Life+Style

 

Life+Style ล่าสุด

1 ... 13 14 15 16
REFINANCE ที่อยู่อาศัยแล้วชีวิตดี เงินเหลือใช้ จริงหรือไม่?

REFINANCE ที่อยู่อาศัยแล้วชีวิตดี เงินเหลือใช้ จริงหรือไม่?

หลายคนที่กำลัง ‘ผ่อน’ ที่อยู่อาศัยอยู่ คงมีความรู้สึกอยากผ่อนให้หมดไวๆ ใช่ไหมคะ บ้างก็ใช้วิธีการโปะเพิ่มทุกเดือนเพื่อช่วยร่นระยะเวลาในการผ่อน แต่ความจริงแล้วมีอีกหนึ่งวิธีที่ทำให้เราประหยัดรายจ่ายในเรื่องของดอกเบี้ย ซึ่งทำให้ผ่อนบ้านหมดเร็วขึ้นคือ การ “REFINANCE” หรืออธิบายง่ายๆ คือการไปกู้เงินจากธนาคารอื่นที่จ่ายดอกเบี้ยถูกกว่ามาจ่ายคืนธนาคารเดิมที่เคยกู้นั่นเองค่ะ สำหรับข้อดีของการ REFINANCE คือตัวช่วยผ่อนบ้านให้หมดไวขึ้น โดยจ่ายค่างวดเท่าเดิมแต่จ่ายส่วนที่เป็นดอกเบี้ยน้อยลง ก็ทำให้ลดเงินต้นได้มากขึ้น หรือบางคนที่ผ่อนบ้านไปแล้วเกิดปัญหาการเงิน กรณีหมุนไม่ทัน ก็สามารถรีไฟแนนซ์เพื่อขอลดค่างวดที่ต้องจ่ายต่อเดือนลงหรือเป็นการยืดระยะเวลาในการผ่อนให้นานขึ้น คนที่สนใจ REFINANCE ต้องเช็คสัญญากู้ก่อนนะคะว่ามีกำหนดระยะเวลาที่สามารถรีไฟแนนซ์ได้เมื่อไหร่ ส่วนใหญ่จะกำหนดไว้ 3 ปี แต่กรณีที่รีไฟแนนซ์ก่อนกำหนดจะเสียค่าปรับประมาณ 0-3% ของวงเงินกู้เดิม (มีระบุไว้ในสัญญากู้) แนะนำว่ารอให้หมดช่วงก่อนดีกว่าค่ะ เพราะถ้าดอกเบี้ยไม่ได้แพงมากจนเกินไป ส่วนใหญ่รีไฟแนนซ์ก่อนกำหนดมักจะไม่คุ้ม และการรีไฟแนนซ์ทุกครั้งจะมีค่าใช้จ่ายแฝงในอยู่ด้วย ไม่ใช่แค่การคำนวณเพื่อปรับลดดอกเบี้ยเท่านั้น ค่าใช้จ่ายในการรีไฟแนนซ์มีอะไรบ้าง เรามาดูไปพร้อมกันเลยดีกว่าค่ะ... 1. ค่าธรรมเนียมการจำนอง กรณีที่รีไฟแนนซ์ธนาคารใหม่จะคิด 1% ของวงเงินกู้ใหม่ เพื่อจ่ายให้กรมที่ดิน 2. ค่าประเมินราคาทรัพย์สิน การ REFINANCE ทั่วไปจะอยู่ที่ 0.25-2% ของราคาประเมินจากกรมที่ดิน หรือคิดเป็นจำนวน 1,500 - 10,000 บาท ขึ้นอยู่กับธนาคาร แต่กรณีที่รีไฟแนนซ์ธนาคารเดิมไม่ต้องจ่ายนะคะ ซึ่งจะเรียกว่าการรีเทนชั่น 3. ค่าธรรมเนียมการปล่อยกู้ จะคิดประมาณ 0-3% ของวงเงินกู้ใหม่ (ซึ่งบางธนาคารก็ไม่คิดค่าธรรมเนียมนี้ สอบถามก่อนก็ดีค่ะ) 4. ค่าอากรแสตมป์ สำหรับค่าอาการแสตมป์นั้นจะคิดเท่ากันทุกธนาคาร คือ 0.05% ของวงเงินกู้ใหม่ค่ะ 5. ค่าประกันอัคคีภัย ในการ REFINANCE ไม่ว่าจะกู้ธนาคารใหม่หรือธนาคารเดิม จะต้องเสียค่าประกันอัคคีภัยซึ่งแต่ละธนาคารจะมีอัตราค่าประกันต่างกัน เมื่อรู้ค่าใช้จ่ายทั้งหมดแล้ว ก็นำมาเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ธนาคารใหม่กับธนาคารเก่า โดยคิดเฉลี่ย 3 ปี เพราะการรีไฟแนนซ์จะกำหนดให้ทำได้หลัง 3 ปี แต่ต้องระวังเวลาเปรียบเทียบดอกเบี้ยที่เป็น MLR MRR ของแต่ละธนาคารไม่เท่ากัน ตัวอย่างเพื่อทำความเข้าใจอย่าละเอียด สมมุติว่ากู้ธนาคารเดิม 2,000,000 บาท อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี คือ 4.75% ต่อปี ผ่อนเดือนละ 13,000 บาท ผ่อนไปโปะไปแล้ว 3 ปี มียอดหนี้เหลือ 1,500,000 บาท (เปรียบเทียบดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์มาแล้วทุกธนาคาร) แต่เอาที่ถูกที่สุด คือ ดอกเบี้ยปีแรก 2.5% ปีถัดไป MRR-2% สมมติ MRR ธนาคารที่เราเลือกคือ 7% วิธีคิดอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีธนาคารใหม่ คือ {(2.5% x 1 ปี) + [(7%-2%) x 2 ปี } / 3 ปี = 4.17% ต่อปี ดูแล้วน่าจะถูกกว่า แต่อย่าลืมคิดค่าธรรมเนียมต่างๆ ด้วยนะคะ อาทิ ค่าธรรมเนียมการจำนอง 1% x 1,500,000 บาท = 15,000 บาท ค่าประเมินราคาสินทรัพย์ สมมติธนาคารคิด 3,000 บาท ค่าธรรมเนียมปล่อยกู้ สมมติให้ไม่มี ค่าอากรแสตมป์ 0.05% x 1,500,000 บาท = 750 บาท ส่วนค่าประกันอัคคีภัย เราไม่ได้เอาไปคิดนะคะ เพราะถึงเราไม่รีไฟแนนซ์ก็ต้องจ่ายค่าประกันนี้ทุก 3 ปีอยู่แล้ว ยกเว้นประกันกับธนาคารเดิมไม่ใช่ 3 ปี หรือธนาคารมีค่าบริการอื่นนอกจากนี้ จะเอาค่าใช้จ่ายนั้นมาคิดรวมด้วย พอรวมค่าใช้จ่ายในการรีไฟแนนซ์ทั้งหมด จะได้เท่ากับ 18,750 บาท จากนั้นก็ลองไปคำนวณเปรียบเทียบดอกเบี้ย 3 ปีของทั้ง 2 ธนาคารดู ถ้ากู้ต่อธนาคารเดิมอัตราดอกเบี้ย 4.75% เมื่อครบ 3 ปี จะจ่ายดอกเบี้ยทั้งหมดประมาณ 192,450 บาท ยอดหนี้คงเหลือ คือ 1,224,440 บาท ถ้าเปลี่ยนไปกู้ที่ธนาคารใหม่ อัตราดอกเบี้ย 4.17% เมื่อครบ 3 ปี จะจ่ายดอกเบี้ยทั้งหมดประมาณ 167,435 บาท เมื่อรวมกับค่าธรรมเนียม 18,750 บาท รวมเป็น 186,185 บาท ยอดหนี้คงเหลือ คือ 1,199,430 บาท                  จากตัวอย่างด้านบนเห็นได้ชัดเลยค่ะว่ากรณีรีไฟแนนซ์ทำให้เราประหยัดดอกเบี้ยได้เยอะกว่า และลดเงินต้นได้เยอะขึ้นด้วย แต่ในการคำนวณเราต้องคำนึงแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยในอนาคตด้วยนะคะ เพราะ MRR หรือ MLR เป็นตัวเลขที่อาจมีการปรับขึ้นลงตามอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ถ้าเราคิดว่าในอนาคตอีก 2-3 ปี อัตราดอกเบี้ยจะเพิ่มขึ้นมากๆ และอัตราดอกเบี้ยที่เรากำลังจ่ายอยู่ขึ้นกับ MRR/MLR การรีไฟแนนซ์ก่อนกำหนดและเสียค่าปรับ ก็อาจจะคุ้มค่ามากกว่าค่ะ :)  
การเลือกห้องคอนโด แบบไหน...ถึงเรียกว่าห้องสวย??

การเลือกห้องคอนโด แบบไหน...ถึงเรียกว่าห้องสวย??

เชื่อว่าแทบจะทุกคนต้องมีคำถามนี้อยู่ในใจแน่ๆ เมื่อคิดจะเลือกซื้อคอนโดมิเนียมซักห้อง ไม่ว่าจะซื้อไว้อยู่เองก็ดี หรือกำลังคิดจะผันตัวเองมาเป็นนักลงทุนอสังหาฯมือใหม่ ก็ต้องเคยวนเวียนอยู่กับการหาคำตอบว่า ห้องแบบไหนถึงจะดี หรือคอนโดไหนที่เรียกว่า “สวย” เรียบเรียงโดย Review Your Living   แน่นอนคำว่า “สวย” ในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงแค่รูปร่างหน้าตาตึก หรือการตกแต่งที่สวยงามที่เห็นได้ด้วยตาเปล่าเท่านั้นนะคะ แต่เรากำลังหมายถึง ความสวยที่มาพร้อมกับองค์ประกอบอื่นๆ เพื่อการอยู่อาศัย ความคุ้มค่าคุ้มราคาที่ต้องจ่าย รวมถึงปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ ที่จะทำให้ทุกคนลงความเห็นตรงกันว่า “สวย” อย่างเช่นเรื่อง “ทำเลที่ตั้ง” เป็นต้น   ยิ่งในภาวะที่ตลาดปัจจุบันมีคอนโดมิเนียมให้เลือกเป็นจำนวนมาก ชนิดที่ถ้าเอาข้อมูลมาวางเรียง เปรียบเทียบจุดเด่นจุดด้อยกันเป็นข้อๆ ก็คงมีคนตาลาย เมาข้อมูลกันไปบ้างไม่มากก็น้อยแหละ หรือถ้าลองไปถามเพื่อนฝูง คนใกล้ชิด หรือแม้แต่ผู้มีประสบการณ์ที่เราไว้วางใจ บางทีก็อาจจะได้คำตอบไม่ตรงกับใจ แย่กว่านั้นคอนโดที่เค้าช่วยเลือกให้อาจจะไม่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของเราเลยก็เป็นได้ เจอแบบนี้ก็ยิ่งปวดหัวไปกันใหญ่...จริงมั้ยคะ   วันนี้เราจึงอยากจะแชร์ข้อมูลให้ทุกคนได้ลองเก็บไว้ใช้ประกอบการตัดสินใจ เพื่อเลือกคอนโดมิเนียมให้ตอบโจทย์ตรงใจ แถมยังได้ห้องสวยคุ้มราคาด้วยกันด้วยค่ะ คำถามแรกๆ ที่เราต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อนก็คือ “งบประมาณที่จ่ายไหว” ส่วนใหญ่แล้วเรามักจะได้ยินตัวเลข “ประมาณ 2 ล้านบาท” ที่เป็นคำตอบในใจหลายคน อาจจะบวกลบได้นิดหน่อย อันนี้ไม่ว่ากันค่ะ   อันดับต่อมาคำว่า “คอนโดติดรถไฟฟ้า” ก็จะเป็นคำที่ผุดขึ้นมาในหัวและเป็นตัวเลือกลำดับต้นๆ ของทุกคน เพราะใครๆ ก็เชื่อว่า ถ้าได้คอนโดติดรถไฟฟ้า ยังไงซะราคาขายต่อก็ต้องดีมีกำไร ถ้าจะปล่อยเช่าก็คงทำได้ไม่ยาก และอาจจะเรียกราคาค่าเช่าได้มากขึ้นด้วย   ถ้าต้องเลือก “คอนโดติดรถไฟฟ้า” ปัจจุบันก็มีทำเลแนวรถไฟฟ้าหลายสายเลยค่ะ ทั้งที่เปิดใช้กันแล้ว หรือสายที่อยู่ในแผนอนาคต ซึ่งถ้าเลือกได้ คนส่วนใหญ่ก็จะขอเลือก “แนวรถไฟฟ้า BTS สายสีเขียว” กันแทบทั้งนั้น โดยเฉพาะแถบเส้นทางสายสุขุมวิทที่ใครๆ ก็รู้ว่าความเจริญขยายไปอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็กำไรเห็นๆ!!!   “ทำเลที่ตั้ง” ก็เป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญในอันดับต้นๆ เหมือนกันนะคะ นอกจากจะต้องอยู่ติดรถไฟฟ้าแล้ว ถ้าได้ทำเลในแหล่งชุมชนเก่า ใกล้แหล่งช็อปปิ้ง ใกล้แหล่งงาน รวมถึงแวดล้อมด้วยสาธารณูปโภคต่างๆ ได้พร้อมมากเท่าไหร่ ก็เชื่อได้ว่าความเป็นอยู่ของเราจะสะดวกสบายมากขึ้นเท่านั้นค่ะ ยิ่งถ้าได้โครงการติดถนนใหญ่ซัก 4 เลน ก็จะยิ่งเป็นข้อได้เปรียบ เพราะโครงการคอนโดติดถนนใหญ่แบบนี้ ก็จะเป็นคอนโด High Rise อย่างแน่นอน โอกาสในการซื้อขายและปล่อยเช่าก็ย่อมดีกว่าโครงการ Low Rise ในซอยชัวร์ๆ ค่ะ   และอีกหนึ่งข้อสำคัญที่เราต้องนำมาพิจารณาด้วยก็คือ “ความน่าเชื่อถือของ Developer” ถึงแม้คอนโดมิเนียมจากแบรนด์ดังๆ มักจะมีราคาขายค่อนข้างสูงกว่าแบรนด์ใหม่ๆ แต่บางครั้งเราก็ต้องยอมรับว่า ราคาที่ต้องจ่ายก็แลกมาด้วยความมั่นใจ ทั้งในเรื่องของคุณภาพ การจัดการ รวมถึงเชื่อได้ว่าเจ้าของโครงการจะส่งมอบห้องให้เราได้ตามสัญญา แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่า ผู้พัฒนาอสังหาฯ รายเล็กจะไม่น่าเชื่อถือนะคะ อันนี้เราแนะนำให้ลองพิจารณาจากโครงการที่ผ่านๆ มาของเค้าก่อนค่ะ บางรายเป็นเจ้าถิ่นที่มีความเชี่ยวชาญในพื้นที่เป็นอย่างดี สามารถทำคอนโดตอบโจทย์กลุ่มคนในย่านนั้นได้อย่างเหมาะสม อันนี้เราก็ควรจะเก็บไว้พิจารณานะคะ บางทีอาจจะเจ๋งกว่าแบรนด์ดังๆ ที่เพิ่งเข้ามาในพื้นที่ก็ได้ค่ะ     เป็นยังไงกันบ้างค่ะกับบทความดีๆ ที่เราเอามาฝาก ยังมีบทความน่ารู้อีกมากมายให้ได้ติดตามกันได้ที่นะคะ https://goo.gl/dwpzgr              
บ้านสั่งสร้าง VS บ้านโครงการ อันไหนดีกว่ากัน?

บ้านสั่งสร้าง VS บ้านโครงการ อันไหนดีกว่ากัน?

ความสุขสำหรับใครหลายๆ คนคือการได้เจอและอยู่ในสถานที่ให้ความรู้สึกว่าเป็นที่ของเราใช่ไหมคะ เช่นเดียวกับการเลือกบ้านสักหลังหนึ่งที่ใครต่างให้คำนิยามว่าเป็น ‘พื้นที่ส่วนตัว’ หากคุณผู้อ่านกำลังมีแพลนจะซื้อบ้านใหม่ แต่ยังคงลังเลใจว่าควรซื้อบ้านโครงการที่สร้างไว้แล้วพร้อมเข้าอยู่ หรือบ้านสั่งสร้างโดยมองหาบริษัทออกแบบรับเหมาก่อสร้างดีนะ? วันนี้ทีมงาน Review Your Living เลยได้รวบรวมระหว่างข้อดีกับข้อเสียของบ้านสั่งสร้างและบ้านโครงการมาฝากค่ะ ซึ่งเรียกว่าเป็นตัวช่วยสำคัญ แก่การตัดสินใจเลือกบ้านแสนรักของคุณนั่นเอง เรียบเรียงโดย Review Your Living ข้อดีของบ้านสั่งสร้าง 1. เลือกบริษัทออกแบบบ้านได้ตามต้องการและสามารถควบคุมงบประมาณได้ ข้อนี้ถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญของบ้านสั่งสร้างเลยล่ะคะ เพราะคุณจะสามารถกำหนดงบประมาณเองได้ โดยเอาแบบแปลนบ้านที่ใช่ให้บริษัทออกแบบรับเหมาก่อสร้างประเมิน ซึ่งถ้าหากผู้รับเหมาตีราคาสูงเกินงบไป ก็สามารถต่อรองหรือปรับเปลี่ยนแก้แบบ หรือเลือกใช้วัสดุในงบประมาณที่พอดีได้ค่ะ 2. เลือกแบบบ้านและปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นการใช้งานได้ตามใจ ขึ้นชื่อว่า ‘บ้าน’ ทุกคนก็คงอยากเลือกทุกสิ่งทุกอย่างเองใช่ไหมคะ? การสั่งสร้างก็เป็นทางเลือกหนึ่งของการเนรมิตทุกสิ่งให้ออกมาอย่างใจ เพราะเราสามารถเลือกแบบบ้านในสไตล์ที่ใช่ ทั้งยังสามารถเลือกวัสดุและสีที่ชอบ รวมไปจนถึงการปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นทุกอย่างในบ้านให้ออกมาตามดั่งความต้องการ 3. มีระยะเวลาผ่อนนาน การสั่งสร้างนั้นมีระยะเวลาผ่อนนานกว่าบ้านที่สร้างเสร็จแล้ว ซึ่งสามารถผ่อนชำระเป็นงวดๆ ทำให้ทุกคนมีโอกาสเป็นเจ้าของบ้านกันง่ายขึ้น   ข้อเสียของบ้านสั่งสร้าง 1. ไม่สามารถเข้าอยู่ได้ทันที อย่างที่ทราบกันดีว่าบ้านสั่งสร้างต้องใช้เวลาในการดำเนินการก่อสร้าง ซึ่งก็จะดำเนินไปตามขั้นตอนและระยะเวลาในการจ้างที่ตกลงกับผู้รับเหมา ดังนั้นใครที่คิดเลือกบ้านสั่งสร้างก็ต้องใจเย็นๆ นะจ๊ะ 2. ปัญหาการทิ้งงานหรือล่าช้า คงปฏิเสธไม่ได้เลยค่ะว่าปัญหาทิ้งงานหรืองานล่าช้านั้นเกิดขึ้นเยอะมากในวงการสร้างบ้าน ดังนั้นถ้าคุณเลือกบ้านสั่งสร้างก็ควรทำการบ้านหาข้อมูลดีๆ อาทิ ผลงานที่ผ่านมา ชื่อเสียงและการตอบรับจากลูกค้า รายละเอียดสัญญา รวมไปจนถึงข้อตกลงของบริษัทนั้นๆ เป็นต้น 3. สภาพแวดล้อมไม่เหมือนบ้านโครงการ แน่นอนค่ะว่าการสั่งสร้างบ้านนั้น สภาพแวดล้อมก็คงไม่ได้สวยงามและแวดล้อมไปด้วยสาธารณูปโภคเหมือนดั่งบ้านตามโครงการทั่วไป ดังนั้นหากคุณจะกำลังมองหาที่ดินสักแปลงหนึ่งไว้สำหรับปลูกบ้าน ก็ควรเลือกทำเลที่ใช่เพื่อง่ายต่อการเดินทางสักหน่อยแล้วกันค่ะ   ข้อดีบ้านโครงการ 1. เลือกทำเลที่สะดวกต่อการเดินทาง ข้อดีข้อนี้ให้คะแนน 10/10 ไปเลยค่ะ เพราะเนื่องจากทุกวันนี้ไม่ว่าจะจังหวัดไหนรถก็ติดเหลือเกิน การเผื่อเวลาในการเดินทางเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างมาก แต่จะดีแค่ไหนถ้าบ้านเราอยู่ในทำเลที่ง่ายต่อการเดินทางเหมือนดั่งบ้านโครงการทั่วไปที่มักอยู่ใกล้จุดขึ้นลงทางด่วน รวมไปจนถึง BTS,MRT แค่นี้ก็เดินทางสบายแล้วค่ะ 2. ความสะดวกสบายระบบน้ำ/ไฟ รวมถึงสาธารณูปโภคและความปลอดภัย แน่นอนล่ะคะว่าบ้านโครงการส่วนใหญ่จะเดินสายไฟ ต่อท่อน้ำทุกอย่างให้เสร็จสรรพโดยที่คุณไม่ต้องเสียเงินจ้างช่างเฉพาะเพิ่ม ทั้งยังมีพื้นที่ส่วนกลางอย่าง สระว่ายน้ำ สวนสวย ฟิตเนต รองรับลูกบ้านอีกต่างหาก ที่สำคัญคือปลอดภัยไม่ต้องกลัวขโมยค่ะเพราะมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง 3. ขอสินเชื่อง่าย บ้านโครงการส่วนใหญ่มักได้รับความร่วมมือและเชื่อถือจากหลายสถาบันการเงิน ดังนั้นการเลือกซื้อบ้านโครงการจึงมีแนวโน้มที่จะยื่นกู้และอนุมัติได้ง่ายค่ะ   ข้อเสียบ้านโครงการ 1. ไม่สามารถควบคุมเรื่องคุณภาพวัสดุ แน่นอนค่ะว่าบ้านโครงการส่วนใหญ่มักดำเนินการสร้างไว้พร้อมอยู่แล้วและรอเพียงการตัดสินใจซื้อของคุณเท่านั้น ดังนั้นคุณภาพของวัสดุจึงต้องเป็นไปตามการเลือกใช้ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์นั้นๆ ซึ่งบางทีอาจไม่ตรงตามความต้องการของคุณ ข้อแนะนำคือศึกษาข้อมูลให้ดีและพิจารณาจากการสำรวจบ้านตัวอย่างที่สร้างเสร็จแล้วค่ะ 2. ไม่สามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นการใช้งานได้รวมถึงแบบบ้านมีให้เลือกน้อย เพราะแบบบ้านแต่ละโครงการมักถูกออกแบบและคิดฟังก์ชั่นการใช้งานมาแล้ว การปรับเปลี่ยนจึงเป็นเรื่องยาก ข้อแนะนำก็คือควรเลือกแบบบ้านและขนาดที่ลงตัวที่สุดเพื่อความสุขในทุกๆ วันนะคะ 3. มีข้อจำกัดในเรื่องของการต่อเติม การต่อเติมบ้านโครงการมักมีข้อจำกัดเยอะ เนื่องจากต้องคำนึงถึงสภาพพื้นที่ เพื่อนบ้าน การขนย้ายวัสดุก่อสร้าง ตลอดจนการแก้ปัญหาน้ำรั่วและรอยต่อของอาคาร และการขออนุญาตก่อสร้างด้วย ดังนั้นควรต้องศึกษาข้อมูลให้ดีรวมไปจนถึงขอคำปรึกษาจากวิศวกรก่อนก็จะช่วยทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้นค่ะ เป็นยังไงกันบ้างค่ะกับบทความดีๆ ที่เราเอามาฝาก ยังมีบทความน่ารู้อีกมากมายให้ได้ติดตามกันได้ที่นะคะ https://goo.gl/dwpzgr
ข้อควรรู้ก่อนตรวจรับบ้าน ด้วยตัวเอง

ข้อควรรู้ก่อนตรวจรับบ้าน ด้วยตัวเอง

เมื่อตัดสินใจซื้อบ้านสักหลังหนึ่งนอกจากถูกใจในเรื่องทำเลศักยภาพ สภาพแวดล้อม สาธารณูปโภคที่ครบครัน แปลนบ้านหรือคอนเซ็ปต์ต่างๆ ที่ตรงไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัยแล้วนั้น อีกหนึ่งขั้นตอนสำคัญก่อนตัดสินใจโอนคือ ‘การตรวจรับ’ เช็คความเรียบร้อยอย่างละเอียดทั้งหมดให้มั่นใจทั้งภายในและภายนอก ตั้งแต่ระบบโครงสร้างไปจนถึงงานสีว่าเป็นไปตามแบบหรือข้อตกลงโครงการนั้นๆ หรือไม่ แต่จะต้องตรวจสอบยังไง ใช้อุปกรณ์อะไรบ้าง สำหรับใครที่กำลังจะซื้อบ้านและไม่อยากเสียเงินจ้างวิศวกรเข้ามาช่วยนั้น ไม่ควรพลาดวิธีตรวจรับบ้านด้วยตัวเองที่ทีมงาน Review Your Living นำมาฝากในวันนี้ค่ะ บทความโดย Review Your Living 1. เตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม สำหรับการตรวจรับบ้านอุปกรณ์ที่ต้องเตรียมก็คือ สมุดจดและปากกาสำหรับจดรายการที่ต้องแก้ไข ไฟฉายเพื่อส่องในจุดที่แสงน้อย กล้องถ่ายรูปบันทึกหลักฐานในจุดที่ต้องแก้ไข ขนมปังเลี้ยงปลาเพื่อทดสอบการกดสุขภัณฑ์ และลูกปิงปองสำหรับเช็คระดับพื้นลาดเอียง 2. เช็คระบบโครงสร้างให้ดี บ้านที่สวยงามและแข็งแรงนั้นต้องมาจากระบบโครงสร้างที่ดี ดังนั้นควรเช็ครอยร้าวบริเวณผนัง พื้น คาน เสา ให้ดี รวมถึงความลาดเอียงของพื้นว่ามีน้ำขังหรือไม่ ซึ่งบ้านที่แข็งแรงต้องไม่มีรอยร้าวหรือโพรง นอกจากนี้ควรตรวจพื้นผิวที่ฉาบแล้วด้วยว่าเรียบเนียนดีไหม มีสีที่ทาหลุดลอกบ้างหรือเปล่า ในส่วนของฝ้าเพดานนั้นสังเกตได้จากความเรียบร้อยในการเข้ามุม และร่องรอยน้ำหยดที่บ่งบอกถึงปัญหารั่วซึม 3. ประตู หน้าต่าง อย่าละเลย! อย่าคิดว่าบ้านที่ตรวจสอบว่าโครงสร้างแข็งแรงแล้วนั้น ระบบช่องเปิดอย่างบานประตู หน้าต่างจะเรียบร้อยเสมอไป ดังนั้นจึงจำเป็นเช็คอย่างรอบคอบนะคะว่าทางโครงการได้ติดตั้งอุปกรณ์อยู่แนวระดับที่ถูกต้อง สามารถเปิด-ปิดสนิทได้ปกติหรือเปล่า ควรทดสอบการใช้งานกลอนทุกตัวว่าใช้งานได้ไหม รวมถึงดูความเรียบร้อยการยาแนวและรอยรั่วบริเวณขอบประตูและหน้าต่างทุกบานด้วยค่ะ   4. วัสดุก็เป็นเรื่องสำคัญ แน่นอนค่ะว่าการใช้วัสดุที่สวยงามก็ช่วยทำให้บ้านสมบูรณ์ขึ้น แต่วัสดุที่ทางโครงการเลือกใช้นั้นไม่ว่าจะคุณภาพสูงแค่ไหนเราก็ควรตรวจสอบให้ดีนะคะ  อย่างพื้นกระเบื้องนั้นต้องเดินแล้วไม่สะดุด พื้นลามิเนตเดินแล้วต้องไม่มีเสียงดัง ส่วนการเช็คว่าช่างปูพื้นได้ระดับหรือไม่ แนะนำให้ใช้ลูกปิงปองวางดู ถ้าไม่กลิ้งก็แสดงว่าได้ระดับค่ะ   5. ห้ามพลาดเรื่องระบบน้ำและไฟฟ้า หากตรวจสอบทุกข้อที่กล่าวมาตามข้างต้นครบแล้วนั้น ห้ามลืมเช็คระบบไฟฟ้านะคะ แนะนำให้ลองเปิดปิดสวิทซ์ไฟหลายๆ ครั้ง รวมถึงนำสายชาร์ตโทรศัพท์ที่พกมาเสียบดูทุกเต้าว่าใช้งานได้ปกติหรือไม่ ส่วนระบบน้ำนั้นควรตรวจเช็คจากการเปิดก๊อกและฝักบัวทุกตัวว่าน้ำไหลดีไหม เช็คระบบน้ำล้นโดยการทดลองขังน้ำไว้ในอ่างล้างหน้า อ่างล้างจานในครัว เพื่อดูว่าช่องน้ำล้นทำงานหรือเปล่า และจึงปล่อยออกเพื่อดูว่าน้ำสามารถไหลได้สะดวก ที่สำคัญอย่าลืมกดชักโครกโดยใช้ขนมปังแทนมูลเพื่อทดสอบว่าสามารถใช้งานได้ดีไม่มีอุดตัน 6. อย่าลืม...ภายนอกตัวบ้าน มาถึงข้อสุดท้ายแล้วค่ะ การตรวจรับบ้านนั้นไม่ใช่แค่เช็คเฉพาะภายในอย่างเดียวนะคะ แต่ภายนอกนั้นเราก็ควรตรวจสอบด้วย เริ่มจากสภาพบริเวณรอบๆ ตรวจระดับแนวดิ่งและฉาก ความลาดเอียงของท่อระบายน้ำ ท่อประปา ท่อน้ำทิ้ง ท่อน้ำดี ว่ามีระยะลาดเอียงอย่างไร สามารถระบายน้ำได้ดีหรือไม่ เป็นต้น เป็นยังไงกันบ้างค่ะกับบทความดีๆ ที่เราเอามาฝาก ยังมีบทความน่ารู้อีกมากมายให้ได้ติดตามกันได้ที่นะคะ https://goo.gl/dwpzgr
ตรวจรับบ้าน (ด้วยตัวเอง) ยังไงไม่ให้เสียใจภายหลัง!

ตรวจรับบ้าน (ด้วยตัวเอง) ยังไงไม่ให้เสียใจภายหลัง!

เมื่อตัดสินใจซื้อบ้านสักหลังหนึ่งนอกจากถูกใจในเรื่องทำเลศักยภาพ สภาพแวดล้อม สาธารณูปโภคที่ครบครัน แปลนบ้านหรือคอนเซ็ปต์ต่างๆ ที่ตรงไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัยแล้วนั้น อีกหนึ่งขั้นตอนสำคัญก่อนตัดสินใจโอนคือ ‘การตรวจรับ’ เช็คความเรียบร้อยอย่างละเอียดทั้งหมดให้มั่นใจทั้งภายในและภายนอก ตั้งแต่ระบบโครงสร้างไปจนถึงงานสีว่าเป็นไปตามแบบหรือข้อตกลงโครงการนั้นๆ หรือไม่ แต่จะต้องตรวจสอบยังไง ใช้อุปกรณ์อะไรบ้าง สำหรับใครที่กำลังจะซื้อบ้านและไม่อยากเสียเงินจ้างวิศวกรเข้ามาช่วยนั้น ไม่ควรพลาดวิธีตรวจรับบ้านด้วยตัวเองที่ทีมงาน Review Your Living นำมาฝากในวันนี้ค่ะ บทความโดย Review Your Living 1. เตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม สำหรับการตรวจรับบ้านอุปกรณ์ที่ต้องเตรียมก็คือ สมุดจดและปากกาสำหรับจดรายการที่ต้องแก้ไข ไฟฉายเพื่อส่องในจุดที่แสงน้อย กล้องถ่ายรูปบันทึกหลักฐานในจุดที่ต้องแก้ไข ขนมปังเลี้ยงปลาเพื่อทดสอบการกดสุขภัณฑ์ และลูกปิงปองสำหรับเช็คระดับพื้นลาดเอียง   2. เช็คระบบโครงสร้างให้ดี บ้านที่สวยงามและแข็งแรงนั้นต้องมาจากระบบโครงสร้างที่ดี ดังนั้นควรเช็ครอยร้าวบริเวณผนัง พื้น คาน เสา ให้ดี รวมถึงความลาดเอียงของพื้นว่ามีน้ำขังหรือไม่ ซึ่งบ้านที่แข็งแรงต้องไม่มีรอยร้าวหรือโพรง นอกจากนี้ควรตรวจพื้นผิวที่ฉาบแล้วด้วยว่าเรียบเนียนดีไหม มีสีที่ทาหลุดลอกบ้างหรือเปล่า ในส่วนของฝ้าเพดานนั้นสังเกตได้จากความเรียบร้อยในการเข้ามุม และร่องรอยน้ำหยดที่บ่งบอกถึงปัญหารั่วซึม 3. ประตู หน้าต่าง อย่าละเลย! อย่าคิดว่าบ้านที่ตรวจสอบว่าโครงสร้างแข็งแรงแล้วนั้น ระบบช่องเปิดอย่างบานประตู หน้าต่างจะเรียบร้อยเสมอไป ดังนั้นจึงจำเป็นเช็คอย่างรอบคอบนะคะว่าทางโครงการได้ติดตั้งอุปกรณ์อยู่แนวระดับที่ถูกต้อง สามารถเปิด-ปิดสนิทได้ปกติหรือเปล่า ควรทดสอบการใช้งานกลอนทุกตัวว่าใช้งานได้ไหม รวมถึงดูความเรียบร้อยการยาแนวและรอยรั่วบริเวณขอบประตูและหน้าต่างทุกบานด้วยค่ะ   4. วัสดุก็เป็นเรื่องสำคัญ แน่นอนค่ะว่าการใช้วัสดุที่สวยงามก็ช่วยทำให้บ้านสมบูรณ์ขึ้น แต่วัสดุที่ทางโครงการเลือกใช้นั้นไม่ว่าจะคุณภาพสูงแค่ไหนเราก็ควรตรวจสอบให้ดีนะคะ  อย่างพื้นกระเบื้องนั้นต้องเดินแล้วไม่สะดุด พื้นลามิเนตเดินแล้วต้องไม่มีเสียงดัง ส่วนการเช็คว่าช่างปูพื้นได้ระดับหรือไม่ แนะนำให้ใช้ลูกปิงปองวางดู ถ้าไม่กลิ้งก็แสดงว่าได้ระดับค่ะ   5. ห้ามพลาดเรื่องระบบน้ำและไฟฟ้า หากตรวจสอบทุกข้อที่กล่าวมาตามข้างต้นครบแล้วนั้น ห้ามลืมเช็คระบบไฟฟ้านะคะ แนะนำให้ลองเปิดปิดสวิทซ์ไฟหลายๆ ครั้ง รวมถึงนำสายชาร์ตโทรศัพท์ที่พกมาเสียบดูทุกเต้าว่าใช้งานได้ปกติหรือไม่ ส่วนระบบน้ำนั้นควรตรวจเช็คจากการเปิดก๊อกและฝักบัวทุกตัวว่าน้ำไหลดีไหม เช็คระบบน้ำล้นโดยการทดลองขังน้ำไว้ในอ่างล้างหน้า อ่างล้างจานในครัว เพื่อดูว่าช่องน้ำล้นทำงานหรือเปล่า และจึงปล่อยออกเพื่อดูว่าน้ำสามารถไหลได้สะดวก ที่สำคัญอย่าลืมกดชักโครกโดยใช้ขนมปังแทนมูลเพื่อทดสอบว่าสามารถใช้งานได้ดีไม่มีอุดตัน 6. อย่าลืม...ภายนอกตัวบ้าน มาถึงข้อสุดท้ายแล้วค่ะ การตรวจรับบ้านนั้นไม่ใช่แค่เช็คเฉพาะภายในอย่างเดียวนะคะ แต่ภายนอกนั้นเราก็ควรตรวจสอบด้วย เริ่มจากสภาพบริเวณรอบๆ ตรวจระดับแนวดิ่งและฉาก ความลาดเอียงของท่อระบายน้ำ ท่อประปา ท่อน้ำทิ้ง ท่อน้ำดี ว่ามีระยะลาดเอียงอย่างไร สามารถระบายน้ำได้ดีหรือไม่ เป็นต้น   เป็นยังไงกันบ้างค่ะกับบทความดีๆ ที่เราเอามาฝาก ยังมีบทความน่ารู้อีกมากมายให้ได้ติดตามกันได้ที่นะคะ https://goo.gl/rm8UR8 
มีงบเท่ากัน คอนโดกลางเมือง หรือ บ้านชานเมือง เลือกอันไหนดี?

มีงบเท่ากัน คอนโดกลางเมือง หรือ บ้านชานเมือง เลือกอันไหนดี?

ปฏิเสธไม่ได้เลยค่ะว่าที่พักอาศัยนั้นเป็นปัจจัยสำคัญของการดำรงชีวิต เพราะเราต่างต้องใช้งานอยู่บ่อยๆ นอกจากการพักผ่อนในชีวิตประจำวันแล้ว ยังเป็นพื้นที่ส่วนตัวของใครหลายคนอีกด้วย จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเท่าไหร่นักที่ปัจจุบันจะมีคอนโดมิเนียมกลางเมือง และบ้านชานเมืองเกิดขึ้นมากมายในราคาที่ใกล้เคียงกัน หากคุณก็เป็นคนหนึ่งที่กำลังอยากซื้อที่อยู่อาศัยสักที่หนึ่งเพื่อเติมเต็มความสุขของชีวิต แต่อยู่ในช่วงที่กำลังตัดสินใจว่าจะเลือกซื้อแบบไหนดี? วันนี้ทีมงาน Review Your Living ได้ทำการรวบรวมข้อมูลระหว่างข้อดีข้อเสียของคอนโดกลางเมือง และบ้านชานเมืองมาฝากค่ะ เพื่อเป็นตัวช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายและไวขึ้น   <   เรียบเรียงโดย Review Your Living ข้อดีของคอนโดกลางเมือง ทำเลสะดวกสบายง่ายต่อการเดินทาง ข้อนี้ถือว่าเป็นหัวใจหลักของคอนโดกลางเมืองเลยค่ะ เพราะเนื่องจากจะช่วยประหยัดเวลาในการเดินทางแล้ว ยังแวดล้อมไปด้วยสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบครันไม่ว่าจะเป็น ห้างสรรพสินค้า สถานศึกษา โรงพยาบาล เป็นต้น ดูแลรักษาง่าย เนื่องจากขนาดห้องพักในคอนโดมิเนียมส่วนใหญ่มักจะมีขนาดค่อนข้างจำกัดทำให้การดูแลพื้นที่ภายในเป็นเรื่องที่ง่ายและประหยัดเวลาสำหรับทุกๆ คน ทั้งยังมีพนักงานนิติบุคคลหรือแม่บ้านประจำคอยดูแลสภาพแวดล้อมภายนอกให้เรียบร้อยและสวยงามอยู่เสมอ ปลอดภัยไร้ความกังวล นอกจากมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำแต่ละอาคารแล้ว ภายในคอนโดฯ ยังมีกล้องวงจรปิดหลากหลายมุมในแต่ละชั้นอีกด้วย ทำให้ลูกบ้านรู้สึกปลอดภัยทั้งยังสบายใจไร้ความกังวลเมื่อต้องเดินทางไปไหนนานๆ   ข้อเสียของคอนโดกลางเมือง ราคาสูง ข้อเสียข้อนี้มีผลต่อการตัดสินใจจริงๆ ค่ะ เพราะคอนโดฯ กลางเมืองส่วนใหญ่มักมีราคาค่อนข้างสูง เนื่องจากการเดินทางที่แสนสะดวกสบาย บางโครงการแค่ก้าวเท้าออกมาก็สามารถขึ้นรถไฟฟ้าได้แล้วซึ่งก็คุ้มค้าต่อราคาเช่นกัน เพราะฉะนั้นถ้าไลฟ์สไตล์คุณเป็นคนเมืองที่ใช้รถไฟฟ้าบ่อยกว่าขับรถเอง คอนโดมีเนียมกลางเมืองคงเป็นคำตอบที่ถูกต้องของคุณค่ะ พื้นที่จอดรถไม่เพียงพอ เป็นเรื่องยากค่ะสำหรับคอนโดมิเนียมที่รองรับที่จอดรถถึง 100% ดังนั้นถ้าคุณเลือกซื้อคอนโดฯ กลางเมือง คุณก็ควรทำใจไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เลยค่ะว่าถ้าไม่รีบกลับบ้าน ช่วงค่ำๆ ต้องมีเหตุการณ์วนหาที่จอดอย่างแน่นอน มีกฎเกณฑ์และข้อห้ามมากมาย คอนโดฯ ทั่วไปมักมีกฎเกณฑ์และข้อห้ามมากมาย อาทิ ห้ามส่งเสียงดัง ห้ามเลี้ยงสัตว์ เป็นต้น ซึ่งกฎและข้อห้ามก็ค่อนข้างเคร่งครัดอาจทำให้คุณรู้สึกอึดอัดไปบ้าง ข้อแนะนำคือให้ศึกษากฎและทำความเข้าใจกับข้อห้ามต่างๆ นั้นให้ดีก่อนที่คุณจะตัดสินใจซื้อ เพื่อความสุขระยะยาวในชีวิตนะคะ   ข้อดีของบ้านชานเมือง มีบริเวณมากกว่า เป็นข้อดีที่ใครหลายคนชอบใช่ไหมละค่ะ ก็แหม บ้านมีพื้นที่เยอะก็สามารถทำอะไรได้หลายอย่างไม่ว่าจะทำ ทำกิจกรรมร่วมกับครอบครัว หรือเว้นพื้นที่ไว้สำหรับทำสวนสวย ปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ ก็ล้วนแต่เนรมิตให้ออกมาเป็นดั่งใจได้หมด เงียบสงบไม่พลุกพล่าน สำหรับใครที่รักความสงบบ้านชานเมืองก็เป็นตัวเลือกที่ดีไม่น้อยเลยค่ะ เพราะแต่ละโครงการต่างๆ นั้นจะกำหนดขนาดของบ้านแต่ละหลังซึ่งก็มียูนิตน้อยกว่าคอนโดฯ ทำให้บรรยากาศค่อนข้างสงบ ไม่มีผู้คนพลุกพล่านเดินผ่านไปมาเหมือนดั่งคอนโดกลางเมืองแน่นอนค่ะ บรรยากาศดี ร่มรื่น ด้วยทำเลชานเมืองทำให้เรามีโอกาสได้ใกล้ชิดสัมผัสกับธรรมชาติได้มากกว่าคอนโดฯ กลางเมืองที่แวดล้อมไปด้วยตึกสูง ถนน รถรา และผู้คนมากมายซึ่งอาจจะทำให้รู้สึกอึดอัด แต่การเลือกซื้อบ้านชานเมืองนั้น คุณจะได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติภายใต้บรรยากาศที่ร่มรื่นมากขึ้นนั่นเองค่ะ   ข้อเสียของบ้านชานเมือง เดินทางลำบาก เป็นข้อเสียที่ปวดใจจริงๆ ค่ะ ขึ้นชื่อว่าบ้านชานเมืองแน่นอนว่าต้องห่างไกลตัวเมืองประมาณหนึ่ง ดังนั้นถ้าคุณคิดจะเลือกซื้อบ้านชานเมืองก็ควรเผื่อเวลาในการเดินทางสักหน่อยแล้วกันค่ะ หรือไม่ก็ควรเลือกทำเลที่ห่างไม่ไกลจากรถไฟฟ้ามากนักเพื่อความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตประจำวันนะคะ ห่างไกลความสะดวกสบาย อย่างที่ทราบกันดีแหละค่ะว่าบ้านชานเมืองมักอยู่ห่างจากตัวเมือง สาธารณูโภคโดยรอบโครงการอาจไม่ครบครันเหมือนดั่งคอนโดฯ กลางเมืองเท่าไหร่นัก เพราะฉะนั้นคุณควรศึกษาและดูพื้นที่จริงก่อนตัดสินใจซื้อจะได้ไม่เสียใจทีหลังนะจ๊ะ ขายต่อยากและเสี่ยงขาดทุน ด้วยทำเลที่ห่างไกลอาจเป็นปัญหาในการขายต่อ ในกรณีที่คุณเกิดการเปลี่ยนใจหรือย้ายที่อยู่ใหม่ ดังนั้นถ้าจะซื้อบ้านชานเมืองก็ควรพิจารณาให้ละเอียดและตัดสินใจอย่างรอบคอบก่อนนะคะ จะได้ไม่เกิดปัญหานี้ขึ้น            
ชวนนั่งเล่นในกล่องสีดำ...ใจกลางเมืองทองหล่อ

ชวนนั่งเล่นในกล่องสีดำ...ใจกลางเมืองทองหล่อ

อาคารกล่องสีดำปิดทึบที่ดึงดูดสายตาจากการเลือกปิดฉากหน้าของอาคารไว้ด้วยหินขัด  ซึ่งเวลาโดนฝนจะกลายเป็นสีดำขลับแต่ช่วงเวลากลางวันจะเป็นสีเทา ทำให้ดูโดดเด่นและน่าสนใจมากขึ้น ในยุคดิจิตอลที่ผู้คนต่างไม่เคยหยุดนิ่ง แม้แต่สถานที่ไลฟ์สไตล์ก็กลายเป็นพื้นที่พบปะ พูดคุยงาน นัดประชุม หรือนัดเดท และแฮงก์เอ้าท์กับเพื่อนฝูงไปได้พร้อมๆ 72 COURTYARD คอมมูนิตี้มอลของคุณเชษฐ์ เชษฐโชติศักดิ์ (ลูกชาย เฮียฮ้อแห่ง RS) ผู้เนรมิตพื้นที่ส่วนตัวของครอบครัวให้เป็นศูนย์รวมไลฟ์สไตล์ของหนุ่มสาวชาวทองหล่อ ที่ไม่ได้มีดีแค่ กิน เที่ยว ชอปปิ้ง แต่ยังดีไซน์อาคารให้เชื่อมต่อกับธรรมชาติ ตอบโจทย์ชีวิตคนเมืองที่โหยหาพื้นที่สีเขียว อันหาได้ยากในมหานครคอนกรีต บทความโดย Review Your Living สำหรับใครที่ผ่านไปมาย่านทองหล่อคงคุ้นตากับอาคารโมเดิร์นที่ดูโดดเด่นอยู่ริมถนนสุขุมวิท 55 พิกัดใจกลางเมืองที่ง่ายต่อการเดินทาง ดีไซน์ด้านหน้ากรุผนังทึบด้วยหินขัดสีเข้มขรึม ทรงกล่องปิดทึบ 2 กล่องเหนืออาคารสูง 3 ชั้น เน้นการโชว์สัจจะวัสดุอย่าง หินขัด ไม้ แสตนเลส กระจก ปูนเปลือย ยางแอสฟัลท์ และอะลูมิเนียมเป็นวัสดุหลักเพื่อบ่งบอกถึงความเท่และทันสมัย   ที่แปลกตาและน่าแปลกใจคือคอมมูนิตี้แห่งนี้แบ่งพื้นที่ส่วนกลางให้เป็นสวนเขียวจี เริ่มจาก การเว้นคอร์ตกลางให้เป็นทางเดินเพื่อเชื้อเชิญผู้คนเดินเท้าที่คลาคล่ำอยู่บนถนนด้านหน้า ให้เข้ามาสู่พื้นที่ใช้สอยภายใน ทันทีที่มีผู้คนเดินเข้าไปจะเหมือนกับหลุดหายเข้าไปในกล่องสีดำเพื่อพบกับ Courtyard กึ่ง Outdoor ซึ่งภายในอาคารแบ่งออกเป็นร้านอาหาร คาเฟ่ และคลับ เชื่อมต่อถึงกันหมดทุกชั้นด้วยบันได โดยใช้แทนลิฟต์และบันไดเลื่อนเพื่อเป็นการประหยัดพลังงานไปในตัว ความพิเศษของคอมมูนิตี้แห่งนี้คือการเชื่อมต่อความเป็นภายในและภายนอกให้กลมกลืนด้วยความร่มรื่นของสีเขียวขจี พื้นที่ชั้นสองนอกจากเป็นคลับชื่อดังที่เปิดบริการในยามค่ำคืนนั้น ยังมีคอร์ตกลางขนาดใหญ่ ซึ่งออกแบบไว้รองรับผู้คนจำนวนมาก อีกทั้งยังเป็นพื้นนั่งเล่นชิลล์ๆ ท่ามกลางธรรมชาติที่รายล้อมไปด้วยต้นไม้นานาชนิด ทำให้บรรยากาศดูสดชื่นและชวนผ่อนคลาย จนอดไม่ได้ที่จะมาชวนให้ทุกคนไป แชะ ชิม ชิลล์ กับคอมมูนิตี้กลางเมืองที่รายล้อมไปด้วยความงามของวัสดุและธรรมชาติสีเขียวแห่งนี้ไปด้วยกัน พื้นที่คอร์ตกลางด้านหลังประกอบไปด้วยต้นไม้สีเขียวน้อยใหญ่ นอกจากจะให้ความร่มรื่นและสดชื่นแล้วยังเป็นพื้นที่ฟอกปอดของคนเมืองย่านทองหล่ออีกด้วย
เพดานคอนโดฯ เจอน้ำรั่ว...4 วิธีรับมือโดยด่วน

เพดานคอนโดฯ เจอน้ำรั่ว...4 วิธีรับมือโดยด่วน

เข้าสู่ช่วงฤดูฝนคราใด ปัญหากวนใจที่มักพบเจอกันบ่อยๆ ก็คงหนีไม่พ้นกับปัญหาน้ำรั่วจากเพดาน ที่ทำให้ผู้อยู่อาศัยอลหม่านต้องหาอุปกรณ์มารองน้ำไม่ให้เปียกพื้นหรือข้าวของบริเวณนั้น อีกทั้งยังทิ้งคราบ รอยด่างของเชื้อราไม่สวยงามหลงเหลือไว้ให้ดูต่างหน้าด้วย ซึ่งปัญหาที่กล่าวมาข้างต้นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะบ้านเดี่ยวเท่านั้นนะคะ แต่ยังสามารถเกิดขึ้นภายในคอนโดมิเนียมได้อีกด้วย ส่วนสาเหตุหลักๆ นั้นมา จากการใช้ระบบกันซึมที่ไม่มีคุณภาพและไม่ได้มาตรฐานเพียงพอนั่นเอง สำหรับใครที่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรเมื่อเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น ไม่ต้องกังวลใจไปนะคะ เพราะวันนี้ทีมงาน Review Your Living ได้รวบรวมวิธีรับมือปัญหาน้ำรั่วจากเพดานมาฝากค่ะ บทความโดย Review Your Living 1. ตั้งสติและเคลื่อนย้ายสิ่งของ ทันทีที่มีน้ำรั่วหยดลงมาจากเพดาน ขั้นตอนแรกคือรีบหาอุปกรณ์มารองน้ำเพื่อไม่ให้พื้นเปียกกระจายไปทั่วห้อง จากนั้นให้สังเกตว่าบริเวณน้ำรั่วลงมามีอะไรเสียหายหรือไม่ ถ้ามีควรเคลื่อนย้ายเฟอร์นิเจอร์หรือสิ่งของออก เพื่อป้องกันความเสียหาย หากเป็นเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่อย่าง ตู้เสื้อผ้า โซฟา ให้ใช้ถุงพลาสติกหรือผ้าใบผืนใหญ่มาคลุมไว้ก่อน เพราะความชื้นเป็นสาเหตุของเชื้อราที่สามารถทำเฟอร์นิเจอร์โปรดในห้องของคุณพังได้   2. หมั่นสำรวจตรวจเช็คให้ดี ปัญหาฝ้าหรือเพดานรั่วซึมส่วนใหญ่นั้นมาจากการก่อสร้างที่อาจไม่ได้ปูวัสดุกันซึมก่อนปูกระเบื้อง ท่อน้ำภายในเกิดการชำรุด หรือแผ่นฝ้ายิปซั่มที่เลือกใช้นั้นไม่มีวัสดุเคลือบที่ทนต่อความชื้นทำให้เกิดการอมน้ำสูงจนบวมและรั่วออกมาในที่สุด ดังนั้นเราควรหมั่นสำรวจสิ่งผิดปกติอยู่บ่อยๆ เช่น เช็ครอยแตกของผนังว่ามีรอยร้าวหรือไม่ แต่หากพบปัญหาน้ำรั่วแล้วให้มองหารอยรั่วโดยสังเกตจากจุดเล็กๆ ก่อน จะได้รู้ตำแหน่งที่ชัดเจนเพื่อรีบทำการแก้ไขในขั้นตอนต่อไป   3. แจ้งนิติบุคคล กฎยังไงก็ต้องเป็นกฎค่ะ ถ้าเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นอย่าเพิ่งใจร้อนโทรเรียกช่างเข้ามาซ่อมเลยก็คงจะไม่ได้ เมื่อเราอาศัยอยู่ในคอนโดมิเนียมไม่ว่าจะซ่อมหรือต่อเติมอะไรภายในห้อง กฎคือต้องแจ้งนิติบุคคลก่อน ดังนั้นแนะนำให้รีบแจ้งนิติบุคคลเพื่อขอความช่วยเหลือและให้ทราบถึงปัญหาที่เราพบเจอ ก่อนให้เจ้าหน้าที่ทำการตรวจสอบและดำเนินการแก้ไขต่อไป   4. ติดต่อช่าง ซ่อมแซมให้เรียบร้อย! การให้ช่างเข้ามาแก้ไขปัญหาที่ต้นตอหรือหาจุดกำเนิดรอยรั่วเพื่อทำการซ่อมแซมนั้นเป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้วค่ะ เพราะช่างที่ชำนาญจะสามารถแก้ไขปัญหาและอธิบายได้อย่างตรงจุด ดังนั้นหากเกิดปัญหาขึ้นไม่ควรปล่อยผ่านนิ่งนอนใจไปนะคะ เพราะถ้าปล่อยปัญหาไว้นานเข้ารอยรั่วเล็กๆ อาจก่อเกิดกลายเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค เชื้อราได้ด้วย อย่ารอช้า! รีบติดต่อนิติบุคคลเพื่อประสานช่างเข้ามาช่วยดูแลก่อนดีกว่าค่ะ ปัญหาน้ำรั่วจากเพดานในช่วงหน้าฝนแบบนี้คงทำให้หลายคนกังวลใจไม่ใช่น้อยใช่ไหมคะ ดังนั้นรีบตรวจสอบรอยแตกร้าวหรือจุดรั่วตั้งแต่เนิ่นๆ ก็เป็นอีกเรื่องที่ทีมงาน Review Your Living สนับสนุนให้ทำนะคะ เพราะถ้าเกิดปัญหาขึ้นมาแล้วค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมก็ต้องใช้เงินประมาณหนึ่ง ฉะนั้นป้องกันไว้ก่อนก็ปลอดภัยและสบายใจกว่าจริงไหมคะ?
เคล็ดลับเก็บออมของมนุษย์เงินเดือน เพื่อเงินก้อนโต!

เคล็ดลับเก็บออมของมนุษย์เงินเดือน เพื่อเงินก้อนโต!

เคยสงสัยกันบ้างไหมคะว่าเงินแต่ละเดือนเราสูญหายไปไหนหมด? ทั้งๆ ที่ประหยัดแล้วแต่ก็ยังไม่มีเหลือเก็บ ยิ่งเป็นมนุษย์เงินเดือนที่มีค่าใช้จ่ายมากมายครั้นจะซื้อของขวัญชิ้นใหญ่ให้ตนเองอย่างยานพาหนะ หรือที่อยู่อาศัย ต่างก็ต้องใช้เงินก้อนจำนวนหนึ่งไปดาวน์เพื่อให้ได้สิ่งนั้นมา แต่จะทำยังไงให้ตนเองมีวินัยและสามารถเก็บเงินก้อนได้อยู่หมัด มาดูวิธีเก็บออมแบบง่ายๆ แต่ได้ผล ที่ทีมงาน Review Your Living รวบรวมมาฝากดีกว่าค่ะ เรียบเรียงโดย Review Your Living 1. ทำบัญชีรายรับรายจ่าย การแยกแยะรายรับรายจ่ายโดยการจดบันทึกหรือใช้แอพพลิเคชั่นในสมาร์ทโฟนนั้นจะช่วยอุดรอยรั่วปัญหาเงินหายไปไหนได้เป็นอย่างดี เพราะบัญชีเหล่านี้จะช่วยสะท้อนการใช้เงินในแต่ละวันของคุณว่าหมดไปกับอะไรบ้าง อีกทั้งยังเป็นตัวชี้วัดจำนวนรายได้ที่เข้ามาด้วย ทำให้สามารถคำนวณการใช้เงินและแบ่งเก็บออมได้อย่างสบายใจ ภาพจาก tweakyourbiz.com 2. แบ่งแยกสัดส่วนให้ชัดเจน เมื่อมีรายรับเข้ามาให้แบ่งเงินออกเป็นส่วนๆ โดยแยกค่าสาธารณูปโภคจำพวกค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าบัตรเครดิตไว้ส่วนหนึ่ง แล้วจึงแบ่งเก็บออมแบบค่อยเป็นค่อยไปอาจจะ 5% หรือ 10% ของยอดที่เหลือจากการหักไว้ และเหลือเท่าไหร่ค่อยมาหารเฉลี่ยใช้รายวันอีกที   3. กำหนดค่าใช้จ่ายรายวัน หากเกินต้องหยอดกระปุก! อย่างที่กล่าวมาตามรายละเอียดจากข้อข้างต้น เมื่อคำนวณแบ่งค่าใช้จ่ายส่วนต่างๆ อย่างรอบคอบแล้ว อีกวิธีหนึ่งที่ช่วยเพิ่มเงินออมของคุณให้เพิ่มพูนขึ้นอย่างดาย โดยกำหนดค่าใช้จ่ายรายวันเช่น ตั้งใจใช้เงินวันละ 200 บาท แต่ใช้เกินไปเป็น 250 บาท ก็ต้องนำเงินมาหยอดกระปุก 50 บาท เพื่อเป็นกฎเกณฑ์ฝึกวินัยการใช้เงินไปในตัว ทั้งยังมีเงินเก็บเพิ่มขึ้นอีกด้วย   4. ดื่มกาแฟ = ออมเงิน สำหรับคอกาแฟตัวจริงที่ขาดไม่ได้เลยในแต่ละวันและรู้สึกผิดต่อตัวเองทุกครั้งที่เสียสตางค์จ่ายนั้น คงไม่ต้องรู้สึกกังวลใจอีกต่อไปแล้วค่ะ วิธีง่ายๆ ที่จะช่วยให้คุณรู้สึกดีทุกครั้งที่ซื้อกาแฟสักแก้วนั้น ก็เพียงแค่ใช้คติ ‘ซื้อเท่าไหร่ออมเท่านั้น’ เช่น เมื่อคุณซื้อกาแฟราคา 75 บาท คุณก็ต้องออมเงิน 75 บาท ซึ่งอาจจะดูเหมือนเป็นเงินจำนวนไม่มาก แต่เชื่อเถอะค่ะถ้าคุณออมแบบนี้ไปเรื่อยๆ จะมีเงินก้อนเพิ่มขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด   5. เศษอย่าใช้สิจ๊ะ แน่นอนค่ะว่าเงินเดือนหรือใบเสร็จต่างๆ มักไม่ใช่ยอดที่พอดิบพอดีเป๊ะ ดังนั้นอีกหนึ่งวิธีออมเงินที่เราอยากแนะนำก็คือ การเก็บเศษค่ะ ตัวอย่างเช่น มียอดเงินเดือนเข้ามา 24,500 บาท ก็กลั้นใจใช้ไปทุกเดือนเพียง 24,000 บาท ส่วน 500 บาทที่เหลือนั้นก็ถือเป็นการเก็บออมไปในตัวนั่นเอง ยิ่งถ้าคุณมีวินัยและตั้งใจเก็บไปทุกเดือนๆ เงินก้อนก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอนค่ะ   6. แบงค์ 50 ก็ช่วยได้นะ อีกหนึ่งเคล็ดลับที่ฮิตมากในกลุ่มนักศึกษาและพนักงานออฟฟิศนั่นก็การเก็บธนบัตรจำนวน 50 บาทค่ะ เพราะแบงค์ 50 นั้นไม่ใช่ว่าเรามีโอกาสได้รับบ่อยๆ เหมือนแบงค์ 20 และ 100 บาท ฉะนั้นหาก มีโอกาสได้เจอเวลาใช้จ่ายรับเงินทอนก็เก็บไว้เถอะค่ะ สะสมไปเรื่อยๆ เมื่อผ่านไปครบ 1 ปี ลองเอาออกมานับดู คุณอาจจะตกใจกับยอดเงินออมที่สูงลิ่วก็เป็นได้นะคะ
Lazy Toby คาเฟ่ในรูปแบบ Pop up store ใจกลางเมือง ตามแบบฉบับหนุ่มสาวมินิมอล

Lazy Toby คาเฟ่ในรูปแบบ Pop up store ใจกลางเมือง ตามแบบฉบับหนุ่มสาวมินิมอล

เชื่อว่าหลายคนอาจจะรู้จักและคุ้นเคยกับชื่อของ Toby's ร้านกาแฟกึ่งบรันช์ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นสะดุดตากับ อาคารทรงจั่วกรุตกแต่งด้วยอิฐมอญคล้ายกับโกดังในยุโรป ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 38 ล่าสุดทางร้านได้ขยับขยายมาเปิดสาขาใหม่ขนาดกะทัดรัดแบบ Pop up store ที่ J Avenue Thonglor ศูนย์การค้าไลฟ์สไตล์ใจกลางเมือง ซอยทองหล่อ 15 ในพิกัดที่ง่ายต่อการไปถึง ภายใต้ชื่อ Lazy Toby ซึ่งที่มาของชื่อร้านนั้นถูกตั้งจากคาแลคเตอร์ของพาร์ทเนอร์ทั้ง 4 คน โดย Toby's นั้นเปรียบเสมือนเพื่อนสนิทผู้ชายคนที่ 5 มีบุคลิกอบอุ่น สนุกสนาน และเป็นกันเอง นอกจากนี้ยังชอบดื่มกาแฟและทำอาหารด้วย แต่เมื่อเพิ่มโลเคชั่นใหม่ให้ลูกค้าได้เช็คอินทางร้านเลยขอเติมคำว่า Lazy เข้าไปเพื่อบ่งบอกถึงคอนเซ็ปต์ร้านที่เรียบง่าย สบายๆ นั่นเอง     สำหรับบรรยากาศและการตกแต่งร้าน Lazy Toby นั้นจะแตกต่างจาก Toby's แต่ยังคงความอบอุ่นไว้เช่นเคย ตัวร้าน ตกแต่งในสไตล์มินิมอล เน้นโทนสีขาวผสมผสานกับงานไม้เป็นหลักเพื่อให้บรรยากาศแบบโฮมมี่ นอกจากนี้ยังเพิ่มความสดชื่นมีชีวิตชีวาด้วยการประดับประดาต้นไม้เล็กใหญ่ไว้ในกระถาง ให้ได้ถ่ายรูปและนั่งชิลล์กันเพลินๆ     ในส่วนของเมนูเครื่องดื่มและขนมที่นี่จะเน้นเมนูทานง่ายสไตล์ Grab & Go โดยคัดสรรแต่วัตถุดิบคุณภาพดีนำมาครีเอทเป็นเมนูสุขภาพต่างๆ อาทิ น้ำผลไม้สกัดเย็น สมูธตี้ และโยเกิร์ตโฮมเมด เป็นต้น ซึ่งหากติดใจในรสชาติกาแฟที่กลมกล่อมจาก Toby's อยู่แล้ว ก็ยิ่งไม่ควรพลาดเมนูแก้วโปรดหลากหลายสูตรที่ทางร้านนำมาบริการ หรือจะสั่งเมนูขนมโฮมเมดที่จะหมุนเวียนสับเปลี่ยนไปในแต่ละวันมาทานคู่กันก็ยิ่งช่วยเพิ่มอรรถรสให้ละมุนลิ้นมากขึ้น     ปิดท้ายก่อนกลับบ้าน หากแชะภาพสวยๆ ชิมเมนูโปรดกันอย่างเพลิดเพลินแล้ว จะเลือกซื้อขนมโฮมเมดติดไม้ติดมือกลับไปฝากคนที่บ้านก็ได้อีกเช่นกันค่ะ ซึ่งร้านเก๋ๆ เครื่องดื่ม อย่าง Lazy Toby  ที่เปรียบเหมือนบ้านเพื่อนสนิทใจกลางเมืองทองหล่อแห่งนี้จะเปิดบริการเพียง 6 เดือนเท่านั้น เริ่มตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ไปจนถึงเดือนธันวาคม 2560 และเปิดบริการทุกวันตั้งแต่เวลา 09:00 – 20:00 น.  
7 วิธีกำจัดกลิ่นฉี่-อึแมว ทั้งในและนอกบ้าน ตอบโจทย์ทั้งคนเลี้ยงและไม่เลี้ยงแมว

7 วิธีกำจัดกลิ่นฉี่-อึแมว ทั้งในและนอกบ้าน ตอบโจทย์ทั้งคนเลี้ยงและไม่เลี้ยงแมว

รวมวิธีกำจัดกลิ่นขี้แมวเหม็นกวนจมูกแบบละมุนละไม ที่จะไม่เป็นอันตรายต่อแมวและคน ปรับเปลี่ยนบรรยากาศรอบบ้านให้น่าอยู่ขึ้นกว่าเดิม ปัญหากลิ่นฉี่แมวเรียกได้ว่าเป็นปัญหาระดับชาติสำหรับใครหลายๆ คน แม้กระทั่งบ้านที่เลี้ยงแมวหรือบ้านที่มีแมวจรจัดเข้ามาอาศัยอยู่ เพราะถ้าหากปล่อยทิ้งไว้กลิ่นเหล่านี้ก็จะทำลายบรรยากาศในบ้าน และหากสูดดมบ่อยก็คงจะไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ วันนี้เราเลยนำวิธีกำจัดกลิ่นฉี่แมวมาฝากกันครับ รับรองได้เลยว่าแต่ละวิธีที่เรานำมานั้น ไม่มีอะไรที่เป็นอันตรายหรือรุนแรงกับแมวแน่นอน เอาเป็นว่าแล้วจะมีวิธีไหนบ้างนั้นต้องไปดูครับ 1.น้ำยากำจัดกลิ่นฉี่แมวทำเอง สูตรนี้เหมาะสำหรับกำจัดกลิ่นฉี่แมวในบ้าน โดยเริ่มจากผสมน้ำส้มสายชูและน้ำเปล่าในปริมาณที่เท่า ๆ กันเทใส่ขวดสเปรย์ แล้วฉีดไปตรงจุดที่แมวฉี่ไว้ ซับออกด้วยทิชชู ทำซ้ำอย่างนี้ประมาณ 2-3 ครั้ง แล้วใช้ไดร์เป่าให้แห้ง ต่อมานำเบกกิ้งโซดาโรยกลบรอยฉี่แมวให้ทั่ว แล้วผสมไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ ¼ ถ้วยตวงกับน้ำยาล้างจาน 1 ช้อนชาให้เข้ากัน เทใส่ขวดสเปรย์เพื่อฉีดพ่นลงบนเบกกิ้งโซดาที่โรยไว้ ใช้แปรงขัดเบาๆ ปล่อยทิ้งไว้ให้แห้งแล้ว ปิดท้ายด้วยใช้เครื่องดูดฝุ่นกำจัดเศษเบกกิ้งโซดาให้หมด 2.ใช้น้ำหมักชีวภาพหรือน้ำ EM กำจัดกลิ่นฉี่แมว นอกจากน้ำหมักชีวภาพจะช่วยปรับสภาพดินเพื่อการเกษตรได้แล้ว น้ำหมักยังมีคุณสมบัติที่ช่วยกำจัดกลิ่นอึและฉี่แมวได้อีกด้วย แต่ก่อนอื่นเราต้องทำความสะอาดและเก็บสิ่งปฏิกูลให้เกลี้ยง จากนั้นนำน้ำมาหมัก (แบบไม่ผสมน้ำเปล่า) มาฉีดพ่นให้ทั่วบริเวณนั้น ทิ้งไว้ 1-2 ชั่วโมง แล้วล้างออกให้เกลี้ยง 3.กำจัดกลิ่นฉี่แมวด้วย กากกาแฟโรยดับกลิ่น หากที่บ้านพอจะมีกากกาแฟสดเหลืออยู่บ้าง หรือถ้าไม่มีก็ลองขอซื้อตามร้านกาแฟดูเลยครับ แล้วนำกากกาแฟมาผสมกับผิวเปลือกส้ม นำไปกลบไว้ในที่ที่แมวชอบมาฉี่หรืออึ มันจะช่วยดับกลิ่นเหม็นได้ แถมยังมีกลิ่นที่ทำให้แมวไม่มาฉี่บริเวณนั้นอีก 4. น้ำส้มสายชูผสมน้ำร้อน ใช้กำจัดกลิ่นฉี่แมว เราสามารถเอาน้ำสายชูมาประยุกต์เป็นสูตรดับกลิ่นได้หลากหลาย เช่นเดียวกับสูตรนี้เลยครับ โดยการนำน้ำส้มสายชูมาผสมกับน้ำร้อน (น้ำเดือด) ให้เข้ากันดี จากนั้นนำไปเทราดบริเวณที่แมวมาทิ้งบอมบ์ไว้ แต่ก่อนราดส่วนผสมอย่าลืมเก็บทำความสะอาดอึแมวให้เรียบร้อยก่อนนะครับ เมื่อราดลงไปแล้ว น้ำส้มสายชูและน้ำร้อนจะช่วยทำความสะอาดไปพร้อม ๆ กับควันระเหยที่ช่วยดับกลิ่น 5. เบกกิ้งโซดาผสมน้ำฉีด กำจัดกลิ่นฉี่แมว หากใครไม่ชอบกลิ่นเปรี้ยวของน้ำส้มสายชู แนะนำให้ผสมเบกกิ้งโซดากับน้ำเปล่า กะดูปริมาณให้เข้มข้นพอสมควร พอเข้ากันดีแล้วก็เทใส่ขวดสเปรย์ เพื่อนำไปฉีดพ่นบริเวณที่แมวเคยมาอึและฉี่บ่อยๆ เพียงเท่านี้กลิ่นฉุนจากของเสียก็จะหายไป หรือจะโรยกลบของเสียไปก็ช่วยได้เหมือนกันครับ 6. ดินปลูกต้นไม้ดับกลิ่นฉี่แมวได้ ถ้าวิธีอื่นไม่ได้ผล ลองกำจัดด้วยแบบธรรมชาติดูสิครับ ให้หาดินทรายที่เอาไว้ปลูกต้นไม้มาโรยกลบอึแมวให้ทั่ว กลิ่นก็จะหายไป แต่ถ้าไม่อยากให้แมวเข้ามาอึที่เดิมๆ อีก ให้นำดินมาลงเยอะหน่อย แล้วหาต้นไม้ที่มีกลิ่นหอมมาปลูกไว้ตรงนั้นไปเลยครับ เพราะนอกจะช่วยกำจัดกลิ่นและป้องกันไม่ให้มาอึซ้ำได้แล้ว เรายังได้สวนสวยๆ เพิ่มอีกต่างหาก 7. ลูกเหม็นกำจัดกลิ่นฉี่แมวเหม็นๆ ได้ แม้จะชื่อว่า "ลูกเหม็น" แต่คุณสมบัติมันกลับโดดเด่นเหนือชื่อเลยครับ เพียงแค่นำลูกเหม็นมาบดให้ละเอียดแล้วผสมกับน้ำเปล่าให้เข้ากัน นำไปราดบริเวณที่แมวชอบมาอึทิ้งไว้ เพียงเท่านี้กลิ่นเหม็นๆ กวนจมูกก็จะหายไป แถมยังไล่ไม่ให้แมวเข้ามาอึได้อีกต่างหาก แต่ต้องระวังอย่าผสมให้กลิ่นลูกเหม็นฉุนแรงจนเกินไป เพราะอาจจะทำให้เราหายใจไม่สะดวกเอาได้   หวังว่าแต่ละวิธีที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ คงจะไม่มีขั้นตอนไหนที่หายากเกินความสามารถแน่นอน ฉะนั้นถ้าคุณกำลังพบเจอปัญหากลิ่นเหม็นจากอึแมวอยู่ละก็ ลองนำวิธิดับกลิ่นเหล่านี้ไปลองใช้ดูนะครับ และที่สำคัญห้ามใช้วิธีรุนแรงเด็ดขาด เพราะจะได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข วิธีกำจัดกลิ่นฉี่แมวอื่นๆ กำจัดกลิ่นปัสสาวะแมว เคล็ดลับดีๆ จากเรา Reviewyourliving 5 เคล็ดลับ จัดการกลิ่นในห้องครัว เคล็ดลับทำความสะอาดห้องน้ำ สะอาดวิ้ง ไร้คราบแบบง่ายๆ 10 วิธีดับกลิ่นฉุนปัสสาวะในห้องน้ำ  
10 ผักไม้เลื้อย ปลูกไว้เก็บกินก็ได้ ใช้ทำซุ้มบังแดดก็ดี๊ดี !

10 ผักไม้เลื้อย ปลูกไว้เก็บกินก็ได้ ใช้ทำซุ้มบังแดดก็ดี๊ดี !

พืชผักไม้เลื้อย อีกหนึ่งทางเลือกของคนรักสวนที่อยากได้พืชไม้เลื้อยกินได้หรือทำสวนผักไม้เลื้อย อยากรู้พืชไม้เลื้อยมีอะไรบ้าง มาดู 10 พืชผักไม้เลื้อยพร้อม ๆ กันเลยค่ะ คิดจะทำสวนทั้งที…มันต้องเลือกต้นไม้ดี ๆ ที่มีประโยชน์หลายด้านกันหน่อย อย่างเช่น 10 พืชผักไม้เลื้อย ที่เป็นพืชไม้เลื้อยกินได้ ไว้สร้างสวนผักไม้เลื้อย ที่สามารถบังแดดและเก็บกินได้ไปในตัว ถ้าอยากรู้ว่าพืชไม้เลื้อยมีอะไรบ้างที่กินได้ ตามไปดูลิสต์ 10 พืชผักไม้เลื้อยที่เรานำมาฝากกันในวันนี้เลยค่ะ แล้วจะเห็นว่าช่างเป็นพืชที่เหมาะกับบ้านในเขตเมืองร้อนอย่างเราจริง ๆ เลย 1.ตำลึง ผักไม้เลื้อยยอดนิยม ตำลึง : เป็นไม้เลื่อยที่ขึ้นได้ทั่วไป ปลูกง่ายและโตไว ลักษณะลำต้นเป็นเถาเลื้อยมือเกาะ ออกใบคล้ายรูปหัวใจ มีดอกเป็นช่อสีขาว ลักษณะผลเป็นทรงกลมเรียวยาว สีเขียวอ่อน แต่เมื่อสุกแล้วจะมีสีแดงระรื่อดูสวยงาม สรรพคุณ : มีวิตามินบำรุงร่างกาย ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันหัวใจขาดเลือด บำรุงสายตา มีกากใยช่วยให้การขับถ่ายดีขึ้น ลดความเสี่ยงจากมะเร็ง ทั้งยังใช้รักษาโรคเบาหวาน และแก้งูสวัดได้ด้วย วิธีปลูก : ที่ง่ายที่สุดก็คือ การปักชำ เพียงแค่ตัดเถายาว 30 เซนติเมตร มาปักทำมุมเอียงในกระถางดินร่วน ดูแลรดน้ำทุกวันจนแตกยอดใหม่ แล้วอย่าลืมทำค้างหรือหาไม้มาหลักมาปัก เพื่อให้ต้นเลื้อยขึ้นไปรับแสงด้วยนะคะ 2. บวบ ไม้เลื้อยช่วยถอนพิษ บวบ : มี 3 ชนิด ได้แก่ บวบเหลี่ยม บวบหอม และบวบงู เป็นพืชเถาตามข้อมีมือเกาะ ลักษณะใบกว้างและเป็นรูปเหลี่ยม ปลายใบเรียวแหลม ออกดอกสีเหลืองตามง่ามใบ มีผลเรียวยาว ลักษณะผิวขึ้นอยู่กับชนิดของบวบ เป็นผักฤทธิ์เย็นและมีน้ำเยอะ สรรพคุณ : ช่วยดับร้อนในร่างกายได้ อุดมไปด้วยฟอสฟอรัสช่วยสร้างเม็ดเลือด มีกากใยช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น แก้ริดสีดวงทวาร ช่วยถอนพิษได้อีกด้วย วิธีปลูก : ให้เพาะเมล็ดลงดินที่ผสมปุ๋ยหมักและแกลบในปริมาณที่เท่ากัน รดน้ำสม่ำเสมอ จนออกใบ 2 ใบ แล้วค่อยย้ายต้นกล้าไปปลูกในดินหรือกระถาง ทำค้างหรือหาไม้หลักมาปักให้ต้นยึดเกาะ ดูแลรดน้ำให้ชุ่มแต่อย่าแฉะ บำรุงปุ๋ยทุก 15 วัน/ครั้ง รดน้ำหมักสะเดาเพื่อกำจัดวัชพืช 3.ไม้เลื้อยแสนอร่อย "ถั่วพู" ถั่วพู : เป็นไม้เลื้อยที่มีหลายสายพันธุ์ ลำต้นหรือเถายาว 3 เมตรขึ้นไป ออกใบเรียวยาวและปลายใบแหลม ออกเรียงสลับตามเถา ลักษณะดอกเป็นช่อสีขาว ส่วนผลเป็นฝักเรียวยาว แยกขอบออกเป็น 4 แฉก ขอบฝักหยัก ด้านในมีเมล็ดถั่ว สรรพคุณ : ช่วยบำรุงหัวใจ กระตุ้นการเจริญเติบโตและฮอร์โมน แก้อักเสบ แก้ร้อนใน และช่วยต้านเชื้อแบคทีเรีย วิธีปลูก : ด้วยเมล็ดถือว่าดีที่สุด โดยนำเมล็ดจากฝักแห้งมาปลูกในกระถางดินเหนียวที่ผสมกากมะพร้าวและปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก เมื่อต้นเริ่มงอกก็ควรย้ายมาปลูกในกระถางที่ใหญ่กว่า หาไม้หลักมาปักให้ต้นยึด เด็ดต้นที่ไม่แข็งแรงทิ้งไป ดูแลรดน้ำให้ชุ่มทุกวัน และตั้งกระถางให้โดนแดดรำไร 4. ถั่วฝักยาว ไม้เลื้อยปลูกง่าย ถั่วฝักยาว : เป็นพืถั่วชนิดไม้เลื้อย มีเถาสีเขียว ออกใบสีเขียวคล้ายรูปสามเหลี่ยม แต่โคนใบแหลมเข้าหาก้านใบ ลักษณะดอกออกเป็นช่อสีขาวตามซอกใบ ฝักเป็นทรงกลมขนาดเล็กและเรียวยาว ด้านในมีเมล็ดถั่ว สรรพคุณ : ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน ช่วยให้ระบบเผาผลาญทำงานได้ดี และช่วยรักษาอาการบวม วิธีปลูก : ให้นำเมล็ดถั่ว 5 เม็ด มาปลูกในกระถางดินร่วนผสมทรายและปุ๋ยคอก เว้นระยะห่างให้พอดี หาไม้หลักหรือทำค้างไว้ข้าง ๆ เพื่อให้ต้นยึดเกาะ สังเกตุถ้าต้นไหนไม่แข็งแรงให้ตัดทิ้ง รดน้ำทั้งเช้าและเย็น หมั่นบำรุงปุ๋ยเมื่อต้นมีอายุได้ 1 เดือน 5.สมุนไพรไม้เลื้อย "ขจรหรือสลิด" ขจรหรือสลิด : เป็นไม้เลื้อยที่นิยมนำส่วนดอกมากิน เถาเป็นสีเขียว เมื่อแก่เถาจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล  ลักษณะใบคล้ายรูปหัวใจกว้าง 5 เซนติเมตร ออกดอกเป็นช่อตามซอกใบ มีสีเหลืองและส่งกลิ่นหอม สรรพคุณ : บำรุงหัวใจ ตับ และไต แก้หน้ามืดวิงเวียน แก้ท้องเสีย บำรุงสายตา บำรุงเลือด และแก้อาการเมาค้าง วิธีปลูก : ให้นำกิ่งที่สมบูรณ์มาปักในกระถางดินร่วนที่ผสมปุ๋ยหมัก รดน้ำให้พอชุ่มทุกวัน แต่เมื่อผ่านไป 2 สัปดาห์ให้ปรับมารดแค่วันเว้นวันก็พอ หาไม้หลักหรือค้างมาปักให้ต้นเลื้อยด้วยนะคะ 6.ไม้เลื้อยพืชเศรษฐกิจ "พริกไทย" พริกไทย : เป็นพืชสมุนไพรและเป็นพืชเศรษฐกิจที่นิยมนำมาปรุงแต่งรสชาติอาหาร ลำต้นเป็นข้อปล้อง มีเถายึดเกาะ ลักษณะใบเป็นรูปไข่ ปลายใบแหลม ออกดอกเป็นช่อไม่มีก้านดอก ลักษณะผลทรงกลมสีเขียวเข้ม ออกเรียงกันเป็นช่อ สรรพคุณ : ช่วยบรรเทาอาการปวด ขับลมในกระเพาะ กระตุ้นระบบย่อยอาหารให้ทำงานได้ดีขึ้น และป้องกันการเกิดอัลไซเมอร์ วิธีปลูก : ให้นำกิ่งพันธุ์ที่สมบูรณ์มาปักชำลงในกระถางที่มีดินดำที่ผสมขี้เถ้าแกลบ รดน้ำให้ชุ่ม หาถุงพลาสติกมาครอบทิ้งไว้ 30 วัน แล้วค่อยดึงออก ย้ายต้นไปปลูกให้กระถางขนาดใหญ่ที่มีดินดำผสมปุ๋ยคอกและเปลือกข้าว ปักไม้หลักหรือทำค้างให้ต้นเลื้อย ดูแลรดน้ำทุกวันในช่วงแรก ๆ พอต้นแข็งแรงค่อยปรับเป็นสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง บำรุงปุ๋ยปีละ 2 ครั้ง 7. ฟักข้าว ไม้เลื้อยล้มลุก ฟักข้าว : เป็นพืชล้มลุกมีเถาเลื้อย ลักษณะใบเป็นใบเดี่ยว คล้ายรูปหัวใจ ขอบใบหยักเล็กน้อย ออกดอกสีขาว-เหลืองตามข้อ ส่วนผลเป็นทรงกลมมีหนามรอบผล ผลอ่อนจะเป็นสีเหลืองอมเขียว แต่เมื่อสุกแล้วจะกลายเป็นสีแดงหรือสีส้ม ด้านในมีเมล็ด ส่วนเนื้อที่อยู่ในเมล็ดจะเป็นสีขาว (เมล็ดดิบจะมีพิษ ต้องนำมาทำให้สุกก่อนกิน) สรรพคุณ : ช่วยดับพิษทุกชนิด บำรุงปอด แก้ท่อน้ำดีอุดตัน และแก้วัณโรค วิธีปลูก : ให้นำเมล็ดจากผลสดไปแช่น้ำทิ้งไว้ 1 คืน จากนั้นลอกเปลือกหุ้มเมล็ดออก นำไปเพาะในตะกร้าที่มีกากมะพร้าว ดูแลรดน้ำทั้งเช้าและเย็น ถ้าต้นแข็งแรงแล้วค่อยย้ายลงมาปลูกในดิน หาไม้หลักหรือตค้างมาปักไว้ให้ต้นเลื้อย 8. ไม้เลื้อยมีผล "ฟักแม้ว" ฟักแม้ว : เป็นไม้เลื้อยตระกูลแตง ลักษณะยอดคล้ายยอดฟักทอง ลำต้นเป็นเหลี่ยมและมีเถาเลื้อย ออกใบลักษณะ 5 แฉก สีเขียวเข้ม ดอกฟักแม้วออกตามซอกใบ สีเขียว-เหลือง ผลมีลักษณะเรียวยาว ก้นเป็นร่อง มีสีเขียวอมเหลือง สรรพคุณ : ช่วยขับปัสสาวะ บำรุงหัวใจ ช่วยลดความดันโลหิต ต้านมะเร็ง และเสริมสร้างกระดูก วิธีปลูก : จากผลฟักแม้วเป็นวิธีที่ดีที่สุด เนื่องจากเป็นพืชที่มีอายุสั้น ไม่เหมาะกับการปักชำ เริ่มจากคัดผลที่สุกเต็มที่หรือมีรากงอกมาปลูกในกระถางดินที่ผสมปุ๋ยคอกและแกลบดำ ดูแลรดน้ำให้ชุ่มประมาณเดือนกว่า ๆ ต้นก็จะแข็งแรงพร้อมย้ายมาปลูกในกระถางใหญ่ หรือในหลุมดินลึก 30 เซเนติเมตร ปักไม้หลักหรือค้างให้ต้นเลื้อย ดูแลรดน้ำตามปกติ และบำรุงปุ๋ยทุกเดือน 9. มะระ ไม้เลื้อยมากคุณประโยชน์ มะระ : เป็นไม้เลื้อยที่ขึ้นได้ดีในเขตร้อน มีเถาเลื้อยเกาะไปตามที่ต่าง ๆ ออกใบกว้าง ขอบใบหยัก ลักษณะดอกเป็นสีเหลืองออกตามซอกใบ ส่วนลักษณะผลขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ ถ้าเป็นมะระขี้นก ผลจะเป็นทรงกลมคล้ายวงรีแต่ปลายแหลม มีสีเขียวเข้ม ผิวขรุขระ ส่วนมะระจีน จะยาวกว่าดูคล้ายรูปทรงกระบอก มีสีเขียวอ่อน สรรพคุณ : แก้ร้อนใน กระตุ้นระบบขับถ่าย แก้อาการอักเสบ แก้หวัด และช่วยรักษาเบาหวานได้ วิธีปลูก : ให้นำเมล็ดพันธุ์ที่สมบูรณ์มาปลูกลงในกระถางดินร่วนผสมปุ๋ยคอก ดูแลรดน้ำวันละ 1 ครั้ง หาไม้หลักหรือค้างมาปักเพื่อให้ต้นเลื้อยยึดเกาะด้วยนะคะ 10. ไม้เลื้อยกลิ่นหอม "ชะพลู" ชะพลู : เป็นพืชล้มลุกที่ขึ้นได้ทั่วไป โดยเฉพาะที่ชื้น ลำต้นเป็นข้อ มีเถาเลื้อย ลักษณะใบคล้ายรูปหัวใจ ผิวใบขรุขระ ออกดอกเป็นช่อสีขาวขนาดเล็ก สรรพคุณ : ช่วยกระตุ้นการขับถ่ายให้ดีขึ้น ช่วยบำรุงสมองและสายตา มีสารต้านอนุมูลอิสระ รักษาเบาหวาน ช่วยชะลอและยับยั้งการเกิดเซลล์มะเร็ง วิธีปลูก : ให้เด็ดยอดชะพลูมีใบติดสัก 2-3 ใบมาปักชำลงในกระถางดินร่วน ดูแลรดน้ำทุกวัน วันละครั้ง บำรุงปุ๋ยทุก 3 เดือน   เห็นไหมล่ะว่าผักไม้เลื้อยพวกนี้ก็มีประโยชน์หลากหลายกับเค้าเหมือนกัน ทั้งใช้ทำสวน ทำซุ้มบังแดด หรือจะปลูกเอาไว้เก็บกินก็ได้ เป็นต้นไม้ที่มีแต่ประโยชน์ขนาดนี้ คนรักสวนไม่ควรพลาดเลยนะคะ ความรู้เกี่ยวกับผักไม้เลื้อยอื่นๆ วิธีการ กำจัดไม้เลื้อยที่มีพิษ เกี่ยวกับต้นไม้รอบรั้วบ้าน 5 พรรณไม้ที่ควรปลูกไว้ริมรั้ว 5 ต้นไม้ริมรั้วบ้าน สวยงาม แถมปลูกไว้กันขโมย! 7 ผักสวยงามปลูกในกระถาง เด็ดกินก็ได้ วางประดับบ้านก็ดี
คนผ่อนบ้านกับผ่อนรถ ธนาคารจะอนุมัติบัตรเครดิตให้ใครมากกว่ากัน

คนผ่อนบ้านกับผ่อนรถ ธนาคารจะอนุมัติบัตรเครดิตให้ใครมากกว่ากัน

คนที่อยากมีบัตรเครดิตใช้และได้สมัครบัตรเครดิตกับธนาคารไปก็ย่อมอยากรู้ว่าตัวเองจะได้รับการอนุมัติหรือไม่ ซึ่งความกังวลใจเหล่านี้อาจจะมาจากด้วยหลากหลายเหตุผลที่ทำให้ไม่มั่นใจในการขออนุมัติบัตร เช่น เคยมีประวัติจ่ายหนี้ช้าบ้าง แต่ไม่เคยไม่จ่าย หรือปัจจุบันมีภาระหนี้อยู่เยอะ บางคนก็ผ่อนบ้าน บางคนก็ผ่อนรถยนต์ จึงเป็นที่มาของคำถามที่ว่าระหว่างคนผ่อนบ้านกับผ่อนรถ ธนาคารจะอนุมัติบัตรเครดิตให้ใครมากกว่ากัน   หากมองในมุมของระยะเวลาในการผ่อน การผ่อนรถยนต์ก็จะดูเป็นภาระน้อยกว่าเพราะผ่อนไม่กี่ปีก็จบ ในขณะที่คนที่ผ่อนบ้านจะต้องผ่อนเป็นเวลานานเป็นสิบปีถือว่าเป็นภาระหนี้ที่ยาวนาน ถ้ามองในมุมนี้ โอกาสที่ธนาคารจะอนุมัติบัตรเครดิตให้กับคนที่ผ่อนรถยนต์ก็มากกว่าคนที่ผ่อนบ้าน   แต่หากมองในอีกมุมเรื่องของเครดิตที่เกิดจากการขอสินเชื่อนั้น การที่คนเราได้รับอนุมัติกู้เงินซื้อบ้านได้ต้องถือว่ามีเครดิตที่ดีมาก ต้องผ่านการพิจารณาหลักเกณฑ์ต่าง ๆ จนธนาคารมั่นใจได้จึงปล่อยเครดิตกู้บ้านให้ได้ หากมองในมุมที่การขอสินเชื่อบ้านนั้นยากกว่าการขอสินเชื่อรถยนต์ ธนาคารก็น่าจะอนุมัติบัตรเครดิตให้กับคนที่ผ่อนบ้านมากกว่าคนที่ผ่อนรถยนต์   ในความเป็นจริงแล้ว เหตุผลที่ธนาคารจะอนุมัติบัตรเครดิตให้กับลูกค้าหรือไม่นั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับเรื่องว่าลูกค้าคนนั้นผ่อนบ้านหรือผ่อนรถยนต์อยู่เพียงอย่างเดียว แต่จะต้องดูปัจจัยอื่น ๆ อีกมากมายด้วย โดยการอนุมัติบัตรเครดิตในปัจจุบันธนาคารจะใช้ระบบที่เรียกว่า Credit Scoring โดยนำหลักเกณฑ์ คุณสมบัติและข้อมูลรายละเอียดของลูกค้ามาจัดทำเป็น Score เพื่อดูว่าลูกค้าคนนั้นผ่านเกณฑ์หรือไม่ หากผ่านเกณฑ์ก็หมายความว่าได้รับอนุมัติ แต่หากไม่ผ่านก็หมายความว่าไม่ได้รับอนุมัตินั่นเอง   โดยข้อมูลที่นำมาเป็นปัจจัยในการทำ Credit Scoring ก็อาจจะแตกต่างกันไปตามนโยบายของแต่ละธนาคาร ธนาคารหลายแห่งใช้ผลวิเคราะห์จากสถิติของลูกค้าธนาคารในอดีตเพื่อนำมากำหนดเป็น Credit Scoring ใช้ในการพิจารณาการอนุมัติหรือไม่อนุมัติบัตรเครดิตใหม่ให้กับลูกค้าด้วย ยกตัวอย่างสิ่งที่จะมีผลกับ Credit Scoring เช่น อายุ คนที่มีอายุน้อยจะได้คะแนนน้อยกว่าคนที่อยู่ในช่วงวัยกลางคนหรือเป็นผู้ใหญ่กว่า เพราะธนาคารมองว่าคนที่เป็นผู้ใหญ่ทำงานมานานมีความมั่นคงทางการงานและการเงินมากกว่า ส่วนคนที่มีอายุน้อยก็อาจเพิ่งเริ่มทำงานได้ไม่นานและยังมีโอกาสที่จะเปลี่ยนงานได้อีก ส่วนคนที่มีอายุมากอยู่ในวัยใกล้เกษียณหรือเกษียณแล้วก็อาจได้คะแนนเครดิตน้อยกว่าคนที่อยู่ในวัยทำงานเพราะธนาคารก็มองอีกเช่นกันว่าคนเหล่านี้อีกไม่นานก็จะถึงวัยที่ไม่ได้ทำงานมีรายได้อีกต่อไป อาชีพ คนที่มีอาชีพมั่นคง เช่น แพทย์หรือวิศวกรมีโอกาสที่จะได้รับอนุมัติบัตรเครดิตมากกว่าอาชีพอื่น ๆ เพราะธนาคารถือว่าการงานมั่นคงต่อให้ต้องย้ายที่ทำงานก็มีงานรองรับแน่นอน เมื่อเทียบกับอาชีพผู้รับเหมาก่อสร้างหรือพนักงานขายที่รายได้อาจจะไม่มั่นคงมีขึ้นมีลงได้ตลอด การศึกษา คนที่มีการศึกษาสูงกว่า เช่น จบปริญญาเอกหรือปริญญาโท มีโอกาสที่จะได้คะแนนเครดิตสูงกว่าคนที่เรียนไม่จบหรือจบแค่ปริญญาตรี เพราะธนาคารมองว่าคือโอกาสในการทำงานที่มีความมั่นคง เพศ มีเช่นกันสำหรับบางธนาคารที่ให้คะแนนเครดิตผู้ชายมากกว่าผู้หญิง เพราะถือว่าเป็นหัวหน้าครอบครัว ต้องทำงานและเป็นคนที่มีรายได้ แต่บางธนาคารก็ให้คะแนนเครดิตผู้หญิงมากกว่าก็มี เพราะมองในมุมว่าผู้หญิงมีความรับผิดชอบสูงกว่า ประวัติสินเชื่อ คนที่มีเครดิตคือเคยกู้เงินมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิตใบก่อนหน้า สินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถยนต์หรือเงินกู้อะไรก็แล้วแต่ ธนาคารจะพิจารณาให้คะแนนเครดิตคนเหล่านี้มากกว่าคนที่ไม่เคยมีเครดิตหรือขอสินเชื่อที่ไหนมาก่อนเลย รายได้ ข้อมูลรายได้ของลูกค้าแน่นอนว่าต้องเป็นส่วนหนึ่งของการให้คะแนนเครดิต คนที่มีรายได้สูงกว่าก็ย่อมมีโอกาสที่จะได้รับอนุมัติบัตรเครดิตมากกว่าคนที่มีรายได้น้อย ภาระหนี้ ภาระหนี้ที่มีอยู่ในปัจจุบันก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะบอกถึงความสามารถในการชำระหนี้ก้อนใหม่ที่ลูกค้ากำลังสมัครเข้ามา ลูกค้าที่มีภาระหนี้น้อยกว่าก็ย่อมมีโอกาสที่จะได้รับอนุมัติบัตรเครดิตมากกว่าลูกค้าที่มีภาระหนี้เยอะ   ที่ยกมาก็เป็นเพียงแค่ตัวอย่างของปัจจัยที่มีผลกับ Credit Scoring ที่ธนาคารใช้เป็นเครื่องมือในการพิจารณาอนุมัติบัตรเครดิตให้กับลูกค้าเท่านั้น อาจมีปัจจัยอะไรอื่น ๆ อีกที่เราไม่สามารถรู้ได้ ทั้งนี้เนื่องจากเป็นนโยบายของแต่ละธนาคารที่แตกต่างกันไป น้ำหนักคะแนนของแต่ละปัจจัยว่าเรื่องไหนจะมากหรือน้อยก็ไม่มีสูตรตายตัวแล้วแต่นโยบายของแต่ละธนาคารอีก จึงเป็นเรื่องที่ตอบได้ยากในบางครั้งว่าเพราะเหตุใดบางคนถึงสมัครบัตรเครดิตแล้วไม่ผ่าน หรือบางคนสมัครบัตรเครดิตกับธนาคารหนึ่งไม่ผ่าน แต่สมัครกับอีกธนาคารหนึ่งอาจจะผ่านก็เป็นได้   เรื่องการผ่อนบ้านหรือผ่อนรถธนาคารจะอนุมัติบัตรเครดิตให้กับใครมากกว่ากัน จึงเป็นเรื่องที่ตอบยาก ต้องดูเรื่องภาระหนี้ด้วยเป็นสิ่งสำคัญ หากมีรายได้มากแม้ผ่อนบ้านหรือผ่อนรถแล้ว ภาระหนี้ก็ยังไม่ถึง 40% แบบนี้โอกาสที่จะได้รับอนุมัติบัตรเครดิตก็ย่อมสูงขึ้น อย่างลูกค้าบางรายเมื่อได้รับอนุมัติสินเชื่อบ้านเรียบร้อย ผ่อนจ่ายไปไม่กี่เดือน ธนาคารก็โทรมาเสนอบัตรเครดิตให้ใช้โดยไม่ต้องเสียเวลาสมัครก็มี หรืออย่างคนที่ผ่อนรถอยู่ก็มีที่สมัครบัตรเครดิตแล้วได้หรือไม่ได้รับอนุมัติมีทั้งสองแบบด้วยเหตุผลที่ต่างกันไป   ดังนั้นการที่ธนาคารจะอนุมัติบัตรเครดิตให้หรือไม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเราผ่อนบ้านหรือผ่อนรถอยู่เท่านั้น แต่ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น ๆ ประกอบอีกมากมายขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละธนาคาร   ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://money.sanook.com/424023/
ผ่อนบ้าน (คอนโด) แนวฮาร์ดคอร์ หมดภายใน 7-10 ปี

ผ่อนบ้าน (คอนโด) แนวฮาร์ดคอร์ หมดภายใน 7-10 ปี

วิธีผ่อนบ้านหรือคอนโดให้หมดภายใน 7-10 ปี สำหรับคนที่อยากหมดหนี้บ้านหรือคอนโดไว ๆ ไม่ต้องผ่อนนาน อาจฟังดูเหลือเชื่อ แต่ชายคนนี้ก็ทำได้จริง ๆ   ด้วยความมุ่งมั่นและตั้งใจอยากมีสินทรัพย์เป็นของตัวเอง ชายคนนี้เลยคิดหาวิธีผ่อนบ้านให้หมดเร็ว ๆ ที่กล้าบอกเลยว่าทำได้จริง ๆ เพราะเขาทำมาแล้ว อีกทั้งวันนี้ คุณ Mr.Worldwide สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ก็ได้นำประสบการณ์การปลดหนี้บ้านภายใน 7-10 ปีมาบอกต่อกันด้วย ไว้เป็นไกด์ไลน์ให้กับคนที่มีหนี้บ้านหรือคอนโดอยู่ตอนนี้ "ผ่อนบ้าน (คอนโด) แนวฮาร์ดคอร์ หมดภายใน 7-10 ปี" ฟันธง ! โดย คุณ Mr.Worldwide คือผมอยากแชร์ประสบการณ์วิธีผ่อนบ้านและคอนโด ที่ผมเคยทำตั้งแต่ยังเป็นมนุษย์เงินเดือน เริ่มต้นตั้งแต่สมัยที่ผมยังมีเงินเดือนแค่ 14,000 บาท เมื่อประมาณ 18 ปีที่แล้ว เลื่อนตำแหน่งเปลี่ยนงานมาก็มาก จนปัจจุบันมาทำธุรกิจส่วนตัว จึงมั่นใจว่าวิธีการจัดการผ่อนบ้านของผมค่อนข้างเป็นที่น่าพอใจสำหรับตัวเอง และคิดว่าน่าจะพอเป็นไกด์ไลน์ให้คนที่กำลังจะซื้อบ้านหรือคอนโดมาให้ทราบกันครับ   ขอบอกว่าแนวทางผมอาจจะ "อึดอัด" และต้องมี "วินัยสูง" แต่รับประกันว่าสามารถลดเวลาผ่อนสินทรัพย์ของท่านจาก 25-30 ปีหรืออาจจะมากกว่าจนผ่อน 7-10 ปีได้ !!! ยกตัวอย่างผ่อนบ้าน ผมเริ่มคิดที่จะมีสินทรัพย์แรกคือ ทาวน์โฮมครับ เป็นทาวน์โฮมที่อยู่เกือบจะในเมืองหรือเกือบจะนอกเมือง 555 (คือมันอยู่ปลาย ๆ พระราม 9) ราคาประมาณ 4 ล้านบาท สมัยนั้นผมทำงานบริษัท หน้าที่การงานดี ได้เงินเดือน ๆ ละ 55,000 บาทครับ พอตัดสินใจจะซื้อ เซลส์มักจะโน้มน้าวเราต่าง ๆ นานา เพราะเห็นว่าเราคงกู้ผ่านแน่ ๆ "ผ่อนเดือนละ 20,000 บาทเองค่ะ สบาย ๆ" ประโยคนี้อันตรายครับ เพราะหากเป็นคนทั่วไปมักจะคิดว่าเงินเดือน 5 หมื่นกว่าบาท ผ่อนแค่ 2 หมื่นบาท ชิล ๆ ใช่ไหมครับ ?   วิธีคิดของผมคือ ถ้าเราชอบสินทรัพย์นั้น ๆ ด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นคอนโด บ้าน หรือทาวน์เฮ้าส์ แต่ท่านตั้งใจจะซื้อแน่นอน "ถ้าเราต้องผ่อน 20,000 บาท (ตัวอย่าง) ให้เราคิดว่าเราต้องผ่อนเป็น "2 เท่า" คือ 40,000 บาทให้ได้ ผมถึงจะซื้อครับ"   อ่านถึงตรงนี้คงมีคนบอก  "ถ้าอย่างนั้นอย่าผ่อนเลย ไม่มีวันมีบ้านหรอกชาตินี้" คิดแบบนั้นก็คือ ผ่อนไปตามนั้นเดือนละ 20,000 บาท ก็จะไปจบที่ผ่อน 25-27 ปี ถึงจะได้เป็นเจ้าของจริง ๆ (โดยประมาณของดอกเบี้ยลดต้นลดดอกของการผ่อนบ้าน) แต่ผมบอกแล้ววิธีผ่อนบ้านของผม "ฮาร์ดคอร์" ทำไมต้องทำถึงขนาดนั้น เพราะรู้ไหมครับว่าดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านแพงมาก ๆ ท่านจะทราบก็ต่อเมื่อเป็นลูกหนี้แล้วเท่านั้น เอาดอกเบี้ยมาตรฐานทั่วไป MLR-1% หรือดอกเบี้ยประมาณ 5-7% ต่อปี เพราะเวลาเราผ่อนบ้าน 1-3 ปีแรก มันจะมีดอกเบี้ยหลายแบบ ทั้ง 0% ปีแรกบ้าง ปีต่อไปลอยตัว (อันนี้ไม่ค่อยมีแล้ว) แบบขั้นบันไดบ้าง ผมขอไม่ลงดีเทลนะครับ ขอสมมุติว่าดอกเบี้ย 5-7% ต่อปีแบบเท่ากันหมด (ซึ่งส่วนใหญ่เราก็ผ่อนกันเกิน 3 ปีกันอยู่แล้ว แล้วค่อยรีไฟแนนซ์ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง) แต่ถ้าเอาแบบบ้าน ๆ ก็คือ เวลาบิลเรียกเก็บค่างวดมาที่บ้าน หากท่านผ่อนเดือนละ 20,000 บาท ท่านจะเห็นในบิลเลยว่า ดอกเบี้ย = 12,000 บาท (หัก) เงินต้น = 8,000 บาท (เอาเลขกลม ๆ) นี่คือค่าผ่อนต่อเดือนนะครับ คราวนี้ดอกเบี้ยแพงหรือยังครับ กู้ไป 4 ล้านบาทเมื่อไรจะหมด ? (4,000,000-8,000 = 3,992,000)   แต่ผ่อน "2 เท่า" ตามวิธีของผมก็คือ 40,000 บาท เหลือกินใช้ 15,000 บาท (สำหรับคนไม่มีภาระนะครับ หากมีภาระแล้ว อยากใช้วิธีนี้แนะนำให้ดูสินทรัพย์ที่ถูกลงมาครับ) "20,000 บาทแรก" (ดอกเบี้ย 12,000 บาท+หักเงินต้น 8,000 บาท) "20,000 บาทหลัง" (หักเงินต้น 100% หรือหักไปเลยอีก 20,000 บาท)  ^_^ หมายความว่า ท่านจะสามารถหักเงินต้นเดือนนั้นได้ถึง 8,000+20,000 บาท หรือ "3.5 เท่า" ของการหักโดยปกติ (4,000,000-28,000 = 3,972,000)   เห็นไหมครับว่าเงินต้นที่กู้ธนาคารมาลดลงเร็วขึ้น เพราะเราได้จ่ายดอกเบี้ยสำหรับค่างวด 20,000 บาทแรกแล้ว ท่านก็ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ พอสิ้นปีได้โบนัส ถูกหวย หรือได้เงินพิเศษมาก็จ่ายเพิ่มหนักหน่อย แต่บางครั้งเราก็จำเป็นต้องใช้เงิน ท่านก็สามารถลดเงินค่างวดพิเศษลงได้หรือไม่จ่ายเพิ่มในเดือนนั้น แต่อย่าทำบ่อยนะครับ ถ้ามีครั้งแรกย่อมมีครั้งที่ 2 เสมอ   พอผ่านไปสัก 3 ปี ผมกล้าพูดได้เลยว่าเงินต้นที่ท่านกู้จะลดลงไปมาก ไม่ต่ำกว่า 1 ล้านบาทแน่นอนครับ หนี้จาก "4 ล้านบาทก็จะเหลือไม่ถึง 3 ล้านบาท ประมาณ 2 ล้านบาทปลาย ๆ (ถ้าผ่อนแบบปกติครบ 3 ปี เงินต้นจะลดไปแค่ 1 แสนบาทเองครับ ลองคิดดู) หากท่านมีวินัย โปะไปเรื่อย ๆ หนี้สินก็จะหมดภายใน 5-7 ปี แล้วท่านก็จะปลอดหนี้ ถ้าไม่สร้างหนี้เพิ่มเหมือนผม   วิธีการคือ ตากปกติธนาคารมักจะให้หักค่างวดจากบัญชีของธนาคารนั้น ๆ เลย (20,000 บาทแรก) โดยเราสามารถจ่ายเพิ่มได้อีก 1 เท่า (20,000 บาทหลัง) ได้โดยการไปจ่ายที่เคาน์เตอร์ธนาคารนั้น ๆ ครับ แนะนำว่าควรไปจ่ายเพิ่มอีก 1 เท่าภายในเดือนนั้น ๆ แต่ควรเป็นต้นเดือน เพราะโดยปกติธนาคารจะเรียกเก็บค่างวดจากการหักบัญชีเราตอนสิ้นเดือน (ส่วนใหญ่วันที่ 30 ของทุกเดือน) เพราะถ้าเราจ่ายวันที่ 1 ของเดือนนั้น ธนาคารจะแอบคิดดอกเบี้ย 1 วัน (ประมาณ 500 บาท) หักเงินต้น (19,500 บาท) อ่าว…ไหนบอกหัก 100% ไง ?? คืออย่าเพิ่งตกใจครับ เพราะตอนธนาคารหักเงินจากบัญชีเรา วันที่ 30 ที่หักค่างวดปกติ ดอกเบี้ยก็จะคิดแค่ 29 วัน ไม่นับวันที่ 1 ที่เราจ่ายแล้วครับ เข้าใจแล้วใช่ไหมครับ   พอครบ 3 ปีเราค่อยไปรีไฟแนนซ์กับธนาคารอื่นที่เราจ่ายดอกเบี้ยน้อยกว่า เพราะจะมีโปรโมชั่นรีไฟแนนซ์ที่ดีกว่า เพราะพอครบ 3 ปีเราจะไม่ได้โปรโมชั่นจากธนาคารเดิมแล้ว "ปีที่ 4 ทุกธนาคารจะคิดดอกเบี้ยลอยตัวหมดครับ"  (ควรไปรีไฟแนนซ์หรือภาษาบ้าน ๆ เรียกว่าไปกู้ธนาคารอื่นครับ เพื่อโปรโมชั่นดอกเบี้ยที่ถูกลง อย่าทำก่อน 3 ปีนะครับ เพราะจะโดนค่าปรับไม่คุ้มครับ)   หวังว่าจะพอเป็นประโยชน์สำหรับคนที่คิดกู้เงินซื้อบ้านนะครับ วิธีการนี้หากใช้ให้เป็น มันสามารถสร้างสินทรัพย์ได้ 4-5 อันในระยะเวลาเท่า ๆ กัน เมื่อเทียบกับคนทั่วไปที่ใช้เวลา 25-30 ปี ในการสร้างสินทรัพย์แค่อันเดียว แล้วถ้าหากสินทรัพย์เหล่านั้นที่ท่านเลือกเป็นสินทรัพย์ที่ดี ออกดอกออกผล สร้างรายได้หรือกระแสเงินสด (Cash Flow) ให้ท่านต่อเดือน เช่น ให้ค่าเช่า มันก็จะเป็นรายได้ให้ท่านอีกทางหนึ่ง หรือที่สมัยนี้นิยมเรียกกันว่า "Passive Income" ขอขอบคุณข้อมูลผ่อนบ้านดีๆ จาก คุณ Mr.Worldwide สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม เกี่ยวกับการผ่อนบ้าน-คอนโด เคล็ดลับผ่อนบ้านให้หมดเร็ว ดอกเบี้ยลด หมดหนี้ไว ผ่อนบ้านไม่ไหว ควรทำอย่างไรดี ผ่อนบ้านหมดไว เหมือนได้รถใหม่ 1 คัน
เก็บเงินซื้อบ้านทั้งที ต้องเก็บส่วนไหน เก็บอย่างไรบ้าง?

เก็บเงินซื้อบ้านทั้งที ต้องเก็บส่วนไหน เก็บอย่างไรบ้าง?

เชื่อการมีบ้านซักหลังคือความฝันของใครหลาย ๆ คน แม้ว่าการเก็บเงินซื้อบ้านในฝันอาจจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ยากเกินความสามารถหากมีความตั้งใจ และหากผู้อ่านก็เป็นอีกหนึ่งคนที่ฝันอยากจะมีบ้านซักหลัง แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นเก็บเงินอย่างไร วันนี้เรามีเทคนิคมาฝากค่ะ สิ่งที่ต้องทำเมื่อคิดจะเก็บเงินซื้อบ้าน 1.ตั้งเป้าหมาย หากคุณตัดสินใจที่จะมีบ้านเป็นของตัวเอง สิ่งแรกที่ควรทำคือ การตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน เช่น ต้องรู้ว่าตัวเองต้องการจะมีบ้านแบบไหน เป็นบ้านเดี่ยว บ้านสองชั้น ทาวน์เฮ้าส์ ห้องแถว หรือคอนโด ต้องการอาศัยอยู่ในพื้นที่ไหนมีทำเลแบบใด (ชานเมือง หรือ ใจกลางเมือง) รวมถึงราคาที่คุณต้องการด้วย 2.ประมวลความสามารถของตัวเอง การประมวลความสามารถ คือ การประมวลว่ามีรายได้และค่าใช้จ่ายต่อเดือนอยู่ที่เท่าไหร่ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้จะเป็นตัวบอกได้ดีว่า คุณมีความสามารถมากพอที่จะรับภาระการเก็บเงินดาวน์บ้าน หรือผ่อนชำระค่างวดบ้านหรือไม่ การประมวลรายรับและรายจ่ายของตัวเอง จะทำให้รู้ตัวเองว่า เป้าหมายที่ตั้งไว้เล็กหรือใหญ่เกินไปนั่นเองค่ะ 3.ลดรายจ่าย การลดรายจ่ายสามารถทำได้ง่าย ๆ เพียงแค่มีวินัยในการออมและใช้เงินอย่างมีสติ ยิ่งมีความฝันว่าอยากจะมีบ้านเป็นของตัวเองแล้วล่ะก็ การลดรายจ่ายจึงถือเป็นเรื่องที่สำคัญมากเลยทีเดียว เพราะเมื่อรู้ว่าสิ่งไหนสมควรจ่าย สิ่งไหนเป็นสิ่งฟุ่มเฟือย จะช่วยลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นลงได้ และการลดรายจ่ายจะทำให้มีเงินออมเพิ่มมากขึ้น 4.ปลดหนี้ให้หมดก่อนตัดสินใจกู้ซื้อบ้าน เนื่องจากบ้านหนึ่งหลังมีราคาที่ค่อนข้างสูง และเป็นสินค้าที่ใช้ระยะเวลาในการผ่อนชำระนานกว่าสินค้ารูปแบบอื่น ๆ ดังนั้นหากคิดวางแผนจะซื้อบ้าน แนะนำให้เคลียร์หนี้สินที่ค้างอยู่ให้หมดเสียก่อน เพราะหากต้องผ่อนหนี้อื่นไปพร้อม ๆ กับการผ่อนชำระค่างวดบ้าน จะเป็นภาระที่หนักเกินไป เทคนิคการเก็บเงินซื้อบ้าน 1.เก็บเงินเท่า ๆ กันทุกเดือน แม้ว่าในปัจจุบันธนาคารหลายแห่งจะเปิดโอกาสให้สามารถขอสินเชื่อกู้ซื้อบ้านกันได้ง่ายมากขึ้น เพียงแค่มีสลิปเงินเดือน ก็สามารถยื่นเอกสารขอกู้เงินเพื่อซื้อบ้านได้แล้ว แต่ในความเป็นจริงนั้น อยากให้ลองคิดถึงดอกเบี้ยที่จะตามมาให้เยอะ ๆ เพราะการที่ทำเรื่องกู้ซื้อบ้านจากธนาคาร 100% แม้จะทำให้ได้บ้านในฝันสมใจ แต่สิ่งที่ตามมาก็คือ ภาะระเงินต้นและดอกเบี้ยที่จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนตั้งตัวแทบไม่ทัน จึงเป็นเหตุผลที่แนะนำให้เก็บเงินให้ได้ซักก้อนก่อนจะตัดสินใจดาวน์บ้าน เพราะยิ่งเก็บเงินดาวน์บ้านได้จำนวนมากเท่าไหร่ เงินต้นและดอกเบี้ยที่ต้องผ่อนกับธนาคารก็จะลดน้อยลงด้วย ซึ่งการทำแบบนี้จะส่งผลดีในระยะยาว และหากตั้งเป้าหมายว่าจะซื้อบ้านซักหลัง แนะนำให้เริ่มต้นเก็บเงิน โดยหักจากรายได้ประจำซัก 15-20% และนำเงินจำนวนนี้ฝากบัญชีสำหรับซื้อบ้านไว้ ในจุดนี้จะต้องมีวินัยทางการเงินเป็นอย่างมาก ห้ามเบิกเงินจากบัญชีสำหรับซื้อบ้านออกมาใช้โดยเด็ดขาด ท่องไว้ว่า “เพื่อบ้านในฝัน” 2.หาช่องทางการลงทุน การเก็บเงินใส่บัญชีเงินฝากของธนาคารไว้ แม้จะเป็นเรื่องที่ควรทำ แต่ก็ได้ผลตอบแทนน้อยเพราะกว่าจะเก็บเงินได้ถึงจำนวนที่ต้องการ ราคาบ้านก็อาจจะสูงขึ้นไปจากเดิม ดังนั้นช่องทางการลงทุนจึงถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดี ซึ่งช่องทางการลงทุนที่อยากแนะนำ คือช่องทางการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ แต่ให้ผลตอบแทนสูง อย่างการลงทุนในกองทุน LTF/RMF การลงทุนพันธบัตรรัฐบาล ซื้อกองทุนรวม เป็นต้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นอย่าลืมว่า ทุกการลงทุนมีความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุนกับกองทุนอะไร ควรศึกษาข้อมูลการลงทุนต่าง ๆ ให้ดีเสียก่อน เพื่อให้เกิดข้อผิดพลาดน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ 3.หาอาชีพเสริม หากอยากมีเงินก้อนไปดาวน์บ้านในฝันเร็ว ๆ แต่ไม่อยากเสี่ยงลงทุน การทำงานพิเศษเสริมเพิ่มรายได้ ก็เป็นอีกทางเลือกที่ดี  เมื่อคุณมีอาชีพเสริมก็หมายความว่า รายได้ต่อเดือนจะเพิ่มมากขึ้น และความสามารถในการเก็บเงินก็เพิ่มตามไปด้วย นอกจากที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว เมื่อตัดสินใจที่จะซื้อบ้าน นอกจากจะเคลียร์หนี้สินก่อนหน้าให้หมด ระหว่างที่ผ่อนชำระบ้านก็ไม่ควรก่อหนี้เพิ่ม เพราะจะทำให้ภาระในการชำระหนี้มีสูงเกินกว่าที่จะรับผิดชอบไหวนั่นเอง   ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.banidea.com/
ไอเดียแต่งห้องนั่งเล่น ครบทั้งทำงาน และ พักผ่อน

ไอเดียแต่งห้องนั่งเล่น ครบทั้งทำงาน และ พักผ่อน

ไอเดียแต่งห้องนั่งเล่น ครบทุกฟังค์ชั่น ด้วยปัญหาสำหรับผู้ที่ซื้อบ้านใหม่ หรือ กำลังเริ่มต้นที่จะรีโนเวทบ้าน ซึ่งต้องการใช้พื้นที่ในบ้านให้คุ้มค่าที่สุด และกำลังมองหาไอเดีย สำหรับ แต่งห้อง สำหรับหลายๆห้องในบ้าน ซึ่งนอกจากห้องรับแขกที่หลายๆบ้านให้ความสำคัญแล้ว การมีห้องนั่งเล่น ในบ้านก็เป็นอีกหนึ่งไอเดีย ที่กำลังได้รับความนิยม ในสมัยนี้ วันนี้เรามีไอเดียในแต่งห้องนั่งเล่น ให้ได้คุ้มค่าที่สุด ทั้งใช้เป็นห้องทำงานในตัว รวมถึงเป็นห้องพักผ่อน จะนั่งอ่านหนังสือ หรือ หลายๆกิจกรรมกับคนในครอบครัวได้ โดยไม่ต้องแยกกันอยู่คนละห้อง เชิญอ่านตัวอย่างไอเดีย แต่งห้องนั่งเล่น ที่ครบทุกฟังค์ชั่น ได้ที่นี่   1.แบ่ง 2 โซนในห้องเดียว ไอเดียแต่งห้องนั่งเล่นนี้ใช้การแบ่งโซนของห้องเป็น 2 โซน โดยยังใช้แอร์ และ ทีวี ร่วมกันได้ แต่ทว่าใช้งานต่างกัน โซนนึงดูทีวี และ พักผ่อน  ส่วนอีกโซนนนั่งทำงานอดิเรกได้   ขอบคุณภาพจาก : pinterest.com : California Closets   2.แบ่งมุมย่อย โดยใช้เฟอร์นิเจอร์ แยกโซน การจัดห้องนั่งเล่นสไตล์นี้ ที่ใช้สีของเฟอร์นิเจอร์ไม้คุมโทนของห้อง พร้อมทั้งหาเฟอร์นิเจอร์ อย่างตู้เก็บของ และ โซฟายาว มาเป็นตัวช่วยแบ่งโซน ประโยชน์คือ ทำให้สมาชิกในบ้านสามารถทำกิจกรรมได้ในห้องด้วยกัน โดยแต่ละคน จะพื้นที่ส่วนตัวของตัวเองในการใช้งาน   ขอบคุณภาพจาก : pinterest.com :  kurashicom.jp   3.ใช้เป็นห้องทำงาน แล้วแยกโซนด้วยโต๊ะยาว สำหรับการแต่งห้องนี้ เหมาะกับคู่รัก ที่ต้องการใช้ห้องนั่งเล่น มาเป็นห้องทำงานที่คุ้มค่าของสองเรา ซึ่งใช้เฟอร์นิเจอร์อย่างโต๊ะ มาแบ่งครึ่งของแต่ละโซนทำงานของตัวเอง ดูเหมือนห้องทำงานจริงจัง แต่ขณะเดียวกัน  ก็ยังทำให้ห้องนั่งเล่นนี้ เป็นเป็นห้องทำกิจกรรมอย่างอื่นได้ เพียงหมุนโต๊ะมาเจอกัน หรือ หากมีลูกน้อยขึ้นมา ก็สามารถให้เค้ามานั่งขีดเขียนวาดรูป ที่โต๊ะกลางนี้ได้ โดยที่ทั้ง 3 คน ยังอยู่ในห้องเดียวกันได้   ขอบคุณภาพจาก :  pinterest.com : decorology.blogspot.com 4.จัดห้องสันทนาการเพื่อลูก และ ครอบครัว สำหรับไอเดียจัดห้องนี้เหมาะมากสำหรับครอบครัวลูกเล็ก ต้องการห้องที่ไว้ทำกิจกรรมร่วมกัน โดยเฉพาะกิจกรรมกับลูก ซึ่งการจัดห้องนี้ ลูกทำกิจกรรม ส่วนพ่อแม่ก็สามารถใช้โต๊ะทรงสูง ที่สามารถนั่งข้างๆลูกได้ ซึ่งการเลือกเฟอร์นิเจอร์สำหรับห้องนี้ จำเป็นต้องเลือกสร้างขนาด เพื่อให้เหมาะกับการใช้งานของคนทั้งสองวัย   ขอบคุณภาพจาก : http://www.decoist.com/home-office-playroom-combo-designs/ 5.ห้องนั่งเล่นขนาดเล็ก สำหรับคู่รัก การจัดห่องนั่งเล่นรูปทรงตัว L นี้ เมื่อเดินเข้ามาจะทำให้คุณรู้สึกไม่คับแคบ แต่สามารถใช้พื้นที่ได้คุ้มค่า ฝั่งนึงให้คู่รักไว้สำหรับทำงาน ส่วนอีกฝั่งทำเป็นโซฟายาว หากนั่งทำงานนานๆ สามารถมาเอนหลังอ่านหนังสือ ซึ่งการแต่งห้องนั่งเล่นแบบนี้ จะเหมาะอยู่กับเพียง 1-2 คน   ขอบคุณภาพจาก :  pinterest.com : hepok.com 6.ห้องเดียวครบ สำหรับคนโสด คนโสด หรือ คนที่อยู่คอนโด ที่ต้องการใช้ห้องที่เหลือซักห้องให้คุ้ม การจัดห้องลักษณะนี้ ที่ใช้โต๊ะทำงาน และ โซฟาที่มีตู้เก็บของด้าน รวมถึงตู้เสื้อผ้า  ทำให้ใช้ห้องนี้ได้ใช้ประโยชน์ครบถ้วน  ทั้งเป็นห้องแต่งตัว และ ห้องทำงาน ห้องนั่งเล่น และอีกประโยชน์คือ เมื่อนำเฟอร์นิเจอร์ อย่างตู่เสื้อผ้ามารวมด้วย จะทำให้ส่วนอื่นๆ ของคอนโดของคุณได้เหลือพื้นที่เพิ่มมากขึ้น   ขอบคุณภาพจาก :  pinterest.com :  interiorholic.com 7.ห้องนั่งเล่นเล็ก เล่นระดับ การจัดห้องนั่งเล่นลักษณะนี้จะเหมาะกับคนบ้านที่ห้องขนาดเล็ก แต่ต้องการใช้ประโยชน์ครบถ้วน ซึ่งการเล่นระดับของเฟอร์นิเจอร์อย่างโซฟา ทำให้ห้องนี้ดูไม่คับแคบ และ ทำให้ห้องดูสนุก เช่น เบื่อมุมนี้ ก็สามารถมานั่งมุมนั้นได้ ขอบคุณภาพจาก :  pinterest.com :  the36thavenue 8.ห้องนั่งเล่นแบบ 4 คนพ่อแม่ลูก การจัดห้องนั่งเล่นลักษณะนี้เรียกว่า สำหรับครอบครัวที่อยากให้ทุกคนมารวมใช้ประโยชน์จากห้องนี้ให้มากที่สุด สามารถรองรับการใช้งานได้ถึง 4 คน ซึ่งอาจเป็นพ่อ แม่ ลูกชาย ลูกสาว อีกทั้งจะมีมุมโซฟา ที่ติดกับหน้าต่าง ซึ่งช่วยดึงแสงจากข้างนอกเข้ามา ทำให้ห้องนี้ ดูสว่างและไม่คับแคบ เมื่อมีหลายคนอยู่ร่วมกัน  เรียกว่าเปิดแอร์ 1 เครื่องคุ้มที่สุดเลย   ขอบคุณภาพจาก :   pinterest.com : caclosets   เลือกการจัดห้องนั่งเล่นแบบไหนที่โดนใจสำหรับคุณที่สุด จากทุกไอเดียเรื่องการจัดห้องนั่งเล่นนั้น จะเห็นได้ว่าขนาดของห้อง และ มุมของหน้าต่าง มีผลต่อการปรับพื้นที่เพื่อใช้เป็นห้องนั่งเล่น ของคุณ ดังนั้น ขอให้คุณลองพิจารณาก่อนว่า จะเลือกห้องใด ขนาดใดมาทำ และนำไอเดีย จากทีมงาน Reviewyourliving.com ปรับใช้กันดู
ไอเดียแต่งห้องสไตล์ญี่ปุ่น

ไอเดียแต่งห้องสไตล์ญี่ปุ่น

การแต่งห้องสไตล์ญี่ปุ่น ที่คงความเรียบง่าย แต่ดูยังไงก็ไม่เบื่อ ใครที่กำลังอยากได้ไอเดียไปจัดห้องใหม่ ลองมาดูไอเดียแต่งห้องสไตล์ญี่ปุ่นกันได้เลยค่ะ หลักการง่ายๆ ไม่มีอะไรยาก แค่เลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ไม้กับโทนสีขาวหรือสีเอิร์ธโทน ให้แสงธรรมชาติส่องเข้ามา เน้นความเรียบง่าย ความเป็นธรรมชาติ และความรู้สึกอบอุ่น หรือจะหาต้นไม้สีเขียวๆ มาวางประดับ เท่านี้ก็ได้ห้องตามแบบฉบับสไตล์ญี่ปุ่นแล้วค่ะ 1.แต่งห้องสไตล์ญี่ปุ่น ด้วยประตูบานเลื่อนกระดาษ ไอเดียแต่งห้องสไตล์ญี่ปุ่น ที่ยังไงยังไงก็ดูญี่ปุ่น ก็คือการใช้ประตูบานเลื่อนกระดาษ หรือจะเลือกใช้เป็นหน้าต่างบางบานก็ได้ ข้อดีก็คือ เราจะได้แสงธรรมชาติที่ส่องเข้ามาจากช่องกระดาษเหล่านี้ด้วย   ขอบคุณภาพจาก pinterest : anutammiste ประตูบานเลื่อนตามสไตล์ญี่ปุ่นที่แท้จริง ส่วนมากจะใช้เป็นขอบวัสดุสีไม้ แต่สามารถประยุกต์ประตูบานเลื่อนกระดาษ ให้ดูทันสมัยขึ้นด้วยการเปลี่ยนสีขอบช่องหน้าต่างให้เป็นสีดำหรือขาวได้อีกด้วย ขอบคุณภาพจาก pinterest.com : yankeebarnhomes.stfi.re ในสมัยก่อนประตูบานเลื่อนอาจจะใช้เป็นกระดาษสา ซึ่งขาดได้ง่าย แต่สมัยนี้สามารถเปลี่ยนให้เป็นพลาสติกหรือกระจกติดฟิล์มสีขาวขุ่น หรืออาจจะใช้เป็นกระจกแล้วใส่ม่านสีขาวเข้าไป ก็สามารถสร้างอารมณ์ญี่ปุ่นๆได้เช่นกัน   ขอบคุณภาพจาก pinterest : slidingdoorco หากการเปลี่ยนประตูดูยากเกินไป แต่ว่ายังอยากแต่งห้องสไตล์ญี่ปุ่นอยู่ก็สามารถประยุกต์รูปแบบของประตูบานเลื่อนกระดาษมาใช้กับเฟอร์นิเจอร์หรือการตกแต่งอื่นๆ ได้เช่นกัน เช่น ประตูตู้เสื้อผ้า หรือฉากกั้น Walk in Closet 2.เฟอร์นิเจอร์ไม้แบบเรียบง่าย ให้การแต่งห้องสไตล์ญี่ปุ่นสมบูรณ์ขึ้น หลักการพื้นฐานของการแต่งห้องสไตล์ญี่ปุ่นก็คือ การใช้เฟอร์นิเจอร์ไม้เป็นหลัก ตกแต่งผสมผสานกับโทนสีขาว หรือสีเอิร์ธโทน ถ้าแต่งห้องตามหลักการนี้ ยังไงสไตล์ห้องของคุณก็ต้องเป็นสไตล์ญี่ปุ่นแน่นอน   ขอบคุณภาพจาก pinterest : sightunseen เฟอร์นิเจอร์ไม้เรียบง่ายแบบมินิมอล จะจัดวางตรงไหนก็ยังคงรู้สึกอบอุ่นและไม่น่าเบื่อ   ขอบคุณภาพจาก pinterest : decomyplace.com ถึงแม้จะมีของเยอะ หรือมีของตกแต่งแนวอื่นๆ เพียงแค่คุมโทนของห้องด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้ยังไงก็ให้ฟีลห้องสไตล์ญี่ปุ่น 3.ช่องแสงธรรมชาติก็แต่งห้องสไตล์ญี่ปุ่นได้ การที่แสงธรรมชาติส่องเข้ามา ทำให้ห้องและสิ่งของต่างๆ มีแสงเงาและมิติ พร้อมให้ความรู้สึกอบอุ่นแบบไม่ต้องแต่งอะไรให้มาก ขอบคุณภาพจาก pinterest : decorfacil ในห้องๆ หนึ่งควรหาช่องทางให้แสงสว่างจากภายนอกเข้ามาในห้องได้อย่างเต็มที่   ขอบคุณภาพจาก pinterest : sfgirlbybay หากห้องของคุณมีขนาดปานกลาง ไม่ใหญ่มาก การที่มีช่องแสงธรรมชาตินั้นจะช่วยให้ห้องดูโปร่งและดูอบอุ่นตลอดเวลา 4.ไอเทมยอดฮิตสำหรับแต่งห้องสไตล์ญี่ปุ่น : เสื่อ เบาะ หมอนอิง โต๊ะเล็ก อีกไอเดียของการแต่งห้องสไตล์ญี่ปุ่น นั่นก็คือ การใช้ เสื่อ เบาะ หมอนอิง โต๊ะเล็กมาจัดวางเป็นองค์ประกอบหนึ่งของห้อง แค่นี้ก็ได้กลิ่นอายห้องสไตล์ญี่ปุ่นแล้ว   ขอบคุณภาพจาก pinterest : dwellmedia จัดสรรพื้นที่ให้เป็นมุมพักผ่อนหย่อนใจที่แสนจะเรียบง่ายด้วยเสื่อและเบาะรองนั่ง ให้ความเป็นธรรมชาติสไตล์ญี่ปุ่นได้อย่างแท้จริง   ขอบคุณภาพจาก pinterest : allabout.co.jp มุมรับประทานอาหารก็สามารถเป็นอีกมุมที่เลือกใช้เบาะกับโต๊ะเล็กได้ และอาจจะตกแต่งด้วยของน่ารักๆ อย่างโคมไฟแบบญี่ปุ่น กระถางต้นไม้ หรือกรอบรูปที่เข้ากันได้ดี   ขอบคุณภาพจาก pinterest : hicbc.com พื้นที่ที่นำเบาะกับโต๊ะเล็กมาจัดวางไว้ โดยไม่จำเป็นต้องปูเสื่อแต่สามารถเลือกใช้พรมสีอ่อนๆ ที่เข้ากับห้องนั้นๆ ได้ ทำให้ห้องดูกว้างแถมยังใช้เป็นพื้นที่อเนกประสงค์ ที่จะสามารถนั่ง นอน ได้อย่างสะดวก 5.แต่งห้องสไตล์ญี่ปุ่นแบบธรรมชาติ เสริมด้วยเอิร์ธโทน ถ้าใครได้ไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่น แล้วลองสังเกตบ้านเรือนของชาวญี่ปุ่นจะต้องมีวัสดุต่างๆ ที่เกี่ยวกับธรรมชาติมาตกแต่งเสมอ เช่น ไม้ ไม้ไผ่ หรือต้นไม้สีเขียว และโทนสีหลักๆ จะเน้นไปที่เอิร์ธโทน   ขอบคุณภาพจาก pinterest : muji.net การตกแต่งแบบธรรมชาติแบบสีเขียวนั้น ไม่ได้หมายความว่าให้ปลูกต้นไม้ในห้องนะ แค่เป็นการนำต้นไม้ใบไม้ใส่กระถางแบบมินิมอลมาวางประดับไว้เล็กๆ น้อยๆ พอให้สัมผัสถึงธรรมชาติได้บ้าง   ขอบคุณภาพจาก pinterest : anikolevai แม้ว่าระเบียงห้องของคุณจะมีพื้นที่น้อย อาจจะไม่สามารถปลูกต้นไม้ใหญ่ๆ ได้ แต่ก็สามารถเพิ่มพื้นที่สีเขียวได้ด้วยวิธีอื่นๆ อย่างเช่น การผูกเชือกกับกระถางต้นไม้ หรือทำเป็นชั้นวางต้นไม้จิ๋วแบบลอยอยู่กับระเบียง ที่สำคัญอย่าลืมเช็คว่าต้นไม้ต้นนั้น ต้องการแดดแค่ไหนนะคะ   ขอบคุณภาพจาก pinterest : littlepieceofme.com สีเอิร์ธโทนตามสไตล์ญี่ปุ่น หลักๆ จะเป็นสีโทนน้ำตาล เขียวหรือสีที่เข้ากับสีขาวหรือดำ เช่น สีเบจ สีของไม้ โทนสีนี้เหล่านี้จะช่วยให้รู้สึกเหมือนอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ผ่อนคลาย และอบอุ่น หรืออาจจะตกแต่งผสมกับการเลือกใช้วัสดุที่มาจากธรรมชาติโดยตรงก็เป็นได้   ไอเดียแต่งห้องสไตล์ญี่ปุ่น ยังคงเป็นที่นิยมเพราะการจัดวางสิ่งของและวัสดุที่เน้นความเรียบง่าย เข้ากับธรรมชาติเป็นสไตล์ที่ไม่มีอะไรมาก แม้ว่าพื้นที่อาจจะมีไม่เยอะแต่เมื่อแต่งห้องรูปแบบแบบนี้แล้ว ทำให้ดูอบอุ่น น่าอยู่ไปอีกเท่าตัว รวมไอเดียแต่งห้องสไตล์ญี่ปุ่น T House ยกญี่ปุ่นมาไว้ในคอนโดใจกลางเมือง How to แต่งห้องนอนสไตล์ Zen สร้างบรรยากาศแบบญี่ปุ่น แบบบ้านชั้นเดียว หลังเล็กๆ เรียบง่ายสไตล์ญี่ปุ่น    
ปลูกบ้านแล้วขาย..ต้องเสียภาษีอย่างไร?

ปลูกบ้านแล้วขาย..ต้องเสียภาษีอย่างไร?

สำหรับผู้ที่ปลูกสร้างบ้านหรือที่อยู่อาศัยบนที่ดินของตัวเองที่มีอยู่ แล้วต่อมาได้ขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างนั้น รู้หรือไม่ว่าจะมีภาษีและค่าใช้จ่ายเกิดขึ้น ทำให้ต้องสำรองเงินไว้สักก้อนหนึ่งด้วย ซึ่งการคำนวณภาษีและค่าใช้จ่ายเป็นอย่างไร เรามีข้อมูลมาฝากครับ ก่อนอื่นมาดูกันก่อนว่า เมื่อขายบ้านหรืออสังหาฯ ได้ จะมีภาษีและค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง 1. ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย  คำนวณจากราคาประเมินของกรมที่ดิน หักด้วยค่าใช้จ่าย ซึ่งขึ้นอยู่กับการได้มาของอสังหาฯ นั้น กรณีที่อสังหาฯ ได้มาโดยมรดก สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ 50% กรณีที่อสังหาฯ ได้มาโดยการซื้อขาย สามารถหักค่าใช้จ่ายตามจำนวนปีที่ถือครอง โดยนับตามปี พ.ศ. 2. ภาษีธุรกิจเฉพาะ จะคิดที่ 3.3% ของราคาขายหรือราคาประเมิน โดยดูว่าราคาไหนสูงกว่าก็ใช้ราคานั้นในการคำนวณ แต่จะได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะในกรณีดังนี้ (1) ถือครองอสังหาฯ เกิน 5 ปี (2) มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเกิน 1 ปี (3) ขายอสังหาฯ ที่ได้รับมาโดยมรดก (4) ถูกเวนคืนบ้านหรือที่ดิน 3. ค่าอากรแสตมป์ ถ้าไม่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ จะเสียค่าอากรแสตมป์ในอัตรา 0.5% ของราคาขายหรือราคาประเมิน โดยใช้ราคาที่สูงกว่า 4. ค่าโอน อยู่ที่ 2% ของราคาประเมิน ซึ่งค่าใช้จ่ายส่วนนี้จะขึ้นอยู่กับการตกลงของผู้ซื้อและผู้ขายว่าใครจะเป็นคนจ่าย หรือจ่ายคนละครึ่งครับ ทั้งนี้ กรณีขายบ้านที่ปลูกสร้างบนที่ดินที่มีอยู่ก่อนแล้ว เรียกว่า ได้บ้านและที่ดินมาไม่พร้อมกันนั้น ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายจะแยกคิดระหว่างที่ดินและบ้านหรือสิ่งปลูกสร้างครับ ขอยกตัวอย่างประกอบการคำนวณดังนี้ สมมติได้รับมรดกที่ดินเมื่อ 20 ตุลาคม 2554 สร้างบ้านบนที่ดินเสร็จเมื่อ 15 มกราคม 2556 ต่อมาได้ขายบ้านพร้อมที่ดินเมื่อ 20 พฤศจิกายน 2559 หากราคาประเมินที่ดินอยู่ที่ 6,000,000 บาท ราคาประเมินบ้านอยู่ที่ 2,000,000 บาท และราคาขายบ้านพร้อมที่ดินอยู่ที่ 10,000,000 บาท   รวมภาษีหัก ณ ที่จ่ายบ้านและที่ดิน เท่ากับ 210,000 + 29,000 = 239,000 บาท ทั้งนี้ การขายอสังหาฯ ที่เป็นมรดก หรือได้มาโดยไม่ได้มุ่งค้าหรือหากำไร สามารถเลือกได้ว่าไม่ต้องนำเงินได้มารวมคำนวณภาษีประจำปี นอกจากนี้ การขายอสังหาฯ ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะหรือค่าอากรแสตมป์อย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งการขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่ได้มาไม่พร้อมกัน จะต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะหรืออากรแสตมป์นั้น ให้พิจารณาจากอสังหาฯ ที่ได้มาภายหลัง โดยหากถือครองไม่เกิน 5 ปี หรือมีชื่อในทะเบียนบ้านไม่ถึง 1 ปี จะต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ 3.3% ของราคาขายหรือราคาประเมิน โดยดูว่าราคาไหนสูงกว่าก็ใช้ราคานั้นในการคำนวณ จากตัวอย่างข้างต้น ถือครองบ้านไม่ถึง 5 ปีเต็ม และไม่มีชื่อในทะเบียนบ้าน จะต้องนำบ้านและที่ดินรวมกันเพื่อคำนวณภาษีธุรกิจเฉพาะ ดังนั้น ราคาขายบ้านและที่ดินอยู่ที่ 10,000,000 บาท จะต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ 3.3% x 10,000,000 บาท = 330,000 บาทครับ แต่หากมีการถือครองอสังหาฯ ที่ได้มาภายหลังครบ 5 ปีเต็ม หรือมีชื่อในทะเบียนบ้านไม่น้อยกว่า 1 ปี จะเสียค่าอากรแสตมป์ในอัตรา 0.5% ของราคาขายหรือราคาประเมิน โดยใช้ราคาที่สูงกว่าในการคำนวณ นั่นคือ จะเสียค่าอากรแสตมป์ 0.5% x 10,000,000 บาท = 50,000 บาทครับ เห็นได้ว่า หากขายอสังหาฯ ที่เข้าเงื่อนไขเสียค่าอากรแสตมป์จะมีค่าใช้จ่ายที่น้อยกว่าการเสียภาษีธุรกิจเฉพาะครับ สำหรับค่าโอนที่ต้องจ่ายให้กับกรมที่ดินขึ้นอยู่กับการตกลงของผู้ซื้อและผู้ขาย ซึ่งอยู่ที่ 2% ของราคาประเมิน จากตัวอย่างจะมีค่าโอนเกิดขึ้น 2% x 8,000,000 บาท = 160,000 บาทครับ ก่อนขายอสังหาฯ อย่าลืมพิจารณาภาษีและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น เพื่อวางแผนลดค่าใช้จ่ายลง เช่น ถือครองอสังหาฯ ให้ครบ 5 ปี หรือมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านอย่างน้อย 1 ปี จะช่วยให้เสียค่าอากรแสตมป์เพียง 0.5% ไม่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะถึง 3.3% ดังนั้น หากศึกษาข้อมูลการขายอสังหาฯ ให้ดี ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากทีเดียวครับ   ขอขอบคุณข้อมูลมาก k-expert.askkbank.com
3 วัสดุปูพื้นนอกบ้าน เนรมิตรพื้นที่รอบบ้านให้สวยสไตล์ยุโรป

3 วัสดุปูพื้นนอกบ้าน เนรมิตรพื้นที่รอบบ้านให้สวยสไตล์ยุโรป

สำหรับใครที่ชื่นชอบหรือหลงใหลในบรรยากาศอันสวยงามของถนนหนทางหรือพื้นทางเดินที่สุดแสนจะคลาสสิกในประเทศแถบตะวันตก อย่าง อิตาลี สเปน อังกฤษ หรือฝรั่งเศส จนเก็บมาเป็นสไตล์ในฝันแล้วล่ะก็ เรามี 3 วัสดุปูพื้นภายนอก ที่จะมาเนรมิตพื้นทางเดินรอบบ้าน ลานจอดรถ พื้นทางเดินในสวน หรือแม้กระทั่งสวนหย่อมเล็กๆ หลังบ้าน ให้สวย โดดเด่น เสมือนได้อยู่ท่ามกลางประเทศในแถบยุโรปกันเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น Stamp Pave, Carpet Stone และ Stamp Concrete 1.สร้างมิติใหม่ด้วยเสน่ห์จากวัสดุปูพื้นลายหิน กับ Stamp Pave กระเบื้องปูพื้นที่มีรูปทรงและเส้นสายของลายแผ่นหินที่แตกออกอย่างเป็นธรรมชาติ มีหลากหลายสีสันและลวดลายให้เลือกใช้ มาพร้อมกับความแข็งแรง ทนทาน ชั้นสีผสมอยู่ในเนื้อคอนกรีต ทำให้สีไม่หลุดล่อน และทำความสะอาดง่ายเพราะผ่านการเคลือบผิวหน้าด้วยน้ำยาเคลือบเงาผิวคอนกรีตโดยเฉพาะจากโรงงาน เหมาะสำหรับปูพื้นทางเดินในสวน ลานจอดรถ และพื้นที่อเนกประสงค์รอบๆ บ้าน ให้บรรยากาศในสไตล์ที่ไม่เคยตกยุค ภาพ: Stamp Pave ลาย London ผิวหน้าเสมือนหินธรรมชาติที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากความสวยงามของท้องถนนในแถบยุโรป  ภาพ: จากพื้นทางเดินอันแสนโรแมนติกในอิตาลี ถูกถ่ายทอดลวดลายลงบน Stamp Pave ลาย Como และ Naple จนเกิดเป็นเส้นสายที่สงบและผ่อนคลาย ภาพ: ให้ความรู้สึกคลาสสิกและเพิ่มมิติให้กับพื้นทางเดิน ด้วยกระเบื้องปูพื้น Stamp Pave ลาย Milano ผิวสัมผัสของกระเบื้องเสมือนลายหินที่แตกออกอย่างเป็นธรรมชาติ ให้ความรู้สึกคล้ายเดินเล่นอยู่ในสวนต่างประเทศ ภาพ: Stamp Pave ลาย Tuscany ด้วยกระเบื้องทรงกึ่งวงกลมที่มีรายละเอียดของลายหินที่ก่อให้เกิดลวดลายต่อเนื่องและลงตัว สามารถนำมาจัดวางสลับสีสันให้เกิดเป็นแพทเทิร์นที่แปลกตาและน่าหลงใหล ภาพ: แบ่งสัดส่วนการจัดวางกระเบื้องปูพื้น Stamp Pave ลาย Florence ให้เป็นเส้นทางตามการก้าวเดิน พื้นที่ด้านข้างโรยหินกรวดสีขาวและดำขนานไปกับทางเดินยาว เพิ่มลูกเล่นน่ารักๆ ให้กับสวนได้อย่างไม่ซ้ำใคร ภาพ: ผสมผสานความคลาสสิกและความรู้สึกอ่อนหวานโรแมนติกไปด้วยกันอย่างลงตัว ด้วยรูปทรงและเส้นสายของกระเบื้องปูพื้น Stamp Pave ลาย Zofia 2.วัสดุปูพื้นแบบหรูหราคลาสสิก ลงตัวด้วย Carpet Stone กระเบื้องปูพื้นที่นำรูปทรงเรขาคณิตมาจัดวางอย่างลงตัว โดยมีตาข่ายช่วยยึดอยู่ด้านหลัง เพื่อเรียงร้อยก้อนคอนกรีตให้เป็นรูปทรงต่างๆ อย่างเช่น ทรงพัด รูปทรงที่โค้งเว้า ช่วยเพิ่มความหรูหราและโอ่โถงให้กับพื้นที่ได้มากยิ่งขึ้น หรือจะเป็นทรงโค้งแบบครึ่งวงกลม เมื่อนำมาประกบกันก็จะได้วงกลมที่สมบูรณ์ เพิ่มความโดดเด่นให้กับพื้นที่ แต่หากชอบความเป็นธรรมชาติ อาจเลือกรูปทรงอิสระ อย่างรุ่น Natutal ที่ให้ความคลาสสิกและสวยงาม เสมือนเดินอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ Carpet Stone สามารถปูพื้นทางเดินในสวน ลานจอดรถ และพื้นที่อเนกประสงค์ต่างๆ เพื่อให้ได้บรรยากาศของความคลาสสิกและสวยงามได้ตามต้องการ ภาพ: ด้วยลวดลายที่อิสระและความหลากหลายรูปทรงของกระเบื้องปูพื้น Carpet Stone รุ่น Natural ให้ความรู้สึกเสมือนเดินอยู่บนพื้นหินท่ามกลางธรรมชาติ ภาพ: หรูหราลงตัวทั้งลวดลายและความเป็นธรรมชาติ ให้บรรยากาศสุดคลาสสิก ด้วยกระเบื้องปูพื้น Carpet Stone ภาพ: จัดสวนให้สวยในสไตล์อังกฤษ ด้วยกระเบื้องปูพื้น Carpet Stone อย่าลืมโรยหินกรวดหรือหินเกล็ดระหว่างร่องพื้น เพื่อเพิ่มความเป็นธรรมชาติ และให้บรรยากาศกลมกลืนกับพื้นที่โดยรอบ 3.สร้างเสน่ห์ดั่งงานศิลปะให้วัสดุปูพื้นภายนอก ด้วย Stamp Concrete พื้นคอนกรีตพิมพ์ลายที่มีเสน่ห์ด้วยโทนสี ลวดลาย รวมถึงผิวสัมผัสที่คล้ายผ่านกาลเวลามาอย่างยาวนาน ผสานกับความแข็งแรง ทนทาน ด้วยคอนกรีตสูตรพิเศษที่พัฒนาขึ้นให้เหมาะสำหรับงานคอนกรีตพิมพ์ลายโดยเฉพาะ อีกทั้งยังใช้ผงสีและน้ำยาเคลือบผิวคอนกรีตสูตรเฉพาะ จึงทำให้สีสวย ทนทาน ช่วยชะลอการเกิดตะไคร่น้ำ และทำความสะอาดได้ง่าย จึงเหมาะสำหรับตกแต่งพื้นรอบบ้าน โรงจอดรถ ลานรอบสระว่ายน้ำ หรือพื้นที่ที่ต้องการรับน้ำหนักมากๆ เพื่อเพิ่มความโดดเด่น และสร้างเอกลักษณ์ ได้บรรยากาศในสไตล์ยุโรปอย่างอบอุ่นและเป็นธรรมชาติ ภาพ: Stamp Concrete ในโทนสีส้มแดง ช่วยแต่งเติมความโดดเด่นให้พื้นที่ภายนอกอย่างอบอุ่นและนุ่มนวล ภาพ: สร้างลวดลายพื้นภายนอกให้เสมือนพื้นทางเดินเก่าในแถบยุโรป ด้วย Stamp Concrete ในโทนสีเทาและดำ ภาพ: พลิ้วไหวไปกับพื้นทางเดินรูปทรงอิสระ ด้วย Stamp Concrete โทนสีส้ม  บทความโดย SCG Experience คู่คิดก่อนสร้างบ้าน ช่วยให้คุณสร้างบ้านได้อย่างมั่นใจ พร้อมให้คำปรึกษาตลอดการสร้างบ้าน โดยผู้เชี่ยวชาญจาก SCG เพียงนำแบบบ้านมายื่นรับคำปรึกษา พร้อมรับสิทธิพิเศษต่างๆ ได้ที่ SCGคู่คิดก่อนสร้างบ้าน​  เรื่องของวัสดุในบ้านของเรา รู้ทัน! ภัยร้ายใกล้ตัวจากวัสดุก่อสร้างที่ไม่ได้มาตรฐาน และเทคนิคเลือกซื้อ เปิดเส้นทาง “ดูโฮม” ธุรกิจวัสดุก่อสร้างภูธรสู่ “มหานคร” กรุงเทพฯ เปิดตัวเต็มรูปแบบ NocNoc.com แพลตฟอร์มตลาดออนไลน์วัสดุและสินค้าตกแต่งบ้านครบวงจรที่สุดในไทย
9 เรื่องฮวงจุ้ยควร-ไม่ควรทำ สำหรับปรับเปลี่ยนห้องนอน

9 เรื่องฮวงจุ้ยควร-ไม่ควรทำ สำหรับปรับเปลี่ยนห้องนอน

ผู้เชี่ยวชาญศาสตร์ฮวงจุ้ย Catherine Brophy เผยเคล็ดลับที่ควรทำและไม่ควรทำ เพื่อให้เรานอนหลับโดยปราศจากความเครียด ห้องนอนที่มีความสะอาดเรียบร้อยและสงบนั้น ส่งผลต่อชีวิตของเรา ดังนั้นการตกแต่งห้องนอนจึงต้องวางเป้าหมายไว้ก่อนว่าจะต้องเป็นพื้นที่ของการพักผ่อน สภาพแวดล้อมต่าง ๆ มีความกลมกลืน และ 9 สิ่งที่ควรทำหรือไม่ควรทำต่อไปนี้ จะช่วยให้คุณจัดห้องนอนของคุณเป็นห้องนอนในฝันที่ถูกหลักฮวงจุ้ยได้ไม่ยาก ไม่ควรเก็บของไว้ใต้เตียง จะเสียฮวงจุ้ย แม้สิ่งเดียวก็ไม่ควร Brophy บอกว่า ของทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีพลังงานในตัวของมันด้วยกันทั้งนั้น ดังนั้นยิ่งคุณเก็บของไว้ใต้เตียงมากเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งจะเหลือพื้นที่สำหรับให้พลังงานไหลผ่านในขณะที่คุณนอนหลับพักผ่อนน้อยลงไป กฎข้อนี้มีประโยชน์สำหรับทุกคน ยิ่งใครที่นอนหลับยาก ก็ยิ่งต้องทำตามกฎข้อนี้ ฮวงจุ้ยที่ดี ห้องต้องสะอาดไม่รกเลอะเทอะ เพราะความสะอาดเรียบร้อยเป็นจุดเริ่มต้นของสภาพแวดล้อมที่สงบ ผ่อนคลาย ต้องแน่ใจว่า ห้องนอนของเรานั้นปราศจากของรกเลอะเทอะวางระเกะระกะ และในการทำความสะอาดก็ควรทำในทุกซอกทุกมุม แม้กระทั่งในตู้เสื้อผ้า ก็ควรหาเวลานำเสื้อผ้าออกมาแล้วทำความสะอาดในตู้บ้าง ดูดฝุ่นใต้เตียง อะไรที่ไม่ใช้แล้วก็ทิ้งไปบ้าง ประเมินพื้นที่ใช้สอย อย่าให้ดูอึดอัดคับแคบจนเกินไป เสื้อผ้าที่ไม่ได้ใช้ก็นำไปบริจาคอย่าให้ของที่ไม่ใช้เหล่านั้นมารกพื้นที่พลังงานของคุณ อย่าอยู่กับอดีต เพราะฮวงจุ้ยทำเพื่อสิ่งใหม่ที่ดี เพราะการยึดติดกับอดีตจะเป็นการรบกวนปัจจุบันของคุณ อะไรที่หมดอายุ ใช้ไม่ได้แล้วก็ไม่ควรเก็บไว้อีก เธอเล่าว่าเคยมีลูกค้าคนหนึ่งมาปรึกษาว่า เธอและสามีนอนอยู่ที่เตียงเก่า ซึ่งเป็นเตียงที่สามีเคยนอนกับภรรยาคนเก่า และทุกครั้งที่เห็นเตียงทำให้นึกถึงแต่อดีต ดังนั้น หากคุณมีเฟอร์นิเจอร์ หรือมีสิ่งใด ที่คอยย้ำเตือนแต่อดีตก็ควรจะเปลี่ยน หรือนำออกไป คิดถึงประโยชน์ใช้สอยตามฮวงจุ้ยด้วย หลาย ๆ ครั้งที่เรานำอุปกรณ์ต่าง ๆ เข้ามาตกแต่งห้อง เพื่อให้สวยงาม แต่มันกลับทำให้พื้นที่แคบลง แถมไม่ได้ใช้งาน หรือใช้ไม่สะดวกสบาย ก็ไม่ควรจะมีไว้ ฮวงจุ้ยเตียงนอนต้องมีหัวเตียง เพราะหัวเตียงจะช่วยสร้างความรู้สึกปลอดภัย รู้สึกว่ามีอะไรมาคอยปกป้องในขณะที่กำลังนอนหลับ และหัวเตียงก็ควรเป็นแบบเรียบ ๆ ชำรุดเสียหาย อย่าปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้นจะเสียฮวงจุ้ย ต้องซ่อม หากไม่ซ่อมหรือซ่อมไม่ได้แล้ว ก็ให้นำออกไปเลย ไม่ว่าจะเป็นนาฬิกาเสีย พรมขาด เก้าอี้ชำรุด ฮวงจุ้ยไฟที่ดีต้องสามารถปรับความสว่างได้ เพราะแสงไฟก็มีผลต่ออารมณ์ความรู้สึกและพลังงานเช่นกัน ไฟในห้องนอนไม่ควรให้จ้ามากจนเกินไป และปัจจุบันนี้มีไฟหลายแบบ หลายลักษณะให้เลือกใช้ เราสามารถทดสอบเพื่อหาไฟในลักษณะที่เราใช้แล้วรู้สึกสบายที่สุด ฮวงจุ้ยที่ดีไม่ควรแขวนกระจกในห้องนอนมากเกินไป ในกรณีที่คุณต้องการจะแขวนกระจกในห้องนอนนั้น Brophy แนะนำว่าให้หลีกเลี่ยงการแขวนกระจกตรงข้ามกับเตียงนอน หรือหน้าต่าง เพราะกระจกจะเป็นตัวสะท้อนพลังงาน และแสง การแขวนกระจกให้ส่องลงมาที่เตียงจะรบกวนการนอน และการแขวนตรงกับหน้าต่างก็จะสะท้อนไฟซึ่งอาจจะมีการส่องสว่างมาจากภายนอก ทำให้รบกวนการนอนได้เช่นกัน ความสบายเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของฮวงจุ้ย ยิ่งคุณได้พักผ่อนในตอนกลางคืนมากแต่ไหน ก็ยิ่งทำให้มีพละกำลังมากในเช้าวันรุ่งขึ้น ดังนั้น ต้องให้ความสำคัญกับที่นอน หากนอนไม่สบาย ก็ควรจะต้องลงทุนเพิ่มเท่าที่ไหว เพื่อให้ได้ที่นอนที่นอนแล้วรู้สึกสบายที่สุด เรื่องราวของศาสตร์ฮวงจุ้ย ของแต่งบ้านเสริมฮวงจุ้ย ความรัก หาคู่แท้ แปลนบ้าน ตามหลักฮวงจุ้ย อยู่แล้วรวย คอนโดฯ ฮวงจุ้ยดีๆ ทำไมต้องชั้นสูงๆ
แบบบ้านชั้นเดียว หลังเล็กๆ เรียบง่ายสไตล์ญี่ปุ่น

แบบบ้านชั้นเดียว หลังเล็กๆ เรียบง่ายสไตล์ญี่ปุ่น

แบบบ้านชั้นเดียวยังคงเป็นที่นิยมในปัจจุบัน โดยเฉพาะในต่างจังหวัด เพราะมีความง่ายไม่ซับซ้อน แต่ได้พื้นที่ใช้สอยเพียงพอ ที่สำคัญคือราคาประหยัด เพียงหลักแสนต้นๆ เท่านั้น ก็จะได้บ้านหลังน้อยน่ารัก อบอุ่นสำหรับครอบครัวเล็ก   เราจึงขอนำเสนอบ้านไม้สไตล์ญี่ปุ่นยุคเก่า ที่ดูเรียบง่าย ไม่ยุ่งยากทั้งการออกแบบและการตกแต่งแต่อบอุ่น ตัวบ้านเป็นแบบชั้นเดียว พร้อมด้วยพื้นที่เฉลียงไม้ใต้ชายคาเล็กๆ ยื่นออกมาสำหรับนั่งเล่นพักผ่อน ซึ่งสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับบ้านเราได้ไม่ยาก บรรยากาศบ้านชั้นเดียว ภายในเน้นวัสดุไม้ ภายในบ้านตกแต่งตามสไตล์ญี่ปุ่นยุคเก่า เน้นโชว์ลายไม้ขัดมันสวยๆ ดูสวยงามอบอุ่น ข้อดีคือไม่ต้องดูแลรักษามากก็ยังดูสวยอยู่เสมอ มีการปล่อยพื้นที่กว้างสำหรับเป็นห้องรับแขก มีมุมเล็กๆ ไว้ทำอาหารและทานอาหารร่วมกันในครอบครัวได้  และสามารถวางฟูกที่นอนไว้อีกมุมตามสไตล์ญี่ปุ่นยุคเก่า แต่ถ้าอยากได้ความเป็นส่วนตัวมากขึ้นก็สามารถกั้นห้องนอนไว้อีกมุมได้ และยังมีห้องน้ำในตัวที่ขนาดไม่ต้องใหญ่โต แต่ยังสามารถแยกส่วนเปียก-แห้งได้ อย่างเป็นสัดส่วนทำให้สะดวกต่อการใช้งานยิ่งขึ้น บ้านชั้นเดียว ราคาถูก เห็นรูปแบบบ้านน่ารักขนาดนี้ แต่เชื่อมไหมครับว่าบ้านหลังนี้มีพื้นที่ใช้สอยเพียง 30 ตารางเมตรเท่านั้น ซึ่งมีราคาในการก่อสร้างอยู่ที่ประมาณ 250,000 - 350,000 บาท แต่หากนำมาประยุกต์ใช้ในบ้านเราก็อาจได้ราคาที่ถูกลงกว่านี้ก็ได้นะครับ ใครมีเนื้อที่ก็สามารถนำไปสร้างสำหรับเป็นบ้านพักผ่อนได้ ไอเดียบ้านชั้นเดียว อีกหลากหลายรูปแบบ แบบบ้านชั้นเดียว หลังเล็กแต่อบอุ่น ความรู้อื่นๆ เกี่ยวกับบ้านชั้นเดียว บ้านชั้นเดียวต่อเติมเป็นบ้านสองชั้นได้หรือไม่ สร้างบ้านใหม่เลือกแบบบ้านชั้นเดียวหรือแบบบ้านสองชั้นดี? ปัจจัยหลักในการออกแบบบ้านชั้นเดียวสำหรับผู้สูงอายุ
เตรียมตัวกู้ซื้อบ้านอย่างไรให้ผ่านฉลุย

เตรียมตัวกู้ซื้อบ้านอย่างไรให้ผ่านฉลุย

หนึ่งในความใฝ่ฝันของชีวิตใครหลายคนก็คงจะอยากมีบ้านเป็นของตัวเองสักหลัง เพราะที่อยู่อาศัยคือหนึ่งในปัจจัยสี่ของมนุษย์ที่จำเป็นจะต้องมี ซึ่งทุกวันนี้เรามีตัวเลือกมากมายในหลายทำเล หลายระดับราคา ไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม โฮมออฟฟิศ หรือคอนโดมิเนียม โดยเมื่อถึงเวลาที่เราจะต้องเลือกซื้อที่อยู่อาศัยก็ถือเป็นเรื่องที่ต้องคิดหนัก คิดเยอะ คิดให้รอบด้าน เพราะการถือเงินก้อนใหญ่พร้อมยื่นกู้ธนาคาร บางคนอาจเก็บหอมรอมริบมากว่าครึ่งชีวิต แต่ถ้ากู้ไม่ผ่านก็เสียเวลารอทำเรื่องทุกอย่างใหม่ บ้านหลังที่มองไว้ก็อาจจะหลุดมือไป เราลองมาดูเทคนิคการเตรียมตัวก่อนยื่นกู้สินเชื่อบ้านให้ผ่านฉลุยกันค่ะ สำรวจสุขภาพทางการเงินของตัวเองก่อน สิ่งสำคัญที่สุดคือเราต้องแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการชำระหนี้ได้ ก่อนอื่นเราต้องดูที่รายได้หลักของเราก่อน ยิ่งเป็นมนุษย์เงินเดือนมีรายได้แน่นอนประจำทุกเดือนยิ่งดี แต่บัญชีรายรับของเราทุกเดือนควรจะมีเงินเหลือเก็บ หรือจะเปิดบัญชีเงินฝากประจำเอาไว้ประมาณ 1-2 ปี ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดี แต่ถ้าไม่ได้ทำงานประจำก็พยายามเก็บหลักฐานทางการเงิน และนำเงินเข้าบัญชีอย่างสม่ำเสมอเอาไว้ ในปีที่ผ่านมามียอดการปฏิเสธสินเชื่อสูงกว่า 50% เพราะหนี้ครัวเรือนเป็นสิ่งที่ทำให้ธนาคารปฏิเสธสินเชื่อมากที่สุด ซึ่งหนี้ครัวเรือนหมายถึงภาระค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนของเรา เช่น บัตรเครดิต, ผ่อนรถยนต์ ฯลฯ เมื่อหักลบค่าใช้จ่ายทั้งหมดแต่ละเดือนแล้วไม่ควรเกิน 50-80% ของรายได้ทั้งหมด และถ้าหากจะยื่นกู้ควรจะจัดการภาระเหล่านี้ให้หมดเสียก่อน หรือไม่ก็พยายามลดให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้ตัวเราเองมีความสามารถในการชำระหนี้ได้ เพราะหากธนาคารปล่อยกู้ไปทั้งที่ผู้กู้ไม่พร้อมจริงๆ แล้วเกิดไม่มีการชำระติดต่อกัน 3 งวด ทางธนาคารแห่งประเทศไทยจะมองเป็นหนี้เสีย หรือที่เรียกกันว่า NPL (Non Performing Loan) ทันที ข้อควรระวัง คือ อย่าชำระบัตรเครดิต ค่าผ่อนรถยนต์ ฯลฯ ช้าเกินไปจากวันที่กำหนดในแต่ละเดือน เพราะหากเราชำระล่าช้าก็จะส่งผลต่อการพิจารณาของธนาคารทันทีว่าเราไม่มีวินัยทางการเงิน แต่ในทางกลับกันสำหรับผู้ที่ไม่เคยมีบัตรเครดิตเลยก็อาจจะยื่นกู้ไม่ผ่านนะคะ เพราะทางธนาคารจะไม่มีประวัติทางการเงินของเราเพื่อนำมาพิจารณาเลย ในกรณีนี้อาจจะต้องไปสมัครใช้บัตรเครดิต และทำการจ่ายบัตรเครดิตให้ดี ตรงเวลาสม่ำเสมออย่างต่ำประมาณ 6 เดือน ก่อนจะยื่นกู้ อายุก็มีผล ในการยื่นกู้นั้นนอกจากธนาคารจะมองที่หนี้ครัวเรือนกับความสามารถในการชำระหนี้เป็นหลักแล้ว ทางธนาคารก็ยังมองที่ความมั่นคงของบริษัทที่เราทำงาน, อายุงาน(ต้องทำงานที่ปัจจุบัน 6 เดือนขึ้นไป หรือบางแห่งก็พิจารณาที่ 1-2 ปี) และอายุจริงของเราว่าเหลืออีกกี่ปีถึงจะเกษียณ เหล่านี้ก็มีผลต่อการยื่นกู้ทั้งสิ้น เพราะในการยื่นกู้สินเชื่อบ้านนั้นเป็นการผ่อนในระยะยาว 25-30 ปี ยิ่งเราเหลือปีที่ทำงานมากเท่าไหร่ก็จะได้เปรียบมากกว่า ฉะนั้นเราควรวางแผนอนาคตเอาไว้ให้รอบคอบที่สุดนะคะ ชื่อเสียงของเจ้าของโครงการ ก่อนจะตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย เชื่อว่าหลายคนต้องดูเอาไว้หลายโครงการก่อนจะตัดสินใจซื้อโครงการที่ลงตัวกับเราเองมากที่สุด ซึ่งการเลือกโครงการก็สำคัญมากเช่นกัน นอกจากเราจะได้คุณภาพแล้ว ก็ยังจะได้ความไว้วางใจจากทางธนาคาร ส่งผลถึงยอดเงินที่ให้กู้ด้วย เพราะในบางโครงการธนาคารจะให้วงเงินในการกู้สูงมากกว่า 100% เลยทีเดียว การยื่นกู้ แม้ว่าเราจะมีสิทธิ์ยื่นกู้ได้ 100% เต็มของราคาบ้านที่เราจะกู้ แต่เราแนะนำว่าไม่ควรจะกู้ 100% ค่ะ เพราะภาระผ่อนจ่ายในแต่ละเดือนจะสูงจนเกินไปจนอาจทำให้เราขาดสภาพคล่องทางการเงินได้ อีกทั้งยังเป็นการแสดงให้ธนาคารเห็นด้วยว่าเรามีสภาพคล่องมากพอ สามารถวางเงินดาวน์ได้ และสุดท้ายคือเตรียมเอกสารทุกอย่างไปให้พร้อม ได้แก่ สำเนาบัตรประชาชน, สำเนาทะเบียนบ้าน, ใบเปลี่ยนชื่อ-นามสกุล(ถ้ามี), สลิปเงินเดือนหรือใบรับรองเงินเดือน, เอกสารแสดงการเดินบัญชี (Statement) 6 เดือนย้อนหลัง, ใบสัญญาที่เราได้ทำการจองกับโครงการ สำหรับผู้ที่ไม่ได้มีเงินเดือนประจำให้ยื่นสำเนาทะเบียนการค้า, รูปถ่ายกิจการ เพิ่มเติมไปด้วย ขั้นตอนการเตรียมตัวที่เรานำมาฝากกันในบทความนี้ ดูแล้วไม่ยากเลยใช่ไหมคะ เพียงแต่เราต้องมีวินัยทางการเงิน รวมถึงต้องมีระยะเวลาการวางแผนเตรียมตัวก่อนจะยื่นกู้ให้ดี เพื่อให้เมื่อถึงเวลายื่นกู้จริงจะได้รับการอนุมัติอย่างง่ายดาย ไม่เสียเวลา หากทำตามวิธีเหล่านี้ก็จะสามารถยื่นกู้สินเชื่อบ้านได้อย่างแน่นอนค่ะ  

"ราคาที่ดิน" ตัวแปรสำคัญในตลาดคอนโดมิเนียม

หลังจากทางภาครัฐได้ประกาศเรื่องการออกกฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่จะกำหนดใช้ประมาณปี 2562 ก็ทำให้ผู้ที่ถือครองที่ดินที่มีมูลค่าสูงเริ่มตื่นตัวมากขึ้นในการหาทางออกให้กับตัวเอง เพราะในข้อกำหนดฉบับใหม่ของพรบ. ฉบับนี้ มีการกำหนดอัตราภาษีใหม่ โดยเฉพาะที่ดินรกร้างว่างเปล่าจะมีอัตราเก็บภาษีสูงสุดเมื่อเทียบกับที่ดินประเภทอื่น จุดนี้เองทำให้หลายคนเชื่อว่าจะเริ่มมีการนำที่ดินออกมาใช้ประโยชน์กันมากขึ้น โดยเฉพาะที่ดินที่มีราคาสูงตั้งแต่ 50 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งมีแนวโน้มในการนำมาปล่อยเช่าค่อนข้างสูง เพราะนอกจากจะได้ค่าเช่าแล้ว ยังสามารถผลักภาระการจ่ายภาษีให้กับผู้เช่าจ่ายได้ แต่หากอยู่ในทำเลที่ดีก็ย่อมเป็นที่จับตามองของเหล่าผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่ดินทำเลสวยๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และตามหัวเมืองใหญ่ในหลายจังหวัด มักจะถูกทางผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์กว้านซื้อไปในราคาที่สูงขึ้นตามราคากลาง จึงต้องพัฒนาเป็นโครงการระดับหรูเสียส่วนใหญ่ แต่ดีมานด์ในระดับนี้ยังมีจำนวนจำกัด หลายค่ายจึงหันไปหาลูกค้าชาวต่างชาติเพิ่มมากขึ้น และหันไปพัฒนาโครงการแบบมิกซ์ยูส เพื่อกระจายความเสี่ยง เพิ่มรายได้ในลักษณะอื่นๆ ขณะเดียวกันกลุ่มดีมานด์ในระดับกลาง-ล่าง ยังคงมีปัญหาเรื่องหนีครัวเรือนอยู่ตั้งแต่ปีที่แล้วมาจนถึงปีนี้ ซึ่งราคาที่ดินที่สูงที่สุดเป็นสถิติใหม่ของประเทศไทย คือ ที่ดินย่านหลังสวน ซึ่งย่านนี้ถือเป็นที่ดินหายากมากแล้ว โดยแปลงนี้เข้าไปประมาณ 100 เมตร อยู่หลังอาคารเมอร์คิวรี่ ใกล้กับรถไฟฟ้าสถานีชิดลม พื้นที่ประมาณ 2 ไร่กว่า จบราคาประมูลไปที่ 3.1 ล้านบาท/ตร.ว. รวมแล้วที่ดินแปลงนี้อยู่ที่ประมาณ 2,728 ล้านบาท ผู้ที่ชนะการประมูลไปคือบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จากผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เข้าร่วมแข่งขันการประมูลนี้กว่าสิบราย แม้จะยังไม่มีการแถลงข่าวนี้ออกมาอย่างเป็นทางการ แต่ก็มีผู้เชี่ยวชาญออกมาวิเคราะห์ว่าหากที่ดินแปลงนี้สร้างเป็นคอนโดมิเนียม คาดว่าจะมีราคาขายอยู่ที่ประมาณ 500,000 บาท/ตร.ม. พูดกันง่ายๆ คือเมื่อต้นทุนสูง ราคาสินค้าก็ย่อมสูงตามไปด้วย ปัญหาที่หลายคนกังวลหลังจากมีการซื้อ-ขายที่ดินในราคาที่ดูจะเกินจริงไปอยู่ไม่น้อยครั้งนี้ คือผลกระทบต่อภาพรวมของราคาที่ดินย่านใจกลางเมืองที่อาจพุ่งตัวสูงขึ้นตามไปอย่างรวดเร็วจนทำให้ไม่สามารถนำมาพัฒนาเป็นโครงการได้ เพราะจะส่งผลไปถึงราคาขายต่อยูนิตจะสูงมากจนเกินเอื้อมถึง ซึ่งในปัจจุบันการซื้อที่ดินหากได้มาในราคาประมาณ 1 ล้านบาท/ตร.ว. เมื่อพัฒนาเป็นโครงการคอนโดมิเนียมแล้วจะถูกขายอยู่ที่ราคาเฉลี่ย 200,000 บาท/ตร.ม. เป็นราคาที่ยังอยู่ในระดับลูกค้ากลุ่มตลาดบนยังสามารถจับต้องได้ แต่ก็ต้องอยู่ในทำเลที่ดี สเปคสมราคาด้วยเช่นกัน ส่วนในอีกมุมหนึ่งก็มองว่าการพัฒนาคอนโดมิเนียมในระดับซุปเปอร์ลักชัวรี่บนทำเลใจกลางเมืองเช่นนี้ยังมีอยู่ไม่มาก เพราะมีสัดส่วนอยู่ที่ 3% จากจำนวณ    ยูนิตในตลาดคอนโดมิเนียมทั้งหมดประมาณแสนยูนิต และยังถือว่าราคาถูกเมื่อเทียบกับที่อยู่อาศัยในต่างประเทศซึ่งก็เป็นหนึ่งในกลุ่มเป้าหมายหลักของคอนโดในระดับนี้ เช่น สิงคโปร์ ฮ่องกง ส่วนแนวโน้มราคาที่ดินในปี 2561 นี้ หากมองเฉพาะที่ดินโซนใกล้รถไฟฟ้าติดถนนใหญ่ เรียงจากราคาแพงที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ โซนหมอชิต-สยาม-อ่อนนุช ราคาต่ำสุด 580,000 บาท/ตร.ว. ราคาสูงสุด 2,100,000 บาท/ตร.ว. โซนสนามกีฬา-สะพานตากสิน ราคาต่ำสุด 1,150,000 บาท/ตร.ว. ราคาสูงสุด 1,800,000 บาท/ตร.ว. โซนหัวลำโพง-บางซื่อ ราคาต่ำสุด 480,000 บาท/ตร.ว. ราคาสูงสุด 1,700,000 บาท/ตร.ว. โซนพระราม9-ทองหล่อ ราคาต่ำสุด 125,000 บาท/ตร.ว. ราคาสูงสุด 1,650,000 บาท/ตร.ว. โซนแอร์พอร์ตลิงค์ ราคาต่ำสุด 65,000 บาท/ตร.ว. ราคาสูงสุด 1,150,000 บาท/ตร.ว. ปัจจัยที่ทำให้ที่ดินมีราคาสูงหรือต่ำนั้นมีวิธีพิจารณาอยู่หลายอย่าง เช่น ทำเลที่ตั้ง ลักษณะ-รูปร่างของแปลงที่ดิน ทางเข้า-ออกที่ดิน ขนาดที่ดิน ศักยภาพในการพัฒนาต่อไป ซึ่งจะนำมาเปรียบเทียบกับราคาที่ดินบริเวณใกล้เคียงที่มีลักษณะที่ดินคล้ายกัน รวมถึงข้อจำกัดทางกฎหมาย เช่น กฎหมายผังเมือง ซึ่งหากพรบ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฉบับใหม่ที่กำลังร่างพิจารณากันอยู่นี้ถูกบังคับใช้เมื่อไร กรมธนารักษ์จะเป็นผู้กำหนดราคากลางทั้งราคาประเมินทุนทรัพย์ที่ดิน ราคาประเมินทุนทรัพย์โรงเรือน สิ่งปลูกสร้าง ราคาประเมินทุนทรัพย์ห้องชุด และอัตราค่าเสื่อมราคา โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยดุลยพินิจของของเจ้าหน้าที่เหมือนทุกวันนี้อีกต่อไป แต่ผู้ที่จัดเก็บภาษีคือเทศบาลตำบล เทศบาลเมือง เทศบาลนคร องค์การบริหารส่วนตำบล กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา ซึ่งรายได้จากการจัดเก็บภาษีนี้จะไปอยู่ที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) หากราคาที่ดินยังคงสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ ก็มีแนวโน้มว่าทำเลที่อยู่ใกล้กับรถไฟฟ้าในย่านใจกลางเมืองหรือห่างออกมาไม่กี่สถานี เราจะเห็นโครงการระดับพรีเมียมเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งจะยังคงเกิดโครงการใหม่ขึ้นอีกอย่างต่อเนื่อง เพราะได้กลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อ ทั้งการซื้อเพื่อปล่อยเช่า เพื่อเก็งกำไร และกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติที่เข้ามาอาศัยอยู่แบบระยะยาว หรือซื้อเก็บไว้เป็นบ้านหลังที่ 2 ในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่โครงการระดับกลาง-ล่าง จะเริ่มเข้าไปอยู่ในซอยที่ลึกเข้าไปจากถนนใหญ่ที่ติดรถไฟฟ้า หรือออกไปอยู่แถบชานเมือง อาจมีการเปิดตัวโครงการใหม่น้อยลง แต่อาจมีจำนวนยูนิตที่มากขึ้น  ซึ่งคอนโดมิเนียมในระดับราคาที่ไม่เกิน 3 ล้านบาทตามแถบชานเมืองจะถูกผู้บริโภคนำไปเปรียบเทียบกับทาวน์โฮมที่มีราคาใกล้เคียงกัน ทำเลไม่ต่างกันมาก เพราะได้พื้นที่เยอะกว่า สามารถอยู่อาศัยกันเป็นครอบครัวได้ ทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่าราคาที่ดินถือเป็นตัวแปรต้นที่สำคัญสำหรับวงการอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่สามารถมองข้ามไปได้

1 ... 13 14 15 16