โฮมโปร โชว์กำไรครึ่งปีโต 17.62% รายได้พุ่ง 32,365.05 ล้านบาท

โฮมโปร โชว์กำไรครึ่งปีโต 17.62% รายได้พุ่ง 32,365.05 ล้านบาท

 

โฮมโปร ตีปีกกำไรครึ่งปีโต 17.62 % โชว์กำไรสุทธิ 2,561.03 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 383.61 ล้านบาท กวาดรายได้รวม 32,365.05 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,319.01 ล้านบาท หรือ 4.25% ซึ่งเป็นผลมาจากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิมของธุรกิจโฮมโปร และโฮมโปรที่ประเทศมาเลเซีย รวมถึงการเติบโตของยอดขายจากสาขาใหม่ทั้งธุรกิจ โฮมโปร เมกาโฮม และโฮมโปรที่ประเทศมาเลเซีย พร้อมมีกำไรขั้นต้นสูงขึ้นมาอยู่ที่ 26.91% โดยเป็นผลมาจากการปรับเปลี่ยนของส่วนผสมสินค้ามีไว้เพื่อขายทั้งกลุ่มสินค้าทั่วไป และกลุ่มสินค้า Direct Sourcing รวมถึงการวางแผนการจัดซื้อสินค้า

 

นายคุณวุฒิ ธรรมพรหมกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ “โฮมโปร” ผู้นำธุรกิจศูนย์รวมวัสดุก่อสร้าง และอุปกรณ์ตกแต่งบ้านครบวงจร เปิดเผยถึง ผลการดำเนินงานงวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2561 ว่า บริษัทฯ มีผลกำไรสุทธิสำหรับในครึ่งปีแรก เท่ากับ 2,561.03 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 383.61 ล้านบาท หรือ 17.62% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยมีรายได้รวม จำนวน 32,365.05 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,319.01 ล้านบาท หรือ 4.25% โดยเพิ่มขึ้นจาก รายได้จากการขายจำนวน 30,319.39 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,246.43 ล้านบาท หรือ 4.29 % ซึ่งเป็นผลมาจากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิมของธุรกิจโฮมโปร และโฮมโปรที่ประเทศมาเลเซีย รวมถึงการเติบโตของยอดขายจากสาขาใหม่ทั้งธุรกิจ โฮมโปร เมกา โฮม และโฮมโปรที่ประเทศมาเลเซียที่ได้เปิดดำเนินการตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2560

โฮมโปร โชว์กำไรครึ่งปีโต 17.62%  รายได้พุ่ง 32,365.05 ล้านบาท

และบริษัทฯ มีรายได้ค่าเช่าและบริการ จำนวน 943.89 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45.71 ล้านบาท หรือ 5.09% เป็นผลมาจากรายได้ค่าเช่าที่เพิ่มขึ้นจากพื้นที่เช่าภายในศูนย์การค้ามาร์เกต วิลเลจ และพื้นที่ให้เช่าของสาขา โฮมโปร และรายได้อื่นอีกจำนวน 1,101.77 ล้านบาท ลดลง 26.87 ล้านบาท หรือ 2.50% โดยเป็นผลมาจากการเติบโตของรายได้จากค่าบริการ “Home Service”

 

นอกจากนี้กำไรขั้นต้น จำนวน 8,159.56 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 600.48 ล้านบาท หรือ 7.94% เมื่อเทียบกับปีก่อน สำหรับอัตรากำไรขั้นต้นต่อยอดขายเพิ่มขึ้นจาก 26.00% ในปีก่อน มาอยู่ที่ 26.91% โดยเป็นผลมาจากการปรับเปลี่ยนของส่วนผสมสินค้ามีไว้เพื่อขายทั้งกลุ่มสินค้าทั่วไป และกลุ่มสินค้า Direct Sourcing รวมถึงการวางแผนการจัดซื้อสินค้า

 

สำหรับค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร จำนวน 6,858.78 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 237.37 ล้านบาท หรือ 3.58 % เมื่อเทียบกับปีก่อนปัจจัยหลักของการเพิ่มขึ้นที่เป็นตัวเงินเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายกลุ่มเงินเดือน ต้นทุนค่าขนส่ง ต้นทุนในการให้บริการแก่ลูกค้า และค่าซ่อมแซม อย่างไรก็ตามอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อยอดขายมีการปรับตัวดีขึ้นโดยลดลงจาก 22.78% ในปีก่อน มาอยู่ที่ 22.62% ซึ่งเป็นผลมาจาการบริหารและควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

นายคุณวุฒิ กล่าวต่อไปว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาส 2 มีการขยายตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ยังคงผลักดันมาจากแรงกระตุ้นของการส่งออก และการท่องเที่ยว รวมถึงการทยอยปรับตัวขึ้นของราคาข้าวที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นหลังจากซบเซามาในช่วงก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม ปัจจัยดังกล่าวยังไม่สะท้อนมาถึงกำลังซื้อของภาคครัวเรือนมากนัก ด้วยอุปสรรคในเรื่องของภาระหนี้ภาคครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง ด้วยเหตุนี้ แม้รายได้ครัวเรือนตามตัวเลขเศรษฐกิจจะดีขึ้น แต่บางส่วนอาจต้องถูกนำไปชำระหนี้ จึงทำให้ประโยชน์ของการเพิ่มขึ้นของรายได้ไม่ส่งผ่านมาสู่การบริโภคได้มากเท่าที่ควร

 

สำหรับการขยายสาขาในไตรมาสที่ 2 นี้ บริษัทฯ สามารถทำได้ตามที่วางแผนไว้ โดยได้เปิดสาขาเพิ่ม 2 แห่ง ได้แก่ โฮมโปรเอส สาขาบิ๊กซี บางนา ซึ่งเปิดในเดือนพฤษภาคม และโฮมโปรรูปแบบปกติ สาขากัลปพฤกษ์ ซึ่งเปิดในเดือนมิถุนายน ส่งผลให้บริษัทฯ มีสาขา ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2561 ดังนี้ โฮมโปร 82 สาขาโฮมโปรเอส 5 สาขา, เมกา โฮม 12 สาขา และ โฮมโปร ที่ประเทศมาเลเซีย 6 สาขา

 

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของลูกค้า อาทิ การจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายสินค้ากลุ่มเครื่องเสียงและทีวี จากกระแสฟุตบอลโลก และกิจกรรมส่งเสริมการขายกลุ่มสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและสินค้าทำความเย็น ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าที่มียอดขายสูงในช่วงฤดูร้อน เพื่อให้ผู้บริโภคตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ตลอดจนการจัดกิจกรรมโฮมโปร แฟร์ (HomePro Fair) ในจังหวัดเชียงใหม่ และขอนแก่น ซึ่งสามารถทำยอดขายโดยรวมอยู่ในระดับที่น่าพอใจ

บทความ ข่าวโปรโมชั่น ล่าสุด