Tag : SpecialScoop

144 ผลลัพธ์
คำถามที่รอคำตอบ “ไอดีโอ คิว พหล-สะพานควาย” ทำไมไม่ไปต่อ?

คำถามที่รอคำตอบ “ไอดีโอ คิว พหล-สะพานควาย” ทำไมไม่ไปต่อ?

วันนี้ (30 กรกฎาคม 2562) ในโลกออนไลน์กลุ่มคนที่สนใจในข่าวสารวงการอสังหาริมทรัพย์ ต่างสงสัยและแปลกใจกับข่าวที่มีการแชร์ข้อมูลกันจำนวนมาก ถึงการยุติแผนการพัฒนาโครงการ “ไอดีโอ คิว พหล-สะพานควาย” และมีการส่งจดหมายชี้แจงข้อเท็จจริงไปยังลูกค้าที่ซื้อมาก่อนหน้า  เพื่อเตรียมคืนเงินทั้งหมดให้กับลูกค้า เรียกว่า โครงการจะไม่ดำเนินการต่อตามแผนเดิมที่ได้วางไว้ ซึ่งสร้างความสงสัยและแปลกใจกับข่าวนี้เป็นอย่างมาก   เพราะก่อนหน้านี้บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ได้ส่งข่าวประชาสัมพันธ์ช่วงปลายเดือนพฤษภาคม 2562 แจ้งข่าวการเปิดขาย “ไอดีโอ คิว พหลฯ-สะพานควาย” ซึ่งเป็นโครงการแรกของปีนี้  ว่าได้รับผลตอบรับเป็นที่น่าพอใจ โดยสามารถทำยอดพรีเซล ในระยะเวลา 4 วัน (วันที่ 23-26 พฤษภาคม 2562) ตั้งแต่ช่วงการจองผ่านช่องทางออนไลน์ “Ananda Online Booking” ผ่านทาง website www.ananda.co.th  รวมกับงาน Pre-Sales ในวันที่ 25-26 พฤษภาคม 2562 ที่สำนักงานขายโครงการไอดีโอ คิว พหลฯ-สะพานควาย รวมทั้งสิ้นจำนวน 154 ยูนิต เป็นมูลค่าประมาณ 1,120 ล้านบาท หรือคิดเป็น 39% ของจำนวนที่เปิดขาย (เปิดขายพรีเซล เพียงอาคารเดียว คือ อาคารเอ ซึ่งมีจำนวนทั้งสิ้น 396 ยูนิต) ส่งจดหมายชี้แจง เหตุไม่ไปต่อ ช่วงเย็นของวันเดียวกัน ทางไอดีโอ ได้ส่ง Company Statement ชี้แจงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเนื้อหาระบุว่า “ตามที่บริษัทได้มีการเปิดตัวพร้อมเปิดให้มีการจองซื้อห้องชุดในโครงการไอดีโอ คิว พหล–สะพานควายในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา ด้วยโครงการตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพสูง พร้อมความสะดวกสบายในการเดินทางซึ่งสามารถเลือกการเดินทางได้หลากหลายรูปแบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการอยู่ติดกับรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีสะพานควายเพียง 0 เมตรนั้น ทั้งนี้ เมื่อบริษัทได้เปิดให้มีการจองซื้อมาระยะหนึ่ง จึงได้ทราบว่ายังมีกลุ่มลูกค้าอีกเป็นจำนวนมากที่มีความสนใจและต้องการเข้าถึงโครงการดังกล่าวเช่นกัน บริษัทจึงเห็นสมควรให้มีการพิจารณาปรับรูปแบบและราคาของโครงการให้มีความเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่มากยิ่งขึ้น โดยคาดว่าจะมีการเปิดตัวโครงการอีกครั้งในช่วงต้นปี 2563"​   โดย Company Statement มีนาย สุเมธ รัตนศรีกูล กรรมการผู้จัดการ ธุรกิจคอนโดมิเนียมแอชตัน ไอดีโอ คิว และ เอลลิโอ เป็นผู้ลงนามในหนังสือแจ้งดังกล่าว ไอดีโอ คิว พหล-สะพานควาย โปรเจ็กต์ 10,000 ล้าน สำหรับโครงการ ไอดีโอ คิว พหลฯ-สะพานควาย ตั้งอยู่ติดกับรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีสะพานควาย (0 เมตร) บนที่ดินขนาดประมาณ 6 ไร่  มีจำนวนห้องพักอาศัยทั้งหมด 1,114 ห้อง มูลค่าโครงการประมาณ 10,000 ล้านบาท ราคาเริ่มต้น 5.5ล้านบาท  เป็นโครงการ High Rise สูง 39 ชั้น แบ่งเป็น 3 อาคาร อาคารเอ มีจำนวนห้อง 396 ห้อง อาคารบี มีจำนวนห้อง 287 ห้อง และอาคารซี มีจำนวนห้อง 431 ห้อง ทั้งยังมีร้านค้าปลีก 5 ร้าน จุดเด่นของโครงการ คือ ติดรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีสะพานควาย โดยมีคอนเซ็ปต์ในการพัฒนามาจาก Urban - Human - Nature (เมือง - คน -ธรรมชาติ) Urban - คือการเชื่อมต่อ 0 เมตรจากรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีสะพานควาย Human –  คือการเป็นโครงการที่ให้ความสำคัญเกี่ยวกับสุขภาพร่างกายของผู้อยู่อาศัย โดยจัดให้มีสิ่งอำนวยความสะดวก ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่สิ่งอำนวยความสะดวกประจำโครงการ รูปลักษณ์โครงการ หรือสังคมของผู้พักอาศัย ที่มุ่งเน้นถึงสุขภาพที่ดีของผู้อยู่อาศัย Nature – คือการผสมผสานธรรมชาติเข้าไปในรูปลักษณ์การดีไซน์ของตัวตึก ข้อมูลโครงการ  โดยในช่วงที่เปิดลงทะเบียนเพื่อจองผ่านช่องทางออนไลน์ “Ananda Online Booking”  ในวันที่ 23 พฤษภาคม 2562 ตั้งแต่เวลา 10.00 – 13.00 น. ได้จัดโปรโมชั่นพิเศษทั้งราคาพิเศษ และส่วนลดพิเศษ 10% จำวน 95 ยูนิต ที่นำมาเปิดขายออนไลน์ และได้จัดงาน Pre-Sales ในวันที่ 25-26 พฤษภาคม  2562 ตั้งแต่เวลา 09.00 – 18.00 น  ที่สำนักงานขายโครงการไอดีโอ คิว พหลฯ-สะพานควาย พร้อมรับส่วนลด 7%* (*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด) บทสรุปของ ไอดีโอ คิว พหล-สะพานควาย คือ 1.การยุติการขาย 2.เตรียมปรับแบบใหม่ 3.ปรับราคาขายใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย 4.เตรียมเปิดตัวขายใหม่อีกครั้ง ในช่วงต้นปี 2563 5.คืนเงินให้กับลูกค้าที่ซื้อไปก่อนหน้าทั้งหมด   ส่วนคำถามและข้อสงสัยอื่นๆ ยังไม่ได้รับคำตอบจากบมจ.อนันดาฯ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องยอดขายจริงว่าขายไปเท่าไรแล้ว ลูกค้าเก่าที่ยังสนใจจะซื้อโครงการในทำเลนี้ จะได้รับสิทธิประโยชน์อย่างไร รวมถึงเงินที่จ่ายไปแล้วได้รับดอกเบี้ยชดเชยเพิ่มเติมหรือไม่  ราคาขายใหม่จะถูกหรือแพงกว่าเดิม แบรนด์จะเปลี่ยนไปหรือไม่ และข้อสงสัยที่รอคำตอบจากฝ่ายบริหารของไอดีโอ โครงการ ไอดีโอ อื่นๆ ideo ข่าวอื่นๆ จาก ANANDA อนันดาฯ จับมือ ช้อปปี้ เปิดเกมรุกบุกตลาดอีคอมเมิร์ซกับดีลที่ดีที่สุด อนันดาฯ ยึดเบอร์ 1 คอนโดติดรถไฟฟ้า ลุยเปิด 38,000ล้าน อนันดาฯโชว์กำไรโต 61% แม้รายได้หดตัวเหตุเพราะเน้นโปรเจ็กต์ร่วมทุน
เปิดประสบการณ์ช้อปปิ้งในยุค 4.0 กับ “แม็คโคร ดิจิทัล สโตร์” แห่งแรกของไทย

เปิดประสบการณ์ช้อปปิ้งในยุค 4.0 กับ “แม็คโคร ดิจิทัล สโตร์” แห่งแรกของไทย

ในยุคดิจิทัล 4.0 ที่ทุกวันนี้ผู้บริโภคนำเอาดิจิทัลเข้ามาอยู่ในวิถีชีวิต ทำอะไรก็ผ่านสมาร์ทโฟน เพื่อทำให้ชีวิตง่ายขึ้น ไม่ว่าจะติดต่อสื่อสารหรือจับจ่ายใช้สอย ทำได้ง่ายแค่นิ้วสัมผัสหน้าจอ ส่งผลให้บรรดาผู้ประกอบการต้องปรับตัวให้ทันกับพฤติกรรมของคนยุคนี้ที่เปลี่ยนแปลงไป “แม็คโคร” แม้จะเป็นธุรกิจค้าส่ง ซึ่งทำการค้ากับบรรดาพ่อค้าแม่ค้า เจ้าของธุรกิจร้านค้า หรือผู้ประกอบการต่างๆ ก็ต้องปรับตัวด้วยเช่นกัน เพราะกลุ่มผู้ประกอกบการไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ต่างก็นำเอาระบบดิจิทัลเข้ามาเป็นตัวช่วยด้วยกันทั้งนั้น ที่สำคัญผู้ประกอบการเหล่านี้ก็ต้องการความสะดวกและรวดเร็ว ในการซื้อสินค้าไม่ว่าจะมาช้อปปิ้งที่สาขาหรือจะสั่งซื้อทางออนไลน์ก็ตาม บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) เปิดตัว "แม็คโคร ดิจิทัล สโตร์" แห่งแรก สาขาลาดกระบัง ต้นแบบห้างค้าส่งอัจฉริยะ โมเดลฟูดเซอร์วิส นำปัญญาประดิษฐ์(AI) เชื่อมต่อพนักงาน+คู่ค้า+ลูกค้า ด้วยงบลงทุน 200 ล้านบาท แบ่งเป็นงบลงทุนด้านเทคโนโลยีและดิจิทัล 26 ล้านบาท  พัฒนาสโตร์ขนาดพื้นที่รวม 6,700 ตารางเมตร มีพื้นที่ขาย 1,900 ตารางเมตร ซึ่งเติมเต็มด้วยอุปกรณ์เทคโนโลยีและดิจิทัล เป้าหมายของขยายสาขาดิจิทัล สโตร์ “แม็คโคร” ต้องารสร้างผลสัมฤทธิ์ 4 ด้าน ทั้งประสิทธิภาพการทำงาน การบริการที่ดีขึ้น ประหยัดพลังงาน ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เสริมประสิทธิภาพลดปัญหาสต็อกขาด คิวยาว ควบคุมคุณภาพสินค้าได้ดีขึ้น สู่การเติบโตอย่างยั่งยืน ตอบโจทย์ผู้ประกอบการยุคใหม่ โดยการนำเอาเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตออฟธิงค์ (IoT) มาใช้ นางศิริพร เดชสิงห์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานการสื่อสารองค์กร บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า  แม็คโคร ดิจิทัล สโตร์  เป็นร้านค้าแบบฟูดเซอร์วิส ที่นำเทคโนโลยีเข้ามาต่อยอด ทำให้เกิดประโยชน์กับธุรกิจ 4 ด้าน นั่นคือ บริการลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพของการบริหารจัดการในสาขา ประหยัดพลังงานในระยะยาว และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สร้างประสบการณ์ความพึงพอใจรูปแบบใหม่ที่ตอบโจทย์ลูกค้าผู้ประกอบการยุคดิจิทัล ให้สะดวก รวดเร็ว และแม่นยำ “แม็คโคร ดิจิทัล สโตร์ สาขาลดกระบัง ออกแบบและวางระบบด้วยการนำเอาเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เพื่อบริหารจัดการภายในร้าน และการให้บริการต่างๆ ตั้งแต่จุดรับชำระเงิน ชั้นวางสินค้า การบริหารจัดการสินค้าคงคลังทั้งหน้าร้านและหลังร้าน การตรวจเช็คสินค้าราคา การสั่งสินค้าผ่าน  อีคอมเมิร์ซ  การใช้ไฟฟ้าและการประหยัดพลังงานภายในสาขา ฯลฯ  โดยติดตามผ่านการแสดงหน้าจอบนแผงตรวจสอบและควบคุมการปฏิบัติงาน” นางศิริพร กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาจะพบว่าปัญหากลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการ เข้ามาซื้อสินค้าแล้วได้สินค้าไม่ครบ รวมถึงใช้เวลานานในการชำระเงิน เนื่องจากมีผู้เข้ามาซื้อสินค้าจำนวนมาก ต้องต่อแถวเพื่อชำระเงินเป็นเวลานาน อุปกรณ์เทคโนโลยีและดิจิทัลที่นำเข้ามาจะช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆ เหล่านั้น  โดยคาดหวังว่าจะช่วยทำให้แม็คโครมียอดขายเพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับสาขาปกติ เพราะการเพิ่มประสิทธิภาพด้านการขายและบริการ จะลดโอกาสการขาดสต็อก และลดการสูญเสียโอกาสในการขาย ขน 23 อุปกรณ์ดิจิทัลรองรับลูกค้า 4.0 แม็คโคร ดิจิทัล สโตร์ สาขาลาดกระบัง ได้นำเอาอุปกรณ์เทคโนโลยีและดิจิทัล มาใช้เสริมสร้างประสบการณ์ซื้อสินค้า ของลูกค้าในยุค 4.0 และเพิ่มประสิทธิภาพต่างๆ มากถึง 23 อุปกรณ์ นับตั้งแต่ทางเข้าห้างไปจนถึงขันตอนการจ่ายเงิน อาทิ สื่อโฆษณาดิจิทัล มีทั้งจอแอลอีดี ซึ่งใช้แทนสื่อโฆษณาในรูปแบบเดิมที่เป็นกระดาษ เพื่อเป็นสื่อโฆษณาบอกข้อมูลโปรโมชั่นสินค้า  และข้อมูลต่างๆ  ป้ายโปรโมชั่นอัจฉริยะ  บอกทั้งราคา สแกนได้ทั้งคิวอาร์โค้ทตรวจสอบย้อนกลับ แทรกหนังโฆษณา โดยมีป้ายโฆษณาดิจิทัลในจุดสำคัญๆ  ตั้งแต่ทางเข้าห้างไปจนถึงจุดชำระเงิน ป้ายราคาอัจฉริยะ ESL (Electronic Shelf Label) ถูกนำมาใช้แทนป้ายรูปแบบกระดาษที่เคยใช้มาตลอด 30 ปี โดยจะมีการติดตั้งป้ายกระดาษอิเล็กทรอนิกส์ LED หลากหลายขนาด จำนวนกว่า 8,000 ชิ้น ซึ่งมีข้อดี คือ สามารถเปลี่ยนแปลงราคาได้ภายใน 40 วินาที จากการควบคุมสั่งงานผ่านของส่วนกลาง เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงราคาสินค้า หรือจัดทำราคาโปรโมชั่น จากเดิมต้องให้พนักงานเดินเปลี่ยนป้ายราคาตามจุดต่างจำหน่ายสินค้านับ 1,000 จุด  นอกจากนี้ ป้ายอัจฉริยะยังเชื่อมโยงข้อมูลของสินค้า รายละเอียดต่างๆ กล้อง AI อัจฉริยะ สำหรับการตรวจสอบปริมาณสินค้าบนชั้นวาง เมื่อสินค้าถูกจำหน่ายออกไป พนักงานจะเข้ามาเติมสินค้าบนชั้นได้ทันที  โดยกล้องสามารถกำหนดเวลาการตรวจสอบข้อมูลสินค้าได้ทั้งแบบเรียลไทม์หรือตั้งเวลา เพื่อแจ้งเตือนการเติมสินค้าได้ทันความต้องการ เบื้องต้นมีการติดตั้งกล้องจำนวน 25 ตัวในแผนกสินค้าที่ขายดี ครอบคลุมพื้นที่ขายประมาณ 20% คิว บัสเตอร์ (Queue Buster) เข้ามาช่วยทำให้การชำระเงินสะดวกรวดเร็ว  เพราะจะมีพนักงานที่ติดเครื่องหมาย Q Buster ไว้ที่แขนเสื้อ มาช่วยสแกนบาร์โค้ดของสินค้า พร้อมบันทึกรายการสินค้าลงในหมายเลขบัตรสมาชิก หากเห็นแถวชำระเงินต่อกันยาว เมื่อถึงคิวชำระเงินแคชเชียร์เพียงสแกนบัตรสมาชิกก็คิดเงินได้ทันที เครื่องคิดเงินสองหน้าจอ (Double Screen Cashier) แสดงรายการสินค้าที่ถูกสแกนไปพร้อมๆ กับพนักงานแคชเชียร์ จะได้ทำการตรวจเช็คความถูกต้องไปพร้อมกัน  พร้อมกับมีช่องแสดง QR code สำหรับชำระเงิน ชำระเงินด้วยการสแกน QR Code (QR payment)  ก้าวสู่สังคมไร้เงินสดไปกับการชำระเงินด้วยการสแกน QR Code เพื่อชำระเงิน ง่าย สะดวก รวดเร็ว และแม่นยำ หน้าจอ Eco-Friendly แจ้งสถานะการใช้พลังงานจากโซล่า พาเนล บนหลังคา รวมถึงบอกจำนวนการใช้พลังงานแต่ละจุด  อาทิ เครื่องทำความเย็น หลอดไฟ  เพื่อเฝ้าระวังและป้องกันการใช้กระแสไฟเกินค่ามาตรฐาน (FTE)  ทำให้บริหารจัดการพลังงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เป็นสาขาที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 798,000 กิโลกรัมต่อปีของคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า แอลอีดี อีคอมเมิร์ซ เมื่อลูกค้าต้องการซื้อสินค้าที่มีขายบนระบบออนไลน์ (makroclick)  สาขานี้มีจอแอลอีดี อีคอมเมิร์ซ ดิจิทัลคีออสหน้าทางเข้า แสดงรายการ - สั่งสินค้าที่ไม่มีในสาขาผ่านระบบ e-commerce ได้เลย Picking Solution ระบบการส่งของที่รวดเร็วขึ้น ไม่ว่าจะซื้อสินค้าที่สาขา หรือโทรศัพท์สั่งผ่าน makroclick พนักงานจะรับคำสั่งซื้อผ่านเครื่องมือที่เรียกว่า Handheld  จากนั้นจะไปจัดของตามรายการ ง่าย ประหยัดเวลา และรักษ์โลก วิธีนี้ลดใบคำสั่งซื้อที่เป็นกระดาษได้ถึง 600,000 แผ่นต่อปี หรือลดการตัดต้นไม้ได้ถึง 300 ต้นต่อปี แผงพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Panel) 800 ตารางเมตร ที่สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ถึงมาใช้งานได้ถึง 35% ของปริมาณการใช้ไฟฟ้าในแต่ละเดือน หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 150,000 บาท ที่ช่วยลดค่าไฟฟ้าที่ต้องจ่ายแต่ละเดือนกว่า 500,000 ตุ๊กตุ๊กไฟฟ้าแม็คโคร  ตุ๊กตุ๊กพลังงานไฟฟ้า ส่งเสริมการขนส่งแบบประหยัดพลังงาน พร้อมติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ขนาดพอเหมาะเพื่อนำพลังงานมาใช้ในห้องควบคุมอุณหภูมิ สำหรับส่งสินค้าในบริเวณใกล้เคียง จัดส่งได้ทั้งอาหารสด สินค้าอุปโภคและบริโภค รถตุ๊กตุ๊กไฟฟ้าสามารถวิ่งได้ระยะทาง 100 กิโลเมตรเมื่อชาร์ตไฟฟ้า 1 คืน  การส่งสินค้าด้วยรถตุ๊กตุ๊กช่วยทำให้ต้นทุนค่าขนส่งสินค้าถูกลงเหลือเพียงกิโลเมตรละ 40 สตางค์  ทำให้สามารถเข้ามาตอบสนองการจัดส่งสินค้าในรูปแบบเดลิเวอรี่ได้ภายใน 1 วัน (Sam Day) จากเดิมการจัดส่งสินค้าต้องใช้ระยะเวลา 1 วัน จุดชาร์ตไฟสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า บริเวณลานจอดรถเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าที่หันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า เพื่อประหยัดพลังงานมากขึ้น ระบบทำความเย็นอัจฉริยะ(Water Loop Heat Exchange)  ลดการใช้พลังงานจากระบบทำความเย็นขนาดใหญ่ ด้วยการกระจายการทำงานเป็นชุดอิสระ ควบคุม และสั่งการผ่านระบบส่วนกลางที่สามารถเข้าถึงได้ผ่านแท็บเลท ทำให้การปฏิบัติงานของพนักงานเป็นไปด้วยความสะดวก และแม่นยำมากยิ่งขึ้น  
เจ.เอส.พี. ล้างภาพ “สำเพ็ง” สู่ Top5 ผู้นำพัฒนาตลาดบ้านแนวราบ

เจ.เอส.พี. ล้างภาพ “สำเพ็ง” สู่ Top5 ผู้นำพัฒนาตลาดบ้านแนวราบ

ช่วงเดือนมีนาคม 2561 ที่ผ่านมา ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของบริษัท เจ.เอส.พี. พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน)  ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์หลากหลายรูปแบบ โครงการสร้างชื่อและเป็นที่รู้จักในวงกว้าง น่าจะเป็นโครงการสำเพ็ง 2 เพราะมีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นใหญ่ จากนายทะนงศักดิ์ มโนธรรมรักษา ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานกรรมการบริหาร ได้ขายหุ้นทั้งหมดให้แก่ นายลิขิต ลือสกุลกิจไพศาล หลังจากนั้นได้มีการปรับการบริหารงาน โดยนายลิขิต เข้าดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารแทน  และล่าสุดในช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา บริษัทเสริมทีมบริหารงานภายใน ด้วยการเสริมทีมบริหารการตลาดมาจากบริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด(มหาชน) หรือ PS และทีมการเงินจากบริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ CI เพื่อสร้างให้ธุรกิจมีการเติบโตอีกครั้ง จากก่อนหน้าที่บริษัทชะลอการพัฒนาโครงการ และการทำตลาดในช่วง 1-2 ปีก่อนหน้านี้   นายสงกรานต์ แสงอร่ามรุ่งโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการตลาดและการขาย บริษัท เจ.เอส.พี.พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน)  หนึ่งในทีมผู้บริหารชุดใหม่ ที่เข้ามาบริหารงานเพื่อสร้างการเติบโต เปิดเผยว่า  โจทย์สำคัญที่ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้มอบหมายให้กับทีมบริหารชุดใหม่ ในช่วงปีแรกมี 2 เรื่องสำคัญ คือ การระบายสต็อกสินค้าเดิม และการปรับภาพลักษณ์ สร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก เพื่อผลักดันให้บริษัทเติบโตต่อไปในอนาคต   “ซีอีโอเป็นนักลงทุนที่มองหาโอกาสจากธุรกิจ ที่สามารถสร้างการเติบโตและมีผลตอบแทนเพิ่มขึ้น ก่อนจะเข้ามาลงทุนได้ทำการศึกษาบริษัทมาเป็นอย่างดี เห็นว่ามีรายได้ 3,000-4,000 ล้านบาท ในช่วงปี 2559-2560 หากสามารถพัฒนาโครงการต่อเนื่อง รายได้ก็น่าจะเติบโตต่อเนื่อง และบริษัทยังมีจุดแข็งจาการมีที่ดินสะสมไว้จำนวนมาก ซึ่งมีต้นทุนราคาที่ดินต่ำ หลายแปลงราคาที่ซื้อมาถูกกว่าเท่าตัวเมื่อเทียบกับราคาซื้อขายในปัจจุบัน”   เดินหน้าละบายสต็อกเสริมเงินทุนหมุนเวียน   แม้ว่าก่อนหน้านี้บริษัทจะไม่ได้พัฒนาโครงการใหม่ออกมา แต่โครงการเดิมที่พัฒนาไว้แล้ว ยังมีสินค้ารอการขายอยู่จำนวนหนึ่ง ที่ผู้บริหารชุดปัจจุบันจะต้องเร่งระบายสต็อก เพื่อสร้างรายได้มาเป็นเงินทุนในการพัฒนาโครงการต่อเนื่อง ปัจจุบันบริษัทมีห้องชุดในโครงการคอนโดมิเนียมมูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท จำนวน 900 ยูนิต ในโครงการไมอามี่ บางปู และโครงการ J Condo สาทร-กัลปพฤกษ์ ที่ยังเหลือขายอีก 600 ยูนิต ซึ่งคาดว่าจะสามารถปิดการขายได้ภายในปี 2563     สำหรับกลยุทธ์การขาย จะเน้นการโฆษณาประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้ เนื่องจากมองว่าสินค้ามีทั้งคุณภาพและราคาที่คุ้มค่า  เพราะเป็นต้นทุนเดิมตั้งแต่เริ่มการพัฒนาเมื่อช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา และบริษัทไม่ได้ทำการปรับราคาเพิ่มขึ้น จึงทำให้มีความสามารถในการแข่งขัน ปัจจุบันยดขายจึงเพิ่มมากขึ้นกว่าก่อนหน้า โดยมียอดขายเฉลี่ยเดือนละ 300  ล้านบาท จากก่อนหน้ามียอดขายเฉลี่ยเดือนละ 100 ล้านบาท  โดยบริษัทวางแผนใช้งบประมาณในการตลาดประมาณ​10-20 ล้านบาท   ปั้นโปรเจ็ตก์สร้างยอดปีละ 6,000 ล้าน ขึ้นท็อป5   เป้าหมายสำคัญในระยะ 2-3 ปีนับจากนี้ เจ.เอส.พี.ฯ ต้องการก้าวขึ้นเป็น 1 ใน 5 ของผู้ประกอบการที่พัฒนาโครงการแนวราบระดับราคา 2-3 ล้านบาท เนื่องจากมองว่าเป็นตลาดที่มีความต้องการอย่างแท้จริง มีขนาดตลาดใหญ่ และเป็นตลาดของคนส่วนใหญ่ที่ต้องการมีที่อยู่อาศัย จุดแข็งของการจะผลักดันไปสู่เป้าหมายดังกล่าว คือ การมีที่ดินเปล่าสะสมไว้ถึง 10 แปลง อยู่ในโลเกชั่นติดถนน ที่สำคัญต้นทุนที่ดินต่ำเมื่อเทียบกับคู่แข่ง คิดเป็นมูลค่าทางบัญชีกว่า 2,500 ล้านบาท จึงมีความเป็นไปได้ในการพัฒนาสินค้าออกมาขายในราคาดังกล่าว ซึ่งคาดว่าแต่ละปีจะมีการพัฒนาโครงการออกมาขาย คิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 6,000-10,000 ล้านบาท เพื่อสร้างยอดขายได้มากกว่า 6,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันผู้นำอันดับ 5 ในโครงการแนวราบมียอดขายอยู่ระดับ 6,000 ล้านบาท หากบริษัทสามารถสร้างยอดขายได้มากกว่า ก็จะเข้าอยู่ใน Top 5 ดังกล่าวได้   สำหรับการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลัง 2562 นี้ ได้วางแผนพัฒนาโครงการแนวราบ ประเภทบ้านแฝด 1 โครงการ ทำเลย่านบางบัวทอง มูลค่าโครงการกว่า 800 ล้านบาท  ส่วนในปี 2563 เตรียมเปิดแนวราบเพิ่มอีก 7 โครงการ ได้แก่ ทำเลโครงการบางพระ, โครงการแพรกษา, โครงการบางใหญ่จำนวน 2 โครงการ, โครงการบางใหญ่ (2), โครงการติวานนท์, และโครงการบางบัวทอง ซึ่งมูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า 6,000 ล้านบาท  ซึ่งปีนี้บริษัทตั้งเป้ายอดขายไว้ 4,068 ล้านบาท ยอดโอนกรรมสิทธิ์ 3,215 ล้นบาท ปัจจุบันมียอดขายรอรับรู้รายได้ 600 ล้านบาท  ส่วนปี 2563 วางเป้ารายได้รวมกว่า 4,500 ล้านบาท โดยหวังว่าในอนาคตแต่ละปีบริษัทจะเติบโตประมาณ 15%   รีแบรนด์ล้างภาพ “สำเพ็ง2” สู่ความเป็นโมเดิร์น   นอกเหนือจากการปรับโครงสร้างการบริหารภายใน ด้วยการเสิรมทีมบริหารการตลาดมาจากบริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด(มหาชน) หรือPS และทีมการเงินจากบริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือCI เข้ามาแล้ว  ภารกิจสำคัญของบริษัท คือ การปรับภาพลักษณ์ให้บริษัทมีความทันสมัย เป็นที่รู้จักในวงกว้าง เพื่อรองรับการขยายธุรกิจในการจับกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ วัยทำงาน อายุระหว่าง 30-40 ปี เนื่องจากการรับรู้ของคนส่วนใหญ่จะรู้จักโครงการสำเพ็ง 2 มากกว่าจะรู้จัก บริษัท เจ.เอส.พี.ฯ  ประมาณเดือนกันยายนที่จะถึงจึงได้เตรียมวางแผนปรับภาพลักษณ์องค์กรใหม่หมด ไม่ว่าจะเป็นโลโก้ สินค้าที่จะมีแบบบ้านใหม่ การบริการ และทัชพอยท์ต่างๆ   “คนยังไม่ค่อยรู้จักบริษัท จะรู้จักแต่โครงการสำเพ็ง 2 บริษัทจึงต้องปรับภาพลักษณ์ใหม่ ใส่ความโมเดิร์น การเสริมการบริการ ปรับแบรนด์วิชั่นใหม่ เราไม่ได้ขายบ้านแต่เราขายความสุข จึงต้องมีการเสริมทั้งบริการและคุณภาพสินค้า รวมถึงองค์ประกอบต่างๆ โดยรวม และจะขยับการพัฒนาโครงการในตลาดพรีเมียมเพิ่มขึ้นจากเดิมอยู่ในตลาดแมสเป็นหลัก คือ การพัฒนาโครงการบ้านแฝดในระดับ 7-8 ล้านบาท ในย่านบางใหญ่ ซึ่งก่อนหน้านี้บริษัทพัฒนาบ้านออกขายแพงสุดราคาหลังละ 6 ล้านบาทเท่านั้น”   สิ่งต่างๆ ที่ทีมผู้บริหารใหม่ต้องทำนับจากนี้ คงถือว่าเป็นความท้าทายในการขับเคลื่อนธุรกิจ โดยเฉพาะการทำให้ทีมงานบริษัทคิดและเห็นไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งในอนาคตยังมีเป้าหมายสำคัญต้องบรรลุ ไม่ว่าจะเป็นการทำยอดขายรวม 19,000 ล้านบาท ภายในระยะเวลา 3 ปี ซึ่งต้องรอดูผลงานของทีมผู้บริหารชุดนี้ว่าจะทำได้ตามที่หวังไว้หรือไม่  
4 เหตุผลที่ “ออริจิ้น” เปิดแบรนด์ใหม่จับตลาด Gen Z

4 เหตุผลที่ “ออริจิ้น” เปิดแบรนด์ใหม่จับตลาด Gen Z

คีย์ซัคเซสของ “ออริจิ้น” หรือ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (ORI) ภายใต้การบริหารงานของ “พีระพงศ์ จรูญเอก”  ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้ง ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมานั้น คือเรื่องความเข้าใจในความต้องการของลูกค้า รวมถึงพนักงานและพันธมิตรทางธุรกิจ ที่ร่วมกันพัฒนาธุรกิจได้ตอบโจทย์  ตรงใจกลุ่มลูกค้าต่างๆ ในช่วงแรกๆ ออริจิ้นมุ่งจับตลาดระดับกลางไปจนถึงบน ภายใต้แบรนด์คอนโดมิเนียมหลัก ได้แก่ แบรนด์ Kensington จับตลาดระดับกลาง แบรนด์ Notting Hill จับตลาดระดับกลาง-กลางบน แบรนด์ Knightsbridge จับตลาดกลาง-บน และแบรนด์ Park จับตลาดบน  แบรนด์โครงการแนวราบ ใช้แบรนด์ Britania ที่จับตลาดระดับบน   แต่ดูเหมือนว่าการทำธุรกิจในปี 2562 โจทย์ทางการตลาดได้เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งเป็นผลกระทบจากมาตรการสินเชื่อต่อหลักประกัน (LTV) สงครามการค้าโลกระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน  ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมทั้งในและต่างประเทศ สัญญาณเชิงลบเหล่านี้ทางออริจิ้นมองเห็นมาตั้งแต่ช่วงกลางปี 2561 แล้ว และวางแผนปรับตัวกับการมองหาโอกาสทางการตลาดใหม่ๆ เพื่อเข้ามาเสริมกับกลุ่มตลาดเดิมที่น่าจะได้รับผลกระทบ  โดยสิ่งที่ออริจิ้นได้เตรียมแผนไว้ คือ การเปิดตัวแบรนด์คอนโดมิเนียมใหม่ “ดิ ออริจิ้น” (The Origin)  ซึ่งจับตลาดกลุ่มเป้าหมาย First Jobber หรือผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นทำงาน     4 เหตุผลทำไมต้อง First Jobber?   1.กลุ่ม First Jobber ถือเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่อายุ 23-28 ปี หรือ กลุ่ม Gen Z ซึ่งมีไลฟ์สไตล์เป็นของตนเอง โดยเฉพาะเรื่องการใช้ชีวิต ที่นิยมอยู่อาศัยในคอนโดมิเนียม และชอบเดินทางด้วยรถสาธารณะหรือรถไฟฟ้า กลุ่มคนเหล่านี้ไม่นิยมซื้อรถ เพราะนอกจากจะเป็นภาระแล้วยังไม่สะดวกต่อการใช้ชีวิตที่เร่งรีบ  การอยู่อาศัยในคอนโดฯ  ทำเลใกล้รถไฟฟ้าหรือระบบขนส่งมวลชลที่สะดวก จึงเป็นทางเลือกอันดับต้นๆ ของคนกลุ่มนี้   2.กลุ่มคนที่เพิ่งเริ่มต้นทำงาน จะไม่มีภาระจากหนี้สิ้นหรือค่าใช้จ่ายอื่นๆ เพิ่มมากนัก โดยเฉพาะเป็นกลุ่มคนที่เติบโตมาในยุคปัจจุบันที่ธนาคารและสถาบันการเงิน เข้มงวดการปล่อยสินเชื่อบุคคลและสินเชื่อสาธารณูปโภค ทำให้ไม่มีภาระหนี้สินจากสิ่งต่างๆ เหล่านั้น  นอกจากไม่มีหนี้สินมากเท่ากับกลุ่มคน Gen อื่นๆ แล้ว กลุ่ม Gen Z ในอีก 1-2 ปีข้างหน้า ยังจะมีโอกาสเติบโตในหน้าที่การงานและรายได้ที่จะเพิ่มขึ้น ทำให้มีความสามารถในการซื้อคอนโดฯ เพื่ออยู่อาศัยไม่ได้มากขึ้นด้วย   3.ขณะที่หากมองภาพรวมการแข่งขันของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ จะพบว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่ มุ่งเน้นการปรับพอร์ตธุรกิจของตนเอง โดยไปจับตลาดบ้านแนวราบมากขึ้น ด้วยความกังวลผลกระทบต่อมาตรการ LTV ที่บังคับใช้ และมองว่าตลาดบ้านแนวราบเป็นตลาดเรียลดีมานด์ที่แท้จริง ซึ่งเมื่อผู้ประกอบการหลายรายหันไปในตลาดบ้านแนวราบ เชื่อว่าการแข่งขันก็ต้องรุนแรงตามไปด้วย ออริจิ้นจึงเลือกมาจับตลาดคอนโดฯ ในกลุ่มเป้าหมายใหม่ดีกว่า   4.ภาวะตลาดโดยรวมที่ชะลอตัวลง โดยเฉพาะในกลุ่มตลาดระดับกลางถึงบน จากผลกระทบจากปัจจัยต่างๆ นับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ทำให้ภาพรวมตลาดอสังหาฯ​ ชะลอตัวลง 5-10% ซึ่งในปีนี้ออริจิ้นมุ่งเน้นจับตลาดล่าง ที่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ และตลาดระดับบนที่ถือว่ายังมีกำลังซื้อสูง ทำให้ยอดขายยังคงเติบโตได้โดยมียอดขายเฉลี่ย 70% ในทุกโครงการที่เปิดตัว ขณะที่ภาพรวมตลาดมียอดขายเฉลี่ย 40% ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วซึ่งมียอดขายเฉลี่ย 50%     เทคโนโลยี+บริการ ตอบโจทย์ Gen Z   เมื่อออริจิ้น เลือกกลุ่มเป้าหมายหลักทำตลาด คือ Gen Z  ซึ่งมองว่าเป็นตลาดมีโอกาสในปีนี้ และยังต่อเนื่องไปได้นับ 10 ปี จากไลฟ์สไตล์และเทรนด์การใช้ชีวิตของคนกลุ่มนี้  โจทย์ต่อมาที่ออริจิ้นทำคือ การพัฒนาโครงการเพื่อตอบโจทย์กับความต้องการของคน Gen Z   -เลือกทำเลเส้นทางรถไฟฟ้า ในราคาที่เอื้อมถึง   แผนการเปิดตัวแบรนด์ดิ ออริจิ้นจะยึดทำเลแนวรถไฟฟ้าทุกเส้นทาง  ในปีแรกเปิดตัวด้วยกัน 6 โครงการ ในทำเลสุขุมวิท รัชดา ลาดพร้าว รามอินทรา รามคำแหง และพหลโยธิน รวมมูลค่ากว่า 7,700 ล้านบาท  ซึ่งมีระดับราคาขายเฉลี่ย 70,000 บาทต่อตารางเมตร หรือราคาเฉลี่ย 1.2-1.5 ล้านบาท  ถือว่าเหมาะสมกับกำลังซื้อกลุ่ม Gen Z ที่มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 20,000 บาท เป็นกลุ่มซึ่งเดิมต้องเสียค่าเช่าห้อง ประมาณ 6,000 บาทต่อเดือนอยู่แล้ว   “ปัจจุบันราคาคอนโดฯ ตามรถไฟฟ้าไม่ต่ำกว่า 2.5 ล้านบาท เราทำราคาประมาณ​ล้านต้นๆ หรือ 1.29 ล้านบาท เป็นราคาย้อนไปเมื่อ 5 ปีก่อน ทั้งที่ต้นทุนที่ดินไม่ได้ต่างจากคู่แข่ง แต่เราซื้อตรงจากเจ้าของที่ดินและควบคุมต้นทุนการก่อสร้างได้ดี ปัจจุบันราคา 1.2-1.5 ล้านบาทตามแนวรถไฟฟ้าแทบไม่เห็น ถือเป็นบลูโอเชียนของเรา ทุกคนมาดู เห็นเราทำได้ดีเชื่อว่าก็คงทำตาม”   -4 ฟังก์ชั่นตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ Gen Z   แบรนด์ดิ ออริจิ้น เกิดจากความเข้าใจในลูกค้า รู้ว่าสิ่งใดที่ควรจะทำ และทำในสิ่งที่ตรงใจลูกค้า  การพัฒนาโครงการคอนโดฯ ภายใต้แบรนด์ดิ ออริจิ้น จึงเต็มไปด้วยเทคโนโลยีและบริการหลังการขายที่ตอบโจทย์ เพราะข้อมูลอินไซต์ของกลุ่ม Gen Z นั้น เป็นคนที่เกิดมาพร้อมกับความสะดวกสบาย แต่การใช้ชีวิตมีแนวทางและความคิดเป็นของตนเอง เห็นได้จากเทรนด์การออกมาประกอบอาชีพอิสระ หรือการเป็นเจ้าของกิจการต่างๆ เช่นการขายสินค้าออนไลน์ เป็นต้น     โครงการของดิ ออริจิ้น จึงออกแบบ 4 ฟังก์ชั่นและสิ่งอำนวยความสะดวก ตอบโจทย์กับกลุ่มคน Gen Z ได้แก่ 1.Smart Closet ออกแบบทุกพื้นที่ในห้องให้สามารถเก็บของได้เพิ่มขึ้น 2.Hotel Services on Demand เชื่อมโยงบริการช่างและพนักงานทำความสะอาด มาตรฐานระดับโรงแรม 3. 24hr Co-working Space ตอบโจทย์การทำงาน 24 ชั่วโมง ด้วยพื้นที่ส่วนกลางที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับการทำงาน และ4.Private Party Room พื้นที่ปาร์ตี้แบบเก็บเสียง และการปรับฟังก์ชั่นการใช้งานได้หลายรูปแบบ   นอกจากนี้ บริษัทยังได้จัดทำภาพยนตร์โฆษณาจำนวน 5 เรื่อง ได้แก่ ภาพยนตร์โฆษณาเรื่อง  “ชีวิตจริง101” ยินดีต้อนรับสู่โลกแห่งความจริง สะท้อนความเข้าใจต่อชีวิตของคนรุ่นใหม่ที่ต้องเผชิญเรื่องราวต่างๆ และต้องเริ่มรับผิดชอบตัวเอง และภาพยนตร์โฆษณาอีก 4 เรื่อง สะท้อนถึงฟังก์ชั่นและสิ่งอำนวยความสะดวกโดดเด่นที่จะมีอยู่ในโครงการคอนโดมิเนียมแบรนด์ ดิ ออริจิ้น ทุกโครงการ โดยได้ “ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์”  มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ภาพยนตร์โฆษณา 4 เรื่องหลัง   ในปีแรกนี้คาดว่าดิ ออริจิ้นจะทำยอดขายให้กับบริษัทได้ประมาณ​ 5,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 20% และในอนาคตอีก 4-5 ปีข้างหน้า คาดว่าจะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 40-50% ด้วย  
ผลสำรวจตลาดที่อยู่อาศัยภาคใต้ และภาคตะวันตก ครึ่งหลังปี 2561

ผลสำรวจตลาดที่อยู่อาศัยภาคใต้ และภาคตะวันตก ครึ่งหลังปี 2561

ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ได้จัดทำรายงานสรุปผลการสำรวจอุปทานและอุปสงค์ของโครงการที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างการขายในช่วงครึ่งหลังปี 2561 ภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดภูเก็ต ภาคตะวันตก ได้แก่ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และจังหวัดเพชรบุรี โดยนับเฉพาะโครงการที่มีหน่วยเหลือขายไม่ต่ำกว่า 6 ยูนิต   ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์กล่าวว่า โครงการที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างการขายในจังหวัดภูเก็ต มีจำนวน 210 โครงการ มียูนิตในผังของทุกโครงการรวมกัน 30,416 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 176,366 ล้านบาท มีหน่วยเหลือขายหรือเป็นอุปทานในตลาด 7,698 ยูนิต (25.3 % ของยูนิตในผังโครงการทั้งหมด) คิดเป็นมูลค่ายูนิตเหลือขาย 41,925 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร จำนวน 84 โครงการ มีจำนวนยูนิต 12,682 หน่วย มูลค่าโครงการรวม 56,417 ล้านบาท มียูนิตเหลือขายหรือเป็นอุปทานในตลาด 3,513 ยูนิต คิดเป็นมูลค่ายูนิตเหลือขาย 15,096 ล้านบาท โครงการคอนโดมิเนียม จำนวน 87 โครงการ มีจำนวนหน่วย 17,025 หน่วย มูลค่าโครงการรวม 85,239 ล้านบาท มียูนิตเหลือขายหรือเป็นอุปทานในตลาด 4,029 ยูนิต คิดเป็นมูลค่ายูนิตเหลือขาย 20,608 ล้านบาท และมีโครงการวิลล่าจำนวน 39 โครงการ มียูนิตในผังจำนวน 709 หน่วย มูลค่าโครงการรวม 34,710 ล้านบาท หน่วยเหลือขายหรือเป็นอุปทานในตลาด 156 ยูนิต คิดเป็นมูลค่าหน่วยเหลือขาย 6,220 ล้านบาท   ทั้งนี้ หน่วยเหลือขายโครงการบ้านจัดสรรและอาคารชุด จำนวน 7,542 หน่วย เป็นอาคารชุดมากที่สุด 53.4% ส่วนใหญ่อยู่ในระดับราคา 3–5  ล้านบาท รองลงมาเป็นทาวน์เฮ้าส์ ร้อยละ 21.5 ส่วนใหญ่อยู่ในระดับราคา 2-3 ล้านบาท เป็นบ้านแฝด 12.7% ส่วนใหญ่อยู่ในระดับราคา 3–5 ล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยว 10.7% ส่วนใหญ่อยู่ในระดับราคา 5–7.5 ล้านบาท ที่เหลือเป็นอาคารพาณิชย์และที่ดินเปล่า ตามลำดับ   ทำเลบ้านจัดสรรในจังหวัดภูเก็ตที่ขายดีมากที่สุด 5 อันดับแรก โดยดูจากสัดส่วนที่ขายได้ต่อหน่วยทั้งหมดในโครงการได้แก่ 1)ทำเลฉลอง-วิชิต ขายได้ 89.3% มูลค่าขายได้ 10,865 ล้านบาท 2)ทำเลหาดบางเทา-หาดสุรินทร์ ขายได้ 89.3%  มูลค่าที่ขายได้ 1,681 ล้านบาท 3)ทำเลตลาดใหญ่-ตลาดเหนือ ขายได้ 80.2%  มูลค่าที่ขายได้ 481 ล้านบาท 4)ทำเลในเมืองกะทู้ ขายได้ 78.1% มูลค่าที่ขายได้ 3,415 ล้านบาท 5)ทำเลหาดกะรน-หาดกะตะ ขายได้ 75.0% มูลค่าที่ขายได้ 160 ล้านบาท   ส่วนทำเลคอนโดมิเนียมในจังหวัดภูเก็ตที่ขายดีมากที่สุด 5 อันดับแรก โดยดูจากสัดส่วนที่ขายได้ต่อยูนิตทั้งหมดในโครงการ ได้แก่ 1)ทำเลตลาดใหญ่-ตลาดเหนือ ขายได้ 96.1% มูลค่าที่ขายได้ 3,674 ล้านบาท 2)ทำเลหาดป่าตอง ขายได้ 85.1% มูลค่าที่ขายได้ 4,548 ล้านบาท 3)ทำเลหาดในยาง-หาดไม้ขาว ขายได้ 84.1% มูลค่าที่ขายได้ 6,268 ล้านบาท 4) ทำเลหาดราไวย์ ขายได้ 81.7% มูลค่าที่ขายได้ 9,117 ล้านบาท 5)ทำเลหาดกะรน-หาดกะตะ ขายได้ 80.7% มูลค่าที่ขายได้ 10,908 ล้านบาท   โครงการที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างการขายในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์มีจำนวน 108 โครงการ มีหน่วยในผังของทุกโครงการรวมกัน8,555 หน่วย มูลค่าโครงการรวม 43,458 ล้านบาท มีหน่วยเหลือขายหรือเป็นอุปทานในตลาด 2,266 หน่วย (26.5% ของยูนิตในผังโครงการทั้งหมด) คิดเป็นมูลค่าหน่วยเหลือขาย 12,096 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรรจำนวน 83 โครงการ มีจำนวนยูนิต 4,345 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 18,470 ล้านบาท มียูนิตเหลือขายหรือเป็นอุปทานในตลาด 1,724 ยูนิต คิดเป็นมูลค่ายูนิตเหลือขาย 7,591 ล้านบาท และโครงการคอนโดมิเนยีมจำนวน 17 โครงการ มีจำนวนยูนิต  4,021 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 18,808 ล้านบาท มียูนิตเหลือขายหรือเป็นอุปทานในตลาด 485 ยูนิต คิดเป็นมูลค่ายูนิตเหลือขาย 2,657 ล้านบาท และมีโครงการวิลล่าจำนวน 8 โครงการ มียูนิตในผังจำนวน 189 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 6,180 ล้านบาท ยูนิตเหลือขายหรือเป็นอุปทานในตลาด 57 ยูนิต คิดเป็นมูลค่ายูนิตเหลือขาย 1,848 ล้านบาท   ทั้งนี้ยูนิตเหลือขายโครงการบ้านจัดสรรและอาคารชุดจำนวน 2,209 ยูนิต เป็นบ้านเดี่ยวมากที่สุด 50.9% ส่วนใหญ่อยู่ในระดับราคา 2–3 ล้านบาท รองลงมาเป็นอาคารชุด 22.0% ส่วนใหญ่อยู่ในระดับราคา  2–3 ล้านบาท เป็นบ้านแฝด 11.8% ส่วนใหญ่อยู่ในระดับราคา 2–3 ล้านบาท เป็นทาวน์เฮ้าส์ 10.0% ส่วนใหญ่อยู่ในระดับราคา 1–1.5 ล้านบาท ที่เหลือเป็นที่ดินเปล่าและอาคารพาณิชย์ ตามลำดับ   ทำเลบ้านจัดสรรในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ที่ขายดี โดยดูจากสัดส่วนที่ขายได้ต่อหน่วยทั้งหมดในโครงการ ทำเลเขาตะเกียบ ขายได้ 67.9% มูลค่าขายได้ 1,982 ล้านบาท  ทำเลทับใต้ ขายได้ 64.4% มูลค่าที่ขายได้ 3,213 ล้านบาท ทำเลปราณบุรี ขายได้ 60.2% มูลค่าที่ขายได้ 1,233 ล้านบาท  ทำเลเขาหินเหล็กไฟ ขายได้ 56.8% มูลค่าที่ขายได้ 3,821 ล้านบาท และ ทำเลหัวหิน ขายได้ 51.3% มูลค่าที่ขายได้ 630 ล้านบาท ตามลำดับ   ส่วนทำเลคอนโดมิเนียมในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ที่ขายดี โดยดูจากสัดส่วนที่ขายได้ต่อหน่วยทั้งหมดในโครงการ ทำเลหัวหิน ขายได้ 93.4% มูลค่าที่ขายได้ 7,183 ล้านบาท ทำเลเขาตะเกียบ ขายได้ 82.1% มูลค่าที่ขายได้ 6,945 ล้านบาท  ทำเลปราณบุรี ขายได้ 81.8% มูลค่าที่ขายได้ 1,596 ล้านบาท  และทำเลเขาหินเหล็กไฟ ขายได้ 74.4% มูลค่าที่ขายได้ 427 ล้านบาท ตามลำดับ   โครงการที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างการขายในจังหวัดเพชรบุรีมีจำนวน 63 โครงการ มียูนิตในผังของทุกโครงการรวมกัน 14,418 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 59,985 ล้านบาท มียูนิตเหลือขายหรือเป็นอุปทานในตลาด 3,101 ยูนิต (21.5% ของยูนิตในผังโครงการทั้งหมด) คิดเป็นมูลค่ายูนิตเหลือขาย 11,604 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร จำนวน 46 โครงการ มีจำนวนหน่วย 2,733 ยูนิต   มูลค่าโครงการรวม 13,838 ล้านบาท มียูนิตเหลือขายหรือเป็นอุปทานในตลาด 990 หน่วย คิดเป็นมูลค่ายูนิตเหลือขาย 4,101 ล้านบาท โครงการคอนโดมิเนียมจำนวน 14 โครงการ มีจำนวนยูนิต 11,631 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 43,967 ล้านบาท มียูนิตเหลือขายหรือเป็นอุปทานในตลาด 2,105 ยูนิต คิดเป็นมูลค่ายูนิตเหลือขาย 7,244 ล้านบาท และมีโครงการวิลล่าจำนวน 3 โครงการ มียูนิตในผังจำนวน 54 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 2,180 ล้านบาท ยูนิตเหลือขายหรือเป็นอุปทานในตลาด 6 ยูนิต คิดเป็นมูลค่ายูนิตเหลือขาย 260 ล้านบาท   ทั้งนี้ ยูนิตเหลือขายโครงการบ้านจัดสรรและคอนโดมิเนียมจำนวน 3,095 ยูนิต เป็นคอนโดมิเนียมมากที่สุด 68.0% ส่วนใหญ่อยู่ในระดับราคา 3-5  ล้านบาท รองลงมาเป็นบ้านเดี่ยว 23.1% ส่วนใหญ่อยู่ในระดับราคา 2–3 ล้านบาท เป็นที่ดินเปล่า 4.1% ส่วนใหญ่อยู่ในระดับราคา 1–1.5 ล้านบาท เป็นทาวน์เฮ้าส์ 3.2% ส่วนใหญ่เป็นอยู่ในระดับราคา 5 – 7.5  ล้านบาท ที่เหลือเป็นบ้านแฝด และอาคารพาณิชย์ ตามลำดับ   ทำเลบ้านจัดสรรในจังหวัดเพชรบุรีที่ขายดี โดยดูจากสัดส่วนที่ขายได้ต่อหน่วยทั้งหมดในโครงการ ทำเลหาดเจ้าสำราญ ขายได้ 77.7%  มูลค่าขายได้ 239 ล้านบาท  ทำเลชะอำตอนเหนือ ขายได้ 71.1% มูลค่าที่ขายได้ 4,686 ล้านบาท  ทำเลในเมืองเพชรบุรี ขายได้ 66.3% มูลค่าที่ขายได้ 1,061 ล้านบาท  และทำเลชะอำตอนใต้ ขายได้ 55.6% มูลค่าที่ขายได้ 3,752 ล้านบาท ตามลำดับ   ส่วนทำเลคอนโดมิเนียมในจังหวัดเพชรบุรีที่ขายดี โดยดูจากสัดส่วนที่ขายได้ต่อหน่วยทั้งหมดในโครงการ ทำเลชะอำตอนใต้ ขายได้ 88.1% มูลค่าที่ขายได้ 6,718 ล้านบาท ทำเลชะอำตอนเหนือ ขายได้ 81.5% มูลค่าที่ขายได้ 29,956 ล้านบาท และทำเลในเมืองเพชรบุรี ขายได้ 52.1% มูลค่าที่ขายได้ 50 ล้านบาท ตามลำดับ      
“มั่นคง” รีเฟชรแบรนด์เพื่อความอยู่รอด  เพราะไม่อยากเป็นเหมือน “ฟิล์มโกดัก”

“มั่นคง” รีเฟชรแบรนด์เพื่อความอยู่รอด เพราะไม่อยากเป็นเหมือน “ฟิล์มโกดัก”

โจทย์การทำธุรกิจในยุคปัจจุบันสิ่งที่ผู้ประกอบการต้องยึดเป็นแกนหลัก คือ ต้องสามารถตอบความต้องของลูกค้าให้ได้  จากพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์ของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป  เพราะถูกเทคโนโลยีเข้ามา Disrupt จนทำให้ชีวิตเกิดการเปลี่ยนแปลงมากมาย ไม่ว่าจะสะดวกสบายจากเทคโนโลยี ใช้แค่นิ้วมือจิ้มๆ ก็ทำธุรกรรมต่างๆ ได้สบายบนโทรศัพท์มือถือ หรือการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารและความบันเทิงสารพัด ทำได้ไม่แตกต่างกัน ผู้ประกอบการทั้งหลายจึงต้องก้าวให้ทันกับพฤติกรรมของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป   ในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์  ขายบ้านขายคอนโดมิเนียม ก็ถูกเทคโนโลยีเข้ามา Disrupt ไม่ต่างจากธุรกิจอื่นๆ โดยเฉพาะในเรื่องของการเข้าถึงข้อมูล และการเปรียบเทียบสินค้า เดี๋ยวนี้ลูกค้าศึกษาข้อมูล เปรียบเทียบราคาของโครงการที่สนใจก่อนจะไปเยี่ยมชมห้องตัวอย่างจริง แต่โครงการอสังหาฯ ที่จะถูกนำมาเปรียบเทียบ หรือเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ลูกค้าพิจารณา คงต้องกลับมาที่เรื่องของ Brand ว่าอยู่ในใจลูกค้ามากน้อยแค่ไหน   สำหรับแบรนด์มั่นคง หรือ บริษัท มั่นคง เคหะการ จำกัด (มหาชน) (MK) ได้มองเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเช่นกัน และมองว่านี่คือโจทย์สำคัญทางการตลาดที่จะต้องก้าวตามให้ทัน เพราะหากไม่ปรับเปลี่ยนตัวเอง คงไม่สามารถเป็นหนึ่งแบรนด์ในใจที่ลูกค้าจะถึงได้ เนื่องจากปัจจุบันฐานลูกค้าหลัก ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ใหญ่ล้วนแต่มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองแล้ว และมีอายุที่เพิ่มมากขึ้น หากไม่สร้างฐานลูกค้าใหม่และสร้างแบรนด์ของตัวเอง ให้เป็นที่รู้จักในกลุ่มคนรุ่นใหม่ องค์กรที่อยู่มากว่า 60 ปีอาจจะหายออกไปจากตลาดได้เช่นกัน   รีเฟรชแบรนด์ใหม่เอาใจ Gen Y   ช่วง 4 ปีก่อนหน้านี้ MK มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างธุรกิจครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์  โดยเจ้าของเดิมตระกูล “ตั้งมติธรรม” ขายธุรกิจให้กับ “สุเทพ วงศ์วรเศรษฐ”  ในบริษัท แคสเซิล พีค ดีเวลลอปเม้นท์ส จำกัด และบริษัท ซีพีดี โฮ ลดิ้ง จำกัด หลังจากนั้นกระบวนการเปลี่ยนแปลงภายในก็เกิดขึ้น อาทิ กระบวนการบริหารงานภายใน การทำให้คนในองค์กรมองธุรกิจไปในทิศทางเดียวกัน การปรับเปลี่ยนโลโก้ และการสร้างการรับรู้ให้กับลูกค้า รวมถึงผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหลาย   หลังจากที่กระบวนการบริหารงานภายในเริ่มเข้าที่เข้าทางในระยะ 2 ปีแรก สิ่งที่ MK เดินหน้าเปลี่ยนแปลงตัวเองต่อไป คือ การสร้าง Brand Positioning ของตัวเองใหม่ ด้วยการหยิบเอาเทรนด์ของโลกในเรื่อง Well-Being เข้าใช้เป็นแกนหลักในการพัฒนาโครงการ ถือเป็นแนวทางการรีเฟรชแบรนด์ให้ตอบสนองกับความต้องการของกลุ่มลูกค้าปัจจุบัน ที่ฐานหลักคือ กลุ่ม Gen Y หรือกลุ่มคนรุ่นใหม่อายุ 20-37 ปี และตอบสนองกับเทรนด์ของโลกซึ่งให้ความสำคัญกับเรื่อง Well-Being   “ยอดขายที่อยู่อาศัยของบริษัทยังเติบโตได้ต่อเนื่อง แต่เมื่อความต้องการของลูกค้าเปลี่ยนแปลงไป ถ้าไม่ทำอะไรเลยเราจะถอยหลัง ถ้าไม่มีสินค้าตอบโจทย์ เราจะหายไป เราไม่อยากเป็นเหมือนฟิล์มโกดัก” นางสาวดุษฎี ตันเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า ไม่เพียงเท่านั้นคนในยุคปัจจุบันหาข้อมูลโดยทำ Desktop Research หรือการค้นหาข้อมูลจากโลกออนไลน์ ก่อนการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้า หาก MK ไม่ทำการเปลี่ยนแปลงอะไร ก็จะไม่ได้เป็นหนึ่งในตัวเลือกของลูกค้า การรีเฟรชแบรนด์จึงจะเป็นหนึ่งในการสร้างการับรู้ และมุ่งหวังว่าจะเป็นหนึ่งในตัวเลือกของลูกค้า ​เพราะหากเปรียบเทียบจุดแข็งในการพัฒนาธุรกิจ ไม่ว่าเป็นเรื่องของทำเลที่ตั้งและราคา โครงการของ MK ถือว่าสามารถแข่งขันกับผู้ประกอบการในตลาดได้   “การเปลี่ยนแปลงจะทำให้เป็นหนึ่งในตัวเลือกของลูกค้า การไม่ทำจะไม่อยู่ในทางเลือกของลูกค้าเลย” Well-Being ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคปัจจุบัน   การรีเฟชรแบรนด์ของ MK ไม่ใช่แค่การทำตลาดดิจิทัล ที่ยังคงใช้เป็นหลัก เพราะเข้าถึงกลุ่มลูกค้า Gen Y ได้ดีที่สุด แต่ยังเสริมด้วยสื่อเดิมอย่างป้ายโฆษณาในพื้นที่ และการทำตลาดรูปแบบอื่นๆ ด้วย แต่สิ่งที่แบรนด์ MK ให้ความสำคัญ  ซึ่งถูกนำมาใช้เป็นส่วนสำคัญเพื่อสร้างการรับรู้ของแบรนด์ (Brand essence) คือ การนำเอาแนวคิดของ Well-being เข้ามาพัฒนาโครงการ ตั้งแต่ 2 ปีที่ผ่านมา โดยครอบคลุมในเรื่องหลักสำคัญ อาทิ การพัฒนาโครงการ มีการจัดวางการวาง Layout บ้านให้หันไปทิศเหนืใต้ การวางผังโครงการจะจัดวางตัวบ้านให้สอดคล้องกับลมประจำถิ่น โดยแบ่งแปลงบ้านให้ไปทางทิศเหนือ-ใต้ ซึ่งทำให้บ้านถ่ายเทอากาศได้ดี และยังรับแสงน้อย การจัดให้มีห้องพยาบาลกล้วยน้ำไท เพื่อให้บริการลูกบ้าน บริเวณคลับเฮ้าส์โครงการ พร้อมแพ็คเกจดูแลสุขภาพ เป็นต้น   การใช้วัสดุที่เป็นมิตรสิ่งแวดล้อม (ECO-FRIENDLY MATERIALS) เช่น โถสุขภัณฑ์ประหยัดน้ำ หลอดไฟฟ้า LED ซึ่งเป็นหลอดประหยัดพลังงาน  ประตูหน้าต่าง ชนิด UPVC ซึ่งมีคุณสมบัติลดการถ่ายเทความร้อนได้ดี  สีที่มีคุณสมบัติไร้สารตะกั่วและโลหะหนัก  เป็นต้น   จัดพื้นที่ปลูกผักสวนครัว บริเวณพื้นที่สวนหย่อมหรือพื้นที่ว่างของโครงการ สร้างความสัมพันธ์และสุขภาพที่ดี การจัดกิจกรรมลูกค้าสัมพันธ์ (CUSTOMER RELATIONSHIP MANAGEMENT) เช่น โครงการ  Know your Neigbours เชิญชวนให้ลูกบ้านนำอาหารจานเด็ดที่ชื่นชอบมาร่วมแบ่งปันเพื่อนบ้านภายในงาน  กิจกรรม workshop ส่งเสริมสุขภาพ สอนทำอาหารเพื่อสุขภาพ พร้อมสอนเรื่องหลักโภคชนาการ โยคะ การนวดแก้อาการออฟฟิศซินโดรม และการส่งเสริมความรู้ผ่านบทความเนื้อหาสาระเกี่ยวกับ Well-being ในด้านต่างๆ ให้แก่ลูกบ้านได้อ่าน “มั่นคง ให้ความสนใจในเรื่องสุขภาวะที่ดีแบบ 360 องศา เป็นสิ่งที่คิดมาจากเทรนด์ของโลก มาจากคนยุคปัจจุบันไม่ได้ทำงานหาเงินใช้ชีวิตไปวันๆ เห็นได้จากการเติบโตของเรื่องเวลเนส การเติบโตของเอ็นไทเอจจิ้ง เวลเนสเรียลเอสเตท เวลเนสทัวร์ลิซึม เป็นการรีแบรนด์จากการขายฟังก์ชั่นและโปรโมชั่น หรือขายความคุ้มค่าคุ้มราคา มาสู่การมีสุขภาวะที่ดีแบบยั่งยืน ตามเทรนด์ของโลก เพราะคนไม่ใช่แค่หาซื้อบ้านปกติ โครงการแรกที่นำเอาแนวคิดสุขภาวะที่ดีเข้าไปพัฒนาอย่างชัดเจน คือ โครงการชวนชื่นไพร์มวิลล์กรุงเทพ – ปทุมธานี”  
เมื่อสุขภัณฑ์เป็นมากกว่าส้วม

เมื่อสุขภัณฑ์เป็นมากกว่าส้วม

เคยสงสัยมั้ย ว่าทำไมบางคนถึงยอมลงทุนกับโถสุขภัณฑ์ และควักเงินจ่ายในราคาหลักแสน!! เมื่อเร็วๆ นี้ ทางแบรนด์ “TOTO” เปิดโชว์รูมใหม่ที่ “บุญถาวร เชียงใหม่” พร้อมบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ของผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะเจ้า “WASHLET” (ฝารองนั่งพร้อมก้านฉีดชำระอัตโนมัติ) ที่มียอดขายทั่วโลกมากกว่า 50 ล้านชิ้น!!! TOTO มีอะไรดี ผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ของเค้าจะล้ำไปไหน และจะน่าสนใจยังไง ตามไปดูกันค่ะ   ก่อนอื่นต้องเล่ากันก่อนว่า แบรนด์ “TOTO” ก่อตั้งขึ้นที่จังหวัดคิตะคิวชู ประเทศญี่ปุ่น และถือกำเนิดมาบนโลกนี้ได้ 102 ปีแล้วววว!!!และฝารองนั่งอัตโนมัติ WASHLET ตัวแรกก็เปิดตัวเมื่อมิถุนายน พ.ศ.2523 หรือเมื่อ 39 ปีก่อน!!!! ตอนนั้นใครจะคิดว่าจากการที่เป็นผู้ผลิตสุขภัณฑ์และอุปกรณ์ห้องน้ำรายแรกของญี่ปุ่น TOTO จะกลายมาเป็นเจ้าตลาดในญี่ปุ่น และกำลังเป็นผู้นำตลาดสุขภัณฑ์อัตโนมัติของโลกในขณะนี้ คงเป็นเพราะพื้นฐานอุปนิสัยที่ใส่ใจในทุกรายละเอียดของชาวญี่ปุ่น ซึ่งไม่เว้นแม้แต่การใช้ห้องน้ำที่หลายคนมองข้ามไป การพัฒนาสุขภัณฑ์และอุปกรณ์ห้องน้ำของ TOTO จึงมีนวัตกรรมและเทคโนโลยีอันลึกซึ้ง จนสามารถสร้างความเพลิดเพลิน ความสะดวกสบาย และสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้เราได้ในชีวิตประจำวัน   เราคงไม่ต้องพูดถึงว่า TOTO พัฒนา WASHLET ผ่านมากี่รุ่น กี่ตัวแล้ว เพราะถ้าต้องเล่าทั้งหมดคงต้องใช้เวลาหลายวันกันเลยทีเดียว รู้แค่ว่าตลอดระยะเวลาเกือบ 40 ปีมานี้ TOTO มียอดขาย WASHLET มามากกว่า 50 ล้านชิ้นก็พอ และเค้ายังคงพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง และการที่เราได้มาเชียงใหม่ครั้งนี้ นอกจากจะได้เยี่ยมชมโชว์รูมใหม่ในบุญถาวรแล้ว เรายังได้ทำความรู้จักกับฝารองนั่งอัตโนมัติ WASHLET ที่เปิดตัวล่าสุดในปีนี้ พร้อมกับได้ฟังเสียงจากผู้ใช้จริงว่าทำไมเค้าถึงเจาะจงเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ของ TOTO ในกิจการ/โครงการต่างๆ ของพวกเค้าด้วย NEOREST กับ 2 รางวัลด้านการออกแบบระดับโลก   NEOREST คือไลน์สุขภัณฑ์อัตโนมัติที่ทาง TOTO เปิดตัว 3 รุ่นใหม่รวดในปีนี้ ความน่าสนใจของฝารองนั่งอัตโนมัติ WASHLET ใน Series NEOREST ที่ทำให้เราสะดุดตาคือ การที่ไลน์ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับรางวัลด้านการออกแบบระดับโลกถึง2รางวัล (iF DESIGN Award และRed Dot Design Award) ตั้งแต่ปี 2560 และล่าสุดสุขภัณฑ์อัตโนมัติ NEOREST รุ่น NEOREST AH และ RH ก็ได้รับรางวัล iF DESIGN Award 2019 อีกครั้ง!!!     จุดเด่นของ NEOREST ที่ทาง TOTO ตั้งใจนำเสนอ เป็นการออกแบบสุขภัณฑ์แห่งอนาคตที่มีความสวยงามควบคู่ไปกับเทคโนโลยีที่ทันสมัย และตอบสนองวิถีการใช้ชีวิตของคนทุกรุ่น นอกจากดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ด้วยลายเส้นที่นุ่มนวล โค้งมน ละเมียดละไมสะท้อนถึงความประณีต หรูหราแล้ว เทคโนโลยีประหยัดน้ำที่เรียกว่า “Tornado Flush”ก็เป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมการออกแบบที่ทาง TOTO คิดค้นให้รูปแบบการวนของน้ำสามารถทำความสะอาดได้หมดจดแบบ 360 องศา แม้ใช้น้ำปริมาณน้อย แถมยังเคลมว่าลดเสียงรบกวนขณะทำงานได้เป็นอย่างดี ทำไมต้องเลือกใช้ TOTO TOTO มีความเชื่อว่า สุขภัณฑ์ที่สมบูรณ์แบบจะต้องสร้างสุขอนามัยที่ดี และให้ความสะดวกสบายกับผู้ใช้งานด้วย ดังนั้นคุณสมบัติสำคัญที่สุขภัณฑ์ TOTO ต่างจากแบรนด์อื่นๆ คือ เทคโนโลยี “CLEAN SYNERGY” ที่รวมคุณสมบัติ 3C (TRIPLE C) เอาไว้เพื่อประสบการณ์การใช้ที่พิเศษ ซึ่งคนเคยใช้จริงเท่านั้นจะเข้าใจได้ดี   TRIPLE C   Cleanliness ว่ากันด้วยเรื่องเทคโนโลยีความสะอาด โดยการวนน้ำแบบ Tornado Flush ที่สะอาดหมดจด การเลือกใช้สารเคลือบผิวที่ลดการเกาะติดของคราบสกปรก และการใช้ Electrolize มาขจัดแบคทีเรียที่มองไม่เห็น   Comfort การใช้เทคโนโลยีมาช่วยเรื่องความสบาย เช่น การปรับอุณหภูมิฝารองนั่ง ฝารองนั่งเปิด-ปิด และระบบชำระอัตโนมัติ เป็นต้น   Convenience เน้นเรื่องความสะดวกในการใช้งานตั้งแต่การติดตั้ง ความสะดวกในการทำความสะอาด และการควบคุมทุกการทำงานด้วยรีโมตคอนโทรล   แค่ไปเดินเล่นดูที่โชว์รูมอาจจะยังไม่ทำให้เรามั่นใจมากพอกับสิ่งที่ TOTO กล่าวอ้างถึงข้อดีของผลิตภัณฑ์ตัวเอง งานนี้เราเลยได้ไปเยี่ยมชมโครงการจริง คุยกับเจ้าของกิจการจริงๆ ถึงเหตุผลที่เลือกใช้สุขภัณฑ์และอุปกรณ์ห้องน้ำของ TOTO ทั้งเจ้าของโรงแรมอย่าง Villa Sanpakol และ โรงแรม Mayu รวมไปถึงเจ้าของโครงการ Holm Season of Living โครงการบ้านทาวน์โฮมรูปแบบใหม่ และสถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิตอย่าง Hinoki Land ซึ่งเจ้าของกิจการทุกคนต่างมีประสบการณ์ตรงจากการได้ใช้ผลิตภัณฑ์ของ TOTO และประทับใจจนเลือกมาติดตั้งในโครงการแบบยกเซ็ตกันไปเลย   โรงแรม Villa Sanpakol   โครงการ Holm Season of Living   Hinoki Land   จริงๆ แล้ว แบรนด์ TOTO ไม่ได้มีขายเฉพาะสุขภัณฑ์แบบ Hi-End ในราคาเรือนแสน (แบบที่เราสงสัยกันในตอนแรก) เท่านั้นนะคะ สุขภัณฑ์รุ่นอื่นๆ ที่ไม่ใช่ระบบอัตโนมัติเค้าก็ออกแบบและผลิตด้วยเทคโนโลยี วัสดุ และเลือกใช้สารเคลือบมาตรฐานเดียวกันค่ะ  เพียงแต่เทคโนโลยีและนวัตกรรมต่างๆ ที่ผ่านการคิดอย่างรอบด้านของ TOTO นี่เอง ที่ทำให้เรื่องในส้วมกลายเป็นความรื่นรมย์ที่บางคนยอมควักกระเป๋าจ่าย เพื่อความสุนทรีย์แบบส่วนตัว   ----------------------------------------------------------------------------------- สำหรับผู้สนใจสัมผัสประสบการณ์จริงกับนวัตกรรมสุดล้ำของสุขภัณฑ์ “โตโต้” สามารถนัดหมายเพื่อเข้าเยี่ยมชมได้ที่ TOTO Technical Center Bangkok อาคารจี ทาวเวอร์ แกรนด์ พระราม 9 ชั้น 12 โทรศัพท์ 02-117-9520 หรือคลิกดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://th.toto.com/    
มาตรการ LTV ผลกระทบตกที่ใคร?

มาตรการ LTV ผลกระทบตกที่ใคร?

ตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมาในบ้านเราก็มีกระแสออกมาวิพากษ์วิจารณ์กันไม่น้อย เกี่ยวกับมาตรการกำกับดูแลสินเชื่อที่อยู่อาศัย หรือ LTV (Loan to Value) ที่ทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาประกาศให้เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 เมษายน 2562 ที่กำลังจะมาถึงนี้ (แต่จริงๆ เคยออกมาตรการนี้มาแล้ว 4 ครั้ง ซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งที่ 5) เพราะต่างก็ได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า ทั้งกลุ่ม Developer กลุ่มนักลงทุน และผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง แต่ใครจะได้รับผลกระทบไปในทิศทางไหนบ้าง ลองมาช่วยกันมองไปพร้อมๆ กันค่ะ     ก่อนอื่นเรามาดูมาตรการนี้กันคร่าวๆ ก่อนค่ะ   Cr.ภาพจากธนาคารแห่งประเทศไทย   เหตุผลหลักของการประกาศใช้มาตรการ LTV มาจากหนี้เสีย (NPL) เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งตั้งแต่ช่วงปี 2560 ตัวเลขออกมาสูงขึ้นในทุกๆ ไตรมาส แซงหน้าสินเชื่อประเภทอื่น รวมถึงซัพพลายคอนโดมิเนียมที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงการพยายามสกัดกลุ่มผู้ลงทุน ทุกอย่างประกอบกันก็เพื่อบริหารความเสี่ยงของธนาคารพาณิชย์ให้ดีขึ้น และเพื่อสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ   ก่อนหน้านี้คงจะเคยได้ยินคำชวนเชื่อสำหรับนักลงทุนอสังหาฯ หน้าใหม่อย่าง “ลงทุนอสังหาฯ 0 บาท” “จับเสือมือเปล่า” หรืออะไรทำนองนี้กันมาบ้างใช่ไหมคะ ต่อไปอะไรแนวนี้ก็คงจะค่อยๆ หายไปค่ะ เพราะมาตรการที่ว่านี้ไม่เอื้อต่อนักลงทุนรายย่อยเอาเสียเลย เพราะในเมื่อการลงทุนซื้อคอนโดมิเนียมสักยูนิตจะต้องใช้เงินดาวน์ถึง 20-30%  สำหรับกลุ่มรายย่อยนี้ก็คงน้อยคนที่จะยอมควักเงินหลักแสนเพื่อซื้อคอนโดแล้วนำมาปล่อยเช่าที่ก็มีความเสี่ยงสูงอยู่ไม่น้อยเช่นกัน จริงไหมคะ? ไหนจะค่าตกแต่งห้อง ค่านายหน้าที่หาลูกค้ามาเช่าห้อง ค่าดูแลจิปาถะ แล้วถ้ามีช่วงที่ไม่มีคนเช่าห้องอีกล่ะ เอาเป็นว่าสำหรับนักลงทุนหน้าใหม่ หากทุนน้อยอยู่แล้วก็เลิกฝันถึงการลงทุน 0 บาทไปได้เลยค่ะ       ในทางกลับกันกลุ่มนักลงทุนรายใหญ่ ที่มีความชำนาญในตลาดนี้มาหลายต่อหลายปี ก็ย่อมที่จะมีเงินก้อนนี้มาหมุนเวียนลงทุนไม่ว่าจะเล่นแบบซื้อมาขายไปเก็งกำไร หรือปล่อยเช่าในโครงการระดับกลาง-สูงก็ตาม แต่ในระยะหลังมานี้วงการคอนโดมิเนียมผ่านจุดที่เรียกว่าหวือหวาที่สุดมาแล้ว ฉะนั้นการเล่นแบบระยะสั้นจึงทำได้ยากขึ้น (แต่ถ้าโครงการดี ยูนิตสวยจริงๆ ยังไงก็ขายต่อได้ราคาดีอยู่นะคะ) ทุกวันนี้จึงนิยมการปล่อยเช่ากันมากกว่า     สำคัญที่สุดคือกลุ่ม Real Demand ที่ในปีนี้ต้องเจอกับดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้น ธนาคารปล่อยกู้ยากขึ้น เพื่อคัดกรองไม่ให้เกิดหนี้เสียสะสมเพิ่มเข้าไปอีก แม้ว่าจะเป็นการกู้ซื้อหลังแรกที่ยังพอมีโอกาสกู้ได้ 100% แต่หากจะต้องวางเงินดาวน์ไม่ต่ำกว่า 10% แล้ว ทุกอย่างจะต้องคิดอย่างรอบคอบขึ้นเป็นเท่าตัวก่อนจะจ่ายเงินแสน ต้องทำการบ้านกันหนักกว่าจะเลือกสักโครงการที่ตอบโจทย์ตัวเราเองและครอบครัวที่สุด รวมถึงคำนวณดอกเบี้ยแต่ละธนาคารเปรียบเทียบกันให้ดี เพราะนั่นหมายถึงภาระการผ่อนงวดในแต่ละเดือนที่จะสูงขึ้น    ส่วนทาง Developer พูดได้เลยค่ะว่าเหนื่อยกันหน่อย เพราะต้องทำการบ้านกันเยอะมากขึ้น ไม่ว่าจะเปิดโครงการใหม่ที่ต้องหาช่องว่างของตลาดในแต่ละทำเล แต่ละ Segment ที่จะเน้นจับตลาดสูงอย่างที่ผ่านมาเพียงอย่างเดียวเห็นจะไม่ได้แล้ว ด้วยเรื่องภาพรวมเศรษฐกิจโลกทำให้กลุ่มลูกค้าต่างชาติที่เป็นเป้าหมายหลักก็น้อยลง รวมถึงระบายของเดิม อัดโปรโมชั่นให้ตรงใจลูกค้าที่มีให้เห็นกันตั้งแต่ต้นปี ช่วงโอนก็คงต้องลุ้น Rejection Rate กันเหนื่อย เพราะลูกค้าต่างก็ได้รับผลกระทบจาก LTV นี่แหละค่ะ ยิ่งช่วงเศรษฐกิจฝืดๆ ธนาคารก็ปล่อยกู้ยากขึ้นเป็นพิเศษ พอยอดโอนหดหายก็ไปกระทบกับรายได้ของบริษัทตามระเบียบ          สรุปง่ายๆ ทั้งหมดนี้ก็โดนผลกระทบกันเป็นวงกลมค่ะ เริ่มตั้งแต่คนซื้อมีกำลังซื้อน้อยลง เพราะเมื่อต้องใช้เงินก้อนก็ย่อมคิดกันเยอะขึ้น ใช้จ่ายกันยากขึ้น ธนาคารที่ให้สินเชื่อเองก็ปล่อยกู้กันยากขึ้น เพราะต้องการคุมเรื่องหนี้เสีย ฝั่ง Developer ก็มียอดโอนน้อยลงตามไปด้วย ทาง Developer เองที่กู้สินเชื่อเพื่อมาสร้างโครงการก็ชำระหนี้ในธนาคารได้ลดลง ส่งผลต่อ NPL ที่อาจจะสูงตาม ก็จะไปกระทบกับเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศ สุดท้ายก็ย้อนกลับมาที่ประชาชนอีกเช่นเคย      สุดท้ายไม่ว่าจะเป็น Developer กลุ่มนักลงทุน ผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง หรือกลุ่มไหนๆ ก็ย่อมได้รับผลกระทบจาก LTV นี้ไปตามๆ กัน ไม่ใช่แค่ผู้บริโภค แต่ผู้พัฒนาโครงการก็ต้องทำการบ้านกันอย่างหนักหน่วงเช่นเดียวกันค่ะ ต่อจากนี้ต้องจับตาดูกันให้ดีภายใน 2-3 ปีนี้ค่ะ ว่าอสังหาฯ ในบ้านเราจะไปต่ออย่างไร              
คว้าโอกาสสุดท้าย! กู้เต็ม 100% ก่อนโดนมาตรการเข้มปีหน้า

คว้าโอกาสสุดท้าย! กู้เต็ม 100% ก่อนโดนมาตรการเข้มปีหน้า

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการมี “บ้าน” เป็นของตัวเอง คือความฝันของทุกคน โดยเฉพาะคนวัยทำงานที่ต้องการสร้างครอบครัว และขยายพื้นที่แห่งความสุขกับคนที่ตัวเองรัก หลายๆ คน อาจจะมีบ้านหลังแรกแล้ว ซึ่งคนรุ่นใหม่มักจะเลือกซื้อคอนโดมิเนียมซึ่งอยู่ในย่าน CBD ใกล้แหล่งงาน หรือตามแนวเส้นรถไฟฟ้า เน้นเรื่องความสะดวกสบายในการเดินทางเป็นหลัก แต่ถ้าในวันหนึ่งที่เราต้องการขยับขยายพื้นที่อยู่อาศัย “บ้านหลังที่ 2” อาจเป็นคำตอบสำหรับคนที่ต้องการสเปซที่มากขึ้น เพื่อรองรับสมาชิกครอบครัวที่เพิ่มขึ้น มีพื้นที่ให้เราทำกิจกรรมดีๆ ร่วมกับสมาชิกในครอบครัว และให้เราได้ออกแบบชีวิตตามไลฟ์สไตล์ของตัวเอง และที่สำคัญต้องอยู่ในทำเลที่เดินทางเข้าเมืองสะดวก ใกล้ทางด่วน และมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันเพื่อตอบสนองรูปแบบการใช้ชีวิตยุคใหม่เช่นเดียวกับการอยู่อาศัยในคอนโดในเมือง         ที่ผ่านมา การซื้อบ้านสักหลังอาจจะไม่ใช่เรื่องยาก เนื่องจากแบงก์ได้ปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยแนวราบถึง 95% ทำให้ผู้ซื้อวางเงินดาวน์เพียงแค่ 5% ของมูลค่าหลักทรัพย์ เช่น ถ้าคุณซื้อบ้านเดี่ยวราคา 5 ล้าน คุณวางเงินดาวน์เพียงแค่ 250,000 บาทเท่านั้น และยิ่งถ้าเป็นคุณซื้อบ้านจากดีเวลลอปเปอร์รายใหญ่ๆ ที่น่าเชื่อถือแบงก์อาจปล่อยกู้ถึง 100% โดยที่คุณไม่จำเป็นต้องมีเงินออมเลยก็ได้ แต่หลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือแบงก์ชาติ ได้ประกาศกฏเหล็ก “เกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยใหม่” โดยออกมาตรการ LTV (Loan to Value = อัตราส่วนสินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน) คุมเข้มการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารพาณิชย์ เพื่อป้องกันการเกิดหนี้เสีย โดยมีผลบังคับใช้ 1 เมษายน 2562 ซึ่งเกณฑ์ดังกล่าวจะไม่กระทบคนที่กู้ซื้อที่อยู่อาศัยหลังแรกที่ราคาต่ำกว่า 10 ล้าน เพราะว่ายังคงใช้ใช้เกณฑ์ LTV เดิม คือวางเงินดาวน์ขั้นต่ำ 0-10% แต่กระทบคนที่ซื้อบ้านหลังที่ 2 ที่ยังผ่อนสัญญาแรกไม่หมด ซึ่งทำให้ผู้ซื้อต้องวางเงินดาวน์ถึง 20% ในการกู้สินเชื่อที่อยู่อาศัยจากเดิมที่คุณวางเงินดาวน์เพียงแค่ 250,000 บาท (5%) คุณจะต้องวางเงินดาวน์ถึง 1,000,000 บาท (20%) สำหรับการกู้ซื้อบ้านหลังละ 5 ล้าน!! สำหรับใครที่อยากซื้อบ้านหลังที่ 3 (แต่ยังผ่อนสัญญาที่ 1-2 ไม่หมด) ไม่ว่าราคาเท่าไหร่ก็ตาม จะต้องวางเงินดาวน์ 30%!!!   แน่นอนว่า มาตรการ LTV ใหม่นี้ทำให้ผู้ที่ต้องการจะซื้อบ้านต้องมีเงินออมก้อนใหญ่ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคนมีรายได้น้อย-ปานกลาง ซึ่งอาจจะมีฐานเงินเดือนอยู่ระหว่าง 15,000-30,000 บาท ลองคิดดูว่าคุณต้องใช้เวลานานแค่ไหน กว่าจะมีเงินออม 1,000,000 บาท สำหรับวางเงินดาวน์ มาตรการใหม่นี้จึงทำให้โอกาสที่คุณจะมีบ้านเป็นของตัวเองลดลง หรืออาจจะไม่มีโอกาสเลย!!! นอกจากนี้ เกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยใหม่ยังกำหนดให้มีการนับรวมสินเชื่อ Top-up รวมในวงเงินขอกู้สินเชื่อบ้านทุกประเภทที่อ้างอิงหลักประกันเดียวกันในวงเงินที่ขอกู้ เช่น สินเชื่อเพื่อซื้อเฟอร์นิเจอร์ เพื่อตกแต่งบ้าน ยกเว้นสินเชื่อเพื่อจ้ายเบี้ยประกันชีวิตผู้กู้ (MRTA) ประกันวินาศภัย และสินเชื่อที่ให้กับธุรกิจ SMEs       สำหรับใครที่กำลังวางแผนซื้อบ้านในอนาคต นี่คือโอกาสสุดท้ายที่คุณต้องเร่งตัดสินใจ ก่อนเจอมาตรการเข้มแบงก์ชาติปีหน้าจะเห็นได้ว่าช่วงนี้บรรดาผู้ประกอบการต่างพร้อมใจกันปล่อยของพร้อมโปรโมชั่นเด็ด แบบจัดเต็ม จัดหนักส่งท้ายปี   หนึ่งในแบรนด์บ้านคุณภาพที่น่าจับตามองในตอนนี้ คือ บริทาเนีย (Britania) จากบริษัท ออริจิ้น เฮาส์ จำกัด ในเครือ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างสูงจากการเปิดตัวโครงการแรก “บริทาเนีย ศรีนครินทร์” บ้านเดี่ยว-บ้านแฝดสไตล์อังกฤษ เมื่อปี 2561 ที่ผ่านมา ซึ่งทั้งโครงการ SOLD OUT 90% โดยแบรนด์ “บริทาเนีย” เกาะทำเลที่มีการแข่งขันไม่สูงมาก แต่มีความต้องการอยู่อาศัยจริง (Real Demand) และมีศักยภาพเติบโตต่อเนื่อง เดินทางสะดวก ใกล้ทางด่วนใกล้รถไฟฟ้า และรายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ มากมาย และกลางเดือนธันวาคม 61 นี้ ออริจิ้นมอบของขวัญสุดเซอร์ไพรส์ส่งท้ายปี เปิดจองบ้านบริทาเนีย “3 โครงการใหม่ บน 3 ทำเลที่ดีที่สุด” รอบพิเศษก่อนพรีเซลในราคาเริ่มต้นเพียงแค่ 1.99 ล้าน*!!! มาพร้อม facilities ครบครัน ออกแบบอย่างทันสมัย ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนยุค 4.0 โดยการผสานเทคโนโลยีล้ำสมัยเข้าไปในที่อยู่อาศัยพร้อมบริการระดับโรงแรม มอบความสะดวกสบายให้กับชีวิตคุณ ไม่ว่าจะเป็นแม่บ้าน ช่างซ่อมบำรุง บริการซักรีด หรือคนสวนโดดเด่นด้วยดีไซน์และเลย์เอาท์ที่ออกแบบอย่างแตกต่างให้ผู้อยู่อาศัยได้ดีไซน์ชีวิตตัวเองได้มากขึ้นบนพื้นฐานของความครบ สะดวกสบาย ตามไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ และที่สำคัญมาพร้อม “ข้อเสนอที่ดีที่สุดแห่งปี” ที่คุณไม่ควรพลาด!!!     1. โครงการ บริทาเนีย เมกะทาวน์-บางนา (Mega Town Bangna) ทาวน์โฮม-บ้านซีรีย์ใหม่สไตล์อังกฤษ (บางนา-ตราด กม.5) ออกแบบภายใต้แนวคิด “Live Cheerful with Brit Charm”เชื่อมต่อถนนหลักหลายสาย อาทิ ถ.บางนา-ตราด, ถ.ศรีนครินทร์ และ ถ.เทพารักษ์ ใกล้เมกะบางนา ใกล้ทางด่วน ใกล้วงแหวนกาญจนาภิเษก ใกล้รถไฟฟ้าสายสีเหลือง และสีเขียว เป็นโครงการขนาดใหญ่ มีสาธารณูปโภคครบครัน เปิดจองรอบพิเศษ: 15 ธ.ค. 61 ราคาเริ่มต้น : 2.29 ล้าน* (ทาวน์โฮม) | 4.7 ล้าน* (บ้านซีรีย์ใหม่) ลงทะเบียนรับส่วนลดสูงสุด 300,000 บาท คลิก http://bit.ly/2Eec5gT   2. โครงการ บริทาเนีย บางนา กม.12 (Britania Bangna KM.12) บ้านเดี่ยวติดถนนใหญ่ ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ ใกล้ทางด่วน และใกล้รถไฟฟ้า เปิดจองรอบพิเศษ: 22 ธ.ค. 61 ราคาเริ่มต้น : 4.59 ล้าน ลงทะเบียนรับส่วนลดสูงสุด 500,000 บาท คลิก http://bit.ly/2Pr9diF   3. โครงการ บริทาเนีย วงแหวน-หทัยราษฏร์ ทาวน์โฮม-บ้านซีรีย์ใหม่ ใกล้ 2 ทางด่วน และ 1 สถานีรถไฟฟ้า ออกแบบภายใต้แนวคิด “Live in Brit Style, Live Inspired” อยู่อย่างมีสไตล์ดีไซน์ที่เป็นคุณ ที่ผสมผสานความเป็น Modern British Luxury และ ความ Creative Living ได้อย่างลงตัว เปิดจองรอบพิเศษ: 22 – 23 ธ.ค. 61 ราคาเริ่มต้น: 1.99 ล้าน* (ทาวน์โฮม) | 3.99 ล้าน* (บ้านซีรีย์ใหม่) ลงทะเบียนรับส่วนลดสูงสุด 400,000 บาท คลิก http://bit.ly/2ROnR5n   สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 020 300 000      
บ้านแพงที่สุดในโลก 10 อันดับ

บ้านแพงที่สุดในโลก 10 อันดับ

บ้านเป็นสถานที่ที่คนเราใช้ชีวิตอยู่กับมันมากที่สุด เพราะเป็นที่พักพิงของเราเอง หลายคนจึงพยายามสร้างบ้านให้ดูดี สะดวกสบายมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่เคยสงสัยกันหรือไม่ว่า สถานที่พักอาศัยของมนุษย์เรานั้นจะหรูหราและมูลค่ามากที่สุดได้มากขนาดไหนกัน วันนี้เราจะพาไปดูบ้าน 10 แห่งทั่วโลก ที่ได้รับการจัดอันดับจากนิตยสารไทม์ (TIME) เมื่อปลายปีที่แล้ว ว่าเป็นบ้านที่แพงที่สุดในโลก พร้อมเปิดเผยชื่อเจ้าของบ้านแต่ละหลังด้วย     อันดับ 10 7 อัปเปอร์ ฟิลลิมอร์ การ์เด้นส์ (7 Upper Phillimore Gardens) ภาพจาก previewchicago.com ที่ตั้ง : กรุงลอนดอน, สหราชอาณาจักร มูลค่า : 4.6 พันล้านบาท รายละเอียด : จากโรงเรียนกลายมาเป็นคฤหาสน์สุดหรูประกอบไปด้วยห้องนอน 10 ห้อง มีสระว่ายน้ำ, ซาวน่า, โรงยิม, โรงภาพยนตร์รวมไปถึงห้องนิรภัยอยู่ชั้นใต้ดิน โดยภายในจะตกแต่งด้วยหิน, ทองคำ และงานศิลปะที่ประเมินค่าไม่ได้ เจ้าของ : โอเลน่า พินชัก (Olena Pinchuk) ลูกสาวของ ลีโอนิด คุชมา (Leonid Kuchma) รองประธานาธิบดียูเครน ผู้ก่อตั้งมูลนิธิ ANTIAIDS และยังเป็นเพื่อนสาวของนักร้อง-นักแต่งเพลงชื่อดังอย่าง เอลตัน จอห์น อีกด้วย อันดับ 9 เคนซิงตัน พาเลซ การ์เด้นส์ (Kensington Palace Gardens) ภาพจาก previewchicago.com ที่ตั้ง : กรุงลอนดอน, สหราชอาณาจักร มูลค่า : 5 พันล้านบาท รายละเอียด : ตั้งอยู่ในย่านมหาเศรษฐีในกรุงลอนดอน บ้านมีแผงยื่นขยายลงไปชั้นใต้ดินกลายเป็นสนามเทนนิส, ศูนย์พยาบาล และพิพิธภัณฑ์รถยนต์ เจ้าของ : โรมัน อับราโมวิช (Roman Abramovich) มหาเศรษฐีน้ำมันชาวรัสเซียและเป็นเจ้าของหลักของบริษัทลงทุนเอกชน บริษัทมิลล์เฮาส์ แคปปิทัล เขาเป็นที่รู้จักของชาติตะวันตกในฐานะเจ้าของสโมสรฟุตบอลพรีเมียร์ลีกชื่อดังของอังกฤษอย่าง เชลซี ( Chelsea) อันดับ 8 เซเว่น เดอะ พินนาเคิล (Seven The Pinnacle) ภาพจาก vidanaeuropa.com ที่ตั้ง : บิ๊ก สกาย, รัฐมอนแทนา สหรัฐอเมริกา มูลค่า : 5.6 พันล้านบาท รายละเอียด : เป็นทรัพย์สมบัติที่ใหญ่ที่สุดในเยลโลว์สโตนคลับ หรือชุมชนการเล่นกอล์ฟและสกีแบบส่วนตัวสำหรับผู้ที่มั่งมี บ้านประกอบไปด้วยชั้นให้ความร้อน สระว่ายน้ำจำนวนมาก โรงยิมและห้องเก็บไวน์ เจ้าของ : เอ็ดดรา และทิม บลิกซ์เซ็ธ (Edra and Tim Blixseth) นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ อันดับ 7 ปราสาทเฮิร์สต์ (Hearst Castle) ภาพจาก celebritynetworth.com ที่ตั้ง : ซาน ไซเมียน, รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา มูลค่า : 6.9 พันล้านบาท รายละเอียด : ปราสาทหลังโตขนาด 27 ห้องนอน ถูกใช้ในการถ่ายทำภาพยนตร์ชื่อดังอย่างเดอะ ก็อดฟาเธอร์ (The Godfather) เจ้าของ : วิลเลียม แรนดอล์ฟ (William Randolph) ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้จัดการดูแลปราสาทหลังนี้ ปัจจุบันกลายเป็นมรดกและสถานที่ท่องเที่ยวซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติแคลิฟอร์เนีย อันดับ 6 เอลลิสัน เอสเตท (Ellison Estate) ภาพจาก wsj.com ที่ตั้ง : วู้ดไซด์, รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา มูลค่า : 7.2 พันล้านบาท รายละเอียด : คฤหาสน์ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 23 เอเคอร์ ประกอบไปด้วยตึกถึง 10 ตึก ด้วยกัน เจ้าของ : แลร์รี่ เอลลิสัน (Larry Ellison) ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทซอฟต์แวร์ออราเคิล ผู้ซึ่งถูกขนานนามให้เป็นบุคคลที่รวยเป็นอันดับ 3 ของโลก ในปี 2013 (พ.ศ. 2556) อันดับ 5 18-19 เคนซิงตัน พาเลซ การ์เด้นส์ (18-19 Kensington Palace Gardens) ภาพจาก commons.wikimedia ที่ตั้ง : กรุงลอนดอน, สหราชอาณาจักร มูลค่า : 8 พันล้านบาท รายละเอียด : เป็นอีกหนึ่งทรัพย์สินที่ตั้งอยู่ในย่านมหาเศรษฐีในกรุงลอนดอน คฤหาสน์หลังนี้ตั้งอยู่ติดกับพระราชวังของเจ้าชายวิลเลียมและเจ้าหญิงเคท โดยจะประกอบไปด้วย 12 ห้องนอน ห้องน้ำสไตล์เตอร์กิช สระว่ายน้ำกลางแจ้ง และที่จอดรถสำหรับ 20 คัน เจ้าของ : ลักษมี มิตตัล (Lakshmi Mittal) ประธานใหญ่แห่ง Arcelor Mittal บริษัทชั้นนำทางด้านอุตสาหกรรมการผลิตเหล็กครบวงจร และยังเป็น 1 ใน 100 บุคคลที่รวยที่สุดในประเทศอินเดียอีกด้วย อันดับ 4 โฟร์ แฟร์ฟิลด์ พอนด์ (Four Fairfield Pond) ภาพจาก celebritynetworth.com ที่ตั้ง : ซากาโปแน็ก, นครนิวยอร์ก, สหรัฐอเมริกา มูลค่า : 9 พันล้านบาท รายละเอียด : คฤหาสน์หลังโตตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 63 เอเคอร์ ที่มีโรงงานผลิตไฟฟ้าเป็นของตัวเอง ภายในตัวคฤหาสน์ประกอบไปด้วย 29 ห้องนอน, 39 ห้องน้ำ, สนามบาสเกตบอล, ลานโยนโบว์ลิ่ง, สนามสควอช, สนามเทนนิส, สระว่ายน้ำ 3 แห่ง และโต๊ะทานอาหารที่มีความยาวกว่า 28 เมตร เจ้าของ : อิรา เรนเนิร์ท (Ira Rennert) เจ้าของกิจการเรนโค้ กรุ๊ป บริษัทผู้ลงทุนในเครือผู้ผลิตรถยนต์และการหลอม และยังรวมไปถึงโลหะและเหมืองแร่อีกด้วย อันดับ 3 วิลล่า ลีโอโพลดา (Villa Leopolda) ภาพจาก celebritynetworth.com ที่ตั้ง : โกตดาซูร์, ชายฝั่งทะเลทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศฝรั่งเศส มูลค่า : 2.7 หมื่นล้านบาท รายละเอียด : คฤหาสน์หลังมโหฬารตั้งอยู่บนพื้นที่ 50 เอเคอร์ ได้รับการขนานนามว่าเป็นสีเขียวเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ ที่มีทั้งสระว่ายน้ำและบ้านสระว่ายน้ำ, ห้องครัวกลางแจ้ง, ลานจอดเฮลิคอปเตอร์และเกสต์เฮ้าส์ขนาดใหญ่ซึ่งใหญ่กว่าคฤหาสน์ของเศรษฐีส่วนใหญ่ซะอีก และคฤหาสน์หลังนี้ยังถูกใช้เป็นฉากในการถ่ายทำภาพยนตร์สุดคลาสสิกชื่อดังอย่าง ฮิตช์ค็อก (Hitchcock) ในปี 1955 (พ.ศ 2498) เจ้าของ : ลิลลี่ ซาฟรา (Lily Safra) นักสังคมสงเคราะห์ชาวบราซิล และยังเป็นแม่หม้าย อดีตภรรยาของวิลเลี่ยม วาฟรา นายธนาคารชาวเลบานอน ซึ่งเสียชีวิตภายในบ้านของคู่รักคู่หนึ่งหลังจากถูกลอบวางเพลิง อันดับ 2 แอนทิเลีย (Antilia) ภาพจาก india.com ที่ตั้ง : นครมุมไบ, ประเทศอินเดีย มูลค่า : 3.6 หมื่นล้านบาท รายละเอียด : บ้านพักส่วนตัวสมัยใหม่ของมหาเศรษฐีชาวมุมไบ เป็นทรงตึก 27 ชั้น บนพื้นที่ประมาณ 122 ตารางเมตร มีที่จอดรถชั้นใต้ดินถึง 6 ชั้น และมีลานจอดเฮลิคอปเตอร์ 3 ลาน โดยมีพนักงานรับใช้ประจำการอยู่ทั้งสิ้นกว่า 600 คนเลยทีเดียว เจ้าของ : มูเกช อัมบานี (Mukesh Ambani) บุคคลที่ได้ชื่อว่ารวยที่สุดและเป็นนักธุรกิจที่ทรงอิทธิพลที่สุดของอินเดีย เขามีทรัพย์สินส่วนตัวมูลค่าประมาณ 856,400 ล้านบาท นอกจากนี้เขามีรายได้จากการเป็นเจ้าของบริษัทความเชื่อมั่นด้านอุตสาหกรรม บริษัทพลังงานและวัสดุ อันดับ 1 พระราชวังบักกิงแฮม (Buckingham Palace) ภาพจาก wikipedia ที่ตั้ง : กรุงดอนดอน, สหราชอาณาจักร มูลค่า : 5.6 หมื่นล้านบาท รายละเอียด : แม้ตามหลังโครงสร้างแล้วจะถือว่าเป็นบ้าน แต่แน่นอนว่าไม่ใช่สำหรับขาย เนื่องจากเป็นพระราชวังซึ่งเป็นที่ประทับของราชินีของอังกฤษ โดยประกอบไปด้วยห้องหับทั้งหมด 775 ห้อง แบ่งเป็นห้องรับรอง 19 ห้อง, ห้องนอน 52 ห้อง, ห้องพนักงาน 188 ห้อง, ห้องสำนักงาน 82 ห้อง และห้องน้ำอีก 78 ห้อง เจ้าของ : พระราชวังบักกิงแฮมเป็นที่ประทับเป็นทางการของราชวงศ์อังกฤษ ปัจจุบันเป็นของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ประธานเครือจักรภพและผู้ปกครองสูงสุดแห่งคริสตจักรแห่งอังกฤษ ตั้งแต่เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2495   ขอบคุณข้อมูลดีๆ และภาพประกอบจาก Kapook.com
BTS เสียบ่อย แล้วคอนโดติดรถไฟฟ้ายังจำเป็นอยู่ไหม

BTS เสียบ่อย แล้วคอนโดติดรถไฟฟ้ายังจำเป็นอยู่ไหม

โอ้โห!!! BTS เสียทั้งวันทั้งคืนมา 3 วันรวด แถมล่าสุดพ่วงมาด้วย MRT ก็เสียไปด้วยอีก เหล่ามนุษย์ออฟฟิศทั้งหลายก็ได้แต่ถอนใจ ทำอะไรไม่ได้นอกจากโวยวายผ่านโซเชียลกันสนั่น เมื่อเป็นเช่นนี้หลายคนที่เคยหวังให้รถไฟฟ้าเป็นการเดินทางหลักที่จะช่วยให้ชีวิตแสนสะดวกสบายในเมืองกรุงก็เป็นอันพังทลายในพริบตา แล้วแบบนี้หากคิดจะลงทุนควักเงินซื้อคอนโดราคาแสนแพงติดสถานีรถไฟฟ้ายังจำเป็นอยู่หรือไม่     ระบบคมนาคมขนส่งในบ้านเราเป็นที่ทราบกันดีว่า “ยังไม่มีอะไรสมบูรณ์พร้อม” จริงไหมคะ รถเมล์ก็รอนานกว่าจะมาแต่ละสาย วินมอเตอร์ไซค์ก็เรียกค่าโดยสารแพง แท็กซี่ก็ช่างเลือก เรือด่วนเจ้าพระยา เรือคลองแสนแสบก็มีเส้นทางไม่ครอบคลุมมากนัก พอเก็บเงินซื้อรถยนต์หวังความสะดวกสบาย แต่ต้องติดอยู่บนถนนหลายชั่วโมง ซึ่งถ้านับเวลาที่อยู่บนถนนก็สามารถขับรถออกต่างจังหวัดได้เลยใช่ไหมคะ สุดท้ายรถไฟฟ้าจึงเป็นทางเลือกที่ประหยัดเวลาที่สุดสำหรับการเดินทางในกรุงเทพฯ และปริมณฑลบางช่วงที่รถไฟฟ้าเข้าถึง หากไม่เกิดเหตุการณ์เสียบ่อยในชั่วโมงเร่งด่วนเช่นนี้     ในส่วนของคอนโดมิเนียมหลายโครงการก็พยายามหาทำเลเหมาะๆ ใกล้สถานี เพื่อตอบสนองวิถีชีวิตอันเร่งรีบ แบบที่ลงมาจากคอนโดปุ๊บ เดินอีกไม่กี่ก้าวก็ขึ้นสถานีรถไฟฟ้าไปทำงานได้เลย ประหยัดเวลาไปได้อีกเยอะเลยค่ะ แต่หากสถาณการณ์รถไฟฟ้าในปัจจุบันยังไม่สู้ดีอยู่  เช่นนี้ ประกอบกับราคาคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าอันแสนแพง เราก็คงอาจจะต้องย้อนกลับมาตั้งคำถามกับตัวเองกันใหม่ว่า คอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเราจริงหรือไม่ เพราะสิ่งที่พอจะเป็นทางออกของการเดินทางในกรุงเทพฯ ได้ในขณะนี้ คือนอกจากจะต้องเผื่อเวลาการเดินทาง ก็ต้องวางแผนการเดินทางเอาไว้หลากหลายเส้นทางด้วย เช่น ใครที่ไม่มีรถยนต์ส่วนตัวถ้าใช้การเดินทางด้วยรถไฟฟ้าเป็นหลัก ก็อาจจะต้องหาโครงการที่ใกล้สถานีรถไฟฟ้าไปพร้อมๆ กับมีป้ายรถเมล์ วินมอเตอร์ไซค์อยู่ใกล้ๆ ไปด้วย แต่ถ้าใครใช้รถยนต์  ส่วนตัว นอกจากจะมองหาคอนโดมิเนียมที่ใกล้จุดขึ้น-ลงทางด่วนแล้ว ก็ต้องสามารถเลือกไปขึ้นรถไฟฟ้าได้ด้วยเป็นแผนสำรองในบางวันเอาไว้ หรือจะเลือกอยู่คอนโดมิเนียมใกล้กับออฟฟิศไปเลยก็น่าสนใจนะคะ จะได้ตัดปัญหาเรื่องการเดินทางออกไปเลย   สุดท้ายแล้วคอนโดมิเนียมทำเลดี ไม่ได้หมายความว่าจะต้องติดสถานีรถไฟฟ้าให้มากที่สุดเสมอไป แต่คอนโดมิเนียมที่ตั้งบนทำเลอัน  เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ตัวผู้อยู่อาศัยเองจริงๆ มากกว่า ถึงจะเรียกว่าเป็นคอนโดมิเนียมทำเลดีที่สุดสำหรับตัวเราเอง ฉะนั้นก็ลองถาม  ความต้องการของตัวเองดูให้ดีค่ะ ว่าโครงการทำเลไหนจึงจะตอบโจทย์เราได้มากที่สุด
ความน่าสนใจของคอนโดมิเนียมรีเซล

ความน่าสนใจของคอนโดมิเนียมรีเซล

เมื่อไม่นานมานี้ทีมงาน Reviewyourliving ได้มีโอกาสเข้าไปนั่งพูดคุยกับทางผู้บริหารจาก Bangkok Citismart เอเจ้นท์อันดับ 1 ของวงการ  รีเซลคอนโดมิเนียม ซึ่ง ณ วันนี้ตลาดรีเซลคอนโดมิเนียมจะเป็นอย่างไรบ้าง ทั้งในแง่ของผู้อยู่อาศัยเองและนักลงทุน เรานำข้อมูลเหล่านั้นมาฝากกันค่ะ     คำถามยอดนิยมที่ว่า “ซื้อคอนโดอย่างไรให้ได้ราคาดีที่สุด” คำตอบที่มักจะได้นั่นคือ ซื้อช่วง Pre Sale เพราะนอกจากจะมีโอกาสเลือกยูนิตที่หมายตาเอาไว้ได้ (ถ้าจองทันนะคะ) ก็ยังขึ้นชื่อว่าได้ห้องแบบมือหนึ่งจริงๆ เนื่องจากหลังจากเสร็จสิ้นช่วง Pre Sale อันแสนโหดจากการต้องแย่งชิงต่อคิวกันตั้งแต่เช้า หรือความเร็วในการกดจองออนไลน์ หลังจากนั้นก็จะเกิดการบวกราคาเพิ่มจากนักลงทุนเก็งกำไรทั้งในระยะสั้น-ระยะยาว ทำให้ราคารีเซลสูงขึ้นอีกเป็นหลักแสนบาท แต่เชื่อไหมคะว่าสมัยนี้คอนโดมิเนียมรีเซลกลับมีราคาถูกกว่าโครงการขึ้นใหม่หลายแห่งเสียอีก   การซื้อคอนโดมิเนียมช่วง Pre Sale นั้นหมายถึงการซื้อโดยที่ยังไม่ได้เห็นของจริงว่าออกมาเป็นอย่างไร จะเหมือนกับที่โฆษณาเอาไว้หรือไม่ อีกอย่างคือเราไม่อาจทราบได้ว่าเมื่อเข้าไปอยู่อาศัยจริงแล้วจะมีการจัดการภายในจากนิติบุคคลดีแค่ไหน เพื่อนบ้านของเราเป็นอย่างไรบ้าง สิ่งเหล่านี้ก็เหมือนกับการเสี่ยงดวงกันเอาว่าสุดท้ายแล้วคอนโดมิเนียมแห่งนั้นจะมีองค์ประกอบต่างๆ ทำให้เกิดเป็นสังคมที่มีคุณภาพหรือไม่ แตกต่างจากคอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จพร้อมโอนกรรมสิทธิ์ เราจะสามารถได้ดูห้องจริงบนอาคารที่สร้างเสร็จแล้ว ได้เห็นวิว เห็นทิศทางจริงจากยูนิตที่เราต้องการได้เลย ได้เห็นส่วนกลางจริง ได้สัมผัสบรรยากาศความเป็นอยู่ทั้งในคอนโดมิเนียมเอง และสภาพแวดล้อมรอบข้าง สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีผลต่อความน่าอยู่อาศัย รวมถึงราคาของคอนโดมิเนียมในอนาคต ซึ่งเมื่อเห็นสภาพจริงแล้วเราก็สามารถประเมินได้เองคร่าวๆ     ระยะ 1-2 ปีมานี้ เราจะสังเกตได้ว่าคอนโดมิเนียมโปรเจคใหม่ๆ มักจะเกิดขึ้นในระดับตั้งแต่ Luxury ขึ้นไป เนื่องจากต้นทุนในแง่ของราคากับความจำกัดของที่ดินใจกลางเมืองติดรถไฟฟ้า ประกอบกับการจับกลุ่มลูกค้าระดับบนที่มีกำลังซื้อสูงรวมถึงลูกค้าชาวต่างชาติ ด้วยปัจจัยเหล่านี้จึงทำให้ราคาคอนโดมิเนียมสูงขึ้นเช่นทุกวันนี้ สุดท้ายไม่ว่าจะเป็นผู้อยู่อาศัยเองหรือคนลงทุนก็จะกลับมามองราคาในระดับที่ตัวเองรับได้จริงๆ ซึ่งเป็นจุดนี้เองที่คนจะหันกลับมามองคอนโดรีเซล โดยเฉพาะในนักลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ที่หันมาเก็บเกี่ยวกำไรจาก Rental Yield กันมากขึ้นกว่าการหวัง Capital Gain เพียงอย่างเดียวแบบสมัยก่อน แต่ปัจจุบันด้วยราคาคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ที่เพิ่มสูงขึ้นเฉลี่ย 10%/ปี ต่างจากราคาคอนโดรีเซลประมาณ 10-20% แต่ด้วยราคาค่าเช่าจะมีการขยับเพิ่มขึ้นไม่ถึง 5%/ปี เท่านั้น ส่งผลให้ภาพรวมของ Rental Yield ลดลง ซึ่งเรื่องนี้เป็นจุดที่น่าสนใจนะคะ เพราะในทางกลับกันหากซื้อโครงการรีเซล อาจจะได้ Rental Yield มากกว่าปล่อยเช่าในโครงการใหม่เสียอีก ยกตัวอย่างเช่น คอนโดมิเนียมโซนพร้อมพงษ์-ทองหล่อ ใกล้สถานีรถไฟฟ้าจะมีการถูกเช่าอยู่ตลอด โดยเฉพาะ  ชาวต่างชาติที่เข้ามาอาศัยอย่างญี่ปุ่น และชาวตะวันตก ซึ่งทุกวันนี้ได้ Rental Yield เฉลี่ยที่ 7-8% ขณะที่โครงการเกิดขึ้นใหม่ในโซนเดียวกันกลับได้ ไม่ถึง 5% เพราะราคาคอนโดมิเนียมซึ่งเป็นต้นทุนสูงขึ้นนั่นเองค่ะ นั่นหมายความว่ากลุ่มนักลงทุนปล่อยเช่าหลายรายก็ย่อมที่จะต้องกลับมามองคอนโดมิเนียมรีเซลที่เก็บเกี่ยว Rental Yield ได้มากกว่า และยังสร้าง Capital Gain ให้เติบโตอย่างต่อเนื่องได้ด้วย   คอนโดรีเซลก็มีความน่าสนใจไม่น้อยเลยใช่ไหมคะ ซึ่งหากเรามีการซื้อ-ขายผ่านเอเจ้นท์ที่น่าเชื่อถือก็จะเพิ่มความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น และยังสามารถให้คำแนะนำได้สำหรับผู้อยู่อาศัยเองหรือนักลงทุนมือใหม่ก็ตาม ถือเป็นอีกทางเลือกที่ดีสำหรับคนที่สนใจคอนโดมิเนียม     ทีเดียวค่ะ     ข้อมูลจาก : Bangkok Citismart  (Professional Property Agent)      
คอนโดติดรถไฟฟ้า ดีจริงหรือ?

คอนโดติดรถไฟฟ้า ดีจริงหรือ?

ทุกวันนี้เมื่อเอ่ยถึงคอนโดมิเนียมก็ต้องทำเลติดรถไฟฟ้า เพราะเป็นการเดินทางที่สะดวกรวดเร็วที่สุด ท่ามกลางรถติดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันในกรุงเทพมหานครแห่งนี้ หลายค่ายก็โหมโปรโมทกันยกใหญ่ว่ายิ่งติดรถไฟฟ้าก็ยิ่งดี แต่ทว่ายิ่งติดสถานีรถไฟฟ้ามากเท่าไร ราคาก็ยิ่งแพงขึ้นเป็นเงาตามตัวเช่นกันใช่ไหมคะ ที่สำคัญก็ใช่ว่าจะมีสิ่งแวดล้อม หรือสิ่งอำนวยความสะดวกดีๆ ไปเสียทุกสถานี แล้วอย่างนี้จะดีจริงหรือ?   จากการประเมินสภาพจราจรทั่วโลก ประจำปี 2560 โดย INRIX Global Traffic Scorecard(บริษัทที่ทำการ วัดผลการจราจรในช่วงเวลาเร่งด่วนรวมถึงช่วงเวลาอื่นๆ จากทั่วโลก) พบว่ากรุงเทพฯ ติดอันดับเมืองรถติดมากที่สุดอันดับ 16 ของโลก และยังเป็นอันดับ 1 ของเอเชีย การเดินทางบนท้องถนนจึงกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้นทุกวัน และการแก้ปัญหาได้ดีที่สุดจึงหนีไม่พ้นรถไฟฟ้า เพราะสามารถลดระยะเวลาเดินทางลงได้มาก แม้ว่าทุกวันนี้ จะมีอยู่ไม่กี่สายก็ตาม หลายคนเลยพยายามมองหาที่พักอาศัยใกล้สถานีรถไฟฟ้า เพื่อแลกมากับ เวลาเดินทางที่สั้นลง เหนื่อยน้อยลง แต่ก็มีข้อควรระวังในการเลือกคอนโดมิเนียมติดสถานีรถไฟฟ้าด้วยนะคะ   เป็นที่ทราบกันดีว่ายิ่งติดรถไฟฟ้ามากเท่าไรก็ยิ่งมีราคาแพง โดยเฉพาะสถานีย่านใจกลางเมืองก็ย่อมเป็นโครงการระดับ Super Luxury ด้วยทำเล รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกเพียบพร้อมในทุกด้าน เช่น สถานีทองหล่อ, สถานีเพลินจิต, สถานีชิดลม, สถานีศาลาแดง, สถานีช่องนนทรี เป็นต้น แต่ถ้าเป็นคอนโดมิเนียมที่อยู่ใกล้สถานีที่ห่างออกมา จากใจกลางเมืองก็คงต้องมาพิจารณากันเป็นรายสถานีกันไปค่ะ เพราะหลายสถานีก็ไม่ได้มีสภาพแวดล้อมที่ดีเท่าไรนัก หากไม่ใช่คนที่อยู่ย่านนั้นอยู่แล้วก็อาจจะไม่รับรู้ได้ อย่างที่เราจะยกตัวอย่างปัญหาจากบางสถานีแบบกว้างๆ ให้ได้ลองไปสังเกตกันดูค่ะ สถานีคนล้น เป็นสถานีที่มีคนใช้บริการกันเยอะมาก โดยเฉพาะชั่วโมงเร่งด่วนเพื่อเดินทางเข้าไปทำงานในเมือง บางวันถึงขั้นล้นจนไม่สามารถขึ้นไปยังชานชาลาได้ และหากผู้โดยสารในขบวนก็เต็มมาจากสถานีก่อนหน้าอยู่แล้ว พอมาถึงสถานีถัดไปก็ขึ้นได้แค่ไม่กี่คนเท่านั้น กลายเป็นต้องเผื่อเวลากันมากขึ้นเพื่อรอคิวเบียดเข้าขบวนรถที่อัดแน่นไปด้วยผู้คนจนแทบหายใจไม่ออก   สถานีน้ำท่วม เชื่อไหมคะว่ามีบางสถานีที่เวลาเกิดฝนตกหนักก็เกิดน้ำท่วมขังที่ถนนข้างใต้สถานีนั้นเอง แล้วยิ่งหากถนนช่วงที่น้ำท่วมนั้นอยู่หน้าคอนโดของเราพอดีล่ะคะ นอกจากผู้ที่ใช้บีทีเอสจะต้องเดินลุยน้ำแล้วเข้าคอนโดแล้วยังส่งผลถึงราคาขายห้องในอนาคตตามไปด้วย เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ต้องดูดีๆ เลยค่ะ   สถานีเปลี่ยว แม้จะเป็นช่วงที่มีรถไฟฟ้าผ่าน แต่ก็ยังมีบางสถานีที่เป็นเหมือนแค่ทางผ่านค่ะ สิ่งอำนวยความสะดวก ใกล้สถานีก็แทบไม่มี แถมช่วงกลางคืนไม่ค่อยมีผู้คนเดินอยู่แถวนั้น ไฟก็ไม่สว่างก็ยิ่งเปลี่ยวเข้าไปกันใหญ่   สถานีมีแค่ตลาด ถ้าไลฟ์สไตล์ของคุณชอบเดินห้างสรรพสินค้าตากแอร์เย็นๆ นั่งทานร้านอาหารในห้างแล้วล่ะก็ คอนโดมิเนียมที่อยู่ในสถานีใกล้กับตลาดก็คงไม่เหมาะเท่าไร แม้จะอยู่ติดกับรถไฟฟ้าก็ตามใช่ไหมคะ บางแห่งก็เป็นตลาดสดอาจมีกลิ่นรบกวน ส่งผลต่อสภาพแวดล้อม สุดท้ายก็ไปกระทบกับราคาขายในอนาคตอีกต่างหาก   สถานีใกล้ห้างสรรพสินค้า หรือแหล่งร้านแฮงค์เอ้าท์ คอนโดมิเนียมที่ใกล้ทั้งสถานีรถไฟฟ้าพร้อมๆ กับห้างสรรพสินค้า ย่อมเป็นทำเลที่ดีมากใช่ไหมคะ แต่ในทางกลับกันหากไลฟ์สไตล์ของคุณชอบความเงียบสงบเป็นส่วนตัว เดินหาอะไรง่ายๆ ทานมากกว่า คอนโดมิเนียมทำเลนี้ก็คงไม่เหมาะค่ะ เพราะอาจมีค่าครองชีพที่สูงขึ้น ผู้คนพลุกพล่านอยู่เกือบตลอดเวลา และยิ่งหากใกล้แหล่งแฮงค์เอ้าท์ก็อาจได้รับผลกระทบจากเสียงดังช่วงกลางคืนได้   ห้องติดริมถนนใหญ่ โครงการที่ติดสถานีรถไฟฟ้าย่อมต้องอยู่ติดริมถนนใหญ่ไปด้วยใช่ไหมคะ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ควรระวังห้องที่อยู่ฝั่งริมถนนหน้าโครงการปค่ะ โดยเฉพาะยูนิตที่อยู่ชั้นไม่สูงจะได้รับผลกระทบจากเสียงบนท้องถนนที่ดังอยู่ตลอดเวลา และสิ่งที่จะตามมานั้นคือฝุ่นดำๆ ที่มักจะเกาะติดอยู่ที่ระเบียงเป็นประจำ ซึ่งเวลาเราตากผ้าไว้ที่ระเบียงก็ต้องโดนฝุ่นเหล่านี้ตามไปด้วยค่ะ   สุดท้ายหากคิดจะควักเงินสักก้อนเพื่อให้ได้อยู่คอนโดติดรถไฟฟ้าแลกกับความสะดวกสบายก็ต้องดูที่สถานีด้วยค่ะ ว่าเป็นสถานีอะไร สำรวจสภาพแวดล้อมเป็นอย่างไร ช่วงชั่วโมงเร่งด่วนเป็นอย่างไร เวลาเราเข้าไปอาศัยอยู่จริงจะได้ ไม่เกิดปัญหาภายหลัง และเพื่อได้คอนโดที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของเรามากที่สุดค่ะ  
จริงหรือ คน Gen Y นิยมเช่ามากกว่าซื้อ

จริงหรือ คน Gen Y นิยมเช่ามากกว่าซื้อ

Gen Y คือกลุ่มคนที่เกิดประมาณ พ.ศ.2523-2543 ปัจจุบันก็อยู่ในช่วงวัยเรียนมหาวิทยาลัยไปจนถึงวัยทำงาน โดยมีนักวิเคราะห์จากหลายแห่งต่างก็ลงความเห็นกันว่า กลุ่มคนวัยนี้มักจะมีพฤติกรรมชอบเรียนรู้อะไรใหม่ๆ ด้วยตัวเอง มีความเป็นตัวของตัวเอง แบ่งเวลางานกับชีวิตส่วนตัวได้ดี แต่ก็ถูกปรามาสเอาไว้มากเหมือนกันว่ามักจะไม่ค่อยมี ความอดทน  ซึ่งด้วยช่วงอายุของคนวัยนี้ก็มักเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของเหล่าสินค้าและบริการต่างๆ มากมาย รวมไปถึงคอนโดมิเนียม ทาวน์โฮม และบ้านเดี่ยวด้วย   ในความเป็นจริงแล้วถ้าเราจะไปตัดสินว่าใครมีพฤติกรรมเป็นอย่างไรก็คงจะถูกต้องไปเสียทั้งหมดจริงไหมคะ เพราะแต่ละคนก็มีไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกันออกไป  และเมื่อพูดถึงในแง่ของการอยู่อาศัยคอนโดมิเนียม บางคนครอบครัวก็ซื้อให้เลยตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย บางคนทำงานได้ 2-3 ปีก็ตัดสินใจซื้อเอง ยิ่งเริ่มผ่อนเร็ว โปะเป็นบางช่วงก็ยิ่งหมดเร็ว เพราะระยะหลังมาหลายโครงการก็มีโปรโมชั่นยั่วยวนใจเหล่า First jobber เมื่อไม่นานมานี้เราได้ข้อมูลมาจากเจ้าหน้าที่สถาบันการเงินระดับสูงว่า กลุ่มคน Gen  Y ที่มีไลฟ์สไตล์แบบ คนเมืองกรุงเริ่มมีพฤติกรรมชอบเช่าคอนโดอยู่มากกว่าซื้อ และเมื่อหมดสัญญาเช่าก็เลือกย้ายไปอยู่คอนโดอื่นที่ใหม่กว่า แม้ราคาค่าเช่าจะแพงกว่าแต่ก็ไม่ต่างกันมาก เพราะโครงการใหม่ๆ ย่อมมีได้ดีไซน์สวย ส่วนกลางเพิ่มมากขึ้น ซึ่งตรงนี้ในมุมของ Developer ก็แข่งขันกันสร้างสรรค์พื้นที่ส่วนกลางให้ตอบรับกับไลฟ์สไตล์ของลูกบ้าน ที่เป็นกลุ่มคนรุ่นนี้เช่นกัน   ในแง่ของการยื่นกู้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย เนื่องจากเด็กรุ่นใหม่นั่นมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง โดยเฉพาะแนวคิดที่ อยากจะมีธุรกิจเป็นของตัวเอง เพื่อที่จะได้ไม่เป็นลูกน้องใคร มีอิสระด้านเวลามากขึ้น ซึ่งธุรกิจที่ได้รับความนิยมสูงสุด ก็คงหนีไม่พ้นร้านกาแฟ และการลาออกจากงานประจำมาขายของออนไลน์อย่างเต็มตัว โดยเมื่อไรที่กลุ่มคนเหล่านี้ จะทำเรื่องยื่นกู้สินเชื่อก็มักถูกปฏิเสธสูงกว่าคนรุ่น Gen X หรือสูงกว่าคน Gen Y ที่เป็นมนุษย์เงินเดือนเสียอีก ซึ่งปัจจัยสำคัญคือเรื่องของวินัยทางการเงินที่แม้จะมีเงินหมุนเวียนอยู่ตลอด แต่ธนาคารอาจมองได้ว่า เป็นกระแสเงินสดที่ไม่ดีเท่าที่ควร เงินออมที่เป็นเงินเย็นจริงๆ ยังน้อยอยู่ ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าธนาคารจะปฏิเสธ ผู้ที่มีกิจการเล็กๆ เป็นของตัวเองไปเสียทุกรายนะคะ เพียงแต่จะเข้มงวดมากขึ้นเรื่องวินัยทางการเงินเท่านั้นเอง   สุดท้ายไม่ว่ากลุ่มคน Gen Y จะเลือกเช่าหรือซื้อ แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปแน่ๆ นั่นคือพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป อย่างรวดเร็ว ชนิดที่ว่า Developer ต้องวิ่งให้ทันเพื่อครองใจให้อยู่หมัด ซึ่งสิ่งสำคัญคือคนวัยนี้มักจะไม่คล้อยตาม คำโฆษณาง่ายๆ ตราบใดที่ยังไม่ได้สัมผัสด้วยตัวเอง แต่ถ้ามีอะไรที่มาตอบโจทย์การใช้ชีวิตได้อย่างโดนใจ ก็อาจจะตัดสินใจได้ไม่ยากเช่นกันใช่ไหมคะ  
อนาคตที่อยู่อาศัยวัยเกษียณ ไม่ใช่แค่บ้านผู้สูงอายุ

อนาคตที่อยู่อาศัยวัยเกษียณ ไม่ใช่แค่บ้านผู้สูงอายุ

ที่ผ่านมาเราได้ยินคำว่า “สังคมผู้สูงอายุ” กันมาพักใหญ่ จนในปี 2561 นี้ประเทศไทยก็ได้เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ ขณะเดียวกันอัตราการเกิดใหม่ก็น้อยลงทุกปี สิ่งที่จะตามมาไม่เพียงแค่เรื่องของแรงงานวัยทำงานลดลงแล้วไปกระทบต่อ ภาพรวมเศรษฐกิจเท่านั้น แต่เรื่องที่อยู่อาศัยก็สำคัญเช่นกัน เพราะฉะนั้นทุกวันนี้เราจึงเห็นโครงการที่อยู่อาศัย สำหรับวัยเกษียณเพิ่มมากขึ้นจากทั้งภาครัฐและเอกชนที่ต่างก็มองเห็นความสำคัญในเรื่องนี้ โดยจะน่าสนใจอย่างไร ลองมาดูกันค่ะ   หลักเกณฑ์จากสหประชาชาติระบุว่า หากประเทศใดมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปเกินร้อยละ 10 ของประเทศก็ถือว่า ประเทศนั้นเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบแล้ว ซึ่งในประเทศไทยในปัจจุบันมีประชากรวัยเกษียณร้อยละ 14.5 โดยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นปีละอีก 500,000 คน/ปี(ข้อมูลจากสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล) เรื่องนี้หลายภาคส่วนก็เริ่มหันมาให้ความสำคัญไม่น้อยค่ะ จะเห็นได้จากหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นเพื่อผู้สูงอายุมากขึ้น เช่น สินค้าเพื่อสุขภาพ, โครงการบ้านที่เริ่มมีห้องนอนสำหรับผู้สูงอายุ, การจัดอบรมให้ความรู้ต่างๆ, สถาบันการเงิน อย่างธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ออกสินเชื่อบุพเพสันนิวาส ผู้สูงอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไปสามารถยื่นกู้สินเชื่อ เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย ซื้อที่ดิน ปลูกสร้าง ซื้ออุปกรณ์สิ่งอำนวยความสะดวกที่เกี่ยวเนื่อง เพื่อประโยชน์ในการอยู่อาศัย โดยสามารถผ่อนชำระได้ถึงอายุ 75 ปี ดอกเบี้ย 3.99% คงที่ 10 ปี เป็นต้น ในส่วนของที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุที่ผ่านมาเราจะชินกับคำว่าบ้านพักคนชรากันเสียมากกว่า แม้จะเป็นอีก หนึ่งทางเลือก ซึ่งก็เป็นที่ทราบกันดีว่าสภาพแวดล้อมไม่ดีเท่าไรนักและไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกเท่าที่ควร จึงไม่เป็นที่สนใจกันสักเท่าไรนัก แต่ปัจจุบันนี้เราคงต้องเปลี่ยนความคิดกันใหม่แล้วล่ะค่ะ เพราะหลายโครงการ ที่อยู่อาศัยใหม่ๆ สำหรับผู้สูงอายุน่าสนใจไม่แพ้คอนโดมิเนียมหรือบ้านจัดสรรยุคนี้เลยทีเดียว เริ่มตั้งแต่ศูนย์พัฒนา คุณภาพชีวิตผู้สูงอายุและส่งเสริมอาชีพระดับตำบล กระจายอยู่ 778 แห่งทั่วประเทศและกำลังจะมีการขยายเพิ่มอีก 400 แห่งภายในปีนี้เพื่อให้ผู้สูงอายุได้อยู่อาศัยไม่ไกลจากถิ่นที่อยู่เดิมมากนักจะมีการจัดกิจกรรมหลากหลายสำหรับฝึกสมอง ฝึกอาชีพ อีกทั้งในอนาคตก็จะมีโครงการฝากผู้สูงอายุไว้ที่ศูนย์ช่วงกลางวัน ลูกหลานจะได้หมดห่วงเวลาทำงานแล้ว ผู้สูงอายุจะต้องอยู่บ้านคนเดียว ช่วงเย็นก็สามารถไปรับกลับบ้านได้ ทางด้านสถานสงเคราะห์คนชราในปัจจุบันที่เดิมอยู่ในการดูแลของกรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ได้ทำการโอนให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดูแลต่อแล้วบางส่วน โดยมีโครงการพัฒนา ยกระดับจากสถานสงเคราะห์สู่ “ซีเนียร์คอมเพล็กซ์” แบบครบวงจร มีการควบคุมสถานที่ มีพยาบาลดูแลตลอด 24 ชม. ตลอดจนการดูแลผู้สูงอายุให้ได้ตามมาตรฐานที่ดี ตามที่ทางภาครัฐทำการศึกษาไว้จะออกมาในลักษณะ เป็นห้องชุดในอาคาร 5 ชั้น ซึ่งกำลังจะเปิดภาคเอกชนเข้ามาลงทุนภายในปีนี้   ส่วนภาคเอกชนก็มีทั้งโครงการสำหรับผู้สูงอายุโดยเฉพาะ เช่น โครงการ Jin Wellbeing County จ.ปทุมธานี, โครงการวิลล่ามีสุข เรสซิเดนท์เซส อ.สันทราย จ.เชียงใหม่, โครงการเวลเนสซิตี้ บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นต้น ซึ่งโครงการลักษณะนี้จะเน้นทำเลที่ใกล้กับโรงพยาบาล มีบรรยาการภายในโครงการปลอดโปร่งใกล้ชิดธรรมชาติ มีเจ้าหน้าที่ดูแลตลอดเวลา และโครงการที่อยู่อาศัยทั่วไปที่มีการออกแบบมาเพื่ออยู่กับครอบครัวที่มีผู้สูงอายุอยู่ด้วย โดยใส่สิ่งอำนวยความสะดวกเพิ่มความปลอดภัยมากขึ้น เช่น ห้องนอนชั้นล่างของบ้าน, ราวจับในห้องน้ำ, ปูพื้นด้วยกระเบื้องชนิดกันลื่น เป็นต้น   น่าชื่นใจนะคะที่สังคมหันมาให้ความสำคัญกันมากขึ้นหลังจากมองข้ามกันมานานพอสมควร หากเรามีมาตรการรองรับ ที่ดีเรื่องสังคมผู้สูงอายุในประเทศไทยก็จะไม่ใช่ปัญหาตามมาภายหลัง    
7 ประเด็นร้อนตลาดอสังหาริมทรัพย์ กรุงเทพฯ

7 ประเด็นร้อนตลาดอสังหาริมทรัพย์ กรุงเทพฯ

  เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง ชี้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ ปรับตัวรับการลงทุนของกลุ่ม    ทุนต่างชาติ ผู้ประกอบการรายกลางและรายใหม่ตบเท้าเข้าตลาดเพิ่ม ส่วนผู้ประกอบการรายใหญ่มองหาการลงทุนในตลาดเช่าเพื่อบริหารต้นทุนและรับรู้รายได้ในระยะยาว ส่วนครึ่งปีหลังตลาดคอนโดมิเนียม ระดับลักซูรี่กลางเมืองยังเติบโตต่อเนื่อง   นางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า ในช่วงไตรมาสแรกของปี2561 ตลาดอสังหาริมทรัพย์กรุงเทพฯ ยังคงคึกคักต่อเนื่อง และมีประเด็นสำคัญในตลาดที่น่าจับตามองอยู่หลายประเด็น ทั้งในแง่ของการลงทุน ราคาที่ดิน แนวโน้มช่วงครึ่งปีหลัง และปีหน้า     ประเด็นที่ 1 : ในช่วงไตรมาสแรกปี 2561 มีโครงการ คอนโดมิเนียม เกิดใหม่ โดยผู้ประกอบการทั้งรายใหญ่ และรายย่อยจำนวน 14,094 หน่วย จาก 31 โครงการ ซึ่งเพิ่มขึ้นใกล้เคียงกับที่ประมาณการไว้ก่อนหน้านี้ ทำให้มีจำนวนห้องชุดทั้งหมดในตลาด อยู่ที่ 564,000 หน่วย และจากการที่ที่ดินในใจกลางเมืองมีราคาปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้พัฒนาไม่สามารถหาที่ดินพัฒนาโครงการได้เหมาะสม สัดส่วนห้องชุดที่เกิดใหม่จึงเกิดขึ้นบริเวณ โซนสุขุมวิทตอนปลาย (29%) โซนพญาไท-รัชดาภิเษก-พระราม 9 (23%) โซนตากสิน เพชรเกษม (17%) เป็นหลัก สำหรับในครึ่งปีหลังนี้น่าจะเห็นโครงการใหม่เกิดขึ้นบริเวณแจ้งวัฒนะ และ รามอินทรามากขึ้น จากแผนการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีชมพูที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น  อย่างไรก็ตาม  สิ้นปีนี้หรือต้นปีหน้า ราคาคอนโดมิเนียมในกลุ่มซูเปอร์ลักซูรี่กลางเมืองที่เปิดตัวราคาตารางเมตรละ 400,000 บาท จะมีให้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ จากราคาที่ดินที่เพิ่มสูงขึ้น  ในขณะที่ตลาดซิตี้คอนโดจะขยายตัวออกไปในส่วนต่อขยายรถไฟฟ้ามากขึ้น ทำให้ราคาไม่ปรับตัวสูงขึ้นมากนัก   ประเด็นที่ 2 : หลายปีที่ผ่านมา ผู้พัฒนาหลักในตลาดคอนโดมิเนียมจะเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งมีสัดส่วนมากกว่า 70% ของตลาด แต่สำหรับในช่วงไตรมาสแรกนี้ ผู้พัฒนาโครงการ รายกลางและรายใหม่ เริ่มมีสัดส่วนมากขึ้น รวมทั้งผู้พัฒนาจากต่างชาติด้วย โดยมีผู้พัฒนาโครงการรายกลางและรายใหม่เปิดตัวโครงการประมาณ 38% ของจำนวนห้องชุดใหม่ในตลาด ซึ่งจะเห็นได้ชัดว่าตลาดยังน่าดึงดูดให้ผู้ประกอบการรายใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ผู้ประกอบการขนาดกลางหลายรายยังมี Roadmap ที่จะนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ภายใน 1 - 2 ปีนี้อีกด้วย   ในขณะเดียวกันแผนธุรกิจและการพัฒนาโครงการสำหรับผู้ประกอบการรายใหญ่ กลับมาให้ความสำคัญกับตลาดที่มีความยั่งยืนมากขึ้น เปลี่ยนแปลงสัดส่วนการลงทุน ระมัดระวังการซื้อที่ดินกลางเมืองบ้าง โดยเพิ่มพัฒนาตลาดบ้านแนวราบที่การเช่าที่ดินระยะยาว เพื่อพัฒนาโครงการที่มีรายได้ค่าเช่ามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น โรงแรมหรืออาคารสำนักงาน และเริ่มมองหาการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศมากขึ้นด้วย     ประเด็นที่ 3 : ทุนต่างชาติ ในช่วงไตรมาสแรกมีบริษัททุนขนาดใหญ่จากจีนที่เปิดตัวโครงการชัดเจนโดยมิได้อาศัยบริษัทไทยที่มีชื่อเสียงเข้าร่วมทุนถึง 20% ของจำนวนห้องชุดที่เปิดในตลาดกรุงเทพฯ  และเป็นโครงการขนาดใหญ่ มูลค่ารวมมากกว่า 30,000 ล้านบาท แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในการลงทุนในประเทศไทย สำหรับต่างชาติที่เคยเข้ามาลงทุนก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็น ญี่ปุ่น ฮ่องกง สิงคโปร์ ก็ยังคงมองหาโอกาสในการลงทุนอย่างต่อเนื่อง เริ่มเห็นคอนโดมิเนียมที่ตอบสนองความต้องการของคนญี่ปุ่นมากขึ้น ปีนี้ทุนญี่ปุ่นที่จะเข้ามาพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ต่อเนื่องอีกไม่ต่ำกว่า 4 - 5 โครงการ   ประเด็นที่ 4 : นักลงทุนรายย่อยต่างชาติ ยังคงให้ความสนใจเข้ามาลงทุนซื้อคอนโดมิเนียมอย่างต่อเนื่อง   และมีจำนวนมากขึ้น ปัจจัยหลักก็ยังคงมาจากราคาสินค้าที่ยังคงถูกกว่ามาก เมื่อเทียบกับตลาดในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักลงทุนจากฮ่องกง และญี่ปุ่น ประกอบกับระยะการเดินทางก็ไม่ไกล การซื้อคอนโดมิเนียมไว้           ก็เสมือนเป็นบ้านหลังที่ 2 เพื่อพักผ่อนและปล่อยเช่า ก่อนหน้านี้เราจะเห็นเทรนด์นี้ เฉพาะในสินค้าประเภท ลักซูรี่ และซูเปอร์ลักซูรี่เท่านั้น แต่ตอนนี้ตลาดไฮเอนด์ และตลาดระดับกลางก็เริ่มมีนักลงทุนให้ความสนใจมากขึ้น นอกจากนี้นักลงทุนจากประเทศจีน ก็ยังต้องการย้ายเงินลงทุนมายังต่างประเทศเพื่อกระจายความเสี่ยงอีกด้วย  ประกอบกับผู้พัฒนาโครงการรายใหญ่ในประเทศเองก็ออกไปนำเสนอสินค้าในต่างประเทศมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างต่อเนี่อง มีการสร้างความเชื่อมั่นด้วยการไปเปิดสำนักงานย่อย เพื่อบริการลูกค้าอีกด้วย จึงทำให้ตลาดต่างประเทศโดยเฉพาะในเอเชียเติบโตอย่างต่อเนื่อง   อีกส่วนที่น่าจับตามองคือ ในช่วงที่ผ่านมามีนักลงทุนเข้ามามองหาซื้อห้องชุดในโควต้าต่างชาติ 49% เพื่อไปเสนอให้นักลงทุนรายย่อยในต่างประเทศเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากมองเห็นโอกาสในการทำกำไร ในขณะเดียวกันก็ยังเชื่อมันว่ามีผู้ซื้อรายย่อยในประเทศต่างๆ ยังคงมองหาคอนโดมิเนียมในเมืองไทยอย่างต่อเนื่อง ทำให้ตลาดนี้ก็น่าจะยังคงเติบโตได้ต่อไป     ประเด็นที่ 5 : สำหรับนักลงทุนรายใหม่ที่มีเงินทุนจากธุรกิจครอบครัว รุ่นพ่อแม่เริ่มจับมือกันมาร่วมทุน   เพื่อพัฒนาโครงการที่พักอาศัยแนวใหม่มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นคอนโดมิเนียมหรือบ้านพักอาศัยระดับหรู โดยกลุ่มนี้      ก็เหมือน Startup ในธุรกิจอื่นๆ มีต้นทุนในการบริหารจัดการต่ำ มีความคล่องตัวสูง บางกลุ่มก็มีตลาดรองรับสินค้า  ที่พัฒนาอย่างชัดเจนซึ่งอยู่ในเครือข่ายของธุรกิจหลัก และไม่เฉพาะตลาดที่อยู่อาศัยเท่านั้น ยังรวมไปถึง โรงแรมแนวใหม่ อพาร์ทเมนท์ Co-working space หรือ Lifestyle retail ต่างๆ   ประเด็นที่ 6 : หลายๆ โครงการอสังหาริมทรัพย์ได้นำ Platform การใช้ชีวิต ที่ตอบสนองกับ Lifestyle คนไทยที่เปลียนแปลงไปอย่างรวดเร็ว มาเพิ่มเป็นจุดขายในการพัฒนาโครงการ ไม่ว่าจะเป็นระบบสั่งการหรือการให้บริการผ่าน Mobile Application ต่างๆ Smart Robot หรือ Smart Locker เป็นต้น ซึ่งแน่นอนก็จะตอบสนองความต้องการของคนรุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดี โอกาสในตลาดสำหรับคนที่มีที่อยู่อาศัยแล้วที่จะมี Platform ที่สามารถตอบสนองความต้องการของที่อยู่อาศัยเดิม น่าจะเป็นสิ่งที่น่าจับตามองในระยะเวลาอันสั้นนี้ ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งระบบ Smart Locker หรือระบบการบริการต่างๆ ที่เพิ่มความปลอดภัย การพักผ่อนหย่อนใจ และความสะดวกสบายใน การใช้ชีวิตมากขึ้น     ประเด็นที่ 7 : โอกาสทางการตลาดสำหรับตลาดที่อยู่อาศัยในครึ่งปีหลัง ยังคงเห็นความเติบโตในตลาดต่างชาติ ในขณะที่ราคาก็ยังคงปรับตัวสูงขึ้นจากต้นทุนที่สูงขึ้น คอนโดมิเนียม 7 - 8 ชั้นขนาดโครงการเล็กลง   จาก ผู้พัฒนารายใหม่ ยังคงเห็นต่อเนื่อง รวมถึงบ้านลักซูรี่ระดับราคาสูงก็ยังคงมีความต้องการต่อเนื่อง และยังมีผู้ให้ความสนใจ ทำเลการพัฒนาโครงการ ถ้าเป็นโครงการกลางเมืองจะขยับจากทองหล่อไปเอกมัยมากขึ้น สุขุมวิท   31 - 49 ก็เริ่มเข้าไปในซอยที่ลึกขึ้น   เนื่องจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีต่างชาติเข้ามาซื้อและมาลงทุนมากขึ้น ดังนั้นสถานการณ์เศรษฐกิจ การเมืองและการลงทุนรวมทั้งค่าเงินของประเทศเหล่านั้นก็จะมีผลกระทบต่อตลาดอสังหาประเทศไทยมากกว่าแต่ก่อน  
เห็นด้วยไหม? คอนโดจะไม่สร้างที่จอดรถ

เห็นด้วยไหม? คอนโดจะไม่สร้างที่จอดรถ

องค์ประกอบของคอนโดมิเนียม 1 โครงการในปัจจุบัน ก็จะต้องมียูนิตพักอาศัย สิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลาง เช่น พื้นที่สีเขียว สระว่ายน้ำ ฟิตเนส โถ่งล็อบบี้ และที่สำคัญคือที่จอดรถซึ่งกลายเป็นปัญหาโลกแตกอยู่เกือบทุกโครงการที่แม้ว่าจะมีความพยายามในการแก้ไขปัญหา แต่ก็ยังไม่ได้ลงตัวไปเสียทั้งหมด งานนี้เลยต้องเรียกร้องไปถึงภาครัฐให้เข้ามาช่วยแก้ไขปัญหานี้   ก่อนอื่นเราต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนว่าปัจจุบันพื้นที่จอดรถนั้นมีความสำคัญกับทุกคนในคอนโด แม้บางยูนิตจะไม่ได้ใช้รถยนต์ส่วนตัวก็ตาม เพราะราคาที่เราจ่ายเงินซื้อคอนโดไปทุกยูนิตรวมถึงค่าส่วนกลางนั้นได้บวกค่าที่จอดรถเข้าไปแล้ว ซึ่งการสร้างที่จอดรถนั้นเจ้าของโครงการจะต้องแบกรับภาระต้นทุน ยิ่งพื้นที่จอดรถมากก็ยิ่งมีต้นทุนสูงตาม อาจส่งผลให้พื้นที่ในโครงการส่วนอื่นๆ ลดลงไปด้วย เพราะที่จอดรถนี้ย่อมไม่มีใครซื้อเป็นของตัวเอง เว้นแต่บางโครงการในระดับหรูที่มีการล็อคที่จอดรถของแต่ละห้องโดยเฉพาะแล้วพ่วงเป็นโฉนดที่จอดรถไปด้วย ซึ่งเจ้าของโฉนดก็ต้องเสียค่าส่วนกลางเพิ่มขึ้นอยู่ดี   ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 7 พ.ศ.2517 ได้กำหนดให้อาคารชุดที่มีพื้นที่แต่ละครอบครัวตั้งแต่ 60 ตารางเมตรขึ้นไป ต้องมีที่จอดรถ ที่กลับรถยนต์ และทางเข้าออกรถยนต์ ซึ่งจำนวนที่จอดรถยนต์จะต้องจัดให้มีตามกำหนด โดยได้แบ่งเป็นในกรุงเทพฯ ต้องจัดให้มีที่จอดรถยนต์ไม่น้อยกว่า 1 คัน ต่อพื้นที่อาคาร 120 ตร.ม. ส่วนต่างจังหวัดให้มีที่จอดรถยนต์ไม่น้อยกว่า 1 คัน ต่อพื้นที่อาคาร 240 ตร.ม. โดยพื้นที่จอดรถยนต์ 1 คัน จะต้องมีพื้นที่สี่เหลี่ยมผืนผ้ากว้างไม่น้อยกว่า 2.50 เมตร ยาวไม่น้อยกว่า 6 เมตร โดยต้องทําเครื่องหมายแสดงลักษณะและขอบเขตของที่จอดรถยนต์ไว้ และต้องจัดให้อยู่ภายในบริเวณของอาคารนั้น ถ้าอยู่ภายนอกอาคารต้องมีทางไปสู่อาคารนั้นไม่ เกิน 200 ม.     ประเด็นอยู่ที่เมื่อไม่นานมานี้ได้เกิดการเรียกร้องจากผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ให้ยกเลิกกฎหมายนี้เสียใหม่ เพราะมองว่ากฎหมายเขียนขึ้นมานานแล้วก็เริ่มล้าหลังเข้าไปทุกที ไม่เอื้อต่อการพัฒนา แถมยังต้องแบกภาระต้นทุนที่สูงขึ้นไปทุกทีไม่ว่าจะเป็นราคาที่ดิน และเหล่าพรบ. หลายฉบับที่กำลังมีการร่างกันอยู่ก็อาจจะเกิดความซ้ำซ้อนกันเข้าไปอีก ทั้งหมดนี้จะส่งผลให้ราคาขายเฉลี่ยต้องสูงตามไปด้วย เหมือนเป็นการผลักภาระค่าใช้จ่ายให้กับผู้บริโภค ซึ่งพื้นที่จอดรถนี้เองที่ก็เป็นหนึ่งในต้นทุนที่ทางเจ้าของโครงการมองว่าหากตัดออกไปได้ก็จะช่วยให้ภาระต้นทุนนี้ลดลง เพราะในเมื่อทุกวันนี้ก็นิยมพัฒนาโครงการตามแนวรถไฟฟ้าที่เป็นระบบขนส่งสาธารณะหลักของกรุงเทพฯ กันอยู่แล้ว ซึ่งหากตัดที่จอดรถออกไปได้ก็อาจจะทำให้ราคาขายลดลง ประชาชนก็จะหันมาใช้บริการขนส่งสาธารณะมากขึ้น   เมื่อมองกลับมาที่ประชาชนที่อาศัยอยู่ในคอนโดมิเนียมในความเป็นจริงแล้วถึงแม้ว่าจะอยู่โครงการติดรถไฟฟ้าในระยะที่เดินไปขึ้นสถานีได้ไม่ไกล แต่ไม่ว่าจะด้วยพฤติกรรมผู้บริโภค ค่านิยมหรือความจำเป็นต่อการใช้งานอื่นๆ ยุคนี้คนก็ยังนิยมใช้รถยนต์ส่วนตัวอยู่ดี ฉะนั้นทุกวันนี้จึงเกิดปัญหาเรื่องที่จอดรถไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้งานจริง แม้จะมีการอนุญาตให้ 1 ยูนิต มีพื้นที่จอดรถยนต์ได้ 1 คันแล้วก็ตาม บางครั้งที่จอดรถภายในโครงการไม่พอก็ต้องยอมขับออกไปหาที่จอดรถนอกโครงการ ส่งผลกระทบต่อไปอีกถึงประชาชนที่อยู่อาศัยในพื้นที่เดิมแถวนั้นรวมถึงผู้ที่ใช้รถใช้ถนนตามไปด้วย เมื่อเกิดปัญหาก็ได้มีการเรียกร้องไปยังสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค(สคบ.) ให้ออกกฏบังคับเรื่องที่จอดรถต้องมีรองรับสำหรับทุกยูนิต ไม่ใช่มีเพียงแค่ 30-40% ขั้นต่ำตามกฎหมาย   ปัญหานี้จึงถูกแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย ระหว่างกลุ่มผู้ประกอบการกับกลุ่มประชาชน ที่ต่างก็มีการเรียกร้องไปยังรัฐบาลให้แก้ไขปัญหากันทั้งสองฝ่าย ซึ่งไม่ว่ากฎหมายจะถูกหยิบขึ้นมาปัดฝุ่นกันอีกครั้งหรือไม่ แล้วหากมีการแก้ไขใหม่จะเป็นไปในทิศทางไหน สุดท้ายใครที่จะได้ประโยชน์เหล่านั้นไป เราต้องคอยติดตามกันต่อไป          
เลือกคอนโดให้ดี ต้องมองที่ดินให้ขาด

เลือกคอนโดให้ดี ต้องมองที่ดินให้ขาด

ที่ดิน คือตัวแปรต้นของอสังหาริมทรัพย์ทุกประเภท ไม่ว่าจะนำที่ดินนั้นมาพัฒนาเป็นอะไรหรือจะซื้อโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทไหนก็ตาม เราควรมีความละเอียดรอบคอบในการดูที่ดินนั้นให้ดีก่อนตัดสินใจซื้อเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาจนได้รับความเสียหายตามมาที่หลัง   ทำเล ถือเป็นโจทย์แรกที่คนมองหาคอนโดมิเนียมตั้งเอาไว้ ซึ่งแต่ละแห่งก็มีปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาแตกต่างกันอยู่พอสมควรทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสิ่งอำนวยความสะดวกในย่านนั้น ความจำกัดของที่ดิน ลักษณะแปลงที่ดิน ทางเข้า-ออก ทุกสิ่งล้วนมีผลต่อราคาที่ดินแล้วก็ส่งผลต่อไปยังราคาขายของคอนโดมิเนียม โดยการเลือกคอนโดแต่ละครั้งเราย่อมต้องดูทุกรายละเอียดทั้งทำเล แปลนโครงการ แปลนห้อง สิ่งอำนวยความสะดวกในโครงการ ไปจนถึงวัสดุที่ใช้ก่อนจะตัดสินใจซื้อ แต่สิ่งหนึ่งที่มองข้ามไปไม่ได้เด็ดขาดนั่นคือที่ดินรอบๆ โครงการ   แล้วทำไมเราจะต้องดูที่ดินอื่นรอบโครงการด้วย? ทั้งที่เราดูรายละเอียดตัวคอนโดนั้นอย่างถี่ถ้วนแล้ว ก่อนอื่นต้องกลับมามองกันก่อนว่าเวลาเราเลือกซื้อคอนโดมิเนียมสักยูนิตก็ย่อมจะมองหาห้องที่อยู่ในตำแหน่งที่เราต้องการ ได้มุมมองสวยๆ จากในห้องของเราเอง เพราะทิศทางห้องที่ไม่เหมือนกันก็หมายถึงราคาที่ต่างกันออกไป         เช่นเดียวกันกับเวลาเราจองโรงแรมที่แบ่งประเภทตามวิวที่ได้จากห้องพัก แต่ถ้าอยู่อาศัยได้สักระยะแล้วที่ดินข้างๆ เกิดโครงการใหม่ประเภทอาคารสูงขึ้นมาก็จะส่งผลให้วิวของห้องเราโดยบล็อคทันที ยิ่งชั้นสูงก็ถูกบังลมไปด้วยทั้งที่ยอมจ่ายแพงกว่าเพื่อให้ได้วิวสวยๆ ลมดีๆ รวมถึงราคาที่อาจตกลงอย่างที่ไม่ควรจะเป็นด้วย   เรื่องของการถูกบล็อควิวนั้นมีกรณีตัวอย่างให้เห็นอยู่หลายโครงการ เช่น คอนโดมิเนียมตัวท็อปใจกลางกรุงเทพฯ ทำเลดีแห่งหนึ่ง การออกแบบหรูหรา ส่วนกลางเพียบพร้อม แม้ที่ดินเดิมจะอยู่ติดกับโรงแรมอยู่แล้วก็ตาม แต่องค์ประกอบดูดีมาก พอสร้างเสร็จไม่ถึงปีที่ดินติดกันอีกข้างที่ยังว่างอยู่กลับเปิดตัวเป็นคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ขึ้นมา กลายเป็นว่าคอนโดมิเนียมตัวท็อปนี้โดนบล็อควิวในระยะประชิดทั้งสองด้าน หรืออีกคอนโดมิเนียมในระดับกลางแห่งหนึ่งใกล้รถไฟฟ้า มียูนิตที่มองเห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยา แต่ในระยะเวลาไม่ห่างกันมากกลับมีคอนโดมิเนียมที่มีความสูงพอๆ กันขึ้นตรงที่ดินข้างๆ กลายเป็นบล็อควิวแม่น้ำ ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดขายไปเรียบร้อย   นอกจากนี้ที่ดินของตัวโครงการเองก็สำคัญไม่น้อย หากโครงการอยู่ในซอยเข้าไปก็ต้องมองด้วยว่าซอยนั้นมีการสัญจรได้สะดวกหรือไม่ ถนนแคบมากเกินไปหรือเปลี่ยวมากไปไหม มีอีกกรณีหนึ่งที่กำลังเป็นปัญหาอยู่นั่นคือการทำที่ดินตาบอดไม่มีทางเข้า-ออก มาพัฒนาเป็นโครงการคอนโดมิเนียมแต่ก็มีการแก้ปัญหาด้วยการเจรจาขอใช้พื้นที่เพื่อทำเป็นทางเข้า-ออก ในตอนแรกทุกอย่างดูเรียบร้อย โครงการก็สวย ทำเลก็ยิ่งดี  แต่เมื่อถึงช่วงใกล้โอนกรรมสิทธิ์กลับเกิดการทักท้วงเกิดขึ้นว่าพื้นที่ทางเข้า-ออก โครงการนั้นยังไม่ได้มีการขออนุญาตอย่างเป็นทางการ  ทำให้ตอนนี้กลายเป็นเรื่องวุ่นวาย และดูเหมือนเรื่องจะใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ   สิ่งเหล่านี้คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งคนที่เจอกับตัวต่างก็ต้องทำใจหาวิธีแก้ไขกันเอาเอง ฉะนั้นเรื่องของที่ดินรอบข้างก็สำคัญไม่น้อย พยายามมองให้ขาดว่าที่ดินรอบๆ แปลงไหนมีลักษณะที่สามารถพัฒนาโครงการขึ้นได้หรือไม่ ประกอบกับการติดตามข่าวสารดูว่าผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ค่ายไหนมีที่ดินแปลงไหนอยู่ในมือแล้วแนวโน้มจะนำมาพัฒนาโครงการบ้าง ทั้งหมดก็เพื่อประโยชน์ของตัวเองต่อไปในอนาคต  
EEC มีดีอะไร ทำไมถึงแห่ลงทุนกันนัก

EEC มีดีอะไร ทำไมถึงแห่ลงทุนกันนัก

ตั้งแต่มีประกาศนโยบาย EEC เกิดขึ้น ทุกคนคงจะได้ยินข่าวคราวเรื่องนี้กันมาตลอด เพราะหลายภาคส่วนต่างก็หวังไว้ว่าโครงการนี้จะเป็นกลไลสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้กลับมารุ่งโรจน์ได้ ซึ่งทุกวันนี้ก็มีความคืบหน้าเกิดขึ้นมากทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกฎหมายหรือโครงการต่างๆ ที่พยายามเร่งกันอย่างเต็มกำลัง เพื่อเป็นแรงจูงใจดึงดูดการเข้ามาลงทุน ครั้งนี้เรามาดูกันว่าโครงการ EEC คืบหน้าไปถึงไหนกันแล้ว แล้วทำไมถึงได้มีเหล่านักลงทุ่มทุนสร้างกันหลายโครงการ   อย่างที่เคยอธิบายกันไปแล้วเกี่ยวกับ EEC ในบทความ "ทำความรู้จักกับโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC)" ทุกวันนี้เราจะเห็นว่าเหล่านักลงทุนทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศต่างก็ให้ความสำคัญอย่างมากต่อโครงการนี้ ดังจะเห็นได้จากโครงการต่างๆ ที่เริ่มมีการกางแผนออกมาบ้างแล้วภายในเขตพื้นที่ของ EEC ทั้งในส่วนของภาคอุตสาหกรรม และภาคส่วนอสังหาริมทรัพย์เอง เราก็เริ่มได้เห็นหลายๆ โครงการเกิดขึ้นพร้อมความหวังในการสร้างรายได้ให้เติบโตตามไปด้วยกับโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกนี้ โดยโครงการในภาคอุตสาหกรรมที่เริ่มมีการเข้าซื้อที่ดินแล้วเรียบร้อยแล้ว เช่น บริษัท จินป่าว พรีซิชั่น อินดัสทรี่ จำกัด เป็นบริษัทอุตสาหกรรมอะลูมิเนียมสัญชาติไต้หวันที่มาตั้งฐานการผลิตในประเทศไทยตั้งแต่ปี 1998 มีการซื้อที่ดินขนาด 54 ไร่ ที่นิคมอุตสาหกรรมเหมราชอีสเทิร์นซีบอร์ด 2 จ.ชลบุรี เพื่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนอากาศยาน,นักธุรกิจรัสเซียหลายรายสนใจเข้ามาดูทิศทางการลงทุนในเขตอีอีซี เช่น พลังงานนิวเคลียร์ น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ การบริหารท่าเรือ สนามบิน เทคโนโลยีสร้างสรรค์ ยานยนต์เพื่อการก่อสร้าง เทคโนโลยีชีวิภาพ เทคโนโลยีสื่อสาร ฯลฯ โดยจะเข้ามาเยี่ยมชมด้วยตนเองเร็วๆ นี้   ส่วนในภาคอสังหาริมทรัพย์ที่มีการเปิดตัวลงแแข่งขันกันในสนามนี้ แม้ว่าราคาที่ดินจะพุ่งสูงขึ้นถึง 50% ก็ตาม เช่น  เอสซี แอสเสท ปีนี้เตรียมพัฒนาโครงการใน จ.ฉะเชิงเทรา, เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ มีการเจรจาซื้อที่ดินเพิ่ม แต่ก็มีแผนจะพัฒนาโครงการในที่ดินที่มีอยู่แล้วใน จ.ระยอง กับจ.ชลบุรี, ออริจิ้น หลังจากมีโครงการคอนโดมิเนียมกับมิกซ์ยูสที่ศรีราชาไปแล้ว ก็เตรียมจะพัฒนามิกซ์ยูสที่จ.ระยอง 2 ทำเล, พฤกษา ปีนี้มีแผนเปิดตัวโครงการแนวราบถึง 8 โครงการ แบ่งเป็นจ.ชลบุรี 3 โครงการ จ.ระยอง 3 โครงการ และจ.ฉะเชิงเทรา 2 โครงการ, แสนสิริ มีแผนพัฒนาโครงการในพัทยา เป็นต้น   จะเห็นได้ว่ายิ่งโครงการนี้เป็นรูปธรรมขึ้นมากเท่าไรก็ยิ่งได้รับความสนในการลงทุนมากขึ้นเท่านั้น ตั้งแต่รัฐบาลได้ตั้งคณะกรรมการอีอีซี มาจนถึงปัจจุบันที่มีการร่างพรบ. กันเสร็จเรียบร้อยแล้วทุกมาตรา สภานิติบัญญัติแห่งชาติก็มีมติเป็นเอกฉันท์ที่จะให้ประกาศใช้เป็นกฎหมายต่อไป โดยมีมาตรการสำคัญที่ส่งเสริมชวนให้นักลงทุนหลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่ขาดสายซึ่งบางอย่างมีผลบังคับใช้แล้ว ซึ่งพื้นที่ทั้งหมด 3 จังหวัดจะถูกแบ่งประมาณ 10 โซน แต่ละโซนก็จะได้รับสิทธิพิเศษที่แตกต่างกันไป แต่ละ เช่น ขยายพื้นที่เพื่อรองรับอุตสาหกรรมใหม่จากเดิม 12,000 ไร่ เพิ่มอีก 26,366 ไร่ ซึ่งรวมทั้งหมด, เขตเมืองการบินภาคตะวันออกจะได้รับการยกเว้นภาษี 8 ปี และลดหย่อนภาษีนิติบุคคล 50% เพิ่มอีก 5 ปี, เขตส่งเสริมเพื่อกิจการอุตสาหกรรมเป้าหมาย เขตอุตสาหกรรมในพื้นที่ EEC พื้นที่นิคมอุตสาหกรรม ได้ลดหย่อนภาษีนิติบุคคล 50% เพิ่มอีก 5 ปี, สิทธิการทำงานของแรงงานต่างด้าวในพื้นที่ 3 จังหวัดโดยไม่ต้องขออนุญาตครอบคลุมไปถึงครอบครัวที่ติดตามมาอาศัยอยู่ด้วย, สิทธิคนต่างชาติถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดิน, สิทธิการซื้ออาคารชุดของต่างชาติได้แต่ละโครงการได้ 100% เต็ม เป็นต้น     สิ่งหนึ่งที่เป็นตัวสำคัญอย่างยิ่งในการผลักดันให้โครงการ EEC ประสบความสำเร็จได้นั่นคือโครงสร้างพื้นฐานทางการคมนาคม เพราะหากการคมนาคมขนส่งเป็นไปได้อย่างสะดวกสบายก็จะช่วยรองรับเรื่อง Logistics หนึ่งในหัวใจสำคัญของอุตสาหกรรม โดยทางรัฐบาลได้มีการเดินหน้าเรื่องคมนาคมทั้งทางเรือที่จะมีการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกหลัก คือ มาบตาพุดเฟส 3 โครงการท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 โครงการท่าเรือสัตหีบ ส่วนทางอากาศ คือ สนามบินอู่ตะเภาที่ทางรัฐได้ตั้งเป้าหมายให้เป็นสนามบินหลักแห่งที่ 3 ต่อจากดอนเมืองกับสุวรรณภูมิ และทางบกระบบรางในโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมต่อ 3 สนามบิน ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา และต่อไปถึง จ.ระยอง โดยจะเชื่อมจากแนว Airport Rail Link ในปัจจุบัน ซึ่งล่าสุดโปรเจคยักษ์ใหญ่นี้กำลังจะไม่ได้หยุดอยู่แค่ใน 3 จังหวัดภาคตะวันออกอีกต่อไป แต่ล่าสุดได้มีนโยบายเร่งศึกษาแผนพัฒนาเส้นทางรถไฟเชื่อมต่อหลากหลายเส้นทางทั่วประเทศ โดยเฉพาะรถไฟทางคู่เส้นทางแหลมฉบัง-มาบตาพุด-ระยอง-จันทบุรี-ตราด, โครงการรถไฟศรีราชา-ระยอง รวมถึงการเชื่อมต่อโซนอีอีซีไปจนถึงทวาย-กัมพูชา ซึ่งหากโครงการรถไฟนี้เสร็จสมบูรณ์ก็จะยิ่งส่งให้ EEC มีความสมบรูณ์มากขึ้น เพราะหากการคมนาคมขนส่งเป็นไปได้อย่างสะดวกสบายก็จะเป็นปัจจัยสำคัญทั้งทางด้านธุรกิจต่างๆ และการท่องเที่ยวที่จะสามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้หลากหลายกลุ่มมากขึ้น ประชาชนในพื้นที่มีรายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น สุดท้ายสิ่งเหล่านี้จะทำให้พื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกเป็นหนึ่งในศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่น่าอยู่ระดับภูมิภาคเอเชียอย่างที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้   ณ วันนี้เราสามารถพูดกันได้อย่างเต็มปากว่า EEC คือความหวังใหม่ในการพลิกฟื้นคืนชีพของเศรษฐกิจประเทศไทยให้กลับมาเป็นแหล่งลงทุนที่ทั่วโลกต่างให้ความสนใจกันอีกครั้ง แม้โครงการนี้จะยังคงไม่สมบูรณ์ 100% แต่เชื่อว่าหากเริ่มมีการประกาศพระราชชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกอย่างเป็นทางการซึ่งคาดว่าจะประกาศภายในปีนี้ก็จะยิ่งทำให้มีเงินเม็ดเงินเข้ามาลงทุนมหาศาลตามที่คาดการณ์กันเอาไว้ถึงหลักแสนล้านบาท ส่งผลถึงการขยายตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เองที่ก็มีความเชื่อมั่นในโครงการนี้อยู่ไม่น้อย เพราะเมื่อมีอุตสาหกรรมเพิ่มมากขึ้นก็จะมีความต้องการแรงงานเพิ่มขึ้น คนทำงานทั้งที่เป็นคนไทยและต่างชาติย่อมเข้ามาอยู่อาศัยเพิ่มขึ้น ความต้องการที่อยู่อาศัยก็มากขึ้นเป็นเงาตามตัว จากนี้ต้องคอยจับตามองตลาดนี้กันเอาไว้ให้ดีว่าจะมีอะไรน่าสนใจตามที่ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลายค่ายโปรยเอาไว้บ้าง
กฎหมายใหม่ คนเช่าหอมีเฮ

กฎหมายใหม่ คนเช่าหอมีเฮ

หลายคนคงจะต้องผ่านช่วงชีวิตของการเป็นเด็กหอมาใช่ไหมคะ เพราะการได้อยู่ใกล้กับสถานที่เรียนหรือสถานที่ทำงานย่อมประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทางได้มากกว่า ซึ่งแต่ละคนก็ต้องเจอปัญหาจุกจิกกวนใจไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่ง อย่างเรื่องค่าประกันหอแรกเข้าที่แพงกว่าค่าเช่าห้องหลายเท่าตัว ค่าน้ำ-ค่าไฟที่เก็บในอัตราสูงเกินจริง เวลาจะย้ายออกจากหอก็โดนยึดเงินประกันจนเกือบจะไม่เหลือทั้งที่ไม่มีอะไรเสียหาย แต่ต่อไปนี้ปัญหาจะลดลงและหมดไปในอนาคต เพราะกำลังจะมีกฎหมายใหม่ออกบังคับใช้เพื่อควบคุมปัญหาหอพัก-อพาร์ทเม้นท์ทั่วประเทศ   กฎหมายควบคุมหอพักที่กำลังจะเผยโฉมออกมาในเร็ววันนี้เกิดขึ้นมาจากสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค(สคบ.) ได้รับการร้องเรียนเข้ามาอย่างมากมายถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในการเช่าหอพัก-อพาร์ทเม้นท์ โดยปัญหา 2 อันดับแรก คือ เมื่อผู้เช่าได้ย้ายออกจากหอพักโดยแจ้งล่วงหน้าเอาไว้ 1 เดือนตามสัญญา แต่กลับไม่ได้เงินค่าประกันหอพักและค่าเช่าล่วงหน้าที่ได้เก็บไว้ตั้งแต่แรกเข้าคืน กับเรื่องอัตราค่าน้ำแพงเกินจริงถึง 15-20 บาท/ลบ.ม. ทั้งที่อัตราค่าน้ำจริงอยู่ที่ 8-11 บาท/ลบ.ม. ส่วนค่าไฟอัตราที่หอพักคิดประมาณ 6-9 บาท/หน่วย แต่อัตราจริงอยู่ที่ 2-4 บาท/หน่วย บางแห่งก็เจอปัญหามิเตอร์วิ่งเร็วเกินจริงอีกด้วย และเมื่อทางสคบ. ได้เขาไปตรวจสอบก็พบว่าปัญหาที่เกิดขึ้นส่วนมากจะเป็นหอพักสำหรับนักศึกษา กฏหมายฉบับนี้จึงกำลังจะเกิดขึ้นเพื่อไม่ให้เอาเปรียบผู้บริโภคต่อไปได้ ซึ่งตอนนี้ยังอยู่ในช่วงของการส่งเรื่องเพื่อประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาให้มีผลบังคับใช้ตามกฎหมายต่อไป   ไม่เพียงแต่ควบคุมเรื่องค่าน้ำ-ค่าไฟ ซึ่งเป็นปัญหาหลักของผู้อยู่อาศัยหอพักเพียงเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมไปถึงการควบคุมธุรกิจพอพัก แม้ตอนนี้จะยังไม่ออกมาเป็นลายลักษณ์อักษรที่ชัดเจนแต่ก็ให้คำจำกัดความกับธุรกิจประเภทนี้ว่า เป็นผู้ที่มีห้องแล้วแบ่งให้เช่าตั้งแต่ 5 ห้องขึ้นไปไม่ว่าจะมีอยู่กี่ที่ หรืออยู่กันคนละแห่งก็ตามจะต้องเข้าหลักเกณฑ์ในการควบคุมทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นหอพัก อพาร์ทเม้นท์ บ้านเช่า หรือคอนโดมิเนียม ส่วนที่เป็นหอพักนักเรียน นักศึกษา จะต้องทำการจดทะเบียนให้ถูกต้อง ซึ่งส่วนนี้จะไปอยู่ในความควบคุมของกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์     กฎหมายฉบับนี้มีใจความสำคัญที่เป็นข้อกำหนดให้ปฏิบัติ เช่น ผู้ให้บริการหอพักจะต้องแสดงรายละเอียดให้ชัดเจนครบถ้วนในสัญญา ไม่ว่าจะเป็นชื่อ ที่อยู่ของผู้เช่า ระยะเวลาการเช่า รายละเอียดของทรัพย์สินภายในห้องที่ให้เช่า อัตราค่าน้ำ-ค่าไฟที่เหมาะสมอ้างอิงกับอัตราจริง วิธีการชำระเงิน ฯลฯ และจะมีการกำหนดเงื่อนไขต่างๆ ใหม่แก่ผู้ประกอบการ ที่สำคัญคือเงื่อนไขข้อปฏิบัติของการคืนเงินประกัน รวมไปถึงกำหนดข้อห้ามต่างๆ อย่างห้ามไม่ให้มีการเก็บเงินค่าเช่าห้องล่วงหน้าเกิน 1 เดือน ห้ามไม่ให้เก็บเงินค่าประกันเกิน 50% ของค่าเช่า ต้องคืนเงินประกันภายใน 7 วัน หลังผู้เช่าได้ทำการย้ายออก ห้ามไม่ให้ล็อกห้องผู้เช่าที่จ่ายเงินล่าช้าหลังวันที่กำหนด และไม่ให้เก็บเงินเพิ่มสำหรับผู้ต่อสัญญา เป็นต้น ทั้งหมดนี้จะต้องทำขึ้นเป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อให้ง่ายต่อการตรวจสอบ โดยมีการกำหนดโทษจำคุก 1 ปี ปรับ 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากมีการฝ่าฝืนต้องมีโทษทันที ซึ่งหากมีผลบังคับใช้เมื่อไรผู้ประกอบธุรกิจจะต้องยกเลิกสัญญาฉบับเดิมที่เคยทำไว้ทั้งหมด แล้วทำสัญญาใหม่กับผู้เช่าภายใต้ข้อกำหนดใหม่ให้เป็นไปตามกฎหมาย   ผู้ที่เช่าอาศัยอยู่หอพักเห็นแบบนี้แล้วคงจะสบายใจกันมากขึ้น เพราะเมื่อมีกฎหมายออกมาคุ้มครองผู้บริโภคอย่างนี้แล้ว   ก็จะไม่ถูกเจ้าของหอพักขูดรีดโดยที่ทำอะไรไม่ได้อีกต่อไป รอติดตามการมีผลบังคับใช้กันได้เลยค่ะ คาดว่าประมาณเดือนพฤษภาคมนี้ เราจะได้เห็นหน้าตาของตัวกฎหมายควบคุมหอพักขึ้นเป็นครั้งแรกของประเทศไทย    
ภาษีลาภลอย กฎหมายใหม่เตรียมบังคับใช้

ภาษีลาภลอย กฎหมายใหม่เตรียมบังคับใช้

แวดวงอสังหาริมทรัพย์เป็นเรื่องของที่ดินโดยตรงจึงไม่แปลกที่หลายครั้งเราจะต้องพูดถึงเรื่องของราคาที่ดินซึ่งถือเป็นปัจจัยใจหลัก รวมไปถึงปัจจัยอื่นๆ ที่ก็ส่งผลกระทบด้วยเช่นกันอย่างปัจจัยทางด้านกฎหมายที่ระยะหลังมีทั้งการร่างกันขึ้นมาใหม่และแก้ไขกันอยู่ไม่น้อย ซึ่งเมื่อมีการร่างกฎหมายขึ้นมาใหม่ก็ย่อมมีผลกระทบในหลายด้านตามมาตั้งแต่ยังไม่ได้มีผลบังคับใช้ ก่อนหน้านี้เรามีบทความที่กล่าวถึงพรบ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างกันมาแล้ว คราวนี้เราจะมาพูดถึง “ภาษีลาภลอย” (Windfall Gain Tax) หรือพ.ร.บ. ภาษีการได้รับประโยชน์จากการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของรัฐ โดยภาษีนี้จะจัดเก็บกับเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ตามพื้นที่แนวรถไฟฟ้า ใกล้ทางด่วน ท่าเรือ และสนามบิน ตามที่กำหนด ดังนี้ พื้นที่เสียภาษี -พื้นที่ใกล้กับรถไฟฟ้า ทั้งรถไฟฟ้ารางคู่ รถไฟฟ้าความเร็วสูง รถไฟฟ้าขนส่งมวลชนต่างๆ ในระยะไม่เกิน 2.5 กิโลเมตรจากตัวสถานี -พื้นที่ใกล้ทางด่วน ระยะไม่เกิน 2.5 กิโลเมตร ตามจุดขึ้น-ลง -พื้นที่ใกล้สนามบิน ระยะไม่เกิน 5 กิโลเมตรจากแนวเขตห้ามก่อสร้างของสนามบิน -พื้นที่ใกล้ท่าเรือ ระยะไม่เกิน 5 กิโลเมตรจากแนวเขตของท่าเรือ วิธีการจัดเก็บภาษี แบ่งออกเป็น 2 กรณี คือ 1.การก่อสร้างโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานยังไม่เสร็จ (เก็บภาษีทุกครั้งที่มีการขายหรือเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์ในที่ดินหรือคอนโด) ทำสัญญาก่อน พรบ. บังคับใช้ -ที่ดิน มูลค่าวันโอน-มูลค่าในวันที่ พรบ. บังคับใช้ × 5% -คอนโด ยูนิตใหม่ (20%ของมูลค่าขาย)× 5% ยูนิตเก่า มูลค่าขาย-มูลค่าในวันที่ พรบ. บังคับใช้ × 5% ทำสัญญาหลัง พรบ. บังคับใช้ -ที่ดิน มูลค่าวันโอน-มูลค่า ณ วันที่เริ่มโครงการ× 5% -คอนโด ยูนิตใหม่ 20% ของราคาประเมินวันขาย× 5% ยูนิตเก่า มูลค่าวันโอน-มูลค่า ณ วันที่เริ่มโครงการ× 5% 2.การก่อสร้างโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเสร็จแล้ว (เก็บภาษีจากเจ้าของคอนโดมิเนียมที่รอการจำหน่ายเพียงครั้งเดียว) ทำสัญญาก่อน พรบ. บังคับใช้ -ที่ดินเชิงพาณิชย์มูลค่าเกิน 50 ล้านบาท มูลค่าวันที่ก่อสร้างเสร็จ-มูลค่าในวันที่ พรบ. บังคับใช้ × 5% -คอนโดที่มีมูลค่าเกิน 50 ล้านบาท หรือเป็นโครงการที่ยังไม่ขาย ยูนิตใหม่ 20% ของมูลค่าในวันที่สร้างเสร็จ × 5% ยูนิตเก่า มูลค่าในวันที่สร้างเสร็จ-มูลค่าในวันที่ พรบ. บังคับใช้ × 5% ทำสัญญาหลัง พรบ. บังคับใช้ -ที่ดินเชิงพาณิชย์มูลค่าเกิน 50 ล้านบาท มูลค่าวันที่ก่อสร้างเสร็จ-มูลค่า ณ วันที่เริ่มโครงการ × 5% -คอนโดที่มีมูลค่าเกิน 50 ล้านบาท หรือเป็นโครงการที่ยังไม่ขาย ยูนิตใหม่ 20% ของมูลค่าในวันที่สร้างเสร็จ × 5% ยูนิตเก่า มูลค่าในวันที่สร้างเสร็จ-มูลค่า ณ วันที่เริ่มโครงการ × 5% *การเก็บภาษีนี้จะคิดจากราคากลางที่กรมธนารักษ์ประเมิน ใครได้ประโยชน์ เงินจากการจัดเก็บภาษีนี้จะถูกส่งเข้าไปยังกองทุนพัฒนาระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง ซึ่งจะมีการบริการจัดการโดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) นำไปช่วยเหลืองบประมาณด้านการพัฒนาสาธารณูปโภคด้านการคมนาคมต่อไป ที่ผ่านมาเจ้าของที่ดินเหล่านี้นั้นได้ประโยชน์จากราคาที่พุ่งขึ้นสูงอย่างรวดเร็วในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ ยิ่งเป็นที่ดินที่อยู่ใกล้แนวรถไฟฟ้าในปัจจุบันช่วงต้นถนนสุขุมวิทไปจนถึงโซนอ่อนนุชมีราคาเพิ่มสูงขึ้นเฉลี่ย 30% ต่อปี หรือกำลังก่อสร้างอยู่ก็ยิ่งได้ราคาดีอย่างก้าวกระโดด ซึ่งทุกวันนี้เราจะเห็นได้ว่าเริ่มมีการประกาศขายที่ดินเปล่าเพิ่มมากขึ้นกว่าปกติประมาณ 10-20% โดยผู้ที่มีที่ดินลักษณะนี้ไว้ในครอบครองส่วนมากจะเป็นที่ดินมรดกโดยเฉพาะย่านใจกลางเมืองที่เป็นของตระกูลดังมาตั้งแต่อดีตนำออกมาขายหรือประมูลกันมากขึ้น เพราะอยู่ในข่ายของการเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง แม้จะได้รับการยกเว้นในภาษีลาภลอยนี้ เพราะไม่ได้นำที่ดินมาใช้เพื่อผลตอบแทนเพิ่มก็ตาม ยกตัวอย่างที่ดินเหล่านี้ เช่น ที่ดินรวมถึงบ้านของตระกูลพิชัยรณรงค์สงคราม ย่านถนนหลังสวนใกล้กับ BTS ชิดลม ขนาด 2 ไร่เศษ ได้ราคาประมูลจากเอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น สูงถึง 3.2 ล้านบาท/ตร.ว. ที่ดินของตระกูลพานิชภักดี บริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยา ย่านพระราม 3 พื้นที่ประมาณ 24 ไร่ ขายให้กับเอชเคอาร์ อินเตอร์เนชั่นแนล(HKRI) บริษัทอสังหาริมทรัพย์เจ้าใหญ่จากฮ่องกง เพื่อพัฒนาเป็นโครงการที่อยู่อาศัยระดับพรีเมี่ยม เป็นต้น บางครั้งกลุ่มนายทุนก็กว้านซื้อที่ดินตามแนวรถไฟฟ้าในอนาคตดักเอาไว้เพื่อเก็งกำไรขายให้กับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ แม้ว่าเหล่าผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์จะได้รับผลกระทบที่ต้องซื้อที่ดินราคาแพงขึ้น ซึ่งอาจรวมถึงภาษีที่เป็นส่วนต่างนี้และค่าธรรมเนียมการโอนที่ก็มีการปรับราคาขึ้นจากการประเมินเช่นกัน(ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการเจรจาระหว่างผู้ซื้อ-ขาย) แต่ผลกระทบที่แท้จริงจะตกลงมาอยู่ที่ผู้บริโภค เพราะต้องซื้อคอนโดมิเนียมตามแนวรถไฟฟ้า หรือที่อยู่อาศัยประเภทอื่นๆ ในทำเลดีที่มีราคาแพงมากขึ้นด้วยต้นทุนที่กำลังสูงขึ้นเรื่อยๆ เช่นนี้ อย่างไรก็ตามภาษีลาภลอยนี้ยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนมากนัก เพราะในปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) สรุปความคิดเห็นส่งให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) แล้ว ซึ่งทางภาครัฐพยายามให้มีผลบังคับใช้ภายในปลายปีนี้  
รายได้น้อยก็กู้ซื้อบ้านได้

รายได้น้อยก็กู้ซื้อบ้านได้

เมื่อพูดถึงเรื่องการกู้สินเชื่อบ้านหลายคนต้องมีคำถามตามมามากมาย และหนึ่งในคำถามที่หลายคนอยากรู้กันมากที่สุดคือ ต้องมีรายได้ขั้นต่ำเท่าไหร่จึงจะยื่นกู้ได้ แล้วถ้ามีรายได้ต่อเดือนน้อยจะสามารถมีบ้านเป็นของตัวเองได้ไหม คำตอบคือ “ได้” ซึ่งหากติดตามข่าวจะทราบว่าทั้งทางภาครัฐและเอกชนมีมาตรการสำหรับผู้มีรายได้น้อยออกมาอยู่เรื่อยๆ ซึ่งก็มีเงื่อนไขแตกต่างกันไป ในบทความนี้เราจะยกตัวอย่างโครงการสำหรับผู้ที่มีรายได้น้อย รวมถึงวิธีคำนวณวงเงินกู้สินเชื่อบ้านดูอย่างคร่าวๆ ว่าเงินเดือนเท่านี้ จะสามารถยื่นกู้ได้แค่ไหน   โครงการบ้านคนไทยประชารัฐ เป็นโครงการบ้านประชารัฐระยะที่ 2 โดยวางวงเงินสินเชื่อทั้งหมดเอาไว้ที่ 4,000 ล้านบาท จากธนาคารออมสินกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) มีวิธีการพิจารณาแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มแรกคือประชาชนที่มีรายชื่อขึ้นทะเบียนบัตรสวัสดิการรัฐเอาไว้แล้ว กลุ่มต่อมาคือประชาชนที่มีรายได้ไม่เกิน 35,000 บาท/เดือน และกลุ่มสุดท้ายเป็นกลุ่มประชาชนทั่วไป โดยลักษณะของโครงการจะมีทั้งบ้านแฝด 18 ตร.ว. บ้านแถวชั้นเดียว 16 ตร.ว. และอาคารที่พักอาศัย 24 ตร.ม. ในราคาไม่เกินยูนิตละ 350,000-700,000 บาท ผ่อนชำระไม่เกิน 2,000 บาท/เดือน ซึ่งโครงการระยะที่ 2 นี้จะอยู่ในพื้นที่ของราชพัสดุ กรมธนารักษ์ ทั้งหมด  8 แปลง คือ อ.แม่ทะ จ.ลำปาง 618 ยูนิต อ.เมือง จ.เชียงใหม่ 584 ยูนิต อ.เมือง จ.เชียงราย 352 ยูนิต อ.เมือง จ.นครพนม 322 ยูนิต อ.เมือง จ.ขอนแก่น 292 ยูนิต อ.เมือง จ.อุดรธานี 264 ยูนิต อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี 186 ยูนิต และอ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ 139 ยูนิต ซึ่งในแต่ละพื้นที่โครงการจะถูกแบ่งเป็นที่พักอาศัย 70% กับพื้นที่เชิงพาณชิย์อีก 30% ทั้งหมดนี้กรรมสิทธิ์จะเป็นของผู้ได้รับสิทธิ์ระยะยาว 30 ปี   โครงการสินเชื่อบ้านสวัสดิการแห่งรัฐดำเนินการโดยธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.) โดยในปีนี้กำหนดวงเงินในสินเชื่อรายใหม่สูงถึง 1.89 แสนล้านบาท ซึ่งมีทั้งหมด 3 โครงการ ได้แก่ 1.โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ เป็นโครงการสำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และประชาชนที่มีรายได้น้อยไม่เกิน 25,000 บาท/เดือน สามารถยื่นกู้ได้นานที่สุดถึง 40 ปี ในวงเงินสูงสุดไม่เกิน 2,000,000 บาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ 4 ปีแรก 2.โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ เป็นโครงการสำหรับบุคลากรภาครัฐ ไม่จำกัดวงเงินสูงสุดต่อราย อัตราดอกเบี้ยคงที่ 4 ปีแรก 3.โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นโครงการสำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ประชาชนที่มีรายได้น้อยไม่เกิน 25,000 บาท/เดือน ข้าราชการ พนักงานราชการ พนักงานมหาวิทยาลัย พนักงานรัฐวิสาหกิจ พนักงาน/เจ้าหน้าที่ของรัฐ และเป็นผู้ที่มีภูมิลำเลาอยู่ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือต้องการอาศัยอยู่ วงเงินกู้ 1,000,000-2,000,000 บาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ 5 ปีแรก ทั้งนี้ถ้ากู้ไม่เกิน 1,000,000 บาท จะมีข้อกำหนดในรายได้ต่อเดือนประมาณ 12,000 บาท ผ่อนชำระไม่เกิน 4,200 บาท/เดือน ที่สำคัญผู้ที่ไม่มีงานทำสามารถยื่นเป็นผู้กู้ร่วมได้ และในกรณีที่มีหลักฐานด้านรายได้ไม่เพียงพอ ธอส. จะให้เปิดให้มีการเดินบัญชี 6-9 เดือน หากเป็นไปตามเงื่อนไขกำหนดแล้วจึงค่อยอนุมัติสินเชื่อให้ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่  ghbank.co.th นอกจากนี้ยังมีอีกหลายธนาคารที่เปิดโอกาสให้ผู้ที่มีรายได้ไม่สูงมากนักก็สามารถกู้สินเชื่อบ้านได้ตามกฏที่แตกต่างกันออกไปของแต่ละธนาคาร ที่สำคัญคือผู้กู้จะต้องมีความสามารถในการผ่อนชำระสูงสุดแต่ละเดือนต้องไม่เกิน 40% ของรายได้ ระยะเวลาผ่อนประมาณ 15-35 ปี  และไม่มีภาระค่าใช้จ่ายอื่นๆ ด้วย(ถ้ามีภาระผ่อนอย่างอยู่ด้วยก็จะถูกหักลบไปในความสามารถการผ่อนต่อเดือน 40%) ซึ่งสำหรับการกู้บ้านจะขอกู้ได้ไม่เกิน 85% ของราคาประเมิน อาคารพาณิชย์ขอกู้ได้ไม่เกิน 75% ของราคาประเมิน ส่วนคอนโดมิเนียมจะขึ้นอยู่กับแต่ละโครงการว่ามีการร่วมกับธนาคารไหนบ้างซึ่งบางโครงการสามารถยื่นกู้ได้ถึง 100% โดยเรามีวิธีคำนวณเงินกู้จากฐานเงินเดือนคร่าวๆ เช่น 15,00040% = 6,000 บาท/เดือน รายได้ต่อเดือน 15,000 บาท ผ่อน 40% ของรายได้ต่อเดือน เท่ากับต้องผ่อนเดือนละ 6,000 บาท วงเงินการกู้ซื้อบ้าน ฐานเงินเดือน 15,000 ระยะเวลาผ่อน 15 ปี จะได้วงเงินกู้ประมาณ  640,000 - 730,000 บาท ฐานเงินเดือน 15,000 ระยะเวลาผ่อน 20 ปี จะได้วงเงินกู้ประมาณ  740,000 - 870,000 บาท ฐานเงินเดือน 15,000 ระยะเวลาผ่อน 25 ปี จะได้วงเงินกู้ประมาณ  810,000 - 970,000 บาท ฐานเงินเดือน 15,000 ระยะเวลาผ่อน 30 ปี จะได้วงเงินกู้ประมาณ  850,000 - 1,000,000 บาท ฐานเงินเดือน 15,000 ระยะเวลาผ่อน 35 ปี จะได้วงเงินกู้ประมาณ  880,000 - 1,100,000 บาท *ทั้งนี้แล้วแต่อัตราดอกเบี้ยและการพิจารณาของแต่ละธนาคารด้วย นั่นหมายความว่าแม้มีรายได้น้อยก็สามารถยื่นกู้ได้เพียงแต่วงเงินที่ทางธนาคารอนุมัติก็จะน้อยลงไปตามสัดส่วน และแต่ละโครงการที่อยู่อาศัย แต่ละโปรโมชั่นของธนาคารนั้นแตกต่างกันออกไป เพราะฉะนั้นผู้สนใจยื่นกู้สินเชื่อบ้านควรจะรวบรวมข้อมูลจากหลายๆ แห่งมาเปรียบเทียบกัน โดยเฉพาะเรื่องดอกเบี้ยเพื่อให้ได้ราคาที่ดีที่สุด เกี่ยวกับเรื่องกู้ซื้อที่อยู่อาศัย วิธีเตรียมกู้ซื้อบ้าน สำหรับอาชีพอิสระ เคล็ด (ไม่) ลับ เลือกธนาคารกู้ซื้อบ้าน กู้ซื้อบ้าน-คอนโด ให้ได้ 100% ทำยังไง  
5 คอนโดสุดฮิต ที่มีคนสนใจมากที่สุดในเว็บ ประจำปี 2560

5 คอนโดสุดฮิต ที่มีคนสนใจมากที่สุดในเว็บ ประจำปี 2560

ในรอบหนึ่งปีที่ผ่านมา พวกเราทีมงาน Review Your Living ได้มีโอกาสไปทำรีวิวคอนโดมีเนียมหลายๆ แบรนด์ หลากดีไซน์ ไม่ว่าจะเป็น คอนโด Low Rise, คอนโด High Rise ตลอดจนคอนโดเกาะแนวรถไฟฟ้าทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล มาให้แฟนๆ ได้ชมกันไม่ต่ำกว่า 40 ที่ ซึ่ง 5 คอนโดฯ ต่อไปนี้ คือคอนโดที่มีผู้อ่านสนใจมากที่สุด โดยวัดจากยอดไลค์และแชร์ในแฟนเพจเฟซบุ๊ค รวมถึงจำนวนผู้เข้าอ่านในเว็บไซต์ของเรา มาดูกันดีกว่าค่ะว่าจะมีคอนโดไหนบ้าง จะใช่หลังที่อยู่ในใจคุณหรือเปล่า ตามมาดูได้เลย.. คอนโด HALLMARK งามวงศ์วาน สำหรับโครงการแรกที่มีผู้อ่านสนใจคลิกเข้ามามากที่สุดก็คือ Hallmark งามวงศ์วาน เป็นคอนโด Low Rise สูง 8 ชั้น 4 อาคาร ล้อมรอบ Facility หลักของโครงการอย่างสระว่ายน้ำ และฟิตเนส ที่อยู่ตรงกลางคอนโด ทำเลตั้งอยู่ย่านงามวงศ์วาน ใกล้ๆ กับกระทรวงสาธารณสุข โดยเป็นโครงการแรกจากชีวาทัย จุดเด่นอยู่ที่ความเงียบสงบ เป็นส่วนตัว ไม่วุ่นวายเหมือนคอนโดในเมือง เนื่องจากคอนโดตั้งอยู่ในซอยย่านชุมชน เหมาะกับคนที่ทำงานอยู่ในย่านนี้ โดยเฉพาะข้าราชการหรือบุคคลากรที่ทำงานอยู่ในกระทรวงสาธารณสุข จะสะดวกมากที่สุด ในส่วนของการเดินทางถ้าหากใครที่ไม่ใช้รถยนต์ส่วนตัวก็อาจจะต้องเผื่อเวลาในการเดินทางสักหน่อย เพราะทำเลที่ตั้งโครงการถือว่าอยู่ในซอยลึกพอสมควร แต่ก็ยังมีรถสองแถวและวินมอเตอร์ไซค์ไว้คอยให้บริการอยู่ แต่ใครที่ใช้รถไฟฟ้าเป็นหลักก็นับว่าสะดวกสบายมากค่ะ เพราะมีรถไฟฟ้าสายสีม่วงที่อยู่ใกล้ๆ อย่างสถานีแยกติวานนท์ ทำให้ทุกการเดินทางเข้านอกออกเมืองเป็นเรื่องที่ง่าย อ่านรีวิวและดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : https://goo.gl/MvxG8q คอนโด VERY สุขุมวิท 72 โครงการ VERY สุขุมวิท 72 เป็นคอนโดแนวรถไฟฟ้าที่ผู้อ่านในเว็บไซต์ให้ความสนใจมากทีเดียวค่ะ เพราะตัวคอนโดตั้งอยู่ซอยสุขุมวิท 72 การเดินทางหลักๆ ก็คงหนีไม่พ้นการใช้รถไฟฟ้า BTS เป็นตัวเลือกแรก นั่งรถไฟฟ้ามาลงที่สถานีแบริ่งแล้วออกทางออกที่ 4 เดินต่อไปทางซอยสุขุมวิท 72 และเข้าซอยอีกเล็กน้อย ก็จะถึง Very Condo ระยะทางรวมแล้วไม่เกิน 400 เมตร จัดว่าเป็นระยะที่กำลังเดินได้สบายๆ โดยไม่ต้องพึ่งพารถสองแถว หรือวินมอเตอร์ไซค์เลยก็ได้ การเดินทางด้วยรถส่วนตัวก็จัดว่าสะดวกไม่แพ้กัน เพราะถนนหนทางในย่านนี้มีเส้นทางเลี่ยงเข้าออกเมืองได้หลายทาง ทั้งด่านทางด่วนบางนา และทางด่วนสุขสวัสดิ์-บางพลี ถนนวงแหวนรอบนอก สะพานภูมิพล (สะพานอุตสาหกรรม) รวมถึงถนนสายหลักๆ อย่างถนนบางนา-ตราด และถนนศรีนครินทร์ เรียกได้ว่ามีทางไปได้เยอะ รวมถึงเรื่องสภาพแวดล้อมรอบๆ ก็คึกคักดีทีเดียวค่ะ เพราะใกล้ทั้งแหล่งช็อปปิ้งใหญ่ๆ หลายแห่ง แถมยังมีร้านค้า ร้านอาหาร ตลาดสดอยู่ใกล้ๆ ด้วย ทำเลย่านนี้จึงอุดมสมบูรณ์ไม่น้อยเลย สำหรับการซื้อหาเพื่ออยู่อาศัย ที่ตั้งโครงการค่อนข้างได้เปรียบในเรื่องของความเงียบสงบ เหมาะกับการพักอาศัย ส่วนการลงทุนเพื่อหวังปล่อยห้องให้เช่า อ่านรีวิวและดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : https://goo.gl/b8gYyc The stage เตาปูน interchange สำหรับโครงการ The Stage Taopoon Interchange ในเครือของ Real Asset เป็นคอนโด High Rise ตั้งอยู่บนประชาราษฎร์สาย 2 ห่างจากสถานีรถไฟฟ้าเตาปูนมาประมาณ 350 เมตร ก็จะถึงหน้าทางเข้าโครงการ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งโครงการที่เกาะติดแนวรถไฟฟ้า สายสีน้ำเงิน แถมพ่วงด้วยสายสีม่วงเข้าไปอีก เพราะจุดนี้เป็นสถานีเชื่อมต่อของรถไฟฟ้าทั้ง 2 สายพอดี ทำเลนี้เลยเพิ่มระดับความน่าสนใจขึ้นมาได้อีกเยอะเลยทีเดียว ในขณะที่พื้นที่รอบๆ โครงการยังเป็นที่พักอาศัยทั้งอาคารพาณิชย์และบ้านเดี่ยวเสียเป็นส่วนใหญ่ จะมีเพื่อนบ้านเป็นตึกสูงของโครงการ The Tree Interchange ที่อยู่ทางด้านทิศตะวันตกเท่านั้นที่อยู่ในระยะประชิด ยังดีหน่อยที่ลักษณะของที่ดินโครงการบังคับให้ตัวอาคารที่พักอาศัยหันหน้าไปทางทิศเหนือ-ใต้ เลยหมดปัญหากังวลเรื่องตำแหน่งห้องที่จะถูกตึกข้างๆ บดบังวิวไปได้เยอะเลย นอกจากนี้ริมถนนประชาราษฎร์ สาย 2 ยังคงมีร้านค้า ร้านอาหาร และธนาคารพาณิชย์ ที่ให้ความสะดวกสบายในชีวิตประจำวันได้ตามสมควร รวมถึงโรงเรียนเทพสัมฤทธิ์วิทยาที่ยังคงอยู่ทางด้านหลังโครงการ และโรงพยาบาลบางโพที่อยู่ห่างออกไปเพียง 300 เมตรเท่านั้น ในขณะที่ถัดออกไปทางแยกเตาปูนก็มีตลาดสด และห้างโลตัสเตาปูนที่สามารถเป็นที่พึ่งพาให้จับจ่ายซื้อหาข้าวของที่จำเป็นได้ไม่ยาก ทำเลในย่านนี้จึงถือว่าเหมาะกับการอยู่อาศัยพอสมควรเลยทีเดียว อ่านรีวิวและดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : https://goo.gl/zcA6E1 aspire งามวงศ์วาน คอนโดมิเนียมแบรนด์ Aspire อีกหนึ่งโครงการจาก AP ที่ยึดทำเลแยกพงษ์เพชรสร้างคอนโดมิเนียม High Rise ตึกคู่ พร้อม Facility จัดเต็ม หรูหรามีสไตล์ ในราคาโปรโมชั่นสุดคุ้มด้วยทำเลที่มีศักยภาพคุ้มค่ากับการลงทุน  ที่ตั้งของโครงการอยู่ติดถนนใหญ่ ห่างจากแยกพงษ์เพชรมาทางฝั่งขาไปถนนวิภาวดีฯ นิดเดียว การเดินทางจึงจัดว่าสะดวกมาก เพราะเลือกใช้ได้หลายเส้นทาง สะดวกทั้งเข้าเมืองและออกนอกเมือง ถึงแม้จะไม่มีรถไฟฟ้าผ่านหน้าโครงการก็ตาม ซอยใกล้ๆ โครงการคือ ซอยชินเขต 1 สามารถใช้เป็นเส้นทางลัดไปออกถนนวิภาวดี และถนนประชาชื่นได้ แถมถนนรอบๆ ยังเชื่อมต่อไปยังถนนแจ้งวัฒนะ ถนนรัตนาธิเบศร์ แยกประชานุกูลได้อีกด้วย  จึงจัดได้ว่าเป็นทำเลที่มีศักยภาพในการเดินทางมากเลยทีเดียว ส่วนในอนาคตทำเลนี้ก็ยังรองรับรถไฟฟ้า ซึ่งตัวโครงการจะอยู่ระหว่างสถานีบางเขน (สายสีแดง) กับสถานีศูนย์ราชการนนทบุร (สายสีม่วง) นอกจากนี้รอบๆ โครงการยังเพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ห้างเดอะมอลล์ งามวงศ์วาน, เทสโก้โลตัส, โฮมโปร, ห้างพันธุ์ทิพย์พลาซ่า, เมเจอร์รัชโยธิน, โรงพยาบาลนนทเวช, มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิต, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, ศูนย์ราชการ, SCG, การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค รวมไปถึงด่านขึ้นลงทางด่วนก็อยู่ห่างออกไปไม่ไกลเลยค่ะ เพียง 3.9 กิโลเมตรเท่านั้น ไม่ว่าจะไปไหนมาไหนก็จัดว่าสะดวกมากๆ อ่านรีวิวและดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : https://goo.gl/6MV1n9 333 Riverside มาถึงอันดับ 5 เราก็ยังคงวนเวียนอยู่ในย่านเตาปูน บางโพ เพราะแถวนี้มีคอนโดโครงการใหม่ผุดขึ้นหลายโครงการเลย ซึ่งโครงการ 333 Riverside คอนโดหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยา จาก Land & House ก็เป็นอีกโครงการที่มีผู้อ่านสนใจมากทีเดียว เพราะนอกจากจะอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ได้วิวสวยๆ แล้ว ยังอยู่ติดกับตัวสถานี MRT บางโพอีกต่างหาก ที่ตั้งของโครงการถือว่าอยู่ในทำเลที่ดีเลยค่ะ เพราะอยู่ในย่านชุมชน ใกล้ตลาดสด โรงพยาบาล และโรงเรียน ซึ่งเหมาะกับคนที่กำลังมองหาที่พักอาศัยเกาะแนวรถไฟฟ้า และอยู่ไม่ห่างจากความเจริญมากนัก ซึ่งในอนาคตทำเลย่านนี้ยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก เพราะนอกจากรถไฟฟ้าที่เข้ามาในย่านนี้แล้ว ยังมีรัฐสภาแห่งใหม่ที่กำลังอยู่ก่อสร้างอยู่อีกด้วย ส่วนการซื้อเพื่อลงทุนสำหรับการปล่อยเช่า เนื่องจากห้องมีขนาดใหญ่ เริ่มต้นที่ 45 ตารางเมตร ราคาต้นทุนจึงอาจจะสูงตามไปด้วย แถมตัวโครงการยังอยู่ห่างไกลจากแหล่งธุรกิจใจกลางเมือง ขณะที่การซื้อเพื่อขายต่อในอนาคตอาจจะมีโอกาสที่ดีกว่า อย่างไรก็ดีผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนการลงทุนด้วยนะคะ อ่านรีวิวและดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : https://goo.gl/7sb6PV สรุป จาก 5 คอนโดสุดฮิต ที่มีคนสนใจมากที่สุดในเว็บ ประจำปี 2560 จะเห็นได้ว่าเกือบทั้ง 5 คอนโด ตั้งอยู่ในย่านเตาปูน-บางซ่อน แทบจะทั้งหมดเลยนะคะ มีเพียงคอนโดเดียวเท่านั้นที่อยู่ย่านสุขุมวิท ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ทำเลในย่านนี้คึกคักและน่าสนใจเป็นพิเศษก็เพราะมีรถไฟฟ้าสายสีม่วง (เตาปูน-คลองบางไผ่) ที่มีสถานีเตาปูนเป็นจุด interchange กับรถไฟฟ้าใต้ดินสายสีน้ำเงิน (บางซื่อ-หัวลำโพง) และรถไฟฟ้าสีน้ำเงินส่วนตัวขยาย (เตาปูน-ท่าพระ) ทำให้การเดินทางเข้านอกออกเมืองเป็นเรื่องที่ง่ายและสะดวก บวกกับราคาคอนโดที่ไม่สูงเมื่อเปรียบเทียบกับรถไฟฟ้าสายอื่นๆ ในปัจจุบัน ยิ่งตอนนี้การก่อสร้างรถไฟฟ้าคืบหน้าไปมากจนใกล้จะเสร็จเต็มที ทำให้บางโครงการได้รับความสนใจมากขึ้น จึงไม่แปลกใจเลยค่ะว่าทำไมผู้อ่านในเว็บไซต์ Review Your living ให้ความสนใจมาก อย่างที่บอกว่าศักยภาพของทำเลในย่านนี้มีโอกาสเติบโตได้อีกมากในอนาคต แต่อย่างไรก็ดีผู้สนใจควรศึกษาปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ให้รอบคอบก่อนตัดสินใจซื้อด้วยนะคะ และในปี 2561 จะมีคอนโดไหนโดดเด่น น่าอยู่ และน่าลงทุนอีกบ้าง ทีมงานเราไม่พลาดที่จะคอยอัพเดตข้อมูลอย่างรู้ลึก รู้จริง แน่นอนค่ะ
คอนโดใกล้รถไฟฟ้า 0 เมตร จากรถไฟฟ้า ตัวไหนเด็ด

คอนโดใกล้รถไฟฟ้า 0 เมตร จากรถไฟฟ้า ตัวไหนเด็ด

คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า รถไฟฟ้ากลายเป็นปัจจัยหลักในการดำเนินชีวิตของคนในกรุงเทพฯ อย่างขาดไปเสียไม่ได้ แม้จะมีข้อเสียในช่วงชั่วโมงเร่งด่วนที่มีความแอดอัดของผู้คน ต้องรอต่อคิวยาว หรือปัญหารถไฟฟ้าเสียก็พบเจอกันอยู่เป็นประจำ แต่รถไฟฟ้าก็ยังถือว่าเป็นการเดินทางที่สะดวก รวดเร็วมากที่สุดในเวลานี้ และเมื่อใดที่โครงข่ายรถไฟฟ้าทั้งหมดเสร็จสมบูรณ์ทั้งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล เราก็จะเห็นความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่จะเกิดกับเมือง ซึ่งทุกวันนี้ก็เริ่มมีให้เห็นแล้ว   คำว่าทำเลดีในปัจจุบันมักจะหมายถึงที่ดินติดรถไฟฟ้า ใกล้สิ่งอำนวยความสะดวก เราเองก็ย่อมต้องมองหาที่อยู่อาศัย เพื่อให้สอดคล้องกับการใช้ชีวิตมากที่สุด นั่นหมายความว่ายิ่งติดสถานีรถไฟฟ้ามากเท่าไหร่ก็ยิ่งเพิ่มสะดวกสบายได้มากขึ้นเท่านั้น หลายคนจึงเริ่มซื้อโครงการที่ติดกับสถานีรถไฟฟ้าทั้งในปัจจุบันที่เปิดให้ใช้บริการอยู่ และโครงการติดกับสถานีรถไฟฟ้าในอนาคตเก็บเอาไว้ก่อนราคาจะเพิ่มสูงมากขึ้นเป็นเท่าตัวเมื่อเปิดใช้บริการแล้ว โดยผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เองก็มีการแข่งขันกันอยู่ดุเดือดตั้งแต่เรื่องการหาที่ดินแปลงสวยทำเลดีติดรถไฟฟ้า และสิ่งอำนวยความสะดวก พัฒนาขึ้นมาเป็นโครงการคอนโดมิเนียมที่ต่างก็โฆษณากันว่าห่างจากสถานีรถไฟฟ้าเพียงไม่กี่เมตร หรือแม้แต่ห่างจากรถไฟฟ้าเพียง 0 เมตร ชนิดที่ว่าเดินทางบันไดสถานีรถไฟฟ้าก็ถึงหน้าโครงการกันเลยทีเดียว เราลองไปดูกันว่าคอนโดมิเนียมที่ห่างจากรถไฟฟ้าเพียง 0 เมตร หรือห่างประมาณ 100 เมตร จะมีโครงการเด็ดๆ ที่ไหนบ้าง ซึ่งจะแบ่งออกตามสายรถไฟฟ้าเฉพาะสายที่ให้บริการในปัจจุบัน และใกล้จะเปิดให้บริการแล้ว ดังนี้ คอนโดใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้ม (สายสีลม) The Line สาทร ติดสถานีสุรศักดิ์ มุมถนนสาทร กับถนนประมวล ตัวอาคารถูกออกแบบให้เป็น Single Corridor เพื่อให้ทุกห้องไม่ถูกบล็อกวิวจากอีกฝั่ง และมีเพียง 3 ยูนิต/ชั้น เพิ่งเปิดตัวไปได้ไม่นานมานี้เอง แต่ SOLD OUT แล้วเรียบร้อยตั้งแต่วันแรกที่เปิดขาย ราคาเริ่มต้นประมาณ 7.9 ล้านบาท The Bangkok สาทร สถานีสุรศักดิ์ ริมถนนสาทรฝั่งขาออก ใกล้จุดขึ้น-ลงทางพิเศษศรีรัช คอนโดมิเนียมระดับพรีเมี่ยม ขนาดยูนิตเริ่มต้น 59 ตร.ม. Private Lift ทุกยูนิต ที่จอดรถ 120% ถือว่าหายากมากๆ สำหรับคอนโดมิเนียมในเมือง ราคาเริ่มต้นประมาณ 10 ล้านบาท   สีลม-สาทร แหล่งเศรษฐกิจซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าราคาที่ดินพุ่งสูงขึ้นมากราคาคอนโดก็สูงขึ้นตาม แต่ยังคงได้รับความนิยมอยู่เสมอเมื่อเกิดโครงการใหม่ๆ ขึ้นมา ด้วยทำเลที่ไม่ไกลจากออฟฟิศของใครหลายคน สิ่งอำนวยความสะดวกระดับพรีเมี่ยม ตอบโจทย์กลุ่มตลาดระดับบนทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติได้เป็นอย่างดี แต่หากจะอยู่ใกล้กับรถไฟฟ้าช่วงฝั่งธนก็ถือเป็นตัวเลือกที่ดี เพราะมีราคาที่ถูกกว่าย่านสีลม-สาทร มากเป็นเท่าตัว ในอนาคตยังมีจุดเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีอื่นๆ อีกหลายเส้นทาง  คอนโดใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียวอ่อน (สายสุขุมวิท) Ideo Q Victory ติดสถานีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ริมถนนพญาไท ดีไซน์อาคารสวยโดดเด่น ประกอบกับที่ดินย่านนี้หายากมาก อนุสาวรีย์ก็ถือเป็น HUB ของการเดินทางในกรุงเทพฯ อยู่แล้ว จึงไม่แปลกที่โครงการนี้ในรอบเปิดจองออนไลน์จะ SOLD OUT ในระยะเวลาไม่กี่นาที ราคาเริ่มต้น 5.59 ล้านบาท THE ESSE สุขุมวิท 36 ติดสถานีทองหล่อ ปากซอยสุขุมวิท 36 คอนโดมิเนียมระดับหรูย่านทองหล่อ ซึ่งมีความอุดมสมบูรณ์ของทำเล และสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน มีที่จอดรถแบบปกติ กับที่เป็น Automatic Parking ทั้งหมด 89% ถือว่าเยอะมากสำหรับคอนโดมิเนียมในเมือง คาดว่าแล้วเสร็จปี 2563 ราคาเริ่มต้น 12 ล้านบาท รถไฟฟ้าสายนี้ในปัจจุบันเปิดให้บริการตั้งแต่สถานีหมอชิต-สำโรง เป็นทำเลที่ได้รับความนิยมอย่างไม่เสื่อมคลาย ไม่ว่าจะเป็นช่วงใจกลางเมืองอย่าง ทองหล่อ พร้อมพงษ์ อโศก หรือจะห่างออกไปในทุกๆ สถานี เราจะได้เห็นทั้งโครงการคอนโดมิเนียมในปัจจุบัน และโครงการในอนาคตขึ้นมาให้เห็นกันอยู่ตลอด คอนโดใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย (หมอชิต-คูคต) Knightsbridge Kaset Society สถานีรถไฟฟ้าเสนานิคม ในอนาคตจะมีรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาลตัดผ่านแยกเกษตรด้วย โครงการอยู่ริมถนนพหลโยธินฝั่งขาเข้า ใกล้กับแยกเกษตร โครงการนี้ได้รับความสนใจอย่างมากด้วยทำเล และการออกแบบของ  Facilities ให้เชื่อมต่อกันทั้ง 3 อาคาร ทำให้ดูโดดเด่นมาก คาดว่าแล้วเสร็จ 2563 ราคาเริ่มต้น 2.69 ล้านบาท Life ลาดพร้าว สถานีรถไฟฟ้าห้าแยกลาดพร้าว อยู่ฝั่งตรงข้ามกับเซ็นทรัลลาดพร้าวพอดี และยังห่างจากรถไฟฟ้าใต้ดิน สถานีพหลโยธินอีกประมาณ 500 เมตร สิ่งอำนวยความสะดวกรายล้อมอยู่มากมาย ถือเป็นอีกหนึ่งโครงการสุดฮอตจากเอพี ราคาเริ่มต้นช่วงเปิดตัวอยู่ที่ 2.9 ล้านบาท modiz interchange คอนโด Low Rise แต่ทำเลสวย เพราะอยู่ใกล้กับจุด interchange ของสายสีเขียว และสายสีชมพูสถานีวัดพระศรีมหาธาตุ ตรงวงเวียนหลักสี่ ใกล้เซ็นทรัลรามอินทรา ราคาเริ่มต้น 2.09 ล้านบาท ถือเป็นทำเลสุดฮอตอีกแห่งที่ร้อนแรงมากในปีนี้ที่มีหลายโครงการจากผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั้งค่ายเล็ก ค่ายใหญ่ ต่างจับจองพื้นที่ช่วงชิงดีมานด์ในย่านนี้ที่ยังมีอยู่มากทั้งวัยทำงาน และวัยเรียน แม้ว่าปัจจุบันจะเป็นที่ทราบกันดีว่าการจราจรติดขัดอย่างหนักหนาสาหัส แต่หากส่วนต่อขยายช่วงนี้เปิดให้บริการทุกอย่างก็จะยิ่งถูกพัฒนาขึ้นไปกว่านี้อีกมาก คอนโดใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย (แบริ่ง-สมุทรปราการ) The Trust Condo @บีทีเอส เอราวัณ คอนโดพร้อมอยู่ เหมาะสำหรับคนทำงานในย่านนั้น แต่จำนวนยูนิตอาจจะมากไปหน่อย ประมาณ 1,570 ยูนิต แต่ราคาเริ่มต้นน่าสนใจทีเดียว ประมาณ 1.89 ล้านบาท Metropolis Samrong interchange ติดสถานีสำโรง คอนโดมิเนียมที่ไม่ได้เป็นกระแสมากนัก แต่น่าสนใจมาก เพราะในอนาคตจะเป็นจุด interchange กับรถไฟฟ้าสายสีเหลือง วัสดุที่ใช้ค่อนข้างดี คาดว่าแล้วเสร็จปี 2561 ราคาเริ่มต้น 3.4 ล้านบาท คอนโดมิเนียมย่านนี้ แม้จะดูไกลออกไปหน่อย สิ่งอำนวยความสะดวกยังไม่มากเท่าส่วนต่อขยายฝั่งถนนพหลโยธิน แต่ได้ความเงียบสงบกว่ามาก ราคาถือว่ายังไม่แรง ประกอบกับที่ตั้งของโครงการติดรถไฟฟ้าเลยก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย เพราะยิ่งหากส่วนต่อขยายนี้เปิดใช้ภายในปี 2561 เมื่อไร เชื่อว่าราคาจะพุ่งสูงขึ้นอีกแน่นอน คอนโดใกล้รถไฟฟ้าสายสีม่วง (เตาปูน-คลองบางไผ่) Ideo Mobi วงศ์สว่าง อินเตอร์เชนจ์  สถานีรถไฟฟ้าบางซ่อน และยังเป็นอินเตอร์เชนจ์กับรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง สถานีบางซ่อน คอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ มี Facility หลัก เอาไว้ชั้น 29-30 บนสุดของโครงการ เช่น สระว่ายน้ำ ห้องฟิตเนส ตัวอาคารออกแบบสวยตามสไตล์อนันดา จึงถือเป็นอีกโครงการที่โดดเด่นของย่านนี้ ราคาเริ่มต้น 2.4 ล้านบาท Grow รัตนาธิเบศร์ สถานีไทรม้า คอนโดมิเนียม 34 ชั้น 364 ยูนิต ถือเป็นโครงการที่จำนวนยูนิตค่อนข้างน้อย ที่จอดรถให้มา 100% ขนาดเริ่มต้น 35 ตร.ม. เมื่อเทียบกับคอนโดในเมืองถือว่าได้พื้นกับราคาที่ดี คาดว่าแล้วเสร็จ 2561 ราคาเริ่มต้น 2.3 ล้านบาท Casa Condo บางใหญ่ สถานีสามแยกบางใหญ่ ติดถนนรัตนาธิเบศร์ ใกล้เส้นกาญจนาภิเษก จุดนี้ยังถือเป็นแหล่งรวมสิ่งอำนวยความสะดวกในย่านนี้ ทั้งบิ๊กซี โฮมโปร เซ็นทรัลเวสต์เกต อิเกียบางใหญ่ (เปิดให้ใช้บริการปี 2561) โรงพยาบาลการุณเวช รัตนาธิเบศน์ ที่จอดรถน้อยไปหน่อยเพียง 30% แต่เมื่อ เมื่อเทียบราคากับคอนโดมิเนียมโครงการอื่นที่อยู่ติดรถไฟฟ้าในระยะไม่เกิน 100 เมตรแบบนี้ ถือว่าน่าสนใจทีเดียว โดยราคาเริ่มต้น 1.49 ล้านบาท   คอนโดใกล้กับรถไฟฟ้าสายสีม่วงมีให้เลือกไม่มากเท่าสายอื่นๆ เพราะก่อนหน้านี้ยังไม่มีการเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าใต้ดินสายสีน้ำเงิน สถานีบางซื่อ จึงทำให้การเดินทางยังไม่คล่องตัวเท่าที่ควร แต่ปัจจุบันเมื่อเชื่อมต่อกันแล้วก็ทำให้ได้รับความนิยมอยู่ไม่น้อย เป็นข้อพิสูจน์อีกอย่างหนึ่งว่า เมื่อการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะสะดวกสบายขึ้นก็ไม่จำเป็นต้องหาที่อยู่อาศัยแค่ในเมืองอีกต่อไป คอนโดใกล้รถไฟฟ้าสีน้ำเงิน (บางซื่อ-หัวลำโพง) Ideo Mobi พระราม 4 เพิ่งเปิดตัวไปสดๆ ร้อนๆ สำหรับค่ายอนันดา ติด MRT สถานีคลองเตย และยังใกล้กับจุดขึ้น-ลงทางด่วนแค่ 50 เมตร โครงการเน้นพื้นที่สีเขียว รวมถึงเป็นโครงการแรกที่นำเทคโนโลยี Solar Fresh air system มาใช้ เพื่อระบายความร้อนจากตัวห้อง คาดว่าแล้วเสร็จปี 2562 โครงการนี้ถือว่าทำเลดีมากอีกโครงการ ราคาเริ่มต้น 5.99 ล้านบาท The esse singha complex สถานีเพชรบุรี ตั้งอยู่บนที่ดินเดิมของสถานทูตญี่ปุ่น ทำเลซึ่งเชื่อมต่อระหว่างใจกลางเมืองกับ New CBD เป็นโครงการ Mix-Use โดยจะมีทั้งคอนโดมิเนียม ส่วนออฟฟิศเกรดเอ พื้นที่ค้าปลีก  ที่กำลังจะสร้างประตูทางเข้า-ออกใหม่จากรถไฟฟ้าใต้ดินสถานีเพชรบุรีให้ถึงหน้าโครงการเลย และยังเป็นจุดเชื่อมต่อกับ Airport Rail Link สถานีมักกะสัน ราคาเริ่มต้น 8.6 ล้านบาท   รถไฟฟ้าใต้ดินสายแรกในประเทศไทยที่มีผู้ใช้บริการอย่างเนื่องแน่นในชั่วโมงเร่งด่วน วิ่งผ่านสถานที่สำคัญ และเป็นจุดเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายอื่นๆ รวมถึงการนำไปสู่การเดินทางอื่นได้อีก เช่น รถไฟ เรือ เป็นต้น ราคาค่าโดยสารก็ไม่แพงมากนัก แม้จะมีคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าใต้ดินยังไม่มากนักเมื่อเทียบกับคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าบีทีเอส แต่ก็ยังเป็นทำเลที่ผู้คนนิยมใช้เดินทางกันอยู่เสมอ คอนโดใกล้รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินฝั่งเหนือ (บางซื่อ–ท่าพระ) Ideo Mobi จรัญอินเตอร์เชนจ์ คอนโดพร้อมอยู่ที่อยู่ใกล้กับสถานีบางขุนนนท์ และในอนาคตก็เป็นจุดอินเตอร์เชนจ์กับสายสีส้ม ตลิ่งชัน-ศูนย์วัฒนธรรม และสายสีแดง ตลิ่งชัน-ศาลายา ราคาเริ่มต้น 2.69 ล้านบาท Brix จรัญสนิทวงศ์ 64 สถานีสิรินธร อาคารสูงแห่งแรกของแยกบางพลัด ที่สามารถตรงไปข้ามสะพานซังฮี้ แล้วเข้าสู่อนุสาวรีย์ได้อย่างง่ายดาย ใกล้สถาบันการศึกษาหลายแห่ง ได้วิวแม่น้ำเจ้าพระยา คาดว่าแล้วเสร็จปี 2561 ราคาเริ่มต้น 1.59 ล้านบาท The TREE RIO ติดสถานีบางอ้อ ถนนจรัญสนิทวงศ์ เยื้องโรงพยาบาลยันฮี ใกล้จุดขึ้น-ลง ทางพิเศษศรีรัช ในอนาคตมีโครงการสร้างสะพานเกียกกาย ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา จะยิ่งทำให้สะดวกสบายมากยิ่งขึ้นในอนาคต คาดว่าแล้วเสร็จ 2561 ราคาเริ่มต้นประมาณ 2 ล้านบาท IDEO ท่าพระ อินเตอร์เชนจ์ สถานีท่าพระ เป็นจุดเชื่อมต่อของรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินทั้งสองฝั่งเข้าไว้ด้วยกัน อยู่ริมถนนเพชรเกษมใกล้แยกท่าพระ คอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ที่ส่วนกลางสระว่ายน้ำชั้นดาดฟ้าสวยมากอีกโครงการหนึ่ง ราคาเริ่มต้น 2.29 ล้านบาท   โซนนี้แต่เดิมไม่ค่อยมีอาคารสูงมากนัก เพราะเป็นย่านเมืองเก่าเสียมากกว่า ทำให้บรรยากาศไม่วุ่นวายจนเกินไป ค่าครองชีพก็ยังไม่สูง แต่หากรถไฟฟ้าเสร็จสมบูรณ์เมื่อไหร่ ก็จะทำให้ย่านนี้มีความคึกคักมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยจากผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ก็เริ่มบุกทำเลนี้กันมากขึ้นด้วย   ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการยกตัวอย่างส่วนหนึ่งของโครงการคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าที่เปิดให้ใช้บริการในปัจจุบัน และสายที่กำลังจะเปิดใช้บริการอีกไม่นานเกินรอ ซึ่งไม่ใช่แค่ทำให้การเดินทางสะดวกรวดเร็วขึ้น แต่ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกอยู่ใกล้เคียงด้วย ยังมีโครงการคอนโดมิเนียมที่ติดกับรถไฟฟ้าสายสีอื่นๆ อีก ทั้งที่เปิดตัวไปแล้ว และกำลังจะมีเปิดโปรเจคใหม่ตามมาอีกอย่างต่อเนื่อง จากนี้ไปเราคงจะได้เห็นกรุงเทพฯ และปริมณฑล เติบโตขยายขึ้นอีกเรื่อยๆ โครงการคอนโดใกล้รถไฟฟ้าอื่นๆ Whizdom Inspire Sukhumvit Supalai City Resort Charan 91 THE EXTRO Phayathai-Rangnam