ในบรรดาดีเวลลอปเปอร์ที่พัฒนาโครงการตามแนวรถไฟฟ้า และอยู่ในย่านใจกลางเมือง จะต้องมีชื่อของ “โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์” ติดอยู่ในทำเนียบผู้ที่พัฒนาโครงการในทำเลดังกล่าว โดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียม ซึ่งส่วนใหญ่จะพัฒนาโครงการอยู่ในทำเลรถไฟฟ้าบีทีเอสในช่วงสถานีอารีย์จนถึงสถานีเอกมัย หรือหากเป็นรถไฟฟ้าใต้ดิน สายสีน้ำเงิน ก็จะพัฒนาเฉพาะทำเลตั้งแต่ย่านสถานีศูนย์วัฒนธรรมเป็นหลัก
การพัฒนาโครงการคอนโดส่วนใหญ่ของโนเบิล จะจับตลาดกลางถึงบน มีระดับราคาเฉลี่ยประมาณ 200,000 บาทต่อตารางเมตร หรือระดับราคาขายยูนิต 4-5 ล้านบาทเป็นหลัก แต่จากการเติบโตของเศรษฐกิจและตลาดอสังหาริมทรัพย์ ส่งผลให้ราคาที่ดินปรับเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าสายหลัก ทั้งบีทีเอสและเอ็มอาร์ที มีราคาปรับเพิ่มสูงขึ้น จึงทำให้ไม่สามารถซื้อที่ดินมาพัฒนาโครงการขายได้
แนวทางออกของการเติบโต เพื่อไปต่อของโนเบิล จึงได้สร้างแบรนด์ใหม่ขึ้นมาเพื่อเสริมพอร์ตรายได้ โดยเลือกที่จะพัฒนาแบรนด์ นิว (NUE) ซึ่งย่อมาจาก New Urban Epicenter หมายถึง จุดศูนย์กลางเมืองแห่งใหม่ โดยทางโนเบิลยังคงเลือกที่จะพัฒนาโครงการเกาะแนวเส้นทางรถไฟฟ้า แต่เลือกเส้นทางรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย หรือเส้นทางรถไฟฟ้าสายใหม่ เพื่อยังคงรักษาคอนเซ็ปต์การเลือกทำเลที่ดี และเป็นทำเลเพื่อการอยู่อาศัยในอนาคต
นายอรัฐ เศวตะทัต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานพัฒนาธุรกิจ บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เล่าว่า การพัฒนาแบรนด์นิวเกิดขึ้นมาจาก 3 โจทย์หลัก ได้แก่
เนื่องจากปัญหาราคาที่ดินซึ่งปรับเพิ่มสูง ทำให้บริษัทไม่สามารถซื้อที่ดินมาพัฒนาโครงการในระดับราคาที่บริษัทมุ่งเน้นได้ คือ ระดับราคา 4-5 ล้านบาทต่อยูนิตขายได้ ประกอบกับ หากพอร์ตสินค้าทั้งหมดมีแต่ราคาดังกล่าวแต่อย่างเดียว อาจจะทำให้เกิดความเสี่ยง จึงมีแนวคิดขยายตลาดไปยังกลุ่มลูกค้าอื่น ๆ ซึ่งเลือกระดับราคา 2-3 ล้านบาท เพราะสามารถซื้อที่ดินตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้ามาพัฒนาได้ และยังคงคุณภาพการพัฒนาได้เช่นเดียวกับโครงการอื่น ๆ ของโนเบิลได้ด้วย
หัวใจสำคัญของการพัฒนาโครงการอสังหาฯ คือ การเลือกทำเลที่ตั้งซึ่งเป็นไพร์มแอเรีย โนเบิลจึงเลือกพัฒนาในทำเลตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าสายหลักที่เปิดให้บริการอยู่ปัจจุบัน และเป็นย่านใจกลางเมืองเป็นหลัก แต่จากปัญหาราคาที่ดินที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ราคาที่ดินไม่สามารถซื้อมาพัฒนาโครงการได้ หรือหากซื้อมาพัฒนาได้ราคาขายก็จะมีราคาสูงเกิน ซึ่งหากจะยังคงพัฒนาตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าจึงต้องปรับระดับราคาลงมา และขยายไปตามแนวเส้นทางส่วนต่อขยาย
ราคาคอนโดยูนิตละ 2-3 ล้านบาท สามารถทำได้ในเส้นทางรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย เพราะคิดว่าสังคมเมืองจะขยายออกไปตามเส้นทางรถไฟฟ้า จึงเป็นโอกาสและทำราคาได้ตามที่ต้องการ
อีกหนึ่งหัวใจของการพัฒนาโครงการคอนโด ให้ประสบความสำเร็จ และได้รับการตอบรับจากกลุ่มลูกค้า เรื่องของดีไซน์จึงยังมีความสำคัญ และเป็นสิ่งที่ลูกค้าใช้เป็นเกณฑ์ในการตัดสินใจเลือกซื้อโครงการด้วยเช่นกัน การออกแบบห้องของแบรนด์นิว จึงเลือกใช้แนวคิดและคอนเซ็ปต์ใกล้เคียงกับแบรนด์ต่าง ๆ ของโนเบิลที่เคยพัฒนาออกมาแล้ว โดยเฉพาะการออกแบบห้องหน้ากว้าง และห้องขนาด 2 ห้องนอน พื้นที่ 35 ตารางเมตร แต่ยังขายได้ในระดับราคากว่า 3 ล้านบาทเท่านั้น
ในช่วงครึ่งปีหลัง โนเบิล ได้วางแผนเปิดโครงการนิว ด้วยกัน 3 โครงการ ได้แก่
โดยเปิดขายไปแล้วเมื่อเดือนที่ผ่านมา ผ่านรอบพิเศษที่สำนักงานขายและรอบจองออนไลน์ ซึ่งสามารถทำยอดขายแล้วมากกว่า 50% จากมูลค่าโครงการทั้งหมด 1,800 ล้านบาท จากกลุ่มลูกค้าภายในประเทศ ภายในระยะเวลาเพียง 3 สัปดาห์หลังจากเปิดตัว โดยลูกค้ากลุ่มนี้ได้ชำระเงินทำสัญญาพร้อมเงินจองเป็นที่เรียบร้อย นอกจากนี้ ยังมีคาดว่าจะมียอดขายจากกลุ่มลูกค้าต่างประเทศได้อีกกว่า 20% ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.59 ล้านบาท*
โดยเปิดตัวไปเมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นโครงการแรกที่โนเบิล ร่วมทุนกับ บริษัท ยู ซิตี้ จำกัด (มหาชน) ในกลุ่ม บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ในสัดส่วนที่เท่ากัน พัฒนาโครงการ 2,000 ล้าน ในราคาเริ่มต้นเพียง 2.39 ล้านบาท* จะเริ่มเปิดจองในรอบ Online Booking ในวันที่ 16 สิงหาคมนี้
วางแผนเปิดตัวกลางเดือนสิงหาคมนี้ เป็นโครงการคอนโดมิเนียม High-Rise แห่งแรกของโนเบิลในพื้นที่ฝั่งธนบุรี มูลค่าโครงการ 1,200 ล้านบาท บนทำเลใจกลางแยกไฟฉาย – วังหลัง เพียง 80 เมตรจากสถานีไฟฉาย
ปีที่ผ่านมาโครงการภายใต้แบรนด์นิว มีสัดส่วนรายได้ประมาณ 11% ปีนี้คาดว่าจะมีสัดส่วนรายได้ 22% จากเป้าหมายรายได้ที่คาดว่าจะทำได้ 10,000 ล้านบาท ส่วนปีหน้าคาดว่าแบรนด์นิวจะมีสัดส่วนรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 50% ซึ่งปัจจุบันได้เตรียมที่ดินสำหรับการพัฒนาในปีหน้าไว้แล้ว 4 แปลง ซึ่งเบื้องต้นบริษัทมีแผนพัฒนาโครงการแบรนด์นิวในปีหน้าอย่าน้อย 3 โครงการ
ด้านนายอรรถวิทย์ เฉลิมทรัพยากร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการเงิน กล่าวเสริมว่า บริษัท มียอดขายรอโอน (backlog) มากกว่า 15,000 ล้านที่จะทยอยรับรู้ภายใน 3 ปีข้างหน้า เฉพาะภายในปีนี้น่าจะรับรู้รายได้ 7,000-8,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันมีโครงการที่สร้างแล้วเสร็จพร้อมโอนมูลค่ากว่า 8,600 ล้านบาท จึงมั่นใจว่าจะสามารถทำรายได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ ซึ่งช่วงไตรมาสสุดท้ายบริษัทยังวางแผนพัฒนาโครงการใหม่ ที่ไม่ใช่โครงการภายใต้แบรนด์นิวอีก 2 โครงการ ซึ่งน่าจะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาทด้วย