Infographic

 

Infographic ล่าสุด

1 ... 7 8 9 ... 13
กู้ซื้อบ้าน-คอนโด ให้ได้ 100% ทำยังไง

กู้ซื้อบ้าน-คอนโด ให้ได้ 100% ทำยังไง

ต้องบอกว่าโดยส่วนใหญ่ของคน ซื้อบ้าน ซื้อคอนโด (ที่ต้องกู้เงินจากธนาคารมาซื้อ) มักต้องการกู้ให้ได้เต็มราคาที่ซื้อเสมอ ดังนั้นเราจึงมักได้ยินคำถามที่ว่าอยากได้วงเงินกู้ 100% ทำยังไง, แบงก์ไหนให้กู้ 100% บ้างเป็นต้น กู้ได้ 100% ในที่นี้หมายถึง 100% ของราคาบ้านที่ซื้อขาย ซึ่งอาจเรียกได้ว่าแทบไม่ได้ควักเงินตัวเองกันเลยทีเดียว จะได้หรือไม่ลองมาดูกัน ในการปล่อยกู้ธนาคารพาณิชย์ส่วนใหญ่ยึดหลักเกณฑ์ LTV ของธนาคารแห่งประเทศไทย (LTV คืออัตราส่วนการให้สินเชื่อเทียบกับมูลค่าบ้าน) นั่นคือถ้าเป็นบ้านแนวราบธนาคารจะปล่อยสินเชื่อบ้านในอัตราร้อยละ 95 แต่ถ้าเป็นคอนโด จะปล่อยในอัตราร้อยละ 90 สมมติราคาบ้าน 1 ล้านบาท ก็จะได้วงเงินกู้เพียง 900,000 บาท ส่วนเกินจาก 900,000 คนซื้อต้องควักเงินเอง ซึ่งก็คือการผ่อนดาวน์ไปก่อนนั่นเอง แต่หลักเกณฑ์นี้ก็ไม่ถึงกับบังคับว่าต้องตามนี้ เพราะในทางปฏิบัติธนาคารก็ยังสามารถปล่อยกู้ในสัดส่วนที่สูงกว่านี้ได้ ดังนั้นวงเงินกู้ทั่วไปสำหรับบ้านหรือคอนโดเพื่ออยู่อาศัยก็จะอยู่ที่ 80-95% แต่ถ้าเป็นตึกแถว อาคารพาณิชย์ วงเงินกู้จะอยู่ในอัตรา 70-80% หรืออาจถึง 90% ขึ้นอยู่กับเกณฑ์ของแต่ละธนาคาร ถ้าถามว่าแบงก์ไหนมีนโยบายปล่อยกู้ซื้อบ้านโดยให้วงเงินกู้ 100% เลย ตามคำถามข้างต้น คำตอบอาจไม่มี แต่เทคนิคในการกู้ซื้อบ้านให้ได้ วงเงินกู้ 100% มีหรือไม่ คำตอบคือมีแน่นอน หลักประกันเดียว แยก 2 บัญชี กู้ซื้อบ้าน-กู้ตกแต่ง นี่เป็นวิธีที่ใช้กันทั่วไป คือแยกวงเงินกู้เป็น 2 บัญชี โดยบัญชีแรกเป็นวงเงินกู้สินเชื่อที่อยู่อาศัย และอีกบัญชีคือวงเงินกู้ตกแต่ง หรือวงเงินกู้อเนกประสงค์ เช่น วงเงินกู้บัญชีหลัก 80-90% ของราคาซื้อขายอีก 10-20% เป็นสินเชื่อตกแต่ง ถ้าเลือกวิธีนี้ต้องเข้าใจว่าอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อตกแต่งโดยปกติจะแพงกว่าดอกเบี้ยเงินกู้บ้าน ซึ่งอาจเป็น MRR+ เป็นต้น เทคนิคนี้ผู้กู้ไม่ต้องวิ่งเต้นทำเองเพราะเวลาที่ยื่นกู้ธนาคารจะพิจารณาหลักเกณฑ์ต่างๆ ทั้งเรื่องคุณสมบัติ รายได้ของผู้กู้ ราคาประเมินธนาคาร (มูลค่าหลักประกัน) ฯลฯ เสร็จแล้วก็จะทำข้อเสนอเงื่อนไขอัตราดอกเบี้ยมาให้ เช่น สมมติ ราคาขายบ้าน = 3 ล้านบาท ราคาประเมินของธนาคารอยู่ที่ 2.7 ล้านบาท ธนาคารให้กู้เต็มวงเงิน 100% จะเท่ากับกู้ได้ 2.7 ล้านบาท แต่ถ้าผู้กู้สามารถรับภาระผ่อนได้มากกว่านี้ และต้องการวงเงินกู้เพิ่มอีก ก็จะเลี่ยงมาจัดเป็นวงเงินกู้ตกแต่งหรือวงเงินกู้อเนกประสงค์ให้อีก 10% ก็จะเท่ากับกู้ได้เต็ม 100% ของราคาซื้อขายบ้านนั่นเอง ราคาซื้อขายจริงต่ำกว่า ราคาตั้งขาย อีกวิธีหนึ่งที่มักใช้กันก็คือโครงการจะตั้งราคาขายไว้ราคานึง แล้วให้ส่วนลดกับลูกค้า และเวลายื่นกู้ใช้ราคาตั้งขาย (ที่สูงกว่า) ในการขอกู้ เช่น ราคาขายคอนโด 2 ล้านบาท ซื้อจริงในราคา 1.8 ล้านบาท (ได้ส่วนลดจากโครงการ 200,000 บาท) ยื่นกู้ไปในราคา 2 ล้านบาท โดยแบงก์ประเมินราคาอยู่ที่ 1.8 ล้านบาท และอนุมัติวงเงินกู้ให้เท่าราคาประเมินของธนาคารคือ 1.8 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 80% ของราคาซื้อขาย แต่เป็น 100% ของราคาซื้อจริง แบบนี้ก็เท่ากัยคนซื้อกู้ได้ 100% ของราคาซื้อขายเช่นกัน ซึ่งมีให้เห็นค่อนข้างเยอะ อย่างไรก็ตามเรื่องการกู้ไม่ว่าจะกู้ได้มากกู้น้อยคำตอบสุดท้ายอยู่ที่ผู้ให้กู้ คือธนาคารจะเป็นผู้พิจารณาว่าจะผ่านการอนุมัติหรือไม่ หรือกู้ได้เท่าไหร่ และที่สำคัญต้องไม่ลืมตอนผ่อนชำระด้วยนะครับ กู้มากดอกเบี้ยก็บานตามไปด้วย ขอขอบคุณข้อมูลจาก  นิตยสาร Home Buyers'Guide พ.ย.59
6 สาเหตุที่ธนาคารระงับสินเชื่อ

6 สาเหตุที่ธนาคารระงับสินเชื่อ

การวางแผนเพื่อจะซื้อบ้านในฝันนั้น นอกจากจะวางแผนโดยเลือกจากทำเล เลือกจากความเหมาะสมกับสไตล์ของตัวเองนั้น การวางแผนทางการเงินก่อนจะเลือกซื้อบ้านก็เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งเหมือนกัน และเมื่อมีการวางแผนในการยืนขอสินเชื่อบ้านแล้ว ก็ควรมีการเตรียมรับมือหากถูกธนาคารปฏิเสธสินเชื่อด้วยเช่นกัน ซึ่งสาเหตุหลักๆของการปฎิเสธสินเชื่อนั้นก็มาจากตัวผู้กู้เอง เราจึงรวบรวมเหตุผลว่า 6 สาเหตุนี้มักจะทำให้ธนาคารปฏิเสธสินเชื่อครับ 1. ผู้กู้ติดแบล๊คลิสต์หรือเป็นหนี้มีปัญหา ผู้กู้ติดหนี้มีปัญหาหรือเรียกว่าติดแบล๊คลิสต์ ได้แก่ การมีปัญหาค้างชำระหนี้ การถูกฟ้องร้องดำเนินคดีเพื่อบังคับจำนอง หรือการเป็นบุคคลที่ต้องเอาใส่ใจ คือบุคคลที่ถูกแจ้งข้อหาในการทุจริต หลอกลวงประชาชน บุคคลเหล่านี้ทำให้ธนาคารปฏิเสธสินเชื่อ 2. ไม่ผ่านเกณฑ์คะแนนสินเชื่อ ในการพิจารณาสินเชื่อนั้น ธนาคารจะมีการพิจารณาจากการให้ข้อมูลของลูกค้า ได้แก่ เพศ อายุ การศึกษา อายุงาน อาชีพ ที่มารายได้ ฯลฯ ปัจจุบันธนาคารนำข้อมูลแต่ละปัจจัยมาประมวลจากข้อมูลปัจจัยของลูกค้าจำนวนมาก ซึ่งจะนำผลทั้งลูกค้าที่ดีและลูกค้าที่มีหนี้มาประมวลว่าข้อใดมีความเสี่ยงมากน้อยเท่าไร โดยเรียกว่า “Credit Scoring” ซึ่งถ้าลูกค้าไม่ผ่านเกณฑ์ก็จะถูกปฏิเสธสินเชื่อ 3. ไม่ผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำพิจารณาสินเชื่อ ธนาคารจะกำหนดเกณฑ์ขั้นต่ำไว้พิจารณาสินเชื่อบ้านนั่นก็คือ กำหนดว่าอายุ ต้องไม่ต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์ และไม่เกินกว่า 65 ปี และไม่ถูกธนาคาร ฟ้องร้อง ไม่ประกอบอาชีพที่มีความเสี่ยง เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งกำหนดว่า ผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำพิจารณาสินเชื่อบ้านหรือไม่ 4. ผู้กู้ติดเครดิตบูโรมีปัญหา ผู้กู้ต้องลงนามให้ธนาคารรับทราบผลการตรวจสอบเครดิตบูโร ว่าเป็นหนี้ที่มีปัญหาหรือไม่ และหากไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ชำระหนี้ให้หมดปัญหา ก็จะถูกธนาคารปฏิเสธสินเชื่อ 5. ไม่ผ่านเกณฑ์กำหนดทางราชการ ถ้าผู้กู้เข้าเกณฑ์ฟอกเงินหรือก่อการร้าย ก็จะถูกธนาคารปฏิเสธสินเชื่อ 6. ความสัมพันธ์ระหว่างผู้กู้หลักและผู้กู้ร่วมไม่เกี่ยวข้องกัน การมีผู้กู้ร่วมต้องเกี่ยวข้องกันโดยเป็น บิดามารดาและบุตร สามี-ภรยา หรือพี่น้องที่เกี่ยวข้องกับการอยู่อาศัย เพราะถ้าหากกู้ร่วมโดยเกี่ยวข้องกันนอกเหนือจากนี้ ก็จะถูกธนาคารปฏิเสธสินเชื่อ   ขอขอบคุณข้อมูลจาก  Home.co.th
ทำความสะอาดโซฟาผ้า ไม่ยากอย่างที่คิด

ทำความสะอาดโซฟาผ้า ไม่ยากอย่างที่คิด

โซฟาเป็นเฟอร์นิเจอร์ดาวเด่นในบ้าน ที่ทุกคนใช้เป็นที่นั่งคุย เป็นที่รับแขก หรือเป็นมุมดูหนังสุดโปรด ด้วยเหตุนี้โซฟาจึงเป็นเฟอร์นิเจอร์อีกชิ้นในบ้านที่เป็นแหล่งรวมความสกปรก ทั้งเศษขนม และคราบสกปรกต่าง ๆ เพราะฉะนั้นก็ถึงเวลาที่ต้องทำความสะอาดโซฟากันบ้างแล้วล่ะ โดยเฉพาะโซฟาผ้า ที่ดูจะทำความสะอาดยาก ซึ่งจะใช้วิธีไหนได้บ้าง มาดูกันเลยครับ  วิธีทำความสะอาดโซฟาผ้า 1. สำหรับโซฟาชนิดผ้าที่ถอดซักทำความสะอาดได้ ขั้นแรกก็ถอดปลอกหมอนและปลอกโซฟาไปซักทำความสะอาดก่อน โดยหลีกเลี่ยงการซักด้วยเครื่องเพราะอาจจะทำให้เนื้อผ้าเสียรูปทรงหรือเป็นขุยได้ เพราะฉะนั้นซักด้วยมือจะปลอดภัยที่สุด แต่ถ้าเป็นโซฟาที่ถอดทำความสะอาดไม่ได้ ก็ให้ใช้เครื่องดูดฝุ่น ทำความสะอาดฝุ่นและเศษขนมต่าง ๆ ที่ตกค้างอยู่บนโซฟา โดยเฉพาะบริเวณที่พักแขนและพนักพิงซึ่งเป็นบริเวณที่มักจะมีฝุ่นเยอะกว่าบริเวณอื่น ๆ 2. บริเวณที่ไม่มีผ้าคลุม เช่น บริเวณขาโต๊ะ หรือบริเวณโครงโซฟา ก็ทำความความสะอาดง่าย ๆ ด้วยผ้าชุบน้ำ บิดพอหมาด แล้วนำมาเช็ดทำความสะอาดให้ทั่ว หรือจะฉีดน้ำยาฆ่าเชื้อผสมไปด้วยเพื่อฆ่าเชื้อโรคก็ไม่ว่ากัน 3. หมอนอิงก็ควรจะทำความสะอาดด้วยเช่นกัน โดยเริ่มจากการถอดปลอกหมอนออกไปซักก่อน เสร็จแล้วให้นำหมอนมาแช่ลงในน้ำอุ่นที่ผสมน้ำยาทำความสะอาดจนหมอนชุ่มน้ำยา ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที จากนั้นเทน้ำยาออก แล้วล้างด้วยน้ำสะอาด พร้อม ๆ กับใช้มือกดหมอนเพื่อบีบน้ำยาออกจากหมอนให้หมด หากน้ำในถังเต็มไปด้วยฟองจากน้ำยา ก็ให้เปลี่ยนน้ำใหม่ ทำซ้ำอย่างนี้จนแน่ใจว่าไม่มีน้ำยาตกค้างในหมอนอีกแล้ว จากนั้นนำไปตากในที่ที่ลมโกรกดี และแสงแดดส่องถึง โดยหลีกเลี่ยงการตากในมุมอับชื้น เพื่อป้องกันเชื้อราไม่ให้มาเจริญเติบโตในหมอนได้ครับ 4. คราวนี้ก็ถึงตาทำความสะอาดโซฟาชิ้นใหญ่ โดยผสมน้ำเย็นและน้ำอุ่นอย่างละครึ่ง กับน้ำยาทำความสะอาดโซฟาโดยเฉพาะ หรืออาจจะใช้น้ำยาทำความสะอาดเบาะรถยนต์ก็ได้เช่นกัน ปริมาณที่ใช้ก็ตามฉลากที่บอกไว้ ค่อย ๆ ใช้ผ้าชุบน้ำยาพอหมาด อย่าให้ชุ่มมาก (แนะนำให้ใช้ผ้าสีขาว เพื่อจะเห็นคราบสกปรกได้ชัด) แล้วเช็ดทำความสะอาดโซฟาให้ทั่ว โดยกดเน้นในจุดที่มีคราบสกปรกติดอยู่เป็นพิเศษ เพื่อกำจัดคราบให้จางลง หากผ้าเริ่มดำก็เปลี่ยนผ้าผืนใหม่ทันที คราบสกปรกจากผ้าจะได้ไม่ตกค้างบนโซฟาอีก จากนั้นให้ใช้ผ้าแห้งซับความชื้นในโซฟาอีกครั้ง จนแน่ใจว่าโซฟาเริ่มแห้ง และถ้าเป็นไปได้ก็ควรนำโซฟาไปตากแดดจัด ๆ เพื่อกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์และฆ่าเชื้อโรคไปด้วยในตัว หรือถ้ารีบจะใช้ไดร์เป่าผมมาเป่าอีกแรงก็ได้ครับ คำแนะนำเพิ่มเติม สำหรับคราบสกปรกที่เปื้อนบนโซฟา อาจจะใช้น้ำยาทำความสะอาดเฉพาะจุดกำจัดคราบเหล่านั้นให้จางหายไปได้ แต่เพื่อความแน่ใจอย่าลืมทดลองน้ำยากับหลังโซฟาทุกครั้งก่อนใช้งานด้วยนะครับ เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดกับโซฟาชิ้นโปรดของคุณ โดยเฉพาะผ้าขนแกะและผ้าคอตตอนที่มักจะเกิดรอยย่นได้ง่าย และไม่ควรใช้ผงซักฟอกทำความสะอาดเด็ดขาด เพราะกรดในผงซักฟอกอาจทำลายเนื้อผ้า ทำให้อายุการใช้งานโซฟาสั้นลงด้วย นอกจากนี้การใช้ผ้าคลุมโซฟาก่อนจะนั่งหรือนอน ก็จะช่วยป้องกันเหงื่อไคลและเชื้อโรคจากตัวเราไปฝังอยู่ในโซฟาได้ดีอีกวิธีหนึ่งเลยครับ ใช้ขั้นตอนที่เรานำมาฝากนี้ไปจัดการทำความสะอาดโซฟาตัวโปรดของคุณ ทีนี้ก็นั่งกันได้อย่างสบายใจไร้เชื้อโรคแล้วครับ
5 ความเสี่ยงจากการซื้อบ้านและคอนโด

5 ความเสี่ยงจากการซื้อบ้านและคอนโด

การจะซื้อบ้านหรือคอนโดแต่ละครั้ง เราก็รู้กันดีอยู่แล้วว่าต้องใช้เงินจำนวนไม่น้อย และก็ใช่ว่าบ้านหรือคอนโดที่เราซื้อมาแล้วนั้นจะได้คุณภาพดีเสมอไป ดังนั้นก่อนจะซื้อบ้านหรือคอนโด เราจึงควรต้องมีการวางแผนให้ดี และเตรียมพร้อมรับมือกับความเสี่ยงเหล่านี้ให้ดีด้วยครับ 1. สินค้าด้อยคุณภาพ ปัญหานี้ถือได้ว่าเป็นปัญหาที่เรามักพบเจอกันได้มากที่สุด โดยสาเหตุนั้นมาจากการที่โครงการใช้สินค้าไม่มีคุณภาพหรือใช้วัสดุเกรดต่ำกว่าที่โฆษณาไว้ จึงทำให้เกิดปัญหาบ้านทรุด , กำแพงร้าว , น้ำรั่ว , ท่อตัน ตามมา 2. ส่งมอบล่าช้า ปัญหานี้มักเกิดกับคอนโดเป็นส่วนใหญ่ ด้วยสาเหตุหลักๆที่ทำให้เกิดการส่งมอบล่าช้า คือ โครงการไม่ผ่านEIA , โครงการยังขายไม่ถึงเป้า ซึ่งปัญหาการส่งมอบล่าช้านั้นถ้าผู้ซื้อเห็นว่าโครงการช้าเกินกว่ากำหนดแน่นอน ผู้ซื้อสามารถยกเลิกสัญญาได้ทันที และเรียกเงินคืนทั้งหมดพร้อมดอกเบี้ยในอัตราเดียวกันกับที่โครงการเรียกเก็บเราเมื่อมีการจ่ายเงินดาวน์ช้า หรือถ้าไม่ยกเลิกสัญญาก็มีสิทธิ์เรียกค่าปรับเป็นรายวันได้ร้อยละ 0.1% ของราคาห้องชุด แต่รวมแล้วต้องไม่เกินร้อยละ 10 โดยที่ในความเป็นจริงแล้วเมื่อคอนโดมีการส่งมอบล่าช้ากว่ากำหนด ส่วนใหญ่จะชดเชยเป็นโปรโมชั่นในวันโอนแทน 3. ของจริงไม่เหมือนโฆษณา ปัญหานี้มักพบบ่อย เพราะตอนไปดูบ้านหรือห้องตัวอย่าง มีสวยงามตกแต่งเป็นอย่างดี แต่พอได้ของจริง กลับไม่มีคุณภาพ ปัญหาที่มักพบได้แก่ งานไม่เรียบร้อย ไม่สมราคา และไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งปัญหาเหล่านี้เราจะไม่รับโอนก็ได้ เพราะถือว่าสินค้นผิดจากในสัญญา 4. การบริการแย่ ปัญหานี้มักเกิดจากการบริการหลังการขาย เพราะเมื่อผู้ซื้อจ่ายเงินครบ และมีการโอนรับบ้านหรือห้องเมื่อไร ผู้ซื้อจะหมดความสำคัญทันที เพราะหลังจากมีการโอนรับบ้านหรือห้องแล้ว เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นจะตามมาแก้ไข มาเก็บงานก็เป็นได้ยากแล้ว แต่ปัญหานี้เหล่านี้เราสามารถแก้ไขได้โดยการต้องยอมจ้างบริษัทตรวจรับบ้านคอนโดมาตรวจงานให้ละเอียดเรียบร้อยก่อนมีการโอนรับบ้านคอนโด 5. ยื้อเวลา ปัดความรับผิดชอบ ถึงแม้ว่าปัญหานี้จะมีกฏหมายรองรับไว้แล้ว แต่ผู้ซื้อก็มักเสียเปรียบอยู่ดี เพราะเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นแล้ว การจะเรียกร้องเอาเงินคืน ก็เป็นไปได้ค่อนข้างยากแล้ว ดังนั้นก่อนทำสัญญา ต้องมีการตกลงกันให้ดีก่อน ว่าถ้ากู้ไม่ผ่านยินดีคืนเงินอย่างไร และต้องทำเป็นหนังสือแนบท้ายสัญญาไว้ทุกขั้นตอน ตั้งแต่เงื่อนไข และวิธีการชำระเงินคืน ทุกปัญหาถือว่ามีความเสี่ยงทั้งนั้น ดังนั้นก่อนจะซื้อบ้านหรือคอนโด เราจึงต้องมีการตรวจสอบให้ดีครับ ขอขอบคุณข้อมูลจาก home.co.th
5 วิธีเด็ด ขจัดคราบมันในห้องครัว

5 วิธีเด็ด ขจัดคราบมันในห้องครัว

ปัญหาคราบน้ำมันที่เกิดจากการทำอาหาร ถือว่าเป็นปัญหาใหญ่ของ คุณพ่อบ้าน คุณแม่บ้านเลยนะครับ  อีกทั้งยังทำความสะอาดยากอีกด้วย วันนี้เราเลยของเอาใจ คุณพ่อบ้าน คุณแม่บ้านเป็นพิเศษ กับวิธีการขจัดคราบน้ำมันจากการทำอาหาร ด้วยวิธีง่ายแสนง่ายมาฝากกันครับ   1. บริเวณผนังห้องครัว   เรียกได้ว่าในส่วนนี้เป็นปัญหายอดฮิตกันเลยก็ว่า เพราะเวลาที่ทำอาหารทีไร  ไม่ว่าจะเป็นคราบน้ำมัน หรือ เศษอาหาร ก็ลอยไปติดกับผนังห้องครัวทุกที  โดย เฉพาะเมนูผัดต่างๆ จริงมั้ยครับ เพื่อนๆ ซึ่งหลังจากที่เพื่อนๆ ทำอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว ลองสังเกตุบริเวณผนังห้องครัวกันด้วยนะครับ ว่ามีคราบน้ำมันเหนียว ๆ  สีน้ำตาลเกาะอยู่บนผนังหรือไม่…ถ้ามีก็ควรรีบทำความสะอาดโดยด่วน ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้เพราะจะทำให้คราบน้ำมันสะสมและจะทำความสะอาดได้ยากขึ้นครับ วิธีทำความสะอาด : เพียงแค่เพื่อนๆ นำน้ำส้มสายชู  น้ำยาทำความสะอาดครัว และน้ำอุ่นมาผสมเข้าด้วยกัน  จากนั้นก็ใช้ฟองน้ำชุบส่วนผสม แล้วนำไปเช็ดบริเวณที่มีคราบน้ำมันครับ…แต่!! ขอย้ำว่าเป็นน้ำอุ่นนะครับ เพราะความร้อนและกรดที่ผสมกันนั้น จะช่วยไปละลายคราบที่เกิดขึ้น แถมยังทำความสะอาดได้ง่ายอีกด้วยนะครับ   2. อุปกรณ์เครื่องใช้ภายในครัว   ถือเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่พบเจอกันบ่อยมาก  อาทิ บริเวณเตาแก๊ส หรือ เคาน์เตอร์ในห้องครัว  เรียกได้ว่าหลังทำอาหารเสร็จ ต้องคอยเช็ดกันอยู่ตลอด  แล้วพลานทำให้หงุดหงิดเนื่องจากคราบน้ำมันนั้น ยิ่งเช็ดก็ยิ่งเลอะเทอะ!!! วิธีทำความสะอาด : สิ่งที่ควรทำอย่างแรกเลยคือ ล้างด้วยน้ำร้อนก่อน 1 รอบ เพื่อล้างพวกไขมันออกก่อน  จากนั้นนำน้ำส้มสายชู ผสมกับ น้ำเปล่า ในอัตรา 1 : 2 ส่วน  แล้วนำผ้าชุบส่วนผสม บิดพอหมาด นำไปเช็ดบริเวณที่เลอะคราบน้ำมัน  จากนั้นก็ทำความสะอาดด้วยน้ำสะอาดอีกหนึ่งครั้งครับ   3. พื้นภายในห้องครัว   ในส่วนของพื้นห้องนี้ มักจะไม่ค่อยมีปัญหาในเรื่องของคราบน้ำมันเท่าไร  นอกจากพวกเศษอาหารเล็กๆ น้อย ที่สามารถทำความสะอาดได้โดยง่าย แต่ก็ไม่ควรมองข้ามนะครับ เพราะบ้างทีอาจจะมีคราบน้ำมันกระเด็นลงมาติดที่พื้นห้องก็ได้ครับ วิธีทำความสะอาด : การทำความสะอากนั้น สามารถทำวิธีเดียวกับการทำความสะอาดผนังห้องได้เลยครับ โดยนำน้ำส้มสายชู  น้ำยาทำความสะอาดครัว และน้ำอุ่นมาผสมเข้าด้วยกัน  จากนั้นก็ใช้ผ้าชุบส่วนผสม บิดพอหมาด แล้วนำไปเช็ดบริเวณที่มีคราบน้ำมันครับ   4. พัดลมดูดควัน   เพื่อนๆ หลายคนอาจจะมองข้ามสิ่งนี้ไป  แต่พัดลมดูดควันนี่แหละครับ ที่ได้รับพวกคราบน้ำมันไปแบบเต็มๆ  เพราะควันที่ดูดเข้าไปนั้น จะมีคราบน้ำมันปะปนอยู่ด้วยนั้นเองครับ  ถึงแม้จะเป็นส่วนที่ทำความสะอาดได้ยาก  แต่เราก็มีวิธีที่ง่ายแสนง่ายในการทำความสะอาดครับ วิธีทำความสะอาด : นำโซดาไฟประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ ละลายเข้ากับน้ำสะอาดประมาณ 1 ลิตร คนจนผงละลาย จากนั้นใช้แปรงจุ่มลงไป แล้วนำไปขัดที่บริเวณใบพัด เมื่อสะอาดเรียบร้อยแล้ว ล้างด้วยน้ำสะอาดอีกหนึ่งครั้ง พร้อมกับเช็ดให้แห้งครับ   5. ท่อน้ำทิ้ง   ถึงจะเป็นสิ่งที่เรามองไม่เห็น แต่รับรองครับ ว่าต้องมีพวกเศษอาหารหรือคราบน้ำมันเกาะอยู่ภายในอย่างแน่นอน อีกทั้งยังเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหาท่ออุดตันอีกด้วย  ฉะนั้น  เพื่อนๆ อย่าละเลยในส่วนนี้นะครับ  เพราะถ้าเกิดปัญหาท่ออุดตันขึ้นมานั้น อาจจะยุ่งกว่าเดิมได้ครับ วิธีทำความสะอาด : นำเบกกิ้งโซดาใส่ลงไปในท่อประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ  ต่อด้วยเทน้ำส้มสายชูตามลงไปอีก 2 ช้อนโต๊ะ  จากนั้นปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วจึงราดน้ำร้อนตามลงไป เพียงเท่านี้พวกคราบน้ำมันหรือไขมัน ก็หายไปในพริบตาแล้วครับ   ขอขอบคุณข้อมูลจาก www.infinitydesign.in.th/
ลงทุนคอนโดฯ ปล่อยเช่า ทำอย่างไรให้ไปรอด

ลงทุนคอนโดฯ ปล่อยเช่า ทำอย่างไรให้ไปรอด

เมื่อพูดถึงการลงทุนที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนหรือรายได้แก่ผู้ลงทุนอย่างสม่ำเสมอ เชื่อว่าหลายๆ คนจะนึกถึงคอนโดฯ ปล่อยเช่า โดยถ้าคอนโดฯ อยู่ในทำเลที่ดี เดินทางสะดวก มีผู้เช่าตลอด ก็ช่วยสร้างรายได้ให้ตัวเราได้อย่างต่อเนื่อง แถมราคาคอนโดฯ มีโอกาสปรับขึ้นเรื่อยๆ เมื่อขายต่อก็ได้กำไร แต่ปัจจุบัน เรียกว่า เป็นยุคที่คอนโดฯ ในเมืองผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด มองไปทางไหนก็เห็นแต่คอนโดฯ ขึ้นเต็มไปหมด ทำให้การลงทุนปล่อยเช่าคอนโดฯ จำเป็นต้องคิดให้รอบคอบมากขึ้น และเดี๋ยวนี้ หลายๆ คนก็ซื้อคอนโดฯ มาปล่อยเช่าด้วยการขอสินเชื่อ ซึ่งเรามีคำแนะนำมาฝากครับ สำหรับผู้ที่ต้องการกู้ซื้อคอนโดฯ เพื่อปล่อยเช่านั้น เราแนะนำว่า อย่ากู้เกิน 60% ของราคาคอนโดฯ เพราะอะไรนั้น มาดูกันครับ เนื่องจากการให้เช่าคอนโดฯ ควรคำนวณต้นทุนให้ครบถ้วน หลักๆ ได้แก่ ค่าผ่อนต่อเดือน คำนวณง่ายๆ คือ ถ้ากู้ 1 ล้านบาท จะผ่อน 7,000 บาทต่อเดือน ค่าส่วนกลาง โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 40 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน ค่านายหน้า กรณีใช้บริการหาผู้เช่าผ่านนายหน้า มักจ่ายค่าธรรมเนียม 1 เดือนของค่าเช่า นอกจากนี้ ยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ จากการซื้อคอนโดฯ เช่น ค่าธรรมเนียมการโอน (2% ของราคาประเมิน) ค่าจดจำนองอสังหาฯ (1% ของวงเงินกู้) และค่าใช่จ่ายที่เกิดขึ้นระหว่างที่ใช้เช่าคอนโดฯ เช่น ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประเภทรายได้ค่าเช่า ยกตัวอย่าง กู้ซื้อคอนโดฯ ราคา 1 ล้านบาท ขนาด 25 ตารางเมตร เพื่อปล่อยเช่า โดยเก็บค่าเช่าได้ประมาณ 6,000 บาทต่อเดือน จะเห็นได้ว่า หากขอสินเชื่อจากธนาคารเกิน 60% อาจทำให้การปล่อยเช่าคอนโดฯ ให้ผลตอบแทนที่ขาดทุน ดังนั้น ควรกู้ธนาคารไม่เกิน 60% ของราคาคอนโดฯ ที่เหลือก็ใช้เงินทุนตัวเองมาเป็นเงินดาวน์ โดยยิ่งดาวน์เยอะ กู้น้อย ค่าผ่อนต่อเดือนก็จะไม่สูงนัก ช่วยให้รายได้ค่าเช่าครอบคลุมค่าผ่อนและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในแต่ละเดือนด้วยครับ ทั้งนี้ คอนโดฯ ที่คนส่วนใหญ่ซื้อลงทุน มักอยู่ในทำเลทอง ใกล้รถไฟฟ้า ใกล้แหล่งชุมชน ห้างสรรพสินค้า ทำให้ผู้เช่ามีตัวเลือกมากมาย โดยคอนโดฯ หลายๆ แห่งก็มีผู้เช่าต่อเนื่อง ในขณะที่บางแห่งอาจไม่มีผู้เช่าตลอดทั้งปี ซึ่งจากการสอบถามผู้ให้เช่าคอนโดฯ หลายๆ ท่านพบว่า โดยเฉลี่ยในหนึ่งปีสามารถปล่อยเช่าคอนโดฯ ได้ประมาณ 8 เดือน ดังนั้น ผู้ที่จะลงทุนในคอนโดฯ ควรมีเงินสำรองเตรียมไว้เพื่อรองรับค่าใช้จ่ายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นค่าผ่อนรายเดือน และค่าส่วนกลางอย่างน้อย 4 เดือน ในระหว่างที่ขาดผู้เช่า รวมถึงยังต้องสำรองเงินอีกจำนวนหนึ่งไว้เป็นค่าบำรุงรักษาห้อง เพราะอาจเป็นไปได้ว่าเงินประกันที่เรียกเก็บจากผู้เช่าอาจไม่เพียงพอต่อการซ่อมแซมเพื่อปล่อยเช่าใหม่ อีกเรื่องหนึ่งที่ผู้ลงทุนในคอนโดฯ ควรรู้ นั่นคือ คอนโดฯ ที่ซื้อเพื่อปล่อยเช่าอาจถือเป็นบ้านหลังที่สองตาม พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งต้องเสียภาษี ตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นไป ที่อยู่อาศัยที่ถือว่าเป็นบ้านหลังที่สอง คือ มีแค่ชื่ออยู่หลังโฉนด แต่ไม่มีชื่อในทะเบียนบ้าน จะเสียภาษีในอัตรา 0.03-0.3% ของราคาประเมิน โดยภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง คาดว่าจะเริ่มใช้ปี 2560 ซึ่งต้องติดตามข่าวสารและรายละเอียดกันอีกครั้งนะครับ แม้ว่าการปล่อยเช่าคอนโดฯ จะเป็นการลงทุนที่น่าสนใจ ผู้ลงทุนมีโอกาสได้ผลตอบแทนหรือรายได้สม่ำเสมอจากค่าเช่า แต่การลงทุนก็ตามมาด้วยความเสี่ยง เช่น เสี่ยงที่จะไม่มีผู้เช่า เสี่ยงที่จะปล่อยเช่าได้ในราคาที่ต่ำกว่าค่าผ่อนหรือค่าใช้จ่ายต่างๆ ดังนั้น ผู้ลงทุนจึงควรศึกษาข้อมูล และเตรียมความพร้อมด้านการเงินให้ดีก่อนลงทุนในคอนโดฯ ปล่อยเช่าครับ   ขอขอบคุณข้อมูลจาก k-expert
10 วิธีดับกลิ่นฉี่ในห้องน้ำ ฉุนแค่ไหนก็จัดการได้

10 วิธีดับกลิ่นฉี่ในห้องน้ำ ฉุนแค่ไหนก็จัดการได้

วิธีดับกลิ่นฉี่ในห้องน้ำ จบปัญหากลิ่นฉุน ๆ จนทำให้ไม่อยากเข้าห้องน้ำ ด้วย 10 วิธีดับกลิ่นฉี่ในห้องน้ำ พร้อมวิธีทำความสะอาดที่ทำให้ห้องน้ำของคุณไม่มีคราบสกปรกหลงเหลืออีกต่อไป ห้องน้ำจะเสียบรรยากาศสุด ๆ เมื่อเปิดประตูเข้าไปแล้วได้กลิ่นฉี่ตลบอบอวล โดยเฉพาะตอนที่มีแขกมาที่บ้าน แทบไม่อยากให้เขาเข้าห้องน้ำเลยใช่ไหมล่ะ วันนี้กระปุกดอทคอมเลยรวมวิธีดับกลิ่นฉี่ในห้องน้ำมาฝาก ใครถนัดวิธีไหนก็นำไปทำตามได้เลย เพราะอุปกรณ์ที่จะนำมาใช้ สามารถหาได้จากในบ้านทั้งนั้น ว่าแล้วก็ตามไปดูกันดีกว่าว่ามีวิธีไหนที่สามารถดับกลิ่นฉี่ในห้องน้ำได้ผลบ้าง 1.สเปรย์น้ำยาล้างจาน ใช้ดับกลิ่นฉี่ได้ วิธีนี้สามารถใช้ทำความสะอาดและดับกลิ่นห้องน้ำได้ในคราวเดียวกัน ผสมน้ำยาล้างจาน 1 ช้อนโต๊ะ กับน้ำเปล่า 6 ออนซ์ แล้วเทใส่ขวดสเปรย์ นำไปฉีดให้ทั่วชักโครก รวมถึงในแท็งก์น้ำของชักโครก แล้วใช้แปรงขัดตาม จากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาด กลิ่นก็จะหายไป 2.ดับกลิ่นฉี่ด้วย น้ำมะนาวผสมเบกกิ้งโซดา เป็นสูตรผสมที่สามารถหาได้จากในห้องครัว เพียงแค่ผสมน้ำมะนาวกับเบกกิ้งโซดาให้เป็นเนื้อสครับเข้มข้น แล้วนำไปถูให้ทั่วชักโครก รวมทั้งแท็งก์นี้และขอบยาแนว ทิ้งไว้ 15 นาที จากนั้นเปิดฝาแท็งก์น้ำด้านหลังโถออก จัดการเทน้ำส้มสายชู ½ ถ้วยตวงลงไป ทิ้งไว้ 15 นาที กดน้ำทิ้ง 2-3 ครั้ง เทน้ำส้มสายชูลงไปเพิ่มอีก ½ ถ้วยตวง ปล่อยทิ้งไว้สักพัก ระหว่างนั้นให้นำแปรงสีฟันที่ไม่ใช้แล้วมาขัดทำความสะอาดตามร่องเล็ก ๆ ที่ชักโครกให้สะอาด แล้วกดน้ำทิ้งซ้ำอีกครั้ง ให้น้ำและน้ำส้มสายชูชะล้างคราบและกลิ่นฉี่ออกไป 3.เทสารฟอกขาวลงในโถส้วม ดับกลิ่นฉี่ได้ บ้านไหนที่เจอปัญหากลิ่นฉี่ฉุนรุนแรงจนน่าเวียนหัว ให้นำสารฟอกขาว 1 ถ้วยตวง เทลงในโถส้วม แล้วทิ้งไว้สักพัก จากนั้นนำฟองน้ำหรือแปรงขัดมาชุบสารฟอกขาวเพียงเล็กน้อย เพื่อขัดไปรอบ ๆ โถให้ทั่ว กดน้ำในโถส้วมทิ้งไปหลาย ๆ รอบ ล้างโถให้สะอาดก็เป็นอันเสร็จ 4.ดับกลิ่นฉี่ด้วยการซักทำความสะอาดพรมในห้องน้ำ หากในห้องน้ำมีพรมเช็ดเท้า ก็อย่าลืมนำมาซักด้วยนะครับ เพราะอาจจะมีฉี่สะสมไว้เป็นเวลานานจนทำให้ส่งกลิ่นเหม็นไปทั่ว ฉะนั้นเมื่อไรที่ทำความสะอาดห้องน้ำก็อย่าลืมนำพรมไปซักด้วยเลยทีเดียว 5.ก้อนเบกกิ้งโซดาดับกลิ่นฉี่ ส่วนวิธีนี้เริ่มจากนำเบกกิ้งโซดามาผสมกับกรดมะนาว น้ำส้มสายชู ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ และน้ำมันหอมระเหย คนส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันดี จากนั้นตักใส่แม่พิมพ์ แล้วรอให้จับตัวเป็นก้อน ค่อยนำไปใส่ขวดโหลเพื่อใช้ในห้องน้ำ ได้กลิ่นเหม็นเมื่อไร ก็หยิบก้อนดับกลิ่นใส่โถส้วมไปเลยครับ 6.น้ำสบู่ผสมน้ำส้มสายชูช่วยดับกลิ่นฉี่ เป็นอีกสูตรที่สามารถดับกลิ่นได้ดีเยี่ยม โดยการนำเบกกิ้งโซดา ¼ ถ้วยตวง มาผสมกับน้ำส้มสายชู ¼ ถ้วยตวง เติมน้ำเปล่าลงไปอีก 2 แกลลอน และที่ขาดไม่ได้เลย นั่นก็คือ สบู่เหลว 30 มิลลิลิตร สำหรับบ้านไหนที่มีปัญหากลิ่นฉี่หนักหน่วงจนยากเกินจะแก้ไข แนะนำให้ผสมผงบอแร็กซ์ลงไปอีก ½ ถ้วยตวง แล้วคนให้เข้ากัน นำไปทำความสะอาดพื้นห้องน้ำ โดยเฉพาะบริเวณที่มีกลิ่นฉี่ก็เรียบร้อย 7.ใช้สเปรย์ดับกลิ่นฉี่ที่โถทุกครั้งหลังใช้งาน มาป้องกันและแก้ปัญหากลิ่นฉี่กันซะตั้งแต่เนิ่น ๆ ด้วยการ DIY สเปรย์ดับกลิ่นกันดีกว่า โดยผสมแอลกอฮอล์ 1 ช้อนชา น้ำมันหอมระเหยกลิ่นที่ชอบประมาณ 30-40 หยด และน้ำเปล่าอีกเล็กน้อยพอให้ไม่ข้นจนเกินไป แล้วเทใส่ขวดสเปรย์ ใช้ฉีดที่ชักโครกทุกครั้งหลังถ่ายเสร็จ 8.ใช้เกลือผสมน้ำส้มสายชูดับกลิ่นฉี่ นอกจากกลิ่นที่มาจากโถส้วมแล้ว ตามพื้นห้องน้ำก็มีคราบฉี่ที่คอยส่งกลิ่นฉุนอยู่เหมือนกัน ดังนั้นเราจึงต้องทำความสะอาดพื้นห้องน้ำด้วยส่วนผสมดังต่อไปนี้ เริ่มจากนำเกลือ 1 ถ้วยตวง มาผสมกับเบกกิ้งโซดา 1 ถ้วยตวง และตามด้วยน้ำส้มสายชูอีก 1 ถ้วยตวง คนให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันดี จากนั้นใช้แปรงเกลี่ยส่วนผสมให้ทั่วพื้นห้องน้ำและที่ชักโครก ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วเช็ดส่วนผสมออกให้หมดหรือล้างออกด้วยน้ำสะอาด กลิ่นก็จะหายไปเอง 9.ใช้สเปรย์แอมโมเนียดับกลิ่นฉี่ สเปรย์แอมโมเนียก็ช่วยดับกลิ่นฉี่ได้ เพียงแค่นำแอลกอฮอล์ขนาด 2 ถ้วยตวง มาผสมกับสบู่เหลว 1 ช้อนชา และแอมโมเนียธรรมดาหรือแอมโมเนียกลิ่นมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ ในระหว่างที่กำลังผสมอย่าคนจนเกิดฟองอากาศเด็ดขาด แล้วเทใส่ขวดสเปรย์เก็บไว้ หากเจอกลิ่นและคราบฉี่ตรงไหน ก็ฉีดสเปรย์ลงไปและราดน้ำให้เรียบร้อย 10.DIY เครื่องหอมช่วยดับกลิ่นฉี่  สำหรับคนที่ชอบกลิ่นหอม ๆ น่าจะชอบวิธีนี้ เริ่มจากฝานเลมอนแล้วนำไปใส่ในขวดโหลที่มีฝาปิด ตามด้วยโรสแมรี่ 2 ก้าน วานิลลาสกัด 1 ช้อนชา เติมน้ำให้เกือบเต็มขวดโหล นำไปแช่ในตู้เย็นประมาณ 2 สัปดาห์ แล้วค่อยนำเอาออกมาต้มด้วยไฟกลางให้พอเดือด เทใส่ขวดโหล จากนั้นก็นำไปวางในห้องน้ำได้เลย เห็นไหมครับว่า กลิ่นฉี่ฉุน ๆ ในห้องน้ำไม่ใช่เรื่องยากเกินแก้ไขอีกต่อไป เพราะแค่นำวิธีการและสูตรดับกลิ่นที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ไปลองทำและใช้ แล้วจะรู้ว่ามันง่ายและได้ผลดีจนต้องบอกต่อกันเลยทีเดียว นอกจากการดับกลิ่นฉี่แล้ว ยังมีเคล็ดลับอื่นๆ สำหรับบ้านเรา เทคนิคดีๆ 5 เคล็ดลับ จัดการกลิ่นในห้องครัว เคล็ดลับการรักษาพรม และเลือกซื้อให้ถูกวิธี ทางลัดลดค่าไฟ 15 วิธีจัดห้องนอนให้เย็นสบายโดยไม่เปิดแอร์
คอนโดฯ ฮวงจุ้ยดีๆ ทำไมต้องชั้นสูงๆ

คอนโดฯ ฮวงจุ้ยดีๆ ทำไมต้องชั้นสูงๆ

คอนโดมิเนียมเป็นที่พักอาศัยประเภทหนึ่งที่สามารถจัดฮวงจุ้ยได้ แต่อาจจะต่างกับบ้านนิดหน่อยตรงที่คอนโดฯ มักมีข้อจำกัดหรือมีทางเลือกไม่มากนักในการจัดหรือปรับเปลี่ยนฮวงจุ้ย เพราะฟังก์ชั่นหรือตำแหน่งของห้องต่างๆ หรือเฟอรนิเจอร์ชิ้นใหญ่ๆ ล้วนถูกกำหนดหรือเรียกว่าฟิกซ์ค่อนข้างตายตัวเกือบหมดแล้ว ไม่เหมือนกับบ้านที่ยังพอปรับเปลี่ยนมุมหรือตำแหน่งได้ง่ายกว่า     อย่างไรก็ตามในทางฮวงจุ้ยถือว่าคอนโดฯ เป็นลักษณะของฮวงจุ้ยที่ดีอย่างหนึ่ง ซึ่งอาจจะดีกว่าบ้านด้วยซ้ำ เหตุผลเป็นเพราะอะไรมาฟังคำเฉลยของผู้รู้ไปด้วยกัน   อาคารสูงๆ ส่งเสริมพลังธาตุไม้และธาตุไฟ: หลักการของฮวงจุ้ยเชื่อว่าลักษณะโครงสร้างของอาคารเป็นเช่นไร ผู้อยู่อาศัยข้างในก็จะเป็นเช่นนั้น   *คอนโดฯ สูงเป็นลักษณะของพลังงานธาตุไม้และธาตุไฟ ส่งเสริมด้านสติปัญญาและชื่อเสียง ยิ่งอยู่ชั้นสูงๆ ยิ่งกระตุ้นให้เกิดความคิด สำเร็จในการขยายกิจการ ถ้าห้องมีระเบียงกว้างๆ หันหน้าไปทางทิศใต้หรือตะวันตกเฉียงใต้ก็จะยิ่งนำพารายได้เข้ามามาก   ด้วยเหตุนี้ลักษณะอาคารของคอนโดฯ ส่วนใหญ่ที่มักเป็นอาคารสูง หรือเป็นอาคารในทางยาว-แหลมอันเป็นลักษณะของพลังงานธาตุไม้และธาตุไฟ โดยพลังธาตุไม้เป็นการส่งเสริมด้านสติปัญญาและการพัฒนาตนเอง ขณะที่พลังธาตุไฟเป็นการส่งเสริมให้เกิดชื่อเสียง     ดังนั้นผู้ที่ทำงานเกี่ยวกับการใช้ความคิด เกี่ยวกับการใช้ชื่อเสียงเพื่อการหาเงิน หรือผู้ที่กำลังศึกษาหาความรู้อย่างนักเรียน นักศึกษาก็จะเหมาะมากสำหรับการอยู่คอนโดฯ   ห้องชั้นสูงๆ กระตุ้นความคิด: ข้อดีของการอยู่ในชั้นที่สูงนั้นไม่ค่อยมีอาคารอื่นมาบดบังระเบียงห้อง ซึ่งเปรียบได้กับปากประตูรับพลังจากลม ทำให้กระแสพลังแห่งโชคลาภพามาสู่ห้องเราได้ดีขึ้น และทัศนียภาพทางสายตาที่มีมีอะไรมาขวางกั้นจะช่วยกระตุ้นจิตสำนึกของผู้อยู่อาศัยให้คิดกว้างและคิดไกล ส่งผลให้มีโอกาสประสบความสำเร็จสามารถขยายกิจการได้ง่าย จนมีคำกล่าวไว้ว่า “หากผู้ใดจะทำมาหากินกับแดนไกล เหม่งตึ๊งจะต้องโล่ง”     ถ้าเปรียบตามความหมายนี้ก็คือหากผู้ใดที่ทำงานกับชาวต่างชาติหรือขยายกิจการรองรับงานต่างประเทศก็ควรจะให้จุดที่เรามองจากระเบียงคอนโดฯ นั้นโล่ง ไม่มีสิ่งกีดขวาง เป็นการทำให้เกิดสภาพเหม่งตึ๊งดีๆ  ส่วนจะโล่งให้ไปถึงไหนนั้นขอนำเอาเคล็ดลับมาบอกคือ “หากอยู่ใกล้น้ำพิจารณาแม่น้ำหรือสระว่ายน้ำ อยู่ใกล้ถนนให้เลือกระเบียงไปหาถนน” เพราะทั้งถนนและแม่น้ำเป็นแหล่งจ่ายกระแสพลังนั่นเอง   มีระเบียงรับลมธรรมชาติ: ห้องคอนโดฯ ส่วนใหญ่มักเป็นห้องมีระเบียง โดยระเบียงห้องเปรียบได้กับประตูทางเข้าบ้านซึ่งเป็นทางที่มีลมธรรมชาติไหลเวียนผ่านมามากที่สุด ในทางฮวงจุ้ยใช้พิจารณาในเรื่องรายได้ หากสามารถรับลมเข้ามาได้มากยิ่งมีโอกาสรวยได้มากนั่นเอง   ดังนั้น ระเบียงที่เราเลือกก็ควรจะรับกับทิศทางลม และคอนโดฯ ที่หันระเบียงไปทิศใต้หรือทิศตะวันตกเฉียงใต้จะทำให้ได้ลมเข้าบ้านได้มากที่สุด นอกจากทิศทางลมแล้วยังมีอีกสิ่งที่ต้องพิจารณานั่นคือขนาดของระเบียงหน้าประตู เราเรียกว่าเป็น “เหม่งตึ๊งภายนอก” ที่ยิ่งกว้างมากใหญ่มากยิ่งดีนั่นเอง   ที่กล่าวมาทั้งหมดจึงเป็นคำตอบได้ชัดเจนว่าการอยู่ในคอนโดฯ ชั้นสูงๆ นั้นส่งผลดีให้เราอย่างไรบ้าง แต่ถ้าจะให้ดีที่สุดคงต้องทราบรายละเอียดดวงชะตาของผู้ที่จะเข้าไปอยู่ เนื่องจากซินแสผู้มีความรู้จะได้คำนวณเลือกห้องในตำแหน่งที่ดีที่สุดให้กับท่านนั่นเอง   ที่มา : คอลัมน์ Feng Shui ประจำเดือน ก.ย. 59 นิตยสาร Home Buyers' Guide  
คอนโดฯสร้างไม่เสร็จ ควรทำอย่างไร

คอนโดฯสร้างไม่เสร็จ ควรทำอย่างไร

ขณะนี้โครงการคอนโดฯ ในหลายพื้นที่เริ่มเกิดปัญหาให้ได้พบเห็นกัน ทั้งโครงการหยุดสร้าง โครงการโดนเทคโอเวอร์ หรือแม้กระทั่งโครงการกำลังจะโดนยึดจากธนาคารก็มี แล้วผู้ซื้อคอนโดนอย่างเราๆจะต้องประสบกับความยุ่งยากที่จะตามมาอย่างแน่นอน ควรจะต้องทำอย่างไร ขั้นแรกที่สุดคือเริ่มสังเกตวี่แววคอนโดฯของเราก่อน ว่าสร้างช้าผิดปกติหรือไม่ หากเป็นคอนโดฯโลว์ไรส์ 8 ชั้น จะใช้เวลาก่อสร้างไม่เกิน 1.5 ปี แต่ถ้าเป็นคอนโดฯไฮไรส์ 20 ชั้นขึ้นไป จะใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 2.5 ปี ถ้าเกินกว่านี้อาจประเมินได้ว่าน่าจะมีปัญหาอะไรสักอย่าง ถึงส่งผลให้การก่อสร้างช้ากว่าปกติหากเป็นเช่นนั้น ทางโครงการดำเนินการก่อสร้างล่าช้ากว่ากำหนด ผู้ซื้อสามารถยกเลิกสัญญาขอคืนเงินพร้อมดอกเบี้ยได้ แต่หากยอมรับกับความล่าช้าที่เกิดขึ้นได้ และยังต้องการรับโอน ทางโครงการจะเสียค่าปรับจากกรณีก่อสร้างล่าช้าให้ด้วย แต่ถ้าร้ายแรงถึงขั้นถูกธนาคารฟ้องร้อง หากบังคับคดีจนถึงขั้นยึดทรัพย์แล้ว ผู้ซื้อสามารถฟ้องเพื่อให้เจ้าของโครงการคืนเงินที่จ่ายไปได้ แต่สิทธิในฐานะเจ้าหนี้จะไม่เท่ากับเจ้าหนี้ธนาคารที่มีการจดทะเบียนจำนองค้ำประกันหนี้ ผู้ซื้อจึงได้ชำระหนี้ภายหลังจากเจ้าของโครงการชำระหนี้แก่ธนาคารแล้วเท่านั้น ในอีกกรณีหนึ่งคือโครงการถูกเทคโอเวอร์ เปลี่ยนมือเจ้าของกิจการไป เจ้าของโครงการจะต้องโอนสิทธิตามกฎหมาย ถ้าเรายินยอม ผู้ซื้อก็จะเป็นคู่สัญญาใหม่กับเจ้าของรายใหม่ มีสิทธิตามสัญญาจะซื้อจะขายฉบับเดิมกับเจ้าของโครงการใหม่จึงมีสิทธิในห้องชุดที่ซื้อ แต่หากเจ้าของโครงการขายโครงการให้กับบุคคลภายนอกไปเฉยๆ ระหว่างผู้ซื้อกับเจ้าของโครงการถือว่าเจ้าของโครงการผิดสัญญา ต้องคืนเงินพร้อมดอกเบี้ย   ขอขอบคุณข้อมูลจาก  home.co.th
7 วิธีเลือกคอนโดให้อยู่แล้วปลอดภัย

7 วิธีเลือกคอนโดให้อยู่แล้วปลอดภัย

คอนโดก็เปรียบเสมือนบ้านอีกหลังนึงของเรา นั่นก็หมายความว่า การจะซื้อคอนโดเพื่ออยู่อาศัย นอกจากจะเลือกจากทำเล ฟังก์ชั่น ส่วนกลาง และราคาแล้ว การดูเรื่องความปลอดภัยของคอนโดก็เป็นเรื่องที่สำคัญมากอีกเช่นกัน เราจึงรวบรวมสิ่งที่ต้องดูให้ดีว่าคอนโดที่ปลอดภัยต้องมีอะไรบ้าง ดังนี้ 1. กล้องวงจรปิดถือว่าเป็นสิ้งที่ป้องกันภัยได้ในระดับหนี่ง เพราะหากเกิดภัยขึ้นมาก็สามารถติดตามตัวได้ 2. ระบบคีย์การ์ดเข้าออกโครงการในส่วนนี้ถือเป็นการเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้พักอาศัยได้ในระดับนึง เพราะคนที่จะเข้าออกโครงการได้จะต้องเป็นผู้ที่พักอาศัยภายในคอนโดนั้นเพราะจะมีคีย์การ์ดเป็นของตัวเอง แต่ถ้าเป็นคนภายนอกต้องมีการแลกบัตร ซึ่งเมื่อมีเหตุเกิดขึ้น ก็สามารถติดตามได้จากบัตรที่แลกไว้ 3. ระบบคีย์การ์ดเข้าออกอาคารหรือล็อบบี้ถ้าโครงการไหนที่มีคีย์การ์ดบริเวณเข้าออกอาคารหรือล็อบบี้ด้วยนั้นถือว่าเป็นข้อดี เพราะจะช่วยให้มีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น และช่วยคัดคนนอกที่จะเข้ามาภายในด้วย 4. ระบบคีย์การ์ดเข้าโถงลิฟต์สำหรับโครงการไหนที่มีการสแกนคีย์การ์ดเข้าออกมาถึงบริเวณโถงลิฟต์ด้วย ก็ยิ่งช่วยเพิ่มความปลอดภัยมากขึ้นไปอีกด้วย 5. ลิฟต์ล็อคชั้นคอนโดที่มีการล็อคชั้นของลิฟต์ นั้นถือเป็นข้อดีในการเพิ่มความเป็นส่วนตัวให้กับผู้อยู่อาศัย และยังป้องกันการมั่วของคนพักอาศัยได้อีกด้วย 6. Digital Door Lock หรือ ประตูล็อคอัตโนมัติระบบนี้ถือว่ามีข้อดีเพราะเพียงแค่ปิดประตูห้อง ก็สามารถล็อคห้องได้โดยอัตโนมัติแล้ว โดยไม่ต้องห่วงว่าจะมีใครมางัดแงะประตูห้องได้ 7.ระเบียงห้องต้องไม่ติดกันการเลือกโครงการที่ระเบียงห้องไม่ติดกัน ก็ถือว่าช่วยในเรื่องความปลอดภัยได้อีกเหมือนกัน เพราะบางทีภัยอันตรายอาจจะมาจากห้องข้างๆก็เป็นได้   ที่มา นิตยสาร The Condominium เดือนพฤศจิกายน 2558
6 เคล็ดลับเลือกทำเลคอนโดติดรถไฟฟ้า

6 เคล็ดลับเลือกทำเลคอนโดติดรถไฟฟ้า

การลงทุนคอนโดที่ได้รับความสนใจ ส่วนใหญ่มักเป็นคอนโดใจกลางเมืองตามแนวรถไฟฟ้า เพราะได้ผลตอบแทนค่าเช่าสูง แต่ว่าการเลือกลงทุนคอนโดใจกลางเมืองตามแนวรถไฟฟ้านั้น ก็ต้องเลือกให้ถูกที่ถูกทำเลด้วย 1.ต้องอยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้าไม่เกิน 400 เมตรจากทางขึ้นลงสถานี เพราะถือว่าเป็นระยะที่สะดวกในการเดินไปใช้บริการ อีกทั้งยังเป็นบริเวณที่น่าสนใจและได้รับอานิสงส์จากผังเมืองใหม่ ที่มักได้รับการพัฒนาก่อนบริเวณอื่น 2.เน้นเลือกสถานีรถไฟฟ้าที่คนนิยมใช้บริการกันโดยดูจากสถานีรถไฟฟ้าที่คนใช้บริการสูงสุด เพราะจะเป็นตัวบ่งชี้ว่าทำเลนั้นมีความต้องการคอนโดสูง 3.พิจารณาราคาขายและค่าเช่าคอนโดโดยดูจากราคาขายต่อตารางเมตร และค่าเช่าที่ได้รับต่อตารางเมตร ซึ่งจะแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ ก่อนจะเลือกซื้อคอนโดควรลงพื้นที่สำรวจให้ดีก่อน 4.เน้นเลือกสถานีที่มีที่จอดรถสาธารณะอยู่ใกล้ๆไม่ว่าจะเป็นที่จอดรถของรถไฟฟ้าหรือที่จอดรถของห้าง รวมไปถึงสถานศึกษาหรือสถานที่ราชการ เพราะถ้าเกิดที่จอดรถในคอนโดไม่พอ ก็อาจจะไปจอดรถในสถานที่เหล่านี้ได้ 5.เน้นเลือกสถานีที่เป็นจุดเชื่อมต่อ เพราะจะเป็นจุดที่มีคนเข้ามาใช้บริการมากกว่าสถานีอื่น ซึ่งจุดเชื่อมต่อที่สำคัญๆ ได้แก่ หมอชิต อโศก ศาลาแดง และสยาม 6.อยู่ใกล้เส้นทางคมนาคมทางเลือกได้แก่ ใกล้ทางขึ้นทางด่วน ท่ารถ ท่าเรือ หรือที่จอดรถแท๊กซี่ เพราะสิ่งเหล่านี้จะช่วยอำนวยความสะดวกแก่ผู้อยู่อาศัยในคอนโดได้เป็นอย่างดี   ขอขอบคุณข้อมูลจาก  นิตยสาร The Condominium เดือนมิถุนายน 2559
ข้อดีของการซื้อคอนโด ซื้อบ้าน หลุดดาวน์

ข้อดีของการซื้อคอนโด ซื้อบ้าน หลุดดาวน์

เศรษฐกิจไม่ดีเป็นปัญหาใหญ่ทำให้ผู้ที่กำลังผ่อนดาวน์บ้านหรือคอนโด เริ่มไมไหวกับภาระ ทั้งเรื่องค่าใช้จ่ายและการผ่อนที่อยู่อาศัย และอาจรวมถึงคนที่ได้ยื่นขอสินเชื่อกับธนาคารแต่กู้ไม่ผ่าน จนเป็นเหตุให้เกิดปรากฏการณ์ “บ้าน คอนโด หลุดดาวน์” ที่เริ่มมีให้เห็นทั้งในรายงานยอดขายของบางบริษัทที่จู่ๆ ยอดขายก็ลดฮวบไปดื้อๆ สอดคล้องกับแคมเปญการตลาดที่เริ่มเห็นโปรฯ แรงๆ ของสินค้าหลุดดาวน์มากขึ้น แต่ในวิกฤติของคนกลุ่มหนึ่งก็เป็นโอกาสของคนอีกกลุ่มที่จะได้ซื้อของถูกชนิดไม่ทันตั้งตัว กู้ไม่ผ่านคือปัญหาและสาเหตุ ช่วง 1-2 ปีมานี้คนดาวน์บ้าน ดาวน์คอนโด มีปัญหากู้ไม่ผ่านกันมาก ตัวเลขจากบางโครงการพบว่าสัดส่วนลูกค้าที่กู้ไม่ผ่านสูงถึง 20-30% โดยเฉพาะอย่างยิ่งบ้านและคอนโดระดับราคาปานกลางถึงล่างเปอร์เซ็นต์จะยิ่งมาก และเมื่อเทียบระหว่างโครงการบ้านและโครงการคอนโด ก็จะพบว่าลูกค้าที่กู้ไม่ผ่านส่วนใหญ่จะเป็นคอนโดมากกว่าบ้าน สาเหตุส่วนหนึ่งเกี่ยวเนื่องจากระยะเวลาในการผ่อนดาวน์ เพราะโครงการคอนโด จะมีระยะผ่อนดาวน์นานกว่าบ้าน ซึ่งทั่วไปถ้าเป็นคอนโด โลว์ไรส์ก็ต้องผ่อนอย่างน้อย 15-20 เดือน ในขณะที่ถ้าเป็นไฮไรส์อย่างตํ่าก็ต้อง 2 ปี ในระหว่างที่กำลังผ่อนดาวน์อาจเกิดปัญหาด้านการเงินทำให้ต้องตัดสินใจทิ้งดาวน์ หรือบางครั้งอาจเป็นการกระทำที่ไม่ตั้งใจหรือพลาด เช่น ไปสร้างหนี้เพิ่ม จนทำให้มีปัญหาในเวลาที่ต้องยื่นกู้ทั้งๆ ที่ตอนจองซื้อไม่มีปัญหาการ Pre-approved เรื่องนี้สำคัญ เพราะธนาคารเองก็เตือนอยู่เสมอว่าในระหว่างผ่อนดาวน์กรุณาอย่าไปสร้างหนี้เพิ่ม หรือไปทำอะไรที่มีผลเสียต่อเครดิต และเฉพาะอย่างยิ่งตอนใกล้ยื่นกู้ยิ่งต้องระวังให้มาก เพราะการกระทำหลายๆ อย่างสามารถตีความได้ว่าเรากำลังมีปัญหาทางการเงินได้ ส่วนกรณีการผ่อนบ้านไม่ค่อยเป็นปัญหา เพราะส่วนใหญ่เดี่ยวนี้เป็นบ้านที่สร้างเกือบเสร็จเกือบทั้งหมด ระยะผ่อนดาวน์มีน้อย วิธีนี้บังคับให้คนซื้อต้องเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี โดยหลายๆ โครงการถึงขนาดจองปุ๊บให้เตรียมเรื่องยื่นกู้ได้เลย ถ้าเตรียมตัวมาดีก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าไม่พร้อมก็จบเหมือนกัน บ้านหลุดดาวน์ “ส้มหล่น” คนซื้อมือรอง แต่ละบริษัทมีวิธีการจัดการกับปัญหาลูกค้ากู้ไม่ผ่าน หรือสินค้าหลุดดาวน์แตกต่างกันไป ทางเลือกของคนซื้อจึงไม่เท่ากัน บางบริษัทมีโครงการอยู่ในมือหลายโครงการ หลายทำเล อาจมีทางเลือกให้กับลูกค้าได้มากกว่า เช่น เปลี่ยนแปลงที่ดิน เปลี่ยนทำเล เพื่อไปเอาหลังที่ถูกกว่า เพื่อจะได้มีโอกาสในการกู้ผ่านมากกว่า แต่ถ้ามีอยู่โครงการเดียวจะไม่สามารถใช้วิธีนี้ได้ นอกจากนี้เงื่อนไขของสัญญาของผู้ประกอบการก็แตกต่างกัน เช่น บางบริษัทยอมคืนเงินดาวน์โดยไม่มีเงื่อนไข แต่บางบริษัทถ้ากู้ไม่ผ่านก็หมายถึงคนซื้อสูญเงินดาวน์ทั้งหมด เรื่องนี้ก็สำคัญที่คนซื้อจะต้องศึกษาให้ดีก่อนซื้อหรือทำสัญญา อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะโดยวิธีใด เมื่อมีบ้านหลุดดาวน์ยังไงเจ้าของโครงการก็ต้องนำบ้านหลังนั้นออกมาขายใหม่ ซึ่งจะขายโดยกลยุทธ์การตลาดแบบไหนก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ส่วนใหญ่แล้วมักนำมาขาย “ลดราคา” เพื่อจะได้จบโครงการไวๆ ซึ่งหากเป็นโครงการที่ยึดเงินดาวน์มาจากคนซื้อมือแรกบริษัทก็จะมีช่องทางทำการตลาดได้มาก เพราะมีเงินดาวน์ที่ได้มาฟรีๆ ตุนไว้แล้ว 5-10% ของราคาบ้าน ซึ่งนี่ก็เป็นโอกาสที่เกิดขึ้นกับคนซื้อมือถัดไป ฉะนั้นในวิฤกติของคนบางกลุ่มยอมเป็นโอกาสของคนอีกกลุ่ม โดยเฉพาะกับคนที่มีความพร้อมอยู่ตลอดเวลา   ขอขอบคุณข้อมูลจาก  นิตยสาร Home Buyer's Guide เดือนมิถุนายน 2559
วิธีไล่หนูบนเพดาน กำจัดโดยไม่ต้องฆ่าให้เปลืองแรง

วิธีไล่หนูบนเพดาน กำจัดโดยไม่ต้องฆ่าให้เปลืองแรง

วิธีไล่หนูบนเพดาน วิธีกำจัดหนูบนฝ้าโดยไม่ต้องลงมือฆ่า เพื่อให้หมดปัญหาเรื่องเสียงหนูวิ่งบนเพดาน หนูแทะฝ้า และสารพัดปัญหาที่เกิดจากสัตว์ตัวเล็ก ๆ ชนิดนี้  ศัตรูของบ้านอีกตัวที่คอยสร้างความรำคาญให้กับเรา คงจะหนีไม่พ้นเจ้าสัตว์ฟันแทะอย่าง หนู ทั้งยังสร้างความเสียหาย กัดสายไฟและของในบ้าน ที่ร้ายไปกว่านั้นคือ เจ้าหนูพวกนี้อาจจะนำโรคร้ายมาสู่คนในบ้านได้ พื้นที่อื่นของบ้านยังพอหาทางกำจัดได้ แต่บนเพดานและใต้หลังคาที่เจ้าหนูพวกนี้ชอบใช้กบดานมักจะกำจัดยากกว่าที่อื่น ๆ เนื่องจากเป็นพื้นที่ปิดและแคบ และวันนี้เราก็มีวิธีไล่หนูบนเพดานโดยไม่ต้องฆ่ามาบอกต่อครับ 1.ใช้กับดักหนู วิธีกำจัดหนูแบบนี้นั้นง่ายมาก ก็แค่นำกับดักหนูไปวางใต้เพดาน โดยวางในตำแหน่งที่ไม่ไกลจากแผ่นฝ้าที่แกะออก แล้วหมั่นตรวจดูกับดักทุกวัน ถ้ามีหนูติดให้รีบเอาออกและนำไปกำจัดทันที เพราะหากบังเอิญหนูตายในคากับดัก ก็จะส่งกลิ่นเหม็นเน่าไปทั่วบ้านนานหลายวัน 2.ใช้น้ำมันหอมระเหยสะระแหน่   ถึงแม้กลิ่นของน้ำมันหอมระเหยสะระแหน่จะเป็นที่ชื่นชอบของคน แต่เป็นกลิ่นที่หนูไม่อยากเข้าใกล้มากที่สุด เพราะกลิ่นของน้ำมันชนิดนี้ฉุนสุด ๆ สำหรับหนู วิธีใช้ก็คือนำสำลีก้อนชุบน้ำมันหอมระเหย จากนั้นนำแกะแผ่นฝ้าบนเพดานออก แล้วโยนก้อนสำลีเข้าไปให้ทั่วใต้เพดาน 3.ใช้กรงดัก ใช้กล้วยน้ำหว้าเป็นเหยื่อล่อ ตัดหัวตัดท้ายให้กลิ่นโชย หรือจะใช้หัวปลาทูทอดหรือปลาหมึกแห้งเสียบไว้ล่อหนูก็ได้ จากนั้นก็นำกรงดักมาตั้งบนเพดาน ผูกเชือกที่กรงเอาไว้ด้วย เวลาหนูติดกรงหนูจะดิ้นและพากรงไปไกลเกินกว่าจะเอื้อมถึง เมื่อมีหนูมาติดกรงให้นำไปปล่อยทิ้งในป่าไกลบ้าน เพื่อป้องกันไม่ให้กลับมาอีก แล้วกรงให้ล้างให้สะอาด กำจัดกลิ่นของหนูตัวเก่าออกให้หมด เพราะหนูตัวอื่นจะไม่เข้าใกล้ หากยังมีกลิ่นหนูตัวเก่าติดอยู่ 4.ใช้แผ่นปิดเชิงชายกระเบื้อง ชายคาบ้านเป็นอีกทางที่หนูใช้ไต่เข้ามาใต้หลังคา ฉะนั้นยิ่งปิดช่องทางที่นำมาสู้หลังคาไว้ใช้หมดยิ่งดี โดยเฉพาะหลังคาแบบลอน เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้หนูเข้ามาอาศัยและสร้างความรำคาญ ก็ควรติดแผ่นปิดเชิงชายกระเบื้องหรือแผ่นดักนกตามชายคาให้หมด 5.ใช้ทรายแมว กลิ่นของฉี่แมวอันลือเลื่อง ไม่ใช่แค่กับคนเท่านั้นที่ทนไม่ไหวกับกลิ่นฉี่แมว แม้แต่สัตว์ที่รักสกปรกอย่างหนูเองก็ไม่ชอบเช่นกัน วิธีใช้คือนำทรายแมวที่ใช้แล้วใส่ถุงผ้าแล้วโยนเข้าไปใต้เพดาน ให้เปิดช่องระบายอากาศไว้ด้วย แล้วหนูก็จะไม่เข้ามาใกล้เพดานอีกเลย   ทั้งนี้การกำจัดหนูให้สิ้นซาก ไม่ใช่ว่าจะได้ผลโดยการใช้วิธีใดวิธีหนึ่งหรือการทำเพียงแค่ครั้งเดียว ต้องอาศัยทั้งการไล่ กำจัด การป้องกัน รวมถึงวิธีการทำความสะอาดเพดานอย่างสม่ำเสมอควบคู่กันไปด้วยนะครับ ความรู้เกี่ยวกับหนู หนู  วิธีไล่หนูและสัตว์กวนใจอื่นๆ เพื่อความน่าอยู่ของบ้านเรา วิธีกำจัดมด ด้วยของใกล้ตัว กำจัดปลวก ด้วยวิธีธรรมชาติ วิธีเด็ดไล่ตุ๊กแก ให้รีบเผ่นหนีออกจากบ้าน
6 วิธีแก้เมื่อกู้ไม่ผ่าน (แต่ใกล้เวลาโอน)

6 วิธีแก้เมื่อกู้ไม่ผ่าน (แต่ใกล้เวลาโอน)

สำหรับคนที่กู้ซื้อบ้านหรือกู้ซื้อคอนโด เมื่อยื่นกู้ไปแล้วกลับพบปัญหาว่ากู้ไม่ผ่าน มิหนำซ้ำทางโครงการยังเร่งให้โอนอีกด้วย ปัญหาการกู้ไม่ผ่านเหล่านี้มีทางออกครับ มาดูกันว่า 6 วิธีแก้ปัญหาเมื่อกู้ไม่ผ่าน ในเวลาที่โครงการเร่งโอนมีอะไรบ้าง 1. กู้ธนาคารอื่น ถ้าผู้กู้ไปยื่นกู้แล้วผ่านแต่ได้ไม่เต็มวงเงิน การแก้ปัญหาด้วยวิธีไปยื่นกู้กับธนาคารอื่นแทน เป็นทางแก้ที่ดี แต่ถ้าติดแบล็คลิสต์ไปธนาคารไหนก็ได้คำตอบเหมือนกัน คือกู้ไม่ผ่าน 2. เลื่อนเวลารับโอน เพราะถ้า Defect เยอะๆหน่อยก็สามารถยื้อเวลาได้ เต็มที่ก็ราวๆ 3 เดือน 3. บอกความจริง ให้ไปพูดคุยกับทางโครงการโดยตรงว่าขอเวลาสักหน่อย เช่น กำลังพ้นช่วงทดลองงาน จะได้เงินก้อน อย่างน้อยก็พอมีโอกาสรอด 4. ขายดาวน์ ถ้ารู้ตัวแล้วว่ายังไงก็ไม่ไหว ให้ประกาศขายดาวน์ทันที อาจจะต้องยอมขายถูกหน่อยหรือลดราคา เพื่อสามารถขายได้เร็วขึ้น 5. หาคนร่วมกู้ ถ้ากู้คนเดียวไม่ไหว รายได้ไม่ถึง ต้องหาคนมากู้ร่วม แต่ต้องเช็คเครดิตเหมือนผู้กู้หลัก 6. ลดงบในการซื้อ ถ้าราคาที่ซื้อสูงเกินไป ยังไงก็กู้ไม่ผ่าน อาจจะลดงบลงหน่อย เลือกห้องเล็กลง ก็จะทำให้กู้ได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมด้วย ขอขอบคุณข้อมูลจาก  home.co.th
การเลือกซื้อที่ดิน การซื้อบ้านใหม่ให้ไกลจากน้ำ(ท่วม)ควรดูอะไรบ้าง?

การเลือกซื้อที่ดิน การซื้อบ้านใหม่ให้ไกลจากน้ำ(ท่วม)ควรดูอะไรบ้าง?

ตั้งแต่ช่วงน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 เวลาจะซื้อบ้านต้องไตร่ตรองและคิดให้รอบคอบมากขึ้นและอาจจะมีคําถามหลายๆประการตามมาว่า ควรจะซื้อบ้านหรือปลูกบ้านตรงไหน ที่ไหน แถวไหน ย่านไหน ควรต้องดูเรื่องอะไรบ้าง ถึงจะปลอดภัยจากน้ำท่วมจริงๆ เผื่อว่าเราอาจจะต้องเจอกับมวลน้ำแบบนี้อีกครั้งหรือหลายครั้งในอนาคต คำตอบง่ายๆ ในเมื่อเราเป็นห่วงว่า “น้ำ” จะท่วมบ้านเราอีกไหม เราก็ต้องพิจารณาปัจจัยและข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวกับ “น้ำ” เป็นหลัก บางคนอาจถามต่อไปว่า แล้วเราจะดู “น้ำ” กันอย่างไร จะไปดูตามท่อระบายน้ำ ตามคู คลองหรือแม่น้ำต่างๆ จะพอไหม จะรู้ไหมว่าน้ำท่วมหรือไม่อย่างไร หรือควรหาข้อมูลอะไร ที่ไหนประกอบหรือไม่อย่างไรก็ตาม หลังจากเหตุการณ์ครั้งนี้ คนไทยเราคงจะมีความรู้เพิ่มมากขึ้น จากข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับ “น้ำ” ที่สื่อมวลชน นักวิชาการและรัฐบาลนําเสนอผ่านสื่อออกมาทุกวัน ในอดีตเวลาที่เราจะเลือกซื้อหาบ้านจัดสรร หรือเลือกซื้อที่ดินปลูกบ้านใหม่คงเลือกจากการที่มีเอกสารจัดสรร และโฉนดที่ดินว่ามีหรือไม่ ด้านทําเลที่ตั้งใกล้กับแหล่งอำนวยความสะดวกมากน้อยแค่ไหน ไปจนถึงจากรูปแบบบ้าน ราคา และชื่อเสียงของบริษัท เป็นต้น แต่หลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งนี้แล้ว “ผู้ซื้อ” หรือ “ผู้บริโภค” ควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับ “น้ำ”เพิ่มเติมก่อนที่จะตัดสินใจเลือกแหล่งที่อยู่อาศัย ข้อควรพิจารณามีดังนี้ 1. โซนผังเมือง : โซนสีต่างๆ ที่ปรากฎในผังเมืองเป็นตัวบ่งชี้ว่า เมืองนั้นๆ กําหนดแนวทางการใช้พื้นที่ดินแต่ละเขตเป็นอย่างไร มีการใช้งานในลักษณะใดบ้าง เช่น พาณิชยกรรม ที่อยู่อาศัย หรือพื้นที่เกษตรกรรม เป็นต้น จากกรณีน้ำท่วมครั้งนี้ เราจึงเห็นได้ว่าพื้นที่ฝั่งตะวันออกของกรุงเทพฯ เช่น เขตหนองจอก มีนบุรี คลองสามวา ลาดกระบัง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่กําหนดเป็นโซนสีเขียวและเขียวทแยง ซึ่งเป็นพื้นที่ชนบทและเกษตรกรรม และพื้นที่ชนบทอนุรักษ์และเกษตรกรรม จึงได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมเป็นจํานวนมากเนื่องจากอยู่ในเส้นทางการระบายน้ำและรัฐมิได้กําหนดให้เป็นพื้นที่อยู่อาศัย 2. แนวคันกั้นน้ำ : ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลจะมีการวางตําแหน่งคันกั้นน้ำ เพื่อการบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพตามแนวพระราชดําริไว้ ตั้งแต่เหนือจรดใต้และครอบคลุมทั้งสองฝั่งตะวันออกและตะวันตก โดยแนวคันกั้นน้ำจะมีความสูงต่ำแตกต่างกันและมีลักษณะซ้อนกันเป็นชั้นๆ ที่สัมพันธ์กับตําแหน่งคู คลองธรรมชาติ เพื่อป้องกันน้ำจากทางตอนเหนือเข้าท่วมบริเวณพื้นที่กรุงเทพชั้นกลางและชั้นใน ดังนั้นการเลือกซื้อบ้านหรือที่ดินที่อยู่ภายในแนวคันกั้นน้ำก็จะช่วยลดความเสี่ยงเรื่องน้ำท่วมได้ระดับหนึ่ง 3. ตําแหน่งคู คลอง แหล่งน้ำธรรมชาติ : จากประสบการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ เราคงเห็นได้ชัดเจนว่า เส้นทางการเคลื่อนที่หลักๆ ของน้ำจะเอ่อล้นมาจากเส้นทางน้ำธรรมชาติคือ คู คลองต่างๆ ที่มีอยู่ทั่วเมืองและจากท่อระบายน้ำต่างๆตามถนนหนทางหน้าบ้านของเรา และการมาของน้ำทั้งสองทางนี้จะป้องกันได้ยากที่สุด ดังนั้นบ้านเรือนที่อยู่ริมน้ำคู คลองที่มีทัศนียภาพสวยงามก็จะมีความเสี่ยงจากน้ำมากเช่นกัน 4. ความสูงต่ำของที่ดิน/ที่ตั้ง (Topography) : ถ้าใครเคยเห็นแผนที่ในการวิเคราะห์ระดับน้ำท่วมกรุงเทพฯคราวนี้ จะพบว่าแต่ละพื้นที่จะมีการคาดการณ์ระดับน้ำท่วมที่สูงต่ำต่างกัน นั่นเป็นเพราะแต่ละพื้นที่มีระดับความสูงของแผ่นดินที่ต่างกันทําให้ระดับน้ำมีความลึกต่างกัน ถ้าเปรียบเทียบให้ง่ายขึ้นก็เหมือนกับสระว่ายน้ำเมื่อมองที่ผิวน้ำจะพบว่า มีผิวน้ำมีความเรียบเสมอกันแต่ก้นบ่อของสระว่ายน้ำมีระดับที่ไม่เท่ากันทําให้สระว่ายน้ำมีทั้งส่วนลึกและส่วนตื้น ดังนั้น หากเลือกที่ดินสําหรับปลูกบ้าน ในพื้นที่ที่มีระดับสูงกว่าจะมีความเสี่ยงจาก น้ำน้อยกว่า สําหรับข้อมูลส่วนนี้สามารถแสดงให้เข้าใจง่ายด้วยภาพตัดขวางแสดงระดับถนนภายนอกโครงการเข้าสู่ถนนซอยภายในจนถึงระดับความสูงของที่ดินแต่ละแปลง และระดับพื้นชั้นล่างของบ้านแต่ละหลัง 5. เส้นทางน้ำไหล : เมื่อฝนตกลงบนผิวดิน น้ำส่วนหนึ่งจะซึมลงไปในดินและอีกส่วนหนึ่งจะเป็นอยู่บนผิวดิน ส่วนที่เป็นน้ำบนผิวดินจะไหลลงสู่ที่ต่ำและไหลลงไปสู่แม่น้ำลําคลอง ฉะนั้นการเลือกตําแหน่งในการปลูกสร้างบ้านเรือนต้องไม่ขวางทางที่น้ำไหลผ่าน เพราะแรงของน้ำนั้นมหาศาลมากขนาดทําให้ถนนขาดได้ และไม่ว่าจะปลูกบ้านด้วยโครงสร้างแบบใด หากปลูกอยู่บนเส้นทางที่น้ำไหลผ่านก็คงยากที่จะทานแรงมหาศาลของมวลน้ำไหว ดังนั้น ก่อนจะสร้างบ้านหรือซื้อที่ดินต้องลองสังเกตว่าเมื่อฝนตกลงมาแล้ว เส้นทางการไหลของน้ำฝนได้ผ่านแนวที่ดินของเราหรือไม่ หากน้ำไหลผ่านให้ควรหลีกเลี่ยง 6. มาตรการป้องกันน้ำท่วม : ข้อมูลนี้เป็นประเด็นสําคัญที่ลูกค้าควรสอบถาม เพื่อความมั่นใจในยุคหลังน้ำท่วมครั้งนี้ว่า แต่ละโครงการได้มีการเตรียมการหรือมีแผนรองรับเหตุน้ำท่วมที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต ในเรื่องของตัวบ้านและตัวโครงการไว้อย่างไรบ้าง อาทิ การจัดเตรียมพื้นที่หน่วงน้ำ การจัดทําเขื่อนหรือคันกั้นน้ำในโครงการ รูปแบบการระบายน้ำในโครงการไปจนถึงการเตรียมความพร้อมเพื่อการอพยพหนีน้ำ ในกรณีวิกฤต ซึ่งแนวทางเหล่านี้จะมีระดับมากน้อยเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงกับระดับน้ำท่วมว่ามากเพียงใด จากประเด็นพิจารณาเหล่านี้ เป็นหน้าที่ของเราในฐานะผู้ซื้อบ้านหรือที่ดินใหม่ในอนาคต ควรศึกษาข้อมูลให้ถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจ เพราะประเด็นเหล่านี้จะบอกถึงความเสี่ยงในเรื่องของน้ำที่อาจจะต้องพบเจอในปีต่อๆ ไปได้ว่า บ้านเรือนของเรามีโอกาสน้ำท่วมหรือไม่ท่วม หรือท่วมมากแค่ไหน เพื่อรับมือได้อย่างถูกต้องรวมทั้งยังเป็นหน้าที่ของบริษัทบ้านจัดสรรและเจ้าของโครงการอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ที่จะต้องนําเสนอข้อมูลเหล่านี้ต่อลูกค้าเป็น ”A Must Information” ด้วยภาษาที่เข้าใจง่ายในลักษณะ Infographic ที่เราคุ้นๆ กันในช่วงน้ำท่วมที่ผ่านมา เพื่อแสดงความจริงใจต่อลูกค้าและอาจใช้เป็นแรงจูงใจทางการตลาด ได้อีกทางหนึ่งด้วย   ที่มา รัชด ชมภูนิช คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ม.เกษตรฯ /ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) home.co.th
เทคนิคแก้ไขปัญหาน้ำฝนรั่วซึมเข้าบ้าน

เทคนิคแก้ไขปัญหาน้ำฝนรั่วซึมเข้าบ้าน

เข้าสู่ช่วงหน้าฝนทีไร ก็มักมีปัญหามากวนใจคือ ปัญหาน้ำฝนรั่วซึมเข้าบ้าน เราจะมาแนะนำวิธีสังเกตและแก้ไขปัญหาน้ำรั่วซึมเข้าบ้านในแต่ละจุดกันครับ ใต้หลังคาสังเกตจากคราบน้ำบนฝ้า หรือลองขึ้นไปดูใต้หลังคาเพื่อตรวจดูว่าฝ้ามีคราบน้ำหรือเปล่า ซึ่งถ้าพบว่าน้ำรั่วใต้หลัง จะมีสาเหตุหลักๆ ดังนี้ 1.1 กระเบื้องใต้หลังคาชำรุด หรือแตก ทำให้มีน้ำรั่วซึมมาตามรอยแยก แก้ไขโดยการเปลี่ยนกระเบื้องใหม่ 1.2 ติดตั้งหลังคาไม่เหมาะสม เช่น ระยะซ้อนทับหลังคาน้อย แก้ไขโดยการติดตั้งหลังคาใหม่ ให้มีระยะซ้อนทับตามกำหนดของแต่ละยี่ห้อ 1.2 หลังคาลาดเอียงน้อยเกินไป ทำให้ฝนไหลย้อนเข้าใต้หลังคา แก้ไขโดยการติดตั้งหลังคาใหม่ ให้มีระยะซ้อนทับตามกำหนดของแต่ละยี่ห้อ พื้นหลังคาคอนกรีตแตกร้าวเช่น พื้นดาดฟ้าแตกร้าว พื้นเป็นแอ่ง น้ำขัง ทำให้เกิดน้ำรั่ว แก้ไขโดยการปรับความลาดเอียงของพื้นให้น้ำไหลออกได้สะดวก และซ่อมรอยร้าว ทำกันซึมพื้นให้เรียบร้อย ผนังบ้านมีรอยร้าวเวลาฝนตกจะเห็นคราบตามรอยผนัง ถ้าเมื่อไรที่ผนังบ้านร้าวก็จะมีน้ำซึมเข้ามา ดังนั้นควรตรวจรอยร้าวของบ้าน ถ้าพบให้เรียกช่างมาซ่อมแซมรอยร้าวทันที ขอบวงกบประตู-หน้าต่างรอยร้าวนี้มักพบเพราะเกิดจากการยืดขยายตัวของอุณหภูมิ ทำให้เกิดรอยร้าวที่มุม และทำให้น้ำฝนรั่วซึมเข้ามา แก้ไขโดยการตรวจสอบว่ามีเสาเอ็น ทับหลัง เหล็กกรงไก่หรือไม่ ถ้าหากมีครบให้เรียกช่างมาซ่อมรอยร้าวทันที ปัญหาทั้งหมดนี้เป็นเพียงปัญหาเบื้องต้น ซึ่งเราสามารถตรวจสอบและแก้ไขเองได้ แต่ถ้าพบว่าปัญหาใหญ่เกินแก้ไขเองให้เรียกช่างมาซ่อมทันที   ขอขอบคุณข้อมูลจาก นิตยสาร Home Buyers' Guide เดือนมิถุนายน 2559
เปรียบเทียบ

เปรียบเทียบ "ราคาบ้าน" ยังไงดี

เป็นธรรมดาของคนซื้อบ้านที่ต้องมีการเปรียบเทียบก่อนตัดสินใจ เนื่องจากบ้านเป็นสินค้าราคาแพง ฉะนั้นเมื่อตัดสินใจเลือกทำเลที่ต้องการได้แล้ว ส่วนใหญ่ต้องหาลิสต์โครงการที่สนใจอย่างน้อย 3-5 โครงการ สิ่งที่เปรียบเทียบก็มีหลายอย่าง แต่หนึ่งในนั้นน่าจะดูว่าโครงการไหนถูก โครงการไหนแพงกว่ากัน ถ้าจะเทียบราคาบ้านจัดสรรมีสิ่งที่ควรพิจารณาอยู่ 2-3 ข้อดังนี้ 1. ราคาที่ดิน จริงๆ แล้วถ้าที่ดินอยู่ติดกันหรืออยู่ในทำเลเดียวกันราคาบ้านจะไม่ต่างกันมาก แต่ทั้งนี้ก็มีความเป็นไปได้หลายกรณีที่ทำให้ทำเลเดียวกันแต่ราคาบ้านต่างกัน เช่น ระยะเวลาในการซื้อขาย เทคนิคการต่อรองของผู้ซื้อ ความพึงพอใจของผู้ขาย ข้อกำหนดในการใช้ประโยชน์ เช่น แปลงหนึ่งติดถนนใหญ่แต่อีกแปลงที่ติดกันมีทางเข้าอยู่ในซอย เป็นต้น แต่โดยหลักการแล้วที่ดินทำเลเดียวกันไม่ควรมีราคาต่างกันมาก 2. ราคาค่าก่อสร้าง หากจะเปรียบเทียบค่าก่อสร้างน่าจะต้องดู 2 ส่วนหลักคือ “พื้นที่ก่อสร้าง”กับ “พื้นที่ใช้สอย” หากต้องการเปรียบเทียบขนาดพื้นที่ก่อสร้างทำได้ไม่ยาก เพราะส่วนใหญ่มักบอกขนาดพื้นที่ใช้สอยของบ้านแต่ละหลังอยู่แล้ว (หน่วยเป็นตารางเมตร) แต่ที่ต้องดูลึกลงไปก็คือประโยชน์ใช้สอยในพื้นที่ก่อสร้างนั้นๆ เนื่องจากพื้นที่ก่อสร้างแต่ละส่วนมีต้นทุนไม่เท่ากัน เช่น โรงจอดรถจะถูกกว่าระเบียง ระเบียงถูกกว่าห้องโถงทั่วไป ห้องโถงทั่วไปถูกกว่าห้องนอน ห้องนอนก็จะถูกกว่าห้องน้ำ เป็นต้น ถ้าพื้นที่เท่ากันและมีราคาพอๆ กัน แล้ว หลังหนึ่งมีระเบียงกว้างแต่ห้องน้ำเล็กนิดเดียว หลังที่สองมีระเบียงเล็กแต่ห้องน้ำกว้างมาก อนุมานได้ว่าหลังแรกต้นทุนก่อสร้างน่าจะต่ำกว่า ถ้าขายเท่ากันแสดงกว่าหลังแรกแพงกว่า นอกจากนี้ยังสามารถดูได้จากเกรดวัสดุที่ใช้ ส่วนใหญ่มักดูจากวัสดุปูพื้น ยี่ห้อสุขภัณฑ์หรืออุปกรณ์ในห้องน้ำ ผนัง/วัสดุก่อผนัง รวมถึงพื้นบันได เป็นต้น 3. สาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวก สองปัจจัยที่ว่าอาจไม่พอสำหรับการประเมินความถูกแพง ก็ต้องดูว่าสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวกของโครงการไหนพร้อมกว่าและมีมากกว่ากัน เช่น สวนสาธารณะ ต้นไม้ทางเข้า ถนนภายในโครงการ ยามรักษาความปลอดภัย ฯลฯ มากไปกว่านั้นอาจมีเรื่องของแบรนด์เข้ามาเกี่ยวด้วย เช่น ถ้าโครงการแบรนด์ดังๆ ราคาย่อมสูงกว่าโครงการที่ไม่มีชื่อเสียง ซึ่งคงต้องยอมรับ แต่เรื่องนี้ถ้าจะเปรียบเทียบเป็นตัวเลขหรือเม็ดเงินคงจะยาก เพราะน่าจะเกี่ยวกับคุณค่าทางจิตใจเสียมากกว่า   ขอขอบคุณข้อมูลจาก home.co.th
บ้านชั้นเดียวต่อเติมเป็นบ้านสองชั้นได้หรือไม่

บ้านชั้นเดียวต่อเติมเป็นบ้านสองชั้นได้หรือไม่

เรื่อง:  นิยดา หวังวิวัฒน์ศิลป์ SCG Architect Writer "บ้านชั้นเดียวเมื่ออยู่อาศัยไปสักพัก หากรู้สึกว่าพื้นที่ใช้สอยไม่พอ และคิดจะต่อเติมบ้านให้กลายเป็นบ้าน 2 ชั้น จะทำได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับสภาพโครงสร้างบ้านของเดิมว่าจะสามารถรับน้ำหนักส่วนต่อเติมได้มากน้อยเพียงใด ซึ่งจะต้องให้วิศวกรช่วยคำนวณ และควรคำนึงถึงความคุ้มค่าก่อนจะตัดสินใจลงมือต่อเติม" สำหรับครอบครัวขนาดเล็กเมื่อเริ่มคิดปลูกบ้าน บางครั้งอาจเลือกสร้างบ้านชั้นเดียวเพราะเห็นว่าควบคุมงบประมาณและเวลาได้ง่าย ประหยัดโครงสร้างวัสดุ ง่ายต่อการดูแลรักษาและทำความสะอาด ทั้งยังเหมาะกับผู้สูงอายุซึ่งไม่สะดวกขึ้นลงบันได แต่เมื่ออาศัยไปสักระยะหนึ่งอาจมีปัจจัยบางอย่างเปลี่ยนแปลงทำให้ต้องการพื้นที่ใช้สอยเพิ่มขึ้น โดยปกติเรามักเลือกต่อเติมเพิ่มออกมาจากตัวบ้าน แต่ถ้าที่พื้นที่รอบบ้านไม่พอจะมีวิธีอย่างไร จะต่อเติมบ้านชั้นเดียวให้กลายเป็น 2 ชั้นได้หรือไม่ ? ตัวอย่างบ้านชั้นเดียว (ภาพบน) ที่ต่อเติมเป็นบ้าน 2 ชั้น (ภาพล่าง) (ขอขอบคุณภาพจาก www.banandresort.com) ต่อเติมบ้านชั้นเดียวเป็นบ้าน 2 ชั้นได้จริงหรือ ? ในจุดนี้จะต้องพิจารณาหลายปัจจัยประกอบกัน โดยเรื่องสำคัญที่สุด คือ “สภาพของโครงสร้างบ้านเดิม” ทั้งเสาเข็มฐานราก  เสา คาน ว่าสามารถรับน้ำหนักส่วนต่อเติมชั้น 2 ได้หรือไม่และอย่างไรจึงจะไม่ถล่มพังลงมา ซึ่งจำเป็นต้องพึ่งวิศวกรโครงสร้างผู้เชี่ยวชาญในการวิเคราะห์คำนวณเพื่อความปลอดภัย เมื่อเจ้าของบ้านทราบถึงความเป็นไปได้และพิจารณาความคุ้มค่าในการต่อเติม ก็อาจลองมองทางเลือกอื่นประกอบด้วย เช่น กรณีเป็นบ้านที่อยู่อาศัยมานานจนทรุดโทรมมากอยู่แล้ว ถ้าทุบทิ้งแล้วสร้างใหม่หรือหาซื้อบ้านใหม่ไปเลยจะคุ้มกับระยะเวลาและค่าใช้จ่ายมากกว่าหรือไม่ เป็นต้น บ้านชั้นเดียวมักถูกออกแบบโครงสร้างมาเพื่อรับน้ำหนักบ้านเพียง 1 ชั้นเท่านั้น หากต้องการต่อเติมเป็น 2 ชั้น ต้องให้วิศวกรตรวจสอบว่า โครงสร้างจะรับน้ำหนักที่เพิ่มไหวหรือไม่ ต่อเติมบ้านชั้นเดียวเป็นบ้าน 2 ชั้นได้อย่างไร ? หากวิศวกรคำนวณแล้วพบว่าโครงสร้างบ้านเดิมสามารถรับน้ำหนักส่วนต่อเติมชั้น 2 ได้แล้ว  ยังมีปัจจัยที่ส่งผลต่อแนวทางการต่อเติม นั่นคือจะต่อเติมได้เต็มทั้งชั้นหรือได้เพียงส่วนเดียวเฉพาะแค่บางช่วงเสา รวมถึงน้ำหนักต่อตารางเมตรของส่วนต่อเติมซึ่งมีผลต่อการเลือกใช้วัสดุ ตั้งแต่ส่วนโครงสร้าง เช่น เสาที่จะต้องต่อให้สูงขึ้นไปเพื่อรับหลังคาชั้น 2 นั้น จะใช้วิธีสกัดหัวเสาคอนกรีตเดิมแล้วหล่อเสาต่อได้เลย หรือจะต้องใช้เสาเหล็กซึ่งน้ำหนักเบากว่าแทน เป็นต้น  ในส่วนของพื้นผนังกรณีที่โครงสร้างเดิมรับน้ำหนักเพิ่มได้พอสมควรอาจใช้ผนังก่ออิฐฉาบปูน  พื้นหล่อคอนกรีต แผ่นพื้นคอนกรีตสำเร็จรูป แต่ถ้ารับน้ำหนักเพิ่มได้ไม่มากอาจต้องใช้วัสดุที่เบาขึ้น เช่น ผนังอิฐมวลเบา ระบบพื้น Metal Deck  ระบบพื้นและผนังเบาไฟเบอร์ซีเมนต์  ระบบผนังและฝ้าเพดานยิปซั่ม เป็นต้น ซึ่งจะต้องให้วิศวกรโครงสร้างเป็นผู้แนะนำทางเลือกที่เหมาะสม พื้นเบาจากโครงเหล็ก ปูด้วยแผ่นไฟเบอร์ซีเมนต์และวัสดุทับหน้า ผนังเบาจากวัสดุแผ่นปิดทับโครงคร่าว ระบบพื้น Metal Deck (ขอขอบคุณภาพจาก constructthai.com) กรณีโครงสร้างบ้านเดิมรับน้ำหนักได้ไม่มาก ส่วนหลังคาซึ่งจะต้องรื้อออกและประกอบใหม่อยู่แล้วอาจเป็นอีกจุดที่สามารถปรับให้มีน้ำหนักเบาขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นโครงหลังคาหรือวัสดุมุง (การเปลี่ยนวัสดุมุงอาจส่งผลถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างด้วย เช่น ระยะแป เป็นต้น) ซึ่งจำเป็นต้องได้รับคำแนะนำจากวิศวกรโครงสร้างผู้เชี่ยวชาญด้วยเช่นกัน โครงหลังคาสำเร็จรูป ผลิตจากเหล็กเคลือบป้องกันสนิม ซึ่งมีน้ำหนักเบากว่าเหล็กรูปพรรณ จะเห็นได้ว่าการต่อเติมบ้านชั้นเดียวให้กลายเป็นบ้าน 2 ชั้นนั้น  ต้องพิจารณาเรื่องความสามารถในการรับน้ำหนักของโครงสร้างเดิมเป็นหลัก (สำหรับใครที่จะสร้างบ้านชั้นเดียวอาจเลือกทำโครงสร้างรองรับการต่อเติมในอนาคตไว้ก็ได้)  นอกจากนี้ยังมีเรื่องของความคุ้มค่า โดยเฉพาะกรณีต่อเติมได้ไม่เต็มชั้นซึ่งต้องไม่ลืมว่าพื้นที่ส่วนหนึ่งของทั้ง 1 ชั้น 2 จะต้องถูกใช้เป็นบันไดด้วย ดังนั้นพื้นที่ที่ได้เพิ่มมาจะคุ้มค่าหรือไม่ต้องลองคิดคำนวณให้ดี ทั้งนี้หากเลือกที่จะต่อเติมแล้วก็ควรให้อยู่ภายใต้ขอบเขตของกฎหมายเพื่อความถูกต้องและปลอดภัย  ไม่ว่าจะเป็นการยื่นขออนุญาตดัดแปลงบ้าน การคำนึงเรื่องที่ว่างและระยะร่นตามกฎหมายซึ่งสัมพันธ์กับตำแหน่งช่องเปิดและขนาดพื้นที่ใช้สอยของบ้าน เป็นต้น นับเป็นอีกเรื่องสำคัญที่ควรศึกษาให้ดีก่อนลงมือต่อเติม ขอขอบคุณภาพและข้อมูลจาก  www.scgbuildingmaterials.com
12 ข้อควรรู้ หากเกิดไฟไหม้คอนโดฯ

12 ข้อควรรู้ หากเกิดไฟไหม้คอนโดฯ

เคยไหม อยู่ในคอนโด ดีๆ อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงสัญญานไฟไหม้ดังขึ้น แต่ไม่รู้ว่าจะยังไงต่อไปหลังจากได้ยินเสียงนี้ บางครั้งแค่ชะโงกหน้าออกมาหน้าห้องดูว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อสัญญานเงียบลง ต่างคนก็ต่างไปใช้ชีวิตตามปกติในห้องใครห้องมันเหมือนเดิม แต่หารู้ไม่ถ้าได้ยินเสียงสัญญาณเตือนให้คิดว่าเป็นเหตุเพลิงไหม้จริงไว้ก่อนเสมอ ซึ่งบางครั้งอาจจะไม่จริง อาจจะเกิดเหตุผิดพลาดในสัญญาณเตือน แต่ควรป้องกันไม่ประมาทดีที่สุด หากเกิดไฟไหม้ในคอนโด ผู้อยู่อาศัยควรมีความรู้เรื่องนี้ไว้บ้างดังนี้ ในกรณีไฟไหม้คอนโด 1.ต้องดับเพลิงในอาคารสูงด้วยอุปกรณ์ดับเพลิงอาคารของตนเองให้ได้ภายในระยะเพลิง เริ่มใหม้ใน 2 นาทีแรกอย่ามัวแต่รอความช่วยเหลือจากพนักงานดับเพลิง 2.ดึงหรือกดสถานีแจ้งเหตุเพลิงไหม้ที่กล่องแดงที่ติดไว้ข้างผนังทางเดินทันทีที่พบเหตุเพลิงไหม้แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม 3.แต่ละชั้นต้องทำแผนผังแสดงเส้นทางหนีไฟจากห้องพักไปสู่บันไดหนีไฟ อย่างน้อย 2 เส้นทาง 4.ตรวจสอบเส้นทางหนีไฟไว้ล่วงหน้า ว่าจะไม่มีสิ่งกีดขวางตลอดทางวิ่ง 5.ร่วมฝึกซ้อมหนีไฟเพื่อเป็นการตรวจสอบด้วยตนเองถึงความพร้อมของเจ้าหน้าที่อาคาร และอุปกรณ์ป้องกันและดับเพลิงของอาคารว่ายังมีประสิทธิภาพใช้การได้ดีอยู่เสมอ 6.อย่าใช้ลิฟต์หนีไฟ ให้หนีลงมาโดยเร็วโดยบันไดหนีไฟทันทีที่ได้ยินสัญญาณกระดิ่งแจ้งเหตุไฟไหม้ภายในอาคาร 7.หากติดอยู่ในกลุ่มควันไฟ ให้ก้มตัวให้ต่ำหรือหมอบคลานเพื่อหาทางออก ควันไฟทำให้คนส่วนใหญ่เสียชีวิตมากกว่าจากเปลวไฟถึง 3 เท่าตัว 8.ก่อนเปิดประตูให้แตะหรือคลำลูกบิด หากร้อนจัดแสดงว่ามีเปลวเพลิงอยู่ด้านนอกอย่าเปิดทันทีจะถูกเปลวไฟพุ่งเข้าตัวได้ 9.เมื่อหนีออกจากห้องพักหรือหนีผ่านประตูใดๆ ให้ปิดประตูนั้นให้สนิท 10.กรณีหนีไฟไม่ได้ให้อยู่ภายในห้องพักและปิดประตู ใช้ผ้าชุบน้ำอุดบริเวณขอบบานประตู และให้ขอความช่วยเหลือที่หน้าต่างหรือระเบียง 11.แนะนำทุกคนในครอบครัวให้ทราบถึงกฎความปลอดภัยและวิธีปฏิบัติตัวกรณีเกิดเพลิงไหม้ 12.ไฟไหม้ในอาคารสูงเกิดขึ้นเป็นประจำและเกิดขึ้นบ่อย แต่ที่ไม่เป็นข่าวเพราะผู้อาศัยและเจ้าหน้าที่อาคารช่วยกันดับได้ก่อนลุกลาม ทุกคนที่อาศัยในอาคารสูงทุกอาคารจึงต้องเตรียมพร้อมตลอดเวลาแล้วจะมีความปลอดภัยได้แน่นอน   ขอขอบคุณข้อมูลจาก  home.co.th
ต่อรั้วบ้านเดิมเพิ่มความส่วนตัว

ต่อรั้วบ้านเดิมเพิ่มความส่วนตัว

เรื่อง :  อิษฎา แก้วประเสริฐ             SCG Experience Architect "เมื่อพื้นที่รอบบ้านมีการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นถนนสาธารณะ หรือตึกข้างเคียงที่สูงขึ้น รั้วบ้านเดิมจึงไม่สามารถปกป้องความเป็นส่วนตัวได้เท่าที่ควร การปรับปรุงรั้วบ้านให้สูงขึ้นพร้อมหาวิธีตกแต่งให้สวยงาม นับเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับเจ้าของบ้านซึ่งประสบปัญหาดังกล่าว" “รั้วบ้าน” เป็นปราการที่กั้นระหว่างตัวบ้านกับเพื่อนบ้านหรือพื้นที่สาธารณะภายนอก แต่ด้วยการเปลี่ยนแปลงของสภาพสังคมทุกวันนี้  สิ่งไม่พึงประสงค์ต่างๆ ทั้ง เสียง มลพิษ และภัยจากผู้คุกคาม อาจเข้ามาถึงตัวบ้านได้ง่ายขึ้น รั้วบ้านเดิมที่สร้างไว้เริ่มสูงไม่พอ เมื่อเทียบกับระดับถนน พื้นดินแวดล้อม และความสูงของอาคารสร้างใหม่ใกล้เคียง ทั้งหมดนี้นำมาซึ่งความกังวลใจจนเจ้าของบ้านจนต้องเริ่มนึกถึง “การปรับปรุงรั้วบ้านให้สูงขึ้น” ซึ่งมีเรื่องต่างๆ ต้องพิจารณา ได้แก่ ความสูง ความโปร่ง ความสวยงาม รวมถึงปัจจัยสำคัญคือ สภาพรั้วบ้านเดิม น้ำหนักวัสดุ และการติดตั้ง รั้วบ้านที่ทำการต่อเติมด้วยระแนงไม้เทียม รั้วบ้านที่เตี้ยเกินไปจนบุคคลภายนอกมองเข้ามาได้ ทำให้รู้สึกไม่เป็นส่วนตัว ต่อเติมรั้วบ้านสูงเท่าไหร่ดี ความสูงของรั้วบ้านจะต้องไม่ขัดกับกฎหมาย โดยจะสูงจากระดับถนนหรือทางเท้าได้ไม่เกิน 3.00 เมตร และควรคำนึงถึงความระดับความสูงของอาคารข้างเคียงรวมถึงช่องเปิดด้วย  ทั้งนี้ระดับรั้วบ้านยิ่งสูงจะยิ่งมีพื้นที่ปะทะแรงลมมากขึ้นจึงควรคำนึงเรื่องจุดยึดที่มั่นคงแข็งแรงเพียงพอ รั้วบ้านโปร่ง รั้วบ้านทึบ เจ้าของบ้านหลายคนอยากให้รั้วบ้านโปร่ง สามารถมองทะลุและระบายอากาศได้  เพื่อลดความอึดอัด โดยเฉพาะบ้านที่มีระยะร่นอาคารน้อย ระยะห่างระหว่างตัวบ้านกับรั้วค่อนข้างกระชั้น หรือกรณีที่มีความสูงของบ้านมากๆ หากทำรั้วบ้านทึบตันจะยิ่งอึดอัด ทั้งนี้การทำรั้วบ้านโปร่งอาจออกแบบเป็นจังหวะโปร่ง-ทึบ สลับกันไป ตามตำแหน่งระยะและมุมมองที่เหมาะสมในเรื่องความเป็นส่วนตัว อย่างไรก็ตาม การต่อเติมรั้วบ้านให้สูงเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะเรื่องความเป็นส่วนตัวด้านสายตาเท่านั้น ส่วนเรื่องการป้องกันเสียงรบกวนยังช่วยได้ไม่มาก ภาพเปรียบเทียบรั้วบ้านทึบ (ซ้าย) กับรั้วบ้านโปร่ง (ขวา) ซึ่งลมสามารถลอดผ่านซี่รั้วเข้ามาได้ ออกแบบส่วนต่อเติมรั้วบ้านให้สวยงาม รั้วบ้านเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลกับรูปลักษณ์ของบ้าน  การปรับปรุงรั้วบ้านควรเลือกใช้วัสดุ สีสัน และรูปแบบที่ไม่ขัดแย้งกับบ้าน โดยอาจลดทอนความแข็งกระด้างของวัสดุรั้วบ้านทรงสี่เหลี่ยมทื่อๆ ได้ด้วย พืชพรรณต้นไม้ สวนแขวน หรือสวนแนวตั้ง ซึ่งนอกจากจะเพิ่มพื้นที่สีเขียวเพื่อความสุขสบายตาแล้ว ยังช่วยลดแสงสะท้อนสำหรับรั้วบ้านสีอ่อน และลดทอนเสียงรวมถึงมลพิษจากภายนอกได้ด้วยเช่นกัน ตัวอย่างการตกแต่งรั้วบ้านด้วยวัสดุเบาต่างๆ สภาพรั้วบ้านเดิม นับเป็นเรื่องสำคัญที่สุดที่เจ้าของบ้านควรพิจารณา เนื่องจากโครงสร้างของรั้วบ้านทั่วไปมักจะรับน้ำหนักด้วยเสาเข็มแบบสั้น หากเป็นไปได้ควรนำแบบรั้วบ้านมาขอรับคำปรึกษาจากวิศวกรโครงสร้างจะดีที่สุด เพื่อช่วยประเมินว่าโครงสร้างรั้วบ้านยังอยู่ในสภาพดีหรือไม่ โดยรั้วบ้านจะที่ต่อเติมไม่ควรเกิดการทรุดตัวมาก คานทับหลังไม่แอ่นตกท้องช้าง ไม่มีการปริแตกของเสารั้วบ้าน วัสดุผนังที่ก่อไว้ไม่แตกทะลุหรือมีรอยแยกใหญ่ผิดปกติ รั้วบ้านที่มีลักษณะดังกล่าวนี้หากฝืนต่อเติมไปอาจยิ่งก่อให้เกิดปัญหามากขึ้น น้ำหนักของวัสดุที่ใช้ต่อเติมรั้วบ้าน หลีกเลี่ยงวัสดุประเภทผนังก่อ เพราะการต่อเติมจะสร้างน้ำหนักให้กับโครงสร้างรั้วบ้านเดิมเพิ่มขึ้น ควรเลือกใช้วัสดุเบา ยกตัวอย่างเช่น ไฟเบอร์ซีเมนต์ ซึ่งมีทั้งแบบแผ่นบอร์ด และแผ่นยาวที่ออกแบบหน้ากว้างมาสำหรับทำรั้วบ้านโดยเฉพาะ บางรุ่นมีสีและพื้นผิวเลียนแบบไม้ให้เลือกใช้ด้วย โดยติดตั้งกับโครงสร้างเบา เช่น โครงเหล็ก โครงไม้ ฯลฯ ตามระยะโครงคร่าวที่ผู้ผลิตกำหนด (ส่วนใหญ่มักมีระยะประมาณ 30-60 ซม.ขึ้นอยู่กับขนาดและความหนาของวัสดุ) โครงเหล็กสำหรับรั้วส่วนต่อเติม วิธีการติดตั้งเข้ากับรั้วบ้านเดิม รั้วบ้านส่วนต่อเติมควรติดตั้งโดยยึดเข้ากับโครงสร้างรั้วบ้านเดิมที่เป็นส่วนของคอนกรีตเสริมเหล็ก (คสล.) ได้แก่ คานคอดิน เสารั้วบ้าน หรือคานทับหลังรั้วบ้าน เพราะเป็นจุดที่เจาะยึด หรือฝังเหล็กเสียบเหล็กได้ดี โดยถ่ายน้ำหนักสู่ระบบฐานรากหรือโครงสร้างใต้ดินโดยตรง ส่วนวิธีการยึดนั้น จะยึดโครงรั้วบ้านใหม่เข้ากับด้านบนของคานทับหลังรั้วบ้านเดิม (ภาพซ้าย) หรือเลือกยึดด้านข้างโดยใช้สกรูยึดเพลทเหล็กเข้ากับโครงสร้าง แล้วเชื่อมโครงสร้างรั้วบ้านใหม่เข้ากับเพลทเหล็ก (ภาพขวา) อีกวิธีหนึ่งคือฝังเหล็กหนวดกุ้งเข้ากับเนื้อคอนกรีตด้วยกาวซีเมนต์หรือเคมีภัณฑ์ที่ใช้เสียบเหล็ก จากนั้นนำมาเชื่อมกับโครงสร้างรั้วบ้านต่อเติม วิธีหลังนี้ต้องอาศัยความแม่นยำในการต่อเชื่อมสูง จึงมักไม่เป็นที่นิยมนัก การติดตั้งรั้วส่วนต่อเติมด้วยโครงเหล็กและไม้เทียม จะเห็นได้ว่าการต่อเติมรั้วบ้านให้สูงขึ้นนั้น นอกจากความสวยงาม ความโปร่ง และความเป็นส่วนตัวแล้ว ยังมีเรื่องของความแข็งแรงซึ่งเป็นข้อสำคัญที่ควรคำนึง ทั้งสภาพโครงสร้าง การยึดติดตั้ง รวมถึงแรงลมปะทะที่เพิ่มขึ้น ทางที่ดีควรให้วิศวกรหรือผู้เชี่ยวชาญช่วยพิจารณา โดยเฉพาะการประเมินสภาพโครงสร้างรั้วบ้านเดิม ขนาดเหล็ก ระยะยึดทาบของโครงสร้าง เพื่อให้การปรับปรุงต่อเติมรั้วบ้านมีความมั่นคงแข็งแรง สามารถตอบโจทย์ความต้องการของเจ้าของบ้านได้อย่างแท้จริง หรือหากมีข้อสงสัย สามารถปรึกษาสถาปนิกจาก SCG ได้ก่อนการแก้ไขปรับปรุงดังกล่าว ขอขอบคุณภาพและข้อมูลจาก  www.scgbuildingmaterials.com
อยากกู้ปลูกบ้านในฝันบนที่ดินเปล่า ต้องทำอย่างไร

อยากกู้ปลูกบ้านในฝันบนที่ดินเปล่า ต้องทำอย่างไร

หลายคนมีที่ดินเปล่าเป็นของตัวเองอยู่แล้ว ไม่ว่าจะได้มาจากการรับมรดกหรือซื้อที่ดินเอาไว้ก่อน และเมื่ออยากปลูกสร้างบ้านบนที่ดินผืนนั้น ด้วยการกู้เงินกับธนาคาร อาจเกิดข้อสงสัยไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร หรือไม่แน่ใจว่าสามารถขอกู้กับธนาคารได้หรือไม่ ต้องบอกว่าการกู้เงินเพื่อนำไปปลูกสร้างบ้านบนที่ดินกรรมสิทธิ์ของตนเองสามารถทำได้ครับ แต่จะมีความแตกต่างกับการกู้ซื้อบ้านแบบปกติบางเรื่อง จะมีอะไรบ้างนั้นเรามีคำแนะนำสำหรับผู้ที่กำลังวางแผนปลูกสร้างบ้านมาฝากครับ เอกสารการปลูกสร้างบ้านที่ต้องใช้ สำหรับการยื่นกู้ปลูกสร้างบ้านกับธนาคาร นอกจากจะต้องเตรียมเอกสารแสดงตนและเอกสารทางการเงินแล้ว เรายังต้องเตรียมเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการปลูกสร้างอีกด้วยครับ ไม่ว่าจะเป็น แบบแปลนบ้าน สัญญาจ้างเหมาก่อสร้าง และใบอนุญาตก่อสร้าง ซึ่งแน่นอนครับว่า ก่อนที่จะลงมือปลูกสร้างบ้านได้นั้น เราต้องได้รับอนุญาตจากหน่วยงานราชการในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องเสียก่อน เช่น หากบ้านอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร ก็สามารถยื่นขอใบอนุญาตก่อสร้างได้ที่ฝ่ายโยธา สำนักงานเขตในพื้นที่บ้านของเรา หรือหากบ้านอยู่ในเขตภูมิภาค สามารถยื่นขอได้ที่กองช่าง องค์การบริหารส่วนตำบล โดยการขอใบอนุญาตก่อสร้างจะต้องมีแบบแปลนบ้านให้ตรวจสอบ ซึ่งแบบแปลนเราสามารถใช้แบบมาตรฐานของหน่วยงานราชการในพื้นที่ที่มีอยู่ หรือหากใครมีแบบบ้านในใจก็สามารถจ้างสถาปนิกเขียนแบบแปลนให้ ทั้งนี้สถาปนิกหรือบริษัทรับสร้างบ้านมักจะอำนวยความสะดวกในเรื่องการขอใบอนุญาตก่อสร้างให้เราด้วยครับ ส่วนการก่อสร้างบ้านเมื่อเราติดต่อกับผู้รับเหมาได้แล้ว สิ่งสำคัญคือต้องทำสัญญารับเหมาก่อสร้างที่ระบุเงื่อนไขการเบิกเงินของผู้รับเหมาตามความคืบหน้าของการก่อสร้างด้วยครับ วงเงินกู้ที่ธนาคารจะอนุมัติ หลายคนอาจสงสัยว่า ธนาคารจะอนุมัติวงเงินกู้ให้ได้เท่าไร ในเมื่อบ้านยังสร้างไม่เสร็จ ธนาคารรู้มูลค่าบ้านได้อย่างไร ต้องบอกว่า การให้วงเงินกู้สำหรับปลูกสร้างบ้าน ธนาคารจะประเมินมูลค่าบ้านจากแบบแปลนบ้าน หรือที่เรียกว่าแบบพิมพ์เขียว ซึ่งในแบบแปลนบ้านนอกจากจะระบุรูปแบบบ้านแล้ว ยังมีรายละเอียดเกี่ยวกับวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการก่อสร้างบ้านอีกด้วย นอกจากนี้ธนาคารต้องทำการประเมินมูลค่าที่ดินไปพร้อมๆ กัน ซึ่งปกติแล้วธนาคารมักให้วงเงินกู้ปลูกสร้างบ้านไม่เกิน 100% ของค่าปลูกสร้าง โดยวงเงินต้องไม่เกิน 80% ของราคาประเมินที่ดินพร้อมบ้านครับ และเมื่อเราได้รับอนุมัติวงเงินกู้ปลูกสร้างบ้านแล้วต้องไม่ลืมว่า หลักประกันที่จำนองกับธนาคารไม่ใช่แค่ตัวบ้านเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการจำนองที่ดินพร้อมบ้านที่เรากำลังจะก่อสร้างนั่นเองครับ วิธีรับเงินกู้ปลูกสร้างบ้าน หลังจากที่เราได้รับอนุมัติวงเงินกู้ปลูกสร้างบ้านแล้ว การรับเงินจะไม่ได้เป็นก้อนทีเดียวเหมือนกับการกู้ซื้อบ้านครับ แต่ธนาคารจะทยอยให้ตามสัญญาเงินกู้ ซึ่งรับเป็นงวดๆ ตามความคืบหน้าของการปลูกสร้างที่ระบุไว้ในสัญญาเงินกู้ เช่น งวดที่ 1 เบิก 500,000 บาท เมื่อวางผังและปรับพื้นตอกเสาเข็มเรียบร้อย จากนั้นสามารถเบิกงวดที่ 2 เป็นเงิน 300,000 บาท เมื่อตั้งเสาและเทพื้น เสร็จเรียบร้อย โดยในการเบิกเงินแต่ละงวด ธนาคารจะทำการประเมินความคืบหน้าของการก่อสร้างจริงว่า เป็นไปตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในสัญญาเงินกู้หรือไม่ครับ นอกจากเอกสารต่างๆ เกี่ยวกับการปลูกสร้างบ้านที่ต้องเตรียมยื่นกู้กับธนาคารแล้ว อย่าลืมคำนึงถึงความสามารถในการผ่อนชำระหนี้ของเราด้วยนะครับ หากเลือกแบบบ้านที่มีค่าใช้จ่ายการก่อสร้างสูงเกินความสามารถในการชำระหนี้อาจทำให้กู้ไม่ผ่านได้ครับ   ขอขอบคุณข้อมูลจาก K-Expert
ติดฉนวนใยแก้วกันความร้อนแล้วทำไมบ้านยังร้อน ?

ติดฉนวนใยแก้วกันความร้อนแล้วทำไมบ้านยังร้อน ?

สำหรับเจ้าของบ้านที่ซื้อฉนวนใยแก้วกันความร้อนมาติดตั้งบริเวณหลังคาหรือฝ้าเพดาน แล้วพบว่าบ้านไม่ได้เย็นขึ้นอย่างที่คิด ให้ลองหันมาดูปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้เกิดความร้อนในบ้าน รวมถึงช่องทางระบายความร้อนออกไปนอกบ้าน ทั้งนี้ อาจลองพิจารณาวิธีอื่นๆ ที่ช่วยลดความร้อนในบ้านด้วยนะครับ ปัญหาบ้านร้อน นับเป็นเรื่องธรรมดาของผู้ที่อาศัยเขตเส้นศูนย์สูตรอย่างประเทศไทย วิธีแก้ปัญหาที่มักนึกถึงกันคือ การติดตั้ง “ฉนวนใยแก้วกันความร้อน” และเนื่องจากความร้อนที่เกิดขึ้นภายในบ้าน ประมาณ 70 % มักมาจากทางหลังคาบ้าน  เจ้าของบ้านจึงมักได้รับคำแนะนำให้ติดฉนวนกันความร้อนที่หลังคาหรือฝ้าเพดานชั้นบนสุด  แต่ทั้งนี้อาจมีบางกรณีที่ซื้อฉนวนมาติดตั้งตามคำแนะนำแล้ว แต่ความร้อนในบ้านก็ไม่ได้ลดลง ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ? ก่อนอื่น เจ้าของบ้านควรทำความเข้าใจถึงแหล่งกำเนิดของความร้อนภายในบ้านว่ามาจากส่วนใดได้บ้าง ความร้อนในบ้านมาจากไหน โดยทั่วไป ความร้อนภายในบ้านส่วนใหญ่มักมาจากแสงแดดที่ส่งผ่านความร้อนเข้ามาในบ้าน ผ่านทางหลังคาและ ฝ้าเพดานชั้นบน อีกทางที่เข้ามาได้ง่ายคือ ผนังกระจกและประตูหน้าต่างกระจก ทั้งนี้ แสงแดดยังส่งผ่านความร้อนบางส่วนผ่านผนังทึบได้ด้วย โดยจะมากน้อยเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับค่ากันความร้อน หรือที่เรียกว่า “ค่า R” ของระบบผนังซึ่งแตกต่างกันไปตามชนิดของวัสดุและการติดตั้ง   นอกจากนี้ การทำกิจกรรมประจำวันภายในบ้านก็ทำให้เกิดความร้อนได้  เช่น ความร้อนจากเครื่องใช้ไฟฟ้า ความร้อนจากร่างกายคน เป็นต้น แหล่งที่มาของความร้อนภายในบ้าน ตัวอย่าง ค่า R ของระบบผนังต่างๆ ตัวอย่าง ค่า R ของระบบหลังคาและฝ้าเพดาน ทำความรู้จักฉนวนใยแก้วกันความร้อน ฉนวนใยแก้วกันความร้อน ผลิตจากซิลิกาซึ่งเป็นวัตถุดิบจากแก้ว นำไปหลอมละลายแล้วปั่นเป็นเส้นใย มีคุณสมบัติทนและกันความร้อนได้ดีมาก สามารถติดไฟได้แต่ไม่ลามไฟ (ตรงข้ามกับวัสดุกันความร้อนหลายชนิดที่ลามไฟได้รวดเร็ว) วัสดุเส้นใยแก้วเมื่อแตกตัวจะมีอนุภาคใหญ่เกินกว่าจะเข้าสู่ทางเดินหายในของมนุษย์ได้ จึงไม่นับเป็นสารก่อมะเร็ง ซึ่งตรงกันข้ามกับใยหิน ผลิตภัณฑ์ฉนวนใยแก้วกันความร้อนที่ขายในท้องตลาด อาจมีลักษณะเป็นแผ่น หรือเป็นม้วน โดยจะมีทั้งรุ่นที่ผลิตมาสำหรับติดตั้งบนแปหลังคา ติดตั้งบนฝ้าเพดาน และติดตั้งที่ผนัง การใช้งานฉนวนใยแก้ว มีข้อควรระวังคือ ตัวฉนวนใยแก้วอาจทำให้ผิวหนังมีอาการระคายเคืองได้ โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการแพ้วัสดุชนิดนี้ ดังนั้น ในการติดตั้งจึงควรสวมถุงมือและเสื้อผ้ามิดชิด เพื่อเลี่ยงการสัมผัสฉนวนใยแก้วโดยตรง การติดตั้งฉนวนใยแก้วกันความร้อนบนหลังคาและฝ้าเพดาน หน้าที่ของฉนวนกันความร้อนใยแก้วคือ ช่วยป้องกันความร้อนไม่ให้ผ่านเข้ามาในบ้าน โดยคุณสมบัติของตัวฉนวนจะมีค่ากันความร้อนหรือ “ค่า R” สูง (ค่า R จะมากขึ้นตามความหนาฉนวนด้วย) การติดตั้งฉนวนกันความร้อนจะเป็นการเพิ่มค่า R ให้กับบริเวณที่ติดตั้ง ไม่ว่าจะเป็น ผืนหลังคา ฝ้าเพดาน หรือผนัง การติดตั้งฉนวนใยแก้วกันความร้อนเพื่อเพิ่มค่า R ให้ระบบผนัง ทำให้สามารถป้องกันความร้อนได้มากขึ้น ติดฉนวนแล้วทำไมยังร้อน ? การที่บ้านจะร้อนหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย สำหรับบ้านที่ติดตั้งฉนวนกันความร้อนที่หลังคาหรือฝ้าเพดานก็จะช่วยป้องกันความร้อนจากแสงแดดที่สองหลังคาไม่ให้เข้ามาในบ้านได้ แต่อย่าลืมว่า ความร้อนที่เกิดขึ้นในบ้านอาจมาจากส่วนอื่นได้ด้วย อย่างความร้อนจากแสงแดดที่ส่งผ่าน ผนัง ประตูหน้าต่าง หรือความร้อนจากการทำกิจกรรมในบ้าน ดังที่ได้กล่าวไปข้างต้น ทั้งนี้ ฉนวนกันความร้อนที่ติดตั้งนั้น นอกจากจะป้องกันไม่ให้ความร้อนจากนอกบ้านเข้าสู่ภายในบ้านแล้ว ความร้อนที่อยู่ภายในบ้านก็จะถูกฉนวนป้องกันไม่ให้ออกนอกบ้านด้วยเช่นกัน หรือพูดได้อีกอย่างว่า “ความร้อนไม่ได้ถูกระบายออกจากตัวบ้าน” จึงทำให้บ้านร้อนแทนที่จะเย็นนั่นเอง ติดฉนวนอย่างไรให้บ้านเย็น ? แม้การติดฉนวนกันความร้อนที่หลังคาจะช่วยป้องกันความร้อนจากบริเวณหลังคาได้ แต่ในขณะเดียวกัน ความร้อนจากส่วนอื่นๆ ก็ควรป้องกันด้วยวิธีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความร้อนจากผนัง  โดยเฉพาะด้านที่โดนแดดแรงควรทำเป็นผนังทึบด้วยวัสดุที่มีค่า R สูง ไม่อมความร้อน และอาจติดตั้งฉนวนกันความร้อนเพิ่มเติมด้วย สำหรับผนังส่วนที่จำเป็นต้องใช้กระจกใส อาจลดความร้อนโดยติดตั้งแผงบังแดดเพิ่ม ติดฟิล์มช่วยกันความร้อนบนกระจก นอกจากนี้ยังมีวิธีอื่นๆ ที่ช่วยลดความร้อนได้ อย่างการปลูกต้นไม้ให้ร่มเงาบังแดด การเลือกใช้วัสดุที่มีค่า R สูง และไม่อมความร้อน เป็นต้น อีกเรื่องสำคัญที่ลืมไม่ได้คือ การจะทำบ้านในเมืองร้อนให้เย็นได้นั้น “ควรมีการระบายอากาศที่ดี” เพื่อให้ความร้อนภายในบ้านสามารถระบายออกไปนอกบ้านได้ ไม่ว่าจะเป็นประตูหน้าต่างที่เพียงพอในตำแหน่งเหมาะสม การทำช่องทางระบายอากาศบริเวณหลังคา (ติดตั้งฝ้าชายคาแบบมีรูระบายอากาศหรือทำเป็นระแนงเพื่อระบายอากาศ) เป็นต้น  ทั้งนี้ หากบ้านติดตั้งอยู่ในบริเวณที่มีมลภาวะมาก อาจใช้อีกทางเลือกซึ่งต้องอาศัยอุปกรณ์ช่วย คือ การปิดบ้านให้มิดชิด โดยติดตั้งอุปกรณ์ที่ดึงเอาอากาศจากภายนอกมาใช้ในบ้านผ่านระบบกรอง จากนั้น อากาศที่ใช้แล้วพร้อมความร้อนจะถูกปล่อยทิ้งออกไปนอกบ้าน ฉนวนทำหน้าที่ป้องกันความร้อนจากภายนอกไม่ให้เข้ามาในบ้าน ขณะเดียวกัน ความร้อนภายในบ้านก็ไม่สามารถออกไปได้ด้วยเช่นกัน จะเห็นได้ว่า การแก้ปัญหาบ้านร้อนอาจไม่ใช่แค่การติดตั้งฉนวนกันความร้อนเพียงอย่างเดียว แต่ควรคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ ที่มีส่วนในการป้องกันความร้อนในบ้านให้ครอบคลุม รวมถึงระบบระบายอากาศที่ดีเพื่อให้ความร้อนระบายออกไปจากบ้านได้ ปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้อุณหภูมิในบ้านลดลง ทำให้สามารถอยู่อาศัยได้อย่างสบายมากขึ้น รวมถึงช่วยลดการใช้พลังงานจากเครื่องปรับอากาศได้ด้วย ขอขอบคุณภาพและข้อมูลจาก  www.scgbuildingmaterials.com
12 เคล็ดลับดูแลสวนในบ้านให้สวยชุ่มชื่นอยู่เสมอ

12 เคล็ดลับดูแลสวนในบ้านให้สวยชุ่มชื่นอยู่เสมอ

คนที่มีพื้นที่ในบ้านเพียงพอที่จะทำสวนสวย ๆ ไว้ชื่นชม อาจจะเป็นที่น่าอิจฉาของบ้านที่มีพื้นที่น้อย แต่การดูแลสวนให้สวยและสะอาดตาก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เพราะมีปัจจัยแวดล้อมอย่างสภาพอากาศ สัตว์ รวมทั้งเหล่าวัชพืชมาคอยป่วนสวนอยู่ตลอด ทำให้หลายคนเริ่มเหนื่อยและท้อกับการดูแลสวนไม่น้อย จนคิดอยากจะจ้างบริษัทรับดูแลสวนให้รู้แล้วรู้รอดกันไป แต่อย่าเพิ่งใจร้อนขนาดนั้นเลยครับ เพราะจริง ๆ แล้วเราก็สามารถดูแลสวนด้วยตัวเองได้ ตามเคล็ดลับดูแลสวนเหล่านี้ รับรองว่าไม่ยากเกินความสามารถด้วยนะครับ 1. เตรียมพร้อมอุปกรณ์ทำสวน อุปกรณ์ทำสวนมีหลายชนิด ซึ่งแบ่งหน้าที่ตามการใช้งาน ฉะนั้นสำหรับคนมีสวนอยู่ในบ้าน ก็ควรต้องเตรียมอุปกรณ์ทำสวนอย่าง คราด พลั่ว หัวฉีดน้ำสำหรับรดน้ำต้นไม้ ฝักบัว และกรรไกรตัดกิ่งไว้ให้พร้อม หากต้องการจะทำสวนขึ้นมาวันใด จะได้เลือกใช้อุปกรณ์ได้ถูกหลักการใช้งาน 2. รดน้ำต้นไม้ให้ถูกเวลา เวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการรดน้ำต้นไม้ควรจะเป็นช่วงเช้าตรู่ เนื่องจากในตอนกลางวันแสงแดดจะค่อนข้างแรง และอาจจะทำให้ต้นไม้คายน้ำมากขึ้นได้ ดังนั้นเราจึงต้องรดน้ำป้องกันต้นไม้ขาดน้ำไว้ก่อน ต้นไม้จะได้มีน้ำเพียงพอสำหรับกระบวนการเจริญเติบโต 3. ใส่ปุ๋ยให้ถูกสูตร ก่อนจะเลือกต้นไม้มาปลูกในสวน เราควรต้องศึกษาข้อมูลของต้นไม้แต่ละชนิดก่อนว่า ต้องการน้ำ แสงแดด หรือปุ๋ยในปริมาณเท่าไร เพื่อให้เราดูแลเขาให้เติบโตมาอย่างสมบูรณ์ที่สุด โดยเฉพาะกับเรื่องปุ๋ย ที่น่าจะต้องรู้สูตรปุ๋ยที่เหมาะสมกับต้นไม้แต่ละชนิดให้ดี จะได้ใส่ปุ๋ยบำรุงต้นไม้ได้ถูกต้อง 4. คลุมหน้าดิน การคลุมหน้าดินสามารถป้องกันได้ทั้งวัชพืช ลดการกัดเซาะของหน้าดิน รวมทั้งช่วยรักษาความชุ่มชื้นให้ดินได้อีกด้วย ข้อดีเป็นขบวนแบบนี้ เราก็คงต้องหาพืชมาคลุมหน้าดินบริเวณโคนต้นไม้กันแล้วล่ะเนอะ 5. ปลูกพืชล้มลุก พืชล้มลุกมีระยะเวลาการเจริญเติบโตเป็นของตัวเอง ซึ่งแต่ละชนิดก็จะแตกต่างเวลากันไป แต่ความแตกต่างตรงนี้ล่ะที่เป็นประโยชน์ดี ๆ กับสวนของเรา เพราะหากเราปลูกพืชล้มลุกถูกเวลา สวนก็จะดูเขียวชอุ่ม ชุ่มชื่นอยู่ตลอด แถมพอพืชล้มลุกหมดอายุแล้วจริง ๆ ซากพืชเหล่านี้ยังสามารถนำไปทำเป็นปุ๋ยได้ด้วยนะ 6. ปราบวัชพืช อย่างที่รู้กันดีว่า ศัตรูตัวฉกาจของสวนและสนามหญ้าก็คือวัชพืชตัวดีนั่นเอง และหากว่าในสวนของคุณมีวัชพืชอยู่ล่ะก็ ต้องรีบจัดการโดยด่วนเลยนะจ๊ะ จะถางออก หรือทำลายด้วยสูตรธรรมชาติก็ได้ ขอแค่ไม่ต้องให้วัชพืชมาอยู่กวนใจต้นไม้ต้นโปรดก็พอ 7. ปลูกไม้พุ่ม ไม้พุ่มมีส่วนช่วยให้สวนดูเขียวชอุ่มมีชีวิตชีวาไม่น้อยเลยทีเดียว ดังนั้นหากคุณต้องการให้มีบรรยากาศของความสดชื่นจากธรรมชาติ ก็ควรปลูกไม้พุ่มไว้รอบ ๆ สวน แบบนี้ไม่ว่าจะฤดูไหน สวนของคุณก็จะดูสวยงามอยู่เสมอเลยจ้า 8. เริ่มปลูกพืชต้นใหม่ หลังจากที่ไม้ล้มลุกหมดอายุและล้มลงไปแล้ว ให้เริ่มลงต้นไม้ชนิดใหม่ได้เลย เพราะช่วงเวลานั้นคือโอกาสที่วัชพืชจะเจริญเติบโต ดังนั้นเราก็ควรชิงปลูกไม้ล้มลุกชนิดใหม่ลงไปก่อน จะได้เป็นการป้องกันไม่ให้วัชพืชมาป่วนสวนเราได้ครับ 9. อย่ารดน้ำเกินขนาด ต้นไม้ต้องการน้ำเพื่อการเจริญเติบโต แต่ทั้งนี้ก็ต้องอยู่ในปริมาณที่เหมาะสม เพราะหากต้นไม้ได้รับน้ำเกินขนาดก็มีสิทธิ์รากเน่า ใบเหลือง เสียสุขภาพได้เช่นกันจ้า 10. หมั่นเติมปุ๋ยคอก ปุ๋ยคอกเป็นปุ๋ยที่ได้จากมูลสัตว์ และซากพืช ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นของจากธรรมชาติทั้งสิ้น และด้วยเหตุนี้จึงสามารถช่วยบำรุงแร่ธาตุในดินได้ แถมยังคอยเติมสารอาหารที่ดินขาดไปได้ด้วย ฉะนั้นเราก็ควรหมั่นใส่ปุ๋ยคอกบำรุงดิน และต้นพืชเสมออย่าให้ขาด 11. ตัดเล็มต้นไม้เท่าที่จำเป็น ต้นไม้บางชนิด เช่น ไม้พุ่ม ไม่จำเป็นต้องตัดเล็มบ่อยนักก็ได้ เพราะจะได้รักษาน้ำให้ต้นไม้ได้เยอะ ๆ แต่หากต้นไม้เสียรูปทรง ก็ทำแค่เพียงตัดแต่งกิ่งเท่าที่จำเป็นก็พอ เพราะการเล็มต้นไม้บ่อยเกินไป ก็อาจจะทำให้เสียเวลาและเปลืองแรงโดยไม่จำเป็น อีกทั้งยังเป็นการทำลายต้นไม้ทางอ้อมด้วย 12. วิเคราะห์สภาพดิน เพราะดินเป็นพื้นฐานสำคัญในการปลูกต้นไม้ ดังนั้นเราก็ควรรู้จักสภาพดินในสวนของเราให้ได้ดีที่สุด เพราะหากดินมีปัญหา หรือขาดแคลนสารอาหารตัวไหน เราจะได้แก้ปัญหาดินได้อย่างตรงจุด ไม่ว่าคุณจะมีทักษะในการปลูกต้นไม้หรือทำสวนหรือเปล่าก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ขอแค่เพียงมีใจรักในการปลูกต้นไม้ และมีความต้องการอยากให้บ้านมีสวนสวย ๆ ก็แค่พกเคล็ดลับดูแลสวนเหล่านี้เอาไว้ แล้วนำไปใช้ดูแลสวนของเราก็พอนะครับ   ขอขอบคุณข้อมูลจาก home.kapook.com  

1 ... 7 8 9 ... 13