บิ๊กอสังหาฯ อังกฤษ “เบอร์เคลีย์ กรุ๊ป” บุกตลาดไทย ขนโปรเจ็กต์ White City Living เฟส 3 ขายราคาเริ่มต้นยูนิตละ 30 ล้าน หวังดึงนักลงทุนไทยซื้อห้องชุด ชี้อสังหาฯ อังกฤษดีมานด์มากกว่าซัพพลาย สร้างผลตอบแทนจากราคาเพิ่มขึ้น 6-10% เตรียมจัดงานสัมมนาสร้างยอดขาย 7-8 ยูนิต
นายนิค พานคาเนีย หัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการประเทศไทย บริษัท เบอร์เคลีย์ กรุ๊ป เปิดเผยว่า ได้นำโครงการง White City Living เฟส 3 ในกรุงลอนดอนฝั่งตะวันตก ของประเทศอังกฤษ มาเสนอขายให้กับลูกค้าคนไทย ซึ่งเป็นโครงการที่พักอาศัยขนาดความสูง 30 ชั้น จำนวน 530 ยูนิต ในราคาเริ่มต้น 30 ล้านบาท สำหรับห้องพักขนาดประมาณ 37 ตารางเมตร โดยจะมีการจัดกิจกรรมสัมมนาขึ้นระหว่างวันที่ 31 กรกฎาคม และ 1 สิงหาคม นี้ ที่โรงแรมเซนต์รีจิส กรุงเทพฯ ซึ่งภายในงานจะมีการจัดแคมเปญสำหรับผู้ซื้อ ด้วยการลดค่าอากรการซื้ออสังหาริมทรัพย์ในอัตรา 2% ของราคาห้องชุด
สำหรับโครงการ White City Living แบ่งการพัฒนาออกเป็น 5 เฟส มีจำนวนยูนิตรวมทั้งหมด 2,372 ยูนิต เริ่มต้นการพัฒนาเฟสแรกตั้งแต่ปี 2561 ซึ่งโครงการมีแผนพัฒนาสมบูรณ์ทุกเฟส ในระยะเวลา 10 ปี ซึ่งในเฟส 3 ได้พัฒนาเป็นอาคารพักอาศัยใหม่ 2 อาคาร ได้แก่ The Waterside และ Cassini ซึ่งมีบริษัท โจนส์ แลง ลาซาลล์ (ประเทศไทย) เป็นตัวแทนจำหน่ายโครงการดังกล่าวในประเทศไทย สำหรับการจัดงานช่วงปลายเดือนนี้ คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมงานประมาณ 30 คน และมีลูกค้าที่มีโอกาสจะซื้อห้องชุดประมาณ 7-8 คน โดยคาดว่าจะสามารถทำยอดขายจากการจัดกิจกรรมครั้งนี้ประมาณ 4-5 ยูนิต ซึ่งโครงการในเฟส 3 จะก่อสร้างแล้วเสร็จภายในปี 2565
สำหรับบริษัท เบอร์เคลีย์ กรุ๊ป เป็น 1 ใน 100 บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน ซึ่งมีการพัฒนาโครงการในประเทศอังกฤษปัจจุบันมากถึง 80 โครงการ โดยใช้เงินทุนของบริษัทเอง ไม่มีการกู้เงินจากสถาบันการเงิน ถือเป็นผู้ประกอบการอสังหาฯ รายใหญ่ในประเทศอังกฤษ พัฒนาที่อยู่อาศัยมามากกว่า 19,000 ยูนิต เฉพาะปีที่ผ่านมาพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยออกมาทำตลาดมากกว่า 3,158 ยูนิต
ด้านนางสาวจุฑามาศ ลีวานันท์ ผู้จัดการฝ่ายขายและการตลาดสำหรับที่อยู่อาศัยต่างประเทศ บริษัท โจนส์ แลง ลาซาลล์ (ประเทศไทย) ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในประเทศอังกฤษว่า ในปัจจุบันนักลงทุนไทยให้ความสนใจลงทุนอสังหาฯ ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากจำนวนที่อาศัยในกรุงลอนดอนมีไม่เพียงพอกับความต้องการ เพราะกรุงลอนดอนนั้น นอกจากจะเป็นสถานที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของบริษัทระดับโลกจำนวนมากแล้ว ยังเป็นหนึ่งในศูนย์กลางทางการเงินของโลก เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง และเป็นศูนย์กลางทางด้านการศึกษาระดับสูง ซึ่งประกอบไปด้วยมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยมากกว่า 40 แห่ง ประกอบกับค่าเงินปอนด์อ่อนตัวอยู่ในระดับที่ต่ำเป็นเวลา 5 ปีติดต่อกัน และค่าเงินบาทที่แข็งตัว
การลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์ของกรุงลอนดอน ให้ผลการตอบแทนค่าเช่าที่ดีถึง 3-4% และราคาขายเติบโต 6-10% ต่อปี ซึ่งดีกว่าสินทรัพย์ประเภทอื่น ๆ ในระยะกลางถึงระยะยาว เนื่องจากกรุงลอนดอนเป็นที่อยู่อาศัยที่ปลอดภัย มีรูปแบบกฎหมายที่โปร่งใส การถือครองกรรมสิทธิ์ในสัญญาเช่า (Leasehold) ที่มีความยาว 999 ปี
นอกจากนี้ กฎหมายของอังกฤษไม่ได้มีข้อจำกัดในการปล่อยเช่า หรือเป็นเจ้าของอสังหาฯ ที่นักลงทุนต่างชาติต้องกังวล ทั้งยังมีสภาพคล่องสูง สามารถขายต่อได้ภายใน 2 เดือนโดยเฉลี่ยจากข้อมูลของเว็บ Zoopla และจากผลสำรวจของ Seven Capital Brexit พบว่า กว่า 85% ของนักลงทุนนั้น กำลังลงทุนในตลาดของประเทศอังกฤษ แสดงให้เห็นว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศอังกฤษยังคงเป็นที่น่าดึงดูดและเป็นการลงทุนที่มั่นคงสำหรับบุคคลที่มีรายได้สูง