที่ดินตาบอด เรียงตามลำดับ ดังนี้ 1.อ.โคกเจริญ จ.ลพบุรี ตารางวาละ 20 บาท 2.อ.กัลยาณิวัฒนา แม่แจ่ม อมก๋อย จ.เชียงใหม่ อ.บ่อเกลือ จ.น่าน ตารางวาละ 25 บาท 3.อ.ชาติตระการ จ.พิษณุโลก อ.ปางมะผ้า จ.แม่ฮ่องสอน ตารางวาละ 30 บาท   การประเมินราคาใหม่นี้ใช้เกณฑ์อ้างอิงหรือเป็นฐานในการจัดเก็บภาษี ค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนสิทธิ นิติกรรม ใช้ในการเวนคืน และใช้เพื่อเพื่อรองรับกฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาในชั้นสภานิติบัญญัติ    
รวมสุดยอดปัญหาใหญ่ของคนมีบ้าน-คอนโด แห่งปี 60′

รวมสุดยอดปัญหาใหญ่ของคนมีบ้าน-คอนโด แห่งปี 60′

เชื่อว่าทุกคนใฝ่ฝันที่จะมีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง ไม่ว่าจะอยู่คนเดียว หรืออยู่กับครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตา แต่ไม่ว่าจะเป็นคอนโดมิเนียม ทาวน์โฮม หรือบ้านเดี่ยว สมัยนี้ราคาค่อนข้างสูงทีเดียว ทำให้หลายคนต้องทุ่มเทเก็บเงินมาครึ่งชีวิต เพื่อให้มีที่อยู่อาศัยดีๆ สักแห่ง ที่อยู่แล้วรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย สามารถสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้ แต่บางอย่างก็กลับมีปัญหาเกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด ซึ่งบทความนี้เป็นเพียงการรวบรวมปัญหาที่เกิดขึ้นในปีนี้จากหลายๆ โครงการมาให้มองย้อนกลับไปเป็นกรณีศึกษาสำหรับคนมีบ้าน-คอนโด หรือคนที่กำลังมองหาอยู่   คอนโดมิเนียม  คอนโดมิเนียมแถวพระราม 9 เหตุการณ์นี้ตัวคอนโดเองไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่เมื่อช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมาได้มีการจัดงานคอนเสิร์ตใหญ่โตใกล้กับคอนโด ด้วยเสียงที่ดังมากทำให้ตึกสั่น และกระจกหน้าต่างคอนโดร้าวไปหลายห้อง แต่ทางทีมงานผู้จัดคอนเสิร์ตก็แสดงความรับผิดชอบด้วยการรับผิดชอบค่าเสียหายทั้งหมด คอนโดมิเนียม ซอยรัชดา 36 มีปัญหาน้ำรั่วซึมจากท่ออยู่ตลอดเวลา ซึ่งน้ำที่รั่วซึมได้ไหลตามขอบวงกบ และผนัง จนเกิดความเสียหายต่อผนังห้อง ขอบวงกบ ขอบประตู ไปจนถึงพื้นห้อง มีลูกบ้านเสียหายกว่า 50 ยูนิต รวมถึงผนังภายนอกแตกร้าว ส่วนกลางก็มีน้ำรั่วซึมเช่นกัน แม้เจ้าของโครงการจะส่งช่างมาซ่อมแซมให้ แต่ก็ยังเกิดปัญหาเดิมซ้ำอีก สุดท้ายเจ้าโครงการตอบลูกบ้านกลับว่าหมดระยะเวลาการประกันแล้ว คอนโดมิเนียมหรู ย่านอารีย์, พญาไท และรัชดาภิเษก 19 เกิดการแชร์ภาพทั่วโซเชียลถึงเรื่องน้ำท่วมลานจอดรถชั้นใต้ดินจากฝนที่ตกลงมาอย่างหนักทั้งคืนในช่วงนั้นจนรถยนต์ที่จอดอยู่จมใต้น้ำกว่าครึ่งคัน เพราะน้ำระบายไม่ทัน เหตุการณ์นี้เจ้าของโครงการก็รับผิดชอบกันไปค่ะ แต่เหตุการณ์ในลักษณะนี้ลูกบ้านที่ได้รับความเสียหายสามารถฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายตามจริงจากนิติบุคคลได้ หากพิสูจน์ได้ว่าเกิดจากความประมาทเลินเล่อของนิติบุคคล ทาวน์โฮม ทาวน์โฮมในซอยนวมินทร์ 72 เกือบ 70 หลัง เกิดปัญหาน้ำรั่วซึมจากหลังคาหลายจุด บางหลังก็ฝ้าถล่มผังลงมาทั้งแผง ยิ่งช่วงฝนตกก็ยิ่งเกิดปัญหา สาเหตุเกิดจากโครงสร้างหลังคาไม่ได้มุมองศาตามาตรฐาน เบื้องต้นทางเจ้าของโครงการแก้ปัญหาให้ด้วยการเปลี่ยนวัสดุมุงหลังคาจากกระเบื้องเป็นเมทัลชีท ซึ่งบางรายก็ต้องยอมให้เปลี่ยนเพื่อแก้ปัญหานี้ แต่บางรายก็ไม่ยอม เพราะวัสดุคุณภาพต่ำกว่าสเปคที่กำหนดมาตั้งแต่แรก ทาวน์โฮม โซนบางบอน ที่ถึงขั้นเป็นคดีฟ้องร้องเจ้าของโครงการตั้งแต่ปีที่แล้วจนถึงปีนี้ จากลูกบ้านทั้งหมด 200 หลัง เหลือลูกบ้านที่ยังดำเนินการกันต่อเพียง 23 หลัง ปัญหาคือดินทรุดตัว, ผนังแตกร้าว, น้ำรั่ว, ไฟฟ้ารั่ว ฯลฯ เหตุการณ์นี้ได้มีการแชร์ภาพทาวน์โฮมหลังที่เสียหายผ่านทางโซเชียลมากมาย ด้านเจ้าของโครงการมีการออกมาชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษร สรุปอย่างคร่าวๆ ว่าทางโครงการยินดีจะเข้าซ่อมแซมโดยจะส่งผู้เชี่ยวชาญลงไปตรวจสอบด้วย แต่จะไม่ชดเชยเป็นเงินตามจำนวนที่ลูกบ้านเรียกร้อง ในขณะเดียวกันทางฝ่ายลูกบ้านผู้เสียหายก็ไม่อยากให้ทางเจ้าของโครงการเข้าแก้ไขแล้ว เพราะความไม่ไว้วางใจอีกต่อไป ทาวน์โฮม จังหวัดขอนแก่น ลูกบ้านประกาศขายกันยกหมู่บ้านประมาณ 30 หลัง เพราะเจอปัญหาหลายอย่าง เช่น มีน้ำรั่วซึมตามขอบหน้าต่าง, หนังกับพื้นบวม, น้ำท่วมห้องน้ำ, กลิ่นท่อ ฯลฯ แต่เจ้าของโครงการก็ยืดอกตั้งโต๊ะแถลงข่าว พร้อมแก้ปัญหา ชดเชยค่าใช้จ่าย สรุปข้อตกลงร่วมกันกับลูกบ้านอย่างเร่งด่วนเช่นกัน   บ้านเดี่ยว บ้านเดี่ยว ย่านอ่อนนุช เมื่อกลางหมู่บ้านหรูกว่าร้อยหลังคาเรือน ราคาเฉลี่ย 10 ล้านบาท/หลัง มีเสาไฟฟ้าขนาดเท่าตึก 20 ชั้น มาปักผ่านกลางหมู่บ้าน พร้อมกระแสไฟฟ้าอีก 500 กิโลโวลต์ กระทบต่อพื้นที่ส่วนกลางของหมู่บ้านถูกบีบเหลือน้อยลง รวมถึงความกังวลของลูกบ้านในแง่ความปลอดภัย ประเด็นสำคัญคือการที่จะมีเสาไฟฟ้าขนาดใหญ่มาปักกลางหมู่บ้านนั้น เจ้าของโครงการทราบอยู่แล้ววแต่เกิดการปกปิดต่อลูกบ้านที่ซื้อเข้ามาอยู่ ลูกบ้านก็ได้ทำเรื่องร้องเรียนต่อ สคบ. ต่อไป บ้านเดี่ยวย่านรังสิต ขณะที่ลูกบ้านได้ทำการโอนกรรมสิทธิ์แล้วเรียบร้อย ย้ายของเข้าบ้านใหม่ในโครงการ แต่กลับได้กลิ่นเหม็นเน่าตลบอบอวลไปทั้งหลัง โดยเฉพาะกลิ่นเน่าที่ขึ้นมาจากท่อภายในห้องน้ำจนไม่สามารถเข้าอยู่ได้ ประกอบกับในครอบครัวมีเด็กเป็นโรคภูมิแพ้ชนิดรุนแรง ผลปรากฏว่ากลิ่นเหม็นเน่านั้นมาจากกองขยะที่วางอยู่ภายในพื้นที่สนามกอล์ฟติดกับรั้วโครงการ แต่ทางเจ้าของโครงการก็ได้เร่งประสานงานกับทางสนามกอล์ฟเพื่อแก้ปัญหา เหล่านี้เป็นเพียงบางส่วนจากปัญหามากมายที่เกิดขึ้นจนเป็นเรื่องเป็นราวกันเกิดขึ้น บางคดีได้บทสรุปไปเรียบร้อย บางคดีก็ยังไม่สิ้นสุด บางเหตุการณ์ก็เกิดขึ้นจากสภาพแวดล้อมรอบๆ โครงการที่เราอาศัยอยู่ ซึ่งกลายเป็นกรณีศึกษาทำให้เราตระหนักกันมากขึ้นว่าไม่ใช่แค่เพียงในตัวโครงการที่ต้องมีคุณภาพได้มาตรฐาน แต่สิ่งรอบข้างโครงการก็ส่งผลอย่างมากต่อชีวิตความเป็นอยู่ทั้งในปัจจุบันไปจนถึงอนาคตได้เช่นกัน สิ่งสำคัญคือความรับผิดชอบ และจิตสำนึกต่อส่วนรวมทั้งจากเจ้าของโครงการและลูกบ้านเอง หากมีสองสิ่งนี้ก็จะทำให้เกิดสิ่งดีๆ เกิดขึ้น ปัญหาน้อยลง กลายเป็นสังคมคุณภาพของโครงการ  
สถิติคอนโดปี 60 เปิดขายสูงสุดในรอบ 10 ปี

สถิติคอนโดปี 60 เปิดขายสูงสุดในรอบ 10 ปี

ในปี 2560 นี้ ตลอดทั้งปีเราจะเห็นว่ามีโครงการใหม่ๆ เปิดตัวขึ้นมากมายในหลายทำเล โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมใจกลางเมืองที่แม้จะมีราคาสูงขึ้น แต่ก็ยังคงเป็นที่ต้องการอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นคนที่ซื้ออยู่อาศัยเองหรือนักลงทุน ซึ่งหากพูดถึงตลาดคอนโดมิเนียมที่มีการแข่งขันกันอย่างรุนแรงในปีนี้ เมื่อมองเป็นตัวเลขแล้วก็ต้องตกใจกับจำนวนที่เปิดขายใหม่ที่สูงสุดในรอบ 10 ปี จะมีรายละเอียดอย่างไรบ้าง ลองดูกันค่ะ เริ่มจากข้อมูลของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ที่เผยให้เห็นภาพรวมของจำนวนยูนิตเปิดขายใหม่จากทุกประเภทโครงการในปี 60' ซึ่งจะแบ่งออกเป็นทำเล ดังนี้ 1.นนทบุรี  คอนโดมิเนียม 26,927 บ้านจัดสรร 4,439 คิดเป็น 7% 2.สมุทรปราการ  คอนโดมิเนียม 19,019 บ้านจัดสรร 8,983 คิดเป็น 6.2% 3.ธัญบุรี  คอนโดมิเนียม 1,266 บ้านจัดสรร 10,466 คิดเป็น 4.6% 4.บางบัวทอง  คอนโดมิเนียม 4,712 บ้านจัดสรร 12,194 คิดเป็น 3.7% 5.บางซื่อ  คอนโดมิเนียม 16,656 บ้านจัดสรร – คิดเป็น 3.7% 6.บางพลี  คอนโดมิเนียม 1,538 บ้านจัดสรร 12,858 คิดเป็น 3.2% 7.ลำลูกกา  คอนโดมิเนียม 584 บ้านจัดสรร 12,273 คิดเป็น 2.9% 8.บางใหญ่  คอนโดมิเนียม 2,533 บ้านจัดสรร 9,773 คิดเป็น 2.7% 9.สมุทรสาคร  คอนโดมิเนียม 466 บ้านจัดสรร 11,364 คิดเป็น 2.6% หากโฟกัสมาที่ตลาดคอนโดมิเนียมเฉพาะในกรุงเทพฯ ของปี 60' นี้ ถือว่าเป็นปีที่เราได้เห็นโครงการใหม่ๆ เปิดตัวขึ้นมากมายในทุก Segment ทั้งเจ้าใหญ่ เจ้าเล็ก ต่างก็แข่งขันกันอย่างดุเดือดกันมาตลอดทั้งปี โดย มีจำนวนยูนิตที่เปิดการขายในโครงการใหม่ประมาณ 62,000 ยูนิต 128 โครงการ สูงสุดในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา มียูนิตเปิดตัวใหม่สูงกว่าอัตราเฉลี่ยในรอบ 5 ปี โดยทำเลของคอนโดมิเนียมที่ความต้องการที่มีมากที่สุด คือ 1.พระโขนง-สวนหลวง 14,400 ยูนิต คิดเป็น 23% 2.พญาไท-รัชดาภิเษก 13,200 ยูนิต คิดเป็น 21% 3.ธนบุรี-เพชรเกษม 8,900 ยูนิต คิดเป็น 14% ซึ่งเขตที่มีการเปิดตัวโครงการใหม่มากที่สุด 88% คือ ปทุมวัน-ราชเทวี รวมยอดขายทั้งหมดอยู่ที่ 57,300 ยูนิต สูงกว่าอัตราขายเฉลี่ยในช่วง 5 ปี และย่านที่มีอัตราการขยายตัวของคอนโดมิเนียมมากที่สุดคือ ธนบุรี-เพชรเกษม ถึง 107% รองลงมาคือย่านติวานนท์-รัตนาธิเบศร์ 76% และแจ้งวัฒนะ-ปากเกร็ด 68% ในทางกลับกันตลาดแนวราบมีการเปิดตัวลดลงถึง 28% ลดลงมากที่สุดในรอบ 6 ปี เพราะดีเวลอปเปอร์ค่ายใหญ่หันมาเล่นตลาดแนวสูงกันมากขึ้น เรื่องของราคาคอนโดมิเนียมที่เห็นได้ชัดว่าปรับตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ จนราคาในระดับไม่เกิน 2 ล้านเกือบจะหาไม่ได้แล้วในโครงการใหม่ๆ โดยในปี 60' นี้ มีการปรับราคาสูงขึ้นเฉลี่ย 8% เมื่อเปรียบเทียบกับปี 59' ราคาเฉลี่ย 130,600 บาท/ตร.ม. โดยเขตที่มีราคาคอนโดมอเนียมสูงขึ้นมากที่สุดคือเขตปทุมวัน เขตราชเทวี สูงถึง 16% ส่วนโครงการคอนโดมิเนียมใจกลางเมืองย่านอื่นๆ ก็มีราคาสูงขึ้นประมาณ 12% ด้วยเช่นกัน สรุปแล้วภาพรวมของตลาดคอนโดมิเนียมในปี 60' ยังเติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่อง เพราะได้รับผลจากเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มดีขึ้น จุดนี้เองอาจส่งผลถึงตลาดในปีหน้าที่หลายฝ่ายเชื่อว่าจะมีทิศทางที่สดใสต่อไปอีกเช่นกัน    
คอนโดใกล้มหาลัยฯ ดีมานด์แรง

คอนโดใกล้มหาลัยฯ ดีมานด์แรง

แต่ละปีมีนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยประมาณ 100,000 คนทั่วประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะต้องมองหาที่อยู่ใกล้มหาวิทยาลัยของตัวเอง เพื่อความสะดวกในการเดินทางไปเรียนและทำกิจกรรมตลอด 4 ปีเป็นอย่างน้อย แหล่งหอพักใกล้มหาวิทยาลัยมักจะเกิดเป็นชุมชนขนาดเล็ก ทำให้เกิดดีมานด์อยู่ไม่น้อยส่งผลถึงศักยภาพการลงทุนตามไปด้วย   ปกติแล้วเมื่อมีนักศึกษาใหม่เมื่อใกล้วันเปิดเทอมใหม่จะเริ่มมองหาหอพักใกล้มหาวิทยาลัยของตัวเองเพื่ออยู่อาศัย โดยผู้ปกครองมีส่วนในการตัดสินใจด้วย ปัจจัยในการเลือกหอพักคือเรื่องการเดินทางไปเรียนได้สะดวก รวดเร็ว อยู่ท่ามกลางแหล่งอาหารการกิน และมีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดี แต่ละหอพักก็มีราคาค่าเช่าให้เลือกหลายระดับตั้งแต่หลักพันต้นๆ  ไปจนถึงหลักหมื่นกันเลยทีเดียว ซึ่งผู้ปกครองหลายครอบครัวเริ่มตระหนักถึงค่าใช้จ่ายในระยะยาวที่จะเกิดขึ้น จึงเริ่มหันมาลงทุนซื้อคอนโดมิเนียมเพื่ออยู่อาศัยเองกันมากขึ้น เพราะสามารถเก็บไว้อยู่อาศัยต่อตอนทำงาน หรือจะปล่อยเช่ารายเดือนต่อก็ได้ผลตอบแทนดีถึง 4-6% แถมโครงการคอนโดมิเนียมก็มีส่วนกลางสวยๆ ให้ได้ใช้บริการ ระบบการรักษาความปลอดภัยก็แน่นหนากว่าหอพักทั่วไป     ทางด้านผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในช่วง 2-3 ปีมานี้ ต่างก็เริ่มหันมาจับกลุ่มเป้าหมายในทำเลใกล้สถาบันการศึกษามากขึ้นทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด โดยกลุ่มเป้าหมายส่วนมากจะเป็นนักศึกษาที่ผู้ปกครองซื้อให้เพื่ออยู่อาศัยเอง และนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์ทั้งเก็งกำไร และปล่อยเช่ารายเดือน ในระยะแรกของตลาดนี้ราคาคอนโดต่อยูนิตจะอยู่ที่ประมาณ 2 ล้านบาท เหมาะสำหรับกลุ่มนักศึกษาที่ต้องการความสะดวกสบาย ไม่เน้นหรูหรามากนัก แต่หากทำเลไหนที่อยู่ใกล้กับรถไฟฟ้า แหล่งอำนวยความสะดวกทั่วไปด้วย ราคาก็จะสูงตามตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ที่โดดเด่นที่สุดก็ย่านพหลโยธิน-เกษตร ที่อยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ทำเลสามย่าน พญาไท ราชเทวี อยู่ใกล้กับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นต้น   ส่วนตลาดอสังหาริมทรัพย์ในต่างจังหวัด ที่จับกลุ่มเป้าหมายเป็นนักศึกษา ทำเลมาแรงที่สุดคือจังหวัดนครปฐม เพราะมีมหาวิทยาลัยที่เป็นวิทยาเขตขยายออกมาจากในกรุงเทพฯ เช่น มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กำแพงแสน มีจำนวนนักศึกษาประมาณ 14,000 คน/ปี มหาวิทยาลัยศิลปากร พระราชวังสนามจันทร์ จำนวนนักศึกษาประมาณ 13,000 คน/ปี และมหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา จำนวนนักศึกษาประมาณ 9,000 คน/ปี เป็นต้น นอกจากคอนโดมิเนียมที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในราคาเริ่มเต้นเพียงล้านต้นๆ ยังมีตัวเลือกเพิ่มมากขึ้นจากในเมืองคือทาวน์โฮมและบ้านเดี่ยวที่สามารถซื้อได้ในราคา 3-5 ล้านบาท ซึ่งกลุ่มดีมานด์ที่ไม่ได้มาจากแค่นักศึกษาเท่านั้น แต่ยังมีกลุ่มบุคลากร อาจารย์มหาวิทยาลัย ที่มีแนวโน้มเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ฉะนั้นทำเลใกล้มหาวิทยาลัยยังคงเป็นทำเลที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย
มีอะไรใหม่ใน พรบ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง

มีอะไรใหม่ใน พรบ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง

เรื่องการเก็บภาษีเกี่ยวกับที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ผ่านมาประเทศไทยใช้ภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 และพระราชบัญญัติภาษีบำรุงท้องที่ พ.ศ. 2508 ซึ่งในปัจจุบันพบปัญหาขึ้นมากมาย ทั้งข้อจำกัดเกี่ยวกับอัตราภาษี ฐานภาษี รวมถึงการลดหย่อนภาษีไม่สอดคล้องกับภาวะปัจจุบัน เพื่อปรับปรุงกฎหมายให้ทันสมัย พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจึงเกิดขึ้น และจะมีผลบังคับใช้ปี 2562 ใครได้-ใครเสีย ? หน่วยงานที่จัดเก็บภาษี คือ เทศบาลตำบล เทศบาลเมือง เทศบาลนคร องค์การบริหารส่วนตำบล กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา ซึ่งรายได้จากการจัดเก็บภาษีนี้จะไปอยู่ที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาท้องถิ่น โดยไม่ต้องนำส่งเป็นรายได้แผ่นดินหรือรายได้ของรัฐบาล ส่วนผู้ที่จะต้องเสียภาษี คือ ผู้ที่มีชื่อเป็นเจ้าของโฉนดที่ดิน สิ่งปลูกสร้างและห้องชุด หรือผู้ทำประโยชน์ในที่ดิน สิ่งปลูกสร้างอันเป็นทรัพย์สินของรัฐ   อัตราภาษีฉบับใหม่ จะมีการเปลี่ยนการคิดจากค่าเช่า มาเป็นราคาประเมินที่ดิน และจากสิ่งปลูกสร้าง มาเป็นฐานภาษีแทน ซึ่งกรมธนารักษ์จะเป็นผู้กำหนดราคาประเมินทุนทรัพย์ที่ดิน ราคาประเมินทุนทรัพย์โรงเรือน สิ่งปลูกสร้าง ราคาประเมินทุนทรัพย์ห้องชุด และอัตราค่าเสื่อมราคา ไม่จำเป็นต้องอาศัยดุลยพินิจของของเจ้าหน้าที่อีกต่อไป ตรงนี้ถือเป็นการลดขั้นตอน และป้องกันการเกิดคอรัปชั่น โดยมีการกำหนดอัตราภาษีเป็นเพดานแบ่งเป็นประเภททรัพย์สิน ดังนี้ ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างเพื่อการเกษตร เพดานภาษีไม่เกิน 0.2% ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเพื่ออยู่อาศัย เพดานภาษีไม่เกิน 0.5% ที่ดินเพื่อการพาณิชย์ เพดานภาษีไม่เกิน 2.0% ที่ดินรกร้างว่างเปล่า ภาษีเริ่มต้นไม่เกิน 2% เพดานภาษีไม่เกิน 5.0% หากยังไม่ได้ใช้ประโยชน์ก็จะเก็บเพิ่ม 0.5% ทุกๆ 3 ปี มากที่สุดไม่เกิน 5% *อัตราการเสียภาษีนี้เป็นข่าวที่ออกมาล่าสุด อาจยังไม่ใช่ข้อสรุปที่แท้จริง   วิธีการคำนวณภาษีที่ 1.กรณีที่ดินที่ไม่มีสิ่งปลูกสร้าง ภาระภาษี = มูลค่าที่ดิน x อัตราภาษี ทั้งนี้ กำหนดให้ มูลค่าที่ดิน = ราคาประเมินทุนทรัพย์ที่ดิน (ต่อ ตร.ว.) x ขนาดพื้นที่ดิน 2.กรณีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ภาระภาษี = (มูลค่าที่ดิน + มูลค่าสิ่งปลูกสร้าง) x อัตราภาษี ทั้งนี้ กำหนดให้มูลค่าที่ดิน = ราคาประเมินทุนทรัพย์ที่ดิน (ต่อ ตร.ว.) x ขนาดพื้นที่ดิน โดยมูลค่าสิ่งปลูกสร้าง = (ราคาประเมินทุนทรัพย์โรงเรือนสิ่งปลูกสร้าง (ต่อ ตร.ม.) x ขนาดพื้นที่สิ่งปลูกสร้าง) – ค่าเสื่อมราคา 3.กรณีห้องชุด ภาระภาษี = มูลค่าห้องชุด x อัตราภาษี ทั้งนี้ กำหนดให้ มูลค่าห้องชุด = ราคาประเมินทุนทรัพย์ห้องชุด (ต่อ ตร.ม.) x ขนาดพื้นที่ห้องชุด (ตร.ม.)   ข้อยกเว้น ตามเพดานการเสียภาษีแบบใหม่นี้ แม้ที่ดินรกร้างว่างเปล่าจะได้รับผลกระทบในการเสียภาษีมากที่สุด แต่จะถูกยกเว้นเมื่อที่ดินนั้นถูกมอบให้เป็นสาธารณะประโยชน์ โดยให้มีหน่วยราชการเข้าไปดูแลว่ามีการทำประโยชน์ดังกล่าวจริง ซึ่งไม่จำเป็นจะต้องยกกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่ราชการแต่อย่างใด และที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัย วาตภัย ภัยพิบัติต่างๆ ก็ยังได้รับการยกเว้นหรือบรรเทาภาระภาษีด้วยเช่นกัน ล่าสุดกำลังพิจารณาปรับการยกเว้น เช่น บ้านพักอาศัยที่มีราคาไม่เกิน 20 ล้านบาท บ้านหลังที่ 2 เถียงนา กระต๊อบ เพื่อการเกษตรที่มีราคาประเมินต่ำกว่า 50 ล้านบาท หากตั้งอยู่ในตำบลเดียวกันกับบ้านหลังแรกมูลค่าต่ำกว่า 10 ล้านบาท รวมถึงธุรกิจเอสเอ็มอี หรืออุตสาหกรรมขนาดเล็กที่จดทะเบียนแต่งตั้งบริษัท จะให้อยู่ในข่ายยกเว้น หลายคนเชื่อว่าภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง จะมีส่วนช่วยให้ลดความเลื่อมล้ำทางสังคมได้ เพราะผู้ที่มีทรัพย์สินมูลค่าสูงจะต้องเสียภาษีมากกว่าผู้ที่มีทรัพย์สินมูลค่าต่ำ การกักตุนที่ดินเพื่อเก็งกำไรก็จะลดน้อยลงด้วย และยังสามารถสร้างรายได้ในระดับท้องถิ่นเพิ่มมากขึ้นถึง 200,000 ล้านบาท โดยไม่ต้องรองบประมาณจากภาครัฐ แต่ในขณะเดียวกันหลายฝ่ายยังเห็นช่องว่างที่อาจทำให้เกิดปัญหา โดยเฉพาะการจัดเก็บภาษีประเภทกิจการท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงชะลอตัว ซึ่ง ณ วันนี้ก็ยังหาข้อสรุปกันไม่ได้ สุดท้ายแล้ว พรบ. ที่จะออกมาบังคับใช้จริงจะมีบทสรุปอย่างไร จะได้ผลจริงตามที่คาดหวังหรือไม่ก็คงต้องรอดูกันต่อไปหลังจากบังคับใช้ไปแล้วสัก 2-3 ปี
โครงการ Mixed-Use บิ๊กโปรเจคตอบโจทย์คนยุคใหม่

โครงการ Mixed-Use บิ๊กโปรเจคตอบโจทย์คนยุคใหม่

  ราคาที่ดินในประเทศไทยเพิ่มสูงขึ้นทุกปี ยิ่งทำเลที่มีการเดินทางสะดวกเข้าถึงง่าย ที่ดินแปลงสวยก็ยิ่งเป็นที่หมายปองของเหล่าผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องการจับจองที่ดินสวยๆ ทำเลเหมาะสมแก่การพัฒนาโครงการต่อไป ซึ่งทุกวันนี้ก็เริ่มหายากมากขึ้นทุกที การพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมเพียงอย่างเดียวก็อาจจะไม่เพียงพออีกต่อไป ในระยะ 6-7 ปีหลังเราจึงได้ยินคำว่าโครงการ Mixed-Use กันอย่างแพร่หลายมากขึ้น โครงการ Mixed-Use คืออาคารที่ผสมผสานระหว่างที่อยู่อาศัยกับอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ อาคารแบบมิกซ์ยูสจึงเป็นโครงการที่มีทั้งศูนย์การค้า โรงแรม ออฟฟิศ คอนโดมิเนียม รวมอยู่ในโครงการเดียวกัน แล้วแต่ว่าโครงการไหนจะมีการจัดการพื้นที่ในอาคารอย่างไร โดยหากมองในมุมของผู้อยู่อาศัยในคอนโดมิเนียมโครงการมิกซ์ยูสลักษณะนี้จะสามารถตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดี เพราะไม่ต้องเดินทางออกไปไหนก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกอยู่ที่อาคารที่พักอาศัยของตัวเองอย่างครบครัน รวมถึงผู้เข้าพักในส่วนของโรงแรมเองทางโครงการก็สามารถอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวได้มากยิ่งขึ้น และในมุมมองของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เอง มิกซ์ยูสจะขยายโอกาสในการสร้างรายได้ประจำจากสัญญาเช่า, การขายกรรมสิทธิ์ ได้ผลกำไรระยะยาวให้กับ Developer ไม่ใช่เฉพาะการซื้อ-ขาย คอนโดเพียงอย่างเดียว เป็นการสร้างประโยชน์จากที่ดินราคาแพงได้อย่างคุ้มค่า เมื่อใน 1 โครงการ เกิดการใช้ประโยชน์อย่างหลากหลาย พื้นที่ใช้สอยก็ย่อมมากขึ้นตามไปด้วย กลายเป็นบิ๊กโปรเจคทุ่มทุนสร้างจากหลากหลายค่ายที่ต่างก็จับจองทำเลที่ดีที่สุดสร้างอาณาจักรขึ้นมา ซึ่งคาดว่าภายในอีก 2-3 ปีนับจากนี้ เราก็จะเริ่มได้เห็นโครงการลักษณะนี้เสร็จสมบูรณ์ไปทีละโครงการ เช่น โรงแรมดุสิตธานี และ CPN ร่วมกันพัฒนาพื้นที่ของโรงแรมดุสิตาธานี บริเวณหัวมุมสี่แยกศาลาแดง หลังจากได้ต่อสัญญาเช่าระยาวอีก 60 ปี จากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ให้เป็นโครงการที่มีทั้งโรงแรมดุสิตธานี, อาคารสำนักงาน, ที่พักอาศัย, และพื้นที่ค้าปลีก มูลค่าโครงการ 36,000 ล้านบาท แอมไชน่าทาวน์ โครงการสไตล์โมเดิร์น ไชนีส บนถนนเจริญกรุง โครงการนี้แบ่งออกเป็น 2 อาคาร ประกอบไปด้วยศูนย์การค้า ที่มีทั้งอาหารสตรีทฟู้ดแบบเยาวราช, ร้านอาหารชื่อดัง, สินค้าแฟชั่น, อัญมณี รวมถึงเป็นโรงแรมระดับ 4 ดาว เพื่อรองรับนักท่องเที่ยว ส่วนอาคารที่ 2 จะเป็นคอนโดมิเนียมสูง 8 ชั้น แบบสัญญาเช่า 30 ปี มูลค่าโครงการรวม 4,000 ล้านบาท SINGHA COMPLEX ตั้งอยู่บนที่ดินเดิมของสถานทูตญี่ปุ่น ถนนอโศก-เพรชบุรีตัดใหม่ เป็น 2 อาคาร แบ่งเป็นพื้นที่สำนักงานเกรดเอ, พื้นที่ค้าปลีก, คอนโดระดับลักชัวรี่ มูลค่าโครงการไม่รวมที่ดินกว่า 4,000 ล้านบาท Whizdom 101 โครงการอยู่ใกล้กับรถไฟฟ้าสายสีเขียว สถานีปุณณวิถี มากับคอนเซ็ป The great good place มีทั้งสโมสรกีฬาและสุขภาพ, สำนักงาน co-working space, และที่พักอาศัยอีก 3 อาคาร งบประมาณการลงทุนประมาณ 30,000 ล้านบาท ICONSIAM อีกหนึ่งโครงการชื่อดังที่หลายคนรอคอย บนถนนเจริญนคร ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ประกอบไปด้วยศูนย์การค้า, คอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่, พิพิธภัณฑ์ศูนย์รวมมรดกทางประวัติศาสตร์และภูมิปัญญาไทย, ภัตาคารหรูจากทั่วโลก, ศูนย์ประชุม ฯลฯ งบประมาณการลงทุนประมาณ 50,000 ล้านบาท One Bangkok อีกโครงการระดับบิ๊กพื้นที่ 104 ไร่ ตรงหัวมุมสี่แยกวิทยุ ประกอบไปด้วยอาคารสำนักงาน 5 อาคาร, โรงแรมระดับลักชัวรี่ 5 แห่ง, ที่พักอาศัยระดับอัลตร้าลักชัวรี่ 3 อาคาร, พื้นที่ค้าปลีก, พื้นที่ทำกิจกรรม แสดงศิลปวัฒนธรรมต่างๆ มูลค่าการลงทุนสูงถึง 120,000 ล้านบาท The Super Tower หลายคนรู้จักชื่อนี้เป็นอย่างดี เพราะหากสร้างเสร็จสมบูรณ์เมื่อไรก็จะกลายเป็นอาคารที่สูงที่สุดในประเทศไทยถึง 615 เมตร ประกอบไปด้วยสำนักงาน ระดับพรีเมี่ยม, โรงแรมระดับ 6 ดาว, ศูนย์ประชุม, ภัตตาคารลอยฟ้า ตั้งอยู่ในย่าน New CBD อย่างพระราม 9 มูลค่าการลงทุนประมาณ 18,000 ล้านบาท จะเห็นได้ว่าโครงการ Mixed-Use นั้นสร้างประโยชน์มหาศาลได้รอบด้านให้กับทั้งเจ้าของโครงการ ผู้อาศัย ผู้ใช้บริการภายในอาคาร และยังเป็นการใช้พื้นที่อย่างคุ้มค่าที่สุดในยุคที่ราคาที่ดินพุ่งสูงจนน่าตกใจ ซึ่งทั้งหมดรวมอยู่เพียงโครงการเดียว เป็น All In One อย่างมีประสิทธิภาพ
อสังหายุค 4.0 เทคโนโลยีเปลี่ยนชีวิต

อสังหายุค 4.0 เทคโนโลยีเปลี่ยนชีวิต

ศตวรรษที่ 21 นี้ โลกของเราเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมากมาย หลายสิ่งหลายอย่างต้องมีการปรับเปลี่ยนไปตามกาลเวลาเพื่อหมุนให้ทันตามโลกที่เปลี่ยนไปอย่างชนิดที่เรียกได้ว่าพลิกฝ่ามือ บางอย่างก้าวตามยุคสมัยไม่ทันก็ต้องโบกมือลาจากไป สิ่งสำคัญที่ทำให้ทุกสิ่งรอบตัวเปลี่ยนแปลงไปได้มากมายขนาดนี้ นั่นคือ "เทคโนโลยี" ซึ่งเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันจนแทบจะกลายเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ในการดำรงชีวิตของมนุษย์ในยุคปัจจุบันอย่างขาดไปเสียไม่ได้ ทุกวันนี้เทคโนโลยีถูกแทรกซึมเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิตอยู่ตลอดเวลา จนเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านการศึกษา การเปิดรับข้อมูลข่าวสาร การสื่อสาร การทำธุรกรรมทางการเงิน เพื่อความบันเทิง สินค้าและบริการ ฯลฯ จนเกิดเป็นแผนพัฒนาไทยแลนด์ 4.0 มาตั้งแต่ปี 2559 ที่ทางรัฐบาลมุ่งหวังให้ประเทศไทยใช้นวัตกรรมเหล่านี้ผลักดันให้เกิดความก้าวหน้าต่อไป ในวงการอสังหาริมทรัพย์เองก็ไม่แพ้วงการไหน เพราะ Developer หลายเจ้าที่นำเอาเทคโนโลยีมาปรับใช้จนเกิดเป็นนวัตกรรมใหม่ หรือบริษัทเอกชนต่างๆ ที่สร้างเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ขึ้นมาให้บริการ ตั้งแต่ช่วงเริ่มก่อสร้างอาคาร ระบบจัดการภายในที่อยู่อาศัย ระบบการซื้อ-ขาย และนวัตกรรมอื่นๆ เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ ซึ่งแน่นอนว่าในแต่ละเทคโนโลยีที่คิดค้นกันขึ้นมานั้นก็เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัย หรือลูกบ้านที่ใช้ชีวิตอยู่ในโครงการให้ได้มากที่สุด จุดนี้เองสามารถสะท้อนให้เห็นถึงความใส่ใจของเจ้าของโครงการที่มีให้กับลูกบ้านได้เป็นอย่างดี ตลอดจนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารงานให้กับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เองด้วย โดยเรียกกันว่า  "PROP TECH" หรือ "Property Technology" PROP TECH ได้กลายเป็นหนึ่งในกลยุทธ์หลักของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลายแห่งนำมาแข่งขันโชว์ศักยภาพกัน ไม่ว่าจะเป็นการทำทีมขึ้นมาสร้าง พัฒนานวัตกรรมมาใช้ในโครงการของตัวเอง หรือร่วมมือกับบรรดาสตาร์ทอัพ ระดมไอเดียพัฒนาปรับปรุงจนนำมาใช้ได้จริง และยังสามารถผลัดดันไปแข่งขันบนเวทีโลกได้อีกด้วย ตรงนี้เป็นอีกหนึ่งจุดขายที่แข่งขันกันอย่างดุเดือดไม่แพ้เรื่องของทำเล ดีไซน์ทางสถาปัตยกรรม และราคา ซึ่งนวัตกรรมเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยไม่ได้เป็นเพียงแค่โครงการพัฒนาอีกต่อไป แต่ทุกวันนี้สามารถนำมาใช้งานได้จริงอย่างมีประสิทธิภาพ จึงถือว่าเป็นกำไรของผู้บริโภคในการมีตัวเลือกของการใช้ชีวิตให้ง่ายมากขึ้น หากพูดภาพรวมแบบนี้อาจจะนึกไม่ออก เราลองไปดูตัวอย่างของนวัตกรรมเหล่านี้ ซึ่งปัจจุบันนำมาใช้งานจริงแล้วในประเทศไทย Precast concrete นวัตกรรมการก่อสร้างด้วยแผ่นคอนกรีตเสริมเหล็กสำเร็จรูป เป็นเทคโนโลยีจากประเทศเยอรมนีที่สามารถควบคุมคุณภาพได้ทุกแผ่น ทุกขั้นตอน โดยให้ตัวผนังนี้มารับน้ำหนักแทนที่เสา และคาน ส่งผลให้การตกแต่งภายในสวยงามมากขึ้น มีคุณสมบัติต้านแรงลม แรงแผ่นดินไหว กันความร้อนและเสียงจากภายนอก โดยในเมืองไทยนิยมใช้วิธีการก่อสร้างแบบนี้กันมาระยะหนึ่งแล้ว เพราะช่วยลดขยะหน้าไซต์งานก่อสร้าง ไม่ต้องมาคอยผสมปูน หล่อเสา ก่ออิฐ ฉาบปูนแบบเดิม และยังทำให้งานก่อสร้างเสร็จเร็วมากขึ้นด้วย ปัจจุบันนิยมนำมาสร้างคอนโด ทาวน์โฮม บ้านเดี่ยว เป็นต้น Online Booking ระบบจองโครงการที่อยู่อาศัยผ่านเว็บไซต์ เมื่อก่อน(หรือปัจจุบันก็ยังมีอยู่) เมื่อโครงการทำการเปิดรอบ Pre sale ผู้ซื้อก็จะต้องเดินทางไปที่ตั้งของโครงการนั้นๆ ตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อให้ได้คิวอันดับต้นๆ ในการเลือกจองห้องดีที่สุดที่เราเล็งเอาไว้ แต่ปัจจุบันหลายโครงการทำการเปิดจอง Pre sale ผ่านเว็บไซต์ ไม่ต้องตื่นแต่เช้า เดินตากแดดไปจองห้องกันอีกต่อไป ไม่ว่าจะทำอะไร อยู่ที่ไหนก็สามารถจองได้ เรียกว่าใครเร็วกว่าก็ได้ไป Automatic parking ระบบจอดรถอัตโนมัติ หลายคนคงเคยใช้บริการกันตามห้างสรรพสินค้าบางแห่งที่มีให้ใช้บริการ เช่น The EmQuartier ซึ่งไม่ต้องเสียเวลาขับรถวนหาที่จอดนานๆ เพียงแค่ขับรถเข้าไปจอดในลิฟท์ตัวใหญ่แล้วทำตามคำแนะนำ รถของเราก็จะเข้าจอดได้อย่างปลอดภัยมากกว่า ประหยัดพื้นที่จอดรถ แถมยังเพิ่มปริมาณการจอดรถได้อีกมาก ซึ่งเทคโนโลยีนี้มีบางโครงการคอนโดมิเนียมนำมาใช้บ้างแล้ว    Delivery Robot หุ่นยนต์เซอร์วิชภายในโครงการ ทำหน้าที่ได้หลายอย่างด้วยกัน เช่น ส่งพัสดุ, อาหาร ถึงหน้าห้องพัก Smart home หรือ Home Automation เป็นเทคโนโลยีที่เชื่อมต่อเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านเอาไว้ในสมาร์ทโฟนของเรา ใช้สำหรับควบคุมปิด-เปิด ไฟ, เครื่องปรับอากาศ, โทรทัศน์, ดูกล้องวงจรปิด, ฯลฯ จากสมาร์ทโฟนของเรา ทำให้ไม่ต้องกังวลว่าจะลืมปิดไฟก่อนออกจากบ้าน และสามารถสั่งเปิดไฟเอาไว้ก่อนเราจะถึงบ้าน เพื่อความปลอดภัยช่วงกลางคืนอีกด้วย Application สำหรับลูกบ้าน เจ้าของโครงการที่อยู่อาศัยรายใหญ่หลายราย ได้ทำ Application เพื่อรองรับบริการหลังการขาย เพื่อความสะดวกสบายของลูกบ้านอย่างรอบด้าน เช่น สำหรับติดต่อนิติบุคคล, แจ้งช่างซ่อม, จองพื้นที่ส่วนกลาง นอกจากนี้ยังมี Application และเว็บไซต์ ที่พัฒนาโดยบริษัทสตาร์ทอัพซึ่งเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยโดยตรง เช่น เรียกแม่บ้านให้เข้ามาทำความสะอาดที่ห้อง Website สุดท้ายที่คงจะไม่พูดถึงไม่ได้ เพราะเราคือ www.reviewyourliving.com เว็บไซต์รีวิวโครงการที่อยู่อาศัยทั้งคอนโดมิเนียม ทาวน์โฮม บ้านเดี่ยว ลงประกาศขาย-เช่า ข่าวสารวงการอสังหาริมทรัพย์ที่อัพเดทอยู่ตลอด บทความต่างๆ และยังมี Application reviewyourliving เพิ่มความสะดวกสบายในการเข้าถึงบนสมาร์ทโฟนของคุณอีกด้วย           สุดท้ายข้อสำคัญของเทคโนโลยี คือ ทำให้ชีวิตสะดวกสบายมากขึ้นกว่าเดิมในยุคที่ต้องแข่งขันกับเวลาอยู่ตลอด ฉะนั้นเทคโนโลยีจะต้องใช้งานง่าย ไม่ยุ่งยาก ไม่ซับซ้อนจนเกินไป ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ และสอดคล้องกับการดำเนินชีวิต
อโศก-พระราม 9 ทำเลแห่ง New CBD

อโศก-พระราม 9 ทำเลแห่ง New CBD

ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ว่ากันว่าย่านอโศก-พระราม 9-รัชดา เป็นแหล่ง New CBD(Central Business District) ต่อจากย่านเศรษฐกิจอย่างสาทร-สีลม ที่เริ่มหาที่ดินมาพัฒนาได้ยากมากขึ้น ด้วยปัจจัยของสิ่งรอบด้านในย่านนั้นส่งผลให้มีความเจริญเติบโตของเมืองเพิ่มมากขึ้นอย่างก้าวกระโดด ประกอบกับวิถีชีวิตของประชากรที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯเปลี่ยนแปลงไป ทำให้บริเวณอโศก-พระราม 9-รัชดา จึงกลายเป็นทำเลที่หลายคนต้องจับตามองกันแบบไม่กระพริบตา   ถนนรัชดาภิเษกตั้งแต่สี่แยกรัชดา-ลาดพร้าว เชื่อมต่อไปยังถนนอโศกมนตรี เป็นช่วงที่มีความคึกคักอยู่ตลอดเวลาไม่เว้นแม้แต่วันเสาร์-อาทิตย์ เพราะตลอดสองฝั่งถนนมีทั้งโรงแรมระดับ 3-5 ดาว, ร้านอาหาร, โรงพยาบาล, สถาบันการศึกษา, ห้างสรรพสินค้า, ซุปเปอร์มาร์เก็ต และอาคารสำนักงานมากมาย ที่สำคัญมีรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT ที่วิ่งผ่านตลอดเส้นทาง และมีแอร์พอร์ตลิงค์ สถานีมักกะสัน เป็นจุด Interchange เชื่อมต่อกับ MRT สถานีเพชรบุรี แล้วในอนาคตก็จะมีรถไฟฟ้าสายสีส้มเกิดขึ้น โดยมีสถานีที่เป็น Interchange กับ MRT สถานีศูนย์วัฒนธรรม อีกทั้งยังมีจุดขึ้น-ลง ทางพิเศษศรีรัชในบริเวณเดียวกัน   หลายสถานที่สำคัญก็เปรียบเสมือนแม่เหล็กดึงดูดให้ย่านนี้เกิดการเติบโตอันรวดเร็ว เช่น   The Rama IX Super Tower โดยบริษัท แกรนด์ คาแนล แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ G Land เป็นอาคารที่กำลังจะก้าวขึ้นแท่นอาคารสูงที่สุดติดท็อป 10 ของโลกถึง 615 เมตร จำนวณ 125 ชั้น บนพื้นที่ โดย Super Tower ได้แบ่งอาคารออกเป็น 4 ส่วนหลักด้วยกัน คือ ห้างสรรพสินค้า โรงแรมระดับ 6 ดาว ศูนย์ประชุม และสำนักงานเกรดเอ ตัวอาคารตั้งอยู่หลังเซ็นทรัลพระราม 9 ปัจจุบันกำลังเริ่มการก่อสร้าง หากแล้วเสร็จเมื่อไรคาดการณ์กันว่าจะทำให้เกิดการลงทุนด้วยเม็ดเงินจำนวนมหาศาล   อาคารสำนักงานตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตั้งอยู่บนถนนรัชดาภิเษกติดกับสถานทูตจีน อาคารนี้ถือเป็นศูนย์กลางธุรกิจตลาดทุนครบวงจรของประเทศ ยังเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านการวางแผนทางการเงินและการลงทุน สำหรับนักเรียน นักศึกษา และประชาชน ซึ่งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นองค์กรที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ นอกจากนี้ก็ยังมีอาคารสำนักงานชื่อดังอื่นๆ เช่น Cyberworld Tower (CW Tower), AIA Capital Center, True Tower, G Tower, Unilever House เป็นต้น   ห้างสรรพสินค้า ไม่ว่าจะเป็นเซ็นทรัลพระราม 9, ฟอร์จูน, เอสพลานาด, เดอะ สตรีท รัชดา, โชว์ ดีซี ฯลฯ แต่ละแห่งก็สามารถตอบโจทย์ความต้องการของแต่ละคนได้แตกต่างกันไป เช่น ฟอร์จูน สำหรับความต้องการสินค้าด้านไอทีโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ กล้องถ่ายภาพ โทรศัพท์มือถือ รวมถึงอุปกรณ์เสริมต่างๆ, โชว์ ดีซี ศูนย์การค้าน้องใหม่สไตล์เกาหลี ที่เป็นทั้งแหล่งช้อปปิ้งและความบันเทิงเข้าไว้ด้วยกัน รวมถึงยังเป็นเอาท์เล็ทสำหรับนักท่องเที่ยวอีกด้วย   สถาบันการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงมายาวนาน เช่น โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ รัชดา ฯลฯ หรือโรงเรียนนานาชาติที่เพิ่งเปิดตัวใหม่อย่าง SHREWSBURY INTERNATIONAL SCHOOL CITY CAMPUS ซึ่งเป็นโรงเรียนในระดับอนุบาลจนถึงประถมศึกษา มีต้นกำเนิดจากประเทศอังกฤษ ตั้งอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ดีบนพื้นที่ 15 ไร่ โดยมีกำหนดการเริ่มเปิดสอนในเดือนสิงหาคม ปี 2561     จุดที่หลายคนจับตามองมากที่สุด คือ ช่วงสี่แยกพระราม 9 ที่หลาย Developer ระดับบิ๊ก ต่างช่วงชิงจับจองพื้นที่สร้างโครงการเข้าแข่งขันในตลาดระดับกลาง-สูง กันอย่างร้อนระอุ เพื่อตอบโจทย์กลุ่มคนทำงานรุ่นใหม่ที่ต้องการห้องพักอาศัยไม่ไกลจากออฟฟิศ เดินทางสะดวก มีสิ่งอำนวยความสะดวกใกล้ที่พัก และในระยะหลังก็เริ่มมีกลุ่มชาวต่างชาติอย่าง ญี่ปุ่น จีน เกาหลี ยุโรป เข้ามาพักอาศัยอยู่ในทำเลนี้เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย โดยแต่ละโครงการที่เปิดตัวออกมานั่นทำเอาทั้งผู้ที่มองหาที่อยู่อาศัย และนักลงทุนตัดสินใจเลือกกันแทบไม่ถูก ตัวอย่างเช่น   Condolette Midst พระราม 9 จากพฤกษา เรียลเอสเตท คอนโด High Rise สูง 30 ชั้น บนถนนพระราม 9 ใกล้สี่แยกพระราม 9 ฝั่งขาเข้า เป็นคอนโดที่เปิดให้เข้าอยู่มาตั้งแต่ปลายปี 2558 แต่ยังคงมีชาวต่างชาติเข้าพักอาศัยในระยะยาวอยู่ตลอด ราคาเฉลี่ยตอนเปิดตัวอยู่ที่ 150,000 บาท/ตร.ม. Chewathai Residence Asoke จาก ชีวาทัย คอนโด High Rise สูง 29 ชั้น อยู่ริมถนนอโศก-ดินแดง ฝั่งมุ่งหน้าสี่แยกพระราม 9 เป็นโครงการที่ออกแบบห้องพักอาศัยกับส่วนกลางมาได้สวยมาก โดยสไตล์ห้องเป็นแบบ Loft Duplex เพดานสูงถึง 3.6 เมตร  ปัจจุบันนี้พร้อมเข้าอยู่แล้ว ราคาเริ่มต้น 4.99 ล้านบาท เฉลี่ยราคา 180,000 บาท/ตร.ม. Life อโศก-พระราม 9 จาก เอพี คอนโด High Rise 2 อาคาร สูง 42 และ 46 ชั้น เพิ่งเปิดพรีเซลไปได้ไม่นานมานี้ อีกหนึ่งโครงการซึ่งเป็นที่หมายตาของนักลงทุน และผู้ซื้ออยู่อาศัยเอง ด้วยตัวโครงการมี Sky Walk ทางเชื่อมกับแอร์พอตลิงค์ สถานีมักกะสัน ราคาเริ่มต้น 2.45 ล้านบาท ราคาเฉลี่ยประมาณ 98,000-120,000 บาท/ตร.ม. RHYTHM อโศก 1 จาก เอพี คอนโด High Rise สูง 37 ชั้น โครงการพร้อมเข้าอยู่ ที่ตั้งใกล้กับจากของโครงการชีวาทัยในฝั่งเดียวกัน ราคาเริ่มต้นตอนเปิดตัว 3.15 ล้านบาท เฉลี่ยราคาประมาณ 147,000 บาท/ตร.ม. RHYTHM อโศก 2 จาก เอพี คอนโด High Rise สูง 30 ชั้น โครงการพร้อมเข้าอยู่แล้ว ซึ่งโครงการนี้ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกันกับ RHYTHM อโศก 1 คงจะเป็นการการันตีความร้อนแรงของทำเลนี้ได้เป็นอย่างดี เพราะโครงการคอนโดมิเนียมจากเอพีในย่านนี้มีหลายตัวเป็นพิเศษ โดย RHYTHM อโศก 2 ตอนนี้ราคาเริ่มต้นประมาณ 4.3 ล้านบาท เฉลี่ยราคาประมาณ 150,000 บาท/ตร.ม. Ashton อโศก-พระราม 9 จาก อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ คอนโด High Rise 2 อาคาร สูง 46 ชั้น ทำเลดีมากตามสไตล์อนันดา เพราะอยู่หัวมุมสี่แยกพระราม 9 ตรงข้ามกับฟอร์จูน ดีไซน์อาคารโดดเด่น ราคาเริ่มต้นตอนเปิดตัวอยู่ที่ 6.49 ล้านบาท หรือประมาณกว่า 200,000 บาท/ตร.ม.   แม้จะมีบางโครงการย่านนี้ที่มีอายุเกิน 5 ปี แต่ยังคงมีอัตราการเติบโตของราคาเพิ่มขึ้นอยู่ไม่น้อย ด้วยทำเลที่ดีทั้งการเดินทางสะดวก และสิ่งอำนวยความสะดวกรายล้อม ทุกสิ่งที่กล่าวถึงมาทั้งหมดนี้ทำให้อโศก-พระราม9 กลายเป็น New CBD อย่างสมบูรณ์แบบ
พหลโยธิน-เกษตร ทำเลฮอตแห่งปี

พหลโยธิน-เกษตร ทำเลฮอตแห่งปี

คำว่า “ทำเลดี” ในยุคนี้คงต้องหมายถึงที่ดินติดกับสถานีรถไฟฟ้า เดินทางสะดวก ไม่ไกลจากสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น ห้างสรรพสินค้า, ซุปเปอร์มาร์เก็ต, โรงพยาบาล, สถานศึกษา ฯลฯ ปัจจัยเหล่านี้ก็มักกระจุกตัวอยู่ใจกลางเมืองเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งทำให้ทำเลแบบนี้มีอยู่อย่างจำกัด สิ่งหนึ่งที่จะตามมาแน่นอนคือเรื่องของราคาที่สูงอยู่พอสมควรเลยทีเดียว ส่งผลต่อชีวิตของคนในกรุงเทพฯ ที่จำเป็นต้องพักอาศัยอยู่ออกไปทางชานเมืองสักหน่อย แล้วฝ่าปัญหารถติดเรื้อรังเข้าสู่ในตัวเมืองเพื่อไปทำงาน หรือไปเรียนให้ทันเวลา   ปัจจุบันด้วยแผนพัฒนาทางคมนาคม โดยเฉพาะรถไฟฟ้าที่กำลังขยายเส้นทางกระจายออกไปทั่วกรุงเทพฯ จึงกลายเป็นสิ่งสำคัญต่อการพัฒนาเมือง ก่อให้เกิดการเติบโตขยายตัวเมืองออกไปมากยิ่งขึ้น ประชาชนทั่วไปอย่างเราๆ ก็ย่อมมีตัวเลือกในเรื่องของทำเลที่ดีในการอยู่อาศัยเพิ่มมากขึ้น ที่เห็นได้ชัดที่สุดคงหนีไม่พ้นช่วงถนนที่กำลังมีการก่อสร้างรถไฟฟ้าทั้งสองข้างทางต่างก็เริ่มถูก ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์จับจองแล้วพัฒนาเป็นโครงการใหม่ เป็นตัวเลือกให้กับผู้บริโภคมากขึ้น นี่เป็นอีกหนึ่งทางออกของการย้ายที่อยู่มาอาศัยอยู่ใกล้รถไฟฟ้า เพื่อสามารถเดินทางได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ประหยัดเวลามากยิ่งขึ้น   รถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต  ถนนพหลโยธิน หรือทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1 เป็นถนนสายหลักสายสำคัญสายหนึ่งของประเทศไทย ด้วยความที่เป็นถนนจากใจกลางกรุงเทพฯ ผ่านจุดสำคัญมากมาย และมุ่งสู่ภาคเหนือของประเทศไทยไปสุดทางที่พรมแดน อ.แม่สาย จ.เชียงราย รวมระยะทางทั้งสิ้นกว่า 994 กิโลเมตร โดยช่วงเริ่มต้น ตั้งแต่ กม. ที่ 0 จากอนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิไปจนถึงจตุจักร ทุกคนจะเห็นว่ามีรถไฟฟ้าสายสีเขียวอ่อนผ่านตลอดช่วงแล้ว ปัจจุบันรถไฟฟ้าสายสีเขียวกำลังสร้างส่วนต่อขยายเพิ่มเติมออกไปอีก จากสถานีรถไฟฟ้าหมอชิตไปตามถนนพหลโยธิน ผ่านช่วงห้าแยกลาดพร้าว-รัชโยธิน-มหาวิทยาลัยเกษตรศาตร์-สะพานใหม่-พิพิธภัณฑ์กองทัพอากาศ แล้วเบี่ยงขวาเข้าสู่ถนนลำลูกกา สุดสายที่สถานีคูคต รวมแล้วเป็นระยะทางทั้งสิ้น 19 กิโลเมตร ทั้งหมด 16 สถานี คาดว่าเปิดให้บริการในปี พ.ศ.2563 นอกจากนี้ ยังมีแผนสร้างสถานีเพิ่มจากสถานีคูคตอีก 4 สถานี ต่อออกไปอีกตามถนนลำลูกกา จนถึงสถานีวงแหวนตะวันออกบริเวณบิ๊กซี ลำลูกกา คาดว่าจะเปิดให้บริการในปี พ.ศ.2565 แน่นอนว่าเมื่อมีรถไฟฟ้าขยายไปถึงบริเวณไหนก็จะส่งผลให้เกิดความเจริญของเมืองตามไปด้วย โดยเฉพาะรถไฟฟ้าที่กำลังก่อสร้างเป็นรูปเป็นร่างชัดเจนแล้ว สองข้างทางก็ยิ่งคึกคักมากขึ้น เกิดสิ่งปลูกสร้างมากมายเพื่อจับจองทำเลที่ดีที่สุด ก่อนราคาที่ดินจะพุ่งตัวสูงขึ้นอีกกว่าเท่าตัวเมื่อรถไฟฟ้าสร้างแล้วเสร็จ แน่นอนว่าส่วนใหญ่ก็จะเป็นการทำโครงการคอนโดมิเนียม ที่เน้นการเดินทางอย่างสะดวกสบายที่สุดด้วยรถไฟฟ้า ซึ่งเหล่าผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ก็ย่อมที่จะกระโดดลงไปแข่งขันในสนามนี้กันอย่างดุเดือด นอกจากรถไฟฟ้าที่เป็นปัจจัยหลักในการนำพาความเจริญให้เกิดขึ้น เมื่อมีความสะดวกในการเดินทางแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ก็เป็นเรื่องสำคัญในการตัดสินใจอยู่อาศัยคือ สิ่งอำนวยความสะดวกไม่ว่าจะเป็นอาหารการกิน โรงพยาบาล แหล่งออฟฟิศ และสถาบันการศึกษา หากทุกสิ่งที่กล่าวถึงมีอยู่รายล้อมนั่นก็จะหมายถึงการเป็น “ทำเลที่ดี” ซึ่งถนนพหลโยธิน ช่วงห้าแยกลาดพร้าวไปจนถึงสะพานใหม่มีทุกสิ่งครบครัน ไล่มาตั้งแต่เซ็นทรัลลาดพร้าว, โรงเรียนหอวัง, เทสโก้โลตัส, อเวนิว, เมเจอร์รัชโยธิน, โรงพยาบาลเปาโล, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, มหาวิทยาลัยศรีปทุม, บิ๊กซี, ตลาดยิ่งเจริญ, โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช เป็นต้น จึงไม่แปลกที่ทุกวันนี้จะกลายเป็นทำเลสุดฮอตของเหล่าคอนโดมิเนียม   คอนโดมิเนียม ย่านพหลโยธิน-เกษตร หากใครที่ติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวของเหล่าคอนโดมิเนียม จะพบว่าในปีนี้นั้นมีการเปิดตัวโครงการไปหลายแห่ง รวมถึงโครงการที่เตรียมเปิดตัวเพิ่มอีกในปีต่อไปจากหลากหลาย Developer ทั้งเจ้าใหญ่ เจ้าเล็กมากหน้าหลายตา ทั้งทำเลที่ติดกับถนนพหโยธิน และทำเลที่เข้าไปตามซอยพหลโยธิน ทั้งสองฝั่งถนน เราลองมาดูตัวอย่างคอนโดมิเนียมในบางโครงการที่ตั้งอยู่ย่านนี้กันดู เช่น Life Ladprao - ไลฟ์ ลาดพร้าว คอนโดมิเนียม 2 อาคาร สูง 45-46 ชั้น มีจุดขายอยู่ตรงทำเลที่ห่างจากสถานีรถไฟฟ้าห้าแยกลาดพร้าวเพียง 1 ก้าว แถมฝั่งตรงข้ามก็ยังเป็นเซ็นทรัล ลาดพร้าว กับโรงเรียนหอวัง และยังเป็นจุด interchange กับรถไฟฟ้าใต้ดินสายสีน้ำเงิน สถานีพหลโยธิน ราคาเฉลี่ยต่อ ตร.ม. 140,000 บาท ราคาเริ่มต้นตอนเปิดตัวอยู่ที่ 2.9 ล้านบาท ซึ่งช่วงเปิดพรีเซลก็ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามเลยทีเดียว Poly Place Condo @Phaholyothin 23 - โพลี เพลส คอนโด แอท พหลโยธิน 23 คอนโดมิเนียม 3 อาคาร 8 ชั้น อยู่เข้าไปในซอยพหลโยธินประมาณ 800 เมตร แม้จะเข้าซอยไปสักหน่อย แต่ก็มีทางเข้า-ออก ได้หลายเส้นทาง ทั้งทางถนนพหลโยธิน ถนนวิภาวิดีรังสิต และถนนรัชดาภิเษก ช่วงหลังอาคาร SCB Park ได้ ที่น่าสนใจคือเรื่องของราคาเริ่มต้น เพียง 1.8 ล้านบาท เฉลี่ยต่อ ตร.ม. 62,000 บาท (ราคาตอนเปิดตัว) Lyss Ratchayothin - เดอะลิสส์ รัชโยธิน คอนโดมิเนียม Low rise 1 อาคาร อยู่ภายในซอยพหลโยธิน 27 เข้าไปเพียง 200 เมตร ใกล้สถานีรถไฟฟ้าพหลโยธิน 24 เป็นซอยที่ขนาดเล็กไม่ลึกมาก แต่เงียบสงบเหมาะสำหรับผู้ที่ชอบความเป็นส่วนตัว แต่ถือว่ายังใกล้รถไฟฟ้าอยู่ ราคาเริ่มต้น 2.59 ล้านบาท เฉลี่ย 105,000 บาท/ตร.ม. Lumpini Park Phahon 32 - ลุมพินี พาร์ค พหล 32 คอนโดมิเนียม 30 ชั้น 1 อาคาร ออกแบบตัวอาคารมาได้สวยไม่แพ้เจ้าอื่นๆ ตั้งอยู่ริมถนนพหลโยธิน ใกล้กับซอยเสนานิคม ใกล้สถานีรถไฟฟ้าเสนานิคม 200 เมตร เน้นความใกล้ชิดธรรมชาติ Facilities อยู่บนชั้น 24 เราสามารถว่ายน้ำในสระแบบ Infinity Edge พร้อมเทควิวมุมสูงได้ไม่แพ้ในเมือง ราคาเฉลี่ย 135,000 บาท/ตร.ม. เริ่มต้นที่ 3.02 ล้านบาท Premio Quinto – พริมิโอ ควินโต คอนโดมิเนียม Low Rise 8 ชั้น 4 อาคาร มาในสไตล์ Modern Classic  ริมถนนพหลโยธิน ติด BTS สถานีเสนานิคม ใกล้ตลาดบางเขน กับโรงพยาบาลเปาโล แถวนี้หาของกินอร่อยๆ ได้ง่ายมาก ราคาเฉลี่ย 113,000 บาท/ตร.ม. เริ่มต้นที่ 2.49 ล้านบาท Knightsbridge Kaset Society - ไนท์บริดจ์ เกษตร โซไซตี้ คอนโดมิเนียม High Rise 20 ชั้น 2 อาคาร 16 ชั้น 1 ตัวนี้ทำเลน่าสนใจมาก แล้วก็ได้รับความสนใจอย่างมากเช่นกัน เพราะอยู่ใกล้กับแยกเกษตรชนิดที่สามารถเดินไปมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้ไม่ไกล และยังใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าสถานีเสนานิคม ประมาณ 40 เมตร ตัวอาคารออกแบบมาสวยโดดเด่น สมกับเป็นตัวท็อปของออริจิ้น ราคาเฉลี่ย 115,450 บาท/ตร.ม. เริ่มต้นที่ 2.69 ล้านบาท   จะเห็นได้ว่าในปัจจุบัน หากเราต้องการที่อยู่อาศัยใกล้รถไฟฟ้า ซึ่งจะทำให้สามารถเดินทางได้อย่างสะดวกก็ไม่จำเป็นจะต้องจ่ายเงินก้อนโตมากมาย เพื่อไปอาศัยอยู่ใจกลางเมืองให้ประหยัดเวลาการเดินทาง เราก็เริ่มมีตัวเลือกเพิ่มมากขึ้นในการอยู่อาศัยออกห่างจากใจกลางเมืองไปไม่ไกล มีความหนาแน่นของผู้คนน้อยกว่าที่สำคัญมีราคาค่างวดถูกกว่ากันมาก แต่ยังคงแวดล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกเช่นกัน เชื่อว่าทำเลย่านพหลโยธิน-เกษตร นี้ จะกลายเป็นอีกแหล่งสำคัญที่หลายคนต่างจับจองอยู่อาศัยกันไม่น้อย ด้วยศักยภาพที่เต็มเปี่ยมในอนาคตอันใกล้
คอนโดวัยเกษียณ เทรนด์ใหม่รับสังคมผู้สูงอายุ

คอนโดวัยเกษียณ เทรนด์ใหม่รับสังคมผู้สูงอายุ

  หากมองย้อนกลับไปในอดีตที่มีค่านิยมในการแต่งงานเมื่อยังอายุน้อย มีลูกจำนวนมากเพื่อให้เติบโตมาช่วยกันทำมาหากินหรือเพื่อสืบทอดวงศ์ตระกูล แต่สภาพสังคมในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วจนค่านิยมนี้เปลี่ยนตามไปด้วย ทุกวันนี้เริ่มมีการแต่งงานสร้างครอบครัวใหม่ในช่วงอายุที่มากขึ้น มีลูกจำนวนน้อยลงหรือไม่มีลูกเลยเนื่องจากสภาพเศรษฐกิจและสังคม บางคนก็ครองตัวเป็นโสด ส่งผลถึงภาพรวมเริ่มมีประชากรเกิดใหม่น้อยลง แต่ประชากรผู้สูงอายุกลับมีมากขึ้นอย่างรวดเร็ว จนประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุในไม่ช้า ซึ่งหากเป็นเช่นนี้แล้วเราจะมีวิธีการรับมือกับสถานการณ์นี้อย่างไรบ้าง ลองไปดูในบทความนี้กันค่ะ องค์กรสหประชาชาติ (United Nations : UN) ได้ระบุเอาไว้ว่า ประเทศใดที่มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป มากกว่าร้อยละ 20 ของประเทศ หรือมีประชากรอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป ร้อยละ 14 ของประชากรทั้งประเทศ นั่นหมายความว่าประเทศนั้นก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแล้ว โดยประเทศไทยในปัจจุบันมีจำนวนผู้สูงอายุมากถึง 11.2 ล้านคน หรือประมาณ 17.1% ส่วนอัตราของเด็กเกิดใหม่ประมาณ 700,000 คน/ปี ลดลงจากปี 2506-2526 ที่มีประชากรเกิดใหม่ปีละมากกว่า 1 ล้านคน ในขณะเดียวกันมีแนวโน้มของผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป เพิ่มมากขึ้นร้อยละ 20 ในปี 2561 และจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องไปจนถึงปี 2564 คิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 5 ของประชากรทั้งหมด จากตัวเลขเหล่านี้หมายความว่าประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุภายในปีหน้านี้แล้ว และจะกลายเป็นสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ประมาณปี 2567 ซึ่งมีประเทศที่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มตัวแล้ว เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อิตาลี เยอรมัน ฯลฯ ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นเมื่อเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุนั้นมีมากมาย เช่น ทรัพยากรบุคคลวัยทำงานจะลดน้อยลงจนส่งผลให้เกิดการขาดแคลนแรงงาน ซึ่งจะกระทบโดยตรงต่อสภาพเศรษฐกิจ ปัญหาสุขภาพตามวัยก็มากขึ้นไปด้วย ภาครัฐอาจจะต้องจัดหาสวัสดิการด้านสุขภาพเพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันบุคลากรทางด้านสาธารณะสุขก็ยังไม่เพียงพอต่อประชากรในประเทศ แต่ก็มีข้อดีตรงที่ผู้สูงอายุส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อค่อนข้างมาก โดยเฉพาะสินค้าเพื่อสุขภาพที่มีให้เลือกหลากหลายขึ้นมากกว่าเมื่อก่อน และด้านการท่องเที่ยว ซึ่งวัดจากนักเที่ยววัยเกษียณชาวจีนที่เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยมากเป็นอันดับ 1 จากตัวเลขประชากรตามที่กล่าวไปแล้วนั้น ทำให้หลายภาคส่วนตื่นตัวมากขึ้นในการรับมือของสังคมที่กำลังจะเปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมบุคลากรให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับผู้สูงอายุมากขึ้น เช่น การจัดอบรมหลักสูตรการดูแลผู้สูงอายุตามสถานบริการสุขภาพทั้งในภาครัฐและเอกชน การจัดตั้งโรงเรียนผู้สูงอายุเพื่อการเรียนรู้ด้านสุขภาพ การดูแลตัวเอง เพิ่มพูนทักษะพัฒนาคุณภาพชีวิต เป็นต้น การทำเอาเทคโนโลยีมาพัฒนาให้เกิดนวัตกรรมเพื่อช่วยให้ผู้สูงอายุใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกปลอดภัยขึ้น เช่น อุปกรณ์การแพทย์เพื่อใช้ดูแลผู้สูงอายุภายในบ้านที่เริ่มมีวางขายกันทั่วไป แอพพลิเคชั่นที่จะคอยช่วยเหลือติดต่อลูกหลานยามฉุกเฉิน แจ้งเตือนเวลากินยา ฯลฯ เรื่องที่อยู่อาศัยอันเหมาะสมกับวัยก็สำคัญเช่นกัน ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เองก็เริ่มหันมาจับตลาดกลุ่มนี้กันบ้างแล้ว กับโครงการที่เรียกกันว่า "คอนโดวัยเกษียณ" ที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงอายุมีจุดสำคัญอยู่ตรงที่ภายในโครงการจะมีบุคคลากรทางการแพทย์คอยดูแลอย่างใกล้ชิด ราคาการบริการและรักษาไม่แพงจนเกินไป แถมยังมีสภาพแวดล้อมที่ดีส่งผลต่อจิตใจของผู้อยู่อาศัย โดยในปัจจุบันมีคอนโดวัยเกษียณเกิดขึ้นแล้ว เช่น Villa Meesuk Residences ตั้งอยู่ที่ อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ มีทั้งบ้านเดี่ยว และคอนโดมิเนียม 3 ชั้น มีเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งพร้อมอยู่ ออกแบบมาให้อากาศถ่ายเทสะดวก ใกล้ชิดธรรมชาติ ได้วิวภูเขา ส่วนกลางมีสระว่ายน้ำ สวนสีเขียว ห้องออกกำลังกาย เช่นเดียวกันกับคอนโดทั่วไป สามารถเลี้ยงสัตว์ได้ บริการรถรับ-ส่ง เข้าตัวเมืองหรือไปโรงพยาบาล มีกิจกรรมให้ทำร่วมกัน ภายในห้องพักมีปุ่มฉุกเฉินสำหรับเรียกเจ้าหน้าที่ได้ 24 ชม. และยังมีระบบปลดล็อคประตูเพื่อเข้าไปช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที Lumpini Ville นาเกลือ-วงศ์อมาตย์ ถ.พัทยา-นาเกลือ จ.ชลบุรี คอนโดมิเนียมที่มีโซนสำหรับผู้สูงอายุโดยเฉพาะ ดีไซน์ภายในห้องพักอาศัยแบบ Universal Design เพื่อรองรับการใช้ชีวิตของผู้สูงอายุ เช่น ออกแบบเพื่อรองรับการใช้ Wheel chair เฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ไม่มีเหลี่ยมมุม มีปุ่มฉุกเฉินภายในห้อง มีพยาบาลอยู่ในโซนอาคารผู้สูงอายุ มีส่วนกลางอย่างสระว่ายน้ำ ห้องออกกำลังกาย ส่วนสีเขียว ห้องสมุด ฯลฯ ภาพรวมแล้วก็เป็นคอนโดมิเนียมปกติ Jin Wellbeing County โครงการที่พักอาศัยพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกด้านไลฟ์สไตล์และบริการด้านสุขภาพครบวงจรเพื่อผู้สูงวัยและครอบครัว บนพื้นที่กว่า 140 ไร่ อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ลักษณะโครงการเป็นคอนโดมิเนียม 7 ชั้น มีอาคารที่จัดไว้สำหรับผู้สูงอายุที่ต้องการดูแลเป็นพิเศษ และอาคารที่สามารถเลี้ยงสัตว์ได้ ส่วนกลางมีทั้งสปา ฟิตเนส สระว่ายน้ำ สวนสาธารณะกลางโครงการถูกออกแบบให้มีลำธารไหลผ่าน มีบริการเพื่อสุขภาพเพื่อบริการทางการแพทย์เชิงป้องกัน รักษา และฟื้นฟู ทั้งยังมีคลาสกิจกรรมต่าง ๆ รวมถึงมีคอมมูนิตี้มอลล์ และโรงพยาบาล อยู่ภายในโครงการ ที่สำคัญคือมีการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่ออำนวยความสะดวก รวมถึงความปลอดภัย เช่น สายรัดข้อมืออัจฉริยะ โดยสายรัดข้อมือนี้จะระบุตำแหน่งของบุคคลที่ใส่ สามารถแจ้งเตือนเมื่อเกิดการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ แล้วจะส่งสัญญาณเตือนไปที่ศูนย์ควบคุมเพื่อเข้าช่วยเหลือได้ทันที โครงการนี้คาดว่าแล้วเสร็จประมาณปี 2561-2562 หากเราลบทัศนคติเก่าๆ ที่ว่า การอยู่ในที่พักอาศัยแบบนี้เหมือนกับการอยู่ในบ้านพักคนชราออกไปได้ ก็จะค้นพบว่า "คอนโดวัยเกษียณ" เหล่านี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อดูแลผู้สูงวัยอย่างใกล้ชิด สร้างความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น สามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุได้ ไม่ใช่เพียงการมองหาที่อยู่อาศัยอันเหมาะสมสำหรับญาติผู้ใหญ่ที่ทำให้ลูกหลานไม่ต้องกังวลเวลาออกไปทำงานนอกบ้าน แต่ยังเป็นทางเลือกที่ดีของคนโสดในการวางแผนชีวิตต่อไปด้วย สิ่งเหล่านี้ถือว่าสามารถตอบโจทย์สังคมของเราในปัจจุบันไปจนถึงอนาคตได้เป็นอย่างดี     *ที่มาข้อมูลจาก สสส. (สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ) และ มส.ผส. (มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย)
ทำความรู้จักกับโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC)

ทำความรู้จักกับโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC)

ความพยายามของรัฐบาลตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันในการพัฒนาประเทศไปสู่ความเจริญก้าวหน้า ด้วยการแปรเปลี่ยนจากประเทศเกษตรกรรมไปสู่ประเทศแห่งอุตสาหกรรมมีมาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน ตั้งแต่ช่วงปี 2525 กับโครงการอีสเทิร์นซีบอร์ด (Eastern Seaboard Development Program: ESB) ตั้งแต่ปี 2525 ที่ทำให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตของหลายอุตสาหกรรม เช่น ชิ้นส่วนยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ ปิโตรเคมี การแปรรูปอาหาร เป็นต้น แต่ด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ต้องมีการปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย โครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) เป็นโครงการที่ทางรัฐบาลยุคปัจจุบันต้องการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภค การท่องเที่ยว ธุรกิจ และเมืองอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคตะวันออก ได้แก่ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง ให้ก้าวสู่ความเป็นเวิลด์คลาส อีโคโนมิคโซน เพิ่มขีดความสามารถทางด้านอุตสาหกรรมให้มีความทันสมัย ส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมชั้นสูง มีความไฮเทคยิ่งขึ้น ภายใน 5 ปี สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่จะช่วยส่งให้อีอีซีมีความเจริญก้าวหน้าอย่างสมบูรณ์ นั่นคือการคมนาคมทั้งทางถนนมอเตอร์เวย์กรุงเทพฯ-ชลบุรี, พัทยา-มาบตาพุด และแหลมฉบัง-นครราชสีมา การขนส่งทางเรือตามท่าเรือขนาดใหญ่ เช่น ท่าเรือแหลมฉบัง ท่าเรือมาบตาพุด ท่าเรือพาณิชย์สัตหีบ และแผนเชื่อมต่อระหว่างสนามบินดอนเมือง-สนามบินสุวรรณภูมิ-สนามบินอู่ตะเภา ด้วยรถไฟฟ้าความเร็วสูง คาดว่าจะเปิดให้บริการปี 2566 จุดนี้ทำให้หลายส่วนคาดหวังว่าประเทศไทยจะกลายเป็นศูนย์กลางทางการบิน ด้วยทำเลที่ตั้งของประเทศไทยเอื้ออำนวยให้เป็นจุดยุธศาสตร์ของภูมิภาคเอเชียตามไปด้วย โดยมีการแบ่งโซนสร้างพื้นที่สีเขียวขึ้นเพื่อเป็นแนวกันชนระหว่างชุมชนกับอุตสาหกรรม และแยกพื้นที่เกษตรกรรมออกจากพื้นที่ท่องเที่ยวอย่างชัดเจน จุดประสงค์สำคัญของทางรัฐบาลในการเร่งรัดแผนนี้ให้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วก็เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ดึงดูดนักลงทุนชาวต่างชาติให้เข้ามาเพิ่มมากขึ้น และคาดว่าปี 2564 จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศโตขึ้นถึง 5% โดยได้เตรียมกฎหมายสำคัญ 3 ฉบับ คือ การแก้ไขพ.ร.บ.ส่งเสริมการลงทุน พ.ร.บ.กองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และพ.ร.บ.พัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก โดยทั้งหมดจะเน้นไปที่ความคล่องตัวในการลงทุนของเอกชน เพิ่มสิทธิประโยชน์เพื่อจูงใจในการลงทุน ซึ่งในวงการอสังหาริมทรัพย์เองก็มีการตื่นตัวเรื่องนี้กันอยู่ไม่น้อย ตั้งแต่ที่ดินในจังหวัดฉะเชิงเทรา แนวถนนสายฉะเชิงเทรา-บางปะกง มีราคาพุ่งขึ้นถึง 20 ล้านบาท/ไร่ จากเดิม 10 ล้านบาท/ไร่ หลายค่ายเริ่มหันมารุกตลาดในพื้นที่จังหวัดชลบุรีมากขึ้นอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะคอนโดมิเนียม โรงแรม ที่มีความคึกคักเป็นพิเศษ เช่น ปี 2561 ออริจิ้นเตรียมเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมที่ชลบุรี 1 แห่ง ระยอง 1 แห่ง และโรงแรมอีก 1 โครงการ รวมมูลค่าถึง 7,000-8,000 ล้านบาท ทางด้านพฤษาเตรียมเปิด 8 โครงการในพื้นที่ทั้ง 3 จังหวัดเขตอีอีซี รวมมูลค่ากว่า 5,000 ล้านบาท ฯลฯ ในทางกลับกันมีอีกมุมมองจากประชาชนและนักวิชาการท้องถิ่นที่ไม่เห็นด้วยกับโครงการนี้ เพราะเป็นห่วงเรื่องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่ปัจจุบันก็ยังคงแก้ไม่ตก และมองว่าภาครัฐเน้นสัดส่วนของภาคอุตสาหกรรมมากเกินไปถึง 70% ซึ่งแท้จริงแล้วจะต้องมีกระบวนการในส่วนของภาคประชาชนที่จะได้รับผลกระทบให้มีส่วนร่วมในการเสนอความคิดเห็นกันก่อน แต่อีอีซีกลับถูกประกาศตัวขึ้นอย่างรวดเร็วจนข้ามขั้นตอนไป นั่นก็มาจากการใช้อำนาจมาตรา 44 จากคสช. จึงมีหลายเสียงที่อยากจะเสนอแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน ร่วมมองแนวทางแก้ปัญหาหลายๆ ด้านกันก่อน โดยเฉพาะเรื่องของผังเมือง, ท่าเรือแหลมฉบัง เฟส 3 ที่มีการคัดค้านในการสร้างมาตลอด เพราะผลการศึกษาทางด้านสิ่งแวดล้อมออกมาว่า ท่าเทียบเรือชายฝั่งคือแหล่งเพาะพันธุ์สัตว์น้ำที่เหลืออยู่ แม้จะมีหน่วยงานภาครัฐออกมากล่าวว่ามีการทำรายงานผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) ในโครงการต่างๆ ตามกฎหมาย และมีการลงพื้นที่ไปพูดคุยทำความเข้าใจกับประชาชนก็ตาม สุดท้ายก่อนการเริ่มต้นโครงการนี้อย่างเป็นรูปธรรมจะมีแผนผังการใช้ประโยชน์จากที่ดิน สาธารณูปโภค และแผนผังการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่อีอีซี ซึ่งคาดว่าจะออกมาประมาณเดือน เม.ย.-พ.ค. 2561 และเมื่อทั้ง 2 แผนนี้เสร็จสมบูรณ์ก็จะถูกส่งต่อให้กรมโยธาฯ จัดทำผังเมืองใหม่อีกภายใน 1 ปี ซึ่งแผนทั้งหมดนี้จะมีหน้าตาออกมาเป็นอย่างไร สามารถมีจุดตรงกลางที่เหมาะสมระหว่างรัฐบาลที่มองถึงเรื่องการพัฒนาประเทศให้รุดหน้าโดยเร็ว กับประชาชนท้องถิ่นที่หวงแหนธรรมชาติบนแผ่นดินเกิดอย่างไร ถึงตอนนี้ยังคงไม่มีบทสรุปก็คงต้องติดตามกันต่อไป  
จับตา Developer แข่งขันดุเดือด ช่วงโค้งสุดท้ายของปี 60

จับตา Developer แข่งขันดุเดือด ช่วงโค้งสุดท้ายของปี 60

เหลืออีกเพียงไม่ถึง 2 เดือน ก็จะสิ้นสุดปี 2560 แล้ว ซึ่งถือเป็นช่วงโค้งสุดท้ายของหลายธุรกิจที่มีการแข่งขันกันอย่างดุเดือด ก่อนปิดยอดประจำปี แม้ภาวะเศรษฐกิจอาจยังดูไม่สดใสนัก แต่ภาพรวมก็ยังคงมีแนวโน้มเติบโตขึ้น ประกอบกับตลาดหุ้นมีทิศทางที่ดีขึ้นในช่วงปลายปี ทำให้ในส่วนของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์หลังจากชะลอตัวมา 2 ปี ในปีนี้มีจึงการเร่งขายกันมาตั้งแต่ต้นปีจนถึงปลายปี ส่งผลให้เหล่า Developer รายใหญ่ต่างก็มียอดขายเกินเป้ากันไปหลายราย กำลังซื้อส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยแบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 65% และแนวราบ 35% ยอดขายภาพรวมเมื่อเทียบกับปีที่แล้วนั้นโตขึ้นถึง 28% เรียกได้ว่าเกินความคาดหมาย โดยเฉพาะช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมา หลาย Developer สามารถกวาดยอดขายไปได้อย่างล้นหลาม เช่น ศุภาลัย ช่วงไตรมาส 3 ทำยอดขายได้มากถึง 2.5 หมื่นล้านบาท, แสนสิริ ยอดขายไตรมาส 3 รวมแล้ว 2.4 หมื่นล้านบาท คาดว่ารวมรายได้ทั้งปีจะอยู่ที่ประมาณ 4 หมื่นล้านบาท, เอพี ตั้งแต่ต้นปีจนถึงช่วงกลางเดือนตุลาคม ยอดขายอยู่ที่ 29,300 ล้านบาท, แอล พี เอ็น ยอดขาย 9 เดือนแรก 12,000 ล้านบาท, ศุภาลัย 9 เดือนแรก รายได้ 25,120 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 93% ของยอดปีนี้, ออริจิ้น ไตรมาส 3 รายได้รวมอยู่ที่ 1,959.9  ล้านบาท ส่วนยอดรวม 9 เดือน 4,014.3 ล้านบาท เป็นต้น แต่สิ่งที่น่าจับตามองในช่วงปลายปีนี้ คือ การจัดกิจกรรมทางการตลาด ไม่ว่าจะเป็นการจัดแคมเปญต่างๆ โปรโมชั่นของแต่ละเจ้าที่งัดเอากลยุทธเด็ดของตัวเองออกมาเพื่อระบายสต๊อกของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นคอนโด ทาวน์โฮม หรือบ้านเดี่ยว ทำให้ส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภคมากขึ้นตามไปด้วย โดยเราจะมายกตัวอย่างแคมเปญ และโปรโมชั่นในช่วงโค้งสุดท้าย จากบางค่ายมาให้ชมกัน ดังนี้ แสนสิริ เตรียมจัดแคมเปญส่งท้ายปีในงานอีเว้นท์ "Sansiri Life Comes Home 2017" วันที่ 24-26 พ.ย. นี้ ณ แฟชั่นฮอลล์ สยามพารากอน ภายในงานจะนำ 42 โครงการ มาจัดโปรโมชั่นส่วนลด เช่น ส่วนลด 50,000 บาท รับไอโฟน 10 เมื่อลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ และเมื่อจองโครงการใหม่ อีกทั้งลุ้นรับรางวัลเมื่อจองซื้อในงาน มูลค่ารวม 500,000 บาท เช่น ไอแพดโปร, บัตรที่พักโรงแรมเอสเคปเขาใหญ่-หัวหิน, แพ็คเกจการเงิน ฯลฯ อนันดา จัดแคมเปญ "ผ่อนเบาล้านละ 999 บาท "สำหรับลูกค้าที่ใช้บริการสินเชื่อบ้านกสิกรไทยเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยในโครงการแนวราบ ผ่อนชำระล้านละเพียง 999 บาท/เดือน ในช่วง 1 ปีแรก ไซมิส มีการเปิดขายโครงการ "ไซมิส คิน" ย่านรามอินทรา โครงการ "ไซมิส จอยญ่า สุขุมวิท 87" และโครงการ "ไซมิส เอ็กซ์คลูซีฟ" ย่านรัชดาภิเษก โดยทั้ง 3 โครงการนี้จะนำไปออกโรดโชว์ในประเทศจีน และอินเดีย ก่อนจะกลับมาเปิดตัวในบ้านเราปีหน้า เอพี กับโครงการใหญ่ของปี "ไลฟ์ อโศก-พระราม 9" มีการเปิดจองพรีเซลไปแล้ว พร้อมสิทธิพิเศษ เช่น ลดสูงสุด 300,000 บาท จองพร้อมทำสัญญา 5% ได้รับส่วนลดเพิ่มอีก 100,000 บาท ซึ่งก็ได้กระแสตอบรับดีอยู่ไม่น้อย ไม่แพ้โครงการไลฟ์ลาดพร้าว และไลฟ์ ไวร์เลส โครงการก่อนหน้าในปีนี้ที่ห้องหมดเกลี้ยงในพริบตา โดยสามารถกวาดยอดไปได้ 96% พฤกษา จะเน้นขายสต๊อกที่มีอยู่ โดยจะมีการทำแคมเปญ เช่น “ Best Buy Moment ลุ้นรวยทอง” แจกทองคำมูลค่ากว่า 7 ล้านบาท เมื่อจองทาวน์โฮมบ้านพฤกษา และเดอะคอนเนค 58 แคมเปญ “BIG LIFE BIG LUCK” ลุ้นรับรถยนต์ฮอนด้า แจ๊ส 10 คัน เมื่อจองทาวน์เฮาส์แบรนด์พฤกษาวิลล์ และพาทิโอ อารียา จัดแคมเปญ "หมดข้ออ้างที่จะมีบ้านและคอนโด" ใน 22 โครงการ ระหว่างวันที่ 1 พ.ย.-17 ธ.ค. โดยมีโปรโมชั่น 3 แบบ คือ อยู่ฟรี 1 ปี หรือเปลี่ยนส่วนลดเป็นเงินสด ลูกค้าที่จองบ้านแลกรับเฟอร์นิเจอร์เอสบี มูลค่าสูงสุด 2-3.3 แสนบาท ลูกค้าที่จองคอนโดแลกรับเฟอร์นิเจอร์เอสบี มูลค่าสูงสุด 30,000-70,000 บาท และสัญญาณอินเตอร์เน็ตจากเอไอเอส ไฟเบอร์ 100 Mbps 1 ปี เนอวานา ไดอิ จัดแคมเปญ “CUSTOMIZE YOUR MAGIC เติมเต็มทุกความรู้สึก” มาพร้อมโปรโมชั่น Built-in ครบทั้งหลัง มูลค่าสูงสุด 8 ล้านบาท สำหรับ 5 โครงการ แบรนด์เนอวานา ไดอิ, ผ่อนเริ่มต้นล้านละ 1,000 บาท/เดือน สำหรับโฮมออฟฟิศ สิงห์ เอสเตท เปิดขายโครงการดิ เอส สุขุมวิท 36 ในวันที่ 18-19 พ.ย. พร้อมสิทธิพิเศษในการลดราคามากถึง 2-8 แสนบาท ช่วงโค้งสุดท้ายของปีถือเป็นช่วงไฮซีซั่นของวงการอสังหาริมทรัพย์ ที่ตลาดจะกลับมาคึกคักกันอีกครั้ง ยิ่งผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์จัดโปรโมชั่นกันมากเท่าไร ก็ยิ่งส่งผลดีต่อผู้บริโภคอย่างเราๆ ให้ได้มีทางเลือกมากขึ้น
ของขวัญจากพ่อ รวม 8 โครงการก่อสร้างถนนในพระราชดำริ “ในหลวงรัชกาลที่ 9

ของขวัญจากพ่อ รวม 8 โครงการก่อสร้างถนนในพระราชดำริ “ในหลวงรัชกาลที่ 9

1. โครงการทางคู่ขนานลอยฟ้าถนนบรมราชชนนี  เนื่องจากปริมาณการจราจรที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะจากเชิงสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้าจนถึงทางแยกสิรินธรทำให้ช่องทางการจราจรที่มีอยู่ 8 ช่องทาง ไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้พื้นที่ถนนที่เพิ่มขึ้น วิธีการแก้ไขปัญหาดังกล่าว จะต้องเพิ่มพื้นผิวการจราจรให้มากขึ้น การเพิ่มพื้นที่จราจรด้วยการสร้างทางยกระดับขึ้นช่วงหนึ่ง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับการจราจรได้มากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน โครงการฯ นี้เป็นโครงการหนึ่งซึ่งสนองพระบรมราโชบาย ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระมหากรุณาคุณให้พสกนิกร เพื่อแก้ไขปัญหาจราจรที่ติดขัด   2.โครงการก่อสร้างถนนรัชดาภิเษก และทางยกระดับถนนพหลโยธิน ช่วงดินแดง-ดอนเมือง-หลักสี่-อนุสรณ์สถานรังสิต ถนนรัชดาภิเษกและถนนอุตราภิมุข ถนนรัชดาภิเษกที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้ เกิดจากพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ที่ทรงห่วงใยชาวกรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่จะต้องประสบปัญหาการจราจร ทรงมีรับสั่งให้คณะรัฐมนตรีดำเนินการกับวงแหวน 3 สาย ล้อมรอบ บริเวณที่ดินทั้ง 2 ฝั่งน้ำเจ้าพระยา โดยมีสะพานเชื่อมสองฝั่งแม่น้ำ ถนนวงแหวนรอบในส่วนมากมีเส้นทางเดิมอยู่แล้ว มีทางเลียบสองฝั่งแม่น้ำ ที่สะพานพระพุทธยอดฟ้าฯ กับสะพานที่ปลายถนนสาทร ถนนวงแหวนรอบกลางมีเส้นทางเดิมอยู่ 6-8 กิโลเมตร มีทางเชื่อม 2 ฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ที่สะพานพระราม 6 กับสะพานกรุงเทพฯ และจะต้องสร้างทางเส้นใหม่ขึ้นเป็นทางยาวไม่น้อยกว่า 36 กิโลเมตรจึงจะทำให้ถนนนี้ครบวง จะช่วยแก้ปัญหาการจราจรได้มาก เป็นการอำนวยความสะดวกแก่ผู้ที่สัญจรเข้า-ออกระหว่างใจกลางเมืองกับชุมชนส่วนนอก ตลอดจนถึงผู้ที่มาจาก ต่างจังหวัดทั้งทางทิศเหนือ ตะวันออก ตะวันตก และทิศใต้ ให้สามารถเดินทางผ่านกรุงเทพฯ ออกไปได้โดยไม่ต้องเข้าสู่ศูนย์กลางของเมืองที่มีการ จราจรคับคั่งเป็นประจำ อีกทั้งทรงพระราชทานพระบรมราชานุญาตและได้พระราชทานพระบรมราชวินิจฉัยว่า ถนนรัชดาภิเษกจะใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น ถ้าจะมีเส้นทางที่เชื่อมถนนจากเมืองทางตะวันออกกับถนนจากทางใต้ ให้ติดต่อกันได้โดยผ่าน ถนนวงแหวนช่วงด้านใต้   3. โครงการ ถนนวงแหวนกาญจนาภิเษก (ถนนวงแหวนรอบนอกด้านใต้) จังหวัดสมุทรปราการ ถนนกาญจนาภิเษกสร้างขึ้นเพื่อแก้ปัญหาการจราจรที่ติดขัดในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ที่มีปริมาณการจราจรและการขนส่งเพิ่มขึ้น อันเป็นผลจากความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และเป็นทางเลี่ยงเมืองกรุงเทพมหานครที่เป็นตัวเชื่อมทางสายหลักเข้าไปสู่ทุกภาคของประเทศ   4. โครงการถนนวงแหวนอุตสาหกรรม โครงการถนนวงแหวนอุตสาหกรรมเป็นวงแหวนรอบเล็กตามแนวพระราชดำริ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้พระราชทานแนวทางไว้ ตั้งแต่ พ.ศ. 2538 เพื่อเป็นโครงข่ายถนนรองรับการขนส่งและลำเลียงสินค้าจากท่าเรือกรุงเทพ ต่อเนื่องไปถึงพื้นที่อุตสาหกรรมในจังหวัดสมุทรปราการและพื้นที่อื่นๆ ของประเทศ เพื่อไม่ให้รถบรรทุกขนาดใหญ่เข้าไปในตัวเมืองหรือทิศทางอื่น อันเป็นสาเหตุของการจราจรติดขัดโดยรอบ ซึ่งช่วยแก้ปัญหาการจราจรบริเวณถนนพระราม ๙ และต่อเชื่อมกับถนนเอกมัย-รามอินทรา ทำให้โครงข่ายจราจรคล่องตัวขึ้น 5. โครงการก่อสร้างถนนชุมชนบึงพระราม 9 เชื่อมระหว่างถนนพระราม 9 ถนนประชาอุทิศ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 พระราชทานพระราชดำริให้กรุงเทพมหานครก่อสร้างถนนและปรับปรุงชุมชนพระราม 9 (หน้าศูนย์แพทย์พัฒนา) เพื่อเชื่อมเส้นทางระหว่างถนนพระราม 9 กับถนนประชาอุทิศตามแนวซอยโรงเรียนไทย-ญี่ปุ่น กับซอยจำเนียรเสริม 6. โครงการก่อสร้างถนนเชื่อมระหว่างถนนพระราม 9 กับถนนเทียมร่วมมิตร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 มีพระราชดำริให้กรุงเทพมหานครดำเนินการก่อสร้างถนนเชื่อมระหว่างถนนพระราม 9 กับถนนเทียมร่วมมิตร เพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรบริเวณถนนรัชดาภิเษก และถนนพระราม 9 โดยสร้างถนนเพื่อเป็นทางลัดในพื้นที่ซึ่งเดิมเคยรกร้างว่างเปล่า ด้านข้างศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทยข้างกรมการผังเมืองบนที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย การเดินทางของประชาชนได้รับความสะดวกและลดระยะการเดินทางระหว่างถนนเทียมร่วมมิตรกับถนนพระราม 9 โดยไม่ต้องผ่านแยก อ.ส.ม.ท 7. โครงการก่อสร้างสะพานจตุรทิศตะวันออก ถือเป็นโครงข่ายที่สำคัญและเป็นโครงข่ายใหญ่มีการก่อสร้างถนนและสะพานเชื่อมโครงการย่อๆ ปลายโครงการเข้าด้วยกัน เพื่ออำนวยความสะดวกรวดเร็วในการเดินทางระหว่างฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออกของกรุงเทพมหานคร และบรรเทาปัญหาการจราจรติดขัด รวมไปถึงถนนเชื่อมต่อสายอื่นได้แก่ ถนนราชดำเนินนอก ถนนศรีอยุธยา ถนนสวรรคโลก ถนนอโศก-ดินแดง ถนนสุขุมวิท ถนนเพชรบุรี และถนนพระราม 9 การก่อสร้างโครงการเริ่มต้นจากทิศตะวันตก ต่อเนื่องกับโครงการพระราชดำริทางคู่ขนานลอยฟ้าถนนบรมราชชนนีและโครงการพระราม 8 ไปยังทิศตะวันออกของกรุงเทพมหานคร 8. โครงการก่อสร้างถนนคู่ขนานถนนพระราม 9 จากแยกเข้าวัดอุทัยธารามถึงก่อนขึ้นทางด่วนขั้นที่ 2 ที่มา : กระทรวงคมนาคม
4 คอนโดติดรถไฟฟ้าสายสีม่วง-สีน้ำเงิน ไม่เกิน 3 ล้าน

4 คอนโดติดรถไฟฟ้าสายสีม่วง-สีน้ำเงิน ไม่เกิน 3 ล้าน

ปฏิเสธไม่ได้เลยค่ะว่าเดี๋ยวนี้ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เห็นแต่คอนโดมิเนียมโครงการใหม่ๆ มากมาย เหตุผลหลักที่หลายคนเลือกอยู่คอนโดฯ ก็คงหนีไม่พ้นความสะดวกสบายโดยเฉพาะเรื่องการเดินทาง ด้วยทำเลที่ตั้งส่วนใหญ่มักอยู่ใกล้จุดขึ้นลงทางด่วนและรถไฟฟ้าหลากหลายสาย แต่คอนโดฯ ที่แวดล้อมด้วยความสะดวกสบายเช่นนั้นราคาก็มักจะสูงลิ่ว เห็นราคาแล้วก็ถอดใจสู้ไม่ไหวใช่ไหมคะ พวกเราทีมงาน Review Your Living เข้าใจดีค่ะ วันนี้เราจึงรวบรวมรีวิวคอนโดติดรถไฟฟ้าสายสีม่วงและสีน้ำเงิน (บางซื่อ - เตาปูน) ที่จะเชื่อมต่อกันในเดือนสิงหาคม 2560 นี้ โดยไม่ต้องต่อรถให้ยุ่งยากเสียเวลา เพื่อเป็นตัวเลือกในการตัดสินใจค่ะ บอกเลยว่านอกจากการเดินทางสะดวกสบายไม่แพ้คอนโดฯ กลางเมืองแล้ว ราคายังโดนใจประหยัดเงินได้อีกด้วย 1. The Politan Aqua  คอนโดมิเนียมหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยาจากบริษัท Everland ที่ตอบรับทุกการใช้ชีวิตอย่างพิถีพิถันด้วยแนวคิดใหม่แบบ High-rise โดยมีจุดเริ่มต้นแนวคิดมาจากการสร้างสภาพแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกอาคารให้เอื้อต่อการอยู่อาศัยที่ดี ที่สำคัญคือตั้งอยู่บนทำเลคุณภาพ แวดล้อมไปด้วยธรรมชาติและสายน้ำ ใจกลางความสะดวกในการเดินทางเข้าออก เชื่อมต่อสถานีรถไฟฟ้าสายสีม่วง (สถานีสะพานพระนั่งเกล้า) และถนนหลักหลายสาย มีสาธารณูปโภคต่างๆ รายรอบมากมาย ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.29 ล้านบาท อ่านรีวิวได้ที่ : https://goo.gl/c2Rjsq   2. Aspire Rattanatibet 2  อีกหนึ่งคอนโดฯ ติดรถไฟฟ้าสายสีม่วงที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้กับ Aspire รัตนาธิเบศร์ 2 โครงการที่พักอาศัยคุณภาพ 25 ชั้น จาก AP ในทำเลที่ตั้งน่าสนใจ อยู่ห่างจากสถานีบางกระสอเพียง 200 เมตร ใกล้จุดขึ้น - ลงทางด่วนศรีรัช พร้อมยกระดับความปลอดภัยด้วยอาคารจอดรถเป็นสัดส่วนแยกจากอาคารที่พักอาศัย นอกจากนี้ยังตกแต่งให้บรรยากาศสไตล์รีสอร์ท ร่มรื่นด้วยสวนกลางขนาดใหญ่ ครบครันด้วย Fitness สระว่ายน้ำ ลานสันทนาการกลางแจ้ง ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.69 ล้านบาท อ่านรีวิวได้ที่ : https://goo.gl/iJ7CEs 3. Notting Hill Skyscraper Central Rattanathibet คอนโดมิเนียม High Rise ของออริจิ้น พร๊อพเพอร์ตี้ ที่จะมาเป็นแลนด์มาร์คใหม่บนถนนรัตนาธิเบศร์ ด้วยการสร้างมาตรฐานใหม่ในรูปแบบตัวอาคารทรง Y-Shape สีเบอร์กันดี ดูโดดเด่นสะดุดตาจากการออกแบบร่วมกับ บริษัท อะตอม ดีไซน์ และยังชูจุดเด่นตั้งแต่ทำเลติดถนนใหญ่ คอนโดใกล้รถไฟฟ้าสายสีม่วง (สถานีแยกนนทบุรี) เพียง 250 เมตร ที่สำคัญคือสิ่งอำนวยความสะดวกในโครงการจัดเต็มมาก ภายในห้องทุกยูนิตเป็นแบบ Fully Furnished มีเพดานสูงถึง 3 เมตร ออกแบบให้ดูโปร่งโล่งสบาย ในราคาเริ่มต้นที่ 1.5 ล้านบาทค่ะ อ่านรีวิวได้ที่ : https://goo.gl/WDLXdA   4. Ideo Mobi Wong Sawang Interchange เอาใจคนไลฟ์สไตล์เก๋ๆ กับคอนโดติดรถไฟฟ้าสายสีม่วง (สถานีบางซ่อน) เพียง 10 เมตร กับโครงการ Ideo Mobi วงศ์สว่าง อินเตอร์เซนจ์ ของ อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ กับคอนโดมิเนียม High Rise สูง 29 ชั้น ตัวอาคารดูโดดเด่นตั้งแต่รูปลักษณ์ภายนอก สร้างเอกลักษณ์ให้แตกต่างจากโครงการอื่นโดยการร่นระยะเล่นระดับโซนด้านหน้าให้เป็นพื้นที่สีเขียวขจี โดยห้องทุกยูนิตขายแบบ Fully Fitted มาพร้อมชุดครัว สุขภัณฑ์ เครื่องปรับอากาศ และ Digital Door Lock ในราคาเริ่มต้น 2.8 ล้านบาทค่ะ อ่านรีวิวได้ที่ : https://goo.gl/xerFX5 เป็นไงบ้างคะกับคอนโดฯ ที่เราเลือกมาแนะนำทั้งหมดนี้ รับรองว่าอยู่ในงบที่มนุษย์เงินเดือนแบบเราๆ เอื้อมถึง ลองคลิกลิงค์เข้าไปอ่านรีวิวให้ละเอียดก่อนได้นะคะ ถ้าอ่านแล้วรู้สึกชอบคอนโดติดรถไฟฟ้าโครงการไหนเป็นพิเศษ พวกเราทีมงาน Review Your Living แนะนำให้ติดต่อไปที่สำนักงานขายเพื่อขอเยี่ยมชมห้องตัวอย่างก่อนตัดสินใจซื้อนะคะ เพราะการได้เห็นทำเลที่ตั้ง สภาพแวดล้อมโดยรอบจริงๆ นั้นจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้นแน่นอนค่ะ เผลอๆ จะได้ถือโอกาสต่อรองขอโปรโมชั่นพิเศษหน้างานกันไปด้วยเลย :)
ความนิยมของอสังหาฯ ไทยในชาวต่างชาติ

ความนิยมของอสังหาฯ ไทยในชาวต่างชาติ

ประเทศไทยขึ้นชื้อว่าเป็นเมืองท่องเที่ยวติดอันดับท็อปของโลกต่อเนื่องมาหลายปี โดยในปี 2560 มีนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศไทยมากถึง 65 ล้านคน และคาดว่าในปี 2561 นี้จะเพิ่มขึ้นอีก 10% การเข้ามาของนักท่องเที่ยวนั้นส่งผลดีต่อเศรษฐกิจหลายด้าน ไม่ใช่เพียงแค่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมท่องเที่ยวกับชาวบ้านในพื้นที่เท่านั้น แต่ส่งผลไปถึงการเข้ามาลงทุนในบ้านเราเพิ่มมากขึ้นด้วย   หลายประเทศโดยเฉพาะในแทบเอเชียมีแนวโน้มเข้ามาลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยมากขึ้นในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษตะวันออก(อีอีซี) ประกอบกับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลายรายนำโครงการคอนโดมิเนียมไปออกโรดโชว์ต่างประเทศจึงทำให้เป็นที่รู้จักในกลุ่มชาวต่างชาติมากขึ้น เช่น ฮ่องกง ไต้หวัน สิงคโปร์ ญี่ปุ่น และมากที่สุดคือประเทศจีน ซึ่งมีทั้งการเข้ามาลงทุนด้วยตัวเอง การซื้อกิจการอาคาร ที่ดิน โครงการต่างๆ และการร่วมทุนที่มีการเข้ามาช่วยบริหารจัดการด้วยตัวเอง เนื่องจากที่ผ่านมามีการลงทุนจากชาวจีนเป็นเม็ดเงินเฉลี่ยปีละ 4-5 หมื่นล้านบาท โดยลักษณะการลงทุนมีหลากหลายรูปแบบ เช่น   คอนโดมิเนียม เป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะสามารถปล่อยขายกรรมสิทธิ์แก่ชาวต่างชาติได้ถึง 49%/โครงการ สามารถซื้อเป็นชื่อของชาวต่างชาติเองได้ โดยนิยมเลือกทำเลทั้งในกรุงเทพฯ และตามเมืองท่องเที่ยวใหญ่ๆ สามารถเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะได้ง่ายเน้นแนวรถไฟฟ้าหรือใกล้สถานที่สำคัญ มีสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการรวมถึงราคาที่เหมาะสมเป็นหลัก กำลังซื้อจะอยู่ที่ประมาณ 5-10 ล้านบาทขึ้นไป โดยบางโครงการก็มีการกว้านซื้อแบบเหมายกชั้นมาแล้ว อีกส่วนหนึ่งในภาคธุรกิจจะให้ความสนใจในการร่วมทุนสร้างคอนโดมิเนียม เช่น โครงการ Hyde Heritage ทองหล่อ จากบริษัท แกรนด์ สตาร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่เกิดจากการร่วมทุนระหว่าง Property Perfect กับ Grand Asset จากประเทศไทย และ Sumimoto Forestry จากประเทศญี่ปุ่น, โครงการ Life อโศก คอนโดมิเนียมที่มีการร่วมทุนระหว่าง AP (Thailand) กับ Mitsubishi Estate Group-MEC จากประเทศญี่ปุ่น เป็นต้น   อาคารสำนักงาน ในบ้านเรานั้นติดอันดับที่ 2 ของอาคารสำนักงานระดับพรีเมียมที่มีค่าเช่าถูกที่สุดในโลก โดยเฉลี่ยแล้วประมาณ 1,020 บาท/ตร.ม./เดือน ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับอาคารสำนักงานที่แพงที่สุดในโลกอย่างฮ่องกงจะมีราคาเฉลี่ยที่ 9412 บาท/ตร.ม./เดือน รองลงมาเป็นนิวยอร์กมีราคาเฉลี่ย 5,653 บาท/ตร.ม./เดือน และลอนดอน 5,624 บาท/ตร.ม./เดือน แม้ว่าในประเทศไทยจะมีค่าเช่าที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องมาตลอด 7-8 ปีที่ผ่านมา แต่ก็ยังถือว่าถูกกว่าฮ่องกงอยู่ถึง 9 เท่า เพราะมีซัพลายที่ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ โดยเฉพาะอาคารสำนักงานเกรดเอย่านใจกลางเมืองที่มีเหลือให้เช่าเพียง 7.8% ซึ่งการลงทุนพัฒนาอาคารสำนักงานมักจะเป็นการร่วมทุนกันระหว่างบริษัทในประเทศไทยกับต่างชาติ   โครงการมิกซ์ยูส เป็นลักษณะโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่ผ่านมาจึงเป็นการร่วมทุนกัน เช่น โครงการมิกซ์ยูสในพัทยา โดยจงเทียน คอนสตรัคชั่น กรุ๊ป ร่วมทุนกับเจ.เอส.พี. พร็อพเพอร์ตี้, โครงการมิกซ์ยูสในพังงากับหัวหิน โดยจุนฟา เรียลเอสเตท ร่วมทุนกับชาญอิสระ ดีเวล็อปเมนท์ และล่าสุดกับการทุ่มทุนซื้อที่ดินเปล่าประมาณ 2,000 ไร่ ในจังหวัดฉะเชิงเทรา เพื่อพัฒนาเป็นที่อยู่อาศัยครบวงจรแบบมิกซ์ยูสภายใน 5 ปี เป็นต้น   โรงแรม เดิมมีการลงทุนจากชาวจีนด้วยการซื้ออพาร์ตเมนต์ แต่ปัจจุบันลงทุนขนาดใหญ่ขึ้นโดยหันมาพัฒนาเป็นโรงแรมเอง เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวจากประเทศเดียวกันที่เข้ามาเที่ยวในประเทศไทยปีละเกือบ 10 ล้านคน ซึ่งเป็นจำนวนสูงที่สุดเมื่อเทียบกับนักท่องเที่ยวชาติอื่นๆ เน้นตามเมืองท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยม มีการเดินทางสะดวก เช่น ชลบุรี เชียงใหม่ ภูเก็ต เป็นต้น   โรงงานอุตสาหกรรม ส่วนมากจะเป็นการซื้อที่ดินแล้วพัฒนาเป็นโรงงานอุตสาหกรรม หรือซื้อต่อจากที่มีอยู่แล้วในเขตพื้นที่รอยต่อกับกรุงเทพฯ กับจังหวัดที่เป็นแหล่งโรงงานอุตสาหกรรมอยู่แล้ว เช่น บริษัท ไฮดู เบสท์ กรุ๊ป จํากัด มีการ Take over โรงงานร้างในจังหวัดระยอง เพื่อนำมาพัฒนาเป็นนิคมอุตสาหกรรมและที่อยู่อาศัย อีกปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยกระตุ้นให้กลุ่มนักลงทุนชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนในเมืองไทยเพิ่มมากขึ้นคือ พ.ร.บ.ทรัพย์อ้างสิทธิ ที่เพิ่งผ่านการอนุมัติจากครม. เมื่อไม่นานมานี้ โดยเป็นการกำหนดให้มีทรัพย์อิงสิทธิ ซึ่งเป็นสิทธิ์ที่เกิดจากการทำสัญญาเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ เช่น ที่ดินมีโฉนด และห้องชุด ระหว่างเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ เรียกว่า “ผู้ให้ทรัพย์อิงสิทธิ์” สามารถทำสัญญาให้อีกคนหนึ่งที่เรียกกันว่า “ผู้ทรงทรัพย์อิงสิทธิ์” ใช้ประโยชน์ในอสังหาริมทรัพย์นั้นได้ในระยะเวลาไม่เกิน 30 ปี ไม่ว่าจะเป็นการขายสิทธิ์ โอน จำนอง เช่า สามารถดัดแปลง ต่อเติม สร้างสิ่งปลุกสร้างได้โดยไม่ต้องขออนุญาตจากผู้ให้ทรัพย์อิงสิทธิ์(ขึ้นอยู่กับสัญญา) และหาก “ผู้ทรงทรัพย์อิงสิทธิ์” เสียชีวิตก็สามารถตกทอดแก่ทายาทได้   ทั้งหมดนี้ส่งผลให้ในอนาคตจะมีชาวต่างชาติโดยเฉพาะชาวจีน-ญี่ปุ่น เข้ามาทำงาน อาศัยอยู่ในประเทศไทยเพิ่มขึ้น กลายเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เศรษฐกิจภาพรวมของประเทศไทยยังสามารถเติบโตไปได้ดี แต่ทั้งนี้ก็ต้องมองดูที่ปัจจัยอื่นควบคู่กันไปด้วย เช่น เศรษฐกิจ การเมือง กฏหมายเรื่องการถือครองกรรมสิทธิ์ของชาวต่างชาติ และข้อกำหนดในการนำเงินออกนอกประเทศสำหรับประเทศจีนด้วย    
ทาวน์โฮม ทางเลือกที่น่าสนใจของคนอยากมีบ้าน

ทาวน์โฮม ทางเลือกที่น่าสนใจของคนอยากมีบ้าน

หลายบทความของเราที่ผ่านมาจะเน้นพูดถึงเรื่องคอนโดมิเนียม เพราะถือเป็นเจ้าตลาดที่ได้รับความนิยมมากที่สุดสำหรับวงการอสังหาริมทรัพย์ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา และด้วยเป็นที่อยู่อาศัยที่สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมืองกรุงในแง่ของการเดินทางที่แข่งกันติดสถานีรถไฟฟ้าให้ได้มากที่สุด แต่อย่างที่ทราบกันดีว่ายิ่งติดรถไฟฟ้ามากเท่าไหร่ ราคาก็ยิ่งสูงขึ้นเป็นเงาตามตัวมากเท่านั้น ขณะเดียวกันหากมองกลับมาที่ทาวน์โฮมบ้าง เราจะพบว่ามีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ประมาณ 1.2 ล้านบาทเท่านั้น เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจไม่น้อยเลยใช่ไหมคะ ทาวน์โฮมหรือทาวน์เฮาส์ คือที่อยู่อาศัยที่มีส่วนของกำแพง, หลังคาติดกันเป็นแถวหลายหลังติดกัน มีพื้นที่ใช้สอยเฉลี่ย ตั้งแต่ 70 ตร.ม. สูงไม่เกิน 3 ชั้น ซึ่งพื้นที่ใช้สอยรวมแล้วมากกว่าคอนโดมิเนียมที่มีพื้นที่ใช้สอยเฉลี่ยเพียง 30 ตร.ม. แต่ยังเล็กกว่าบ้านเดี่ยว ที่สำคัญคือราคาถูกกว่าที่อยู่อาศัยแบบอื่นๆ โดยราคาเฉลี่ยปัจจุบันอยู่ที่ล้านต้นๆ เท่านั้น ทาวน์โฮมจึงกลายเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการมีพื้นที่อยู่อาศัยที่กว้างขวางมากกกว่าคอนโดมิเนียม เหมาะสำหรับการอยู่อาศัยกับครอบครัวขนาดเล็ก เพียงแต่ทำเลในปัจจุบันอาจจะยังเหมาะสำหรับผู้ที่มีรถยนต์ส่วนตัวมากกว่า แต่ในอนาคตหากรถไฟฟ้าในหลายๆ สายเปิดให้บริการเมื่อไหร่ ทาวน์โฮมที่  อยู่ห่างจากรถไฟฟ้าไม่เกิน 2-3 กิโลเมตร ก็เป็นอีกตลาดที่น่าจับตามองอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว ในระยะ 3 ปีที่ผ่านมา หลังจากราคาคอนโดมิเนียมเริ่มพุ่งสูงจนน่าตกใจ ส่วนบ้านเดี่ยวก็อยู่ในทำเลที่ห่างไกลรถไฟฟ้าอยู่มาก รวมถึงโครงการใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นล้วนเป็นโครงการในกลุ่มระดับลักชัวรี่ ตลาดทาวน์โฮมก็เริ่มกลับมาขยับกันอีกครั้ง เพราะราคาที่ถูกกว่ากันมาก และยังไม่มีการขยับขึ้นเท่าไรนัก ทำเลยังอยู่ในระยะที่เดินทางสะดวกสำหรับผู้มีรถยนต์ส่วนตัว อยู่ใกล้สิ่งอำนวยความสะดวก เช่น ห้างสรรพสินค้า ซุปเปอร์มาร์เก็ต โรงพยาบาล และทางด่วนที่สามารถเชื่อมต่อเข้าเมืองเป็นหลัก ในอนาคตก็อยู่ไม่ไกลจากรถไฟฟ้ามากนัก ทำให้หลายคนหันมามองที่อยู่อาศัยประเภททาวน์โฮมกันมากขึ้นโดยเฉพาะกลุ่มครอบครัวใหม่ ซึ่งแนวโน้มสำหรับตลาดทาวน์โฮมในปีนี้จะเติบโตขึ้น 10-15% มีมาร์เก็ตแชร์อยู่ที่ประมาณ 25% เพิ่มมากขึ้นจากปีที่แล้วที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดที่ 15-20% น้อยที่สุดในบรรดาตลาดที่อยู่อาศัย ทำเลยอดฮิตของทาวน์โฮมในปัจจุบันส่วนมากจะอยู่แถบชานเมืองกับปริมณฑลที่มีพื้นที่รวมหลายไร่ ราคาที่ดินยังไม่สูงมากนัก ส่งผลให้ราคาขายต่อหลังยังมีราคาที่หลายคนสามารถเอื้อมถึงประมาณตั้งแต่ 1-4 ล้านบาท โดยทำเลที่มีโครงการเกิดขึ้นสูงสุดที่ผ่านมา ได้แก่ กระทุ่มแบน-สามพราน สามารถเชื่อมต่อกับถนนพระราม 2 ถนนเพชรเกษม ที่เป็นอีกหนึ่งเส้นทางหลักระหว่างปริมณฑลฝั่งตะวันตกและเข้าตัวเมืองกรุงเทพฯ ทุ่งครุ-พระประแดง ย่านที่ในอนาคตจะมีรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ผ่าน และมีจุด Interchange กับรถไฟฟ้าสายสีอื่นๆ คือ สายสีแดงเข้มกับสายสีเขียว สถานีวงเวียนใหญ่, สายสีน้ำเงิน สถานีวังบูรพากับสถานีเตาปูน, สายสีส้ม สถานีผ่านฟ้า, สายสีแดงอ่อน สถานีสามเสนกับบางซ่อน และสายสีน้ำตาล สายสีชมพู สถานีศูนย์ราชการนนทบุรี ธนบุรี-ราษฎร์บูรณะ ย่านที่ใกล้กับรถไฟฟ้าสายสีม่วงเช่นกัน ลาดหลุมแก้ว ใกล้กับทางด่วนอุดรรัถยาที่ไปเชื่อมต่อเข้าสู่ตัวเมืองกับทางพิเศษศรีรัช รวมถึงรถไฟฟ้าสายสีแดงชานเมือง บางซื่อ-รังสิต ที่กำลังก่อสร้างอยู่ในขณะนี้ ดอนเมือง-สายไหม ย่านดอนเมืองใกล้กับทางยกระดับอุตราภิมุข และรถไฟฟ้าสายสีแดงชานเมือง บางซื่อ-รังสิต ส่วนย่านสายไหมจะอยู่ใกล้กับทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ และถนนกาญจนาภิเษก วงแหวนรอบนอกฝั่งตะวันออก อ่อนนุช-บางนา ใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายสำโรง-สมุทรปราการ ที่กำลังจะเปิดให้ใช้บริการปลายปีนี้ รวมถึงใกล้กับทางพิเศษบูรพาวิถี และทางพิเศษเฉลิมมหานคร สุวรรณภูมิ-บางเสาธง ใกล้กับแอร์พอร์ตลิงค์ในปัจจุบัน ถนนกาญจนาภิเษก วงแหวนรอบนอกฝั่งตะวันออก มอเตอร์เวย์กรุงเทพฯ-ชลบุรี และทางพิเศษบูรพาวิถี เชื่อว่าทาวน์โฮมจะเป็นคำตอบที่ใช่สำหรับใครหลายคน ด้วยความพอเหมาะพอดีที่มีอยู่ในตัว ทั้งราคา พื้นที่ใช้สอย ทำเล เป็นที่อยู่อาศัยที่ลงตัวสำหรับผู้มองหาเพื่ออยู่อาศัยเอง