Other

 

Other ล่าสุด

1 2
THE KLINIQUE เบอร์ 1 ธุรกิจการแพทย์ความงาม ตั้งเป้ารายได้ 3,000 ลบ. ในปี 67 ด้วยกลยุทธ์มัลติแบรนด์

THE KLINIQUE เบอร์ 1 ธุรกิจการแพทย์ความงาม ตั้งเป้ารายได้ 3,000 ลบ. ในปี 67 ด้วยกลยุทธ์มัลติแบรนด์

THE KLINIQUE ประกาศความเป็นเบอร์ 1 ในธุรกิจการแพทย์ความงาม ภายใต้กลยุทธ์มัลติแบรนด์ ตั้งเป้ารายได้ปี 2567 ทะยาน 3,000 ล้านบาท บริษัท เดอะคลีนิกค์คลินิกเวชกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ KLINIQ ผู้นำในธุรกิจการแพทย์ความงามครบวงจร ประกาศความสำเร็จในปี 2566 ที่ผ่านมา ด้วยรายได้รวม 2,285 ล้านบาท เติบโต 39% พร้อมเผยแผนกลยุทธ์ปี 2567 มุ่งเน้นการขยายสาขา พัฒนาผลิตภัณฑ์ เสริมกลยุทธ์การตลาด และยกระดับบริการ มุ่งสู่เป้าหมายรายได้ 3,000 ล้านบาท   นายแพทย์อภิรุจ ทองวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เดอะคลีนิกด์ ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2552 ด้วยวิสัยทัศน์ในการเป็นคลินิกความงามที่มอบบริการด้วยความเชี่ยวชาญ ปลอดภัย และได้มาตรฐานสากล      ตลอด 14 ปีที่ผ่านมา เดอะคลีนิกค์ได้ขยายสาขาภายใต้กลยุทธ์มัลติแบรนด์ (Multi Brand) กระจายตัวอยู่ตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำรวมทั้งหมด 60 กว่าสาขาทั่วประเทศ แบ่งเป็น 5 แบรนด์หลัก ได้แก่ THE KLINIQUE: เน้นกลุ่มลูกค้า Gen X หรือกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงในระดับ Luxury และ Hi-End A.B.X: เน้นลูกค้ากลุ่มพรีเมื่ยม L'Clinic: จับกลุ่มลูกค้าอายุน้อยในระดับพรีเมี่ยมแมส THE KLINIQUE SURGERY CENTER: ให้บริการด้านศัลยกรรมเฉพาะทาง มีศูนย์ศัลยกรรมที่ใหญ่ที่สุคใจกลางสยามสแควร์ KLINIQ Wellness Spa: ให้บริการด้านเวลเนส ซึ่งถือเป็น Mega Trend สำคัญตอบโจทย์กลุ่มสังคมผู้สูงอายุ ที่ต้องการมีชีวิตยืนยาว อย่างมีสุขภาพดี   “ในปี 2566 เดอะคลีนิกค์มีรายได้รวม 2,285 ล้านบาท เติบโต 39% โดยเราพบว่าธุรกิจศัลยกรรมเติบโตขึ้นกว่า 361% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งปีที่ผ่านมาเราก็โตสูงมากแต่จะเห็นได้ว่าตลาดโตมาก นั่นหมายถึงว่าเรายังโตได้อีก โดยเราใช้กลยุทธ์ Multi Brand ในการขยายรายได้บริษัทให้สามารถจับกลุ่มลูกค้าได้ตามความต้องการที่แตกต่างกัน ทั้งนี้การที่เราอยู่ในตลาดนี้มานานมีความเข้าใจลูกค้า รวมถึงการพัฒนาบุคลากรทางการแพทย์และความสัมพันธ์ที่ดีกับพันธมิตรทางเครื่องมือ เทคโนโลยีใหม่ๆ ทั้งหมดนี้คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้บริษัทฯเดินหน้าสู่ความเป็นที่หนึ่งในตลาดนี้ ”     ในปี 2567 เดอะคลีนิกค์ได้วางงบลงทุนไว้ 500 ล้านบาท เพื่อปั้นรายได้ทะยานสู่ 3,000 ล้านบาทภายใต้ 4 กลยุทธ์หลักประกอบไปด้วย   ขยายสาขา: เดอะคลีนิกค์มีแผนเปิดสาขาใหม่เพิ่มอีก 15-20 สาขา เลือกทำเลที่มีศักยภาพ ภายใต้งบลงทุน 300 ล้านบาท หรือลงทุนเฉลี่ย 25-30 ล้านบาทต่อสาขา ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด พัฒนาผลิตภัณฑ์: เน้นนวัตกรรม เทคโนโลยี และความปลอดภัย วางงบลงทุน 200 ล้านบาทสำหรับซื้อเครื่องมือใหม่ๆ การตลาดและการสื่อสาร: มุ่งเน้นกลยุทธ์การเข้าถึงลูกค้าแบบ Omnichannel สร้างการรับรู้แบรนด์และ Engagement กับลูกค้า จนเป็นที่รู้จักทั้งในไทยและต่างประเทศ โดยมีสัดส่วนลูกค้าคนไทยประมาณ 90% ต่างชาติ 10% ทั้งจากประเทศจีนและประเทศเพื่อบ้านทั้งหมดล้วนเป็นลูกค้าในระดับบนที่มีกำลังซื้อสูง บริการ: พัฒนาด้านบริการให้ Personalized ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าแต่ละราย และใส่ใจผ่านทีมแพทย์ในเครือนับเครือนับ 100 คน พร้อมพยาบาล 200 กว่าคน รวมถึงพนักงานให้บริการอีกเกือบ 1,000 คน ที่ได้เทรนนิ่งทุกฝ่ายพร้อมรองรับลูกค้าอย่างครบวงจร   นายแพทย์อภิรุจ กล่าวต่อว่า ประเทศไทยเป็น 1 ในประเทศที่มีการเสริมความงามมากที่สุดในปี 2563 โดยภาพรวมของอุตสาหกรรมเสริมความงามในประเทศนั้นพบว่ามีการเติบโตขึ้นทุกปี ซึ่งมาจากการที่ผู้บริโภคจะเปิดกว้างมากขึ้นต่อการทำศัลยกรรมและเสริมความงาม จากการศึกษาของ Grand View Research พบว่า ระหว่างปี 2565-2573 จะมีการเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปี (CAGR) ร้อยละ 9.70% โดยในปี 2566 มีมูลค่า 6.4 หมื่นล้านบาท และปี 2567 จะมีมูลค่า 7 หมื่นล้านบาท และคาดการณ์จนถึงปี 2573 จะมีมูลค่าเพิ่มเป็น 1.2 แสนล้านบาท   “หากมองภาพรวมของตลาดธุรกิจศัลยกรรมและเสริมความงามของไทยมูลค่า 7 หมื่นล้านบาท เดอะคลีนิกค์ ยังมีส่วนแบ่งการตลาดไม่ถึง 5% แต่ในแง่การดูแลรักษาเรื่องผิวหนังความงามถือว่าเป็นเบอร์ 1 ของไทยที่มีบริษัทอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ เราตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมนี้เพื่อแข่งขันกับตลาดต่างประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาได้ลงทุนเรื่องนวัตกรรมความงามจนได้รับรางวัลชนะเกาหลีและไต้หวันมาแล้ว และยังคงมุ่งมั่นพัฒนานเรื่องนวัตกรรมอีกอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มเรทการใช้ห้องศัลยกรรมให้คุ้มค่ามากขึ้น พัฒนาบริการระดับ 5 ดาว รวมทั้งหาพาทเนอร์ในตลาดเวลเนส ที่จะเติบโตเป็น Inorganic Growth ในอนาคต” นายแพทย์อภิรุจกล่าวทิ้งท้าย    
สแตนดาร์ดจับมือ แสนสิริ และซีจี แคปปิตอล  เปิดเรสซิเดนซ์แห่งแรกในเอเชีย“หัวหิน-ภูเก็ต”

สแตนดาร์ดจับมือ แสนสิริ และซีจี แคปปิตอล เปิดเรสซิเดนซ์แห่งแรกในเอเชีย“หัวหิน-ภูเก็ต”

สแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล  จับมือ 2 ดีเวปลอปเปอร์ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)  อสังหาริมทรัพย์ลักซ์ชัวรี่และซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ของไทยและ บริษัท ซีจี แคปปิตอล จำกัด  บริษัทบริหารการลงทุนจากตระกูลจิราธิวัฒน์ในรูปแบบกองทุน Private Equity ที่เจาะกลุ่มธุรกิจโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์เปิดตัวโครงการ “THE STANDARD RESIDENCES”   ที่พักอาศัยรูปแบบbranded residences บนทำเลสุดฮอตกับ 2 เมืองท่องเที่ยวระดับโลก ได้แก่เดอะสแตนดาร์ดเรสซิเดนซ์หัวหิน โครงการbranded residences แห่งแรกในเอเชีย กับทำเลบีชฟร้อนท์และเดอะสแตนดาร์ดเรสซิเดนซ์ภูเก็ตบางเทา ย่านที่ฮอตที่สุดในภูเก็ต ตอบโจทย์ทั้งการใช้ชีวิตอยู่อาศัยเองและซื้อไว้เป็นฮอลิเดย์โฮมด้วยดีไซน์ทันสมัย แปลกใหม่ และมาตรฐานที่ไม่เหมือนใครในแบบฉบับของ เดอะ สแตนดาร์ด มูลค่าทั้ง 2 โครงการรวมกว่า 8,500 ล้านบาท คุณอมาร์ ลัลวานี่ ประธานกรรมการบริหาร Standard International กล่าวว่า Standard International บริษัทเครือไลฟ์สไตล์โฮเทลระดับโลกและเป็นบริษัทแม่ของเครือโรงแรมเดอะสแตนดาร์ด  ซึ่งก่อตั้งมากว่า 25 ปีด้วยเอกลักษณ์ ตัวตน เปิดตัวโรงแรมแห่งแรกในฮอลลีวูด รวมทั้งปักหมุดเปิดให้บริการในทำเลสำคัญทั่วโลกได้แก่ นิวยอร์ก, ไมอามี่, ลอนดอน, อิบิซา, มัลดีฟส์, หัวหิน และกรุงเทพมหานครที่เป็นแฟล็กชิพของเอเชีย อย่าง The Standard, Bangkok Mahanakhon   โดยโครงการ The Standard Residences จะหยิบยกเอาจุดเด่นด้านดีไซน์ของโรงแรม The Standard ไม่ว่าจะเป็น ห้องนั่งเล่นที่ดูสนุกสนาน การผสมผสานโทนสี การเลือกสรรวัสดุ และเตียงนอนที่นุ่มสบาย มาต่อยอดกับบริการอันเป็นเอกลักษณ์  และสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันสร้างประสบการณ์พักผ่อนที่แตกต่าง ตลาด branded residences ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีอัตราการเติบโตถึง 216% ด้วยโลเคชั่นที่มีความหลากหลายเพิ่มขึ้น The Standard Residences จึงไม่จำกัดเฉพาะในเมืองท่องเที่ยวหลักแต่ยังเล็งการขยายตัวไปยังเมืองที่มีศักยภาพในการเติบโตและมีเอกลักษณ์โดดเด่น ยกตัวอย่างเช่น บาหลี สิงคโปร์หรือ กรุงเทพมหานคร เป็นต้น   ทั้งนี้คุณอมาร์ มีความเชื่อมั่นว่า ทั้ง 2 โครงการใหม่ อย่าง The Standard Residences, Hua Hin โดย แสนสิริ และ The Standard Residences, Phuket Bang Tao ที่ได้ ซีจี แคปปิตอล ผู้บริหารกองทุน Private Equity  จะเพิ่มมูลค่าของ branded residences ภายใต้แบรนด์ The Standard มั่นใจว่า 2โครงการนี้จะสามารถปิดการขายได้อย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับโครงการอื่นๆ   คุณอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า  แสนสิริ ก้าวเข้าสู่ปีที่ 40ในฐานะบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์พัฒนามาแล้วรวมกว่า 500 โครงการ ทั้งนี้แสนสิริพัฒนาโครงการรีสอร์ทคอนโดมิเนียม(รวม The Standard Residences, Hua-Hin) ในหัวหินมาแล้วจำนวนรวม 25 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 31,000 ล้านบาท โดย 22 โครงการ Sold out (ปิดการขายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว)   คุณอุทัยกล่าวว่า หัวหินเป็นตลาดที่มีโอกาสในการเติบโตทางธุรกิจสูง เป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญ ในปี 66 มีนักท่องเที่ยวเข้ามาในหัวหิน 9 ล้านคนและคาดว่าในปี 67จะมีมากขึ้นกว่าเดิมด้วยมาตรการผ่อนปรนต่างๆ ส่งผลให้ดีมานด์ที่อยู่อาศัย Resort home เป็นบ้านหลังที่ 2 มากขึ้น ทั้งซื้อเพื่ออยู่เองเพื่อการลงทุนของชาวไทยและต่างชาติรวมทั้งปัจจัยด้านโครงสร้างพื้นฐานจากโครงการต่างๆ ของภาครัฐที่กำลังพัฒนา ด้านระบบคมนาคม รวมถึงการผลักดันของภาครัฐให้หัวหินเป็น World Class City of Relaxation ศูนย์กลางของด้าน Wellness และ Medical Tourism Hub การขยายสนามบินเพื่อรองรับไพรเวทเจ็ทของนักท่องเที่ยวกลุ่มลักซ์ซัวรี่และการตั้งเป้าให้หัวหินเป็นสมาร์ทซิตี้ที่มีความทันสมัยและปลอดภัยและที่สำคัญ The Standard Residences, Hua Hin นับเป็นโปรเจกท์ไฮไลท์ของแสนสิริในปีนี้โดยมีมูลค่าโครงการรวม 4,500 ล้านบาทและเป็น Beachfront branded residences ภายใต้แบรนด์ The Standard แห่งแรกในเอเชีย และมีกำหนดเปิดตัวเป็นแห่งที่ 3 ของโลก โครงการตั้งอยู่บนไพร์มโลเคชั่นบนที่ดินหายากติดหาดหัวหิน ที่สามารถพัฒนาโครงการใหญ่แบบฟรีโฮลด์ได้มาพร้อมกับไฮไลท์ Beachfront Pool Villa สุด Rare ราคาแตะ 100 ล้านบาท เพียง 2 ยูนิตเท่านั้น โดดเด่นด้วย programming experience ที่ยกระดับประสบการณ์ระดับเวิลด์คลาสไปกับ experience facilities ที่มีให้เฉพาะลูกบ้านของเรสซิเดนซ์เท่านั้นเพื่อสุดยอดประสบการณ์ไลฟ์สไตล์ที่ฉีกกรอบทุกการพักผ่อนอาทิ pickle ball court, the mud lounge, salt sauna และ experience shower จำนวน 245 ยูนิตบนพื้นที่ขนาด9 ไร่เริ่มตั้งแต่ 1 ห้องนอน ขนาด 40-65 ตารางเมตร, 2 ห้องนอน ขนาด77-120 ตารางเมตร, 3 ห้องนอน ขนาด107-153 ตารางเมตรและBeachfront Pool Villa สุด Rare ขนาด 220 ตารางเมตร ทั้งนี้โครงการพร้อมเปิดให้ชม sales gallery ครั้งแรกวันที่ 23-24 มีนาคม 2567 นี้และพร้อมเข้าอยู่ในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2569 คุณภูมิ จิราธิวัฒน์กรรมการผู้จัดการบริษัท ซีจี แคปปิตอลจำกัด กล่าวว่า ซีจี แคปปิตอล ผู้บริหารกองทุน Private Equity ในเครือเซ็นทรัล ได้จัดตั้ง กองทุนแรกในมูลค่า 10,000 ล้านบาท เพื่อลงทุนในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจการท่องเที่ยวลงทุนหลักได้แก่ 1. ครอบครัวจิราธิวัฒน์ 2. ธนาคารชั้นนำ 3. นักลงทุนสถาบันระดับโลกซึ่งมีแผนที่จะลงทุนทั้งในส่วนโรงแรม คอนโดมิเนียม สวนสนุกสวนน้ำ และโครงการมิกซ์ยูส ที่เกี่ยวข้อง โดยมุ่งเน้นในเมืองท่องเที่ยวหลักของประเทศได้แก่ กรุงเทพมหานครภูเก็ต สมุย และพัทยา โดยคาดว่าจะลงทุนปีละ 3-5 โครงการ   ยิ่งสำคัญ ภูเก็ต เมืองท่องเที่ยวอันโด่งดังติดอันดับ1 ใน 10 ของโลก และยังได้รับการโหวตให้เป็นเมืองที่ดีที่สุดสำหรับ Workation อันดับ 10 ของโลก หลังช่วงโควิดในปีที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าภูเก็ตแล้วกว่า 11 ล้านคน ทำให้มีการเล็งเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยทุกประเภทจากหลายผู้ประกอบการมากที่สุดในเมืองไทยประกอบกับโดยมีโรงเรียนนานาชาติถึง 13 แห่ง และโรงพยาบาลระดับไฮเอ็นด์ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา การเติบโตของคอนโดมิเนียมในภูเก็ตเพิ่มขึ้นถึง 113% โครงการ The Standard Residences Phuket Bang Tao ตั้งอยู่บนทำเลที่ดีที่สุดในย่านที่เป็นไลฟ์สไตล์เซ็นเตอร์ของภูเก็ต อย่างย่านบางเทา การเดินทางจากกรุงเทพฯเพียง 3 ชั่วโมงโดยเครื่องบิน โครงการเดินทางจากสนามบินนานาชาติภูเก็ตเพียง 25 นาที   พื้นที่ของโครงการทั้งหมดมีขนาด 19 ไร่โดยแบ่งเป็น 3 โปรเจค เริ่มจากThe Standard Residences, Phuket Bang Tao ที่มีขนาด 12 ไร่ และ โรงแรมเดอะ เภรี โฮเต็ล ภูเก็ต บางเทา(The Peri Hotel Phuket Bang Tao) รวมถึง F&B Concept ใหม่ล่าสุดจากThe Standard ที่อยู่ในพื้นที่เดียวกันอีก 7 ไร่   ทั้งนี้ตัวโครงการ branded residences ประกอบด้วยอาคาร7 ชั้นรวมแล้ว6 อาคารมีจำนวนห้องทั้งหมด 188 ยูนิตโดยออกแบบให้เป็นห้องตกแต่งพร้อมเฟอร์นิเจอร์เริ่มตั้งแต่1 ห้องนอนขนาด 75 ตารางเมตร, 2 ห้องนอน ขนาด 100-120 ตารางเมตร, 3 ห้องนอนขนาด167-172 ตารางเมตร และห้องดูเพล็กซ์สุดหรู ขนาด 301–313 ตารางเมตร โครงการให้บริการพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่หลาดหลายอาทิ โคเวิร์คกิ้งสเปซ, โซนเกมส์, ฟิตเนส, สระว่ายน้ำความยาว25 เมตร, สระว่ายน้ำเด็ก และสปา เป็นต้นพร้อมบริการอื่น ๆ ตามมาตรฐานโรงแรมเดอะ สแตนดาร์ดรวมถึงมีพนักงานดูแลอำนวยความสะดวกตลอด24 ชั่วโมง และบริการรถรับ-ส่งไปยังชายหาดบางเทา ทั้งนี้ The Standard Residences, Phuket Bang Tao เตรียมเปิดตัวด้วยราคาเริ่มต้นที่ 11.9 ล้านบาท รวมถึงเปิดsales gallery ครั้งแรกในเดือนเมษายนปี 2567 และพร้อมเข้าอยู่ช่วงไตรมาส 4 ของปี 2569   บทความน่าสนใจ เปิดตัว CG Capital บริษัทบริหารกองทุน โดยตระกูลจิราธิวัฒน์ เจาะตลาดอสังหาฯ โรงแรม ในเมืองท่องเที่ยว แสนสิริกางแผนปี 67 เปิดตัว 46 โครงการใหม่มูลค่า 6.1หมื่นล้านบุก 4 เมืองท่องเที่ยว  
แสนสิริกางแผนปี 67 เปิดตัว 46 โครงการใหม่มูลค่า 6.1หมื่นล้านบุก 4 เมืองท่องเที่ยว

แสนสิริกางแผนปี 67 เปิดตัว 46 โครงการใหม่มูลค่า 6.1หมื่นล้านบุก 4 เมืองท่องเที่ยว

นายอภิชาติ จูตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยว่า ในปี 2567 ถือเป็นปีแห่งการเติบโตที่สำคัญที่ แสนสิริ ก้าวเข้าสู่ปีที่ 40 ถือเป็นการก้าวต่ออย่างมั่นคงจากปี 2566 ที่ผ่านมา บริษัทสามารถ เปิดตัวโครงการใหม่ 44 โครงการ มูลค่ารวมสูงถึง 65,000 ล้านบาท สร้างสถิติใหม่ ALL-Time High เติบโตจากปีก่อนหน้า 50% และโตขึ้นจากช่วงเกิดโควิดถึง 10 เท่า ครอบคลุมทุกโปรดักต์ ทั้งคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม ทุกเซ็กเมนต์ระดับราคารองรับทุกความต้องการ และครอบคลุมในทุกทำเล เจาะกลุ่มที่มีความต้องการที่อยู่อาศัยจริง  เดินหน้าปรับโครงสร้างเพื่อมุ่งทรานฟอร์มองค์กร แต่งตั้งคนรุ่นใหม่เสริมทัพบริหาร สร้างการเติบโตสู่ทศวรรษใหม่ ตามวิสัยทัศน์ที่มุ่งสู่การเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ชั้นนำของประเทศไทย นำเสนอทั้งผลิตภัณฑ์และบริการด้านการอยู่อาศัยที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้อย่างครบวงจร และสร้างประโยชน์อย่างยั่งยืนแก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย แสนสิริกางแผนปี 67 แสนสิริกางแผนปี 67 พร้อมมอบกลับคืนสู่สังคม สนับสนุนลดความเหลื่อมล้ำ ตอบโจทย์ภาพใหญ่ที่สอดคล้องกับนโยบายการยกระดับการเข้าถึงการศึกษาภาคบังคับ ได้มีการลงนามร่วมมือกับกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาเป็นระยะเวลา 3 ปี สร้างราชบุรีโมเดล กับโครงการ “Zero Dropout เด็กทุกคนต้องได้เรียน” โดยแสนสิริสนับสนุนเงินทุน 100 ล้านบาท นำร่องที่ราชบุรี ให้เป็นจังหวัดต้นแบบ ตั้งเป้าช่วยเด็กหลุดจากการศึกษาเป็นศูนย์ในปี 2567 ซึ่งมีความคืบหน้าไปมาก ที่สำคัญเราไม่มีธุรกิจในพื้นที่ จึงไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน   นายอุทัย  อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฎิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แสนสิริ ยังคงสามารถรักษาระดับการเติบโตท่ามกลางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากการเปิดโครงการใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงจัดทำแคมเปญและกิจกรรมทางการตลาด อาทิ งาน Museum of YOU ที่จัดขึ้นเมื่อช่วงเดือนตุลาคม 2566 ที่ผ่านมา ส่งผลให้แสนสิริสร้างยอดขายในปี 2566 ได้ 49,000 ล้านบาท ในขณะที่ยอดโอน (รวมโครงการร่วมทุน) อยู่ที่ 39,000 ล้านบาท และสามารถ Sold Out ได้ถึง 28 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 51,000 ล้านบาท   สำหรับโครงการที่เปิดตัวมีทั้งการต่อยอดความสำเร็จแบรนด์นาราสิริและบูก้าน ในกลุ่ม Sansiri Luxury Collection ตลอดจนการรีเฟรชแบรนด์เศรษฐสิริและดีคอนโด ส่วนการเปิดตัวโครงการแนวสูงนั้น ก็มีการเปิดตัว “ดีคอนโด” ซีรีส์ใหม่ 6 โครงการ 6 ทำเลศักยภาพ ทั่วประเทศ รวมมูลค่าโครงการกว่า 6,300 ล้านบาท เจาะทำเลคอมมูนิตี้ใหญ่ ใกล้มหาวิทยาลัยและแหล่งงาน ทั้งในกรุงเทพฯ หาดใหญ่ และภูเก็ต รวมถึงการกลับมาของคอนโดมิเนียมระดับบน ได้แก่ ชูช์ ราชเทวี และเวีย อารีย์ ตลอดจนคอนโดมิเนียมแบรนด์ใหม่   สำหรับปี 2567 นี้ แสนสิริ วางแผนเปิดตัวรวม 46 โครงการ มูลค่ารวม 61,000 ล้านบาท บนทำเลศักยภาพในกรุงเทพฯ และตลาดต่างจังหวัด โดยเพิ่มสัดส่วนของโครงการบ้านลักซ์ชัวรี่มากขึ้น  และตั้งเป้ายอดขาย 52,000 ล้านบาท และยอดโอนที่ 43,000 ล้านบาท เริ่มจากกลุ่มธุรกิจแนวราบ วางแผนเปิดตัวรวม 26 โครงการ มูลค่ารวม 35,000 ล้านบาท โครงการที่เป็นไฮไลท์ในปีนี้ ประเดิมด้วยกลุ่ม Sansiri Luxury Collection 2 โครงการ ได้แก่ บ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ ‘นาราสิริ บางนา กม. 10’ มูลค่าโครงการ 3,800 ล้านบาท ราคา 45 – 70 ล้านบาท รวมถึงต่อยอดความสำเร็จของแบรนด์บ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี่ กับการเปิดตัวเศรษฐสิริรวม 7 โครงการ มูลค่ารวม 14,400 ล้านบาท   เศรษฐสิริ วัชรพล - เทพรักษ์โครงการใหม่ สไตล์ Georgian ใกล้ทางด่วน ใจกลางวัชรพล มูลค่า 2,700 ล้านบาท และลุยต่อตลาดอสังหาฯ ระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่และลักซ์ชัวรี่ ผ่านการเปิดตัวสราญสิริรวม 6 โครงการ มูลค่ารวม 9,100 ล้านบาท กับจุดขายบ้านเดี่ยวหลังแรกของครอบครัว และอณาสิริรวม 4 โครงการ มูลค่ารวม 4,100 ล้านบาท เพื่อส่งมอบโปรดักส์อย่างครอบคลุมทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝดและทาวน์โฮม พร้อมกันนี้ แสนสิริจ่อคิวขยายพอร์ตแนวราบ เตรียมเปิดตัว 2 แบรนด์ใหม่ ได้แก่ ‘ณริณสิริ’ (Narinsiri) แบรนด์บ้านเดี่ยวใหม่ระดับพรีเมียมโครงการแรก ‘ณริณสิริ กรุงเทพกรีฑา’ มูลค่าโครงการ 1,800 ล้านบาท และ ‘มาเบิล’ (Mabel) แบรนด์บ้านเดี่ยวใหม่ระดับราคาเข้าถึงง่ายประมาณ 5-7 ล้านบาท กับ ‘มาเบิล บางนา 26’ มูลค่าโครงการ 850 ล้านบาท   สำหรับกลุ่มธุรกิจแนวสูง แสนสิริเคาะแผนเปิดตัวคอนโดมิเนียม 20 โครงการ มูลค่ารวม 26,000 ล้านบาท พร้อมสานต่อกลยุทธ์ความสำเร็จในปีที่ผ่านมา รุกแผนขยายการเปิดตัวโครงการใหม่ เน้นขยายการลงทุนไปยังหัวเมืองท่องเที่ยวมากขึ้น โดยมีไฮไลท์ดังนี้ เริ่มจากกลุ่มคอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี่ขึ้นไป ได้แก่ การเปิดขาย ‘เดอะ สแตนดาร์ด เรสซิเด้นซ์ หัวหิน’ มูลค่าโครงการ 4,100 ล้านบาท Branded Residence แห่งแรกในเอเชียและแห่งที่ 3 ของโลก ภายใต้เดอะ สแตนดาร์ด แบรนด์บูทีคโฮเทลและไลฟ์สไตล์ชั้นนำระดับโลก และการเปิดตัวเวีย 2 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 2,500 ล้านบาท บนสุดยอดทำเลศักยภาพที่มีดีมานด์ แต่ซัพพลายน้อย ในย่านสุขุมวิท 34 และ 61  ตลอดจนการลุยต่อตลาดคอนโดมิเนียมราคาเข้าถึงง่าย อย่างแบรนด์แคมปัสคอนโด กับการเปิดตัวดีคอนโดรวม 3 โครงการ มูลค่ารวม 2,800 ล้านบาท และการพัฒนาโครงการคอนโดในกลุ่มแบรนด์เดอะ มูฟและคอนโดมีอย่างต่อเนื่อง ยิ่งไปกว่านั้น เราได้เตรียมความน่าตื่นเต้นครั้งใหม่ กับการ รีเฟรชแบรนด์ เดอะ เบส เพื่อรองรับการเปิดตัวในปีนี้รวม 3 โครงการ มูลค่าราว 4,500 ล้านบาท” นายอุทัย กล่าว แสนสิริยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าในพันธกิจสีเขียว ตั้งเป้าหมายปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero) ภายในปี 2050 (พ.ศ. 2593) ผ่านการขับเคลื่อน 4 แก่นสำคัญคือ ‘Process-Product-Partner-Investment’ และอีกหนึ่งแผนงานที่สำคัญคือการส่งมอบทุกโครงการใหม่ของแสนสิริด้วยนวัตกรรมบ้านสีเขียว หรือ Green Living Designed Home โดยเริ่มตั้งแต่การออกแบบ ก่อสร้าง จนถึงการส่งมอบบ้านพลังงานสะอาด เพื่อให้ลูกบ้านได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างสมบูรณ์ และที่สำคัญยังช่วยประหยัดพลังงาน โดยหนึ่งครัวเรือน สามารถลดการใช้พลังงานได้สูงสุดถึง 18% ต่อปี และได้ วางเป้าขยายผลสู่คอนโดมิเนียมแบรนด์เดอะเบสทุกโครงการใหม่ในปี 2567 ที่ส่วนกลางของโครงการจะมีการนำแนวทาง Green Living Designed Home ไปต่อยอดในการดำเนินงาน และตั้งเป้าสู่การลดใช้พลังงานในช่วงแรกให้ได้ราว 6%”   นายภูมิภักดิ์ จุลมณีโชติ ประธานผู้บริหารสายงานกลยุทธ์  บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ในปีที่ผ่านมาผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ยังคงมีการเปิดตัวโครงการใหม่อย่างเนื่อง เนื่องจากก่อนหน้านี้มีการหยุดชะงักการเปิดตัวไปในช่วงโควิด อย่างไรก็ตาม เรามองว่าเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้ายังไม่ฟื้นตัวอย่างเต็มที่ทั้งปัจจัยภายในประเทศและต่างประเทศ สำหรับในประเทศ มองว่าปัจจัยท้าทายคือเรื่องดอกเบี้ยเป็นตัวแปรสำคัญ ส่วนปัจจัยที่ส่งเสริมธุรกิจก็อาจจะมีจากการฟื้นตัวของตลาดท่องเที่ยว ซึ่งจะมีผลกระตุ้นให้มีแรงซื้อจากชาวต่างชาติเข้ามามากขึ้นโดยเฉพาะสินค้ากลุ่มคอนโดมีเนียม   เพื่อให้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ แสนสิริยังคงเดินหน้าตาม 3 กลยุทธ์สำคัญขับเคลื่อนองค์กร ควบคู่กับความพร้อมรับมือทุกสถานการณ์ และรักษาอันดับความเป็นผู้นำในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัย ประกอบไปด้วย 1. รักษาระดับผลประกอบการให้เติบโตอย่างสม่ำเสมอ เพิ่มสัดส่วนการเปิดตัวโครงการให้มากขึ้นโดยเฉพาะโครงการแนวราบ และการใช้เงินลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ รักษาสภาพคล่องให้อยู่ในระดับที่สูง สำหรับผลการดำเนินงานในรอบ 9 เดือนแรกของปี 2566 มีกำไรสุทธิที่ 4,760 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 91% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเป็นอันดับ 1 ในกลุ่มอสังหาฯ) สูงสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 40 ปีนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท และมากกว่ากำไรสุทธิทั้งปีของปี 2565 สะท้อนถึงการบริหารงานที่มีประสิทธิภาพของบริษัท เพื่อสร้างการเติบโตที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นในอนาคต และนับเป็นผลการดำเนินงานที่เติบโตตาม Business Direction ที่วางไว้นอกจากนี้ แสนสิริยังมุ่งสร้างผลตอบแทนสูงสุดกับผู้ถือหุ้น จากผลกำไรที่เติบโตต่อเนื่อง เพื่อให้ นักลงทุนได้รับเงินปันผลที่สูงขึ้นในอนาคต จากสถิติการจ่ายปันผลที่มาพบว่า Dividend Yield ปี ล่าสุด  2566 อยู่ที่ 12.4% 2.บริหารจัดการพอร์ตสินค้าพร้อมขาย ให้กระจายไปในหลากหลายทำเล เพื่อสร้างโอกาสและความได้เปรียบในการแข่งขันที่มากกว่า ผ่านการควบคุมระดับสินค้าเพื่อการขายในแต่ละระดับราคาให้อยู่ระดับที่เหมาะสม ก่อนพิจารณาเปิดโครงการใหม่ในแต่ละครั้ง เน้นเรื่องวินัยในการลงทุนมากกว่าคว้าทุกโอกาสที่เข้ามา และเมื่อรวมโครงการเปิดใหม่ในปีนี้ แสนสิริจะมียูนิตพร้อมขายทั่วประเทศรวมมูลค่า 146,000 ล้านบาท ซึ่งส่งผลให้แสนสิริจะมีรายได้ที่เติบโตอย่างต่อเนื่องใน 3 ปีข้างหน้า ภายใต้กลยุทธ์นี้  แสนสิริ พร้อมขยายโอกาสในการลงทุนกับพันธมิตรทางธุรกิจรายใหม่ๆ เพื่อพัฒนาโครงการร่วมกัน ตลอดจนกลับไปรุก Strategic Location หัวเมืองใหญ่และเมืองท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ มีโรดแมปการพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ชัดเจน และได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและเป็นที่นิยมของชาวต่างชาติ ได้แก่ ภูเก็ต เชียงใหม่ พัทยา หัวหิน โดยวางแผนจะเปิดตัวโครงการในต่างจังหวัดทั้งหมด 13 โครงการ มูลค่ารวม 16,000 ล้านบาท โตกว่าปีก่อนหน้าถึง 170%  สำหรับ Strategic Location อย่างภูเก็ต ได้มีการจัดทำแผนกลยุทธ์ 5 ปี ในการเปิดตัวโครงการใหม่ 16 โครงการ มูลค่ารวม 15,000 ล้านบาท รวมถึงวางแผนเปิดตัว Sansiri Hub หรือออฟฟิศของแสนสิริในจังหวัดภูเก็ตในปี 2567 นี้ด้วยเช่นกัน รวมถึงหัวหินกับโครงการเดอะ สแตนดาร์ด เรสซิเด้นซ์ หัวหิน ที่จะเปิดตัวในเดือนกุมภาพันธ์นี้  พร้อมสานต่อโมเดล Sansiri Community ในแต่ละทำเลที่แสนสิริเข้าไปพัฒนาโครงการ และยกระดับให้เป็นสังคมอยู่อาศัยสมบูรณ์แบบอีก 4 คอมมูนิตี้ ได้แก่ ศรีนครินทร์-แพรกษา, บางนา กม. 10, ศรีวารี และวงแหวน – ลำลูกกา จากที่ประสบความสำเร็จมาแล้ว 8 คอมมูนิตี้ คือ กรุงเทพกรีฑา, บางนา-เลค 26, รังสิต-บางพูน, ราชพฤกษ์-346, กรุงเทพ-ปทุมธานี, เวสต์เกต, พระราม 2-วงแหวน และประชาอุทิศ 90   3.ยกระดับคุณภาพของสินค้า บริการ และความยั่งยืน ให้เป็นอันดับ 1 ในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัย สอดคล้องกับโครงการในระดับกลางและบนที่มีการเปิดตัวมากขึ้น ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญด้านหนึ่งของแสนสิริเพื่อรักษามาตรฐานความเป็นหนึ่งของวงการอสังหาริมทรัพย์ในทุกมิติ และทุกโครงการของแสนสิริ ยังมั่นใจถึงคุณภาพในการบริหารจัดการที่อยู่อาศัยด้วยทีมงานมืออาชีพ ตอบโจทย์ทุกการดูแล จากบริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้  พร้อมส่งมอบคุณภาพการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืนให้กับลูกค้าและ Stakeholder ที่เกี่ยวข้อง   บทความน่าสนใจ แสนสิริ ตุนยอดโอน 4 เดือนแรก โต 28% กวาดรายได้แล้ว 9,200 ล้าน  แสนสิริ เปิดทำเลโครงการใหม่ปี 66 บักหมุดพื้นที่กรุงเทพฯ​ และอีก 6 จังหวัด แสนสิริ โชว์กำไรครึ่งปี 66 โตก้าวกระโดด 162% ครึ่งปีหลัง เปิดโครงการใหม่ กว่า 56,700 ล้าน
เศรษฐสิริ กรุงเทพ  ปทุมธานี 2 บ้านเดี่ยวดีไซน์ MODERN CLASSIC พร้อมวิวสนามกอล์ฟ

เศรษฐสิริ กรุงเทพ ปทุมธานี 2 บ้านเดี่ยวดีไซน์ MODERN CLASSIC พร้อมวิวสนามกอล์ฟ

เศรษฐสิริ กรุงเทพ  ปทุมธานี 2 โครงการบ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี่ดีไซน์ MODERN CLASSIC เรียบง่ายร่วมสมัย สง่างาม TIMELESS DESIGN ที่เหนือกาลเวลา  สิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการมีอย่างครบครัน พื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ร่มรื่น สระว่ายน้ำระบบเกลือและมีสระว่ายน้ำเด็ก ฟิตเนสพร้อมอุปกรณ์ครบครัน โครงการตั้งอยู่ในทำเลศักยภาพ ครบทุกการเดินทาง เชื่อมต่อถนนกรุงเทพ – ปทุมธานี, ถนนทางหลวง 345, ถนนติวานนท์, ถนนสรงประภา-วิภาวดี ดอนเมือง โดยเดินทางเพียง 10 นาที ถึง ทางด่วนศรีรัช ด่านศรีสมาน       จุดเด่นของโครงการ ส่วนกลางแบบ PANORAMIC VIEW ทั้งคลับเฮาส์ สวนส่วนกลาง สระว่ายน้ำ ที่รับวิวสนามกอล์ฟขนาดใหญ่ 18 หลุม และมาพร้อมกับบ้านทั้งหมด 8 แบบ ครบครันทุกฟังก์ชันการอยู่อาศัย พิเศษส่วนตัวมากๆเพียง 70 หลังเท่านั้น     เศรษฐสิริ กรุงเทพ – ปทุมธานี 2   แบบบ้านให้เลือกมากถึง 8 แบบ ขนาดพื้นที่ใช้สอยเริ่มตั้งแต่ 200-425 ตร.ม.  ห้องโถง DOUBLE VOLUME SPACE, ห้อง PAVILION วิวสนามกอล์ฟที่จอดรถ ABSORPTION FLOOR พื้นลดแรงกระแทก และ HOME SECURITY ระบบรักษาความปลอดภัยภายในบ้านเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนได้ รวมถึงนวัตกรรมบ้านสีเขียว GREEN LIVING DESIGNED HOME นวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น สะดวกสบาย ประหยัดพลังงาน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม     เศรษฐสิริ กรุงเทพ - ปทุมธานี 2 บ้านเดี่ยววิวสนามกอล์ฟ สไตล์ MODERN CLASSIC ที่สุดของทัศนียภาพแห่งความงดงาม ในราคา 12 - 30 ล้าน บ้านนวัตกรรมบ้านสีเขียว GREEN LIVING DESIGNED HOME เพื่อการอยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น พร้อมส่วนกลางที่รองรับไลฟ์สไตล์ทุกวัย     บทความน่าสนใจ แสนสิริ โชว์กำไรครึ่งปี 66 โตก้าวกระโดด 162% ครึ่งปีหลัง เปิดโครงการใหม่ กว่า 56,700 ล้าน แสนสิริ ตุนยอดโอน 4 เดือนแรก โต 28% กวาดรายได้แล้ว 9,200 ล้าน 
Flexi Mega Space Bangna คอนโดของคนรักษ์โลก ในแบบ Low Carbon

Flexi Mega Space Bangna คอนโดของคนรักษ์โลก ในแบบ Low Carbon

Flexi โดย บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ไลฟ์สไตล์คอนโดเพื่อคนรุ่นใหม่ (GEN Z) โดยเริ่มเปิดตัวโครงการใหม่ที่โลเคชั่นบางนา  Flexi Mega Space Bangna เคาะราคาเริ่มต้น 1.89 ล้านภายใต้ 4 แนวคิด 1.FLEXIBLE FUCTION  ฟังก์ชันห้องและพื้นที่ส่วนกลางที่ ‘ปรับเปลี่ยน’ ได้ ตอบสนองทุกความต้องการ ทั้งการทำงานและการใช้ชีวิต ไปสนุกกับชีวิตให้เต็มที่ ทั้งการทำงานที่เรารักและปาร์ตี้สนุกกับเพื่อนหลังเลิกงาน   2.FLEXIBLE FACILITIES ส่วนกลางดีไซน์สวย พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่หลากหลายตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ครบทุกความต้องการ ทั้ง Co-Living, Co-Working Space, Meeting Room, Fitness, Lounge Area สำหรับพักผ่อนหรือปาร์ตี้กับเพื่อน ทำให้ #ไปมุมไหนๆ ก็น่าเก็บมาอวดในโซเชียล 3.FLEXIBLE LIVING ปลดล็อกการใช้ชีวิตด้วยห้องแต่งครบ Fully Furnished ทุกยูนิตของ Flexi ให้เฟอร์นิเจอร์มาตรฐานที่ตั้งใจออกแบบรองรับทุกการใช้งาน ลดภาระทางการเงินให้ผู้อยู่อาศัยพร้อมข้อเสนอทางการเงินที่ดี ทำให้ ไปถึงสิ้นเดือนสบายๆ ไม่ต้องอด   4.FLEXIBLE SUSTAINABILITY เพื่อให้ลูกบ้านของเสนามีคุณภาพชีวิตที่ดีและใช้ชีวิตแบบลดคาร์บอนพร้อมรักษ์โลกได้ง่ายๆ ด้วยนวัตกรรม Smart Tech ภายใต้การพัฒนาอย่างยั่งยืน จากแนวคิด Smart City อย่างเช่น Solar Rooftop การนำพลังงานสะอาดมาใช้ในพื้นที่ส่วนกลาง เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายส่วนกลางให้กับลูกบ้าน Smart Mobility อย่าง V Move เพื่อการเดินทางแบบไร้รอยต่อ ด้วย Shuttle Bus ไปส่งลูกบ้านที่จุดขนส่งสาธารณะ BTS, MRT รวมถึงจัดพื้นที่สำหรับ Ev Charger Station ในพื้นที่จอดรถทำให้คุณ Flexi Mega Space Bangna คอนโดสไตล์ Modern Japandi  โครงการตั้งอยู่บนพื้นที่โครงการ 3-1-72.80 ไร่  พัฒนาเป็นคอนโด High-Rise สูง 32 ชั้น จำนวน 1 อาคาร จำนวนห้องชุดพักอาศัยทั้งหมด 807 ยูนิต จุดเด่นที่ฟังก์ชันเพดานสูง 2.9 ม. มีห้องพักให้เลือกมากมายแบบหลักๆ Studio, 1 Bedroom, 1 Bedroom Plus, 1 Bedroom Exclusive และ 2 Bedrooms ขนาดเริ่มต้น 22.50-50 ตร.ม. ตกแต่งครบพร้อมเฟอร์นิเจอร์ ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.89 ล้านบาท   โครงการอยู่ติดถนน ถนนบางนา-ตราด การเดินทาง 2.1 กิโลเมตรถึง รถไฟฟ้าสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) และ 7 กิโลเมตร ถึงแยกบางนา รถไฟฟ้าสายสีเขียว (เคหะ-คูคต) ที่จะตรงเข้าเมืองได้อย่างรวดเร็ว ส่วนสิ่งอำนวยความสะดวกรอบ  บางนาแหล่งที่อยู่อาศัยระดับไฮเอ็น  เป็นแหล่งใกล้สถานศึกษาโรงเรียนนานาชาติหลายแห่ง ห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาลชั้นนำ และ ออฟฟิศบริษัทชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ   ภายในโครงการ มีพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่บริเวณด้านหน้าโครงการ เปรี่ยบเหมือนกำแพงขนาดใหญ่ที่กัน มลพิษ ฝุ่นควัน จากถนนใหญ่ไม่ให้เข้าสู่โครงการLobby จะเป็นพื้นที่ฝ้าเพดานสูงแบบ Double Volumeสำหรับพื้นที่ส่วนกลางหลักๆจะประกอบด้วย สระว่ายน้ำ / Fitness / Yoga / Co-Working Space และ Multi-Purpose Room  ที่จอดรถคิดจำนวน 45% แบบรวมจอดซ้อนคัน โครงมีรถไฟฟ้า Shuttle Service คอยบริการรับ-ส่งให้ฟรีด้วยครับ Flexi Mega Space Bangna คอนโดแห่งที่ 2 บนผืนที่ดินขนาดใหญ่ติดถนนใหญ่บางนา-ตราด อีกหนึ่งโครงการของทางเสนาที่เปิดตัวในปีนี้ เป็นคอนโด High Rise ที่จุด ฝ้าสูงโปร่ง 2.9 เมตร ประหยัดพลังงาน สะอาด Low Carbon  แต่งเฟอร์ฯครบพร้อมอยู่ สนใจเปิดให้ชมห้องตัวอย่างแล้ว   บทความน่าสนใจ Nue Mega+ Bangna คอนโดแนวคิดใหม่ ชีวิตติดห้างดีกว่าที่เคย!! Niche Mono Mega Space Bangna คอนโดสูงพร้อมอยู่แห่งแรก ยืนหนึ่งบนถนนบางนา-ตราด Mulberry Grove The Forestias Villas บ้านคลัสเตอร์ แนวคิดใหม่เพื่อความสุขที่เพิ่มขึ้นของทุกเจเนอเรชั่นในครอบครัว  
แอสเสท เวิรด์ คอร์ป ทำผลงาน Q2/66 รายได้-กำไรโตก้าวกระโดด​ ครึ่งปีหลังเดินหน้า​เพิ่มห้องพักและกระแสเงินสด

แอสเสท เวิรด์ คอร์ป ทำผลงาน Q2/66 รายได้-กำไรโตก้าวกระโดด​ ครึ่งปีหลังเดินหน้า​เพิ่มห้องพักและกระแสเงินสด

แอสเสท เวิรด์ คอร์ป ประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/2566 รายได้รวม 4,518 ล้านบาท เพิ่มขึ้นก้าวกระโดด กำไรสุทธิ 1,116 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 32% ทำรายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก 3,356 บาท สูงขึ้น 82.1% เดินหน้าเพิ่มโครงการ เพิ่มจำนวนห้องพัก เพิ่มกระแสเงินสดพร้อมเติบโตก้าวกระโดด   นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC เปิดเผยถึงผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2566 ตามงบการเงินรวมมูลค่ายุติธรรมว่า มีรายได้รวมกว่า 4,518 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 1,116 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 32% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเติบโตแบบก้าวกระโดดมากกว่าปี 2562 ก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19 อีกด้วย   ทั้งนี้ AWC ยังคงมุ่งพัฒนาโครงการในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ เปลี่ยนทรัพย์สินกำลังพัฒนา (Developing Asset) เป็นทรัพย์สินดำเนินงาน (Operating Asset) ควบคู่การยกระดับโครงการในพอร์ตโฟลิโอ (Assets Enhancement) ของกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ (Retail & Commercial) สอดคล้องกลยุทธ์ GROWTH-LED เพื่อสร้างการเติบโตของกระแสเงินสดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไตรมาส 2 นี้ บริษัทมีมูลค่าทรัพย์สินดำเนินงานรวม 120,307 ล้านบาท เพิ่มสูงขึ้น 36,996 ล้านบาท คิดเป็น 44.4% เทียบกับช่วงก่อนสถานการณ์โควิด-19 ในปี 2562 ผลประกอบการไตรมาสที่ 2/2566 ของ AWC มีการเติบโตเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรจากการดำเนินงาน (อิบิทดากลุ่มธุรกิจ) อยู่ที่ 2,472 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 20.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลมาจากการกลับมาของกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ และภาพรวมของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยที่เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น   รวมถึงเทศกาลสงกรานต์ในช่วงเดือนเมษายนที่มีการกลับมาจัดอย่างยิ่งใหญ่เป็นปีแรกหลังจากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย โดยเฉพาะโรงแรมในกรุงเทพฯ และโรงแรมกลุ่มประชุมสัมมนา (MICE) ซึ่งมีจำนวนนักท่องเที่ยวเข้าพักโรงแรมในเครือ AWC เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน ส่งผลให้อัตรารายได้เฉลี่ยต่อห้องพักในภาพรวม (RevPAR) สูงถึง 3,356 บาท เพิ่มขึ้น  82.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และสูงกว่าปี 2562 ก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19 อยู่ที่ประมาณ 10% รวมถึงมีอัตราค่าห้องพักเฉลี่ยต่อวัน (Average Daily Rate: ADR) เท่ากับ 5,367 บาทต่อคืน เติบโต 25.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และยังสูงกว่าปี 2562 ด้วยเช่นกัน   สำหรับกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ (Retail & Commercial) AWC ยังคงมุ่งเพิ่มศักยภาพในการสร้างการเติบโตของกระแสเงินสดในระยะยาว โดยบริษัทฯ ได้ปรับกลยุทธ์การดำเนินงานเพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ด้านไลฟ์สไตล์ ตอบรับความต้องการของกลุ่มลูกค้าและนักท่องเที่ยวในยุคปัจจุบัน ธุรกิจโรงแรม AWC ทำกำไรเพิ่ม 200% ผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการมีกำไรจากการดำเนินงาน (อิบิทดา) อยู่ที่ 660 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 200.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเฉพาะโรงแรมในกลุ่มประชุมสัมมนา และกลุ่มโรงแรมในกรุงเทพฯ ซึ่งมีค่า Revenue Generation Index (RGI) ในภาพรวมสูงกว่าค่าเฉลี่ยเมื่อเทียบกับโรงแรมในกลุ่มเดียวกันที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียง อาทิ โรงแรมแบงค็อก แมริออท เดอะ สุรวงศ์ มีค่า RGI เท่ากับ 218 เป็นต้น นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมุ่งพัฒนาทรัพย์สินที่อยู่ระหว่างการพัฒนาให้เป็นทรัพย์สินดำเนินงานเพื่อเพิ่มศักยภาพในการสร้างกำไรจากการดำเนินงาน (อิบิทดากลุ่มธุรกิจ) อย่างต่อเนื่อง พร้อมเสริมความแข็งแกร่งพอร์ตโฟลิโอของกลุ่มโรงแรมที่ตั้งอยู่ในทําเลยุทธศาสตร์ เพื่อรองรับการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ อาทิ การเปิดตัวโรงแรม 'INNSiDE by Meliá Bangkok Sukhumvit' แห่งแรกในประเทศไทยในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เพื่อมอบประสบการณ์โมเดิร์นไลฟ์สไตล์ให้กับกลุ่มนักเดินทางรุ่นใหม่ และเป็นโรงแรมที่ได้มีการออกแบบและก่อสร้างตามกรอบการรับรองของมาตรฐานอาคาร Excellence in Design for Greater Efficiency (EDGE)   รวมถึงความร่วมมือเชิงกลยุทธ์แบบเอ็กซ์คลูซีฟกับ Nobu Hospitality ร่วมสร้างโรงแรมระดับอัลตร้า ลักชูรี่ 2 แห่งภายใต้แบรนด์ Plaza Athenee ได้แก่ โรงแรม พลาซ่า แอทธินี โนบุ โฮเทล แอนด์ สปา นิวยอร์ก (Plaza Athenee Nobu Hotel and Spa New York) และโรงแรม เดอะ พลาซ่า แอทธินี โนบุ โฮเทล แอนด์ สปา แบงคอก (The Plaza Athenee Nobu Hotel and Spa Bangkok) เชื่อม 2 มหานคร นิวยอร์กและกรุงเทพฯ ภายใต้แนวคิด River Journey Project พร้อมเชื่อมต่อหลากหลายโครงการริมแม่น้ำเจ้าพระยาของ AWC สร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวทางสายน้ำให้แก่นักเดินทาง   ปัจจุบัน AWC มีจำนวนโรงแรมที่เปิดดำเนินการทั้งสิ้นจำนวน 22 โรงแรม รวมจำนวนห้องพักรวม 5,794 ห้อง และจะเพิ่มขึ้นเป็น 23 โรงแรม ภายในสิ้นปี 2566 รวม 6,034 ห้อง คิดเป็นการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 76 เมื่อเทียบกับก่อนสถานการณ์โควิด-19 ที่จำนวน 3,432 ห้อง ประกอบกับอัตรารายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก (RevPAR) ที่สูงขึ้นอย่างแข็งแกร่งกว่าปีก่อนและก่อนสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลให้มีรายได้ 2,287 ล้านบาท เติบโตขึ้น 76.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และสูงกว่าช่วงเดียวกันของปี 2562 ก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19 ทั้งนี้ บริษัทมุ่งเพิ่มศักยภาพในการสร้างกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งให้กับบริษัท พร้อมตอบสนองความต้องการนักท่องเที่ยวคุณภาพและจำนวนกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย High-to-Luxury ที่เพิ่มมากขึ้น เอเชียทีค ผู้ใช้บริการเพิ่ม 47% กลุ่มธุรกิจอาคารสำนักงานยังคงสร้างกระแสเงินสดให้แก่บริษัทอย่างต่อเนื่อง โดยมีอัตราค่าเช่าเพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากการยกระดับอาคารให้เป็นไลฟ์สไตล์สเปซแห่งใหม่ที่ตอบโจทย์การทำงานและไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ อาทิ การเปิดตัว “Co-Living Collective: Empower Future” ของอาคารเอ็มไพร์ ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ด้วยคอนเซ็ปต์ที่ผสานรูปแบบการใช้ชีวิตในบ้านมาเชื่อมต่อกับการทำงานอย่างลงตัว สร้างความแตกต่างจากอาคารสำนักงานรูปแบบเดิม ซึ่งช่วยรักษาฐานผู้เช่าเก่า พร้อมดึงดูดผู้เช่าใหม่ที่มองหาอาคารสำนักงานคุณภาพ ที่มีพื้นที่ตอบรับเทรนด์การทำงานในรูปแบบไฮบริดที่เพิ่มสูงขึ้น AWC ได้ร่วมมือกับพันธมิตรผู้ให้บริการเทคโนโลยีดิจิทัลระดับโลก เพื่อสร้างดิจิทัลอีโคซิสเต็มที่อาคารเอ็มไพร์ให้เป็นคอมมูนิตี้ดิจิทัลรูปแบบใหม่ เชื่อมต่อผู้เช่าในอุตสาหกรรมดิจิทัลเข้าด้วยกันอีกด้วย ในขณะที่กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อประกอบกิจการค้า (Retail and Wholesale) สามารถเติบโตได้ดี ซึ่งเป็นผลจากการฟื้นตัวเติบโตของดัชนียอดขายของร้านค้า และบริษัทได้พัฒนาพื้นที่เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของนักท่องเที่ยวและกลุ่มลูกค้าอยู่เสมอ โดยโครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น มีจำนวนผู้มาใช้บริการเพิ่มสูงขึ้นถึง 47% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มาจากกิจกรรม Disney100 Village at Asiatique พร้อมเสริมความแข็งแกร่งในการเป็นจุดหมายปลายด้านการท่องเที่ยวและด้านอาหารเครื่องดื่มระดับโลกที่ช่วยดึงดูดจำนวนผู้เช่าและจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ   รวมถึงการเปิดตัวโครงการ THE PANTIP LIFESTYLE HUB ที่เชียงใหม่ ภายใต้แนวคิด “EVERY HAPPINESS FOR EVERYONE” มุ่งสร้างแลนด์มาร์คไลฟ์สไตล์สำหรับครอบครัวใจกลางเมืองเชียงใหม่ และโครงการ THE PANTIP AT NGAMWONGWAN โฉมใหม่ภายใต้แนวคิด “TREASURE HUNT” สู่การเป็นศูนย์พระเครื่อง และศูนย์รวมอาหารและไลฟ์สไตล์มาร์เก็ตที่ใหญ่ที่สุด สำหรับธุรกิจค้าส่ง AWC ได้ร่วมรวมพลังผู้นำธุรกิจอาหารทั้งภาครัฐและเอกชน ขับเคลื่อนประเทศไทยเป็น “ศูนย์กลางค้าส่งอาหารของภูมิภาค” ที่ AEC FOOD WHOLESALE PRATUNAM ตอบโจทย์การค้าส่งอาหารครบวงจร พร้อมเชื่อมผู้ค้าส่งอาหารทั่วโลกกับผู้ซื้อในเขตเศรษฐกิจอาเซียน   AWC มุ่งมั่นสร้างการเติบโตต่อเนื่องและยั่งยืน โดยบริษัทได้ลงนามสินเชื่อที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืน (Sustainability Linked Loan) รวมถึงสินเชื่อสีเขียว (Green Loan) จำนวน 20,000 ล้านบาท กับ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) เพื่อรองรับแผนการพัฒนาโครงการคุณภาพระดับเมกะโปรเจกต์เสริมความแข็งแกร่งของพอร์ตโฟลิโอที่มุ่งเน้นการลดการใช้ทรัพยากร และส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในทุกมิติ ร่วมสร้างให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวยั่งยืน โดย AWC ตั้งเป้าที่จะเพิ่มสัดส่วนวงเงินสินเชื่อระยะยาวซึ่งเป็นสินเชื่อที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืนและสินเชื่อสีเขียวเป็น 100% เพื่อมุ่งสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับสังคมองค์รวม และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วน   AWC มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจตามแผนกลยุทธ์เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยล่าสุดบริษัทได้รับรางวัลที่สะท้อนถึงศักยภาพในการดำเนินธุรกิจภายใต้กรอบการพัฒนาอย่างยั่งยืน และได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในมาตรฐานสากลต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยในปีนี้ AWC ได้รับเชิญให้เข้าร่วมการประเมินองค์กรด้านความยั่งยืน ในกลุ่มดัชนี Dow Jones Sustainability Indices (DJSI) พร้อมได้รับคัดเลือกเป็น “Top 1% S&P Global ESG Score 2022” รวมถึงยังคงรักษาการประเมินจาก MSCI ESG Rating ในระดับ "AA" เป็นต้น สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการสร้างคุณค่าให้กับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วน และสร้างมิติใหม่ให้กับอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวยั่งยืนของไทยตามพันธกิจ “สร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่า” (Building a Better Future)   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -[PR News] AWC จับมือกับ Ant Group ร่วมสร้างความแข็งแกร่งเทคโนโลยีดิจิทัลอีโคซิสเต็ม
[PR News] SEN X ชู “Elite Service” อัพสกิลบริหารจัดการครบวงจร

[PR News] SEN X ชู “Elite Service” อัพสกิลบริหารจัดการครบวงจร

SEN X ยกขบวนทีมงานเสริมทักษะการบริหารจัดการ ศึกษาดูงานและฝึกปฏิบัติการให้บริการลูกบ้าน โดยผู้เชี่ยวชาญจากฮันคิว ฮันชิน โฮเทล เจ้าของโรงแรมยักษ์ใหญ่ในโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น พร้อมเสิร์ฟ “Elite Service” บริการมาตรฐานโรงแรมระดับ World class ประเดิมนำร่องคอนโดพรีเมี่ยมบนถนนสุขุมวิทที่แรก “ปีติ สุขุมวิท 101” ตอบโจทย์การใช้ชีวิตสุดเอ็กซ์คลูซีฟที่เหนือระดับให้แก่ลูกบ้าน   นางสุพินท์ มีชูชีพ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็น เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SEN X  เปิดเผยว่า ทางบริษัทมีความพร้อมและมีความมั่นใจในการขับเคลื่อนธุรกิจใหม่ ๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค ด้วยโซลูชัน  บริการแบบครบวงจรด้านอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Integrated Service Solution) โดยมีวิสัยทัศน์เพื่อการสร้างสรรค์พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และการบริการอย่างครอบคลุม เพื่อการอยู่อาศัยในทุกมิติตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตยุคใหม่ตามมาตรฐานระดับโลก พร้อมทั้งเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจหลักของบริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)   โดยในส่วนของธุรกิจบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ (Property Management) และกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ (Hospitality) ทางบริษัทได้ส่งทีมงานบริหารและบริการไปเพิ่มศักยภาพด้วยการเข้ารับการอบรมเสริมทักษะบริหารจัดการแบบครบวงจรตามมาตรฐานโรงแรมระดับโลกจาก ฮันคิว ฮันชิน โฮเทล เจ้าของโรงแรมยักษ์ใหญ่ในโอซาก้า อีกหนึ่งธุรกิจในกลุ่มของพาร์ทเนอร์ญี่ปุ่นอย่างฮันคิว ฮันชิน โฮลดิ้ง กรุ๊ป ซึ่งมีประสบการณ์และมีความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการธุรกิจโรงแรมอันดับต้นของประเทศญี่ปุ่น เพื่อเป็นการยืนยันให้เห็นว่าบริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพด้านการบริการเพื่อตอบสนองความต้องการและความพึงพอใจของลูกค้าอย่างสูงสุด ทางบริษัทฯ พร้อมเป็นอย่างยิ่งที่จะให้บริการในรูปแบบ “Elite Service” บริการมาตรฐานโรงแรมระดับ World class แก่ลูกบ้านสังคมระดับพรีเมี่ยม โดย “Elite Service” คือการบริการสุดเอ็กซ์คลูซีฟ ตอบสนองความต้องการของผู้อยู่อาศัยที่ต้องการความสะดวกสบายและการบริการคุณภาพระดับโรงแรม 5 ดาว พร้อมด้วยการดูแลพิเศษที่จะช่วยรังสรรค์ให้การใช้ชีวิตเหนือระดับ ประกอบไปด้วย บริการพนักงานต้อนรับ (Reception), Doorman, Bellboy , Concierge Service บริการผู้ช่วยส่วนตัว เจ้าหน้าที่จองตั๋วเครื่องบิน,ร้านอาหาร,ที่พักโรงแรม, จองรถเช่า, บริการเรียก Taxi, นัดพบแพทย์, บริการแจ้งซ่อมฉุกเฉิน บริการ Shuttle Service บริการรถรับส่งนอกโครงการ เป็นต้น พร้อมให้บริการด้วยคุณภาพตลอด 24 ชั่วโมง เรามุ่งมั่นในการสร้างมาตรฐานการบริการอย่างมืออาชีพของบุคลากรเพื่อยกระดับองค์กรสู่การบริการที่เป็นมาตรฐาน เน้นการพัฒนาสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ในทุกมิติของลูกบ้านผู้พักอาศัยในโครงการ/อาคารให้ได้รับประโยชน์สูงสุด    อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -[PR News] เสนา ตั้ง “สุพินท์ มีชูชีพ” ขึ้นแท่นซีอีโอบริษัท SEN X คนใหม่ -เสนาดีเวลลอปเม้นท์ เปิด 7 โปรเจ็กต์ใหม่ Q2 หนุนเป้ายอดขายกว่า 1.8 หมื่นล.
เอสซี แอสเสท ลุยเปิดคอนโด 10,000 ล้าน ส่งแบรนด์ใหม่ COBEเจาะ 2 ทำเล

เอสซี แอสเสท ลุยเปิดคอนโด 10,000 ล้าน ส่งแบรนด์ใหม่ COBEเจาะ 2 ทำเล

เอสซี แอสเสท  ลุยเปิดคอนโด 3 โครงการ 10,000 ล้าน  พร้อมส่งแบรนด์ใหม่ COBEเจาะ 2 ทำเล และอีก 1 โครงการระดับ Ultra Luxury ที่บริหารโดย SCOPE พร้อม​สร้างแบรนด์ด้วยคุณค่า EVERYBODY’S HIGH-RISE ชูปรัชญาการสร้างคอนโดใส่ใจส่วนตัว-ส่วนกลาง เตรียมขึ้นแท่นแบรนด์คอนโด Top of Mind ในใจผู้บริโภค   นางกนกอร หลิมกำเนิด Chief Operating Officer - Property Development - High Rise บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC เปิดเผยว่า ในปีนี้ SC เตรียมเปิดตัวคอนโดมิเนียมรวม 3 โครงการ มูลค่ารวม 10,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นแบรนด์ใหม่ COBE ใน 2 ทำเล ซึ่งนอกจากดีไซน์การออกแบบที่ทันสมัย และฟังก์ชันการใช้งานที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคแล้ว ยังมีจุดเด่นเรื่องบริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยมและใส่ใจในทุกรายละเอียด การันตีรางวัลความสำเร็จและเสียงชื่นชมจากลูกค้า ภายใต้แนวคิด “คุณภาพต้องมาก่อนปริมาณ หรือ Quality over Quantity” และ อีก 1 โครงการระดับ Ultra Luxury ที่บริหารโดย SCOPE รวมมูลค่า 3 โครงการ 10,000 ล้านบาท” ปัจจุบันตลาดคอนโดส่งสัญญาณฟื้นตัวและมีแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเปิดประเทศของหลายประเทศที่ช่วยให้เศรษฐกิจกลับมาคึกคักอีกครั้ง ผู้บริโภคมีกำลังซื้อและมองหาพื้นที่ที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตให้ตรงความต้องการมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้ชีวิตในเมือง คอนโดเป็นโครงการที่ตอบโจทย์ครบทุกปัจจัยของความน่าอยู่อาศัยและทำเลที่ตั้งที่ผู้บริโภคมองหา SC จึงเตรียมรุกตลาดคอนโดอย่างเต็มตัว ภายใต้ปรัชญาแบรนด์คอนโด SC EVERYBODY’S HIGH-RISE ที่สะท้อนความเข้าใจ Insights ของผู้บริโภคอย่างแท้จริง   นอกเหนือจากนี้ SC Asset ยังวางเป้าหมายก้าวสู่การเป็น Top of Mind แบรนด์คอนโดในใจผู้บริโภคภายในปี 2568 ที่พร้อมส่งต่อคุณค่าสำคัญในการใช้ชีวิตและเติมเต็มไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคเพื่อใช้ชีวิตในแบบตัวเองที่ดีที่สุด EVERYBODY’S HIGH-RISE คือ ปรัชญา และหลักการที่ SC คอนโด ยึดมั่นในการส่งมอบคุณค่าให้ผู้บริโภค เริ่มต้นมาจากการที่ SC Asset เข้าใจถึงความแตกต่างของลูกค้าที่อยู่บ้านเดี่ยวกับคอนโด โดยเฉพาะผู้บริโภคที่มองหาพื้นที่ที่พวกเขาสามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างหลากหลายได้ในแบบตัวเอง และเติมเต็มความต้องการของพวกเขาที่จะก้าวไปสู่เป้าหมายความฝันอันสูงส่งหรือดียิ่งขึ้นกว่าที่เคย   นางสาวโฉมชฎา กุลดิลก หัวหน้าสายงาน กลยุทธ์แบรนด์ และสื่อสารองค์กร พูดถึงปรัชญาในการส่งมอบคุณค่าการอยู่อาศัยในคอนโด ในครั้งนี้ว่า นับจากนี้ คอนโดของ SC จะต้องมาเป็น Top of Mind ของผู้บริโภค เราพัฒนาคอนโดบนคุณค่าเดียวกับแบรนด์ SC Asset คือ ความจริงใจ (Sincere) ความใส่ใจ (Care) และความใหม่สดเสมอ (Fresh) ซึ่งหมายถึง ความจริงใจในการดูแลลูกค้าอย่างดีที่สุดด้วยหัวใจ ความใส่ใจในคุณภาพและดีไซน์เพื่อให้ลูกค้าได้สิ่งที่ดีที่สุดเสมอ และความใหม่สดเสมอในการออกแบบที่รู้ใจลูกค้าบนแนวคิด Human-Centric มุ่งมั่นในการพัฒนาสินค้าและบริการทันตามเทรนด์ผู้บริโภคตลอดเวลา ผู้บริโภคจะเห็นการสื่อสารของแบรนด์คอนโด SC อย่างต่อเนื่องมากขึ้น ที่ SC เรามีการทำ Research อยู่เป็นประจำ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่รู้ใจลูกค้ามากที่สุด ในการทำแบรนด์คอนโด SC ทำให้เราได้ Insights จากกลุ่มลูกค้าที่อาศัยในคอนโด จนตกผลึกมาเป็นปรัชญาการสร้างคอนโดของ SC ที่เรายึดเป็นหลักการ ภายใต้คุณค่า EVERYBODY’S HIGH-RISE เมื่อพูดถึง High-Rise ก็เป็นคำตรงตัวคือที่อยู่อาศัยแนวสูง คอนโดในบ้านเรานี่เอง นอกจากนี้ SC เห็นว่าชีวิตของคนในคอนโดแทบจะไม่เหมือนกันเลย สมมติว่าใน 1 ชั้นมี 10 ห้อง 10 คนนี้แทบจะมีตารางชีวิตไม่เหมือนกันเลย ตื่นคนละเวลา ทำงานไม่เหมือนกัน กินหรือนอนกันคนละเวลาหมด ซึ่งคนที่เลือกมาอยู่คอนโด คือคนที่อยากได้ความเป็นส่วนตัวในการอยู่กับตัวเอง แต่ก็ต้องการมีพื้นที่ส่วนกลางเพื่อรู้สึกเป็นส่วนของ Community และส่วนหนึ่งของการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเอง ดังนั้น การออกแบบ ส่วนตัว กับส่วนกลาง จึงเป็นสิ่งที่แบรนด์ให้ความสำคัญ ส่วนคำว่า Everybody ในที่นี้คือความ Inclusive หมายถึงทุกคนจริง ๆ ไม่ใช่เฉพาะลูกค้าที่อาศัยอยู่ในคอนโด SC แต่หมายถึงทุกคนในสังคมที่อยู่ใน Community ร่วมกัน มีจุดหมายต่างกัน แต่สามารถอยู่ร่วมกัน แบ่งปันกัน เพื่อเข้าถึงเป้าหมายของแต่ละคนได้   โดย SC Asset พร้อมจะเป็นพื้นที่เริ่มต้นชีวิตที่ดีให้กับผู้อยู่อาศัยทุกคน เพราะเชื่อว่าชีวิตที่ดีมาจากจุดเริ่มต้นที่ดี พร้อมต่อยอดประสบการณ์การใช้ชีวิตที่มีคุณภาพด้วยเทคโนโลยีรู้ใจ Living Solutions ที่ SC พัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้อยู่อาศัยแบบรู้ใจ และบริการหลังการขาย ที่เป็นจุดแข็งของแบรนด์   คอนโด SC สานต่อภารกิจในการสร้างเช้าที่ดีให้กับทุกคน หรือที่เรียกว่า “For Good Mornings” ตอกย้ำความเป็นผู้ให้บริการหลังการขายคุณภาพสูงอันดับ 1 ในใจผู้บริโภค SC Asset ได้สร้างสรรค์พัฒนาโครงการคอนโดที่มีชื่อเสียงโดดเด่นในด้านคุณภาพ ดีไซน์ และบริการมาอย่างต่อเนื่อง ครอบคลุมหลายเซกเมนต์และกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่หลากหลาย ยกตัวอย่างเช่น 28 Chidlom โครงการ Limited Luxury Condominium Collection บนทำเลแห่ง World Class Destination อย่างย่านชิดลม สร้างสรรค์ไลฟ์สไตล์สุดเอ็กซ์คลูซีฟท่ามกลางพื้นที่สีเขียว กับแนวคิด “An Urban Oasis” The Crest Park Residence ที่สุดแห่งที่พักอาศัยระดับ Luxury หนึ่งเดียวใจกลางห้าแยกลาดพร้าว มาพร้อมพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่ ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์เพื่อการใช้ชีวิตพรีเมี่ยมในระดับ 5 ดาว Reference สาทร-วงเวียนใหญ่ คอนโดที่ตอบโจทย์ Lifestyle คน Gen Y พร้อมสร้าง Inspiration ในการใช้ชีวิต-เติมพลังใจเพื่อชีวิตที่ออกแบบได้เอง COBE คอนโดในอุดมคติของผู้บริโภค กับคอนเซ็ปต์ “CO-BEING COMMUNITY” เพื่อสร้างพื้นที่ Community ผู้บริโภคอย่างสร้างสรรค์ เป็นตัวของตัวเองในทุก ๆ ด้าน พร้อมพื้นที่ส่วนกลางที่ให้คุณได้ Collab ไอเดียใหม่ ๆ เพื่อเปลี่ยนแปลงโลกไปด้วยกัน   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เอสซี แอสเสท ส่งบ้านหรูแบรนด์ใหม่ 95E1 ราคาเริ่มต้นหลังละ 100 ล้าน -เอสซี แอสเสท เปิดแผนรายได้รวม 150,000 ล้าน การเติบโตด้วย 2 ENGINE ใน 5 ปี
5 ธุรกิจบริการ เสริมนวัตกรรมดิจิทัล  ที่ตอบโจทย์วิถีชีวิตใหม่ หลังโควิด-19

5 ธุรกิจบริการ เสริมนวัตกรรมดิจิทัล ที่ตอบโจทย์วิถีชีวิตใหม่ หลังโควิด-19

LWS แนะ 5 ธุรกิจบริการ ที่มาพร้อมกับนวัตกรรมดิจิทัลที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตเพื่อคนทุกวัยที่พัฒนาขึ้นมาที่เติบโตพร้อมกับการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัล   นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล. ดับเบิลยู. เอส. วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด บริษัทวิจัยและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือบริษัท แอล. พี. เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) แนะนำ 5 ธุรกิจบริการที่ตอบโจทย์กับการใช้ชีวิตเพื่อคนทุกวัยในยุคหลังการแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัสสายพันธ์ใหม่ 2019 (COVID-19) ได้แก่ ธุรกิจบริการเพื่อผู้สูงอายุ, สุขภาพ, สิ่งแวดล้อม, ที่อยู่อาศัย และความบันเทิง   หลังจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ตั้งแต่ปี 2563 ถึงปัจจุบัน เทคโนโลยี่ดิจิทัล เข้ามามีบทบาทในการพัฒนางานบริการอย่างหลากหลาย โดยเฉพาะการพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อสร้างการเข้าถึงข้อมูลและเชื่อมต่อระหว่างผู้คน ไปพร้อมๆ กับการสร้างโอกาสในการทำธุรกิจใหม่ๆ ทั้งภาคการผลิตและการบริการ โดยเฉพาะงานบริการ เทคโนโลยี่เข้ามามีบทบาทในการเชื่อมต่องานบริการต่างๆ ที่ตอบสนองกับความต้องการของผู้คนในสังคมมากขึ้น และเป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบธุรกิจที่จะพัฒนาต่อยอดและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้มากขึ้น 5 ธุรกิจบริการ เสริมนวัตกรรมดิจิทัล จากการศึกษาของฝ่ายวิจัยและพัฒนางานบริการของ LWS พบว่า ตลอดระยะเวลากว่า 3 ปี ของการแพร่ระบาดของ COVID-19 งานบริการที่มีการพัฒนาและได้รับการตอบรับที่ดีจากประชาชนตั้งแต่การแพร่ระบาดของ COVID-19 และยังคงได้รับความนิยมมาถึงปัจจุบันที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 คลี่คลาย แล้ว ประกอบด้วย 5 ธุรกิจที่น่าสนใจและมีศัยกภาพในการเติบโตและสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ ได้แก่ ธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุ, สุขภาพ, สิ่งแวดล้อม, ที่อยู่อาศัย, และงานบริการที่เกี่ยวข้องกับความบันเทิงของคนรุ่นใหม่ บริการที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุ เมื่อปี 2565 ที่ผ่านมาประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแบบเต็มรูปแบบ หนึ่งในธุรกิจที่มีอัตราการเติบโตสูง คือ ธุรกิจดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีการเติบโตอย่างมากในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา เนิร์สซิ่งโฮมที่ได้มาตรฐาน และขึ้นทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเพิ่มขึ้นจาก 200 กว่าแห่งในปี 2563 เป็น 450 ยังไม่รวม เนิร์สซิ่งโฮมที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนอีกนับ 1,000 – 2,000 แห่งทั่วประเทศ   นอกจากงานดูแลด้านสุขภาพของผู้สูงอายุที่เนิร์สซิ่งโฮมแล้ว ยังมีพัฒนางานบริการพาผู้สูงอายุไปโรงพยาบาล ท่องเที่ยว ทำบุญ และกิจกรรมต่างๆ โดยมีแพลตฟอร์มที่น่าสนใจอย่าง Joy Ride กับบริการพาผู้สูงอายุไปหาหมอ เป็นงานบริการที่ให้บริการในประเทศไทย และคิดค้นโดยคนไทย ที่มีรูปแบบการให้บริการผู้ดูแลพาผู้สูงวัยและผู้ป่วยไปโรงพยาบาล จากบ้านไปโรงพยาบาล และอยู่เป็นเพื่อนตลอดระยะเวลาของการพบแพทย์ และพากลับมาส่งกลับถึงบ้าน โดยมีการให้บริการในรูปแบบที่หลากหลาย เช่น บริการพาไปรับวัคซีนป้องกันโควิด, บริการ Welcome Home พาเธอกลับบ้าน ,Joy Go Round พาเที่ยว ทำบุญ ทำธุระ ฯ ล ฯ มีค่าบริการเริ่มต้นเพียง 280 บาทเท่านั้น ซึ่งกลุ่มผู้ใช้บริการไม่มีเพียงแต่ผู้สูงอายุเท่านั้น ยังมีกลุ่มของสตรีมีครรภ์ ที่ไม่สะดวกในการขับรถเองใช้บริการอีกด้วย   นอกจากนี้ ยังมี Senior Move ธุรกิจบริการรถลีมูซีนสำหรับผู้ใหญ่โดยเฉพาะ ให้บริการเป็นรายชั่วโมง โดยผู้ใช้บริการสามารถกำหนดเส้นทาง หรือปรับเปลี่ยนเส้นทางได้ตลอดเวลา ทั้งยังสามารถแวะทำธุระระหว่างทางได้ตามสะดวก เสมือนมีรถและพนักงานขับรถส่วนตัว สามารถจองคิวการใช้บริการผ่าน Line ได้ โดยมีอัตราค่าบริการเริ่มต้นที่ 500 บาทต่อชั่วโมง ได้ถือเป็นธุรกิจงานบริการที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์กับสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปและเป็นโอกาสสำหรับการสร้างธุรกิจใหม่ๆ หลังยุค COVID-19 บริการที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ จากรายงานของกรมพัฒนาธุรกิจพบว่า การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2565 เป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพถึง 353 ราย เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปี 2564 ที่มีจำนวน 167 รายถึง 90% สะทัอนให้เห็นถึงการเติบโตของธุรกิจบริการในหมวดนี้ที่สูงขึ้นตามความต้องการของประชาชนที่ให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพมากขึ้นหลังการแพร่ระบาดของ COVID-19   โดยธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพนอกเหนือจากการดูแลสุขภาพแล้ว งานบริการที่เกี่ยวกับสินค้าในหมวดหมู่ที่เกี่ยวกับสุขภาพมีทั้งเรื่องของอาหาร การออกกำลังกาย รวมไปถึงการให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ เป็นต้น โดยเฉพาะอาหาร ปัจจุบันประชาชนให้ความสนใจกับการเลือกบริโภคอาหารที่ปลอดสารพิษ ทำให้มีการพัฒนางานบริการจัดส่งผัก-ผลไม้ออร์แกนิค จากสวนส่งตรงถึงบ้าน โดยการพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อเชื่อมต่อความต้องการของผู้ซื้อไปยังผู้ผลิต และบริการจัดหา อย่าง  Happy Grocers บริการจัดส่งผัก และผลไม้ออร์แกนิค ถึงบ้าน   เป็นธุรกิจที่เกิดจากการพัฒนาของนักศึกษาจากวิทยาลัยโลกคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากในช่วงของการระบาดใหญ่ของ COVID-19 ที่ทำให้สินค้าทางการเกษตรไม่สามารถเข้าสู่ตลาดกลางได้ ทำให้นักศึกษากลุ่มนี้เกิดความคิดที่จะเป็นตัวกลางให้ผู้บริโภคและเกษตรกรได้พบกันโดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลางอีกหลายทอด ช่วยแก้ปัญหาให้เกษตรกรรายย่อยได้มีตลาดระบายสินค้าในราคาที่สมเหตุสมผล และผู้บริโภคได้รับสินค้าคุณภาพจากเกษตรกรโดยตรง มีการนำรถ Grocers Truck นำฟาร์มขนาดย่อมมาให้ลูกค้าถึงหน้าคอนโดมิเนียม โดยมีความพิเศษคือ ลูกค้าเป็นคนส่งคำขอกับทางนิติคอนโดฯให้ทาง Happy Grocers ไปลงพื้นที่เองอีกด้วย โครงการนี้ประสบความสำเร็จและคว้ารางวัลจากเวที Startup Thailand League 2020   อีกหนึ่งในบริการที่มีการเติบโตค่อนข้างสูง และยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่องหลังจากการระบาดของโควิด-19 คือ บริการหาหมอออนไลน์ โดยรายงานปี 2563 จากบริษัทวิจัย แกรนด์ วิว รีเสิร์ช มีระบุว่า ตลาดเทเลเมดิซีนมีอัตราการเติบโตค่อนข้างสูง โดยปี 2563 มีมูลค่าราว 55,900 ดอลล่าสหรัฐ และคาดว่าในช่วงปี 2564-2571 จะมีการขยายตัวต่อปีที่ 22.4% ซึ่งทำให้คาดว่าทำให้ตลาดเทเลเมดิซีนจะยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง บริการที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม เป็นกลุ่มงานบริการที่ได้รับความนิยมมากขึ้นจากแนวคิดเกี่ยวกับ สิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล หรือ  ESG (Environment, Social, Governance) ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก ภาวะโลกร้อน ปริมาณฝุ่น PM 2.5 ที่เพิ่มขึ้น รวมไปถึง การพบไมโครพลาสติกในสัตว์ทะเล และปัญหาน้ำสะอาดที่ใช้ดื่มที่ใช้บริโภคในชีวิตประจำวัน ปัญหาต่างๆด้านสิ่งแวดล้อม ทำให้เกิดธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการผลิตวัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การนำขยะมาใช้ในการผลิตเป็นเฟอร์นิเจอร์ และของใช้ต่างๆ   รวมไปถึงการให้บริการเปลี่ยนขยะให้เป็นประโยชน์อย่างบริษัท รีไซเคิล เดย์ จำกัด ซึ่งเป็นธุรกิจบริการที่เกิดขึ้นภายใต้แนวคิดในการเปลี่ยนขยะให้เป็นประโยชน์ โดยการให้ความรู้ในการแยกขยะไปจนถึงการบริหารจัดการ ผ่านแอพพลิเคชั่น โดยแอพพลิเคชั่น จะบันทึกการจัดเก็บและแยกขยะของแต่ละบ้าน เพื่อให้สามารถแลกเป็นคะแนนไว้ใช้สำหรับแลกของรางวัลหรือเงินคืนได้จำนวนเท่าไหร่ เพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจในการบริหารจัดการขยะ และ   อีกหนึ่งในบริการที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมที่น่าสนใจ และมีการเติบโตขึ้นเรื่อยๆคือ บริการที่เกี่ยวข้องกับการติดตั้งอุปกรณ์พลังงานทดแทน เช่น Pavegen slab ซึ่งเป็นแผ่นพื้นที่สามารถเปลี่ยนแรงกดให้เป็นพลังงานไฟฟ้าได้ โดยบริการนี้เริ่มต้นที่ประเทศอังกฤษ มีการติดตั้งตามเมืองสำคัญหลายจุด เช่น ถนนอ๊อคฟอร์ด กับถนนบาเรท ซึ่งในประเทศไทยเองก็มีการติดตั้งที่ True Digital park และ 101 The Third place อีกด้วย บริการที่เกี่ยวข้องกับบ้าน ธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องกับบ้าน เป็นอีกหนึ่งในงานบริการที่ถูกพัฒนารูปแบบบริการต่างๆให้ครอบคลุมกับความต้องการมากขึ้น โดยเฉพาะการให้บริการดูแลบ้าน ทั้งงานทำความสะอาดไปจนถึงงานช่างและงานซ่อมแซมต่างๆ โดยปัจจุบันมีหลายบริษัทที่พัฒนาแพลตฟอร์มขึ้นมา เพื่อให้ลูกค้าสามารถเลือกใช้และเรียกใช้บริการได้ตามความต้องการ เช่น Q-Chang คิวช่าง แพลตฟอร์มรวมช่างคุณภาพเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ ที่ให้บริการเกี่ยวกับบ้าน เช่น บริการดูแลรักษาบ้าน ,บริการติดตั้งเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ภายในบ้าน ,บริการปรับปรุงและซ่อมแซมบ้าน ฯลฯ   โดย Q-Chang เป็นธุรกิจบริการ ที่มีอัตราการเติบโตจากช่วง 3 ปีได้อย่างชัดเจน ในปี 2565 ที่ผ่านมา มีผู้เข้าใช้บริการผ่านช่องทางเว็ปไซต์เพิ่มขึ้นถึง 6.5 เท่า เมื่อเทียบกับปี 2564 และมียอดผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าตัว มีมูลค่าการจองใช้บริการสูงสุดถึง 610,000 บาท/คน/ปี ซึ่งท้อนได้ถึงความต้องการในการใช้บริการงานที่เกี่ยวข้องกับบ้านได้อย่างชัดเจน ซึ่งทาง Q-Chang เองก็ได้ขยายบริการจากเว็ปไซต์ เพิ่มขึ้นเป็น Line Official : @q-chang รวมถึงมีการให้บริการรวมกับพาร์ทเนอร์ เช่น SCG, Shopee, Lazada NocNoc เป็นต้น   โดยบริการยอดนิยมจะอยู่ในกลุ่มงานบริการล้างแอร์ ซ่อมแซมหลังคารั่ว บริการล้างเครื่องซักผ้า ฯ ล ฯ นอกจากนี้ผู้ให้บริการรายใหญ่อย่าง SCG ก็ยังมีบริการที่เกี่ยวข้องกับบ้านด้วยเช่นกัน เช่น บริการจาก SCG Heim ซึ่งให้บริการงานต่อเติม ตรวจสอบและซ่อมแซมสภาพบ้าน ตกแต่งภายใน บิ้วอิน เป็นต้น บริการที่เกี่ยวข้องกับไลฟ์สไตล์ ปัจจุบันผู้คนเริ่มมีความคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตในที่อยู่อาศัยมากขึ้น ทั้งการทำงานและกิจกรรมเพื่อความบันเทิง โดยเฉพาะการเล่นเกมส์ ที่ปัจจุบันกลายเป็นกีฬาชนิดหนึ่งที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก ถูกบรรจุเป็นกีฬาในระดับภูมิภาค และระดับโลก ในประเทศไทยก็เริ่มมีการเรียนการสอนในโรงเรียนวิชา E-Sport ตั้งแต่ระดับมัธยมในประเทศไทย เช่น โรงเรียนสิรินธร จ.สุรินทร์ ,โรงเรียนสระบุรีวิทยาคม ที่ได้มีการสร้างห้อง E-Sport Room เพื่อรองรับการส่งเสริมนักเรียนในทุกด้าน และในระดับมหาวิทยาลัยนั้น ภาคเอกชนก็เริ่มนำคอร์สการเรียนที่เกี่ยวข้องกับ E-Sport มาเป็นทางเลือกให้ผู้ที่สนใจในด้านนี้โดยเฉพาะด้วยเช่นกัน   การเติบโตของ E-Sport ทำให้การพัฒนาห้อง E-Sport ภายในที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะในอาคารชุดพักอาศัยเริ่มกลายเป็นที่นิยมมากขึ้นนอกเหนือจาก Co-Working และ Co-Kitchen space โดยปัจจุบันมีโครงการอาคารชุดพักอาศัย อย่าง โครงการ เพลส 168 ปิ่นเกล้า ที่พัฒนาโดยบริษัท แอล. พี. เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) และโครงการอัลติจูด ยูนิคอร์น สาทร ที่พัฒนาโครงการโดย อัลติจูด ดีเวลลอปเมนท์ ที่ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์กับความต้องการของคนรุ่นใหม่ ที่ใช้ชีวิตในที่อยู่อาศัยมากขึ้น   นอกจากนี้ยังพบว่าธุรกิจโรงแรมในต่างประเทศก็มีการนำห้อง E-Sport Room เข้ามาใช้เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน เช่นโรงแรม iHotel — Taoyuan City ประเทศไต้หวัน , โรงแรม The Arcade Hotel ในประเทศเนเธอแลนด์ และ โรงแรม eZONe Cyber Space Hotel ในประเทศญี่ปุ่น เป็นต้น โดยการให้บริการจะมีเครื่องคอมพิวเตอร์สำหรับเล่นเกมส์ในห้องพักโดยเฉพาะ มีที่นอนภายในห้อง โดยที่พักจะมีเริ่มต้นตั้งแต่ 2 คน ไปจนถึงห้องใหญ่ที่รองรับผู้เข้าพักได้ถึง 5 คน มีค่าบริการเริ่มต้นตั้งแต่ 1,500 เป็นต้นไป   “วิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้คนจากวิถีชีวิตปกติใหม่ (New Normal) มาสู่วิถีชีวิตปกติถัดไป (Next Normal) ภายหลังการแพร่ระบาดของ COVID-19 งานบริการไม่ใช่งานที่ผู้คนต้องออกจากบ้านเพื่อไปรับบริการแล้ว แต่งานบริการกลายเป็นงานที่ผู้คนสามารถใช้บริการได้จากที่บ้านของพวกเขาเอง ผ่านการเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มต่างๆ ที่เชื่อมต่อทุกงานบริการเข้าด้วยกัน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้คน จึงเป็นมิติใหม่ของการสร้างโอกาสในการสร้างธุรกิจบริการเพื่อที่จะเข้าถึงผู้คนและสร้างรายได้เพิ่มขึ้น เทคโนโลยี่ดิจิทัล เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างโอกาสทั้งทางธุรกิจและเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตของผู้คนในปัจจุบัน”    อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -โควิดทุบ SMEs ธุรกิจบริการ-ท่องเที่ยว รายได้หาย 27,000 ล้าน
4 ประสบการณ์ใหม่ เกษรอัมรินทร์ การพลิกโฉม อาคารอมรินทร์พลาซ่าอายุ 38 ปี 

4 ประสบการณ์ใหม่ เกษรอัมรินทร์ การพลิกโฉม อาคารอมรินทร์พลาซ่าอายุ 38 ปี 

เกษรวิลเลจ เดินหน้าแผนยกระดับโครงการมิกซ์ยูสเต็มพิกัดสู่การพัฒนา “Placemaking Destination” แห่งแรกและแห่งเดียวใจกลางกรุงเทพฯ เตรียมเผยภาพลักษณ์ใหม่ของ เกษรอัมรินทร์ กับ 4 ไฮไลต์สำคัญ จากการพลิกโฉม อาคารอมรินทร์พลาซ่าอายุ 38 ปี สู่​นิยามใหม่ของพื้นที่ “ที่มีความหมาย”  พร้อมเปิดบริการอย่างเป็นทางการในปลายปี 2566 นี้     นายชาญ ศรีวิกรม์ ประธานบริหารกลุ่มเกษร พร๊อพเพอร์ตี้ กรุ๊ป เปิดเผยว่า​ การยกระดับเกษรวิลเลจสู่ความเป็น Placemaking Destination หรือ พื้นที่ที่มีความหมาย มีความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากการพัฒนาศูนย์กลางไลฟ์สไตล์อื่น ๆ ของกรุงเทพฯ ในปัจจุบัน เราไม่ได้สร้างอาคารขึ้นใหม่ แต่เราเล็งเห็นถึงคุณค่าจากอาคารเก่าที่บ่มเพาะเรื่องราวความเป็นมาและความทรงจำอันรุ่งเรืองในอดีต การรีแบรนด์ “เกษรอัมรินทร์” ครั้งใหญ่ ภายใต้แนวคิด Live your own Legacy   โดยเป็นการนำอาคารอัมรินทร์พลาซ่า ศูนย์การค้าที่เป็นตำนานของกรุงเทพฯ และอยู่คู่ย่านราชประสงค์มานานกว่า 38 ปี มาต่อยอดด้วยดีไซน์และองค์ประกอบใหม่ ๆ ที่สอดประสานไปกับบริบทของโลกปัจจุบันและอนาคต ซึ่งจะสามารถเชื่อมโยงความผูกพันกับผู้คนและชุมชนที่มีความเชื่อในคุณค่าร่วมกัน จุดมุ่งหมายของเราจึงเป็นการสร้างสรรค์สถานที่  "เดิม" ให้กลายเป็นจุดหมายใหม่ของกรุงเทพฯ สำหรับให้ผู้คนได้มาใช้ชีวิตอย่างสุนทรีย์ ไม่ซ้ำใครในแบบฉบับของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการมาสร้างแรงบันดาลใจใหม่ ๆ มองหาทางเลือกของสีสันและกิจกรรมต่าง ๆ ตลอดจนการเติมเต็มประสบการณ์ชีวิตในหลากหลายรูปแบบอย่างที่ใจต้องการอย่างแท้จริง”   ทั้งหมดนี้พร้อมจะพลิกโฉมย่านราชประสงค์สู่ปรากฏการณ์ใหม่ของศูนย์กลางไลฟ์สไตล์ (Bangkok’s Capital of Lifestyle District) ใจกลางเมืองแห่งแรกหนึ่งเดียวของกรุงเทพฯ ผ่านนิยามใหม่ของวิถีการใช้ชีวิตคนเมืองอย่างสุนทรีย์ ด้วยประสบการณ์ที่แตกต่างกัน 4 รูปแบบ 4 ประสบการณ์ใหม่ เกษรอมรินทร์ 1.#MINGLE – Place for Tasteful Moments  โซนอาหารเลิศรส  ด้วยไฮไลต์สำคัญ Hanging Garden พื้นที่อินดอร์กึ่งเอาท์ดอร์ใหม่ด้านหน้าอาคาร โดยมีดีไซน์ฟีเจอร์ของ Gaysorn Cocoon ที่เต็มไปด้วยพืชพันธุ์ไม้ต่าง ๆ โอบล้อมเสาโรมันงามสง่าอันเป็นเอกลักษณ์คู่ตึกเกษรอัมรินทร์ สัมผัสกลิ่นอายของสถานที่อันเป็นตำนานในบรรยากาศร่วมสมัย ซึ่งถือเป็นโหนด (Node) สำคัญหนึ่งเดียวใจกลางย่านราชประสงค์ที่ให้ผู้คนในพื้นที่ได้มารวมตัวพบปะกันในแบบฉบับของตัวเอง ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ พร้อมดื่มด่ำกับอาหารและเครื่องดื่มในคอนเซปต์ใหม่ ๆ ที่รังสรรค์โดยเชฟและมิกโซโลจิสต์มือรางวัล   ตลอดจนอีเวนต์และเอนเตอร์เทนเมนท์สุดพิเศษที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนไปตามโอกาสต่าง ๆ หรืออิ่มเอมกับมื้ออร่อยง่าย ๆ ได้ในทุกวันกับ The COOK ศูนย์รวมความอร่อยจากร้านอาหารสตรีทฟู้ดชื่อดังใจกลางกรุงเทพฯ ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงมายาวนาน  ทั้งนี้เกษรวิลเลจ ยังจัดงานและกิจกรรมต่างๆ ที่รวมเหล่ากูรูด้านอาหารและเครื่องดื่ม หรือผู้ที่สนใจ ได้พบปะสังสรรค์หรือเฉลิมฉลอง อย่างเช่นงาน “เกษร เล วองดองช์″ (Gaysorn Les Vendanges) เทศกาลไวน์ระดับตำนานที่เปิดโอกาสให้คอไวน์ได้สัมผัสสุนทรียรสของไวน์อันเปี่ยมรสนิยมจากทั่วทุกมุมโลก ซึ่งจัดขึ้นในเดือนกันยายนของทุกปี เป็นต้น 2.#ADORE – Place Where Artisans and Admirers Meet  พื้นที่งานศิลป์ในพื้นที่ที่เป็นมากกว่าแหล่งช็อปปิ้งชื่นชมผลงานและเรื่องราวหลากสไตล์จากนักออกแบบ นักสร้างสรรค์ และช่างฝีมือจากไทยและต่างประเทศ ประกอบด้วยพื้นที่ 3 ส่วน เริ่มตั้งแต่ Piazza ซึ่งเป็นลานเอนกประสงค์ด้านหน้าอาคารที่ออกแบบให้เป็นพื้นที่โล่ง กว้างขวาง ไปจนจรดแนวถนนหน้าตึก เพื่อเปิดรับผู้คน และสามารถรองรับการจัดกิจกรรมและอีเวนต์ในรูปแบบใหม่ ๆ Forum โถงด้านในที่อยู่ภายใต้สกายไลท์ หรือหลังคากระจกฉลุลวดลายดอกไม้อันวิจิตรที่ยังรักษาไว้เป็นเอกลักษณ์สำคัญ เป็นพื้นที่อีเวนต์สเปซ สำหรับการแสดงหรือโชว์เคสโปรดักส์ใหม่ หรือผลงานศิลปะอันหลากหลาย เช่นเดียวกับพื้นที่ Atrium และ Cocoon ที่เกษรเซ็นเตอร์และเกษรทาวเวอร์ ที่ได้ร่วมรังสรรค์ผลงานกับศิลปินและนักออกแบบต่างประเทศ อาทิเช่น Biyan หรือ Dries Van Noten และศิลปินและนักออกแบบไทยอย่าง คุณณอน-ชวนล ไคสิริ หรือ คุณยูน-ปัณพัท เตชเมธากุล Infinity Escalator อีกหนึ่งโซนใหม่ซึ่งเป็นพื้นที่รวมร้านค้าสินค้าแฟชั่นไลฟ์สไตล์ ที่มีเรื่องราวอันโดดเด่นไม่ซ้ำใคร ทั้งแบรนด์ไทยและต่างประเทศ พร้อมรังสรรค์โดยคิวเรเตอร์ซึ่งเป็นอินฟลูเอนเซอร์ที่คร่ำหวอดในแวดวงและมีไลฟ์สไตล์เฉพาะตัวอันโดดเด่นหลากหลายรูปแบบ นับเป็นการต่อยอดจาก Designer Lane พื้นที่แห่งสุดยอดประสบการณ์แฟชั่น เครื่องประดับ อุปกรณ์พิเศษที่เหมาะกับแต่ละไลฟ์สไตล์ รวบรวมทั้งแบรนด์ไทยและระดับโลก ไม่ซ้ำใคร สู่การเป็นพื้นที่สำหรับกลุ่มผู้คนที่เป็น like-minded community ได้พบปะ มีปฏิสัมพันธ์ เพื่อเติมพลังการใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า 3.#BOOST – Place for Urbanist Wellness  เสริมสุขภาวะในแบบฉบับคนเมืองไปกับ Gaysorn Urban Wellness รังสรรค์พื้นที่เพื่อให้คนเมืองได้ดูแล และฟื้นฟูตนเองไปกับ 3 องค์ประกอบ ด้านความงาม (Beauty & Aesthetics) ของร่างกายผิวพรรณใบหน้าและเส้นผม ด้านการดูแลสุขภาพกาย (Health & Wellness) คัดสรรประสบการณ์และบริการทางด้านการชะลอวัย การเสริมภูมิคุ้มกัน และฟื้นฟูให้กับร่างกาย หรือการรับประทานอาหารและอาหารเสริมให้ตรงกับแต่ละบุคคล และด้านสุขภาพใจ (Mental Wellbeing) พื้นที่ที่ให้คนเมืองได้หลบหลีกจากความวุ่นวายเพื่อรีแลกซ์และทำให้ร่างกายและจิตใจสงบ ฟื้นฟูสุขภาพใจจากการทำงานและการใช้ชีวิต ทุกการดูแลจะพรั่งพร้อมด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัย พร้อมกับโปรแกรมแบบ Personalized ควบคู่ไปกับการดูแลรักษาที่มีประสิทธิภาพกับผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียง เพื่อสร้างประสบการณ์แห่งการสร้างเสริมสุขภาวะคนเมืองในแบบเฉพาะแต่ละบุคคล 4.#THRIVE – Place to Collaborate & Grow Creatively  สร้างสรรค์ สำเร็จ ในวิถีทำงานคุณภาพ ด้วยสถานที่ทำงานและสังคมที่สร้างแรงบันดาลใจ บนทำเลแยกราชประสงค์ ศูนย์กลางธุรกิจใจกลางเมือง หมุดหมายสำหรับที่ตั้งสำนักงานขององค์กรระดับนานาชาติชั้นนำ ดึงดูดคนทำงานรุ่นใหม่ที่มีความสามารถ ไปกับการเดินทางที่สะดวกสบายด้วยทางเชื่อมสู่บีทีเอส และพรั่งพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์อันหลากหลาย บนพื้นที่สำนักงานเกรดเอในอาคารสถาปัตยกรรมโพสต์โมเดิร์น Gaysorn Amarin Tower ซึ่งมีการออกแบบตกแต่งและปรับปรุงพื้นที่ใหม่เพื่อมอบความสะดวกสบายและสุขภาวะที่ดีแก่คนทำงาน   พื้นที่ Co-Working Space พร้อมโซลูชันการทำงานแบบครบวงจร ตลอดจน Working Pods รองรับรูปแบบการทำงานแบบไฮบริดในโลกธุรกิจยุคใหม่ กระจายอยู่ในจุดต่าง ๆ ทั่วอาคาร เพื่อเพิ่มพื้นที่ภายนอกออฟฟิศให้ผู้ที่ต้องการความยืดหยุ่นและสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมให้เกิดไอเดียสร้างสรรค์ใหม่ ๆ ภายในเกษร วิลเลจ จึงมีพื้นที่อันหลากหลายให้ทุกคนสามารถทำงาน และพบปะหรือประชุมกับพันธมิตรทางธุรกิจ   นอกจากนั้น ยังมี Gaysorn Urban Resort ศูนย์กลางแห่งการแลกเปลี่ยนความรู้สำหรับคนทำงาน ด้วยโปรแกรมกิจกรรมและอีเวนต์สำหรับสายธุรกิจอันหลากหลาย เช่นสายเทค สตาร์ทอัพ และผู้ประกอบการในด้านต่าง ๆ ให้ได้รับรู้ทิศทางธุรกิจของตลาดโลกตลอดทั้งปี ด้วยองค์ประกอบที่ส่งเสริมให้เกิดชุมชนแห่งการทำงานร่วมกัน ทั้งหมดนี้จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจ บ่มเพาะความคิดสร้างสรรค์ ผลักดันนวัตกรรมใหม่ ๆ และสนับสนุนการให้ทุกคนสร้างเรื่องราวแห่งความสำเร็จให้กับตนเอง “การลงทุนรีแบรนด์เกษรอัมรินทร์และพลิกโฉมเกษรวิลเลจด้วยเงินลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาทครั้งนี้ เราเชื่อมั่นว่าจะมีส่วนช่วยในการกระตุ้นเศรษฐกิจและย่านราชประสงค์ให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง ต้อนรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าในปี 66 นี้จะมีจำนวนนักท่องเที่ยงต่างชาติเดินทางเข้ามาเพิ่มสูงขึ้นจากปี 65 ถึงหนึ่งเท่าตัว”      อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -4 โซนไฮไลท์ ใน “เกษรอัมรินทร์”  ชื่อใหม่ของ อัมรินทร์พลาซ่า
เอสซีจี ตั้งเป้าโต 200% ลุยตลาดโซลาร์รูฟ ส่ง SCG Solar Expert Station รุกตลาด ตั้งเป้าโต 200% รับค่าไฟพุ่ง

เอสซีจี ตั้งเป้าโต 200% ลุยตลาดโซลาร์รูฟ ส่ง SCG Solar Expert Station รุกตลาด ตั้งเป้าโต 200% รับค่าไฟพุ่ง

โซลาร์รูฟ เอสซีจี  ส่งเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อที่อยู่อาศัย เอสซีจี โซลาร์รูฟ โซลูชัน ตั้งเป้ายอดขายเติบโต 200% ภายในปี 2566 ชูกลยุทธ์ด้วย SCG Solar Expert Station สร้างจุดเชื่อมระหว่างลูกค้าและผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านโซลาร์ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้า      นายวชิระชัย คูนำวัฒนา Head of Smart System Solution Business ในธุรกิจซีเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เอสซีจี เปิดเผยว่า จากปัญหาค่าไฟที่ปรับสูงขึ้น และพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้า ในเวลากลางวันของผู้อยู่อาศัยมากขึ้น  ส่งผลให้ค่าไฟสูงขึ้นเฉลี่ย 30-50% และผู้บริโภคส่วนใหญ่หันมาใช้พลังงานทดแทนเพิ่มมากขึ้นถึง 12-15% และคาดการณ์ว่าภายในปี 2050 สัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนของโลกจะสูงขึ้นถึง 85% ซึ่งสามารถชี้วัดได้ว่าการใช้พลังงานแสงอาทิตย์มีแนวโน้มเพิ่มสูงตามลำดับ อาทิ การใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว รวมไปถึงปัจจัยร่วมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น อัตราค่าไฟฟ้าที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นตลอดในช่วงที่ผ่านมา ภาครัฐมีมาตรการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (Ft) ประกอบกับด้านเทคโนโลยีในการติดตั้งและต้นทุนวัสดุอุปกรณ์ที่ถูกลง ไปจนถึงผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์นำระบบโซลาร์รูฟเข้ามาใช้เป็นอุปกรณ์พื้นฐานสำหรับโครงการที่อยู่อาศัย ตลอดจน Solar Energy Trading การซื้อขายพลังงานไฟฟ้าระหว่างครัวเรือน ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต ล้วนแล้วแต่มีส่วนช่วยเร่งให้พลังงานทางเลือกเพิ่มระดับความนิยมที่เข้มข้น รวมถึงผลักดันให้ตลาดโซลาร์รููฟเติบโตได้ดียิ่งขึ้น   เอสซีจี โซลาร์ รูฟ โซลูชัน ในฐานะผู้นำและผู้เชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมระบบหลังคาโซลาร์ พร้อมโซลูชันครบวงจร ได้เล็งเห็นเทรนด์และแนวโน้มความนิยมด้านพลังงานสะอาด หรือพลังงานทดแทน จึงได้พัฒนานวัตกรรมหลังคาโซลาร์รูฟมาไม่น้อยกว่า 10 ปี โดยให้บริการติดตั้งระบบหลังคาโซลาร์แบบครบวงจร พัฒนาสินค้านวัตกรรมให้มีคุณภาพ โดยเฉพาะระบบการยึดติดแผงโซลาร์โดยไม่ต้องเจาะหลังคา เพื่อลดความเสี่ยงเรื่องหลังคารั่วด้วย Solar FIX ตลอดจนพัฒนาสินค้าและบริการให้เข้ากับทุกไลฟ์สไตล์การใช้ไฟฟ้าในบ้านอย่างครอบคลุมและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด   ทั้งนี้  เพื่อขับเคลื่อนและผลักดันให้พลังงานสะอาดสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายยิ่งขึ้น ซึ่งยอมรับว่าเป็นความท้าทายอย่างมากในการทำการตลาดระบบหลังคาโซลาร์ในไทย ที่นับได้ว่าเป็นเรื่องใหม่และกำลังเป็นที่พูดถึงอยู่ในปัจจุบัน แต่ส่วนใหญ่ยังต้องการความรู้และความเข้าใจอย่างถูกต้อง โดยกลยุทธ์ที่ต้องมุ่งเน้นไปพร้อม ๆ กันคือการสื่อสารเกี่ยวกับระบบหลังคาโซลาร์แก่ผู้บริโภค เริ่มตั้งแต่ความจำเป็น การติดตั้ง การใช้งาน รวมถึงความคุ้มค่าระยะยาว   จากเทรนด์และเทคโนโลยีโซลาร์รูฟที่กำลังได้รับความนิยมในวงกว้าง โดยเฉพาะภาคครัวเรือนที่มีโอกาสเข้าถึงได้มากยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้ เอสซีจีจึงได้ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมหลังคาโซลาร์ เดินหน้าด้วยกลยุทธ์ SCG Solar Expert Station โมเดลธุรกิจที่ถูกพัฒนาขึ้นจาก Insight ของผู้อยู่อาศัยยุคใหม่ โดยสร้างจุดเชื่อมระหว่างลูกค้าและผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านระบบหลังคาโซลาร์โดยตรง   เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้า สามารถติดต่อและเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้องได้รวดเร็วขึ้น ทำให้การติดตั้งหลังคาโซลาร์ รูฟ เป็นไปได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น ผ่านช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ ครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วประเทศ โดย SCG Solar Expert หรือผู้เชี่ยวชาญด้านโซลาร์จะให้คำปรึกษาฟรี แนะนำขั้นตอนและระบบการทำงาน, ออกแบบระบบหลังคาโซลาร์ เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งาน พร้อมประเมินราคา โดยมีแผนขยายไปที่ SCG Home, SCG Home Experience และ SCG Authorized Dealer ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ มีสาขานำร่อง อาทิ กรุงเทพฯ และปริมณฑล ชลบุรี อุบลราชธานี เชียงใหม่ และหาดใหญ่ พร้อมขยายไปยังหัวเมืองหลักเพื่อครอบคลุมทั่วประเทศ ภายในปี 2566 โดยในช่วงปีที่ผ่านมา เอสซีจี โซลาร์ รูฟ โซลูชัน เติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่อง พร้อมรุกขยายไปยังตลาดบ้านพักอาศัยที่มีศักยภาพสูง ตอกย้ำการเป็นผู้นำด้านระบบหลังคาโซลาร์ในตลาด Residential ประเทศไทย โดยคาดการณ์จากตัวเลขภายในปี 2566 จะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 200% ซึ่งถือว่าได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่มีความแตกต่างและโดดเด่นจากคู่แข่งในตลาด ผ่าน 3 จุดแข็ง คือ EXPERT เอสซีจีมีวิศวกรที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน Solar & Home Energy management และมีความเชี่ยวชาญด้านหลังคาซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการติดตั้งโซลาร์ โดยมีบริการตรวจสุขภาพหลังคาก่อนการติดตั้ง พร้อมนวัตกรรม Solar FIX ที่ติดตั้งหลังคาโซลาร์โดยไม่ต้องเจาะหลังคา ทำให้หลังคาไม่เสี่ยงต่อการรั่วซึม ONE STOP SERVICE การให้บริการแบบครบวงจร โดยออกแบบระบบโซลาร์ให้เหมาะสมกับพฤติกรรมการใช้ไฟของบ้านลูกค้า รวมถึงดำเนินการ ขออนุญาตกับทางภาครัฐ ทำให้การติดตั้งระบบหลังคาโซลาร์กับเอสซีจีถูกต้องตามกฎหมาย 100% AFTER SALES SERVICE การรับประกันตลอด 25 ปีโดยเอสซีจี   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -[PR News] เอสซีจี X เอสซี แอสเสท​ ติด Active AIR Quality บ้าน 1,000 ยูนิต​ -เอสซีจี ลุย 2 ธุรกิจ “ให้คำปรึกษา-งานระบบอาคารแบบครบวงจร” รับเทรนด์ Well-being
เรื่องต้องคิด  เลือกซื้อบ้าน สำหรับมือใหม่

เรื่องต้องคิด เลือกซื้อบ้าน สำหรับมือใหม่

เลือกซื้อบ้าน  เรื่องของ "ที่อยู่อาศัย" นอกจากจะเป็นความจำเป็นของชีวิต ตามปัจจัย 4 แล้ว ที่อยู่อาศัย หรือ บ้าน ยังเป็นความฝันของคนส่วนใหญ่ ที่ในชีวิตหนึ่ง ก็อยากจะเป็นเจ้าของ ใครที่ยังไม่มีบ้าน จึงอยากจะมีบ้านเป็นของตนเองสักหลังหนึ่ง หรืออย่างน้อย คอนโดมิเนียมสักห้อง การซื้อบ้านอาจจะไม่ใช่เรื่องยาก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะบ้านมีมูลค่าสูงมาก อาจจะเป็นสินค้าชิ้นเดียวในชีวิตของคน ๆ หนึ่งที่มีมูลค่าสูงที่สุดก็ได้  แถมมีรายละเอียดให้คิดเยอะด้วย   วันนี้ Reviewyourliving จึงมีบทความ เรื่องต้องคิด เลือกซื้อบ้าน สำหรับมือใหม่ มาเป็นคำแนะนำ สำหรับคนที่อยากจะซื้อบ้านหลังแรกมาฝากกัน เรื่องต้องคิด เลือกซื้อบ้าน สำหรับมือใหม่ 1.เลือกซื้อบ้านแบบไหน? สำหรับคนที่อยากซื้อบ้าน ซึ่งไม่ใช่คอนโดมิเนียม อาจจะต้องมาตอบคำถามตัวเองก่อนอันดับแรกว่า อยากซื้อบ้านแบบไหน เพราะรูปแบบบ้านที่มีขายกันในปัจจุบัน จะแบ่งเป็น 4 รูปแบบด้วยกัน คือ บ้านเดี่ยว คือ บ้านที่ไม่มีผนังด้านใดติดกับบ้านอีกหลังหนึ่งเลย มักจะมีพื้นที่บริเวณโดยรอบตัวบ้าน ซึ่งบ้านเดี่ยวมีทั้งแบบชั้นเดียวและสองชั้น แต่ระยะหลังด้วยที่ดินแพงขึ้น ทำให้มีการพัฒนาเป็นบ้านเดี่ยวแบบสามชั้นขึ้นไปมากขึ้น   บ้านเดี่ยวเหมาะสำหรับคนที่ต้องการความเป็นส่วนตัวสูง และต้องการมีพื้นที่รอบ ๆ บ้านเพื่อใช้ประโยชน์ตามที่ต้องการ และสามารถอยู่อาศัยกันหลายเจเนอเรชั่นได้ตามขนาดบ้าน บ้านแฝด คือ บ้านที่มีลักษณะคล้ายบ้านเดี่ยวสองหลังอยู่ติดกัน โดยมีส่วนใดส่วนหนึ่งที่ทำติดกัน เช่น ผนังบ้านด้านข้าง คาน แต่ปัจจุบันมีการออกแบบให้คานใต้ดินติดกัน ทำให้บางครั้งก็ดูเหมือนไม่ใช่บ้านแฝด นอกจากนี้ กฎหมายยังกำหนดในเรื่องของขนาดที่ดินด้วย บ้านแฝดต้องมีที่ดินไม่ต่ำกว่า 35 ตารางวา ความหว้างที่ดินไม่ต่ำกว่า 16 เมตรแบ่งเป็นข้างละ 8 เมตร และมีระยะร่นด้านหน้าไม่ต่ำกว่า 3 เมตร กรณีที่บ้านไม่ได้ติดถนนหลัก ต้องเพิ่มระยะร่นด้านหน้าเป็น 6 เมตรด้วย และระยะร่นด้านด้านข้างและด้านหลังเว้นไม่ต่ำกว่า 2 เมตร ปัจจุบันบ้านแฝดเริ่มพัฒนามากกว่า 2 ชั้น เป็นบ้านแฝด 3 ชั้นให้เห็นบ้างแล้ว   บ้านแฝด เหมาะสำหรับคนที่ต้องการความเป็นส่วนตัว แต่มีงบประมาณน้อยกว่าการไปซื้อบ้านเดี่ยว เพราะราคาบ้านแฝดมักถูกกว่าบ้านเดี่ยว บ้านแฝดสามารถอยู่อาศัยได้หลายเจเนเรชั่น เหมือนกับบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ หรือทาวน์โฮม สำหรับทาวน์เฮ้าส์กับทาวน์โฮม จริง ๆ มีลักษณะคล้ายกัน คือ เป็นรูปแบบของบ้านที่ปลูกติดกันเป็นแถวเรียงกัน ทำให้ทาวน์เฮ้าส์หรือทาวน์โฮมจะต้องมีผนังติดกับบ้านด้านข้างทั้งสองด้าน ยกเว้นหลังแรกและหลังสุดท้าย ที่มักจะมีพื้นที่บริเวณด้านข้างบ้าน   แม้ทาวน์เฮ้าส์ และทาวน์โฮม จะมีลักษณะคล้ายกัน แต่ก็มีความแตกต่างกันที่ชัดเจนอย่างหนึ่ง คือ ​ทาวน์เฮ้าส์ มักจะก่อสร้างขนาดความสูงไม่เกิน 2 ชั้น มีพื้นที่ขนาดเล็กทั้งที่ดินและตัวบ้าน และสิ่งอำนวยความสะดวกในโครงการมักไม่ค่อยมีอะไรพิเศษ   ส่วนทาวน์โฮมเป็นรูปแบบบ้านที่ต่อยอดมาจากทาวน์เฮ้าส์ (บางโครงการก็เรียกทาวน์เฮ้าส์ เป็นทาวน์โฮม เพื่อยกระดับโครงการให้ดีขึ้น ตามสิ่งอำนวยความสะดวกที่โครงการนั้นมี) ปัจจุบันมักจะก่อสร้างให้มีขนาดความสูงตั้งแต่ 3-5 ชั้น   ทาวน์เฮ้าส์ เหมาะสำหรับครอบครัวขนาดเล็ก เพราะพื้นที่บ้านค่อนข้างจำกัด และคนที่มีงบประมาณจำกัด แต่ยังต้องการพื้นที่ใช้สอยมากกว่าการอยู่ในคอนโดมิเนียม   ทาวน์โฮม เหมาะสำหรับครอบครัวที่อยู่กันหลายเจเนอเรชั่น เพราะมักจะมีพื้นที่มาก โฮมออฟฟิศ เป็นบ้านอีกรูปแบบหนึ่ง ที่ผู้อยู่อาศัยมีการใช้พื้นที่ของบ้านเพื่อทำธุรกิจ หรือทำเป็นสำนักงาน โดยรูปแบบบ้านเป็นการพัฒนามาจากตึกแถว หรืออาคารพาณิชย์ และผสมผสานกับรูปแบบของทาวน์โฮม ทำให้หน้าตาทันสมัย สวยงาม มีพื้นที่ด้านข้าง ภายในบ้านมีฟังก์ชั่นการใช้งานที่เหมาะกับการทำเป็นสำนักงาน ราคาค่อนข้างสูง เพราะมักจะเป็นโครงการในทำเลที่ดี   โฮมออฟฟิศ เหมาะสำหรับคนที่ประกอบอาชีพอิสระ ต้องการทำงานและพักอาศัยอยู่ในสถานที่เดียว ราคาโฮมออฟฟิศค่อนข้างสูง เพราะอยู่ในทำเลที่ดีเหมาะสำหรับการค้าขาย หรือทำธุรกิจ มากกว่าการอยู่อาศัยเพียงอย่างเดียว 2.เลือกทำเลที่ต้องการ เมื่อได้รูปแบบบ้านที่ต้องการแล้ว ก็มาเลือกกันว่าต้องการอยู่ในทำเลไหน ซึ่งแต่ละทำเลก็จะมีการพัฒนาบ้านแตกต่างกันไป ทั้งรูปแบบ และระดับราคา นอกจากนี้ยังมีเรื่องต้องพิจารณาที่สำคัญเกี่ยวกับทำเล อาทิ ความสะดวกในการเดินทาง ดูสิ่งอำนวยความสะดวก มลภาวะทางอากาศและเสียง และเป็นพื้นที่เสี่ยงต่อภัยธรรมชาติ พวกน้ำท่วม หรือไม่​ 3.วางงบประมาณที่ต้องการซื้อ วางงบประมาณที่ต้องการซื้อบ้าน ซึ่งงบประมาณก็จะเป็นตัวคัดกรองว่าเราจะหารูปแบบบ้าน ในทำเลที่ต้องการได้หรือไม่ นอกจากราคาบ้านแล้ว เรายังต้องวางงบประมาณที่เป็นค่าใช้จ่ายอื่น ๆ จะตามมาด้วย ซึ่งปกติเราควรมีเงินเก็บหรือเงินออมไว้ก่อนสัก 20% สำหรับผ่อนดาวน์ หรือเป็นค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ซึ่งใครอยากรู้ว่า ถ้าจะซื้อบ้านจะมีค่าใช้จ่ายอะไรอีกบ้างที่ต้องเตรียมเอาไว้ ต้องไปอ่านบทความ อัปเดต ค่าใช้จ่ายซื้อบ้าน และคอนโด 2566 มีอะไรบ้าง?  ที่ได้นำเสนอไว้ก่อนหน้านี้แล้ว เพื่อนำมาทำเช็คลิสต์กันดูก่อน 4.หาข้อมูลบ้าน-สำรวจทำเล-ดูบ้านตัวอย่าง หลังจากตอบคำถามตัวเองตั้งแต่ข้อ 1-3 เรียบร้อยแล้ว เราก็มาหาข้อมูลบ้านที่ต้องการกัน ซึ่งเดี๋ยวนี้ทำได้ง่าย ๆ มีข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตให้รวบรวมก่อนที่บ้าน หลังจากรวบรวมได้ข้อมูล และนำเอาข้อมูลของแต่ละโครงการมาเปรียบเทียบกันแล้ว ก็ถึงเวลาลงพื้นที่สำรวจโครงการ เพื่อดูสภาพแวดล้อม และการเข้าไปชมบ้านตัวอย่างจริง รวมถึงสภาพแวดล้อม สิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่ทางโครงการมีเอาไว้ให้ต่อไป   ทั้งหมดนี้ ก็เป็นหลักเกณฑ์เริ่มต้นในการพิจารณา การเลือกซื้อบ้านสำหรับมือใหม่ ซึ่งใช้ได้กับทุกคนที่อยากจะมีบ้านในฝันสักหลัง เพื่อสร้างความสุขให้กับตัวเอง และคนที่คุณรัก  แต่ยังมีรายละเอียดอื่น ๆ ที่ควรพิจารณาประกอบด้วย เพื่อให้เราได้บ้านที่ดี ตรงใจ และไม่เกิดปัญหาตามมาภายหลัง   ที่มา – ธอส., แลนด์แอนด์เฮ้าส์   อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง -4 เทรนด์การเลือกซื้อบ้าน หลังหมดโควิด-19 ยุควิถีชีวิต Nex normal -ไขความลับ “คนสูงวัย” เลือกซื้อบ้านยังไง ตอบโจทย์ชีวิตเกษียณ  
[PR News] ไซมิส แอสเสท มั่นใจภายใน 3 ปี รายได้ทะลุ 10,000 ล้าน

[PR News] ไซมิส แอสเสท มั่นใจภายใน 3 ปี รายได้ทะลุ 10,000 ล้าน

ไซมิส แอสเสท วางเป้าหมายรายได้ 3 ปีข้างหน้า โดยปี 68 แตะระดับ 10,000 ล้าน เน้นสร้างสมดุลรายได้จากโครงการอสังหาฯ แนวราบ-แนวสูง พร้อมรายได้อื่น 10 - 15% ขณะที่ปีนี้ เตรียมพัฒนา 5 โครงการใหม่ เป็นแนวราบมูลค่ารวม 7,000 ล้านบาท และแนวสูง 1 โครงการ รูปแบบ Mixed Use  ตุน Backlog Forecast มูลค่ากว่า 6,500 ล้านบาท     นายขจรศิษฐ์ สิ่งสรรเสริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไซมิส แอสเสท จำกัด (มหาชน) (SA)  เปิดเผยว่า ได้วางแผนธุรกิจในปี 3 ปีข้างหน้า (2566-2568) จะมุ่งเน้นการสร้างความสมดุล ระหว่างรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์และรายได้จากธุรกิจอื่นที่เกี่ยวเนื่อง  ซึ่งเป็นการปรับโมเดลธุรกิจเพื่อบริหารจัดการความเสี่ยง และสร้างการเติบโตอย่างมั่นคง   โดยวางเป้าหมายการเติบโตทางธุรกิจในปี 2568 คาดว่าจะมีรายได้จากการขายโครงการอสังหาฯ ไม่น้อยกว่า 10,000 ล้านบาท โดยมาจากโครงการแนวราบ และโครงการแนวสูงในสัดส่วนที่เท่า ๆ กัน  และรายได้จากธุรกิจอื่นที่เกี่ยวเนื่องอีกประมาณ 1,700 ล้านบาท  ซึ่งคาดว่าภายใน 3 ปีนับจากนี้ ในส่วนรายได้ประจำ (Recurring Income) จะมีสัดสวน 10-15% ของรายได้รวม สำหรับปี 2566 มีแผนจะพัฒนาโครงการแนวราบจำนวน 4 โครงการใหม่ รวมมูลค่ากว่า 7,000 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.Siamese Kin รามอินทรา (Phase 2) พัฒนาในรูปแบบของบ้านแฝดและทาวน์โฮม จำนวน 36 ยูนิต ราคา 6-10 ล้านบาท มูลค่าโครงการเฟส 2 ประมาณ 250 ล้านบาท 2.Siamese Holm พหลฯ-วิภาวดี พัฒนาในรูปแบบของบ้านเดี่ยว ราคา 8-12 ล้านบาท จำนวน 192  ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 1,700 ล้านบาท 3.Siamese Blossom พหลฯ-วิภาวดี  พัฒนาในรูปแบบของบ้านแฝดและทาวน์โฮม ราคา 2-5 ล้านบาท จำนวน 445 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 1,700 ล้านบาท 4.Monsane ราชพฤกษ์ แจ้งวัฒนะ พัฒนาในรูปแบบของบ้านเดี่ยวระดับ Luxury ราคา 15—25 ล้านบาท จำนวน 175 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 3, 300 ล้านบาท ส่วนการพัฒนาโครงการแนวสูง มุ่งเน้นในรูปแบบ Mixed Use 3 โครงการ ทำเลใจกลางเมือง ซึ่งจะมีการจัดสรรพื้นที่บางส่วนของโครงการเป็นพื้นที่เช่าเชิงพาณิชย์ และเป็นห้องพักในรูปแบบโรงแรมหรือเซอร์วิสเรสซิเดนซ์ เพื่อกระจายแหล่งที่มาของรายได้ให้มีความหลากหลายขึ้น ทั้งนี้ มีแผนเปิดตัว โครงการ  โครงการ Wellness & Healthcare @ Talingchan และอีก 2 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 11,400 ล้านบาท   ขณะที่มีโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ  (อยู่ระหว่างการโอนกรรมสิทธิ์) จำนวน 8 โครงการ มูลค่า 20,000 ล้านบาท และโครงการปัจจุบัน อยู่ระหว่างก่อสร้าง จำนวน 5 โครงการ มูลค่า 19,500 ล้านบาท  โดยปัจจุบันมียอดขายรอโอน (Backlog) มูลค่ากว่า 6,500 ล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ถึงปี 2568   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ไซมิส แอสเสท ปั้นแบรนด์ใหม่ระดับลักชัวรี่ “เดอะ คอลเลคชั่น-THE COLLECTION”  -ไซมิส แอสเสท เปิดตัว คอนโดมิเนียมหรูไฮเอน ติด MRT ศูนย์สิริกิติ์ “ไซมิส เอ๊กซ์คลูซีพ ควีนส์”   
“บ้านอยู่เจริญ อีสต์วิลล์” บ้านแฝดและทาวน์โฮมสไตล์ นิวยอร์ก

“บ้านอยู่เจริญ อีสต์วิลล์” บ้านแฝดและทาวน์โฮมสไตล์ นิวยอร์ก

บ้านอยู่เจริญ อีสต์วิลล์  โครงการบ้านแฝดและทาวน์โฮมสุดหรูที่โดดเด่นด้วยดีไซน์มีสไตล์ เหมือนอยู่ในบ้านกลางนิวยอร์ก พัฒนาโดย “อยู่เจริญเอสเตทส” (U Charoen Estate) U Charoen Estate บ้านอยู่เจริญ อีสต์วิลล์ โครงการตั้งอยู่บนถนนนาคนิวาส ซอย 6 ในโซนลาดพร้าวเข้าออกได้หลายช่องทาง ที่ใกล้ทางด่วนเพียง 5 นาที และจะเดินทางเข้าเอกมัยทองหล่อก็ใช้เวลาไม่นาน  โครงการตั้งอยู่บนที่ดิน 4 ไร่ ให้ความส่วนตัวเพราะมีแค่ 28 ยูนิต  ราคาเริ่มต้นที่ 38 ล้านบาทจนถึง 50 ล้านบาท โลเคชั่นดีรายล้อมด้วยแหล่งช้อปปิ้ง ร้านอาหารอร่อย ใกล้แหล่งงานภาครัฐและเอกชน  โครงการอยู่ด้านหลังห้างเซ็นทรัล อีสต์วิลล์ เพียง300 เมตร  แหล่งรวมสิ่งอำนวยความสะดวกในย่านเรียบด่วน  การเดินทางสะดวกใกล้จุดขึ้นลงทางด่วน และเข้าสู่กลางเมือง อย่างเอกมัย ทองหล่อ ก็ใช้เวลาไม่นาน   ส่วนไฮไลท์ของโครงการ บ้านอยู่เจริญ อีสต์วิลล์ ได้รับแรงบันดาลใจจากการใช้ชีวิตของผู้คนในในย่านสุดหรูของมหานครนิวยอร์ก อย่างย่าน Upper Eastside เช่น Madison, Lexington และ Park Avenue มาตอบโจทย์ผู้บริโภค ที่มีไลฟ์สไตล์ชอบการท่องเที่ยว และงานศิลปะ ด้านการออกแบบบ้านแฝดและทาวน์โฮม สามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชันให้ตรงตามต้องการ หรือแม้แต่การจัดเป็นโฮมออฟฟิศก็สามารถจัดทำได้เช่นกัน และยังคงความเป็นส่วนตัว สอดคล้องกับพฤติกรรมความต้องการของผู้อยู่อาศัย การออกแบบในสไตล์ Modern Palladian โดยแรงบันดาลใจจากการใช้ชีวิตของผู้คนในมหานครนิวยอร์ก และยังทันสมัยเพราะทุกหลัง Smart Home Automation  และ ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ทุกหลัง จุดเด่นของบ้านเป็นบ้านหน้ากว้าง 12 เมตรจอดรถสูงสุดได้ 4 คัน   “บ้านอยู่เจริญ อีสต์วิลล์”  มีความเป็นส่วนตัวสุง ด้วยจำนวนเพียง 28 ยูนิต โดยมีแบบบ้าน 2 รูปแบบ ได้แก่ ทาวน์โฮม 4 ชั้น 3 ห้องนอน ขนาดเริ่มต้น 40 ตารางวา จำนวน 20 หลัง และ บ้านแฝด 3 ชั้น และ 2 ชั้นลอย 3 ห้องนอน ขนาดเริ่มต้น 44.2 ตารางวา เพียง 8 หลัง ราคาเริ่มต้น ที่มาหน้ากว้าง 12 เมตรที่สามารถจอดรถได้ถึง 4 คัน 3 ห้องนอนและมีห้องสำหรับแม่บ้าน พร้อมฟังชั่นปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการของทุกคน ส่วนกลาง พื้นที่ส่วนกลางมีพื้นที่สีเขียวพร้อมต้นไม้ใหญ่  โอบล้อมด้วยพืชพันธุ์ไม้หอมของไทย เช่น ลำดวน และปีป มีคลับเฮ้าส์ ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งสระว่ายน้ำระบบน้ำเกลือ ฟิตเนส และห้องประชุม รวมถึงสนามกว้างขวาง ที่รองรับกิจกรรมกลางแจ้งได้หลากหลาย มาพร้อม โคเวอคกิ้ง สเปส และ คุกกิ้งสเปส จัดปาร์ตี้บาร์บีคิวกันได้เลย   บ้านอยู่เจริญ อีสต์วิลล์ ตอนนี้บ้านตัวอย่างมีให้ชมครบทั้งบ้านแฝดและทาวน์โฮม  โครงการมูลค่ากว่า 1000 ล้าน ที่ตั้งใจยก มหานครนิวยอร์ก มาวางที่เรียบด่วนรามอินทรา สนใจเยี่ยมชมโครงการกันได้แล้ว     บทความน่าสนใจ One Atelier Phaholyothin ไพรเวท เรสซิเดนซ์ Luxury townhome เอกสิทธิ์เพียง 13 ครอบครัวเท่านั้น DEMI Sathu 49 บ้านที่พัฒนา มาเพื่อคุณ The Haute กาญจนา–สาทร Vertical Biz Villa บ้านที่เป็นได้ทุกอย่างในทุกจังหวะของชีวิต  
City Home ดีไซน์ใหม่ ราคาสบายกระเป๋า เริ่ม 1.09 ล้านบาท

City Home ดีไซน์ใหม่ ราคาสบายกระเป๋า เริ่ม 1.09 ล้านบาท

City Home ดีไซน์ใหม่ ราคาสบายกระเป๋า เริ่ม 1.09 ล้านบาท ศุภาลัย เปิดตัวคอนโดฯใหม่โครงการแรกของปี 2566 แบรนด์ “City Home” คอนโดราคาจับต้องได้ที่เคยทำเมื่อ20 ปีก่อน เลือกโลเคชั่น ย่านสนามบินน้ำ – รัตนาธิเบศร์ ที่สะดวกเชื่อมต่อการเดินทาง ทั้งแหล่งงาน, สถานที่สำคัญ, คอมมูนิตี้มอลล์ และเป็นโครงการที่ลายล้อมด้วยร้านอาหารอร่อยมากมาย     City Home ดีไซน์ใหม่ ราคาสบายกระเป๋า เริ่ม 1.09 ล้านบาท City Home สนามบินน้ำ รัตนาธิเบศร์ เป็นคอนโดฯ เพียงโครงการเดียวที่ตั้งอยู่บนถนนเลี่ยงเมืองนนทบุรี ใกล้รถไฟฟ้าสายสีม่วง MRT สถานีแยกนนทบุรี รายล้อมด้วยแหล่งอำนวยความสะดวก ห้างสรรพสินค้า เซ็นทรัล พลาซ่า รัตนาธิเบศร์, เอสพลานาด ซีนีเพล็กซ์, สนามบินน้ำ มาร์เก็ตพาร์ค, โลตัส, บิ๊กซี และแมคโคร ฟู้ดเซอร์วิส  ส่วนสายกินต้องชอบ เพราะโครงการแวดล้อมไปด้วยร้านอาหารและคาเฟ่มากมายกว่า 10 ร้าน ใกล้ตลาดนัดใหญ่สุดในย่าน นนท์บุรี ตลาดนกฮูก   ด้านสุขภาพก็มีโรงพยาบาลชั้นนำ อาทิ โรงพยาบาลพระนั่งเกล้าและโรงพยาบาลทรวงอก     City Home สนามบินน้ำ รัตนาธิเบศร์ ภายใต้คอนเซ็ปต์ Find out Yourself ค้นหาความเป็นคุณเอง เน้นกลุ่มเป้าหมาย Gen Me ที่รวมกลุ่มคนทั้ง Gen X – Y – Z ที่มีความเป็นตัวของตัวเอง รักอิสระ โครงการ City Home สนามบินน้ำ  รัตนาธิเบศร์ มีการดีไซน์วางผังตัวอาคารที่ไม่บังกันเอง มีที่จอดรถจัดไว้ให้  33%   City Home สนามบินน้ำ รัตนาธิเบศร์ รูปแบบห้อง 2 แบบ 3 สไตล์ ได้แก่ ห้องสตูดิโอ และห้องขนาด 1 ห้องนอน โครงการเน้นขายห้อง สตูดิโอ ที่มีจำนวนถึง 90% ของโครงการ ด้วยการออกแบบ Flexible Lay-Out ที่ลูกค้าสามารถจัดวางรูปแบบห้องได้หลากหลาย และสามารถปรับเปลี่ยน ตามฟังก์ชันการใช้งานตามความต้องการ พร้อมชุดครัวสีสันสดใส ทั้งยังระบายอากาศด้วยวิธีธรรมชาติ  พิเศษสำหรับห้องพักชั้น 1 ที่สามารถเชื่อมต่อพื้นที่สวนด้านนอก Green Terrace แต่ยังคงความเป็นส่วนตัวด้วยประตูบานเลื่อนระแนง ทำให้รู้สึกเหมือนอยู่บ้านที่มีสนามหน้าบ้านกันเลย ขนาดของห้องมีให้เลือก Studio A 25.5 ตร.ม. (ห้องน้ำติดโถงทางเดิน) Studio B 25.5 ตร.ม. (ห้องน้ำติดภายนอกอาคาร) 1 Bedroom 30.5 ตร.ม.     City Home สนามบินน้ำ รัตนาธิเบศร์ สิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการมีให้ครบครัน มีให้ทั้งโซน Active และ Passive ทางด้านหน้าโครงการ จะเป็นอาคารพาณิชย์ และห้องสโมสร 1 อาคาร มีร้านค้าทั้งหมด 4 ยูนิต ซึ่งในอนาคตจะเปิดเป็นร้านสะดวกซื้อ, ร้านอาหาร และซักรีด และ ร้านเพื่ออำนวยความสะดวกของลูกบ้าน  ขยับออกมาที่ติดกันจะเป็นอาคารที่เรียกว่า Co-Active ที่มีห้องฟิตเนส และที่ด้านนอกจะเป็นลานออกกำลังกายกลางแจ้ง มีบาร์โหน เครื่องออกกำลังกายต่างๆ แบบ Multi-Function พร้อมม้านั่งเล่นพักผ่อน บรรยากาศใกล้ชิดสวน พื้นที่สีเขียว ส่วนพื้นที่ส่วนกลางอื่น ๆ จะมีพื้นที่สีเขียวรอบ ๆ โครงการ ได้แก่ Enchanted Garden, Natural Walkway, Relaxing Corner, Green Terrance และ Chilling Corner ส่วนภายในอาคารแต่ละอาคารจะมี Lobby, Mailbox, Semi-Outdoor Lobby แยกกันชัดเจน ลิฟต์โดยสารมีให้ 2 ตัว/อาคาร มีที่จอดรถ ประมาณ 33% ไม่รวมจอดซ้อนคัน     City Home สนามบินน้ำ รัตนาธิเบศร์ คอนโดมิเนียม Low Rise สูง 8 ชั้น 2 อาคาร และอาคารชุดเพื่อพาณิชย์และห้องสโมสร สูง 1 ชั้น 1 อาคาร บนพื้นที่กว่า 5 ไร่ จำนวน 562 ยูนิต (ห้องพักอาศัย 558 และร้านค้า 4   ยูนิต) ตอบโจทย์การใช้ชีวิตด้วยขนาดห้องที่หลากหลาย สตูดิโอ – 1 ห้องนอน ตั้งแต่ 25.5 – 30.5 ตร.ม. พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวก อาทิ Fitness, ลาน Co-Active  และ Open Space ผ่อนคลายให้สุดด้วยพื้นที่สีเขียวรายล้อมโครงการ พร้อมระบบรักษาความปลอดภัยทั้งระบบสแกนใบหน้า และ CCTV ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมรถบริการรับ-ส่งถึงสถานีรถไฟฟ้า MRT โดยจะแล้วเสร็จพร้อมให้เข้าอยู่กลางปี 2567 ราคาเริ่มต้นเพียง 1.09 ล้านบาท หรือ 42,700 บาทต่อตร.ม.   City Home สนามบินน้ำ รัตนาธิเบศร์ เป็นคอนโดตั้งอยู่บนถนนเลี่ยงเมืองนนทบุรี แม้สิงอำนวยความสะดวกภายในโครงการจะไม่ได้เน้น ไม่มีสระว่ายน้ำ แต่ทดแทนด้วยแบบห้องใหม่ที่ เน้นประโยชน์ใช้สอย ภายในห้องให้ดีขึ้น ทำให้ ราคาห้องถูกลง และค่าใช้จ่ายส่วนกลางก็ถูกลง   ที่ให้เข้าชมห้องตัวอย่างได้แล้ววันนี้ พร้อมเปิดจอง ในราคาเริ่มต้น 1.09 ล้านบาท จองเพียง 3,900 บาท และผ่อนเริ่มต้น 3,900 บาท/เดือน Pre-sale วันที่ 18 – 19 มีนาคมนี้ ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ http://bit.ly/3DnAuhx หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร. 1720   โครงการน่าสนใจ คอนโดฯวิวทะเล ใจกลางหัวหิน “ศุภาลัย บลูเวล” “สามเสน-ราชวัตร” ย่านนี้มีเรื่องราว “รัชดา-วงศ์สว่าง” น่าอยู่อย่างไร?          
ชีวาทัย ลุยปักหมุด 7 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 6,350 ลบ.  ปี 2565 โต 70%

ชีวาทัย ลุยปักหมุด 7 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 6,350 ลบ. ปี 2565 โต 70%

นายบุญ ชุน เกียรติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชีวาทัย จำกัด (มหาชน) หรือ CHEWA เปิดเผยว่า ในปี 2565 ที่ผ่านมา แม้จะมีสถานการณ์ต่างๆที่อาจส่งผลกระทบต่อสภาวะตลาดอสังหาฯโดยรวม ประกอบกับตลาดของชาวต่างประเทศจะยังไม่กลับมาเต็มรูปแบบนัก บริษัทฯ ยังมีผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยผลการดำเนินงานในปี 2565 บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 2,148 ล้านบาท มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 120 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 70 % จากปีก่อน ในปี 2566 บริษัทฯมีแผนการลงทุนและเปิดโครงการใหม่ เริ่มจากการเปิดตัวบ้านเดี่ยวแบรนด์ชีวารมย์ 1 โครงการ คือโครงการ ชีวารมย์ นิว ราชพฤกษ์ อยู่บริเวณถนนราชพฤกษ์ตัดใหม่ (ถนนหมายเลข 346) มูลค่าโครงการประมาณ 687 ล้านบาท  ซึ่งคาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้ในช่วงไตรมาส 4 ปี 2566  นอกจากนี้ บริษัทฯยังวางแผนเพื่อหาที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการเพิ่มเติม ตามเป้าหมาย 7 โครงการ ภายในปี 2566 มูลค่าโครงการรวม 6,350 ล้านบาท ( วงเงินค่าที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการ ประมาณ  1,700 ล้านบาท)  เป็นโครงการคอนโดมิเนียมโลว์ไรซ์ แบรนด์ชีวาทัย ฮอลล์มาร์ค  2โครงการ มูลค่าประมาณ 2,000 ล้านบาท , โครงการคอนโดมิเนียมตึกสูง แบรนด์ชีวาทัย 1 โครงการ มูลค่าประมาณ 1,000 ล้านบาท , โครงการคอนโดมิเนียมโลว์ไรซ์ แบรนด์ชีวาทัย ฮอลล์มาร์ค ไลท์  1 โครงการ มูลค่า 700 ล้านบาท , บ้านเดี่ยวแบรนด์ชีวารมย์ 2 โครงการ มูลค่า 1,500 ล้านบาท และทาวน์โฮมแบรนด์ชีวาโฮม 1 โครงการ มูลค่าประมาณ 800 ล้านบาท และบริษัทยังคงค้นหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ และเปิดรับการร่วมลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง ในช่วงที่หลายบริษัทมีโปรโมชั่นออกมากระตุ้นการตัดสินใจของลูกค้า ชีวาทัยได้เตรียมโปรโมชั่นสำหรับลูกค้ามากมาย ตามกลุ่มเป้าหมายแต่ละโครงการ ตั้งแต่ต้นปีที่เริ่มไปแล้ว กับโปรโมชั่น  “คุ้มแน่! จอง 0 บาท รับทัวร์จอร์เจียทุกยูนิต” โดยมอบสิทธิพิเศษนี้สำหรับลูกค้าที่จองและโอนคอนโดทำเลศักยภาพ 3 ทำเล ( ชีวาทัย เกษตร-นวมินทร์ , ชีวาทัย ฮอลล์มาร์ค ลาดพร้าว-โชคชัย 4 และชีวาทัย ปิ่นเกล้า) ตั้งแต่ 15 มกราคม - 31 มีนาคม 2566 ทุกห้องจะได้รับแพ็คเกจท่องเที่ยวและตั๋วเครื่องบินไป-กลับ ประเทศจอร์เจียร์ จำนวน 1 สิทธิ์ มูลค่า 40,000 บาท ซึ่งหลังจากที่เปิดตัวออกไปก็ได้รับกระแสตอบรับค่อนข้างดี มีลูกค้าให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก คิดว่าโปรโมชั่นนี้ น่าจะตอบโจทย์ผู้บริโภคที่สุด ที่ได้ทั้งที่อยู่อาศัยใหม่ และได้แพ็คเกจท่องเที่ยวต่างประเทศไปด้วย   นอกจากคอนโดแล้ว ชีวาทัยยังเตรียมช่วยเหลือผู้ที่อยากมีบ้าน แต่อาจมีปัญหาด้านการกู้สินเชื่อ ด้านข้อมูลอสังหา กับโครงการ “ อยากซื้อบ้านเจอแต่ปัญหา มาหาชีวาทัย ” ที่จะเปิดตัวเร็วๆ นี้ เพื่อช่วยคนอยากมีบ้าน ตั้งแต่ขั้นตอนการเตรียมตัว เตรียมสินเชื่อ การเลือกโครงการที่ใช่ โดยจะมีการเปิดตัวทีมงานมืออาชีพ เพื่อช่วยลูกค้าทุกคน คาดว่าจะเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งสำหรับคนที่อยากมีบ้านแต่ยังกังวลเรื่องการกู้สินเชื่อ หรือต้องการที่ปรึกษา นอกจากนี้ ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ มิถุนายน และกันยายนของปีนี้ จะมีการจัดโปรโมชั่นใหญ่ของชีวาทัย “MEGA SALES “ เพื่อคืนกำไรแก่ลูกค้าตลอดปี คาดว่าจะได้รับความสนใจจากลูกค้าอย่างต่อเนื่อง คาดการณ์ภาพรวมตลาดอสังหาฯปี 2566 มีแนวโน้มเติบโตตามการฟื้นตัวของสภาพเศรษฐกิจ ซึ่งได้รับปัจจัยบวกจากภาคการท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง แต่ก็มีอีกหลายปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบกับการเติบโต ไม่ว่าจะเป็น ราคาอสังหาฯ ที่มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น เนื่องจากโครงการที่อยู่อาศัยที่เป็นต้นทุนเดิมมีอยู่ในตลาดค่อนข้างน้อย ดังนั้นโครงการใหม่ที่จะเปิดตัวใหม่ส่วนใหญ่ จะเป็นการคำนวณราคาจากต้นทุนใหม่ที่เพิ่มขึ้น ทั้งจากปัจจัยจากภาวะเงินเฟ้อ ค่าแรงขั้นต่ำที่ปรับตัวขึ้น และต้นทุนก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นทั้งจากค่าวัสดุก่อสร้าง รวมทั้งราคาพลังงานซึ่งเป็นทั้งต้นทุนการผลิตและต้นทุนในการขนส่ง อีกหนึ่งปัจจัยคือการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของภาครัฐ ซึ่งส่งผลให้ดอกเบี้ยเงินกู้และดอกเบี้ยเงินฝากปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ซื้อบ้านต้องส่งค่างวดสูงขึ้นกว่าเดิม หรือใช้เวลาในการผ่อนชำระนานมากขึ้น สถาบันการเงินหรือธนาคารจะมีหลักเกณฑ์พิจารณาการอนุมัติสินเชื่อเข้มงวดมากขึ้นอีกสำหรับลูกค้า วงเงินกู้ที่ผ่านการอนุมัติอาจได้รับลดลง แม้ว่าจะมีมาตรการช่วยเหลือภาคอสังหาฯ ของภาครัฐออกมาเป็นระยะ แต่อาจไม่เพียงพอที่จะกระตุ้นการเติบโตของตลาดในภาพรวมได้   ส่วนเรื่องการดูแลลูกค้า เป็นสิ่งที่บริษัทให้ความสำคัญเป็นอันดับ 1  “ชีวาทัย” ยังคงเดินหน้าพัฒนาคุณภาพสินค้าและบริการหลังการขายจาก “ ชีวาแคร์ ” อย่างต่อเนื่อง  เพื่อตอกย้ำ และก้าวเป็นที่ 1 ในใจลูกค้าด้านคุณภาพและบริการ ( สำหรับกลุ่มบริษัทอสังหาฯ ช่วงรายได้ไม่เกิน 5 พันล้านบาท ) พร้อมกันนี้ยังคงเดินหน้ารักษาคุณภาพสินค้าให้ลูกค้าตรวจ Zero Defect ให้ได้มากที่สุด เพื่อให้ลูกค้าที่มาซื้อโครงการกับชีวาทัย ได้สิ่งที่ดีที่สุดตั้งแต่บริการก่อนการขายตลอดจนถึงบริการหลังการขาย พร้อมสิทธิพิเศษและบริการมากมายจากเราอีกด้วย ” นายบุญ ชุน เกียรติ กล่าว บทความน่าสนใจ ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ วางเป้าขาย 8,600 ล้าน โต 10% เน้นธุรกิจทำกำไร-รักษาสภาพคล่อง แอสเซทไวส์ ปั้นคอนโด “เคฟ” อีก 5 โปรเจกต์ จับตลาดปล่อยเช่านักศึกษายีลด์ 7-8%
[PR News]ซัมซุงชูวิสัยทัศน์หลัก Sustainable Living และ Connectivity  เป้าครองเป็นผู้นำตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในไทย ภายใน 3 ปี

[PR News]ซัมซุงชูวิสัยทัศน์หลัก Sustainable Living และ Connectivity เป้าครองเป็นผู้นำตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในไทย ภายใน 3 ปี

ซัมซุงชูวิสัยทัศน์ Sustainable Living และ Connectivity มอบประสบการณ์การใช้ชีวิตที่ยั่งยืนและเชื่อมต่อแบบอัจฉริยะ ชูนวัตกรรมเปลี่ยนโลก "SmartThings" พร้อม เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ทำตลาดครบทุกกลุ่ม ขยายไลน์กลุ่ม Bespoke เพิ่มผลิตภัณฑ์กลุ่มไลฟ์สไตล์มากขึ้น พร้อมเปิดตัวธีมของปี “Samsung Live A New Day” ตั้งเป้าความสำเร็จเป็นผู้นำตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในเมืองไทย ภายใน 3 ปี [PR News]ซัมซุงชูวิสัยทัศน์หลัก Sustainable Living และ Connectivity เจนนิเฟอร์ ซอง ประธานบริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด เปิดเผยว่า “ปี 2565 ที่ผ่านมา ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในประเทศไทย พบว่าผลิตภัณฑ์ในกลุ่มพรีเมียมเติบโตสูง ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับซัมซุงที่กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าพรีเมียมมียอดขายเติบโต 2 เท่า ตอกย้ำความเชื่อมั่นของผู้บริโภคชาวไทยที่มีต่อซัมซุง ซึ่งเป็นแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าอันดับหนึ่งในใจผู้บริโภคที่มุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมสินค้าทุกประเภทเพื่อยกระดับการใช้ชีวิตที่ดียิ่งขึ้น โดยปีนี้ซัมซุงเตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้ารวมกว่า 100 รุ่น”   “นอกจากนี้ซัมซุงยังประสบความสำเร็จในระดับโลก โดยได้รับการจัดอันดับจากอินเตอร์แบรนด์ ให้เป็น 1 ใน 5 บริษัทที่ดีที่สุดตามการจัดอันดับ Best Global Brands 2022 รวมถึงซัมซุงยังครองความเป็นผู้นำอันดับ 1 ในตลาดทีวีระดับโลกต่อเนื่องเป็นปีที่ 16 และครองอันดับ 1 ยอดขาย Soundbar ติดต่อกัน 8 ปี และล่าสุดได้รับ 42 รางวัล ในงาน International Design Excellence Awards 2022 (IDEA) ด้วยสุดยอดนวัตกรรมการออกแบบที่ช่วยยกระดับไลฟ์สไตล์และประสบการณ์ของผู้บริโภคที่ไม่เคยหยุดนิ่ง และได้รับ 46 รางวัลนวัตกรรมจาก CES® 2023 Innovation Awards รวมถึงรางวัลสุดยอดนวัตกรรม (Best of Innovation) ถึง 3 รางวัล”   “ซัมซุงยังคงเดินหน้าตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านการให้ความสำคัญเรื่องสิ่งแวดล้อมเพื่อการใช้ชีวิตที่ง่ายขึ้นและอนาคตที่ยั่งยืน ผ่านนวัตกรรมทันสมัยและการเชื่อมต่ออัจริยะ และเน้นเรื่องมอบประสบการณ์กลุ่มผลิตภัณฑ์ Bespoke การปรับแต่งเพื่อบ่งบอกตัวตน ซึ่งซัมซุงเป็นแบรนด์แรกและแบรนด์เดียวที่มีความแข็งแกร่งด้าน Personalization การปรับแต่งด้วยดีไซน์ที่สามารถเลือกเองตามความชอบที่สะท้อนสไตล์ของแต่ละคน ทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้าสร้างคุณค่าทางจิตใจ ดึงเอกลักษณ์ของเจ้าของออกมาอย่างชัดเจน สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้บริโภคทำความต้องการให้เป็นจริงและตอบโจทย์การใช้ชีวิตมากที่สุด" Samsung Live A New Day ทุกวันนี้ชีวิตบนโลกเปลี่ยนแปลงเร็ว บ้านในวันนี้ไม่เหมือนเมื่อวาน ซัมซุงมุ่งพัฒนาและสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์เพื่อแสดงออกถึงบุคลิกของผู้อาศัย ตรงความต้องการยิ่งขึ้น เปรียบเหมือนวันใหม่ วิถีใหม่ของการใช้ชีวิต เครื่องปรับอากาศจะเป็นมากกว่าแค่อุปกรณ์ทำความเย็น ทีวีไม่เพียงแค่มอบความบันเทิงเท่านั้น เมื่อเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านสะท้อนถึงสุนทรียภาพของทัศนคติ บ่งบอกไลฟ์สไตล์แต่ละบุคคล    Bringing Calm to Our Connected World มอบพลังการควบคุมแก่ผู้บริโภคบนโลกด้วยทุกอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกันได้ เมื่อนวัตกรรมกำหนดนิยามใหม่ของการใช้ชีวิตอย่างชาญฉลาดด้วยบ้านอัจฉริยะ ซัมซุงผลักดันนวัตกรรม SmartThings เพื่อส่งมอบประสบการณ์การใช้ชีวิตที่ทุกๆ อุปกรณ์ในพื้นที่หรือจุดสำคัญที่มีความจำเป็นกับผู้บริโภคในชีวิตประจำวัน จะดำเนินไปพร้อมกับการมีส่วนร่วมสร้างอนาคตที่ยั่งยืนกว่าเดิม ซึ่งเกิดจากความตั้งใจของซัมซุงที่จะมอบพลังการควบคุม ให้กับผู้บริโภคบนโลกสามารถใช้ทุกอุปกรณ์เชื่อมโยงกัน มอบประสบการณ์ที่ดีกว่า เข้าถึงผู้บริโภคแต่ละคนได้มากกว่าและใช้งานง่ายกว่าเดิม   โดย SmartThings สำหรับผู้บริโภคเป็นแพลตฟอร์มแรกที่ได้รับการรับรองมาตรฐานด้านพลังงาน ENERGY STAR SHEMS  อีกด้วย รวมถึงให้ความสำคัญเรื่องสิ่งแวดล้อมเพื่อการใช้ชีวิตที่ง่ายขึ้นและอนาคตที่ยั่งยืน พร้อมตอกย้ำอีโคซิสเต็มที่เชื่อมต่อกันอย่างชาญฉลาด ซัมซุงประกาศกลยุทธ์ด้านสิ่งแวดล้อม Net Zero เพื่อให้การปล่อยมลพิษสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050 รวมถึงการเข้าร่วม RE100 ซึ่งเป็นโครงการริเริ่มระดับโลกที่ซัมซุงทุ่มเทแสวงหาพลังงานหมุนเวียน 100% นอกจากนี้ยังได้สร้าง Eco Packaging เพื่อสิ่งแวดล้อม คืนชีวิตให้กับกล่องบรรจุภัณฑ์ นำกลับมาใช้ใหม่ หรือเอามาประดิษฐ์เป็นของใช้ที่มีประโยชน์ เช่น กล่องใส่ทีวี ที่นำมาดัดแปลงเป็นของใช้ในบ้านที่หลากหลาย หรือ Solar Cell Remote ประหยัดพลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน   นอกจากนี้ ตลาดผู้บริโภคในปี 2566 โดยรวมทั้งหมด ยังคงมองหาฟังก์ชันการใช้งานที่ตอบโจทย์ อีกทั้งให้ความบันเทิงที่มากกว่าและใส่ใจสิ่งแวดล้อมยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นตลาดทีวีพรีเมียม การออกแบบผลิตภัณฑ์สำหรับ Bespoke และ Smart Home ชีวิตที่ให้บ้านเป็นเทรนด์การใช้ชีวิตรูปแบบใหม่ ดังนั้นผู้บริโภคจึงมองหาการเชื่อมต่อเพื่อรองรับชีวิตส่วนตัวและการทำงาน โดยประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 3 (72%) สำหรับความต้องการติดตั้งสมาร์ทโฮม รองจากเวียดนาม (84%) และอินโดนีเซีย (81%)  ซึ่งยังมีความเป็นไปได้ที่ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านอัจฉริยะจะเติบโตสูงขึ้น แม้ว่าเศรษฐกิจไทยจะมีแนวโน้มลดลงในช่วงที่ผ่านมา แต่ช่องว่างระหว่างครัวเรือนที่มีรายได้สูงและครัวเรือนที่มีรายได้น้อยกลับกว้างขึ้น  นั่นหมายถึงผู้บริโภคระดับพรีเมียมที่สูงขึ้น   ตลาดทีวีพรีเมียมมาแรง ตลาดทีวีปีที่ผ่านมา ผู้บริโภคให้การตอบรับทีวีจอใหญ่มากขึ้น ทำให้สัดส่วนหน้าจอตั้งแต่ 65 นิ้วขึ้นไป เติบโตขึ้นมากแบบเห็นได้ชัดถึง 1.5 เท่า ทีวีพรีเมียมยังคงเติบโตสูง ในปี 2565 ยอดขาย Samsung Neo QLED เติบโตขึ้นถึง 3 เท่า เฉพาะ Neo QLED 8K เติบโตถึง 4 เท่า ไลฟ์สไตล์ทีวียังเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เติบโตได้ดี และยังจะเป็นกลุ่มที่ซัมซุงให้ความสำคัญต่อเนื่องในปีนี้ โดยปีที่ผ่านมายอดขายไลฟ์สไตล์ทีวีโต 2 เท่า นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์กลุ่มเครื่องเสียงของซัมซุงที่ใช้คู่กับทีวี เช่น Soundbar รวมไปถึง Sound Tower ก็ได้รับการตอบรับจากตลาดมากขึ้นตามไปด้วย ทำให้ยอดขายของ Soundbar เติบโต 1.5 เท่า ปัจจัยการเติบโตหลักของกลุ่มภาพและเสียงของซัมซุง มาจากผลิตภัณฑ์กลุ่มพรีเมียม ไลฟ์สไตล์ทีวี รวมถึงได้แรงหนุนจากเทศกาลฟุตบอลระดับโลก ตลอดจนการจับมือกับพาร์ทเนอร์จัดโปรโมชั่นต่างๆ ที่โดนใจผู้บริโภค อาทิ ร่วมกับมินิคูเปอร์, BMW, Snow Peak และ 333 Gallery   ในปี 2566 ซัมซุงจะส่งผลิตภัณฑ์ทีวีรุ่นใหม่ๆ ออกสู่ตลาดอีกมากมาย อาทิ Samsung OLED TV ที่ขณะนี้เปิดให้พรีออเดอร์พร้อมโปรโมชั่นพิเศษ, Neo QLED รุ่นใหม่, Lifestyle TV และทีวีรุ่นที่มี IOT บิลท์อินในตัว เป็นต้น รวมถึงการยกระดับประสบการณ์ของผู้บริโภคทั้งในช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ เช่น ผู้บริโภคออนไลน์จะได้เห็นภาพผลิตภัณฑ์ในมุมต่างๆ อย่างสวยงามชัดเจน และมีการจำลองภาพให้เห็นว่า การนำผลิตภัณฑ์แต่ละรุ่นไปวางตกแต่งในแต่ละห้องจะออกมาเป็นอย่างไร ส่วนหน้าร้านจะมีการเลือกผลิตภัณฑ์ที่วางจำหน่ายในแต่ละช่องทางให้เหมาะกับกลุ่มลูกค้าในช่องทางนั้นๆ โดยกลุ่มภาพและเสียงซัมซุงตั้งเป้าการเติบโตในปี 2566 ที่ 17%   จัดเต็มไลน์อัพเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านทุกกลุ่ม เน้น Bespoke กลยุทธ์การตลาดที่เหนือคู่แข่ง ปีที่ผ่านมา กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านของซัมซุงในภาพรวมเติบโต 5% กลุ่มเครื่องซักผ้าและตู้เย็นเติบโต 5%        กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก (เตาอบไมโครเวฟ เครื่องดูดฝุ่นและเครื่องฟอกอากาศ) เติบโต 10% ปัจจัยหลักมาจากวิถีการใช้ชีวิตที่ปลี่ยนแปลง สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่มีฤดูกาลที่แน่นอนทำให้ผู้บริโภคต้องการเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเครื่องใช้ไฟฟ้าซัมซุงมีนวัตกรรมล้ำหน้า รวมถึงกลุ่มตลาดพรีเมียมที่ขยายตัวขึ้น และซัมซุงมีผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคกลุ่มนี้ โดยเฉพาะกลุ่ม Bespoke ที่ซัมซุงเป็นผู้บุกเบิกตลาด ส่งผลให้เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านกลุ่มพรีเมียมของซัมซุงเติบโตถึง 2 เท่าจากปี 2564   ในปี 2566 ซัมซุงเตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ๆ รวมถึงกลุ่ม Bespoke Home ภายใต้แนวคิด Bespoke My Life มุ่งเน้น 1.ไลฟ์สไตล์ที่ผู้บริโภคออกแบบเองได้ เช่น ตู้เย็นสามารถออกแบบได้ทั้งสีสันและฟังก์ชันการใช้งานให้เหมาะกับความต้องการและพื้นที่ และจะขยายไลน์ Bespoke ออกไปสู่กลุ่มผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของซัมซุง 2. Sustainability การประหยัดพลังงานด้วย AI Saving Mode และความทนทานของผลิตภัณฑ์ ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าของผู้บริโภค โดยซัมซุงมั่นใจในคุณภาพผลิตภัณฑ์ ขยายเวลารับประกันอินเวอร์เตอร์มอเตอร์เครื่องซักผ้าและอินเวอร์เตอร์คอมเพรสเซอร์ตู้เย็นออกไปเป็น 20 ปี ซึ่งถือว่าเป็นการรับประกันที่นานที่สุดในตลาดขณะนี้ และ 3.Connectivity การเชื่อมโยงอัจฉริยะผ่าน SmartThings โดยในปีนี้ซัมซุงตั้งเป้าเติบโต 2 เท่าสำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านกลุ่มพรีเมียม   ผู้นำด้านโซลูชั่นเครื่องปรับอากาศตัวจริง ซัมซุงตั้งเป้าเป็นผู้นำด้านโซลูชั่นเครื่องปรับอากาศด้วยผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ทั้งกลุ่มลูกค้าบ้านที่อยู่อาศัยทั่วไปและกลุ่มลูกค้าองค์กร โดยปีที่ผ่านมาเครื่องปรับอากาศพรีเมี่ยมในกลุ่ม WindFree เติบโตถึง 30% ส่วนยอดขายกลุ่ม B2B เติบโตถึง 40% สำหรับในปีนี้ซัมซุงเตรียมเปิดตัวไลน์อัพเครื่องปรับอากาศรุ่นใหม่ในกลุ่ม WindFree แบบจัดเต็ม ทั้งรุ่น WindFree Premium Plus, WindFree AI, WindFree, 360 Cassette, WindFree 1-Way Cassette, WindFree 4-Way Cassette และ Ceiling ตอกย้ำความเป็นผู้นำนวัตกรรมเครื่องปรับอากาศ WindFree แบรนด์แรกของโลก พร้อมขยายระยะเวลารับประกันสูงสุดถึง 10 ปี นอกจากนี้ยังพร้อมบุกตลาดลูกค้าองค์กรด้วยระบบเครื่องปรับอากาศ DVM S2, Free Joint Multi (FJM) และ Ceiling Fixed Speed R32 Mark5   SmartThings มอบประสบการณ์ Hyper-Connected ที่พัฒนาให้ชีวิตสะดวกสบายยิ่งขึ้น SmartThings เป็นแพล็ตฟอร์มสมาร์ทโฮมอัจฉริยะ ยกระดับการเชื่อมต่อภายในบ้านให้ชีวิตสมาร์ทยิ่งขึ้นด้วย Home Automation ที่ครบวงจร ทางเลือกใหม่ให้ผู้คน Live a New Day ยกระดับประสิทธิภาพของเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านรวมเข้ากับ SmartThings ในแบบที่ไม่มีใครเคยทำมาก่อน ซัมซุงเป็นแบรนด์แรกและแบรนด์เดียวที่ผลิตนวัตกรรมล้ำหน้า SmartThings สามารถควบคุมการใช้พลังงานของเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านได้แบบเรียลไทม์ ผ่านแอพพลิเคชัน SmartThings ที่สามารถสั่งการให้เครื่องใช้ไฟฟ้าประเภทใดก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นทีวี ตู้เย็น เครื่องซักผ้า เครื่องปรับอากาศ หรือโซล่าเซลล์ มอบทั้งความสะดวกสบาย เอื้อชีวิต Multi Tasking มากขึ้น ปลอดภัย ควบคุมและติดตามการใช้พลังงานของเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน และที่สำคัญให้ผู้ใช้งานสามารถประหยัดพลังงานและควบคุมค่าใช้จ่ายได้ และด้วยโหมด AI Saving Mode จะช่วยประหยัดพลังงานได้อย่างยั่งยืน และช่วยลดค่าไฟโดยเฉลี่ยได้ถึง 40% เปลี่ยนบ้านธรรมดาเป็นบ้านอัจฉริยะ นับเป็นนวัตกรรม breakthrough ของการใช้ชีวิตแบบ Live a New Day อย่างแท้จริง   บทความน่าสนใจ รีวิว Dyson V11 Absolute จากเรื่องจริงที่ใช้แล้วฟินเลยต้องบอกต่อ 7 เรื่องต้องรู้ “GREE” แอร์เบอร์ 1 ของโลก 4 จุดเสี่ยง ปัญหาบ้าน ช่วงหน้าร้อน ที่ต้องตรวจเช็คด่วน
“มอลตัน เกทส์ กรุงเทพกรีฑา” ออกแบบดี-สังคมดี-พักผ่อนดี-บริการดี-สัมผัสดี-สุขภาพดี

“มอลตัน เกทส์ กรุงเทพกรีฑา” ออกแบบดี-สังคมดี-พักผ่อนดี-บริการดี-สัมผัสดี-สุขภาพดี

“มอลตัน เกทส์ กรุงเทพกรีฑา”  มอลตัน เกทส์ กรุงเทพกรีฑา "มอลตัน เกทส์ กรุงเทพกรีฑา" บ้านเดี่ยวระดับ Luxury Wellness Residence บนทำเล กรุงเทพกรีฑา สอดรับกับการอยู่อาศัยแบบ 6 มิติ ออกแบบดี-สังคมดี-พักผ่อนดี-บริการดี-สัมผัสดี-สุขภาพดี มีฟังก์ชันตอบสนองเมกะเทรนด์ด้าน Well-Living หรือการมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีของผู้อยู่อาศัยอย่างครบครัน ที่ถูกพัฒนาภายใต้แนวคิด “The Gates to Well-Living”  มอลตัน เกทส์ กรุงเทพกรีฑา 6 มิติของการอยู่บ้าน"มอลตัน เกทส์ กรุงเทพกรีฑา"  เปิดประตูสู่ชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี 6 มิติ ตั้งแต่ 1.The Gates to Well Design สง่างามเหนือกาลเวลา รองรับการใช้ชีวิตของคนทุกวัย 2.The Gates to Well Community มอบความเป็นส่วนตัว ท่ามกลางสังคมคุณภาพ 3.The Gates to Well Rest คัดสรรโซลูชันเพื่อความเป็นอยู่ที่ดี อาทิ Solar Attic ระบบบ้านเย็นระบายความร้อนความชื้นใต้หลังคา ระบบบ้านปลอดฝุ่นและฟอกอากาศป้องกัน PM2.5 4.The Gates to Well Service มั่นใจในคุณภาพความปลอดภัยกับ Hygienic Concierge Service 5.The Gates to Well Essence ผนึกปัญญ์ปุริ (PAÑPURI) รังสรรค์ “PANPURI Private Edition” กลิ่นหอมเฉพาะตัวเพิ่มความผ่อนคลาย แฝงกลิ่นอายความเป็นผู้ดีอังกฤษ 6.The Gates to Well Health มอบชุดตรวจสุขภาพทางไกล TytoCare ทุกหลัง และแอปพลิเคชันติดตามสุขภาพ EngageCare โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ รพ.สมิติเวช โครงการ มอลตัน เกทส์ กรุงเทพกรีฑา ได้แรงบันดาลใจจาก “มอลตัน” เมืองเก่าในประเทศอังกฤษ ที่เป็นเมืองที่น่าอยู่ มีชีวิตชีวา และอุดมสมบูรณ์ เต็มไปด้วยสวนสีเขียว พื้นที่สาธารณะ และใกล้กับแม่น้ำสายสำคัญ   เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ใช้เมืองนี้เป็นต้นแบบการพัฒนาโครงการนี้ใน แบบ Luxury Wellness Residence บ้านเดี่ยว 3 ชั้น สไตล์โมเดิร์นที่แฝงกลิ่นอายความเป็นอังกฤษ ด้วยสถาปัตยกรรมสไตล์ Classical Redefine สะท้อนความประณีต สง่างามเหนือกาลเวลา ที่จำทำให้บ้านอยู่ได้นาน รุ่นต่อรุ่นทันสมัยอยู่ตลอดเวลา อาคารทรงสี่เหลี่ยม และหน้าต่างสูงยาวกรอบสีดำ พร้อมบรรยากาศร่มรื่นจากสวนสีเขียวขนาดใหญ่ 1,100 ตร.ม. บนทำเลที่อยู่ๆก็กลายเป็นชุมชน Luxury   รายล้อมด้วยหมูบ้าน สุดหรูตลอด 2 ฝั่งถนน  สิ่งอำนวยความสะดวก ทั้งสถานศึกษา โรงพยาบาล และแหล่งไลฟ์สไตล์  การเดินทางสะดวกเชื่อมต่อ รามคำแหง ทางด่วน สนามบินสุวรรณภูมิ และรถไฟฟ้า มอลตัน เกทส์ กรุงเทพกรีฑา มีขนาด 21 ไร่ ให้ความส่วนตัวมีจำนวนยูนิตจำกัดเพียง 49 ยูนิต มีแบบบ้านเดี่ยวให้เลือก 3 แบบ ได้แก่ 1.SMITHSON ขนาด 71-90 ตร.ว. ประกอบด้วย 4 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ 2 ห้องนั่งเล่น ห้องน้ำรับแขก ห้องแม่บ้าน และ 3 ช่องจอดรถ 2.MIDDLETON ขนาด 90-108 ตร.ว. มาพร้อม 4 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ 2 ห้องนั่งเล่น ห้องน้ำรับแขก ห้องแม่บ้าน ลิฟท์ส่วนตัว และ 4 ช่องจอดรถ 3.LIVINGSTON ขนาด 102-137 ตร.ว. ประกอบด้วย 5 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 2 ห้องนั่งเล่น ห้องน้ำรับแขก 2 ห้องแม่บ้าน ลิฟท์ส่วนตัว และ 5 ช่องจอดรถ มอลตัน เกทส์ กรุงเทพกรีฑา พร้อมส่วนกลางครบครัน เพิ่มความปลอดภัยสูงสุดด้วยประตูทางเข้า Double Gate Security และ Clubhouse ให้เลือกใช้ 2 พื้นที่ Main Lobby Lounge, Study Room, Meeting Room, Private Spa, Fitness Room และ Private Gym และ Clubhouse B กับฟังก์ชัน Co-Kitchen และ Co-Working Space Swimming Pool ยาวกว่า 25 เมตร, พร้อมพื้นที่สวนพักผ่อน และสนามเด็กเล่น  ในราคาเริ่มต้น 38-80 ล้านบาท   บทความน่าสนใจ Malton Gates กรุงเทพกรีฑา – The Gates to Well-Living บ้านเพื่อชีวิตที่สมบูรณ์แบบ “Park Heritage”บ้านที่ไร้กาลเวลาเพื่อส่งต่อรุ่นสู่รุ่น Baan Issara Bangna เปิดแบบบ้านใหม่ พร้อมโปรซื้อบ้านแถมรถ Bentley
Anil สาทร 12 คอนโด WELL Building Standard 1 เดียวในไทย

Anil สาทร 12 คอนโด WELL Building Standard 1 เดียวในไทย

Anil สาทร 12 คอนโด WELL Building Standard 1 เดียวในไทย Anil สาทร 12 คอนโด  Super Luxury ใจกลางสาทร โครงการ หนึ่งใน 400 ตึกทั่วโลก  และ หนึ่งเดียวในไทย ที่ผ่าน มาตรฐาน WELL Building Standard   Anil สาทร 12 คอนโด WELL Building Standard 1 เดียวในไทย WELL Building Standard โครงการที่คิดถึงทุกคน เริ่มตั้งแต่การก่อสร้าง คนที่อยู่อาศัย และ บริเวณโดยรอบโครงการ ซึ่งเป็นมาตรฐานการออกแบบอาคารที่คำนึงถึงปัจจัยทางสุขภาพสำคัญ 7 อย่างได้แก่ Air , Water , Nourishment , Light , Fitness , Comfort , Mind . ANIL Sathorn 12 เป็นคอนโดที่ให้ความสำคัญกับ “Health is Wealth” นึงถึงสุขภาพที่ดีรอบด้านเพื่อการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน และ “ความเป็น-อยู่-ดี” ของผู้อยู่อาศัย โดยนำมาตรฐานความเป็นอยู่ระดับโลกที่ใส่ใจสุขภาพการใช้ชีวิตภายในอาคารอย่าง WELL Building Standard มาใช้ในโครงการ ให้ครอบคลุมทั้ง 7 ชนิด ได้แก่   คุณภาพอากาศ (Air) คุณภาพน้ำดื่มน้ำใช้ (Water) สุขภาวะด้านอาหาร (Nourishment) สุขภาวะด้านแสงสว่าง (Light) สุขภาพและความแข็งแรงของร่างกาย (Fitness) ความสบาย (Comfort) สุขภาวะทางจิตใจ (Mind)      Anil สาทร 12 คอนโด WELL Building Standard 1 เดียวในไทย คุณภาพอากาศ (Air) มีการตรวจวัดปริมาณสารมลพิษในอากาศทุกตัว เช่น ฟอร์มัลดีไฮด์ VOC, PM 2.5 , PM 10 Ozone และ Radon ให้อยู่ในเกณฑ์ที่ต่ากว่าค่าที่กำหนดตามมาตรฐาน ก่อนเข้าพักอาศัย  เลือกใช้วัสดุตกแต่งที่มีสารเคมีหรือสารพิษที่ก่อมะเร็งต่ำ ที่ผ่านมาตรฐาน CDPH หรือ California Departmen t of Public Health     Anil สาทร 12 คอนโด WELL Building Standard 1 เดียวในไทย คุณภาพน้ำดื่มน้ำใช้ (Water) ติดตั้งเครื่องกรอง 3M สำหรับทุกห้องพักอาศัยในส่วนห้องครัว เพื่อควบคุมคุณภาพน้ำดื่มและน้ำใช้ให้กับผู้พักอาศัย น้ำในสระว้ายน้ำใช้ระบบโอโซนบำบัดน้ำ ที่สามารถฆ่าเชื้อโรคได้รวดเร็ว     สุขภาวะด้านอาหาร (Nourishment) ห้องพักทุกห้องมาพร้อมอุปกรณ์ครัวคุณภาพ เตาอบจะใช้ระบบ Steam Oven เพื่อรักษาคุณภาพของอาหาร พร้อม Built-in refrigeratorที่แสดงอุณหภูมิ เพื่อรักษาความสดใหม่ และป้องกันปนเปื้อนจากแบคทีเรียได้ดีกว่า     สุขภาวะด้านแสงสว่าง (Light)  วางต่ำแหน่งแสงสว่างให้เหมาะสมกับพื้นที่การใช้งาน เพื่อส่งเสริมการนอนหลับให้มีประสิทธิภาพ ติดตั้งเซนเซอร์นำทางไปห้องน้ำตอนกลางคืน โดยจะไม่รบกวนการนอนหลับ กลับมานอนต่อได้อย่างสบาย   สุขภาพและความแข็งแรงของร่างกาย (Fitness)  อุปกรณ์ ออกกำลังกาย ถูกกำหนดจำนวนตามมาตรฐานการออกกำลังกายที่มีประสิทธิภาพ และมีสัดส่วนที่เหมาะสมกับจำนวนผู้อยู่อาศัย แถมยังมี คอร์สออกกำลังกายที่หมุนเวียนมาให้บริการ   ความสบาย (Comfort)  เงียบสงบแม้ตัวอาคารจะอยู่ใจกลางเมือง ตั้งอยู่ริมถนนและรถไฟฟ้า ด้วยประตูและหน้าต่างกระจกอลูมิเนียมที่ป้องกันฝุ่นและเสียงจากภายนอกได้ดีมาก  ภายในห้องมีระบบปรับอากาศที่สามารถควบคุม ความชื้น ความเร็วลม อุณหภูมิ ที่สำคัญเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในห้องที่ไม่มีเสียงและแสงรบกวน     สุขภาวะทางจิตใจ (Mind)  การออกแบบพื้นที่ส่วนกลางที่ใกล้ชิดธรรมชาติ ช่องแสง และภาพ ART work ภายในโครงการเพื่อผู้อยู่อาศัยได้รับทัศนียภาพที่ดี     โครงการ “อนิล สาทร 12” (ANIL Sathorn 12) เป็นคอนโดมิเนียมสูง 42 ชั้น บนพื้นที่ 1-2-41.30 ไร่  มีห้องพักอาศัยจำนวน 222 ยูนิต แบ่งเป็น 5 รูปแบบ ดังนี้ ห้อง 1 BEDROOM ขนาด 45.00 – 46.00 ตร.ม. ห้อง 2 BEDROOM ขนาด 62.00 – 92.50  ตร.ม. ห้อง 2 BEDROOM PLUS ขนาด 111.00 – 114.50 ตร.ม. ห้อง 2 BEDROOM DUPLEX ขนาด 104.00 ตร.ม. ห้อง 3 BEDROOM ขนาด 109.50 ตร.ม.     บทความน่าสนใจ 125 Sathorn คอนโดตึกคู่ สุดหรู ติดถนนสาทร รีวิวคอนโดย่านสาทร วิวคุ้งแม่น้ำเจ้าพระยา THE ISSARA SATHORN The Haute กาญจนา–สาทร Vertical Biz Villa บ้านที่เป็นได้ทุกอย่างในทุกจังหวะของชีวิต   .  
ณวรางค์ แอสเซท  เปิดคอนโด “ณ วรา พหลโยธิน 8” 300 ล้าน  ลุยตลาดอสังหาฯ ไตรมาสสุดท้าย

ณวรางค์ แอสเซท เปิดคอนโด “ณ วรา พหลโยธิน 8” 300 ล้าน ลุยตลาดอสังหาฯ ไตรมาสสุดท้าย

ณวรางค์ แอสเซท เดินหน้าปั้นโปรเจ็กต์ใหม่ “ณ วรา พหลโยธิน 8” มูลค่า 300 ล้าน จับกลุ่มลูกค้าเรียลดีมานด์ ชูจุดเด่นห้องไซส์ใหญ่ จำนวนเพียง 35 ยูนิต เล็งปั้นโปรเจ็กต์ต่อเนื่อง ยึดทำเลลาดปลาเค้า-พระราม 5-รพ.ศิริราช-สุขุมวิท ปูทางสู่การพัฒนาโครงการปีละ 1,000 ล้าน   นายอภิภู พรหมโยธี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ณวรางค์ แอสเซท จำกัด เปิดเผยว่า ได้เตรียมเปิดพรีเซลล์ โครงการ ณ วรา พหลโยธิน 8 มูลค่าโครงการรวม 300 ล้านบาท ในวันที่ 5-6 พฤศจิกายน 2565 นี้  ซึ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียม Low rise จำนวน 8 ชั้น ระดับลักชัวรี่ ตั้งอยู่ในซอยพหลโยธิน 8  โดยตั้งเป้าหมายว่าภายในสิ้นปีจะสามารถสร้างยอดขาย 50% เนื่องจากยังมีความเชื่อมั่นตลาดอสังหาริมทรัพย์ของไทย โดยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพฯ ที่ยังมีกลุ่มลูกค้าต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเพื่ออยู่จริง  โดยภาพรวมตลาดอสังหาฯ ในพื้นที่ย่านพหล-อารีย์ ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ยังคงมีการพัฒนาโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง  ซึ่งทำเลนี้ยังมีอุปสงค์ (Demand) เพิ่มขึ้น ในขณะที่อุปทาน (Supply) ลดลง บริษัทจึงเล็งเห็นศักยภาพของทำเล และจากก่อนหน้านี้ เคยเข้ามาพัฒนาโครงการ ณ วีรา พหล-อารีย์ ซึ่งประสบความสำเร็จสามารถทำยอดขายได้ 40% จากการเปิดการขายช่วงพรีเซลภายในวันเดียว จุดแข็งของโครงการ ณ วรา พหลโยธิน 8 คือ การตั้งอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพ มีการเติบโตเป็นย่านใจกลางธุรกิจได้ในอนาคต และมีจุดขายที่สำคัญ คือ ความเป็นส่วนตัวด้วยจำนวนเพียง 35 ยูนิต การเชื่อมต่อการเดินทางรถไฟฟ้าบีทีเอส ที่จอดรถมากถึง 80% ราคาขายเฉลี่ย 135,000 บาทต่อตร.ม. หรือเริ่มต้นราคา 6.6 ล้านบาท  นอกจากนี้ จากการพัฒนาโดยเน้นห้องขนาดใหญ่ ซึ่งมีพื้นที่เริ่มต้น 40 ตร.ม. และส่วนใหญ่จะเป็นขนาด 2 ห้องนอน พื้นที่ตั้งแต่ 50.50-77.50 ตร.ม. เป็นการตอบสนองความต้องการของลูกค้า ที่ต้องการอยู่ห้องขนาดใหญ่ ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน ซึ่งโครงการส่วนใหญ่ที่พัฒนาอยู่ในปัจจุบัน จะมีห้องขนาดเล็กเริ่มต้น 28-32 ตร.ม. จึงถือว่าเป็นสินค้าที่หาได้ยากในพื้นที่ดังกล่าว  ​ สำหรับโครงการ ณ วรา พหลโยธิน 8 ตั้งอยู่บนพื้นที่ 0-1-95 ไร่ จำนวน 35 ยูนิต มีห้องให้เลือก 4 แบบ 1.แบบ 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ พื้นที่ใช้สอยเริ่มต้น 40-46 ตร.ม. 2.แบบ 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ พื้นที่ใช้สอย 50.50 ตร.ม. 3.แบบ 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ พื้นที่ใช้สอย 53-77.50 ตร.ม. และ 4.แบบ ดูเพล็กซ์ 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ พื้นที่ใช้สอย 107.50-116 ตร.ม. โดยจะเริ่มก่อสร้างในช่วงต้นปีหน้า และคาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงไตรมาส 1 ปี 2567   นายอภิภู กล่าวอีกว่า ส่วนภาพรวมการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ที่ผ่านมาว่า ถือว่าเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ สามารถปิดโครงการ ณ วรา เรสซิเดนซ์ และ โครงการ ณ วีรา พหล-อารีย์ ได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขณะที่โครงการ ณ รีวา เจริญนคร ปัจจุบันมียอดขายแล้วกว่า 50%  ซึ่งโครงการคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จ และเริ่มทยอยรับรู้รายได้ภายในปี 2567    สำหรับแผนการดำเนินงานในอนาคต บริษัทตั้งเป้าหมายพัฒนาโครงการให้ได้ปีละ 1,000 ล้านบาท หรือปีละ 2-3 โครงการ  โดยในปีหน้าวางแผนพัฒนาโครงการในย่านลาดปลาเค้า ใกล้มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ทำเลย่านโรงพยาบาลศิริราช ย่านพระราม 5 และทำเลย่านสุขุมวิทตอนปลายด้วย    อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -5 เหตุผล “ณวรางค์ แอสเซท” พัฒนาโครงการย่านเจริญนคร -“ณ วีรา พหลฯ-อารีย์” แอคทีฟแบบชีวิตติดเมือง สุขเต็มที่กับความเป็นส่วนตัว จาก “ณวรางค์ แอสเซท”  
อัปเดตดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนกันยายน 2565

อัปเดตดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนกันยายน 2565

อัปเดตดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนกันยายน 2565 ภาพรวมดอกเบี้ยยังคงอัตรเดิม มีเพียงธนาคารกรุงศรี ที่ปรับเปลี่ยนดอกเบี้ยจากเดือนที่ผ่านมา แต่ยังเป็นจังหวะดี สำหรับคนที่เตรียมกู้ซื้อบ้านและคอนโด  ก่อนดอกเบี้ยปรับขึ้น   เชื่อว่าตอนนี้หลายคนคงจะบ่นกันมาก ถึงค่าใช้จ่ายในการดำเนินชีวิต ที่ปรับเพิ่มสูงมาก ไม่ว่าจะเป็นค่าน้ำมัน หรือค่าไฟฟ้า ซึ่งส่งผลกระทบต่อเนื่องไปถึง ค่าครองชีพอื่น ๆ ที่ปรับตัวสูงขึ้นตามมาด้วย แถมอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ทางกนง. หรือ คณะกรรมการนโยบายการเงิน ได้ปรับขึ้นแล้ว 0.25% ต่อปี ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายจากที่มีอัตรา 0.5% เพิ่มขึ้นเป็น 0.75% ต่อไป ซึ่งมีผลทันที่หลังการประชุมกนง. ครั้งที่ 4 เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2565 ที่ผ่านมา ​ แถมแว่ว ๆ มาอีกว่า ดอกเบี้ยนโยบายนี้มีแนวโน้ม อาจจะปรับเพิ่มขึ้นอีกครั้งด้วย ต้องรอลุ้นกันว่าจริงหรือไม่   แม้ว่าดอกเบี้ยนโยบายมีการปรับเพิ่มขึ้น แต่ดูเหมือนอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโดมิเนียม ตอนนี้จะยังไม่เปลี่ยนแปลงเท่าไร ส่วนใหญ่จะยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้เท่าเดิม จึงถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับคนที่จะเลือกซื้อบ้านหรือคอนโด เพราะผลกระทบของค่าพลังงานที่เพิ่มขึ้น ทำให้ราคาวัสดุก่อสร้างปรับเพิ่มสูงขึ้นด้วย ตอนนี้หลายโครงการ ที่สร้างบ้านใหม่มีการปรับราคาขึ้นบ้างแล้ว ถ้าใครมีความพร้อมทางด้านการเงิน และต้องการซื้อจริง ๆ ก็ต้องรีบกันหน่อย แต่จะเลือกกู้ซื้อบ้านกับธนาคารไหน วันนี้เรามาอัปเดตดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ประจำเดือนกันยายน 2565 กันว่าใครเสนอดอกเบี้ยเท่าไรกันบ้าง ​อัปเดต ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด 1.ธนาคารกรุงเทพ สำหรับธนาคารกรุงเทพ สินเชื่อบ้านบัวหลวง ที่ให้บริการลูกค้า 2 กลุ่ม คือ ลูกค้าพนักงานที่มีรายได้ประจำ และลูกค้าทั่วไป  โดยอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ประจำเดือนกันยายน 2565 ตามข้อมูลที่ระบุไว้ในเอกสาร ภายในเว็บไซต์ของธนาคาร  ระบุข้อมูลสำหรับผู้ยื่นกู้ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2565  จึงคาดว่าธนาคารกรุงเทพ จะยังคงใช้อัตราดอกเบี้ยเท่ากับเดือนที่ผ่านมา ซึ่งมีการคิดอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ อัตราดอกเบี้ยเฉพาะพนักงานที่มีรายได้ประจำ วงเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท  (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.00%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.2% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.65% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3  อัตราดอกเบี้ย 4.2% (MRR-1.75%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.2% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.65% อัตราดอกเบี้ยเฉพาะพนักงานที่มีรายได้ประจำ วงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 5 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.45% (MRR-1.50%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.48% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3  อัตราดอกเบี้ย 4.075% (MRR-1.875%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.2% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.48% อัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับลูกค้าทั่วไป ลูกค้าทั่วไป วงเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.50% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.00%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.45% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.87% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.45%(MRR-1.50%) หลังจากนั้น 5.45%  (MRR-0.50%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.45% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.9% ลูกค้าทั่วไปวงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 5 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.7%(MRR-1.25%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.2% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.57% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.075%(MRR-1.875%) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.075% (MRR-1.875%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.2% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.58%   -กรณีวงเงิน ตั้งแต่ 500,000 บาทแต่ไม่เกิน 1 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ย คงที่ปีแรก MRR-1.20% หลังจากนั้น​คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีวงเงินต่ำกว่า ​500,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีหลักประกันสิทธิการเช่า ​คิดอัตราดอกเบี้ย​ MRR-0.75% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีหลักประกันที่ดินเปล่าเพื่อการอยู่อาศัย คิดอัตราดอกเบี้ย ​MRR-0.25% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา   หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับผู้ที่ยื่นคำขอสินเชื่อพร้อมเอกสารครบถ้วน ตั้งแต่วันที่  10 พ.ค. – 30 มิ.ย. 65 โดยผู้กู้ต้องลงนามในสัญญากู้ภายใน 1 เดือน นับตั้งแต่วันที่อนุมัติสินเชื่อ​และจดทะเบียนจำนองพร้อมเบิกเงินกู้งวดแรกหรือทั้งหมดภายใน 2 เดือน นับตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญา ​ -พนักงานที่มีรายได้ประจำ หมายถึง พนักงานที่มีรายได้หลัก หรือ มีความสามารถในการชำระคืนหลัก จากรายได้ประจำ -รูปแบบการชำ​ระแบบคงที่ เลือกผ่อนได้ทุกทางเลือก/รูปแบบการผ่อนชำ​ระแบบขั้นบันได เลือกผ่อนได้เฉพาะทางเลือกที่ 1 -อัตราส่วนวงเงินกู้สูงสุดและมูลค่าหลักประกันให้เป็นไปตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย -อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบันตามประกาศของธนาคาร ณ วันที่ 7 ธ.ค. 64 เท่ากับ 5.95% ต่อปี -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยรวมทั้งหลักเกณฑ์และเงื่อนไข -ข้อมูล ณ วันที่ 2 กันยายน 2565 ในเว็บไซต์ธนาคารยังไม่ได้ทำการเปลี่ยนแปลง 2.ธนาคารกรุงไทย อัปเดตดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด สำหรับธนาคารกรุงไทย ในเดือนกันยายน ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ​ โดยมีการคิดอัตราดอกเบี้ย ​​ดังนี้ ทางเลือกที่ 1 แบบทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 2.77% (MRR-3.45%) ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย 2.77% (MRR-3.45%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.77% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.22% ทางเลือกที่ 2 แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 2.87% (MRR-3.35%) ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย 2.87% (MRR-3.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี =2.87% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.24% ทางเลือกที่ 3 แบบทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0.75% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 3.92% (MRR-2.30%) ปีที่ 3 ดอกเบี้ย 3.97% (MRR-2.25%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.88% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.23% ทางเลือกที่ 4 แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.00% ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย 3.98% (MRR-2.25%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.98% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.27%   หมายเหตุ : 1.การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ *ทำประกันทางเลือกใด ทางเลือกหนึ่ง ดังนี้ -ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ (MRTA / GLTSP) เต็มวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 10 ปี -ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ (MRTA / GLTSP) 70% ของวงเงินกู้ และระยะเวลากู้ -ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ (MRTA / GLTSP) 70% ของวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 15 ปี (การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ เป็นไปตามความสมัครใจของลูกค้า และไม่มีผลต่อการอนุมัติสินเชื่อ) 2.อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (EIR)**คำนวณจากวงเงินกู้ 1.00 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี ผ่อนชำระ 6,600 บาท/เดือน MRR = 6.22% ต่อปี 3.สามารถขอสินเชื่อ Home For Cash แบบมีกำหนดระยะเวลา (Term Loan) เพิ่มเติม สำหรับวัตถุประสงค์ : เพื่ออุปโภคบริโภค / ปรับปรุง ต่อเติม ซ่อมแซมที่อยู่อาศัย /ชำระค่าเบี้ยประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ อัตราดอกเบี้ย MRR ต่อปี ตลอดอายุสัญญา 4.เงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด การพิจารณาสินเชื่ออยู่ภายใต้ดุลยพินิจของธนาคาร ยื่นสมัครสินเชื่อ ภายในวันที่ 30 กันยายน 2565 และทำนิติกรรมจำนองภายใน 30 วัน ทั้งนี้ ธนาคารสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขรายการส่งเสริมการขาย โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า 3.ธนาคารกรุงศรี ธนาคารกรุงศรี มีสินเชื่อบ้านกรุงศรี  เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย (บ้านใหม่/บ้านมือสอง) สำหรับลูกค้าทั่วไป โดยมีแคมเปญฟรี ค่าธรรมเนียมสำรวจ และค่าประเมิน  และธนาคารยังไม่ได้ปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยสำหรับการกู้ซื้อบ้านและคอนโด ยังคงเท่ากับเดือนที่ผ่านมา โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ สำหรับการกู้ในวงเงิน 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 5 ล้านบาท ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 3.925% (MRR-2.125%) เพิ่มขึ้นจากเดือนที่ผ่านมา ซึ่งมีการคิดอัตราดอกเบี้ยแตกต่างกันในแต่ละปี โดยหากเปรียบเทียยกับปีที่ 1 ของเดือนที่ผ่านมาจะเพิ่มขึ้น 1.025% ซึ่งเดือนที่แล้วคิดเอัตราดอกเบี้ย 2.9% ( MRR-3.15%) หากเปรียบเทียบกับปีที่ 2 จะมีอัตราดอกเบี้ยลดลง 0.125% ซึ่งเดือนที่ผ่านมาดอกเบี้ยปีที่ 2  อัตรา 4.05% (MRR-2.00%) หากเปรียบกับปีที่ 3  จะลดลง 1.025% จากเดือนที่แล้วคิดอัตราดอกเบี้ย ปีที่ 3 อัตรา 4.95% (MRR-1.10%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.93% ลดลง 0.04% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย 3.97% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง = 4.45% เพิ่มขึ้น 0.06% จากเดือนที่ผ่านมา คิดอัตรา  4.39% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 เดือนที่ 1-6 อัตราดอกเบี้ย 2.50% เพิ่มขึ้น 1.0% จากเดือนที่ผ่านมาคิดอัตรา 1.50% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย 415% (MRR-1.9%) ลดลง 0.3% จากเดือนที่ผ่านมาคิดอัตรา 4.45% (MRR-1.60%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.55% (MRR-1.5%) ลดลง 0.15% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย 4.7% (MRR-1.35%) ปีที่ 3อัตราดอกเบี้ย 4.55% (MRR-1.5%) ลดลง 0.4% จากเดือนที่ผ่านมา คิดดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.10%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.14% ลดลง 0.07% จากเดือนที่ผ่านมาคิดอัตราดอกเบี้ย  4.21% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.54% เพิ่มขึ้น 0.02% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย 4.52% สำหรับการกู้เงินในวงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.675% (MRR-2.375%) เพิ่มขึ้น  1.125% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย 2.55%  (MRR-3.50%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.675% (MRR-2.375%) เพิ่มขึ้น 0.375% จากเดือนที่ผ่านมาคิด อัตราดอกเบี้ย 3.3%  (MRR-2.75%) ปีที่ 3อัตราดอกเบี้ย 3.675% (MRR-2.375%) ลดลง 1.025% จากเดือนที่ผ่านมา คิดดอกเบี้ย 4.7% (MRR-1.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.68% เพิ่มขึ้น 0.16% จากเดือนที่ผ่านมา คิดดอกเบี้ย 3.52% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.22% เพิ่มขึ้น 0.2% จากเดือนที่ผ่านมา คิดดอกเบี้ย 4.02% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 เดือนที่ 1-6 อัตราดอกเบี้ย 1.99% เพิ่มขึ้น 0.74% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย 1.25%  เเดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย 4.15%  (MRR-1.9%) เพิ่มขึ้น 0.05% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย  4.1% (MRR-1.95%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.35% (MRR-1.7%) เพิ่มขึ้น 0.05% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย 4.3% (MRR-1.75%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.35% (MRR-1.7%) เพิ่มขึ้น 0.35% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย   4.7%  (MRR-1.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.92% เพิ่มขึ้น 0.03% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย 3.89% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.33% เพิ่มขึ้น 0.1% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอัตราดอกเบี้ย 4.23%   หมายเหตุ * อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงการแสดงตัวอย่าง โดยคำนวณจากฐานวงเงินกู้ 2 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 5 ล้านบาท และฐานวงเงินกู้ 5 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ด้วยระยะเวลาการกู้ 10 ปี ในกรณีที่ลูกค้า ซื้อ MRTA/MLTA หากค่าเบี้ย MRTA/MLTA เปลี่ยนแปลง อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอาจเปลี่ยนแปลงได้ เงื่อนไขการรับสิทธิพิเศษสาหรับลูกค้าที่ซื้อประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ (MRTA/MLTA) -รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ต่อปี เฉพาะในปีที่ 1 จากอัตราดอกเบี้ยทุกทางเลือก ลูกค้าต้องซื้อ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการตามเงื่อนไขดังนี้ 1.ผลิตภัณฑ์ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการได้แก่ MRTA : แผนกรุงศรี เซฟตี้โลน 1 พลัส หรือ กรุงศรี เซฟตี้โลน 1 หรือ กรุงศรี เซฟตี้โลน 2 / MLTA : กรุงศรี รักบ้าน รักคุณ หรือกรุงศรี รักบ้าน รักคุณ พลัส เท่านั้น 2.กรณีผู้กู้หลักเป็นพนักงานเงินเดือนที่มีรายได้ ประจำ​ต้องซื้อ MRTA/MLTA 100% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี หรือซื้ออย่างน้อย 70% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความ คุ้มครองไม่ต่ำกว่า 20 ปี 3.กรณีผู้กู้หลักเป็นผู้ประกอบธุรกิจส่วนตัว ต้องซื้อ MRTA/MLTA อย่างน้อย 80% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 10 ปี หรือซื้อย่างน้อย 50% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี 4.กรณีมีผู้กู้ร่วม สามารถซื้อ MRTA/MLTA เฉพาะผู้กู้หลักเพียงคนเดียวได้ หรือหากผู้กู้ร่วมประสงค์ที่จะซื้อ MRTA/MLTA ด้วย ผู้กู้หลักและผู้กู้ร่วมทุกคนจะต้องมีทุนประกันขั้นต่ำในสัดส่วนที่เท่ากัน ขอสงวนสิทธิ์ในการปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย เป็นอัตราดอกเบี้ยปกติตามที่ลูกค้าได้เลือกไว้ โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ในกรณีที่บริษัทประกันไม่ อนุมัติ MRTA/MLTA หรือในกรณีที่ลูกค้าขอยกเลิก MRTA/MLTA -ตามประกาศธนาคาร ณ วันที่ 21 พ.ค. 63 อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.05% ต่อปี -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.​​​​– 31 ธ.ค. 65 -ค่าธรรมเนียมอื่น ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร -การพิจารณา อนุมัติสินเชื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด -วงเงินกู้อนุมัติสูงสุดเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด และไม่เกินกว่า วงเงินกู้สูงสุดต่อมูลค่าหลักประกัน (ราคาซื้อขาย) ตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์เรียกเก็บค่าเบี้ยปรับกรณีปิด ภาระหนี้ก่อนกำหนด (กรณีที่ลูกค้ารีไฟแนนซ์ไปสถาบันการเงินอื่นภายใน 3 ปีแรกนับจากวันทำสัญญา) คิดเป็น 3% ของยอดหนี้คงเหลือ 4.ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกสิกรไทย มีสินเชื่อกู้ซื้อบ้านสำหรับบ้านใหม่ให้กับลูกค้าทั่วไป โดยพิจารณาเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีรายได้ประจำ และกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการ ซึ่งเดือนนี้อัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ สำหรับลูกค้าที่มีรายได้ระจำ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย = n.a. อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 7.72% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 7.72% สำหรับลูกค้าผู้ประกอบการ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย = n.a. อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 8.22% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 8.22% หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ย MRR = 5.97% (ประกาศ ณ วันที่ 22 พ.ค. 63) ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ย MRR ให้อ้างอิงอัตราดอกเบี้ยตามประกาศของธนาคาร ณ วันที่ลูกค้ายื่นใบสมัครสินเชื่อ -อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวสำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้ ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. – 30 ก.ย.65 โดยสามารถยื่นกู้ได้สำหรับที่อยู่อาศัยทุกประเภท ยกเว้นการกู้เพื่อซื้อที่ดินเปล่า -รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม 0.25% ในปีแรก หากทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองสินเชื่อบ้านตามเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด -กรณียื่นกู้บ้านในโครงการจัดสรรที่ธนาคารสนับสนุน ธนาคารฯมีอัตราดอกเบี้ยพิเศษ สอบถามรายละเอียดและเงื่อนไขเพิ่มเติมได้ที่ K-Contact Center 02-8888888 ต่อ 887 5.ธนาคารเกียรตินาคินภัทร ธนาคารเกียรตินาคินภัทร มีสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย (KKP Home Loan เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย) กรณี บ้านใหม่ : ซื้อบ้านจากบริษัทพัฒนา อสังหาริมทรัพย์ที่ธนาคารกำหนด ซึ่งมีการคิดอัตราดอกเบี้ยเท่ากับเดือนที่ผ่านมา  ดังนี้ อัตราดอกเบี้ยลอยตัว แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.4-2.75% ปีต่อไป 5.025% (MLR-1.50%) แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.5-2.75% ปีต่อไป 5.025% (MLR-1.50%) อัตราดอกเบี้ยคงที่ 1 ปี แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.5-2.85% ปีต่อไป 5.025% (MLR-1.50%) แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.75-3.062% ปีต่อไป 5.025% (MLR-1.50%) หมายเหตุ 1.อัตราดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับปัจจัยอ้างอิง เช่น อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR) ซึ่งธนาคารจะแจ้งให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว  โดยจะประกาศไว้ ณ สถานที่ทำการให้บริการและ​เว็บไซต์ของธนาคาร 2.MLR ณ วันที่​ 18 สิงหาคม 2563 เท่กับ​ 6.525% ต่อปี 3.เลือกทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ​(MRTA)ผ่านธนาคาร ทุนประกันภัยเท่ากับวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาเอาประกันภัยขั้นต่ำ 10 ปี กรณีที่ระยะเวลาการกู้ไม่ถึง 10 ปี ให้ระยะเวลาเอา​​​​​​ประกันภัยเท่ากับระยะเวลาการกู้ 4.กรณี Refinance ไปสถาบันการเงินอื่นก่อนครบ 3 ปี แรก คิดค่า​ Prepayment Penalty 3% ของเงินต้นคงค้าง 5.​กรณีเลือกใช้เงื่อนไขอัตราดอกเบี้ยแบบฟรีค่าจดจำนอง ​​หากลูกค้า Re-Finance หรือชำระปิดบัญชีก่อนระยะเวลาที่กำหนดไว้ ลูกค้าต้องชำระค่าจดจำนองที่ธนาคาร เคยสำรองจ่ายให้แก่ธนาคาร​ 6.ค่าประเมินหลักประกันเริ่มต้น 3,210 บาท  ค่าอากรแสตมป์ 0.05% ของวงเงินกู้ (สูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท) 7.เบี้ยประกันอัคคี ​เป็นไปตามที่บริษัทประกันภัยกำหนด ​โดยผู้กู้สามารถเลือกทำประกันกับบริษัทที่น่าเชื่อถือใดก็ได้ ​ a.อัตราส่วนวงเงินกู้ยืมสูงสุด ต่อหลักประกัน 100% ของราคาซื้อขายจริง หรือราคาประเมินธนาคาร แล้วแต่ราคาใดต่ำกว่า ยกเว้นธนาคารมีกำหนดเงื่อนไขพิเศษอื่น ๆ สำหรับบางโครงการ อาจจะได้รับอัตราส่วนวงเงินกู้ยืมสูงสุดต่อหลักประกัน​ 100% b.ระยะเวลากู้สูงสุด ​30 ปี (อายุผู้รวมระยะเวลากู้ไม่เกิน 65 ปี สำหรับพนักงานเงินเดือนประจำ และไม่เกิน 70 ปี สำหรับเจ้าของกิจการ/ธุรกิจส่วนตัว) 6.ธนาคารซีไอเอ็มบี ธนาคารซีไอเอ็มบี สินเชื่อบ้าน โฮมโลนฟอร์ยู  ให้กับพนักงานประจำ ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ ผู้ประกอบการ และเจ้าของกิจการ  โดยคิดอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เท่ากับเดือนที่ผ่านมา ซึ่งธนาคารซีไอเอ็มบี มีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ สำหรับพนักงานประจำ รายได้ 15,000 บาท หรือเจ้าของกิจการรายได้ 30,000 บาท ประเภททำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.25% (MRR-3.1%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.25% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.07% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.55% (MRR-2.8%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.15% หมายเหตุ -สำหรับซื้อบ้านและคอนโดจากโครงการทั่วไป -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินกู้ 2 ล้านบาท ระยะเวลากู้ 15 ปี (MRR=7.35% ประกาศ ณ วันที่ 9 ธันวาคม 2564) -ธนาคารยังมีอัตราดอกเบี้ยสำหรับพนักงานประจำรายได้ 30,000-50,000 หรือเจ้าของกิจการรายได้ 50,000 บาทขึ้นไปไว้พิจารณาด้วย รวมถึงสินเชื่อสำหรับโครงการที่ธนาคารเป็นผู้สนับสนุน 7.ธนาคารทีทีบี ธนาคารทีทีบี มีสินเชื่อบ้านใหม่ สำหรับการซื้อบ้านหรือคอนโดจากโครงการทั่วไป ภายใต้แคมเปญดอกเบี้ยพิเศษเริ่มต้นเฉลี่ย 3 ปีแรก 4.05% ต่อปี จะได้รับฟรีค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย ค่าจดทะเบียนจำนอง และค่าประเมินหลักทรัพย์ ซึ่งอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 2 กันยายน ภายในเว็บไซต์ยังไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง เอกสารแสดงข้อมูลสำหรับผู้ยื่นกู้ภายในวันที่ 30 มิถุนายน จึงคาดว่าธนาคารยังคงใช้อัตราดอกเบี้ยเท่ากับช่วงที่ผ่านมา ​ดังนี้ สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ทางเลือก 1 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.05% (MRR-2.23%) หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.05% ดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.46% ทางเลือก 2 (ฟรีค่าจดจำนอง) ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.4% (MRR-1.88%) หลังจากนั้น 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.4% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.57% ทางเลือก 3 (ไม่สมัครผลิตภัณฑ์ครบ 3 รายการ) ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 4.65% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา ดอกเบี้ย 4.65% รายละเอียดเงื่อนไข สมัครผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ได้แก่ 1.สมัครประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ สไมล์โฮม หรือ สไมล์โฮม พลัส ​ 2.สมัครใช้บริการหักบัญชีอัตโนมัติผ่านบัญชีออมทรัพย์ ทีทีบี เพื่อผ่อนชำระสินเชื่อบ้าน 3.สมัครบัตรเดบิต ttb (กรณีที่คุณมีบัตรเดบิต ttb แล้ว ไม่ต้องสมัครเพิ่ม) กู้ซื้อบ้าน คอนโดใหม่ กับทีทีบี รับข้อเสนอพิเศษ ด้วยอัตราดอกเบี้ย ให้เลือก 2 แบบ ดังนี้ แบบที่ 1 สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท -รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษนาน 3 ปี -ฟรีประกันอัคคีภัยมูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท -ฟรีค่าจดทะเบียนจำนอง 1% ของเงินกู้สูงสุดถึง 200,000 บาท -ฟรี ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรม จำนอง แบบที่ 2 สมัครผลิตภัณฑ์เสริมไม่ครบทั้ง 3 ประเภท​ -ฟรีประกันอัคคีภัย มูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท -ฟรี ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรม จำนอง หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมรวมถึงสิทธิพิเศษต่าง ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อบ้าน (MRTA) ไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อทำเพื่อประโยชน์หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นกับผู้กู้ในขณะที่ยังชำระหนี้ไม่ครบถ้วน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของผู้กู้และธนาคาร และไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย 3 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการพิจารณาอนุมัติวงเงินกู้และอัตราดอกเบี้ยตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของธนาคาร -ธนาคารขอสงวนสิทธิเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่แจ้งไว้ในเอกสารฉบับนี้ โดยไม่ ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า -ในกรณีที่ธนาคารเป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนจำนองหลักประกันแทนผู้กู้หากผู้กู้มีความประสงค์จะไถ่ถอนหลักประกันและชำระหนี้คืนทั้งหมดภายในระยะเวลา 5 ปี นับแต่วันเบิกใช้เงินกู้ ครั้งแรก ผู้กู้ตกลงคืนเงินค่าธรรมเนียมจดจำนองหลักประกันตามจำนวนเงินที่ธนาคารได้ช าระไปให้แก่ธนาคาร ในวันที่ผู้กู้ได้ชำระหนี้ทั้งหมดเสร็จสิ้น (ค่าธรรมเนียมจดจำนอง 1% สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท) -กค้าต้องสำรอง จ่ายค่าจดจำนองแก่กรมที่ดินก่อน โดยธนาคารจะโอนเงินคืนเข้าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ที่ลูกค้าใช้หักชำระค่างวดกับธนาคารภายใน 30 วันทำการนับจากวันที่ลูกค้าจดจำนอง -MRR = 6.28% ตามประกาศธนาคาร https://www.ttbbank.com/th/rates/loan-interest-rates -สำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.65 ถึง 30 มิ.ย. 65 และจดจำนอง ภายใน 31 ก.ค.​65 -ข้อมูลในเว็บไซต์ธนาคาร ณ วันที่ 3 ส.ค.​65 8.ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ มีสินเชื่อบ้านสำหรับลูกค้าทั่วไป โดยคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับช่วงเดือนที่ผ่านมา  คิดอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ แบบไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.995% ปีต่อไป MRR = 5.995% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.995% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.995% แบบทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ มากกว่าหรือเท่ากับ 70% ของวงเงินกู้ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.95% ปีต่อไป MRR = 5.995% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.95% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.983% หมายเหตุ -กรณีใช้ดอกเบี้ย​แบบทำประกัน​ Credit Life 70% กำหนดให้ทำทุนประกันไม่น้อยกว่า 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลาเอาประกัน 70% ของระยะเวลากู้ตามสัญญา โดยกำหนดให้เอาระยะเวลาขั้นต่ำ 10  ปี (กรณีระยะเวลากู้ตามสัญญาต่ำ​10 ปี กำหนดให้ระยะเวลาเอาประกันเท่ากับระยะเวลากู้ตามสัญญา) ​-ประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ รับประกันภัยโดย บมจ. ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต บริษัทนเครือกลุ่มเอฟดับบลิวดี หากต้องการสอบถามรายละเอียด เกี่ยวกับการประกันภัยเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ ศูนย์บริการลูกค้า โท​ร. 1315 ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.00 – 20.00 น. -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจรายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข ​​ก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุก​ ธนาคารเป็นเพียงนายหน้าผู้ชี้ช่อง หรือจัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันภัยเท่านั้น ​การพิจารณารับประกัน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการรับประกันภัย ของบริษัทประกันภัย -อัตราดอกเบี้ย MRR ของธนาคารไทยพาณิชย์ เท่ากับ 5.995% ต่อปี ​(ประกาศ ณ วันที่ 9 สิงหาคม 2564) ซึ่งอาจะเปลี่ยนแปลงได้ตามประกาศธนาคาร -อัตราดอกเบี้ยแท้จริงที่ระบุในตารางเป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในฉบับนี้เท่านั้น ​ซึ่งอาจะมีความแตกต่างกัน ตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีลูกค้าบอกเลือกประกันชีวิต หรือขอเวนคืนกรมธรรม์ หรือทำประกันไม่ครบกำหนดตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ​ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยวงเงินกู้ เป็นอัตราดอกเบี้ยทั่วไป  ตามประกาศธนาคาร ระยะเวลากู้ตามสัญญา วงเงิน ระยะเวลาผ่อนชำระ อัตราดอกเบี้ย คุณสมบัติ เอกสารปรกอบการพิจารณา และการอนุมัติเป็นไปตามเงื่อนไข หลักเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด 9.ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์  หรือ ธอส. มีสินเชื่อสำหรับการซื้อบ้านหลากหลายประเภท โดยประเภทสินเชื่อโครงการบ้าน ธอส. เพื่อคุณ ปี 2565 ​มีการคิดอัตราดอกเบี้ย ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากแคมเปญสิ้นสุดเดือนธันวาคม 2565  โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.15% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.9% (MRR-2.25%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.75% (MRR-1.4%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ยตลอดอายุสัญญา  5.4% หมายเหตุ -ยื่นคำขอกู้และอนุมัติตั้งแต่วันที่ 2 ม.ค.-30 ธ.ค.65   (ธนาคารสงวนสิทธิ์ในการกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดโครงการก่อนกำหนด หากธนาคารให้สินเชื่อเติมวงเงินของโครงการแล้ว) -อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.15% ประกาศ ณ วันที่ 25 พฤษภาคม 2563 -ยกเว้น ค่าธรรมเนียมยื่นกู้ 0.1% ของวงเงินกู้และทุกบัญชีเงินกู้ภายใต้หลักประกันเดียวกัน 10.ธนาคารยูโอบี สำหรับธนาคารยูโอบี มีสินเชื่อบ้านสำหรับโครงการหมู่บ้านทั่วไป  โดยอัปเดตดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา โดยคิดอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน ดังนี้ ทางเลือก 1 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 3.55% (MRR-3.8%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.87% ทางเลือกที่ 2 ไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 3.75% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย  3.75% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.95% ทางเลือกที่ 3 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.0% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย  4.95% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.65% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.88% ทางเลือกที่ 4 ไม่ทำประกันคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.2% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 5.15% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.85% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.96% หมายเหตุ -ขอสินเชื่อตั้งแต่ 1  ก.ค.-30 ก.ย.65 และจดจำนองหลักประกันกับธนาคารภายใน 31 ต.ค. 65 -อัตราดอกเบี้ยแบบทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ผ่านธนาคารยูโอบี >ทุนประกันเต็มวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันขั้นต่ำ 10 ปี หรือ >ทุนประกันขั้นต่ำ 80% ของวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันเต็มตามระยะเวลากู้ -อัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 1 ล้านบาท อายุสัญญา 15 ปี MRR=7.35% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้น เป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในสื่อโฆษณาเท่านั้น อัตราดอกเบี้ยสำหรับการทำสัญญากู้ยืมของลูกค้าแต่ละรายอาจะมีความแตกต่างกันตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีไถ่ถอนจำนองเพื่อไปใช้บริการกับสถาบันการเงินอื่น ​(Re-finance) ในช่วงระยะเวลา 3 ปีแรก นับจากวันที่กู้ จะมีค่าปรับ 3% ของยอดเงินต้นคงค้าง (เฉพาะวงเงินสินเชื่อที่มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดหาที่อยู่อาศัยเท่านั้น)​ -การอนุมัติสินเชื่อ​เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของธนาคาร​ -เพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้น อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบันเท่ากับ  7.35% ต่อปี ​(ตามประกาศธนาคารณ วันที่  9 ก.ค. 64) อนึ่ง ธนาคารสามารถประกาศปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย​ MRR ได้ตามเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดอนุญาตไว้​ -อัตราค่าธรรมเนียมและค่าบริการต่าง ๆ​เป็นไปตามประกาศที่ธนาคารจัดทำไว้  และประกาศให้ทราบตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยธนาคารอาจเปลี่ยนแปลงอัตราค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ได้โดยจะแจ้งให้ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน โดยการปิดประกาศไว้ ณ ที่ทำการ หรือเว็บไซต์ของธนาคาร​ -ธนาคารยูโอบีในฐานะนายหน้าประกันภัย ​(ใบอนุญาตประกันชีวิต​เลขที่ ช.00026/2545 และใบอนุญาตประกันวินาศภัย​ เลขที่ ว.00020/2546) ทำหน้าที่นำเสนอผลิตภัณฑ์ด้านประกันภัยและเป็นผู้จัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันชีวิต/ประกันวินาศภัย และอำนวยความสะดวกในการรับชำระเบี้ยประกันเท่านั้น  รับประกันชีวิตโดยบริษัท พรูเด็นเชียลประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), รับประกันวินาศภัยโดย บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน), บริษัท แอกซ่าประกันภัย จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอ็ม เอส ไอ จี ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ​จะเป็นผู้รับผิดชอบตามเงื่อนไข ความคุ้มครองและสิทธิประโยชน์ตามที่ได้ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครองและเงื่อนไขก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง 11.ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีสินเชื่อเพื่อการซื้อที่อยู่อาศัย สินเชื่อบ้านดอกเบี้ยต่ำเริ่มต้น 1.9% หรือผ่อนล้านละ 3,500 บาท โดยเดือนนี้ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีการคิดอัตราดอกเบี้ยไม่เปลี่ยนแปลงจากช่วงเดือนที่ผ่านมา ดังนี้​ แบบที่ 1 ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย  1.9% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.85% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี  2.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.54% แบบที่ 2 ปีที่ 1-2 ดอกเบี้ยคงที่ 2.0% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.25% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.75% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.65% แบบที่ 3 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.50% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.50% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.57% แบบที่ 4 ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ยคงที่ 2.70% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.7% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.69% เงื่อนไข กรณีลูกค้าเลือกทำประกัน MRTA/MLTA ผ่านธนาคาร : 1.กรณีที่ลูกค้าทำประกัน MRTA/MLTA ผ่านธนาคาร ธนาคารทดรองจ่ายค่าจดจำนองให้ 1% ของวงเงินกู้อนุมัติ หรือ สูงสุดไม่เกิน 2 แสนบาท (ทั้งนี้ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเรียกเก็บเงินทดรองจ่ายค่าจดจำนองดังกล่าวคืนจากลูกค้า กรณีลูกค้าปิดบัญชีสินเชื่อ หรือ เปลี่ยนแปลงสัญญาใด ๆ ภายใน 5 ปีแรก ทุกกรณี นับจากวันทำนิติกรรมจดจำนอง) 2.กรณีสมัครทำประกันชีวิต ต้องสมัครทำ MRTA/MLTA ทุนประกัน 100% ของวงเงินสินเชื่อ ระยะความคุ้มครองขั้นต่ำ 10 ปี หมายเหตุ -โครงการจัดสรรในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เท่านั้น* -ราคาซื้อขายของหลักประกันต้องมีราคา (แนวราบ) ไม่น้อยกว่า 2.00 ล้านบาท , (แนวสูง) ไม่น้อยกว่า 2.50 ล้านบาท -ลูกค้าสามารถเลือกใช้อัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำ ล้านละ 3,500 บาท  กรณีเลือกอัตราดอกเบี้ยคงที่** -ยกเว้น ค่าประเมินราคาหลักประกัน (โครงการจัดสรรทุกโครงการที่มีราคาซื้อขาย 2 ล้านบาทขึ้นไป)*** -ระยะเวลากู้สูงสุด 40 ปี รวมอายุผู้กู้ไม่เกิน 70 ปี**** -วงเงินกู้เพิ่มสูงสุด 10% จากสัญญาซื้อขาย เพื่อซื้อเฟอร์นิเจอร์ ตกแต่งบ้าน อัตราดอกเบี้ย 1) ทำประกัน MRTA/MLTA : ปีที่ 1-3 : MRR – 2.75% = 4.60% หรือ 2) ไม่ทำประกัน MRTA/MLTA : ปีที่ 1-3 : MRR – 2.25% = 5.10% , หลังจากนั้นปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR = 7.35% ***** -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่าง อัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี MRR = 7.35% (ณ 1 เม.ย. 64) ที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในโฆษณาฉบับนี้เท่านั้น ซึ่งอาจมีความแตกต่างตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -การพิจารณาคุณสมบัติของลูกค้าแต่ละรายให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ตามที่ธนาคารกำหนด -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์การพิจารณาสินเชื่อ โดยอยู่ในดุลยพินิจของธนาคาร ทั้งนี้เงื่อนไขต่าง ๆเป็นไปตามประกาศธนาคาร โดยมิต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า -อัตราดอกเบี้ย และโปรโมชั่น (มีวงเงินสินเชื่อจำกัด) สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อ โดยเบิกรับเงินกู้ ตั้งแต่วันนี้- 30 ก.ย. 65 12.ธนาคารออมสิน ธนาคารออมสิน มีสินเชื่อเคหะ สำหรับให้บริการผู้ที่ต้องการกู้เงินเพื่อไปซื้อบ้านหรือคอนโด  โดยฟรีค่าบริการสินเชื่อ ค่านิติกรรมสัญญา ฟรีค่าธรรมเนียมการจดจำนอง และผ่อนต่ำ 6 เดือนแรก ล้านละ 4,000 บาทต่อเดือน ซึ่งข้อมูลยังเป็นการนำเสนอสำหรับยื่นกู้ภายในวันที่ 31 สิงหาคม อนุมัติและจัดทำนิติกรรมสัญญาภายใน 30 กันยายน 2565  โดยมีรายละเอียด ​ดังนี้​ กรณีทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.95% ลดลง 0.05% จากเดือนก่อนหน้าที่คิด 2.0% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 2.875% ลดลง 0.025% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 2.9% ​ ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.5% ลดลง 0.1% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 2.6% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.085% ลดลง 0.041% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 4.126% กรณีไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 2.20% ลดลง 0.05% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 2.25% ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย 3.625% เพิ่มขึ้น 0.1% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.525% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.15% ลดลง 1.845% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 4.995% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.327% เพิ่มขึ้น 0.017% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 4.31% เงื่อนไขการผ่อนชำระ -ปีที่ 1 ผ่อนชำระ 2,500 บาทต่อเดือน ปีที่ 2 ผ่อนชำระ 4,500 บาทต่อเดือน ปีที่ 3 ผ่อนชำระ 5,500 บาทต่อเดือน หมายเหตุ -การทำประกันชีวิตเพื่อประกันสินเชื่อ เป็นการทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ โดยหลักเกณฑ์ เงื่อนไข เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด -เงื่อนไขการใช้อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อตามโปรโมชั่น สมัครบริการ MyMo และผลิตภัณฑ์/บริการอื่น อย่างน้อย 2 ประเภท ได้แก่ บัตรอิเล็กทรอนิกส์/ บัตรเครดิตหรือสินเชื่อบัตรเงินสด/ ชำระสินเชื่อหักผ่านบัญชี/ หน่วยงานหักเงินนำส่งชำระหนี้ / จ่ายตรงเงินเดือน / ประกันชีวิตเพื่อประกันสินเชื่อ ทั้งนี้ หากลูกค้าใช้ผลิตภัณฑ์ / บริการอื่นตามที่กำหนดอยู่แล้ว สามารถใช้อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวได้ และกรณีไม่มี Smartphone ให้สมัครผลิตภัณฑ์ / บริการอื่นของธนาคารตามที่กำหนดทดแทนได้ -*กรณี ฟรีค่าธรรมเนียมจดจำนอง ให้ตามที่จ่ายจริง (รวมทุกสัญญาที่กู้ในคราวเดียวกัน) โดยลูกค้าต้องสำรองจ่ายค่าธรรมเนียมจดจำนองแก่กรมที่ดิน ไปก่อน ทั้งนี้ กรณีจำนวนเงินที่จ่ายตั้งแต่ 10,000 บาทขึ้นไป ต้องเสียภาษี ณ ที่จ่าย ร้อยละ 1.00 ของเงินค่าจดจำนอง โดยธนาคารจะโอนเงินหลังหักภาษี ณ ที่จ่าย คืนเข้าบัญชีเงินฝากเผื่อเรียกของลูกค้าภายใน 30 วันทำการ นับจากวันที่จดจำนองแล้วเสร็จ -กรณีผู้กู้ชำระคืนเงินกู้ก่อนกำหนด เฉพาะกรณีไถ่ถอนจำนองก่อนครบกำหนด (Prepayment) เพื่อไปใช้บริการกับสถาบันการเงินอื่น ภายในระยะเวลา 3 ปี นับแต่วันที่ทำสัญญากู้เงิน ผู้กู้ต้องเสียค่าธรรมเนียมตามที่ธนาคารกำหนด (ปัจจุบันร้อยละ 3.00 ของยอดเงินต้นคงเหลือ) ทั้งนี้ กรณีฟรีค่าธรรมเนียมจดจำนอง หากผู้กู้ชำระหนี้ปิดบัญชีในทุกกรณี ภายในระยะเวลา 3 ปี นับแต่วันที่ทำสัญญากู้เงิน ผู้กู้จะต้องชำระค่าธรรมเนียมจดจำนองคืนแก่ธนาคารเต็มจำนวน -หลักเกณฑ์เงื่อนไขอื่นๆ ให้เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด โดยธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์เงื่อนไข โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า   หมายเหตุ Reviewyourliving รวบรวมข้อมูลจากเว็บไซต์ธนาคาร ณ​ วันที่ 3 กันยายน 2565     บทความที่เกี่ยวข้อง -อัปเดต ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนกรกฎาคม 2565 อัปเดต ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนสิงหาคม 2565
[PR News]ศุภาลัย จับมือ เอสซีจี ขับเคลื่อนที่อยู่อาศัยสีเขียว

[PR News]ศุภาลัย จับมือ เอสซีจี ขับเคลื่อนที่อยู่อาศัยสีเขียว

ศุภาลัย จับมือ เอสซีจี ศุภาลัย ร่วมกับ เอสซีจี ชูนวัตกรรมการใช้วัสดุก่อสร้างที่ได้รับฉลากเอสซีจี กรีนชอยส์ เพื่อสร้างสรรค์โครงการบ้านและคอนโดมิเนียมของศุภาลัยทั่วประเทศกว่า 100 โครงการ พร้อมเดินหน้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อช่วยลดโลกร้อน สู่การพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน ศุภาลัย จับมือ เอสซีจี นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ เป็นผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่มีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาที่อยู่อาศัย พร้อมแนวคิดการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม (Environment) สังคม (Social) และบรรษัทภิบาล (Governance) หรือ ESG มาอย่างต่อเนื่อง เริ่มตั้งแต่การเข้าไปพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยโดยคำถึงการออกแบบให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมรอบโครงการ เช่นการอนุรักษ์ต้นไม้ใหญ่ในพื้นที่ให้เป็นร่มเงาจากธรรมชาติ รวมถึงการออกแบบบ้านและคอนโดมิเนียมของศุภาลัย ภายใต้แนวคิด Green Design เน้นการประหยัดพลังงาน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ศุภาลัย จับมือ เอสซีจี โดยในปี 2565 นี้บริษัทฯ มีการตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 25% ภายใน 3 ปี (ปี 2565-2567) เพื่อเป็นการสนับสนุนนโยบายของภาครัฐในการลดก๊าซเรือนกระจก และเป็นส่วนหนึ่งในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของโลก พร้อมร่วมกับพันธมิตรธุรกิจที่มีนโยบายดูแลสิ่งแวดล้อม ซึ่งทางเอสซีจี  เป็นบริษัทผู้ผลิตและจัดจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง ที่เป็นพันธมิตรธุรกิจของศุภาลัยมาอย่างยาวนาน โดยมีนวัตกรรมการใช้วัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และมีการรับรองฉลากเอสซีจี กรีนชอยส์ ทั้งนี้ ศุภาลัยถือเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายแรกที่ได้รับโล่เกียรติคุณ SCG Green Choice Sustainable Leader ซึ่งแสดงถึงความตั้งใจและมุ่งมั่นในการมีส่วนร่วมเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน   บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการเลือกใช้วัสดุที่ประหยัดพลังงาน ลดโลกร้อน ประหยัดทรัพยากรและยืดอายุการใช้งานของวัสดุในการพัฒนาโครงการบ้านและคอนโดมิเนียมของศุภาลัยทั่วประเทศกว่า 100 โครงการ รวมถึงการเปิดตัวโครงการใหม่ในปี 2565 นี้จำนวน 34 โครงการ และโครงการใหม่ในปีหน้าอีกด้วย เนื่องจากทำให้ผู้อยู่อาศัยในโครงการบ้านและคอนโดมิเนียมของศุภาลัย สามารถประหยัดค่าน้ำประปา อาทิเช่น การเลือกใช้ก๊อกน้ำและสุขภัณฑ์ คอตโต้ ช่วยลดการใช้น้ำในครัวเรือนได้ถึง 516,787,053 ลิตรต่อปี . . นอกจากนี้บริษัทฯ และลูกบ้านของศุภาลัย ยังมีส่วนช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกระบวนการผลิตวัสดุ 564 ตัน เทียบเท่าปริมาณการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ของต้นไม้ 47,000 ต้นภายใน 1 ปี ด้วยการใช้วัสดุคอนกรีตรักษ์โลก ซีแพค อิฐมวลเบา คิวคอน และไม้เชิงชาย เอสซีจี ขณะที่กระเบื้องปูพื้นและบุผนัง เซรามิก กระเบื้องเกรซพอสเลน กระเบื้องโมเสก คอตโต้ ช่วยประหยัดน้ำจากการผลิตวัสดุ 7,650,132 ลิตร อีกทั้งฉนวนกันความร้อน เอสซีจี ทดแทนการใช้ทรายธรรมชาติ กระเบื้องหลังคาคอนกรีต เอสซีจี รุ่นซีแพค ทดแทนการใช้ปูนซีเมนต์  โครงหลังคาสำเร็จรูป เอสซีจี  ประหยัดการใช้เหล็ก  ทั้งนี้การใช้วัสดุต่างๆ ดังกล่าวจะขึ้นอยู่กับการใช้งานของแต่ละโครงการของศุภาลัย . นายนิธิ ภัทรโชค กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เอสซีจี  กล่าวว่า  เอสซีจี ในฐานะของบริษัทผู้ผลิตและจัดจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งใน Value ให้ความสำคัญกับการพัฒนาสินค้าวัสดุก่อสร้าง รวมทั้งบริการ และโซลูชั่นที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยเน้นการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าผ่านกระบวนการผลิตที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ตอบโจทย์ด้านการประหยัดพลังงาน ยืดอายุการใช้งาน และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบต่อภาวะโลกร้อน รวมถึงเสริมสร้างสุขอนามัยที่ดีให้กับผู้อยู่อาศัย ผ่านการรับรองด้วยฉลาก “SCG Green Choice” เช่น ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิต อาทิ คอนกรีตรักษ์โลก อิฐมวลเบา และไม้เชิงชาย เป็นต้น   ความมุ่งมั่นร่วมกันในครั้งนี้จะเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมในอุตสาหกรรมก่อสร้างให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ยกระดับอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยให้เติบโตยั่งยืน ควบคู่กับเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมต่อไปในอนาคต   บทความน่าสนใจ ศุภาลัย กวาดยอดขายไตรมาสแรก 8,852 ล้าน โตสวนกระแสสร้างพรีเซลแนวราบนิวไฮด์ “ศุภาลัย เอเลแกนซ์ บรมราชชนนี 121” Luxury แบรนด์ใหม่จาก บมจ.ศุภาลัย หลังคาโซลาร์ SCG จับมือ Enphase ร่วมนำเทคโนโลยีไมโครอินเวอร์เตอร์ เพิ่มประสิทธิภาพ ยกระดับความปลอดภัยอีกขั้น
[PR News] ไอซีเอส มิกซ์ยูส ไลฟ์สไตล์ ทาวน์ แห่งใหม่ในฟังธน

[PR News] ไอซีเอส มิกซ์ยูส ไลฟ์สไตล์ ทาวน์ แห่งใหม่ในฟังธน

 ไอซีเอส  มิกซ์ยูส โครงการไอซีเอส  มิกซ์ยูส ไลฟสไตล์ ทาวน์ แห่งใหม่ฝั่งธนบุรี  การลงทุนร่วมของกลุ่มธุรกิจรีเทลและอสังหาฯ “สยามพิวรรธน์-แมกโนเลีย-ซีพี” สร้างปรากฎการณ์ครั้งสำคัญของฝั่งธนบุรี ภายใต้แนวคิด  Always A Good Day “ความสุขของทุกวันที่ไอซีเอส” ผนึกพันธมิตรแบรนด์ดัง โลตัส   ชูคอนเซ็ปต์ใหม่ “SMART Premium Supermarket” และ ฮิลตัน การ์เด้น อินน์ โรงแรมชั้นนำที่รองรับนักเดินทางจากธุรกิจ MICE, การท่องเที่ยวและสันทนาการ พร้อม อินโนเวทีฟ เฮลท์ แอนด์ ไลฟ์สไตล์ เซ็นเตอร์ จากโรงพยาบาลชั้นนำ ที่ขยายบริการนอกพื้นที่โรงพยาบาลแห่งแรกในศูนย์การค้า    ไอซีเอส  มิกซ์ยูส รวมถึงพันธมิตรร้านค้าอีกกว่า 200 แบรนด์ มั่นใจศักยภาพทำเลทองอันดับหนึ่งของฝั่งธนบุรี รองรับการขยายตัวของเมือง สะดวกครบทุกโครงข่ายการคมนาคมทั้ง รถยนต์ รถไฟฟ้า และเรือโดยสาร  พร้อมเปิดให้บริการปลายไตรมาส 4 ปี 2565 นี้ เชื่อมั่นหลังไอซีเอส เปิดบริการ ช่วยเติมเต็มไอคอนสยามสู่ความเป็นเมืองที่สมบูรณ์แบบครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายครบทุกเซกเมนต์   นายสุพจน์ ชัยวัฒน์ศิริกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอซีเอส จำกัด เปิดเผยว่า จากการวาง Market Positioning ให้ ไอซีเอส เป็นมิกซ์ยูส ไลฟ์สไตล์ ทาวน์  ที่ตอบสนองความต้องการสินค้าและบริการของลูกค้าได้ครบครัน โดยเน้นให้ผู้บริโภคทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงได้ มีทำเลที่ตั้งเชื่อมเส้นทาง Customer Journey ต่อตรงมาจากไอคอนสยาม โดยมีรถไฟฟ้าสายสีทองสถานีเจริญนครเป็นจุดเชื่อมต่อ  โครงการไอซีเอส มีจุดเด่นสำคัญที่ต้องตอกย้ำ คือทำเลที่ตั้งโครงการมีความพิเศษต่างจากย่านธุรกิจอื่น เพราะเป็นทำเลที่มีระบบการคมนาคมขนส่งสมบูรณ์ครบทั้งรถ ราง เรือ (รถยนต์ รถไฟฟ้า และเรือโดยสาร) โดยด้านหน้าโครงการติดถนนเจริญนคร เดินทางสะดวกได้ทั้งรถยนต์ส่วนตัว รถโดยสารสาธารณะ หรือจะเดินทางด้วยรถไฟฟ้าสายสีทอง สถานีเจริญนคร ซึ่งเชื่อมต่อไปยังสถานีรถไฟฟ้าสายอื่นๆ ได้อย่างง่ายดาย นอกจากนั้น ไอซีเอสยังเชื่อมต่อตรงกับโครงการไอคอนสยามที่ด้านหลังติดโค้งน้ำเจ้าพระยาซึ่งรองรับการหมุนเวียนของทราฟฟิกจากท่าเรือสาธารณะถึง 99 ท่าเรือ     “ทำเลทองที่ตั้งโครงการนี้อยู่บนพื้นที่ที่มีการขยายตัวของโครงการที่พักอาศัยมากที่สุดย่านหนึ่ง โดยภายใน 2-3 ปีจากนี้ คาดว่าจะมีที่พักอาศัยคอนโดมิเนียมเพิ่มขึ้นอีกมากกว่า 50 โครงการหรือราว 25,000 ยูนิต นอกจากนั้น ยังรายล้อมไปด้วยโรงแรม 5 ดาว อย่าง มิลเลนเนียมฮิลตัน  เพนนินซูลา  โอเรียนเต็ล   แชงกรีลา ซึ่งในอนาคตยังจะมีกลุ่มธุรกิจโรงแรมชั้นนำที่เตรียมขยายบริการมายังทำเลย่านนี้อีก 2-3 โครงการ  รวมถึงมีแผนงานการย้ายศูนย์ราชการขนาดใหญ่มายังย่านคลองสาน แสดงให้เห็นว่าเป็นพื้นที่ธุรกิจที่มีการขยายตัวสูงมาก  จากศักยภาพทำเลดังกล่าวจึงเป็นจุดดึงดูดกลุ่มลูกค้าหลัก พนักงานออฟฟิศ เจ้าของธุรกิจ และประชาชนทั่วไป โดยคาดว่าจะมีการหมุนเวียนของผู้เข้ามาใช้บริการที่ไอซีเอส วันละกว่า 40,000 คน” นายสุพจน์กล่าว   นายสุพจน์ กล่าวต่อไปว่า  ไอซีเอสเป็นอาคารสูง 29 ชั้น บนพื้นที่ 5-1-94 ไร่ ริมถนนเจริญนคร มีพื้นที่บริการรวม 70,000 ตารางเมตร รูปแบบการพัฒนาโครงการเน้นมิกซ์ยูสแนวคิดใหม่ ที่มีทั้งธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจบริการโรงแรม และอาคารสำนักงาน ทำให้สามารถตอบสนองความต้องการดำเนินธุรกิจทั้งของผู้ประกอบการรายใหญ่และรายย่อย สำหรับลูกค้าเรามีทั้งสินค้าและบริการที่หลากหลาย เน้นตอบโจทย์ชีวิตประจำวัน และการช้อปปิ้งที่สะดวก ง่าย เร็ว ทำให้สามารถขยายไปยังฐานลูกค้าใหม่ๆ ที่สินค้าและบริการในไอคอนสยามอาจยังไม่ตอบโจทย์ความต้องการในบางวัน ดังนั้น มั่นใจมากว่า หลังไอซีเอสเปิดให้บริการ จะช่วยเติมเต็มไอคอนสยามสู่ความเป็นเมืองที่สมบูรณ์แบบครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายได้ครบทุกเซกเมนต์ ไอซีเอส มิกซ์ยูส นางสาวแคโรไลน์ เมอร์ฟีย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายการขายและธุรกิจสัมพันธ์ บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด เปิดเผยว่า ด้วยศักยภาพทำเลที่ตั้งของโครงการไอซีเอส ส่งผลให้แบรนด์ยักษ์ใหญ่ในวงการค้าปลีกอย่างโลตัส  กลุ่มธุรกิจโรงแรมชั้นนำอย่างฮิลตัน การ์เด้น อินน์ และธุรกิจเฮลท์แคร์ ที่ให้บริการ อินโนเวทีฟ เฮลท์ แอนด์ ไลฟ์สไตล์ เซ็นเตอร์ จากโรงพยาบาลชื่อดังระดับประเทศ มองเห็นโอกาสและตัดสินใจเข้าร่วมสร้างสรรค์โครงการกับไอซีเอส การเปิดให้บริการของพันธมิตรทั้ง 3 กลุ่มธุรกิจจะมีความโดดเด่น และแตกต่างไปจากรูปแบบการให้บริการเดิม เพื่อสร้างความแปลกใหม่ และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้าได้มากขึ้น เรียกได้ว่าเป็น บิสเนสแฟลกชิพที่มีความพิเศษ แตกต่าง ทันสมัย เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับผู้เข้ามาใช้บริการ อีกทั้งยังเป็นการขยายฐานลูกค้าใหม่ ๆ ย่านฝั่งธนฯ ได้เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย ไอซีเอส เป็นศูนย์รวมธุรกิจการค้าและบริการที่สะท้อนไลฟ์สไตล์ ประกอบด้วยธุรกิจ 3 ส่วนหลัก ได้แก่ พื้นที่สำหรับดำเนินธุรกิจค้าปลีก พื้นที่อาคารสำนักงานให้เช่า และธุรกิจบริการโรงแรม     1.ธุรกิจค้าปลีก รูปแบบเป็นอาคารโลว์ไรส์ รวม 8 ชั้น ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ที่รีบเร่ง ไอซีเอส จึงเป็นแบรนด์ที่จะส่งมอบประสบการณ์และความสุขให้แก่ลูกค้าทุกวัน ภายใต้แนวคิด Always A Good Day “ความสุขของทุกวันที่ ICS”  โดยจับมือกับ โลตัส, อินโนเวทีฟ เฮลท์ แอนด์ ไลฟ์สไตล์ เซ็นเตอร์ จากโรงพยาบาลชั้นนำ และพันธมิตรคู่ค้าชั้นนำอีกกว่า 200 แบรนด์  อาทิ สินค้าไลฟ์สไตล์เพื่อบ้านและการอยู่อาศัย สินค้าไอที บริการด้านการเงิน แบรนด์แฟชั่น ธุรกิจบริการด้านความงามและเครื่องสำอางระดับแถวหน้า รวมไปถึงร้านค้าที่ให้บริการด้านต่างๆ ที่รองรับการใช้ชีวิตประจำวัน   และร้านอาหารแบรนด์ดังกว่า 80 แบรนด์ รวมถึงร้านอาหารชั้นนำจากต่างประเทศ ที่เลือกมาเปิดให้บริการที่ไอซีเอสเป็นสาขาแรก 2.ไอซีเอส ออฟฟิศทาวเวอร์ พื้นที่สำนักงานให้เช่า ตั้งอยู่ระหว่างชั้น 6-8  พัฒนาภายใต้แนวคิดที่ต้องการส่งเสริมการทำธุรกิจของผู้ประกอบการทั้งในกลุ่มที่เพิ่งเริ่มก่อตั้งกิจการและกลุ่มที่ต้องการขยายกิจการ ซึ่งจะทำให้มีผู้มาใช้บริการระหว่างสัปดาห์เป็นจำนวนมาก 3.โรงแรมฮิลตัน การ์เด้น อินน์ กรุงเทพ ไอซีเอส เจริญนคร ( Hilton Garden Inn Bangkok ICS Charoen Nakhon)  ภายใต้การบริหารงานโดยโรงแรมฮิลตัน การ์เด้น อินน์ เชนโรงแรมชั้นนำชื่อดังจากต่างประเทศ ที่รองรับนักเดินทางทั้งจากธุรกิจ MICE, การท่องเที่ยวและสันทนาการ   นายสมพงษ์ รุ่งนิรัติศัย ประธานคณะผู้บริหาร ธุรกิจโลตัส ประเทศไทย หนึ่งในแม่เหล็กสำคัญที่จะมาเติมเต็มความต้องการของนักช้อปย่านฝั่งธนฯ เผยถึงความพิเศษของ โลตัส สาขา ICS ว่า พร้อมเปิดตัวโลตัสคอนเซ็ปต์ใหม่ล่าสุด  “SMART Premium Supermarket” บนพื้นที่กว่า 3,000 ตารางเมตร ที่พัฒนาขึ้นภายใต้ความมุ่งมั่นของโลตัสในการทำให้ลูกค้าของเรา “รู้สึกดีดีทุกวัน ที่โลตัส” ปัจจุบัน โลตัส ถือเป็นผู้นำธุรกิจค้าปลีก New SMART Retail ที่ให้บริการแบบไร้รอยต่อผ่านทั้งสาขาหลากหลายรูปแบบและช่องทางออนไลน์ เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์และความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่มเป้าหมายและทุกพื้นที่  การร่วมมือกับไอซีเอส เปิด Lotus’s SMART Premium Supermarket ครั้งนี้ จะเป็นการยกระดับการให้บริการนักช้อป พร้อมรองรับ Modern Urban Lifestyle ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ทันสมัยในระดับพรีเมียม ด้วยสินค้าพรีเมียมจากทั้งในไทยและต่างประเทศ สินค้าท้องถิ่นที่เราคัดสรรจากแหล่งที่ดีที่สุด และสินค้านำเข้าในราคาที่เอื้อมถึง   “โลตัส สาขาไอซีเอส ภายใต้คอนเซ็ปต์ Smart Premium Supermarket จะเป็นแหล่งช้อปปิ้งที่ยกระดับความสะดวกสบายให้ลูกค้าสามารถจับจ่ายสินค้าทั้งอาหารสด วัตถุดิบเกรดพรีเมียมที่นำเข้าส่งตรงจากต่างประเทศ สินค้าไทยที่เราคัดสรรมาจากแหล่งที่ดีที่สุด สินค้าอุปโภคบริโภคจากหลายแบรนด์ดังทั้งไทยและต่างประเทศ ที่สำคัญคือ ยังคงมาตรฐานของโลตัส ในด้านสินค้าที่มีคุณภาพสูงในราคาที่คุ้มค่า  ขณะเดียวกัน เรายังพร้อมบริการด้วยแนวคิด SMART Life Solutions โดยนำเทคโนโลยีเข้ามาเพิ่มความสะดวกสบายสอดรับชีวิตทันสมัย ทำให้การซื้อและชำระเงินง่ายขึ้น ด้วยบริการไร้เงินสด (Cashless) ผ่านวอลเล็ตและแอปพลิเคชั่น รวมไปถึงการชำระสินค้าได้ด้วยตัวเองผ่านตู้คีออสรับชำระสินค้าแบบสมาร์ทอีกด้วย” นายสมพงษ์กล่าวสรุป   อีกความพิเศษของโครงการไอซีเอส คือ การได้พันธมิตรโรงแรมแบรนด์ดังระดับโลกในเครือฮิลตัน เข้ามารองรับความต้องการของนักเดินทาง นักท่องเที่ยวและนักธุรกิจ ที่มีแนวโน้มเดินทางมายังประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น โดยนายจิรฐา วรปรางกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอคอน โฮเทล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด เปิดเผยว่า การที่เศรษฐกิจมีสัญญานค่อยๆ ฟื้นตัว การท่องเที่ยวเริ่มกลับมาคึกคัก ทำให้บริการด้านโรงแรมสำหรับกลุ่ม MICE (Meetings, Incentive Travel, Conventions, Exhibitions) มีแนวโน้มขยายตัวอย่างชัดเจน ดังนั้น ห้องพักและบริการจากทางโรงแรมจะเป็นส่วนสำคัญที่มารองรับการขยายตัวของธุรกิจนี้ โดยเห็นได้ชัดเจนจากจำนวนการจองพื้นที่เพื่อจัดอีเว้นท์และการประชุมของ ทรู ไอคอน ฮอลล์ ภายในไอคอนสยาม ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในครึ่งปีหลัง   “แบรนด์โรงแรมฮิลตัน การ์เด้น อินน์ ตัดสินใจเปิดดำเนินการกับไอซีเอส เพราะเห็นศักยภาพของโครงการ มีความมั่นใจในทีมบริหารโครงการ และที่สำคัญคืออยู่ในทำเลทองที่ยอดเยี่ยม ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของการเลือกเปิดให้บริการโรงแรม”   โรงแรมฮิลตัน การ์เด้น อินน์ กรุงเทพ ไอซีเอส เจริญนคร เป็นอาคารสูง 19 ชั้น ให้บริการห้องพัก  241 ห้อง ได้รับแรงบันดาลใจจากการผสมผสานความหลากหลายทางศิลปะวัฒนธรรมของชุมชนในอดีตย่านฝั่งธนบุรี ทั้งไทย จีน และโปรตุเกส ถ่ายทอดออกมาสู่การออกแบบตกแต่งภายในที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว  ด้วยการนำงานสถาปัตยกรรม ลวดลายปูนปั้นไทย  งานแกะสลักไม้แบบศิลปะจีน งานกระเบื้องและลวดลายเอกลักษณ์ของสถาปัตยกรรมโปรตุเกส มาผสมผสานกันอย่างลงตัว  โรงแรมให้ความสำคัญในการบริการลูกค้าให้ได้รับความสะดวกสบาย มีบริการห้องอาหาร All Day Dining ที่รองรับการจัดงานอีเว้นต์ได้ตลอดวัน รังสรรค์เมนูอร่อยจาก 4 วัฒนธรรมของชุมชนในอดีต ที่สำคัญคือไพรม์โลเคชั่นของตัวโรงแรมที่เป็นอาคารสูงเพียงหลังเดียวในพื้นที่โดยรอบ ทำให้สามารถรับชมวิวของกรุงเทพมหานครได้แบบ 360 องศา ทั้งวิวฝั่งพระนคร และฝั่งธนบุรี   ไอซีเอส มิกซ์ยูส  ปัจจุบัน โครงการ ICS  มีความคืบหน้าการก่อสร้างแล้วร้อยละ 90  และพร้อมเปิดให้บริการปลายไตรมาส 4 ปี 2565 นี้   บทความน่าสนใจ 1 ปี การเดินทาง “ไอคอนสยาม” กับความสำเร็จใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ ทดลองนั่งรถไฟฟ้าสายสีทอง ที่ไม่มีคนขับ !! ไป ไอคอนสยาม ไอคอนสยาม’ จัดงาน “แบงค็อก อิลลูมิเนชั่น แอท ไอคอนสยาม อลังการขบวนต้นคริสต์มาสเอกลักษณ์ไทย ตระการตากับฟลอร์แมปปิ้งสุดล้ำ ครั้งแรกในประเทศไทยยิ่งใหญ่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา
[PR News] เอสซี เตรียมขน 17 โปรเจ็กต์ใหม่ เปิดตัวครึ่งปีหลังดันเป้ารายได้ 22,000 ล้าน

[PR News] เอสซี เตรียมขน 17 โปรเจ็กต์ใหม่ เปิดตัวครึ่งปีหลังดันเป้ารายได้ 22,000 ล้าน

เอสซี เดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่ครึ่งปีหลัง เตรียมอีก 17 โปรเจ็กต์ลุยตลาด ดันเป้ารายได้ 22,000 ล้าน ล่าสุด เปิดตัวแบรนด์เวนิว ไอดี ทำเล พหลโยธิน-รังสิต บ้านระดับราคา 5-10 ล้าน จับตลาดคนรุ่น Gen Y   นายณัฏฐกิตติ์ ศิริรัตน์ หัวหน้าสายงานการตลาด บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC เปิดเผยถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจช่วงครึ่งปีหลังว่า ได้เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่อีก 17 โครงการ แบ่งเป็นแนวราบ 16 โครงการ และคอนโดมิเนียมอีก 1 โครงการ หลังจากช่วงครึ่งปีแรกเปิดตัวโครงการแนวราบไปแล้ว 9 โครงการและคอนโด 1 โครงการ   โดยแผนธุรกิจในปี 2565 บริษัทมีแผนเปิดโครงการรวม 27 โครงการ มูลค่ารวม 41,000 ล้านบาท แบ่งเป็นประเภทคอนโด 2 โครงการ และโครงการแนวราบ 25 โครงการ มูลค่า 35,000 ล้านบาทเพื่อผลักดันยอดขายและรายได้ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ที่มูลค่า 22,000 ล้านบาท ซึ่งช่วงครึ่งปีแรกสามารถทำยอดขายได้ 12,020 ล้นบาท เป็นยอดขายสูงสุดเท่าที่เคยดำเนินธุรกิจมา ล่าสุด ได้เปิดตัวโครงการใหม่  เวนิว ไอดี พหลโยธิน-รังสิต มูลค่าโครงการ 1,900 ล้านบาท ที่ได้แรงบันดาลใจการดีไซน์มาจากมหานครลาสเวกัส (Las Vegas)  ซึ่งมีแบบบ้านให้เลือก 4 สไตล์ ได้แก่ แบบบ้าน Jolly พื้นที่ใช้สอย 193 ตร.ม. บนที่ดินเริ่มต้น 53.9 ตร.ว. ประกอบด้วย 3 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ 1 Family Area และ 2 ที่จอดรถ แบบบ้าน Jovial พื้นที่ใช้สอย 212 ตร.ม. บนที่ดินเริ่มต้น 56.1 ตร.ว. ประกอบด้วย 4 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ 1 Family Area และ 2 ที่จอดรถ แบบบ้าน Joyous พื้นที่ใช้สอย 276 ตร.ม. บนที่ดินเริ่มต้น 64 ตร.ว. ประกอบด้วย 5 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 1 Family Area และ 3 ที่จอดรถ แบบบ้าน Jubilant พื้นที่ใช้สอย 313 ตร.ม. บนที่ดินเริ่มต้น 74.1 ตร.ว. ประกอบด้วย 5 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 1 Family Area และ 3 ที่จอดรถ โดยแบรนด์ เวนิว ไอดี ในปีนี้จะเปิดตัวทั้งหมด​  4 โครงการ รวมมูลค่าโครงการ 6,500 ล้านบาท ซึ่งโครงการที่เปิดไปก่อนหน้านี้แล้ว คือ โครงการเวนิว ไอดี ปิ่นเกล้า – ศาลายา มูลค่าโครงการ 1,300 ล้านบาท  และจะเปิดต่ออีก 2 โครงการ ได้แก่  โครงการ เวนิว ไอดี มอเตอร์เวย์ - พระราม 9 มูลค่าโครงการ 1,850 ล้านบาท  และโครงการ เวนิว ไอดี วิภาวดี - พหลโยธิน มูลค่าโครงการ 1,450 ล้านบาท สำหรับแบรนด์เวนิว ไอดี เป็นโครงการบ้านเดี่ยวและบ้านแฝด ที่มีระดับราคา 5-10 ล้านบาท  ยมีกลุ่มหมายเป็นคน Gen Y อายุ 20-35 ปี ที่ทำงานในบริษัทเอกชนหรือประกอบธุรกิจส่วนตัว เช่น ขายสินค้าออนไลน์ ที่ต้องการพื้นที่การอยู่อาศัยเพิ่มมากขึ้น โดยปีนี้บริษัทคาดว่าจะสามารถทำยอดขายแบรนด์เวนิว ทั้ง 4 โครงการได้ 1,000 ล้านบาท จากปัจจุบันมียอดขายแล้ว 500 ล้านบาท  อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เอสซี แอสเสท ตุนยอดขาย 6 เดือนกว่า 11,500 ล้าน เตรียมเปิด 15 โปรเจ็กต์ใหม่ดันเป้ารายได้  

1 2