เสนา ดีเวลลอปเม้นท์
เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ ลุยธุรกิจปี 65 เดินหน้า 3 กลยุทธ์ SENA Next ปูพรมเปิด 49 โปรเจ็กต์ใหม่ หลังได้ เจ.เอส.พี.ฯ มาเติมพอร์ตบ้านแนวราบ พร้อมลุยรักษาฐานผู้นำตลาดบ้านต่ำล้าน เปิดตัว 2 แบรนด์ใหม่ “FLEXI- SENA Village” เตรียมงบอีก 1,000 ล้าน ขยายธุรกิจใหม่
ดูเหมือนว่าในปี 2564 ที่ผ่านมาสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่มีการกลายพันธุ์ และมีระดับความรุนแรง ส่งผลทำให้เกิดการล็อกดาวน์ประเทศหลายครั้ง ทำให้หลายธุรกิจต้องหยุดชะงักตาม สำหรับ “เสนา ดีเวลลอปเม้นท์” ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน กิจกรรมการตลาด และการก่อสร้างต้องหยุดชะงัก ซึ่งส่งผลต่อภาพรวมของผลการดำเนินงาน ที่ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2564
ปีที่ผ่านมา “เสนา ดีเวลลอปเม้นท์” เปิดตัวโครงการใหม่ไป 12 โครงการ รวมมูลค่า 10,236 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมายเดิมที่คาดว่าจะเปิดได้ 17 โครงการมูลค่า 15,700 ล้านบาท มียอดขาย 5,608 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมายที่คาดว่าจมียอดขาย 11,100 ล้านบาท และมียอดโอน 5,718 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมายที่คาดว่าจะทำได้ 10,000 ล้านบาท แม้ว่าจะสามารถทำกำไรได้สูงสุดถึง 1,250 ล้านบาท แต่เป็นกำไรจากการต่อรองราคาซื้อเงินลงทุนในบริษัทร่วม หากคิดเฉพาะกำไรสุทธิจากการดำเนินงานจะกำไร 761 ล้านบาท
ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แผนธุรกิจในปี 2565 เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ ต้องการสร้างการเปลี่ยนแปลงในการดำเนินธุรกิจครั้งสำคัญ ภายใต้กลยุทธ์ “SENA Next” มิติใหม่สู่การเติบโตอย่างยั่งยืน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายและเติบโต รวมถึงตอกย้ำแนวคิด Made From Her “คิดละเอียดกว่า ก็อยู่สบายกว่า” ซึ่งถือว่าในปีนี้เป็นแห่งการทรานส์ฟอร์มครั้งใหญ่ของเสนา ดีเวลลอปเม้นท์ ซึ่งจะมี 3 กลยุทธ์สำคัญ ได้แก่
1.Next Expansion การเปิดโครงการใหม่
2.Next ERA เฟ้นหาพันธมิตร (Partnership) เพื่อขยายโอกาสในธุรกิจใหม่ (New Business)
3.Next Level การสร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์
ปี 2565 บริษัทมีแผนขยายธุรกิจที่อยู่อาศัยด้วยการเปิดตัวโครงการใหม่รวม 49 โครงการ 27,480 ล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 21 โครงการและแนวราบ 28 โครงการ ในจำนวน 49 โครงการ เป็นโครงการภายใต้การควบรวมกิจการบริษัท เจ.เอส.พี พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ JSP จำนวน 25 โครงการ มูลค่า 8,980 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลให้เสนาขยายฐานกลุ่มลูกค้าใหม่ทั้งในกรุงเทพฯ – ปริมณฑล และต่างจังหวัด ได้ครอบคลุมทุกทำเล และมีจำนวนโครงการแนวราบมาเสริมทัพจำนวนมากขึ้น
ปัจจุบันเสนา ดีเวลลอปเม้นท์ มีโครงการที่พัฒนาและเปิดการขายอยู่ 41 โครงการ มูลค่ารวม 25,137 ล้านบาท เมื่อรวมกับจำนวนโครงการที่จะเปิดตัวใหม่ในปีนี้ จะส่งผลให้เสนามีโครงการในมือรวมเป็น 90 โครงการ รวมมูลค่า 52,617 ล้านบาท ซึ่งโครงการทั้งหมด จะผลักดันให้บริษัททำเป้าหมายยอดขายได้ 13,979 ล้านบาท และเป้าหมายยอดโอนได้ 12,186 ล้านบาท
ปัจจุบันบ้านและคอนโดที่มีระดับราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท ถือว่ามีอยู่ในตลาดน้อยมาก ซึ่งเป็นตลาดที่มีโอกาสและความต้องการสูง เพราะกลุ่มคนที่มีระดับรายได้ 10,000-20,000 บาทต่อเดือน มีอยู่จำนวนมาก และมีอยู่ในทุกบริษัท รวมถึงพนักงานจบใหม่ ซึ่งต่างต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง แต่มีผู้ประกอบการพัฒนาสินค้าออกมาน้อย เนื่องจากต้นทุนการพัฒนาสูงจนไม่สามารถทำราคาขายในระดับต่ำกว่า 1 ล้านบาทได้
พนักงานรายได้ 10,000-20,000 บาท มีอยู่ทุกบริษัท สัดส่วนมากน้อยขึ้นอยู่กับประเภทธุรกิจ คำถามที่น่าสนใจ คนพวกนี้ไม่ต้องการมีบ้านหรอ ยิ่งประเทศไทยไม่ใช่รัฐสวัสดิการ ไม่ได้เตรียมบ้านไว้ให้ ถ้าเกษียณแล้วไม่มีบ้านทำไง เป็นคนไร้บ้านได้เลย
นอกจากนี้ สิ่งสำคัญ รายได้ของคนกรุงเทพฯ เพิ่มขึ้นช้ามาก เมื่อเทียบกับราคาบ้านหรือที่ดิน แม้แต่ในภาวะการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ก็ไม่สามารถหยุดการเพิ่มขึ้นของราคาที่ดินได้ ใน 6 ปีที่ผ่านมาราคาบ้านปรับเพิ่มขึ้นโดยตลอด ขณะที่รายได้ต่อคนเพิ่มขึ้น 2-3% ต่อปีเท่านั้น รายได้ของคนเพิ่มขึ้นไม่ทันกับราคาบ้านเพิ่มขึ้น หากไม่ซื้อบ้านในช่วงอายุที่น้อย เมื่ออายุเพิ่มขึ้นจะซื้อบ้านไม่ได้ เพราะระยะเวลาการผ่อนจะเหลือน้อย
กลุ่มนี้ไม่ใช่ไม่มีคนซื้อ แต่ไม่มีคนทำออกมาขายมากกว่า เพราะมันทำยากมาก ต้นทุนขึ้นทุกอย่าง ขณะที่คนตกงานมากขึ้น รายได้ไม่ได้เพิ่ม มันยากที่จะทำ มันยากกว่าการจะหาคนซื้อ ปีนี้เราขยายเพิ่มเป็นหมื่นยูนิต
แต่สำหรับเสนา ดีเวลลอปเม้นท์ ถือว่าเป็นผู้ประกอบการที่พัฒนาคอนโดต่ำกว่าล้านบาทออกมาขายจำนวนมาก เป็นผู้นำอันดับต้น ๆ ภายใต้แบรนด์ เสนา คิทท์ ซึ่งปีนี้ยังคงเดินหน้ารักษาฐานลูกค้าของตัวเองไวด้วย
โดยในปีนี้เสนา ดีเวลลอปเมนท์จะเปิดตัวโครงการระดับราคาต่ำล้าน ภายใต้แบรนด์หลัก คือ เสนา คิทท์ จำนวน 24 โครงการ ขณะเดียวกันยังเปิดตัว 2 แบรนด์ใหม่ ที่จะมาจับตลาดกลุ่มที่อยู่อาศัยต่ำล้านด้วย ได้แก่ แบรนด์ FLEXI คอนโดที่จับตลาดกลุ่มGen Y และ Gen Z ซึ่งจะเปิดตัว 8 โครงการ แบรนด์ SENA Village มินิบ้านแฝด จำนวน 2 โครงการ
อีกกลยุทธ์ที่สำคัญในปีนี้ของ เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ คือ การหาพันธมิตรทางธุรกิจ และการเข้าลงทุนในธุรกิจใหม่ ที่มีโอกาสและศักยภาพ จากปีที่ผ่าน เสนา ดีเวลลอปเมนท์ ได้เข้าซื้อ 4 โครงการจากอีก 4 บริษัท รวมเม็ดเงินลงทุน 2,000-3,000 ล้านบาทเข้ามาเพิ่มในพอร์ตธุรกิจ ซึ่งถือเป็นโอกาสทางธุรกิจ ในการเพิ่มสินค้าและทำเล ที่บริษัทไม่ได้เข้าไปพัฒนา
นอกจากนี้ ในช่วงเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ ได้ลงทุนกว่า 507 ล้านาท เข้าลงทุนในหุ้นของบริษัท เจ.เอส.พี.พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) และมีการซื้อหุ้นเพิ่มเติมต่อเนื่อง จนมีสัดส่วนการเข้าไปถือหุ้นอยู่ 35.35% ทำให้มีโครงการการพัฒนาภายใต้บมจ. เจ.เอส.พี.ฯ ซึ่งเป็นโครงการแนวราบ เข้ามาเติมพอร์ตของเสนา ดีเวลลอปเม้นท์ ด้วย
สำหรับการขยายธุรกิจไปสู่ธุรกิจใหม่ ในปีนี้ได้วางงบลงทุนไว้ 1,000 ล้านบาท เพื่อทดลองการทำธุรกิจใหม่ที่มีแนวโน้มเติบโตที่ดี ซึ่งหากมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ในอนาคตจะนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ต่อไป อาทิ
ธุรกิจบริการด้านการดูแล ป้องกัน และฟื้นฟูสุขภาพ SENA จับมือ ทีมแพทย์ผู้ชำนาญการจัดตั้งบริษัทในเครือภายใต้ Brand “SENA HEALTHCARE” รองรับการเติบโตของสังคมสูงอายุ
ธุรกิจให้เช่าคลังสินค้า พร้อมช่วยบริหารจัดการแบบครบวงจรที่สามารถตอบสนองความต้องการทางธุรกิจของกลุ่มลูกค้าได้ดี
ธุรกิจให้บริการทางการเงินเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ เพื่อให้ลูกค้าทุกคนสามารถมีบ้านอย่างปรารถนา
เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ มองว่า ในปีนี้มีแนวโน้มที่จะปัจจัยบวกหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นภาวะการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ปรับตัวดีขึ้น การเดินทาง ท่องเที่ยวกลับมาได้ แต่ทั้งนี้จะเป็นปัจจัยบวกได้มากแค่ไหน ต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ว่าจะฟื้นตัวมากแค่ไหน โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยว เป็นปัจจัยหลักสำคัญ เพราะเชื่อมโยงกับซัพพลายเชนจำนวนมาก
ปีนี้โควิดดีขึ้น และทำอย่างไรให้เศรษฐกิจดีขึ้น ถือว่าเป็นข่าวดี เพราะปีนี้เราสู้เรื่องเดียว จากที่ผ่านมาเราสู้สองเรื่อง ต้องโฟกัสอย่างไรให้เศรษฐกิจฟื้นตัว ปัจจัยบวกอีกอย่าง คือ อัตราดอกเบี้ยยังต่ำ ทั้งในส่วนผู้ประกอบการในการลงทุน และคนซื้อ
สำหรับปัจจัยลบ มีเรื่องของภาวะเงินเฟ้อ ที่ถือว่าเป็นซัพพลายช็อค สินค้าราคาแพงขึ้น แต่เงินในกระเป๋าน้อยลง แม้เงินเฟ้อจะปรับตัวสูงขึ้น แต่ประเทศไทยถือว่าควบคุมภาวะเงินเฟ้อได้ดีมาโดยตลอด การเพิ่มขึ้นของภาวะเงินเฟ้อไม่ได้น่ากลัวจนถึงไม่มีการจับจ่ายใช้สอย
ปัจจัยลบอีกประการ คือ ภาวะการเมืองภายในประเทศ ส่งผลให้การดำเนินงานของภาคเอกชนไม่ต่อเนื่อง เพราะเศรษฐกิจจะฟื้นตัวได้ ต้องมีภาครัฐบาลเป็นตัวนำ กระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน ถ้าไม่มีความเข้มแข็งทางการเมือง มีการยุบสภา หรือการเปลี่ยนตำแหน่ง ก็จะขาดความต่อเนื่อง เป็นปัจจัยลบที่ต้องเฝ้าระวัง