ข่าวโปรโมชั่น

 

ข่าวโปรโมชั่น ล่าสุด

1 ... 94 95 96 ... 103
แสนสิริ เผยยอดโอนครบ 100% โครงการลักชัวรี่ใจกลางสุขุมวิท “The XXXIX by Sansiri” มูลค่าโครงการกว่า 2,860 ล้านบาท สะท้อนดีมานด์จริงกลุ่มลูกค้าระดับลักชัวรี่

แสนสิริ เผยยอดโอนครบ 100% โครงการลักชัวรี่ใจกลางสุขุมวิท “The XXXIX by Sansiri” มูลค่าโครงการกว่า 2,860 ล้านบาท สะท้อนดีมานด์จริงกลุ่มลูกค้าระดับลักชัวรี่

แสนสิริเปิดศักราชใหม่ 2560 เผยข่าวดียอดโอนโครงการคอนโดมิเนียมใจกลางเมือง เดอะ เทอร์ทีไนน์ บาย แสนสิริ (The XXXIX by Sansiri) ครบถ้วน 100 % โดยนับเป็นโครงการคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก จนสามารถประสบความสำเร็จในการปิดการขายได้ภายใน 3 วัน นับแต่วันเปิดขายอย่างเป็นทางการเมื่อปลายปี 2555 มูลค่าโครงการกว่า 2,860 ล้านบาท ปัจจุบันสร้างเสร็จสมบูรณ์โดยเปิดให้ลูกค้าเข้าอยู่อาศัยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นายอุทัย  อุทัยแสงสุข รองกรรมการผู้จัดการอาวุโสสายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “The XXXIX by Sansiri เป็นหนึ่งในโครงการคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่ล่าสุดที่แสนสิริภาคภูมิใจ ซึ่งได้รับการพิถีพิถันในการก่อสร้างจนตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ากลุ่มลักชัวรี่ได้ครบถ้วน เพราะแสนสิริมีความเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้ากลุ่มนี้เป็นอย่างดี จากการพัฒนาโครงการระดับบนต่อเนื่องมากกว่า 33 ปี ทำให้ที่ผ่านมาสามารถปิดการขายได้ในระยะเวลาอันรวดเร็วเพียง 3 วันเท่านั้น ปัจจุบันได้ก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ รวมถึงปิดยอดโอนได้ครบ 100% จากการเป็นหนึ่งในทำเลที่ตั้งที่ดีที่สุดในซอยสุขุมวิท 39 ซึ่งเป็นย่านคอมมิวนิตี้ของผู้อยู่อาศัยนานาชาติ ใกล้ BTS พร้อมพงษ์ เพียง 250 เมตร และเป็นเส้นทางที่สามารถลัดเลาะสู่ซอยสำคัญอื่นๆ ได้สะดวก ทั้งยังแวดล้อมด้วยสถานที่อำนวยความสะดวกทุกรูปแบบสำหรับไลฟ์สไตล์ทันสมัย แหล่งช้อปปิ้งระดับไฮเอนด์ อาทิ เอ็มควอเทียร์ เอ็มโพเรียม เป็นต้น รวมทั้งความใส่ใจในทุกรายละเอียดทุกขั้นตอน ตลอดจนการคัดสรรวัสดุอย่างประณีตบรรจง และการดีไซน์ระดับเวิร์ลคลาส อาทิ การเลือกใช้หินอ่อนนำเข้ากว่า 8 ชนิดมาใช้ในโครงการ ทำให้เกิดเป็นเอกลักษณ์ที่งดงาม สำหรับทำเลสุขุมวิทโซนกลางนี้ ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบัน มูลค่าราคาที่ดินในย่านนี้ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นจากเมื่อ 4 ปีที่แล้วถึง 2 เท่า จากเดิม 600,000 บาท/ ตร.ว แต่ปัจจุบันกลับเพิ่มสูงถึง 1.2 ล้านบาท / ตร.ว ทำให้ราคารีเซลห้องชุดได้ขยับขึ้นเฉลี่ยถึง 261,000 บาท/ ตร.ม. เพิ่มสูงขึ้นจากปี 2012 ที่เปิดขายอย่างเป็นทางการในราคา 200,000 บาท/ตร.ม. นับได้ว่าเพิ่มขึ้น 30-42% ทีเดียว จึงนับว่าเป็นทำเลที่เหมาะทั้งอยู่อาศัยเองและเพื่อการลงทุน ซึ่งหาได้ยากมากในปัจจุบัน” “หลังจากเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ทยอยส่งมอบการโอนถึง 8 โครงการ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดอย่างต่อเนื่อง จึงนับว่าเป็นข่าวดีสำหรับแสนสิริในช่วงเปิดศักราชใหม่นี้ ที่สามารถปิดยอดการโอนโครงการระดับบนได้สมบูรณ์แบบ และสอดคล้องกับการพัฒนาโครงการตามแผนธุรกิจปี 2560 ของบริษัทฯ ได้เป็นอย่างดีในการรุกตลาดโครงการที่อยู่อาศัยระดับไฮเอนด์อย่างต่อเนื่อง รวมถึงในเดือนมีนาคมนี้ แสนสิริยังเตรียมเปิดตัวโครงการระดับซุปเปอร์ลักชัวรี่ 98 Wireless อย่างเป็นทางการ  อีกหนึ่งโครงการสร้างเสร็จสมบูรณ์พร้อมเข้าอยู่ โดยเป็นเฟล็กชิพคอนโดมิเนียมที่ถือเป็นการยกระดับแบรนด์แสนสิริเข้าสู่ระดับอินเตอร์มากยิ่งขึ้น แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและตั้งใจในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ และศักยภาพการทำงานอันเป็นมาตรฐานของแสนสิริได้เป็นอย่างดี และคาดว่าจะได้รับตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าที่เชื่อมั่น และไว้วางใจในแบรนด์แสนสิริดังเช่นที่ผ่านมา” คุณอุทัยกล่าวเพิ่ม “The XXXIX by Sansiri” ได้รับออกแบบภายใต้แนวคิด ‘Timeless Luxury’ บนพื้นที่กว่า 1 ไร่ ความสูง 32 ชั้น ประกอบด้วยห้องชุดเพียง 178 ห้อง ขนาดตั้งแต่ 50.00 – 323.00 ตร.ม. ที่เน้นความโปร่งสบายด้วยเพดานสูง 2.9 เมตร และห้องเพนเฮ้าส์พร้อมสระว่ายน้ำวิวระฟ้าแบบส่วนตัว นอกจากนั้นฃยังเพียบพร้อมด้วยพื้นที่ส่วนกลางเทียบมาตรฐานโรงแรมชั้นนำแบบ Full-Floor Facility ซึ่งเป็นพื้นที่พักผ่อนขนาดใหญ่ สระว่ายน้ำแบบ Infinity Edge ท่ามกลางวิวพาโนราม่า พร้อมกันนี้ ‘The XXXIX  by Sansiri’ ได้ออกแบบ Double-Volume Business Centre ขึ้นเป็นพิเศษ ตอบโจทย์การใช้ชีวิตแบบมีรสนิยมของผู้พักอาศัย โดยได้รับความร่วมมือจาก DWP (Design Worldwide Partnership: DWP) ผู้เชี่ยวชาญด้านสถาปัตยกรรมและการออกแบบตกแต่งชั้นนำระดับโลกซึ่งมีผลงานโดดเด่นมากมาย และ Shma (ชมา) บริษัทที่มีชื่อเสียงในด้านออกแบบภูมิสถาปัตยกรรมซึ่งมีผลงานด้านการวางผัง และออกแบบภูมิทัศน์ให้กับแสนสิริมาแล้วหลายโครงการ  จึงทำให้โครงการนี้แฝงความคลาสสิกเหนือกาลเวลาของสถาปัตยกรรมอันโดดเด่นที่มีเอกลักษณ์ โดยรังสรรค์ตัวอาคารภายนอกให้ดูสูงสง่าและโดดเด่นอย่างลงตัว ด้วยโพเดียมด้านหน้าตัวอาคารงามสง่าด้วยผนังหินทรายธรรมชาตินำเข้าขนาดใหญ่ และผนังอลูมิเนียมสีทรายทอง บ่งบอกถึงความเป็นที่อยู่อาศัยอย่างมีรสนิยม.
การลงทุนซื้อขายอสังหาฯ เชิงธุรกิจทั่วโลกปี 60 มีแนวโน้มขยายตัว ปี 59 มีการลงทุนซื้อขายรวมมูลค่ากว่า 22 ล้านล้านบาท

การลงทุนซื้อขายอสังหาฯ เชิงธุรกิจทั่วโลกปี 60 มีแนวโน้มขยายตัว ปี 59 มีการลงทุนซื้อขายรวมมูลค่ากว่า 22 ล้านล้านบาท

แม้ในหลายประเทศทั่วโลกจะประสบปัญหาความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและสถานการณ์ทางการเมืองที่ท้าทาย ตลาดการลงทุนซื้อขายอาคารและโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่มีประโยชน์การใช้ในเชิงธุรกิจทั่วโลก ยังคงมีกิจกรรมเกิดขึ้นอย่างคึกคักและมีแนวโน้มฟื้นตัวในปี 2560 นี้ ตามรายงานจากบริษัทที่ปรึกษาและบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ เจแอลแอล รายงานดังกล่าวจากเจแอลแอล เปิดเผยว่า ในปี 2559 ที่ผ่านมา ทั่วโลกมีการลงทุนซื้อขายอาคารและโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่มีประโยชน์การใช้ในเชิงธุรกิจ (อาทิ อาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า โรงแรม โรงงาน และโกดังสินค้า) รวมมูลค่าทั้งสิ้น 6.5 แสนล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 22.7 ล้านล้านบาท แต่สำหรับปี 2560 นี้ มีแนวโน้มว่าจะมีปริมาณการลงทุนเพิ่มมากขึ้น โดยคาดว่ามูลค่ารวมสำหรับทั้งปีอาจขยับขึ้นไปได้มากถึง 7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 24.5 ล้านล้านบาท ใกล้เคียงกับปี 2557 และ 2558 หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เชื่อว่าตลาดการลงทุนซื้อขายในปีนี้จะปรับตัวดีขึ้น คือการที่กลุ่มนักลงทุนประเภทสถาบันมีการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่มีประโยชน์การใช้ในเชิงธุรกิจมากขึ้น เนื่องจากนักลงทุนเหล่านี้เน้นการหาโอกาสการลงทุนที่มีผลตอบแทนการลงทุนที่สูงขึ้น นอกจากนี้ ยังมีแหล่งทุนใหม่ๆ เกิดขึ้นจากหลากหลายประเทศ อาทิ จีน ไต้หวัน และมาเลเซีย นักลงทุนต่างๆ เหล่านี้ ทั้งที่มีอยู่เดิมและที่เข้ามาใหม่ มีจำนวนมากที่มีทุนหนาและสามารถระดมทุนเพื่อเข้าซื้ออาคารหรือโครงการอสังหาริมทรัพย์ได้อย่างรวดเร็ว ปรากฏการณ์หนึ่งที่น่าสนใจคือ การที่จีนขยายบทบาทขึ้นมาเป็นกลุ่มทุนรายใหญ่บนเวทีโลกด้านการลงทุนซื้ออาคาร-โครงการอสังหาริมทรัพย์ โดย ณ สิ้นไตรมาสสามของปีที่ผ่านมา กลุ่มทุนจากจีนมีการเข้าลงทุนซื้ออาคารและโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่มีประโยชน์การใช้ในเชิงธุรกิจในต่างประเทศมากที่สุด แซงหน้าสหรัฐฯ เมืองที่เป็นเป้าหมายของนักลงทุนที่สนใจลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์ ส่วนใหญ่ยังคงเป็นเมืองในประเทศที่มีเศรษฐกิจพัฒนาแล้ว ซึ่งการลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์มีความเสี่ยงต่ำ มีความโปร่งใส และซื้อขายได้คล่อง แต่เมืองหลักๆ เหล่านี้ มักมีการแข่งขันสูง จึงมีนักลงทุนบางส่วนที่ให้ความสนใจการลงทุนในเมืองเป้าหมายรองในประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ ดังนั้น ประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ที่มีความโปร่งใสในตลาดอสังหาริมทรัพย์สูงกว่าประเทศอื่นๆ ในกลุ่มเดียวกัน จะมีโอกาสในการดึงดูดนักลงทุนได้ดีกว่า
เปิดแผนชินวะ กรุ๊ป ปั้นไพลอต โปรเจกต์ชิมลาง หวังสร้างแบรนด์ติดตลาด ต่อยอดผุดโครงการภายใน 2 ปีมูลค่ารวมกว่า 2,400 ลบ. เตรียมพรีเซล“รูเนะสุ ทองหล่อ 5”คอนโดนวัตกรรมแห่งแรกใน Southeast Asia

เปิดแผนชินวะ กรุ๊ป ปั้นไพลอต โปรเจกต์ชิมลาง หวังสร้างแบรนด์ติดตลาด ต่อยอดผุดโครงการภายใน 2 ปีมูลค่ารวมกว่า 2,400 ลบ. เตรียมพรีเซล“รูเนะสุ ทองหล่อ 5”คอนโดนวัตกรรมแห่งแรกใน Southeast Asia

เปิดแผนยักษ์ใหญ่อสังหาฯญี่ปุ่น ชินวะ กรุ๊ป ปั้นแบรนด์“รูเนะสุ”ติดลมบน จับตลาดชาวญี่ปุ่นและผู้ที่ชื่นชอบการอยู่อาศัยแบบเรียล เจแปนิส เตรียมเปิดขายอย่างเป็นทางการ“รูเนะสุ ทองหล่อ 5” pilot project มูลค่ากว่า 1,200 ล้านบาทภายในไตรมาสแรก เล็งเปิดอีกโครงการบนทำเลศักยภาพ รวม 2 ปี 2 โครงการ มูลค่ากว่า 2,400 ล้านบาท มั่นใจนวัตกรรม Sigma BEAM ลิขสิทธิ์เฉพาะตัวของโครงสร้าง RUNESU หนึ่งเดียวในโลกช่วยเพิ่มพื้นที่ใช้สอยถึง 40% นายวิชัย จุฬาโอฬารกุล และ มร.โทโมยาสุ ยามาเบะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม (co-CEO) บริษัท ดับเบิ้ลยู-ชินวะ จำกัด เปิดเผยว่าภายหลังมีข่าวประกาศขึ้นโครงการ “รูเนะสุ ทองหล่อ 5” ได้รับการตอบรับอย่างดีมากจากตลาด กลุ่มเป้าหมายให้ความสนใจสอบถามข้อมูลเข้ามาอย่างน่าพอใจ ตรงตามวัตถุประสงค์   ที่ต้องการสร้างแบรนด์ “รูเนะสุ” ให้เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปในวงกว้าง ว่าเป็นคอนโดมิเนียมนวัตกรรมล้ำสมัยจากญี่ปุ่น โดยเฉพาะการใช้ Sigma BEAM ลิขสิทธิ์เฉพาะตัวของโครงสร้าง RUNESU หนึ่งเดียวในโลก ที่ช่วยเพิ่มพื้นที่ใช้สอยได้ถึง 40% จากเทคโนโลยีการกลับคานเป็นพื้นและพื้นเป็นคาน ซึ่งภายหลังโครงการ pilot project ยังมีแผนการขึ้นโครงการต่อเนื่อง รวม 2 ปี 2 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 2,400 ล้านบาท บนที่ดินศักยภาพย่านซีบีดี ซึ่งเป็นทำเลยอดนิยมของกลุ่มเป้าหมายทั้งชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในไทย และรวมถึงคนไทยหรือชาติอื่นที่นิยมการอยู่อาศัยแบบญี่ปุ่นจริงๆ “ความลงตัวของการ joint venture โดยผู้ถือหุ้นไทยที่เป็นเจ้าของพื้นที่ รู้เรื่องกฎหมายการลงทุน กลยุทธ์การทำตลาด ในขณะที่ชินวะ กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำในวงการอสังหาริมทรัพย์แถวหน้าจากญี่ปุ่น มีเครือข่ายการลงทุนแตกไลน์หลายสายงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีเทคโนโลยีการก่อสร้างที่ก้าวล้ำหน้าไปกว่าไทยนับสิบปี สำหรับโปรเจกต์แรกของการจับมือกัน นำนวัตกรรมการใช้ Sigma BEAM ลิขสิทธิ์เฉพาะของโครงสร้าง RUNESU หนึ่งเดียวในโลกที่ช่วยเพิ่มพื้นที่ใช้ประโยชน์มากขึ้น นอกจากนั้นยังใส่ใจในรายละเอียดอื่นๆ เพื่อให้โครงการมีบรรยากาศและกลิ่นอายการอยู่อาศัยแบบญี่ปุ่นอย่างแท้จริง โดยจะเห็นได้จากการใช้ IAO TAKEDA บริษัทออกแบบชั้นนำจากญี่ปุ่นที่คว้าแชมป์อย่างต่อเนื่องหลายปี และอยากเชิญชวนสำหรับผู้ที่สนใจสามารถสัมผัสกลิ่นอายโครงการแบบเรียล เจแปนิส ได้ด้วยตัวเอง ณ ที่ตั้งโครงการ ซึ่งจะตกแต่งห้องตัวอย่างและบรรยากาศจำลองตามคอนเซ็ปต์ เพื่อเปิดขายอย่างเป็นทางการภายในไตรมาสสองปีนี้” นายวิชัย กล่าว ด้านมร.โทโมยาสุ ยามาเบะ co-CEO บริษัท ดับเบิ้ลยู-ชินวะ จำกัด กล่าวว่า ชินวะ กรุ๊ป ก่อตั้งมาประมาณ 60 ปี สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมืองโอซาก้า เป็นกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีบริษัทในเครือมากมาย โดยในภาคการพัฒนาอสังหาฯนั้น มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปว่าอยู่ในระดับแถวหน้าของวงการ ธุรกิจที่พัฒนาครอบคลุมครบทุกประเภท อาทิ คอนโดมิเนียม, เซอร์วิส อพาร์ตเม้นท์, โรงแรม, การบริหารจัดการอาคาร, ออนเซน, ที่จอดรถอัตโนมัติ เป็นต้น สำหรับนโยบายขยายการลงทุนสู่ต่างประเทศ โดยเลือกเปิดตลาดที่ประเทศไทย เนื่องจากเชื่อมั่นในศักยภาพการลงทุนภาคอสังหาริมทรัพย์ว่ามีอัตราการเติบโตที่น่าพอใจ การลงทุนในไทยจึงเป็นฐานที่มั่นคงแข็งแกร่งเพื่อต่อยอดสู่การพัฒนาในประเทศอื่นๆ เพราะไทยเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีประเทศที่มีความน่าสนใจ เช่น ฟิลิปปินส์ เมียนมาร์ กัมพูชา นอกจากนั้นนโยบายขยายการลงทุนยังรวมถึงประเทศที่น่าสนใจอื่นๆ ทั้งอเมริกา และยุโรปอีกด้วย “การร่วมทุนก่อตั้ง บริษัท ดับเบิ้ลยู-ชินวะ ถือเป็นการร่วมทุนครั้งแรกของชินวะ กรุ๊ป เป็นครั้งแรกที่เราขยายการลงทุนสู่ต่างประเทศ หลังจากที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง ในการพัฒนาโครงการในประเทศญี่ปุ่นมีประสบการณ์และผลงานมากมาย มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับในวงกว้าง ว่าสร้างสรรค์โครงการคุณภาพ ไม่ใช้กลยุทธ์เรื่องราคาเป็นตัวนำในการทำตลาด แม้ที่ผ่านมาประเทศไทยมีการเติบโตของภาคอสังหาฯอย่างต่อเนื่อง แต่ชินวะ กรุ๊ป จะนำเทคโนโลยีที่มีอยู่มากมายในมือ มาสร้างโอกาสในการพัฒนาโครงการ และนโยบายการทำตลาดของกลุ่มบริษัทแม่ จะมีทั้งพื้นที่เพื่อขายและเก็บไว้บางส่วนเพื่อบริหารงานแบบให้เช่า สำหรับโครงการรูเนะสุ ทองหล่อ 5 มั่นใจว่าเป็นปรากฏการณ์ครั้งแรกของภูมิภาคเอเชีย ไม่ซ้ำแบบใครแน่นอน” มร.ยามาเบะกล่าว โครงการรูเนะสุ ทองหล่อ 5 ดำเนินงานโดย บริษัท ดับเบิ้ลยู-ชินวะ จำกัด ตั้งอยู่บนที่ดินประมาณ 1 ไร่ ในซอยทองหล่อ 5 เป็นคอนโดมิเนียมโลวไรส์ 8 ชั้น 1 อาคาร จำนวน 156 ยูนิต มี 2 type ให้เลือก ทั้งขนาด 1 และ 2 ห้องนอน พื้นที่ 29-65 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 4.9 ล้านบาท ออกแบบโครงการและฟังก์ชั่นการใช้งานให้มีบรรยากาศการอยู่อาศัยแบบญี่ปุ่นแท้จริง เป็นปรากฏการณ์ใหม่ของวงการอสังหาฯในไทย ทั้งการใช้วัสดุก่อสร้าง-ตกแต่งบางส่วนนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น อาทิ ห้องน้ำระบบใหม่ที่พื้นสามารถแห้งได้อย่างรวดเร็วภายใน 3 นาที, Kara Kara Tile สุดยอดกระเบื้องเทคโนโลยีใหม่จากญี่ปุ่นที่ช่วยควบคุมความชื้นและป้องกัน  ไรฝุ่นภายในห้องนอน เป็นต้น สำหรับพื้นที่ส่วนกลางและสิ่งอำนวยความสะดวกครบสมบูรณ์ ด้วยสวนญี่ปุ่น สระว่ายน้ำ ออนเซนต้นตำรับแท้จากญี่ปุ่น ที่ฝึกซ้อมกอล์ฟ Auto Parking ระบบรักษาความปลอดภัย ฯลฯ กำหนดเปิดขายอย่างเป็นทางการ ไตรมาส 2 ปี 2560 คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างไตรมาส 3 ปี 2560 แล้วเสร็จไตรมาส 4 ปี 2561 มูลค่าโครงการกว่า 1,200 ล้านบาท
ฮาบิแทท กรุ๊ป เตรียมเปิดโครงการใหม่ 5 โครงการ มูลค่า 3,000 ล้านบาท ชูศักยภาพตลาดพัทยา ขยายตัวผุด ‘ครอสทู พัทยา โอเชี่ยนเฟียร์’ พูลวิลล่าหรูริมชายหาด แห่งเดียวในพัทยา

ฮาบิแทท กรุ๊ป เตรียมเปิดโครงการใหม่ 5 โครงการ มูลค่า 3,000 ล้านบาท ชูศักยภาพตลาดพัทยา ขยายตัวผุด ‘ครอสทู พัทยา โอเชี่ยนเฟียร์’ พูลวิลล่าหรูริมชายหาด แห่งเดียวในพัทยา

บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด เตรียมเปิด 5 โครงการใหม่ปีนี้ มูลค่ารวมกว่า 3,000 ล้านบาท ประเดิมโครงการแรก ‘ครอสทู พัทยา โอเชี่ยนเฟียร์’ พูลวิลล่าสุดหรูริมชายหาด พร้อมบริการเต็มรูปแบบเสมือนโรงแรม 5 ดาว บนซอยนาจอมเทียน 56 มูลค่าโครงการกว่า 800 ล้านบาท การันตีผลตอบแทนสูง มั่นใจยอดขายสวนกระแสเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังมีแผนขยายการลงทุนมายังตลาดกรุงเทพ เน้น Low-rise luxury condominium ทำเลใจกลางเมือง นายชนินทร์ วานิชวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ให้ประสบการณ์แห่งการพักผ่อนรวมถึงการลงทุนที่คุ้มค่าและไม่เหมือนใคร เปิดเผยถึงแผนธุรกิจบริษัทในปี 2560 บริษัทมีแผนพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จำนวน 5 โครงการ มูลค่า 3,000 ล้านบาท โดยมีกลยุทธ์ด้านการลงทุนในทำเลหัวเมืองท่องเที่ยว ซึ่งจะเปิดต่อเนื่องในเขตพัทยา เนื่องจากได้ศึกษาตลาดท่องเที่ยวในพัทยาพบว่ายังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยใน 10 เดือนแรกของปี 2559 มีอัตราการเข้าพัก (occupancy rate) โดยเฉลี่ยเดือนละ 75% ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่น่าพอใจ ดังนั้น บริษัทฯ จึงเชื่อว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนในพัทยา ยังมีช่องว่างของตลาดอีกมาก โดยเฉพาะกลุ่มโรงแรม และการท่องเที่ยว นอกจากนี้ โครงการก่อสร้างระบบขนส่งมวลชนต่างๆ ทั้งในและรอบๆพัทยา ยังเป็นปัจจัยสำคัญในการขยายตัวของเมืองพัทยา ทำให้การเดินทางเข้าสู่พัทยาสะดวกสบายและรวดเร็วมากขึ้น อานิสงส์จากพัฒนาสาธารณูปโภคนี้ ส่งผลต่อการคาดการณ์ว่าจะมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากขึ้นในอนาคตและมีการขยายจำนวนประชากรที่อาศัยอยู่รอบๆ เพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของเมือง จะเห็นได้ว่ากลุ่มทุนต่างๆทั้งในประเทศ กลุ่มเชนโรงแรมใหญ่ๆ และกลุ่มนักลงทุนจากจีน เริ่มหันเข้ามาลงทุนในพัทยามากขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ตัวอย่างโครงการก่อสร้างระบบขนส่งมวลชนที่สำคัญ เช่น การขยายสนามบินอู่ตะเภา และการเปิดสายการบินระหว่างประเทศ บินตรงมายังอู่ตะเภา ทั้งจากจีน, มาเลเซีย, ประเทศอื่นๆในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้, รวมทั้งจากรัสเซีย ที่จะเริ่มเปิดให้บริการในปีนี้ การขยายมอเตอร์เวย์กรุงเทพ – พัทยา โดยส่วนขยายที่กำลังก่อสร้างอยู่นี้จะมีทางออกที่มาถึงสัตหีบและนาจอมเทียนโดยตรง โดยไม่ต้องผ่านตัวเมืองพัทยา โครงการเรือไฮสปีดเฟอร์รี่ระหว่างพัทยา – หัวหิน – กรุงเทพ ซึ่งจะเปิดให้บริการการเดินเรือเส้นทาง ระหว่างพัทยา – หัวหิน ในช่วงไตรมาส 1 ปีนี้ และคาดว่าจะวิ่งได้ครบทุกเส้นทางในปีถัดไป โครงการรถไฟความเร็วสูง จากกรุงเทพ – พัทยา ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการ หากสร้างเสร็จจะทำให้การเดินทางมาพัทยา ใช้เวลาเพียง 45 นาทีเท่านั้น พัทยาเป็นเมืองท่องเที่ยวเพียงแห่งเดียวในประเทศที่ล้อมรอบไปด้วยนิคมอุตสาหกรรมหลายแห่งและท่าเรือขนส่งสินค้าสำคัญ ทั้งนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง นิคมอุตสาหกรรมเหมราช ท่าเรือแหลมฉบัง ท่าเรือมาบตาพุด จึงทำให้มีจำนวนประชากรแฝง และอัตราการเข้าพักในเมืองพัทยาและเขตรอบๆ อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ในปี 2560 นี้ บริษัทฯ มีแผนเริ่มเข้ามาลงทุนในตลาดกรุงเทพ โดยเน้นไปที่ Low-rise luxury condominium ทำเลใจกลางเมือง โดยเน้นทำคอนโดที่ขนาดไม่ใหญ่มาก จำนวนยูนิตไม่เยอะ มีความเป็นส่วนตัวสูง เน้นดีไซน์โมเดิร์นเรียบหรู ทำเลโดดเด่นและทำเลหายากรอบๆ CBD เช่น วิทยุ สุขุมวิท เป็นต้น เพราะบริษัทฯ เชื่อว่าที่ดินบนทำเลเหล่านี้ซึ่งมีอยู่จำกัด เป็นที่ต้องการของตลาดที่อยู่อาศัยอย่างแน่นอน ในส่วนเป้าหมายของยอดขายในปีนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้าว่าจะดันยอดขายที่เหลือ ของโครงการ Best Western Premier BayPhere Pattaya (เบสท์ เวสเทิร์น พรีเมียร์ เบย์เฟียร์ พัทยา) ที่เหลืออีก 40% ให้หมดภายในปีนี้ และวางเป้าการขายสำหรับโครงการที่เปิดใหม่ทุกโครงการในปี 2560 ให้ได้ถึง 60% - 80% ของแต่ละโครงการ ซึ่งประมาณการเป้าการขายรวมทั้งบริษัทฯ คิดเป็น 2,000 ล้านบาท ในส่วนของยอดการรับรู้รายได้ ในปีนี้จะมีโครงการสร้างเสร็จพร้อมโอนกรรมสิทธิ์ 1 โครงการในช่วงไตรมาส 2-3 คือ โครงการ X2 Vibe Pattaya SeaPhere (ครอสทู ไวบ์ พัทยา ซีเฟียร์) คิดเป็นมูลค่า 300 ล้านบาท และมีการโอนกรรมสิทธ์โครงการพูล วิลล่า X2 Pattaya Oceanphere (ครอสทู พัทยา โอเชี่ยนเฟียร์) ที่ขายไปแล้วบางส่วน คิดเป็นประมาณ 200 ล้านบาท รวมยอดรับรู้รายได้ทั้งปี 500 ล้านบาท โดยโครงการปัจจุบันที่เปิดตัว คือ  X2 Pattaya Oceanpher (ครอสทู พัทยา โอเชี่ยนเฟียร์) พูลวิลล่า ตากอากาศสุดหรูพร้อมอยู่สไตล์ โมเดิร์น ลักซ์ชัวรี่  รีสอร์ท มูลค่าโครงการกว่า 800 ล้านบาท วิลล่าในโครงการออกแบบทิศทางของอาคารให้ทุกยูนิตสามารถรับลมจากฝั่งทะเล และมีความเป็นส่วนตัว โดยยกระดับของบ้านให้ลดหลั่น  นอกจากนี้ยังมีการให้บริการเต็มรูปแบบเสมือนอยู่ บูทีค รีสอร์ทภายใต้แบรนด์ ครอสทู  ซึ่งปัจจุบันมียอดจองแล้วกว่า 40 % โดยกลุ่มเป้าหมายเป็นการซื้อเพื่อลงทุน 100% ตั้งเป้าปิดยอดขายได้ทั้งหมดภายในปี 2561 โครงการนี้ ตั้งอยู่ในซอยนาจอมเทียน 56 ห่างจากหาดที่สวยที่สุดของพัทยาตอนใต้เพียง 500 เมตร โดยแบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ 1 ห้องนอน ขนาด 138.5–193.5 ตร.ม. และ 2 ห้องนอน 201.5-267 ตร.ม. โดยทุกยูนิตมาพร้อมสระว่ายน้ำและสวนส่วนตัว ตกแต่งแบบ Fully Furnished ทั้งหลังพร้อมด้วยเฟอร์นิเจอร์ที่ออกแบบพิเศษ เช่น บันไดวนในบ้านแบบ 2 ห้องนอนที่ดีไซน์ให้เข้ากับสไตล์โมเดิร์น ลักซ์ชัวรี่และเครื่องใช้ไฟฟ้าครบชุด ราคาเริ่มต้นที่ 9.79 – 15 ล้านบาท สำหรับ โครงการในปีที่ผ่านมาแม้สถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมจะไม่นิ่ง แต่จากการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์จำนวน 2 โครงการ เป็นโครงการที่เปิดมาก่อนในปี 2558 จำนวน 1 โครงการ คือ คอนโดมิเนียม X2 Vibe Pattaya SeaPhere (ครอสทู ไวบ์ พัทยา ซีเฟียร์) บนทำเลซอยนาจอมเทียน 32 มูลค่าโครงการ 300 ล้านบาท ซึ่งปรากฏว่าขายได้หมดแล้ว 100% โดยกลุ่มผู้ซื้อ 80% เป็นคนไทยที่ต้องการซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน  อีก 20% เป็นลูกค้าต่างชาติที่สนใจลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในพัทยา เช่น ลูกค้าสิงคโปร์ ฮ่องกง และจีน เป็นต้น ส่วน Best Western Premier BayPhere Pattaya (เบสท์ เวสเทิร์น พรีเมียร์ เบย์เฟียร์ พัทยา)  คอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ติดชายหาด บนทำเลซอยนาจอมเทียน 18 มูลค่าโครงการ 700 ล้าน ซึ่งพรีเซลล์ไปเมื่อต้นเดือนกันยายน 2559 ที่ผ่านมา และมียอดจองไปแล้วกว่า 60% ภายในเวลา 4 เดือน ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง แม้ว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยรวมค่อนข้างชะลอตัว โดยเฉพาะในไตรมาสที่ 4 ในปีที่ผ่านมา แต่พบว่ากลุ่มลูกค้า 100% เป็นคนไทย ที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพ จากข้อมูล 2 โครงการดังกล่าว สะท้อนให้เห็นว่ายังมีกำลังซื้อของผู้บริโภคอยู่ส่วนหนึ่ง ซึ่งมองหาแหล่งลงทุน โดยในปีที่ผ่านมาบริษัทมียอดขายจาก 2 โครงการ จำนวน 700 ล้านบาท
SC ยุค 4.0 ประกาศแผนยุทธศาสตร์เชิงรุกขยายเข้าตลาดที่อยู่อาศัยทุกระดับราคาพัฒนาบ้านรู้ใจ ตอบรับโลกยุค Connectivity พร้อมเปิด 17 โครงการ 27,000 ลบ. ในปี 60 มั่นใจรายได้ทะลุเป้า 20,000 ลบ. ในปี 62

SC ยุค 4.0 ประกาศแผนยุทธศาสตร์เชิงรุกขยายเข้าตลาดที่อยู่อาศัยทุกระดับราคาพัฒนาบ้านรู้ใจ ตอบรับโลกยุค Connectivity พร้อมเปิด 17 โครงการ 27,000 ลบ. ในปี 60 มั่นใจรายได้ทะลุเป้า 20,000 ลบ. ในปี 62

นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า “SC วางแผนยุทธศาสตร์เชิงรุก สำหรับการเติบโตอย่างยั่งยืนในยุค 4.0 ยุคแห่ง Connectivity  ที่โลกเชื่อมต่อกันทั้งหมดด้วยระบบดิจิตอล เรามีแผนการเติบโตต่อเนื่อง 3 ปี โดยตั้งเป้าหมายในปี 2562 ทำรายได้เกิน 20,000 ล้านบาท ด้วยแผนยุทธศาสตร์ 4 ข้อคือ top-line growth: แผนยุทธศาสตร์เชิงรุก พัฒนาที่อยู่อาศัยในทุกระดับราคา รักษาฐานผู้นำส่วนแบ่งตลาดของกลุ่ม high-end และ รุกขยายเพิ่มส่วนแบ่งตลาดของกลุ่ม mass human-centric innovation: ผสานนวัตกรรมพัฒนา "บ้านรู้ใจ" ในทุกระดับราคา เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้คนที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในโลกยุค 4.0 top quality: รักษามาตรฐานคุณภาพทั้งสินค้าและบริการ lean: ปรับ process ทั้งภายในและภายนอกให้เป็นระบบ digitization เพื่อความแม่นยำ และคล่องตัว และมีการปรับโครงสร้างองค์กรสำหรับยุค 4.0 ปัจจัยสำคัญสำหรับปี 2560 ภายใต้นโยบายใหม่ของสหรัฐอเมริกาที่มีประธานาธิบดีคนใหม่จะมีบทบาทสำคัญต่อทิศทางเศรษฐกิจโลกทั้งหมด และจะมีผลต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยทั้งในระยะกลางและระยะยาว ซึ่งมุมมองระยะสั้นสำหรับปีนี้ มี 2 เรื่องสำคัญที่ต้องจับตามอง คือ 1. หนี้ครัวเรือนเติบโตในอัตราที่ชะลอตัวลงมาก แต่ยังมีสัดส่วนต่อ GDP ที่สูงอยู่ และ 2. อัตราการปฏิเสธให้สินเชื่อจากธนาคาร (bank rejection) และhousing NPL ยังอยู่ในช่วงขาขึ้น ทั้ง 2 เรื่องเป็นความท้าทายต่อการเติบโตของธุรกิจอสังหาฯ ในปีนี้ อย่างไรก็ตามคาดการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ปีนี้จะเติบโตมากกว่า 5% ด้วย GDP ของประเทศไทยยังมีการเติบโตมากกว่า 3% ต่อปี นอกจากนี้กำลังซื้อของกลุ่มที่อยู่อาศัยราคา 3 ล้านบาทขึ้นไป ยังมีความแข็งแรงอยู่” โดยในปี 2560 SC มีเป้าหมายรายได้ 14,800 ล้านบาท และยอดขาย 16,000 ล้านบาท เติบโต 38% พร้อมแผนเปิดโครงการใหม่ ทั้งหมด 17 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 27,000 ล้านบาท ในครึ่งปีแรกเปิด 6 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 14,000 ล้านบาท แบ่งเป็นบ้านเดี่ยว  4 โครงการ และ คอนโดมิเนียม 2 โครงการ ส่วนครึ่งปีหลังเปิด 11 โครงการ เป็นโครงการแนวราบ มูลค่ารวม 13,000 ล้านบาท ในส่วนอาคารสำนักงานแห่งใหม่ SC Tower ที่ได้รับความสำเร็จ ปัจจุบันมียอดจองครบ 100 % เรียบร้อยแล้ว และพร้อมเปิดดำเนินการในปลายไตรมาส  1 นี้ นายณัฐพงศ์กล่าวอย่างมั่นใจว่า “ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงเร็วอย่างไร SC พร้อมเติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งปริมาณควบคู่ไปกับคุณภาพ”
ความนิยมของอสังหาฯ ไทยในชาวต่างชาติ

ความนิยมของอสังหาฯ ไทยในชาวต่างชาติ

ประเทศไทยขึ้นชื้อว่าเป็นเมืองท่องเที่ยวติดอันดับท็อปของโลกต่อเนื่องมาหลายปี โดยในปี 2560 มีนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศไทยมากถึง 65 ล้านคน และคาดว่าในปี 2561 นี้จะเพิ่มขึ้นอีก 10% การเข้ามาของนักท่องเที่ยวนั้นส่งผลดีต่อเศรษฐกิจหลายด้าน ไม่ใช่เพียงแค่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมท่องเที่ยวกับชาวบ้านในพื้นที่เท่านั้น แต่ส่งผลไปถึงการเข้ามาลงทุนในบ้านเราเพิ่มมากขึ้นด้วย   หลายประเทศโดยเฉพาะในแทบเอเชียมีแนวโน้มเข้ามาลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยมากขึ้นในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษตะวันออก(อีอีซี) ประกอบกับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลายรายนำโครงการคอนโดมิเนียมไปออกโรดโชว์ต่างประเทศจึงทำให้เป็นที่รู้จักในกลุ่มชาวต่างชาติมากขึ้น เช่น ฮ่องกง ไต้หวัน สิงคโปร์ ญี่ปุ่น และมากที่สุดคือประเทศจีน ซึ่งมีทั้งการเข้ามาลงทุนด้วยตัวเอง การซื้อกิจการอาคาร ที่ดิน โครงการต่างๆ และการร่วมทุนที่มีการเข้ามาช่วยบริหารจัดการด้วยตัวเอง เนื่องจากที่ผ่านมามีการลงทุนจากชาวจีนเป็นเม็ดเงินเฉลี่ยปีละ 4-5 หมื่นล้านบาท โดยลักษณะการลงทุนมีหลากหลายรูปแบบ เช่น   คอนโดมิเนียม เป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะสามารถปล่อยขายกรรมสิทธิ์แก่ชาวต่างชาติได้ถึง 49%/โครงการ สามารถซื้อเป็นชื่อของชาวต่างชาติเองได้ โดยนิยมเลือกทำเลทั้งในกรุงเทพฯ และตามเมืองท่องเที่ยวใหญ่ๆ สามารถเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะได้ง่ายเน้นแนวรถไฟฟ้าหรือใกล้สถานที่สำคัญ มีสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการรวมถึงราคาที่เหมาะสมเป็นหลัก กำลังซื้อจะอยู่ที่ประมาณ 5-10 ล้านบาทขึ้นไป โดยบางโครงการก็มีการกว้านซื้อแบบเหมายกชั้นมาแล้ว อีกส่วนหนึ่งในภาคธุรกิจจะให้ความสนใจในการร่วมทุนสร้างคอนโดมิเนียม เช่น โครงการ Hyde Heritage ทองหล่อ จากบริษัท แกรนด์ สตาร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่เกิดจากการร่วมทุนระหว่าง Property Perfect กับ Grand Asset จากประเทศไทย และ Sumimoto Forestry จากประเทศญี่ปุ่น, โครงการ Life อโศก คอนโดมิเนียมที่มีการร่วมทุนระหว่าง AP (Thailand) กับ Mitsubishi Estate Group-MEC จากประเทศญี่ปุ่น เป็นต้น   อาคารสำนักงาน ในบ้านเรานั้นติดอันดับที่ 2 ของอาคารสำนักงานระดับพรีเมียมที่มีค่าเช่าถูกที่สุดในโลก โดยเฉลี่ยแล้วประมาณ 1,020 บาท/ตร.ม./เดือน ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับอาคารสำนักงานที่แพงที่สุดในโลกอย่างฮ่องกงจะมีราคาเฉลี่ยที่ 9412 บาท/ตร.ม./เดือน รองลงมาเป็นนิวยอร์กมีราคาเฉลี่ย 5,653 บาท/ตร.ม./เดือน และลอนดอน 5,624 บาท/ตร.ม./เดือน แม้ว่าในประเทศไทยจะมีค่าเช่าที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องมาตลอด 7-8 ปีที่ผ่านมา แต่ก็ยังถือว่าถูกกว่าฮ่องกงอยู่ถึง 9 เท่า เพราะมีซัพลายที่ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ โดยเฉพาะอาคารสำนักงานเกรดเอย่านใจกลางเมืองที่มีเหลือให้เช่าเพียง 7.8% ซึ่งการลงทุนพัฒนาอาคารสำนักงานมักจะเป็นการร่วมทุนกันระหว่างบริษัทในประเทศไทยกับต่างชาติ   โครงการมิกซ์ยูส เป็นลักษณะโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่ผ่านมาจึงเป็นการร่วมทุนกัน เช่น โครงการมิกซ์ยูสในพัทยา โดยจงเทียน คอนสตรัคชั่น กรุ๊ป ร่วมทุนกับเจ.เอส.พี. พร็อพเพอร์ตี้, โครงการมิกซ์ยูสในพังงากับหัวหิน โดยจุนฟา เรียลเอสเตท ร่วมทุนกับชาญอิสระ ดีเวล็อปเมนท์ และล่าสุดกับการทุ่มทุนซื้อที่ดินเปล่าประมาณ 2,000 ไร่ ในจังหวัดฉะเชิงเทรา เพื่อพัฒนาเป็นที่อยู่อาศัยครบวงจรแบบมิกซ์ยูสภายใน 5 ปี เป็นต้น   โรงแรม เดิมมีการลงทุนจากชาวจีนด้วยการซื้ออพาร์ตเมนต์ แต่ปัจจุบันลงทุนขนาดใหญ่ขึ้นโดยหันมาพัฒนาเป็นโรงแรมเอง เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวจากประเทศเดียวกันที่เข้ามาเที่ยวในประเทศไทยปีละเกือบ 10 ล้านคน ซึ่งเป็นจำนวนสูงที่สุดเมื่อเทียบกับนักท่องเที่ยวชาติอื่นๆ เน้นตามเมืองท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยม มีการเดินทางสะดวก เช่น ชลบุรี เชียงใหม่ ภูเก็ต เป็นต้น   โรงงานอุตสาหกรรม ส่วนมากจะเป็นการซื้อที่ดินแล้วพัฒนาเป็นโรงงานอุตสาหกรรม หรือซื้อต่อจากที่มีอยู่แล้วในเขตพื้นที่รอยต่อกับกรุงเทพฯ กับจังหวัดที่เป็นแหล่งโรงงานอุตสาหกรรมอยู่แล้ว เช่น บริษัท ไฮดู เบสท์ กรุ๊ป จํากัด มีการ Take over โรงงานร้างในจังหวัดระยอง เพื่อนำมาพัฒนาเป็นนิคมอุตสาหกรรมและที่อยู่อาศัย อีกปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยกระตุ้นให้กลุ่มนักลงทุนชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนในเมืองไทยเพิ่มมากขึ้นคือ พ.ร.บ.ทรัพย์อ้างสิทธิ ที่เพิ่งผ่านการอนุมัติจากครม. เมื่อไม่นานมานี้ โดยเป็นการกำหนดให้มีทรัพย์อิงสิทธิ ซึ่งเป็นสิทธิ์ที่เกิดจากการทำสัญญาเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ เช่น ที่ดินมีโฉนด และห้องชุด ระหว่างเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ เรียกว่า “ผู้ให้ทรัพย์อิงสิทธิ์” สามารถทำสัญญาให้อีกคนหนึ่งที่เรียกกันว่า “ผู้ทรงทรัพย์อิงสิทธิ์” ใช้ประโยชน์ในอสังหาริมทรัพย์นั้นได้ในระยะเวลาไม่เกิน 30 ปี ไม่ว่าจะเป็นการขายสิทธิ์ โอน จำนอง เช่า สามารถดัดแปลง ต่อเติม สร้างสิ่งปลุกสร้างได้โดยไม่ต้องขออนุญาตจากผู้ให้ทรัพย์อิงสิทธิ์(ขึ้นอยู่กับสัญญา) และหาก “ผู้ทรงทรัพย์อิงสิทธิ์” เสียชีวิตก็สามารถตกทอดแก่ทายาทได้   ทั้งหมดนี้ส่งผลให้ในอนาคตจะมีชาวต่างชาติโดยเฉพาะชาวจีน-ญี่ปุ่น เข้ามาทำงาน อาศัยอยู่ในประเทศไทยเพิ่มขึ้น กลายเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เศรษฐกิจภาพรวมของประเทศไทยยังสามารถเติบโตไปได้ดี แต่ทั้งนี้ก็ต้องมองดูที่ปัจจัยอื่นควบคู่กันไปด้วย เช่น เศรษฐกิจ การเมือง กฏหมายเรื่องการถือครองกรรมสิทธิ์ของชาวต่างชาติ และข้อกำหนดในการนำเงินออกนอกประเทศสำหรับประเทศจีนด้วย    
“มานะ พัฒนาการ” เปิดตัว New Brand Direction : DESIGNING LIFE’S FOUNDATION พร้อมฉลองปีไก่ทองลุยเปิดโครงการใหม่มูลค่ารวม 1,600 ลบ. และตั้งเป้ารายได้โตอีก 6 เท่า

“มานะ พัฒนาการ” เปิดตัว New Brand Direction : DESIGNING LIFE’S FOUNDATION พร้อมฉลองปีไก่ทองลุยเปิดโครงการใหม่มูลค่ารวม 1,600 ลบ. และตั้งเป้ารายได้โตอีก 6 เท่า

บจ.มานะ พัฒนาการ เครือ บมจ.เนาวรัตน์พัฒนาการ เผยปิดปี ‘59 ด้วยยอดขาย 455 ล้านบาท ประกาศปี ‘60 เตรียมเปิดโครงการเพิ่มอีก 2 โครงการมูลค่ากว่า 1,600 ลบ. แบ่งเป็น แนวราบ 1 โครงการ คือ บารานี เรสซิเดนซ์ และแนวสูงอีก 1 โครงการ คือ  Aspen Condo Phase B คาดปีนี้รายได้พุ่ง 6 เท่าจากปีที่แล้ว เผยปีนี้เป็นปีสำคัญในการกำหนดทิศทางของแบรนด์ของบริษัทอย่างชัดเจน ด้วยการเปิดตัว New Brand Direction : “DESIGNING LIFE'S FOUNDATION” เน้นการพัฒนาแบรนด์ควบคู่ไปกับการพัฒนาโครงการเพื่อตอบสนองความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า  นายพลพัฒ กรรณสูต  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “บมจ.เนาวรัตน์พัฒนาการ เป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้างชั้นนำของประเทศที่มีประสบการณ์มาอย่างยาวนาน และได้รับการยอมรับจากกลุ่มลูกค้าทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ด้วยการนำเทคโนโลยีชั้นสูงมาใช้ในงานก่อสร้าง ปัจจุบันเนาวรัตน์พัฒนาการ มีธุรกิจหลัก 3 ส่วน ประกอบด้วย กลุ่มธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง กลุ่มธุรกิจผลิตเสาเข็มคอนกรีตอัดแรงและผลิตภัณฑ์คอนกรีต และกลุ่มธุรกิจเหล็กแปรรูป จากประสบการณ์ในด้านการก่อสร้างที่ผ่านมา ทำให้บริษัทมองเห็นโอกาสในการพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เพราะมองว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นอีกธุรกิจบนพื้นฐานของการดำรงชีวิตซึ่งมีการเติบโตค่อนข้างสูงและต่อเนื่อง ทั้งยังสามารถสร้างรายได้และผลกำไรที่ดี ซึ่งเป็นโอกาสของบริษัทในการนำจุดแข็งของการก่อสร้างของเนาวรัตน์มาต่อยอด และสร้างโอกาสทางธุรกิจเพิ่มเติม สำหรับบริษัทมานะพัฒนาการ ปัจจุบันมีทุนจดทะเบียนถึง 800 ล้านบาท โดยจากนี้ไปจะเห็นว่ามานะพัฒนาการจะมีการทำงานแบบมุ่งพัฒนาทั้งด้านสินค้าและแบรนด์อย่างต่อเนื่องเพื่อให้ได้สินค้าที่ตอบความต้องการของลูกค้าอย่างสูงสุด และได้แบรนด์ที่ลูกค้าต้องการอย่างลงตัว” นายปสันน สวัสดิ์บุรี ประธานกรรมการบริหาร บริษัท มานะ พัฒนาการ จำกัด กล่าวเกี่ยวกับการกำหนดทิศทางของแบรนด์ (New Brand Direction) ของมานะพัฒนาการว่า “สำหรับปีที่ผ่านมา เราใช้เวลาทั้งปีเพื่อวางแผนและศึกษาการวางทิศทางของแบรนด์มานะพัฒนาการ ซึ่งเบื้องต้นเราตั้งคำถามกันว่า สำหรับมานะพัฒนาการแล้ว "แบรนด์" คืออะไร ซึ่งการตั้งคำถามนี้นำมาซึ่งคำตอบ ได้แก่ แบรนด์ คือการมีเพื่อน หรือคนรู้ใจ คนที่เราไว้วางใจ คุยได้ทุกเรื่อง และเราต้องการคบกับคนๆ นี้ไปอีกนานๆ ซึ่งนี่คือแก่นแท้ของแบรนด์มานะพัฒนาการ เมื่อได้คำตอบนี้ เราจึงทำการบ้านต่อเพื่อหาคำตอบอีกครั้งว่า ผู้บริโภคในวันนี้ต้องการอะไรจากที่อยู่อาศัย และเราพบว่าสิ่งที่เป็นตัวแปรสำคัญที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ คือ ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค เพราะเมื่อเราเข้าใจไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคมากขึ้นเท่าไร เราก็จะยิ่งเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายของเรามากเท่านั้น ซึ่งสามารถสรุปได้ว่า สำหรับมานะพัฒนาการแล้ว แบรนด์ คือการคิดพัฒนาเพื่อให้ได้ที่อยู่อาศัยที่ตรงใจกับที่ผู้บริโภคต้องการ นอกจากนี้ เรายังต้องการสร้างสังคมที่ดีให้กับลูกบ้าน ทั้งยังรวมไปถึงการบริการหลังการขาย และสุดท้ายที่สำคัญที่สุด คือเราต้องการเห็นลูกบ้านของเรามีความภูมิใจในแบรนด์ที่เขาเลือก รักและผูกพัน รวมถึงแนะนำให้เพื่อนเข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสมาชิกของมานะพัฒนาการ และนั่นคือ ผลสำเร็จของแบรนด์ที่เราตั้งไว้ โดยเรานิยาม New Brand Direction ของเราว่า "Designing Life's Foundation" หรือ "มองรอบด้าน เพื่อชีวิต"  จากการวาง New Brand Direction ของบริษัทฯ ส่งผลถึงวิธีการพัฒนาโครงการแต่ละโครงการให้สอดรับกับ New Brand Direction ซึ่งรายละเอียดของแต่ละโครงการซึ่งสะท้อนถึงแบรนด์แต่ละแบรนด์นั้น นายอภิชาติ   รักช้าง กรรมการผู้จัดการ บริษัท มานะ พัฒนาการ จำกัด กล่าวว่า “ผมมารับช่วงต่อในการพัฒนาแบรนด์ของแต่ละโครงการ หลังจากที่บริษัทได้ New Brand Direction แล้ว โดยเรามีแบรนด์ย่อย 3 แบรนด์ โดยเป็นแนวสูง 1 แบรนด์ ได้แก่ เอสเพน คอนโด (Aspen Condo) และแนวราบ 2 แบรนด์ ได้แก่ บารานี เรสซิเดนซ์ (Baranee Residence) และแบรนด์บารานี พาร์ค (Baranee Park) ซึ่งแต่ละแบรนด์มีบุคลิกที่แตกต่างกัน  และบอกถึงไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัย และลักษณะโครงการด้วย โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 1. แบรนด์เอสเพน คอนโด (Aspen Condo) เป็นแบรนด์สำหรับคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ คือ Aspen Condo Phase B การพัฒนาแบรนด์นี้ เราใช้หลักวิธีคิดง่าย ๆ คือ เมื่อกลุ่มเป้าหมายของเรา คือ คนรุ่น ใหม่ มองหาอะไรใหม่ ๆ ให้กับชีวิต รวมถึงให้ความสำคัญกับวิถีชีวิตในแบบที่ตัวเองชอบ ซึ่งทั้งหมดเป็นที่มาของแนวความคิด “Urban One-Stop Living” ที่นี่ไม่ใช่ที่พักอาศัยอย่างเดียวอีกต่อไป แต่ที่นี่คือ Community ที่ถูกออกแบบสำหรับคนรุ่นใหม่อย่างแท้จริง อาทิ Urban Alternative Gym หรือเมื่อคุณต้องการพื้นที่ที่กว้างขึ้น นอกจากภายในห้องพักแล้วเรายังมีพื้นที่ Urban Idea Space สำหรับให้คุณได้ทำงานสไตล์คนเมืองและ Coffee Bar แบบบริการตนเอง หรือแม้แต่ถ้าคุณต้องพื้นที่สีเขียวเพื่อการพักผ่อน เราก็สร้างพื้นที่ Urban Greenscape ที่ช่วยให้คุณได้พักผ่อนท่ามกลางบรรยากาศสีเขียวอีกด้วย สำหรับโครงการ ASPEN Condo Phase B เป็นโครงการอาคารชุด 8 ชั้น 2 อาคาร จำนวน 398 ยูนิต บนที่ดิน 3-1-65.5 ไร่ มูลค่าโครงการ 750 ล้านบาท ตั้งอยู่บนนถนนลาซาล ห้องขนาด  1 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอยเริ่มต้น 23.64 ตารางเมตร พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้น เสริมด้วยระบบรักษา      ความปลอดภัย ด้วยระบบ Key Card กล้อง CCTV โดยรอบโครงการ พร้อมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง โดยในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2560 จะมีงาน Grand Opening อย่างเป็นทางการที่สำนักงานขายโครงการ ซึ่งในวันงานผู้สนใจจะได้รับข้อเสนอพิเศษ คือ ราคาเริ่มต้น 1.39 ล้านบาท* จองเพียง 5,000 บาท ผ่อนเริ่มต้นเพียงเดือนละ 4,900 บาท* PROMOTION CAMPAIGN เพียงจอง+ทำสัญญา เลือกPro ได้ตามสไตล์คุณ iPhone , iPad , MacBook 2. บารานี เรสซิเดนซ์ (BARANEE RESIDENCE)  เป็นโครงการบ้านเดี่ยวแบรนด์ใหม่ของบริษัทฯ โดย ความตั้งใจหลักในการพัฒนาคอนเซ็ปต์โครงการนี้มาจากความร่มรื่นและความรื่นรมย์ในแบบฉบับ English Garden โดยนำเอาความคิดดังกล่าวมาปรับให้เข้ากับวิถีชีวิตของคนไทย แต่ยังคงไว้ซึ่งแนวคิดแบบ “Quality Meets Life” โดยกลุ่มเป้าหมายหลัก คือ กลุ่มครอบครัวที่ต้องการพื้นที่ใช้สอยภายในบ้านเต็มพื้นที่  และมีความชื่นชอบบ้านเดี่ยวในสไตล์ Modern English สำหรับโครงการบารานี เรสซิเดนซ์ รังสิต- คลอง 3 ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพย่าน รังสิต-คลอง 3 บนที่ดินขนาด 34-1-34 ไร่ จำนวนทั้งสิ้น 140 ยูนิต โดดเด่นด้วยการออกแบบพื้นที่ใช้สอยของตัวบ้าน , การก่อสร้าง ,  การเลือกวัสดุ , สิ่งแวดล้อมภายในโครงการ , ทางเข้า-ออกโครงการที่หรูหรามีสไตล์พร้อมมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยที่ครอบคลุมตลอด 24 ชม. ทั้งการเข้าออก และการดูแลภายในโครงการ , CCTV โดยรอบโครงการ , ประตูเข้าออกอัตโนมัติ , Double Security  ควบคุมการเข้าออกด้วย Access Card  และภายในตัวบ้านเราเพิ่ม Digital Door Lock และ สัญญาณกันขโมยให้กับบ้านทุกหลังเพื่อความอุ่นใจ พร้อมสิ่งอำนวย ความสะดวก สวนส่วนกลาง , คลับเฮ้าส์ , สระว่ายน้ำ , ฟิตเนตและห้องสตีม เราสร้างทุกอย่างเพื่อมาตรฐานคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับลูกค้าและเพื่อรองรับการสร้างครอบครัวในอนาคต พร้อมข้อเสนอพิเศษสุด ส่วนลดสูงสุด 200,000 บาท* ฟรีค่าโอนกรรมสิทธิ์พร้อมของแถมหลายรายการ  ด้วยราคาเริ่มต้นเพียง  5.7 ล้านบาท*  มีแบบบ้านให้เลือก 2 แบบ ได้แก่ แบบบ้าน Earl Grey  :  พื้นที่ใช้สอย 220 ตร.ม. ขนาดที่ดินเริ่มต้น 54 ตร.วา,  4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ห้องรับแขก 1 ห้องรับประทานอาหาร  1 ห้องครัว 2 ที่จอดรถ แบบบ้าน Darjeeling : พื้นที่ใช้สอย 240 ตร.ม. ขนาดที่ดินเริ่มต้น 60 ตร.วา,  4 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ 2ห้องรับแขก 1 ห้องรับประทานอาหาร  1 ห้องครัว 2 ที่จอดรถ 3. บารานี พาร์ค (BARANEE PARK)  เป็นแบรนด์สำหรับโครงการบ้านเดี่ยว โครงการนี้มีแนวคิดจากหลักสมการง่าย ๆ แต่มีความหมาย คือ “Design = Life” ทุกองค์ประกอบของชีวิตที่นี่ คือดีไซน์ โครงการนี้คือ โครงการที่จะทำให้ บ้าน l ดีไซน์ l ธรรมชาติ l ชีวิต เชื่อมถึงกัน อย่างลงตัว ทำให้ทุกมุมมองของการใช้ชีวิตเต็มไปด้วยความสุข ผสมผสานกับสไตล์ในทุกรายละเอียด ตอบโจทย์ทั้งในแง่ของความสะดวกสบายและรูปแบบของชีวิตที่เป็นตัวคุณ บนพื้นที่บ้านที่คิดมาครบในทุกด้าน พร้อมมุมพักผ่อน ณ Courtyard ส่วนตัว ที่เชื่อมต่อกับห้องนั่งเล่นวิวพาโนรามา เติมเต็มความสมบูรณ์แบบสำหรับทุกพื้นที่ความสุขให้กับทุกคนในครอบครัว สำหรับในด้านแผนการดำเนินธุรกิจของ บจ.มานะ พัฒนาการ นายอภิชาติ รักช้าง กล่าวว่า “ปี 2559 ที่ผ่านมา บริษัท มานะ พัฒนาการ จำกัด มียอดขายรวมอยู่ที่ 455 ล้านบาท และมีรายรับจากยอดโอนกรรมสิทธิ์กว่า 100 ล้านบาท สำหรับเป้ายอดขายเราต้องการเติบโตจากปีที่แล้วประมาณ 75 เปอร์เซ็นต์ หรือประมาณ 800 ล้านบาท ส่วนเป้าหมายรายรับจากยอดโอนกรรมสิทธิ์ในปี 2560 ต้องการให้เติบโตขึ้น 6 เท่า หรือเท่ากับ 600 ล้านบาท โดยตามที่กล่าวไปแล้วข้างต้นว่าในปีนี้ บริษัทฯ มีแผนที่จะเปิดตัวโครงการใหม่ 2 โครงการ คือ Aspen Condo Phase B มูลค่าโครงการ 750 ล้านบาท และ บารานี เรสซิเดนซ์ รังสิต-คลอง3 มูลค่าโครงการ 850 ล้านบาท รวมเป็นมูลค่าโครงการใหม่กว่า 1,600 ล้านบาท  ซึ่งนอกจากแผนในด้านการพัฒนาโครงการแล้ว ในปีนี้บริษัทยังคงให้ความสำคัญในการสื่อสารการตลาดอย่างต่อเนื่องทุกช่องทาง เพื่อให้มานะ พัฒนาการ เข้าไปอยู่ในใจของผู้บริโภค และตอกย้ำภาพลักษณ์ของผู้นำไลฟ์สไตล์ด้านที่อยู่อาศัยตาม New Brand Direction ของบริษัทฯ ซึ่งในแต่ละโครงการจะมีการพัฒนา Concept ให้มีความเป็นเอกลักษณ์พิเศษเฉพาะของแต่ละโครงการเพื่อให้ตอบรับกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง” เมื่อสอบถามถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2560  นายอภิชาติกล่าวว่า “ปี 2560 น่าจะเป็นช่วงของการฟื้นตัว โดยมุมมองของผู้ประกอบการจะเห็นว่ามีโอกาสที่ดีขึ้น และพร้อมที่จะนำเสนอสินค้าที่ได้พัฒนามาอย่างต่อเนื่อง     ทำให้บรรดาผู้ประกอบการเริ่มทยอยเปิดตัวโครงการต่างๆ และจะกลับมาสร้างความคึกคักให้กับตลาดอสังหาริมทรัพย์อีกครั้ง โดยรวมแล้วภาคเอกชนยังคงมีความเชื่อมั่นในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เพราะอสังหาฯ จะยังคงเป็นสิ่งจำเป็นต่อผู้บริโภค นอกจากนี้ยังคาดว่าภาคอสังหาริมทรัพย์จะยังมีแนวโน้มฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่องจากปัจจัยภายในประเทศต่างๆ ที่กำลังเข้าสู่สภาวะที่มั่นคงมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสภาพเศรษฐกิจที่กำลังพัฒนาไปในทางที่ดี ทิศทางของการเมืองที่จะมุ่งสู่การเลือกตั้งตามโรดแมพของรัฐบาล ส่วนด้านตลาดอสังหาริมทรัพย์ ผู้พัฒนาโครงการแต่ละรายก็จะต้องพยายามสร้างจุดขายที่แตกต่างและโดดเด่นเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ตามสภาวะการแข่งขันที่มีมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง" สำหรับผู้สนใจโครงการที่อยู่อาศัยทั้งบ้านเดี่ยว และคอนโดมิเนียมจากบริษัท มานะพัฒนาการ จำกัด บริษัทในเครือของ บมจ.เนาวรัตน์พัฒนาการ ท่านสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร.02-730-2101 หรือ  www.manapat.co.th
เกษร พร็อพเพอร์ตี้ เปิดตัว “GAYSORN VILLAGE – เกษรวิลเลจ” ครั้งแรกในเมืองไทยกับอาณาจักรธุรกิจ และไลฟ์สไตล์ในรูปแบบวิลเลจใจกลางกรุง

เกษร พร็อพเพอร์ตี้ เปิดตัว “GAYSORN VILLAGE – เกษรวิลเลจ” ครั้งแรกในเมืองไทยกับอาณาจักรธุรกิจ และไลฟ์สไตล์ในรูปแบบวิลเลจใจกลางกรุง

กรุงเทพฯ – เกษร พร็อพเพอร์ตี้ เปิดแผนพัฒนาธุรกิจครั้งสำคัญ รุกสร้างอาณาจักรอสังหาริมทรัพย์บนพื้นที่กว่า 180,000 ตารางเมตร ใจกลางย่านราชประสงค์ให้กลายเป็น “LIFESTYLE URBAN VILLAGE - ไลฟ์สไตล์ เออร์เบิน วิลเลจ” แห่งแรกและแห่งเดียวของประเทศไทย ด้วยจุดมุ่งหมายที่จะผลักดันให้พื้นที่แห่งนี้กลายเป็นแลนด์มาร์ก ด้านธุรกิจ การค้า และการท่องเที่ยวที่มีศักยภาพเทียบเท่าย่านดังระดับโลก โดยทุ่มงบกว่า 3,470 ล้านบาท พัฒนาโครงการ “GAYSORN VILLAGE – เกษรวิลเลจ” เฟสแรกทางฝั่งเหนือ ในรูปแบบของอาณาจักรธุรกิจและไลฟ์สไตล์รูปแบบใหม่ที่มีเอกลักษณ์ ไม่เหมือนใครภายใต้คอนเซ็ปต์ “TIME WELL SPENT” นำเสนอประสบการณ์ด้านคุณค่าในการใช้เวลาควบคู่กับการสร้างสังคมของผู้ใช้ชีวิตประจำวันที่เปี่ยมด้วย จิตวิญญาณแห่งงานฝีมือจากช่างศิลป์อันทรงคุณค่า “THE SPIRIT OF CRAFTMASTERS” พร้อมเสริมแกร่งด้วยทางเดินลอยฟ้า “ราชประสงค์ วอล์ก” ที่สามารถเชื่อมต่อเข้ากับ 18 อาคาร ภายในย่านฯ และเส้นทางยุทธศาสตร์ “เกษร วอล์ก” ที่สามารถเชื่อมต่อไลฟ์สไตล์จากทิศเหนือฝั่งประตูน้ำผ่านศูนย์การค้าเกษรลงสู่ทิศใต้ฝั่งศูนย์การค้าอัมรินทร์ พลาซ่าได้ภายในเวลาเพียง 3-5 นาที นายชาญ ศรีวิกรม์ ประธานกลุ่มเกษร พร็อพเพอร์ตี้ กล่าวว่า “กลุ่มเกษร พร็อพเพอร์ตี้ ได้มุ่งมั่นในการวางรากฐานการสร้างสรรค์นิยามของประสบการณ์ลักซ์ชัวรี่ไลฟ์สไตล์เหนือระดับ บนพื้นที่ย่านราชประสงค์ ผ่านรายละเอียดที่ใส่ใจถึงความเอ็กซ์คลูซีฟของแบรนด์ต่างๆ ทั่วโลก เพื่อนำเสนอไลฟ์สไตล์ที่เข้ามาเติมเต็มและตอบสนองความต้องการของลูกค้าเป็นเวลานานกว่า 2 ทศวรรษ โดยล่าสุด เราได้เล็งเห็นความสำคัญของการพัฒนาเมืองและสังคมให้เติบโตอย่างยั่งยืน (Social cultivation & Sustainability development) ด้วยการสร้างสถานที่ที่มอบประสบการณ์ให้กับทุกคน ที่สามารถใช้ชีวิตทุกด้านอย่างมีคุณค่า และเติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ จึงเกิดเป็นแนวคิดในการพัฒนาและลงทุนในโครงการ “GAYSORN VILLAGE –  เกษรวิลเลจ” ไลฟ์สไตล์ เออร์เบิน วิลเลจใจกลางกรุงครั้งแรกของเมืองไทย ที่เป็นต้นแบบการพัฒนาไลฟ์สไตล์ และคอมมิวนิตี้ที่สมบูรณ์แบบแห่งอนาคต ภายใต้คอนเซ็ปต์ “TIME WELL SPENT” คุณค่าอยู่ที่การใช้เวลา ทั้งการทำงาน การใช้ชีวิต ศิลปะ วัฒนธรรม และการจับจ่ายใช้สอยอย่างน่ารื่นรมย์ (Delightful) และยั่งยืน (Sustainable) ทั้งยังเป็นสถานที่ซึ่งเปิดกว้างให้ผู้คนทั้งภายใน และภายนอกชุมชนเข้ามาร่วมมีปฏิสัมพันธ์ในการแสดงออกอย่างอิสระ และสร้างสรรค์ โดยใช้งบประมาณ 3,470 ล้านบาทในเฟสแรกสร้างอาณาจักรแห่งใหม่อันเปี่ยมด้วยสไตล์ที่เปรียบเสมือนชุมชนของผู้ที่มีแพสชั่น (Passion) และความชื่นชอบในงานศิลป์ (Artisans) ไม่ว่าจะเป็นศิลปิน (Artists) ช่างศิลป์ (Craftmasters) นวัตกร (Innovators) หรือผู้นำทางด้านรสนิยม (Taste Makers) จะได้มีโอกาสในการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และรสนิยมที่แตกต่างกันเพื่อบ่มเพาะแรงบันดาลใจและเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ร่วมกัน ดังผลงานศิลปะกึ่งสถาปัตยกรรม“เกษร โคคูน” (Gaysorn Cocoon) ที่เชื่อมต่อศูนย์การค้าเกษร และอาคารเกษรทาวเวอร์ให้เป็นหนึ่งเดียวโดยได้รับแรงบันดาลใจจาก “รังไหม” (Cocoon) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์การเกิดขึ้นของสิ่งใหม่ แนวทางในการพัฒนา “GAYSORN VILLAGE – เกษรวิลเลจ” สำหรับโครงการ “GAYSORN VILLAGE – เกษรวิลเลจ” ทางเราได้ทำการขยายพื้นที่รีเทลมากขึ้นจากเดิมถึง 3 เท่า จาก 17,000 ตารางเมตรเป็น 47,000 ตารางเมตร ภายใต้คอนเซปต์การออกแบบสถาปัตยกรรมที่สวยงามไร้กาลเวลา (Timeless Design) โดยนำแนวคิดช่างหมู่มาประยุกต์ในการตกแต่งให้กลมกลืนไปกับสีสันของศิลปวัฒนธรรม และประสบการณ์ไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายของย่านราชประสงค์ซึ่งแนวทางการพัฒนาในครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่เพียงทางกายภาพเท่านั้นแต่ยังรวมถึงการ มอบประสบการณ์ไลฟ์สไตล์ที่สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นให้กับผู้มีรสนิยม และชื่นชอบในนวัตกรรม รวมถึงนักท่องเที่ยวและผู้อยู่อาศัยในย่าน ฯ อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนทั้งด้านการทำงาน การใช้ชีวิต ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Work-Live-Play-Grow” โดยแบ่งออกเป็น 4 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ 1. พื้นที่รีเทล มอบประสบการณ์ช้อปปิ้งปรากฎการณ์ใหม่ของหุ้นส่วนค้าปลีก การให้บริการ ไลฟ์สไตล์ และร้านอาหารหลากหลายคอนเซ็ปต์ในเฟสแรกทางทิศเหนือรวม 17,000 ตารางเมตร โดยเชื่อมต่อพื้นที่ศูนย์การค้าเกษรเข้าสู่อาคารเกษรทาวเวอร์อย่างไร้รอยต่อ หรือ Seamless Experience โดยจะดำเนินการเสร็จสิ้นเดือนมิถุนายน 2560 และจะดำเนินการต่อในเฟสที่ 2 ทางด้านทิศใต้ตามแผนปรับปรุง และพัฒนาศูนย์การค้าอัมรินทร์ พลาซ่าในปี 2562 - 2563 2. พื้นที่อาคารและสำนักงาน ดำเนินการสร้างสรรค์และพัฒนาควบคู่กันระหว่างอาคารเกษรทาวเวอร์ สูง 30 ชั้น พื้นที่ 20,000 ตารางเมตร และอาคารอัมรินทร์ทาวเวอร์ สูง 23 ชั้น พื้นที่ 18,000 ตารางเมตร และสำนักงานให้เช่าในอาคารศูนย์การค้าเกษร 4 ชั้น พื้นที่ 5,400 ตารางเมตร ให้กลายเป็นศูนย์รวมของธุรกิจ ที่พร้อมดึงดูดนักลงทุน รวมถึงกลุ่มคนที่มีความสามารถและมีวิสัยทัศน์อันกว้างไกล ให้เข้ามาใช้ชีวิตการทำงานแบบสมดุลและมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยเกษรทาวเวอร์จะเปิดให้ผู้เช่าเข้าพื้นที่ได้ในเดือนมิถุนายน 2560 และอัมรินทร์ทาวเวอร์จะปรับปรุงแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2561 3. การสร้างสรรค์ให้มีพื้นที่อำนวยความสะดวก อาทิ Gaysorn Urban Resort บนชั้น 19-20 ของอาคารเกษรทาวเวอร์ พื้นที่ 3,000 ตารางเมตร ด้วยคอนเซ็ปต์สวนลอยฟ้ากลางแจ้งขนาดใหญ่ “Outdoor Greenery Sky Garden” เพื่อให้คนทำงานหรือนักธุรกิจ สามารถพักผ่อนหย่อนใจ และสร้างสรรค์การทำงานใหม่ๆ ได้อย่างอิสระ หรือ Gaysorn Crystal Box ห้องจัดประชุม และสัมมนาลอยฟ้าบริเวณชั้น 19 ที่ใช้กระจกเป็นวัสดุหลักทั้งหมด สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของกรุงเทพมหานครได้ 270 องศา พร้อมรองรับการจัดประชุม สัมมนา งานแถลงข่าว และงานเลี้ยงรูปแบบต่างๆ ได้หลากหลายรูปแบบถึง 200 ที่นั่งพร้อมเชื่อมต่อกับพื้นที่บริเวณ “Outdoor Greenery Sky Garden” รองรับงานที่ต้องการความหลากหลายของบรรยากาศทั้ง Indoor และ Outdoor ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์ประกอบการบริการส่วนรวมที่สามารถสัมผัสได้ถึงคุณค่าการใช้เวลาใน Gaysorn Village  พร้อมทั้งดูแลความสมดุลของสุขภาพไปพร้อมๆ กันด้วยโซน Gaysorn Urban Retreat  บนชั้น 9-12 ของอาคารเกษรทาวเวอร์ พื้นที่ใช้สอยกว่า 5,000 ตารางเมตรที่รวบรวมศูนย์บริการด้านสุขภาพชั้นนำมาตรฐานระดับโลกไว้ให้บริการ อาทิ “ปัญญ์ปุริ เวลเนส รีทรีต” (PAÑPURI WELLNESS RETREAT) ที่มอบประสบการณ์เหนือระดับด้านสุขภาพ ความงาม และความผ่อนคลายแบบครบวงจร โดยพื้นที่ทั้ง 2 โซนจะเปิดใช้บริการในเดือนกันยายน 2560 นอกจากนี้ “GAYSORN VILLAGE – เกษรวิลเลจ” นับเป็นอาณาจักรทางธุรกิจและไลฟ์สไตล์ แห่งแรกและหนึ่งเดียวในเมืองไทย ที่คำนึงถึงการเชื่อมต่อของสังคมและชุมชน โดยลงทุนด้านการเชื่อมต่อ ระหว่างอาคารด้วยทางเดินลอยฟ้า “ราชประสงค์ วอล์ก” ที่เชื่อมตรงเข้าสู่ 18 อาคารชั้นนำภายในย่านฯ พร้อมมาตรการรักษาความปลอดภัยและระบบ CCTV System ทั้งพื้นที่ภายนอก และภายในอาคารตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งคาดว่าจะเสร็จสิ้นในเดือนมีนาคม 2560 และล่าสุด เราได้เปิดเส้นทางยุทธศาสตร์ “เกษร วอล์ก” ซึ่งเป็นเส้นทางลัดที่เชื่อมต่อภายในวิลเลจจากทิศเหนือคือประตูน้ำ ผ่านเกษรลงสู่ทิศใต้คือศูนย์การค้า อัมรินทร์ พลาซ่า ด้วยการเดินภายในเวลาเพียง 5 นาที ซึ่งคาดว่าจะเริ่มเปิดประสบการณ์ในเดือนกันยายน 2560 ซึ่งโครงการทั้งหมด ได้แก่ ศูนย์การค้าเกษร - เกษรทาวเวอร์ - อัมรินทร์ พลาซ่า และ อัมรินทร์ ทาวเวอร์ จะสร้างความเป็นเอกภาพด้วยการรวมกันเป็นหนึ่งเดียวภายใต้สัญลักษณ์ใหม่ (g) ที่สืบทอดมาจาก ความเป็น Heritage ของเกษรที่มีคุณค่ามายาวนาน ถูกออกแบบใหม่ให้ด้วยการความพิถีพิถันด้วยรูปทรงโค้งของตัว g ที่เพิ่มมุมมองให้เป็น 3 มิติ สอดคล้องกับรูปทรงของเครื่องหมาย infinity สัญลักษณ์แห่งเวลานิรันดร์ที่สื่อถึงคุณค่าอันยาวนาน และไม่สิ้นสุดของการใช้เวลาที่เกษร คุณชาญ กล่าวต่อไปว่า “GAYSORN VILLAGE เปรียบเสมือนสถานที่ซึ่งคุณสามารถเข้ามาใช้เวลาอย่างมีคุณค่ารวมทั้งแบ่งปันประสบการณ์ไลฟ์สไตล์ที่ได้รับระหว่างกันและกัน ซึ่งบรรยากาศภายในจะถูกรายล้อมด้วยประสบการณ์จากแบรนด์แฟชั่น และไลฟ์สไตล์ที่เปี่ยมด้วยแพสชั่น และสร้างสรรค์ขึ้นจากความรักความตั้งใจ ความเอาใจใส่ จนก่อเกิดเป็นสินค้าและบริการที่มีความโดดเด่น มีคุณภาพ และมีเอกลักษณ์ที่ชัดเจนจนสามารถสะท้อนให้เห็นถึงจิตวิญญาณแห่งงานฝีมือจากช่างศิลป์อันทรงคุณค่า (THE SPIRIT OF CRAFTMASTERS) สอดคล้องกับเอกลักษณ์ของ “GAYSORN VILLAGE – เกษรวิลเลจ” นอกจากนี้ “GAYSORN VILLAGE – เกษรวิลเลจ” ยังได้เพิ่มช่องทางสื่อสารเพื่อสร้างการรับรู้ไปยังกลุ่มเป้าหมายในวงกว้างผ่านช่องทางออนไลน์ด้วยเว็บไซต์ใหม่ www.gaysornvillage.com เพื่อให้ข้อมูลและรายละเอียดต่างๆ ของโครงการได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น” “ด้วยความตั้งใจในการสร้างสรรค์และมอบประสบการณ์ไลฟ์สไตล์ของ “GAYSORN VILLAGE – เกษรวิลเลจ” ต้นแบบการพัฒนา “LIFESTYLE URBAN VILLAGE - ไลฟ์สไตล์ เออร์เบิน วิลเลจ” ที่สมบูรณ์แบบและไม่เคยเกิดขึ้นที่ไหนมาก่อน จะกลายเป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ระดับโลกที่สร้างสรรค์ประสบการณ์และนำเสนอมิติใหม่ให้กับนักท่องเที่ยวและผู้อยู่อาศัยอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนและผลักดันย่านราชประสงค์ให้เป็นย่านการค้า และย่านท่องเที่ยวที่ดีที่สุดย่านหนึ่งของโลก โดยคาดว่า การพัฒนาโครงการ “GAYSORN VILLAGE – เกษรวิลเลจ” ในเฟสแรกทางทิศเหนือ จะเสร็จสิ้นภายในเดือน มิถุนายน 2560 และจะมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้อย่างแน่นอน” นายชาญ กล่าวสรุป
แสนสิริเผยแผนธรุกิจปี 2560 ตั้งเป้ายอดขาย 36,000 ล้านบาท วางเป้ายอดขายต่างชาติโตเกือบ 40%

แสนสิริเผยแผนธรุกิจปี 2560 ตั้งเป้ายอดขาย 36,000 ล้านบาท วางเป้ายอดขายต่างชาติโตเกือบ 40%

แสนสิริเผยแผนธุรกิจปี 2560 เดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่ 19 โครงการ มูลค่ารวม กว่า 41,200 ล้านบาท บุกต่อตลาดต่างประเทศ โดยตั้งเป้ายอดขายตลาดต่างชาติ 7,500 ล้านบาท เติบโตเกือบ 40% เตรียมเปิดตัวโครงการ “98 Wireless” (ไนน์ตี้เอท ไวร์เลส) แฟลกชิปคอนโดมิเนียมที่ดีที่สุดทั้งในประเทศไทยและในเอเชียตะวันออก เฉียงใต้ บนท าเลที่พักอาศัยระดับเอ็กซ์คลูซีฟบนถนนวิทยุ มูลค่าโครงการรวมกว่า 8,700 ล้านบาทอย่างเป็นทางการ มี.ค.นี้ กางแผนรุกเปิดตัวที่อยู่อาศัยระดับบน เตรียมน าแบรนด์บ้านเดี่ยว “บ้านแสนสิริ” กลับมาพัฒนาอีกครั้ง พร้อมปฏิวัติวงการ อสังหาฯ สู่ “Digital Transformation” ตั้งเป้ายอดขายปี 60 ประมาณ 36,000 ล้านบาท และวางเป้ารายได้ประมาณ 34,000 ล้านบาท ขณะที่สรุปผลการดำเนินงาน ปี 2559 บริษัทมียอดขายกว่า 31,100 ล้านบาท โดยสร้างยอดขายต่างชาติทะลุเกิน เป้าที่วางไว้ได้ถึง 5,400 ล้านบาท คาดการณ์รายได้พุ่ง 34,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น รายได้จากการขายรวมจากการที่บริษัทเริ่มบุ๊ครายได้จากการบริหารโครงการภายใต้บริษัท ร่วมทุนกับบีทีเอสรวมกับรายได้อื่นๆ นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยถึงผล การดำเนินธุรกิจปี 2559 บริษัทมียอดขาย (พรีเซล) ประมาณ 31,100 ล้านบาท เติบโตประมาณ 9% จากปี ก่อน ที่มียอดขาย 28,512 ล้านบาท ความสำเร็จจากการได้รับการตอบรับในที่อยู่อาศัยของแสนสิริทั้งใน กรุงเทพฯ และต่างจังหวัด รวมทั้งการตอบรับที่ดีจากลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงความร่วมมือกับ บีทีเอส กรุ๊ปฯ (BTS) ตามแผนความร่วมมือในช่วงระยะยาว 5 ปีที่มีแผนร่วมมือกันพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในแนวเส้นทางระบบขนส่งมวลชน ภายใต้บริษัทร่วมทุน ซึ่งมีสัดส่วนการถือหุ้นระหว่าง กลุ่มบริษัทบีทีเอส และบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) 50 : 50 จ านวนทั้งสิ้นประมาณ 25 โครงการ มูลค่า โครงการรวมประมาณ 1 แสนล้านบาท ล่าสุดด้วยความแข็งแกร่งในด้านเงินทุนของกลุ่มบริษัทบีทีเอสที่ เตรียมพร้อมไว้เพื่อรองรับการลงทุนในการขยายธุรกิจรถไฟฟ้า และความพร้อมด้านบุคลากร รวมถึงการมี ที่ดินที่พร้อมพัฒนาในมือของกลุ่มบริษัท ผสานกับความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ของแสนสิริ ส่งผลให้ทั้งสองบริษัทพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมร่วมกันไปแล้วจ านวนรวมทั้งสิ้น 8 โครงการ มูลค่ารวม 30,000 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขาย 70% รวมมูลค่า 21,000 ล้านบาท จากจ านวน รวมทั้งสิ้น 4,382 ยูนิต ซึ่งเกือบทุกโครงการล้วนประสบความสำเร็จในการเปิดการขาย โดย 4 ใน 8 โครงการสามารถปิดการขาย (Sold Out) ลงอย่างรวดเร็วตั้งแต่วันเปิดพรีเซลล์ ในขณะที่อีก 4 โครงการที่ เปิดตัวในปีนี้ก็มีการตอบรับที่ดีจากลูกค้าเช่นกันด้วยยอดขายรวมกันแล้วกว่า 7,500 ล้านบาท แสดงให้เห็น ถึงความเชื่อมั่นในแบรนด์แสนสิริและบีทีเอส รวมทั้งดีมานด์ความต้องการคอนโดมิเนียมใกล้รถไฟฟ้าที่ ยังคงมีอย่างต่อเนื่องทั้งจากลูกค้าชาวไทยและต่างชาติ นอกจากนี้บริษัทยังประสบความสำเร็จจากตลาดต่างชาติโดยบริษัทสามารถปิดยอดขายตลาดต่างชาติใน ปี 59 ไปได้ถึง 5,400 ล้านบาท เกินจากเป้ายอดขายที่วางไว้ 5,000 ล้านบาท และเติบโตขึ้นถึง 55% จากปี 2558 ที่มียอดขายตลาดต่างชาติ 3,500 ล้านบาท ส าหรับโครงการที่ขายดีส าหรับต่างชาติ คือ เดอะ ไลน์ อโศก-รัชดา ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีมากจากการไปโรดโชว์ที่ประเทศ ฮ่องกง สิงคโปร์ ไต้หวันและจีน โกย ยอดขายได้ประมาณ 1,300 ล้านบาท นับว่าเป็นมูลค่าสูงที่สุดที่แสนสิริเคยทำได้จากการสร้างยอดขาย ตลาดต่างชาติในขณะนี้ สำหรับปัจจัยที่ทำให้กลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติซื้อโครงการที่อยู่อาศัยของแสนสิริ คือ ความเชื่อมั่นและ ไว้วางใจในแบรนด์แสนสิริ ซึ่งเป็นที่ยอมรับมายาวนานกว่า 33 ปี ในฐานะผู้น าด้านการพัฒนาโครงการ อสังหาริมทรัพย์ที่ไม่ได้มอบแค่ที่อยู่อาศัยคุณภาพแต่ยังมอบไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต รวมถึงความสำเร็จจาก การวางกลยุทธ์การตลาดในปีที่ผ่านมาโดยการทำ Collaboration กับแบรนด์ระดับโลก เพื่อยกระดับ    แบรนด์แสนสิริให้เข้าสู่ระดับ International มากยิ่งขึ้น อาทิ การจับมือ YOO Design Studio บริษัท ดีไซน์ระดับโลก และ Philippe Starck พัฒนาโครงการ KHUN by YOO inspired by Starck (คุณ บาย ยู อินสไปร์ บาย สตาร์ค) ซึ่งเป็นโครงการ Branded Condominium แห่งแรกของประเทศไทย มูลค่า 4,000 ล้านบาทบนสุดยอดทำเลใจกลางทองหล่อ เป็นต้น ขณะที่ในตลาดต่างจังหวัดและทำเลที่อยู่อาศัยรอบนอกกรุงเทพฯ บริษัทได้รับการตอบรับที่ดีในที่อยู่อาศัย Affordable Condominium หรือคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ราคา 1 – 3 ล้านบาท อาทิ ดีคอนโดรังสิต ซึ่งปิดการขาย 100%, ดีคอนโด อ่อนนุช – พระราม 9 ซึ่งมียอดขายแล้วถึง 85% และดีคอนโด นิม เชียงใหม่ ซึ่งมียอดขายแล้วถึง 70% นอกจากนี้ในปีที่ผ่านมาบริษัทยังประสบความสำเร็จได้รับการตอบรับที่ดีในที่อยู่ อาศัยประเภทบ้านเดี่ยวระดับบน หรือระดับราคาประมาณ 8 – 20 ล้านบาท อาทิ โครงการ เศรษฐสิริ จรัญฯ – ปิ่นเกล้า ซึ่งมียอดขายแล้วถึง 70% “สำหรับแผนธุรกิจในปี 2560 บริษัทได้วางแผนการดำเนินธุรกิจ ด้วยการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ เพื่อตอบรับความต้องการที่อยู่อาศัยของกลุ่มลูกค้าทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยวางแผนเปิดตัว โครงการใหม่ในปีนี้ 19 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 41,200 ล้านบาท ทั้งนี้บริษัทได้แบ่งประเภท การพัฒนาโครงการเป็นที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียม 8 โครงการ โครงการบ้านเดี่ยว 9 โครงการและ โครงการทาวน์เฮาส์ 2 โครงการ หากดูตามเซกเมนต์หรือระดับราคาจากแผนเปิดตัวโครงการในปีนี้จะอยู่ใน ระดับ medium–end และ hi–end เป็นส่วนใหญ่ โดยบริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายรวมส าหรับปี 2560 ไว้ ประมาณ 36,000 ล้านบาท รวมทั้งประมาณการณ์รายรวมได้ไว้ที่ 34,000 ล้านบาท” นายเศรษฐา กล่าว แนวทางการพัฒนาโครงการในปี 2560 บริษัทจะต่อยอดความสำเร็จจากปีที่ผ่านมา ได้แก่ 1.การสานต่อ ความสำเร็จของโครงการภายใต้บริษัทร่วมทุนกับบีทีเอส ด้วยการเปิดตัวโครงการใหม่ต่อเนื่องอีกจำนวน 4 โครงการ มูลค่ากว่า 12,000 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์ “เดอะ โมนูเมนต์” และ “เดอะ เบส” เป็นต้น นอกจากนี้ บริษัทยังทยอยโอน เดอะ ไลน์ สุขุมวิท 71 โครงการคอนโดมิเนียมที่แล้วเสร็จ 100% เป็นโครงการแรกภายใต้ความร่วมมือของสองบริษัทที่จะเริ่มรับรู้กำไร รวมทั้งจ่อคิวโอนโครงการ เดอะ ไลน์ จตุจักร – หมอชิต ซึ่งจะแล้วเสร็จเป็นโครงการต่อไปในช่วงปลายปี 2560 2.บริษัทจะมีการเปิดตัวโครงการระดับไฮเอนด์ในสัดส่วนที่มากขึ้น โดยไฮไลท์ที่สำคัญสำหรับปีนี้ คือ การเปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยวระดับบน เซกเมนต์ราคาสูงที่สุดของแสนสิริ ภายใต้แบรนด์ “บ้านแสนสิริ” ที่จะน า กลับมาพัฒนาอีกครั้ง หลังประสบความสำเร็จจากการพัฒนาโครงการ “บ้านแสนสิริ สุขุมวิท 67” ในปี 2549 รวมถึงการพัฒนาคอนโดมิเนียมเพื่อรองรับความต้องการคอนโดมิเนียมในระดับพรีเมี่ยมของกลุ่ม ลูกค้าระดับบน ซึ่งมีความต้องการซื้อทั้งเพื่ออยู่อาศัยเอง ลงทุนหรือเก็บเป็นสินทรัพย์ โดยในปีนี้ แสนสิริ ยังได้เตรียมเปิดตัวโครงการ “98 Wireless” (ไนน์ตี้เอท ไวร์เลส) แฟลกชิปคอนโดมิเนียมที่ดีที่สุดทั้งใน ประเทศไทยและในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บนทำเลที่พักอาศัยระดับเอ็กซ์คลูซีฟบนถนนวิทยุ มูลค่า โครงการรวมกว่า 8,700 ล้านบาทอย่างเป็นทางการในเดือนมีนาคม 3. การรุกทำการตลาดเจาะกลุ่มลูกค้าต่างชาติมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทตั้งเป้ายอดขายตลาด ต่างชาติในปีนี้ไว้ถึง 7,500 ล้านบาท เติบโตจากปีที่ผ่านมาที่บริษัทสามารถสร้างยอดขายตลาดต่างชาติได้  5,400 ล้านบาท ถึงเกือบ 40% ซึ่งการตั้งเป้าหมายยอดขายตลาดต่างชาติสูงถึง 7,500 ล้านบาทในปีนี้ยังส่งผลให้แสนสิรินับเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ไทยที่ครองส่วนแบ่งทางการตลาดของตลาดต่างชาติสูงสุด จากการเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ไทยบริษัทเดียวที่เปิดการขายโครงการในต่างประเทศพร้อมกันในหลาย ประเทศ (Global Launch) และจัดกิจกรรมหลังการขายกับลูกค้าต่างชาติอย่างต่อเนื่อง 4. เตรียมปฏิวัติวงการอสังหาฯ สู่ “Digital Transformation” ไฮไลท์ส าคัญของแสนสิริในปีนี้ ในการก้าว ทันยุคดิจิตอล ที่จะยกระดับสู่บริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นน าด้านเทคโนโลยีที่คลอบคลุมอสังหาริมทรัพย์และ การอยู่อาศัยอย่างเต็มรูปแบบ โดยขั้นตอนแรกที่จะได้เห็นในปีนี้ คือการจัดตั้งส่วนงานใหม่ที่เรียกว่า Data Analytics and Business Intelligence ขึ้นมาโดยเฉพาะ เพื่อทำหน้าที่ในการวางโรดแมพของ enterprise data ใหม่ทั้งหมดและเป็นทีมหลักในการผลักดันให้แสนสิริปรับเปลี่ยนเป็นองค์กรที่ให้ ความส าคัญกับ data analytics capabilities ซึ่งในส่วนของการจัดตั้งส่วนงานขึ้นมาใหม่นี้ นับเป็นการ ลงทุนทางทรัพยากรบุคคลเพื่อเฟ้นหาบุคคลที่มีความรู้ความสามารถเฉพาะด้านมาทำงานร่วมกับหน่วยงาน ภายในเดิมที่มีความรู้ลึกเกี่ยวกับธุรกิจอสังหาฯ และกระบวนการต่างๆ เป็นอย่างดีเพื่อสร้างทีมที่มีความเหมาะสม โดยการใช้ข้อมูลในการวางแผนทางธุรกิจ ซึ่งจะทำให้เกิดความมีประสิทธิภาพในการทำงานและ สามารถลดค่าใช้จา่ยในการดำเนินธรุกิจได้นับเป็นการ ต่อยอดจากนโยบาย EFG หรือ Engineering for Growth ที่แสนสิริทำต่อเนื่องตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา 5. นอกจากนี้ จะมีการสร้าง Innovation and digital ecosystem โดยการจัดตั้งบริษัทลูกในลักษณะ ของ Venture Capital ขึ้นเพื่อมองหาโอกาสในการลงทุนธุรกิจประเภท “Property Tech” ที่มีความ เชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับธุรกิจหลักของกลุ่มบริษัทแสนสิริ และจะมีส่วนช่วยผลักดันธุรกิจหลักของแสนสิริ ให้มีประสิทธิภาพและมีความคล่องตัวยิ่งขึ้น รวมถึงมองหาโอกาสและ Innovation ทางธุรกิจและ กระบวนการธุรกิจใหม่ๆ เพื่อเสริมความแข็งแกร่ง โดยคาดว่าธุรกิจใหม่นี้จะเป็นช่องทางรายได้ใหม่ของ แสนสิริได้ในอนาคต โดยมีแผนจะเปิดตัวบริษัทร่วมทุนและให้ข้อมูลโดยละเอียดอีกครั้งในการแถลงข่าว วันที่ 25 มกราคมนี้ “บริษัทคาดว่าจะมีรายได้รวมในปี 2559 ประมาณ 34,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นรายได้จากการขายรวมกับ การที่บริษัทเริ่มมีรายได้จากการบริหารโครงการภายใต้บริษัทร่วมทุนกับบีทีเอส ความสำเร็จจากรายได้รวม เติบโตจากการทยอยรับรู้รายได้จากโครงการคอนโดมิเนียมที่ทยอยโอนทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด อาทิ The XXXIX’ (เดอะ เทอร์ทีไนน์), ดีคอนโด รังสิต, ดีคอนโด แคมปัส รีสอร์ท บางแสน, บ้านปลายหาด วงศ์อมาตย์ พัทยา, ดีคอนโด นิม เชียงใหม่ รวมถึงล่าสุดบริษัทยังได้เริ่มโอนโครงการคอนโดมิเนียมเอดจ์ สุขุมวิท 23 (EDGE Sukhumvit 23) ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ปัจจุบันแสนสิริและบริษัทร่วมทุนกับบีทีเอส ยังมียอดขายรอรับรู้รายได้ (Presale backlog) ที่รองรับการรับรู้รายได้ในอีก 4 ปีข้างหน้าแล้ว ประมาณ 39,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นยอดขายรอรับรู้รายได้ของแสนสิริ 18,600 ล้านบาท และยอดขายรอ รับรู้รายได้ของบริษัทร่วมทุนกับบีทีเอสอีก 20,400 ล้านบาท” นายเศรษฐา กล่าว
‘เอพี ไทยแลนด์’ ชูกลยุทธ์สร้างความแตกต่าง เสริมแกร่งแบรนด์อสังหาฯ ที่ครองใจผู้บริโภค เดินหน้าเปิดตัว 20 โครงการใหม่ มูลค่ารวมกว่า 35,000 ล้าน

‘เอพี ไทยแลนด์’ ชูกลยุทธ์สร้างความแตกต่าง เสริมแกร่งแบรนด์อสังหาฯ ที่ครองใจผู้บริโภค เดินหน้าเปิดตัว 20 โครงการใหม่ มูลค่ารวมกว่า 35,000 ล้าน

กรุงเทพฯ (17 ม.ค. 60) – วันนี้ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์สำหรับคนเมืองที่มุ่งสร้างความต่างด้วยการสร้างสรรค์นวัตกรรมดีไซน์เพื่อพื้นที่ใช้สอยที่ไม่จำกัด โดย คุณอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เปิดเผยแผนการดำเนินงานในปี 2560 เดินเกมด้วยกลยุทธ์ "คิดและสร้างความแตกต่าง" (AP THINK DIFFERENT) เน้นย้ำจุดแข็งของเอพีในการส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่อยู่อาศัยคุณภาพ โดดเด่นด้วยดีไซน์และการจัดสรรพื้นที่ใช้สอย รวมถึงวิสัยทัศน์ในการแบ่งปันองค์ความรู้เพื่อพัฒนาบุคลากรคุณภาพสู่วงการอสังหาฯ ไทย โดยในปี 2560 นี้ บริษัทฯ มีแผนการเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 20 โครงการ มูลค่ารวม 35,000 ล้านบาท โดยเป็นแนวราบ 17 โครงการ มูลค่า 15,000 ล้านบาท แบ่งเป็นสินค้ากลุ่มบ้านเดี่ยว 8 โครงการ มูลค่า 8,000 ล้านบาท และสินค้ากลุ่มทาวน์โฮม 9 โครงการ มูลค่า 7,000 ล้านบาท และสินค้ากลุ่มคอนโดมิเนียม จำนวน 3 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 20,000 ล้านบาท ทั้งนี้ในไตรมาส 1 บริษัทฯ เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ 1) พลีโน่ บางใหญ่ ทาวน์โฮม 2 ชั้นฟังก์ชั่นใหม่ จำนวน 350 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 980 ล้านบาท หน้ากว้าง 5.5 เมตร พื้นที่ใช้สอยขนาด 18-20.6 ตารางวา ราคาเริ่ม 2 ล้านต้นๆ  และ  2) พลีโน่ สุขสวัสดิ์ จำนวน 497 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,496 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการประกอบด้วยทาวน์โฮม 2 ชั้นฟังก์ชั่นใหม่ พื้นที่ใช้สอยขนาด 16.4-18 ตารางวา ราคาเริ่มต้น 2 ล้านต้นๆ และบ้านแฝด 2 ชั้นฟังก์ชั่นใหม่ ขนาดเริ่มต้น 36 ตารางวา หน้ากว้าง 6.5 เมตร พื้นที่ใช้สอย 125.35 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 4.29 ล้านบาท และอีก 1 โครงการจะเป็นการพัฒนาเฟสต่อเนื่องจากปีที่แล้วคือ บ้านกลางเมือง คลาสเซ่ เอกมัย-รามอินทรา เฟส 2 เป็น SUPER LUXURY VILLA Series ใหม่ หลังจากเฟสแรกที่เปิดตัวไปเมื่อปี 2559 ได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดี ราคาเริ่มต้น 25 ล้าน คุณอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) คาดการณ์แนวโน้มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ปี 2560 ว่า พื้นฐานของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทยในวันนี้ไม่ได้แย่มาก ถึงแม้ภาพรวมการเปิดตัวในช่วงปีที่ผ่านๆ มาจะติดลบก็ตาม  วันนี้หลายๆ อย่างเริ่มมีความชัดเจนขึ้น กิจกรรมทางการตลาดและบรรยากาศในการซื้อสินค้าของผู้บริโภคเริ่มกลับเข้าสู่สภาวะปกติบ้างแล้ว ปีนี้เราจะเห็นภาพการแข่งขันในสินค้ากลุ่มแนวราบมากขึ้น ซึ่งความท้าทายที่สำคัญของการทำธุรกิจจากนี้ไปคือ การสรรหาที่ดินสำหรับพัฒนาโครงการในแพคเกจราคาขายที่สอดรับกับความสามารถของผู้บริโภค การขยายตัวของรถไฟฟ้าถือเป็นทั้งปัจจัยบวกและปัจจัยเสี่ยงของภาคธุรกิจ ด้วยราคาต้นทุนที่ดินที่ปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วจนเกินกว่าผู้บริโภคจะตามทัน ถือว่าเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่มีผลต่อการเปิดตัวใหม่ของคอนโดมิเนียมในอนาคต อีกทั้งผู้บริโภคมองหาสิ่งใหม่อยู่ตลอดเวลา สำหรับเอพีเรายังคงเดินหน้าพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยทุกรูปแบบ โดยเน้นกระบวนการคิดที่มุ่งสร้างความแตกต่างให้กับสินค้าควบคู่ไปกับการพัฒนาและควบคุมคุณภาพในทุกขั้นตอน ในด้านทิศทางการทำงานปี 2560 นี้ เอพียังคงปลุกพลังความคิดต่าง (AP Think Different) ให้กับพนักงานทุกคน เพื่อสร้างความแตกต่างและยกระดับสินค้าและบริการของเอพีในด้านสำคัญ ได้แก่ 1. คุณภาพ (Quality) ที่เอพีมีเครื่องมือสำคัญอย่าง Check List ที่มีการพัฒนาเน้นไปที่ Process และ Template ที่ละเอียดมากยิ่งขึ้น รวมถึงสอดรับกับเทคโนโลยีการอยู่อาศัยแบบ Intelligent Living ที่เอพีเริ่มนำร่องไปแล้วในหลายโครงการ 2. การออกแบบสเปซ (Space Utilization) ทีเอพีให้ความสำคัญกับการพัฒนาพื้นที่ใช้สอยในทุกตารางนิ้ว โดยคำนึงถึงดีไซน์ที่สวยควบคู่ไปกับความสะดวกสบาย ประโยชน์ใช้สอย และความเป็นส่วนตัวของผู้อยู่อาศัย และ 3. การพัฒนาองค์ความรู้ (Human Development) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งวิสัยทัศน์ที่โดดเด่นของเอพีในการทำงานเพื่อพัฒนาบุคลากรคุณภาพสู่วงการอสังหาฯ รวมถึงถ่ายทอดประสบการณ์และองค์ความรู้สู่สังคมไทย โดยเฉพาะนิสิตนักศึกษาระดับอุดมศึกษาผ่านเอพี อะคาเดมี่ สถาบันเพื่อการเรียนรู้ครบวงจรด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แห่งแรกในเมืองไทย โดยในปีนี้เอพีได้พัฒนาหลักสูตรและเครื่องมือการเรียนรู้ให้หลากหลายและเจาะลึกมากยิ่งขึ้น "อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้เอพีสร้างความแตกต่างได้อย่างต่อเนื่อง ก็เพราะเรามีพันธมิตรธุรกิจผู้ร่วมอุดมการณ์เดียวกันเช่น 'มิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป' (MEC) จากจุดเริ่มต้นของการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมร่วมกันเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา จวบจนปัจจุบันเราได้ร่วมมือกันพัฒนารวม 8 โครงการ ในปีนี้เอพีและ MEC ยังคงมองไปในทิศทางเดียวกันและวางแผนที่จะพัฒนาโครงการร่วมกันอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เรามองว่าเป็นความสำเร็จสูงสุดของความร่วมมือมิใช่แค่การร่วมทุน แต่ทุกวันนี้เอพีกับพันธมิตรญี่ปุ่นมีความร่วมมือในด้านการแบ่งปันและถ่ายทอดความรู้สู่กันในหลายๆ ด้าน และในทุกระดับ โดยเอพีได้สนับสนุนบุคลากรไปศึกษาดูงานที่ญี่ปุ่น รวมถึงนิสิตนักศึกษาฝึกงานที่เข้าร่วมหลักสูตรฝึกงานเอพี โอเพ่นเฮาส์ของ เอพี อะคาเดมี่ ในขณะที่ MEC ก็ส่งบุคคลากรมาเรียนรู้ดูงานกับทางเอพีเช่นกัน" คุณอนุพงษ์กล่าว “ด้วยความพร้อมด้านทีมงานคุณภาพ ผลิตภัณฑ์ที่อยู่อาศัยคุณภาพ และพันธมิตรคุณภาพ ผมเชื่อว่าเอพี ไทยแลนด์จะสามารถสร้างความแตกต่างและความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค และยังคงเป็น 1 ใน 3 ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเมืองไทย" คุณอนุพงษ์กล่าวสรุป “เอพี ไทยแลนด์ กล้าที่จะแตกต่าง ผู้นำด้านนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัย”
ศุภาลัย รุกแผนเปิดตัวคอนโดฯ ระดับ Super Luxury บนสุดยอดทำเลศักยภาพ กลางมหานคร ศูนย์รวมของ Lifestyle คนเมือง

ศุภาลัย รุกแผนเปิดตัวคอนโดฯ ระดับ Super Luxury บนสุดยอดทำเลศักยภาพ กลางมหานคร ศูนย์รวมของ Lifestyle คนเมือง

บมจ.ศุภาลัย รุกแผนพัฒนาโครงการใหม่ “ศุภาลัย โอเรียนทัล สุขุมวิท 39” มูลค่า 10,000 ล้านบาท ชูจุดเด่นคอนโดฯหรู สุดยอดทำเลศักยภาพใจกลางสุขุมวิท ที่ตอบโจทย์ทุกการเดินทางของการใช้ชีวิต กลางเมืองที่เหนือระดับ และสะดวกสบายทุกการอยู่อาศัย เตรียมเปิดจองวันที่ 18 - 23 ม.ค. นี้ ที่ดิเอ็มโพเรียม นายไตรเตชะ  ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงแผนการพัฒนาโครงการคอนโดฯใหม่ ปี 2560 ว่า บริษัทฯ จะขยายตลาดที่อยู่อาศัยให้ครอบคลุมมากขึ้น โดยมองหาตลาดที่มีความต้องการที่อยู่อาศัยทั้งทำเลใจกลางเมือง รอบกรุงเทพฯ ชั้นใน และกรุงเทพฯ ชั้นนอก ที่มีการคมนาคมสะดวกสบาย และครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก โดยล่าสุดบริษัทฯ เตรียมเปิดตัวโครงการแรกของปี 2560 เป็นคอนโดฯ ในกลุ่มระดับ Super Luxury ของบริษัท ภายใต้แบรนด์ “ศุภาลัย โอเรียนทัล สุขุมวิท 39” บนพื้นที่โครงการ กว่า 10 ไร่ ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นทั้ง 3 ด้าน ทั้งทำเล การออกแบบ และไลฟ์สไตล์ ที่ควรค่าแก่การเป็นเจ้าของ เพื่อการอยู่อาศัยและลงทุน ศุภาลัย โอเรียนทัล สุขุมวิท 39  คอนโดฯหรู ที่มอบความภาคภูมิแห่งการอยู่อาศัยกับชีวิตที่เหนือระดับ   บนทำเลใจกลางสุขุมวิท สามารถเข้าออกได้ทั้งถนนสุขุมวิท และถนนเพชรบุรีตัดใหม่ เชื่อมต่อสู่ถนนธุรกิจสายสำคัญ อาทิ ทองหล่อ อโศก สะดวกยิ่งขึ้นด้วยโครงข่ายคมนาคมที่รวดเร็ว อาทิ รถไฟฟ้า BTS สถานีพร้อมพงษ์ รถไฟฟ้า     สายสีแดงอ่อน สถานีมักกะสัน MRT เพชรบุรี เชื่อมต่อ Airport Rail Link ท่าเรือด่วนอิตัลไทย และทางด่วนด่านเพชรบุรี แวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน อาทิ ดิเอ็มควอเทียร์ ดิเอ็มโพเรียม Fuji UFM Supermarket รพ.สมิติเวช สุขุมวิท รพ.กรุงเทพ และมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เป็นต้น โดดเด่นทั้งด้านการออกแบบด้วยอาคารชุดพักอาศัย 4 อาคาร  สูง 25 ชั้น 2 อาคาร  สูง 35 ชั้น 2 อาคาร และอาคารจอดรถ สูง 9 ชั้น โดยมีห้องพัก 1,046 ยูนิต ร้านค้า 8 ยูนิต หลากหลายแบบห้องตั้งแต่ขนาด 1 - 3 ห้องนอน และ Penthouse 4 ห้องนอน ขนาด 39 - 355 ตร.ม. และความแตกต่างของการดีไซน์ ด้วยการนำศาสตร์และศิลป์ของธรรมชาติผสมผสานการออกแบบ Luxurious Modern Oriental อย่างลงตัว ด้วยดีไซน์ที่ทันสมัยสไตล์ตะวันออกร่วมสมัย โดยยังคงเอกลักษณ์อาคารประหยัดพลังงาน อีกทั้งใกล้ชิดธรรมชาติ ด้วยพื้นที่สีเขียวรวมมากกว่า 3 ไร่ ชีวิตเหนือระดับและสะดวกสบายด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน หลากหลายกิจกรรมสำหรับสมาชิก    ทุกคนในครอบครัว ปลอดภัย มั่นใจด้วยระบบรักษาความปลอดภัยภายในโครงการตลอด 24 ชั่วโมง จอดรถแบบสบายๆ พร้อมจำนวนที่จอดรถ 100% ของจำนวนยูนิต ศุภาลัย โอเรียนทัล สุขุมวิท 39 เปิดจอง VIP Sale วันที่ 18 - 23 ม.ค.นี้ ที่ดิเอ็มโพเรียม ในราคา 4.5 - 53 ล้านบาท พร้อมรับเครื่องปรับอากาศ วอลเปเปอร์ ชุดเฟอร์นิเจอร์ครัว เครื่องทำน้ำร้อน ฉากกั้นอาบน้ำแบบกระจกนิรภัย และประตู Digital Door Lock พิเศษ! รับส่วนลดพิเศษ 10% สำหรับช่วงเปิดตัวโครงการ สอบถามข้อมูลโทร. 1720 กด 96 หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.supalai.com
ศุภาลัย มั่นใจปี 60 ตลาดอสังหาฯ สดใส เดินหน้าปักหมุดทั่วประเทศรวม 29 โครงการ ตั้งเป้ายอดขาย 27,000 ล้านบาท

ศุภาลัย มั่นใจปี 60 ตลาดอสังหาฯ สดใส เดินหน้าปักหมุดทั่วประเทศรวม 29 โครงการ ตั้งเป้ายอดขาย 27,000 ล้านบาท

ศุภาลัย เผยแผนธุรกิจปี 2560 กับภารกิจ “การพัฒนาตนเอง ด้านความสามารถ และคุณภาพชีวิตเพื่อความก้าวหน้าและความสุข” เป็นแนวสร้างสรรค์ “บ้านที่ดี” ที่มาจากผลิตภัณฑ์แห่งความสุข+นวัตกรรม วางเป้ายอดขาย 27,000 ล้านบาท ลุยพัฒนาโครงการใหม่ทั้งแนวราบและคอนโดมิเนียมรวม 29 โครงการ ดร.ประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร  บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2559  ยังคงอยู่ในสภาวะทรงตัว เนื่องจากปัจจัยการเปลี่ยนแปลงทั้งเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลก ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคยังอยู่ในสภาวะรีรอ ผู้ประกอบการทั้งรายเล็กและรายใหญ่ยังคงชะลอการเปิดโครงการใหม่ในไตรมาส 4 ที่ผ่านมา แต่อย่างไรก็ตามการลงทุนภาครัฐและภาคเอกชนนั้นจะชะลอตัวใน  ระยะสั้นเท่านั้น สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจในปี 2560 คาดว่ามีแนวโน้มปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น รัฐบาลมีแผนที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องอีกหลายมาตรการ เชื่อมั่นว่าจะเป็นปีแห่งการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอย่างแท้จริง ผู้ประกอบการ ทั้งรายเล็กและรายใหญ่ที่ชะลอการเปิดโครงการใหม่ไว้ในปีที่แล้ว มาปีนี้คาดว่าตลาดอสังหาฯ จะมีการแข่งขันที่ดุเดือดเช่นกัน ในปีที่ผ่านมา ภาคธุรกิจอสังหาฯ ได้ปรับตัวเตรียมความพร้อมสู่การเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น เพื่อรับมือกับเทรนด์ความต้องการของผู้บริโภคที่เริ่มเปลี่ยนไปสู่ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม Friendly Design และบริษัทฯ พร้อมที่จะเติบโตอย่างยั่งยืน โดยยังคงมุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์โดยยึดหลักธรรมาภิบาล ทำให้ตลอดปี 2559 บริษัทฯ ได้รับรางวัลเกียรติยศจากองค์กรชั้นนำต่างๆ จำนวนมาก อาทิ รางวัลหุ้นยั่งยืน ประจำปี 2559จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, รางวัลด้านการกำกับดูแลกิจการที่ดี (CGR) จากสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย, รางวัล EIT-CSR Awards 2016 จากสภาวิศวกรรม-สถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์, รางวัล “สถานประกอบการดีเด่น” จากสำนักงานประกันสังคม และรางวัล “Investors’ Choice Award” จากสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย ฯลฯ นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงผลงานปี 2559 ที่ผ่านมา บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) สามารถทำยอดขายได้ใกล้เคียงกับเป้าหมายที่วางไว้ 24,500 ล้านบาท โดยมีการเปิดตัวโครงการทั้งหมด 21 โครงการ แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 16 โครงการ และคอนโดมิเนียม 5 โครงการ มูลค่ารวม 24,120 ล้านบาท สำหรับแผนธุรกิจปี 2560 บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายยอดขาย 27,000 ล้านบาท  และเป้าหมายรายได้ 24,500ล้านบาท จากการเปิดตัวโครงการใหม่ 29 โครงการ แยกเป็นโครงการแนวราบ 24 โครงการ และโครงการคอนโดมิเนียม 5 โครงการ  คิดเป็นมูลค่ารวม 37,000 ล้านบาท และกำหนดงบประมาณการจัดซื้อที่ดินประมาณ 8,000 ล้านบาท จากการเปิดตัวโครงการที่เพิ่มขึ้นรวมทั้งการเปิดตัวโครงการที่เลื่อนจากปีก่อน ทำให้ในปีนี้เป็นปีแห่งการปรับสมดุลของตลาด โดยตลาดคอนโดมิเนียมรวมทั้งตลาดแนวราบทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดจะได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐที่มีความชัดเจนขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางรถไฟฟ้าสายต่างๆ  การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว การขยายสนามบิน และพัฒนาเป็นสนามบินนานาชาติในหัวเมืองต่างๆ เพิ่มขึ้น และนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐผ่านธุรกิจอสังหาฯ ทั้งการลดค่าธรรมเนียมการโอนและการจดจำนอง อีกทั้งแผนการประกาศใช้ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่มีการเลื่อนออกไป ล้วนส่งผลให้ทิศทางของตลาดอสังหาฯ ปี 60 สดใสมากขึ้น บริษัทฯ ยังคงพัฒนาโครงการใหม่ๆ ทั้งโครงการคอนโดมิเนียม และโครงการแนวราบ ที่ยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อขยายไปยังหัวเมืองต่างๆ ในภูมิภาคที่เป็นศูนย์กลางธุรกิจและแหล่งท่องเที่ยว ซึ่งปัจจุบันจังหวัดที่บริษัทฯ  มีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง  ได้แก่ เชียงใหม่ สุราษฎร์ธานี สงขลา ภูเก็ต นครศรีธรรมราช อุดรธานี ขอนแก่น ชลบุรี ระยอง  อุบลราชธานี  นครราชสีมา อีกทั้งมีแผนขยายการลงทุนพัฒนาโครงการเพิ่มเติมในจังหวัดเชียงราย นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมุ่งมั่นพัฒนาโครงการคุณภาพและบริการที่ดี ภายใต้ระบบคุณภาพมาตรฐานสากล ISO 9001 : 2008 รวมทั้งกิจกรรม CSR ในรูปแบบต่างๆ เพื่อสร้างสรรค์สังคมไทยอย่างต่อเนื่อง
MQDC เปิดตัว ยู เขาใหญ่ จับมือกลุ่ม ยู โฮเต็ล แอนด์ รีสอร์ทเข้าสู่ธุรกิจโรงแรม

MQDC เปิดตัว ยู เขาใหญ่ จับมือกลุ่ม ยู โฮเต็ล แอนด์ รีสอร์ทเข้าสู่ธุรกิจโรงแรม

กรุงเทพฯ - 11 มกราคม 2560  –  MQDC แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น เข้าสู่ภาคธุรกิจโรงแรมด้วยการเปิดตัว“ยู เขาใหญ่”บูติคโฮเทลหรูมูลค่ากว่า 400 ล้านบาท โดยแต่งตั้งให้กลุ่มยู โฮเต็ล แอนด์ รีสอร์ท เป็นผู้บริหารโครงการ “ยู เขาใหญ่” ถูกพัฒนาขึ้นเป็นรีสอร์ทหรูเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการวันพักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติ และเป็นส่วนขยายของโครงการบ้าน “แมกโนเลียส์ เฟรนช์ คันทรี เขาใหญ่” ที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้ “ยู เขาใหญ่” เป็นรีสอร์ทสไตล์ชาโตซ์ของฝรั่งเศสท่ามกลางวิวทิวเขาอันสวยงาม และอากาศที่สดชื่นตลอดทั้งปีของเขาใหญ่ โรงแรมประกอบด้วยห้องพัก 63 ห้อง ห้องอาหาร ห้องจัดเลี้ยงสไตล์เฟรนช์คันทรี่ ฟิตเนส สระว่ายน้ำ และสปาหรู เพื่อให้ผู้มาใช้บริการได้พบกับสุนทรีย์แห่งการพักผ่อนอย่างแท้จริง MQDC เป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เชี่ยวชาญการสร้างคุณค่าพิเศษให้กับโครงการในลักษณะ มิกซ์ยูส  โดยการสร้าง “ยู เขาใหญ่” ที่เปิดใหม่ และโครงการบ้าน “แมกโนเลียส์ เฟรนช์ คันทรี เขาใหญ่” จะช่วยส่งเสริมกันและกัน ทั้งบรรยากาศไลฟ์ไตล์อันหรูหราแบบเมืองตากอากาศของฝรั่งเศสที่เชื่อมต่อกันของสองโครงการ ไปจนถึงบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่มีเพิ่มเติมจากเดิมอย่างครบครัน นายวิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MQDC กล่าวว่า “การจับมือกับพันธมิตรมืออาชีพอย่างกลุ่มยู โฮเต็ล แอนด์ รีสอร์ท ซึ่งบริหารแบรนด์นี้ขึ้นมาจนเป็นหนึ่งในบูติคโฮเทล ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในเอเชีย ตะวันออกกลาง อินเดียและยุโรปมาแล้ว นับเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่สำคัญของเราในการก้าวเข้าสู่ภาคธุรกิจโรงแรม   MQDC ต้องการให้ “ยู เขาใหญ่” เป็นรีสอร์ทเพื่อวันพักผ่อน ที่เติมความรื่นรมย์และสร้างเสริมสุขภาพกายและใจที่ดีให้กับลูกค้าของเรา  รีสอร์ทแห่งนี้ถูกออกแบบให้ผสมผสานไลฟ์สไตล์ยุโรป เข้ากับกลิ่นอายความเป็นเขาใหญ่ได้อย่างกลมกลืน โดยมีธรรมชาติอันตระการตาเป็นฉากหลัง” ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา MQDC ได้ลงทุนกว่า 100,000 ล้านบาท ในโครงการมิกซ์ยูส ซึ่งประกอบด้วย โครงการ ไอคอนสยาม  โครงการวิสซ์ดอม 101  โครงการแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด  และโครงการแมกโนเลียส์ เฟรนช์ คันทรี เขาใหญ่ “โรงแรมถือเป็นอีกแนวทางหนึ่งในการสร้างคุณค่าพิเศษให้กับโครงการมิกซ์ยูส และ MQDC จะยังคงเดินหน้าในการสร้างคุณค่าพิเศษให้กับโครงการต่าง ๆ ของเราต่อไปในอนาคต” นายวิสิษฐ์ กล่าวในที่สุด นาย โจนาธาน วิกลีย์ ซีอีโอ ของ ยู โฮเต็ล แอนด์ รีสอร์ท กล่าวว่า “ในช่วง 9 ปีที่ผ่านมา เราได้สร้างแบรนด์นี้ขึ้นมา โดยมีโรงแรมที่ใช้แบรนด์นี้จำนวนมากในหลายประเทศ ทางทีมงานรู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้เข้ามาบริหาร ยู เขาใหญ่ของทาง MQDC และร่วมเป็นเพื่อนบ้านของโครงการบ้านพักตากอากาศหรู อย่างแมกโนเลียส์ เฟรนช์ คันทรี เขาใหญ่”
“ลลิล พร็อพเพอร์ตี้” ชูกลยุทธ์ตอกย้ำความเชื่อมั่นตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2560 เดินหน้าขยายอาณาจักรเปิดตัว 8-10 โครงการในทำเลเด่น – ตั้งเป้ารายได้ทั้งปีโต 15 %

“ลลิล พร็อพเพอร์ตี้” ชูกลยุทธ์ตอกย้ำความเชื่อมั่นตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2560 เดินหน้าขยายอาณาจักรเปิดตัว 8-10 โครงการในทำเลเด่น – ตั้งเป้ารายได้ทั้งปีโต 15 %

บริษัท  ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) มองตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยปี 60 อยู่ในสภาวะปรับตัวจากภาวะเศรษฐกิจผันผวนและภาวะอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัว ความเชื่อมั่นผู้บริโภค-ภาคสินเชื่อที่ฟื้นตัว และภาครัฐอัดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเต็มรูปแบบ เตรียมก้าวสู่ปีที่ 30 แห่งความเชื่อมั่นอย่างยิ่งใหญ่ ตอกย้ำกลยุทธ์ “Quality – Service Mind – CRM” ปรับโฉมองค์กร ตอกย้ำศักยภาพความเป็นมืออาชีพ และเป็นผู้นำด้านการเปลี่ยนแปลงเทรนด์อสังหาฯ ด้วยการนำ “ลลิล ทาวน์ (LALIN Town) เปิดในทำเลเด่น พร้อมเปิดโครงการใหม่ 8-10 โครงการ มูลค่า 4,000 ล้านบาท เพื่อรองรับการขยายตัวของตลาดอสังหาฯ ทั้งกรุงเทพฯ – ปริมณฑล และต่างจังหวัด ตั้งเป้ายอดขายสิ้นปี 3,600 ล้านบาท และเป้ารับรู้รายได้ที่ 3,100 ล้านบาท เติบโตกว่า 15 %   นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ภายใต้คอนเซ็ปต์ “บ้านที่ปลูกบนความตั้งใจที่ดี” เปิดเผยถึงแนวโน้มภาคอสังหาริมทรัพย์ปี 2560 ว่า “เศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วงชะลอตัว เนื่องจากการส่งออกเติบโตน้อยและภาวะการบริโภคของภาคประชาชนชะลอตัว เนื่องจากภาวะหนี้ครัวเรือนสูง ในปี 2560 จะได้รับแรงขับเคลื่อนจากการลงทุนของภาครัฐบาลในโครงการสาธารณูปโภคต่างๆ เป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจ ภาคการส่งออกฟื้นตัวเล็กน้อยจากการที่เงินบาทอ่อนค่า และต้องประเมินนโยบายจากโดนัลด์ ทรัมป์และยุโรปอีกระยะหนึ่ง ภาคการท่องเที่ยวยังเป็นรายได้หลัก และจากการเร่งรัดโครงการต่างๆ ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และการเริ่มลงทุนโครงการจากบี.โอ.ไอ ตลอดจนภาคเอกชนเริ่มเห็นสัญญาณลงทุนชัดเจนจากรัฐบาลก็จะมีแรงส่งการลงทุนจากภาคเอกชนเพิ่มขึ้น โดยจะค่อยๆ เห็นชัดเจนในไตรมาสที่ 3-4 เป็นต้นไป ในภาคอสังหาริมทรัพย์ปี 2560 การขยายตัวในตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบ ซึ่งเป็นตลาด Real Demand ก็ยังคงขยายตัวได้ระดับหนึ่ง สำหรับตลาดอาคารชุดน่าจะทรงตัว เพราะยังมี Supply คงเหลือในหลายทำเลที่ยังคงค่อยๆ ดูดซับ Supply โดยเฉพาะตลาดกลาง – ล่าง ตลาดบนที่ทำเลเด่น และ Design โดดเด่นก็ยังพอมีช่องว่างบ้าง โดยภาพรวมของตลาดน่าจะขยายตัวได้ 3-5% “บริษัทฯ ได้ประเมินจากสถานการณ์แล้ว และได้มีแผนการดำเนินงานเพื่อรองรับสถานการณ์ โดยได้กำหนดแผนประจำปีให้มีความยืดหยุ่นให้เข้ากับภาวะแวดล้อมเศรษฐกิจ ทั้งนี้ยังควบคุมความเสี่ยงมี D/E ต่ำ แผนควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบกับมีแผนกลยุทธ์อื่นๆ อย่างมีประสิทธิภาพ โดยบริษัทฯ มีแผนขยายโครงการใหม่ 8-10 โครงการ มูลค่าประมาณ 4,000 ล้านบาท โดยตั้งเป้าหมายยอดขาย 3,600 ล้านบาท และยอดรับรู้รายได้ 3,100 ล้านบาท เติบโต 15% ” นายไชยยันต์ กล่าว นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN) กล่าวเสริมว่า ในปี 2560 นี้ “ลลิล พร็อพเพอร์ตี้” ปรับกลยุทธ์การดำเนินงานในเชิงรุกเพื่อตอกย้ำความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภคที่ไว้วางใบริษัทฯ มาโดยตลอดและในปีที่ผ่านมา ได้เปิดตัวอาณาจักร “ลลิล ทาวน์ (LALIN Town)” ไปแล้วหลายแห่ง ได้แก่ ลลิล ทาวน์-พัทยา, ลลิล ทาวน์ เศรษฐกิจ-พุทธสาคร ซึ่งในโครงการประกอบด้วย บ้านเดี่ยวหลังใหญ่ซีรี่ส์ใหม่ บนพื้นที่ใช้สอย 140-175 ตารางเมตร ในราคาเริ่มต้นเพียง 2 ล้านกว่าบาท – 5 ล้านบาท และทาวน์โฮม ขนาดพื้นที่ใช้สอย 85-105 ตารางเมตร ในราคาสุดคุ้มเพียง 1 ล้านกว่าๆ – 2 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการมิกซ์ยูสบ้านเดี่ยวหลังใหญ่ และทาวน์โฮมหน้ากว้าง พร้อมเปิดประสบการณ์ครั้งแรกที่ฟังก์ชั่นปรับได้ตามใจ โดดเด่นด้วยสไตล์การออกแบบ Modern Stripe Contemporary โดย KTGY บริษัทออกแบบชั้นนำระดับโลก และรองรับไลฟ์ลไตล์การใช้ชีวิตสบายๆ ในสไตล์ที่แตกต่าง สะท้อนความเป็นตัวตนเฉพาะของลูกค้า ทั้งนี้ บริษัทฯ มองเห็นความต้องการที่อยู่อาศัยตลาดเรียลดีมานด์ของผู้บริโภคที่ยังขยายตัวสูงขึ้นในทุกๆ ปี บวกกับพฤติกรรมผู้อยู่อาศัยในทำเลดังกล่าวมีความต้องการที่หลากหลายไลฟ์สไตล์ นับว่าตอบโจทย์ด้วยพื้นที่ใช้สอยกว้างขวาง มีฟังก์ชั่นการใช้งานที่ลงตัว สามารถปรับแต่งให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของครอบครัว และสามารถรองรับกิจกรรมของครอบครัวได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ 3 สิ่งสำคัญที่บริษัทฯ ยังคำนึงถึงเสมอ คือ คุณภาพ (Quality) ที่ยังคงมุ่งมั่นรักษาระดับมาตรฐานงานออกแบบและการก่อสร้าง เพื่อส่งมอบโครงการคุณภาพให้ถึงมือผู้บริโภค การบริการ (Service Mind) ที่สร้างความประทับใจ และการดูแลลูกค้า (CRM) ให้ความใส่ใจสร้างสังคมแห่งคุณภาพภายใต้โครงการของบริษัท ดังนั้น ปีนี้จะเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญและสร้างความไว้วางใจและความพึงพอใจให้ผู้บริโภคเชื่อมั่นในสินค้าและบริการของบริษัทได้ สำหรับแผนการเปิดโครงการใหม่ในปี 2560 บริษัทตั้งเป้าหมายทั้งปีนี้ไว้ประมาณ 8-10 โครงการ มูลค่าประมาณ 4,000 ล้านบาท ครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล และต่างจังหวัดในส่วนของหัวเมืองหลัก และหัวเมืองชั้นรอง แบ่งสัดส่วนทำเลออกเป็น โซนกรุงเทพฯ และปริมณฑล 70% และในทำเลต่างจังหวัด 30% ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้มุ่งสู่ความเป็นผู้นำด้านการเปลี่ยนแปลงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะโครงการแนบราบที่บริษัทมีความชำนาญ โดยเป็นการเปลี่ยนแปลงทั้งในด้านแนวคิด การวางคอนเซ็ปต์ ตลอดจนการให้ความคุ้มค่าในการอยู่อาศัย การเลือกทำเลศักยภาพสะดวกทุกการเดินทาง และการใช้ประโยชน์ได้จริงของผู้อยู่อาศัย ให้พื้นที่ใช้สอยที่มากกว่า มีพื้นที่สวนและที่จอดรถ ในราคาที่สมเหตุสมผล “บริษัทฯ มีแผนงานกลยุทธ์ด้านการก่อสร้าง ที่ตั้งเป้าหมายให้บ้านของบริษัทฯ ต้องเป็นมาตรฐานเดียวกัน มีสภาพแวดล้อมน่าอยู่อาศัยมากยิ่งขึ้น มีระบบรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มแข็ง โดยมีผลลัพธ์คือความสุขของลูกบ้านในโครงการ ทั้งนี้บริษัทฯ ได้มีการนำนวัตกรรมมาใช้ในการก่อสร้างซึ่งผสมผสานกับมาตรฐานของบริษัทฯ ซึ่งทำให้สามารถลดระยะเวลาในการก่อสร้างได้อย่างดียิ่ง” นายชูรัชฏ์ กล่าว นายกร ธนพิพัฒนศิริ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงินและบริหาร บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN) กล่าวเสริมทัพถึง แผนงานกลยุทธ์ทางการเงินของบริษัทฯ ปี 2560 ที่จะนำพาบริษัทฯ เดินหน้าต่อไปอย่างมั่นคงและยั่งยืนจากการตั้งเป้าหมายผลการดำเนินงานของบริษัทฯ มั่นใจว่าจะสามารถขยายตัวได้ดีเพิ่มขึ้นจากปีก่อน โดยตั้งเป้ายอดขายในปีนี้ไว้ที่ 3,600 ล้านบาท และเป้ารับรู้รายได้ที่ 3,100 ล้านบาท หรือขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ประมาณ 15% บริษัทฯ ตั้งงบซื้อที่ดินประมาณ 1,000 ล้านบาท โดยแหล่งเงินทุนส่วนใหญ่มาจากกระแสเงินสดที่มีในมือที่ได้จากการโอนโครงการที่มีอยู่ อย่างไรก็ดีบริษัทฯ มีแผนออกหุ้นกู้หากมีความจำเป็นเพื่อรองรับในระยะยาวให้เติบโตอย่างต่อเนื่องยั่งยืน และเตรียมพร้อมสำหรับการก้าวเข้าสู่ปีที่ 3 ทศวรรษในปี 2560 นี้อย่างแน่นอน
ทาวน์โฮม ทางเลือกที่น่าสนใจของคนอยากมีบ้าน

ทาวน์โฮม ทางเลือกที่น่าสนใจของคนอยากมีบ้าน

หลายบทความของเราที่ผ่านมาจะเน้นพูดถึงเรื่องคอนโดมิเนียม เพราะถือเป็นเจ้าตลาดที่ได้รับความนิยมมากที่สุดสำหรับวงการอสังหาริมทรัพย์ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา และด้วยเป็นที่อยู่อาศัยที่สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมืองกรุงในแง่ของการเดินทางที่แข่งกันติดสถานีรถไฟฟ้าให้ได้มากที่สุด แต่อย่างที่ทราบกันดีว่ายิ่งติดรถไฟฟ้ามากเท่าไหร่ ราคาก็ยิ่งสูงขึ้นเป็นเงาตามตัวมากเท่านั้น ขณะเดียวกันหากมองกลับมาที่ทาวน์โฮมบ้าง เราจะพบว่ามีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ประมาณ 1.2 ล้านบาทเท่านั้น เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจไม่น้อยเลยใช่ไหมคะ ทาวน์โฮมหรือทาวน์เฮาส์ คือที่อยู่อาศัยที่มีส่วนของกำแพง, หลังคาติดกันเป็นแถวหลายหลังติดกัน มีพื้นที่ใช้สอยเฉลี่ย ตั้งแต่ 70 ตร.ม. สูงไม่เกิน 3 ชั้น ซึ่งพื้นที่ใช้สอยรวมแล้วมากกว่าคอนโดมิเนียมที่มีพื้นที่ใช้สอยเฉลี่ยเพียง 30 ตร.ม. แต่ยังเล็กกว่าบ้านเดี่ยว ที่สำคัญคือราคาถูกกว่าที่อยู่อาศัยแบบอื่นๆ โดยราคาเฉลี่ยปัจจุบันอยู่ที่ล้านต้นๆ เท่านั้น ทาวน์โฮมจึงกลายเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการมีพื้นที่อยู่อาศัยที่กว้างขวางมากกกว่าคอนโดมิเนียม เหมาะสำหรับการอยู่อาศัยกับครอบครัวขนาดเล็ก เพียงแต่ทำเลในปัจจุบันอาจจะยังเหมาะสำหรับผู้ที่มีรถยนต์ส่วนตัวมากกว่า แต่ในอนาคตหากรถไฟฟ้าในหลายๆ สายเปิดให้บริการเมื่อไหร่ ทาวน์โฮมที่  อยู่ห่างจากรถไฟฟ้าไม่เกิน 2-3 กิโลเมตร ก็เป็นอีกตลาดที่น่าจับตามองอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว ในระยะ 3 ปีที่ผ่านมา หลังจากราคาคอนโดมิเนียมเริ่มพุ่งสูงจนน่าตกใจ ส่วนบ้านเดี่ยวก็อยู่ในทำเลที่ห่างไกลรถไฟฟ้าอยู่มาก รวมถึงโครงการใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นล้วนเป็นโครงการในกลุ่มระดับลักชัวรี่ ตลาดทาวน์โฮมก็เริ่มกลับมาขยับกันอีกครั้ง เพราะราคาที่ถูกกว่ากันมาก และยังไม่มีการขยับขึ้นเท่าไรนัก ทำเลยังอยู่ในระยะที่เดินทางสะดวกสำหรับผู้มีรถยนต์ส่วนตัว อยู่ใกล้สิ่งอำนวยความสะดวก เช่น ห้างสรรพสินค้า ซุปเปอร์มาร์เก็ต โรงพยาบาล และทางด่วนที่สามารถเชื่อมต่อเข้าเมืองเป็นหลัก ในอนาคตก็อยู่ไม่ไกลจากรถไฟฟ้ามากนัก ทำให้หลายคนหันมามองที่อยู่อาศัยประเภททาวน์โฮมกันมากขึ้นโดยเฉพาะกลุ่มครอบครัวใหม่ ซึ่งแนวโน้มสำหรับตลาดทาวน์โฮมในปีนี้จะเติบโตขึ้น 10-15% มีมาร์เก็ตแชร์อยู่ที่ประมาณ 25% เพิ่มมากขึ้นจากปีที่แล้วที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดที่ 15-20% น้อยที่สุดในบรรดาตลาดที่อยู่อาศัย ทำเลยอดฮิตของทาวน์โฮมในปัจจุบันส่วนมากจะอยู่แถบชานเมืองกับปริมณฑลที่มีพื้นที่รวมหลายไร่ ราคาที่ดินยังไม่สูงมากนัก ส่งผลให้ราคาขายต่อหลังยังมีราคาที่หลายคนสามารถเอื้อมถึงประมาณตั้งแต่ 1-4 ล้านบาท โดยทำเลที่มีโครงการเกิดขึ้นสูงสุดที่ผ่านมา ได้แก่ กระทุ่มแบน-สามพราน สามารถเชื่อมต่อกับถนนพระราม 2 ถนนเพชรเกษม ที่เป็นอีกหนึ่งเส้นทางหลักระหว่างปริมณฑลฝั่งตะวันตกและเข้าตัวเมืองกรุงเทพฯ ทุ่งครุ-พระประแดง ย่านที่ในอนาคตจะมีรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ผ่าน และมีจุด Interchange กับรถไฟฟ้าสายสีอื่นๆ คือ สายสีแดงเข้มกับสายสีเขียว สถานีวงเวียนใหญ่, สายสีน้ำเงิน สถานีวังบูรพากับสถานีเตาปูน, สายสีส้ม สถานีผ่านฟ้า, สายสีแดงอ่อน สถานีสามเสนกับบางซ่อน และสายสีน้ำตาล สายสีชมพู สถานีศูนย์ราชการนนทบุรี ธนบุรี-ราษฎร์บูรณะ ย่านที่ใกล้กับรถไฟฟ้าสายสีม่วงเช่นกัน ลาดหลุมแก้ว ใกล้กับทางด่วนอุดรรัถยาที่ไปเชื่อมต่อเข้าสู่ตัวเมืองกับทางพิเศษศรีรัช รวมถึงรถไฟฟ้าสายสีแดงชานเมือง บางซื่อ-รังสิต ที่กำลังก่อสร้างอยู่ในขณะนี้ ดอนเมือง-สายไหม ย่านดอนเมืองใกล้กับทางยกระดับอุตราภิมุข และรถไฟฟ้าสายสีแดงชานเมือง บางซื่อ-รังสิต ส่วนย่านสายไหมจะอยู่ใกล้กับทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ และถนนกาญจนาภิเษก วงแหวนรอบนอกฝั่งตะวันออก อ่อนนุช-บางนา ใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายสำโรง-สมุทรปราการ ที่กำลังจะเปิดให้ใช้บริการปลายปีนี้ รวมถึงใกล้กับทางพิเศษบูรพาวิถี และทางพิเศษเฉลิมมหานคร สุวรรณภูมิ-บางเสาธง ใกล้กับแอร์พอร์ตลิงค์ในปัจจุบัน ถนนกาญจนาภิเษก วงแหวนรอบนอกฝั่งตะวันออก มอเตอร์เวย์กรุงเทพฯ-ชลบุรี และทางพิเศษบูรพาวิถี เชื่อว่าทาวน์โฮมจะเป็นคำตอบที่ใช่สำหรับใครหลายคน ด้วยความพอเหมาะพอดีที่มีอยู่ในตัว ทั้งราคา พื้นที่ใช้สอย ทำเล เป็นที่อยู่อาศัยที่ลงตัวสำหรับผู้มองหาเพื่ออยู่อาศัยเอง  
ชิค รีพับบลิค สาขาราชพฤกษ์ มากกว่าศูนย์กลางไลฟ์สไตล์ของครอบครัวที่มุ่งสร้างประสบการณ์และแรงบันดาลใจการตกแต่ง

ชิค รีพับบลิค สาขาราชพฤกษ์ มากกว่าศูนย์กลางไลฟ์สไตล์ของครอบครัวที่มุ่งสร้างประสบการณ์และแรงบันดาลใจการตกแต่ง

บริษัท ชิค รีพับบลิค จำกัด ชวนเลือกช้อปของตกแต่งบ้านที่มีสไตล์เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวและสัมผัสความงดงามของสาขาใหม่ โดดเด่นที่สุดบนถนนราชพฤกษ์ ในคอนเซ็ปต์ “Inspiration and Experience” ให้ทุกพื้นที่เป็นมากกว่าศูนย์กลางไลฟ์สไตล์ของครอบครัวที่มุ่งสร้างประสบการณ์และแรงบันดาลใจการตกแต่ง ด้วยพื้นที่จัดวางสินค้ากว่า 15,000 ตารางเมตร และแบรนด์ใหม่ “Rina Hey (ริน่า เฮย์)” มอบเอกลักษณ์ใหม่ สุดเท่ห์ เก๋ไก๋ ไม่ซ้ำใคร ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Imperfect Create Perfect Place” พิเศษส่งท้ายปีกับแคมเปญใหญ่ “SALE UP TO 50%” รับส่วนลดทันทีสำหรับทุกสินค้า สูงสุด 50% เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการแล้ววันนี้ ณ โฮมแฟชั่นสโตร์ ชิค รีพับบลิค สาขาราชพฤกษ์
โครงการ เดอะ เครสตัน ฮิลส์ เขาใหญ่ สร้างประวัติศาสตร์ให้วงการอสังหาริมทรัพย์ไทย ยืนหยัดต่อสู้หลุดข้อกล่าวหาที่ดินรุกล้ำพื้นที่เขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่

โครงการ เดอะ เครสตัน ฮิลส์ เขาใหญ่ สร้างประวัติศาสตร์ให้วงการอสังหาริมทรัพย์ไทย ยืนหยัดต่อสู้หลุดข้อกล่าวหาที่ดินรุกล้ำพื้นที่เขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่

22 ธันวาคม 2559 - บริษัท ภูพบฟ้า จำกัด เจ้าของและผู้พัฒนาโครงการที่พักอาศัยระดับหรู The Creston Hills (เดอะ เครสตัน ฮิลส์) เขาใหญ่  แถลงข่าวถึงความชอบธรรมของการครอบครองที่ดิน และได้ข้อยุติกรณีพิพาทระหว่างบริษัทฯ และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เรื่องการสร้างแนวรั้วโครงการฯ รุกล้ำเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ และเขตป่าไม้ถาวรที่ยืดเยื้อมาเกือบ 2  ปี นายนิพนธ์ ปิ่นศรีศิริรัตน์ กรรมการ บริษัท ภูพบฟ้า จำกัด แถลงวันนี้ว่า “เกือบ 2 ปีแห่งการต่อสู้เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของบริษัทฯ ที่ผ่านมาเป็นเวลาที่ยาวนานแต่ก็คุ้มค่า เพราะในที่สุดเราก็สามารถพิสูจน์ได้ว่าพื้นที่ของบริษัทฯ จำนวน 1.98 ไร่ ที่เป็นแนวรั้วโครงการเดอะ เครสตัน ฮิลส์ (The Creston Hills) ไม่ได้รุกล้ำพื้นที่เขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ และเขตป่าไม้ถาวรตามที่ถูกตั้งข้อกล่าวหาแต่อย่างใด ซึ่งกรณีพิพาทที่เกิดขึ้นในครั้งนี้นอกจากทำให้เราสูญเสียโอกาสจากรายได้ถึงกว่า 1,000 ล้านบาทแล้วยังส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของโครงการ เดอะ เครสตัน ฮิลส์ เป็นอย่างมาก แต่อย่างไรก็ดี    การเรียกร้องความยุติธรรมครั้งนี้ บริษัทฯ หวังว่าจะเป็นตัวอย่างให้แก่เจ้าของโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายอื่นที่ควรยืนหยัดต่อสู้เพื่อสิทธิและความถูกต้องหากต้องประสบกรณีข้อกล่าวหาเช่นเดียวกับทางบริษัทฯ  นับจากนี้ บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าโครงการ เดอะ เครสตัน ฮิลส์ จะได้รับความไว้วางใจและความมั่นใจจากผู้ที่สนใจในโครงการฯ มากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน” สำหรับข้อพิพาทที่เกิดขึ้นตลอดระยะเวลาเกือบ 2 ปี ที่ผ่านมา ทางบริษัทฯ ได้ดำเนินการต่อสู้เรียกร้องถึงความชอบธรรมและถูกต้องของเอกสารต่างๆ  มาโดยตลอด จนพิสูจน์ได้ถึงความโปร่งใส  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นหลักๆ ดังนี้ เรื่องการสร้างรั้วรุกเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เนื้อที่ 1.98 ไร่ ซึ่งทางโครงการฯ มิได้สร้างรั้วรุกล้ำแนวเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ตามที่กล่าวอ้าง และรั้วของโครงการฯ ทั้งหมดได้สร้างอยู่ในแนวโฉนดที่ดินของโครงการ ซึ่งมีรายละเอียดปรากฏตามเอกสารยืนยันจากหนังสือสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 7 ลงวันที่ 27 เมษายน 2552 และหนังสือจากอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ลงวันที่ 15 พฤษภาคม 2552 เรื่องการได้มาของโฉนดที่ดิน การได้มาซึ่งที่ดินทั้งหมดของโครงการฯ เป็นการได้มาจากการซื้อขาย ที่บริษัทฯ ได้มีการตรวจสอบที่ดินทุกแปลงแล้วปรากฏว่าเอกสารสิทธิของที่ดินทุกแปลงได้มาจาก สค.1 นับแต่ปี 2498 และ 3. เรื่องแนวเขตป่าไม้ถาวร ซึ่งที่ดินของโครงการทั้ง 20 แปลง มิได้อยู่ในเขตป่าไม้ถาวร ซึ่งได้มีการร่วมตรวจสอบที่ดินในโครงการทั้งหมด โดยกรมพัฒนาที่ดิน โครงการ เดอะ เครสตัน ฮิลส์ เป็นโครงการที่พักอาศัยหรูสไตล์ร่วมสมัยแบบอเมริกันบนพื้นที่ 200 ไร่ โอบล้อมด้วยภูเขารอบด้าน โดยพื้นที่แบ่งเป็นโครงการบ้านทั้งหมด 57 หลัง มีแบบบ้านให้เลือก 4 แบบ ในราคาเริ่มต้นที่ 65,000 บาท – 75,000 บาทต่อตารางวา  นอกจากนี้ การพัฒนาโครงการฯ เน้นการผสมผสานระหว่างการใช้ประโยชน์พื้นที่ในรูปแบบต่างๆ อาทิ  ที่อยู่อาศัย  พาณิชยกรรม และพื้นที่สันทนาการเข้าด้วยกัน
SC ASSET ผู้พัฒนาอสังหาระดับพรีเมี่ยม โชว์ผลงานคราฟท์ทั้งงานสร้างบ้านและคราฟท์ทั้งงานโฆษณา กวาดรางวัลจากการประกวด  Adman Awards & Symposium 2016 กับ B.A.D Awards 2016

SC ASSET ผู้พัฒนาอสังหาระดับพรีเมี่ยม โชว์ผลงานคราฟท์ทั้งงานสร้างบ้านและคราฟท์ทั้งงานโฆษณา กวาดรางวัลจากการประกวด Adman Awards & Symposium 2016 กับ B.A.D Awards 2016

คุณณัฏฐกิตติ์ ศิริรัตน์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด และ คุณโฉมชฎา กุลดิลก ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น ภูมิใจที่ผลงานจากภาพยนตร์โฆษณาคฤหาสน์หรู ภายใต้แบรนด์ แกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด เรื่อง “It’s Worth Everything” (The Curator) กวาด 3 รางวัลรวดจากเวที B.A.D Awards 2016 ในหมวด “Best of Craft” ได้แก่ 1. Best of Craft Award in Cinematography 2. Certificate of Excellence in Production design และ 3. Certificate of Excellence in Music and Jingle และรางวัลประเภท Bronze ในหมวด Film จากการเข้าร่วมประกวดในงาน Adman Awards & Symposium 2016 ซึ่งจัดโดยสมาคมโฆษณาแห่งประเทศไทย โดยมีแนวคิดสำคัญมาจากการเป็นผู้นำตลาดบ้านหรูที่ “รู้จักและเข้าใจ” กลุ่มเป้าหมายอย่างแท้จริง เข้าใจถึงทัศนคติของคนที่เลือกซื้อคฤหาสน์หรู เพื่อให้เป็น “บ้าน” ที่ดีที่สุดสำหรับตนเองและคนสำคัญ เช่นเดียวกับ คฤหาสน์หรู  แกรนด์ บางกอก   บูเลอวาร์ด คนที่มองเห็นว่าอะไร คือคุณค่าที่แท้จริงสำหรับครอบครัว แม้ต้องจ่ายในราคาสูงเท่าไหร่ แต่เพื่อ ‘สิ่งที่มีค่าที่สุด’ ทุกสิ่งที่ทำมันคุ้มค่าเสมอ ผลงานสร้างสรรค์โดย Spa-Hakuhodo เอเจนซีโฆษณาชั้นนำของไทย และผู้กำกับมากฝีมือ คุณวุฒิศักดิ์ อนรรฆพร จากบริษัท Factory01
ราคาที่พักอาศัยระดับหรูในกรุงเทพฯ ปี 59 ทุบสถิติใหม่

ราคาที่พักอาศัยระดับหรูในกรุงเทพฯ ปี 59 ทุบสถิติใหม่

ไทย, 21 ธันวาคม 2559 – แผนกวิจัย ซีบีอาร์อี เผยว่า แม้ในปี 2559 ภาพรวมของตลาดที่พักอาศัยระดับลักซ์ชัวรี่ในกรุงเทพมหานครอาจจะคึกคักน้อยกว่าปีที่แล้ว แต่ก็เป็นปีที่มีการเปิดตัวโครงการใหญ่หลายโครงการและมีราคาขายก่อนที่การก่อสร้างเริ่มต้นในระดับที่ทุบสถิติใหม่ และถือว่าเป็นตลาดที่เติบโตได้ดีกว่าตลาดที่พักอาศัยโดยรวม ซึ่งได้รับผลกระทบจากยอดขายที่ชะลอตัวและอัตราการปฏิเสธสินเชื่อที่เพิ่มขึ้น ถึงแม้ผู้ประกอบการจำนวนหนึ่งจะเลื่อนการเปิดตัวโครงการใหม่ออกไป หลังจากการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชในวันที่ 13 ตุลาคม  2559  แต่ราคาขายเฉลี่ยของคอนโดมิเนียมใหม่ระดับไฮเอนด์ขึ้นไปในย่านใจกลางเมืองยังสูงขึ้นจนแตะที่ระดับ 2.19 แสนบาทต่อตารางเมตร หรือคิดเป็นสูงขึ้น  4.7% ต่อปี ด้านความต้องการที่พักอาศัยระดับลักซ์ชัวรี่ในกรุงเทพฯ ที่มีราคาเฉลี่ยสูงกว่า 2 แสนบาทต่อตารางเมตรและมีราคาต่อยูนิต10 ล้านบาทขึ้นไปนั้น ส่วนใหญ่ยังคงมาจากผู้ซื้อชาวไทย หรือคิดเป็นราว 85% ของยูนิตที่ขายได้    นอกจากนี้ แผนกวิจัย ซีบีอาร์อียังเห็นถึงความต้องการซื้อโครงการที่ตั้งอยู่ในย่านที่พักอาศัยชั้นนำของกรุงเทพฯ อย่างต่อเนื่อง โดยลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงนั้นมุ่งให้ความสนใจย่านสุขุมวิท สาทร และลุมพินี คอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี่ (2 แสน – 2.99 แสนบาทต่อตารางเมตรและมีราคาต่อยูนิต 10 ล้านบาทขึ้นไป) และซุปเปอร์ลักซ์ชัวรี่ (3 แสนบาทต่อตารางเมตรขึ้นไปและมีราคาต่อยูนิต 20 ล้านบาทขึ้นไป) ที่มีการเปิดตัวในกรุงเทพฯ ในปี 2559 มีจำนวนลดลงราวครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับปี 2558 โดยมีการเปิดตัวทั้งสิ้น 725 ยูนิต หรือคิดเป็น 11% ของจำนวนยูนิตทั้งหมดของโครงการที่เปิดตัวในปีนี้ และลดลง 4% ต่อปี ซึ่งไม่ต่างกับตลาดที่พักอาศัยแนวราบที่มีการเปิดตัวโครงการบ้านระดับลักซ์ชัวรี่ในย่านใจกลางเมืองแห่งใหม่เพียง 45 หลังในปี 2559  จาก 136 หลังในปีก่อน  โดยมีราคาเฉลี่ยต่อหลังเพิ่มขึ้น 5.1% มาอยู่ที่ราว 55 ล้านบาท ในปี 2559 มีถึง 13 โครงการที่สามารถปิดการขายได้ในราคาสูงกว่า 3 แสนบาทต่อตารางเมตร  โดยโครงการ 185 ราชดำริ และเดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน เรสซิเดนเซส บางกอก สามารถปิดการขายบางยูนิตได้ในราคาสูงกว่า 4 แสนบาทต่อตารางเมตร   ด้านโครงการมาร์ค สุขุมวิท นับเป็นโครงการแรกในย่านสุขุมวิทที่สามารถปิดการขายได้ในราคาสูงกว่า 4 แสนบาทต่อตารางเมตร  ณ ไตรมาสที่ 4      แม้ธุรกรรมการซื้อขายเหล่านี้จะไม่ได้สะท้อนราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตรของโครงการที่กล่าวถึงในข้างต้น แต่ก็แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มด้านราคา ซีบีอาร์อีคาดการณ์ว่าตลอดปี 2560 ทั้งตลาดคอนโดมิเนียมและตลาดที่พักอาศัยแนวราบในระดับลักซ์ชัวรี่ของกรุงเทพฯ จะเติบโตได้ดีกว่าตลาดระดับกลางและระดับล่าง เนื่องจากผู้ซื้อได้รับผลกระทบที่น้อยกว่าจากความเข้มงวดในการขอสินเชื่อซึ่งส่งผลให้ตลาดที่พักอาศัยโดยรวมชะลอตัว ตลาดที่พักอาศัยระดับลักซ์ชัวรี่จะยังคงไม่ประสบกับปัญหาอันเกิดขึ้นจากการมีซัพพลายจำนวนมากของโครงการในระดับกลางและระดับล่าง แม้จะประเมินว่าราคาขายคอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี่ในกรุงเทพฯ จะเพิ่มสูงขึ้นตลอดปีหน้าจากการที่ราคาที่ดินที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่แผนกวิจัย ซีบีอาร์อีกลับมองว่าอัตราการเติบโตของตลาดจะลดลง เนื่องจากราคาขายที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาส่งผลให้ลูกค้าซื้อได้ยากขึ้น และทำให้จำนวนผู้ที่มีแนวโน้มจะเป็นลูกค้าลดลงตามไปด้วย   ราคาขายที่สูงขึ้นอย่างมากของโครงการใหม่มีแนวโน้มที่จะส่งผลให้คอนโดมิเนียมมือสองในโครงการที่แล้วเสร็จได้รับความสนใจมากขึ้น เนื่องจากผู้ซื้อมองเห็นถึงช่องว่างด้านราคาระหว่างโครงการใหม่และโครงการที่แล้วเสร็จที่กว้างมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งบางกรณีมีราคาแตกต่างกันถึง 4 เท่า ทั้งที่ตั้งอยู่ในย่านที่ใกล้เคียงกัน   แต่ทั้งนี้ผู้ซื้อจะให้ความสนใจเฉพาะโครงการที่แล้วเสร็จที่ได้รับการบริหารจัดการโดยมืออาชีพและได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดีเท่านั้น ติดตามข่าวสารจากซีบีอาร์อีเพิ่มเติมได้ที่ Facebook: CBRE.Thailand Twitter: @CBREThailand LinkedIn: CBRE Thailand Instagram: CBRE Residential Thailand
ทรัสต์ SRIPANWA รับการท่องเที่ยวภูเก็ตบูม หนุนศักยภาพธุรกิจโรงแรม ดันอัตราการเข้าพักเฉลี่ยปรับตัวสูงขึ้น ช่วยสร้างผลตอบแทนที่ดี

ทรัสต์ SRIPANWA รับการท่องเที่ยวภูเก็ตบูม หนุนศักยภาพธุรกิจโรงแรม ดันอัตราการเข้าพักเฉลี่ยปรับตัวสูงขึ้น ช่วยสร้างผลตอบแทนที่ดี

ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์โรงแรมศรีพันวา (SRIPANWA) เข้าเทรดวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 23 ธันวาคมนี้  หลังได้รับการตอบรับที่ดีจากการเสนอขายให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนเดิมของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์โรงแรมศรีพันวา นักลงทุนทั่วไปที่เป็นผู้มีอุปการคุณของเจ้าของทรัพย์สินและบุคคลที่เกี่ยวโยงกัน ผู้มีอุปการคุณของผู้จัดจำหน่ายหน่วยทรัสต์และนักลงทุนสถาบัน ที่ราคาหน่วยละ 10.80 บาท มั่นใจกองทรัสต์จะให้ผลตอบแทนการลงทุนที่น่าพอใจจากศักยภาพทรัพย์สินที่โดดเด่น ทั้งทำเลที่ตั้ง ชื่อเสียงการบริการและความเชี่ยวชาญในการบริหารโรงแรม แถมได้รับแรงหนุนจากภาพรวมธุรกิจโรงแรมในภูเก็ตที่เติบโตได้ดีและโครงการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในจังหวัด     นางสาววรดา ตั้งสืบกุล รองผู้จัดการใหญ่ Investment Banking Coverage ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กองทรัสต์ ‘SRIPANWA’ หรือทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์โรงแรมศรีพันวา เปิดเผยว่า หน่วยลงทุนของทรัสต์  SRIPANWA ได้เข้าจดทะเบียนซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในวันที่ 23 ธ.ค.นี้ ซึ่งด้วยศักยภาพของทรัพย์สินที่เข้าลงทุนจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดี หลังจากก่อนหน้านี้ได้รับการตอบรับที่ดีจากการเสนอขายหน่วยลงทุนของทรัสต์ ให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนเดิมในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์โรงแรมศรีพันวา (กองทุนรวม SPWPF) นักลงทุนทั่วไปที่เป็นผู้มีอุปการคุณของเจ้าของทรัพย์สินและบุคคลที่เกี่ยวโยงกัน ผู้มีอุปการคุณของผู้จัดจำหน่ายหน่วยทรัสต์และนักลงทุนสถาบัน ในราคาหน่วยละ 10.80 บาท  รวมทั้งการแลกเปลี่ยนทรัพย์สินและภาระของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์โรงแรมศรีพันวา หรือ SPWPF กับหน่วยทรัสต์ SRIPANWA จากการแปลงสภาพกองทุนรวม SPWPF เป็นกองทรัสต์ SRIPANWA โดยมูลค่ากองทรัสต์ SRIPANWA ณ มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) ที่  11.3121 บาทต่อหน่วย เท่ากับ 3,157 ล้านบาท ทั้งนี้ SRIPANWA ถือเป็นทรัสต์กองแรกที่แปลงสภาพจากกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์มาเป็นทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) โดยได้แปลงสภาพมาจากกองทุนรวม SPWPF เพื่อรองรับการลงทุนเพิ่มเติมในสินทรัพย์หรือขยายขนาดสินทรัพย์ เพิ่มผลตอบแทนและเพิ่มสภาพคล่องของกองทรัสต์ โดยได้เข้าซื้อและรับโอนทรัพย์สินที่ลงทุนครั้งแรกในกองทุนรวม SPWPF ได้แก่ โครงการโรงแรมส่วนที่ 1 จำนวน 45 ยูนิต ที่ประกอบด้วยบ้านพักแบบวิลล่าหรูและห้องพักโรงแรมหรูพร้อมสระว่ายน้ำส่วนตัว พร้อมทั้งเข้าลงทุนในกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินที่จะลงทุนเพิ่มเติมครั้งที่ 1 ได้แก่ โครงการโรงแรมส่วนที่ 2 ซึ่งเป็นห้องพักโรงแรมหรู 2 อาคาร จำนวน 30 ห้องพัก ในอาคารเดอะฮาบิตะ และบ้านพักตากอากาศ X29 ซึ่งเป็นบ้านเดี่ยว 3 ชั้น บนที่ดินรวม 6 ไร่ 50.6 ตารางวา ในจังหวัดภูเก็ต “เชื่อว่าทรัสต์ SRIPANWA จะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุน หลังได้เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ  เนื่องจากทรัพย์สินของโครงการโรงแรมศรีพันวาที่ทรัสต์ได้เข้าไปลงทุนนั้น จัดอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพห่างจากตัวเมืองภูเก็ตประมาณ 15 กิโลเมตร จึงมีโอกาสที่มูลค่าทรัพย์สินจะปรับเพิ่มขึ้นได้ในอนาคต โดย ณ ราคาเสนอขายที่หน่วยละ 10.80 บาท มีประมาณการอัตราผลตอบแทนในปีแรกเท่ากับร้อยละ 6.75” นางสาววรดา กล่าว นายวรสิทธิ อิสสระ ประธานกรรมการ บริษัท ชาญอิสสระ รีท แมเนจเมนท์ จำกัด ในฐานะผู้ก่อตั้ง ทรัสต์ ผู้จัดการกองทรัสต์และผู้เสนอขายหน่วยทรัสต์ กล่าวว่า  บริษัทฯ มั่นใจในศักยภาพและความโดดเด่นของทรัพย์สินที่ทรัสต์ SRIPANWA เข้าลงทุน ซึ่งบริหารงานโดยทีมงานที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในธุรกิจโรงแรม โดยทรัพย์สินที่เข้าลงทุนเพิ่มเติมครั้งที่ 1 ได้แก่ ห้องพักโรงแรมแบบพูลสวีทและเพนท์เฮาส์ จำนวน 30 ห้องพัก มีจุดเด่นที่มองเห็นวิวทะเลอันดามันได้ทุกห้อง  ส่วนบ้านพักตากอากาศ X29 ขนาด 5 ห้องนอน เน้นความหรูหราและเป็นส่วนตัว จึงสามารถรองรับนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อระดับบน นอกจากนี้ ยังประเมินว่าทรัพย์สินที่ทรัสต์เข้าลงทุนนั้น มีศักยภาพเติบโตจากปัจจัยเกื้อหนุนจากภาพรวมธุรกิจโรงแรมและการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในจังหวัดภูเก็ตในอนาคต โดยพบว่าในปีที่ผ่านมาอัตราเข้าพักเฉลี่ยของโรงแรมระดับ 5 ดาวในภูเก็ต เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 71 (ปี 2557 อยู่ที่ร้อยละ 69) ส่วนปี 2559 นั้นคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 75 ขณะที่ภาครัฐมีโครงการและแผนลงทุน อาทิ การลงทุนขยายสนามบินนานาชาติภูเก็ตระยะที่ 2 เพื่อรองรับผู้โดยสารเพิ่มขึ้นเป็น 12.5 ล้านคนต่อปี จากเดิม 6.5 ล้านคนต่อปี ซึ่งจะส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมโรงแรมและการท่องเที่ยวบนเกาะภูเก็ต
สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้านเชื่อมั่นธุรกิจปี’60ฟื้น

สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้านเชื่อมั่นธุรกิจปี’60ฟื้น

คุณพิชิติ อรุณพัลลภ (ที่4จากขวามือ) นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน และคุณธีร์ บุญวาสนา (ที่4จากซ้ายมือ) อุปนายกฝ่ายวิชาการสมาคมฯพร้อมด้วยกรรมการของสมาคมฯ ร่วมแถลงข่าวถึงผลการดำเนินงานของสมาคมฯในรอบปี2559พร้อมกับแสดงวิสัยทัศน์ถึงความเชื่อมั่นภาพรวมธุรกิจรับสร้างบ้านในปี 2560 เติบโตกว่า10% หลังได้แรงหนุนการลงทุนของภาครัฐ เดินหน้าจัดกิจกรรมการตลาดเพื่อสนับสนุนการขายของสมาชิกในปี 2560 พร้อมยังได้เพิ่มพูนความรู้ยกระดับการดำเนินธุรกิจให้กับสมาชิกของสมาคมฯในด้านต่างๆเติบโตอย่างยั่งยืน
เดอะคิวบ์ พลัส แจ้งวัฒนะ ทำกราฟรายได้ปี 59 พุ่ง ปลื้มยอดโอนกว่า 95%

เดอะคิวบ์ พลัส แจ้งวัฒนะ ทำกราฟรายได้ปี 59 พุ่ง ปลื้มยอดโอนกว่า 95%

นายวิชิต อำนวยรักษ์สกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท คิวบ์ เรียล พร๊อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้บริหารโครงการ The Cube Condominium  ยอมรับว่าปลื้มโครงการเดอะคิวบ์ พลัส แจ้งวัฒนะ (The Cube Plus Chaengwattana) ตั้งแต่เปิดโครงการฯ พร้อมกันทั้ง 5 อาคาร กระแสตอบรับดีมาโดยตลอดซึ่งในขณะนี้โครงการฯ สร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่อาศัยได้แล้ว มียอดการโอนกรรมสิทธิ์แล้วกว่า 95% จากทั้งหมด 482 ยูนิต ส่งผลให้กราฟรายได้ของบริษัทในปี 2559 พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อนหน้า และยังคงโตต่อเนื่องถึงไตรมาสแรกปี 2560 และมั่นใจว่าอีก 5% ที่เหลือจะปิดยอดการขายและโอนกรรมสิทธิ์ได้ไม่เกินไตรมาสแรกของปี 2560 อย่างแน่นอน เพราะความต้องการที่พักแนวสูงอย่างคอนโดมิเนียมบนถนนแจ้งวัฒนะมีเข้ามาซื้ออย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้บริษัทฯ ได้วางแผนรุกตลาดอสังหาริมทรัพย์และขยายธุรกิจเต็มกำลังโดยจะเปิดโครงการใหม่ในปี 2560 เพิ่มอีกอย่างน้อย 5 โครงการ ทั้งแนวสูงและแนวราบบนทำเลศักยภาพ เน้นสะดวกทุกการเดินทางทั้งติดแนวรถไฟฟ้า ใกล้แหล่งงาน และย่านธุรกิจ ในกรุงเทพและปริมณฑล เพื่อสนองตอบความต้องการของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในอนาคตที่ต้องการอยู่อาศัยเองและเพื่อลงทุน ปัจจุบันบริษัทฯ มีโครงการฯ ที่เปิดขายอยู่และได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าเป็นอย่างดีคือ เดอะคิวบ์ พลัส แจ้งวัฒนะ และเดอะคิวบ์ ประชาอุทิศ สร้างเสร็จพร้อมโอนกรรมสิทธิ์และเข้าอยู่ได้แล้ว ส่วนเดอะคิวบ์ นวมินทร์ และเดอะคิวบ์ พลัส มีนบุรี  เปิดพรีเซลและอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างโดยคาดว่าจะแล้วเสร็จปี 2560 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 1246 (ทุกวันไม่เว้นวันหยุด) และติดตามความเคลื่อนไหวทางเฟซบุ๊ค : www.facebook.com/The Cube-Condo และ www.thecube-condo.com
“เบล็ส แอสเสท กรุ๊ป” เร่งเครื่องปั๊มรายได้ปีหน้าเติบโต 100% เตรียมลุยคอนโดแห่งแรกแนวรถไฟฟ้า ย่านจรัญสนิทวงศ์

“เบล็ส แอสเสท กรุ๊ป” เร่งเครื่องปั๊มรายได้ปีหน้าเติบโต 100% เตรียมลุยคอนโดแห่งแรกแนวรถไฟฟ้า ย่านจรัญสนิทวงศ์

เบล็ส แอสเสท กรุ๊ป (BAG) มั่นใจรายได้ปีนี้ปิดตามเป้า 400 ล้านบาท ชูโครงการใหม่ผลตอบรับดีทุกโครงการ เชื่อมั่นปีหน้าตลาดเรียลมานด์ขยายตัวอีก 5-10%  คาดธนาคารพาณิชย์ผ่อนคลายนโยบายด้านสินเชื่อ ตั้งเป้ารายได้เติบโต 800 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 100% จากปี 2559 เตรียมขยายโครงการทาวน์โฮม 2-3 ชั้น บนทำเลใหม่ 2 โครงการ พร้อมลุยคอนโด โลว์ไรส์ แห่งแรกของบริษัทฯ บนทำเลทองย่านถนนจรัญสนิทวงศ์ แนวรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ตอบโจทย์ตลาดคนรุ่นใหม่ เผยจุดแข็งมีทีมวิจัยศึกษาความต้องการของตลาดก่อนเข้าลงทุนพัฒนาได้ในทุกทำเล นายทรงพล ศรีวงศ์ทอง ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท เบล็ส แอสเสท กรุ๊ป จำกัด (BAG) ผู้เชี่ยวชาญธุรกิจผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์อย่างยาวนานมากกว่า 10 ปี ภายใต้แบรนด์ เบล็ส วิลล์ (BLESS VILLE)  และเบล็ส ทาวน์ (BLESS TOWN) เปิดเผยว่า มั่นใจอย่างยิ่งว่าปี 2559 บริษัทฯ จะสามารถทำรายได้ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 400 ล้านบาท แม้ว่าในปีนี้จะมีผลกระทบจากหลายปัจจัย แต่ด้วยกลยุทธ์การตลาดและความยืดหยุ่นในการพัฒนาโครงการใหม่ออกมาตอบโจทย์ผู้บริโภคมากที่สุด ทำให้ทุกโครงการของบริษัทฯ ที่เปิดขายในปีนี้มีผลตอบรับที่ดีตลอดทั้งปี 2559 สำหรับมุมมองต่อภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2560 น่าจะเป็นอีกหนึ่งปีที่มีความท้าทายอย่างมาก แต่ด้วยบริษัทฯ ซึ่งเป็นรายเล็กของตลาดมีข้อได้เปรียบในการปรับกลยุทธ์ได้ง่ายกว่าผู้ประกอบการรายใหญ่ ดังนั้นมีความเชื่อมั่นว่าตลาดยังคงเติบโตได้ในอัตราประมาณ 5-10% โดยเฉพาะกลุ่มตลาดเรียลดีมานด์ ซึ่งมีความต้องการที่อยู่อาศัยที่พร้อมเข้าอยู่ทัน คาดว่าจะมาเร่งตัดสินใจซื้อในปี 2560 จำนวนมาก ขณะที่กลุ่มที่จะต้องระวังอย่างมาก คือตลาดการลงทุน กลุ่มผู้ซื้อเก็งกำไร “ทิศทางปีหน้า น่าสนใจมากเพราะผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดมองว่าน่าจะทรงๆ ตัว แต่ในมุมมองของบริษัทฯ เชื่อว่าเราจะได้เห็นความต้องการตลาดเรียลดีมานด์อัดอั้นจากปีนี้ไหลสู่ปี 2560 จำนวนมาก หลังจากที่ปี 2559 ธนาคารพาณิชย์มีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่ออย่างชัดเจน จนทำให้อัตราผู้กู้สินเชื่อบ้านไม่ผ่านมีสัดส่วนที่สูง เพราะแบงก์มีกังวลกับหลายๆ ปัจจัย ทั้งภาวะเศรษฐกิจไทยและต่างประเทศที่ไม่เอื้ออำนวย แต่อย่างไรก็ดีก็ส่งผลลบต่อผลประกอบการของธนาคารพาณิชย์หลายแห่งที่ปีนี้ถือว่าพลาดเป้ามาก ดังนั้นบริษัทฯ เชื่อว่าปี 2560 ธนาคารพาณิชย์น่าจะมีนโยบายผ่อนคลายกฎเกณฑ์ด้านสินเชื่อออกมา เพื่อกระตุ้นตลาด และทำให้ผลประกอบการของบริษัทฯ ฟื้นตัวจากปีนี้” นายทรงพล กล่าวว่า ในปี 2560 บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายการเติบโตของรายได้จะแตะที่ 800 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 100% จากรายได้ 400 ล้านบาทในปี 2559 ด้วยบริษัทฯ มีนโยบายสร้างบ้านเสร็จก่อนเปิดขายบางส่วน ออกมารองรับความต้องการของกลุ่มตลาดเรียลดีมานด์ที่ต้องการเข้าอยู่ทันทีและมีแนวโน้มขยายตัวสูงขึ้นในปี 2560 ประกอบกับบริษัทฯ มีแผนจะขยายการลงทุนประเภททาวน์โฮม ขนาด 2-3 ชั้น เจาะกลุ่มสตาร์ท-อัพ ภายใต้แบรนด์ เบล็ส วิลล์ (BLESS VILLE)  และเบล็ส ทาวน์ (BLESS TOWN) บนทำเลใหม่เพิ่มอีก 2-3 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 800-1,200 ล้านบาท นอกจากนั้น บริษัทฯ ยังมีแผนงานด้านกลยุทธ์ในการพัฒนาสินค้าประเภทใหม่ๆ ออกมาตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของบริษัทฯ ที่เน้นจับตลาดกลุ่มคนรุ่นใหม่ โดยในปี 2560 บริษัทฯ มีแผนจะพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม ประเภทโลว์ไรส์ (Low Rise) ในทำเลรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงต้นปี ปัจจุบันได้เริ่มงานก่อสร้างไปแล้ว และคาดว่าจะเริ่มโอนได้ประมาณไตรมาส 4 ปี 2560 ในราคาที่รับรองว่าคุ้มค่าที่สุดตามนโยบายของบริษัทฯ ซึ่งในการทำสินค้าแต่ละราคาแต่ละทำเล มาจากการทำงานของทีมวิจัยที่มีการศึกษาตลาดและพัฒนาสินค้าที่ตอบสนองผู้บริโภคมากที่สุดในทุกทำเลที่เข้าไปลงทุน สำหรับผู้ที่สนใจเข้าเยี่ยมชมโครงการภายใต้การพัฒนาของบริษัทฯ พร้อมรับข้อเสนอพิเศษ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร Call Center 086-677-3333 หรือเข้าดูรายละเอียดได้ที่ www.bagroup.co.th
เน็กซัสชี้แนวโน้มตลาดที่อยู่อาศัยปี 60 เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ ทำเล กลางเมืองยังคงเนื้อหอมสำหรับกลุ่มผู้พัฒนาซูเปอร์ลักชัวรี่

เน็กซัสชี้แนวโน้มตลาดที่อยู่อาศัยปี 60 เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ ทำเล กลางเมืองยังคงเนื้อหอมสำหรับกลุ่มผู้พัฒนาซูเปอร์ลักชัวรี่

นางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด เผยผลสำรวจตลาดที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพมหานครในปี 2559 ว่า “ตลาดที่อยู่อาศัยยังคงเติบโตในอัตราที่คงที่ ราคาคอนโดมิเนียมโดยรวมปรับตัวสูงขึ้นถึง 14% โดยตลาดคอนโดหรูในเมืองมีอัตราการขึ้นของราคาที่มากกว่าเมื่อเทียบกับ ตลาดรอบนอก อุปทานใหม่ในตลาดชะลอตัวเล็กน้อยซึ่งเป็นผลดี ทำให้ภาพรวมตลาดมีการดูดซับห้องชุดที่เปิดก่อนหน้านี้ไปได้มากพอสมควร” ตลาดคอนโดมิเนียมในกรุงเทพมหานคร อุปทาน แม้ว่าสถานการณ์ของตลาดโดยรวมจะค่อนข้างคงที่ และในช่วงไตรมาสที่ 4 ผู้พัฒนาโครงการตัดสินใจชะลอการเปิดตัวโครงการไปบางส่วน แต่ในปี 2559 อุปทานของคอนโดมิเนียมใหม่ที่เปิดในตลาดมีถึง 40,000 หน่วย จาก 94 โครงการ ซึ่งทำให้มีคอนโดมิเนียมในตลาดรวมทั้งสิ้นถึง 487,000 หน่วย โดยยอดห้องชุดเปิดตัวใหม่ ต่ำกว่าปี 2558 ประมาณ 25% เท่านั้น (จำนวนห้องชุดเปิดใหม่ในปี 2558 มีทั้งสิ้น 53,000 หน่วย) สำหรับทำเลที่มีซัพพลายเพิ่มขึ้นมากที่สุด 3 อันดับแรกในปีที่ผ่านมาคือ  1. พระโขนง สวนหลวง  (10,700 หน่วย) 2. พญาไท รัชดาภิเษก (9,200 หน่วย) และ 3. งามวงศ์วาน ติวานนท์  (6.900 หน่วย) โดยคิดเป็นจำนวนหน่วยมากกว่า 67% ของคอนโดมิเนียมที่เปิดใหม่ทั้งหมด สำหรับประเด็นที่น่าจับตามอง คือ ถึงแม้ว่าช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี การเปิดตัวคอนโดมิเนียมจะมีการชะลอตัวบ้าง แต่ 70% ของคอนโดมิเนียมใหม่ที่เปิดใหม่ในปีนี้ ยังคงเปิดตัวในช่วงครึ่งปีหลังดังนั้นแสดงให้เห็นว่าผู้ประกอบการยังคงเชื่อมั่นในการเติบโตของตลาดคอนโดมิเนียมในกรุงเทพมหานคร อุปสงค์ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ยอดขายใหม่ของคอนโดมิเนียมในตลาดเฉลี่ยที่ 51,200 หน่วยต่อปี สำหรับปี 2559 คอนโดมิเนียมที่เปิดขายอยู่ในตลาดมียอดขายใหม่ 46,100 หน่วย ซึ่งต่ำกว่ายอดขายเฉลี่ย 5 ปี ประมาณ 10% อย่างไรก็ตาม การปรับตัวลดลงของห้องชุดเปิดใหม่ในช่วงปีที่ผ่านมาที่จำนวน 40,000 หน่วย เป็นผลทำให้มี ดีมานด์ใหม่ มากกว่า อุปทานใหม่ และอัตราการขายรวมของคอนโดมิเนียมตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 90% (ยอดขายรวมของคอนโดมิเนียมสะสมอยู่ที่ 438,000 หน่วย) ในปี 2559 คอนโดมิเนียมที่เปิดใหม่ในตลาดมียอดขายเฉลี่ยอยู่ที่ 64%  ทั้งนี้ทำเลที่มียอดขายสูงสุด 3 ทำเลคือ 1. พระโขนง สวนหลวง  2.พญาไท รัชดาภิเษก  3. งามวงศ์วาน ติวานนท์  ที่มา: Nexus Research, December 2016 ราคา ในปี 2559 ราคาขายเฉลี่ยของคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ ยังปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปรับตัวสูงขึ้นถึง 14% จาก 106,000 บาทต่อตารางเมตร ปรับขึ้นเป็น 121,000 บาทต่อตารางเมตร ในช่วงปีที่ผ่านมา ซึ่งอัตราการเพิ่มขึ้นนี้ สูงกว่าอัตราเฉลี่ยราคาคอนโดมิเนียมในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ที่เพิ่มขึ้น 8% ต่อปีค่อนข้างมาก   โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดคอนโดมิเนียมกลางเมืองราคาปรับตัวสูงขึ้นถึง 15% โดยโครงการใหม่ที่เปิดในใจกลางเมืองปีนี้ราคาสูงกว่า 150,000 บาทต่อตารางเมตรทุกโครงการ ปัจจัยหลักก็ยังคงเนื่องมาจาก ราคาต้นทุนที่ดินที่เพิ่มสูงขึ้นในทุกๆ ทำเล และต้นทุนการพัฒนาโครงการอื่นๆ เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ราคาโครงการที่เปิดใหม่ที่ในทำเลกรุงเทพชั้นในที่ต่อขยายมาจากใจกลางเมือง ก็ปรับสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเช่นกัน  โดยทำเลที่มีการปรับราคาขึ้นอย่างมาก คือ ดินแดง พหลโยธิน พระโขนง และ ประชาชื่น สำหรับโครงการในส่วนกรุงเทพชั้นนอกราคาปรับขึ้นไม่มากนักอยู่ที่ประมาณ 8% ประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับราคาคอนโดมิเนียม และตลาดคอนโดมิเนียมเพื่อการลงทุน อีกอย่างหนึ่ง คือ การการันตีผลประโยชน์จากการลงทุนให้กับนักลงทุน ซึ่งหลายโครงการนำมาใช้เพื่อกระตุ้นยอดขายห้องชุดบางส่วน ซึ่งถือว่าสามารถช่วยผู้ซื้อที่ต้องการลงทุนได้ โดยการให้ผลตอบแทนนั้น จะต้องเป็นโครงการ ที่มีศักยภาพในการปล่อยเช่าจริงเท่านั้น ที่มา: Nexus Research, December 2016 ที่มา: Nexus Research, December 2016 แนวโน้มตลาดคอนโดปี 2560 สำหรับแนวโน้มตลาดคอนโดมิเนียมในปี 2560 อุปทานคาดว่าจะเพิ่มขึ้นประมาณ 10% โดยส่วนใหญ่จะเป็นคอนโดมิเนียมในบริเวณรอบๆ กรุงเทพชั้นใน และกรุงเทพชั้นนอก ความต้องการห้องชุดจะเติบโตขึ้นในอัตราที่ใกล้เคียงกันกับอุปทาน โดยตลาดกรุงเทพชั้นนอก น่าจะมีโอกาสเติบโตได้ดี ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยต้นทุนในการพัฒนาโครงการซึ่งจะส่งผลต่อการตั้งราคาขายและความสามารถในการซื้อที่มีอยู่จำกัดของลูกค้ากลุ่มนี้ด้วย สำหรับระดับราคาเฉลี่ยคอนโดมิเนียม ทางทีมงานประมาณการอย่างค่อนข้าง conservative คือ   ราคาตลาดน่าจะปรับตัวขึ้นอีกอย่างน้อย 6-7% โดยตลาดคอนโดมิเนียมกลางเมือง น่าจะปรับตัวได้สูงกว่าราคาเฉลี่ยของตลาดรวมอยู่ที่ประมาณ 9-10% เมื่อพิจาณาความเคลื่อนไหวของตลาดคอนโดมิเนียมโดยแบ่งตาม segment ราคาแล้ว จะแบ่งเป็น 5 segment คือ 1) ตลาดซูเปอร์ ลักชัวรี่  คือ คอนโดมิเนียมที่มีราคาเฉลี่ยระหว่าง 250,000 บาท/ตารางเมตรขึ้นไป) 2) ตลาดลักชัวรี่ คือ คอนโดมิเนียมที่มีราคาเฉลี่ยระหว่าง 180,000 - 250,000 บาท/ตารางเมตร 3) ตลาดไฮเอนด์ คือ คอนโดมิเนียมที่มีราคาเฉลี่ยระหว่าง 100,000 - 170,000 บาท/ตารางเมตร 4) ตลาดคอนโดระดับกลาง คือ คอนโดมิเนียมที่มีราคาเฉลี่ยระหว่าง 70,000-100,000 บาท/ตารางเมตร และ 5) ตลาดซิตี้คอนโด คือ คอนโดมิเนียมที่มีราคาเฉลี่ยต่ำกว่า 70,000 บาท/ตารางเมตร จะพบว่า ตลาดซูเปอร์ลักชัวรี่ และ ลักชัวรี่ ยังคงมีคอนโดมิเนียมใหม่จากกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่ออกมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนอกจาก 98 Wireless ที่ทำราคาสูงกว่า 700,000 บาทต่อตารางเมตรแล้ว ปี 2560 คอนโดมิเนียมใหม่ ในตลาดซูเปอร์ ลักชัวรี่ บางแห่ง น่าจะเปิดราคามากกว่า  450,000 บาทต่อตารางเมตร  ซึ่งสำหรับตลาดในกลุ่มนี้ สามารถกล่าวได้ว่า ราคาไม่ใช่ปัจจัยหลักในการตัดสินใจซื้อกลุ่มสินค้าซูเปอร์ ลักชัวรี่ แต่สิ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญ คือ เรื่องของศักยภาพในทำเลและความพรีเมียมของสินค้าเอง ซึ่งแตกต่างจากสินค้าในกลุ่มลักชัวรี่ หรือ ไฮเอนด์ ที่ปัจจัยเรื่องราคาและความคุ้มค่าของสินค้า ยังคงมีความสำคัญนอกเหนือไปจากทำเล กลุ่มผู้ซื้อคอนโดระดับไฮเอนด์ เป็นกลุ่มที่เคยมีที่บ้านหลังแรกมาแล้วทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น การซื้อบ้านหลังที่สองเพื่อเก็บไว้ลงทุน และเป็นที่อยู่อาศัยนั้น จะเลือกทำเลที่คุ้นเคย และห้องชุดที่ใช้ประโยชน์ได้จริงเท่านั้น ปี 2559 ตลาดคอนโดมิเนียมไฮเอนด์ ที่พัฒนาโดยผู้ประกอบการรายใหญ่ยังคงไปได้ค่อนข้างดี ส่วนหนึ่งก็เนื่องมาจากการที่ผู้ประกอบการมีกลุ่มลูกค้านักลงทุนต่อเนื่อง และมีช่องทางที่ช่วยขายสินค้ารีเซลให้นักลงทุนได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม ตลาดกลุ่มนี้น่าจะยังเป็นที่ต้องจับตาในปี 2560 ว่ายังคงมีความต้องการต่อเนื่องหรือไม่ สำหรับตลาด ซิตี้ คอนโดมิเนียม ในแต่ละทำเลมีราคาและความต้องการแตกต่างกันไป แต่ราคาต่อหน่วยและความคุ้มค่าก็ยงคงเป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจซื้อคอนโดในระดับนี้ ส่งผลให้ราคาปรับตัวสูงขึ้นได้ไม่มากนัก ทั้งนี้ เมื่อต้นทุนสูงขึ้น ขนาดห้องจึงกลับมาเป็นปัจจัยสำคัญ ในการพัฒนาสินค้าให้มีความพอเหมาะกับระดับราคาที่กลุ่มนี้รับได้ ทำเลคอนโดมิเนียมที่น่าสนใจ สำหรับในกลุ่มซูเปอร์ ลักชัวรี่ มีสองทำเลหลักที่น่าจะออกมาแข่งขันกันหลายโครงการ คือ บริเวณ เพลินจิต/ชิดลม/หลังสวน และ ทองหล่อ/สุขุมวิท 39-49 นอกจากนี้ ในกลุ่ม ลักชัวรี่ ปีหน้าน่าจะเห็นโครงการในทำเลพหลโยธินตอนต้น ทำเลริมแม่น้ำ และทำเลย่านพญาไท และสำหรับตลาดซิตี้คอนโด เราน่าจะได้เห็นโครงการใหม่ๆ บนทำเลรถไฟฟ้า สายสีส้ม สีเหลืองและ สีชมพู มากพอสมควร ขณะที่ในเขตแจ้งวัฒนะก็เป็นทำเลแนะนำที่น่าสนใจ เนื่องจากในปีที่ผ่านมา มีคอนโดมิเนียมเกิดขึ้นใหม่น้อยมาก เมื่อเทียบกับโซนอื่นของกรุงเทพ ในส่วนของผู้ประกอบการ บางส่วนได้มีการชะลอการเปิดโครงการใหม่จากช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2559 มาเป็นต้นปี 2560 ซึ่งส่งผลให้ความคึกคักของตลาด และโครงการใหม่ๆ จะได้เห็นตั้งแต่เดือนมกราคม 2560 อย่างแน่นอน สำหรับผู้ประกอบการรายใหญ่ การพัฒนาโครงการจะยังคงมีให้เห็นอย่างต่อเนื่องตามเป้าหมายการเติบโตของบริษัท   ในขณะที่ผู้ประกอบการขนาดกลางบางเจ้า เริ่มปรับตัวลดการพัฒนาโครงการใหม่ลงบ้าง แต่หันมาเน้นการพัฒนาคุณภาพสินค้า และการก่อสร้างให้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ เราจะได้เห็นบริษัทขนาดกลางมีการ รวมทุนกับต่างชาติ เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งทางด้านการเงินและการลงทุน และนำเอาเทคโนโลยีมาพัฒนาโครงการให้มีคุณภาพดียิ่งขึ้น ในช่วงปีที่ผ่านมาโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ ก็เป็นรูปธรรมมากขึ้น และจะเป็นปัจจัยบวกที่ช่วยส่งเสริมตลาดอสังหาริมทรัพย์ให้มีการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ในปี 2560 แนวโน้มตลาดคอนโดมิเนียมในกรุงเทพปี 2560 ที่มา: Nexus Research, December 2016 ตลาดบ้านแนวราบในกรุงเทพมหานคร สำหรับตลาดบ้านแนวราบในกรุงเทพมหานครนั้น ตลาดบ้านราคาสูงใจกลางเมืองในทำเลที่ดี จะยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ศักยภาพของทำเลและความพรีเมี่ยมของสินค้าเป็นปัจจัยหลักที่จะทำให้โครงการประสบความสำเร็จ และเช่นเดียวกับคอนโดมิเนียมในระดับซูเปอร์ ลักชัวรี่ ที่ราคาไม่ใช่ปัจจัยหลักในการตัดสินใจมากเท่ากับฟังชั่นการใช้งานและความหรูหราที่ตอบโจทย์ ไลฟ์สไตล์ของคนกลุ่มนี้ได้ ปี 2560 ตลาดบ้านเดี่ยวในระดับราคา 5-10 ล้านบาทในทำเลที่สามารถเข้าเมืองได้สะดวก จะยังเติบโตต่อเนื่อง ในขณะที่ทาวน์เฮ้าส์บริเวณรอบใจกลางเมืองในระดับราคาเดียวกันก็ยังน่าจับตามอง เนื่องจากกลุ่มผู้บริโภคกลุ่มนี้ เป็นกลุ่มครอบครัวที่มีรายได้ค่อนข้างมั่นคง และมองหาที่อยู่อาศัยที่มีพื้นที่ใช้สอยมากกว่าสำหรับครอบครัว  สำหรับทาวน์เฮ้าส์ระดับราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ซึ่งมีฐานลูกค้าค่อนข้างกว้าง โอกาสในการเติบโตยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง  อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับตลาด ซิตี้คอนโด ราคาสินค้าที่จับต้องได้ และคุ้มค่า โดยหนี้สินครัวเรือนและความสามารถในการกู้เงิน เป็นตัวแปรสำคัญที่จะทำให้สินค้าประเภทนี้ประสบความสำเร็จในตลาดปีหน้า

1 ... 94 95 96 ... 103