Other

 

Other ล่าสุด

1 2
[PR News] CIVIL โชว์แผนครึ่งปีหลัง 65 เร่งเพิ่มงานเอกชน มั่นใจรายได้โตตามเป้า 6500 ล้านบาท

[PR News] CIVIL โชว์แผนครึ่งปีหลัง 65 เร่งเพิ่มงานเอกชน มั่นใจรายได้โตตามเป้า 6500 ล้านบาท

CIVIL  เผยทิศทางธุรกิจครึ่งปีหลัง 65 ชูจุดเด่นกลยุทธ์บริหารงานก่อสร้าง  และการจัดการต้นทุนที่ดี พร้อมส่งมอบงานตามแผน พร้อมเจรจาพันธมิตรสร้าง New S-Curve ธุรกิจเหมืองหินเดินหน้าเต็มกำลัง เร่งประมูลงานภาครัฐและเอกชน ดัน Backlog 15,000 – 20,000 ล้านบาท มั่นใจรายได้รวมทั้งปีเติบโตตามเป้าหมาย 6,000-6,500 ล้านบาท   CIVIL  นายปิยะดิษฐ์ อัศวศิริสุข ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ซีวิลเอนจีเนียริง จำกัด (มหาชน) หรือ CIVIL เปิดเผยว่า ภาคอุตสาหกรรมก่อสร้างยังคงได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากสถานการณ์วิกฤติซ้อนวิกฤติ ทั้งในด้านการแพร่ระบาดของโควิด-19 แรงงานก่อสร้างขาดแคลน สงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ทำให้ราคาเหล็กสุงขึ้นราคาต้นทุนวัสดุก่อสร้างสูง และปัญหาเงินเฟ้อ และค่าเงินบาทผันผวน . CIVIL โชว์แผนครึ่งปีหลัง 65 ส่งผลให้หลายบริษัทในอุตสาหกรรมเริ่มประสบปัญหา อย่างไรก็ตามบริษัทมีการปรับกลยุทธ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในโครงการก่อสร้าง และการจัดการต้นทุนก่อสร้างให้สอดรับกับสถานการณ์ แม้ผลการดำเนินงานอาจมีแนวโน้มชะลอตัวเล็กน้อยเนื่องจากสภาพเศรษฐกิจและปัจจัยเสี่ยงที่กระทบอุตสาหกรรม แต่บริษัทยังคงสามารถดำเนินการก่อสร้างและส่งมอบงานได้ตามแผน อีกทั้งยังสามารถทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง   CIVIL สำหรับทิศทางธุรกิจช่วงครึ่งปีหลัง 2565 บริษัทยังคงมุ่งเน้นบริหารงานพร้อมทั้งรับรู้รายได้จากงานในมืออย่างต่อเนื่อง พร้อมพัฒนาการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ควบคู่กับการจัดการต้นทุนทั้งด้านวัสดุและแรงงาน เพื่อเพิ่มศักยภาพดำเนินงานก่อสร้างให้ได้เกินกว่าแผนงานและส่งมอบงานได้ตามกรอบระยะเวลา อีกทั้งสามารถรักษาอัตรากำไรของบริษัทให้อยู่ในระดับดี รวมถึงวางแผนลงทุนในเครื่องจักรที่ทันสมัยเพื่อเสริมศักยภาพการก่อสร้าง รองรับงานที่คาดว่าจะเข้ามาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรหลายรายที่จะช่วยสร้าง New S-Curve ต่อยอดการเติบโตธุรกิจในอนาคต     ขณะที่ธุรกิจเหมืองหินจังหวัดสระบุรี ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท ซีวิล คอนสตรัคชั่น เซอร์วิส แอนด์ โปรดักส์ จำกัด (บริษัทย่อย) ได้เปิดให้บริการเต็มกำลังการผลิตเรียบร้อยแล้ว ส่งผลให้ต้นทุนวัสดุก่อสร้างของบริษัทลดลงจากการนำหินมาใช้ในโครงการก่อสร้างของ CIVIL อีกทั้งแหล่งวัตถุดิบตั้งอยู่ใกล้โครงการก่อสร้างทางรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ซึ่งทำให้ประหยัดต้นทุนการขนส่ง และลดความผันผวนของ Supply หิน นอกจากนี้ยังมีรายได้จากการจำหน่ายหินให้กับบริษัทอื่นๆในอุตสาหกรรม ซึ่งจะช่วยสร้างการเติบโตของกำไรให้กับบริษัท   CIVILโชว์แผนครึ่งปีหลัง 65 ทั้งนี้ บริษัทมีแผนการเข้าประมูลโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐที่กำลังจะเปิดการประมูลในช่วงครึ่งปีหลัง 2565 อาทิ งานก่อสร้างทางหลวงและทางพิเศษ, งานเขื่อนและระบบน้ำ, งานก่อสร้างและปรับปรุงสนามบิน, งานก่อสร้างทางรถไฟความเร็วสูง มูลค่ารวมกว่า 17,000 ล้านบาท ขณะเดียวกันบริษัทมีแผนเตรียมเข้าประมูลงานภาคเอกชน เพื่อเพิ่มโอกาสการรับงานที่หลากหลาย ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้มูลค่างานในมือ (Backlog) ของบริษัทเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ที่ระดับ 15,000 – 20,000 ล้านบาท   “สิ่งที่ทำให้ CIVIL มีความแตกต่างคือการจัดการต้นทุนที่ดี และการบริหารโครงการก่อสร้างที่มีคุณภาพ คำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก และดำเนินงานด้วยความรวดเร็วกว่าแผน อีกทั้งมุ่งมั่นเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ที่แม้สถานการณ์เศรษฐกิจยังไม่แน่นอน แต่โครงการภาครัฐยังคงเดินหน้าและมีแผนการเปิดประมูลที่ชัดเจน ซึ่งนั่นหมายถึงโอกาสการขยายศักยภาพของบริษัทที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และจากแผนการดำเนินงานทั้งหมด คาดว่าจะสามารถสร้างการเติบโตของรายได้ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ 20-30% หรือที่ 6,000-6,500 ล้านบาท” นายปิยะดิษฐ์ กล่าวเพิ่มเติม . ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนงานก่อสร้างแบ่งเป็น งานก่อสร้างทางรถไฟและทางรถไฟความเร็วสูง 46%, งานทาง 41%, งานก่อสร้างสนามบิน 2%, งานเขื่อนและระบบน้ำ 1% และงานประเภทอื่นๆ 10%                        บทความน่าสนใจ ก่อผนัง.. ต้องใช้วัสดุเท่าไหร่? คำนวนได้ง่ายๆ ด้วยตัวเอง SCG เรียนรู้อะไร? กับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปหลัง COVID-19 เปิดแผน CCP ปี 62 ลุยตลาดพรีคาสท์-งานภาครัฐ สร้างรายได้ 2,500 ล้าน  
M Life บางแค-สาทร พรีเมียมทาวน์โฮม ติดถนนกาญจนา ห่างรถไฟฟ้า 5 นาที

M Life บางแค-สาทร พรีเมียมทาวน์โฮม ติดถนนกาญจนา ห่างรถไฟฟ้า 5 นาที

M Life บางแค-สาทร โครงการ M Life บางแค-สาทร เป็นโครงการพรีเมียมทาวน์โฮม จากบริษัท เพลินพัฒน์ แอสเสท จำกัด หรือ Maison Development ที่จะมาตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์วัยทำงาน ที่ต้องการขยับขยายที่อยู่เพื่อสร้างครอบครัวใหม่ ด้วยบ้านดีไซน์หรูหราสไตล์ยุโรปผสมผสานความทันสมัย ปักหมุดทำเลในย่านบางแคบนถนนกาญจนาภิเษก ที่แวดล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย รวมถึงการเดินทางเข้าออกเมืองได้ง่าย ไม่ว่าจะใช้รถส่วนตัว หรือใช้บริการรถไฟฟ้า (สถานีหลักสอง) เพื่อให้สมาชิกทุกคนในครอบครัวใช้ชีวิตได้อย่างรอบด้าน     รีวิวฉบับนี้ เราจะพาไปเยี่ยมชมบรรยากาศภายในโครงการ M Life บางแค-สาทร รวมถึงภายในบ้านตัวอย่างและพื้นที่ส่วนกลางของโครงการ ซึ่งทางโครงการมีแบบบ้านให้เลือกด้วยกัน 2 แบบ ภายใต้แนวคิด Timeless Classy Style Townhome ที่เน้นการออกแบบที่หรูหราทันสมัย พร้อมพื้นที่ใช้สอยภายในตัวบ้านที่กว้างขวาง เพื่อการใช้งานที่หลากหลายความต้องการ   ปักหมุดบนทำเลเพื่อการอยู่อาศัย โครงการ M Life บางแค-สาทร ตั้งอยู่ในซอยกาญจนาภิเษก 5 ถัดจากถนนใหญ่เข้ามาเพียง 350 เมตร ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในทำเลที่สามารถเดินทางไปยังส่วนต่างๆ ของกรุงเทพฯ ได้สะดวก ด้วยความที่ถนนกาญจนาภิเษกเป็นถนนที่เชื่อมต่อกับถนนเส้นอื่นๆ มากมาย โดยเฉพาะบริเวณที่ตั้งโครงการอยู่ใกล้กับช่วงตัดกับถนนเพชรเกษม-บางแค ที่อุดมไปด้วยสาธารณูปโภคต่างๆ มากมาย จึงเป็นทำเลที่หลายๆ โครงการเลือกที่จะพัฒนาที่ดินเพื่อการอยู่อาศัยอย่างต่อเนื่อง และด้วยการเปิดให้บริการของรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย มาถึงสถานีหลักสองซึ่งเป็นสถานีที่อยู่ใกล้กับตัวโครงการมากที่สุด โดยห่างออกไปเพียง 3.5 กิโลเมตรเท่านั้น ก็ยิ่งทำให้พื้นที่ในย่านนี้กลับมาคึกคักด้วยโครงการใหม่ๆ ผุดขึ้นมากมาย     เมื่อพูดถึงสิ่งอำนวยความสะดวกในย่านบางแค หลายคนคงคุ้นเคยกับ The Mall บางแค ซึ่งถือเป็นห้างสรรพสินค้าหลักของย่านนี้ แต่ในปัจจุบัน พื้นที่โดยรอบยังมี ห้างสรรพสินค้าคอมมูนิตี้มอลล์ และแหล่งช้อปปิ้งชั้นนำอีกหลายแห่ง เช่น The Explace Mall, Lotus บางแค, Big C เพชรเกษม, Makro บางแค, Victoria Garden, Seacon Square บางแค, ตลาดสดบางแค, ตลาดอินดี้ กัลปพฤกษ์, Homepro กัลปพฤกษ์ ฯลฯ นอกจากนี้พื้นที่รอบๆ ยังเพียบพร้อมไปด้วยสถานศึกษา และสถานพยาบาลชั้นนำมากมาย อาทิ โรงเรียนเลิศหล้า กาญจนาภิเษก, โรงเรียนนานาชาติบริทิชโคลัมเบีย, โรงเรียนอนุบาลเด่นหล้า, โรงเรียนสารสาสน์วิเทศ บางบอน, โรงเรียนสารสาสน์ธนบุรี, โรงเรียนนานาชาติไพโอเนียร์ส บางแค, โรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี, มหาวิทยาลัยสยาม, มหาวิทยาลัยธนบุรี โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ บางแค, โรงพยาบาลบางประกอก 8, โรงพยาบาลพญาไท 3 และ โรงพยาบาลสหวิทยาการมะลิ เป็นต้น   2 แบบบ้านตอบโจทย์การอยู่อาศัย โครงการ M Life บางแค-สาทร เป็นโครงการพรีเมี่ยมทาวน์โฮม 2 ชั้น ภายใต้แนวคิดในการออกแบบ “Timeless Classy Style Townhome” สะท้อนความหรูหราผสานความร่วมสมัย พร้อมฟังก์ชั่นภายในบ้านที่จะมาตอบโจทย์การอยู่อาศัยของทุกคนในครอบครัว ด้วยบ้านขนาด 4 ห้องนอน 3ห้องน้ำ กับแบบบ้านที่มีให้เลือกด้วยกัน 2 แบบ พร้อมพื้นที่ส่วนกลางที่ประกอบไปด้วยพื้นที่สีเขียวของส่วนหย่อมสำหรับการพักผ่อนหย่อนใจ สนามเด็กเล่นพร้อมเครื่องเล่นสีสันสดใส สระว่ายน้ำ และฟิตเนสในบริเวณคลับเฮาส์ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของลูกบ้านทุกคน     แบบบ้าน M 1 – ทาวน์โฮม 2 ชั้น 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 1 ที่จอดรถ หน้ากว้าง 5.4 เมตร พื้นที่ใช้สอย 124.2 ตร.ม.   บริเวณชั้น 1 ของตัวบ้าน สามารถจอดรถได้ 1 คัน พร้อมพื้นที่สวนหน้าบ้านและห้องเก็บของด้านหน้า ถัดเข้ามาในตัวบ้านจะเจอกับ Living Area เป็นอันดับแรก ซึ่งทางโครงการได้จัดตกแต่งเป็นไอเดียที่น่าสนใจด้วยการแบ่งพื้นที่การใช้งานไว้เป็นสัดส่วน บริเวณห้องรับแขกเชื่อมต่อกับห้องกินข้าว และทางโครงการต่อเติมครัวไทยและพื้นที่ซักผ้าเพิ่มไว้ในโซนด้านหลัง ซึ่งทางโครงการได้ลงเสาเข็มไว้ให้เรียบร้อยแล้ว พื้นที่ด้านหลังบ้านนี้จึงสามารถต่อเติมเพื่อใช้ประโยชน์ได้ตามความต้องการของผู้อาศัย นอกจากนี้ในบริเวณชั้น 1 ยังมีห้องเอนกประสงค์ที่สามารถเลือกใช้เป็นได้ทั้งห้องนอนสำหรับผู้สูงอายุ เพราะมีห้องน้ำอยู่ติดกันจึงเพิ่มความสะดวกในการใช้งาน หรือจะเลือกตกแต่งเป็นห้องเกมส์เหมือนกับที่ทางโครงการนำเสนอไอเดียไว้ในบ้านตัวอย่างก็ทำได้เช่นกัน          ขึ้นมาที่บริเวณชั้น 2 ของตัวบ้าน แบ่งเป็น 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ ซึ่งทางโครงการตั้งใจแบ่งฟังก์ชันการใช้งานห้องน้ำ แยกเป็นห้องอาบน้ำและห้องส้วมออกจากกัน เพื่อความสะดวกในกรณีที่ต้องใช้งานพร้อมๆ กัน ส่วนห้อง Master Bedroom อยู่ในตำแหน่งด้านหน้าของตัวบ้าน พื้นที่กว้างขวางเต็มหน้ากว้างของตัวบ้าน สามารถวางเตียง 5-6 ฟุตได้สบายๆ และยังมีพื้นที่เหลือสำหรับ Walk-in Closet ภายในห้องอีกด้วย ในขณะที่อีก 2 ห้องนอนอยู่ในโซนด้านหลังของตัวบ้าน ทางโครงการจัดตกแต่งเป็นห้องนอนเล็กสำหรับครอบครัวที่มีลูกเล็ก ภายในห้องสามารถวางเตียงขนาด 3.5 ฟุตได้สบายๆ หรือเราอาจจะเลือกตกแต่งและใช้ประโยชน์อื่นๆ ได้ตามต้องการ เช่น การใช้เป็นห้องทำงาน ห้องออกกำลังกาย หรือห้องแต่งตัวก็ได้ หากมีจำนวนสมาชิกในครอบครัวไม่มากนัก     ______________________________________________________________________     แบบบ้าน M 2 – ทาวน์โฮม 2 ชั้น 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ หน้ากว้าง 5.4 เมตร พื้นที่ใช้สอย 109.84 ตร.ม.    สำหรับบ้านแบบ M 2 จะมีพื้นที่ใช้สอยภายในตัวบ้านมากกว่าแบบแรก ในขณะที่สามารถจอดรถได้ถึง 2 คัน (เต็มพื้นที่หน้าบ้าน) บริเวณชั้น 1 กว้างขวาง สามารถแบ่งโซนรับแขก และรับประทานอาหารได้อย่างลงตัว และยังเพิ่มพื้นที่ห้องเอนกประสงค์อีก 1 ห้อง สำหรับตกแต่งเป็นห้องนอนชั้นล่าง หรือจะใช้เป็นห้องทำงานก็ได้ ด้วยขนาดห้องที่กว้างและอยู่ติดกับโซนด้านหลังบ้าน หน้าต่างเปิดรับแสงทำให้รู้สึกโปร่งสบายตามากขึ้น ส่วนด้านในสุดของตัวบ้าน ทางโครงการต่อเติมพื้นที่ด้านหลังเต็มพื้นที่ แบ่งเป็นครัวไทยและห้องซักผ้าไว้เป็นไอเดียเผื่อใครที่ต้องการต่อเติมบ้าน ซึ่งทางโครงการได้ลงเสาเข็มไว้ให้แล้ว        ถัดขึ้นมาที่บริเวณชั้น 2 จะแบ่งพื้นที่ออกเป็น 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ โดยที่แปลนบ้านแบบ M 2 นี้ในห้อง Master Bedroom จะมีห้องน้ำในตัว และมีพื้นที่สำหรับ Walk-in Closet บริเวณหน้าห้องน้ำอีกเช่นกัน ส่วนห้องนอนเล็กอีก 2 ห้องนั้น สามารถตกแต่งใช้ประโยชน์ได้หลายรูปแบบตามไลฟ์สไตล์ของผู้อาศัย ไม่ว่าจะเป็นห้องนอนลูกๆ ห้องทำงาน ห้องแต่งตัว ฯลฯ นอกจากนี้บริเวณหน้าห้องจะมีห้องน้ำอีกหนึ่งห้องที่สามารถแชร์การใช้งานร่วมกันได้       Facility ส่วนกลางเพื่อทุกคนในครอบครัว พื้นที่ส่วนกลางภายในโครงการ M Life บางแค-สาทร ประกอบไปด้วยคลับเฮ้าส์หรู พร้อมสระว่ายน้ำระบบน้ำเกลือ ยาว 10 เมตร ซึ่งแบ่งเป็นสระว่ายน้ำสำหรับเด็กไว้ด้วย บริเวณชั้น 2 ของคลับเฮ้าส์มีห้องฟิตเนสพร้อมอุปกรณ์ออกกำลังกายซึ่งลูกบ้านสามารถออกกำลังกายไปและชมวิวสระว่ายน้ำไปพร้อมๆ กันได้ นอกจากนี้ทางโครงการยังมีพื้นที่สวนหย่อมสำหรับการพักผ่อนหย่อนใจของลูกบ้าน รวมถึงสนามเด็กเล่นที่ใส่ใจออกแบบพื้นที่สนามกันกระแทกสีสันสดใสมาโดยเฉพาะ รวมถึงเครื่องเล่นออกกำลังกายกลางแจ้งก็มีพร้อมสำหรับคนที่ชื่นชอบการออกกำลังกายแบบ Outdoor     ในส่วนของความปลอดภัยสำหรับลูกบ้าน ทางโครงการได้ติดตั้งทั้งกล้อง CCTV และมีระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง รวมถึงการเข้าออกโครงการด้วย Auto Access Card ก็ยิ่งเพิ่มความรัดกุมและเพิ่มความอุ่นใจในการอยู่อาศัยให้มากขึ้นด้วย     โครงการ M Life บางแค-สาทร เป็นอีกหนึ่งโครงการที่น่าสนใจมากๆ ในย่านบางแค ด้วยทำเลศักยภาพที่เดินทางได้สะดวกมากๆ ใกล้กับรถไฟฟ้า สามารถตอบโจทย์ชีวิตคนเมืองได้เป็นอย่างดี หรือแม้แต่คนที่กำลังมองหาบ้านเพื่อขยายที่อยู่อาศัยสำหรับครอบครัวอยู่แล้ว เนื่องจากพื้นที่รอบๆ โครงการมีพร้อมทั้งห้างสรรพสินค้า โรงเรียน โรงพยาบาล และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ อีกมากมาย ที่สำคัญราคาบ้านที่เริ่มต้น 3.29 ล้านบาท* สามารถลงทะเบียนเพื่อรับส่วนลดและเสนอพิเศษเพิ่มเติมได้ที่ https://mlifebangkhae-sathon.com​     โครงการอื่นๆ ที่น่าสนใจ แกรนด์ สิวารมณ์ สุขุมวิท-บางปู บ้านเดี่ยว 4 ห้องนอน ท่ามกลางบรรยากาศสุดชิล สิวารมณ์ วิลเลจ สุขุมวิท-เทพารักษ์ ทาวน์โฮมดีใกล้รถไฟฟ้า M Life (เอ็มไลฟ์) ลำลูกกา-คลอง 4    
ลุมพินี วิสดอม  คาดปี 65 เปิดบ้าน-คอนโดเพิ่ม 20-25% ดีเวลลอปเปอร์ไม่หวันปัจจัยลบ​

ลุมพินี วิสดอม คาดปี 65 เปิดบ้าน-คอนโดเพิ่ม 20-25% ดีเวลลอปเปอร์ไม่หวันปัจจัยลบ​

ลุมพินี วิสดอม เผยข้อมูลครึ่งปีแรก 65 ดีเวลลอปเปอร์ เปิดโปรเจ็กต์ใหม่ 51,946 ยูนิต มูลค่ากว่า 1.88 แสนล้าน หลังชะลอแผนเปิดตัวตั้งแต่ปี 63 คาดทั้งปีเปิดตัวใหม่เติบโตไม่น้อยกว่า 20-25% ถึงแม้เศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัวในช่วงครึ่งหลังของปี   บริษัท ลุมพินี วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด  รายงานว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 (มกราคม-มิถุนายน 2565) ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ มีการเปิดตัวโครงการใหม่ 163 โครงการ มีจำนวนหน่วยเปิดตัวทั้งสิ้น 51,946 ยูนิต เพิ่มขึ้น 121% จากช่วงเดียวกันของปี 2564 จำนวนที่เปิดทั้งหมดคิดเป็นมูลค่า 188,373 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45% คอนโดเปิดเพิ่ม 231% จำนวนโครงการใหม่ที่เปิดตัวทั้งหมด แบ่งเป็น -โครงการคอนโดมิเนียม (อาคารชุดพักอาศัย) 48 โครงการ  มีจำนวนหน่วยทั้งสิ้น  30,579 ยูนิต เพิ่มขึ้น 231% จำนวนที่เปิดตัวทั้งหมดคิดเป็นมูลค่า 78,078 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40%  เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 และมีอัตราการขายเฉลี่ยที่  33%  ต่อโครงการต่อเดือน   -โครงการบ้านพักอาศัยมีจำนวน 115 โครงการ มีจำนวนหน่วยเปิดตัวทั้งสิ้น  21,367 ยูนิต เพิ่มขึ้น 49% จำนวนเปิดตัวทั้งหมดคิดเป็นมูลค่า 110,295 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 48%  เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 และ มีอัตราการขาย เฉลี่ย 12% ต่อโครงการต่อเดือน   บ้านพักอาศัยที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากตลาด เป็นบ้านพักอาศัยประเภททาวน์เฮ้าส์ ที่มีระดับราคา 2-5 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการที่มีจำนวนหน่วยเปิดตัวและหน่วยขายได้สูงที่สุดของบ้านพักอาศัยทุกประเภท โดยมีอัตราการขายเฉลี่ย 12% ต่อโครงการต่อเดือน   สำหรับทำเลที่มีการเปิดตัวทาวน์เฮ้าส์สูงสุด อยู่ในย่านรังสิต-ลำลูกกา รองลงมา คือ เพชรเกษม-อ้อมน้อย และทำเลศรีนครินทร์-บางนา-สุวรรณภูมิ ส่วนบ้านแฝด ระดับราคา 3-6 ล้านบาท เป็นกลุ่มที่มีอัตราขายเฉลี่ย 11% เปิดตัวสะสมสูงสุดในทำเลบางใหญ่-ราชพฤกษ์ รองลงมา คือ บางนา-ตราด-สุวรรณภูมิ และบ้านเดี่ยว เปิดใหม่ระดับราคา 6-10 ล้านบาท อัตราขายเฉลี่ย 13% เปิดตัวสะสมในทำเล บางใหญ่-ราชพฤกษ์ รองลงมา คือ ประชาอุทิศ-พุทธบูชา   ในขณะที่แนวโน้มการเปิดตัวโครงการที่พักอาศัยในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 จากการสำรวจของ  ลุมพินี วิสดอม  พบว่า ผู้ประกอบการอสังหาฯ ยังคงมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง ถึงแม้แนวโน้มเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 จะชะลอตัวซึ่งเป็นผลมาจากสถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ที่ผลักดันในราคาน้ำมัน และราคาสินค้าอุปโภคและบริโภค ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อัตราเงินเฟ้อทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้น ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อในประเทศไทยแตะระดับ 7.66% ในเดือนมิถุนายน 2565 ซึ่งเป็นอัตราเงินเฟ้อที่สูงที่สุดในรอบ 13 ปี ทำให้อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยครึ่งปีแรก 2565 อยู่ที่ 5.61%  ส่งผลให้ราคาวัสดุก่อสร้างปรับตัวสูงขึ้นไม่น้อยกว่า 5%  ก็ตาม   อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการอสังหาฯ​​ ยังคงเดินหน้าเปิดตัวโครงการในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑลอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการเปิดตัวอาคารชุดพักอาศัย เนื่องจากผู้ประกอบการได้มีการชะลอแผนการเปิดตัวโครงการมาตั้งแต่ปี 2563-2564 ทำให้จำนวนสินค้าที่พร้อมขายในตลาดลดลง จำเป็นที่จะต้องเปิดตัวโครงการใหม่ เพื่อสร้างฐานลูกค้าและรายได้ในปี 2565-2567 เพราะโครงการต้องใช้ระยะเวลาก่อสร้างและส่งมอบ 18-24 เดือน 3 สถานการณ์ดีสุดไปแย่สุด ทั้งนี้ จาก​ สถานการณ์ความไม่แน่นอนของการแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัส สายพันธ์ใหม่ 2019 (COVID-19) สายพันธ์โอมิครอน BA.4-BA.5 และความผันผวนของเศรษฐกิจที่เกิดจากสถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ส่งกระทบต่อระดับราคาน้ำมันและราคาสินค้าอุปโภค บริโภค รวมทั้งภาคการส่งออก และการท่องเที่ยวของไทย ทำให้  ลุมพินี วิสดอม ได้มีการจัดทำความเป็นไปได้ของตลาดอสังหาฯ​ ​ในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล โดยคำนึงถึง การเติบโตทางเศรษฐกิจ สถานการณ์สงคราม และการแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็น 3 สถานการณ์ ​ ดังนี้​ 1.กรณีที่ดีที่สุด (Best Case) เศรษฐกิจเติบโตที่ 3.5-4% อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปีต่ำกว่า 5% สถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครนคลี่คลาย ระดับราคาน้ำมันต่ำกว่า 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล การเปิดตัวโครงการอสังหาฯ ใหม่ ในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล จะอยู่ที่ 90,000-102,000 ยูนิต คิดเป็นมูลค่าประมาณ 333,000-408,000 ล้านบาท หรือมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 25-54%เมื่อเทียบกับปี 2564 เป็นอัตราเติบโตที่ใกล้เคียงกับปี 2562 ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 2.กรณีเติบโตปกติ (Base Case) เศรษฐกิจเติบโตที่ 2.5-3% อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 5-7% สถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครนคลี่คลายในไตรมาส 4 ของปี  ระดับราคาน้ำมันไม่เกิน  120 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล การเปิดตัวโครงการอสังหาฯ ใหม่ ในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล จะอยู่ที่ 78,000-84,000 ยูนิต คิดเป็นมูลค่าประมาณ 288,000-336,000 ล้านบาท หรือมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 9-27% เมื่อเทียบกับปี 2564 3.กรณีแย่ที่สุด (Worst Case) เศรษฐกิจเติบโตต่ำกว่า 2% อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปีสูงกว่า 7% สถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครนยังไม่คลี่คลาย ระดับราคาน้ำมันสูงกว่า  120 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล การเปิดตัวโครงการอสังหาฯ ใหม่ ในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล จะอยู่ที่ 60,000-72,000 ยูนิต คิดเป็นมูลค่าประมาณ 240,000-288,000 ล้านบาท หรือมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 5% ถึงอาจจะติดลบ 10% ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ เมื่อเทียบกับปี 2564   นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลุมพินี วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด บริษัทด้านวิจัยและพัฒนาในเครือบริษัท แอล. พี. เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) หรือ ลุมพินี วิสดอม​ เปิดเผยถึงแนวโน้มการเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ในปี 2565 ว่า ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ยังคงเดินหน้าเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยทั้งอาคารชุดและบ้านพักอาศัยอย่างต่อเนื่อง โดยความเป็นไปได้จาก 3 สถานการณ์ที่ประเมิน คาดว่า มีความเป็นไปได้ที่การเปิดตัวโครงการใหม่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล จะมีอัตราการเติบโตได้ตามกรณีอัตราการเติบโตปกติ (Base Case) เนื่องจากผู้ประกอบการจำเป็นที่จะต้องเปิดตัวโครงการใหม่โดยเฉพาะอาคารชุดพักอาศัย เพื่อชดเชยกับจำนวนสินค้าคงเหลือที่ลดลง และเพิ่มปริมาณสินค้าเข้าสู่ตลาดเพื่อสร้างรายได้ในอนาคตให้กับองค์กร ในขณะที่ความต้องการซื้อในตลาดยังคงมีอยู่โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยที่ระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อยูนิต   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -คาดตลาดอสังหาฯ ปี 65 โต 15-20% ได้ผลบวกเศรษฐกิจ-เปิดประเทศ-คลายล็อก LTV -อัพเดท ตลาดอสังหาฯ ไทยครึ่งปีแรก เปิดใหม่ลด18%สต็อกกว่า2.2แสนยูนิต
[PR News] JRY เผยความคืบหน้า 90% Sapphire Luxurious Condominium สาทร-พระราม 3

[PR News] JRY เผยความคืบหน้า 90% Sapphire Luxurious Condominium สาทร-พระราม 3

Sapphire Luxurious Condominium Sathorn-Rama 3  เจ อาร์ วาย พร็อพเพอร์ตี้ (JRY Property)  เผยความคืบหน้าโครงการ Sapphire Luxurious Condominium Sathorn-Rama 3 คอนโดมิเนียมลักชัวรี่วิวโค้งแม่น้ำเจ้าพระยา ก่อสร้างแล้วเสร็จกว่า 90% ก่อนลุยงานตกแต่งภายใน มั่นใจส่งมอบโครงการตามพันธสัญญาที่ให้กับลูกค้าสร้างประสบการณ์อยู่อาศัยเหนือระดับตอบโจทย์ ความหรูหราในราคาดีที่สุดบนทำเลสาทร-พระราม3 พร้อมลุยตลาดอสังหาเซกเมนต์พรีเมี่ยมต่อเนื่องสานต่อปรัชญาของแบรนด์ สู่การยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีให้คนเมือง   Sapphire Luxurious Condominium Sathorn-Rama 3  นายซิงหยู ว่าน ประธานบริษัท เจ อาร์ วาย พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้พัฒนาโครงการ Sapphire Luxurious Condominium Sathorn-Rama 3 (แซฟไฟร์ ลักซูเรียส คอนโดมิเนียม สาทร-พระราม 3) เปิดเผยความคืบหน้าการก่อสร้างโครงการ คอนโดมิเนียม  Sapphire Luxurious Condominium Sathorn-Rama 3 ถือว่ามีความคืบหน้างานก่อสร้างโครงสร้างแล้วเสร็จไปกว่า 90% ตามเป้าหมายที่กำหนด แม้ว่าที่ผ่านมาทางโครงการจะเผชิญกับสถานการณ์โควิด-19 ทำให้มีการชะลอการก่อสร้างแต่ด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ ในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ประกอบกับความเป็นเครือบริษัทที่มีความแข็งแกร่ง จึงทำให้ Sapphire Luxurious Condominium Sathorn-Rama3 สามารถเร่งงานก่อสร้างได้ทันตามกำหนด โดยขั้นตอนต่อไปจะเข้าสู่การตกแต่งภายใน ซึ่งเชื่อมั่นว่าพร้อมส่ง มอบโครงการให้กับลูกค้าและลูกบ้านภายในสิ้นปี 2566   “ช่วงสถานการณ์โควิด-19 โครงการไม่ได้อัดกลยุทธ์ทางการตลาดมากนักมีเพียงช่องทางออนไลน์เท่านั้นแต่ก็ได้รับความสนใจจากลูกค้าชาวไทย และ ชาวต่างชาติ ที่เชื่อมั่นในคุณภาพของโครงการแต่จากนี้เราพร้อมเดินหน้ารุกตลาดทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เนื่องจากเล็งเห็นแล้วว่า อสังหาไทย มีแนวโน้มที่ดีขึ้น ทั้งศักยภาพประเทศไทยที่ค่อยๆ ฟื้นตัวรวมถึงมาตรการเปิดประเทศเต็มรูปแบบ ประกอบกับสัญญาณที่ดี จากกำลังซื้อของจีนที่คาดว่าจะกลับมาภายในต้นปีหน้า”   Sapphire Luxurious Condominium Sathorn-Rama 3 (สาทร-พระราม 3) จาก JRY Property เป็นคอนโดมิเนียมไฮไรส์ริมโค้งแม่น้ำเจ้าพระยา สูง 44 ชั้น จำนวน 697 ยูนิต บนถนนพระราม 3 ตั้งอยู่ใกล้กับสะพานภูมิพล (วงแหวนอุตสาหกรรม) มองเห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยาได้ 270 องศา เป็นส่วนตัวด้วยจำนวนยูนิตต่อชั้นไม่มาก เพียง 18 ยูนิตต่อชั้น ตัวอาคารสะดุดตาโดดเด่น การตกแต่งใช่โทนสีฟ้า ยอดอาคารเสริมความสง่างามด้วยดีไซน์อัญมณีสีน้ำเงิน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของโครงการ สร้างเอกลักษณ์ ความแตกต่าง ไม่เหมือนใคร   “ความโดดเด่นโครงการของเรา คือ ทำเลและความพรีเมี่ยมที่จับต้องได้ การวางเลย์เอาต์ของอาคารทำให้กว่า 80% ของโครงการมองเห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยา อีกทั้งเปิดด้วยราคาเริ่มต้นดีที่สุดบนทำเลนี้ เพียง 1 แสนกว่าบาทต่อตร.ม. เท่านั้น ด้วยคุณภาพและความหรูหราระดับนี้ในราคานี้ถือว่าหายากมากในย่านนี้ นั่นทำให้โครงการได้รับความสนใจจากผู้อยู่อาศัย”   นอกจากศักยภาพทำเลเหมาะแก่การอยู่อาศัย ติดถนนใหญ่สายหลัก การคมนาคมที่หลากหลายทั้งรถประจำทาง รถไฟฟ้าใต้ดิน MRT และติดรถไฟฟ้าสายสีเทาในอนาคตแล้ว ลูกบ้าน Sapphire Luxurious Condominium Sathorn-Rama 3 (สาทร-พระราม 3) ยังสามารถสัมผัสความร่มรื่นของพื้นที่สีเขียวจากสวนศิลาฤกษ์ สวนสาธารณะวิวแม่น้ำเจ้าพระยา ที่กำลังอยู่ระหว่างการปรับภูมิทัศน์ ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามโครงการ อีกทั้งยังแวดล้อมด้วยแหล่งงาน เพราะเดินทางสะดวกเพียง 15 นาทีจากสีลม-สาทรจากโครงการ และใกล้ Kingbridge Tower ไอคอนนิกส์บิวดิ้ง อาคารสำนักงานแห่งใหม่ของเครือสหพัฒน์ บนถนนพระราม 3   ที่สำคัญ Sapphire Luxurious Condominium Sathorn-Rama 3 (สาทร-พระราม 3) ยังตั้งอยู่บริเวณโค้งแม่น้ำเจ้าพระยาโอบล้อมสองด้าน ทำให้เป็นหนึ่งในทำเลวิวแม่น้ำเจ้าพระยาดีที่สุดจุดหนึ่ง อีกทั้งเป็นแลนด์มาร์คมงคลคล้ายกับย่านเศรษฐกิจระดับโลกอย่างทำเลหอไข่มุกตะวันออก (The Oriental Pearl Tower) สัญลักษณ์แห่งนครเซี่ยงไฮ้ Sapphire Luxurious Condominium Sathorn-Rama 3 (แซฟไฟร์ ลักซูเรียส คอนโดมิเนียม สาทร-พระราม 3) ตั้งอยู่บนที่ดินราว 3 ไร่กว่า มีที่จอดรถประมาณ 344 คัน คิดเป็น 50% (Automatic Parking เทคโนโลยีประเทศเยอรมนี) ตัวห้องมีทั้งแบบ Simplex ฝ้าเพดานสูง 2.7 เมตรและห้อง Duplex ฝ้าเพดานสูงถึง 5.9 ม. แบ่งเป็น   1 Bedroom 33.8 – 42.3 ตร.ม. 2 Bedrooms 43.4 – 61.5 ตร.ม. Duplex 34.2 – 76.1 ตร.ม. Penthouse 70.1 – 121.9 ตร.ม.   ครบครันด้วยส่วนกลางสุดหรูหราและหลากหลาย ตอบโจทย์ชีวิตเหนือระดับมากกว่า 15 รายการ อาทิ Lobby, Mailbox, Putting Green, Golf Simulator, Green Area, Swimming Pool ระบบเกลือ, Kid’s Pool, Sauna Fitness, Kid Room, Sky Lounge, Library, Co-working Space, Yoga Room และ Boxing Area ทั้งหมดนี้พร้อมให้เป็นเจ้าของในราคาเริ่มต้นที่ 3.5 ล้านบาท   สำหรับ บริษัท เจ อาร์ วาย พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (JRY Property) เป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มืออาชีพ ประสบความสำเร็จจากการพัฒนาคอนโดโลว์ไรส์ JRY Condominium Rama 9 (เจอาร์วาย คอนโดมิเนียม พระราม 9) โดย JRY Property เป็นหนึ่งในเครือ JRY Group ที่มีประสบการณ์ด้านการก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยมากกว่า 12 ปี   ประกอบด้วยกลุ่มบริษัทมากมาย อาทิ บริษัท เจ อาร์ วาย เรียล เอสเตท (ไทยแลนด์) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั้งบ้านและคอนโดมิเนียมในสไตล์ Luxury Modern Tropical ระดับพรีเมี่ยม, บริษัท แกรนด์ ฟาซาด เดคคอเรชั่น (ประเทศไทย) จํากัด ผู้เชี่ยวชาญการผลิตและติดตั้ง Curtain Wall และ Roofing system, บริษัท SUNSHINE CONSTRUCTION ENGINEERING ผู้นำและติดตั้งสินค้าประหยัดพลังงานรักษ์สิ่งแวดล้อมภายใต้ “Sunshine” แบรนด์หลอดไฟ LED     ทั้งนี้ JRY Group ไม่เพียงพัฒนาที่อยู่อาศัยระดับกลางถึงเฟิร์สคลาส ยังพัฒนาอาคารสำนักงาน อาคารพาณิชย์ คอมเพล็กซ์ รวมพื้นที่กว่า 200,000 ตารางเมตร มูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท อาทิ มีส่วนร่วมในการก่อสร้างอาคารสำนักงาน Fortune Young, DEEP & HARMONICARE IVF CENTER โรงพยาบาลมาตรฐานการแพทย์ JCI ระดับสากล โดยหลังจากนี้ JRY Group พร้อมเดินหน้ารุกตลาดพรีเมี่ยมอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทย ซึ่งเป็นปรัชญาของแบรนด์ ล่าสุดเปิดตัว Billion Club Villa โครงการบ้านเดี่ยวสุดไพรเวต ระดับเฟิร์สคลาส ภายใต้ JRY Group บนทำเล RCA และปิดการขายได้อย่างรวดเร็ว        “แม้ว่า JRY Group จะมีผู้ถือหุ้นเป็นชาวต่างชาติ แต่เรายังคงเป็นบริษัทสัญชาติไทย ที่เน้นประโยชน์และตอบโจทย์การอยู่อาศัยของคนไทยเป็นหลัก นั่นทำให้ปรัชญาเครือ JRY Group มุ่งมั่นยกระดับคุณภาพการใช้ชีวิตของผู้อยู่อาศัยให้ดีขึ้น โดยเฉพาะไลฟ์สไตล์โซนเมือง ที่ผ่านมาเครือ JRY Group เน้นการสร้างสรรค์ที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพในระดับพรี่เมี่ยมมาโดยตลอด และอนาคตต่อจากนี้ JRY Group รวมถึง JRY Property จะยังคงรุกโครงการแนวราบและแนวตั้งระดับพรีเมี่ยมอย่างต่อเนื่อง โดยเน้น   คุณภาพในราคาที่จับต้องได้ (Affordable) “เพราะเราเชื่อมั่นในศักยภาพตลาดอสังหาฯ ไทย เมื่อเทียบกับประเทศอาเซียน ตลาดอสังหาฯ ไทยเปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติลงทุนได้ อีกทั้งไทยยังเป็นเดสติเนชั่นที่มีกลุ่มชาวต่างชาตินิยมมาอาศัยค่อนข้างมาก ประกอบกับนโยบายศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของไทย จะเอื้อให้ชาวต่างชาติกลุ่มดูแลสุขภาพที่มีกำลังซื้อสูงเข้ามาในประเทศมากขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อไทยและกลุ่มธุรกิจในไทย”     บทความน่าสนใจ Grande Pleno Suksawat-Rama 3-แกรนด์ พลีโน่ สุขสวัสดิ์-พระราม 3  Baan 365 Rama 3 – บ้าน 365 พระราม 3 COTE MAISON RAMA 3 – โคเต้ เมซอง พระราม 3  
[PR News] เวนเจอร์ โกลบอล บุก EEC ขายบ้าน-คอนโด  วาง 5 ปี ปั้นรายได้ 1,000 ล้านพร้อมเข้าตลาดหลักทรัพย์ 

[PR News] เวนเจอร์ โกลบอล บุก EEC ขายบ้าน-คอนโด วาง 5 ปี ปั้นรายได้ 1,000 ล้านพร้อมเข้าตลาดหลักทรัพย์ 

เวนเจอร์ โกลบอล เวนเจอร์โกลบอล โฮลดิ้ง วางแผน 5 ปี สร้างรายได้ 1,000 ล้าน พร้อมเข้าจะทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เดินหน้าสะสมแลนด์แบงก์ ปั้นโปรเจ็กต์ทุกปี ยึดพื้นที่โซน EEC หลังครึ่งปีแรกกวาดยอดขาย "เดอะเซนโทร คอนโด" 500 ล้าน เร็วกว่าแผนที่กำหนด   นายพีระพล รังสิมานุรักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เวนเจอร์ โกลบอล โฮลดิ้ง จำกัด (VGH) เปิดถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจขของบริษัทว่า  ได้วางแผนขยายโครงการทั้งแนวราบและแนวสูง ปีละ 1-3 โครงการ เพื่อเป้าหมายนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ภายใน 5 ปี  ด้านนายจักรพันธ์ บำเพ็ญเกียรติกุล ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ  กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาบริษัทสามารถปิดการขายโครงการดอะเซนโทร คอนโด ที่สร้างเสร็จพร้อมโอน มี 2 อาคาร จำนวน 304 ยูนิต  มูลค่าโครงการ 500 ล้านบาท  ได้เร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้เอาไว้ ซึ่งเป็นผลจากความต้องการที่อยู่อาศัยในพื้นที่โซนตะวันออก โดยเฉพาะบางแสน ยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ภายหลังจากสถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลายลง บริษัทยังวางแผนหาซื้อที่ดินสะสมในพื้นที่อีอีซี​ เพื่อพัฒนาโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง​  จากการเห็นสัญญาณการการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ​โดยการพัฒนาโครงการใหม่  จะมีทั้งแนวราบและคอนโด เพื่อสร้างความต่อเนื่องของรายได้อย่างยั่งยืน  สำหรับแผนการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ภายในระยะ 5 ปีข้างหน้า บริษัทจึงได้วางเป้าหมายการรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง คือ ปี 2565 วางเป้ารายได้จำนวน 350 ล้านบาท ปี 2566 จำนวน 450 ล้านบาท ปี 2567 จำนวน 500 ล้านบาท และ  ปี 2568  วางเป้ารายได้จำนวน 1,000 ล้านบาท   นายจักรพันธ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากความสำเร็จจากโครงการ เดอะเซนโทร คอนโด บริษัทจึงต่อยอดไปสู่การพัฒนาโครงการใหม่ ๆ ที่เตรียมตัวเปิดตัวอย่างต่อเนื่อง เป็นโครงการแนวราบประเภทบ้านแฝด บ้านเดี่ยว ในโซนอมตะนคร ซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนาแบบ คาดว่าจะเปิดขายในช่วงต้นปี 2566 รวมทั้งการวางแผนพัฒนาโครงการใหม่อีก 2-3 โครงการ ในพื้นที่อีอีซีเพิ่มเติมในอนาคตด้วย​ ​   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -สำรวจตลาดอสังหาฯ ชลบุรี ปี 63 “คอนโด-ทาวน์เฮ้าส์” แนวโน้มชะลอตัว
[PR News]CHIC ชูกลยุทธ์สร้าง New S Curves ใหม่  ลุยเข้าตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai)

[PR News]CHIC ชูกลยุทธ์สร้าง New S Curves ใหม่ ลุยเข้าตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai)

CHIC ชูกลยุทธ์สร้าง New S Curves ลุยเข้าตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) CHIC เผยทิศทางธุรกิจช่วงครึ่งปีหลัง 65 โต หลังจากเปิดประเทศกิจกรรมทางเศรษฐกิจภาคเอกชน-อสังหาฟื้น มีความต้องการใช้เฟอร์นิเจอร์เพิ่ม เปิดแผนเดินหน้ากลยุทธ์สร้างการเติบโตด้วยNew S Curve ใหม่ แลขยายบริการ “Chic Design Studio” บริการออกแบบตกแต่งภายในและรับเหมาก่อสร้างครบวงจร   เพิ่มช่องทางการให้บริการเช่าและรับจัดตกแต่งเฟอร์นิเจอร์-ของตกแต่งบ้านโดย Stylist “Chic Rent In Style” ปั้มรายได้ต่อยอดธุรกิจหลัก เล็งทำเลคุณภาพขยายสาขาใหม่ ปรับปรุงพื้นที่ร้านค้าเช่า สร้าง Recurring Income เสริมศักยภาพการแข่งขัน พร้อมลุยนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) CHIC ชูกลยุทธ์สร้าง New S Curves ลุยเข้าตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) นายกิจจา ปัทมสัตยาสนธิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชิค รีพับบลิค จำกัด (มหาชน) หรือ “CHIC” ผู้จัดจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ สินค้าตกแต่งบ้าน ของใช้ในบ้าน ที่นอนและเครื่องนอนครบวงจร ในรูปแบบร้านค้าเดี่ยวขนาดใหญ่ ภายใต้แบรนด์หลัก “ชิค รีพับบลิค” (CHIC) และ “ริน่า เฮย์” (RINA HEY) และสินค้านำเข้าจากต่างประเทศภายใต้  แบรนด์ “แอชลีย์” (Ashley) เปิดเผยว่า ภาพรวมทิศทางธุรกิจของบริษัทในช่วงครึ่งปีหลัง 2565 คาดว่าจะมีการเติบโตที่ดี ปัจจัยสนับสนุนจากการเปิดประเทศ ส่งผลให้เกิดการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจของภาคเอกชน ทั้งภาคการให้บริการ ภาคการท่องเที่ยว รวมถึงภาคอสังหาริมทรัพย์ ส่งผลดีต่อความต้องการใช้เฟอร์นิเจอร์เพิ่มขึ้น   แผนการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลัง 2565 บริษัทมุ่งเน้นกลยุทธ์สร้างการเติบโตด้วย New S Curve ใหม่ โดยปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้แบ่งเป็น ธุรกิจจัดจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์และสินค้าตกแต่ง 52% ธุรกิจงานโครงการ 44% ธุรกิจออกแบบและตกแต่งภายใน 1% และธุรกิจให้บริการ 3%   จากการขยายบริการ ให้บริการออกแบบและตกแต่งภายในแบบครบวงจร รวมถึงจัดหาเฟอร์นิเจอร์พร้อมติดตั้งแบบติดผนัง (Built in) แบบลอยตัว (Loose Furniture) สำหรับงานโครงการ คอนโดมิเนียม บ้าน ร้านอาหาร คาเฟ่ โรงแรม ภายใต้ชื่อ “Chic Design Studio”   อีกทั้ง เพิ่มช่องทางการให้บริการ “Chic Rent In Style” ธุรกิจให้เช่าและรับจัดตกแต่งเฟอร์นิเจอร์ ของตกแต่งบ้านโดย Stylist / Interior Designer แบบครบวงจร เพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้า บริษัทอสังหาริมทรัพย์ บริษัทรับออกแบบและตกแต่ง นักออกแบบอิสระ เจ้าของบ้าน และบริษัทรับจัดงานต่าง ๆ ที่ต้องการเช่าเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านเพื่อใช้จัดห้องตัวอย่าง งานโฆษณา-ประชาสัมพันธ์ งานอีเวนท์ระยะสั้น เป็นต้น   สำหรับธุรกิจจัดจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์และสินค้าตกแต่งบ้าน เตรียมขยายสาขาใหม่ในพื้นที่หรือจังหวัดที่มีศักยภาพการเติบโตสูง รวมถึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ อย่างสม่ำเสมอเพื่อสร้างเทรนด์ให้ทันสมัย เพิ่มมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า ควบคู่กับกลยุทธ์ O2O (Offline to Online และ Online to Offline) เพิ่มศักยภาพช่องทางจำหน่ายสินค้าผ่านออนไลน์ เพื่อรองรับความต้องการที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอนาคต ปัจจุบัน บริษัทมีช่องทางจำหน่ายผ่านเว็บไซต์ www.chicrepublicthai.com, www.rinahey.com, https://store.ashleyfurniturehomestore.co.th Facebook: Chic Republic Line@Chic Republic และแพลตฟอร์ม Shopee, Lazada, NocNoc, Central Online และ JD Central   นอกจากนี้ ธุรกิจจำหน่ายสินค้าเฟอร์นิเจอร์พร้อมติดตั้งสำหรับงานโครงการภายในประเทศ มีกระแสตอบรับที่ดีจากบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ เตรียมเจาะกลุ่มลูกค้าโครงการแนวราบเพิ่ม เช่น บ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม โรงแรม และโรงพยาบาล สร้างยอดขายและอัตรากำไรขั้นต้นให้มากขึ้น   ในส่วนของธุรกิจการให้บริการพื้นที่เช่า บริษัทปรับกลยุทธ์ เพื่อดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาเยี่ยมชมสินค้าหน้าร้านเตรียมปรับปรุงพื้นที่จัดวางสินค้าภายในสาขาบางสาขา เพิ่มพื้นที่เช่าสำหรับร้านค้า ร้านอาหารและเครื่องดื่มแบรนด์ที่มีชื่อเสียงและส่งเสริมธุรกิจของบริษัทฯให้มากขึ้น สร้างรายได้จากการให้เช่าพื้นที่และค่าบริการ “จากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ส่งผลให้การดำเนินงานบริษัทได้รับผลกระทบ ทำให้บริษัทเร่งปรับตัว เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันพร้อมรับมือกับวิกฤติต่าง ๆ ในปัจจุบันได้ การปรับกลยุทธ์สร้างการเติบโตด้วย New S Curves ใหม่ เริ่มเห็นสัดส่วนรายได้ในแต่ละกลุ่มธุรกิจปรับตัวเพิ่มขึ้นในไตรมาส 1/65  และคาดว่าจะมีทิศทางเติบโตที่ดีต่อเนื่อง บริษัทจึงมีความพร้อมในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เอ็ม เอ ไอ (mai) เพื่อรองรับแผนการลงทุนที่จะสร้างการเติบโตในอนาคต” นายกิจจากล่าว   ทั้งนี้ บริษัทจะทำการเสนอขายหุ้นไอพีโอจำนวน 360 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็นร้อยละ 26.47 ของจำนวนหุ้นทั้งหมดหลังเสนอขาย IPO โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และจะทำการโรดโชว์ให้แก่ผู้ที่สนใจ นักลงทุนกลุ่มต่างๆ และประชาชนทั่วไป ผ่านรูปแบบออนไลน์ (Facebook Live) สามารถติดตามรับฟังการนำเสนอข้อมูลได้ในช่องทาง FB : Chic Republic   บทความน่าสนใจ แต่งคอนโดให้สวยจบ งบไม่บานปลาย แต่งคอนโดฯ อย่างไร…ให้คอมพลีท! ห้องแต่งตัวในฝันทำได้จริง อยากแต่งแบบไหนก็ได้แบบนั้น
อิเกียสุขุมวิท  ซิตี้สโตร์แห่งแรกในเซาท์อีสเอเชีย ปักหมุด ดิ เอ็มสเฟียร์ พร้อม เปิดปลายปี 66

อิเกียสุขุมวิท ซิตี้สโตร์แห่งแรกในเซาท์อีสเอเชีย ปักหมุด ดิ เอ็มสเฟียร์ พร้อม เปิดปลายปี 66

อิเกียสุขุมวิท อิเกีย ปักหมุดสาขา 4 กับคอนเซ็ปต์ซิตี้สโตร์ ที่ดิ เอ็มสเฟียร์ สุขุมวิท แห่งแรกในเซาท์อีสเอเชีย เปิดแน่ปลายปี 66 ชี้ 4 เหตุผลสำคัญเลือกย่านใจกลางธุรกิจ มั่นใจคนเดินช้อปปิ้ง 4 ล้านคนต่อปี   หลังจากอิเกีย ร้านจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้าน สัญชาติสวีเดน ได้มาปักหมุดในประเทศไทยเมื่อ 10 ปีก่อนหน้านี้ โดยสาขาแรกที่ปักหมุดลงมือทำธุรกิจ คือ อิเกียบางนา ซึ่งอยู่ที่ศูนย์การค้าเมกาบางนา บนถนนบางนา-ตราด ในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ ต่อมาขยายสาขาไปที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวสต์เกต พื้นที่จังหวัดนนทบุรี ขณะเดียวกัน อิเกียยังมีจุดสั่งซื้อและรับสินค้าที่จังหวัดภูเก็ต เพื่อรองรับกับความต้องการของกลุ่มลูกค้าในภาคใต้ ที่กำลังซื้อสูงไม่แพ้พื้นที่อื่น ๆ ก่อนจะพัฒนาขึ้นเป็นสาขาขนาดเล็ก ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 2,198 ตารางเมตร   ล่าสุด อิเกีย วางแผนเปิดสาขาแห่งที่ 4 บนถนนสุขุมวิท ย่านใจกลางธุรกิจของกรุงเทพฯ โดยการจับมือกับกลุ่มเดอะมอลล์ ที่จะเปิดสาขาแห่งที่ 4 บริเวณชั้น 3 ของศูนย์การค้าดิ เอ็มสเฟียร์ (The Emsphere) ในโครงการช้อปปิ้งมอลล์ขนาดใหญ่ของกลุ่มเดอะมอลล์ คือ ดิ เอ็มดิสทริค (The EM District) ซึ่งกำหนดเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงปลายปี 2566 4 เหตุผลทำไมต้องเลือกถนนสุขุมวิท ด้วยคอนเซ็ปต์การทำธุรกิจของอิเกีย คือ การขายสินค้าปริมาณมาก ในราคาที่ต่ำ หรือ High Value Low Price จึงทำให้อิเกียต้องมีร้านค้าขนาดใหญ่ เพื่อขายสินค้าจำนวนมากมายหลายพันรายการ การให้ลูกค้าเลือกหยิบสินค้าด้วยตนเอง และนำเอาไปประกอบเองที่บ้าน ที่สำคัญตั้งอยู่ในพื้นที่ชานเมือง เพราะจะได้ราคาต้นทุนที่ดินหรือการพัฒนาโครงการได้ไม่สูง เป็นโมเดลธุรกิจที่ช่วยสร้างความสำเร็จ ในการเข้าไปทำธุรกิจในหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยด้วย   แต่การขยับเข้ามาเปิดสาขาอิเกียสุขุมวิท ซึ่งเป็นสาขาแห่งที่ 4 ในประเทศไทยนั้น เป็นเพราะอิเกียมองว่าเป็นทำเลศักยภาพที่มีโอกาสสร้างการเติบโต และสร้างยอดขายได้สูง จากกำลังซื้อของคนในย่านสุขุมวิทและใกล้เคียง โดยนางสาวลีโอนี่ ฮอสกิ้น ผู้จัดการฝ่ายธุรกิจค้าปลีก อิเกีย ประเทศไทย และเวียดนาม ได้ให้เหตุผลสำคัญที่อิเกียเลือกมาเปิดสาขาที่ถนนสุขุมวิท ​ดังนี้ ​ 1.ชื่อเสียงถนนสุขุมวิทเป็นที่รู้จัก ถนนสุขุมวิท เป็นทำเลที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นถนนเศรษฐกิจ และเป็นที่รู้จักไม่เฉพาะชาวไทยเท่านั้น แต่รวมถึงต่างชาติด้วย หลายช่วงซอยของถนนสุขุมวิท เป็นแหล่งที่อยู่และชื่นชอบของชาวต่างชาติหลายเชื้อชาติด้วยกัน 2.ประชากรหนาแน่น 3 แสนคน  ถนนสุขุมวิทนอกจากจะเป็นแหล่งธุรกิจสำคัญของกรุงเทพฯ แล้ว ยังพบว่าเป็นอีกหนึ่งทำเลที่คนนิยมพักอาศัย ไม่ว่าจะเป็นชาวไทยหรือต่างชาติ จากการศึกษาของอิเกียพบว่า บริเวณรอบ ๆ รถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีพร้อมพงษ์ พบว่ามีจำนวนประชกรอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น มากกว่า 300,000 คน ถือเป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญที่จะมาเป็นลูกค้าของอิเกีย 3.การคมนาคมสะดวกด้วยรถไฟฟ้า รถไฟฟ้าบีทีเอส คือ รถไฟฟ้าสายแรกของไทย ที่เข้ามาสร้างความสะดวกสบาย ในการเดินทางของคนกรุงเทพฯ ซึ่งรถไฟฟ้าบีทีเอสก็วิ่งผ่านถนนสุขุมวิทยาวไปตลอดสายจนถึงจังหวัดสมุทรปราการ ทำให้การเดินทางเข้ามาสู่ย่านธุรกิจเป็นไปได้สะดวก จึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้อิเกีย เลือกปักหมุดที่โครงการเอ็มสเฟียร์ ของกลุ่มเดอะมอลล์ ​นอกจากนี้ ทำเลที่ตั้งของโครงการยังอยู่ไม่ไกลจากรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT สถานีอโศกด้วย จึงทำให้การเดินทางมายังอิเกียสุขุมวิทสะดวกมากขึ้น 4.การจับมือกับกลุ่มเดอะมอลล์ อิเกีย มีการศึกษาตลาดและวางแผนในการจะพัฒนาสาขาในรูปแบบซิตี้สโตร์​มาตั้งแต่ปี 2560  จนเมื่อเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ขึ้นจึงได้กลับมาทบทวนแผนกันอีกครั้ง ประกอบกับการได้พันธมิตรอย่างกลุ่มเดอะมอลล์ ที่มีการพัฒนาโครงการดิ เอ็ม ดิสทริค  และมีการเจรจากันลงตัว จึงเลือกมาเช่าพื้นที่ของศูนย์การค้าดิ เอ็มสเฟียร์ ขนาด 12,000 ตร.ม. บริเวณชั้น 3 3 เรื่องน่ารู้ของอิเกียสุขุมวิท สำหรับอิเกียสุขุมวิท ถือเป็นสาขาที่อิเกียตั้งใจ และพยายามจะทำการตลาด เพื่อสร้างความสำเร็จให้เกิดขึ้น ตามเป้าหมายที่จะต้องดึงคนให้เข้ามาช้อปปิ้งซื้อสินค้าที่สาขาให้ได้ปีละ 4 ล้านคน ขณะที่จำนวนลูกค้าเฉลี่ยใน 3 สาขาที่เข้าไปซื้อสินค้ามีประมาณ 30,000 คนต่อวัน นอกจากนี้ ยังคาดว่าอิเกียสุขุมวิท จะมีส่วนแบ่งทางการตลาดในพื้นที่สุขุมวิทได้ 10% จากตลาดสินค้าเดียวกันด้วย   อย่างไรก็ตาม แม้ว่าอิเกียสุขุมวิทจะเป็นสาขาที่มีขนาดเล็ก เมื่อเทียบกับสาขาบางนาและสาขาบางใหญ่ แต่ถือว่ามี 3 เรื่องที่น่าสนใจและเป็นบทสรุปสำคัญ ดังกนี้ ​ 1.ซิตี้สโตร์แห่งแรกและใหญ่สุดใน Southeast Asia   อิเกียสุขุมวิท ถือเป็นสาขาในคอนเซ็ปต์ซิตี้สโตร์ (City-Centre Store) ใหญ่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Asia) ด้วยขนาดพื้นที่ 12,000 ตารางเมตร อยู่ที่ชั้น 3 โครงการดิเอ็มสเฟียร์ หากไม่นับเกาะฮ่องกง ที่มีขนาดพื้นที่ 15,000 ตารางเมตร แต่มีจำนวนหลายชั้น ที่สำคัญเป็นสาขาในคอนเซ็ปต์​ซิตี้สโตร์แห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย   ขณะเดียวกัน​ อิเกียสุขุมวิท เป็นสาขาที่ถูกพัฒนาขึ้น เพื่อเป็นสาขาในย่านใจกลางเมืองโดยเฉพาะ จะแตกต่างจากสาขาในคอนเซ็ปต์ซิตี้สโตร์ที่อยู่ในเมืองอื่น ไม่ว่าจะเป็นที่ลอนดอน หรือปารีส ซึ่งแม้จะมีสาขาในรูปแบบซิตี้สโตร์ แต่พัฒนามาจากร้านในรูปแบบ Pop-Up Store ที่ทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ทางการตลาด ก่อนจะพัฒนาขึ้นมาเป็นสาขา 2.ซื้อสินค้าได้ครบเหมือนสาขาใหญ่ แม้ว่าพื้นที่ของอิเกียสุขุมวิท จะอยู่ในศูนย์การค้ามีขนาดพื้นที่ 12,000 ตารางเมตร แต่ยังถือว่าเล็กกว่าในสาขาปกติ  อย่างสาขาบางใหญ่ ที่มีขนาดพื้นที่สโตร์  50,278 ตารางเมตร และสาขาบางนา ที่มีขนาด 44,000 ตารางเมตร ซึ่งยังไม่ได้รวมพื้นที่อื่น ๆ เช่น พื้นที่โชว์รูม พื้นที่มาร์เก็ตฮออล์ พื้นที่เซลฟ์เสิร์ฟ และพื้นที่ร้านอาหาร แต่อิเกียสุขุมวิท ก็มีพื้นที่จำหน่ายสินค้าครบเช่นเดียวกับสาขาใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นโชว์รูม มาร์เก็ตฮอลล์ ร้านอาหาร   ขณะที่สินค้าภายในอิเกียสุขุมวิท ก็มีครบกว่า 9,400-9,500 รายการ เป็นสินค้าจัดโชว์ 2,500 รายการ และสินค้าที่สามารถหยิบซื้อกลับบ้านได้เลย 4,500-5,000 รายการ 3.สินค้าราคาเดียวกันทั่วไทย จากคอนเซ็ปต์ในการทำธุรกิจของอิเกีย หรือการขายสินค้าในปริมาณมากแต่มีราคาถูก ซึ่งแม้ว่าจะเข้ามาเปิดตลาดในย่านใจกลางสุขุมวิท ที่ราคาที่ดินพุ่งแตะตารางวาละ 7 หลัก และเปิดในศูนย์การค้าระดับไฮเอ็นด์อย่างดิ เอ็มสเฟียร์  แต่สินค้าที่นำมาขายจะมีราคาเดียวกันกับสาขาอื่น ๆ ตามนโยบาย One Price   แต่เพื่อความพิเศษของการเปิดอิเกียสุขุมวิท ทางบริษัทจึงวางแผนที่จะนำสินค้าพิเศษเฉพาะสาขาสุขุมวิทมาขาย รวมถึงสินค้าพิเศษเฉพาะประเทศไทย ที่ไม่มีสินค้าชนิดดังกล่าวขายในประเทศอื่นด้วย   นางสาวลีโอนี่ กล่าวอีกว่า  นอกจากสาขาสุขุมวิทแล้ว อิเกีย ยังวางแผนการพัฒนาพื้นที่สาขาจังหวัดภูเก็ตให้มีขนาดใหญ่ขึ้น รวมถึงการขยายสาขาไปยังพื้นที่ต่างจังหวัด อาทิ นครราชสีมา เชียงใหม่ เพื่อรองรับกับความต้องการสินค้าของกลุ่มลูกค้าต่างจังหวัดด้วย อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -10 ปีอิเกีย กับ 5 กลยุทธ์ สร้างการเติบโตปีละ 5%
The Crown Residences คอนโด Luxury Freehold ติดถนนพระราม 4 

The Crown Residences คอนโด Luxury Freehold ติดถนนพระราม 4 

เดอะ คราวน์ เรสซิเดนท์เซส The Crown Residences   The Crown Residences  โครงการ Luxury  ไฮไรซ์โครงการแรกของ สถาพร เอสเตท เป็นโครงการคอนโดมิเนียมไฮไรซ์  32 ชั้น มีความส่วนตัวสูงเพราะมีแค่ 183 ยูนิต สร้างบนที่ดิน 1-0-68 ไร่ อยู่บนทำเล CBDs  ใจกลางกรุงเทพ อยู่ติดถนนพระราม 4    การเดินทาง เชื่อมต่อกลางเมือง สีลม สาทร ใกล้รถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน สถานีลุมพินี 400 เมตร และ สถานีคลองเตย 350 เมตร ใกล้จุดขึ้นลงทางด่วนเฉลิมมหานคร แวดล้อมด้วยแหล่งงาน และสถานที่สำคัญ โรงเรียน โรงพยาบาล แหล่งรวมไลฟ์สไตล์ชั้นนำ  และ สวนสาธารณะขนาดใหญ่ สวนลุมพินีและสวนเบญจกิติ ที่รวมๆ เกือบ 900 ไร่      สำหรับนักลงทุน The Crown Residences  เป็นทำเลศักยภาพในด้านแหล่งงาน มีบริษัทชั้นนำจากทั่วโลกตั้งสำนักงานในย้านนี้ ทำให้มีความต้องการที่อยู่อาศัยใกล้ที่ทำงานมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง  จากเมื่อปี 2553 ที่ดินมีการซื้อขายกันอยู่ที่ประมาณ 180,000-375,000 บาท ต่อตารางวา ในปัจจุบันขายกันอยู่ 1,400,000 บาทต่อ ตารางวา และมีการปล่อยเช่าได้ราคาที่ดี อีกด้วย  และอีกไม่นานจะมีโครงการขนาดใหญ่เกิดขึ้นอีก 2 การที่หัวถนนสาทร และ สีลม     The Crown Residences มีพื้นที่ส่วนกลางพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่ชั้น 32  บนสุดของตัวอาคารเพื่อให้เห็นวิวจากมุมที่สูงที่สุด กับวิวสวนและวิวโค้งน้ำแบบ 270 องศาทั้งวิวสวนและคุ้งน้ำบางกระเจ้าแบบพาโนรามา  สระว่ายน้ำไร้ขอบ พร้อมอ่างจากุซชี่ และสระว้ายน้ำเด็ก  Fitness Club 24 ชั่วโมง Lounge  ที่ดีไซน์เปิดมุมมองด้วยกระจกรอบด้าน ทำให้มีบรรยากาศของการพักผ่อนที่โปร่งโล่ง ให้ที่จอดรถ 68% เป็นแบบ AUTO และจอดปกติที่ชั้น 1 (ชั้น G) มาพร้อมกับการบริการแบบโรงแรม 5 ดาว บริการทำความสะอาด บริการซื้อของชำ บริการด้านข้อมูล บริการขนย้ายเข้า บริการต้อนรับ และบริการรถลีมูซีน แท็กซี่ออนคอล Doorman Bellboy และ Food Pick-ups & Deliveries ให้ลูกบ้านได้ใช้ชีวิต แบบ เอ๊กซ์คูลซีฟ     ห้องตัวอย่างมี 3 ห้อง คือ 1 นอนขนาด 27.3 ตรม., 1 นอนขนาด 34.9 ตรม. แล้วก็ 2 นอน 2 น้ำขนาด 52.4 ตรม.ครับ ทั้ง 3 ห้อง ทุกห้องจะเห็นวิวสวน ไม่มีส่วนไหนถูกบัง  แถมยังได้ห้องแบบ Fully Fitted เพดานสูง 2.7 เมตร พื้น Hybrid Engineered Wood ที่คำนึงถึงความสะอาดและปลอดภัย มีครัว ตู้ Built-in พร้อม Hob & Hood       The Crown Residences มูลค่าโครงการ 2,016 ล้านบาท ราคาเริ่มต้นที่ 6 ล้านบาท จนไปถึง 20 ล้านกับความเป็นส่วนตัว และ การบริการแบบโรงแรม 5 ดาว  เข้าไปเยี่ยมชมห้องตัวอย่างได้แล้ว โครงการจะเปิดให้จองอย่างเป็นทางการ 18 มิถุนายน นี้       บทความน่าสนใจ 125 Sathorn คอนโดตึกคู่ สุดหรู ติดถนนสาทร The Lofts สีลม คอนโดพร้อมอยู่บนถนนสีลม ใกล้ BTS พร้อมวิวแม่น้ำเจ้าพระยา รีวิวคอนโดย่านสาทร วิวคุ้งแม่น้ำเจ้าพระยา THE ISSARA SATHORN
ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ แนะตลาดบ้าน-คอนโด ต้องต้องเฝ้าระวัง  5 เรื่องนี้

ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ แนะตลาดบ้าน-คอนโด ต้องต้องเฝ้าระวัง  5 เรื่องนี้

ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ วิเคราะห์ตลาด 65 มีทั้งปัจจัยบวก-ปัจจัยลบ แนะ 5 เรื่องที่ต้องเฝ้าระวัง เหตุธุรกิจยังต้องเผชิญผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลต่อค่าครองชีพ  เงินเฟ้อพุ่ง ส่งผลความสามารถในการซื้อ การลงทุนในอสังหาฯ ​   แม้ว่าตอนนี้ สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะมีทิศทางที่ดีขึ้น จนจะมีการนำร่องให้ประชาชนใน 31 จังหวัด ไม่ต้องสวมหน้ากากอนามัย เมื่ออยู่ในสถานที่โล่งแจ้ง ยกเว้นบุคคลใน 3 กลุ่มที่จะยังต้องสวมหน้ากากอนามัย คือ กลุ่มผู้ป่วยหรือกลุ่มเสี่ยง ผู้ที่อยู่ในสถานที่ปิดอากาศไม่ถ่ายเท และเมื่อเข้าร่วมกิจกรรมคนจำนวนมาก   แต่อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ในภาพรวม โดยเฉพาะด้านภาวะเศรษฐกิจ ก็ยังไม่ได้กลับมาฟื้นตัวเป็นปกติ เหมือนก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์แพร่ระบาด ปัจจุบันกำลังซื้อของคนส่วนใหญ่ยังคงชะลอตัว  ทำให้หลายธุรกิจจะต้องทำการตลาด ด้วยแคมเปญการส่งเสริมการขาย และโปรโมชั่น เพื่อกระตุ้นยอดขายให้กลับ​มามากขึ้น   ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์  ก็ไม่ต่างจากหลายธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ แต่ปี 2565 นี้มีสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีขึ้น เห็นได้จากความมั่นใจของผู้ประกอบการ ที่ประกาศแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ออกมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงโครงการคอนโดมิเนียม ที่เคยหยุดหรือชะลอแผนการเปิดตัวไว้ ก็กลับมาเปิดตัวกันมากขึ้นกว่าช่วง 2 ปีที่ผ่านมา   การเติบโตของธุรกิจอสังหาฯ ในปีนี้ คงมีทั้งปัจจัยบวกและปัจจัยลบ ที่เข้ามาเป็นตัวแปรสำคัญในการสร้างความสำเร็จให้กกับผู้ประกอบการ ​ซึ่งมีอะไรบ้างนั้น ล่าสุด ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) หรือ ​REIC ได้ทำรายงาน  ดัชนีรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ (หมวดที่อยู่อาศัย) ที่ใช้ข้อมูลในด้านอุปสงค์และอุปทานในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล เพื่อประเมินความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ พร้อมกับฉายภาพ สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยกรุงเทพฯ​ - ปริมณฑล ในไตรมาส 1/2565 และแนวโน้มของภาพรวมตลาดอสังหาฯ ในช่วงปี 2565 นี้ ว่าจะเป็นไปในทิศทางใดบ้าง ดร.วัยชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการ ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ ​เปิดเผยว่า เมื่อเข้าสู่ไตรมาส 1 ปี 2565 ภาคธุรกิจอสังหาฯ ยังต้องเผชิญกับปัจจัยลบที่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งมีผลต่อค่าครองชีพ และเพิ่มอัตราเงินเฟ้อ ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการซื้อหรือลงทุนในอสังหาฯ  ขณะเดียวกัน ยังพบความเคลื่อนไหวของภาวะตลาด ทั้งด้านซัพพลายและดีมานด์ ที่น่าสนใจในหลายประเด็น โดยสรุปได้ดังนี้ สรุปภาพรวมสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัย กรุงเทพฯและปริมณฑล ไตรมาส 1 ปี 2565 ที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนย่อตัว 27.1% จำนวนยูนิตที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียน ระหว่าง ม.ค. - มี.ค. 2565 แต่ละเดือนยังอยู่ในระดับต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยภาพรวมไตรมาส 1/2565 ที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนมีการย่อตัวลง 27.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยอาคารชุด (คอนโดมิเนียม) มียูนิตสร้างเสร็จจดทะเบียน ลดลง 33.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งอาจจะภาพสะท้อนถึงจำนวนยูนิตที่เปิดใหม่น้อยลงอย่างมากในปีที่ผ่านมา   คาดการณ์ว่า จำนวนยูนิตที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียน จะทยอยเพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 2-4 ซึ่งจะมีอัตราการขยายตัวสูงกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และภาพรวมทั้งปี 2565 จำนวนที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียน จะขยายตัวประมาณ 22.1 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า   จากตัวเลขจำนวนยูนิตที่ได้รับใบอนุญาตจัดสรร และที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียน ที่ลดลงในไตรมาส 1/2565 แต่มีแนวโน้มที่จะขยายตัวในไตรมาส 2- 4 สะท้อนให้เห็นว่า การเกิดขึ้นของซัพพลายใหม่จะเกิดขึ้นเพื่อรองรับการขยายตัวของกำลังซื้อที่จะฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลัง และรองรับความต้องการโอนกรรมสิทธิ์ในช่วงปลายปีนี้​ เพื่อได้รับส่วนลดค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ และค่าจดจำนอง ซึ่งจะหมดเวลาในปลายปี 2565 นี้ Q1/65 เปิดตัวใหม่สูงกว่าค่าเฉลี่ยก่อนโควิด-19 -ระหว่างเดือน ม.ค.- มี.ค. 2565 ในแต่ละเดือนมีการเปิดตัวใหม่ ประมาณ 9,000 - 12,500 ยูนิตต่อเดือน ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยในช่วงก่อนเกิดโควิด-19 ซึ่งมีการเปิดตัวเฉลี่ย 8,300 ยูนิต​ต่อเดือน   -ภาพรวมในไตรมาส 1/2565 มีการเปิดตัวใหม่ 31,477 ยูนิต มูลค่า 117,384 ล้านบาท​ มีการขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 227.5% และ 161.7% ตามลำดับ   -จำนวนยูนิตที่เปิดตัวใหม่ในไตรมาส 12565 ส่วนมากเป็นอาคารชุดถึง 20,536 ยูนิต ขยายตัว 421.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน   -คาดว่ายูนิตเปิดตัวใหม่จะย่อตัวลงในไตรมาส 2/2565 อย่างชัดเจน เนื่องจากมีการเปิดตัวมากในไตรมาส ​1/2565 แต่จะมีการขยายตัวเพิ่มมากขึ้นในไตรมาสที่ 3 และ 4 เพื่อรองรับการฟื้นตัวของกำลังซื้อที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในครึ่งปีหลัง   -คาดว่าภาพรวมทั้งปี 2565 จะมีการขยายตัวของยูนิตเปิดตัวใหม่เป็น 79,501 ยูนิต เพิ่มขึ้น 54.3% และมีมูลค่า 413.022 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 88.6% โดยคอนโดจำนวนขยายตัวเพิ่มขึ้น 96.8% มากกว่าบ้านแนวราบที่เพิ่มขึ้น 51.0%   -ที่อยู่อาศัยที่เปิดตัวใหม่ แบ่งเป็น คอนโด​ 65.2% ทาวเฮ้าส์ ​19.7%  บ้านเดี่ยว ​ 8.8% บ้านแฝด  5.4% และ อาคารพาณิชย์ ​0.8%   -ทำเลของยูนิตบ้านแนวราบที่เปิดตัวใหม่มาก 5 พื้นที่ ตามลำดับ คือ บางพลี คลองหลวง บางบัวทอง บางบ่อ และบางเสาธง   -ทำเลของยูนิตคอนโดที่เปิดตัวใหม่มาก 5 พื้นที่ ตามลำดับ คือ บางนา ห้วยขวาง บางซื่อ จตุจักร และ เมืองปทุมธานี   -โดยภาพรวมที่อยู่อาศัย สัดส่วนการเปิดตัวตามระดับราคา มีดังนี้  ระดับราคา 3 - 5 ล้านบาท สัดส่วน 26.0%, 2 - 3 ล้านบาท สัดส่วน 22.4% ระดับราคา 1 - 1.5 ล้านบาท สัดส่วน19.6% -บ้านแนวราบ มีการเปิดตัวตามระดับราคา ดังนี้ ระดับราคา 3 - 5 ล้านบาท สัดส่วน 36.0% ระดับราคา 2 - 3 ล้านบาท สัดส่วน 20.9% ระดับราคา​ 5 -7.5 ล้านบาท สัดส่วน 15.7%   -คอนโด มีการเปิดตัวตามระดับราคา ดังนี้ ระดับราคา 1 - 1.5 ล้านบาท สัดส่วน 29.5% ระดับราคา 2 - 3 ล้านบาท สัดส่วน 23.2% ระดับราคา 3 - 5 ล้านบาท สัดส่วน 20.6% โอนกรรมสิทธิ์ไตรมาสแรก ลดลง 4.8% -จำนวนยูนิตโอนกรรมสิทธิ์ ระหว่าง ม.ค. - มี.ค. 2565 แต่ละเดือนต่ำกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยภาพรวมไตรมาส 1/2565 มีจำนวนยูนิตโอนกรรมสิทธิ์ 31,477 ยูนิต ลดลง​ 4.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากการระบาดของไวรัส และสงครามรัสเซียและยูเครน ซึ่งทำให้เกิดภาวะน้ำมันแพงขึ้นและค่าครองชีพสูงขึ้น ส่วนมูลค่าโอนกรรมสิทธิ์ ระหว่าง ม.ค. - มี.ค. 2565 มีลักษณะเช่นเดียวกับยูนิตโอนกรรมสิทธิ์   -แต่คาดภาพรวมทั้งปีจะมีการขยายตัวของยูนิตโอนกรรมสิทธิ์ 2.0% โดยยูนิตการโอนกรรมสิทธิ์จะมีการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในไตรมาส 2 - 4 โดยเฉพาะไตรมาส 4 จะมีการเร่งตัวของการโอนกรรมสิทธิ์เนื่องจากจะสิ้นสุดมาตการกระตุ้นฯ   -จำนวนยูนิตที่มีการโอนกรรมสิทธิ์มากที่สุด สัดส่วน 23.4% คือ คอนโดในระดับราคา 2 - 3 ล้านบาท รองลงมาคือ ราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท สัดส่วน 19.4% และราคา 3 - 5 ล้านบาท สัดส่วน 18.1%   -แต่ในภาพรวมแล้ว ที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท มีการโอนกรรมสิทธิ์มากสุดถึง 66.7% ซึ่งเป็นระดับราคาที่สอดคล้องกับกำลังซื้อส่วนใหญ่ และเป็นระดับราคาที่ได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ   -ขณะที่มูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์กระจุกตัวอยู่ที่บ้านระดับราคา เกินกว่า 3 ล้านบาท ซึ่งมีสัดส่วนมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ถึง 68.7% ซึ่งพบว่า ระดับราคา มากกว่า 10 ล้านบาท มีสัดส่วนมากที่สุดถึง 27.0%  รองลงมา คือ 3- 5 ล้านบาท สัดส่วน 20.7% และราคา 2 - 3 ล้านบาท สัดส่วน​ 17.3%   -สัดส่วนการโอนกรรมสิทธิ์ของที่อยู่อาศัยมือสองมีการเพิ่มขึ้นเป็น 49.5% จาก 39.2% ในไตรมาส 4/2564 และมีสัดส่วนมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ที่เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน โดยเพิ่มขึ้นเป็น 33.4% จาก 27.3% โดยเพิ่มขึ้นในทุกระดับราคา แต่มีสัดส่วนที่สูงกว่า 50%ในระดับราคาไม่เกิน 2.0 ล้านบาท ขณะที่ที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาท มีสัดส่วนมากกว่า 80% ภาพของตลาดเช่นนี้สะท้อนว่า ตลาดที่อยู่อาศัยมือสอง เป็นตลาดที่มีการขยายตัวจากผลของมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ เช่นกัน ปรากฏการณ์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 2565 อย่างไรก็ตาม แม้ว่าตลาดอสังหาฯ จะกลับมาคึกคัก จากการเปิดตัวใหม่ที่เพิ่มมากขึ้น ผู้ประกอบการหันมาทำการตลาด และการส่งเสริมการขายกันมากขึ้น สร้างบรรยากาศการซื้อขายอสังหาฯ ให้กลับมามีสภาพใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดโควิดแพร่ระบาด แต่ ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ มองว่ายังคงต้องมีหลายเรื่องที่เราจะต้องเฝ้าระวัง จับตามอง รวมถึง ต้องมาดูสภาพความเป็นจริงกันว่า จะมีปัจจัยบวก ปัจจัยลบอะไรบ้าง ที่จะมาส่งผลต่อตลาดอสังหาฯ ในปีนี้   สำหรับสิ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 2565 ศูนย์ข้อมูลฯ มองว่ามี 5 เรื่องสำคัญ ดังนี้ 1.การเปิดตัวโครงการใหม่ ๆ ทั้งบ้านแนวราบและคอนโด​จะเพิ่มขึ้นมากกว่าปี 2564 โดยคอนโดมีสัดส่วนที่สูง เนื่องจากมี Stock ที่ลดลง และราคาที่ดินแพงขึ้น   2.บ้านแนวราบยังคงได้รับการตอบรับจากผู้ซื้อบ้านมาก แต่ประเภททาวเฮ้าส์จะยังคงมีซัพพลายคงเหลือในตลาดมาก   3.คอนโดเริ่มฟื้นตัว จากผู้ที่ต้องการซื้อเพื่อการอยู่อาศัยและการซื้อเพื่อการลงทุนมากขึ้น ซึ่งอาจจะเป็นการลงทุนใน 2 กลุ่มเป็นหลัก คือ กลุ่มไม่เกิน 1.5 ล้านบาท และ กลุ่มลักชัวรี่   4.โครงการที่อยู่อาศัยที่เกิดขึ้นใหม่อาจปรับลดโปรโมชั่นส่วนลดและของแถมลงบ้างเพื่อรักษาราคาประกาศขายให้อยู่ใกล้เคียงกับโครงการในปัจจุบัน   5.บ้านมือสองที่ได้รับสิทธิประโยชน์จากค่าธรรมเนียม และมีราคาและทำเลที่สอดคล้องกับความสามารถของกลุ่มผู้ซื้อกลุ่มรายได้น้อย/ปานกลาง คาดว่าการโอนกรรมสิทธิ์บ้านมือสองจะมีการขยายตัวต่อเนื่องตลอดทั้งปี โดยเฉพาะบ้านราคาต่ำ ซึ่งเป็นโอกาสสำหรับธุรกิจบ้านมือสอง 6 ปัจจัยบวกในปี 2565 สำหรับปัจจัยบวกที่จะเข้ามาหนุนให้ตลาดอสังหาฯ เติบโต หรือฟื้นตัวมาจากช่วงก่อนหน้านั้น ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ มองว่ามี 6 ปัจจัยสำคัญ ดังนี้ 1.มาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ของรัฐ (ลดค่าธรรมเนียมการโอนและค่าจดจำนองเหลือประเภทละ 0.01 % รวมถึง ขยายไปสู่บ้านมือสองด้วย) ยังคงมีผลถึงสิ้นปี 2565   2.มาตรการผ่อนปรน LTV ของ ธปท. จะช่วยให้มีการซื้อบ้านสัญญาที่ 2 และ 3 เพื่อการอยู่อาศัยและเพื่อการลงทุนมีโอกาสขยายตัวมากขึ้น   3.สภาพคล่องของธนาคารมีมากพอสำหรับสินเชื่อปล่อยใหม่ และเริ่มมีการแข่งขันการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยมากขึ้น   4.ภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศที่ค่อย ๆ พื้นตัวจากมาตรการต่าง ๆ ของรัฐ และการเปิดประเทศ ซึ่งทำให้เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวจากภาคธุรกิจการค้าและการท่องเที่ยว   5.กลุ่มผู้ซื้อที่อยู่อาศัยที่ทำงานในภาคอุตสาหกรรมและการส่งออก ฟื้นตัวต่อเนื่องจากปี 2564 ทำให้ เกิดกำลังซื้อใหม่ๆ   6.ผู้ประกอบการยังคงมีการออกโปรโมชั่น การลดราคาขาย การให้ของแถมต่าง ๆ ต่อเนื่อง รวมถึงการสร้างกลุ่มลูกค้าที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเพื่อการลงทุน 7 ปัจจัยเสี่ยงฉุดตลาดอสังหาฯ ปี 65 ถึงแม้ว่าปีนี้จะมีหลายปัจจัยบวก  แต่ด้านปัจจัยลบก็ยังคงมีอยู่เช่นกัน โดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ มองว่าจะมี 7 ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องระมัดระวังในการทำธุรกิจอสังหาฯ ปีนี้ คือ   1.อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง   2.การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ยังคงมีผลในการฉุดรั้งการขยายตัวทางเศรษฐกิจอยู่ แม้ว่าความรุนแรงจะลดลง   3.สภาวะการจ้างงาน และการมีรายได้ของประชาชน ในภาคการท่องเที่ยวและภาคบริการ ยังคงอยู่ในภาวะการฟื้นตัวช้า   4.ภาวะหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับที่สูงถึงประมาณ 90% ของ GDP ทำให้กลุ่มผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลางในกลุ่มอาชีพอิสระ จะเข้าถึงสินเชื่อได้ยากเช่นเดียวช่วงปีที่ผ่านมา   5.ภาวะการเพิ่มขึ้นของ NPL ของสถาบันการเงิน อาจจะส่งผลให้สถาบันการเงินระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อต่อไป   6.ต้นทุนค่าก่อสร้างแพงขึ้น ทำให้ราคาที่อยู่อาศัยโครงการใหม่ อาจมีการปรับราคาขึ้นช่วงครึ่งปีหลัง   7.กลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่เป็นกำลังซื้ออาคารชุด ยังคงเข้ามาในประเทศน้อย จากผลกระทบของโควิด-19 และสงครามยูเครนและรัสเซีย ทำให้ความต้องการซื้ออาคารชุดภาพรวมฟื้นตัวช้า 5 สิ่งที่ต้องระมัดระวังในปี 65 นอกจากปัจจัยเสี่ยงที่จะต้องนำมาใช้เป็นปัจจัยพิจารณาในการทำธุรกิจแล้ว ยังมีเรื่องสำคัญที่ต้องเฝ้าระมัดระวังอีก 5 เรื่องด้วย ที่ ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ แนะนำไว้มีดังนี้ 1.ภาวะสงครามรัสเซียและยูเครนที่ยืดเยื้อ จะส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ และภาวะค่าครองชีพของประชาชน   2.การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้อจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น จะส่งผลต่อค่าครองชีพที่สูงขึ้น และส่งผลต่อความต้องการซื้ออสังหาฯ ได้   3.บ้านมือสองอาจจะเป็นสินค้าทดแทนบ้านใหม่ ผู้ประกอบการบ้านใหม่ต้องให้ความสนใจศึกษาก่อนการพัฒนา   4.ราคาวัสดุก่อสร้างที่สูงขึ้น การขาดแคลนแรงงาน อาจส่งผลให้การก่อสร้างล่าช้า และอาจทำให้แผนการส่งมอบล่าช้า ซึ่งอาจจะส่งผลต่อปริมาณการโอนกรรมสิทธิ์ และการระบาย backlog ของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์   5.จากภาวะค่าคองชีพที่สูงขึ้น ขณะที่การฟื้นตัวรายได้ช้า หากมีการเกิด NPL เพิ่มขึ้น สถาบันการเงินอาจจะมีนโยบายสินเชื่อที่เข้มงวดต่ออีกในปี 2565 จะส่งผลต่อกลุ่มผู้ซื้อที่อยู่อาศัยที่มีความไม่แข็งแรงไม่สามารถขอสินเชื่อได้ แต่สถาบันการเงินอาจจะขยายสินเชื่อ Refinance เพิ่มขึ้นแทน​   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ตลาดอสังหาฯ 6 เดือนแรกยังชะลอตัว โค้งท้าย 64 ยังลดต่อรออีก 4 ปีฟื้นตัวปกติ​ -REIC คาดตลาดอสังหาฯ ปี 64 แย่สุดทั่วประเทศติดลบ 20%
ธนาสิริ  วางเป้า 3 ปี สร้างรายได้ 5,000 ล้าน  พร้อมเปิด 3 โปรเจ็กต์ใหม่

ธนาสิริ วางเป้า 3 ปี สร้างรายได้ 5,000 ล้าน พร้อมเปิด 3 โปรเจ็กต์ใหม่

ธนาสิริ กรุ๊ป วางเป้าหมาย 3 ปี สร้างรายได้รวม 5,000 ล้าน ปั้นโปรเจ็กต์ปีละ 2,000-3,000 ล้าน หลังปรับโครงสร้างธุรกิจ ดึงทีมบริหารเสริมทัพ จับมือกลุ่ม “อนาบูกิ  โคซัน” จากญี่ปุ่น พร้อมไปต่อกับวิสัยทัศน์สร้างความยั่งยืนควบคู่รายได้     แม้ว่าจะดำเนินธุรกิจมานานกว่า 35 ปี แต่ชื่อของ “ธนาสิริ” อาจจะไม่ได้รู้จักกันในวงกว้างมากนัก เพราะโฟกัสและทำตลาดหลักในจังหวัดนนทบุรีเป็นส่วนใหญ่ ที่สำคัญตลอดระยะเวลาการดำเนินธุรกิจ พัฒนาโครงการออกมาไม่มากนัก มีแค่ 28 โครงการ รวมมูลค่ามากกว่า 10,000 ล้านบาทเท่านั้น  หากเทียบกับเพื่อนร่วมธุรกิจ บางบริษัทมีการพัฒนาโครงการมากกว่าถึง 2 เท่าตัวภายในระยะเวลาแค่ปีเดียว     แต่ขนาดความใหญ่ ไม่ใช่โจทย์สำคัญของ “ธนาสิริ” ตั้งเป้าหมายว่าจะต้องมีการพัฒนาโครงการปีละหมื่นล้านบาท หรือการสร้างรายได้ระดับหมื่นล้านบาท  แต่โจทย์สำคัญคือการสร้างความยั่งยืนของธุรกิจ พร้อมกับการสร้างความพึงพอใจและสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับลูกบ้าน ควบคู่ไปกับกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย สังคม และสิ่งแวดล้อมควบคู่กันไป     อย่างไรก็ตาม ในเชิงธุรกิจบริษัทจำเป็นต้องมีการเติบโต เพื่อสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้น จึงวางแผนภายในระยะ 3 ปี (ปี 2565-2567) ในการสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีด้านรายได้รวม 5,000 ล้านบาท และมียอดขาย 6,000 ล้านบาท ​     นายสุทธิรักษ์ เสถียรภาพอยุทธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ธนาสิริ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THANA เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในรอบปี 2564 ของบริษัท สามารถกลับมาเติบโตแบบก้าวกระโดด (Turn Around) ในเชิงตัวเลขทั้งด้านยอดขาย ยอดรับรู้รายได้ และกำไรสุทธิ เนื่องจากบริษัทกลับมาเปิดโครงการใหม่     นอกจากนี้ ยังมีการปรับโครงสร้างการบริหารงาน ด้วยการเพิ่มทีมงานระดับบริหารที่มีประสบการณ์ในธุรกิจอสังหาฯ เข้ามาเพิ่ม  อาทิ นายจรัญ เกสร มาดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานปฏิบัติการ เพื่อดูแลบริหารจัดการชุมชน ทั้งโครงการเดิมและโครงการใหม่  เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจให้เป็นไปตามเป้าหมาย และวิสัยทัศน์ขององค์กร​​ ภายใต้พันธกิจ THANASIRI "LifetimeTotal Living Solution"     โดยแผนการพัฒนาโครงการในปี 2565 นี้ บริษัทยังคงเปิดตัวโครงการใหม่ในทุกไตรมาส โดยไม่เน้นในด้านปริมาณหรือจำนวนหน่วยเปิดตัวใหม่ แต่ให้ความสำคัญกับการส่งมอบคุณภาพชีวิตที่ดีของลูกค้า รวมถึงการพัฒนาบริการในด้านต่าง ๆ โดยมี "อนาบูกิ โคซัน" ซึ่งเป็นพันธมิตรจากประเทศญี่ปุ่น ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิต หรือ Health & Well - Being มาพัฒนาโครงการด้วยกัน ​หลังจากที่บริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดฯ เอ็ม เอ ไอ ไม่กี่ปีก็ประสบปัญหาน้ำท่วมใหญ่ในกรุงเทพฯ  ซึ่งโครงการของบริษัทอยู่ในพื้นที่จังหวัดนนทบุรี ส่งผลให้ 8 โครงการที่พัฒนาจาก 10 โครงการน้ำท่วมแม้จะไม่สูง แต่ส่งผลให้ทุกอย่างหยุดชะงัก ลูกค้าที่จองไว้ก็ไม่อยากโอน ต่อมาก็ยังมีปัญหาการเมือง  และล่าสุดปัญหาโควิด-19   แม้ว่าบริษัทจะต้องเผชิญกับวิกฤตครั้งใหญ่ที่สำคัญ แต่บริษัทสามารถแก้ปัญหาและผ่านพ้นมาได้ ช่วง 2 ปีที่ผ่านมามีนายชัยวัฒน์ อุทัยวรรณ์ ที่มีประสบการณ์บริหารองค์กรขนาดใหญ่ และบริหารธุรกิจการเงินมานาน เข้ามาดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ   นอกจากนี้ ยังได้กลุ่มอณาบูกิ โคซัน (Anabuki Group) พันธมิตรจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่มีขนาดธุรกิจใหญ่ เป็นอันดับที่ 7 ของญี่ปุ่นเข้ามาร่วมทุนเป็นพันธมิตรพัฒนาโครงการแห่งแรก ได้แก่ โครงการอนาบูกิ ธนาฮาบิแทต สะพานเจษฎาบดินทร์-ราชพฤกษ์ เป็นบ้านแฝดและทาวน์โฮมขนาด 2 ชั้น จำนวน 88 ยูนิต ราคาขายเฉลี่ย 6.2 ล้านบาท บนพื้นที่โครงการกว่า 13 ไร่ รวมมูลค่า 545 ล้านบาท   ด้านนายจรัญ เกษร ประธานเจ้าหน้าที่สายงานปฏิบัติการ ได้กล่าวถึงแผนการพัฒนาโครงการใหม่ในปีนี้ จะดำเนินการในแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน ในความสำคัญของทุกกระบวนการ ภายใต้ Model Total Green ดังนี้​   แนวคิดการพัฒนารูปแบบ “Green” ที่เริ่มคิด ดำเนินการ และกำกับดูแล ผลักดัน ให้บรรลุผล การจัดหาที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการ ที่โปร่งใสและลดผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของชุมชนดั้งเดิม            การออกแบบ ตามหลัก Green & Universal Design และการใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การทำการตลาดและงานขาย ที่เป็นธรรม ทั้งต่อลูกค้าและคู่แข่งขัน การก่อสร้าง ที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะเพื่อนบ้านข้างเคียง และการใช้วัสดุให้ไม่เหลือเศษ ตามหลัก “Circular Economy” การส่งมอบให้แก่ลูกค้าตามพันธะสัญญาที่ได้ให้ไว้ และ                   การบริหารจัดการชุมชน ซึ่งเป็นกระบวนการที่สำคัญที่สุด ในแนวทาง “ธนาสิริ...เราดูแล” เพื่อสร้างสังคมน่าอยู่ คุณภาพชีวิตและการอยู่อาศัยร่วมกันอย่างมีความสุข อบอุ่น ปลอดภัย ไว้ใจได้ เชื่อมโยงแนวคิดความยั่งยืนในการอยู่อาศัย Green Clean Lean   ต่อไปนี้ ธนาสิริ​ จะมุ่งสร้างประสบการณ์ที่ดีเยี่ยมให้กับลูกค้า เพื่อบรรลุเป้าหมาย “THANASIRI WELL - BEING” คือ การสร้างคุณภาพชีวิตครอบครัวที่ดี การใส่ใจสิ่งแวดล้อม และการสร้างสังคมแห่งการแบ่งปัน ให้เกิดขึ้นในประชาคมธนาสิริ และขยายวงกว้างไปยังสังคมรอบๆ บ้านเราต่อไป   9 บทสรุป 35 ปี ธนาสิริ กับ 3 วิกฤตและเป้าหมาย 5,000 ล้าน 1.ธนาสิริ กรุ๊ป ดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ ประเภทบ้านจัดสรรพร้อมที่ดิน ทั้งบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์เพื่อขายโดยจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ภายใต้ซื่อ THANA เมื่อปลายปี 2552     2.ตั้งแต่เริ่มต้นดำเนินธุรกิจมาถึงปัจจุบัน มีระยะเวลามากกว่า 35 ปี พัฒนาโครงการมาแล้ว 28 โครงการ มากกว่า 2,800 ครอบครัว รวมมูลค่ามากกว่า 10,000 ล้านบาท ครอบคลุมพื้นที่จังหวัดนนทบุรี ภูเก็ต อุดรธานี และสกลนคร ภายใต้แบรนด์ต่าง ๆ อาทิ ธนาฮาบิแทต ธนาวิลเลจ ธนาคลัสเตอร์ ธนาซิโอ สิริวิลเลจ ธนาสิริ คลัสเตอร์วิลล์ และ ไพร์มเพลส เป็นต้น   3.นายสุทธิรักษ์ พร้อมพี่น้องได้เข้ามารับช่วงต่อการบริหารงานจากนายประสิทธิ์ เสถียรภาพอยุทธ์  บิดาซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งบริษัท ซึ่งตลอดรยะเวลาที่เข้ามารับช่วงต่อ ก็บริษัทต้องเผชิญวิกฤตครั้งใหญ่ถึง 3 เหตุการณ์ ที่สำคัญ คือ ปัญหาน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 ปัญหาการเมืองปี 2557 และปัญหาโควิด-19 ปี 2563   ปัจจุบันมีโครงการอยู่ระหว่างการขาย 6 โครงการ มูลค่ารวม 1,200 ล้านบาท จำนวน 255 ยูนิตโดยมียอดขายไป ทำให้บริษัทประสบปัญหาต้องชะลอแผนการพัฒนาโครงการใหม่     แต่แม้ว่าจะมีวิกฤตครั้งสำคัญ บริษัทก็สามารถผ่านพ้นมาได้ โดยดูว่าปัญหานั้นกระทบกับเรื่องใด เช่น หากกระทบกับภาวะการเงิน ก็จะใช้กลยุทธ์การบริหารการเงิน โดยเฉพาะการรักษากระแสเงินสดให้ยังมีสภาพคล่องเพื่อดำเนินธุรกิจต่อไปได้   4.ผลประกอบการ ปี 2564 กลุ่มบริษัทมียอดขายรวมทั้งสิ้น 843 ล้านบาท เติบโต 148% ยอดรับรู้รายได้ 581 ล้านบาทเติบโต​57% ​ มีกำไรขั้นต้น 29.5% โดยมีกำไรสุทธิ 23 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 44.5 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ​   5.ส่วนไตรมาสแรกของปีนี้ ​มียอดขาย 150.3 ล้านบาท และทำกำไรเติบโดเกือบ 30% มียอดรับรู้รายได้ 581 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 6.ปัจจุบัน บริษัทมีโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการขายทั้งหมด  6 โครงการ มูลค่า 1,200 ล้านบาท หรือ 255 ยูนิต โดยมียอดขายไปแล้วเฉลี่ย 60% และมียอด Backlog 350 ล้านบาท โดยรอโอนในไตรมาส 1 ของปีนี้ ประมาณ 50% เป็นโครงการอยู่ใน จังหวัดนนทบุรี 5 โครงการ และ จังหวัดอุดรธานี 1 โครงการ ได้แก่   1. ธนาฮาบิแแทต กรู๊ฟ ปิ่นเกล้า-สิรินธร โครงการบ้านเดี่ยว-บ้านแฝด จำนวน 125 ยูนิต บนพื้นที่ 23 ไร่เศษ มูลค่าโครงการ 720 ล้านบาท ราคาขายเฉลี่ย 5.8 ล้านบาท   2.อนาบูกิ ธนาฮาบิแทต สะพานมหาเจษฎาบดินทร์ฯ-ราชพฤกษ์ บ้านแฝดและทาวน์โฮม สไตล์ L-Home ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนกับกลุ่มอนาบูกิ   3. ธนาฮาบิแทต ปิ่นเกล้า-สิรินธร บ้านเดี่ยวหรู 4 นอน   4. ธนาคลัสเตอร์ ราชพฤกษ์ ทาวน์โฮม 3 ชั้น ราคาเริ่ม 3.49 ล้านบาท   5. ธนาคลัสเตอร์ เวสต์เกต บ้านแฝดและทาวน์โฮม 3 ชั้น ราคาเริ่มต้น 3.39 ล้านบาท   6. สิริวิลเลจ อุดรธานี-แอร์พอร์ต บ้านเดี่ยว ชั้นเดียว และ 2 ชั้น ราคาเริ่มต้น 2.49 ล้านบาท     7.ในปี 2565 นี้บริษัทมีแผนการพัฒนาโครงการใหม่ อย่างน้อย 3 โครงการ  ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์เฮาส์ รวมมูลค่ากว่า 2,300 ล้านบาทได้แก่   1. "อนาบูกิ ธนาฮาบิแทต ราชพฤกษ์" โครงการร่วมทุนกับ อนาบูกิ โคซัน พันธมิตรจากประเทศญี่ปุ่น พัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวและบ้านแฝด จำนวน 167 ยูนิต บนพื้นที่ 30 ไร่เศษ มูลค่า1,070 ล้านบาท ราคาขายเฉลี่ย 6.4 ล้าน เปิดขายในไตรมาส 2     2. "ธนาเรสซิเดนท์ บรมราชชนนี-ปิ่นเกล้า" บ้านเตี่ยวหรู 47 ยูนิต บนพื้นที่ 21 ไร่เศษ มูลค่า 800 ล้านบาท ราคาขายเฉลี่ย 17 ล้านบาท เปิดขายในไตรมาส ​3   3. "ธนาวิลเลจ" บ้านแฝด จำนวน 115 ยูนิต บนพื้นที่ 19 ไร่ มูลค่า 500 ล้านบาท ราคาขายเฉลี่ย 4.3 ล้าน เปิดขายในไตรมาสที่ 4     8.ในปีนี้ได้เพิ่มบริการ Home Smile สำหรับการดูแลตรวจบ้านโครงการเก่าอายุ 5-10 ปีขึ้นไป รวมกว่า 30 โครงการ 3,000 ยูนิต และพัฒนาพื้นที่ส่วนกลาง และสร้างความสัมพันธ์ให้กับชุมชนได้มีกิจกรรมร่วมกัน สร้างคุณภาพการอยู่อาศัยที่ดี ในบางโครงการมีการปรับปรุงพื้นที่ส่วนกลางให้เข้ากับการอยู่อาศัยในยุคปัจจุบันทั้งวัยเด็ก วัยทำงาน และผู้สูงวัย ซึ่งการแก้ไขในแต่ละจุดอาจจะเกิดจากความผิดพลาดในการก่อสร้างในอดีต หรือจากการเสื่อมสภาพตามอายุการใช้งาน   9.แผนในระยะ 3 ปี ภายในปี 2567 จะทำยอดรับรู้รายได้รวม 3 ปี มูลค่า 5,000 ล้านบาท และมียอดขาย 6,000 ล้านบาท เพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน บริษัทวางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ปีละ 2,000-3,000 ล้านบาท เพื่อให้เกิดยอดขายในอัตราดังกล่าว ซึ่งขนาดโครงการจะมีประมาณ ​500 ยูนิต มูลค่าโครงการ 500-1,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นระดับที่เหมาะสมกับศักยภาพและความสามารถ โดยนอกจากพัฒนาโครงการในพื้นที่หลักจังหวัดนนทบุรีแล้ว อนาคตจะมองหาทำเลอื่น ๆ ในโซนอื่นเพื่อการพัฒนาโครงการด้วย เช่น โซนบางนา   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ธนาฮาบิแทต ปิ่นเกล้า-สิรินธร ปลื้ม กระแสตอบรับดี  
อัปเดท ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนพฤษภาคม 2565อกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน

อัปเดท ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนพฤษภาคม 2565อกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน

อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน  สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เดือนพฤษภาคมนี้ ถือว่าดีขึ้นมาก ระดับความรุนแรงของโรคลดลง คนส่วนใหญ่กลับมาใช้ชีวิตเกือบจะเป็นปกติ เชื่อว่าช่วงครึ่งปีหลังภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อน่าจะเพิ่มมากขึ้นกว่าเก่า สำหรับตลาดอสังหาริมทรัพย์ ช่วงนี้ก็เริ่มกลับมาจัดกิจกรรมเปิดตัวโครงการกันมากขึ้น แสดงให้เห็นทิศทางการฟื้นตัวของตลาด และกำลังซื้อที่เริ่มจะกลับมา เป็นจังหวะและโอกาสที่ดี สำหรับคนที่มีความพร้อม และต้องการเลือกซื้อที่อยู่อาศัย เพราะตอนนี้ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังคง​มีโปรโมชั่น และแคมเปญการตลาดที่น่าสนใจออกมากระตุ้นตลาด   ด้านสถาบันการเงินต่าง ๆ ส่วนใหญ่ยังคงอัตราดอกเบี้ยในระดับที่ต่ำ และยังไม่ได้ปรับเพิ่มขึ้น สวนทางกับต้นทุนค่าวัสดุก่อสร้าง และต้นทุนแรงงานที่ส่วนใหญ่จะเพิ่มมากขึ้นแล้ว เชื่อว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป ราคาที่อยู่อาศัยคงต้องขยับเพิ่มขึ้นเช่นกัน ใครจะซื้อบ้านและคอนโด คงต้องรีบกันหน่อย เพราะอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนพฤษภาคมตอนนี้ก็ยังคงเท่ากับเดือนก่อนหน้า   อัปเดตดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด 1.ธนาคารกรุงเทพ สำหรับธนาคารกรุงเทพ มีสินเชื่อบ้านบัวหลวง ที่ให้บริการลูกค้า 2 กลุ่ม คือ ลูกค้าพนักงานที่มีรายได้ประจำ และลูกค้าทั่วไป  โดยอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ประจำเดือนพฤษภาคม 2565 ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา อัตราดอกเบี้ยเฉพาะพนักงานที่มีรายได้ประจำ วงเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท  (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.00%) หลังจากนั้น 5.2%  (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.65% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3  อัตราดอกเบี้ย 4.2% (MRR-1.75%) หลังจากนั้น 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.65% อัตราดอกเบี้ยเฉพาะพนักงานที่มีรายได้ประจำ วงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 5 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.45% (MRR-1.50%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.48% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3  อัตราดอกเบี้ย 4.075% (MRR-1.875%) หลังจากนั้น 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.48% อัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับลูกค้าทั่วไป วงเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.50% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.00%) หลังจากนั้น  5.45% (MRR-0.50%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.87% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 4.45%(MRR-1.50%) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.45%(MRR-1.50%) หลังจากนั้น 5.45%  (MRR-0.50%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.9% อัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับลกค้าทั่วไป วงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 5 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.7%(MRR-1.25%) หลังจากนั้น 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.57% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 4.075%(MRR-1.875%) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.075% (MRR-1.875%) หลังจากนั้น 5.2%(MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.58%   -กรณีวงเงิน ตั้งแต่ 500,000 บาทแต่ไม่เกิน 1 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ย คงที่ปีแรก 4.75% หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีวงเงินต่ำกว่า ​500,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีหลักประกันสิทธิการเช่า ​คิดอัตราดอกเบี้ย​ MRR-0.75% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีหลักประกันที่ดินเปล่าเพื่อการอยู่อาศัย คิดอัตราดอกเบี้ย ​MRR-0.25% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา   หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับผู้ที่ยื่นคำขอสินเชื่อพร้อมเอกสารครบถ้วน ตั้งแต่วันที่ 5 ม.ค.- 31 มี.ค. 65 โดยผู้กู้ต้องลงนามในสัญญากู้ภายใน 1 เดือน นับตั้งแต่วันที่อนุมัติสินเชื่อ​และจดทะเบียนจำนองพร้อมเบิกเงินกู้งวดแรกหรือทั้งหมดภายใน 2 เดือน นับตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญา ​ -พนักงานที่มีรายได้ประจำ หมายถึง พนักงานที่มีรายได้หลัก หรือ มีความสามารถในการชำระคืนหลัก จากรายได้ประจำ -รูปแบบการชำ​ระแบบคงที่ เลือกผ่อนได้ทุกทางเลือก/รูปแบบการผ่อนชำ​ระแบบขั้นบันได เลือกผ่อนได้เฉพาะทางเลือกที่ 1 -อัตราส่วนวงเงินกู้สูงสุดและมูลค่าหลักประกันให้เป็นไปตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย -อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบันตามประกาศของธนาคาร ณ วันที่ 17 มิถุนายน 64 เท่ากับ 5.95% ต่อปี -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยรวมทั้งหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ​​-ข้อมูลในเว็บไซต์ ณ วันที่ 6 พฤษภาคม 2565 ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง 2.ธนาคารกรุงไทย อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด สำหรับธนาคารกรุงไทย ในเดือนนี้มีสินเชื่อในโอกาสครบรอบ 56 ปีธนาคารกรุงไทย ​ซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด  ไม่เปลี่ยนเปลี่ยนแปลงจากช่วงเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา ​​ดังนี้ แบบทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0.56% ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย 4.22% (MRR-2.0%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.0% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.27% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ยเฉลี่ย 0.81% (เดือนที่ 1-9 คิด 0.56% เดือนที่ 10-12 คิดดอกเบี้ย 1.56%) ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย 3.0% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.08% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.30%   หมายเหตุ : 1.การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ *ทำประกันทางเลือกใด ทางเลือกหนึ่ง ดังนี้ -ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ (MRTA / GLTSP) เต็มวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 10 ปี -ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ (MRTA / GLTSP) 70% ของวงเงินกู้ และระยะเวลากู้ -ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ (MRTA / GLTSP) 70% ของวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 15 ปี (การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ เป็นไปตามความสมัครใจของลูกค้า และไม่มีผลต่อการอนุมัติสินเชื่อ) 2.อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (EIR)**คำนวณจากวงเงินกู้ 1.00 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี ผ่อนชำระ 6,600 บาท/เดือน MRR = 6.22% ต่อปี (ณ 1 เม.ย. 2564) 3.สามารถขอสินเชื่อ Home For Cash แบบมีกำหนดระยะเวลา (Term Loan) เพิ่มเติม สำหรับวัตถุประสงค์ : เพื่ออุปโภคบริโภค / ปรับปรุง ต่อเติม ซ่อมแซมที่อยู่อาศัย /ชำระค่าเบี้ยประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ อัตราดอกเบี้ย MRR ต่อปี ตลอดอายุสัญญา 4.เงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด การพิจารณาสินเชื่ออยู่ภายใต้ดุลยพินิจของธนาคาร ยื่นสมัครสินเชื่อ ภายในวันที่ 30 เมษายน 2565 และทำนิติกรรมจำนองภายใน 30 วัน 5.การผ่อนชำระ : สามารถเลือกผ่อนชำระในอัตราล้านละ 3,000 บาท ต่อเดือน ในช่วงปีที่ 1 ได้ ทั้งนี้ ธนาคารสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขรายการส่งเสริมการขาย โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า 3.ธนาคารกรุงศรี ธนาคารกรุงศรี มีสินเชื่อบ้านกรุงศรี เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย (บ้านใหม่/บ้านมือสอง) สำหรับลูกค้าทั่วไป โดยมีแคมเปญฟรี ค่าธรรมเนียมสำรวจ และค่าประเมินอัตราดอกเบี้ยยังคงเท่าเดิมจากเดือนที่ผ่านมา โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ สำหรับการกู้ในวงเงิน 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 5 ล้านบาท ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.9% ( MRR-3.15%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.05% (MRR-2.00%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป 4.95% (MRR-1.10%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.97% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.39% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 เดือนที่ 1-6 อัตราดอกเบี้ย 1.50% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย MRR-1.60% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.7% (MRR-1.35%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.10%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.21% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.52% สำหรับการกู้เงินในวงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.55%  (MRR-3.50%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.3%  (MRR-2.75%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 4.7% (MRR-1.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.52% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.02% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 เดือนที่ 1-6 อัตราดอกเบี้ย 1.25% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย 4.1% (MRR-1.95%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.3% (MRR-1.75%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป 4.7%  (MRR-1.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.89% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.23%   หมายเหตุ * อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงการแสดงตัวอย่าง โดยคำนวณจากฐานวงเงินกู้ 2 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 5 ล้านบาท และฐานวงเงินกู้ 5 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ด้วยระยะเวลาการกู้ 10 ปี ในกรณีที่ลูกค้า ซื้อ MRTA/MLTA หากค่าเบี้ย MRTA/MLTA เปลี่ยนแปลง อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอาจเปลี่ยนแปลงได้ เงื่อนไขการรับสิทธิพิเศษสาหรับลูกค้าที่ซื้อประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ (MRTA/MLTA) -รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ต่อปี เฉพาะในปีที่ 1 จากอัตราดอกเบี้ยทุกทางเลือก ลูกค้าต้องซื้อ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการตามเงื่อนไขดังนี้ 1.ผลิตภัณฑ์ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการได้แก่ MRTA : แผนกรุงศรี เซฟตี้โลน 1 พลัส หรือ กรุงศรี เซฟตี้โลน 1 หรือ กรุงศรี เซฟตี้โลน 2 / MLTA : กรุงศรี รักบ้าน รักคุณ หรือกรุงศรี รักบ้าน รักคุณ พลัส เท่านั้น 2.กรณีผู้กู้หลักเป็นพนักงานเงินเดือนที่มีรายได้ ประจำ​ต้องซื้อ MRTA/MLTA 100% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี หรือซื้ออย่างน้อย 70% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความ คุ้มครองไม่ต่ำกว่า 20 ปี 3.กรณีผู้กู้หลักเป็นผู้ประกอบธุรกิจส่วนตัว ต้องซื้อ MRTA/MLTA อย่างน้อย 80% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 10 ปี หรือซื้อย่างน้อย 50% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี 4.กรณีมีผู้กู้ร่วม สามารถซื้อ MRTA/MLTA เฉพาะผู้กู้หลักเพียงคนเดียวได้ หรือหากผู้กู้ร่วมประสงค์ที่จะซื้อ MRTA/MLTA ด้วย ผู้กู้หลักและผู้กู้ร่วมทุกคนจะต้องมีทุนประกันขั้นต่ำในสัดส่วนที่เท่ากัน ขอสงวนสิทธิ์ในการปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย เป็นอัตราดอกเบี้ยปกติตามที่ลูกค้าได้เลือกไว้ โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ในกรณีที่บริษัทประกันไม่ อนุมัติ MRTA/MLTA หรือในกรณีที่ลูกค้าขอยกเลิก MRTA/MLTA -ตามประกาศธนาคาร ณ วันที่ 21 พ.ค. 63 อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.05% ต่อปี -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 30 เม.ย. 65 โดยจดจำนองและเบิกรับเงินกู้ภายในวันที่ 31 พ.ค. 65 -ค่าธรรมเนียมอื่น ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร -การพิจารณา อนุมัติสินเชื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด -วงเงินกู้อนุมัติสูงสุดเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด และไม่เกินกว่า วงเงินกู้สูงสุดต่อมูลค่าหลักประกัน (ราคาซื้อขาย) ตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์เรียกเก็บค่าเบี้ยปรับกรณีปิด ภาระหนี้ก่อนกำหนด (กรณีที่ลูกค้ารีไฟแนนซ์ไปสถาบันการเงินอื่นภายใน 3 ปีแรกนับจากวันทำสัญญา) คิดเป็น 3% ของยอดหนี้คงเหลือ 4.ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกสิกรไทย มีสินเชื่อกู้ซื้อบ้านสำหรับบ้านใหม่ให้กับลูกค้าทั่วไป โดยพิจารณาเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีรายได้ประจำ และกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการ ซึ่งเดือนนี้อัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ สำหรับลูกค้าที่มีรายได้ระจำ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย = n.a. อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 7.72% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 7.72% สำหรับลูกค้าผู้ประกอบการ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย = n.a. อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 8.22% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 8.22% หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ย MRR = 5.97% (ประกาศ ณ วันที่ 22 พ.ค. 2563) ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ย MRR ให้อ้างอิงอัตราดอกเบี้ยตามประกาศของธนาคาร ณ วันที่ลูกค้ายื่นใบสมัครสินเชื่อ -อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวสำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 31 มีนาคม 2565 โดยสามารถยื่นกู้ได้สำหรับที่อยู่อาศัยทุกประเภท ยกเว้นการกู้เพื่อซื้อที่ดินเปล่า -รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม 0.25% ในปีแรก หากทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองสินเชื่อบ้านตามเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด -กรณียื่นกู้บ้านในโครงการจัดสรรที่ธนาคารสนับสนุน ธนาคารฯมีอัตราดอกเบี้ยพิเศษ สอบถามรายละเอียดและเงื่อนไขเพิ่มเติมได้ที่ K-Contact Center 02-8888888 ต่อ 887   5.ธนาคารเกียรตินาคิน ธนาคารเกียรตินาคิน มีสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย (KKP Home Loan เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย) กรณี บ้านใหม่ : ซื้อบ้านจากบริษัทพัฒนา อสังหาริมทรัพย์ที่ธนาคารกำหนด ซึ่งคิดอัตราดอกเบี้ยในอัตราเดิมเท่ากับเดือนที่ผ่านมา โดยธนาคารเกียรตินาคินมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ ดอกเบี้ยคงที่ 2 ปี แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  2.45%-2.75% ปีต่อไป ดอกเบี้ย  4.775% (MLR-1.75%) แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.65%-2.95% ปีต่อไป ดอกเบี้ย 4.775% (MLR-1.75%) ดอกเบี้ยคงที่ 3 ปี แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.60%-2.99% ปีต่อไป ดอกเบี้ย 4.775% (MLR-1.75%) แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.80%-3.19% ปีต่อไป ดอกเบี้ย 4.775% (MLR-1.75%)   หมายเหตุ 1.อัตราดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับปัจจัยอ้างอิง เช่น อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR) ซึ่งธนาคารจะแจ้งให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว  โดยจะประกาศไว้ ณ สถานที่ทำการให้บริการและ​เว็บไซต์ของธนาคาร 2.MLR ณ วันที่​ 18 สิงหาคม 2563 เท่กับ​ 6.525% ต่อปี 3.เลือกทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ​(MRTA)ผ่านธนาคาร ทุนประกันภัยเท่ากับวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาเอาประกันภัยขั้นต่ำ 10 ปี กรณีที่ระยะเวลาการกู้ไม่ถึง 10 ปี ให้ระยะเวลาเอา​​​​​​ประกันภัยเท่ากับระยะเวลาการกู้ 4.กรณี Refinance ไปสถาบันการเงินอื่นก่อนครบ 3 ปี แรก คิดค่า​ Prepayment Penalty 3% ของเงินต้นคงค้าง 5.​กรณีเลือกใช้เงื่อนไขอัตราดอกเบี้ยแบบฟรีค่าจดจำนอง ​​หากลูกค้า Re-Finance หรือชำระปิดบัญชีก่อนระยะเวลาที่กำหนดไว้ ลูกค้าต้องชำระค่าจดจำนองที่ธนาคาร เคยสำรองจ่ายให้แก่ธนาคาร​ 6.ค่าประเมินหลักประกันเริ่มต้น 3,210 บาท  ค่าอากรแสตมป์ 0.05% ของวงเงินกู้ (สูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท) 7.เบี้ยประกันอัคคี ​เป็นไปตามที่บริษัทประกันภัยกำหนด ​โดยผู้กู้สามารถเลือกทำประกันกับบริษัทที่น่าเชื่อถือใดก็ได้ ​ a.อัตราส่วนวงเงินกู้ยืมสูงสุด ต่อหลักประกัน 100% ของราคาซื้อขายจริง หรือราคาประเมินธนาคาร แล้วแต่ราคาใดต่ำกว่า ยกเว้นธนาคารมีกำหนดเงื่อนไขพิเศษอื่น ๆ สำหรับบางโครงการ อาจจะได้รับอัตราส่วนวงเงินกู้ยืมสูงสุดต่อหลักประกัน​ 100% b.ระยะเวลากู้สูงสุด ​30 ปี (อายุผู้รวมระยะเวลากู้ไม่เกิน 65 ปี สำหรับพนักงานเงินเดือนประจำ และไม่เกิน 70 ปี สำหรับเจ้าของกิจการ/ธุรกิจส่วนตัว) 6.ธนาคารซีไอเอ็มบี ธนาคารซีไอเอ็มบี สินเชื่อบ้าน โฮมโลนฟอร์ยู อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรก 4.05% ให้กับพนักงานประจำ ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ ผู้ประกอบการ และเจ้าของกิจการ  โดยคิดอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เท่ากับเดือนที่ผ่านมา ซึ่งธนาคารซีไอเอ็มบี มีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ สำหรับพนักงานประจำ รายได้ 15,000 บาท หรือเจ้าของกิจการรายได้ 30,000 บาท ประเภททำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.25% (MRR-3.1%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.25% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.07% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.55% (MRR-2.8%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.15% หมายเหตุ -สำหรับซื้อบ้านและคอนโดจากโครงการทั่วไป -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินกู้ 2 ล้านบาท ระยะเวลากู้ 15 ปี (MRR=7.35% ประกาศ ณ วันที่ 9 ธันวาคม 2564) -ธนาคารยังมีอัตราดอกเบี้ยสำหรับพนักงานประจำรายได้ 30,000-50,000 หรือเจ้าของกิจการรายได้ 50,000 บาทขึ้นไปไว้พิจารณาด้วย รวมถึงสินเชื่อสำหรับโครงการที่ธนาคารเป็นผู้สนับสนุน 7.ธนาคารทีทีบี ธนาคารทีทีบี มีสินเชื่อบ้านใหม่ สำหรับการซื้อบ้านหรือคอนโดจากโครงการทั่วไป ภายใต้แคมเปญดอกเบี้ยพิเศษเริ่มต้นเฉลี่ย 3 ปีแรก 4.05% ต่อปี จะได้รับฟรีค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย ค่าจดทะเบียนจำนอง และค่าประเมินหลักทรัพย์ ซึ่งอัพเดทอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ของเดือนมีนาคม ยังคงใช้ในอัตราเท่ากับเดือนที่ผ่านมา  โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ทางเลือก 1 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.05% (MRR-2.23%) หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.05% ดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.46% ทางเลือก 2 (ฟรีค่าจดจำนอง) ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.4% (MRR-1.88%) หลังจากนั้น 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.4% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.57% ทางเลือก 3 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 4.65% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา ดอกเบี้ย 4.65% รายละเอียดเงื่อนไข สมัครผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ได้แก่ 1.สมัครประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ สไมล์โฮม หรือ สไมล์โฮม พลัส ​ 2.สมัครใช้บริการหักบัญชีอัตโนมัติผ่านบัญชีออมทรัพย์ ทีทีบี เพื่อผ่อนชำระสินเชื่อบ้าน 3.สมัครบัตรเดบิต ttb (กรณีที่คุณมีบัตรเดบิต ttb แล้ว ไม่ต้องสมัครเพิ่ม) กู้ซื้อบ้าน คอนโดใหม่ กับทีทีบี รับข้อเสนอพิเศษ ด้วยอัตราดอกเบี้ย ให้เลือก 2 แบบ ดังนี้ แบบที่ 1 สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท -รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษนาน 3 ปี -ฟรีประกันอัคคีภัยมูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท -ฟรีค่าจดทะเบียนจำนอง 1% ของเงินกู้สูงสุดถึง 200,000 บาท -ฟรี ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรม จำนอง แบบที่ 2 สมัครผลิตภัณฑ์เสริมไม่ครบทั้ง 3 ประเภท​ -ฟรีประกันอัคคีภัย มูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท -ฟรี ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรม จำนอง หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมรวมถึงสิทธิพิเศษต่าง ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อบ้าน (MRTA) ไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อทำเพื่อประโยชน์หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นกับผู้กู้ในขณะที่ยังชำระหนี้ไม่ครบถ้วน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของผู้กู้และธนาคาร และไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย 3 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการพิจารณาอนุมัติวงเงินกู้และอัตราดอกเบี้ยตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของธนาคาร -ธนาคารขอสงวนสิทธิเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่แจ้งไว้ในเอกสารฉบับนี้ โดยไม่ ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า -ในกรณีที่ธนาคารเป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนจำนองหลักประกันแทนผู้กู้หากผู้กู้มีความประสงค์จะไถ่ถอนหลักประกันและชำระหนี้คืนทั้งหมดภายในระยะเวลา 5 ปี นับแต่วันเบิกใช้เงินกู้ ครั้งแรก ผู้กู้ตกลงคืนเงินค่าธรรมเนียมจดจำนองหลักประกันตามจำนวนเงินที่ธนาคารได้ช าระไปให้แก่ธนาคาร ในวันที่ผู้กู้ได้ชำระหนี้ทั้งหมดเสร็จสิ้น (ค่าธรรมเนียมจดจำนอง 1% สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท) -กค้าต้องสำรอง จ่ายค่าจดจำนองแก่กรมที่ดินก่อน โดยธนาคารจะโอนเงินคืนเข้าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ที่ลูกค้าใช้หักชำระค่างวดกับธนาคารภายใน 30 วันทำการนับจากวันที่ลูกค้าจดจำนอง -MRR = 6.28% ตามประกาศธนาคาร https://www.ttbbank.com/th/rates/loan-interest-rates -สำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 ถึง 30 มิถุนายน 2565 และจดจำนอง ภายใน 31 กรกฎาคม 2565 8.ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ มีสินเชื่อบ้านสำหรับลูกค้าทั่วไป โดยคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับช่วงเดือนที่ผ่านมา  คิดอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ แบบไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.995% ปีต่อไป MRR = 5.995% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.995% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.995% แบบทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ มากกว่าหรือเท่ากับ 70% ของวงเงินกู้ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.95% ปีต่อไป MRR = 5.995% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.95% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.983% หมายเหตุ -กรณีใช้ดอกเบี้ย​แบบทำประกัน​ Credit Life 70% กำหนดให้ทำทุนประกันไม่น้อยกว่า 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลาเอาประกัน 70% ของระยะเวลากู้ตามสัญญา โดยกำหนดให้เอาระยะเวลาขั้นต่ำ 10  ปี (กรณีระยะเวลากู้ตามสัญญาต่ำ​10 ปี กำหนดให้ระยะเวลาเอาประกันเท่ากับระยะเวลากู้ตามสัญญา) ​-ประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ รับประกันภัยโดย บมจ. ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต บริษัทนเครือกลุ่มเอฟดับบลิวดี หากต้องการสอบถามรายละเอียด เกี่ยวกับการประกันภัยเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ ศูนย์บริการลูกค้า โท​ร. 1315 ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.00 – 20.00 น. -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจรายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข ​​ก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุก​ ธนาคารเป็นเพียงนายหน้าผู้ชี้ช่อง หรือจัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันภัยเท่านั้น ​การพิจารณารับประกัน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการรับประกันภัย ของบริษัทประกันภัย -อัตราดอกเบี้ย MRR ของธนาคารไทยพาณิชย์ เท่ากับ 5.995% ต่อปี ​(ประกาศ ณ วันที่ 9 สิงหาคม 2564) ซึ่งอาจะเปลี่ยนแปลงได้ตามประกาศธนาคาร -อัตราดอกเบี้ยแท้จริงที่ระบุในตารางเป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในฉบับนี้เท่านั้น ​ซึ่งอาจะมีความแตกต่างกัน ตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีลูกค้าบอกเลือกประกันชีวิต หรือขอเวนคืนกรมธรรม์ หรือทำประกันไม่ครบกำหนดตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ​ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยวงเงินกู้ เป็นอัตราดอกเบี้ยทั่วไป  ตามประกาศธนาคาร ระยะเวลากู้ตามสัญญา วงเงิน ระยะเวลาผ่อนชำระ อัตราดอกเบี้ย คุณสมบัติ เอกสารปรกอบการพิจารณา และการอนุมัติเป็นไปตามเงื่อนไข หลักเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด ​​-ข้อมูลในเว็บไซต์ ณ วันที่ 6 เมษายน 2565 ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง   9.ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์  หรือ ธอส. มีสินเชื่อสำหรับการซื้อบ้านหลากหลายประเภท โดยประเภทสินเชื่อโครงการบ้าน ธอส. เพื่อคุณ ปี 2565 ​มีการคิดอัตราดอกเบี้ย ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากแคมเปญสิ้นสุดเดือนธันวาคม 2565  โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.15% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.9% (MRR-2.25%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.75% (MRR-1.4%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ยตลอดอายุสัญญา  5.4% หมายเหตุ -ยื่นคำขอกู้และอนุมัติตั้งแต่วันที่ 2 ม.ค.-30 ธ.ค.65   (ธนาคารสงวนสิทธิ์ในการกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดโครงการก่อนกำหนด หากธนาคารให้สินเชื่อเติมวงเงินของโครงการแล้ว) -อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.15% ประกาศ ณ วันที่ 25 พฤษภาคม 2563 -ยกเว้น ค่าธรรมเนียมยื่นกู้ 0.1% ของวงเงินกู้และทุกบัญชีเงินกู้ภายใต้หลักประกันเดียวกัน 10.ธนาคารยูโอบี ธนาคารยูโอบี มีสินเชื่อบ้านสำหรับโครงการหมู่บ้านทั่วไป  โดยอัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ด้วยการคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับเดือนที่ผ่าน  ซึ่งธนาคารยูโอบีมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด  ดังนี้ ทางเลือก 1 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.35% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.35% (MRR-4.0%) อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.79% ทางเลือกที่ 2 ไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.55% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.55% (MRR-3.80%) หลังจากนั้น 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.87% ทางเลือกที่ 3 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.8% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.75%  (MRR-2.60%) หลังจากนั้น 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.45% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.8% ทางเลือกที่ 4 ไม่ทำประกันคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.0% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.95%  (MRR-2.24%) ปีที่ 4 อัตราดอกเบี้ย 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.65% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.96% หมายเหตุ -ขอสินเชื่อตั้งแต่ 1 เม.ย.- 30 มิ.ย. 65 และจดจำนองหลักประกันกับธนาคารภายใน 27 ก.ค.​ 65 -อัตราดอกเบี้ยแบบทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ผ่านธนาคารยูโอบี >ทุนประกันเต็มวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันขั้นต่ำ 10 ปี หรือ >ทุนประกันขั้นต่ำ 80% ของวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันเต็มตามระยะเวลากู้ -อัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 1 ล้านบาท อายุสัญญา 15 ปี MRR=7.35% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้น เป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในสื่อโฆษณาเท่านั้น อัตราดอกเบี้ยสำหรับการทำสัญญากู้ยืมของลูกค้าแต่ละรายอาจะมีความแตกต่างกันตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีไถ่ถอนจำนองเพื่อไปใช้บริการกับสถาบันการเงินอื่น ​(Re-finance) ในช่วงระยะเวลา 3 ปีแรก นับจากวันที่กู้ จะมีค่าปรับ 3% ของยอดเงินต้นคงค้าง (เฉพาะวงเงินสินเชื่อที่มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดหาที่อยู่อาศัยเท่านั้น)​ -การอนุมัติสินเชื่อ​เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของธนาคาร​ -เพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้น อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบันเท่ากับ  7.35% ต่อปี ​(ตามประกาศธนาคารณ วันที่ 1 เม.ย. 64) อนึ่ง ธนาคารสามารถประกาศปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย​ MRR ได้ตามเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดอนุญาตไว้​ -อัตราค่าธรรมเนียมและค่าบริการต่าง ๆ​เป็นไปตามประกาศที่ธนาคารจัดทำไว้  และประกาศให้ทราบตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยธนาคารอาจเปลี่ยนแปลงอัตราค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ได้โดยจะแจ้งให้ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน โดยการปิดประกาศไว้ ณ ที่ทำการ หรือเว็บไซต์ของธนาคาร​ -ธนาคารยูโอบีในฐานะนายหน้าประกันภัย ​(ใบอนุญาตประกันชีวิต​เลขที่ ช.00026/2545 และใบอนุญาตประกันวินาศภัย​ เลขที่ ว.00020/2546) ทำหน้าที่นำเสนอผลิตภัณฑ์ด้านประกันภัยและเป็นผู้จัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันชีวิต/ประกันวินาศภัย และอำนวยความสะดวกในการรับชำระเบี้ยประกันเท่านั้น  รับประกันชีวิตโดยบริษัท พรูเด็นเชียลประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), รับประกันวินาศภัยโดย บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน), บริษัท แอกซ่าประกันภัย จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอ็ม เอส ไอ จี ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ​จะเป็นผู้รับผิดชอบตามเงื่อนไข ความคุ้มครองและสิทธิประโยชน์ตามที่ได้ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครองและเงื่อนไขก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง 11.ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีสินเชื่อเพื่อการซื้อที่อยู่อาศัย คือ โฮมโลน โดนใจ สินเชื่อบ้านดอกเบี้ยต่ำเริ่มต้น 1.9% (สำหรับผู้มีรายได้ 75,000 บาทขึ้นไป) โดยมีการคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับช่วงเดือนที่ผ่านมา ซึ่งธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ อัตราดอกเบี้ยสำหรับผู้กู้มีรายได้ตั้งแต่ 20,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 2.0% ต่อปี แบบที่ 1 ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.00% (MRR-5.35%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.80% (MRR-3.55%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป 5.10% (MRR-2.25% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.60% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.57% แบบที่ 2 ปีที่ 1-2 ดอกเบี้ยคงที่ 2.10%  (ผ่อนต่ำล้านละ 3,500 บาท 2 ปีแรก) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.20% (MRR-3.15%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป 5.10% (MRR-2.25%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.80% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.69% แบบที่ 3 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.55% (MRR-4.80%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 5.10% (MRR-2.25%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.63% แบบที่ 4 ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ยคงที่ 2.75% (ผ่อนต่ำล้านละ 3,500 บาท 3 ปีแรก) ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 5.10% (MRR-2.25%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.75% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.76% เงื่อนไข กรณีลูกค้าเลือกทำประกัน MRTA/MLTA ผ่านธนาคาร : 1.กรณีที่ลูกค้าทำประกัน MRTA/MLTA ผ่านธนาคาร ธนาคารทดรองจ่ายค่าจดจำนองให้ 1% ของวงเงินกู้อนุมัติ หรือ สูงสุดไม่เกิน 2 แสนบาท (ทั้งนี้ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเรียกเก็บเงินทดรองจ่ายค่าจดจำนองดังกล่าวคืนจากลูกค้า กรณีลูกค้าปิดบัญชีสินเชื่อ หรือ เปลี่ยนแปลงสัญญาใด ๆ ภายใน 5 ปีแรก ทุกกรณี นับจากวันทำนิติกรรมจดจำนอง) 2.กรณีสมัครทำประกันชีวิต ต้องสมัครทำ MRTA/MLTA ทุนประกัน 100% ของวงเงินสินเชื่อ ระยะความคุ้มครองขั้นต่ำ 10 ปี หมายเหตุ -โครงการจัดสรรในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เท่านั้น* -ราคาซื้อขายของหลักประกันต้องมีราคา (แนวราบ) ไม่น้อยกว่า 2.00 ล้านบาท , (แนวสูง) ไม่น้อยกว่า 2.50 ล้านบาท -ลูกค้าสามารถเลือกใช้อัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำ ล้านละ 3,500 บาท  กรณีเลือกอัตราดอกเบี้ยคงที่** -ยกเว้น ค่าประเมินราคาหลักประกัน (โครงการจัดสรรทุกโครงการที่มีราคาซื้อขาย 2 ล้านบาทขึ้นไป)*** -ระยะเวลากู้สูงสุด 40 ปี รวมอายุผู้กู้ไม่เกิน 70 ปี**** -วงเงินกู้เพิ่มสูงสุด 10% จากสัญญาซื้อขาย เพื่อซื้อเฟอร์นิเจอร์ ตกแต่งบ้าน อัตราดอกเบี้ย 1) ทำประกัน MRTA/MLTA : ปีที่ 1-3 : MRR – 2.75% = 4.60% หรือ 2) ไม่ทำประกัน MRTA/MLTA : ปีที่ 1-3 : MRR – 2.25% = 5.10% , หลังจากนั้นปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR = 7.35% ***** -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่าง อัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี MRR = 7.35% (ณ 1 เม.ย. 64) ที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในโฆษณาฉบับนี้เท่านั้น ซึ่งอาจมีความแตกต่างตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -การพิจารณาคุณสมบัติของลูกค้าแต่ละรายให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ตามที่ธนาคารกำหนด -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์การพิจารณาสินเชื่อ โดยอยู่ในดุลยพินิจของธนาคาร ทั้งนี้เงื่อนไขต่าง ๆเป็นไปตามประกาศธนาคาร โดยมิต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า -อัตราดอกเบี้ย และโปรโมชั่น (มีวงเงินสินเชื่อจำกัด) สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อ โดยเบิกรับเงินกู้ ตั้งแต่วันนี้- 31 เม.ย. 65 -สำหรับอัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 1.9% สำหรับผู้กู้ที่มีรายได้ 75,000 บาทขึ้นไป ผ่อนต่ำเดือนละ 3,500 บาท ฟรีค่าจดจำนองสินเชื่อเมื่อซื้อประกันผ่านธนาคาร ฟรีค่าประเมินหลักประกัน 12.ธนาคารออมสิน ธนาคารออมสิน มีสินเชื่อเคหะ สำหรับให้บริการผู้ที่ต้องการกู้เงินเพื่อไปซื้อบ้านหรือคอนโด ภายใต้แคมเปญ ผ่อนต่ำปีแรก ล้านละ 2,500 บาทต่อเดือน สำหรับลูกค้าทั่วไป โดยยื่นกู้ภายในวันที่ 30 เมษายน 2565 อนุมัติและจัดทำนิติกรรมสัญญาให้แล้วเสร็จภายใน 31 พฤษภาคม 2565 โดยมีรายละเอียด ​ดังนี้​ กรณีทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 2.0% เพิ่มขึ้น 1.25% จากเดือนที่ผ่านมา เพราะมีแคมเปญดอกเบี้ย 0% ใน 6 เดือนแรก ทำให้เดือนที่ผ่านมามีดอกเบี้ยเฉลี่ยปีแรก 0.75% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 2.9% (MRR-3.345%) ลดลง 0.425% จากเดือนที่ผ่านมามีอัตราดอกเบี้ย 3.525% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.6% ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.126% เพิ่มขึ้น 0.025% จากเดือนที่ผ่านมามีอัตราดอกเบี้ย 4.101% กรณีไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 2.25% เพิ่มขึ้น 1.25% จากเดือนที่ผ่านมา ซึ่งมีอัตราดอกเบี้ย​ 1.0% จากแคมเปญเดือนที่ 1-6 ดอกเบี้ย 0% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย 2.0% ​ ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย 3.525% (MRR-2.72%) ลดลง 0.625% จากเดือนที่ผ่านมา คิดอัตราดอกเบี้ย  4.15% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.995% (MRR-1.25%) เพิ่มขึ้น 1.895% จากเดือนที่ผ่านมามีอัตราดอกเบี้ย 3.1% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.31% เพิ่มขึ้น 0.024% จากเดือนที่ผ่านมามีอัตราดอกเบี้ย 4.286%   เงื่อนไขการผ่อนชำระ -ปีที่ 1 ผ่อนชำระ 2,500 บาทต่อเดือน ปีที่ 2 ผ่อนชำระ 4,500 บาทต่อเดือน ปีที่ 3 ผ่อนชำระ 5,500 บาทต่อเดือน หมายเหตุ -ยื่นกู้ภายในวันที่ 30 เมษายน 2565 อนุมัติและจัดทำนิติกรรมสัญญาให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2565 -อัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำ MRR=6.245% (ตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2563) -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา (EIR) คำนวณจากวงเงินกู้ 1 ล้านบาท ระยะเวลาผ่อนชำระ 20 ปี ผ่อนเท่ากันทุกงวด -ทำประกัน หมายถึง การทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ โดยหลักเกณฑ์ เงื่อนไข เป็นไปตามธนาคารกำหนด -เงื่อนไขการใช้อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อเคหะตามโปรโมชั่น สมัครบริการ MyMo และผลิตภัณฑ์ / บริการอื่น ของธนาคารอย่างน้อย 2 ประเภท ได้แก่ บัตรอิเล็กทรอนิกส์ / บัตรเครดิต หรือสินเชื่อบัตรเงินสด / ชำระสินเชื่อหักผ่านบัญชี / ประกันชีวิตเพื่อประกันสินเชื่อ ทั้งนี้ หากลูกค้าใช้ผลิตภัณฑ์ / บริการอื่นตามที่กำหนดอยู่แล้ว สามารถใช้อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวได้ และกรณีไม่มี Smartphone ให้สมัครผลิตภัณฑ์ / บริการอื่นของธนาคารตามที่กำหนดทดแทนได้ -*กรณี ฟรี ค่าธรรมเนียมจดจำนอง ให้ตามที่จ่ายจริง (รวมทุกสัญญาที่กู้ในคราวเดียวกัน) และลูกค้าต้องสำรองจ่ายค่าจดจำนองแก่กรมที่ดินไปก่อน โดยธนาคารจะโอนเงินหลังหักภาษี ณ ที่จ่าย 1% ของเงินค่าธรรมเนียมจดจำนองคืนภายใน 30 วัน -กรณีผู้กู้ชำระคืนเงินกู้เสร็จสิ้น หรือไถ่ถอนจำนองก่อนครบกำหนด (Prepayment) ภายในระยะเวลา 3 ปี นับแต่วันที่ทำสัญญากู้เงิน ผู้กู้ต้องเสียค่าธรรมเนียมตามที่ธนาคารกำหนด (ปัจจุบันร้อยละ 3.00 ของยอดเงินต้นคงเหลือ) ทั้งนี้ กรณีเลือกอัตราดอกเบี้ยกรณีไถ่ถอนจำนองสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยจากสถาบันการเงินอื่น (Re-Finance) และฟรีค่าธรรมเนียมจดจำนอง ผู้กู้จะต้องชำระค่าจดจำนองคืนแก่ธนาคารเต็มจำนวน -หลักเกณฑ์เงื่อนไขอื่น ๆ ให้เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด โดยธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์เงื่อนไขโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า   หมายเหตุ Reviewyourliving รวบรวมข้อมูลจากเว็บไซต์ธนาคาร ณ​ วันที่ 6 พฤษภาคม 2565   อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม -อัพเดทดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ บ้านและคอนโด เมษายน 65 -อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนเมษายน 2565
Poon ปูรณ์ คาเฟ่ในสวน ณ บางแสน

Poon ปูรณ์ คาเฟ่ในสวน ณ บางแสน

Poon ปูรณ์ Poon ปูรณ์ เหมือนเดินเข้าป่า แต่อยู่ที่หนองมน บางแสน บรรยากาศในร้านที่เต็มไปด้วย ต้นไม้หายากหลากหลายสายพันธ์ ที่แทรกตัวอยู่ในทุกมุมของร้าน ร่มรื่นเหมือนเดินอยู่ในป่า ภายนอกล้อมรอบด้วยต้นสนสูงบังตาเหมือนถูกตัดจากเมืองและความวุ่นวายเพียงแค่เดินก้าวเข้าร้าน  มีเสียงน้ำไหลจากธารน้ำภายในร้านที่ทำขึ้น เหมือนกับนั่งอยู่ริมน้ำในกลางป่าจริงๆ Poon ปูรณ์ ร้านตกแต่งสไตล์ Modern Loft ด้านในปูนเปลือย ผนังดิบๆ ด้านนอกมีมุม camp  หรือ จะแฝงเข้าไปในมุมต้นไม้ก็มีให้เลือกนั่ง เลือกดื่มด่ำกับธรรมชาติ ต้นไม้ราคาแพงยอดนิยม แบบที่ บางต้นมีกล้องวงจรปิด คอยสอดส่องไว้ด้วย คนรักต้นไม้ ต้องมา Poon ปูรณ์ เมนู ร้านนี้ มีทั้ง เครื่องดื่ม ขนม หรือแม้แต่อาหารคาวหวาน อิ่มจบในที่เดียว อาหารเป็นอาหารยุโรป สเต๊ก พาสต้า แฮมเบอร์เกอร์ สลัด ขนม Home madeที่ทำขึ้นสดใหม่ในร้าน Poon ปูรณ์  เครื่องดื่มกาแฟมีความแปลกใหม่ แฟนตาซีมากๆ แต่สำหรับคอกาแฟ กาแฟร้านนี้ มีรางวัลการันตี มีเมล็ดกาแฟให้เลือกในแบบที่ชอบ . Poon ปูรณ์ ทำให้ภาพจำของ หนองมนของเราเปลี่ยนไปแล้ว หนองมนไม่ได้มีแค่ข้าวหลามอีกต่อไป เวลาเปิดปิด : 10.00 - 18.00น. หยุดวันพุธ พิกัด : ปูรณ์ / POON 32 ถนนแสนสุขซอย 1 ต.แสนสุข อ.เมือง จ.ชลบุรี ที่จอดรถ : มี GPS : https://goo.gl/maps/5WUh9bbSTpzxep2VA บทความน่าสนใจ Bang Khla Cafe คาแฟ่สไตล์โฮมมี่ เหมือนปิกนิกในสวนหลังบ้าน RISE COFFEE กาแฟดีที่ เพลินจิต Know Name Cafe กินหมูกระทะสไตล์อเมริกันที่รังสิต
รวมวิธีประหยัดไฟ รับมือค่าไฟฟ้าขึ้นราคา 4 บาท กับสารพัดวิธีเซฟเงินในกระเป๋า

รวมวิธีประหยัดไฟ รับมือค่าไฟฟ้าขึ้นราคา 4 บาท กับสารพัดวิธีเซฟเงินในกระเป๋า

วิธีประหยัดไฟ หลายคนคงได้ยินข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ออกมาแล้วว่า จะมีการปรับขึ้นค่าไฟฟ้า โดยจะเรียกเก็บค่าไฟฟ้ารอบเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม ในอัตรา 24.77 สตางค์ต่อหน่วย เป็นผลมาจากการคำนวณเอฟทีงวดนี้เพิ่มขึ้น 23.38 สตางค์ต่อหน่วย รวมกับการเก็บค่าเอฟทีรอบก่อนหน้าในช่วงเดือนกันยายน-ธันวาคม 2564  อัตรา 1.39 สตางค์ต่อหน่วย และเมื่อรวมกับค่าไฟฐาน 3.76 บาทต่อหน่วย ทำให้ประชาชนต้องจ่ายจริง 4.00 บาทต่อหน่วย เพิ่มขึ้น 5.82% ถือเป็นตัวเลขสูงสุดจากอดีตมา     วิธี​ประหยัดไฟ น่าจะเป็นหนทางที่ดีที่สุด สำหรับประชาชนที่จะรับมือกับค่าไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้น เพราะเราสามารถทำได้เอง และเห็นผลได้อย่างรวดเร็ว คำว่าการประหยัดไฟ ไม่ได้หมายถึงการเลิกใช้ไฟฟ้า แต่เป็นวิธีการใช้ไฟฟ้าให้เกิดประโยชน์สูงสุด และมีประสิทธิภาพสูงสุด เรียกว่าต้องใช้ไฟฟ้าให้คุ้มค่า อะไรลดได้ต้องลด อะไรประหยัดได้ต้องประหยัดนั่นเอง   วิธีประหยัดไฟ มีหลากหลายวิธีด้วยกัน ไม่ใช่มีแค่วิธีการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าประหยัดไฟเบอร์ 5 เท่านั้น แต่ยังมีอีกมากมายสารพัดวิธี รวมถึงเรื่องบางเรื่องที่เราอาจจะมองข้ามไป ไม่คิดว่าจะส่งผลต่อการประหยัดค่าไฟฟ้าได้ อย่างเช่น การปลูกต้นไม้ให้ร่มเงากับตัวบ้าน หรือการเลือกใช้สีทาบ้านสะท้อนความร้อน ซึ่งวิธีการเหล่านี้อาจจะไม่ได้ช่วยลดค่าไฟฟ้าได้โดยตรง แต่เป็นการช่วยทำให้บ้านเย็นขึ้น ทำให้เราไม่ต้องเปิดเครื่องปรับอากาศ อาจจะเปิดแค่พัดลมซึ่งกินไฟน้อยกว่าก็ได้ หรืออาจจะเปิดเครื่องปรับอากาศ แต่เมื่อบ้านเย็นแอร์ก็ไม่ต้องทำงานหนัก ใช้ไฟฟ้าก็น้อยลง เป็นต้น   สำหรับวิธีประหยัดไฟ Reviewyourliving นำเสนอบทความ สาระ ความรู้ต่าง ๆ มาโดยตลอดและมีมาต่อเนื่อง วันนี้จึงจะรวบรวมเอาบทความทั้งหมด มาไว้ในที่เดียว เพื่อให้ผู้อ่านได้ใช้เทคนิค และวิธีประหยัดไฟ เอาไปปรับใช้กันในหน้าร้อนนี้ จะได้รับมือกับค่าไฟฟ้าขึ้นราคา 4 บาทต่อหน่วย ให้ไม่ต้องควักเงินในกระเป๋ามากนัก เช็คอุปกรณ์ไฟฟ้า อะไรกินไฟสูงสุด เริ่มต้นเราคงต้องมาดูก่อนว่า อุปกรณ์ไฟฟ้าชนิดไหน ที่ใช้ไฟฟ้าเยอะ เปลืองค่าไฟมากกว่าเพื่อน กับบทความต่าง ๆ ดังนี้ -บทความ “Top 5 เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ดูดเงินในกระเป๋าคุณ แบบร้องไห้หนักมาก” 1.เครื่องใช้ไฟฟ้ากินไฟ อันดับ 1 “เครื่องปรับอากาศ” 2.เครื่องใช้ไฟฟ้าตัวเล็กกินไฟ “เครื่องทำน้ำอุ่น” 3.ตู้เย็น เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีกันทุกบ้าน 4.เครื่องซักผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ต้องใช้ให้ดี 5.เครื่องใช้ไฟฟ้าที่เลี่ยงไม่ได้ “เตารีด”   อ่านรายละเอียดของบทความเพิ่มเติมได้ที่ Top 5 เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ดูดเงินในกระเป๋าคุณ แบบร้องไห้หนักมาก -บทความ “เปิดทิ้งไว้ 1 ชั่วโมง เสียค่าไฟเท่าไหร่” แล้วเครื่องไฟฟ้าแต่ละชนิดกินไฟฟ้ามากแค่ไหน โดยเราคำนวณให้ดูแล้วหากเปิดใช้ 1 ชั่วโมง เรามาตรวจสอบกัน เปิดทิ้งไว้ 1 ชม. เสียค่าไฟเท่าไหร่ พัดลมตั้งพื้น 12-18 นิ้วค่าไฟ 0.15-0.25 บาท พัดลมตั้งพื้น  70-104 วัตต์ ค่าไฟ 0.50-0.75 บาท ตู้เย็น 2 ประตู 5.5 -12.2 คิว ค่าไฟ 0.30-0.40 บาท โทรทัศน์ LED 43-65 นิ้ว ค่าไฟ 0.40- 1 บาท เตารีดไฟฟ้าขนาด 1000-2800 วัตต์ค่าไฟ 3.5-10 บาท เครื่องปิ้งขนมปัง 760-900 วัตต์ค่าไฟ 3-3.5 บาท เตาปิ้ง 1-2 หัว ขนาดเตา 2000-3500 วัตต์ ค่าไฟ 8-14 บาท เครื่องซักผ้า 10 KG ค่าไฟ 2-8 บาท เครื่องอบผ้า 650-2,500 วัตต์ ค่าไฟ 3-10 บาท หม้อหุงข้าว 1.0-1.8 ลิตร ค่าไฟ 3-6 บาท ไมโครเวฟ 20-30 ลิตร ค่าไฟ 3-4 บาท เครื่องปรับอากาศ 9,000-22,000 BTU ค่าไฟ 2.5-6 บาท ไดร์เป่าผม  1,600-2,300 วัตต์ค่าไฟ 6-9 บาท เครื่องทำน้ำอุ่น 3,500-6,000 วัตต์ค่าไฟ 13.5-23.5 บาท เครื่องดูดฝุ่น 1,400-2,000 วัตต์ค่าไฟ 6-8 บาท   อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม เปิดทิ้งไว้ 1 ชั่วโมง เสียค่าไฟเท่าไหร่ รวมวิธีประหยัดค่าไฟ แบบสบายกระเป๋า พอเราเช็คแล้วว่า ต้นเหตุค่าไฟพุ่งสูง คือ เหล่าบรรดาเครื่องใช้ไฟฟ้าที่กินไฟเราแต่ละเดือนจำนวนมาก เราต้องเสียค่าไฟไปไม่น้อย คราวนี้ก็มาดูกันว่า จะมีวิธีประหยัดค่าไฟฟ้าได้อย่างไร กับบทความต่าง ๆ ดังนี้ -บทความ “How to #save ประหยัดค่าไฟช่วงหน้าร้อน” ในบทความนี้ เรามี วิธีประหยัดค่าไฟฟ้าในบ้าน และประหยัดเงินในกระเป๋าคุณด้วย 8 เครื่องใช้ไฟฟ้า กับ วิธีประหยัดค่าไฟในบ้านมาให้ได้ลองทำตามกันดู ​ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม How to #save ประหยัดค่าไฟช่วงหน้าร้อน -บทความ “6 วิธีประหยัดค่าไฟในช่วงหน้าร้อน” บทความนี้มี 6 วิธีประหยัดค่าไฟ ในช่วงหน้าร้อน มานำเสนอ ​ได้แก่ 1.ปรับอุณหภูมิไม่ต่ำกว่า 25 องศาเซลเซียสเสมอ 2.เครื่องใช้ไฟฟ้าเก่า เลิกใช้ซะ 3.ทำความสะอาดตู้เย็นให้หมดจด 4.ถอดปลั๊กทุกครั้งเมื่อไม่ใช้งาน 5.มาใช้หลอดไฟ LED กันเถอะ 6.ใช้ไฟฟ้าในช่วงเวลาที่ปริมาณการใช้ไฟน้อย   ส่วนรายละเอียดเพิ่มเติม อ่านต่อได้ที่ 6 วิธีประหยัดค่าไฟในช่วงหน้าร้อน   -บทความ “9 วิธีแต่งบ้านคลายร้อน ช่วยให้บ้านเย็นน่าอยู่ อากาศสบายไม่อบอ้าว” การแต่งบ้าน ก็เป็นวิธีที่ช่วยทำให้บ้านเย็น และมีประโยชน์ทำให้ประหยัดค่าไฟได้ทางอ้อมด้วยนะ 1.ติดกันสาดกันแดด 2.ใช้หลังคาป้องกันความร้อน 3.ปลูกต้นไม้ให้ร่มเงา 4.เปิดหน้าต่างระบายอากาศ 5.ติดพัดลมเพดาน 6.เลี่ยงการปูพรม 7.เลือกใช้หลอด LED 8.ทาผนังด้วยสีโทนเย็น 9.ติดพัดลมอากาศในห้องน้ำ   อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม 9 วิธีแต่งบ้านคลายร้อน ช่วยให้บ้านเย็นน่าอยู่ อากาศสบายไม่อบอ้าว -บทความ “ทางลัดลดค่าไฟ 15 วิธีจัดห้องนอนให้เย็นสบายโดยไม่เปิดแอร์” บางครั้ง วิธีประหยัดไฟ อาจจะทำเรื่องอื่น ๆ ที่ไม่ได้เกี่ยวกับเครื่องใช้ไฟฟ้าโดยตรงก็ได้ ก็เป็นการประหยัดค่าไฟฟ้าได้เหมือนกัน ซึ่งบทความนี้มี 15 วิธีมาบอกเล่าเช่นกัน ดังนี้ 1.เปลี่ยนชุดเครื่องนอนให้เป็นผ้าคอตตอน 2.ดื่มน้ำก่อนเข้านอน 3.เปลี่ยนหมอนใหม่ 4.จัดทิศพัดลมให้ถูก เพื่อดูดความร้อนออกนอกบ้าน 5.แขวนผ้าเปียกที่หน้าต่างช่วยปรับอากาศให้เย็นลง 6.วางก้อนน้ำแข็งไว้หน้าพัดลม 7.นอนคนเดียวบ้าง ก็ทำให้อุณหภูมิลดลง 8.เปลี่ยนเตียงนอนบ้างเพื่อให้อากาศหมุนรอบตัวเรา 9.เลือกซื้อชุดนอนแบบผ้าคอตตอนมาสวมใส่ 10.อาบน้ำก่อนนอนช่วยลดอุณหภูมิในร่างกาย 11.ปิดไฟก่อนนอนช่วยลดปริมาณความร้อนได้ 12.วางถังน้ำไว้แช่เท้าไว้ที่ปลายเตียง 13.นอนชั้นล่างอากาศจะเย็นที่สุด 14.ดึงปลั๊กไฟที่ไม่ใช้งานออกให้หมด 15.ทำแอร์ใช้เอง   อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม ทางลัดลดค่าไฟ 15 วิธีจัดห้องนอนให้เย็นสบายโดยไม่เปิดแอร์ -บทความ “5 วิธีลดร้อนให้บ้าน” นอกจากนี้ เรายังมีการนำเสนอเทคนิคและวิธีการอีก 5 วิธีที่ไม่น่าเชื่อว่าจะช่วยลดความร้อนให้บ้านได้ แถมยังมีผลกับการช่วยลดค่าไฟฟ้าได้อีกด้วย ดังนี้ 1.Façade ช่วยได้ 2.ติดฟิลม์กรองแสงลดความร้อนสิ! 3.เปลี่ยนผ้าม่าน ชีวิตก็เปลี่ยน… 4.ต้นไม้ก็ช่วยได้นะ 5.ติดฉนวนกันความร้อน   อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม 5 วิธีลดร้อนให้บ้าน -บทความ “ลดความร้อนที่ผนังก่ออิฐฉาบปูนได้อย่างไรบ้าง” ส่วนบทความนี้ เป็นวิธีที่ใช้ได้ผลจริง แต่อาจจะต้องลงทุนเพิ่ม และต้องพึ่งพาช่างผู้ชำนาญการเข้ามาช่วย เป็นงานที่เราอาจจะทำเองไม่ได้ แต่ก็ช่วยทำให้บ้านเย็น และประหยัดพลังงานไฟฟ้าได้ด้วย อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้​ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม ลดความร้อนที่ผนังก่ออิฐฉาบปูนได้อย่างไรบ้าง ทั้งหมดนี้ ก็เป็นบทความ สาระ ความรู้ ที่เราเคยนำเสนอไว้แล้ว แต่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปแค่ไหน ก็ยังมีประโยชน์ และช่วยให้ประหยัดค่าไฟได้จริง ไม่เชื่อต้องลองทำตามและพิสูจน์ด้วยตัวคุณเอง
ไขข้อสงสัย? บ้านแบบไหนเหมาะกับ การติดโซลาร์เซลล์ และ 7 เรื่องควรรู้

ไขข้อสงสัย? บ้านแบบไหนเหมาะกับ การติดโซลาร์เซลล์ และ 7 เรื่องควรรู้

การติดโซลาร์เซลล์ การติดโซลาร์เซลล์ บนหลังคาอาคาร หรือที่พักอาศัย เป็นแนวทางหนึ่งที่เข้ามาช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าได้อย่างมาก โดยเฉพาะหากคิดถึงความคุ้มค่าในระยะยาว เพราะเป็นการลงทุนครั้งเดียว และเป็นการใช้พลังงานธรรมชาติที่ไม่ต้องลงทุนเพิ่มเติม ยกเว้นแต่การดูแลรักษา และการซ่อมบำรุงตามอายุการใช้งาน โดยเฉพาะตอนนี้อากาศเมืองไทยร้อนกันสุด ๆ แดดแรงแทบจะเผาผิวเราให้ไหม้ได้เลย ถ้าขืนไปยืนอยู่กลางแดดนาน ๆ โดยไม่ได้มีการป้องกัน ทำให้คนส่วนใหญ่เลือกจะอยู่แต่ภายในอาคาร เปิดเครื่องปรับอากาศเย็น ๆ เพื่อความสบายตัว ลดความเสี่ยงออกไปสัมผัสอากาศร้อนภายนอก   เมื่อต้องอยู่แต่ภายในอาคาร หรือบ้านเรือน ที่พักอาศัย แถมต้องเปิดเครื่องปรับอากาศ หรือ พัดลมเป็นเวลานาน ๆ แน่นอน ค่าไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้นแน่นอน แม้ว่าจะใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าแบบประหยัดไฟเบอร์ 5 ก็ตาม แต่ช่วงหน้าร้อนแบบนี้ ค่าไฟฟ้าสูงขึ้นสูงสุดของปี การติดโซลาร์เซลล์ จึงน่าจะเป็นตัวช่วยที่ดีในการประหยัดค่าไฟฟ้า บ้านแบบไหนเหมาะกับ การติดโซลาร์เซลล์ ระบบโซลาร์เซลล์ หรือระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ถือเป็นพลังงานทางเลือกที่ได้รับความนิยมมากขึ้น​ เพราะนอกจากจะเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมแล้ว ปัจจุบันราคายังถูกลงกว่าในอดีตค่อนข้างมาก และยิ่งในระยะยาวก็มีความคุ้มค่า เพราะเป็นการลงทุนครั้งเดียว ไม่นับรวมกับการซ่อมบำรุง และในอนาคตโซลาร์จะเป็นหนึ่งในพลังงานที่สามารถทดแทนพลังงานหลักได้หากมีความต้องการใช้ไฟฟ้าที่มากขึ้น   ปัจจุบันดีเวลลอปเปอร์ที่พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย ก็ใชระบบโซลาร์เซลล์ ที่มีการติดตั้งตามอาคารหรือบ้านมาเป็นหนึ่งจุดขายสำคัญ เพราะช่วยทำให้คนที่อยู่บ้านลดค่าใช้จ่ายจากค่าไฟฟ้าลงได้มาก ทำให้ระบบโซลาร์เซลล์ ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนบ้านไหนที่ยังไม่ได้ติดตั้งโซลาร์เซลล์ แล้วมีความสนใจที่จะนำมาติดตั้งบ้าง คงต้องศึกษาข้อมูลและวัดความคุ้มค่าดูก่อน เพื่อใช้เป็นเกณฑ์ปรกอบการตัดสินใจ เพราะแม้ว่าปัจจุบันราคาโซลาร์เซลล์จะถูกลง แต่ก็ต้องใช้งบประมาณมากพอสมควร ​   สำหรับบ้านที่จะติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ เพื่อใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ควรมีพื้นที่บนหลังคาหรือดาดฟ้าที่รับแสงได้ดี โดยทิศใต้จะรับแสงได้ดีที่สุด ส่วนทิศเหนือจะรับแสงได้น้อยที่สุด การติดตั้งจะใช้พื้นที่ประมาณ 14 – 18 ตารางเมตรขึ้นไป และพื้นที่ติดตั้งต้องรับน้ำหนักได้ประมาณ 20 กิโลกรัมต่อตารางเมตรขึ้นไปด้วย ซึ่งบ้านที่เหมาะกับการติดตั้งระบบโซลาร์จะเป็นบ้านแบบไหนบ้าง มาดูกัน -บ้านที่มีการใช้ไฟระหว่างวันมาก เช่น บ้านที่มีผู้อยู่อาศัยช่วงเวลากลางวัน อาคารโฮมออฟฟิศ ร้านอาหารที่มีการเปิดแอร์ตลอดวัน ส่วนใครที่ใช้รถยนต์ไฟฟ้า การชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์ช่วงกลางวันถือว่าเหมาะมาก เพราะเป็นช่วงที่สามารถใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ได้เต็มที่ ช่วยลดการใช้ไฟจากการไฟฟ้าได้เป็นอย่างดี -เจ้าของบ้านที่อยากมีส่วนร่วมในการใช้พลังงานสะอาด และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยการติดตั้งระบบโซลาร์จะช่วยลดการเกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจกได้ นอกจากนี้ การติดโซลาร์เซลล์ยังช่วยให้บ้านเย็นขึ้นด้วย เพราะเหมือนมีหลังคาอีกชั้นช่วยบังแดดไว้ -บ้านที่ต้องการประหยัดค่าไฟในระยะยาว การติดโซลาร์ เป็นการตอบรับการมาของโลกยุคดิจิทัล ที่ค่าไฟมีแนวโน้มสูงขึ้นทุกปี โดยบ้านที่มีค่าไฟเกิน 3,000 บาทต่อเดือน มีความเหมาะสมที่จะติดโซลาร์เซลล์ 7 ข้อต้องรู้ในการติดตั้งโซลาร์เซลล์ สำหรับบ้านไหน หรืออาคารไหน ที่ต้องการจะติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ หรือโซลาร์รูฟท็อป คงต้องทำการศึกษาหาข้อดีข้อเสีย วางแผนด้านการติดตั้ง เพราะว่าจะต้องมีขั้นตอนการขออนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการวางแผนงบประมาณ  ข้อมูลด้านการใช้งาน การดูแล และบำรุงรักษา เพื่อจะได้เข้าใจระบบการทำงาน ลดปัญหาที่จะเกิดขึ้นภายหลังด้วย โดยแนวทางการติดโซลาร์เซลล์  มี 7 เรื่องสำคัญที่จะต้องทำความเข้าใจ และต้องปฏิบัติ ดังนี้ 1.เช็คพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าในบ้านด้วย บิลค่าไฟฟ้าย้อนหลัง 3 เดือน – 1 ปี ก่อนจะหาสเปคแผงโซลาร์เซลล์ หรือคิดว่าบ้านเราจะต้องติดตั้งกี่แผงดี? หยุดความคิดนั้นก่อน เพราะสิ่งที่ต้องทำอันดับหนึ่งคือต้องคำนวนว่าบ้านเราใช้ไฟฟ้ามากน้อยแค่ไหน ด้วยการดูบิลค่าไฟฟ้าย้อนหลัง 3 เดือน – 1 ปี เพราะพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าของเราจะเป็นเหมือนแนวทางให้เราสามารถตัดสินใจได้ว่าเราจะติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ที่มีกำลังผลิตเท่าไร 2.สำรวจปริมาณการใช้ไฟฟ้าทั้งกลางวันและกลางคืน ลองดูว่าปริมาณที่เราใช้ไฟฟ้าในตอนกลางวันมากน้อยแค่ไหน เอามาเปรียบเทียบกับปริมาณการใช้ไฟฟ้าในตอนกลางคืน เราจะได้เห็นว่าถ้าเราจะสามารถลดค่าไฟฟ้าช่วงกลางวันไปได้เท่าไรหากติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป 3.เช็คค่าใช้จ่ายในการติดตั้ง สำหรับค่าใช้จ่ายในการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ ขอเปรียบเทียบกับข้อมูล ดังนี้ หากเราต้องการติดตั้งโซลาร์เซลล์ที่มีกำลังติดตั้ง 1,000 วัตต์ จะมีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นที่ 25,000 บาท ถึง 35,000 บาท ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่รวมทุกๆอย่างแล้วทั้ง ค่าบริการติดตั้ง ค่าใช้จ่ายในการขออนุญาตติดตั้ง ทั้งนี้ การติดตั้ง 1,000 วัตต์หรือ 1 กิโลวัตต์ สามารถลดค่าไฟฟ้าได้ประมาณ 500-800 บาทต่อเดือน 4.สำรวจพื้นที่สำหรับติดตั้งและการยื่นเรื่องขออนุญาตติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ เมื่อเราสำรวจการใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน และเลือกปริมาณในการผลิตแล้ว ให้เราแจ้งขออนุญาตติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ที่เขตโยธาท้องถิ่นที่เราอาศัยอยู่ ทางเขตโยธาจะส่งวิศวกรมาสำรวจหลังคาบ้านของเราว่ามีความพร้อมติดตั้งหรือไม่ หรือจะต้องซ่อมแซมหลังคา หรือต้องเพิ่มเติมอะไรเพื่อให้ติดตั้งแผงได้โดยปลอดภัย หลังจากเช็คความพร้อมของหลังคาบ้านแล้ว เราจะต้องทำเรื่องขออนุญาตการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) หรือการไฟฟ้านครหลวง(กฟน.)ในเขตพื้นที่ ที่บ้านเราตั้งอยู่โดยส่งแบบแปลน 2 แบบไปให้การไฟฟ้าฯ พิจารณา แบบที่1 เรียกว่า “ส่งแบบ Single Line Diagram” เป็นแปลนระบบไฟฟ้า และ 2 เป็นแปลนอินเวอร์เตอร์ 5.ยื่นเรื่องกับคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน เมื่อเราได้รับการพิจารณาจากเขตโยธาท้องถิ่น และการไฟฟ้าฯเรียบร้อยแล้ว ให้เรานำเอกสารที่ได้รับมายื่นเรื่องต่อไปที่ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เพราะเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่ รับเรื่องและให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการขอใบอนุญาตการประกอบกิจการ พลังงานตามประเภท ขนาดและลักษณะของกิจการพลังงาน ตลอดจน ตรวจสอบการและสนับสนุนการดำเนินการตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการออกใบอนุญาตทั้งก่อนและหลังในเขตพื้นที่ที่รับผิดชอบ กกพ.จะพิจารณาว่าเราสามารถติดตั้งโซลาร์เซลล์ได้หรือไม่ 6.เริ่มติดตั้งโซลาร์เซลล์  ขั้นตอนที่ 6 นี้เป็นขั้นตอนที่สำคัญเพราะเราจะต้องเริ่มขึ้นหลังคาแล้ว โดยเราจะต้องเตรียมตัวดังนี้ -เลือกทีมช่างที่มีความชำนาญการ เลือกใช้บริษัทที่มีความน่าเชื่อถือ มีประวัติการติดตั้ง และเคยรับงานมากน้อยแค่ไหน ลักษณะงานขนาดเล็กใหญ่แค่ไหน -เลือกใช้อินเวอร์เตอร์ที่มีคุณภาพ -เลือกแผงโซลาร์เซลล์และรุ่นของแผงที่เหมาะสม เมื่อช่างมาติดตั้ง เราจะต้องเช็คว่าสิ่งที่ช่างแนะนำก่อนหน้านี้ กับอุปกรณ์ที่นำมาติดจริงตรงกันหรือไม่  อย่างไรก็ดียังไม่ต้องกังวลไป เพราะจะมีวิศวกรจากโยธาเขตท้องถิ่นมาตรวจเช็คอีกครั้ง ว่าอุปกรณ์ได้มาตรฐานหรือไม่ 7.การใช้งาน การดูแลรักษา และการรีไซเคิล เมื่อติดตั้งแล้วเสร็จ ก็เป็นหน้าที่ของเราเจ้าของบ้านที่จะเป็นคนดูแลรักษา เบื้องต้นคือการล้างแผงโซลาร์เซลล์ไม่ให้มีฝุ่นหรือสิ่งสกปรกมาเกาะเพราะจะลดประสิทธิภาพการผลิตพลังงานไฟฟ้าของแผงโซลาร์เซลล์เพียงแค่ใช้น้ำสะอาดฉีดล้างและใช้ผ้าเช็ดให้แห้ง แผงโซลาร์เซลล์จะสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าให้กับบ้านเรานานประมาณ 25 ปีโดยมาตรฐาน  (หากดูแลรักษาดีสามารถใช้งานนานถึง 30 ปี) เมื่อแผงโซลาร์หมดอายุการใช้งานแล้วก็จะต้องนำแผงเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลแผงโซลาร์ซึ่งปัจจุบันมีเทคโนโลยีนำร่องที่สามารถรีไซเคิลแผงโซลาร์เซลล์ได้แล้ว   ทั้งหมดนี้เป็นข้อมูลสำหรับการใช้พิจาณา และประกอบการตัดสินใจ รวมถึงขั้นตอนการดำเนินการติดตั้ง  ซึ่งบ้านไหนจะติดตั้งโซลาร์เซลล์ ก็ควรหาข้อมูลให้รอบด้าน ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ และดำเนินการต่าง ๆ ให้ถูกต้อง เพื่อที่จะได้มีพลังงานได้ใช้ในต้นทุนที่ประหยัดลง   CR : SCB, Greenpace Thailand อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง SENA ส่ง “ทาวน์โฮมติดโซลาร์” 1 กิโลวัตต์ รับกระแส Work Form Home
KAYY Coffee คาเฟ่น่ารักย่านบางลำพู

KAYY Coffee คาเฟ่น่ารักย่านบางลำพู

บ่ายนี้เดินเล่นย่านพระนครชมเกาะรัตนโกสิน จนมาถึง แหล่งการค้า บางลำพู เหนื่อยหากาแฟยามบ่ายแบบสดชื่น ต้องนึกถึงร้านนี้ ที่เดิมเคยเป็นร้านกาแฟรถเข็น ขายกาแฟโบราณในรุ่นพ่อที่ขายมามากกว่า 20 ปี เปลี่ยนถ่ายมาถึงรุ่นลูกคนรุ่นใหม่ที่ ตกแต่งให้ร้านมีที่นั่ง และมุมถ่ายรูปเก๋ จะนั่งทำงานปลั๊กไฟก็พร้อม KAYY Coffee และขอบอก เจ้าของร้านดูแลบริการดีมาก เป็นกันเองสุดๆ  บอกเลยสาวๆกรี๊ดสลบ กาแฟดีอาหารตาก็ดีนะครับ บอกเลยงานดีจ้า เมนูที่สดชื่นๆ ยามบ่ายแนะนำ   สุมาลี ที่เป็นน้ำมะนาวแท้ผสมน้ำผึ้งเดือน5 พร้อมด้วยกาแฟเข้ม 1 ช็อต Black Orange กาแฟส้ม จากน้ำส้มคั้นสดผสมเนื้อส้ม รสหวานอมเปรี้ยว ผสมกับเอสเพรสโซ่ช๊อต คื่มง่ายสดชื่น Strawberry Short Cake สตรอเบอร์รี่สลับกับชั้นครีมสด เนื้อเค้กนุ่มเบาเเละเนียนละเอียด หอมมัน เเละที่สาวๆน่าจะสบายใจขึ้นหน่อย คือหวานน้อย kayycoffee ร้านอยู่ที่ ถนน พระสุเมรุ เข้าซอยข้างธนาคารกสิกรไทย สาขาบางลำพู เดินไม่กี่ก้าวก็ถึง 🛵ROBINHOOD ,GRAB ,LINEMAN ⏰ เปิด 8:00 - 18:00 น ☎️096-6151964 Line : @kayycoffee   Lifestyle Review your living RISE COFFEE กาแฟดีที่ เพลินจิต Know Name Cafe คาเฟ่หมูกระทะ   
Atmoz Sriracha “Twist Happiness” ทำให้วันธรรมดา ไม่ธรรมดา

Atmoz Sriracha “Twist Happiness” ทำให้วันธรรมดา ไม่ธรรมดา

แอทโมซ ศรีราชา Atmoz Sriracha "Twist Happiness" ที่จะช่วยเปลี่ยนโหมดวันธรรมดาของคุณ ให้กลายเป็นวันสุดพิเศษ ใช้ชีวิตเหมือนอยู่บนเรือสำราญเพราะการออกแบบตัวอาคาร รูปทรงเหมือนเรือสำราญ Atmoz Sriracha  “Twist Happiness”  ทำให้วันธรรมดา ไม่ธรรมดา แอทโมซ ศรีราชา Atmoz Srirachaโครงการตั้งอยู่ที่ ศรีราชา ติดถนนสุขุมวิท ใกล้นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง บริษัทเอกชนต่าง ๆ สถานศึกษาใหญ่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศรีราชาตั้งอยู่ตรงข้าม ห่างไปไม่ไกลห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลศรีราชา และโรงพยาบาลกรุงเทพ อีกยังไม่ไกลสนามบินอู่ตะเภา ในอนาคตรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินเสร็จ จะยิ่งสะดวกขึ้น   แอทโมซ ศรีราชา Atmoz Sriracha โครงการนี้วางแผนไปถึง น้องๆที่ ศึกษาในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศรีราชา ที่มีสาขา ภาควิชา เฉพาะที่สามารถทำงานต่อใน นิคมอุตสาหกรรม โรงงานได้เลย เพราะฉะนั้นการวางแผนจะอยู่อาศัยที่นี้ได้ยาวๆ   แอทโมซศรีราชา (Atmoz Sriracha) โครงการคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์สไตล์ Modern Mid-Century สูง 8 ชั้น 3 อาคาร จำนวน 539 ยูนิต บนพื้นที่ประมาณ 3-3-71.3 ไร่ ห้องชุดแบ่งออกเป็น 4 Type ห้อง 1 bedroom                     ขนาด 22 – 23 ตร.ม. ห้อง 1 bedroom Extra          ขนาด 24 – 25 ตร.ม. ห้อง 1 bedroom Exclusive   ขนาด 27 – 34 ตร.ม. ห้อง 1 bedroom Plus            ขนาด 35 – 46 ตร.ม. ขายพร้อมเฟอร์นิเจอร์แบบ Fully Furnished แอทโมซ ศรีราชา (Atmoz Sriracha)ส่วนกลางครบมากกว่า 20 รายการ ใน 5 โซน ที่เปิดให้บริการตลอด 24 ชม. ELEGANT CLUB INSPIRATION ROOM, CO-CREATIVE SPACE และ SUNKEN COURTYARD มาพร้อมCRUISE CLUB ที่รวบรวมความสนุกสนานไว้มากมาย ได้แก่ GAME ROOM, KARAOKE & THEATER ROOM, LAP POOL และ CO-KITCHEN & PARTY ROOM ROOF CLUB นอกจากนี้ยังมี ROOF CLUB พื้นที่ชั้นดาดฟ้า อย่าง GLAMPING ZONE และ ENERGETIC ZONE   สิ่งอำนวยความสะดวกครบ ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.59 ล้านบาท ให้ชมห้องตัวอย่างแล้ว โครงการพัฒนาโดย  บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับ Atmoz  Atmoz แจ้งวัฒนะ คอนโดสไตล์รีสอร์ท Atmoz Ratchada-Huaikwang-แอทโมซ รัชดา-ห้วยขวาง : รีวิวคอนโด Atmoz Ladprao 15 – แอทโมซ ลาดพร้าว 15 : รีวิวคอนโด  
แกรนด์ สิวารมณ์ สุขุมวิท-บางปู บ้านเดี่ยว 4 ห้องนอน ท่ามกลางบรรยากาศสุดชิล

แกรนด์ สิวารมณ์ สุขุมวิท-บางปู บ้านเดี่ยว 4 ห้องนอน ท่ามกลางบรรยากาศสุดชิล

แกรนด์ สิวารมณ์ สุขุมวิท-บางปู บ้านเดี่ยว 4 ห้องนอน ท่ามกลางบรรยากาศสุดชิล รีวิวฉบับนี้ เราจะพาไปชมบ้านเดี่ยว สไตล์ Modern English Victorian ภายใต้แบรนด์ “แกรนด์ สิวารมณ์ สุขุมวิท-บางปู" บ้านเดี่ยวบรรยากาศบ้านพักตากอากาศ ติดถนนสุขุมวิท จาก บริษัท สิวารมณ์ เรียลเอสเตท จำกัด มาแนะนำให้รู้จักกัน ซึ่งปักหมุดในย่านบางปูที่มีชื่อเสียงมายาวนานในเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติใกล้กรุงเทพฯ และเหมาะแก่การพักผ่อน ชมนกนางนวลที่อพยพมาในช่วงต้นฤดูหนาวของทุกปีด้วย   ถ้าพูดถึงชื่อ “บางปู” คงไม่มีใครไม่รู้จักอย่างแน่นอน ในโซนนี้เป็นพื้นที่ที่รองรับการขยายตัวจากเขตกรุงเทพฯ มาอย่างยาวนาน มีถนนสายหลักอย่าง “ถนนสุขุมวิท” ตัดผ่านเพื่อเป็นเส้นทางในการเดินทางสู่ภาคตะวันออกมาก่อนถนนบางนา-ตราด และถนนสายอื่นๆ ในปัจจุบัน เราจึงเห็นว่าในย่านนี้เป็นทั้งที่ตั้งของโครงการนิคมอุตสาหกรรมมากมาย เป็นทั้งแหล่งรวมของโกดัง ศูนย์กระจายสินค้า รวมทั้งมีการขยายตัวของแหล่งที่อยู่อาศัยมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังเป็นพื้นที่ที่ได้รับการพัฒนาด้านคมนาคมตลอดเวลา การเดินทางสะดวก มีถนนเชื่อมต่อเส้นทางหลักได้หลายสาย เช่น ถนนสุขุมวิท ถนนเทพารักษ์ ถนนแพรกษา ถนนบางนา-ตราด ฯลฯ และยังมีรถไฟฟ้า BTS สายสีเขียวเข้ม ซึ่งปัจจุบันมีสถานีเคหะเป็นสถานีปลายทาง  แต่ต่อไปในอนาคตส่วนต่อขยายจากสถานีเคหะ จะขยายต่อมาถึง “โซนบางปู” โดยมาสุดที่สถานีตำหรุ ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ที่อาศัยในย่านนี้เดินทางสะดวกมากยิ่งขึ้น     ปักหมุดทำเลดี  แกรนด์ สิวารมณ์ สุขุมวิท-บางปู บ้านเดี่ยวเพื่อการอยู่อาศัย ที่ตั้งของโครงการ แกรนด์ สิวารมณ์ สุขุมวิท-บางปู อยู่ติดถนนสุขุมวิท (สายเก่า) ซึ่งมีการเดินทางที่สะดวกไม่ว่าจะเป็นการเดินทางเข้าเมือง หรือเดินทางสู่โซนตะวันออกของไทย แถมยังเป็นทำเลที่มีรถไฟฟ้าเข้าถึงแล้วอีกด้วย ในขณะที่บริเวณรอบๆ มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งห้างสรรพสินค้าเพื่อการจับจ่ายใช้สอย โรงเรียน มหาวิทยาลัยชั้นนำ  สถานพยาบาลก็มีครบ ใกล้แหล่งท่องเที่ยวอย่าง สถานตากอากาศบางปู เมืองโบราณ อีกทั้งยังมีแหล่งงานขนาดใหญ่ในนิคมอุตสาหกรรมบางปู นิคมอุตสาหกรรม บางพลี และศูนย์กระจายสินค้าขนาดใหญ่อีกมากมาย แต่ด้วยทำเลที่ห่างออกจากโซนนิคมอุตสาหกรรมบางปูมาพอสมควร จึงได้บรรยากาศของเมืองตากอากาศอย่างเต็มที่ และเหมากับการอยู่อาศัยเป็นอย่างมาก   ห้างสรรพสินค้าใกล้เคียง โรบินสัน สมุทรปราการ บิ๊กซี สมุทรปราการ บิ๊กซี บางพลี โลตัส บางปู แมคโคร บางพลี โฮมโปร สุวรรณภูมิ เซ็นทรัล วิลเลจ เมกา บางนา อิเกีย บางนา   สถานศึกษาใกล้เคียง โรงเรียนสวนกุหลายวิทยาลัย สมุทรปราการ มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี สมุทรปราการ   สถานพยาบาลใกล้เคียง โรงพยาบาลรามาฯ สมุทรปราการ โรงพยาบาลรัทรินทร์ บางปู โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ต.บางปูใหม่ โรงพยาบาล บางนา 2 โรงพยาบาลศครินทร์ สมุทรปราการ   สถานที่ใกล้เคียงอื่นๆ นิคมอุตสาหกรรม บางปู นิคมอุตสาหกรรม บางพลี สถานตากอากาศบางปู เมืองโบราณ   บ้านเดี่ยวสไตล์ Modern English Victorian พร้อมบรรยากาศแห่งการพักผ่อน แกรนด์ สิวารมณ์ สุขุมวิท-บางปู มีคอนเซปต์การออกแบบตัวบ้านมาในสไตล์ Modern English Victorian ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ โดยเน้นที่ความหรูหรา กว้างขวางอยู่สบาย สามารถตอบโจทย์การอยู่อาศัยเพื่อทุกคนในครอบครัว โดยมีจุดเด่นที่ฟังก์ชันภายในบ้านที่แบ่งเป็น 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ บนที่ดินตั้งแต่ขนาด 50 ตารางวาเป็นต้นไป   ภายในพื้นที่โครงการขนาด 50 ไร่ ประกอบไปด้วยบ้านเดี่ยว 2 ชั้น จำนวน 227 ยูนิต ที่มีรูปแบบการดีไซน์ที่สวยงามทันสมัย โดยมีแบบบ้านให้เลือกด้วยกัน 3 แบบ ซึ่งแตกต่างกันไปด้วยพื้นที่ใช้สอยภายในบ้าน และขนาดของที่ดิน พร้อมฟังก์การใช้งานที่เอื้อต่อการอยู่อาศัยของทุกคนในครอบครัว ทุกแบบบ้านมีห้องน้ำ Master Bedroom ขนาดใหญ่ พร้อมห้องน้ำในตัว รวมถึงห้องอเนกประสงค์บริเวณชั้นล่าง ที่สามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานได้หลากหลาย ทั้งเป็นห้องนอนสำหรับผู้สูงอายุ ใช้เป็นห้องพักผ่อน หรือใช้เป็นห้องทำงานก็ได้ตามแต่ไลฟ์สไตล์ของเจ้าของบ้าน โดยมีแบบบ้านให้เลือกดังนี้   S – Simon บ้านเดี่ยว 2 ชั้น บนที่ดินเริ่มต้น 50 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 159 ตารางเมตร ฟังก์ชัน 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ     แบบบ้าน Simon มีขนาดกำลังดี เหมาะกับผู้ที่กำลังต้องการขยายครอบครัว และต้องการพื้นที่ส่วนตัวให้กับสมาชิกภายในบ้าน บริเวณชั้นล่างแบ่งเป็น Living Area ที่เปิดโล่งและเปิดรับแสงธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ ด้วยความสูงของเพดานที่สูงถึง 2.70 เมตรในบริเวณชั้นที่ 1 และชั้นที่ 2 เพดานสูงถึง 2.85 เมตร บริเวณ Living Area สามารถแบ่งการใช้สอยออกเป็นห้องรับแขก และห้องรับประทานอาหารได้สบายๆ รวมถึงห้องนอนชั้นล่าง ก็สามารถใช้เป็นห้องทำงาน หรือห้องนอนผู้สูงอายุได้ตามวัตถุประสงค์การใช้สอยอีกด้วย       ขึ้นมาที่บริเวณชั้น 2 แบ่งเป็น 3 ห้องนอน และ 2 ห้องน้ำ โดยมีห้อง Master Bedroom ขนาดใหญ่ พร้อมห้องน้ำในตัว แถมยังมีพื้นที่เหลือพอสำหรับทำ Walk-in Closet ได้สบายๆ นอกจากนี้อีก 2 ห้องนอนเล็กก็ยังมีขนาดกำลังดี สามารถตกแต่งเป็นห้องนอนของเด็กๆ ได้ตามในแบบบ้านตัวอย่างก็น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว   M – Marble บ้านเดี่ยว 2 ชั้น บนที่ดินเริ่มต้น 50 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 167 ตารางเมตร ฟังก์ชัน 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ         แบบบ้าน Marble จะมีพื้นที่ใช้สอยกว้างขึ้นมาอีกสเต็บ แต่ฟังก์ชันภายในบ้าน ยังคงมีลักษณะเดียวกันกับแบบบ้าน Simon รวมถึงความสูงของเพดานที่สูง 2.70 เมตร และ 2.85 เมตรเช่นเดียวกัน   Living Area บริเวณชั้นล่างมีความโอ่โถงมากขึ้น สามารถวางชุดโซฟาได้ใหญ่ขึ้น พื้นที่ติดกันวางชุดโต๊ะรับประทานอาหารได้ 4 ที่นั่งกำลังสวย ซึ่งใกล้ๆ กับชุด Pantry ที่ทางโครงการตกแต่งมาให้ชมเป็นไอเดีย นอกจากนี้ในบริเวณห้องนอนชั้นล่าง ในบ้านตัวอย่างยังจำลองเป็นห้องสตูดิโอ ที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์คนปัจจุบันที่นิยมมีกิจการบนโลกโซเชียล         ในขณะที่บริเวณชั้น 2 ก็แบ่งเป็น 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ ซึ่งแต่ละห้องก็มีพื้นที่ใช้สอยมากขึ้น และห้อง Master Bedroom ที่กว้างขวาง พร้อมเปิดรับแสงธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ เช่นเดียวกับห้องนอนเล็กอีก 2 ห้อง ก็มีหน้าต่างขนาดใหญ่มากพอให้ห้องสว่างได้ด้วยแสงจากธรรมชาติเช่นกัน     L – Luther บ้านเดี่ยว 2 ชั้น บนที่ดินเริ่มต้น 50 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 214 ตารางเมตร ฟังก์ชัน 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ             แบบบ้าน Luther เป็นที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มีลักษณะเป็นบ้านหน้ากว้าง และจะมีตำแหน่งอยู่บนที่ดินแปลงมุมทั้งหมด ในส่วนของการแบ่งฟังก์ชันภายในยังคงเหมือนกันทั้งหมด แต่เพิ่มเติมที่แบบบ้าน Luther จะมีการแบ่งพื้นที่สำหรับห้องครัวไว้ภายในบ้านมาให้เรียบร้อยแล้ว รวมถึงพื้นที่โถงกลางบ้านก็กว้างขวางมาก เหมาะกับครอบครัวขนาดใหญ่           ในขณะที่บริเวณชั้น 2 เมื่อขึ้นบันไดมาแล้วจะเจอกับ Living Area บริเวณโถงกลางระหว่างห้องต่างๆ ของชั้นบน ด้วยพื้นที่บ้านขนาดใหญ่ทำให้พื้นที่ใช้สอยแต่ละห้องกว้างขวางขึ้นเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะห้อง Master Bedroom ที่มีประตูกระจกใสยาวตลอดแนวระเบียง พร้อมกับ Walk-in Closet ขนาดใหญ่ขึ้นบริเวณหน้าห้องน้ำพอดี ในขณะที่ห้องนอนเล็กอีก 2 ห้อง กว้างพอที่จะมีโต๊ะทำงานพร้อมมุมส่วนตัวได้สบายๆ     ภายในโครงการ แกรนด์ สิวารมณ์ สุขุมวิท-บางปู มีพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย และมีบรรยากาศเงียบสงบ เป็นส่วนตัว และลมพัดเย็นสบายเหมือนเหมาะกับการพักผ่อนและอยู่อาศัย ทางโครงการจัดสรรพื้นที่สวนกลางไว้มากมาย บริเวณโซนด้านหน้า คลับเฮ้าส์ มีทั้งสระว่ายน้ำระบบน้ำเกลือ และสระน้ำพุที่ให้บรรยากาศการพักผ่อนเพิ่มขึ้น ภายในคลับเฮ้าส์มีทั้ง Co-working Space, Game Room และ ฟิตเนส พร้อมอุปกรณ์ครบถ้วน ถัดจากคลับเฮาส์เข้ามาด้านในโครงการ เป็นสวนสไตล์อังกฤษขนาดใหญ่ ตรงตามคอนเซปต์ Modern English Victorian ได้อย่างสมบูรณ์แบบ พร้อมสนามเด็กเล่นขนาดใหญ่, ลู่วิ่ง, มุมนั่งเล่นพักผ่อน แถมยังเอาใจคนรักสัตว์เลี้ยงแบบเต็มที่ เพราะมีพื้นที่ Pets Zone ไว้ให้น้องหมาได้วิ่งเล่นได้อย่างสบายใจ        โครงการ แกรนด์ สิวารมณ์ สุขุมวิท-บางปู เป็นอีกหนึ่งโครงการที่เหมาะสำหรับการอยู่อาศัยเป็นอย่างมาก ทั้งในส่วนของบรรยากาศโดยรวมภายในโครงการ และสิ่งอำนวยความสะดวกโดยรอบที่จัดว่ามีพร้อมสรรพ ในอนาคตส่วนต่อขยายของสถานีรถไฟฟ้ามาถึงสถานีตำหรุ ก็จะยิ่งทำให้การเดินทางเข้าสู่ใจกลางเมืองสะดวกมากยิ่งขึ้น อีกทั้งแบบบ้านของโครงการก็มีให้เลือกหลายแบบ สำหรับผู้อาศัยที่ต้องการขยายครอบครัวใหญ่ขึ้น หรือต้องการพื้นที่สำหรับสมาชิกในครอบครัวมากขึ้น อีกทั้งตัวโครงการเองก็ได้รับความสนใจจากคนในพื้นที่เป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากมีความคุ้นเคยกับพื้นที่อยู่แล้ว อีกทั้งราคาเริ่มต้นในระดับที่สามารถเป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้น จึงไม่น่าแปลกใจที่ทำให้โครงการนี้ถูกจับจองอย่างรวดเร็ว     สนใจโครงการ แกรนด์ สิวารมณ์ สุขุมวิท-บางปู หรือต้องการข้อมูลโปรโมชั่นเพิ่มเติม สามารถสอบถามข้อมูลได้ที่ www.sivarom.co.th/grand-bang-pu/   บทความที่เกี่ยวข้อง สิวารมณ์ วิลเลจ สุขุมวิท-เทพารักษ์ “สิวารมณ์” ขน 7 โครงการ อัดแคมเปญ ดันยอดขาย    
เปิดทิ้งไว้ 1 ชั่วโมง เสียค่าไฟเท่าไหร่

เปิดทิ้งไว้ 1 ชั่วโมง เสียค่าไฟเท่าไหร่

เปิดทิ้งไว้1 ชั่วโมงเราเสียค่าไฟเท่าไหร่  หลายคนกำลังทำงานอยู่ที่บ้านเพื่อป้องกันการระบาดของไวรัส(COVID-19) ทำให้ต้องใช้เครื่องใช้ไฟฟ้ามากขึ้นและแน่นอนต้องเสียค่าไฟฟ้าเพิ่มแน่นอน Review Your Living  ขอสรุปแบบง่าย ๆ อุปกรณ์ไฟฟ้าที่อำนวยความสะดวกให้เรา ถ้าเปิดไว้ 1 ชม. อุปกรณ์แต่ละชิ้นกินไฟเท่าไหร่ ไปดูกัน เปิดทิ้งไว้ 1 ชม. เสียค่าไฟเท่าไหร่ พัดลมตั้งพื้น 12-18 นิ้วค่าไฟ 0.15-0.25 บาท พัดลมตั้งพื้น  70-104 วัตต์ ค่าไฟ 0.50-0.75 บาท ตู้เย็น 2 ประตู 5.5 -12.2 คิว ค่าไฟ 0.30-0.40 บาท โทรทัศน์ LED 43-65 นิ้ว ค่าไฟ 0.40- 1 บาท เตารีดไฟฟ้าขนาด 1000-2800 วัตต์ค่าไฟ 3.5-10 บาท เครื่องปิ้งขนมปัง 760-900 วัตต์ค่าไฟ 3-3.5 บาท เตาปิ้ง 1-2 หัว ขนาดเตา 2000-3500 วัตต์ ค่าไฟ 8-14 บาท เครื่องซักผ้า 10 KG ค่าไฟ 2-8 บาท เครื่องอบผ้า 650-2,500 วัตต์ ค่าไฟ 3-10 บาท หม้อหุงข้าว 1.0-1.8 ลิตร ค่าไฟ 3-6 บาท ไมโครเวฟ 20-30 ลิตร ค่าไฟ 3-4 บาท เครื่องปรับอากาศ 9,000-22,000 BTU ค่าไฟ 2.5-6 บาท ไดร์เป่าผม  1,600-2,300 วัตต์ค่าไฟ 6-9 บาท เครื่องทำน้ำอุ่น 3,500-6,000 วัตต์ค่าไฟ 13.5-23.5 บาท เครื่องดูดฝุ่น 1,400-2,000 วัตต์ค่าไฟ 6-8 บาท   เรามีอุปกรณ์ไฟฟ้าอะไรบ้าง? ใช้ไฟฟ้าอย่างปลอดภัย อย่าลืมถอดปลั๊กเมื่อไม่ใช้ เพื่อป้องกันไฟฟ้าลัดวงจร และยังช่วยประหยัดค่าไฟได้อีกด้วย                
อสังหาฯ ปีหน้ายังเหนื่อย เพราะ LTV มาผิดเวลา?  

อสังหาฯ ปีหน้ายังเหนื่อย เพราะ LTV มาผิดเวลา?  

ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา สมาคมอาคารชุดไทย ได้จัดงานสัมมนาเรื่อง “ผ่ากลยุทธ์ธุรกิจคอนโดมิเนียมปี 2019” เพื่อสะท้อนภาพของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ในส่วนของตลาดคอนโดมิเนียม ที่ถือว่าปีนี้ได้รับผลกระทบจากมาตรการกำหนดวงเงินสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (LTV)  ทำให้ตลาดชะลอตัวลง ทั้งกลุ่มนักลงทุน นักเก็งกำไร หรือแม้แต่ผู้ที่ต้องการที่อยู่อาศัย แต่อาจจะมีกำลังซื้อไม่สูง ต้องหาเงินมาดาวน์เพิ่มมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ปัจจัยต่างๆ ที่เกิดขึ้นล้วนแต่ส่งผลกระทบต่อตลาดคอนโดฯ แทบทั้งสิ้น   ทิศทางของตลาดคอนโดฯ หลังจากนี้ จะเป็นอย่างไร และหนทางไหนที่จะทำให้ตลาดเติบโตต่อไปได้ ลองมาฟังความเห็นจาก “กูรู” ในแวดวงอสังหาฯ ว่าจะมีความเห็นและประเมินสถานการณ์ต่อไปกันอย่างไร   LTV มาตรการดีแต่ใช้ผิดเวลานายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษาเรียลเอสเตท–พรีเมี่ยม บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด(มหาชน) ฉายภาพรวมของตลาดคอนโดฯ ในปีนี้ว่า  เป็นปีการสร้างสมดุลของธุรกิจอสังหาฯ ในระยะยาว  จากปัจจัยมากมายเข้ามาส่งผลกระทบ ทั้งเศรษฐกิจโลก ราคาที่ดินสูงเกินกว่าจะพัฒนาโครงการขาย ตลาดไฮเอนท์ชะลดตัวลง รวมถึงกฏหมายต่างๆ ที่ออกมามีผลบังคับใช้ โดยเฉพาะมาตรการ LTV  และมาตรการควบคุมหนี้ต่อราย (DSR) ที่จะส่งผลกระทบระยะยาวไปจนถึงปีหน้า   ภาพที่ชัดเจนเห็นได้จากผลกระทบของมาตรการ LTV เมื่อดูจากตัวเลขในครึ่งปีแรก พบว่า ยอดขายในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ติดลบ 13%  แม้ว่าจะมีการเปิดตัวโครงการใหม่สูงขึ้น จากระยะเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว 17% ก็ตาม ส่วนตลาดในเมืองหลักต่างจังหวัด ยอดขายก็ลดลง 8%   “นี่เป็นเป็นหนึ่งในผลกระทบของ LTV  แม้ว่าจะเป็นมาตรการที่ดี แต่ใช้ผิดเวลาอย่างที่สุด” หากดูตัวเลขการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยใหม่ ของธนาคารพาณิชย์ในช่วงครึ่งปีแรก พบว่าตัวเลขยังไม่ได้ลดลง เนื่องจากเป็นการปล่อยสินเชื่อให้กับกลุ่มลูกค้าที่ซื้อคอนโดฯ ก่อนเดือนตุลาคม 2561 ซึ่งสามารถกู้เงินได้ 100% และทำการโอนกรรมสิทธิ์ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา แต่หากลูกค้าที่ซื้อหลังจากเดือนตุลาคม 2561 เป็นต้นไป จะต้องอยู่ในหลักเกณฑ์ของ LTV ใหม่ ซึ่งภาพที่ชัดเจนของผลกระทบที่จะเกิดขึ้น คงเห็นได้ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2562 นี้เป็นต้นไป   นายประเสริฐ แสดงความเห็นว่า มาตรการ LTV ควรเลื่อนการบังคับใช้ออกไปก่อน และพิจารณาใช้ในเวลาที่เหมาะสมกว่านี้  โดยต้องการให้ธนาคารแห่งประเทศไทยมองว่า การซื้อที่อยู่อาศัยเป็นการออมเงินระยะยาว ของประชาชนในรูปแบบหนึ่ง ไม่ใช่การก่อภาระหนี้สินครัวเรือน   แนะรัฐหามาตรการกระตุ้นธุรกิจอสังหาฯ   ด้านนายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ได้สะท้อนมุมมองของผลกระทบจากมาตรการ LTV ผ่านข้อมูล Demand & Supply ของตลาดคอนโดฯ โดยระบุว่า ช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้มีตลาดคอนโดฯ มีปริมาณรวม 115,000 ยูนิต  ขายไปแล้ว 27,000 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 102,629 ล้านบาท คงเหลือประมาณ 70,000-80,000 ยูนิต  ซึ่งหากในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ มีจำนวนโครงการเปิดใหม่ไม่มากเกินไปนัก จะทำให้ปีนี้มียอดขายคอนโดฯ ประมาณ 55,000 ยูนิต หรือมูลค่าประมาณ 220,000 ล้านบาท   “ปีที่ผ่านมาคอนโดฯ มียอดขายเยอะ  60,000-70,000 หมื่นยูนิต เป็นเพราะลูกค้าจีนซื้อเยอะ  และบางส่วนเร่งซื้อเพื่อหนีมาตรการ LTV”  ข้อเสนอของนายพีระพงศ์  คือ ภาครัฐควรจะมีมาตรการกระตุ้นธุรกิจอสังหาฯ  การคุมหนี้สินครัวเรือนในระยะยาวอาจจะเป็นผลดีต่อประเทศ ขณะที่มาตรการ LTV ควรจะผ่อนผันหลักเกณฑ์หรือไม่ควรประกาศเลื่อนการบังคับใช้ออกไป เพราะหากบังคับใช้ไปแล้วอาจจะต้องพิจารณาต่อว่า สิ่งที่ธปท. พยายามคุมอยู่  อาจจะไม่ตอบโจทย์หรืออาจจะทำร้ายธุรกิจอยู่ก็ได้   ธุรกิจอสังหาฯ ถือว่ามีบทบาทสำคัญ ที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อเนื่องไปยังอุตสาหกรรมภาคอื่น  ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจวัสดุก่อสร้างก็ดี ที่สำคัญคือ ส่งผลต่อ GDP ของประเทศ ช่วยหมุนเวียนเศรษฐกิจได้ถึง 4-5 รอบ ส่วนมาตรการ DSR เห็นว่าควรจะต้องทบทวนใหม่ ว่าควรจะใช้อย่างไร ควรจะจำแนกให้มีสัดส่วนหนี้ต่อรายได้อย่างไร เพราะการใช้มาตรการเดียวครอบคลุมทุกกรณีเลยอาจจะยังไม่เหมาะสม   ดีเวลลอปเปอร์ ปรับรูปแบบพัฒนา “มิกซ์ยูส”   ส่วนนายอัษฎา แก้วเขียว ประธานผู้อำนวยการ แบรนด์วิสซ์ดอม บริษัท แมกโนเลียควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ประเมินว่า มาตรการ LTV มีผลกระทบแน่นอน แต่ที่สำคัญที่สุดคือการสื่อสาร ซึ่งส่งผลให้ผู้บริโภคเกิดความตระหนก ด้วยความไม่เข้าใจในเงื่อนไขของมาตรการ  ทำให้ผู้บริโภคเกิดความไม่มั่นใจ และเริ่มชะลอการตัดสินใจซื้ออสังหาฯ  ขณะที่ผู้ประกอบการได้ปรับตัว ด้วยการเน้นการพัฒนาโครงการใหม่ อาทิ โครงการแนวราบ หรือโครงการสร้างรายได้ต่อเนื่องระยะยาว กรณีของบริษัทก็หันไปพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่   MQDC มองว่าทุกวันนี้กรุงเทพฯ เปลี่ยนไปค่อนข้างมาก ทั้งตัวบุคคล กายภาพเมือง และเศรษฐกิจ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ทำให้สังคมเปลี่ยน มีโครงการขนาดใหญ่เกิดขึ้นมากมาย รวมถึงการพัฒนาพื้นที่สีเขียว ปัจจัยต่างๆ ดังกล่าว  ส่งผลให้เกิดคนรุ่นใหม่ที่มีกำลังขับเคลื่อนประเทศ  บริษัทจึงมุ่งเน้นจับกลุ่มเป้าหมายคน Gen Y  ด้วยการพัฒนาโครงการมิกซ์ยูส  เพราะเชื่อว่าเป็นโครงการสำหรับคนกลุ่มนี้  ในการใช้พื้นที่ทำประโยชน์ได้มากกว่าแค่การพักอาศัย ปัจจุบันบริษัทมีโครงการมิกซ์ยูสรวมทั้งหมด 1,928,787 ตารางเมตร คิดเป็นมูลค่า 213,650 ล้านบาท   ด้านนางสาวอลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีบีอาร์อี(ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า บริษัทในตลาดหลักทรัพย์บ้านเราส่วนใหญ่ 90% จะพัฒนาโครงการคอนโดฯ และบ้านจัดสรรขาย ซึ่งบริษัทบริหารงานขายโครงการคอนโดฯ ประมาณ 30-40 โครงการ พบว่า โครงการได้รับผลกระทบจากมาตรการต่างๆ  ผลกระทบเรื่องภาษี ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อที่ลดลง  แม้ว่าเป็นกลุ่มคอนโดฯ ระดับบนก็ตาม   ธุรกิจคอนโดฯ มีอัตราการเติบโตต่อเนื่องเกือบ 18 ปีแล้ว  ปริมาณคอนโดฯ มีจำนวนออกมามาก จนทำให้กำลังซื้อไม่สามารถรองรับได้  ซึ่งผลกระทบในครั้งนี้  ไม่ได้เป็นอะไรที่แปลกใหม่ในตลาดอสังหาฯ  ถือเป็นปกติของธุรกิจ ที่ผ่านมาธุรกิจอสังหาฯ ไม่มีมาตรการออกมาควบคุมปริมาณคอนโดฯ ซึ่งกลุ่มลูกค้าหลักคือกลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง แต่กลุ่มเหล่านี้มีปริมาณน้อยลง ทำให้ผู้ประกอบการต้องสร้างตลาดใหม่  โดยการขายให้กับกลุ่มลูกค้าชาวจีน ตั้งแต่ช่วง 3 ปีที่ผ่านมา   อย่างไรก็ตาม ประเมินว่า จากผลของมาตรการ LTV จะทำให้ปีหน้าปริมาณคอนโดฯ จะลดลงประมาณ 20% ผู้ประกอบการจะเน้นการขายสินค้าที่มีอยู่ในสต็อกเดิม หากมีการพัฒนาโครงการใหม่ จะเป็นโครงการที่มาจากความต้องการของลูกค้าจริงๆ  ผู้ประกอบการจะปรับตัว  หันไปพัฒนาอสังหาฯ​ ประเภทอื่น เช่น เซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ กรณีตลาดวิลล่าหรือคอนโดฯ  ในจังหวัดภูเก็ต ได้ให้โรงแรมมาบริหารจัดการ ด้วยการปล่อยเช่าในรูปแบบโรงแรม  ซึ่งเจ้าของห้องได้ผลตอบแทนจากการค่าเช่า และยังได้สิทธิ์ในการเข้าพักด้วย  รูปแบบในลักษณะนี้มีแนวโน้มขยายตัวเข้ามาทำในตลาดกรุงเทพฯ ด้วย   บทสรุปสุดท้าย ตลาดอสังหาฯ โดยเฉพาะกลุ่มคอนโดฯ จะไปในทิศทางใด จะยังคงเติบโตตามที่ประเมินไว้หรือไม่ หรือรัฐบาลจะมองเห็นความสำคัญ และเห็นถึงผลกระทบจากการบังคับใช้มาตรการ LTV หรือไม่  ตอนนี้ยังพอจะมีเวลาแม้จะไม่มากนัก เพราะไตรมาสที่ 4 เพิ่งจะเริ่มต้น คงต้องรอลุ้นกันต่อไปว่า ไตรมาสสุดท้ายนี้ ตลาดจะฟื้นตัวขึ้นมาได้อีกกี่มากน้อย ซึ่งคงไม่มีใครตอบได้ ต้องรอพิสูจน์ความจริงเท่านั้น !!!      

1 2