Infographic

 

Infographic ล่าสุด

1 ... 5 6 7 ... 13
ผ่อนบ้านไม่ไหว ควรทำอย่างไรดี

ผ่อนบ้านไม่ไหว ควรทำอย่างไรดี

เมื่อมีปัญหาผ่อนชำระบ้านไม่ไหว หรือหมุนเงินไม่ทัน ก่อนอื่นต้องสำรวจก่อนว่าเราสามารถลดรายจ่ายอื่นๆ อีกได้ไหม พยายามตัดรายจ่ายก้อนใหญ่ออกก่อน (ที่ไม่เกี่ยวกับการดำรงชีวิต) จากนั้น ดูว่าเดือนนี้ (หรือเดือนถัดไป) จะเหลือเงินส่งผ่อนน้อยกว่าที่กำหนดได้เท่าไหร่ เช่น ผ่อนต่องวด 10,000 บาท แต่เหลือเงินแค่ 5,000 บาท เป็นต้น   เมื่อเราได้สำรวจตัวเองและพยายามที่จะลดรายจ่ายอื่นๆแล้ว สิ่งที่ควรกระทำ เกี่ยวกับการผ่อนชำระบ้าน ควรทำดังต่อไปนี้ 1.เมื่อผ่อนบ้านไม่ไหวให้โทรไปบอกเจ้าหน้าที่ธนาคาร (สาขาที่ทำเรื่องกู้เงิน) แจ้งทางธนาคารว่า เราสามารถผ่อนชำระงวดนี้ได้น้อยกว่าค่างวดปกติ ธนาคารจะมีเบี้ยปรับอย่างไรบ้าง (ส่วนใหญ่จะมีเบี้ยปรับกรณีผ่อนชำระล่าช้า) ซึ่งจะคิดในอัตราที่สูงกว่าปกติ (ราวๆ 18%) และควรถามค่าธรรมเนียมอื่นๆ อีก เช่น ค่าธรรมเนียมในการทวงหนี้ที่ค้างชำระ หรือ ค่าธรรมเนียมธนาคารอื่นๆ เป็นต้น   2.หากผ่อนบ้านไม่ไหว ให้จ่ายค่างวดที่สามารถจ่ายได้ ในเดือนนี้ก่อน ห้ามไม่จ่ายค่างวดเลย หรือ เงียบหายไปเฉยๆ ควรจ่ายของเดือนนี้ไปก่อน เช่น เหลือแค่ 5,000 บาท เพราะธนาคารอาจจะคิดไว้ก่อนว่าเราจะเบี้ยวหนี้ในครั้งต่อไปด้วยครับ ทำให้ธนาคารอาจจะเตรียมเรื่องส่งฟ้องเพื่อยึดทรัพย์เพื่อขายทอดตลาด และอาจจะฟ้องเราเป็นบุคคลล้มลายได้ ทำให้เราหรือผู้กู้ร่วมไม่สามารถทำธุรกรรมใดๆ (การเซ็นฯเอกสารการเงิน) ได้อีกเลย   เพราะหากมีธุรกรรมใดๆ เกิดขึ้น ธนาคารจะตามไปอายัดไว้ แล้วดึงเงินในธุรกรรมนั้นไปหักค่าคงค้างพร้อมดอกเบี้ย นับตั้งแต่วันหยุดชำระ (ดอกเบี้ยบ้านเป็นแบบหักต้นหักดอก ในกรณีจ่ายค่าผ่อนปกติ แต่เมื่อหยุดจ่าย ดอกเบี้ยบ้านก็จะกลายเป็น “ต้นทบดอก” ไป) ทำให้เมื่อไปเจรจากับธนาคารในภายหลังจากที่ให้ฟ้องล้มละลายไปแล้ว จะทำให้เห็นว่ายังมีเงินคงค้างที่เป็นดอกเบี้ยที่ทบต้นทบดอก ตามมาหลอกหลอนอีก ทำให้ธุรกรรมใดๆ เมื่อมีการโอนเงินก็จะถูกดึงไปหักอยู่ตลอด แบบนี้ก็ไม่มีวันที่จะไปทำมาหากินใดๆ ได้อีกเลย   3.การชำระเงินเดือนถัดไป เมื่อผ่อนบ้านไม่ไหว เดือนถัดไปควรจะชำระเงินค่างวดที่คงค้างไว้ครั้งก่อน + ดอกเบี้ยที่ปรับชำระล่าช้า + ค่างวดปกติในเดือนนั้น เพื่อที่ธนาคารจะได้หยุดดอกเบี้ยปรับล่าช้า (18%) กลับมาที่ดอกเบี้ยปกติ ที่ควรจะเป็นครับ เมื่อชำระทั้ง 3 ยอดแล้ว นำสลิปส่ง FAX ไปหาเจ้าหน้าที่สินเชื่อที่เดือนก่อนได้ติดต่อไว้เรื่องขอชำระล่าช้า เพื่อให้ทางเจ้าหน้าที่รีบทำเรื่องยืนยันการชำระที่ค้างชำระไปในเดือนก่อน เพื่อเป็นลายลักษณ์อักษรไปที่สำนักงานใหญ่ด้วย พร้อมทั้งสอบถามว่าแบบนี้จะทำให้กลับมาคิดในดอกเบี้ยปกติเมื่อใด   4.ตรวจสอบยอดชำระเดือนถัดๆ ไป ตรวจสอบว่าเดือนถัดไป (เดือนที่ 3) มีการคำนวณดอกเบี้ย และหักเงินต้นกลับมาเป็นระบบปกติหรือไม่ หากไม่ปกติ ให้รีบติดต่อเจ้าหน้าที่สินเชื่อที่ได้ติดต่อไว้ทันที ว่ามีเหตุผิดพลาดในขั้นตอนไหน หรือ เข้าไปพบเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวให้พิมพ์ Statement การผ่อนชำระมาพูดคุยกัน หากเจ้าหน้าที่อธิบายแล้วไม่เข้าใจ แนะนำให้ติดต่อสำนักงานใหญ่ (อาจผ่านระบบโทรศัพท์ก่อน) หากยังไม่ได้รับการอธิบายที่ชัดเจน หรือยังไม่เข้าใจ ก็ขอชื่อเจ้าหน้าที่ที่สำนักงานใหญ่ที่จะสามารถเข้าพบได้ เพื่อเข้าไปปรึกษา   ทั้งนี้ ควรรีบเข้าไปดำเนินการเรื่องนี้ ไม่อย่างนั้นระบบยังจะคำนวณเป็นการชำระล่าช้าอยู่ ซึ่งก็จะเป็นลักษณะทบต้นทบดอกอยู่ หากปล่อยให้เนิ่นนานก็จะกลายเป็นยอดที่สูงมากจนเราไม่สามารถชำระไหว   หมายเหตุ เหตุที่ผ่อนชำระไม่ไหว ควรรีบติดต่อเจ้าหน้าที่ธนาคารทันที เมื่อเราทราบว่าผ่อนไม่ไหวแน่ๆ ในเดือนนี้ หรือ ในเดือนถัดไป (อาจจะมีเหตุจำเป็นต้องหมุนเงินขึ้นมา) อย่าคิดเอาเองว่าธนาคารน่าจะช่วยเราอย่างนั้นอย่างนี้ โดยที่เราไม่ติดต่อเข้าไปก่อน (เรื่องหนี้ไม่มีใครมาช่วยเราได้ หากเราไม่ช่วยตัวเอง)   ขอให้ทุกท่านสามารถฟันฟ่าอุปสรรคในการผ่อนบ้านไปได้ครับ เช็คว่าคุณพร้อมจะผ่อนบ้านหรือยัง 5 สัญญาณที่บอกว่าคุณยังไม่พร้อมจะซื้อบ้าน เรื่องราวเกี่ยวกับกับการผ่อนบ้าน-คอนโด เคล็ดลับผ่อนบ้านให้หมดเร็ว ดอกเบี้ยลด หมดหนี้ไว ผ่อนไหวใช่ว่าดี คำนวณก่อน ดอกเบี้ยบ้าน คุ้มค่าจริงเปล่า? ผ่อนบ้าน (คอนโด) แนวฮาร์ดคอร์ หมดภายใน 7-10 ปี
การเลือกโปรโมชั่นบ้านและคอนโด

การเลือกโปรโมชั่นบ้านและคอนโด

เข้าสู่ช่วงภาวะเศรษฐกิจขาลงแบบนี้ ทำให้คนจับจ่ายใช้สอยน้อยลง และส่งผลถึงการซื้อบ้านและคอนโดน้อยลงตามไปด้วย เหตุนี้จึงทำให้บ้านและคอนโดต่างๆงัดโปรโมชั่นเด็ดออกมามัดใจลูกค้ากันมากมาย แต่เราก็ควรที่จะศึกษาแต่ละโปรโมชั่นให้ดีก่อนตัดสินใจเลือกซื้อด้วยนะคะ 1. ผ่อน 0% มีหลายคนที่เข้าใจผิดคิดว่าการผ่อน 0% นั้นคือการไม่ต้องผ่อนเลยสักบาท ทั้งที่จริงแล้วผู้ซื้อยังคงต้องผ่อนเงินงวดอยู่ เพียงแต่เงินที่ผ่อนแต่ละเดือนนั้นไม่ต้องเสียดอกเบี้ย ที่จ่ายไปคือเงินต้นทั้งหมด ก็เหมือนกับว่าเจ้าของโครงการเป็นคนจ่ายดอกเบี้ยแทนผู้ซื้อนั่นเอง ก็เท่ากับว่าเป็นการลดราคาบ้านหรือคอนโดนั้นๆ 2. อยู่ฟรี โปรโมชั่นนี้ส่วนใหญ่ใช้กระตุ้นการขายโครงการที่สร้างเสร็จพร้อมโอน ซึ่งผู้ซื้อจะต้องวางเงินจอง เงินทำสัญญา แต่เงินดาวน์อาจต้องเทก้อนใหญ่ หรือบางครั้งแค่เพียงใช้เงินจองและเงินทำสัญญา แล้วก็กู้ธนาคารเลย แต่เมื่อทำสัญญากู้และรับโอนแล้ว ยังไม่ต้องผ่อนชำระธนาคารใน 1 ปี หรือ 2 ปี หรือตามเวลาที่ในสัญญาระบุไว้ 3. อยู่ก่อน โปรโมชั่นนี้เป็นการทดลองอยู่ก่อนนี้ผู้ซื้อจะต้องจ่ายค่าเช่าก่อนเข้าอยู่ให้กับโครงการก่อน โดยในสัญญาอาจระบุไว้ว่าเมื่อมีการซื้อจริงๆในอนาคต ก็อาจจะนำมาเป็นส่วนลดหรือเงินดาวน์ได้ 4. การันตีผลตอบแทน โปรโมชั่นนี้เราต้องดูให้ละเอียดว่า มีการการันตีผลตอบแทนในอัตราเท่าไร ระยะเวลากี่ปี จ่ายยังไง และเงื่อนไขอื่นๆด้วย เพื่อประเมินว่าคุ้มหรือไม่ และที่สำคัญเพื่อประเมินโอกาสและความเป็นไปได้เมื่อนำมาปล่อยเช่าเองหลังจากผ่านพ้นช่วงการันตีแล้ว การเลือกโปรโมชั่นที่ดีนั้น คือการเลือกโปรโมชั่นที่เหมาะสมที่สุดกับแต่ละคน และเราสามารถที่จะต่อรองเจรจาได้หากต้องการปรับเปลี่ยนในส่วนต่างๆของโปรโมชั่นนั้น เพื่อเลือกโปรโมชั่นที่ดีและเหมาะสมกับเราที่สุดค่ะ ขอบคุณแหล่งที่มา : http://www.lalinproperty.com/news/choose-promotion-home-condo.html
การดูแลทำความสะอาดพื้นลามิเนต

การดูแลทำความสะอาดพื้นลามิเนต

พื้นลามิเนต" เป็นพื้นที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในปัจจุบัน เพราะสามารถติดตั้งได้ง่าย ราคาไม่แพง  มีหลายแบบให้เลือกได้ตามความเหมาะสมกับคอนโดหรือทาวน์โฮมของท่าน โดยสามารถซ่อมแซมและเปลี่ยนแปลงได้ง่าย และเพื่อเป็นการถนอมพื้นสวยให้อยู่คู่บ้าน ทางเราจึงขอแนะนำวิธีการทำความสะอาดพื้นลามิเนตอย่างถูกต้องเพื่อยืดอายุการใช้งานค่ะ   1. ปัดกวาดเศษฝุ่น ควรปัดกวาดเศษฝุ่นเป็นประจำหรือใช้เครื่องดูดฝุ่นดูดฝุ่นเป็นประจำ เพื่อให้พื้นสะอาดลดการสะสมฝุ่นตามรอยต่อแผ่นพื้น และการปัดกวาดพื้นให้สะอาดเป็นการลดการขีดข่วนที่ผิวพื้น ช่วยรักษาผิวพื้นลามิเนตให้สวยงาม การปัดกวาดพื้นให้สะอาดเป็นอีกขั้นตอนหนึ่งในการเตรียมพื้นก่อนการถูทำความสะอาดค่ะ   2. ควรใช้เพียงน้ำเปล่า (น้ำประปา)  ในการทำความสะอาดพื้นลามิเนตด้วยการถูพื้นลามิเนตควรใช้เพียงน้ำเปล่า เพราะถ้าหากใช้น้ำยาถูพื้น น้ำยาถูพื้นจะกัดกร่อนทำให้ผิวพื้นลามิเนตเกิดความเสียหาย นอกจากนี้น้ำยาทำความสะอาดอาจจะซึมเข้าไปทำให้แผ่นลามิเนตหลุดออกมาได้นะคะ   3. ควรใช้น้ำแต่น้อย เพื่อไม่ให้พื้นบวม ด้วยคุณสมบัติของพื้นลามิเนตที่มีการผสมกาวในเนื้อของวัสดุ ดังนั้นการดูแลทำความสะอาดพื้นด้วยการถูพื้นจึงควรใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆ เช็ดถูทำความสะอาด การใช้น้ำที่เปียกเกินไปถูพื้นอาจทำให้พื้นลามิเนตบวมแล้วบิดตัวผิดรูป จนต้องเปลี่ยนพื้นในบริเวณนั้นนะคะ   4. ขจัดคราบด้วยน้ำแข็ง ในกรณีที่มีคราบเหนียวอย่างขี้ผึ้งหรือหมากฝรั่งติดพื้น ให้ถูน้ำแข็งลงบนคราบดังกล่าวและค่อย ๆ ขูดออกอย่างเบามือ โดยระมัดระวังอย่าให้เกิดรอยขีดข่วนบนพื้น นอกจากนี้น้ำแข็งยังสามารถขจัดหมากฝรั่งออกจากพรมได้อีกด้วยอีกนะคะ   5. ห้ามใช้เครื่องขัดพื้น เครื่องขัดพื้นไฟฟ้าอาจจะอำนวยความสะดวกในพื้นที่กว้าง ๆ อย่างร้านอาหาร แต่ไม่เหมาะสมกับการทำความสะอาดพื้นลามิเนตแน่นอนค่ะ เพราะมีความรุนแรงจนอาจสร้างความเสียหายให้กับพื้นได้ จำไว้ว่าเครื่องขัดพื้นแบบนี้เหมาะสมจะใช้กับพื้นไม้แข็ง ๆ เท่านั้น ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงจะดีกว่านะคะ   6.หลีกเลี่ยงการใช้น้ำยาขัดพื้นที่มีฤทธิ์กัดกร่อน ควรหลีกเลี่ยงการทำความสะอาดพื้นด้วยน้ำยาทำความสะอาดที่มีฤทธิ์กัดกร่อนทุกประเภท เพราะอาจสร้างความเสียหายแบบถาวรให้กับพื้นไม้ นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงแปรงขนโลหะหรือแปรงขนแข็งทุกชนิด เพราะอาจทิ้งรอยขีดข่วนไว้ได้นะคะ   หากทำตามขั้นตอนตามที่ทางเราแนะนำข้างต้นแล้ว รับรองว่าพื้นลามิเนตจะสวยอยู่คู่บ้านคุณไปอีกนานค่ะ ^^   ขอบคุณแหล่งที่มา : www.inside2home.com/knowledge/182/การดูแลทำความสะอาดพื้นลามิเนต/            
ข้อดี! ของคอนโดโลวไรส์

ข้อดี! ของคอนโดโลวไรส์

ปัจจุบันในกรุงเทพและปริมณฑล เต็มไปด้วยแหล่งทำงานแหล่งธุรกิจและแหล่งท่องเที่ยว จึงทำให้ต้องมีการสร้าง คอนโดโลวไลส์ เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้ากลุ่มคนเมือง ผู้พิถีพิถันกับทุกรายละเอียด เน้นอยู่สบาย ท่ามกลางความสะดวกครบครัน เราจึงอยากนำเสนอข้อดีของ คอนโดโลวไลส์ให้ชมกันค่ะ   1.มีความเป็นส่วนตัว คอนโดที่ออกแบบเป็นโลว์ไรส์ สัดส่วนยูนิตของอาคารจะถูกลดลง คนอาศัยจึงพอเหมาะไม่มากจนแออัด ทำให้ลดปัญหาไม่ต้องมานั่งกังวลเพื่อนบ้านในการทำกิจกรรมใช้สอยต่างๆ เช่น ฟิตเนา ว่ายน้ำ มุมห้องสมุด จึงทำให้บรรยากาศทำให้ดูสะดวกสบายและเป็นส่วนตัวมีมากขึ้น 2. ประหยัดค่าใช้จ่าย เมื่อโครงการมีขนาดสร้างเล็ก ทุนในการสร้างบางส่วนน้อยกว่า ราคาจึงถูกกว่าไฮไรส์ ตัวอย่างโครงการใหม่ของพฤกษาที่ชื่อ “The Privacy เรวดี” ราคาเริ่มต้นยังอยู่ที่ ล้านต้นๆ เท่านั้น ขณะที่คอนโดสูงๆ ทั่วไปส่วนใหญ่ราคา 2 ล้านอัพ ประหยัดงบประมาณได้ค่อนข้างสูง 3. หมดกังวลเรื่องที่จอดรถ ด้วยจำนวนชั้นน้อยผู้อาศัย รถประจำตัวจึงมีไม่มากเท่าพวกคอนโดสูงๆ ไม่ต้องมานั่งปวดหัววนรีบร้อนหาที่จอดรถให้วุ่นวาย หรือออกเดินทางลำบาก 4. บรรยากาศคอนโดเป็นมิตร คอนโดใหญ่ๆ ที่คนอาศัยเยอะก็อาจจะดูวุ่นวาย มากคนปัญหาก็เยอะตามมา แต่ไม่ใช่ว่าคอนโดขนาดเล็กอยู่แล้วจะไม่มีปัญหาเลย คอนโดที่ไหนก็มีปัญหากันบ้างมากน้อยต่างกัน เพียงแต่คอนโดขนาดเล็ก ถ้ามีการการนัดประชุมลูกบ้านจะทำได้ง่ายกว่า เพราะคนน้อย แล้วการที่คนน้อย ก็ไม่ต้องแย่งใช้สิ่งอำนวยความสะดวกของโครงการมาก ทำให้บรรยากาศระหว่างเพื่อนสร้างความเป็นมิตรกันมากขึ้นด้วย ขอบคุณแหล่งที่มา : http://www.lalinproperty.com/news/condo-low-rise.html
เคล็ดลับการรักษาพรม และเลือกซื้อให้ถูกวิธี

เคล็ดลับการรักษาพรม และเลือกซื้อให้ถูกวิธี

หลายคนมีความเชื่อผิดๆว่าพรมเป็นแหล่งสะสมฝุ่นและไม่เหมาะกับสภาพอากาศเมืองไทย ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นเราจะชวนคุณๆมาคิดใหม่ค่ะ เพราะพรมนอกจากให้สัมผัสอ่อนนุ่มแล้ว พรมยังให้ความรู้สึกพิเศษกับการตกแต่งภายใน ช่วยเพิ่มความอบอุ่นหรูหราและลดความกระด้างของพื้น ทำให้ห้องดูมีชีวิตชีวา ช่วยดูดซับเสียง นอกจากนี้ยังมีสีและลวดลายให้เลือกซื้อมากมายไม่จำกัด เราจึงอยากชวนทุกคนลองซื้อพรมติดบ้านเอาไว้บ้างแต่จะเลือกซื้ออย่างไรนั้น วันนี้ มีคำแนะนำดีๆ มาฝากค่ะ   ข้อ 1. วิธีเลือกซื้อพรม คือก่อนอื่นคุณต้องสังเกตรูปแบบการใช้งานก่อนว่าคุณจะนำไปใช้ที่ใด ห้องนั่งเล่น ห้องอาหาร หรือห้องนอน แล้วพิจารณาว่าพื้นที่ๆ จะนำพรมไปวางถูกใช้งานมากน้อยแค่ไหน มีสภาพแวดล้อมเป็นอย่างไร เช่น ห้องที่ใช้งานบ่อยๆน่าจะพิจารณาพรมที่ทำความสะอาดง่ายและน้ำหนักเบา แต่ถ้าเลือกใช้ในห้องนอนคุณอาจต้องการพรมดีๆที่หนานุ่มเป็นพิเศษเป็นต้น   ข้อ.2 ช่างสังเกต หลังจากนั้นก็ให้สังเกตต่อไปอีกนิดว่าสภาพแวดล้อมที่พรมจะถูกนำไปใช้งานนั้นอยู่ใกล้ถนน ติดกับหน้าต่าง มีเด็กๆหรือสัตว์เลี้ยงเข้ามาใช้พื้นที่ส่วนนั้นร่วมด้วยหรือไม่ หากเป็นแบบนั้นก็ควรพิจารณาพรมสีอ่อนค่ะ เพราะจะช่วยให้มองเห็นสิ่งสกปรกได้ง่าย นอกจากนี้พรมสีเข้มๆยังทำให้ห้องดูแคบลงไม่เหมาะกับคอนโดพื้นที่จำกัดอย่างแน่นอน เลือกใช้โทนสีสว่างสำหรับการตกแต่งภายในจะช่วยให้ห้องดูกว้างขวางมากขึ้น ข้อ 3. คุณสมบัติของพรม นอกจากนี้คุณสัมบัติของพรมแต่ละชนิดเป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาให้ละเอียด ตั้งแต่ลักษณะเส้นใย ความคงทน น้ำหนัก ความหนาแน่นในการทอ การดูดซับน้ำ ความนุ่ม ความรู้สึกสัมผัส การทำความสะอาด และอีกจิปาถะร้อยแปดล้วนเป็นสิ่งที่ต้องดูให้ครบทุกด้าน เพื่อที่จะได้พรมที่พอดีกับการใช้งานที่สุดจริงๆโดยไม่ต้องเสียเงินมากเกินไปโดยใช่เหตุ คำแนะนำอีกประการหนึ่งคือถ้าคุณไม่ใช่ Carpet Lover ตัวแม่แล้วล่ะก็ เราไม่แนะนำให้ติดตั้งพรมในครัวหรือพื้นห้องน้ำค่ะ   ข้อ 4. ดูแลรักษา พรมแต่ละชนิดต้องการการดูแลไม่เหมือนกัน แต่โดยพื้นฐานแล้วคุณก็ควรดูดฝุ่นเอาออกมาผึ่งแดดทุกสัปดาห์และซักพรมอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง หากพรมมีการหลุดลุ่ยควรตัดออกโดยห้ามดึงอย่างเด็ดขาด และก่อนตัดสินจ่ายเงินต้องถามคนขายให้ละเอียดว่าพรมที่เราเลือกต้องการการดูแลอย่างไร ใช้วัสดุอุปกรณ์หรือสารเคมีแบบพิเศษในการบำรุงรักษาหรือไม่ จากนั้นค่อยเลือกสีและสไตล์ที่คุณชอบตามข้อพิจารณาด้านบน แล้วเลือกพรมคุณภาพดีที่สุดเท่าที่งบประมาณคุณมีค่ะ เมื่อรู้ถึงคุณสมบัติและวิธีรักษาพรมแล้ว ใครที่เลือกตกแต่งเพิ่มความสวยงามให้บ้านด้วยพรมก็ลุยเลยค่ะ หากดูแลดีๆอย่างถูกวิธี เรื่องคราบสกปรกไม่ตามมารบกวนใจอย่างแน่นอน   ขอบคุณแหล่งที่มา  :  www.forfur.com/แต่งบ้าน/เคล็ดลับการรักษาพรม-และเลือกซื้อให้ถูกวิธี
รอยร้าวของผนัง สัญญาณอันตราย...หรือแค่เรื่องธรรมชาติ

รอยร้าวของผนัง สัญญาณอันตราย...หรือแค่เรื่องธรรมชาติ

เคยมองไปบนผนังบ้านของตัวเองแล้วสังเกตเห็นรอยร้าวกันบ้างมั้ย รอยร้าวเหล่านั้นเป็นแค่เรื่องธรรมชาติหรืออันตรายต่อบ้านขนาดไหน ลองมาดูกันครับ เคยสงสัยกันบ้างไหมครับว่าทำไมอาคารบ้านเรือนเราอยู่ๆก็เกิดมีรอยร้าวทั้งๆที่เพิ่งจะสร้างเสร็จใหม่ๆ แบบบ้านบางหลังสร้างมาตั้งหลายปีก็ไม่เห็นว่าจะร้าวเลย แล้วรอยร้าวพวกนี้ส่งสัญญาณอะไรให้เราบ้าง อันตรายแค่ไหน แบบบ้านจะพังไหม หรือ แค่เราคิดมากไปเอง ไม่แน่อาจจะแค่เรื่องธรรมชาติหรือเปล่าไปถามบางคนก็ว่าแค่ปูนร้าวไม่มีอะไรหรอก แต่อีกคนมาบอกว่าต้องแก้นะเดี๋ยวบ้านพัง แล้วตกลงเราจะรู้ได้อย่างไร ว่ารอยร้าวที่เกิดกับบ้านเรานั้นอันไหนต้องแก้ไข หรืออันไหนปล่อยไว้ก็ได้ วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับรอยร้าวที่ทั้งทำให้เราร้าวรานและร้อนใจนั้นมีแบบไหนกันบ้าง และจะแก้ไขอย่างไร ลองมาดูกันครับ 1.รอยร้าวที่เกิดบนผนัง รอยร้าวประเภทนี้ส่วนใหญ่มักไม่เป็นอันตรายถึงขั้นบ้านถล่มดินทลาย แต่มักจะมาในรูปแบบของความน่ารำคาญ คือจะทำให้ดูรกหูรกตา ไม่น่ามอง แต่ในกรณีนี้ไม่สามารถทำให้บ้านพังได้ครับ เช่น 1.1 รอยร้าวแบบแตกลายงา มักจะเกิดจากปูนฉาบขาดน้ำ คือ ผนังก่ออิฐแห้งเกินไปทำให้เมื่อเราเริ่มงานฉาบปูน น้ำที่ผสมในปูนฉาบที่ได้สัดส่วนดีงามแล้ว โดนผนังด้านในดูดเอาน้ำไปทำให้ปูนฉาบผิดสัดส่วนและแห้งเกินไป เมื่อใช้อาคารไปซักพักจึงเกิดเป็นรอยดังกล่าว หรืออาจจะโดนเร่งงานจากเจ้าของบ้านหรือรีบเก็บงวดงาน ทำให้เมื่อก่อผนังอิฐเสร็จก็ฉาบเลยไม่รอให้ผนังอิฐเซ็ทตัวนั่นเอง การแก้ไข : A - ก่อนงานฉาบปูนให้เรารดน้ำผนังก่ออิฐให้ชุ่มก่อนเพื่อไม่ให้ผนังขาดน้ำ แล้วแบบไหนถึงเรียกว่าไม่ขาดน้ำ สังเกตง่ายๆก่อนจะเริ่มงานฉาบลองเอาฝ่ามือไปนาบผนังถ้ารู้สึกว่าเย็นๆชื้นๆก็แสดงว่าใช้ได้แล้วนั่นเอง B - ถ้าสายไปเสียแล้ว เพราะแตกไปเรียบร้อยก็แก้ไขได้ไม่ยาก ให้ใช้สีที่มีความยืดหยุ่นสูง หาได้หลากหลายยี่ห้อในท้องตลาดมาทาทับให้เรียบร้อย และมักจะแก้ได้อย่างชะงัดทีเดียวครับ 1.2 รอยแตกของผนังตามริมขอบวงกบ อันนี้ส่วนใหญ่เกิดจากความมักง่ายของช่างก่อสร้าง ที่ไม่ยอมทำเสาเอ็น เสาเอ็นก็คือเสา คสล.ขนาดประมาณ 7 x 7 cm ที่ทำเป็นกรอบครอบวงกบประตูไว้นั่นเอง เพื่อป้องกันปูนฉาบแตกจากการเปิดปิดประตู ฉะนั้นในระหว่างการก่อสร้างเจ้าของบ้านก็ควรตรวจสอบให้รอบคอบก่อนจะที่ช่างจะฉาบปูนครับ 1.3 รอยแตกแนวทแยงบนผนังกว้างประมาณ1-2 มม.อันนี้เริ่มจะน่ากังวลขึ้นมาหน่อยครับ รอยร้าวประเภทนี้มักจะเกิดหลังจากอาคารสร้างเสร็จไปแล้วซักพัก หากเราเจอให้ลองเอาดินสอขีดตรงปลายรอยแตกแล้วสังเกตว่าร้าวต่อหรือไม่ ถ้าไม่ก็ถือว่าไม่อันตรายอาจจะแค่เกิดการบิดของผนังหรือเวลาสิบล้อขับผ่านหน้าบ้านบ่อยๆเกิดการสะเทือนมากเป็นต้น แต่ถ้ารอยร้าวกว้างและยาวมากขึ้นอาจจะสันนิษฐานได้ว่า โครงสร้างอาคารอาจจะกำลังทรุดตัว ควรปรึกษาวิศวกรเป็นการด่วน 2.รอยร้าวที่เกิดบนคาน รอยร้าวบริเวณนี้ไม่ว่าจะเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อยหรือเยอะ ให้คิดไว้ก่อนว่านั่นคือเรื่องอันตราย ให้รีบหาสาเหตุและแก้ปัญหาโดยเร็วที่สุด เพราะไม่ใช่เรื่องปกติแล้วครับ โดยเราอาจสังเกตได้ดังนี้ 2.1รอยร้าวแบบแตกลายงาแต่ไม่ปริออกมา อันนี้น่าจะเกิดจากปูนฉาบขาดน้ำเช่นเดียวกับข้อ 1.1 หรืออาจจะเป็นช่างฉาบปูนคนเดียวกัน ไม่ทำให้เกิดอันตรายใดๆ 2.2 รอยร้าวเป็นเส้นตรงแนวตั้งตรงกลางคานและปริจนเห็นเนื้อปูนหรือเหล็กเสริมด้านใน อาการนี้แสดงว่าคานรับน้ำหนักเกินกว่าที่วิศวกรกำหนดไว้ เรามักจะเจอกรณีแบบนี้ในอาคารประเภทโกดังที่มีการกองเก็บสินค้าเกินกำลัง ให้ลองเอาของที่ตั้งอยู่บนเหนือคานออกแล้วสังเกตดูว่ารอยร้าวมันหยุดหรือไม่ ถ้าหยุดก็แสดงว่าเราเจอสาเหตุ ขั้นตอนต่อไปก็ให้กระจายการวางน้ำหนักให้สมดุลกันทั้งอาคาร แต่ถ้ายังคงร้าวต่ออันนี้ให้คิดไว้ก่อนเลยว่าอาคารของเราก่อสร้างไม่ได้มาตรฐาน ก็รีบอพยพชั่วคราวกันก่อนครับ แล้วรีบติดต่อวิศวกรมาดูโดยเร็วที่สุด เพราะอาจจะทำให้อาคารพังได้ 3.รอยร้าวที่เกิดบนเสา รอยร้าวที่เกิดกับเสาก็เป็นอีกตำแหน่งที่ถือว่าอันตรายถึงชีวิตได้ง่าย ถ้าไม่นับรอยแตกลายงา รอยร้าวของเสามักจะเกิดที่หัวเสา อาจจะฉีกออกแค่เสาหรือทั้งคานและเสาก็ได้ อันนี้รีบย้ายออกจากบ้านก่อนเลยครับ แล้วติดต่อวิศวกรผู้เชี่ยวชาญมาตรวจสอบ เพราะเกิดจากการก่อสร้างที่ไม่ได้มาตรฐาน เกิดแรงเฉือนอย่างรุนแรงที่ตำแหน่งหัวเสาเชื่อมกับคานและจะทำให้อาคารทรุดลงมาได้ การแก้ไขมีตั้งแต่เสริมเหล็กรับแรงให้กับเสา ไปจนถึงทุบอาคารทิ้งกันเลย ฉะนั้นถ้าเจอรอยร้าวแบบนี้อย่านิ่งนอนใจอย่างเด็ดขาดครับ 4.รอยร้าวที่เกิดบนพื้น รอยร้าวบนพื้นมักจะมีให้เห็นบริเวณพื้นชั้นล่าง และเป็นพื้นที่วางบนดินหรือที่เรียกว่าพื้นหล่อในที่ โดยสาเหตุเกิดจากการทรุดตัวของดินถมบดอัดที่อยู่ใต้พื้น พอดินที่รับน้ำหนักพื้นทรุดลงก็จะทำให้พื้นทรุดตาม ทำให้เห็นรอยร้าวตามขอบพื้นที่ติดกับคาน การแก้ไข หากกำลังเริ่มทำแบบบ้านให้พยายามทำพื้นแบบวางบนคานไม่ว่าจะเป็นพื้นหล่อหรือพื้นสำเร็จรูปก็ตาม ปัญหานี้ก็จะไม่เกิดกับบ้านเราอย่างแน่นอน ส่วนคนที่อยู่แบบบ้านเดิมมานานและพื้นทรุดตัวแล้ว อันนี้แก้ยากครับ ง่ายสุดคือทุบพื้นเดิมทิ้งแล้วหล่อใหม่ดีกว่า เป็นยังไงบ้างครับได้รับรู้กันไปพอสมควรสำหรับเรื่องรอยร้าวในตำแหน่งต่างๆ ทั้งที่อันตรายและไม่อันตราย วันไหนว่างๆลองเดินสำรวจรอบบ้านกันดู หรือว่าใครกำลังเจอปัญหานี้พอดีก็จะได้มีแนวทางในการแก้ไขเบื้องต้นได้ครับ ขอบคุณแหล่งที่มา http://www.forfur.com/%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99/%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9C%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%87-%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B9%81%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4
ซื้อบ้านมือสอง มีความเสี่ยงอะไรบ้าง?

ซื้อบ้านมือสอง มีความเสี่ยงอะไรบ้าง?

เป็นเรื่องปกติที่เวลาเราซื้อบ้านมือสองจะมี “ความเสี่ยง” มากกว่าบ้านใหม่ เพราะถ้าเราซื้อบ้านใหม่ ก็สามารถเลือกได้เลยว่าจะเอาโครงการไหน รู้ประวัติที่มาของโครงการ ความน่าเชื่อถือ เเต่บ้านมือสองนั้นเเตกต่างกัน เพราะอย่างๆน้อยบ้านต้องมีเจ้าของมาก่อนแล้วเเน่นอน แล้วถ้าเราจะเลือกซื้อบ้านมือสองสักหลัง เราเตรียมตัวรับมือกับความเสี่ยงเรื่องอะไรบ้าง?    1.เเน่ใจได้ยังไงว่าคนที่อยู่บ้านหลังนั้นเป็นเจ้าของบ้าน? อย่างเเรกสุดที่เราต้องเจอเลย เพราะเราไม่อาจเเน่ใจได้เลยว่าเขาใช่เจ้าของบ้านตัวจริงหรือเปล่า? หรือเพียงเเค่ผู้อยู่อาศัย ผู้เช่าบ้าน ก่อนจะตกลงซื้อขายเบื้องต้นต้องตรวจสอบให้ดีก่อน วิธีตรวจสอบคือการเอาโฉนดไปตรวจสอบที่สำนักงานที่ดินว่าเจ้าของชื่ออะไร พอถึงวันนัดวางเงินก็เอาเอกสารมาเทียบกัน ถ้าตรงกันก็ถือว่าถูกต้อง เเต่ถ้าซื้อบ้านเอง เเนะนำให้สำนักกฎหมายเข้ามาดูเเล จะปลอดภัยกว่า     2.บ้านมีทางออกมั้ย? ความเสี่ยงต่อมาคือเรื่องทางออก ถ้าเป็นบ้านที่อยู่นอกโครงการหมู่บ้านจัดสรร และมีถนนตัดผ่านหน้าบ้าน ต้องตรวจสอบก่อนว่าถนนเส้นนั้นเป็นถนนส่วนบุคคลหรือเป็นถนนภาระจำยอมที่ให้บ้านอื่นสามารถใช้ได้ร่วมกัน เเต่ถ้าใครเลือกขอสินเชื่อธนาคารก็ไม่ต้องกังวล เพราะเจ้าหน้าที่ธนาคารจะส่งฝ่ายประเมินเอกสารไปตรวจสอบให้เรา สบายใจไร้กังวล   3.เรื่องราคาจะเป็นกลางมั้ย? เรื่องสำคัญที่หลายคนกังวลคือเรื่องราคา หลายคนอาจไม่มีประสบการณ์ซื้อขายบ้านมาก่อน ดังนั้นต้องตรวจสอบราคาให้ดีก่อนว่าเป็นราคาตลาดหรือมั้ย? ถ้าเก็บข้อมูลได้เยอะเเล้วเจอหลังที่ใช่ ก็ซื้อได้เลย เเต่ถ้าเพิ่งดูครั้งเเรกแล้วชอบ ก็อย่าพึ่งรีบตัดสินใจ เราอาจจะลองค้นหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ต เเล้วเปรียบเทียบราคาบ้านในละเเวกเดียวกัน เเต่ก็ต้องเช็คข้อมูลให้ถูกต้องด้วย อย่าเชื่อหมดทุกอย่าง ได้ข้อมูลที่พอใจเเล้วเราก็ลงพื้นที่จริงได้เลย อย่าลืมอีกเรื่องคือ เมื่อตกลงราคากันได้เรียบร้อย ต้องคุยกันให้เด็ดขาดว่าฝ่ายไหนจะจ่ายค่าใช้จ่ายส่วนใดบ้าง?   4.บ้านถูกอายัดอยู่หรือเปล่า? การอายัดเกิดจากการเอาบ้านไปติดจำนองเเล้วไม่ผ่อนเจ้าหนี้ เจ้าหนี้จึงไปขออำนาจศาลอายัดบ้านไว้ก่อน เหตุการณ์แบบนี้มักเกิดกับการซื้อขายบ้านในเมือง หลายคนเลยที่ดูบ้านเรียบร้อย ตกลงจะซื้อพร้อมวางเงิน เเต่บ้านกลับถูกอายัด วิธีแก้ไขคือเราสามารถไปขอดูโฉนดที่กรมที่ดินก่อนได้ เเจ้งว่าอยากจะตรวจสอบเพราะต้องการจะซื้อบ้านหลังนี้ ส่วนเรื่องการติดจำนอง ไม่ต้องเป็นกังวล เพราะว่าคนที่ติดจำนองต้องมาไถ่ถอนไปก่อนถึงจะซื้อขายได้   5.ถ้าเอกสารสิทธิที่ครอบครองไม่ใช่โฉนดที่ดินล่ะ? กรณีเป็นพื้นที่ต่างจังหวัด เอกสารสิทธิเป็น น.ส.3 และ น.ส.3ก สามารถซื้อได้ทั้งหมด เเต่ถ้าเป็น ภบท. หรือซื้อใบรับรองจากกำนัน ผู้ใหญ่บ้านที่ยืนยันว่าใช้เป็นที่ทำมาหากิน พวกนี้ถือเป็นกลุ่มเสี่ยงที่ควรหลีกเลี่ยง   6.ถ้าซื้อไปแล้วถูกเวนคืน? ก่อนจะเลือกซื้อบ้าน ควรตรวจสอบว่าเเถวนั้นมีโครงการทำทางด่วน รถไฟฟ้า ถนนตัดผ่านใหม่หรือเปล่า? ถ้าอยู้ในช่วงสำรวจก็ถือเป็นความเสี่ยงส่วนหนึ่ง เเต่ถ้าการเวนคืนที่ดินเเถวนั้นออกเป็นกฤษฎีกาแล้วก็สบายใจได้ เพราะถือว่าที่ดินเเถวนั้นห้ามทำการซื้อขายเด็ดขาด     7.แล้วถ้าโฉนดบ้านมีชื่อมากกว่า 1 คน ทำไงดี? เรื่องนี้เวลาวางเงินซื้อขายทุกคนต้องเซ็นยินยอม ถ้าเกิดเหตุการณ์มีคนใดคนหนึ่งไม่ยินยอมในวันโอน เราอาจโดนยึดมัดจำไปฟรีๆ เเล้วต้องมาเสียเวลามาฟ้องร้องเรียกมัดจำคืน     8.ถ้าเกิดสิ่งปลูกสร้างที่ดินไม่มาพร้อมกัน ถ้าที่ดินเป็นชื่อคนละคนกับบ้าน จะซื้อขายต้องมีประกาศจากสำนักงานที่ดินว่าทั้งสองฝ่ายยินยอมก่อน จะต้องเสียเวลาอีก 1 เดือน และถ้าหากไม่ประกาศก็โอนกรรมสิทธิ์ไม่ได้   9.ถ้ามีปัญหา มีผู้จัดการมรดกจัดการหรือเปล่า? ถ้าคนถือครองเสียชีวิต ก็ต้องดูว่ามีใครเป็นผู้จัดการมรดก ทำเรื่องเรียบร้อยเเล้วหรือยัง? เเต่ถ้าเกิดวางเงินไปแล้ว เเต่กลัวว่าจะโอนไม่ได้ ซึ่งจริงๆแล้วสามารถโอนได้ โดยขออำนาจศาลเเต่งตั้งผู้จัดการมรดกก็สามารถทำเรื่องซื้อขายกันต่อได้เเล้ว ตอนนี้เรารู้เเล้วว่าความเสี่ยงที่จะเจอเวลาเราจะซื้อบ้านมือสองนั้นมีอะไรบ้าง ดังนั้นก่อนจะตัดสินใจซื้อบ้านมือสองสักหลังต้องคิดให้ดีๆ เก็บข้อมูลให้มากๆก่อนซื้อ   ขอบคุณแหล่งที่มา  :  https://www.home2nd.com/blog/87690  
ผ่อนไหวใช่ว่าดี คำนวณก่อน ดอกเบี้ยบ้าน คุ้มค่าจริงเปล่า?

ผ่อนไหวใช่ว่าดี คำนวณก่อน ดอกเบี้ยบ้าน คุ้มค่าจริงเปล่า?

การมีทรัพย์สินติดตัวไว้ใช่ว่าจะเป็นเรื่องดีเสมอไป ยิ่งเมื่อการได้มาเป็นภาระเกินความจำเป็น ยิ่งมีมูลค่ามาก การได้มากก็ยิ่งยากขึ้นเท่านั้น และผู้ให้บริการทางการเงินส่วนมากก็มอบช่องทางสบายๆให้กับคนใจร้อน คนที่มีความต้องการมากเสียจนลืมคิดหน้าคิดหลังให้ดีซะก่อน หากคุณไม่อยากเสียผลประโยชน์จากการไม่วางแผน ลองอ่านบทความนี้ให้จบ แล้วคุณจะพบว่า ดอกเบี้ยจากการผ่อนบ้าน หากไม่บริหารให้ดี จะเจ็บหนักขนาดไหน   อันดับแรกคือหาเจ้าที่ประหยัดที่สุด เวลาเราไปดูตารางดอกเบี้ยของผู้ให้บริการทางการเงินหลายๆเจ้า เรามักจะเห็นคำว่า MRR นำอยู่ข้างหน้าเสมอ ตามด้วย สามปีแรกดอกเบี้ยกี่ % แล้วหลังจากนั้นเป็น MRR ลบเท่าไหร่ เช่น MRR = 7.25% สามปีแรก ดอกเบี้ย 3.75% ปีที่เหลือ ดอกเบี้ย MRR-2% เมื่อเห็นแบบนี้ก็เข้าใจง่ายๆว่าคุณจะต้องโดนดอกเบี้ยปีละกี่ % แต่ค่า MRR จะเปลี่ยนไปทุกปีตามกำหนดการของธนาคาร เป็นเหตุผลที่มีการรีไฟแนนซ์ ทำให้การตัดสินใจเลือกผู้บริการธุรกรรมทางการเงินเป็นเรื่องที่ค่อนข้างสำคัญเป็นอันดับต้นๆ ยังไม่รวมไปถึงปริมาณการผ่อนชำระ   หลักการผ่อนไม่ให้ขาดทุน จุดสำคัญที่อยากให้ทุกคนเข้าใจกันคือปริมาณก่อนผ่อนชำระของคุณ เพราะคนส่วนมากมักจะเลือกผ่อนทีละน้อย เพื่อไม่ให้เดือดร้อนทรัพย์สินส่วนอื่น ซึ่งเป็นความคิดที่ไม่ถูกไปซะหมด โดยเฉพาะกับคนที่สามารถรับผิดชอบผ่อนชำระได้มาก บางคนมีรายได้พอจะผ่อนให้เสร็จในสิบปีได้ แต่เลือกจะผ่อน 20 ปีเพื่อจะเอาเงินไปใช้ทำส่วนอื่น ซึ่งเป็นความคิดที่ผิดเต็มๆ ธนาคารมักจะมีการผ่อนชำระขั้นต่ำสุดอยู่ที่ประมาณ 1ล้านต่อ 7พันบาท จะผ่อนหมดในเวลาประมาณ 142 สัปดาห์หรือ 20 ปี ซึ่งใช้เวลานานมาก ในขณะที่ปริมาณดอกเบี้ยไม่ได้ลดลงเลย คุณอาจจะมีรายได้อยู่ที่ 30,000 บาทต่อเดือน ผ่อน 15,000 บาทต่อเดือนต่อเงินต้นสองล้านบาท คุณคิดว่าคุณจะโดนดอกเบี้ยเท่าไหร่? ดอกเบี้ยหรือค่า MRR อาจจะคงที่ในทุกทุกปีที่คุณผ่อน แต่ดอกเบี้ยจะมากหรือน้อย ก็ขึ้นอยู่กับเงินต้นว่าคุณผ่อนไปแล้วมากน้อยแค่ไหน ซึ่งดอกเบี้ยนั้นจะคำนวณตามเงินต้นและต้องรับผิดชอบทุกเดือน หมายความว่ายิ่งคุณจ่ายทีละน้อย เงินต้นก็จะลดลงช้าลงเท่านั้น เท่ากับว่าดอกเบี้ยก็จะลดลงช้าด้วยเช่นกัน จากล้านละเจ็ดพัน เปลี่ยนมาเป็นล้านละหมื่น จะย่นระยะเวลาการผ่อนชำระลงได้มากกว่าที่คุณคิด ยอมลงทุนผ่อนทีละมากๆต่อทรัพย์สินทีละชิ้น ดีกว่ามานั่งผ่อนยาวๆแต่เมื่อคำนวณออกมาแล้ว ดอกเบี้ยสูงเท่าเงินต้นนะครับ   รายได้ไม่พอ จะแก้ปัญหาอย่างไร? สำหรับคนที่มีความจำเป็นที่จะต้องผ่อนบ้าน หรือคนที่ผ่อนชำระไปแล้วพึ่งพบว่าตนเองกำลังขาดทุนอยู่จะแก้ปัญหาได้ทางไหนบ้าง? จริงๆแล้วหากไม่มีรายได้เพิ่ม ก็อาจจะเป็นทางออกที่ยาก แต่ก็มีทางเลือกง่ายๆดังนี้ โปะก้อนใหญ่ วิธีการแก้ปัญหาเงินต้นลดช้า แก้ได้ด้วยการโปะเงินก้อนเข้าไปในทุกทุกปีหรือทุกทุกเดือน เพื่อเป็นการลดเงินต้นอีกรูปแบบหนึ่ง แม้จะต้องใช้เงินเยอะเหมือนเดิม แต่ก็ขึ้นอยู่กับการบริหารเงินของท่านว่าทำได้มากน้อยแค่ไหน รีไฟแนนซ์ การรีไฟแนนซ์นั้นมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเสมอ หากคำนวณไม่ดี จะกลายเป็นขาดทุนไปด้วย แต่หากทำถูกวิธี จะสามารถลดดอกเบี้ยลงอย่างเห็นได้ชัด ข้อเสนอปัจจุบัน ดอกเบี้ยกำไรผู้ซื้อมีเป็นช่วงระยะเวลา 3 ปีแรก หลังจากนั้นไปการรีไฟแนนซ์จึงกลายมาเป็นทางเลือกที่ดีอีกทางหนึ่ง หาผู้กู้ร่วม ในเมื่อไม่สามารถรับผิดชอบด้วยตัวเองได้ ก็ต้องหาคนมาช่วยรับผิดชอบ อาจจะไม่ใช่รูปแบบของการ กู้ร่วมทั้งหมด แต่ก็สามารถหารายได้เพิ่มจากที่พักที่คุณมีนี่แหล่ะ ไม่ว่าจะเป็นเช่าที่ หรือเปลี่ยนเป็นหอพักก็ดีทั้งนั้น อย่างไรก็ตาม ปัญหานี้ไม่สามารถแก้ที่ปลายทางได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ วิธีการหลีกหนีดอกเบี้ยบ้านที่สูงเกินไป อยู่ตั้งแต่ตอนเริ่มขอสินเชื่อ ตั้งแต่ตอนคำนวณฐานรายได้และรูปแบบการชำระที่คุณต้องการ หากเตรียมพร้อมไว้ก่อน ก็จะไม่มีปัญหา อย่างไรก็ตาม คนที่ไม่มีทางเลือกก็จำเป็นต้องพยายามให้หนักกว่าคนอื่น หากต้องการจะออกจากวังวนนี้ แม้ว่าการผ่อนระยะเวลานานจะเป็นทางเลือกที่คุณสบายใจที่สุด แต่การผ่อนเงินเพียงสองล้านบาทอาจกลายเป็นดอกเบี้ยร่วมหนึ่งล้านบาทได้เลย มากพอที่จะคุณถอยรถยนต์อีกคันได้สบายๆ ดังนั้นก่อนจะทำการใหญ่ การศึกษาข้อมูลทางการเงินมีความจำเป็นมากกว่าที่คุณคิด อย่ารีบร้อน วางแผนให้ดีก่อน ขอบคุณข้อมูลจาก : https://finance.rabbit.co.th/blog/minimum-house-installment        
เรื่องควรรู้ก่อนตัดสินใจ รีไฟแนนซ์บ้าน

เรื่องควรรู้ก่อนตัดสินใจ รีไฟแนนซ์บ้าน

เรื่องของสินเชื่ออาจจะเป็นเรื่องที่เข้าใจยากซักหน่อย แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นเรื่องที่เราต้องรู้ไว้ ไม่ว่าคุณจะกำลังผ่อนบ้านอยู่ หรือกำลังตัดสินใจจะซื้อบ้านซักหลังเป็นของตัวเอง เรื่องสินเชื่อบ้าน ก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องไกลตัวเลยค่ะ     รีไฟแนนซ์บ้านคืออะไร? การรีไฟแนนซ์บ้าน คือ การขอกู้ยืมสินเชื่อก้อนใหม่จากธนาคารหรือสถาบันการเงินที่เรามีสัญญาการผ่อนชำระอยู่เดิม หรือ จะทำเรื่องกู้เงินจากธนาคารหรือสถาบันการเงินแห่งใหม่ มาโปะหนี้จากธนาคารเดิมก็สามารถทำได้ การรีไฟแนนซ์บ้าน ไม่ว่าจะเป็นการขอกู้เงินจากธนาคารเดิม หรือธนาคารหรือสถาบันการเงินแห่งใหม่ ต่างมีจุดประสงค์เพื่อขยายระยะเวลาการผ่อนที่เหลือให้นานขึ้น และมีค่างวดน้อยลง หรือ เพื่อให้ผ่อนหมดเร็วขึ้น     คนส่วนใหญ่มักจะนิยมรีไฟแนนซ์บ้าน หรือ คอนโดมิเนียม กันทุกๆ 3  ปี หรือ เมื่อเริ่มที่จะรู้สึกว่าผ่อนไม่ไหว แต่ในความเป็นจริงแล้ว การรีไฟแนนซ์บ้าน ไม่จำเป็นต้องรอให้เรารู้สึกว่าผ่อนบ้านหรือคอนโดไม่ไหวถึงจะยื่นเรื่องขอรีไฟแนนซ์ เพราะ ธนาคารและสถาบันการเงินต่างๆ มีกำหนดให้สามารถรีไฟแนนซ์ได้เรื่อยๆ (ทุกรอบ 3ปี) ทั้งนี้เพราะธนาคารและสถาบันการเงินแต่ละแห่งล้วนมีแรงจูงใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยที่ถูกลงนั่นเอง เพราะอัตราดอกเบี้ยในการกู้เงินซื้อบ้านหรือคอนโดของทุกธนาคารจะถูกแค่ในช่วง 3 ปีแรกเท่านั้น และหลังจากนั้นอัตราดอกเบี้ยจะเพิ่มขึ้น หมายความว่าคุณจะต้องจ่ายค่างวดและดอกเบี้ยการผ่อนบ้านในอัตราปกติ จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ลูกค้าหลายๆคนจึงเลือกทำการรีไฟแนนซ์บ้านกับธนาคารหรือสถาบันการเงินแห่งใหม่นั่นเอง       1.เงื่อนไขการรีไฟแนนซ์ของธนาคารและสถาบันการเงินแต่ละแห่ง ปัจจัยหลักๆของการกู้สินเชื่อบ้านคือดอกเบี้ย ดังนั้นหากคุณต้องการจะรีไฟแนนซ์ ดอกเบี้ยคือสิ่งที่จะต้องพิจารณาเป็นอย่างแรก อัตราดอกเบี้ยสำหรับการรีไฟแนนซ์ที่เหมาะสม คือ อัตราดอกเบี้ยจะต้องต่ำกว่าดอกเบี้ยตลอดสินเชื่อที่ใช้ในปัจจุบัน รวมทั้งเงื่อนไขเรื่องจำนวนเงินผ่อนต่องวดที่ต้องลดลงและ ระยะการผ่อนที่นานขึ้นเพราะธนาคารและสถาบันการเงินแต่ละแห่ง ย่อมมีเงื่อนไขการรีไฟแนนซ์ที่ต่างกัน หากคุณรู้เงื่อนไขของธนาคารแต่ละแห่ง จะทำให้เราสามารถคำนวนได้ว่าการรีไฟแนนซ์บ้านแต่ละครั้งมีส่วนช่วยในการลดดอกเบี้ยได้มากน้อยแค่ไหน     2.ค่าใช้จ่ายโดยรวมทั้งหมด อัตราดอกเบี้ย ค่าประเมินราคาทรัพย์สิน ค่าธรรมเนียมการปล่อยกู้ ค่าอากรแสตมป์ ค่าจำนองที่ดิน ค่าทำประกัน หรือค่าบริการอื่นๆ (ค่าประกันอัคคีภัย) ส่วนมากค่าใช้จ่ายโดยรวมนี้คุณสามารถคำนวนได้จากเว็บไซต์ของธนาคารและสถาบันการเงินแต่ละแห่ง เพราะในปัจจุบันธนาคารและสถาบันการเงินที่มีการให้บริการรีไฟแนนซ์ จะมีบริการคำนวนค่าใช้จ่ายให้แก่ลูกค้าที่ต้องการใช้บริการรีไฟแนนซ์อยู่แล้ว     3.ต้องรู้ว่าใช้เอกสารอะไรในการยื่นขอรีไฟแนนซ์บ้าง สำเนาบัตรประชาชน/สำเนาทะเบียนบ้าน พร้อมฉบับจริง ใบรับรองเงินเดือน (ย้อนหลัง 3เดือน) หรือ หนังสือผ่านสิทธิสวัสดิการข้อตกลง ฉบับจริง ใบเสร็จการผ่อนชำระย้อนหลัง 24 เดือน (ในกรณีรีไฟแนนซ์บ้านแบบไถ่ถอน) สำเนาบัญชีเงินฝากแสดงรายการย้อนหลัง 6 เดือน และหลักฐานแสดงฐานะการเงินอื่น ๆ พร้อมฉบับจริง หรือ Statement พร้อมเซ็นต์รับรอง หากผู้ยื่นเรื่องขอรีไฟแนนซ์ ประกอบอาชีพส่วนตัว ให้นำสำเนาใบประกอบวิชาชีพ หรือ ใบอนุญาตประกอบการ มาแสดงด้วย แต่หากประกอบธุรกิจให้นำสำเนาทะเบียนการค้า ทะเบียนบริษัท หรือทะเบียนห้างหุ้นส่วนฯ พร้อมยื่นหลักฐานการเสียภาษีเงินได้ แนบใบเสร็จตัวจริงจากกรมสรรพากร ย้อนหลัง 6 เดือน มาด้วย (รูปถ่ายกิจการ จำนวน 3-4 รูป) สำเนาโฉนดที่ดิน/นส.3ก/หนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุด/อช.2(2ชุด) พร้อมรับรองจาก สนง.ที่ดิน     4.ศึกษาขั้นตอนการรีไฟแนนซ์เบื้องต้น การศึกษาขั้นตอนการรีไฟแนนซ์บ้านจะทำให้คุณประหยัดเวลาในการดำเนินการได้มากขึ้น รวมถึงคุณสามารถเตรียมเอกสารและดำเนินการยื่นเอกสารได้ทันเวลาอีกด้วยค่ะ ไม่ว่าจะเป็น การติดต่อขอสำเนาสรุปยอดหนี้เงินกู้กับธนาคารเก่า ยื่นเอกสารสรุปยอดหนี้ที่ได้จากธนาคารแห่งเก่าไปขอรีไฟแนนซ์กับธนาคารหรือสถาบันการเงินแห่งใหม่ เจ้าหน้าที่ธนาคารมาประเมินทรัพย์สิน การนัดวันไถ่ถอนที่สำนักงานที่ดินธนาคารเดิม การนัดวันทำสัญญากับธนาคารหรือสถาบันการเงินแห่งใหม่ ดำเนินการเรื่องโอนที่ที่ดินในเขตที่ของเราตั้งอยู่   แม้ว่าข้อมูลต่างๆจะสำคัญต่อการรีไฟแนนซ์บ้าน แต่การศึกษาข้อมูลอย่างเดียวอาจจะไม่ใช่ทางออกทั้งหมด คุณควรดูปัจจัยจากตัวคุณเพิ่มเข้าไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นรายได้ประจำ เงินเก็บ กำลังทรัพย์ แนวมโน้มทางการเงิน แนวโน้มหน้าที่การงาน รวมถึงการคำนวนความสามารถในการผ่อนค่างวด ดอกเบี้ย รวมถึงระยะเวลาในการผ่อนด้วย  ขอบคุณข้อมูลจาก : https://finance.rabbit.co.th/blog/re-finance-101        
4 เทคนิคเบื้องต้นแต่งคอนโดปล่อยเช่า

4 เทคนิคเบื้องต้นแต่งคอนโดปล่อยเช่า

สำหรับผู้ที่ลงทุนอสังหาริมทรัพย์เพื่อหวังผลระยะยาวจากกำไรจากการปล่อยเช่าคอนโด “เวลา” เป็นสิ่งมีค่าและสำคัญยิ่ง นั่นหมายถึงเวลาที่เสียไปอาจจะทำให้กำไรที่ควรจะได้ก็ลดน้อยลงไปด้วยเช่นกัน การแต่งคอนโดเพื่อให้เช่า เป็นเรื่องที่นักลงทุนควรให้ความสำคัญเพราะการแต่งคอนโดที่มีเอกลักษณ์จะสร้างความประทับใจแรกให้กับผู้เช่า และทำให้ทรัพทย์ของเรามีจุดต่างจากอีกหลายร้อยห้องในอาคารเดียวกัน จนผู้เช่าไม่สามารถปฎิเสธได้และวางเงินมัดจำทันที 4 เทคนิคสำคัญในการแต่งคอนโด ทำได้ไม่ยาก แค่ใส่ใจในรายละเอียดและลงมือทำอย่างรวดเร็ว วิธีการง่ายๆ เพียงแค่ 4 ข้อ ปรับแต่งห้องของคุณให้น่าอยู่ และเป็นที่ประทับใจให้กับผู้เช่า ทำได้ดังนี้   1.รู้จักห้อง ทุกซอก ทุกมุม คอนโดในเมืองโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คอนโดที่อยู่ใจกลางเมืองติดรถไฟฟ้ามักจะมีราคาสูงและมีขนาดเล็ก ดังนั้นการแต่งคอนโดไม่ว่าจะสำหรับเช่า หรืออยู่อาศัยเอง สิ่งแรกที่ต้องรู้ คือพื้นที่การใช้สอย เริ่มโดยวัดขนาดของห้องและสำรวจไปถึงซอกหลืบให้ละเอียดทุกซอกทุกมุม วาดแผนผังห้องออกมาและระบุขนาดพื้นที่บริเวณต่างๆ ซึ่งรวมถึงขนาดผนังแต่ละด้าน ขนาดเสา กรอบประตู กรอบหน้าต่าง ไม่ว่าจะเป็นความกว้าง ความยาว ความสูง ความลึกโดยละเอียด เพื่อใช้ในการประกอบการเลือกเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งแต่ละชิ้น   2. เฟอร์นิเจอร์สำเร็จรูป หรือ บิ้วท์อิน? หลายคนใช้วิธีตกแต่งคอนโดด้วยเฟอร์นิเจอร์แบบบิ้วท์อินเพราะคิดว่าช่วยประหยัดเวลาในการตกแต่ง ประหยัดแรงและได้คุณภาพที่คงทนยาวนาน แต่อย่าลืมว่าวัตถุประสงค์หลักของการแต่งคอนโดเพื่อทำกำไรจากการปล่อยเช่านั้น เวลาและต้นทุนถือเป็นหัวใจหลักของการทำกำไร นอกจากว่าคอนโดที่ซื้อ มีเฟอร์นิเจอร์บิ้วท์อินให้อยู่แล้ว ถือเป็นกำไร สำหรับห้องที่ไม่มีการตกแต่งและต้องการปล่อยเช่า การใช้เฟอร์นิเจอร์แบบบิ้วท์อินต้องใช้เวลามากในการออกแบบ ก่อสร้าง และตกแต่ง นอกจากนี้หากมีการทรุดโทรมตามการใช้งาน 5 – 7 ปี ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรื้อและสร้างใหม่ ใช้ต้นทุนและเวลามากกว่าซื้อเฟอร์นิเจอร์สำเร็จรูปใหม่ยกเซตก็เป็นได้ หากมีการวางแผนเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์สำเร็จรูปเป็นอย่างดีแล้ว นอกจากประหยัดเงิน ยังช่วยประหยัดเวลาอีกด้วย   3. เครื่องใช้สารพัดประโยชน์ คอนโดปล่อยเช่า ก็เปรียบเสมือนบ้านหลังใหญ่ที่ถูกย่อส่วนลงมาแต่ยังคงไว้ทุกฟังค์ชั่นการใช้งาน ดังนั้นการเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ไฟฟ้า จะต้องมีการจัดสรรพื้นที่ให้ลงตัวและอำนวยความสะดวกอย่างครบครัน เช่น เลือกใช้โต๊ะติดผนังที่สามารถพับขึ้นลงได้แทนโต๊ะแบบทั่วไปเพื่อประหยัดพื้นที่ โดยสามารถเป็นโต๊ะทำงานหรือทานข้าวในเวลาเดียวกัน นอกจากเครื่องใช้ไฟฟ้าหลักๆ อย่าง แอร์ ตู้เย็น โทรทัศน์ เครื่องทำน้ำร้อน ที่จำเป็นต้องมีแล้ว การลงทุนสำหรับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ อย่างเครื่องเล่นดีวีดี เตาอบไมโครเวฟ ที่เป็นการอำนวยความสะดวกสำหรับการใช้ชีวิตประจำวันแก่ผู้เช่า ก็สามารถทำให้ห้องของคุณมีค่าเพิ่มมากขึ้น และสามารถปล่อยเช่าห้องได้ราคาสูงกว่าเมื่อเทียบกับห้องอื่นๆ ที่ไม่ได้ใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ   4. โทนสีสร้างความประทับใจ การแต่งห้องโดยใช้โทนสีแบบเอิร์ธโทนจะทำให้ห้องมีความเป็นกลางไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชายก็สามารถประทับใจได้ ทำการบ้านด้วยการเลือกโทนสีสำหรับตกแต่งห้องและการจับคู่สีสามารถหา Reference จากแหล่งข้อมูลด้านการตกแต่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือตกแต่งบ้าน หรือ เว็บไซต์ไอเดียต่างๆ เช่น Pinterest เพื่อให้การเลือกเฟอร์นิเจอร์แต่ละชิ้นเข้ากันมากขึ้น การใช้สีสันที่ฉูดฉาด โทนสีร้อน อาจจะเหมาะกับแค่คนบางกลุ่ม แต่การใช้โทนสีแบบเอิร์ธโทนเรียบง่าย เช่น เทา น้ำตาล ครีม ขาว จะทำให้ห้องดูมีความเป็นธรรมชาติ ให้อารมณ์เหมือนอยู่บ้านและช่วยให้ขนาดห้องขนาดเล็กดูกว้างขึ้นอีกด้วย   จากเทคนิคที่กล่าวมาข้างต้น สามารถทำให้ห้องของคุณดูน่าสนใจและสร้างความประทับใจได้โดยไม่ต้องเสียเวลาในการอธิบาย และผู้เช่ามีแนวโน้มที่จะตัดสินใจและวางเงินจองได้ในทันทีเพราะไม่อยากเสียโอกาสในการเป็นเจ้าของ อีกทั้งยังสามารถใช้ชีวิตอยู่ในห้องของคุณได้อย่างสะดวกสบาย บางอย่างอาจจะต้องลงทุนและมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น แต่ถ้าเป็นสิ่งที่สามารถทำให้ผู้เช่าตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ลังเลแล้ว คุณจะเสียเวลาไปอีก 1 เดือน 2 เดือน หรือมากกว่าโดยไม่ได้รับค่าเช่าไปเพื่ออะไร หากมีคนพร้อมจะควักเงินให้คุณแล้วอยู่ตรงหน้า เริ่มแต่งห้องและจบดีลให้เร็ว เท่านั้นคุณก็นอนรอรับเงินได้อย่างสบายใจหายห่วง เป็นยังไงกันบ้างค่ะกับบทความดีๆ ที่เราเอามาฝาก ยังมีบทความน่ารู้อีกมากมายให้ได้ติดตามกันได้ที่นะคะ https://goo.gl/dwpzgr ขอขอบคุณข้อมูลจาก https://www.plus.co.th
ข้อคำนึงถึงความปลอดภัยของที่อยู่อาศัย

ข้อคำนึงถึงความปลอดภัยของที่อยู่อาศัย

เมื่อที่อยู่อาศัยเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิต ดังนั้นการคิดเลือกซื้อคอนโดมิเนียมหรือบ้านสักหลังก็ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งเลยใช่ไหมคะ? ครั้นจะเลือกซื้อเพราะถูกใจในทำเล แนวคิดโครงการ ขนาดพื้นที่ใช้สอย หรือชื่อเสียงจากผลงานที่ผ่านมาของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชื่อดังอย่างเดียวก็คงจะไม่พอ อีกหนึ่งข้อสำคัญที่พวกเราทีมงาน Review Your Living อยากให้คุณผู้อ่านพิจารณาให้ดีในการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยนั่นก็คือ ‘ความปลอดภัย’ ทั้งในด้านของชีวิตและทรัพย์สินค่ะ เพราะถ้าลำดับเหตุการณ์จากข่าวโจรกรรมที่เกิดขึ้นในประเทศจะเห็นได้ว่ามีบ้านในโครงการหรือแม้กระทั่งคอนโดมิเนียมส่วนหนึ่งที่ดูเหมือนปลอดภัยดี แต่ก็ยังไม่วายที่จะโดนยกเค้า! วันนี้เราจึงรวบรวม 3 ข้อมูลโดยเน้นในเรื่องความปลอดภัยของที่อยู่อาศัยมาฝากค่ะ เพื่อให้ทุกคนได้คำนึงและนำไปตรวจสอบก่อนตัดสินใจซื้อพร้อมย้ายเข้าอยู่อย่างสบายใจ บทความโดย Review Your Living 1. ความปลอดภัยในการวางแผนออกแบบโครงการ ข้อนี้ถือว่าเป็นหัวใจหลักของการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยเลยล่ะค่ะ เพราะการออกแบบถนนและจัดวางตำแหน่งอาคารให้มีความเป็นอยู่ปลอดภัย การจัดแบ่งโซนนิ่งหรือการสัญจรในโครงการ รวมไปจนถึงการเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์ที่ดี การจัดระบบรักษาความปลอดภัยและระเบียบการบริหารของหมู่บ้าน/คอนโดฯ  ก็ล้วนแต่มีความสำคัญที่จะทำให้ที่อยู่อาศัยสบายและปลอดภัยมากขึ้น 2. ระบบป้องกันภัยของโครงการ เป็นอีกเรื่องที่ถือว่ามีความสำคัญต่อความสุขและความสบายใจของครอบครัวไม่ใช่น้อยจริงๆ ค่ะ สำหรับระบบป้องกันภัยของโครงการ ฉะนั้นการเลือกระบบป้องกันภัยที่เราสามารถตรวจสอบได้หลักๆ เลยก็คือ ความสูงของรั้วโครงการควรสูงเกิน 3 เมตรขึ้นไป ระบบควบคุมการเข้าออกโครงการควรมีพนักงานรักษาความปลอดภัย ควมคุมการเข้าออกยานพาหนะด้วยระบบอิเล็คโทรนิกส์ เซ็นเตอร์ คอนโทรล แทนการติกสติ๊กเกอร์หน้ากระจก มีระบบประตูทางเข้า 2 ชั้น กล้องวงจรปิด CCTV ที่คอยบันทึกเทปตลอด 24 ชั่วโมง การควบคุมด้วยระบบ Key Card ทั้งการเข้าออกและการใช้ลิฟต์ การออกแบบโครงการให้ดูโปร่งโล่ง ง่ายต่อการมองเห็นหรือตรวจสอบลาดตระเวน เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุจราจร 3. การจัดการและออกกฎระเบียบรักษาความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพสูง อย่างที่ทราบกันดีแหละค่ะว่าทุกๆ โครงการบ้านหรือคอนโดมิเนียมส่วนใหญ่นั้นจะมีนิติบุคคลคอยดูแลทั้งในเรื่องของพื้นที่ส่วนกลางและระบบรักษาความปลอดภัย แต่ถ้าจะให้มั่นใจก็ควรตรวจสอบถึงกฎเกณฑ์ต่างๆ ให้รอบคอบกันสักนิดนะคะ อาทิ บุคคลภายนอกที่จะเข้ามาในโครงการนั้นต้องแลกบัตรทุกครั้ง หรือถ้าเป็นคอนโดฯ ก็ควรมีบริเวณพื้นที่ล็อบบี้รองรับไม่ให้เข้าไปสู่ด้านบนได้ทันที การตรวจสอบช่วงเวลาลาดตระเวนของรปภ. ที่ควรมีทุกชั่วโมง และการจัดยามรักษาการณ์ประจำบริเวณแยกแต่ละโซนนอกเหนือจากจุดผ่านเข้าออกโครงการ เป็นต้น ข้อมูลข้างต้นที่เรานำมาฝากนั้นก็เป็นเพียงตัวช่วยหนึ่งในการคำนึงถึงความปลอดภัยของที่อยู่อาศัย แต่ถ้าคุณผู้อ่านกำลังตัดสินใจจะเลือกซื้อบ้านหรือคอนโดฯ พวกเราทีมงาน Review Your Living แนะนำให้ลองศึกษาถึงข้อดีและข้อเสียของด้านอื่นๆ ด้วยนะคะ จะได้มีที่อยู่อาศัยที่ใช่และตรงใจที่สุดนั่นเอง เป็นยังไงกันบ้างค่ะกับบทความดีๆ ที่เราเอามาฝาก ยังมีบทความน่ารู้อีกมากมายให้ได้ติดตามกันได้ที่นะคะ https://goo.gl/dwpzgr  
เคล็ดลับเก็บออมของมนุษย์เงินเดือน เพื่อเงินก้อนโต!

เคล็ดลับเก็บออมของมนุษย์เงินเดือน เพื่อเงินก้อนโต!

เคยสงสัยกันบ้างไหมคะว่าเงินแต่ละเดือนเราสูญหายไปไหนหมด? ทั้งๆ ที่ประหยัดแล้วแต่ก็ยังไม่มีเหลือเก็บ ยิ่งเป็นมนุษย์เงินเดือนที่มีค่าใช้จ่ายมากมายครั้นจะซื้อของขวัญชิ้นใหญ่ให้ตนเองอย่างยานพาหนะ หรือที่อยู่อาศัย ต่างก็ต้องใช้เงินก้อนจำนวนหนึ่งไปดาวน์เพื่อให้ได้สิ่งนั้นมา แต่จะทำยังไงให้ตนเองมีวินัยและสามารถเก็บเงินก้อนได้อยู่หมัด มาดูวิธีเก็บออมแบบง่ายๆ แต่ได้ผล ที่ทีมงาน Review Your Living รวบรวมมาฝากดีกว่าค่ะ เรียบเรียงโดย Review Your Living 1. ทำบัญชีรายรับรายจ่าย การแยกแยะรายรับรายจ่ายโดยการจดบันทึกหรือใช้แอพพลิเคชั่นในสมาร์ทโฟนนั้นจะช่วยอุดรอยรั่วปัญหาเงินหายไปไหนได้เป็นอย่างดี เพราะบัญชีเหล่านี้จะช่วยสะท้อนการใช้เงินในแต่ละวันของคุณว่าหมดไปกับอะไรบ้าง อีกทั้งยังเป็นตัวชี้วัดจำนวนรายได้ที่เข้ามาด้วย ทำให้สามารถคำนวณการใช้เงินและแบ่งเก็บออมได้อย่างสบายใจ 2. แบ่งแยกสัดส่วนให้ชัดเจน เมื่อมีรายรับเข้ามาให้แบ่งเงินออกเป็นส่วนๆ โดยแยกค่าสาธารณูปโภคจำพวกค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าบัตรเครดิตไว้ส่วนหนึ่ง แล้วจึงแบ่งเก็บออมแบบค่อยเป็นค่อยไปอาจจะ 5% หรือ 10% ของยอดที่เหลือจากการหักไว้ และเหลือเท่าไหร่ค่อยมาหารเฉลี่ยใช้รายวันอีกที 3. กำหนดค่าใช้จ่ายรายวัน หากเกินต้องหยอดกระปุก! อย่างที่กล่าวมาตามรายละเอียดจากข้อข้างต้น เมื่อคำนวณแบ่งค่าใช้จ่ายส่วนต่างๆ อย่างรอบคอบแล้ว อีกวิธีหนึ่งที่ช่วยเพิ่มเงินออมของคุณให้เพิ่มพูนขึ้นอย่างดาย โดยกำหนดค่าใช้จ่ายรายวันเช่น ตั้งใจใช้เงินวันละ 200 บาท แต่ใช้เกินไปเป็น 250 บาท ก็ต้องนำเงินมาหยอดกระปุก 50 บาท เพื่อเป็นกฎเกณฑ์ฝึกวินัยการใช้เงินไปในตัว ทั้งยังมีเงินเก็บเพิ่มขึ้นอีกด้วย 4. ดื่มกาแฟ = ออมเงิน สำหรับคอกาแฟตัวจริงที่ขาดไม่ได้เลยในแต่ละวันและรู้สึกผิดต่อตัวเองทุกครั้งที่เสียสตางค์จ่ายนั้น คงไม่ต้องรู้สึกกังวลใจอีกต่อไปแล้วค่ะ วิธีง่ายๆ ที่จะช่วยให้คุณรู้สึกดีทุกครั้งที่ซื้อกาแฟสักแก้วนั้น ก็เพียงแค่ใช้คติ ‘ซื้อเท่าไหร่ออมเท่านั้น’ เช่น เมื่อคุณซื้อกาแฟราคา 75 บาท คุณก็ต้องออมเงิน 75 บาท ซึ่งอาจจะดูเหมือนเป็นเงินจำนวนไม่มาก แต่เชื่อเถอะค่ะถ้าคุณออมแบบนี้ไปเรื่อยๆ จะมีเงินก้อนเพิ่มขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด   5. เศษอย่าใช้สิจ๊ะ แน่นอนค่ะว่าเงินเดือนหรือใบเสร็จต่างๆ มักไม่ใช่ยอดที่พอดิบพอดีเป๊ะ ดังนั้นอีกหนึ่งวิธีออมเงินที่เราอยากแนะนำก็คือ การเก็บเศษค่ะ ตัวอย่างเช่น มียอดเงินเดือนเข้ามา 24,500 บาท ก็กลั้นใจใช้ไปทุกเดือนเพียง 24,000 บาท ส่วน 500 บาทที่เหลือนั้นก็ถือเป็นการเก็บออมไปในตัวนั่นเอง ยิ่งถ้าคุณมีวินัยและตั้งใจเก็บไปทุกเดือนๆ เงินก้อนก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอนค่ะ   6. แบงค์ 50 ก็ช่วยได้นะ อีกหนึ่งเคล็ดลับที่ฮิตมากในกลุ่มนักศึกษาและพนักงานออฟฟิศนั่นก็การเก็บธนบัตรจำนวน 50 บาทค่ะ เพราะแบงค์ 50 นั้นไม่ใช่ว่าเรามีโอกาสได้รับบ่อยๆ เหมือนแบงค์ 20 และ 100 บาท ฉะนั้นหาก มีโอกาสได้เจอเวลาใช้จ่ายรับเงินทอนก็เก็บไว้เถอะค่ะ สะสมไปเรื่อยๆ เมื่อผ่านไปครบ 1 ปี ลองเอาออกมานับดู คุณอาจจะตกใจกับยอดเงินออมที่สูงลิ่วก็เป็นได้นะคะ เป็นยังไงกันบ้างค่ะกับบทความดีๆ ที่เราเอามาฝาก ยังมีบทความน่ารู้อีกมากมายให้ได้ติดตามกันได้ที่นะคะ https://goo.gl/dwpzgr  
จะกู้บ้านทั้งที ต้องทำประกันด้วยหรือ?

จะกู้บ้านทั้งที ต้องทำประกันด้วยหรือ?

เมื่อความฝันในการมีบ้านหลังแรกหรือคอนโดมิเนียมในปัจจุบันนั้นไม่ใช่เรื่องยากอยู่ไกลเกินเอื้อมสักเท่าไหร่  เพราะเพียงแค่คุณวางเงินจองหรือดาวน์ตามสัญญาข้อกำหนดของโครงการที่ถูกใจ จากนั้นก็ดำเนินตามขั้นตอนคือยื่นกู้ธนาคาร รอผลอนุมัติ เพียงเท่านี้ความฝันของคุณก็เป็นจริงขึ้นมาแล้วแล้วค่ะ แต่การทำเรื่องขอเงินกู้เพื่อซื้อบ้านกับธนาคารนั้นส่วนใหญ่มักจะมีเรื่องของข้อเสนอขายกรมธรรม์พ่วงเข้ามาเกี่ยวข้องให้เราทำด้วย เพื่อได้อัตราดอกเบี้ยในการกู้สินเชื่อที่ถูกกว่าการไม่ทำประกัน บางคนอาจจะสงสัยว่าเราต้องทำด้วยไหม? ทำไปแล้วได้อะไร? วันนี้ทีมงาน Review Your Living จึงได้รวบรวมข้อมูลคลายข้อสงสัยมาฝากค่ะ เรียบเรียงโดย Review Your Living   สำหรับประกันสินเชื่อบ้านนั้นมีอยู่ 3 ประเภท คือ   1. ประกันคุ้มครองหลักทรัพย์ เป็นประกันชีวิตที่คุ้มครองวงเงินสินเชื่อบ้านที่เราได้รับอนุมัติจากธนาคารนั่นเองค่ะ ซึ่งจะมีระยะเวลาคุ้มครองให้คุณเลือกตั้งแต่ 5 – 30 ปี อัตราค่าเบี้ยประกันนั้นก็ขึ้นอยู่กับวงเงินสินเชื่อที่ได้รับอนุมัติ ส่วนวิธีการชำระค่าดอกเบี้ยก็มักจะรวมอยู่ในวงเงินสินเชื่อแล้วค่ะ สังเกตได้ว่าทุกๆ ธนาคารมักจะใช้อัตราดอกเบี้ยมาเป็นสิ่งจูงใจเพื่อให้ผู้บริโภคเลือกโปรแกรมสินเชื่อที่มีประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อบ้านด้วย โดยทางเลือกนี้อัตราดอกเบี้ยจะถูกกว่าสินเชื่อธรรมดาประมาณ 0.5% ค่ะ   ทั้งนี้ประโยชน์ของประกันชนิดนี้ก็น่าสนใจไม่ใช่น้อยนะคะ ยกตัวอย่างเช่น กรณีที่คุณกำลังผ่อนบ้านอยู่กับธนาคารและเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดเสียชีวิตหรือทุพลภาพถาวรตามระยะเวลาที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ บริษัทจะเป็นผู้จ่ายเงินกู้ที่เหลืออยู่ทั้งหมดกับธนาคารให้ หากคำนวณแล้วทุนประกันสูงกว่าจำนวนหนี้ที่เหลืออยู่นั้นครอบครัวก็มีสิทธิ์ได้ส่วนต่างคืน รวมถึงไม่ต้องกังวลว่าจะถูกยึดบ้านอีกด้วย และสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้นะคะ   2. ประกันอัคคีภัย เป็นประกันคุ้มครองบ้านระยะเวลาสั้นๆ แต่ต้องทำเป็นประจำทุกปีหรือ 2-3 ปีตามข้อตกลง กรณีที่เกิดอัคคีภัยซึ่งจะคุ้มครองเฉพาะตัวบ้านไม่รวมที่ดินนะคะ  หากเกิดอัคคีภัยขึ้นบ้านที่ไม่มีภาระหนี้ผลประโยชน์ก็จะเป็นของเจ้าของบ้านโดยตรง แต่ถ้าตัวบ้านติดจำนองกับธนาคาร ผู้รับประโยชน์คือธนาคารซึ่งจะหักไปกับหนี้ที่เหลืออยู่ ทำให้เจ้าของบ้านมีหนี้น้อยลงหรือหมดไปแล้วแต่กรณีข้อตกลง โดยประกันชนิดนี้จะคลอบคลุมความเสียหายของบ้านจาหเหตุการณ์อาทิ ไฟไหม้ ฟ้าผ้า แก๊สจากการทำแสงสว่าง แต่ไม่รวมการระเบิดดนื่องจากแผ่นดินไหว เป็นต้น   pinterest 3. ประกันภัยพิบัติ ประกันที่คุ้มครองบ้านจากภัยธรรมชาติต่างๆ อาทิ น้ำท่วม แผ่นดินไหว พายุเข้า เป็นต้น ซึ่งจะมีเงื่อนไขตามข้อกำหนดของแต่ละธนาคารและเสียเบี้ยประกัน 0.5% ของราคาบ้านต่อปี โดยที่รัฐบาลไม่ได้บังคับ จะทำหรือไม่ทำก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคุณเองค่ะ แต่ประกันชนิดนี้จะไม่คลอบคลุมบ้านในพื้นที่ที่ถูกกำหนดว่าเป็นพื้นที่รองรับน้ำ กักเก็บน้ำ ทางผ่านน้ำนะคะ ดังนั้นถ้าจะซื้อบ้านอยู่ตรงไหนก็ควรศึกษาพื้นที่ให้ดีก่อนแล้วกันนะจ๊ะ     "สรุป" การทำประกันทุกๆ ชนิดที่มาพร้อมกับวงเงินกู้ซื้อบ้านนั้น ส่วนใหญ่ต่างก็มีข้อเสนอที่น่าสนใจไม่ใช่น้อยเลยใช่ไหมล่ะคะ? เพราะฉะนั้นถ้าใครกำลังจะตกลงปลงใจซื้อบ้านและยื่นกู้ธนาคาร ทีมงาน Review Your Living ก็อยากให้คุณศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนตัดสินใจ ข้อแนะนำง่ายๆ คือลองปรึกษาเจ้าหน้าที่สินเชื่อขอคำอธิบายเงื่อนไขต่างๆ ให้เข้าใจทุกรายละเอียดอย่างถี่ถ้วนก่อน เพื่อลดความเสี่ยงและความสบายใจของครอบครัวคุณเอง       ขอขอบคุณภาพจาก www.toonpool.com/cartoons/Fire_7295            
4 เคล็ดลับ ควรเลือกธนาคารยังไงในการกู้ซื้อบ้าน

4 เคล็ดลับ ควรเลือกธนาคารยังไงในการกู้ซื้อบ้าน

เมื่อตัดสินใจที่จะมีบ้านใหม่อาจเป็นเพราะเริ่มมีครอบครัวใหม่ ข้าวใหม่ปลามัน หรือต้องการเปลี่ยนบ้านใหม่ เพราะบ้านเราเล็กไปบ้างเก่าไปบ้างหรือเป็นเพราะย้ายที่อยู่ใหม่ก็ต้องการบ้านใหม่หรือมีบ้านอยู่แล้วต้องการขยายปรับปรุงบ้านใหม่เหล่านี้แน่นอนว่าผู้ซื้อหรือผู้สร้างบ้านย่อมศึกษาทำเล ประเภทบ้าน ราคา สิ่งแวดล้อมที่ต้องการให้เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ตัวเอง สิ่งที่ต้องเตรียมตัวคือเตรียมเงินได้ออมไว้ส่วนหนึ่งสำหรับเป็นเงินมัดจำ เงินดาวน์ เงินส่วนเพิ่มสำหรับการสร้างบ้านที่ไม่ให้ “บาน” มิฉะนั้นก็ต้อง “บ้า” ไปเลย ส่วนที่เหลือซึ่งเป็นส่วนใหญ่ก็ต้องไปขอกู้กับสถาบันการเงินต่างๆ   จะกู้ที่ใหนดี สถาบันการเงินที่ให้กู้มีหลากหลาย ส่วนใหญ่จะเป็นธนาคารพาณิชย์ซึ่งมีหลายแห่ง ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารออมสิน นอกจากนั้นยังมีสหกรณ์ออมทรัพย์ บริษัทประกันชีวิต บริษัทอสังหาริมทรัพย์ การเคหะแห่งชาติ หรือบริษัทนายจ้างของตนเอง เป็นต้น แต่การที่เลือกสถาบันการเงินที่ให้กู้เพื่อซื้อบ้านก็ควรต้องศึกษาปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เหมาะกับความต้องการของผู้กู้ แต่ที่ไม่แนะนำก็คือกู้กับอาบังหรือใช้บัตรเครดิตรูดปรี๊ด เพราะดอกเบี้ยก็จะให้ก้นบานเป็นแน่   เงื่อนไขสินเชื่อที่เหมาะกับตัวเอง ในการเลือกสถาบันการเงินสำหรับเงินกู้สินเชื่อบ้านประเด็นที่สำคัญคือสถาบันแห่งนั้นเป็นสถาบันที่ให้กู้เป็นอาชีพหรือไม่ หรือเป็นเพียงเฉพาะกิจ เพราะการกู้ซื้อบ้านต้องใช้เวลาในการผ่อนชำระที่ยาวนาน 25-30 ปี และในการผ่อนชำระนั้นไม่ควรมีการสะดุดใดๆ หรือถูกเรียกคืนเงิน ระหว่างผ่อนชำระสถาบันการเงินที่ให้บริการเป็นอาชีพจะให้เงินกู้ผ่อนชำระคืนระยะยาว   ดอกเบี้ยต่ำดูอย่างไร ถ้าต้องการดอกเบี้ยต่ำและไม่ต้องการให้มีภาระกับการผ่อนมาก ก็ควรจะเลือกอัตราดอกเบี้ยคงที่กับสถาบันที่ให้กู้อัตราดอกเบี้ยคงที่นานๆ เช่น 5 ปี เพราะในระหว่างนั้นจะไม่มีการปรับอัตราผ่อนและหลังจากนั้นอัตราดอกเบี้ยที่คิดเป็นเท่าไร ส่วนใหญ่จะอิงกับ MLR ลูกค้ารายย่อยชั้นดี ซึ่งอย่างหลังจะมีอัตราสูงกว่าเล็กน้อย การอิงกับอัตราดังกล่าวจะต้องดูว่าบวกหรือลบเท่าไรจากอัตราอ้างอิง ถ้าคำนวณแล้วสูงกว่าอีกสถาบันหนึ่งก็เป็นข้อพิจารณาเลือกใช้บริการ   กู้ได้มากน้อยดูตรงใหน การคำนวณวงเงินให้กู้ สถาบันการเงินจะมีการประเมินราคาบ้านโดยบริษัทประเมินราคาซึ่งส่วนใหญ่ธนาคารพาณิชย์จะมีบริษัทในเครือเป็นผู้ประเมิน ซึ่งการประเมินราคาหลักประกันถ้าเป็นโครงการที่ส้รางโดยบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำจำอิงกับราคาซื้อขายบ้านเป็นหลัก ดังนั้นวงเงินให้กู้ตามเกณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย ถ้าเป็นบ้านแนวราบคือบ้านเดี่ยวหรือทาวน์เฮ้าส์สูงสุดไม่เกิน 95% ของราคาประเมิน และเป็นบ้านแนวดิ่งหมายถึงคอนโดฯ สูงสุดไม่เกิน 90% ของราคาประเมิน ฉะนั้นถ้าผู้กู้มีเงินออมมากหน่อยก็ไม่ต้องกังวลเรื่องวงเงินกู้มากเท่ากับผู้มีเงินออมจำกัดที่จำต้องเลือกสถาบันที่ให้วงเงินกูมากกว่า   ขอขอบคุณข้อมูลจาก www.home.co.th
7 จุดต้องตรวจเช็ค เตรียมบ้านต้อนรับหน้าฝน

7 จุดต้องตรวจเช็ค เตรียมบ้านต้อนรับหน้าฝน

นับเป็นความโชคดีที่ปีนี้อากาศไม่ร้อนมากนัก แต่ในขณะเดียวกันหลาย ๆ พื้นที่ ฝนตกชุกยิ่งกว่าฤดูฝน ฝนที่มาเร็วกว่าทุก ๆ ปีแถมยังตกกระหน่ำยาวนานหลายเดือน บ้านที่ต้องเจอกับความชื้นทุก ๆ วัน อาจก่อให้เกิดเชื้อรา เกิดรอยดำไม่สวยงาม ยิ่งบ้านไหนมีรอยร้าว หลังคารั่วซึม ท่อน้ำตัน ยิ่งเสี่ยงต่อการเกิดความเสียหาย หากแก้ไขช้าไปย่อมส่งผลกระทบบานปลายขึ้นเรื่อย ๆ เราจึงรวบรวมสิ่งที่ควรตรวจเช็คและวิธีการเตรียมบ้านให้พร้อม เพื่อรับมือกับหน้าฝนได้อย่างมีประสิทธิภาพมาฝากกัน หน้าฝนนี้จะได้นั่งชิล ๆ ริมหน้าต่าง ฟังเสียงฝนตกกระทบอย่างสบายใจ   1. ตรวจเช็ครอยรั่ว 3 จุดใหญ่ หลังคา ฝ้าเพดาน และผนัง เป็น 3 จุดสำคัญหลัก ๆ ที่เมื่อเกิดการร้าว รั่ว ซึม จะเกิดปัญหากับบ้านอย่างแน่นอน บางจุดใหญ่ ๆ ก็เห็นได้ชัดเจน แต่บางจุดเล็ก ๆ ที่ถูกละเลยอาจลุกลามเป็นปัญหาใหญ่ได้ จึงต้องหมั่นสังเกตว่ามีสัญญาณอันตรายหรือไม่ เช่น ฝ้าเพดานมีคราบรอยน้ำหยดซึมเป็นดวงสีน้ำตาล, ผนังตรงไหนมีรอยแตกร้าว เกิดรูรั่วตามรอยต่อไหม เป็นต้น หากพบจุดที่เสียหายไม่มากก็อาจจะซ่อมแซมด้วยตัวเองด้วยวัสดุอุดรูรั่ว กันซึมประเภทอะคลิริค ซีเมนต์ หรือซิลิโคน แล้วแต่ชนิดของปัญหา หรือให้ช่างผู้เชี่ยวชาญเข้ามาช่วย ที่สำคัญ อย่าลืมตรวจดูน้ำรั่วซึมตามขอบวงกบประตูหน้าต่าง ผนังภายนอกอาคาร และพื้นดาดฟ้าด้วยนะครับ   2. ดูแลทำความสะอาดรางน้ำฝน รางระบายน้ำ ทางระบายน้ำไม่ว่าจะเป็นรางน้ำฝนหรือท่อระบายน้ำทิ้งออกจากตัวบ้าน ตรวจเช็คทำความสะอาดเพื่อไม่ให้มีสิ่งอุดตันมาขวางทางไหลของน้ำ เมื่อน้ำฝนไหลลงมาจากหลังคาสู่รางน้ำลงท่อระบายน้ำก็จะไหลออกจากตัวบ้านได้อย่างรวดเร็ว ป้องกันปัญหาน้ำไหลย้อนเข้าไปรั่วซึมภายในบ้านหรือท่วมขังรอบตัวบ้าน ซึ่งจะทำให้โครงสร้างส่วนนอกเปียกชื้น โดยเฉพาะส่วนฐานรากของตัวบ้านที่จะดูดซับความชื้นจากใต้ดิน อาจทำให้ตัวบ้านเสียหายได้   3. ขัดพื้นบริเวณระเบียง ชาน ทางเดิน หลังฝนตกชุกติดต่อกันหลายวัน เรามักจะพบคราบตะไคร่สีเขียวเกาะติดอยู่บนพื้นภายนอก หรือดินโคลนลื่น ๆ บริเวณระเบียงกลางแจ้ง ทางเดินในสวน ทางเดินรอบตัวบ้าน หมั่นตรวจเช็คดูว่ามีตะไคร่น้ำหรือเชื้อราอยู่บริเวณพื้นหรือไม่ ถ้ามีให้ทำความสะอาดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อราและกำจัดตะไคร่น้ำสูตรน้ำ นำแปรงมาขัดล้างออก เพื่อป้องกันอุบัติเหตุจากการลื่นล้ม   4. ตัดแต่งกิ่งต้นไม้ใหญ่ใกล้ ๆ บ้าน แม้ต้นไม้จะให้ร่มเงาที่เย็นสบายในช่วงฤดูร้อน แต่อาจส่งผลอันตรายได้ในฤดูฝน ด้วยพายุลมกรรโชกแรงมักส่งผลให้กิ่งไม้แตกหักล้มทับตัวบ้าน ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายได้ เมื่อเข้าสู่หน้าฝนควรตัดแต่งกิ่งไม้ให้ดูโปร่ง ไม่ให้มีพุ่มใหญ่หนาจนเกินไป นอกจากนี้ควรต้องดูแลสวนไม่ให้มีน้ำขัง หญ้าไม่รก เพราะอาจเป็นที่ซ่อนตัวของสัตว์มีพิษและที่อยู่ของยุงลายได้   5. เช็คปลั๊กไฟ โคมไฟ กลางแจ้ง จุดนี้สำคัญมาก บ้านบางหลังที่มีความจำเป็นต้องต่อสายไฟ ปลั๊กไฟนอกบ้าน จึงควรยกปลั๊กให้สูงจากพื้นบ้านและระดับที่น้ำท่วมถึง ตรวจเช็คระบบไฟฟ้าและบริเวณปลั๊กไฟที่อยู่ในจุดเสี่ยงว่ามีการรั่วของไฟหรือไม่  และทำฝาปิดครอบให้แน่นหนาเพื่อป้องกันละอองน้ำฝน หรือเปลี่ยนไปใช้ปลั๊กแบบที่มีฝาเปิด-ปิด   6. ซ่อมแซมอุปกรณ์ฟิตติ้งในบ้าน หน้าฝนประตูหน้าต่างที่ทำจากไม้จะขยายตัวทำให้ประตูฝืด ๆ และความชื้นจะทำให้อุปกรณ์ฟิตติ้งประเภทต่าง ๆ  เป็นสนิมจนทำให้ฝืดและเกิดเสียงดังจนน่ารำคาญได้ รูกุญแจ ลูกบิดก็ใช้งานได้ยากขึ้น วิธีแก้ไขคือใช้ผ้าแห้ง เช็ดอุปกรณ์และวัสดุที่จะซ่อมแซม จากนั้นใช้น้ำมันจักร น้ำมันหล่อลื่นสารพัดประโยชน์มาชโลม ฉีด พ่น ตามจุดรอยต่อ บานพับประตู หน้าต่าง แต่ทั้งนี้ต้องแน่ใจว่าจุดดังกล่าวแห้งแล้วจริง ๆ ค่อยใส่น้ำมัน และไม่ควรใช้จารบีอัดเข้าไปเพราะอาจจะทําให้นํ้าที่ยังขังอยู่ภายในไม่สามารถระเหยออกได้   7. เตรียมพร้อมสำหรับจุดอื่น ๆ ในบ้านและสวน เช่น ทาสีย้อมไม้กันน้ำเคลือบเนื้อไม้ที่อยู่กลางแจ้ง เพื่อป้องกันน้ำฝนซึมเข้าไปในเนื้อไม้ ไม้บริเวณนั้นอาจเสียหายจนอาจจะต้องเปลี่ยนใหม่ กำจัดรังมดและแมลงที่ชอบหนีน้ำเข้ามาอยู่ในบ้าน ยกต้นไม้ที่ไม่ชอบน้ำมากเข้ามาอยู่ในเขตที่ไม่โดนน้ำฝนมากเกินไป เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับขั้นตอนง่าย ๆ ในการเตรียมตัวรับมือกับหน้าฝนนี้ หวังว่าจะเป็นแนวทางในการจัดการบ้านให้ไร้ปัญหากวนใจกันนะครับ สำหรับผู้อ่านท่านไหนที่กำลังมองหาตัวช่วย อุปกรณ์ซ่อมแซมรอยร้าว รั่ว ซึม บริเวณเสา ผนัง ดาดฟ้า หลังคา และดูแลอุปกรณ์ฟิตติ้งให้ใช้งานได้ดี   ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.banidea.com/thai-watsadu/
วิธีทำความสะอาดกระจกห้องน้ำ

วิธีทำความสะอาดกระจกห้องน้ำ

หากกระจกห้องน้ำไม่ใสสะอาดพอ คุณจะเเน่ใจได้อย่างไรว่าคุณดูดีแล้ว? ไม่ว่าจะเป็นการเช็คลิปสติกที่ติดฟันหรือเช็คผมที่กระเซอะกระเซิงจากการตื่นนอน กระจกห้องน้ำสามารถช่วยให้คุณดูดีได้ ดังนั้นเราจึงควรให้ความสำคัญกับกระจกและทำความสะอาดให้ใสสะอาดอยู่ตลอดเวลา คุณรู้วิธีทำความสะอาดกระจกห้องน้ำหรือไม่? จริงๆ แล้วการทำความสะอาดกระจกห้องน้ำไม่ได้ยากอย่างที่หลายคนคิดไว้ เพราะอาจมีอะไรต่อมิอะไรสาดใส่ทำให้ดูสกปรกอยู่ตลอดเวลา ลองคิดดูสิว่ากระจกห้องน้ำต้องเจอกับอะไรบ้าง? ไม่ว่าจะเป็นแชมพูที่กระเด็นใส่ คราบเครื่องสำอาง และคราบน้ำหลังจากการอาบน้ำ แต่การทำความสะอาดกระจกห้องน้ำไม่ใช่เรื่องยากเลย หากคุณทราบถึงเทคนิคการทำความสะอาดที่ถูกต้อง 5 ขั้นตอนการทำความสะอาดกระจกห้องน้ำ วิธีทางด้านล่างนี้เป็นวิธีการทำความสะอาดกระจกห้องน้ำให้ดูสะอาดเงางามเป็นประกาย เริ่มจากการใช้ฟองน้ำจุ่มลงในน้ำอุ่นและเช็ดบนกระจกเบาๆ การใช้น้ำเพียงอย่างเดียวจะไม่สามารถทำความสะอาดกระจกได้ดี เพราะน้ำจะทิ้งคราบเอาไว้เมื่อแห้งแล้ว ทำให้กระจกแลดูไม่สะอาด อย่างไรก็ตาม การเช็ดสิ่งสกปรกให้ออกก่อนการเช็ดกระจกจะช่วยให้การทำความสะอาดมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สิ่งสกปรกประเภทฝุ่นละอองสามารถทำให้กระจกเกิดรอยขีดข่วนได้ ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องเช็ดฝุ่นละอองออกจากกระจกให้ได้มากที่สุด การใช้กรดเป็นการทำความสะอาดกระจกอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด เช่น น้ำส้มสายชูที่มีส่วนประกอบเป็นกรด ผสมน้ำส้มสายชูหนึ่งส่วนกับน้ำสองส่วนเข้าด้วยกัน เทใส่ขวดสเปรย์และฉีดให้ทั่วกระจก จากนั้นให้เช็ดด้วยฟองน้ำตามอีกรอบ   หรือหากคุณไม่มีขวดสเปรย์ คุณสามารถจุ่มฟองน้ำลงในส่วนผสม บีบให้พอหมาดแล้วนำมาเช็ดกระจกได้เลย การใช้น้ำส้มสายชูยังเป็นอีกทางเลือกที่ปลอดภัย เพราะเป็นสะสารที่มีส่วนผสมของแอมโมเนียซึ่งปลอดภัยต่อเด็กและสัตว์เลี้ยงที่บ้าน อย่าลืมทดลองใช้ส่วนผสมของน้ำส้มสายชูเพียงเล็กน้อยบนกระจกก่อน เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่ทำให้กระจกเสียหาย คุณทราบหรือไม่ว่า น้ำส้มสายชูยังเป็นวิธีขจดคราบน้ำบนกระจกได้? น้ำส้มสายชูนี่แหละสามารถทำหน้าที่เป็นน้ำยาขจัดคราบน้ำบนกระจกได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ น้ำส้มสายชูยังสามารถใช้ทำความสะอาดกระเบื้อง อ่างล้างมือ และอ่างอาบน้ำได้อีกด้วย!   คราบน้ำที่แห้งมักเป็นปัญหาที่ก่อให้เกิดคราบบนกระจก วิธีการกำจัดคราบน้ำคือ ใช้น้ำส้มสายชูฉีดลงบนกระจก จากนั้นให้ใช้ไม้ปาดน้ำปาดคราบออกโดยเริ่มจากบนลงล่าง และจากด้านข้างหนึ่งไปอีกข้างหนึ่ง การใช้ผ้านุ่มๆ เช็ด แต่ผ้าจะทิ้งขุยไว้บนกระจก การใช้ไม้ยางรีดน้ำอาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า   ขั้นตอนสุดท้ายคือการขัดกระจกด้วยผ้าไมโครไฟเบอร์ที่จะช่วยให้กระจกเงาและใสขึ้น ผ้าไฟเบอร์จะไม่ทิ้งขุยผ้าไว้บนกระจก เพียงเท่านี้คุณก็จะได้กระจกที่ใสสะอาด ไร้คราบน้ำและคราบสกปรกอื่นๆ ตอนนี้คุณก็ทราบวิธีขจัดคราบต่างๆ บนกระจกและวิธีทำความสะอาดกระจกให้สะอาดเงางามเป็นประกายแล้ว ที่นี้ไม่ว่าคุณจะต้องการเช็คการแต่งหน้าแล้วทรงผมปัญหาในการมองเห็นอีกต่อไปก็จะไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป เคล็ดลับ เมื่อทำความสะอาดกระจกห้องน้ำ คุณควรหลีกเลี่ยงการใช้ผ้าเช็ดทำความสะอาด ผ้าจะทิ้งขุยผ้าเล็กๆ ไว้บนกระจก เราขอแนะนำให้ใช้ฟองน้ำเช็ดกระจกหรือไม้ปาดน้ำแทน คุณสามารถใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์ที่ไม่ทิ้งขุยเช็ดในขั้นตอนสุดท้ายเพื่อขัดให้กระจกเงาใส ขั้นตอนสำคัญ อย่าลืมทำความสะอาดกระจกห้องน้ำเป็นประจำ การทำความสะอาดกระจกห้องน้ำเป็นประจำ จะช่วยป้องกันการเกิดคราบที่ฝังแน่น และช่วยให้การทำความสะอาดกระจกง่ายและรวดเร็วขึ้น   ขอขอบคุณข้อมูลจาก  www.cleanipedia.com
พื้นที่บันได ทำอะไรเพิ่มเติมได้

พื้นที่บันได ทำอะไรเพิ่มเติมได้

ปัจจุบันบ้านในเมืองมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ จากราคาที่ดินและค่าก่อสร้างที่สูงขึ้น การใช้พื้นที่ต่างๆ ภายในบ้านจึงต้องทำให้เกิดประโยชน์สูงสุด พื้นที่บริเวณบันไดทั้งใต้บันไดและเหนือบันไดชั้นบนสุดมักจะเป็นพื้นที่ที่ถูกมองข้าม และถูกทิ้งให้เปล่าประโยชน์อยู่เสมอ พื้นที่ดังกล่าวถ้าวัดขนาดจากแปลนจะมีพื้นที่ประมาณ 2-3 ตารางเมตร หากเป็นคอนโดแบบ Duplex ที่มีชั้นลอย ขนาดของพื้นที่ใต้บันไดดังกล่าวคิดเป็นเงินกว่า 2-3 แสนบาทเลยทีเดียว ดังนั้นด้วยการออกแบบที่ดีจะช่วยให้พื้นที่ว่างบริเวณบันไดถูกใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ บันไดแบ่งออกเป็นสองประเภทใหญ่ๆ คือ บันไดทึบ และบันไดโปร่ง บันไดทั้งสองประเภทมีผลต่อการออกแบบพื้นที่ใช้สอยใต้บันได บันไดทึบคือบันไดที่มีทั้งลูกตั้งและลูกนอนบันได ไม่สามารถมองทะลุลงไปได้ ส่วนท้องของบันไดทึบมีทั้งแบบ ท้องเรียบ และท้องหยักตามลูกตั้งลูกนอน หรือที่เรียกว่าแบบพับผ้า และแบบมีคานแม่บันได บันไดทึบเหมาะแก่การใช้ประโยชน์พื้นที่ใต้บันได แต่ต้องระวังเรื่องท้องของบันได เช่น บันไดแบบพับผ้าจะมีหยักมุมแหลม อาจจะไม่เหมาะเป็นพื้นที่ให้คนเข้าไปใช้งาน ภาพ: ตัวอย่างบันไดทึบ ท้องบันไดเรียบ ส่วนบันไดโปร่งเป็นบันไดที่มีแต่ลูกนอนบันไดอย่างเดียว สามารถมองทะลุลงไปได้ ส่วนท้องของบันไดโปร่งแบ่งเป็นแบบแม่บันไดด้านข้าง และแบบแม่บันไดข้างใต้ที่รองรับลูกนอน บันไดโปร่งเหมาะแก่การเป็นบันไดโชว์ให้สวยงาม ไม่เหมาะแก่การกั้นห้อง หรือใช้งานข้างใต้ อาจทำได้เพียงชั้นวางของเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ภาพ: ตัวอย่างบันไดโปร่งที่มีแม่บันไดอยู่ด้านข้าง พื้นที่ใต้บันได สามารถออกแบบให้ใช้ประโยชน์ได้ 3 รูปแบบ คือ ใช้เก็บของ ใช้เป็นส่วนใช้งานต่างๆ และใช้เป็นส่วนเซอร์วิสของบ้าน การใช้พื้นที่ใต้บันไดไว้เก็บของ เป็นรูปแบบที่เห็นได้บ่อย เนื่องจากง่ายต่อการทำ และมีพื้นที่มากเพียงพอ รูปแบบของการเก็บของใต้บันไดมีทั้ง การทำเป็นห้องเก็บของที่มีผนังปิดทึบและประตู การทำเป็นชั้นวางของหรือเป็นตู้ Built-in ให้เข้ากับพื้นที่ใต้บันไดโดยจะมีบานเปิดปิดหรือไม่มีก็ได้ และยังมีรูปแบบที่เป็นตู้รางเลื่อนที่สามารถดึงชั้นวางของออกมาได้ซึ่งจะเพิ่มพื้นที่เก็บของให้มากขึ้น ของที่เก็บใต้บันไดมักจะเป็น รองเท้า เสื้อผ้า หนังสือ หรือของจิปาถะอื่นๆ ภาพ: ตัวอย่างการใช้พื้นที่ใต้บันไดโดย Built-in เป็นชั้นเก็บของ ภาพ: ตัวอย่างการใช้พื้นที่ใต้บันไดโดย Built-In เป็นชั้นเก็บของแบบตู้รางเลื่อน (สไลด์) การใช้พื้นที่ใต้บันไดเป็นส่วนใช้งานต่างๆ มักจะใช้กับบ้านที่มีพื้นที่น้อยมาก เช่น คอนโดแบบ Duplex บางครั้งพื้นที่ใต้บันไดสามารถใช้สำหรับวางโต๊ะและทีวีสำหรับส่วนนั่งเล่น หรือใช้สำหรับวางโต๊ะคอมพิวเตอร์เป็นส่วนทำงานได้ นอกจากนี้ ยังอาจจะออกแบบเป็นเฟอร์นิเจอร์บิ้วอินที่เป็นหลุมเข้าไปสามารถใช้เป็นที่นั่งหรือที่นอนเล่นใต้บันได้ได้อีกด้วย ภาพ: ตัวอย่างการใช้พื้นที่ใต้บันไดเป็นที่ทำงาน ภาพ: ตัวอย่างการใช้พื้นที่ใต้บันไดเป็นที่นั่งเล่น การใช้พื้นที่ใต้บันไดเป็นส่วนเซอร์วิสของบ้าน พบได้บ่อยในบ้านที่เป็นตึกแถวหรือทาวน์เฮ้าส์ ส่วนมากมักจะใช้ทำเป็นห้องน้ำ โดยวางโถส้วมในบริเวณที่ท้องบันไดเอียงลงเนื่องจากเวลาใช้งานจะเป็นการนั่งจึงไม่ต้องใช้พื้นที่สูงมากนัก นอกจากห้องน้ำแล้วพื้นที่ใต้บันไดยังสามารถทำเป็นส่วนซักล้าง โดยตั้งเครื่องซักผ้า และเครื่องอบผ้า หรือจะทำเป็นเคาน์เตอร์ครัว หรือ Pantry เล็กๆ ก็ได้ ทั้งนี้การใช้พื้นที่ใต้บันไดเป็นส่วนเซอร์วิสจะต้องคำนึงถึงท่อน้ำประปาและท่อน้ำทิ้งด้วยว่าจะเดินท่ออย่างไร ภาพ: ตัวอย่างการใช้พื้นที่ใต้บันไดเป็นห้องน้ำ ภาพ: ตัวอย่างการใช้พื้นที่ใต้บันไดเป็นส่วนเตรียมอาหาร ในส่วนของพื้นที่เหนือบันไดชั้นบนสุด มักจะเป็นโถงสูงจากชานพักบันไดช่วงสุดท้ายจนถึงหลังคา ซึ่งเราสามารถต่อเติมเป็นชั้นลอยเล็กๆ ได้ โดยทำเป็นพื้นโครงสร้างเหล็ก และปูวัสดุแผ่นที่มีน้ำหนักไม่มาก เช่น ไม้ หรือไฟเบอร์ซีเมนต์ พื้นที่ดังกล่าวสามารถใช้ทำเป็นหิ้งพระ ที่เก็บของ ส่วนทำงาน หรือนั่งเล่นก็ได้ (ควรปรึกษาวิศวกรถึงรูปแบบโครงสร้างที่เหมาะสม) บทความโดย SCG Experience คู่คิดก่อนสร้างบ้าน ช่วยให้คุณสร้างบ้านได้อย่างมั่นใจ พร้อมให้คำปรึกษาตลอดการสร้างบ้าน โดยผู้เชี่ยวชาญจาก SCG เพียงนำแบบบ้านมายื่นรับคำปรึกษา พร้อมรับสิทธิพิเศษต่างๆ ได้ที่ SCGคู่คิดก่อนสร้างบ้าน​ 
เรื่องของเครื่องปรับอากาศ ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน

เรื่องของเครื่องปรับอากาศ ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน

รวมเรื่องจริงที่เกี่ยวกับเครื่องปรับอากาศหรือแอร์เพื่อให้เราได้รู้จักและรู้ถึงที่มามากขึ้น แอบบอกหน่อยดีกว่าว่า ถ้ายิ่งรู้จักคุณก็จะรักแอร์ของคุณมากขึ้น นับวันอากาศก็ยิ่งร้อนขึ้นเรื่อย ๆ จนไม่รู้ว่าจะหันหน้าไปพึ่งสิ่งศักสิทธิ์ที่ไหนแล้ว ก็เห็นจะมีแต่เครื่องปรับอากาศนี่แหละที่ช่วยเราได้ ในเมื่อเครื่องปรับอากาศก้าวเข้ามาบทบาทสำคัญกับชีวิตของเราอย่างมาก วันนี้เราเลยจะพาทุกคนไปทำความรู้จักเจ้าเครื่องปรับอากาศหรือที่เรียกติดปากว่าแอร์ ผ่าน 11 เรื่องจริงของเครื่องทำความเย็นเหล่านี้กันครับ แล้วจะมีอะไรบ้างนั้นต้องไปดู 1. ผู้ประดิษฐ์คิดค้นเครื่องปรับอากาศ วิลลิส แคร์เรียร์ วิศวกรโรงพิมพ์ในสหรัฐอเมริกา เป็นคนแรกที่ประดิษฐ์คิดค้นเครื่องปรับอากาศเครื่องแรกของโลก เมื่อปี ค.ศ. 1902 โดยแคร์เรียร์มองหาวิธีในการควบคุมความชื้นในอาคาร เพื่อป้องกันไม่ให้หมึกแห้งเร็ว จึงเกิดเป็นนวัตกรรมใหม่ที่เขาเรียกว่า "Apparatus for Treating Air" หรือเครื่องปรับอากาศ กระทั่งได้รับการจดสิทธิบัตรในปี ค.ศ. 1906   2. กลายมาเป็นเครื่องปรับอากาศปี 1950 แม้จะได้รับการจดสิทธิบัตรในปี ค.ศ. 1906 แต่เครื่องปรับอากาศก็เพิ่งจะมาเป็นรูปเป็นร่าง มีขนาดและระบบที่เล็กอย่างทุกวันนี้ เมื่อปี  ค.ศ. 1950 และออกขายสู่ท้องตลาดมากกว่า 1 ล้านเครื่อง ซึ่งปรากฎว่าขายหมดเกลี้ยง   3. ควรตรวจเช็กเครื่องปรับอากาศประจำปี หากที่บ้านไหนมีเครื่องปรับอากาศชควรจะเรียกช่างเข้ามาตรวจเช็กระบบเป็นประจำทุก ๆ ปี เพื่อให้มั่นใจว่าเครื่องปรับอากาศที่บ้านยังใช้งานได้ตามปกติและป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาจนต้องตามแก้ไขทีหลัง   4. เครื่องปรับอากาศทำงานด้วยการลดความชื้น เครื่องปรับอากาศทำงานด้วยการนำพาความชื้นหรือลดความชื้นออกจากอากาศในบริเวณนั้น ถึงแม้หลักการทำงานจะไม่มีประสิทธิภาพเทียบเท่าเครื่องปรับความชื้น แต่เครื่องปรับอากาศก็ช่วยป้องกันการเกิดเชื้อราและฝุ่นสกปรกได้   5. เครื่องปรับอากาศช่วยกำจัดสารก่อภูมิแพ้ได้ นอกจากเครื่องปรับอากาศจะทำให้บ้านเย็นแล้ว ระบบการทำงานภายในยังมีคุณสมบัติช่วยกำจัดสารก่อภูมิแพ้และเศษฝุ่นที่มากับอากาศได้อีกด้วย ถ้าหากอาการภูมิแพ้ของคุณกำเริบในช่วงที่อากาศกำลังร้อนขึ้นเรื่อย ๆ ก็ลองเปิดเครื่องปรับอากาศช่วยดูสิครับ   6. หมั่นทำความสะอาดแผ่นกรองอากาศทุก 3 เดือน เครื่องปรับอากาศจะทำงานได้ดีหรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับแผ่นกรองอากาศด้วยนะครับ เพราะถ้าปล่อยให้แผ่นกรองด้านในสกปรก มีฝุ่นเกาะเต็มไปหมด ประสิทธิภาพในการทำงานของเครื่องปรับอากาศก็จะลดลงตามไปด้วย แถมเครื่องยังต้องทำงานหนักเพิ่มขึ้นไปอีก ดังนั้นไม่ว่าที่บ้านจะใช้เครื่องปรับอากาศชนิดไหน ก็ต้องหมั่นทำความสะอาดทุก 3 เดือนด้วยนะครับ   7. ผ้าม่านช่วยกักเก็บความเย็น ถ้าหน้าต่างของห้องหันตรงกับทางที่แสงแดดส่องเข้ามาพอดี ให้หาม่านมาติดไว้เพื่อป้องกันความร้อนจากแสงแดดไม่ให้เข้ามาทำให้อุณหภูมิภายในห้องสูงขึ้น จนเครื่องปรับอากาศก็ต้องทำงานหนักตามไปด้วย   8. ยิ่งปิดช่องลมแอร์ เครื่องก็ยิ่งพังง่าย หลายคนคงไม่รู้ว่าการปิดช่องลมแอร์ด้านใดด้านหนึ่ง มันไม่ได้ช่วยปรับเปลี่ยนทิศทางแอร์ได้ตามที่ต้องการหรอกนะครับ แต่มันกลับทำให้เครื่องทำงานหนักขึ้นกว่าเดิม จนอาจถึงขั้นทำให้ระบบภายในเสียหายเลยก็มี  หากต้องการให้ความเย็นกระจายตัวอย่างทั่วถึง แนะนำให้เปิดพัดลมช่วยอีกแรงจะดีกว่า   9. เครื่องปรับอากาศใหญ่ก็ก็ยิ่งจ่ายค่าไฟเยอะ อย่างที่รู้กันดีว่าเครื่องปรับอากาศจะทำให้บ้านอยู่สบายขึ้น แต่ก็กินไฟโหดไม่แพ้กัน ทางที่ดีควรหันมาเลือกใช้เครื่องปรับอากาศแบบติดผนังและ BTU ที่เหมาะสมกับขนาดห้อง เนื่องจากจะทำให้การใช้ไฟฟ้าน้อยลง และจะช่วยประหยัดเงินไปได้เยอะเลย   10. แอร์บ้านสร้างขึ้นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1913 แอร์สำหรับติดตั้งในบ้านเครื่องแรกสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1913 โดย ชาร์ลส์ เกตส์ (Charles Gates) ผู้ที่ได้ฉายาว่า “Spend-a-Million” ทายาทเจ้าของกิจการลวดหนามในสมันนั้น ซึ่งเขาเป็นคนแรกที่สร้างอพาร์ทเม้นท์ติดแอร์ขึ้นมา แต่ยังไม่ทันสร้างเสร็จสมบูรณ์ดี เกตส์ก็เสียชีวิตไปในระหว่างร่วมทริปล่าสัตว์ แม้จะเป็นคนสร้างแต่ก็ไม่มีโอกาสได้ใช้งาน   11. คนอเมริกันจ่ายเงินเป็นพันล้านเพื่อแอร์ ทุกวันนี้ชาวอเมริกันต้องเสียเงินไปกับการติดตั้งแอร์บ้านเป็นจำนวนมาก ตามที่กระทรวงพลังงานของสหรัฐอเมริกาได้กล่าวว่า โดยรวมแล้วคนอเมริกันจะจ่ายเงินมากกว่า 22 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 700 พันล้านบาทในการติดตั้งแอร์ นอกจากนี้ยอดการใช้ไฟฟ้ายังมากกว่า 183 พันล้านกิโลวัตต์ ต่อชั่วโมงในทุก ๆ ปีอีกด้วย   เป็นอย่างบอกไว้ไหมล่ะครับ ถ้าคุณยิ่งรู้จักเครื่องปรับอากาศคุณก็จะยิ่งรักและอยากดูแลเอาใจใส่ให้มากขึ้นกว่าเดิม เพราะกว่าเจ้าเครื่องนี้จะมาช่วยให้เราไม่ต้องทุรนทุรายกับอากาศร้อนได้นั้น มันต้องมีการพัฒนามาอย่างยาวนาน ปรับเปลี่ยนรูปแบบไปต่าง ๆ นานา รวมไปถึงการดูแลจากเราเป็นสำคัญ   ขอขอบคุณข้อมูลจาก home.kapook.com
5 วิธีลดร้อนให้บ้าน

5 วิธีลดร้อนให้บ้าน

ว่ากันว่าเข้าสู่ช่วงหน้าร้อนทีไรค่าไฟแต่ละบ้านจะขึ้นสูงปรี๊ดทุกที ก็แหม ด้วยอุณหภูมิข้างนอกที่ร้อนฉ่าขนาดนั้น ครั้นจะไม่ให้ใช้เครื่องปรับอากาศเลยก็คงจะทรมานเกินไปใช่ไหมล่ะคะ แต่จะให้เปิดแอร์อยู่ทั้งวันทั้งคืน พอถึงสิ้นเดือนทีเห็นบิลค่าไฟก็คงเศร้าใจไม่ใช่น้อย วันนี้ทีมงาน Review Your Living จึงได้รวบรวมสารพัดวิธีลดความร้อนให้กับบ้านมาฝาก ซึ่งต้องบอกเลยว่าเป็นเทคนิคดีๆ ที่จะช่วยเพิ่มความเย็นให้กับบ้านแสนรักของคุณได้อย่างแน่นอน เรียบเรียงโดย Review Your Living www.prosperitybni.com 1. Façade ช่วยได้ การดีไซน์ Facade (ฟาซาด) ไม่ว่าจะใช้วัสดุอะไรปกคลุมตัวอาคารก็คงคล้ายกับการแต่งตัวให้แก่บ้าน เพราะสามารถ เปลี่ยนบรรยากาศภายนอกของบ้านสมัยใหม่ได้เป็นอย่างดี บางคนอาจจะคิดว่าไม่มีความจำเป็นอะไร ไม่ต้องมีก็ได้ แต่ทราบไหมคะว่าฟาซาดนั้นช่วยกันฝนและกรองแสงลดความร้อนก่อนจะเข้าสู่ตัวบ้านได้เป็นยังดี อีกทั้งยังช่วยให้สายลมพัดผ่านได้ง่ายขึ้นรวมถึงอำพรางสายตาจากภายนอกเพื่อสร้างความเป็นส่วนตัวอีกด้วยค่ะ   2. ติดฟิลม์กรองแสงลดความร้อนสิ! ถ้าบ้านของคุณรายล้อมไปด้วยกระจกใส แน่นอนค่ะว่าคงทำให้บรรยากาศในบ้านดูโปร่งโล่งแต่ก็ต้องแลกมาด้วยความร้อนนะคะ ยิ่งมีแสงสว่างจากธรรมชาติสาดส่องมามากเท่าไหร่ความร้อนก็ยิ่งเข้าสู่ตัวบ้านมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นแนะนำว่าควรติดฟิลม์กรองแสงชนิดเคลือบโลหะค่ะ ด้วยคุณสมบัติที่ช่วยกรองแสงสว่างจากด้านนอกได้เป็นอย่างดีแล้ว คุณสมบัติเด่นของโลหะยังช่วยสะท้อนความร้อนออกไปอีกด้วย เพียงเท่านี้บ้านคุณก็เกิดภาวะเย็นสบายแล้วค่ะ ภาพจากโครงการ มาเอสโตร 19 รัชดา 19 - วิภา 3. เปลี่ยนผ้าม่าน ชีวิตก็เปลี่ยน... อย่าเพิ่งตกใจไปค่ะว่าผ้าม่านจะช่วยกันความร้อนได้อย่างไร แน่นอนว่าถ้าคุณเลือกใช้ผ้าม่านทั่วๆ ไปก็คงช่วยกรองแสงได้ประมาณหนึ่ง แต่ถ้าคุณเลือกใช้ม่าน Blackout หรือผ้าทึบแสงที่มีประสิทธิภาพกันแสงได้ถึง 99% ซึ่งส่วนใหญ่จะมาพร้อมกับการเคลือบกันรังสี UV ทำให้บ้านเย็นขึ้น ผู้อยู่อาศัยสบายตัว สบายใจ และที่สำคัญสบายกระเป๋าด้วยค่ะเนื่องจากช่วยประหยัดค่าไฟไปได้เยอะเชียวล่ะ ภาพจากโครงการ The Village บางนา - วงแหวนฯ 2 4. ต้นไม้ก็ช่วยได้นะ อีกหนึ่งวิธีง่ายๆ ที่จะช่วยให้บ้านของคุณเย็นขึ้น นั่นก็คือการปลูกต้นไม้ใหญ่สีเขียวขจีให้แตกแขนงกิ่งก้านปกคลุมบ้าน แต่ก็ต้องคอยดูแลให้ดีนะคะ ถ้ามันเริ่มโตหรือสูงเกินไปอาจบดบังตัวบ้านได้ ดังนั้นต้องคอยหมั่นตัดกิ่งก้านเล็มใบเพื่อให้ลมสามารถพัดผ่านได้อย่างสะดวก ส่วนข้อแนะนำที่เราอยากบอกก็คือควรปลูกต้นไม้ทางทิศตะวันตกหรือทิศใต้ เพราะทิศทางลมจะช่วยพัดผ่านทำให้บ้านเย็นขึ้น   5. ติดฉนวนกันความร้อน แน่นอนค่ะว่าปัจจุบันมีวัสดุใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย หนึ่งในวัสดุที่รู้จักกันดีก็คงหนีไม่พ้นฉนวนกันความร้อนที่มักนิยมติดกันบนฝ้า ใต้หลังคา หรือแม้แต่ผนังบ้าน ด้วยคุณสมบัติที่ช่วยสะท้อนและปกป้องความร้อนได้ดี ทั้งยังติดตั้งง่ายไม่ว่าจะเป็นบ้านสร้างสำเร็จรูปหรือบ้านสร้างใหม่ ทำให้บ้านเย็นฉ่ำตลอดทั้งวัน
11 ปัญหาสุดเบสิกของสนามหญ้า จัดการได้อยู่หมัด

11 ปัญหาสุดเบสิกของสนามหญ้า จัดการได้อยู่หมัด

สนามหญ้าสวย ๆ ต้องเป็นสนามหญ้าที่เขียวชอุ่ม ต้นหญ้าทุกต้น รวมถึงดินก็ต้องดูสุขภาพดี ซึ่งถ้าคุณเป็นอีกคนที่เลือกจะปลูกสนามหญ้าเอาไว้ที่บ้าน เพื่อเพิ่มความสดชื่นและบรรยากาศสวย ๆ แต่จัดการดูแลแค่ไหนสนามหญ้าก็ยังมีปัญหาจุกจิกกวนใจอยู่ตลอด ถ้าอย่างนั้นลองมาดูวิธีจัดการปัญหาสุดเบสิกของสนามหญ้าตามนี้กันดีกว่า เผื่อจะช่วยให้คุณแก้ปัญหาสนามหญ้าที่ไม่ได้ดั่งใจได้บ้างนะคะ   1. หญ้าไม่ขึ้นแถวโคนต้นไม้ สำหรับปัญหาพื้นที่สนามหญ้าเป็นช่องโหว่ เพราะปลูกหญ้าไม่ขึ้นบริเวณใต้โคนต้นไม้ แนะนำให้เลือกปลูกหญ้าให้ถูกทิศทาง ในพื้นที่ด้านทิศเหนือ ควรเลือกปลูกต้นหญ้าพันธุ์ที่ไม่ชอบแดดเท่าไร ส่วนพื้นที่ด้านทิศใต้ ให้เลือกปลูกหญ้าพันธุ์ที่มีลำต้นสูงสักนิด เพื่อให้เขาชูต้นมารับแดดได้สะดวก จะช่วยลดปัญหาหญ้าขึ้นเป็นหย่อม ๆ ได้ค่ะ   2. หญ้าเฉาตรงที่เป็นเนิน ในพื้นที่ที่เป็นเนินสูง อาจจะเจอปัญหาต้นหญ้าแห้งตาย หรือไม่เจริญเติบโตบ้าง ซึ่งหลัก ๆ แล้วก็เกิดจากพื้นที่ที่เป็นเนินสูง จะมีโอกาสได้รับแสงแดดดีกว่าปกติ ทำให้ดินแห้งได้ง่าย ต้นหญ้าก็เลยไม่ได้รับน้ำที่พอเพียงสำหรับการเจริญเติบโต วิธีแก้ปัญหาก็ง่าย ๆ เลย แค่จัดการระบบน้ำในส่วนนี้เพิ่มเข้าไปอีกหน่อย หรือเพื่อความยั่งยืน จะให้ผู้เชี่ยวชาญเลือกพันธุ์หญ้า และจัดการระบบรดน้ำให้ก็ได้   3. วัชพืชก่อกวนสนามหญ้า ถ้าสนามหญ้าของคุณเต็มไปด้วยวัชพืชที่ขึ้นแซมไม่หยุดหย่อน ให้จัดการวัชพืชเหล่านี้ด้วยยากำจัดวัชพืชไปเลย แต่ก็ควรเลือกสูตรที่เป็นธรรมชาติมากที่สุด และต้องฉีดกำจัดวัชพืช 2 ช่วง คือ ช่วงฤดูฝน และช่วงฤดูหนาว เนื่องจากวัชพืชในแต่ละฤดูก็เป็นวัชพืชต่างชนิดกัน อาจต้องใช้วิธีการกำจัดที่แตกต่างกันไปด้วย   4. สนามหญ้าโหว่เป็นช่วง ๆ สาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้สนามหญ้าไม่สวยเพอร์เฟคท์ คงหนีไม่พ้นสนามหญ้าเว้าแหว่งเป็นหย่อม ๆ ไม่เขียวชอุ่มทั่วกันทั้งผืน ซึ่งถ้าเกิดปัญหานี้ขึ้นกับสนามหญ้าของคุณ ให้จัดการถอนเศษหญ้า ปรับหน้าดินในบริเวณนั้นให้เรียบร้อย จากนั้นปลูกพันธุ์หญ้าลงไปใหม่รดน้ำให้ชุ่ม และหาพืชมาปกคลุมดินบริเวณนั้นให้ชุ่มชื้นอยู่ตลอดด้วย ปล่อยทิ้งไว้ 2 สัปดาห์ หมั่นรดน้ำบ่อย ๆ อนุบาลจนหญ้าค่อย ๆ เติบโตอย่างแข็งแรง หรือจะเลือกใช้หญ้าแผ่นสำเร็จรูปมาปูเสริมพื้นที่ก็ได้เช่นกัน แต่อาจจะต้องดูเรื่องพันธุ์หญ้า สี และขนาดของต้นหญ้าให้ใกล้เคียงที่สุด เพื่อเลี่ยงปัญหาผืนหญ้ามีสีไม่สม่ำเสมอกันด้วย   5. ต้นหญ้ากลายเป็นสีน้ำตาล หญ้าที่กลายเป็นสีน้ำตาลเป็นหย่อม ๆ มีสาเหตุมาจากเชื้อราฟูซาเรียม (Fusarium) ที่มาพร้อมกับความชื้นที่มากเกินไป จนทำให้ต้นหญ้ากลายเป็นสีน้ำตาลในบริเวณกว้าง ซึ่งเราก็ควรแก้ปัญหาด้วยการใส่ปุ๋ยบำรุง และพยายามลดความชื้นด้วยการหาทางระบายน้ำให้ดินมากขึ้น อีกทั้งควรจะหายาฆ่าเชื้อรามาจัดการเสริมด้วยอีกแรง   6. มีใยสีเทาปกคลุมต้นหญ้า ในตอนเช้าหลังน้ำค้างตก อาจจะมีโอกาสได้เห็นทั้งหยดน้ำค้าง และใยสีเทาจาง ๆ บนยอดหญ้าพร้อม ๆ กัน แต่ใยที่ว่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ดีกับสุขภาพของสนามหญ้านัก เพราะถ้าปล่อยไว้ไม่รีบจัดการ ใยบาง ๆ สีเทาที่เป็นเชื้อรา ก็อาจจะลุกลามปกคลุมต้นหญ้าในบริเวณกว้างกว่านี้ ฉะนั้นจึงต้องรีบหายาฆ่าเชื้อรามาฉีดพ่น เพื่อกำจัดเชื้อราทั้งหมดให้เกลี้ยง   7. โคนต้นหญ้าเป็นสีส้มสนิม ต้นหญ้าที่มีสุขภาพไม่ดี มักจะดูออกได้ง่าย ๆ ที่โคนต้น หากลำต้นของต้นหญ้าแห้งเหี่ยว แถมที่โคนต้นยังมีสีส้มคล้าย ๆ สีสนิมเกาะอยู่ด้วย ก็แปลได้ว่า สนามหญ้าของคุณขาดน้ำในปริมาณที่พอเพียงแล้วล่ะ รวมทั้งปุ๋ยและสารอาหารก็มีไม่พอเช่นกัน ดังนั้นก็ควรรีบหาปุ๋ยมาใส่ และบำรุงดูแลด้วยการรดน้ำให้ชุ่มชื้นเสมอ นอกจากนี้ก็ควรตัดหญ้าบ่อย ๆ เพื่อเปิดโอกาสให้ต้นหญ้าได้ผลัดใบด้วย   8. หญ้าขึ้นเขียวชอุ่มล้อมต้นหญ้าที่ตายแล้ว หากเกิดปรากฏการณ์นี้ขึ้นกับสนามหญ้าของคุณ ก็แสดงว่าพื้นดินบริเวณนั้นมีความชื้นมากเกินไป จนอาจจะมีเห็ดเติบโตขึ้นได้ และเราก็ควรปรับปรุงพื้นดินตรงนั้นให้อุดมสมบูรณ์ และร่วนซุยขึ้นอีกนิด ด้วยการใส่ปุ๋ยบำรุงลงไป จากนั้นก็ควบคุมความชื้นให้สม่ำเสมอประมาณ 3-5 วัน   9. สนามหญ้าแห้งตายขยายวงกว้าง ถ้าจู่ ๆ สนามหญ้าของคุณเริ่มกลายเป็นสีน้ำตาลมากขึ้นทุกที และขยายวงกว้างจนความสวยงามหายไปไม่มีเหลือ ให้ขุดดินตรงบริเวณที่เป็นปัญหาขึ้นมาสำรวจดูว่ามีเชื้อรา หรือแมลงอะไรมาก่อกวนสนามหญ้าของคุณหรือเปล่า ถ้ามีก็จัดการกำจัดให้สิ้นซาก โดยใช้ยากำจัดศัตรูพืชจำพวก Diazinon, Isofenphos หรือ Chlorpyrifos ซึ่งก่อนใช้ควรจะเช็กเรื่องความปลอดภัยต่อสัตว์เลี้ยง เด็ก และคนชราก่อนด้วย หรือทางที่ดีแจ้งหน่วยงานหรือผู้เชี่ยวชาญมาทำให้ดีกว่าค่ะ   10. มีเห็ดขึ้นหลากหลายชนิด หลายคนอาจจะกุมขมับหากจะบอกว่าเห็ดเป็นสิ่งมีชีวิตที่กำจัดออกยากที่สุดในบรรดาวัชพืชที่ขึ้นแซมมาในสนามหญ้า เพราะต้องใช้วิธีการดึงออกเท่านั้นจึงจะกำจัดได้ แต่นี่ก็เป็นเพียงวิธีการแก้ปัญหาชั่วคราว ดังนั้นทางที่ดีควรจะแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ด้วยการจัดการระบบระบายน้ำให้ดี เพื่อเลี่ยงการสะสมความชื้น ต้นเหตุของเชื้อรา รวมทั้งกำจัดสารอินทรีย์ที่เน่าเปื่อย และตอไม้ออกจากสนามหญ้าด้วยค่ะ   11. น้ำท่วมขังในสนามหญ้า สาเหตุของการที่มีน้ำขังท่วมสนามหญ้ามีอยู่หลายปัจจัย ทั้งพื้นที่ต่ำเกินไป หรือฝนตามฤดูที่ตกชุก แต่ปัญหานี้ก็แก้ไม่ยาก แค่คุณลองหาไม้พุ่มหรือไม้ยืนต้นมาปลูกในสนามหญ้า เลือกเอาพันธุ์ที่ทนทานต่อสภาพน้ำท่วมขัง และดินที่แห้งแล้งด้วยก็ดี เช่น ต้นจั๋ง ต้นจันทร์ผา หรือหมากเหลือง เป็นต้น ปลูกต้นไม้เอาไว้แบบนี้ ก็จะช่วยให้น้ำที่ท่วมขังอยูในสนามหญ้า ค่อย ๆ ถูกดูดซึมจนหมดไปได้เองจ้า   จะว่าไปปัญหาสนามหญ้าก็จุกจิกพอตัวเลยนะคะ แต่ถ้าเรามีวิธีจัดการดูแลอย่างดีจะกี่ปัญหาก็เหมือนจะไม่ใช่ปัญหา แต่เป็นแค่อุปสรรคเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เราต้องปัดเป่าให้หมดไป เพื่อที่สนามหญ้าของเราจะได้เขียวชอุ่มสุดเพอร์เฟคท์อย่างที่ตั้งใจไว้จ้า   ขอขอบคุณข้อมูลจาก  home.kapook.com
9 วิธีแต่งบ้านคลายร้อน ช่วยให้บ้านเย็นน่าอยู่ อากาศสบายไม่อบอ้าว

9 วิธีแต่งบ้านคลายร้อน ช่วยให้บ้านเย็นน่าอยู่ อากาศสบายไม่อบอ้าว

บ้านร้อนอบอ้าวทำไงดี แก้ปัญหาได้ง่าย ๆ ด้วย 9 ไอเดียแต่งบ้านรับซัมเมอร์ ที่จะทำให้บ้านเย็นสดชื่น ไม่อบอ้าว อยู่ในบ้านได้สบาย ๆ ไม่ต้องหาเรื่องออกไปเที่ยข้างนอก อย่างที่รู้ ๆ กันว่าประเทศของเราเป็นเมืองร้อนอยู่แล้ว พอย่างก้าวเข้าสู่ฤดูร้อนทีไรอากาศก็จะยิ่งทวีความร้อนให้เพิ่มพูนขึ้นไปอีก วันนี้เราเลยขอนำ 9 ไอเดียแต่งบ้านหน้าร้อนที่จะช่วยลดอุณหภูมิภายในและทำให้บ้านเย็นสบายขึ้นไม่ต้องหนีบ้านร้อน ๆ เพื่อดอดไปตากแอร์เย็น ๆ ที่ห้างอีกต่อไป แล้วจะมีวิธีไหนที่น่าสนใจนำมาใช้กับที่บ้านได้บ้างนั้นก็ตามไปไปดูกันเลยยย.. 1. ติดกันสาดกันแดด ในเมื่อเราไม่สามารถหลบเลี่ยงบ้านจากแสงแดดได้ การติดตั้งกันสาดช่วยลดความร้อนได้ โดยควรจะติดไว้บริเวณทิศตะวันตก ทิศตะวันออก และทิศใต้ เนื่องจากทั้ง 3 ทิศที่ว่ามานี้เป็นทิศที่มักจะมีแสงส่องเข้ามาเลยทำให้บ้านยิ่งร้อนหนักหากไม่มีอะไรมาบัง ถ้าจะให้ดีควรเลือกกันสาดชนิดโพลีไวนิลคลอไรด์และแบบวัสดุสังเคราะห์ เพราะจะทนทานสามารถใช้งานได้ยาวนานกว่าวัสดุชนิดอื่น ๆ และช่วยให้บ้านเย็นได้มากกว่า 2. ใช้หลังคาป้องกันความร้อน การเลือกหลังคาก็เป็นสิ่งสำคัญ หากไม่อยากให้บ้านร้อนระอุในหน้าร้อน ควรเลือกหลังคาที่มีสารเคลือบเซรามิคโค้ทติ้ง ซึ่งจะช่วยปกป้องและสะท้อนความร้อนจากแสงอาทิตย์ได้ดี หรืออีกหนึ่งวิธีก็คือใช้สีขาวทาหลังคาบ้าน เพราะสีขาวจะช่วยสะท้อนความร้อนและไม่อมความร้อนไว้เหมือนหลังคาสีเข้ม 3. ปลูกต้นไม้ให้ร่มเงา สังเกตไหมว่าต่อให้แดดจะร้อนแรงสักแค่ไหน แต่ถ้ามีต้นไม้ช่วยบังแสงไว้ก็จะทำให้บริเวณนั้นเย็นขึ้นมาทันที ดังนั้นเพื่อช่วยในการบังแสงและให้ร่มเงาแก่บ้าน ควรเลือกต้นไม้ที่สูงสักประมาณ 12 เมตร มาปลูกไว้ทางทิศใต้ และนำต้นไม้สูง 18 เมตรมาปลูกไว้ทางทิศตะวันตก นอกจากจะบังแสงได้แล้ว วิธีนี้ยังช่วยประหยัดพลังงาน ทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้าไม่ต้องทำงานหนัก เพราะอุณหภูมิภายในลดลงนั่นเอง 4. เปิดหน้าต่างระบายอากาศ ถ้าอากาศในภายบ้านแลดูร้อนอบอ้าวไปซะทุกพื้นที่ ให้เปิดหน้าต่างทิ้งเอาไว้ให้ลมโกรก เพื่อให้อากาศถ่ายเทสะดวก โดยเมื่ออากาศจากด้านนอกจะเข้ามาภายในบ้าน มันก็จะดันอากาศร้อนที่อยู่ภายในบ้านให้ลอยตัวสูงและไหลออกไป ช่วยระบายความร้อนอบอ้าว ทำให้บ้านเย็นสบายไม่อึดอัด 5. ติดพัดลมเพดาน หลายคนอาจจะคิดว่าพัดลมเพดานนั้นไล่ความร้อนได้ช้า ไหนจะอยู่ไกลตัวจนไม่สามารถนำมาเปิดจ่อลมได้โดยตรงอย่างพัดลมตั้งพื้นทั่วไปอีก แต่ที่จริงแล้วพัดลมเพดานนี่แหละที่เหมาะกับการใช้งานในฤดูร้อนมากที่สุด เพราะมันจะดูดเอาความร้อนจากพื้นให้ลอยตัวสูงขึ้นและปล่อยให้อากาศเย็นสบายไหลเข้ามาแทนที่ ทำให้อุณหภูมิบริเวณนั้นเย็นสบายยังไงล่ะ 6. เลี่ยงการปูพรม พรมนี่แหละที่เป็นตัวการกักเก็บความร้อนเอาไว้ในบ้าน หากไม่อยากให้บ้านยิ่งร้อนหนัก เลือกปูด้วยไม้หรือกระเบื้องจะทำให้บ้านเย็นกว่า เพราะเป็นวัสดุที่ไม่อมความร้อน แต่ถ้ายังตัดใจจากพื้นพรมไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แค่เลือกพรมที่ทำมาจากเส้นใยธรรมชาติ เช่น คอตตอนหรือขนสัตว์ เพราะทั้ง 2 วัสดุนี้จะช่วยกักเก็บความชื้นในอากาศไว้ในปริมาณที่พอเหมาะ ไม่ทำให้บ้านร้อนและชื้นแต่อย่างใด 7. เลือกใช้หลอด LED หลอดไฟที่ติดตั้งอยู่ภายในบ้านก็เป็นอีกหนึ่งตัวการสำคัญที่ทำให้บ้านร้อนจากภายใน ดังนั้นควรจะหันมาใช้หลอดแอลอีดี (LED) เพราะหลอดไฟชนิดนี้จะปล่อยพลังงานความร้อนออกมาน้อยกว่าหลอดชนิดอื่น ๆ แสงก็ดูเย็นสบายตา ไม่ทำให้รู้สึกร้อนเหมือนหลอดฟลูออเรสเซนต์ทั่วไป แถมคุณภาพของแสงสว่างก็อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานอีกด้วยล่ะ 8. ทาผนังด้วยสีโทนเย็น โทนสีที่ใช้ตกแต่งภายในบ้านก็สำคัญไม่แพ้กัน ควรจะเลือกโทนสีสว่าง ๆ ที่ดูเย็นสบายตา อย่าง สีขาว สีมุก สีครีม และสีฟ้า หรือใช้ของตกแต่งที่ทำมาจากวัสดุธรรมชาติ ก็จะช่วยปรับอากาศในบ้านให้เย็นสบาย ไม่ร้อนตามอากาศภายนอก 9. ติดพัดลมอากาศในห้องน้ำ หากทำตามมาทุกวิธีแล้วสังเกตว่าบ้านยังร้อนอยู่เลย ให้ติดตั้งพัดลมดูดอากาศในห้องน้ำเพิ่มไปอีกตัว และเปิดพัดลมดูดอากาศพร้อมกับเปิดประตูห้องน้ำทิ้งไว้ หรือจะเปิดพัดลมเพดานที่ห้องข้าง ๆ ไว้ด้วยก็ได้ ซึ่งวิธีนี้จะช่วยดูดให้ความร้อนออกไปได้เร็วกว่าเดิม ทำให้บ้านเย็นสบายขึ้นเยอะเลย ต่อให้อากาศจะร้อนกว่านี้อีกสักเท่าไร แต่ถ้านำไอเดียแต่งบ้านในหน้าร้อนที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ไปใช้ รับรองได้เลยว่าอุณหภูมิในบ้านจะลดลงไปได้เยอะเลย ไม่ต้องทนร้อน นอนทรมานอยู่กับความอบอ้าวอีกต่อไป   ขอขอบคุณข้อมูลจาก  https://home.kapook.com/view168042.html
มันมากับหน้าฝน ตะขาบเข้าบ้านทำอย่างไรดี

มันมากับหน้าฝน ตะขาบเข้าบ้านทำอย่างไรดี

บ้านหลายหลังเจอปัญหาตะขาบเข้าบ้าน สร้างความรำคาญและน่าขนลุกขนพอง แต่หากคุณรู้วิธีจัดการกับตะขาบ ปัญหานี้ก็ไม่รบกวนคุณ ตะขาบชอบอยู่ในที่ชื้น ห้องที่มีความชื้น อย่างเช่นห้องใต้ดิน และห้องน้ำนั้น เป็นที่เหมาะสำหรับพวกมัน ตะขาบเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว และชอบออกมาในตอนกลางคืน แต่ทราบหรือไม่ว่ามีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้เราไม่ควรจะไปยุ่งกับมัน เพราะตะขาบช่วยฆ่าแมลงชนิดอื่น แน่นอนว่าในบ้านของเรานั้น มีแมลงอยู่หลายชนิดทั้งแมลงสาบ แมลงเม่า แมลงวัน และปลวก แมลงเหล่านี้ ล้วนแต่เป็นที่รังเกียจสำหรับเราทั้งนั้น ซึ่งตะขาบแม้จะมีรูปร่างที่น่าเกลียดแต่มันก็ช่วยจัดการแมลงเหล่านี้ให้เรา นอกจากนี้ ตะขาบยังไม่เป็นพาหะนำเชื้อโรค ไม่ได้ทำให้เครื่องเฟอร์นิเจอร์ไม้เสียหาย ไม่ยุ่งกับอาหารของมนุษย์ มันเป็นแค่แมลง แต่ทั้งนี้ เราอาจจะเคยได้ยินมาว่า เราไม่ควรจับตะขาบด้วยมือเปล่า เพราะมันมีพิษ ซึ่งแน่นอนว่า เราอาจจะถูกมันกัด แม้พิษของมันจะไม่ได้ร้ายแรงอะไร แต่ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่เราจะต้องไปสัมผัสมัน แต่หากต้องการนำมันออกไปให้พ้น ก็เพียงแค่กวาดใส่ที่ตักผง แล้วนำไปปล่อยข้างนอกบ้านก็พอแล้ว และสำหรับผู้ที่ต้องการจะป้องกันไม่ให้ตะขาบเข้าบ้าน ก็มีวิธีเช่นกันคือ ปิดช่องทางต่าง ๆ ที่จะทำให้ตะขาบเข้ามาในตัวบ้านได้ กำจัดแมลงภายในบ้านที่เป็นอาหารของตะขาบ ใช้อุปกรณ์ป้องกัน หรือดูดความชื้นภายในบ้าน ติดตั้งพัดลมดูดอากาศในห้องน้ำเพื่อระบายความชื้น จุดที่มีรอยแยกรอยแตกตามบ้าน ให้ปิดให้หมด เพราะตะขาบมักจะไปวางไข่ตามช่องเหล่านั้น กำจัดของที่มีความเปียกชื้น ไม่นำเอาของเหล่านั้นเข้ามาในตัวบ้าน   ขอขอบคุณข้อมูลจาก home.sanook.com
เทคนิคใช้ไฟฟ้าอย่างไรให้ปลอดภัยในหน้าฝน

เทคนิคใช้ไฟฟ้าอย่างไรให้ปลอดภัยในหน้าฝน

เข้าสู่ฤดูฝนอย่างเป็นทางการไปเรียบร้อยแล้ว นอกจากฝนตกฟ้าคะนองจะทำให้การเดินทางไปไหนมาไหนลำบากแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่อยากให้ทุกคนคำนึงถึงนั่นคือ การใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าในช่วงหน้าฝน หรือฝนตกหนัก เพราะฤดูฝนแบบนี้มักเกิดเหตุไฟดูด ไฟช็อตได้บ่อยครั้ง มาดูกันว่ามีเรื่องอะไรบ้างที่ควรระมัดระวัง 1.ระมัดระวังเวลาใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่วางไว้ในที่ชื้น มีเครื่องใช้ไฟฟ้าบางประเภทมักตั้งอยู่ในบริเวณที่มีความชื้นเช่นปั๊มน้ำ เครื่องซักผ้า ดังนั้นเวลาใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านี้ควรเพิ่มความระมัดระวัง สวมรองเท้าก่อนเข้าไปสัมผัสหรือใช้งานเพื่อป้องกันอันตรายจากไฟฟ้ารั่ว 2.ไม่ควรใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าขณะตัวเปียก เรื่องนี้เรารู้กันอยู่แล้ว แต่บางครั้งอาจหลงลืม หลายๆ คนพอตัวเปียกฝน หรือชื้นๆ มาจากนอกบ้าน พอเข้ามาในบ้านอาจเผลอตัวไปสัมผัสปลั๊กไฟ หรือบางคนชอบใช้ไดรฟ์เป่าผมหลังสระผมใหม่ๆ ซึ่ง ไม่แนะนำให้ทำแบบนั้น เนื่องจากหากเกิดไฟรั่วกระแสไฟจะผ่านร่างกายได้สะดวกขึ้น และเมื่อเกิดเหตุไฟฟ้าช็อตเราควรทำอย่างไร 1.ห้ามเข้าไปช่วยผู้ถูกไฟฟ้าช็อต จนกว่าจะแน่ใจว่าผู้บาดเจ็บไม่ได้สัมผัสกับสายไฟฟ้าหรือตัวนำไฟฟ้าใดๆ ถ้าจำเป็นต้องหาวัสดุที่เป็นฉนวนไม่นำกระแสไฟฟ้า เช่นไม้ หรือผ้ามาเขี่ยสายไฟออกจากผู้บาดเจ็บก่อน 2.ถ้าผิวหนังผู้ที่จะช่วยเปียกชื้น ห้ามเข้าไปช่วยเพราะยิ่งเป็นตัวนำกระแสไฟฟ้าและอาจถูกไฟฟ้าดูดได้ วิธีป้องกันอันตรายจากไฟฟ้าดูด หมั่นตรวจเช็คอุปกรณ์และสายไฟ และควรซ่อมแซมส่วนที่ชำรุด บริเวณที่วางสายไฟไม่ควรให้สิ่งของที่หนักไปทับ และวางให้พ้นทางเดิน เครื่องใช้ไฟฟ้าไม่ควรเปียกน้ำ ห้ามซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าเองโดยที่ไม่มีความรู้ ไม่ควรใช้ไฟฟ้าหลายอย่างกับปลั๊กไฟตัวเดียว ต่อสายดินเพื่อให้ไฟลงดิน และควรติดตั้งเครื่องตัดไฟฟ้าลัดวงจรภายในบ้าน เพื่อความปลอดภัยและเป็นการป้องกันที่ดี สิ่งเหล่านี้สามารถป้องกันได้ เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายที่รุนแรง   ขอขอบคุณข้อมูลจาก คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลศิริราช มหาวิทยาลัยมหิดล home.sanook.com
9 พันธุ์ไม้ที่คุณสามารถปลูกได้ในคอนโด

9 พันธุ์ไม้ที่คุณสามารถปลูกได้ในคอนโด

หลายๆ คนคงเคยมีความเชื่อว่า การปลูกต้นไม้ในห้องของเราจะเป็นอันตราย เพราะต้นไม้มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาในเวลากลางคืน แต่มีนักวิชาการที่มีความรู้เรื่องเกี่ยวกับต้นไม้ได้ออกมาแย้งว่า ต้นไม้บางชนิดสามารถปล่อยก๊าซออกซิเจนในตอนกลางคืน ยิ่งไปกว่านั้นบางชนิดยังสามารถฟอกอากาศได้ด้วย วันนี้เราเลยนำ 9 พันธุ์ไม้ที่คุณสามารถปลูกได้ในคอนโดมาให้ดูกันครับ 1. ลาเวนเดอร์ : กลิ่นของลาเวนเดอร์ทำให้รู้สึกผ่อนคลายยามนอนหลับ ลดความวิตกกังวล ลองใส่ดอกลาเวนเดอร์แห้งในแจกันแล้วตั้งไว้บริเวณหัวเตียง ก็สามารถช่วยให้หลับสบายขึ้นได้ 2. ว่านหางจระเข้ : นอกจากสรรพคุณด้านการรักษาแผลแล้ว ว่านหางจระเข้ยังช่วยดูดสารเคมีต่างๆ ทำให้อากาศบริสุทธิ์ อีกทั้งยังปลูกง่ายและไม่ต้องดูแลมากด้วย 3. ตีนตุ๊กแกฝรั่ง : ไม้ประดับที่นิยมปลูกในกระถางแขวนเพื่อความสวยงาม จัดเป็นพืชอันดับหนึ่งเรื่องการดูดซับสารพิษ ลดปัญหาด้านระบบหายใจ หรือหอบหืด จากการศึกษาพบว่าพืชชนิดนี้ช่วยลดเชื้อราในอากาศได้ถึง 94% สรรพคุณมาเต็มขนาดนี้ พลาดไม่ได้แล้วล่ะ 4. มะลิ : โดยทั่วไปหลายคนคงชินกับการปลูกมะลิไว้นอกบ้าน แต่จริงๆแล้วมะลิสามารถปลูกไว้ในบ้านได้ กลิ่นของดอกมะลิช่วยให้รู้สึกสบายและสดชื่น แถมยังมีงานวิจัยพบว่ากลิ่นของมะลิช่วยให้ความจำดีอีกด้วย 5. ลิ้นมังกร : พันธุ์ไม้ยอดฮิตสำหรับการปลูกในบ้าน เนื่องจากดูแลง่ายและทนทาน นอกจากคุณสมบัติในการคายออกซิเจนและดูดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในเวลากลางคืนแล้ว พันธุ์ไม้ชนิดนี้ยังช่วยลดปัญหาทางระบบหายใจและอาการปวดศีรษะได้อีกด้วย 6. เดหลี : ไม้ประดับที่โดดเด่นด้วยดอกสีขาวสวยงามแถมด้วยความสามารถในการดูดสารพิษ เหมาะแก่การประดับไว้ในห้องนั่งเล่น เดหลีเป็นหนึ่งในไม้ประดับจำนวนน้อยที่สามารถออกดอกได้แม้อยู่ในอาคาร ใครที่ชื่นชอบไม้ดอก เดหลีเป็นตัวเลือกที่ดีเลยทีเดียว 7. บอสตันเฟิร์น : สำหรับคอนโดที่มีพื้นที่ไม่มาก การปลูกไม้ในกระถางแขวนคงจะเป็นทางเลือกแรกๆ บอสตันเฟิร์นเป็นไม้ประดับที่นิยมปลูกในกระถางแขวน พร้อมทั้งสรรพคุณการดูดซับสารพิษในอากาศอีกเช่นกัน ทั้งยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับอากาศภายในห้องได้ด้วย 8. โรสแมรี่ : พืชสมุนไพรชนิดนี้มีจุดเด่นที่กลิ่นหอมสดชื่น ทำให้คุณภาพอากาศภายในห้องดีขึ้น สำหรับใครที่ชื่นชอบในการทำอาหาร คงจะถูกใจพืชชนิดนี้เป็นพิเศษ เพราะโรสแมรี่เป็นส่วนประกอบที่นิยมในการทำซอสต่างๆ 9. เศรษฐีเรือนใน : แค่ชื่อก็เป็นมงคลแล้ว ถ้านำไปไว้ในห้องนอน ช่วยเพิ่มความสวยงามในห้องได้ เพราะใบของต้นเศรษฐีเรือนในมีความสวยงามมาก เป็นริ้วสีขาว และมีสีเขียวอยู่ขอบใบ  อีกทั้งยังสามารถฟอกอากาศได้ดีอีกด้วย   ขอขอบคุณข้อมูลจาก home.sanook.com

1 ... 5 6 7 ... 13