ข่าวโปรโมชั่น

 

ข่าวโปรโมชั่น ล่าสุด

1 ... 89 90 91 ... 103
SENA จับมือ

SENA จับมือ "แอคคิวท์ เรียลตี้" ลุยธุรกิจนายหน้าอสังหาฯ ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้า 360 องศา เพิ่มมูลค่าสินทรัพย์-ดันรายได้โตแกร่ง

SENA ประกาศความร่วมมือ “แอคคิวท์เรียลตี้” ลุยธุรกิจนายหน้าอสังหาฯ ผ่าน “360º Living Agent เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินทรัพย์ลูกค้าเสนาฯ ด้านผู้บริหารหญิงแกร่ง “ผศ.ดร.เกษราธัญลักษณ์ภาคย์”มั่นใจช่วยผลักดันธุรกิจเติบโตแข็งแกร่ง ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (SENA) ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ชั้นแนวหน้าของเมืองไทยและในฐานะ Developer รายแรกที่ทำหมู่บ้านโซลาร์เต็มรูปแบบ เปิดเผยว่า บริษัทฯได้ร่วมมือกับบริษัท แอคคิวท์ เรียลตี้ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทผู้นำด้านบริการอสังหาริมทรัพย์ในการเข้ามาบริหาร และดำเนินธุรกิจด้านตัวแทนในการซื้อ ขาย หรือให้เช่า อสังหาริมทรัพย์ และบริหารงานขายโครงการ พร้อมให้คำปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ โดยในส่วนของ “แอคคิวท์ เรียลตี้” จะเข้ามาดูแลและบริหารงานในส่วนของ 360º Living–Agent เพื่อให้การทำงานของ 360º Living–Agent ของบริษัทฯมีประสิทธิภาพ สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับอสังหาริมทรัพย์ของลูกค้า และเพิ่มรายได้ให้กับบริษัทฯ “ความร่วมมือทางธุรกิจระหว่างเสนาฯกับแอคคิวท์ เรียลตี้ ในครั้งนี้ ถือเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าเสนาฯ ที่ต้องการฝากขาย หรือปล่อยให้เช่า ผ่าน 360º Living–Agent โดย แอคคิวท์ เรียลตี้ จะเข้ารจัดการ หาผู้ซื้อหรือผู้เช่า เพื่อสร้างมูลค่าให้กับทรัพย์สิน พร้อมมอบข้อเสนอที่ดีที่สุดให้กับผู้ซื้อหรือผู้เช่า”ผศ.ดร.เกษรา กล่าว นอกจากนี้ ยังวางแผนในการมุ่งพัฒนาประสิทธิภาพด้านการตลาดทั้งออนไลน์ และออฟไลน์เพื่อให้เข้าถึงลูกค้าทุกกลุ่มเป้าหมาย พร้อมโปรโมชั่นที่น่าสนใจ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้ารายย่อยและกลุ่มลูกค้านักลงทุน เพื่อให้มั่นใจว่าจะได้รับสินค้าด้วยความคุ้มค่า โดยวางเป้าหมายรายได้จากธุรกิจนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ผ่าน 360º Living–Agent “แอคคิวท์ เรียลตี้ ถือว่าเป็นผู้ที่มีความชำนาญและมีทีมงานที่เป็นมืออาชีพ เป็นที่รู้จักในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ในด้านการซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ มาเป็นเวลานานกว่า 17 ปี ซึ่งเป็นเรื่องที่ SENA ให้ความสำคัญในเรื่องการดูแล แอพพลิเคชั่น SENA 360 SERVICE ที่ช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงบริการหลังการขายของบริษัทฯได้โดยง่าย สอดคล้องกับแผนกลยุทธ์การดำเนินงานในปีนี้ SENA จะเน้นการนำเอาเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ มาพัฒนาสินค้าและบริการของเราให้ดียิ่ง ๆ ขึ้น” ผศ.ดร.เกษรา กล่าว นายปรีชา ศุภปีติพร กรรมการผู้จัดการ  บริษัท แอคคิวท์ เรียลตี้ จำกัด ประกอบกิจการประเภทกิจกรรมของตัวแทนและนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า 360º Living–Agent ถือเป็นการตอบโจทย์ได้อย่างแท้จริง ทั้งรูปแบบบริการรับฝากขาย-เช่า อสังหาริมทรัพย์ทั้งเพื่ออยู่อาศัย หรือลงทุน โดยจะบริหารงานโดย บริษัท ลีฟวิ่ง เอเจ้นท์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ บริษัท เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ร่วมกับพันธมิตรอย่าง บริษัท แอคคิวท์ เรียลตี้ จำกัด จะเป็นส่วนหนึ่งในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของ SENA ให้แข็งแกร่ง รวมทั้งสร้างยอดขายเพิ่ม เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยบริการ 360 Living Agent จะเน้นมุ่งพัฒนาประสิทธิภาพด้านการตลาด ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ที่ทันสมัยและรวดเร็ว เพื่อให้เข้าถึงลูกค้าทุกกลุ่มเป้าหมาย  เน้นการสร้างโปรโมชั่นที่น่าสนใจเพื่อตอบโจทย์ลูกค้ารายย่อย และกลุ่มลูกค้านักลงทุนเพื่อให้มั่นใจว่าจะได้รับสินค้าที่คุ้มค่า  มีบริการที่เป็นมาตรฐาน แบบมืออาชีพ และมีความน่าเชื่อถือ เปรียบเสมือนเจ้าของโครงการ ดูแลลูกบ้านสามารถให้คำแนะนำในการฝากขาย-เช่า แบบครบวงจร เช่น การตั้งราคาที่เหมาะสม การโฆษณาประชาสัมพันธ์ การตกแต่ง การเตรียมเอกสาร สัญญาต่างๆ การโอนกรรมสิทธิ์ การให้คำแนะนำในการขอกู้ซื้อบ้านจากสถาบันการเงิน เป็นต้น "ผมมั่นใจว่าจะสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า และมอบบริการที่ดีเป็นที่พึงพอใจให้กับลูกค้า เพราะด้วยความชำนาญและเชี่ยวชาญด้านนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ที่ยาวนาน และเป็นที่ยอมรับในการขายทรัพย์สินมือสอง ให้กับทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ " 360Living-Agent"  จะเริ่มตั้งแต่ต้น-จนจบกระบวนการ เช่นการตั้งราคาที่เหมาะสม การโฆษณาประชาสัมพันธ์ การแนะนำการตกแต่ง การเตรียมเอกสาร สัญญาต่างๆ การโอนกรรมสิทธิ์ การให้คำแนะนำในการขอกู้ซื้อบ้านจากสถาบันการเงิน เป็นต้น โดยเราจะมีการทำโฆษณาประชาสัมพันธ์ทั้งทาง Online และ Offline ผ่านช่องทางต่างๆของเรา เพื่อให้เกิดการขาย และ เช่าอย่างรวดเร็ว และตรงตามความต้องการลูกค้า "นายปรีชา กล่าว
MQDC เปิดตัวกรอบแผนงาน ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี วิวัฒนาการเพื่อยกระดับด้านสุขภาพโดยรวมและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ที่เป็นมากกว่าแค่ ‘การอยู่อาศัย’

MQDC เปิดตัวกรอบแผนงาน ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี วิวัฒนาการเพื่อยกระดับด้านสุขภาพโดยรวมและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ที่เป็นมากกว่าแค่ ‘การอยู่อาศัย’

MQDC คาดว่าจะใช้งบระมาณลงทุนกว่า 6,000 ล้านบาทในระยะ 10 ปีข้างหน้า MQDC ร่วมมือกับพันธมิตรและผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ เพื่อนำเสนอนวัตกรรมและเทคโนโลยีให้กับลูกค้าผ่านระบบกลไกโรโบติกส์และนวัตกรรมสมองอัจฉริยะ (Artificial Intelligence – Ai) และบูรณาการการบริการลูกค้าทั้งหมดเข้าด้วยกันในแพลตฟอร์มเดียวกัน ทั้งในด้านการตรวจสอบและการควบคุมระบบต่าง ๆ โครงการ วิสซ์ดอม รัชดา-ท่าพระ ซึ่งจะเปิดตัวในปีหน้านี้ จะเป็นโครงการแรกในประเทศไทยที่จะเปิดตัวระบบการอยู่อาศัยอัจฉริยะเต็มรูปแบบโดยมุ่งเน้นเพื่อการยกระดับในด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นโดยรวม รวมไปถึงด้านความปลอดภัย และการประหยัดพลังงาน ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (The Research and Innovation for Sustainability Center หรือ RISC) – เป็นหน่วยงานของ MQDC ที่มุ่งทำงานค้นคว้า วิจัย และออกแบบนวัตกรรมการอยู่อาศัย โดยผ่านการเก็บรวบรวมข้อมูลจากการใช้ชีวิตจริง และการประยุกต์ใช้กับนวัตกรรมสมองอัจฉริยะ (Artificial Intelligence – Ai) อย่างลงตัว โดยศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน หรือ RISC จะทำงานร่วมกับบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำและ Start-ups กรุงเทพ, 18 พฤษภาคม 2560 - แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น (MQDC), ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัยและอสังหาริมทรัพย์แบบมิกซ์ยูสในระดับสากล และเป็นเจ้าของแบรนด์ แมกโนเลีย และ วิสซ์ดอม ได้ตอกย้ำความมุ่งมั่นที่จะตอบโจทย์เทคโนโลยีความเป็นอยู่ เพื่อนำเสนอนวัตกรรมและเทคโนโลยี ที่เป็นมากกว่าแค่ ‘การอยู่อาศัย’ แต่เป็นวิวัฒนาการเพื่อยกระดับในด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นโดยรวม โดยจะมีการลงทุนมากกว่า 6,000 ล้านบาทในช่วง 10 ปีข้างหน้า ทางบริษัทฯ ได้ประกาศว่าจะเปิดตัว โครงการ วิสซ์ดอม รัชดา-ท่าพระ บ้านอัจฉริยะเต็มรูปแบบแห่งแรกในประเทศไทยที่มุ่งเน้นการพัฒนาความเป็นอยู่และสุขภาพของผู้อยู่อาศัย ความปลอดภัย และการประหยัดพลังงาน ซึ่งจะเปิดตัวในไตรมาสที่ 3/2561 นายวิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) กล่าวว่า แผนการลงทุนดังกล่าวนั้น สอดคล้องกับแนวคิดเรื่องนวัตกรรมที่ยั่งยืน (Sustainovation) ของบริษัทแม่กลุ่มบริษัทดีที (DTGO Corporation Limited - DTGO) ที่จะนำเทคโนโลยีนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยและผู้เช่าในโครงการของ MQDC  “เราเชื่อในการลงทุนในความคิดใหม่ ๆ เหล่านี้จะเป็นสิ่งที่ทำให้โครงการของเราพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และจะเป็นผลดีต่อความเป็นอยู่โดยรวมของผู้อยู่อาศัยในโครงการของเรา” นายวิสิษฐ์กล่าว “MQDC นำเสนอนวัตกรรมและเทคโนโลยี ที่เป็นมากกว่าแค่ ‘การอยู่อาศัย’ แต่เป็นวิวัฒนาการเพื่อการยกระดับในด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นโดยรวม การหาพาทเนอร์ที่เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี มาพัฒนาร่วมกัน ถือเป็นหัวใจสำคัญของแผนแม่บทของ MQDC สำหรับการสร้างและบูรณาการ เทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของโครงการในอนาคตของเรา การลงทุนเหล่านี้เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า MQDC ประยุกต์นวัตกรรมที่ยั่งยืนเข้ากับการใช้งานในชีวิตจริง แต่อย่างไรก็ตาม เราไม่ได้ใส่ใจเพียงเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ เท่านั้น หากเรายังใส่ใจเรื่องการใช้นวัตกรรมเหล่านั้น ที่ตอบสนองความต้องการที่ลูกค้าเองยังไม่ทราบ และเชื่อมต่อกับบริการอื่น ๆ ในแพลตฟอร์มเดียวกันซึ่งนำไปสู่การใช้ชีวิตอย่างสมบูรณ์แบบ” “ การเปลี่ยนแนวคิดให้เป็นความเป็นจริงนั้น การยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ว่าจะเกิดจากรายละเอียดเล็กๆ หรือนวัตกรรมที่เปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตของเรา และการน้อมรับมุมมองใหม่ๆ ทั้งจากในและต่างประเทศ ทำให้เราสามารถสร้างสังคมที่ยั่งยืน ซึ่งส่งผลให้การดำเนินชีวิตของเรามีความงดงาม มีแรงบัลดาลใจ และปลอดภัยมากขึ้น” นายวิสิษฐ์กล่าวสรุป ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (Research and Innovation for Sustainability Center หรือ RISC) ของ MQDC จะร่วมทำงานร่วมกับบริษัท Obotron ซึ่งเป็น Start-ups เพื่อที่จะออกแบบ และสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีความเป็นอยู่ การเก็บรวบรวมข้อมูล และนวัตกรรมสมองอัจฉริยะ (Artificial Intelligence – Ai)  เรามุ่งเน้นที่จะพัฒนานวัตกรรมด้านการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ การพัฒนาสุขภาพ และระบบการจัดการชีวิตประจำวัน เพื่อให้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการอสังหาริมทรัพย์ของ MQDC โดยจะครอบคลุม 3 ส่วนหลักดังต่อไปนี้ ระบบการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ (Energy Efficiency Awareness): การรายงานสภาพการใช้กระแสไฟฟ้าแบบเรียลไทม์ ระบบที่ตอบสนองด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น (Health System): โดยเซ็นเซอร์ตรวจจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งจะเชื่อมต่อกับระบบระบายอากาศแบบประหยัดพลังงานเพื่อทำให้ผู้อยู่อาศัยได้รับอากาศบริสุทธิ์ภายในห้อง และยังประหยัดการใช้ไฟฟ้า ระบบการควบคุมเพื่อตอบสนองวิถีการใช้ชีวิตเพื่อความสะดวกสบาย (Lifestyle Control): โดยนำเสนอระบบควบคุมอัจฉริยะซึ่งจะสามารถทำให้ผู้อยู่อาศัยสามารถควบคุมทุกระบบในบ้านได้จากโทรศัพท์มือถือ เซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหว ระบบแสงสว่างอัตโนมัติ ระบบประตูหน้าต่างล็อคแม่เหล็กระบบดิจิตอลเพื่อเพิ่มความปลอดภัย โครงการยังมีการติดตั้งระบบกล้องวงจรปิดซึ่งเชื่อมต่อระบบความปลอดภัยที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมดเข้าไว้ด้วยกัน โดยที่ระบบทั้งหมดสามารถควบคุมได้ผ่านโทรศัพท์มือถือของลูกค้า
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เผยมุมมองการทำธุรกิจของผู้ประกอบรุ่นใหม่ “สร้างตัวตน เสริมแกร่งด้วยความแตกต่าง สร้างมูลค่าเพิ่มให้ลูกค้า”

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เผยมุมมองการทำธุรกิจของผู้ประกอบรุ่นใหม่ “สร้างตัวตน เสริมแกร่งด้วยความแตกต่าง สร้างมูลค่าเพิ่มให้ลูกค้า”

ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เริ่มมีการเติบโตอย่างชัดเจน ในช่วง 3-5 ปีทีผ่านมา และจากการที่บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ได้ร่วมเป็นที่ปรึกษาด้านการขายแบบครบวงจรกับลูกค้ากลุ่มผู้ประกอบการรุ่นใหม่ (Young Developer) ราว 12 แห่ง จำนวน 12 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 12,000 ล้านบาท  พบปัจจัยที่ดึงดูดให้ผู้ประกอบการรุ่นใหม่หันมาสนใจธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นธุรกิจที่อยู่บนปัจจัยที่สำคัญของทุกคน เป็น Real Sector ที่สำคัญของประเทศ มีมูลค่าทางเศรษฐกิจมหาศาล สามารถขับเคลื่อน ธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องได้อย่างมีนัยสำคัญ สามารถพิสูจน์ความสำเร็จให้กับรุ่นพ่อแม่ให้เห็นได้รวดเร็ว และยังสามารถต่อยอดไปสู่ธุรกิจอื่นๆ เช่น อพาร์ทเมนต์ หรือโรงแรมได้ เราจึงได้เห็นว่าอสังหาริมทรัพย์ยังคงเติบโตไปได้ตลอดแม้ในสภาวะที่มีการแข่งขันสูง หรือเศรษฐกิจชะลอ แต่ก็ยังมีผู้ประกอบการหน้าใหม่เพิ่มเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย และสร้างโปรดักซ์ใหม่ๆ กับกับวงการอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้จะเห็นว่าภาครัฐและเอกชนต่างๆ ได้มีการเปิดหลักสูตรเฉพาะด้านอสังหาเพิ่มขึ้นสำหรับผู้ประกอบการหน้าใหม่อย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นถึงความสนใจและความต้องการที่จะเข้ามาทำธุรกิจที่เพิ่มขึ้นในช่วงหลังนี้อย่างชัดเจน  ลักษณะของผู้ประกอบการรุ่นใหม่ แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ ต่อยอดจากรุ่นพ่อแม่ ที่ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อยู่แล้ว โดยรุ่นลูกอาจจะมีการพัฒนาเป็นรูปแบบใหม่ มีการปรับคาแรกเตอร์ให้ทันสมัยขึ้น และต่อยอดแบรนด์ใหม่ๆ และอีกส่วนหนึ่งมาจากการร่วมมือกับกลุ่มเพื่อนทายาทธุรกิจที่มีความสนใจในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เหมือนกัน ซึ่งอาจจะพบกับตามคอร์สระยะสั้นที่เปิดสอนด้านการทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ถ่ายทอดโดยผู้มีประสบการณ์จริง อีกกลุ่มหนึ่งคือขยาย Business Line เป็นกลุ่มทายาทธุรกิจที่เห็นโอกาสจากการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ แม้ว่ารุ่นพ่อแม่จะประสบความสำเร็จจากธุรกิจอื่น แต่สามารถต่อยอดสิ่งที่มีอยู่เช่น Landbank ที่รับตกทอดมา เป็นต้น นอกจากนี้ ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ เมื่อเข้าสู่ตลาดอสังหาฯ ยังสร้างความเปลี่ยนแปลงสู่วงการอสังหาริมทรัพย์ในหลายๆ มิติ อาทิ ผู้ประกอบการรุ่นใหม่เหล่านี้ เป็นกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับฐานข้อมูลตลาดมากขึ้น  พร้อมทั้งวิเคราะห์ข้อมูลอย่างละเอียด เพื่อนำไปสู่การออกแบบโครงการ ขนาดห้อง และการกำหนดราคา ให้ตรงกับความต้องการผู้บริโภค มี มี connection ที่กว้างขวาง รวมถึงการดึงมืออาชีพเข้ามาเป็นที่ปรึกษา รวมถึงการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ ทั้งในส่วนของการอยู่อาศัยและการก่อสร้างเข้ามาช่วยลดข้อจำกัดในการใช้พื้นที่ เช่นใช้ระบบ Jet Pool เพื่อแก้ปัญหาสระว่ายน้ำที่เล็ก / ห้อง แบบ One Bed Plus ที่ปรับฟังก์ชั่นได้หลากหลาย ใช้ Home Automation เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายแก่ลูกค้า  ด้านการทำตลาด จะเลือกทำเลในการลงทุนที่เลี่ยงการชนกับเจ้าตลาดหรือรายใหญ่   เน้นทำเลศักยภาพที่มีความต้องการอยู่อาศัยจริงอยู่ไม่ห่างจาก Prime Area มีความครบถ้วนในทุกมิติ ทั้งใกล้รถไฟฟ้า ใกล้แหล่งชอปปิ้ง ร้านอาหาร มีผู้คนอาศัยอย่างหนาแน่น สามารถเดินทางเชื่อมต่อได้หลากหลาย โดยทำเลนี้ยังตอบโจทย์ผู้ที่เคยอาศัยอยู่เดิมแต่ต้องการแยกออกมาอยู่อาศัยส่วนตัว โดยทำเลที่ได้รับความนิยมคือ พระราม 9 ลาดพร้าว รัชดา และพหลโยธินตอนกลาง ในส่วนของกลยุทธ์ด้านราคาเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ทำให้โครงการเหล่านี้ประสบความสำเร็จ โดยการทำราคาให้เอื้อมถึงง่าย เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้าอยู่อาศัยเอง มากกว่าที่เน้นเก็งกำไรหรือลงทุน ส่วนการดีไซน์เป็นอีกปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จของโครงการที่เน้นกลุ่มลูกค้าที่มีไลฟ์สไตล์เฉพาะ เนื่องจากการวางคอนเซปต์ การกำหนดคาแรกเตอร์ของโครงการล้วนมีผลต่อการตัดสินใจของผู้ซื้อที่ไม่ต้องการได้สินค้าเหมือนท้องตลาดทั่วไป สำหรับ พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เราเน้นการให้ความสำคัญของที่ปรึกษาด้านการขายแบบครบวงจร  ด้วยทีมวิจัยแบบเจาะลึกที่มีประสบการณ์การลงพื้นที่ต่างๆ กว่า 20 ปี ซึ่งจุดเด่นของหน่วยงานนี้คือการบอกต่อของลูกค้า ส่งผลให้พลัสฯ สามารถขยายตลาดไปสู่กลุ่มผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพในการทำธุรกิจ รวมถึงกลุ่มทุนต่างประเทศทั้งญี่ปุ่น ฮ่องกง จีน ล่าสุด ธุรกิจ Sole agent ของพลัสฯ ได้เปิดตัวเว็บไซต์ www.plussoleagent.com เพื่อเป็นช่องทางในการนำเสนอบริการให้กับกลุ่มทุนทั้งชาวไทย และชาวต่างประเทศที่มีความสนในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ พร้อมทั้งเป็นช่องทางในการนำเสนอ ข้อมูลข่าวสารต่างๆ ในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ และข่าวสารความเคลื่อนไหวของโครงการต่างๆ ที่ทำการพัฒนา โดยปัจจุบันมีสัดส่วนลูกค้าชาวไทย 75% และต่างชาติ 25%
SIRI เผยผลการดำเนินงานไตรมาส 1/60 ยอดขายพุ่ง 6,651 ลบ. เติบโตถึง 40 %

SIRI เผยผลการดำเนินงานไตรมาส 1/60 ยอดขายพุ่ง 6,651 ลบ. เติบโตถึง 40 %

แสนสิริเผยผลการดำเนินงานไตรมาสแรกปี 60 ยอดขายพุ่งทะลุ 6,651 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มียอดขาย 4,745 ถึง 40% ทั้งที่มีการเปิดตัวโครงการใหม่ค่อนข้างน้อย โดยโกยยอดขาย จากกลุ่มคอนโดมิเนียมแบรนด์ เดอะ ไลน์ อาทิ เดอะไลน์ พหลฯ – ประดิพัทธ์, เดอะไลน์ สุขุมวิท 101 และคอนโดมิเนียมในตลาดต่างจังหวัด โดยเฉพาะ คอนโดมิเนียมในทำเลหัวหินและพัทยาที่ดีมานด์จากลูกค้าชาวไทยและชาวต่างชาติยังสูงต่อเนื่อง รวมทั้งยอดขายจากโครงการ“98 Wireless” (ไนน์ตี้เอท ไวร์เลส) ขณะที่รายได้รวมและกำไรทรงตัว อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้นและสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดีขึ้นจากปีที่ผ่านมา โดยบริษัทมีรายได้รวม 7,124 ล้านบาท และกำไรรวม 512 ล้านบาท ไตรมาส 2 ลุยเปิดขาย เดอะ เบส เพชรเกษม และเปิดตัวบ้านเดี่ยวโครงการใหม่ บุราสิริ วัชรพล นายวันจักร์  บุรณศิริ ประธานผู้บริหารฝ่ายปฎิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI  เปิดเผยถึงผลการดำเนินธุรกิจของกลุ่มบริษัทแสนสิริในช่วงไตรมาส 1/2560 บริษัทสามารถสร้างยอดขายได้สูงถึง 6,651 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มียอดขาย 4,745 ล้านบาทถึง 40 % ทั้งที่มีการเปิดตัวโครงการใหม่ค่อนข้างน้อย อาทิ โครงการ “สิริ อเวนิว สายไหม” อาคารพาณิชย์ดีไซน์โมเดิร์น สไตล์นิวยอร์คลอฟต์ใหม่ ใจกลางย่านสายไหม มูลค่าโครงการ 100 ล้านบาทที่ปิดการขายทันทีใน 2 ชั่วโมงแรกที่เปิดขายอย่างเป็นทางการ ทั้งนี้ยอดขายในช่วงไตรมาสแรกโดยหลักมาจากกลุ่มคอนโดมิเนียมภายใต้บีทีเอส แสนสิริ โฮลดิ้ง แบรนด์ เดอะ ไลน์ อาทิ  เดอะไลน์ พหลฯ - ประดิพัทธ์, เดอะไลน์ สุขุมวิท 101  รวมถึงการนำคอนโดมิเนียมแบรนด์ เดอะ ไลน์ ไปโรดโชว์ในตลาดต่างชาติ อาทิ โครงการเดอะ ไลน์ พหลฯ – ประดิพัทธ์ ที่เปิด Global Launch เต็มรูปแบบใน 4 ประเทศ ได้แก่ ฮ่องกง ไต้หวัน สิงคโปร์ และจีน และมีลูกค้าให้ความสนใจเข้าร่วมงานโรดโชว์ในทั้ง 4 ประเทศจำนวนมาก ส่งผลให้บริษัทสามารถสร้างยอดขายรวมจากตลาดต่างชาติในช่วงไตรมาสแรกไปได้ถึง 1,700 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทยังประสบความสำเร็จจากการเปิดตัวโครงการ “98 Wireless” (ไนน์ตี้เอท ไวร์เลส) โครงการแฟลกชิปคอนโดมิเนียมที่ดีที่สุดบนถ.วิทยุที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงกลางเดือนมีนาคม รวมทั้งการได้รับการตอบรับที่ดีจากยอดขายคอนโดมิเนียมในตลาดต่างจังหวัด โดยเฉพาะ คอนโดมิเนียมในทำเลเมืองท่องเที่ยวอย่างหัวหินและพัทยาซึ่งยังมีดีมานด์สูงจากทั้งลูกค้าชาวไทยและชาวต่างชาติ อาทิ การปิดการขายบ้านเคียงฟ้า หัวหิน จำนวน 616 ยูนิต มูลค่าโครงการกว่า 1,400 ล้านบาท รวมทั้งโครงการ เรน ชะอำ-หัวหิน รีสอร์ทคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ ที่สร้างยอดขายไปได้ถึง 60% ขณะที่พัทยามียอดตอบรับจากลูกค้าที่ดีมากเช่นเดียวกัน โดยบริษัทปิดการขายโครงการ เดอะ เบส พัทยากลาง (THE BASE Central Pattaya) จำนวน 1,112 ยูนิต มูลค่าโครงการ มูลค่าโครงการ 3,100 ล้านบาท รวมทั้งเตรียมปิดการขาย บ้านปลายหาด พัทยา รีสอร์ทคอนโดมิเนียมทำเลหาดวงศ์อมาตย์ ที่มีชายหาดที่เงียบสงบและเป็นส่วนตัวที่สุดในพัทยา ซึ่งมียอดขายไปแล้วถึง 97% “บริษัทยังมีรายได้รวมในช่วงไตรมาสแรกสูงถึง 7,124 ล้านบาท และมีกำไร 512 ล้านบาท ซึ่งนับว่าทรงตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา อัตรากำไรขั้นต้น หรือ Gross Profit Margin ปรับตัวดีขึ้นจาก 30.7% ในช่วงไตรมาสเดียวกันของปีก่อนเป็น 31.7% รวมถึงอัตราส่วนกำไรขั้นต้นจากการขายโครงการปรับตัวดีขึ้นจาก 30.3% เป็น 34.2% จากการโอนโครงการ 98 Wireless และบ้านเดี่ยวที่มี Margin สูง นอกจากนี้บริษัทยังสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดีขึ้นจากปีที่ผ่านมา โดยในไตรมาสแรกของปีนี้ บริษัทมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 1,325 ล้านบาท ปรับลดลงจากไตรมาส 4 ของปี 2016 ที่มีค่าใช้จ่าย 1,632 ล้านบาท ลงถึง 18.8%” นายวันจักร์ กล่าว สำหรับแผนธุรกิจในช่วงไตรมาส 2 ล่าสุด บีทีเอส แสนสิริ โฮลดิ้งกรุ๊ป ได้เปิดตัวคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ เดอะ เบส (THE BASE) ในชื่อโครงการ “เดอะ เบส เพชรเกษม” (THE BASE Phetkasem) จำนวน 640 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,850 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นคอนโดมิเนียมโครงการแรกของปีนี้ โดยบริษัทได้เปิดให้จองโครงการผ่านทาง “SANSIRI ONLINE BOOKING” เป็นครั้งแรก ซึ่งปรากฎว่าได้ผลตอบรับที่ดี โดยหลังจากเริ่มเปิดจองผ่าน SANSIRI ONLINE BOOKING ในช่วงเสาร์ – อาทิตย์ ที่ 13-14 พ.ค.ที่ผ่านมา มีลูกค้าเข้าจองผ่านระบบคิดเป็นจำนวนถึง 60% จากจำนวนห้องที่เปิดขายผ่าน SANSIRI ONLINE BOOKING ทั้งนี้บริษัทยังเปิดให้จองผ่านทาง SANSIRI ONLINE BOOKING ได้จนถึงวันที่ 19 พ.ค.นี้ พร้อมมอบส่วนลดและสิทธิพิเศษเพิ่มสูงสุดกว่า 1 แสนบาท ก่อนเปิดขายอย่างเป็นทางการในวันที่ 20-21 พ.ค. ในราคาเริ่มต้น 1.99 ล้านบาท นอกจากนี้บริษัทยังได้เตรียมเปิดตัวบ้านเดี่ยวโครงการแรกของปีนี้ ได้แก่ โครงการ “บุราสิริ วัชรพล” มูลค่าโครงการ 3,300 ล้านบาท ในช่วงไตรมาสที่ 2 นี้อีกด้วย
อนันดาฯ เปิดตัว Branding แคมเปญ

อนันดาฯ เปิดตัว Branding แคมเปญ "Today Together Tomorrow" #WECulture ปลุกพลังบวก ชวนคนเมืองแชร์ประสบการณ์ พร้อมความคิดดีๆ เพื่อชีวิตคนเมืองที่ดีอย่างเป็นรูปธรรม

บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ANAN ผู้นำแห่งวงการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับคนเมือง และผู้นำตลาดคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้า เปิดตัว แคมเปญใหญ่ "Today Together Tomorrow" #WECulture ตอกย้ำแนวคิด Urban Living Solutions ให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น ร่วมกันปลุกพลังความคิดด้านบวก ชวนคนเมืองเปิดใจ เปลี่ยนความคิด ทัศนคติ และการใช้ชีวิตจากการยึดติดกับตัวเองและทำเพื่อประโยชน์ของตัวเอง หรือ “ME” มาให้ความสำคัญและทำเพื่อส่วนรวมหรือ  “WE” มากขึ้น โดยชวนบุคคลที่มีชื่อเสียงและมีบทบาทในสังคมมาร่วมกันแบ่งปันและสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้เกิดขึ้นเพื่อมุ่งไปสู่ความร่วมมือ ก่อเกิดประโยชน์แก่ส่วนร่วมมากขึ้น นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัท ฯ ตระหนักและเข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมเมือง จึงมุ่งมั่นเดินหน้าพัฒนาคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าคุณภาพเยี่ยม เพื่อตอบโจทย์การอยู่อาศัยของคนเมือง พร้อมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าเดิมสำหรับวันนี้และอนาคต ล่าสุดเตรียมเปิดตัว  Branding Campaign  "Today Together Tomorrow" #WECulture ซึ่งถือเป็นภาคต่อของ "Ananda Live With Passion" เมื่อปี 2559 ที่ผ่านมา ที่เน้นว่าทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นจาก Passion และวิธีคิดของตัวเราและผลักดันให้เกิดการสร้างสรรค์และผลักดันไปสู่เป้าหมายของแต่ละคน และสำหรับปีนี้เป็นการตอกย้ำแนวคิด Urban Living Solutions ให้เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น คือ จาก Passion สู่การจัดการให้สิ่งที่คิดเกิดขึ้นจริง ซึ่งแนวคิดของแคมเปญนี้เกิดขึ้นจากความเชื่อในเรื่องของการให้ความร่วมมือซึ่งกันและกัน ( Collaboration ) การทำงานแบบเป็นทีม ( Team work ) เน้นความคิดสร้างสรรค์ ร่วมผลักดัน เพื่อให้เกิดสิ่งดีๆ และแบ่งปันสู่สังคม โดยไม่ได้ยึดถือว่าใครหรือคนใดเป็นเจ้าของความคิดสิ่งใดแต่เพียงผู้เดียว แต่หากเราเอาไอเดีย เอาความรู้ มาผสมผสานกันก็จะทำให้เกิดพลังบวกที่จะมาร่วมกันสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้เกิดขึ้นได้ในสังคม เพราะเราเพียงคนใดคนหนึ่ง องค์กรใดองค์กรหนึ่ง หรือหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งไม่สามารถเปลี่ยนแปลงวิธีคิด สังคม หรือปัญหาที่มีอยู่ให้จางหายหรือหมดไปได้ นั่นคือเหตุผลที่เราต้องกระตุ้นให้ทุกคนเห็นความสำคัญและทำเพื่อส่วนรวม หรือ  “WE” มากกว่าการทำเพื่อประโยชน์ของตัวเอง หรือ “ME”  โดย อนันดาฯ เราเชื่อในการร่วมมือกัน ช่วยกันหาคำตอบสำหรับปัญหาต่างๆ เพราะแต่ละคนก็มีทักษะและความถนัดในด้านที่ต่างกัน ไม่ใช่แค่คนในองค์กร แต่รวมถึงคน กลุ่ม องค์กร สถาบันภายนอกที่ อนันดาฯ ได้ร่วมงาน เราได้เปลี่ยนวิธีการทำงานเป็น Open Platform เปิดรับทุกความคิด ดึงกลุ่มคนรุ่นใหม่  คนที่เป็นความหวังของการเปลี่ยนแปลงอนาคตไปในทางที่ดีขึ้นเข้ามาร่วมแชร์ประสบการณ์ แชร์ความรู้ แชร์ทัศนคติกับเราในการพัฒนาหา Solutions ต่างๆ ที่จะทำให้ชีวิตคนเมืองดีขึ้น" นายชานนท์กล่าว   แคมเปญ "Today Together Tomorrow"#WECulture เกิดขึ้นเพื่อนำไปสู่การเริ่มต้นในการขับเคลื่อนทุกสิ่งทุกอย่างในสังคม ณ ปัจจุบัน ถ้าทุกคนเชื่อว่า "ME" (ตัวเรา) เป็นจุดศูนย์กลางของสังคมและทำทุกอย่างเพื่อตัวเอง ปัญหาก็จะเกิดขึ้นเป็นวงกว้าง อนันดาฯ จึงอยากชวนคนเมืองเปิดใจ คิดถึงภาพรวมและมองถึง "WE" (เราทุกคน) ให้มากขึ้น นอกจากนี้ ยังเป็นสัญลักษณ์สะท้อนผู้คนที่แตกต่างจากหลากหลายองค์กร ที่มีความถนัดและพรสวรรค์ที่ต่างกันและมาร่วมมือกันเพื่อหาทางออกให้กับคนเมืองที่ต้องประสบปัญหาในชีวิตประจำวัน  โดยสิ่งที่ทำไม่ใช่เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ต่อใครคนใดคนหนึ่ง หรือแม้แต่อนันดาฯ เอง แต่ควรจะเป็นประโยชน์อย่างแท้จริงให้กับสาธารณะที่ประสบปัญหาเหล่านั้นอยู่ ซึ่งทั้งหมดต้องผ่านการคิด การระดมมันสมองจากผู้มีความสามารถหลากหลายท่านร่วมกัน เพื่อนำไปใช้และทำให้เกิดเป็นรูปธรรมในการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าเดิมสำหรับเราทุกคน นอกจากนี้ พร้อมเปิดตัว Internet Film  เพื่อตอกย้ำความเป็นตัวตนของแบรนด์ อนันดาฯ ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดยได้บุคคลที่มีความสามารถจากหลากหลายอาชีพ และเป็นผู้มีชื่อเสียงในสังคมมาร่วมแชร์ความคิด แชร์ความรู้ เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาชีวิตคนเมืองอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งสามารถรับชม  ได้ทาง Youtube https://youtu.be/LvAydSUWLmE
SC โชว์ยอดขายไตรมาสแรกเติบโต 30% ปลื้มกลุ่มบ้านเดี่ยวราคา 3-10 ลบ. เติบโต 43% พร้อมกับ โครงการ 28 Chidlom (ทเวนตี้เอท ชิดลม) ได้รับการตอบรับดีมาก มียอดพรีเซลส์ปัจจุบันถึง 70% ของเฟสแรก

SC โชว์ยอดขายไตรมาสแรกเติบโต 30% ปลื้มกลุ่มบ้านเดี่ยวราคา 3-10 ลบ. เติบโต 43% พร้อมกับ โครงการ 28 Chidlom (ทเวนตี้เอท ชิดลม) ได้รับการตอบรับดีมาก มียอดพรีเซลส์ปัจจุบันถึง 70% ของเฟสแรก

นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์คุณภาพทุกระดับราคา กล่าวว่า  “ไตรมาส 1/60 บริษัทมียอดขาย 3,420   ล้านบาท เติบโต 30 % เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปีที่ผ่านมา ทั้งนี้เนื่องจากการได้รับการตอบรับที่ดีจากโครงการแนวราบและแนวสูง คือ กลุ่มบ้านเดี่ยวราคา 3-10 ล้านบาท ในแบรนด์ “เวนิว” และ “เพฟ”  มียอดขายเติบโต 43% พร้อมกับโครงการ 28 Chidlom (ทเวนตี้เอท ชิดลม) คอนโดฯ ระดับไฮเอนด์ทำเลบนถนนชิดลม มียอดพรีเซลส์ ณ ปัจจุบันถึง  70%  จากเฟสแรกของอาคาร The Tower โดยมีรายได้รวม 1,756 ล้านบาท กำไรสุทธิ 75 ล้านบาท พร้อมมียอดขายรอโอน หรือ Backlog ประมาณ 8,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นยอดโอนในปีนี้ประมาณ 30%” นายณัฐพงศ์ กล่าวเพิ่มเติมถึงแผนการเปิดโครงการใหม่ในไตรมาส 2/60 ว่า “SC จะเปิด 2 โครงการใหม่ มูลค่ารวมกว่า 3,100 ล้านบาท ได้แก่ โครงการ แกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด ศรีนครินทร์ ตั้งอยู่ติดถนนศรีนครินทร์ รถไฟฟ้าสายสีเหลือง เยื้องซีคอน พื้นที่กว่า37 ไร่ มูลค่าโครงการ 2,400 ล้านบาท จำนวน 73 ยูนิต ราคาเริ่ม 25 ล้านบาท เปิดจองครั้งแรก วันที่ 20-21 พ.ค.นี้ โครงการ เวนิว พระราม 5-2 ตั้งอยู่บนถนนนครอินทร์ พื้นที่กว่า 20 ไร่ มูลค่าโครงการ 760 ล้านบาท จำนวน 90 ยูนิต ราคาเริ่ม 5.99 ล้านบาท เปิดจองครั้งแรก วันที่ 3-4 มิ.ย.นี้” แกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด ศรีนครินทร์ เวนิว พระราม5-2   นอกจากนี้เป็นครั้งแรกของวงการอสังหาฯ ที่นำเทคโนโลยีทันสมัย Virtual Reality (VR) ให้ลูกค้ารับชมตัวอย่างบ้านผ่านเว็บไซต์เสมือนจริงแบบ 360 องศาได้ที่ https://goo.gl/0qGHOv  และ www.facebook.com/scasset นายณัฐพงศ์ กล่าวสรุปว่า “เราจะนำนวัตกรรมมาเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับลูกค้า พร้อมกับแก้ปัญหาที่เป็น pain points ของผู้อยู่อาศัย ด้วยแนวคิด human-centric ที่เข้าใจถึงพฤติกรรม และความต้องการของมนุษย์ โดยจะมุ่งพัฒนาที่อยู่อาศัย ที่มีทั้งนวัตกรรมและคุณภาพสูงในทุกระดับราคา”
พฤกษา เรียลเอสเตท โชว์ยอดขาย 13,303 ลบ. เติบโต 35.6% ลุยตลาดพรีเมียมผ่านฉลุย มั่นใจได้ตามเป้า

พฤกษา เรียลเอสเตท โชว์ยอดขาย 13,303 ลบ. เติบโต 35.6% ลุยตลาดพรีเมียมผ่านฉลุย มั่นใจได้ตามเป้า

นายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลประกอบการไตรมาส 1 ประจำปี 2560 ว่า “บริษัทฯ สามารถทำยอดขายได้ 13,303 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 35.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2559 ที่มีรายได้ 9,809 ล้านบาท จากยอดขายที่เติบโตเพิ่มสูงขึ้นมาจากการเปิดตัวคอนโดมิเนียมใหม่ 2 โครงการ ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีเยี่ยมจากลูกค้า คือ เดอะทรี สุขุมวิท 71 มียอดขายแล้ว 61.5% และ เดอะรีเซิร์ฟ ทองหล่อ ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก โดยปัจจุบันได้ปิดการขายแล้วทั้งโครงการ นอกจากนี้บริษัทฯ ยังสามารถทำรายได้ 8,072 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 681 ล้านบาท” นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท-พรีเมียม บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท  จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “แผนการรุกตลาดพรีเมียมในปีนี้ บริษัทฯ ใช้ Business Model ใหม่มาพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อตอบสนองกลุ่มคนรุ่นใหม่มากขึ้น โดยเน้นรูปแบบความแปลกใหม่ เพื่อสร้างสีสันและความแตกต่างให้แก่วงการอสังหาริมทรัพย์ เห็นได้ชัดเจนจากการเปิดตัวคอนโดมิเนียม “เดอะรีเซิร์ฟ ทองหล่อ” ซึ่งเป็นโครงการระดับมาสเตอร์พีชโครงการแรกของ พฤกษา เรียลเอสเตท เพียงสองอาทิตย์สามารถปิดการขายได้ทั้งโครงการ มูลค่า 1,830 ล้านบาท ล่าสุดเตรียมเปิดโครงการ “แชปเตอร์วัน ชายน์ บางโพ” คอนโดมิเนียมบนวิวโค้งน้ำเจ้าพระยาที่สวยที่สุด ที่เปิดขายอย่างไม่เป็นทางการเพียง 1 สัปดาห์ กวาดยอดขายไปแล้วกว่า 60% คิดเป็นมูลค่าเกือบ 1,000 ล้านบาท พร้อมสร้างกระแสในโลกออนไลน์ ด้วยยอดวิวของไวรัลคลิป (Viral clip) “MV หนุ่มบางโพ 2017” ด้วยยอดเข้าชมใน Facebook และ YouTube กว่า 1.5 ล้านวิว ภายใน 1 สัปดาห์  ก่อนการเปิดขายอย่างเป็นทางการในวันที่ 27-28 พ.ค.นี้ และด้วยกระแสตอบรับที่ดีจากลูกค้า จึงคาดว่าจะสามารถบรรลุตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ในปีนี้” นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ในไตรมาส 1 กลุ่มธุรกิจแวลู เปิดโครงการใหม่ไปแล้ว 11 โครงการ และมีแผนเปิดโครงการใหม่อีก 55 โครงการ ตามแผนการเปิดโครงการใหม่ในปีนี้ รวม 66 โครงการคิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 59,300 ล้านบาท โดย ณ สิ้นไตรมาส 1 บริษัทฯ ยังมีโครงการที่อยู่ระหว่างการขาย (Active Projects) ทั้งหมดอยู่อีก 168 โครงการ มูลค่า 83,736 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมียอดรอรับรู้รายได้ (Backlog) ของกลุ่มธุรกิจแวลูอยู่ที่ 23,611 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มสูงขึ้นจากสิ้นปี 2559 อยู่ที่ 12.8% นอกจากนี้บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญกับการปรับปรุงสินค้าและบริการอย่างต่อเนื่อง โดยใช้ “กลยุทธ์ Pruksa 4.0” มุ่งเน้นการนำนวัตกรรมใหม่ๆ ใน 4 ด้าน มาใช้ในการก่อสร้างที่อยู่อาศัย คือ 1) Smart - Product พัฒนาสินค้าแบบ HVA (High Value Added) 2) Smart - Marketing เน้นการใช้  Digital Marketing 3) Smart - Service พัฒนา Home Service Application 4) Smart - Construction ด้วยการใช้   E-Construction ลูกค้าจึงมั่นใจได้ว่าจะได้รับมอบบ้านที่ดีที่สุดจากพฤกษา เรียลเอสเตท นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงระบบการทำงานภายในองค์กร เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพสูงสุด”
ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ประกาศผลประกอบการปี 2560 รับรู้รายได้ 3,589.2 ล้านบาท กำไรสุทธิ 680.8 ล้านบาท เติบโต 36% ประกาศจ่ายปันผลทั้งปีรวม 0.30 บาท

ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ประกาศผลประกอบการปี 2560 รับรู้รายได้ 3,589.2 ล้านบาท กำไรสุทธิ 680.8 ล้านบาท เติบโต 36% ประกาศจ่ายปันผลทั้งปีรวม 0.30 บาท

บริษัท  ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN) ประกาศผลประกอบการไตรมาสแรกของปี 2560 ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยมียอดรับรู้รายได้ที่ 657.1 ล้านบาท ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนราว 14% และเติบโตดีกว่าภาพรวมผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มเดียวกันที่ชะลอตัว นอกจากนี้บริษัทยังคงความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุนได้ดีอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ในไตรมาสแรกบริษัทสามารถทำกำไรสุทธิที่ 114.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนราว 10% ขณะที่ยอดขายใหม่เพิ่มขึ้นได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ราว 900 ล้านบาท เตรียมลุยโครงการใหม่อีก 5-6 ทำเล จากไตรมาสแรกเปิดขาย 3 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 1,850 ล้านบาท นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ภายใต้คอนเซ็ปท์ “บ้านที่ปลูกบนความตั้งใจที่ดี” เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาสแรกของบริษัทจดทะเบียนหลายรายที่ประกาศออกมาพบว่าตลาดโดยรวมชะลอตัว เพราะตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงต้นปีที่ผ่านมาไม่เอื้ออำนวยมากนัก โดยมีการชะลอตัวต่อเนื่องมาตั้งแต่ช่วงปลายปี 2559 แล้ว อย่างไรก็ดี บริษัทได้มีการประเมินสถานการณ์สภาพเศรษฐกิจและตลาดโดยรวมได้ถูกต้อง จึงดำเนินการวางแผนงานกลยุทธ์ได้สอดคล้องกับสถานการณ์ ส่งผลทำให้บริษัทยังคงมีผลประกอบการที่ขยายตัวได้ โดยมียอดรับรู้รายได้ในไตรมาสแรกนี้ที่ 662.1 ล้านบาท ขยายตัวราว 14% และบริษัทยังคงความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุนได้ดีอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ในไตรมาสแรกบริษัทสามารถทำกำไรสุทธิที่ 114.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนราว 10% ขณะที่ยอดขายใหม่เพิ่มขึ้นได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ราว 900 ล้านบาท สำหรับการขยายธุรกิจ ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา บริษัทได้เปิดโครงการใหม่ไปแล้วทั้งสิ้น 3 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 1,850 ล้านบาท ซึ่งจะเริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาสสองเป็นต้นไป โดยตามแผนงาน บริษัทเตรียมที่จะเปิดโครงการใหม่อีกราว 5 - 6 โครงการในช่วงที่เหลือของปี ซึ่งจะช่วยให้บริษัทมีการขยายตัวที่มั่นคงต่อไป ทั้งนี้ ณ สิ้นไตรมาสแรกนี้ บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) อยู่ที่ 0.86 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโดยรวมของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ราว 1.4 เท่า นอกจากนี้บริษัทมีการใช้แหล่งเงินทุนที่หลากหลาย ตลอดจนมีวงเงินสำรองที่ไม่ได้เบิกใช้อีกจำนวนมาก สะท้อนถึงความแข็งแกร่งทางด้านการเงินของบริษัทได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ตามมติที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2560 เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2560 ที่ผ่านมา ได้มีมติอนุมัติจัดสรรกำไรสำหรับผลการดำเนินงานประจำปี 2559 โดยให้จ่ายปันผลเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัท ในอัตรา 8.25 หุ้นเดิม ต่อ 1 หุ้นใหม่ รวมทั้งอนุมัติให้จ่ายปันผลเป็นเงินสดในอัตราหุ้นละ 0.1385 ซึ่งบริษัทได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้วในอัตราหุ้นละ 0.125 บาท ดังนั้นจะคงเหลือจ่ายปันผลเป็นเงินสด ในงวดนี้อีก 0.0135 บาท ในส่วนของหุ้นปันผลที่ผู้ถือหุ้นได้รับนั้น จะสามารถเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้ในวันที่ 18 พฤษภาคม 2560 นี้
ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ชีวิตมีระดับ เปิดตัวออฟฟิศใหม่ ณ ภิรัชทาวเวอร์ แอท ไบเทค

ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ชีวิตมีระดับ เปิดตัวออฟฟิศใหม่ ณ ภิรัชทาวเวอร์ แอท ไบเทค

เมื่อเร็วๆนี้ โดยอาคาร ภิรัชทาวเวอร์ แอค ไบเทค ได้ทำการต้อนรับ บมจ. ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ เข้ามาเป็นผู้เช่ารายล่าสุดของโครงการด้วยความยินดี ณ อาคารสำนักงานเกรดเอ ในย่านธุรกิจสุขุมวิท-บางนา โดยอาคารสำนักงานแห่งนี้เป็นโครงการที่ถูกออกแบบภายใต้แนวคิด “Defining your Workplace” โดยนำเสน่ห์ดึงดูดด้านทัศนียภาพย่านธุรกิจ ผสมผสานกันระหว่างสไตล์โมเดิร์นกับการตกแต่งแบบร่วมสมัย ทั้งยังคำนึงถึงความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมอีกด้วย นายธนากร ธนวริทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ได้กล่าวระหว่างพิธีลงนามเซ็นสัญญาว่า “อาคารภิรัชทาวเวอร์ แอค ไบเทค ไม่เพียงแต่ตอบสนองความต้องการในด้านการคมนาคมที่สะดวก แต่ยังทำให้เรารู้สึกประทับใจกับสิ่งอำนวยความสะดวกสบายที่ครบครัน ทั้งยังติดตั้งเทคโนโลยีที่ทันสมัย และล้อมรอบไปด้วยสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับพนักงาน” นายปิติภัทร บุรี กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทภิรัชบุรี กล่าวว่า “เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ทางออล อินสไปร์ ได้เลือกภิรัชทาวเวอร์ แอท ไบเทค เป็นสำนักงานแห่งใหม่ เพราะมีวิสัยทัศน์คล้ายกับกลุ่มบริษัทภิรัชบุรีที่ไม่เคยหยุดนิ่งกับความสำเร็จ เราตระหนักอยู่เสมอว่า เราไม่เพียงแต่สร้างชื่อเสียงในด้านคุณภาพของอาคารสถานที่เท่านั้น แต่จะยังต้องสามารถนำเสนอชีวิตและไลฟ์สไตล์ที่มีคุณภาพเหนือระดับความต้องการให้แก่ผู้เช่า  และอาคารสำนักงานเกรดเอนี้ ได้ออกแบบ ภายใต้ความคิดการใช้งานที่ผสมผสาน บนพื้นที่สุขุมวิท-บางนา โดยสามารถตอบสนองทุกความต้องการของผู้เช่า และไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกันได้อย่างลงตัว” ภิรัชทาวเวอร์ แอท ไบเทค อาคารสำนักงานเกรดเอสูง 29 ชั้น ขนาด 32,000 ตารางเมตร เชื่อมต่อกับ สถานีรถไฟฟ้า  บีทีเอส บางนา และ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค นอกจากนี้ ยังนำเสนอบรรยากาศในการทำงานรูปแบบใหม่ ด้วยแนวคิดผสมผสานการใช้ประโยชน์พื้นที่ในรูปแบบต่างๆแก่พนักงานและผู้ประกอบการ
SENA ปักธงปี”60 รายได้โต 20% จากปีก่อน ส่งอสังหาฯแนวสูง-แนวราบบุกตลาดฯต่อเนื่อง ไตรมาส 2/60 เตรียมเปิดใหม่ 2-3 โครงการ มูลค่า 1.9 – 2.5 พันลบ.

SENA ปักธงปี”60 รายได้โต 20% จากปีก่อน ส่งอสังหาฯแนวสูง-แนวราบบุกตลาดฯต่อเนื่อง ไตรมาส 2/60 เตรียมเปิดใหม่ 2-3 โครงการ มูลค่า 1.9 – 2.5 พันลบ.

SENA เร่งเครื่องอัพยอดขายครึ่งปีหลัง ไตรมาส 2/60 เตรียมเปิดใหม่ 2-3 โครงการ มูลค่ากว่า1.9 – 2.5 พันล้านบาทผู้บริหารหญิงแกร่ง  “ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์”มั่นใจผลงานปีนี้มาตามนัด  รายได้โตเกิน 20% โชว์แบ็คล็อกหนากว่า 3 พันล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาส 2/60 จนถึงปี”61 ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (SENA)ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ชั้นแนวหน้าของเมืองไทยและในฐานะ Developer รายแรกที่ทำหมู่บ้านโซลาร์เต็มรูปแบบ เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในไตรมาส 1/60 มีรายได้รวม 466.30 ล้านบาท กำไรสุทธิ 70.70 ล้านบาท ขณะที่แนวโน้มในช่วงที่เหลือของปีนี้คาดว่าจะเติบโตอย่างโดดเด่น โดยได้รับปัจจัยหนุนจากยอดขายที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยปัจจุบันบริษัทฯมียอดขายรอโอน (Backlog) ทั้งโครงการแนวราบ และแนวสูงจำนวนกว่า 3,000 ล้านบาท (ณ 31 มีนาคม 2560) ซึ่งจะเป็นการทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ในไตรมาส 2/60 และต่อเนื่องไปถึงปีหน้า สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2560 บริษัทฯเตรียมเปิดใหม่ แผนเปิดโครงการใหม่ประมาณ 10 โครงการ มูลค่าประมาณ 12,000 ล้านบาทและในไตรมาส 2/60 เตรียมเปิด 2 -3 โครงการ มูลค่ารวม 1,900-2,500 ล้านบาท “แนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ คาดว่าจะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยได้รับปัจจัยหนุนจาการการร่วมมือกับพันธมิตรในการลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงจากธุรกิจพลังงานทดแทน ทั้งในส่วนของโซลาร์ฟาร์ม และโซลาร์รูฟ โดยในปีนี้บริษัทฯตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 20% เทียบกับปีที่ผ่านมามีรายได้รวม 4,059  ล้านบาท” ผศ.ดร.เกษรากล่าว สำหรับกลยุทธ์การดำเนินงานในปีนี้ SENA จะเน้นการนำเอาเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ มาพัฒนาสินค้าและบริการของเราให้ดียิ่ง ๆ ขึ้น ปีนี้เสนา เราทำงานภายใต้ธีม " Eco Innovation" ซึ่งหมายถึง ลบ 2 บวก 1 เพราะ Eco คือการประหยัดพลังงาน และประหยัดเวลา Innovation คือการนำเทคโนโลยีมาพัฒนาสิ่งที่เราทำอยู่แล้วให้ดียิ่ง ๆ ขึ้น และพัฒนาสิ่งใหม่ๆ เพื่อลูกค้า ซึ่งมีที่เสนาทำไปบ้างแล้วคือการใช้พลังงานไฟฟ้าจากแผลโซลาร์ที่ช่วยลดค่าใช้จ่ายส่วนกลางและเป็นพลังงานสะอาด การทำแอพพลิเคชั่น SENA 360 SERVICE ที่ช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงบริการหลังการขายของบริษัทได้โดยง่าย ซึ่งในปี 2560 เรามีแผนการพัฒนาแอพพลิเคชั่นให้ตอบโจทย์ลูกค้าให้สูงสุด ให้ลูกค้าประหยัดพลังงาน และประหยัดเวลา รวมทั้งเราจะเพิ่มประสิทธิภาพของแอพพลิเคชั่น ให้มีบริการที่ครบวงจรยิ่งขึ้น เพื่อที่จะตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ทันการเปลี่ยนแปลงในโลกยุคดิจิทัล
งานสถาปนิก’60 ครั้งที่ 31 ปิดฉากอย่างสวยงาม เผยยอดผู้ชมงานไทย-ต่างชาติเข้าร่วมงานเกินคาด

งานสถาปนิก’60 ครั้งที่ 31 ปิดฉากอย่างสวยงาม เผยยอดผู้ชมงานไทย-ต่างชาติเข้าร่วมงานเกินคาด

สมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมกับ บริษัท ทีทีเอฟ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด จัดงานสถาปนิก ’60 ครั้งที่ 31 ภายใต้แนวคิด “บ้าน บ้าน : BAAN BAAN” Reconsidering Dwelling ระหว่างวันที่ 2-7 พฤษภาคม 2560 ณ อาคารชาเลนเจอร์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี ที่ผ่านมา สำหรับกิจกรรมที่โดดเด่นภายในงานสถาปนิก’60 มีมากมาย โดยทางสมาคมต้องการที่จะเผยแพร่แนวคิด นวัตกรรมในวงการสถาปัตยกรรม ที่เกี่ยวกับที่อยู่อาศัย และเปิดเป็นพื้นที่ที่มีการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และความคิดเห็นต่างๆซึ่งกันและกัน ทั้งในกลุ่มวิชาชีพสถาปนิก วิศวกร ผู้รับเหมา นักธุรกิจที่เกี่ยวข้อง และที่สำคัญที่สุดคือ ประชาชนคนทั่วไปที่มีความต้องการและสนใจเรื่องบ้าน โดยผู้ที่เข้ามาชมงานสามารถร่วมกิจกรรมได้ ทั้งในส่วนของนิทรรศการสมาคม และกิจกรรมภายในงาน งานสถาปนิก’60 ปิดฉากลงอย่างสวยงาม และยังคงความยิ่งใหญ่ อัดแน่นด้วยสาระความรู้ นวัตกรรมและเทคโนโลยีวัสดุก่อสร้าง รวมถึงการบริการด้านงานสถาปัตยกรรมไว้อย่างครบถ้วน โดยในปีนี้มีผู้ร่วมแสดงสินค้ากว่า 850 ราย คิดเป็น 93% ของพื้นที่ 75,000 ตารางเมตร โดยเฉพาะบริษัทต่างชาติที่มาจัดแสดงเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วถึง 35% ภายในงานต่างยกทัพผลิตภัณฑ์นวัตกรรมและเทคโนโลยีเกี่ยวกับวัสดุก่อสร้างที่น่าสนใจมาเสนอมากมาย มีทั้งที่ทันสมัยสวยงาม อำนวยความสะดวกสบาย เพิ่มประสิทธิภาพและความหลากหลายในการใช้ประโยชน์ ช่วยลดต้นทุนการผลิตและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งจัดแคมเปญพิเศษสำหรับผู้เข้าชมงานนี้โดยเฉพาะ ซึ่งล้วนได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้เข้าชมงานทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ส่งผลให้ตลอดระยะงานการจัดงานทั้ง 6 วัน มียอดผู้เข้าชมงานประมาณ 400,000 ราย ซึ่งเพิ่มสูงกว่าปีที่แล้วประมาณ 13% เตรียมพบกันได้ใหม่ในงานสถาปนิก ’61 งานแสดงเทคโนโลยี สถาปัตยกรรมและวัสดุก่อสร้าง ใหญ่ที่สุดในอาเซียน ครั้งที่ 32 ซึ่งจะคงความเข้มข้นและยิ่งใหญ่ ระหว่างวันที่ 1-6 พฤษภาคม 2561 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 1-3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี
ยูนิเวนเจอร์ อวดกำไรส่วนของบริษัทเพิ่มขึ้นกว่า 2.6 เท่า

ยูนิเวนเจอร์ อวดกำไรส่วนของบริษัทเพิ่มขึ้นกว่า 2.6 เท่า

บริษัท ยูนิเวนเจอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ UV เผยผลประกอบการไตรมาส 1/2560 ผลกำไรสุทธิส่วนของบริษัทเพิ่มขึ้นกว่า 2.6 เท่ามาอยู่ที่ 418.9 ล้านบาท ขณะที่รายได้รวมอยู่ที่ 4,363.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปี 2559 นายวรวรรต ศรีสอ้าน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ยูนิเวนเจอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ UV กล่าวว่า ในไตรมาส 1/2560 บริษัทฯ มีรายได้รวมอยู่ที่ 4,363.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันในปีก่อน 737.3 ล้านบาท หรือมีการเติบโต 20% โดยมีสัดส่วนรายได้มาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย 3,513.6 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 81% ของรายได้รวม แบ่งเป็นรายได้จากโครงการแนวสูง มูลค่ารวม 1,320.1 ล้านบาท และจากโครงการแนวราบ มูลค่ารวม 2,193.5 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) กว่า 4,000 ล้านบาท จาก 33 โครงการ สำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่ามีรายได้ 402.5 ล้านบาท คิดเป็น 9% ของรายได้รวม มาจากอาคารสำนักงานเกรดเอ “ปาร์คเวนเชอร์ อีโคเพล็กซ์” จำนวน 61.1 ล้านบาท ซึ่งมีอัตราการเช่าเต็ม 100% ของพื้นที่ให้เช่า และอสังหาริมทรัพย์เพื่อให้เช่ากลุ่มแผ่นดินทอง 341.5 ล้านบาท อีกทั้งกลุ่มธุรกิจสังกะสีออกไซด์มีรายได้ 356.9 ล้านบาท คิดเป็น 8% ของรายได้รวม นอกจากนี้ยังมีรายได้จากธุรกิจอื่นๆ 90.9 ล้านบาท คิดเป็น 2% ของรายได้” นายวรวรรต กล่าว
GRAND VALLEY PATTAYA บ้านพักตากอากาศ เปิดบ้านเฟส 2 รองรับความต้องการลูกค้ากลุ่มครอบครัว

GRAND VALLEY PATTAYA บ้านพักตากอากาศ เปิดบ้านเฟส 2 รองรับความต้องการลูกค้ากลุ่มครอบครัว

“พงษ์พิทยา พร็อพเพอร์ตี้” ยักษ์ใหญ่อสังหาฯบุรีรัมย์ ขยายฐานลูกค้า บุกเมืองพัทยา ซุ่มจองทำเลทองเปิดโครงการ GRAND VALLEY PATTAYA บ้านพักตากอากาศบนพื้นที่ส่วนตัว ปั้มยอดขายแล้วกว่า 50% พร้อมเร่งเปิดเฟส 2 เพิ่มฟังก์ชั่นแห่งการพักผ่อน ยิ้มรับอานิสงค์โครงการภาครัฐ ทำที่ดินราคาขยับ นางปารดา พิทยาภรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พงษ์พิทยา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้ประกอบกิจการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมีประสบการณ์ด้านธุรกิจก่อสร้างมาอย่างยาวนานกว่า 20 ปี ภายใต้กลุ่มห้างหุ้นส่วนจำกัด เค.เอ.พี.เพาเวอร์ ( KAP Group ) เปิดเผยถึงแผนพัฒนาโครงการ GRAND VALLEY PATTAYA บ้านพักตากอากาศ บนทำเลแห่งอนาคต ใน อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ว่า บริษัทได้เข้ามาพัฒนาพื้นที่ในบริเวณดังกล่าวตั้งแต่ปี 2556 เพื่อจัดทำโครงการ GRAND VALLEY PATTAYA ด้วยมูลค่าโครงการ 500 ล้านบาท เนื่องจากเล็งเห็นถึงศักยภาพของพื้นที่ของเมืองพัทยา ซึ่งเป็นเมืองแห่งการพักผ่อนและท่องเที่ยวอันดับต้นๆของประเทศ โดยในแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาท่องเที่ยวปีละกว่า 9 ล้านคน และด้วยศักยภาพของทำเลที่ตั้งโครงการที่อยู่ใกล้กับแหล่งท่องเที่ยวสำคัญๆของเมืองพัทยา แต่เป็นโซนที่มีความเงียบสงบเหมาะกับการพักผ่อน และที่สำคัญอยู่ห่างจากสนามบินอู่ตะเภาเพียง 20 นาที จากศักยภาพด้านทำเล และการออกแบบบ้านพักตากอากาศของ GRAND VALLEY PATTAYA ที่มอบพื้นที่การพักผ่อนที่เป็นส่วนตัว ด้วยการจัดสรรพื้นที่ของห้องนอนในแต่ละห้องให้แยกส่วนกันอย่างชัดเจน แต่เชื่อมต่อบ้านด้วยห้องพักผ่อนและห้องอาหารที่ทำให้สมาชิกทุกคนสามารถทำกิจกรรมร่วมกันได้ในวันพักผ่อนได้อย่างลงตัว พร้อมสระว่ายน้ำส่วนตัวให้กับบ้านทุกยูนิต ภายใต้แนวคิด“Privately Your Own Space บ้านพักตากอากาศบนพื้นที่ส่วนตัวของคุณ” ที่จะเติมเต็มวันพักผ่อนของทุกคนในครอบครัว ให้เป็นวันแห่งความสุข สนุก และอบอุ่น ที่ให้คุณมากกว่าบ้านพักตากอากาศ ภายใต้สโลแกน MORE THAN YOUR RELAXED MINDมากกว่าสุนทรีย์แห่งการพักผ่อนของคุณ ด้วยทำเลที่สะดวกสบายกว่า …มากกว่าด้วยพื้นที่ใช้สอยที่กว้างกว่า…มากกว่าด้วยบรรยากาศที่ร่มรื่นกว่า…มากกว่าด้วยความคุ้มค่าของพื้นที่ในอนาคต ทำให้ล่าสุดสามารถปิดการขายไปได้แล้วถึง 50% ของจำนวนบ้านทั้งหมด 43 ยูนิต หลังจากเริ่มเปิดขายบ้านในโครงการตั้งแต่ไตรมาสมี่ 4 ของปี 2558 นางปารดา กล่าวต่อว่า จากความสำเร็จดังกล่าว ล่าสุด GRAND VALLEY PATTAYA ได้เปิดบ้านเฟส 2 เพื่อนำเสนอแบบบ้านใหม่ 2 แบบ ด้วยการเพิ่มฟังก์ชั่นภายในบ้าน เพิ่มเติมพื้นที่แห่งการพักผ่อน และเติมเต็มความเป็นส่วนตัวให้ก้บสมาชิกในครอบครัว โดยแบบบ้านใหม่แบบแรก คือ แบบ Lake View A Plus บ้านเดี่ยว 2 ชั้น วิวทะเลสาบส่วนตัว และ แบบ Grand Hill A Plus บ้านเดี่ยว 2 ชั้น วิวเขาชีจรรย์บน พื้นที่ใช้สอยเริ่มต้น 343 ตารางเมตร โดยฟังก์ชั่นการใช้งาน ได้มีการขยายและปรับส่วนพื้นที่ใช้สอยให้เหมาะสม ด้วยการเพิ่มโถงให้ดูโปร่งโอ่โถงขึ้น และขยายพื้นที่ส่วนห้องรับแขกให้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น ในฟังก์ชั่น 3 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ 1 ห้องพักผ่อน 1 ห้องครัว สระว่ายน้ำส่วนตัวขนาด 40 ตรม.พื้นที่ Party รอบสระว่ายน้ำ 1 ห้องแม่บ้าน พร้อมที่จอดรถ 2 คัน แบบบ้านที่ 2 คือ แบบ Grand Hill C Plus บ้านเดี่ยว 1 ชั้น วิวเขาชีจรรย์ บนพื้นที่ใช้สอยเริ่มต้น 314 ตารางเมตร ปรับให้สไตล์บ้านดูกว้างขวางและทันสมัยมากขึ้น พื้นที่ใช้สอยสะดวกเชื่อมหากันอย่างลงตัว เสริมด้วยพื้นที่ปาร์ตี้ริมสระว่ายน้ำ ด้วยฟังก์ชั่น 3 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ 1 ห้องพักผ่อน 1 ห้องครัว สระว่ายน้ำส่วนตัวขนาด 40 ตรม.พร้อมที่จอดรถ 2 คัน ซึ่งจากแบบบ้านที่ตอบโจทย์การพักผ่อนรวมถึงทำเลที่ตั้งที่มีศักยภาพและเป็นทำเลแห่งอนาคต ทำให้มั่นใจว่าจะสามารถปิดโครงการได้ภายในปี 2563 “ ทำเลที่ตั้งของโครงการถือเป็นทำเลที่มีศักยภาพมาก เพราะนอกจากจะใกล้แหล่งท่องเที่ยวสำคัญๆของเมืองพัทยา อาทิ เขาชีจรรย์ ไร่องุ่นซิลเวอร์แลค สวนน้ำรามายาณะ สวนน้ำการ์ตูนเน็ตเวิร์ค และสวนนงนุช แล้ว ยังสามารถเดินทางเข้าออกได้หลายทางทั้งถนนสุขุมวิท และทางหลวงหมายเลข 331 เลี่ยงเมืองพัทยาเชื่อมต่อถนนมอเตอร์เวย์ได้อย่างสะดวกสบาย ประกอบกับล่าสุดรัฐบาลมีแผนที่จะดำเนินการพัฒนาโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) โดยเบื้องต้นประกาศให้พื้นที่ของสนามบินอู่ตะเภาเป็นเขตส่งเสริมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ เมืองการบินภาคตะวันออก รวมถึงโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน คือ ดอนเมือง สุวรรณภูมิ และอู่ตะเภา ยิ่งทำให้ที่ตั้งของโครงการมีศักยภาพเพิ่มมากยิ่งขึ้น” นางปารดา กล่าว อย่างไรก็ตาม บริษัท พงษ์พิทยา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เริ่มต้นจากการทำธุรกิจในกลุ่มก่อสร้างอาคารและโยธา ใน จ.บุรีรัมย์ ภายใต้กลุ่มห้างหุ้นส่วนจำกัด เค. เอ. พี. เพาเวอร์ หรือ KAP Group ตั้งแต่ปี 2537 และเข้าสู่ธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์คอนกรีตกลุ่มงานโครงสร้าง จากความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ที่อยู่ในธุรกิจก่อสร้างมาอย่างยาวนาน ทำให้เกิดธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพยขึ้น ภายใต้บริษัท พงษ์พิทยา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด และห้างหุ้นส่วนจำกัด เค.เอ.เพาเวอร์ พัฒนาภาคอสังหาริมทรัพย์แบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ  โครงการบ้านเดี่ยว  โครงการคอนโดมิเนียม  และบ้านพักตากอากาศ โดยที่ผ่านมาบริษัท พงษ์พิทยา ได้พัฒนาอสังหาฯที่ จ.บุรีรัมย์ ตั้งแต่ปี 2553 โดยปัจจุบันมีโครงการพัฒนาอสังหาฯแล้ว 5 โครงการ สำหรับโครงการอสังหาฯของ บริษัท พงษ์พิทยา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ได้รับความสนใจจากกลุ่มลูกค้าอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการเลือกทำเลที่ตั้งของแต่ละโครงการ บริษัทฯได้คัดสรรทำเลที่มีศักยภาพ และสามารถตอบโจทย์การใช้ชีวิตในปัจจุบันให้กับลูกค้าได้ โดยเน้นเส้นทางคมนาคม และพื้นที่แห่งอนาคตเป็นสำคัญนอกจากนี้กลยุทธ์หลักและจุดแข็งของเรายังคงเน้นสินค้า Hi-Quality ด้วยความเชี่ยวชาญด้านการคัดเลือกวัสดุในการก่อสร้าง เนื่องจากที่มีธุรกิจก่อสร้างรวมถึงเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์และคอนกรีตที่อยู่ในเครือเดียวกัน ทำให้สามารถควบคุมต้นทุนและควบคุมคุณภาพวัสดุก่อสร้างได้ทุกชิ้น ทำให้มั่นใจว่าสินค้าทุกเซ็กเมนต์ภายใต้โครงการของบริษัท พงษ์พิทยา พร็อพเพอร์ตี้ นอกจากจะเป็นสินค้าที่มีคุณภาพและมาตรฐานสูงแล้ว ยังเป็นสินค้าที่อยู่ในระดับราคาที่เหมาะสม และเป็นราคาที่ลูกค้าพอใจ
เปลี่ยนเช่าอยู่ เป็นเจ้าของคอนโด “ลุมพินี วิลล์ พระนั่งเกล้า-ริเวอร์วิว”

เปลี่ยนเช่าอยู่ เป็นเจ้าของคอนโด “ลุมพินี วิลล์ พระนั่งเกล้า-ริเวอร์วิว”

เปลี่ยนเช่าอยู่ เป็นเจ้าของคอนโด  “ลุมพินี วิลล์ พระนั่งเกล้า-ริเวอร์วิว”           คงจะดีไม่น้อยหากเป็นเจ้าของคอนโดที่ใกล้แม่น้ำ-รถไฟฟ้า และยังมีความเป็นส่วนตัวสูง โดยบริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) ใส่ใจถึงความต้องการดังกล่าาวจึงคัดสรรหนึ่งที่ดินที่ดีที่สุดย่านสะพานพระนั่งเกล้า- รัตนาธิเบศร์ มาพัฒนาอาคารชุดพักอาศัยคุณภาพ ภายใต้ชื่อ “ลุมพินี วิลล์ พระนั่งเกล้า-ริเวอร์วิว” รองรับความต้องการของคนอยากมีบ้านที่ใกล้ชิดธรรมชาติ และใกล้สิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครันในราคาที่จับต้องได้                “ลุมพินี วิลล์ พระนั่งเกล้า-ริเวอร์วิว” เป็นคอนโดที่ครบทุกอรรถรสการอยู่อาศัย และยังสามารถเชื่อมต่อการเดินทางด้านบริการขนส่งมวลชนที่ครบถ้วนทั้งรถไฟฟ้า-เรือโดยสารเข้าด้วยกัน ทำให้ทำเลดังกล่าวเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยชั้นดี โดยเฉพาะรถไฟฟ้าสายสีม่วงที่เชื่อมต่อทุกเส้นทางจากนนทบุรี-กรุงเทพฯ นั้นอยู่ใกล้กับโครงการถึง 2 สถานี ได้แก่ สถานีไทรม้า และสถานีสะพานพระนั่งเกล้า สามารถช่วยลดระยะเวลาการเดินทางของคนทำงานในเมือง อีกทั้งเส้นทางของรถไฟฟ้านี้ยังผ่านพื้นที่ที่เป็นแหล่งงานสำคัญๆ เช่น ศูนย์ราชการจังหวัดนนทบุรี และหน่วยงานระดับประเทศ เช่น กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข  รวมถึงแหล่งช้อปปิ้งขนาดใหญ่ เช่น เซ็นทรัลพลาซา เวสต์เกต เป็นต้น รายละเอียดโครงการ เจ้าของโครงการ  บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ลักษณะคอนโด    อาคารชุดพักอาศัย สูง 8 ชั้น จำนวน 4 อาคาร จำนวนห้อง    905 ยูนิต และร้านค้า 4 ยูนิต ที่จอดรถ    300 คัน (รวมที่จอดซ้อนคัน) พื้นที่โครงการ    ประมาณ 9 ไร่เศษ ที่ตั้งโครงการ  ถนนรัตนาธิเบศร์  ห่างจากสถานีไทรม้า ประมาณ 900 เมตร และสถานีสะพานพระนั่งเกล้า ประมาณ 1 กิโลเมตร สถานที่สำคัญใกล้เคียง เซ็นทรัลพลาซา เวสต์เกต ซ็นทรัลพลาซา รัตนาธิเบศร์ เทสโก้ โลตัส เอสพานาด รัตนาธิเบศร์ โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า โรงเรียนสตรีนนทบุรี ศูนย์ราชการจังหวัดนนทบุรี กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข ท่าน้ำนนท์ โครงการดังกล่าว ตั้งอยู่บนยุทธศาสตร์ที่เหมาะแก่การอยู่อาศัยเองและลงทุน ล้อมรอบด้วยวิวเมืองนนทบุรี ที่สำคัญคือการเดินทางสะดวกสบาย โดยคอนโดลุมพินีแห่งนี้เป็นอาคารชุดพักอาศัย สูง 8 ชั้น 4 อาคาร ตั้งอยู่บนเนื้อที่ประมาณ 9 ไร่เศษ ตอบโจทย์ความเป็นส่วนตัวด้วยจำนวนห้องชุดที่ไม่มากนัก เพียงประมาณ 900 ยูนิต โดยมีรูปแบบห้องชุดขนาด  22.5-35  ตร.ม. พรั่งพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกในโครงการ ได้แก่ สระว่ายน้ำ ห้องออกกำลังกาย ห้องเรียนรู้ ห้องคุณหนู ห้องเปี่ยมสุข  ห้องเฮ้าส์เวิร์ค สนามเด็กเล่น สวนรวมใจ และบริการรถตู้รับ-ส่งไปยังรถไฟฟ้าสถานีไทรม้าและสถานีสะพานพระนั่งเกล้า                  “ลุมพินี วิลล์ พระนั่งเกล้า-ริเวอร์วิว” พร้อมเข้าพักอาศัยได้ปลายปี 2560 พิเศษ สำหรับผู้สนใจจองซื้อโครงการดังกล่าว เฉพาะห้องชุดขนาด 22.5 ตร.ม. รับส่วนลดพิเศษสูงสุด 220,000 บาท โดยบริษัทได้วางแผนด้านการเงินให้แก่ลูกค้าด้วยการผ่อนสบายๆ เพียงเดือนละ 2,000 บาท รวมทั้งหมด 8 เดือน ซึ่งค่าใช้จ่ายนี้สามารถแบ่งเบาภาระแก่ลูกค้าก่อนการโอนกรรมสิทธิ์ นับว่าเป็นโครงการที่ตอบโจทย์สำหรับกลุ่มลูกค้าที่กำลังเช่าอพาร์ทเม้นท์ให้เปลี่ยนมาเป็นเจ้าของคอนโดลุมพินีได้อย่างง่ายๆ มาสัมผัสและแวะชมห้องตัวอย่างคอนโดลุมพินี วิลล์ พระนั่งเกล้า-ริเวอร์วิว ได้แล้ววันนี้ที่สำนักงานขายโครงการ โทร 02-195-8300   สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม LPN Call Center 02-689-6888 , www.lpn.co.th และ Facebook : Condo Lumpini
“คอตโต้” ดีไซน์ห้องน้ำสวย 9 สไตล์ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และความชอบที่แตกต่าง เนรมิตให้ชมจริงในงานสถาปนิก 60

“คอตโต้” ดีไซน์ห้องน้ำสวย 9 สไตล์ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และความชอบที่แตกต่าง เนรมิตให้ชมจริงในงานสถาปนิก 60

“คอตโต้” ดีไซน์ห้องน้ำสวย 9 สไตล์ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และความชอบที่แตกต่าง เนรมิตให้ชมจริงในงานสถาปนิก 60 คอตโต้ แบรนด์กระเบื้อง สุขภัณฑ์ และก๊อกน้ำระดับโลก นำเทรนด์ความต้องการของลูกค้ามาสร้างสรรค์เป็นห้องน้ำสวย 9 สไตล์ ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากความสวยงามของธรรมชาติ เนรมิตให้ชมบนพื้นที่ขนาดจริง เปิดให้ชมเพื่อเป็นไอเดียสำหรับผู้ที่ต้องการสร้างหรือปรับปรุงห้องน้ำใหม่ ในงานสถาปนิก 60 ระหว่างวันที่ 2-7 พฤษภาคมที่ผ่านมานี้ ที่อิมแพค เมืองทองธานี           นายธนนิตย์ รัตนเนนย์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด สินค้ากระเบื้องคอตโต้ บริษัท เซรามิคอุตสาหกรรมไทย จำกัด กล่าวว่า คอตโต้เข้าใจถึงสไตล์และความชื่นชอบที่แตกต่างกันของลูกค้า จึงได้ใส่ใจในการออกแบบห้องน้ำสวย (Beautiful Bathroom) ถึง 9 สไตล์ เพื่อให้ห้องน้ำเป็นพื้นที่แห่งความสุขที่ตรงใจลูกค้าที่มีไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกัน ประกอบด้วยห้อง EBLU จุดประกายไอเดียสร้างสรรค์ และเพิ่มความสนุกด้วยความสดใสแวววาวในบรรยากาศสไตล์ Minimal pop-art,POLLINO สร้างสรรค์สไตล์ที่แตกต่างของ Urban Loft และ Vivid Yellow Art เปลี่ยนห้องไม้โอ๊กแดง ให้เด่นด้วยสีสันของยาแนวสีเหลือง, LEGEND ห้องน้ำที่ทำให้หวนนึกถึงความทรงจำในอดีต เผยให้เห็นความงามของธรรมชาติที่ผ่านกาลเวลา, HARMONIZE STONE มอบความอบอุ่นของลวดลายหินผสมความดิบของธรรมชาติและการตกแต่งด้วยของสะสม, THE 60s WOOD ย้อนวันวานไปกับความเท่สไตล์เรโทรในยุค 60 ด้วยลวดลายไม้แบบเรขาคณิต สำหรับห้องน้ำสวยอีก 4 สไตล์ ได้แก่ CHARISMA หรูหราและทันสมัยด้วยเฉดสีของลวดลายหินอ่อนผสมผสานกับลูกเล่นของสีโรสโกลด์ พร้อมประโยชน์ใช้สอยที่ซ่อนพื้นที่จัดเก็บไว้อย่างลงตัว,NIPPON WOOD โชว์ให้เห็นลวดลายไม้สนที่สวยงามที่ผ่านกระบวนการเผาไฟแบบญี่ปุ่น โดดเด่นด้วยกาวยาแนวที่ทำให้ห้องดูเรียบง่ายในแบบฉบับญี่ปุ่น, CALACATTA CLASSICO สร้างบรรยากาศห้องที่เรียบ เท่ ด้วยสีขาวละมุนและอบอุ่นของหินอ่อน Golden Calacatta และ ARCH WOOD เข้ากับวิถีชีวิตคนยุคใหม่ โดยผสานเทคโนโลยีและวัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเข้าด้วยกัน นอกจากห้องน้ำสวยทั้ง 9 สไตล์แล้ว คอตโต้ยังมีตัวอย่างห้องน้ำให้เลือกอีกมากมาย พร้อมสัมผัส กระเบื้องแก้ว ดีไซน์ล่าสุดที่การันตีด้วยรางวัล Best of the Best จากเวทีประกวดระดับโลก Red Dot Design Awards 2016 และพบกับฟังก์ชั่นการใช้งานที่หลากหลายด้วย กระเบื้องพอร์ซเลน นำเข้าจากอิตาลี นอกจากนี้ ลูกค้ายังสามารถเป็นเจ้าของห้องน้ำสวยในแบบของตัวเองได้เพียงนำแรงบันดาลใจที่ได้จากที่ใดก็ตามมาพูดคุยกับ ครีเอทีฟ         ดีไซเนอร์ ผู้เชี่ยวชาญการออกแบบห้องน้ำของคอตโต้ได้ภายในงาน ซึ่งสินค้าและบริการทั้งหมดนี้ ผู้สนใจยังสามารถไปใช้บริการได้ที่เอสซีจี เอ็กซพีเรียนซ์ หรือเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมในเบื้องต้นได้ที่ www.cotto.com    
“แอสเซทไวส์” ปลื้มยอดขายไตรมาสแรก 1,500 ล้านบาท พร้อมบุกใจกลางเมือง ลุยทำเลฮ็อตต่อเนื่อง

“แอสเซทไวส์” ปลื้มยอดขายไตรมาสแรก 1,500 ล้านบาท พร้อมบุกใจกลางเมือง ลุยทำเลฮ็อตต่อเนื่อง

“แอสเซทไวส์” ปลื้มยอดขายไตรมาสแรก 1,500 ล้านบาท พร้อมบุกใจกลางเมือง ลุยทำเลฮ็อตต่อเนื่อง   นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด เปิดเผยว่า ยอดขายใน ไตรมาสแรก ของปี 2560 ว่า ค่อนข้างเป็นที่น่าพอใจ โดยมียอดขายอยู่ที่ 1,500 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากยอดขายของโครงการ “เคฟ คอนโด” (Kave Condo) คอนโดมิเนียมบนทำเลที่มีศักยภาพ ติดถนนพหลโยธิน ตรงข้ามมหาวิทยาลัยกรุงเทพ วิทยาเขตรังสิต ที่มียอดขายในขณะนี้ถึง 95% หลังจากเปิดขายเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา   “นอกจากนี้ รายได้ส่วนใหญ่ยังมาจากโครงการ  “วินน์ คอนโด ลาดพร้าว-โชคชัย 4”คอนโดมิเนียมตั้งอยู่บนถนนโชคชัย 4 ซึ่งเป็นทำเลศักยภาพที่แวดล้อมไปด้วยความสะดวกสบายรอบด้าน แหล่งรวมร้านอาหารชั้นนำ การคมนาคมที่สะดวกสบาย สามารถเดินทางสู่ย่านธุรกิจใจกลางเมืองได้อย่างคล่องตัว ใกล้จุดขึ้นลงทางด่วนรามอินทรา - อาจณรงค์ (ลาดพร้าว) และอยู่ใกล้รถไฟฟ้าถึง 2สาย ได้แก่ รถไฟฟ้า MRT สถานีลาดพร้าว และรถไฟฟ้าสายสีเหลือง สถานีโชคชัย 4 ซึ่งจะเปิดให้บริการในอีกไม่ช้า ทั้งยังรองรับด้วยการคมนาคมหลากหลายเส้นทาง ไม่ว่าจะเป็น ถนนลาดพร้าว ถนนพหลโยธิน ถนนรัชดาภิเษก ถนนประดิษฐ์มนูธรรม และถนนเกษตร - นวมินทร์ พร้อมทั้งอยู่ใกล้สถานที่สำคัญ ทั้งสถานศึกษา ห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล และสถานที่อำนวยความสะดวกต่าง ๆ โดยในปัจจุบัน มียอดขายมากกว่า 70%”   นอกจากนี้ นายกรมเชษฐ์ได้กล่าวถึงความคืบหน้ายอดขายโครงการคอนโดมิเนียมอื่น ๆ ของบริษัทฯ ไม่ว่าจะเป็น           บราวน์ คอนโด รัชดา 32 ซึ่งเปิดขายเมื่อช่วงปลายปี 2559 ปัจจุบันมียอดขายมากกว่า 80%  พร้อมทั้งโครงการโมดิซ อินเตอร์เชนจ์ ซึ่งมีการทำการตลาดเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา มียอดขาย 50% รวมถึงล่าสุดกับโครงการ “บราวน์ คอนโด พหลฯ – สะพานใหม่” ซึ่งตั้งอยู่ซอยพหลโยธิน 67 ติดสถานีรถไฟฟ้าสายสีเขียว ที่เริ่มเปิดขายเมื่อไม่นานมานี้มียอดขายขณะนี้อยู่ที่ 30%   “ในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้ บริษัทฯ มีเป้าหมายเปิดตัวโครงการใหม่ ได้แก่ โครงการ แอทโมซ (Atmoz) ขนาด 600 – 700 ยูนิต ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพ ซอยลาดพร้าว 71 ซึ่งคาดว่าจะเปิดขายในเดือนสิงหาคม ศกนี้” นายกรมเชษฐ์ กล่าวในตอนท้าย
SC ยุค 4.0 มั่นใจเติบโตทั้งปริมาณและคุณภาพ ประกาศปรับโครงสร้างองค์กร พร้อมแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูง

SC ยุค 4.0 มั่นใจเติบโตทั้งปริมาณและคุณภาพ ประกาศปรับโครงสร้างองค์กร พร้อมแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูง

นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “จากที่ได้ประกาศยุทธศาสตร์เชิงรุกของ SC ยุค 4.0 ด้วยแนวคิด human-centric ที่เข้าใจถึงพฤติกรรม และความต้องการของมนุษย์ โดยจะมุ่งพัฒนาที่อยู่อาศัย ที่มีทั้งนวัตกรรมและคุณภาพสูงในทุกระดับราคา”  บริษัทจึงปรับเปลี่ยนโครงสร้างการบริหารงาน พร้อมแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูง มีผลตั้งแต่เดือนเมษายน 2560 ดังนี้ แต่งตั้งผู้บริหารระดับสูง โดยแต่งตั้ง นายอรรถพล สฤษฎิพันธาวาทย์ เป็นกรรมการบริษัท และดำรงตำแหน่งประธาน เจ้าหน้าที่ด้านสนับสนุนองค์กร (Chief Corporate Officer) ทำหน้าที่กำกับดูแลสายงาน  Corporate ได้แก่ สายงานการเงิน บัญชี กฎหมาย บริหารทรัพยากรบุคคลและธุรการ เทคโนโลยีสารสนเทศ และสายงานบริหารทรัพย์สิน พร้อมแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูงในสายงาน 3 ท่าน ดังนี้ นางปรารถนา แพทย์สมาน ดำรงตำแหน่ง หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (Chief Financial Officer) นายวิทิต วิศาลพัฒนะสิน ดำรงตำแหน่ง หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านบัญชี (Chief Accounting Officer) นายสมบูรณ์ คุปติมนัส ดำรงตำแหน่ง หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านกฎหมาย (Chief Legal Officer) จัดกลุ่มโครงสร้างสายงานพัฒนาโครงการใหม่เพื่อความคล่องตัว แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ภายใต้การดูแลของผู้บริหารตำแหน่งรองหัวหัวหน้าคณะผู้บริหาร (Deputy Chief Operating Officer) ดังนี้ นายเกรียงศักดิ์  เหี้ยมโท้       ดูแลด้านพัฒนาโครงการ แนวราบ 1 นายมงกุฎ เตโชฬาร           ดูแลด้านพัฒนาโครงการ แนวราบ 2 นายประยงค์ยุทธ   อิทธิรัตน์ชัย  ดูแลด้านพัฒนาโครงการ แนวสูง ตั้งแผนกใหม่ เพื่อทำหน้าที่ออกแบบผลิตภัณฑ์และนวัตกรรม ทั้งโครงการแนวราบและแนวสูง (Product Design & Innovation Low Rise - Product Design & Innovation High Rise) เพื่อสร้าง concept home ต้นแบบในแต่ละปีให้มีทั้งนวัตกรรมและคุณภาพสูง การปรับเปลี่ยนโครงสร้างครั้งนี้ นับเป็นกลยุทธ์หนึ่งเพื่อสร้างเสริมประสิทธิภาพต่อการเติบโต ทั้งปริมาณและคุณภาพ ของ SC ยุค 4.0
“ออริจิ้น” เปิดตัว Notting Hill Skyscraper Central Rattanathibet ชูจุดขาย “ซูเปอร์ฟาซิลิตี้” สู้ศึกทำเลสายสีม่วง

“ออริจิ้น” เปิดตัว Notting Hill Skyscraper Central Rattanathibet ชูจุดขาย “ซูเปอร์ฟาซิลิตี้” สู้ศึกทำเลสายสีม่วง

ออริจิ้น จับมือนักปั้นแบรนด์อสังหาฯมือทอง “ยงยุทธ ชัยพรหมประสิทธิ์” เปิดตัวโครงการใหม่ “นอตติ้ง ฮิลล์ สกายสแครปเปอร์ เซ็นทรัล รัตนาธิเบศร์” มูลค่าโครงการ 2,500 ล้านบาท ชูจุดขาย “Reach A New High” ตึกสูงสุดในย่าน-เพดานสูง 3 เมตร-ทำเลโดดเด่นติดถนนใหญ่ พร้อมส่วนกลางแบบ “ซูเปอร์ฟาซิลิตี้” และบริการแบบ “นิว บูทีค โฮเทล เซอร์วิส” มั่นใจแกร่งสู้ศึกดีมานด์รถไฟฟ้าสายสีม่วง เปิดวีไอพีพรีเซล 17 มิ.ย.นี้ ราคาเริ่มต้น 1.49 ล้านบาท นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ ไนท์บริดจ์ (Knightsbridge), นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill), และเคนซิงตัน (Kensington) กล่าวว่า บริษัทได้ร่วมกับนายยงยุทธ ชัยพรหมประสิทธิ์ นักปั้นแบรนด์อสังหาริมทรัพย์มือทอง ผู้มีประสบการณ์คร่ำหวอดในธุรกิจคอนโดมิเนียม พัฒนาโครงการใหม่ภายใต้ชื่อ นอตติ้ง ฮิลล์ สกายสแครปเปอร์ เซ็นทรัล รัตนาธิเบศร์ (Notting Hill Skyscraper Central Rattanathibet) เป็นคอนโดมิเนียม High-rise สูง 48 ชั้น 1 อาคาร และอาคารรีเทลสูง 2 ชั้น 1 อาคาร จำนวน 1,097 ยูนิต มูลค่าโครงการ 2,500 ล้านบาท ตั้งอยู่ติดถนนใหญ่ บนถนนรัตนาธิเบศร์ ห่างจากสถานีรถไฟฟ้าแยกนนทบุรี 1 เพียง 250 เมตร “ทำเลรัตนาธิเบศร์ได้รับความนิยมสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยรถไฟฟ้าสายสีม่วงที่เปิดใช้บริการแล้ว มีถนนที่กว้าง หลายช่องทางจราจร  เดินทางเข้า-ออกเมืองสะดวกด้วยทางด่วน อีกทั้งยังมีห้างสรรพสินค้าชั้นนำหลายแห่ง ที่ดินแปลงนี้จึงนับว่าเป็นทำเลทองที่มีความโดดเด่นมากที่สุดแห่งนึง เพราะติดถนนใหญ่ ใกล้สถานีรถไฟฟ้า ซึ่งการเชื่อมต่อระบบรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย ช่วงหัวลำโพง – บางซื่อ และสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่ – บางซื่อ สามารถเปิดเดินรถเชื่อมต่อให้บริการประชาชนได้ในเดือนสิงหาคมนี้ นอกจากนี้ยังใกล้ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ และใกล้ทางขึ้น-ลงทางด่วน เราจึงอยากพัฒนาโครงการที่โดดเด่นที่สุด ให้สมกับเป็นศูนย์กลางแห่งใหม่ของถนนรัตนาธิเบศร์ คุณยงยุทธจึงเป็นคำตอบที่เหมาะสมที่สุดสำหรับโครงการนี้ การจับมือกับคุณยงยุทธในครั้งนี้ เป็นการจับมือกันพัฒนาด้วยความมุ่งมั่นที่จะ Reach A New High หรือสร้างสถิติใหม่ๆ ที่เป็นความพิเศษสำหรับผู้อยู่อาศัย ขณะเดียวกันก็สร้างมิติใหม่ให้กับโครงการภายใต้แบรนด์นอตติ้ง ฮิลล์ โดยโครงการนี้จะเป็นเสมือนนิว นอตติ้ง ฮิลล์ ที่มีกลิ่นอายบางอย่างที่แตกต่างจากนอตติ้ง ฮิลล์โครงการอื่นๆ” นายพีระพงศ์ กล่าว ด้านนายยงยุทธ ชัยพรหมประสิทธิ์ กล่าวว่า ได้รับเกียรติจากทางบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ให้เข้ามา ทำงานในฐานะที่ปรึกษาแนวคิดการพัฒนาโครงการ ตลอดจนงานบริหารทั้งด้านการตลาดและการขาย ให้แก่โครงการนอตติ้ง ฮิลล์ สกายสแครปเปอร์ เซ็นทรัล รัตนาธิเบศร์ โดยมุ่งมั่นให้โครงการนี้ เป็นโครงการที่สร้าง ปรากฏการณ์ใหม่ และยกระดับขึ้นไปสู่มาตรฐานใหม่ของการอยู่อาศัย สำหรับคอนเซ็ปต์ Reach A New High ของโครงการนอตติ้ง ฮิลล์ สกายสแครปเปอร์ เซ็นทรัล รัตนาธิเบศร์ เกิดขึ้นจากการศึกษาตลาดคอนโดมิเนียมช่วงราคา 1.5 ล้านบาท จนถึง 2 ล้านบาทกว่า โดยเน้นกลุ่มเป้าหมายช่วงอายุ 25 – 35 ปี ที่เป็นคนรุ่นใหม่ มีธุรกิจของตนเองหรือทำงานอิสระ และให้ความสำคัญกับการออกแบบไม่น้อยไปกว่าฟังก์ชันการใช้งาน “New High ในที่นี้หมายถึงสถิติใหม่ มาตรฐานใหม่ ของใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีในคอนโดมิเนียมระดับราคานี้มาก่อน แต่ที่นี่มีให้ครบ” นายยงยุทธกล่าวพร้อมอธิบายเพิ่มเติมว่า อันดับแรกคือสถาปนิก เราได้ร่วมงานกับบริษัทอะตอม ดีไซน์ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็น บริษัทออกแบบ แถวหน้าระดับประเทศ ซึ่งโดดเด่นเป็นอย่างมากในเวลานี้ ทำให้เราได้อาคารที่โดดเด่นที่สุดบนถนนรัตนาธิเบศร์ ด้วยรูปทรง Y-Shape สถาปัตยกรรมแนวคิดใหม่ที่ขยายมุมอับเปิดรับมุมมองที่กว้างกว่าเดิม ทำให้แต่ละห้องสามารถมองเห็นวิวได้โดยไม่บดบังทัศนียภาพกันเอง และยิ่งโดดเด่นขึ้นไปอีก ด้วยโทนสีเบอร์กันดี เพื่อสร้างความภาคภูมิใจในที่อยู่อาศัยให้กับลูกค้า และเป็นแลนด์มาร์คที่โดดเด่นที่สุดแห่งใหม่บนถนนรัตนาธิเบศร์ ถัดมา คือเพดานสูง 3 เมตรทุกห้อง ในประเทศไทยมีคอนโดมิเนียมเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้นที่ให้เพดานสูงถึง 3 เมตร และในคอนโดมิเนียมราคา 7- 8 หมื่นบาทต่อตารางเมตรนับว่าเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน  ลูกค้าจะสามารถสัมผัสกับความโปร่ง โล่ง สบาย ที่หรูหรา และแตกต่างได้อย่างชัดเจนที่นี่ Fully-Furnished ตกแต่งครบด้วยเฟอร์นิเจอร์แพ็คเกจที่ถูกออกแบบโดยนักออกแบบ Interior ชั้นแนวหน้า อย่างลงตัวกับพื้นที่ ทั้งการใช้งานและความสวยงาม คุ้มค่าสำหรับผู้ซื้อ สิ่งอำนวยความสะดวกแบบ Super Facilities ที่เหนือกว่า และมากกว่าใคร ตามแนวคิด Another Home ที่เพิ่มพื้นที่พิเศษให้คุณใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกสบายเสมือนบ้านอีกหลังหนึ่ง สร้างมิติใหม่ในการอยู่อาศัย ให้ผู้บริโภคสามารถไปใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่ส่วนกลางของอาคารได้ ไม่จำเป็นต้องอยู่แต่ในห้องของตัวเอง โดยมีพื้นที่ส่วนกลางถึง 4 ชั้น ที่ชั้น 1, 8, 9 และชั้นดาดฟ้า ซึ่งประกอบด้วย สระว่ายน้ำระบบเกลือแนวคิดใหม่ที่ออกแบบเป็นทรงกลม ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 20 เมตร สะดวกทั้งว่ายเพื่อออกกำลังกายและผ่อนคลายด้วยระบบ Bubble และ Jacuzzi ห้องอาบน้ำ และห้อง Locker Room ส่วนกลาง พร้อมอุปกรณ์ครบครันที่ลูกค้าสามารถมาใช้บริการได้ ห้องซาวน่า เพื่อคนรักสุขภาพและการผ่อนคลาย Fitness Centre พร้อมอุปกรณ์ออกกำลังกายชั้นนำ, พื้นที่เล่นโยคะ พิลาทิส และ Fitness Trainer ประจำห้องออกกำลังกาย ให้ลูกค้าได้ใช้บริการคุณภาพโดยไม่ต้องไปสมัคร Fitness Member ที่ไหน Co-Working Space และ Meeting Room พร้อมอุปกรณ์สำนักงานครบครัน Kids Space พื้นที่เล่นและเรียนรู้สำหรับเด็ก ซึ่งมีทั้งโซน Indoor และ Outdoor พร้อมอุปกรณ์และ เครื่องเล่นครบครัน Entertainment Room ห้องนั่งเล่นส่วนกลางที่มีอุปกรณ์ครบครัน Co-Kitchen บริเวณจัดเตรียมอาหารและรับประทานอาหารส่วนกลางพร้อมอุปกรณ์ครบครัน Barbecue Terrace ระเบียงสังสรรค์ลอยฟ้า พร้อมบาร์บีคิวสเตชั่น ที่เปิดรับวิวเมืองในมุมกว้าง Sky Lounge พร้อมมุมจัดเตรียมอาหารให้บรรยากาศการสังสรรค์ของคุณโดดเด่นไม่เหมือนใคร การให้บริการก็เป็นอีกจุดเด่นหนึ่งของโครงการนี้ ซึ่งดูแลโดย บริษัท พรีโม พร็อพเพอร์ตี้ โซลูชั่น ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้เอง ทำให้มั่นใจในคุณภาพได้เป็นอย่างดี ทั้งเรื่องการดูแลหลังการขาย รวมถึงเรื่องการให้บริการในคอนโดมิเนียม ซึ่งโครงการนี้ก็ได้เพิ่มเติมบริการพิเศษมาตรฐานโรงแรมบูทีคขึ้นมา เช่นบริการทำความสะอาดในห้องพักสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ฟรี 1 ปี และบริการ Door Man Service บริเวณล็อบบี้ “จากที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ แสดงให้เห็นแล้วว่าโครงการนอตติ้ง ฮิลล์ สกายสแครปเปอร์ เซ็นทรัล รัตนาธิเบศร์ จะอยู่สบาย ตอบรับทุกไลฟ์สไตล์อย่างลงตัว ให้ความรู้สึกโอ่อ่า และคุ้มค่ากว่าโครงการอื่นๆ ในราคาที่ผู้อยู่อาศัยสามารถเข้าถึงได้ เริ่มต้นเพียง 1.49 ล้านบาทเท่านั้น” นายยงยุทธกล่าว ด้านนายพีระพงศ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทมั่นใจว่าโครงการนี้จะตอบโจทย์ผู้บริโภค เพราะมีจุดขายทั้งด้านทำเล รูปแบบอาคาร ความสูงเพดาน ซูเปอร์ฟาซิลิตี้ และการบริการระดับโรงแรม อีกทั้งยังมีบทพิสูจน์มาแล้วว่า โครงการของบริษัทบนทำเลรถไฟฟ้าสายสีม่วง มียอดขายได้มากกว่า 60-70% เพราะเน้นเจาะตลาดผู้ที่อาศัยอยู่ในทำเลนั้นๆ อยู่แล้ว ไม่ใช่ตลาดผู้ซื้อเพื่อปล่อยเช่า โครงการนอตติ้ง ฮิลล์ สกายสแครปเปอร์ เซ็นทรัล รัตนาธิเบศร์ ตั้งอยู่บนทำเลโดดเด่นบนถนนรัตนาธิเบศร์ ห่างจากสถานีรถไฟฟ้าแยกนนทบุรี 1 เพียง 250 เมตร, เซ็นทรัล รัตนาธิเบศร์ 600 เมตร, และเพียง 5 กิโลเมตร จากทางขึ้นทางด่วนศรีรัช ภายในอาคารประกอบด้วยห้อง 3 ขนาด ได้แก่ ขนาด 24 ตร.ม. 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ ขนาด 30 ตร.ม. 1 ห้องนอนพลัส 1 ห้องน้ำ ขนาด 35 ตร.ม. 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ ทุกห้องตกแต่งแบบ Fully-Furnished พร้อมฟังก์ชันและดีไซน์ที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัย ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวมีราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 8 หมื่นบาท/ตร.ม. ราคาเริ่มต้นที่ 1.49 ล้านบาท เปิดขายวีไอพี พรีเซล ณ สำนักงานขายโครงการในวันที่ 17 มิ.ย.นี้ คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างช่วงกลางปีนี้ และแล้วเสร็จในช่วงปลายปี 2562 ปัจจุบันเปิดรับลงทะเบียนแล้วที่ www.origin.co.th หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ 02-157-4730
เอสซี แอสเสทฯ เปิดบ้านเดี่ยวระดับพรีเมี่ยม 2 สไตล์ 2 โครงการใหม่

เอสซี แอสเสทฯ เปิดบ้านเดี่ยวระดับพรีเมี่ยม 2 สไตล์ 2 โครงการใหม่

เข้าสู่ไตรมาส 2/2560 บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยวซีรี่ยส์ใหม่ 2 โครงการบนทำเลศักยภาพ ได้แก่ โครงการแกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด ศรีนครินทร์ (Grand Bangkok Boulevard Srinakarin)  คฤหาสน์หรูแรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมสไตล์ Moroccan ติดถนนศรีนครินทร์ เยื้องซีคอน ใกล้สถานีรถไฟฟ้าสายสีเหลือง สถานีศรีนครินทร์ 38 (อนาคต) สัมผัสกลิ่นอายบรรยากาศแห่ง Marrakesh ตั่งแต่สโมสรของโครงการ กับสระว่ายน้ำในร่มดีไซน์หรูพร้อม Sky light และสวนส่วนกลางที่ดีไซน์อุโมงค์น้ำพุแนวยาว พร้อมศาลาพักผ่อนกลางสวน   เชิญร่วมงาน Grand Opening โครงการใหม่ 20-21 พ.ค. นี้ ที่ Sale gallery พร้อมรับเอกสิทธิ์พิเศษช่วงเปิดโครงการ ราคาเริ่ม 25-60 ล้านบาท และอีกหนึ่งโครงการล่าสุดคือ โครงการเวนิว (VENUE) พระราม 5-2 จากความสำเร็จของโครงการเวนิว VENUE พระราม 5 นำมาสู่โครงการใหม่ที่ได้แรงบันดาลในการออกแบบมาจาก Sense Of Japanese เน้นพื้นที่การใช้ชีวิตภายในบ้านอย่างพิถีพิถัน ตั้งอยู่บนทำเลที่เป็นส่วนตัว เชื่อมต่อถนน เส้นหลักเข้าสู่เมืองได้หลากหลายเส้นทาง ใกล้แหล่งอำนวยความสะดวกมากมาย 4 มิ.ย.นี้ เชิญร่วมงาน Grand Opening โครงการใหม่ พิเศษเฉพาะ 10 หลังแรก รับเทคโนโลยี Life Smart กล้อง CCTV ติดในบ้าน พร้อมระบบควบคุมการเปิดปิดไฟและเปลี่ยนสีไฟได้โดยผ่าน Application ใน Smart Phone ราคาเริ่มต้น 5.99–15 ล้านบาท โดยทั้ง 2 โครงการมาพร้อมกับระบบรักษาความปลอดภัยตามมาตรฐาน SC ASSET ที่มี Double Security Gate ระบบประตู 2 ชั้น ตลอด 24 ชม. พร้อมกล้อง CCTV ทั่วทั้งโครงการ, สัญญาณกันขโมยในตัวบ้านระบบ Magnetic และ Shock Sensor, ควบคุมการเข้าออกด้วยระบบ Easy Pass ข้อมูลเพิ่มเติมโทร 1749 หรือ www.scasset.com
ยิปรอค นำเสนอนวัตกรรมความแข็งแกร่งระบบผนังและฝ้าเพดาน ครั้งแรกของวงการยิปซัมเมืองไทยในงานสถาปนิก’60

ยิปรอค นำเสนอนวัตกรรมความแข็งแกร่งระบบผนังและฝ้าเพดาน ครั้งแรกของวงการยิปซัมเมืองไทยในงานสถาปนิก’60

03 พฤษภาคม 2560 กรุงเทพฯ - บริษัท ไทยผลิตภัณฑ์ยิบซั่ม จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตนวัตกรรมยิปซัมคุณภาพสูงแบรนด์ “ยิปรอค” และผู้ให้บริการโซลูชั่นส์ระบบผนังและฝ้าเพดานครบวงจรมานานกว่า 45 ปี ตอกย้ำความเป็นผู้นำนวัตกรรมระบบการก่อสร้างผนังและเพดานสำเร็จรูปภายในด้วยผลิตภัณฑ์แผ่นยิปซัมรุ่นใหม่ล่าสุดสำหรับที่พักอาศัย ภายใต้แนวคิด “Inside-Out Space” ในงานแสดงเทคโนโลยีสถาปัตยกรรม ครั้งที่ 31 (งานสถาปนิก'60) โดยครั้งนี้ยิปรอคนำเสนอนวัตกรรมและรูปแบบการใช้งานผลิตภัณฑ์ยิปซัมคุณภาพสูง ในการก่อสร้างและตกแต่งที่พักอาศัยได้อย่างสวยงามแบบไร้ข้อจำกัด พร้อมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุด ปูนยิปฟิลล์ ซุปเปอร์จ๊อยท์ (Gypfill SUPERJOINT) ปูนฉาบรอยต่อแผ่นยิปซัม สูตรพิเศษสีขาว  อีกทั้งภายในบูธยังมีการสาธิตในรูปแบบผนังสำเร็จรูปที่สามารถรับน้ำหนักโซฟาได้มากถึง 85 กก. ได้อย่างดีเยี่ยม เพื่อโชว์ประสิทธิภาพการใช้งานและความแข็งแกร่งอันน่าทึ่งของนวัตกรรมแผ่นยิปซัม ยิปรอค ฮาบิโต้  (Gyproc® HabitoTM) แนวคิด “Inside-Out Space” ของยิปรอคเกิดจากการผสานความเป็นบ้านเข้ากับธรรมชาติ ผ่านการปรับเปลี่ยนองค์ประกอบภายในด้วยการใช้วัสดุตกแต่งอาคารคุณภาพสูงและนวัตกรรมการก่อสร้างรูปแบบใหม่ เพื่อสร้างความสมดุลของการพักอาศัยที่ยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นแผ่นผนังยิปซัม แผ่นฝ้าเพดาน โครงคร่าวเหล็ก และผลิตภัณฑ์ปูนปลาสเตอร์ ตลอดจนโซลูชั่นส์รูปแบบใหม่ที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานได้อย่างสมบูรณ์แบบ การนำเสนอผลิตภัณฑ์ในบูธของยิปรอคไม่ได้จำกัดเฉพาะการตกแต่งบ้านพักอาศัยเท่านั้น หากยังครอบคลุมถึงพื้นที่ใช้สอยที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ อาทิ ห้องโฮมเธียเตอร์ ห้องเล่นเด็ก ห้องครัว ห้องทำงาน ห้องอเนกประสงค์ ฯลฯ บูธกิจกรรมยิปรอคนำเสนอแนวคิดการตกแต่งห้องด้วยแผ่นยิปซัมในการสร้างสรรค์ไลฟ์สไตล์การพักอาศัยที่เหนือระดับ เพื่อสาธิตแนวทางการใช้งานผลิตภัณฑ์เพื่อการตกแต่งห้องให้มีความสวยงามทันสมัย ซึ่งผู้เข้าชมงานจะได้สัมผัสกับผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงของยิปรอค ซึ่งนำมาติดตั้งเป็นห้องตัวอย่างให้เห็นถึงการใช้งานจริงที่เปี่ยมด้วยคุณสมบัติพิเศษทั้งในด้านการป้องกันความร้อน การป้องกันความชื้นและเชื้อรา และการป้องกันเสียงรบกวนอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อนำเสนอแนวคิดและแรงบันดาลใจให้ผู้บริโภคเกิดแนวคิดในการตกแต่งบ้านพักอาศัยของตนเองด้วยผลิตภัณฑ์ของยิปรอคนอกเหนือจากการใช้กั้นผนังห้องหรือกรุฝ้าเพดานทั่วไป โดยไฮไลท์สำหรับปีนี้คือการติดตั้งระบบผนังด้วยแผ่นยิปซัมรุ่น ยิปรอค ฮาบิโต้  (Gyproc® HabitoTM) ซึ่งมอบความแข็งแกร่งและรับน้ำหนักได้มากเป็นพิเศษถึง 15 กิโลกรัมต่อจุด มีความแข็งแรงกว่ายิปซัมบอร์ดทั่วไปถึง 5 เท่า ด้วยวิธีการสาธิตแขวนโซฟาขนาดยักษ์โดยใช้สกรูไม้เบอร์10 จำนวน 6 ตัว ในการรองรับน้ำหนัก 85 กก. เพื่อพิสูจน์ความแข็งแรงให้ผู้เข้าชมงานได้สัมผัสอย่างใกล้ชิด มร. ริชาร์ด จูเชรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยผลิตภัณฑ์ยิบซั่ม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ยิปรอครู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ได้นำเสนอผลิตภัณฑ์ในงานสถาปนิก’60 ซึ่งถือเป็นงานจัดแสดงสินค้าและวัสดุก่อสร้างครั้งสำคัญของเมืองไทย งานครั้งนี้ทำให้เราได้พบปะกับลูกค้ารายใหม่และมีโอกาสนำเสนอโซลูชั่นส์การก่อสร้างชั้นเลิศของเราสู่ผู้บริโภคโดยตรง บริษัทไทยผลิตภัณฑ์ยิบซั่มจะยังคงมุ่งมั่นพัฒนาและสนับสนุนการก่อสร้างอาคารด้วยนวัตกรรมสมัยใหม่อย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมการเติบโตที่ยั่งยืนของประเทศไทย ผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์ยิปรอคที่ผลิตขึ้นภายใต้แนวคิดเพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม หรือ Gyproc Go Green อันได้แก่ (1) Green Products, (2) Green Solutions, และ (3) Green Manufacturing โดยเฉพาะระบบผนังของยิปรอคนั้นมีความเหมาะสมอย่างยิ่งต่อการตกแต่งภายในบ้านสมัยใหม่ เนื่องจากมีน้ำหนักเบา รับน้ำหนักแขวนได้มากเป็นพิเศษ พร้อมคุณสมบัติป้องกันเสียงรบกวน ไม่ติดไฟ และป้องกันความร้อนเข้าสู่ภายในอาคารได้อย่างมีประสิทธิภาพ” นอกเหนือจาก ยิปรอค ฮาบิโต้  (Gyproc® HabitoTM) ยิปรอคยังนำเสนออีก 4 ผลิตภัณฑ์เด่นในงานสถาปนิก’60 ครั้งนี้ ได้แก่ ปูนยิปฟิลล์ ซุปเปอร์จ๊อยท์ (Gypfill SUPERJOINT) ปูนฉาบรอยต่อแผ่นยิปซัม สูตรพิเศษสีขาว ใช้สำหรับงานฉาบรอยต่อแผ่นยิปซัม ซ่อมรอยแตก รอยถลอก หรือฉาบตกแต่งแผ่นยิปซัมให้เรียบร้อย ทำให้พื้นผิวผนังเรียบเนียน สวยงามไม่ยุบตัว ให้การยึดเกาะสีดีเยี่ยม และสามารถทาสีทับได้โดยไม่ต้องทาสีรองพื้น ยิปรอค กลาสร็อค เอช โอเชียน (Gyproc® Glasroc H OCEAN) แผ่นยิปซัมสำหรับพื้นที่เปียก ด้วยคุณสมบัติป้องกันความชื้นและเชื้อรามากกว่าแผ่นยิปซัมทั่วไป ปูนยิปรอค แม็กเนติค (Gyproc® Magnetic Plaster) ปูนฉาบตกแต่งภายในสูตรพิเศษที่ทำให้ผนังทั่วไปสามารถยึดเกาะกับแถบแม่เหล็กได้ พร้อมคุณสมบัติการปกปิดรอยแตกร้าวได้เนียนสนิท เหมาะสำหรับใช้ตกแต่งห้องเด็กเล่นและมุมทำงานของโฮมออฟฟิศได้อย่างดีเยี่ยม และแผ่นฝ้าเพดานยิปรอค ยิปโทน แอคทีฟ แอร์ (Gyproc® Gyptone® Activ’ Air) แผ่นฝ้าที่สามารถดูดซับเสียงสะท้อนภายในห้อง และช่วยปรับสภาพอากาศภายในห้องได้อย่างดีเยี่ยม เหมาะสำหรับสถาบันการศึกษา โรงเรียน โรงพยาบาล ร้านค้า และสำนักงาน ผลิตภัณฑ์ทุกชนิดของยิปรอคผลิตขึ้นภายใต้แนวคิดเพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม หรือ Gyproc Go Green ในรูปแบบของกลยุทธ์การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ใส่ใจต่อสุขภาพแบบครบวงจร เพื่อมอบคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าทั้งแก่พนักงานในสายการผลิต ลูกค้า ผู้ติดตั้ง และผู้บริโภคทั่วไป หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ หมายเลขโทรศัพท์ 02-640-8600 และติดตามข่าวสารได้ที่เว็บไซต์  http://www.gyproc.co.th/ หรือเฟซบุ๊ก https://www.facebook.com/GyprocClub  
เฌอร่า นำเสนอการใช้วัสดุทดแทนไม้เพื่อสร้างสรรค์งานดีไซน์แนวใหม่ ด้วยแนวคิด “Creativity Beyond Imagination” ในงานสถาปนิก’60

เฌอร่า นำเสนอการใช้วัสดุทดแทนไม้เพื่อสร้างสรรค์งานดีไซน์แนวใหม่ ด้วยแนวคิด “Creativity Beyond Imagination” ในงานสถาปนิก’60

กรุงเทพฯ 3 พฤษภาคม 2560 – บริษัท มหพันธ์ไฟเบอร์ซีเมนต์ จำกัด (มหาชน) ผู้นำในการผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ไฟเบอร์ซีเมนต์ ภายใต้แบรนด์ เฌอร่า (SHERA) และกระเบื้องหลังคาตรา ห้าห่วง (HaHuang) ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านวัสดุทดแทนไม้ นำเสนอนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อบ้านพักอาศัยในงานแสดงเทคโนโลยีสถาปัตยกรรม ครั้งที่ 31 (งานสถาปนิก’60) เนรมิต “มหพันธ์ พาวิลเลียน” โดดเด่นภายในงาน ตามสโลแกน “Creativity Beyond Imagination” เพื่อนำเสนอแนวคิดการใช้วัสดุทดแทนไม้แนวใหม่และยกระดับผลิตภัณฑ์แบรนด์เฌอร่าและห้าห่วงให้เป็นมากกว่าวัสดุตกแต่งบ้าน หากสามารถตอบโจทย์งานออกแบบที่สร้างสรรค์และสถาปัตยกรรมทุกรูปแบบได้อย่างไร้ข้อจำกัด นายประกรณ์ เมฆจำเริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มหพันธ์ไฟเบอร์ซีเมนต์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “งานแสดงเทคโนโลยีสถาปัตยกรรม ครั้งที่ 31 หรืองานสถาปนิก’60 นับเป็นงานแสดงเทคโนโลยีก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาเซียน การร่วมงานครั้งนี้ถือเป็นโอกาสดีในการแสดงให้เห็นว่า มหพันธ์ไฟเบอร์ซีเมนต์เป็นผู้นำในตลาดวัสดุทดแทนไม้เบอร์หนึ่งของไทย และเรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้นำเสนอนวัตกรรมใหม่ล่าสุดของเรา รวมถึงแนวคิดการใช้งานไฟเบอร์ซีเมนต์รูปแบบใหม่ๆ ให้กับกลุ่มสถาปนิก นักออกแบบ ผู้พัฒนาโครงการ ตลอดจนผู้บริโภคทั่วไปให้ได้สัมผัสกันอย่างใกล้ชิด ซึ่งผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชมบูธเฌอร่าจะได้เห็นถึงคุณสมบัติอันน่าอัศจรรย์ของวัสดุไฟเบอร์ซีเมนต์ ตลอดจนแนวคิดการใช้งานที่เปลี่ยนจากกฎเกณฑ์เดิมๆ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและเปลี่ยนแนวคิดของผู้บริโภคให้หันมาพิจารณาวัสดุไฟเบอร์ซีเมนต์ในแนวทางใหม่ๆ ในฐานะวัสดุทดแทนไม้ได้แบบ 100% ซึ่งสามารถนำไปใช้เพื่อการสร้างสรรค์ผลงานได้ทุกรูปแบบ” นวัตกรรมล่าสุดที่ถือเป็นไฮไลท์ของมหพันธ์ไฟเบอร์ซีเมนต์ในปีนี้ มีทั้งกลุ่มผลิตภัณฑ์ไฟเบอร์ซีเมนต์เฌอร่าและกระเบื้องมุงหลังคาตราห้าห่วง ได้แก่ เทคโนโลยีคัลเลอร์ทรู (Color Through Technology) เทคนิคการผสมสีในเนื้อผลิตภัณฑ์ด้วยนาโนพิกเมนต์สีชนิดพิเศษ เพื่อให้ผลิตภัณฑ์มีสีสันสวยงามจากภายในถึงภายนอกใกล้เคียงไม้ธรรมชาติมากที่สุด ประกอบด้วย ไม้พื้น เฌอร่า คัลเลอร์ทรู หลังคา เฌอร่า ซีดาร์เชค และ หลังคาห้าห่วงชิงเกิ้ล เทคโนโลยีคริสตัล เอนจิเนียร์ริง (Crystal Engineering) การพัฒนาสสารของวัตถุดิบในระดับคริสตัล (ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าระดับนาโน) เพื่อเพิ่มคุณสมบัติให้ผลิตภัณฑ์อย่าง เฌอร่า บอร์ด และผลิตภัณฑ์อื่นๆ มีความแข็งแกร่งและทนทานขึ้นกว่าเดิม 10% เทคโนโลยีหลังคาเย็น (Cool Technology) ซึ่งสามารถสะท้อนความร้อนจากแสงอาทิตย์ได้สูงสุด 80% โดยไม่พึ่งฉนวนกันความร้อน บ้านจึงเย็นสบาย และประหยัดค่าไฟฟ้าจากเครื่องปรับอากาศได้ถึง 30% โดยนำเทคโนโลยีนี้มาใช้กับผลิตภัณฑ์หลายรุ่น เช่น หลังคาไตรลอน ตราห้าห่วง รุ่นคูล ซีรีส์ และหลังคาไตรลอน เมทัลลิค คูล เป็นต้น “ปัจจุบันนี้ วัสดุไม้จริงนับว่าหายากขึ้นในท้องตลาด เนื่องจากเป็นทรัพยากรที่มีจำกัด ประกอบกับมีข้อเสียเรื่องปลวก ความชื้น และไม่ทนไฟ ซึ่งหากผู้บริโภคเปลี่ยนมาใช้ไฟเบอร์ซีเมนต์ก็จะหมดกังวลกับปัญหาดังกล่าว โดยที่ยังได้ความรู้สึกราวกับไม้จริง แต่ทนทาน และดูแลรักษาง่ายกว่า ในส่วนของความสวยงามนั้นก็มีลวดลายให้เลือกหลากหลาย โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มคัลเลอร์ทรูซึ่งใช้เทคโนโลยีผสมสีในเนื้อวัสดุ ทำให้มีความใกล้เคียงกับไม้จริงมากที่สุด เราคาดว่าไฟเบอร์ซีเมนต์จะได้รับความนิยมในท้องตลาดมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างสมบูรณ์แบบ นอกจากนี้ เรายังมีเทคโนโลยีที่สามารถนำไฟเบอร์ซีเมนต์ไปใช้ร่วมกับกลุ่มวัสดุก่อสร้างหลายประเภท และได้พัฒนากระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นการช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอีกทางหนึ่ง” “นอกเหนือจากการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่นิยมในท้องตลาดแล้ว บริษัทยังมีนโยบายพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและผู้บริโภค (Green Policy) ปราศจากแร่ใยหิน และการใช้เทคโนโลยีที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด (Zero waste) ในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การสรรหาวัตถุดิบ การผลิต จนถึงมือผู้บริโภค เพื่อสุขภาพที่ดีของพนักงานตลอดจนกลุ่มผู้ใช้งาน ซึ่งทำให้แบรนด์เฌอร่าเป็นสินค้ารายแรกและรายเดียวในประเทศไทย และห้าห่วงเป็นรายแรกในเอเชียที่ผ่านการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ระดับสากลจากสถาบันระดับนานาชาติ EPD (Environmental Product Declaration) ISO 14025 และ EN 15804 และยังได้รับรางวัล Thailand's  Most Admired Brand ในหมวดแบรนด์ที่น่าเชื่อถือที่สุด กลุ่มไม้และวัสดุทดแทน จากนิตยสาร BrandAge ติดต่อกันถึง 6 ปี ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2012 – 2017 ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าบริษัทเป็นผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างที่คำนึงถึงผู้บริโภคและสังคมเป็นหลัก” นายประกรณ์ กล่าวเสริม ค้นพบวัสดุก่อสร้างแห่งยุค “ไฟเบอร์ซีเมนต์ เฌอร่า และ หลังคาห้าห่วง” พร้อมไอเดียและความคิดสร้างสรรค์ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจในงานดีไซน์ นำเสนอมุมมองใหม่ของวัสดุไฟเบอร์ซีเมนต์ ที่ไม่ใช่เพียงสิ่งทดแทนไม้เท่านั้น แต่เป็นวัสดุจริงที่สามารถใช้สร้างสรรค์งานได้อย่างหลากหลาย ร่วมออกจากกฎเกณฑ์เดิมๆ สู่อิสระแห่งการดีไซน์อันไร้ขอบเขตกับเฌอร่าและห้าห่วงได้แล้ววันนี้
แบรนด์จระเข้” ก้าวสู่ยุค 4.0 ด้วยการเปลี่ยนชื่อองค์กรใหม่!!! ภายใต้ชื่อ “บริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด” อย่างเป็นทางการ ในงานสถาปนิก’60 จ่อเดินหน้ารุกตลาดโลกต่อเนื่อง

แบรนด์จระเข้” ก้าวสู่ยุค 4.0 ด้วยการเปลี่ยนชื่อองค์กรใหม่!!! ภายใต้ชื่อ “บริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด” อย่างเป็นทางการ ในงานสถาปนิก’60 จ่อเดินหน้ารุกตลาดโลกต่อเนื่อง

“แบรนด์จระเข้” ประกาศศักยภาพอย่างยิ่งใหญ่อีกครั้ง ก้าวสู่ยุค 4.0 ด้วยการเปลี่ยนชื่อองค์กรใหม่!!! ภายใต้ชื่อ “บริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด” อย่างเป็นทางการ ในงานสถาปนิก’60 จ่อเดินหน้ารุกตลาดโลกต่อเนื่อง เตรียมขึ้นแท่นผู้นำอันดับ 1 ตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมพบการเปิดตัวครั้งแรกกับ 2 นวัตกรรมใหม่ล่าสุด เจ้าแรกในตลาด “กาวซีเมนต์จระเข้ เอ็กซ์ตรีม” และ “สีจระเข้ คัลเลอร์ สตัคโค ประกาศอย่างเป็นทางการเป็นที่เรียบร้อย ในงานสถาปนิก 60 …กับก้าวใหม่แบรนด์จระเข้ ภายใต้ชื่อองค์กรใหม่ “บริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด” (จากชื่อเดิม บริษัท เซอรา ซี-เคียว จำกัด)” ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ตราจระเข้มากว่า 25 ปี ครองความเป็นผู้นำอันดับ 1 ตลาดกาวซีเมนต์และกาวยาแนวของประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่อง และพร้อมเตรียมก้าวขึ้นเป็นที่ 1 ในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  พร้อมรุกหนักเร่งทำการตลาดต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มประเทศ CLMV เน้นตลาดในพม่า และเวียดนามเป็นหลัก ตั้งเป้าปีนี้จะเติบโตขึ้นจากปีที่แล้ว 15-20% นายศุภพงษ์ เพชรสุทธิ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด  ออกเปิดเผยอย่างเป็นทางการครั้งแรก ในงานสถาปนิก 60 ถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขององค์กร แบรนด์จระเข้ ที่ได้มีการเปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่ โดยได้กล่าวว่า “ปัจจุบันองค์กรของเราผู้บริหารแบรนด์จระเข้ ใช้ชื่อ “บริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด” อย่างเป็นทางการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จากชื่อเดิมคือ บริษัท เซอรา ซี-เคียว จำกัด โดยดำเนินการจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่ มีผลตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งเหตุที่เราปรับเปลี่ยนชื่อบริษัทนั้น เราต้องการให้ชื่อแบรนด์จระเข้ ซึ่งเป็นแบรนด์สินค้าที่เราเป็นทั้งผู้ผลิตและจัดจำหน่าย กับชื่อของบริษัทเป็นชื่อเดียวกัน จึงเป็นที่มาของชื่อ บริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด” การเปลี่ยนชื่อครั้งนี้ถือเป็นก้าวใหม่ขององค์กร  ที่ไม่ใช่ก้าวเริ่มต้น แต่จะเป็นก้าวกระโดด อย่างยิ่งใหญ่ของแบรนด์จระเข้กว่า 25 ปีที่ผ่านมา ที่เราผลิตและจัดจำหน่ายกาวซีเมนต์-ยาแนว วัสดุติดตั้ง-ตกแต่งกระเบื้อง เคมีซีเมนต์เพื่อแก้ปัญหาร้าวรั่วซึม และสีคัลเลอร์ซีเมนต์ ครองความเป็นผู้นำอันดับ 1 ตลาดกาวซีเมนต์และกาวยาแนวของประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่อง และยังเป็นบริษัทชั้นนำทางด้านธุรกิจวัสดุก่อสร้างที่มีชื่อเสียงมาอย่างยาวนาน การดำเนินธุรกิจในประเทศที่ผ่านมา เราประสบความสำเร็จอย่างมาก ผลิตภัณฑ์แบรนด์จระเข้ ได้รับการตอบรับและเป็นที่รู้จักดีของตลาดวัสดุก่อสร้าง โดยกลุ่มสินค้าหลักที่เป็นตัวสร้างยอดขายคือกาวซีเมนต์และกาวยาแนว  ซึ่งปัจจุบันเรามีตัวแทนจำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ มากกว่า 4,000 ราย ครอบคลุมทั่วทุกแห่ง เข้าถึงทุกชุมชนในทุกพื้นที่ในประเทศ และกลุ่มประเทศ CLMV สร้างยอดขายทำให้ผลประกอบการของบริษัท เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด สำหรับปีนี้เราได้ตั้งเป้ายอดขายเติบโตต่อเนื่องเหมือนทุกๆปี โดยปีนี้จะมุ่งเน้นไปที่ตลาดต่างประเทศกลุ่ม CLMV มากขึ้น โดยวางเป้าหมายไว้ที่ ประมาณ 2,800 ล้านบาท เติบโตจากปี 2559 ประมาณ 15-20% ก้าวใหม่แบบก้าวกระโดดของเราต่อจากนี้ แบรนด์จระเข้ พร้อมเตรียมก้าวขึ้นเป็นที่ 1 ในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในอีกไม่นานนี้   ซึ่งภายใน 3-5 ปีจากนี้  เราให้ความสำคัญในการทำตลาดต่างประเทศมากขึ้น เร่งเดินหน้ารุกหนักตลาดโลก และตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม เน้นหนักไปที่ตลาดในกลุ่ม CLMV โดยเฉพาะประเทศพม่าและเวียดนาม  โดยตั้งเป้ายอดขายในตลาดต่างประเทศ เป็นสัดส่วนอยู่ที่ 25-30% ของยอดขายทั้งหมด  ซึ่งจะเน้นส่งออกผลิตภัณฑ์ที่เป็นสินค้ามูลค่าสูง (High Value) เพื่อให้ได้เม็ดเงินจำนวนมากเข้าสู่ประเทศไทย และทำการตลาดขยายฐานลูกค้าใหม่ สร้างการรับรู้แบรนด์จระเข้ ให้เป็นที่รู้จักในตลาดต่างประเทศมากยิ่งขี้น หลังวางรากฐานมาแล้ว โดยเริ่มส่งออกผลิตภัณฑ์แบรนด์จระเข้ ออกสู่ตลาดต่างประเทศตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา นอกจากเน้นหนักในการทำการตลาดต่างประเทศแล้ว  เรายังมุ่งเดินหน้าสู่สิ่งที่ดีกว่าในทุกๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดการระบบการทำงานต่างๆ ขององค์กร ตลอดจนการพัฒนาและวิจัยสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ที่ดีกว่า ล้ำกว่า ตอบสนองและเข้าถึงความต้องการของลูกค้า และความต้องการของตลาดได้มากยิ่งขึ้น เพื่อรองรับการขยายธุรกิจในอนาคตที่จะเกิดขึ้น  และที่สำคัญเรามีแผนในการนำบริษัท เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งตอนนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการเตรียมตัวเพื่อเตรียมความพร้อม จากที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นได้ว่ากว่า 25 ปี องค์กรของเราไม่เคยหยุดนิ่ง ไม่เคยหยุดพัฒนา ให้ความสำคัญและใส่ใจในทุกๆด้าน ไม่ว่าจะต่อลูกค้า บุคลากรภายในองค์กร หรือคนรอบข้างนอกองค์กร  ส่งผลให้ในปี 2559 ที่ผ่านมา  แบรนด์จระเข้เป็นองค์กรที่เป็นผู้นำแห่งนวัตกรรมการผลิต ที่ใส่ใจทั้งคุณภาพสินค้า คุณภาพชีวิต และสิ่งแวดล้อม ได้รับมาตรฐานคุณภาพ ISO 14001 : 2015 บ่งบอกความเป็นเลิศด้านระบบจัดการด้านสิ่งแวดล้อม ที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดจากหน่วยงานและองค์กรทั่วโลก เป็นการก้าวสู่ Green Industry ระดับ 3 อย่างเต็มตัว  ล้ำหน้าด้วยเทคโนโลยีลดฝุ่น ทันสมัยที่สุดในโลก ลดการใช้พลังงาน ลดการสร้างของเสียมลพิษ นอกจากนี้ ยังได้รับการรับรองคุณภาพมาตรฐาน ISO 9001 : 2008 แสดงถึงความเป็นเลิศด้านคุณภาพและประสิทธิภาพภายในองค์กรอีกด้วย สำหรับการร่วมออกบูธของ “จระเข้” กับงานสถาปนิก 60 ในปีนี้ ต้องบอกว่านับตั้งแต่ครั้งแรกที่มีงานสถาปนิก  “จระเข้” ได้เข้าร่วมงานทุกปีอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำเสนอสินค้านวัตกรรมใหม่ๆ ของบริษัทฯ ให้เป็นที่รู้จักในกลุ่มสถาปนิก นักออกแบบ รวมไปถึงกลุ่มธุรกิจก่อสร้างและสถาปัตยกรรม  ในปีนี้คอนเซปต์ของเรายังคงเป็นไปตามปณิธานขององค์กร คือ “การสร้างสรรค์ความสุข เพื่อคุณและทุกคนในครอบครัว - Innovation for your family’s happiness” โดยไฮไลท์ปีนี้  “จระเข้” มีการเปิดตัว 2 นวัตกรรมสินค้าใหม่ เจ้าแรกในตลาด ได้แก่ “กาวซีเมนต์ จระเข้ เอ็กซ์ตรีม” ที่สุดแห่งกาวปูกระเบื้องใหญ่ยักษ์”  มีพลังยึดเกาะสูงเป็นพิเศษ ช่วยในการยึดเกาะกระเบื้องแผ่นใหญ่ ขนาด 3 เมตรขึ้นไป ที่มีน้ำหนักมากๆ ทนต่อสภาวะอากาศ เหมาะสำหรับกระเบื้องพอร์ซเลนขนาดใหญ่ หินอ่อน หินแกรนิตธรรมชาติ  ปูได้ทุกพื้นผิว ทั้งภายใน ภายนอกอาคาร  หรือปูทับกระเบื้องเดิมทั้งพื้นและผนัง  สินค้าได้รับมาตรฐานทั้งอเมริกาและยุโรป ซึ่งเป็นเทรนด์ของการใช้กระเบื้องเซรามิคในปัจจุบัน ที่เน้นแผ่นใหญ่ยักษ์ทั้งการปูพื้นและผนัง “จระเข้” จึงคิดค้นนวัตกรรมการผลิต กาวซีเมนต์ จระเข้ เอ็กซ์ตรีม ขึ้นมา เพื่อตอบโจทย์และรองรับการใช้งานดังกล่าวเป็นรายแรกและรายเดียวในประเทศไทย และอีกหนึ่งนวัตกรรมไฮไลท์ ก็คือ “จระเข้ คัลเลอร์ สตัคโค” จะเห็นได้ว่าทุกวันนี้การออกแบบต้องการความแตกต่าง  ไม่ใช่แค่เรื่องความสวย แต่ต้องมี function ด้วย เราจึงคิดค้นและขอนำเสนอนวัตกรรมสีที่ให้คุณค่าทั้งสองส่วนในหนึ่งเดียว จระเข้ คัลเลอร์ สตัคโค คือมอร์ต้าสีชนิดพิเศษ เปลี่ยนผนังภายนอกให้เป็นผลงานที่คุณสามารถสร้างสรรค์ให้มีมิติโดดเด่น ได้มากมาย  ตอบรับการออกแบบได้เป็นอย่างดี เนื้อวัสดุ Hybrid ที่จะทำให้ความสวยและความแกร่งผสานเป็นเรื่องเดียวกัน ช่วยให้ผู้ออกแบบเติมจินตนาการบนผนังให้สวยลึก มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวยิ่งขึ้น ตอบโจทย์การใช้งาน ลดการดูแลรักษา เหมาะสำหรับผนังภายนอก ให้ความคงทนสูงไปอีกขั้น ทนทุกสภาวะ และความชื้นสูง ใช้ได้ดีกับผนังภายในที่ต้องการความแตกต่างในรายละเอียด กับ คอนเซปต์สินค้าที่ว่า  “Freestyle to design, worry free to use”  การเข้าร่วมงานในครั้งนี้ เราคาดหวังว่าสินค้าแบรนด์จระเข้ของเราจะเป็นที่รู้จักเพิ่มมากขึ้น  โดยสินค้าที่ได้นำเสนอไปนั้นจะสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงประเด็น ซึ่งในช่วงแรกสินค้า 2 ตัวนี้คงเน้นจำหน่ายในประเทศก่อน โดยกลุ่มเป้าหมายหลักเน้นไปที่ เจ้าของบ้าน  เจ้าของโครงการ และสถาปนิก นายศุภพงษ์ กล่าวทิ้งท้ายถึงภาพรวมและการแข่งขันของตลาดรวมธุรกิจสินค้าอุปกรณ์เพื่องานก่อสร้างว่า “สำหรับปี 2559 ที่ผ่านมา ด้วยทิศทางเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยอาจทำให้ตลาดรวมธุรกิจวัสดุก่อสร้างไม่คึกคักเท่าที่ควร  อีกทั้งในปีปัจจุบันนี้ ยังมีคู่แข่งรายใหม่ๆ เข้ามามากพอสมควร สภาวะตลาดโดยทั่วไปยังถือว่าไม่ค่อยดีมากนักเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ดังนั้นจึงมีการแข่งขันในเรื่องสงครามราคามากพอสมควร  แต่อย่างไรก็ตาม “จระเข้” ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง  และเชื่อมั่นว่าจะยังรักษาแชมป์ความเป็นผู้นำในตลาดไว้ได้อย่างแน่นอน”
“แอสเซทไวส์” บุกใจกลางเมือง ลุยทำเลฮ็อต “ลาดพร้าว–โชคชัย 4” ส่ง “วินน์ คอนโด ลาดพร้าว-โชคชัย 4” คอนโดที่ชีวิตใกล้ชิดธรรมชาติ ในแนวคิด “Eco Design...เพื่อไลฟ์สไตล์คนเมือง”

“แอสเซทไวส์” บุกใจกลางเมือง ลุยทำเลฮ็อต “ลาดพร้าว–โชคชัย 4” ส่ง “วินน์ คอนโด ลาดพร้าว-โชคชัย 4” คอนโดที่ชีวิตใกล้ชิดธรรมชาติ ในแนวคิด “Eco Design...เพื่อไลฟ์สไตล์คนเมือง”

บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มุ่งมั่นสร้างสรรค์ที่อยู่อาศัยคุณภาพ ที่ตอบรับทุกไลฟ์สไตล์ ส่งคอนโดมิเนียมโครงการล่าสุดลุยตลาดกับ “วินน์ คอนโด ลาดพร้าว-โชคชัย 4” (Wynn Condo Ladprao-Chokchai 4) ต่อยอดความสำเร็จแบรนด์ “วินน์ คอนโด” กับคอนโดแต่งครบชูคอนเซ็ปต์ “Eco Design…เพื่อไลฟ์สไตล์คนเมือง”  ใช้ชีวิตใกล้ชิดธรรมชาติ บนทำเลฮ็อต ลาดพร้าว – โชคชัย 4  เป็นครั้งแรก ครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบทุกฟังก์ชั่น ในราคาเริ่มต้น 1.6 ล้านบาท นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด เผยว่า “วินน์” (Wynn) เป็นหนึ่งในแบรนด์คอนโดมิเนียมของบริษัทฯ ที่ประสบความสำเร็จ ได้รับการตอบรับที่ดี ด้วยทำเลที่ตั้งที่โดดเด่น สะดวกในการเดินทาง ดีไซน์ที่มีเอกลักษณ์  ในปีนี้บริษัทฯ จึงได้เปิดตัวคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ Wynn เพิ่มอีกหนึ่งโครงการ โดยเป็นทำเลใหม่ที่รุกใจกลางเมืองยิ่งขึ้น ได้แก่โครงการ  “วินน์ คอนโด ลาดพร้าว-โชคชัย 4” “วินน์ คอนโด ลาดพร้าว-โชคชัย 4” ตั้งอยู่บนถนนโชคชัย 4 ซึ่งเป็นทำเลศักยภาพที่แวดล้อมไปด้วยความสะดวกสบายรอบด้าน แหล่งรวมร้านอาหารชั้นนำ การคมนาคมที่สะดวกสบาย สามารถเดินทางสู่ย่านธุรกิจใจกลางเมืองได้อย่างคล่องตัว ใกล้จุดขึ้นลงทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ (ลาดพร้าว) และอยู่ใกล้รถไฟฟ้าถึง 2 สาย ได้แก่ รถไฟฟ้า MRT สถานีลาดพร้าว และรถไฟฟ้าสายสีเหลือง สถานีโชคชัย 4 ซึ่งจะเปิดให้บริการในอีกไม่ช้าทั้งยังรองรับด้วยการคมนาคมหลากหลายเส้นทาง ไม่ว่าจะเป็น ถนนลาดพร้าว ถนนพหลโยธิน ถนนรัชดาภิเษก ถนนประดิษฐ์มนูธรรม และถนนเกษตร-นวมินทร์ พร้อมทั้งอยู่ใกล้สถานที่สำคัญ ทั้งสถานศึกษา ห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล และสถานที่อำนวยความสะดวกต่าง ๆ อาทิ มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล อีสต์วิลล์ ตลาดโชคชัย 4 โรงพยาบาลเปาโลเมโมเรียล  (โชคชัย 4) ห้างสรรพสินค้าเมเจอร์ รัชโยธิน และ The Jass วังหิน เป็นต้น “วินน์ คอนโด ลาดพร้าว-โชคชัย 4” โดดเด่นด้วยการออกแบบและสร้างสรรค์ ภายใต้แนวคิด “Eco Design…เพื่อไลฟ์สไตล์คนเมือง” ใส่ใจรายละเอียดทั้งภายนอกและภายใน ด้วยแรงบันดาลใจจากการใช้ชีวิตใกล้ชิดธรรมชาติในสังคมเมืองได้อย่างลงตัว เริ่มต้นจากการออกแบบอาคารให้อากาศถ่ายเทได้ทั่วถึง เลือกใช้วัสดุอุปกรณ์ที่ช่วยประหยัดพลังงาน อาทิ ใช้แผงพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Cell) ที่บริเวณสวนดาดฟ้า ใช้หลอดไฟ LED ที่สามารถประหยัดพลังงานได้ถึง 20% รวมถึงแปลงปลูกผักสวนครัวที่ลูกบ้านรับประทานได้  ทั้งยังจัดสรรพื้นที่จอดจักรยาน ตอบสนองการใช้ชีวิตแบบ Ecology มาพร้อมเฟอร์นิเจอร์บิวท์อินที่มีเอกลักษณ์ เลือกใช้วัสดุคุณภาพ คำนึงถึงฟังก์ชั่นการใช้งานและประโยชน์ใช้สอยที่คุ้มค่า พร้อมด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยอย่าง Bluetooth Sound System ระบบหน้าจอสัมผัสรุ่นล่าสุด ที่ไม่ว่าจะอยู่บริเวณไหนของห้องก็สามารถเพลิดเพลินกับการฟังเพลงได้ทุกที่ “นอกจากนี้ ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครันและตอบสนองทุกด้านของการใช้ชีวิต ด้วยอาคารส่วนกลางที่ถูกออกแบบให้เป็นสถานที่ชิลเอ้าท์สำหรับผู้อยู่อาศัย แยกออกมาจำนวน 1 อาคารเพื่อเพิ่มความเป็นส่วนตัว ขยายพื้นที่พักผ่อนที่ให้ความรู้สึกโปร่งสบายกับดูเพล็กซ์ ล็อบบี้ เลานจ์ (Duplex Lobby Lounge) พร้อม ห้องสมุด (Library / Social Club) มุมเงียบสงบเป็นส่วนตัวสำหรับทำงาน อ่านหนังสือ ฟิตแอนด์เฟิร์มด้วยห้องออกกำลังกายที่สามารถมองเห็นวิวได้อย่างชัดเจน (Panoramic Fitness) สระว่ายน้ำที่มาพร้อมอ่างน้ำวน (Scenic Swimming Pool & Jacuzzi) และเติมความพิเศษยิ่งขึ้นด้วยพื้นที่พักผ่อนสำหรับทุกไลฟ์สไตล์ บนชั้น Roof Top ของอาคาร ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่สำหรับจัดปาร์ตี้บาร์บีคิว (Barbecue Terrace) พื้นที่ออกกำลังกายกลางแจ้ง (Outdoor Gym) สวนหมากรุกที่ไม่เหมือนใคร (Chess Garden) และพื้นที่ส่วนกลางสำหรับนั่งทำงาน (Co-Working Space) พร้อมยังเพิ่มความมั่นใจในความปลอดภัยด้วยประตูระบบ Digital Door Lock กล้องวงจรปิด ควบคุมการเข้าออกโครงการด้วยระบบคีย์การ์ด ปลอดภัยอีกขั้นด้วยระบบลิฟท์ล็อคชั้น และมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง” นายกรมเชษฐ์ กล่าว “วินน์ คอนโด ลาดพร้าว - โชคชัย 4” เป็นคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ สูง 8 ชั้น จำนวน 3 อาคาร รวม 325 ยูนิต และอาคารส่วนกลาง สูง 3 ชั้น จำนวน 1 อาคาร มูลค่าโครงการประมาณ 650 ล้านบาท รวมพื้นที่โครงการทั้งสิ้น  2-1-54 ไร่ ประกอบด้วยห้องชุดขนาดต่าง ๆ ได้แก่ ห้อง 1 Bedroom ขนาดพื้นที่ 23.18 – 23.60  ตร.ม. ห้อง 1 Bedroom Extra ขนาดพื้นที่ประมาณ 25.33 – 25.70 ตร.ม. ห้อง 1 Bedroom Exclusive ขนาดพื้นที่ประมาณ 25.67 – 34.86 ตร.ม. ห้อง 1 Bedroom Plus ขนาดพื้นที่ประมาณ 34.79 – 39.97 ตร.ม. และห้อง 2 Bedroom ขนาดพื้นที่ 42.91 – 48.24 ตร.ม. โดยจะเริ่มก่อสร้างในปี 2560 และคาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณปลายปี 2561 ผู้สนใจ สามารถเยี่ยมชมห้องตัวอย่าง ณ สำนักงานขาย วินน์ คอนโด ถนนโชคชัย 4 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 081 614 1144 หรือ www.wynn-condo.com
“โพลี เพลสฯ พหลโยธิน 23” เปิดขายตึกใหม่แล้ว หลังยอดจองกระฉูดกว่า 80%

“โพลี เพลสฯ พหลโยธิน 23” เปิดขายตึกใหม่แล้ว หลังยอดจองกระฉูดกว่า 80%

แตกไลน์มาเป็นดิวิลอปเปอร์ กลุ่มเซนต์จอห์นฯ เจ้าของที่ผืนงามหลายแปลง ปลื้มฟี๊ดแบ๊คคอนโดฯ ใหม่ โพลี เพลส คอนโด แอท พหลโยธิน 23 (Poly Place Condo @ Phahon Yothin 23) ยอดขายดีเกินคาด  หลังเปิดขายไม่ถึงสามเดือน ยอดจองสองอาคารเกิน 80% ล่าสุดเปิดขายตึกใหม่ เป็นอาคารสุดท้าย พรีเซลส์ วันที่ 13-14 พ.ค. นี้ พร้อมเปิดตัวห้องตัวอย่าง แต่งเสร็จสมบูรณ์เป็นครั้งแรก ติดใจ อัดโปรโมชั่นจองในงาน รับส่วนลดทันที 100,000 บาท พร้อมวอชเชอร์เครื่องใช้ไฟฟ้ามูลค่า 50,000 บาท คาดปิดการขายได้ภายใน 3 เดือน คาดว่าโครงการจะแล้วเสร็จภายในพฤศจิกายน 2561 ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการขอ EIA  คุณชัยณรงค์ มนเทียรวิเชียรฉาย ประธานกรรมการ บริษัท ซาแลน ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด เผยว่า “จากการก่อสร้างของรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่มีความคืบหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ  ทำให้ย่านดังกล่าว โดยเฉพาะหัวถนนไล่ไปจนถึงเมเจอร์รัชโยธิน มีความตื่นตัวและเติบโตสูง เห็นได้ชัดจาก เริ่มมีการปรับเปลี่ยนพื้นที่จากที่อยู่อาศัยเป็นพื้นที่เชิงพาณิชย์มากขึ้น  ในส่วนของบริษัทฯ ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว และมีที่ดินสะสมจึงตัดสินใจขึ้นโครงการ  โพลี เพลส คอนโด แอท พหลโยธิน 23 (Poly Place Condo @ Phahon Yothin 23) สูง 8 ชั้น จำนวน 3 อาคาร จำนวนยูนิตโดยรวม 553 ยูนิต มีห้องชุดขนาดเริ่มต้น 29 – 58 ตร.ม. ที่จัดเต็มด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกแบบครบครัน ไม่ว่าจะเป็น สระว่ายน้ำระบบเกลือแบบ Infinity Edge ห้องออกกำลังกาย ลู่วิ่ง ท่ามกลางสวนสีเขียวสไตล์ Urban Tropical Garden กว่า 1 ไร่ ด้วยงบลงทุนกว่า 800 ล้านบาท  จุดเด่นของโครงการที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้อยู่อาศัยมากที่สุด คือ สวนสวยขนาดใหญ่ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่ให้มากกว่าที่อื่น เมื่อเทียบกับโครงการ Low-Rise ด้วยกันในย่านนี้ อีกทั้งในเรื่องของLocation ของโครงการเอง ที่เข้า-ออกได้ 2 เส้นทาง ทั้ง ฝั่งวิภาวดี 32 และฝั่งพหลโยธิน 23 (ใกล้สถานีพหลโยธิน 24 : BTS สายสีเขียว โครงการส่วนต่อขยายมาจากจตุจักร) เมื่อเทียบระหว่างProduct, Location และราคาขาย จึงถือว่าเป็นโครงการที่มีความคุ้มค่า  โดยเริ่มเปิดขายครั้งแรกปลายเดือน ก.พ. จำนวน 2 อาคาร ตึก A และ B ด้วยยอดขายกว่า 80% พร้อมเตรียมเปิดอาคารC  เร็วๆ นี้ พรีเซลส์ 13-14 พ.ค. เปิดให้ชมห้องตัวอย่างแต่งเสร็จสมบูรณ์ครั้งแรก จองในงาน รับส่วนลด 100,000 บาท พร้อมวอชเชอร์เครื่องใช้ไฟฟ้ามูลค่า 50,000 บาท ทั้งนี้โครงการฯ มีการขยับราคาขายต่อตรม. ขึ้นมาเล็กน้อยตามปัจจัยตลาด

1 ... 89 90 91 ... 103