Tag : condo

1512 ผลลัพธ์
สรุปข่าวอสังหาฯ รอบสัปดาห์ วันที่ 21-27 ตุลาคม 2562

สรุปข่าวอสังหาฯ รอบสัปดาห์ วันที่ 21-27 ตุลาคม 2562

เข้าสู่ช่วงท้ายปลายเดือนตุลาคมแล้ว นับช่วงเวลาของปี 2562 ก็คงเหลือเพียง 2 เดือนเท่านั้น เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลานับถอยหลังของปีนี้แล้ว วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่สถานการณ์ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์  กลับไม่ได้ฟื้นตัวเร็วอย่างที่คาดคิดไว้เลย แต่ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเรียกได้ว่า มีข่าวดีกับวงการธุรกิจอสังหาฯ  พอให้เป็นกำลังใจที่จะมาช่วยกระตุ้นตลาดให้ฟื้นตัวดีขึ้น ครม.ลดค่าโอน-จดจำนองเหลือ 0.01% ช่วงวันที่ 22 ตุลาคม 2562 คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติออกมาตรการกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์  ด้วยมาตรการลดภาระภาษีเพื่อที่อยู่อาศัย ให้กับประชาชนทั่วไปที่มีความต้องการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองในราคาซื้อขายไม่เกิน 3 ล้านบาท สำหรับซื้อที่อยู่อาศัยตั้งแต่วันที่ประกาศกระทรวงหาดไทยมีผลบังคับใช้  ยาวไปจนถึงวันที่ 24 ธันวาคม 2563   โดยมีการลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนการโอนจากเดิม 2% เหลือ 0.01% และลดค่าจดทะเบียนการจำนองจากเดิม 1% เหลือ 0.01% เฉพาะการซื้อขายที่อยู่อาศัยที่ดินพร้อมอาคารหรือห้องชุด ในราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท และการจดทะเบียนการโอน และการจดจำนองอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัย ต้องดำเนินการในคราวเดียวกัน "คิวบ์”เตรียมตัวเข้าตลาด การระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ถือเป็นการหาแหล่งเงินทุนได้ในต้นทุนที่ต่ำ หากเปรียบเทียบกับการระดมทุนในหลายแหล่งเงิน แถมยังทำให้ภาพลักษณ์ของบริษัทดูดีมากขึ้น หลายบริษัทจึงอยากเข้าไปจดทะเบียนแปลงสภาพกลายเป็นบริษัทมหาชน  บริษัท คิวบ์ เรียล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด  ถือเป็นหนึ่งในหลายบริษัทที่มีเป้าหมายเดินหน้าไปสู่ความเป็น “มหาชน” นังตั้งแต่เริ่มต้นธุรกิจมาตั้งแต่ช่วงปี 2533   นายวิชิต  อำนวยรักษ์สกุล  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัท คิวบ์ เรียล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด  เปิดเผยว่า ได้วางแผนนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อนำเงินมาต่อยอดธุรกิจและพัฒนาโครงการ โดยจะเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 300 ล้านบาท  จากปัจจุบันบริษัทมีทุนจดทะเบียน 165 ล้านบาท   ซึ่งได้วางแนวทางการพัฒนาโครงการในแต่ละปีนั้น บริษัทกำหนดกรอบการพัฒนาไว้ 4-6 โครงการมูลค่าประมาณ​2,000-2,500 ล้านบาท แต่ละโครงการจะมีจำนวนยูนิตเฉลี่ย 300 ยูนิต มีมูลค่าโครงการประมาณ 600-700 ล้านบาท บริษัทไม่เน้นการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่หลัก 1,000-2,000 ล้านบาท เนื่องจากเน้นกระจายความเสี่ยง และไม่ให้ธุรกิจมีความเสี่ยงมากเกินไป  โดยมุ่งเน้นการพัฒนาโครงการคอนโดฯ เป็นหลักด้วยสัดส่วน 80-85% (อ่านข่าวเพิ่มเติม) “สิงห์ เอสเตท” ส่ง SHR เข้าตลาด  แต่สำหรับบริษัท สิงห์ เอสเตท  จำกัด (มหาชน) ได้ส่งบริษัทในเครืออย่าง “เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท” เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และพร้อมที่จะนำเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนเป็นครั้งแรก  (IPO) จำนวนไม่เกิน 1,473.456 ล้านหุ้น  กำหนดราคาขาย 5.10-5.50 บาทต่อหุ้น  โดยจะขายให้แก้ผู้ถือหุ้นของบริษัทเฉพาะกลุ่มที่มีสิทธิได้รับจัดสรรหุ้น ระหว่างวันที่ 28-30 ตุลาคม  และประชาชนทั่วไปในวันที่ 1-5 พฤศจิกายนนี้     นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ได้นำบริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ SHR ซึ่งดำเนินธุรกิจกลุ่มโรงแรมเตรียมขายหุ้น IPO ซึ่งนำเงินมาต่อยอดธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อกิจการ การพัฒนาโครงการเอง หรือการรับบริหาร เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพเติบโตสูง  แต่บริษัทมีงบลงทุนค่อนข้างจำกัด   ปัจจุบัน SHR มีโรงแรมทั้งหมด 39 แห่ง ใน 5 ประเทศ ภายใต้ 7 แบรนด์ รวมจำนวนห้องพัก 4,647 ห้อง เป้าหมายภายในระยะ 5 ปี หรือปี 2568 จะเพิ่มจำนวนห้องเติบโตปีละ 15% หรืออย่างน้อย 2 เท่า นั่นหมายว่าจะมีจำนวนโรงแรมรวมอย่างน้อย 80 แห่ง หรือคิดเป็นจำนวนกว่า 9,000 ห้องเลย (อ่านข่าวเพิ่มเติม) BAM ได้ฤกษ์นับหนึ่ง IPO           บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM เป็นอีกหนึ่งบริษัทหลังจากที่บริษัทได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อขอเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชน (IPO) ปัจจุบันสำนักงาน ก.ล.ต. ได้นับหนึ่งแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบไฟลิ่งแล้วเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2562 ที่ผ่านมา     นายสมพร มูลศรีแก้ว กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM เปิดเผยว่า เชื่อมั่นว่า BAM มีศักยภาพ และจุดแข็งของบริษัท ซึ่งเป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศ  มีประสบการณ์ยาวนานกว่า 20 ปี มีแหล่งเงินทุนที่หลากหลาย ผลประกอบการที่แข็งแกร่ง โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา บริษัทฯ มีกำไรสุทธิต่อเนื่องปีละกว่า 4,500 ล้านบาท มีสินทรัพย์เติบโตเฉลี่ย 7% ต่อปี มีเครือข่ายทั่วประเทศมากที่สุดรวม 26 แห่ง บริษัทจึงน่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง (อ่านข่าวเพิ่มเติม) ศูนย์ข้อมูลฯ รายงานตลาดอสังหาฯ​ภาคเหนือ-ตะวันออก ปิดท้ายกับการจัดงานสัมมนาของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) รายงานตลาดที่อยู่อาศัยอยู่ระหว่างการขายในช่วงครึ่งแรกปี 2562 ในพื้นที่ภาคเหนือ ได้แก่จังหวัดเชียงใหม่  เชียงรายตาก และพิษณุโลก โดยนับเฉพาะโครงการที่มีหน่วยเหลือขายไม่ต่ำกว่า 6 หน่วย พบว่า มีจำนวนโครงการที่ยังอยู่ระหว่างขาย 360 โครงการ มีจำนวนเหลือขาย 14,019 ยูนิต คิดเป็นมูลค่าเหลือขาย 49,997 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2561 4.3%  11.1% และ 10.1% ตามลำดับ (ครึ่งแรกปี 2561 มี 345 โครงการ มีจำนวนยูนิตเหลือขาย12,616 ยูนิต มีมูลค่าเหลือขาย 45,402 ล้านบาท)   ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ส่วนรายงานสรุปผลการสำรวจตลาดอสังหาฯ ในพื้นที่ภาคตะวันออก ได้แก่จังหวัดชลบุรี  ระยองตาก และฉะเชิงเทรา มีจำนวนโครงการที่ยังอยู่ระหว่างขาย 1,062 โครงการ มีจำนวนเหลือขาย 62,060 ยูนิต  คิดเป็นมูลค่าเหลือขาย 200,136 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2561 11.6% 12.2% และ 13.6% ตามลำดับ (ครึ่งแรกปี 2561 มี 952 โครงการ มีจำนวนหน่วยเหลือขาย 55,327 ยูนิต มีมูลค่าเหลือขาย 176,108 ล้านบาท)    
รวมโปรโมชั่นบ้าน-คอนโด เดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2562

รวมโปรโมชั่นบ้าน-คอนโด เดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2562

"รวมโปรโมชั่นบ้าน-คอนโด เดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2562"  ยิ่งปลายปีอย่างนี้ก็ยิ่งมีโปรโมชั่นออกมาให้ผู้บริโภคเลือกกันมากมาย โดยเฉพาะโครงการที่พร้อมอยู่แล้ว เราก็สามารถไปชมถึงสถานที่จริงกันได้เลย ใครที่ยังลังเลอยู่ อย่ารอช้าค่ะ     Origin Freedom Deal เอาใจผู้บริโภค ผ่อนคุ้มล้านละ 3,000 บาท นาน 2 ปี ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จัดแคมเปญ “Origin Freedom Deal” ให้ลูกค้าผ่อนคุ้มกว่าเช่า เพียงล้านละ 3,000 บาทต่อเดือน ต่อวงเงินสินเชื่อที่ได้รับอนุมัติจำนวน 1 ล้านบาท นาน 2 ปี* โดยมีคอนโดแนวรถไฟฟ้าเข้าร่วมแคมเปญถึง 6 โครงการ ได้แก่ ไนท์บริดจ์ พหลโยธิน อินเตอร์เชนจ์, เคนซิงตัน สุขุมวิท–เทพารักษ์, นอตติ้ง ฮิลล์ สุขุมวิท-แพรกษา, นอตติ้ง ฮิลล์ สุขุมวิท 105, บีลอฟท์ สุขุมวิท 107, บี ลอฟท์ ไลท์ สุขุมวิท 115 พร้อมรับสิทธิ์ฟรีทุกค่าใช้จ่าย* อาทิ ค่าส่วนกลางฟรี 1 ปี ฟรีค่าโอนกรรมสิทธิ์ หากยื่นขอสินเชื่อผ่านและโอนกรรมสิทธิ์ในระยะเวลาที่กำหนด พร้อมค่าตกแต่งอีก 100,000บาท มาแต่ตัว เข้าอยู่ได้เลย! พิเศษ!!! รับ ส่วนลดสูงสุดถึง 300,000 บาท ตั้งแต่วันนี้จนถึง 15 พฤศจิกายน 2562 นี้   บ้านเดี่ยวเอพี จัดแคมเปญพิเศษ ‘ไฮบริด บ้านนวัตกรรมที่คุณเลือกได้’ ครั้งแรกกับแพ็คเกจนวัตกรรมล้ำสมัย มูลค่าสูงสุด 5 ล้านบาท  เอพี (ไทยแลนด์) จัดแคมเปญ ‘Hybrid Living–ไฮบริด บ้านนวัตกรรมที่คุณเลือกได้’ นับเป็นแคมเปญพิเศษ ที่เอพีได้จัดขึ้นสำหรับลูกค้าครอบครัวคนเมืองรุ่นใหม่ ที่กำลังมองหาบ้านเดี่ยวทั้งโครงการใหม่ และบ้านเดี่ยวพร้อมอยู่ โดยเราได้รวบรวมโครงการบ้านเดี่ยวในเครือเอพี ภายใต้แบรนด์ CENTRO, THE CITY, MIND และ THE PALAZZO รวมทั้งสิ้น 8 โครงการใหม่ และบ้านเดี่ยวพร้อมอยู่กว่า 25 โครงการในสุดยอดทำเลศักยภาพ โดยนอกจากไฮไลท์พิเศษ แพ็คเกจนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยที่ดีที่สุด รวมมูลค่าสูงสุดกว่า 5 ล้านบาท เรายังเตรียมมอบที่สุดแห่งข้อเสนอ อาทิ คัดสรรบ้านแปลงพิเศษที่ดีที่สุด แพ็คเกจราคาพิเศษที่สุด ราคาเริ่มต้น 4.99–60 ล้านบาท และ ส่วนลดเพิ่มเติมอื่นๆ อีกมากมาย สำหรับลูกค้าที่ทำการจองซื้อและโอนกรรมสิทธิ์ภายในวันที่ 27 ธันวาคม 2562 เท่านั้น   แสนสิริ เร่งเครื่องอสังหาฯไตรมาส 4 เปิดตัวแคมเปญ “รับมโหฬาร 20 เท่า” ซื้อตอนนี้รับคืน 20 เท่าของมูลค่าเงินจอง สูงสุด 5 ล้านบาท ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และดีคอนโดพร้อมอยู่รวม 43 โครงการทั่วประเทศ ในราคาเริ่มต้น 1.79–30 ล้านบาท พบโปรโมชั่นสุดคุ้มที่คัดมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่มด้วยโปรโมชั่นเงินสดเพื่อการย้ายเข้าอยู่บ้านหลังใหม่ พร้อมโปรโมชั่น ฟรี! ค่าใช้จ่ายวันโอนกรรมสิทธิ์  ฟรี! เครื่องใช้ไฟฟ้า ฟรี! เฟอร์นิเจอร์ และฟรี! แอร์ทั้งหลัง ตอบรับเรียลดีมานด์ ผนึกสถาบันการเงินมอบอัตราดอกเบี้ย อาทิ ผ่อนต่ำล้านละ 1,000 บาท อัตราดอกเบี้ยเพียง 0.75% นาน 1 ปี หรือ ผ่อนต่ำล้านละ 2,800 บาท อัตราดอกเบี้ยเพียง  1.88% คงที่นาน 2 ปี พิเศษเฉพาะลูกบ้านแสนสิริที่โอนกรรมสิทธิ์ภายในปี 2562 นี้เท่านั้น   จอง 5,000 ฟรี 5 อย่าง* ยกขบวน 7 คอนโดฯ จัดเต็ม! สูงสุดเกือบ 500,000 บาท 7 คอนโดฯคุณภาพพร้อมอยู่ใน 7 ทำเลเด่นกรุงเทพฯและหัวหิน เริ่มต้น 2.19 ลบ. รับเต็มๆเครื่องใช้ไฟฟ้า 5 อย่าง ฟรี! ค่าส่วนกลางสูงสุด 5 ปี ฟรี! ค่าโอนและทำสัญญา ฟรี! Moving Package พร้อมข้อเสนอมากมาย รวมมูลค่าสูงสุดเกือบ 500,000 บาท พร้อมรับเพิ่มอีกต่อกับโปรโมชั่นจากแต่ละโครงการสูงสุด 600,000 บาท ตั้งแต่วันนี้ -15 ธ.ค.2562 ได้แก่ เดอะ ไลน์ วงศ์สว่าง, เดอะ ไลน์ สุขุมวิท 101, เดอะ ไลน์ พหลฯ-ประดิพัทธิ์, เดอะ เบส สุขุมวิท 50, เดอะ เบส เพชรเกษม, ทากะ เฮาส์ และ ลา กาซิต้า คอนโดตากอากาศสไตล์สแปนิชใจกลางหัวหิน   ANANDA BigDeal โปรโมชั่นผ่อนล้านละ 1,000 บาท/เดือน เฉพาะลูกค้าที่ขอสินเชื่อบ้านกับธนาคารกรุงไทย ฟรีค่าใช้จ่ายวันโอน (โปรโมชั่นอื่นๆ แตกต่างกันไปแล้วแต่โครงการ) ตั้งแต่วันที่ 4 ตุลาคม–20 ธันวาคม 2562   ไอดีโอ โมบิ อโศก ไอดีโอ โมบิ สุขุมวิท 66 ไอดีโอ ท่าพระ อินเตอร์เชนจ์ ไอดีโอ พหลโยธิน-จตุจักร ไอดีโอ สุขุมวิท 93 ไอดีโอ โมบิ วงศ์สว่าง-อินเตอร์เชนจ์ ไอดีโอ โมบิ บางซื่อ แกรนด์ อินเตอร์เชนจ์ ไอดีโอ โอทู ไอดีโอ พระรามเก้าตัดใหม่ เอลลิโอ เดล มอสส์  พหลโยธิน 34   Assetwise ลดจริงไม่มีหลอก ลดสูงสุด 1,000,000 บาท Assetwise จัดโปรลดจริงถึง 11 โครงการ ลดสูงสุด 1,000,000 บาท ราคาเริ่มต้น 1.39 ล้านบาท ตั้งวันที่ 1-31 ตุลาคม 2562 นี้เท่านั้น   H2 Condo รามอินทรา 21 Modiz Condo Sation พหลโยธิน Brown Condo พหลโยธิน 67 Wynn Condo พหลโยธิน 52 Episode Condo พหลฯ-สะพานใหม่ Modiz Condo รัชดา 32 Wynn Condo ลาดพร้าว-โชคชัย 4 Brown Condo รัชดา 32 Brown รัชดา-ห้วยขวาง Kave Town Condo ม.กรุงเทพ รังสิต     ถูกที่ ถูกเวลา ในราคาที่ถูกกว่า LPN จัดโปรโมชั่นคอนโดลุมพินี 10 โครงการ และ บ้านลุมพินี 7 โครงการ ในราคาเริ่มต้นเพียง 999,000 บาท*   ลุมพินี วิลล์ พระนั่งเกล้า-ริเวอร์วิว ราคาเริ่ม 999,000 บาท* ลุมพินี วิลล์ ราษฎร์บูรณะ-ริเวอร์วิว 2 ราคาเริ่ม 1.23 ล้าน* ลุมพินี วิลล์ สุขุมวิท 76-แบริ่ง สเตชั่น ราคาเริ่ม 1.36 ล้าน* ลุมพินี วิลล์ ราชพฤกษ์-บางแวก ราคาเริ่ม 1.24 ล้าน* ลุมพินี พาร์ค เพชรเกษม 98 (2) ราคาเริ่ม 1.29 ล้าน* ลุมพินี วิลล์ นาเกลือ-วงศ์อมาตย์ ราคาเริ่ม 1.90 ล้าน* ลุมพินี ซีวิว ชะอำ (B) ราคาเริ่ม 1.02 ล้าน* ลุมพินี พาร์คบีช จอมทียน ราคาเริ่ม 2.83 ล้าน* ลุมพินี สวีท เพชรบุรี-มักกะสัน ราคาเริ่ม 2.99 ล้าน* ลุมพินี สวีท ดินแดง-ราชปรารภ ราคาเริ่ม 2.99 ล้าน*   บ้านลุมพินี ทาวน์วิลล์ ลาดปลาดุก–บางไผ่สเตชั่น ราคาเริ่ม 1.74 ล้าน* บ้านลุมพินี ทาวน์วิลล์ รังสิต-คลอง 2 เฟส 1 ราคาเริ่ม 1.79 ล้าน* บ้านลุมพินี ทาวน์วิลล์ รังสิต-คลอง 2 เฟส 2 ราคาเริ่ม 1.20 ล้าน* บ้านลุมพินี ทาวน์วิลล์ เพิ่มสิน–วัชรพล ราคาเริ่ม 2.75 ล้าน* บ้านลุมพินี ทาวน์วิลล์ ราชพฤกษ์-ปิ่นเกล้า เฟส 2.1 ราคาเริ่ม 2.69 ล้าน* บ้านลุมพินี ทาวน์วิลล์ ราชพฤกษ์-ปิ่นเกล้า เฟส 2.2 ราคาเริ่ม 4.79 ล้าน* บ้านลุมพินี ทาวน์เพลส พระราม 2–ท่าข้าม ราคาเริ่ม 5.89 ล้าน* บ้านลุมพินี ทาวน์พาร์ค ท่าข้าม-พระราม 2 ราคาเริ่ม 3.70 ล้าน* บ้านลุมพินี สวนหลวง ร.๙ ราคาเริ่ม 10.70 ล้าน*   จองคอนโด Go JAPAN ยกขบวน 13 คอนโดฯ ทำเลใกล้รถไฟฟ้า มาจักแคมเปญ จองคอนโด Go JAPAN บินฟรี พักฟรี ไม่ต้องลุ้น รับแพคเกจทัวร์กรุงเทพฯ-ฮอกไกโด พร้อมที่พัก 5 วัน 3 คืน ฟรี 2 ท่าน   จอง 999 บาท ทุกห้อง ทุกขนาด กู้เต็ม 100%* ผ่อนต่ำล้านละ 3,000 บาท นาน 3 ปี* ฟรีค่าใช้จ่าย 6 รายการ* และลดสูงสุด 1 ล้านบาท*  ในราคาเริ่มต้น 1.69 ล้านบาท วันนี้-20 พ.ย. 62        
ทำความรู้จัก Hybrid Living นวัตกรรมที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิต

ทำความรู้จัก Hybrid Living นวัตกรรมที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิต

  แน่นอนว่า “บ้าน” คือ 1 ในปัจจัย 4 ที่จำเป็นในการใช้ชีวิต หน้าที่หลักของบ้าน คือ สถานที่พักอาศัย เป็นสถานที่ “กิน-อยู่-หลับนอน” แต่บ้านที่ดีไม่ได้มีคุณค่าแค่ทำให้การพักอาศัยมีความสะดวกสบาย และความปลอดภัยเท่านั้น แต่บ้านที่ดีต้องสามารถสร้างคุณค่าของความเป็นอยู่โดยรวม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความสุข ความอบอุ่น ความสบายใจ และเป็นสถานที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับชีวิต ไปจนถึงการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีของการอยู่อาศัยด้วย   แนวคิดในการพัฒนาที่อยู่อาศัยในปัจจุบัน จึงไม่ได้มุ่งตอบโจทย์แค่เรื่อง “ฟังก์ชั่น” การใช้งาน เพื่อการอยู่อาศัยเท่านั้น แต่มุ่งตอบสนองความต้องการใช้ชีวิต ที่มีคุณภาพของผู้อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นการอยู่ภายในบ้าน หรือภายในชุมชนรอบข้าง ด้วยการยึดเอาไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัยเป็นหัวใจสำคัญ โดยเฉพาะคนในยุคปัจจุบัน ซึ่งมีไลฟ์สไตล์หลากหลาย ไม่ได้มีบทบาทและหน้าที่เพียงอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น แต่มีบทบาทและหน้าที่หลากหลายในคนๆ เดียว บ้านที่ดีจึงต้องตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของผู้อยู่อาศัย     การพัฒนาที่อยู่อาศัย ผู้ประกอบการจึงต้องตอบสนองความต้องการเหล่านั้นให้ครบ และยังต้องมีคุณภาพที่ดีด้วย โดยเฉพาะกับการอยู่อาศัยในโครงการบ้านเดี่ยว เพราะเป็นการอยู่อาศัยกับคนหลายเจเนอเรชั่น คนแต่ละช่วงอายุ มีความต้องการหลากหลาย และไลฟ์สไตล์ที่แตกต่าง แต่ทุกคนต้องอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข และมีคุณภาพชีวิตที่ดี   AP หรือ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย ได้เห็นถึงความต้องการของคนในยุคปัจจุบัน ซึ่งมุ่งหวังการใช้ชีวิตภายในบ้าน ที่สามารถเติมเต็มคุณภาพชีวิตได้ในทุกไลฟ์สไตล์ของทุกคน จึงได้พัฒนาบ้านเดี่ยวภายใต้แนวคิด Hybrid Living นวัตกรรมบ้านเดี่ยวที่เข้าใจชีวิต จากการศึกษาค้นคว้าข้อมูลของคนยุคปัจจุบัน ซึ่งพบว่า มีความต้องการที่หลากหลาย ต้องการความสะดวกสบาย โดยเฉพาะความสะดวกสบายจากเทคโนโลยี   Hybrid Living นวัตกรรมบ้านเดี่ยวที่เข้าใจชีวิต คือ การนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ใช้ กับโครงการบ้านเดี่ยวของ AP ทั้งภายในตัวบ้านและภายนอกบ้าน ทำให้ทุกฟังก์ชั่นของบ้าน สร้างสรรค์ประโยชน์สูงสุดให้กับผู้อยู่อาศัย มีการผสมผสานฟังก์ชั่นบ้าน ให้เข้ากับเทคโนโลยีพลังงานทดแทน และระบบสมาร์ทโฮม ถือเป็นนวัตกรรมของการใช้ชีวิตในรูปแบบ Hybrid Living อย่างแท้จริง     Hybrid Living ตอบโจทย์การใช้ชีวิตได้อย่างไร?   หากมองไปในท้องตลาดตอนนี้ใครๆ ก็พูดถึงระบบสมาร์ทโฮม หรือ โฮมออโตเมชั่น ด้วยการนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาทำให้การอยู่อาศัยสะดวกสบาย กับเทคโนโลยีสารพัด เป็นจุดขายของโครงการอสังหาริมทรัพย์ แต่สำหรับ AP แนวคิด Hybrid Living นวัตกรรมบ้านเดี่ยวที่เข้าใจชีวิต พัฒนาโครงการบนแนวคิดที่เชื่อว่า ตัวตนคุณไม่ได้มีแค่หนึ่งคำจำกัดความ ความต้องการของการอยู่อาศัยจึงไม่ได้มีเพียงด้านเดียว บางคนอยากทำงาน แต่ก็อยากเที่ยว บางคนอยากหลีกหนีความวุ่นวาย แต่ก็อยากเชื่อมต่อกับโลกออนไลน์ บางคนอยากอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ แต่ก็ชอบความสะดวกสบายของเมือง และบางคนอยากพักผ่อนที่บ้าน แต่ก็อยากสังสรรค์กับเพื่อนๆ เป็นต้น     เมื่อโจทย์ความต้องการของคนยุคปัจจุบันมีความหลากหลายเช่นนี้ แนวคิดของ Hybrid Living นวัตกรรมบ้านเดี่ยวที่เข้าใจชีวิต จึงถูกพัฒนาบน 4 องค์ประกอบหลักสำคัญ เพื่อให้ทุกความต้องการได้รับการตอบสนอง   1. Cost-saving-ค่าใช้จ่ายส่วนกลางถูกลงด้วยเทคโนโลยี ในยุคที่คนเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้ง่าย ทำให้คนยุคปัจจุบันมุ่งเน้นเรื่องของ “ความคุ้มค่า” โดยเฉพาะการใช้จ่าย ผู้บริโภคยุคปัจจุบันมีทางเลือกมากมาย ในการซื้อสินค้าหรือบริการ ทำให้ทุกการใช้จ่ายยืนอยู่บนเหตุผลมากกว่าอารมณ์ ซึ่ง AP เข้าใจในเรื่องความคุ้มค่านี้ดี จึงเลือกพัฒนาสาธารณูปโภคภายในโครงการบ้านเดี่ยว ด้วยนวัตกรรมที่ช่วยให้ลูกบ้านประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากที่สุด อาทิ นวัตกรรมพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Power system) และระบบกำจัดน้ำเสีย (Greywater Recycle system) ซึ่งนำน้ำมาบำบัดเพื่อใช้รดต้นไม่ในโครงการ เป็นต้น ทำให้ค่าใช้จ่ายส่วนกลางลดลง เมื่อเทียบกับโครงการที่ไม่ได้ติดตั้งระบบนี้   2. Security-ความปลอดภัยในทุกไลฟ์สไตล์ บ้านแค่อยู่อาศัยแล้วสบายคงไม่เพียงพอ แต่ต้องมีความปลอดภัย ทั้งทรัพย์สินและชีวิตของผู้อยู่อาศัยภายในบ้าน นอกจากระบบรักษาความของโครงการ ไม่ว่าจะเป็น รปภ. กล้องวงจรปิด ระบบคีย์การ์ด ฯลฯ สิ่งเหล่านี้มีเป็นเรื่องพื้นฐานจำเป็นอยู่แล้ว แต่แนวคิดของ Hybrid Living ของ AP ต้องตอบโจทย์การดูแลความปลอดภัยได้มากกว่า ไม่ว่าจะเป็น   ระบบเซ็นเซอร์ประตู หน้าต่าง และเซ็นเซอร์ตรวจจับ ความเคลื่อนไหว ให้เจ้าของบ้านได้มั่นใจ แม้ว่าจะออกไปทำงานหรือเดินทางท่องเที่ยว เพราะจะมีระบบจะแจ้งเตือนผ่าน Application พร้อมส่งเสียงเตือนเมื่ออยู่ในโหมด “Alarm” ช่วยแจ้งเตือนเมื่อตรวจพบการเปิด-ปิดของประตูหรือหน้าต่าง หรือตรวจเจอการเคลื่อนไหวในบ้าน หรือจะดูความเป็นไปของคนภายในบ้าน สามารถทำได้ด้วยการดูผ่านกล้อง IP Camera จาก Application ได้แบบ Live Stream     แม้แต่ปัญหาประจำที่ทุกคนจะต้องเจอ เช่น การลืมกุญแจบ้าน ก็ไม่ใช่ปัญหาต้องจ้างช่างมาไขประตูเข้าบ้านอีกต่อไป เพราะระบบ Digital Door Lock ช่วยแก้ปัญหาได้ สามารถสั่งงานผ่าน Application ได้ หรือจะสั่งเปิดประตูให้กับแม่บ้านเพื่อเข้ามาทำความสะอาด ระบบก็มี Pin Code ชั่วคราวที่ใช้ได้ครั้งเดียวให้ เจ้าของบ้านอยู่ที่ไหนก็ใช้งานได้สะดวก เหมาะกับการวิถีชีวิตคนยุค 4.0   ที่สำคัญการพักอาศัยอยู่กับคนหลายเจเนอเรชั่น โดยเฉพาะผู้สูงอายุ บางครั้งลูกหลานออกไปทำงาน หรือเดินทางท่องเที่ยว ต้องให้ผู้สูงอายุอยู่โดยลำพัง ก็หมดห่วงกับสิ่งที่ AP คิดมาให้ เพื่อดูแลผู้สูงอายุ กับปุ่มเรียกฉุกเฉินในยามคับขัน พร้อมทั้งมีเซนเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหวที่เตียงนอน เพื่อเปิดไฟทางเดินสู่ห้องน้ำแบบอัตโนมัติในตอนกลางคืน หรือการดูแลที่ดีขึ้นไปอีก กับการส่งสัญญาณเตือนและภาพ Live Stream จาก IP Camera ไปยัง Application ในโทรศัพท์มือถือ หากไม่พบการเคลื่อนไหวของผู้อยู่อาศัยในห้อง เพื่อขอความช่วยเหลือในกรณีที่ผู้สูงอายุเกิดล้ม ถือเป็นแนวทางการพัฒนาที่สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนได้ทุกเจเนอเรชั่นจริงๆ   3. Comfort-ความสบายแค่ปลายนิ้วสั่งงาน เรื่องความสะดวกสบายในการอยู่อาศัย แม้จะเป็นเรื่องพื้นฐานที่บ้านต้องตอบโจทย์ แต่เพราะปัจจุบันเป็นยุคที่มีเทคโนโลยีดิจิทัล ทำให้ความสะดวกสบายต้องเป็นเรื่องที่พัฒนามากขึ้น โดยเฉพาะการนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาผสมผสานการดูแลบ้าน และให้ผู้อยู่อาศัยสั่งงานผ่านสมาร์ทโฟนได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้าน ที่ AP นำระบบควบคุมอุปกรณ์ ไฟฟ้าอัจฉริยะในบ้าน Smart Home Gateway and Security Module มาดูแลความสบายของคุณและครอบครัว   การใช้ระบบควบคุมไฟแสงสว่าง Lighting Control ที่สามารถเปิด-ปิด ผ่านสวิตช์ และ Application ทำงานคู่กับระบบ Motion Sensor ช่วยตรวจจับความเคลื่อนไหว และความสว่างในบ้าน และระบบพัดลม Air Flow ระบบควบคุมเครื่องกรองอากาศอัจฉริยะ แม้แต่ชีวิตนอกบ้าน เทคโนโลยีก็ยังเข้ามาทำให้มีความสะดวกสบาย อาทิ ระบบตั้งเวลา Sprinkle รดน้ำต้นไม้ ผ่านสวิตช์ และ Application ระบบ Gate Controller ควบคุมเปิด-ปิด มอเตอร์ประตูรั้วบ้าน ผ่าน Application ระบบ Digital Door Lock เป็นต้น   4. Community-ดูแลชุมชนปลอดภัย 24 ชั่วโมง การอยู่อาศัยภายในบ้าน แม้ว่าจะได้รับความสะดวกสบาย และความปลอดภัย ด้วยเทคโนโลยีซึ่งเติมเต็มให้กับการอยู่อาศัย สิ่งที่ละเลยไม่ได้กับการอยู่อาศัยภายในโครงการบ้านเดี่ยว AP คือ การสร้างสรรค์ให้เกิดสังคมแห่งความสงบสุข จากการอยู่ร่วมกันของผู้อยู่อาศัยในโครงการ เพราะ AP เชื่อว่า “เพื่อนบ้านที่ดี” คือ ปัจจัยสำคัญของการอยู่ร่วมกันในชุมชน จึงได้สร้างสรรค์ Katsan Application เพื่อสื่อสารกับพนักงานรักษาความปลอดภัยหน้าโครงการ เมื่อมีแขกมาเยือน ระบบจะส่งการแจ้งเตือนไปยังมือถือของคุณ   นอกจากนี้ ยังช่วยคัดแยกรถต้องสงสัย และแจ้งเตือนพนักงานรักษาความปลอดภัย เมื่อมีรถสาธารณะอยู่เกินเวลา ในกรณีฉุกเฉินยังสามารถใช้กดเรียกพนักงานรักษาความปลอดภัย ตำรวจ หรือรถพยาบาลได้แค่ปลายสัมผัส ทำให้การอยู่ร่วมกันของคนในชุมชนได้รับความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง เป็นชุมชนที่น่าอยู่อาศัย และสามารถสร้างคุณภาพชีวิตให้กับทุกคนในโครงการบ้านเดี่ยวของ AP     องค์ประกอบทั้งหมดที่ AP นำมาใช้พัฒนาโครงการบ้านเดี่ยว ภายใต้แนวคิด Hybrid Living นวัตกรรมบ้านเดี่ยวที่เข้าใจชีวิต จึงเป็นคำตอบของการอยู่อาศัยในยุคดิจิทัล 4.0 ที่ไม่ได้ต้องการแค่ความสะดวกสบายเมื่ออยู่ในบ้านเท่านั้น แต่หมายถึงการเติมเต็มคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้กับผู้อยู่อาศัยในทุกเจเนอเรชั่นด้วย   อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.apthai.com/HybridLiving/  
รีวิวคอนโด สามย่าน “เดอะเนสท์ จุฬา-สามย่าน” รายล้อมไปด้วยความสะดวกสบาย บนที่ดินฟรีโฮลด์

รีวิวคอนโด สามย่าน “เดอะเนสท์ จุฬา-สามย่าน” รายล้อมไปด้วยความสะดวกสบาย บนที่ดินฟรีโฮลด์

คอนโด สามย่าน "เดอะเนสท์ จุฬา-สามย่าน" คอนโดมิเนียมทำเลสามย่าน 600 เมตร จาก MRT สถานีสามย่าน บนที่ดินฟรีโฮลด์ซึ่งหาได้ยากมากแล้วสำหรับทำเลนี้ การออกแบบอาคารนำเอาสถาปัตยกรรมยุคเก่ามาผสมผสานกับความเป็นโมเดิร์นได้อย่างกลมกลืน จนได้รับรางวัลการันตีงานออกแบบโดยเวที Thailand Property Awards   ชื่อโครงการ The Nest Chula-Samyan (เดอะ เนสท์ จุฬา-สามย่าน)  เจ้าของโครงการ บริษัท เดอะเนสท์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด   ที่ตั้งโครงการ  168 ซอยจินดาถวิล แขวงมหาพฤฒาราม เขตบางรัก กรุงเทพฯ 10500 พื้นที่โครงการ  ประมาณ 2.4 ไร่ ลักษณะโครงการ Low Rise  จำนวนอาคาร 2 อาคาร  จำนวนชั้น 8  จำนวนยูนิต 332 ยูนิต  ขนาดห้อง STUDIO-2 BEDROOM  21.14-49.39 ตร.ม. เฟอร์นิเจอร์ Fully Fitted  ที่จอดรถ 40% สิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลาง Lobby, White Cloud Plunge Pool, Sky Yoga, Crystal Swimming Pool, Fitness, Co-Working Space, กล้องวงจรปิด, รปภ. 24 ชม. ปีที่สร้างเสร็จ Q4 2564 ราคาเริ่มต้น 3.29 ล้านบาท  จุดเด่นโครงการ 600 เมตร จาก MRT สถานีสามย่าน เป็นที่ดินฟรีโฮลด์ ระบบขนส่งสาธารณะใกล้เคียง รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน สถานีสามย่าน   สถานที่ใกล้เคียง จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย, โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย, สามย่านมิตรทาวน์, Siam Paragon, หอศิลปวัฒนธรรม แห่งกรุงเทพมหานคร, MBK Center, Silom Square, สวนลุมพินี , Chamchuri Square ภาพบรรยากาศคอนโด สามย่าน "เดอะเนสท์ จุฬา-สามย่าน"   รายละเอียดโครงการเพิ่มเติม  The Nest Chula-Samyan   ข่าวอื่นเกี่ยวกับ The Nest The Nest Sukhumvit 71 เดอะเนสท์ เปิดโปรเจ็กต์ “จุฬาฯ-สามย่าน”  
รีวิวคอนโด ใกล้รถไฟฟ้า สายสีเหลือง “The Cube Loft ศรีนครินทร์-เทพารักษ์”

รีวิวคอนโด ใกล้รถไฟฟ้า สายสีเหลือง “The Cube Loft ศรีนครินทร์-เทพารักษ์”

The Cube Loft Srinakarin-Thepharak สไตล์ลอฟท์บนถ.ศรีนครินทร์ คอนโด ใกล้รถไฟฟ้า สายสีเหลือง สถานีศรีแบริ่ง เพียง 100 เมตร ในราคาเอื้อมถึงได้ง่าย ตอบโจทย์ความต้องการคนรุ่นใหม่ด้วย Co-working space ฟรี Wifi ภายในห้องพักอาศัยจะได้เฟอร์นิเจอร์ครบชุด ได้แก่ ชุดวางทีวี ชุดโซฟา ชุดรับประทานอาหาร ชุดเตียงนอน ตู้เสื้อผ้า ชุดแต่งตัว โต๊ะกลาง โต๊ะข้างเตียง บิวท์อินโดย SB Furniture เริ่มเปิดชมห้องตัวอย่างครั้งแรก 26-27 ต.ค. 62    ชื่อโครงการ The Cube Loft Srinakarin-Thepharak (เดอะคิวบ์ ลอฟท์ ศรีนครินทร์-เทพารักษ์ )  เจ้าของโครงการ บริษัท คิวบ์ เรียล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ที่ตั้งโครงการ ซ.วิภาวดี 3 แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10210  พื้นที่โครงการ  2-1-99 ไร่ ลักษณะโครงการ Low Rise  จำนวนอาคาร 2  จำนวนชั้น 8  จำนวนยูนิต 349 ยูนิต  ขนาดห้อง  1 Bedroom Type A1 ขนาด 23.5 ตร.ม. จำนวน 83 ยูนิต 1 Bedroom Type A2 ขนาด 23.5 ตร.ม. จำนวน 10 ยูนิต 1 Bedroom Type B ขนาด 28 ตร.ม. จำนวน 210 ยูนิต 1 Bedroom Plus Type C ขนาด 34.5 ตร.ม. จำนวน 32 ยูนิต 1 Bedroom Type D1 ขนาด 33.5 ตร.ม. จำนวน 13 ยูนิต 1 Bedroom Type D2 ขนาด 31 ตร.ม. จำนวน 1 ยูนิต   เฟอร์นิเจอร์ Fully Furnished ที่จอดรถ 33% ปีที่สร้างเสร็จ 2564 ราคาเริ่มต้น 1.29 ล้านบาท  จุดเด่นโครงการ ห่างจากรถไฟฟ้าสายสีเหลือง สถานีศรีแบริ่ง เพียง 100 เมตร มีฟรี Wifi ทั้งล็อบบี้ และ Co-working space ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่   ระบบขนส่งสาธารณะใกล้เคียง รถไฟฟ้าสายสีเหลือง สถานีศรีแบริ่ง   สถานที่ใกล้เคียง เซ็นทรัลบางนา, ไบเทค บางนา, Lasalle Avenue, Foodland, Big C, Tesco Lotus, Makro, JAS URBAN Srinakarin, โรงพยาบาลศิครินทร์, โรงเรียนเซนต์โยเซฟบางนา, โรงเรียนลาซาล ภาพคอนโด ใกล้รถไฟฟ้า สายสีเหลือง "The Cube Loft ศรีนครินทร์-เทพารักษ์"  ภาพ Interior โครงการ "The Cube Loft ศรีนครินทร์-เทพารักษ์" คอนโด ใกล้รถไฟฟ้า   รายละเอียดคอนโด ใกล้รถไฟฟ้า สายสีเหลืองเพิ่มเติม The Cube Loft Srinakarin-Thepharak    ข่าวอื่นๆ เกี่ยวกับ The Cube เปิดแผนธุรกิจ “คิวบ์ เรียล พร็อพเพอร์ตี้” ก่อนสู่มหาชน The Cube Urban Sathorn-Chan The Cube Town Lamlukka
เปิดแผนธุรกิจ “คิวบ์ เรียล พร็อพเพอร์ตี้” ก่อนสู่มหาชน

เปิดแผนธุรกิจ “คิวบ์ เรียล พร็อพเพอร์ตี้” ก่อนสู่มหาชน

เปิดแผยธุรกิจ "คิวบ์ เรียล พร็อพเพอร์ตี้" เดินหน้าปั้นโปรเจ็กต์คอนโดฯ ปีละ 2,000-2,500 ล้าน ก่อนนำบริษัทสู่ตลาดหลักทรัพย์  ระดมทุนพัฒนาโครงการทั้งแนวราบ-แนวสูง   บริษัท คิวบ์ เรียล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เริ่มต้นธุรกิจมาตั้งแต่ช่วงปี 2533 เดิมใช้ชื่อบริษัท ธันยธร จำกัด  โดย 2 นักธุรกิจ อย่างนายภูมินทร์ ปิยะวานิชย์ และนายวิชิต อำนวยรักษ์สกุล ที่มองเห็นการขยายตัวของตลาดที่อยู่อาศัย สำหรับคนเมือง โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมซึ่งมีความต้องการสูงอย่างต่อเนื่อง  ประกอบกับมีที่ดินถืออยู่ในมือหลายแปลง และแต่ละแปลงก็มีศักยภาพในการพัฒนาโครงการ   แต่ในช่วงปี 2540 ได้หยุดดำเนินธุรกิจไประยะหนึ่ง เนื่องจากเกิดปัญหาวิกฤษเศรษฐกิจทำ จนกระทั่งปี 2554 ได้กลับมาพัฒนาโครงการใหม่อีกครั้ง ภายใต้ชื่อ The Cube Condominium (เดอะ คิวบ์ คอนโดมิเนียม) ซึ่งจดทะเบียนบริษัทใหม่เป็น “คิวป์ เรียล พร็อพเพอร์ตี้” จนปัจจุบันมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว 11 โครงการและยังมีอีกหลายโครงการ ที่กำลังจะเปิดตัวอีกในอนาคตอันใกล้     ปัจจุบันบริษัทมีทุนจดทะเบียน 165 ล้านบาท ต้นปี 2563 มีแผนเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 225 ล้านบาท หลังจากนั้น จะนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แปลงสภาพจากบริษัทจำกัด สู่การเป็นบริษัทมหาชน  โดยวางแผนเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 300 ล้านบาท เป้าหมายสำคัญในการระดมทุน คือ การนำเงินมาต่อยอดและพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่อง   The Cube ปั้นโปรเจ็กต์ปีละ2,500ล้าน   นายวิชิต  อำนวยรักษ์สกุล  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัท คิวบ์ เรียล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด  แนวทางการพัฒนาโครงการในแต่ละปีนั้น บริษัทกำหนดกรอบการพัฒนาไว้ 4-6 โครงการมูลค่าประมาณ​2,000-2,500 ล้านบาท แต่ละโครงการจะมีจำนวนยูนิตเฉลี่ย 300 ยูนิต มีมูลค่าโครงการประมาณ 600-700 ล้านบาท บริษัทไม่เน้นการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่หลัก 1,000-2,000 ล้านบาท เนื่องจากเน้นกระจายความเสี่ยง และไม่ให้ธุรกิจมีความเสี่ยงมากเกินไป  โดยมุ่งเน้นการพัฒนาโครงการคอนโดฯ เป็นหลักด้วยสัดส่วน 80-85%   สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจในปีนี้ ได้เปิดตัวโครงการคอนโดฯ 4 โครงการรวมมูลค่า 2,500 ล้านบาท ได้แก่ โครงการ The Cube North แจ้งวัฒนะ 12 The Cube South แจ้งวัฒนะ 15/1  โครงการล่าสุดThe Cube Loft ศรีนครินทร์-เทพารักษ์ บนเนื้อที่กว่า 2 ไร่ มูลค่าโครงการ 600 ล้านบาท  ส่วนโครงการสุดท้ายของปีนี้ จะเปิดโครงการรูปแบบโฮมออฟฟิศ  ภายใต้แบรด์ “เดย์ส รามอินทรา-วัชรพล” ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 9 ไร่  จำนวน 76 ยูนิต ราคา 7-9 ล้านบาท  มูลค่าโครงการ  700 ล้านบาท   The Cube เตรียมปั้นโครงการไฮไลท์   สำหรับแผนธุรกิจในปี 2563 บริษัทเตรียมนำเอาที่ดินซึ่งมีอยู่ 3 แปลง  ซึ่งเป็นทำเลตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้า มาพัฒนาโครงการคอนโดฯ​ อย่างต่อเนื่อง เป็นโครงการโลว์ไรซ์ ประมาณ 300 ยูนิต มูลค่าโครงการละ 600-700 ล้านบาท  ขณะเดียวกันยังมองหาที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการแนวราบด้วย  ซึ่งจะพัฒนาโครงการทาวน์โฮมระดับราคาประมาณ 3 ล้านบาท     ในปีหน้าบริษัทคาดว่าจะมียอดรับรู้รายได้ 1,600-1,700 ล้านบาท มียอดขาย ซึ่งมีโครงการอยู่ระหว่างการก่อสร้างและกำหนดแล้วเสร็จในปีหน้า ได้แก่ The Cube Loft นวลจันทร์ The Cube Loft ลาดพร้าว 107 The Cube North แจ้งวัฒนะ 12 และ The Cube  สาทร-จันทร์ 56   ส่วนในปี 2562 บริษัทน่าจะทำยอดขายได้ 1,800 ล้านบาท ต่ำกว่าที่วางป้าหมายว่าจะทำยอดขายได้ 2,000 ล้านบาท เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโดยรวม และภาวะตลาดคอนโดฯ ที่ชะลอตัว ปัจจุบันรับรู้รายได้แล้ว 1,200 ล้านบาท   โดยในปีหน้าหากสามารถนำบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์  ได้ตามแผนที่วางไว้ บริษัทจะพัฒนาโครงการแนวสูง หรือไฮไลท์เข้ามาในพอร์ต จากที่ผ่านมาไม่เคยพัฒนามาก่อน เพื่อขยายตลาดไปยังกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ และเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้มากขึ้น
[PR News] พฤกษา ผนึก 4 พันธมิตร  สร้างการใช้ชีวิตที่เป็นมิตรกับธรรมชาติ  

[PR News] พฤกษา ผนึก 4 พันธมิตร สร้างการใช้ชีวิตที่เป็นมิตรกับธรรมชาติ  

ปัญหาภาวะโลกร้อนที่ทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่ทุกวันนี้ เราทุกคนต่างทราบกันดีว่าสาเหตุหลักมาจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน ถ่านหิน รวมไปถึงการคมนาคมขนส่ง และการผลิตสินค้าในโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ซึ่งล้วนแล้วแต่ส่งผลให้อุณหภูมิโลกของเราสูงขึ้น ได้ยินกันแบบนี้แล้วทุกภาคส่วนคงต้องเริ่มปรับตัวและลงมือทำกันอย่างจริงจังเพื่อช่วยให้โลกของเราให้น่าอยู่ไปนานๆ    พฤกษา เรียลเอสเตท ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทย ได้ใส่ใจถึงปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมมาโดยตลอด และพร้อมร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทยในการช่วยลดปัญหาภาวะโลกร้อนผ่านเทคโนโลยีการอยู่อาศัยเพื่อสังคมสิ่งแวดล้อมในด้าน Green หนึ่งในแกนหลักของ Pruksa Livng Tech ที่นำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาผสมผสานกับความเป็นธรรมชาติเอามารวมกันไว้ด้วยกันอย่างลงตัว มาใช้ในการพัฒนาโครงการต่างๆ เพื่อให้คนรุ่นหลังมีคุณภาพชีวิตที่ดีภายใต้สิ่งแวดล้อมที่ดีต่อไป     ล่าสุด พฤกษาได้จับมือร่วมกับ 4 บริษัทพันธมิตรใหญ่ เพื่อร่วมกันพัฒนาและผลิตเรือพลังงานไฟฟ้าระบบ BEV (BATTERY ELECTRIC VEHICLE) เพื่อให้บริการ SHUTTLE BOAT รับ - ส่งลูกบ้านในคอนโด “แชปเตอร์ เจริญนคร – ริเวอร์ไซด์” ได้แก่ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน), ห้างหุ้นส่วนจำกัด นาวาเลียน คอมโพสิท, มหาวิทยาลัยมหิดล และสำนักนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) NIA   นอกจากลูกบ้านจะได้รับความสะดวกสบายในการเดินทางเรือบนแม่น้ำเจ้าพระยาแล้ว ในด้านสิ่งแวดล้อมยังช่วยลดปัญหามลพิษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหา PM 2.5 ที่ยังเกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบัน เนื่องจากเรือพลังงานไฟฟ้าระบบ BEV จะไม่มีไอเสียหรือเขม่าควันที่ถูกปล่อยออกมา มีเสียงเบา และก่อให้เกิดคลื่นน้อย แถมยังช่วยลดการใช้พลังงานโลกอีกด้วย   ปัจจุบันพบว่ามีแนวโน้มการใช้รถยนต์ไฮบริดและรถยนต์ไฟฟ้าสูงขึ้นเกือบ 50% ต่อปี เพื่อเป็นการตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคใหม่ รวมถึงเพื่อเป็นการช่วยสนับสนุนและส่งเสริมให้คนไทยหันมาใช้พลังงานสะอาดกันมากขึ้น พฤกษาจึงได้มีการติดตั้งสถานีชาร์จไฟรถยนต์ไฟฟ้าปลั๊กอินไฮบริด หรือ EV STATION ไว้ภายในโครงการ “แชปเตอร์ เจริญนคร – ริเวอร์ไซด์”   โดยเปิดให้ลูกค้าและบุคคลทั่วไปที่ใช้รถยนต์ไฟฟ้าสามารถเข้ามาใช้บริการฟรีได้ตั้งแต่วันนี้ – 31 มี.ค. 2563 ที่สำนักงานขาย และในอนาคตจะมีการขยายการติดตั้ง EV Station ไปยังโครงการอื่นๆ เริ่มจากโครงการ “เดอะรีเซิร์ฟ พหลฯ – ประดิพัทธ์” ที่เตรียมจะโอนปลายปี 2562 นี้ และโครงการ แชปเตอร์วัน โฟลว์ บางโพ ในอนาคต     นอกจากนี้ ในส่วนของโครงการทาวน์เฮาส์ของพฤกษายังมีระบบ Pruksa Fresh Air ช่วยเรื่องการหมุนเวียนอากาศ ทำให้อุณหภูมิภายในบ้านเย็นกว่าข้างนอก การติดตั้งระบบ Solar Cell System เพื่อนำมาในพื้นที่ส่วนกลาง เช่น บ่อบำบัดน้ำเสีย คลับเฮาส์ รวมไปถึงการติดตั้ง SKYLIGHT ฝ้าเพดานโปร่งแสง เพื่อนำแสงสว่างเข้ามาสู่ตัวบ้านในเวลากลางวัน ทั้งหมดนี้เป็นความใส่ใจที่พฤกษาได้นำเอาเทคการอยู่อาศัยเพื่อสังคมสิ่งแวดล้อมในด้าน Green หนึ่งในแกนหลักของ Pruksa Livng Tech มาช่วยตอบโจทย์เทรนด์การอยู่อาศัยภายใต้สิ่งแวดล้อมที่ดี            
เดอะเนสท์  เปิดโปรเจ็กต์ “จุฬาฯ-สามย่าน” ชูจุดขาย ผลตอบแทนการเช่า 6%

เดอะเนสท์ เปิดโปรเจ็กต์ “จุฬาฯ-สามย่าน” ชูจุดขาย ผลตอบแทนการเช่า 6%

เดอะเนสท์ เปิดโครงการ “เดอะเนสท์ จุฬาฯ – สามย่าน” มูลค่า 1,500 ล้านบาท ชูจุดขายความคุ้มค่าและผลตอบแทน 6% จากการปล่อยเช่า   นางสาวอุษณา มหากิจศิริ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เดอะเนสท์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในกลุ่ม บริษัท พี.เอ็ม. กรุ๊ป เปิดเผยว่า จากสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน เชื่อว่าไม่ได้ส่งผลให้ราคาคอนโดมิเนียมลดลง แต่อยู่ในภาวะทรงตัว ซึ่งมองว่าเป็นวัฏจักรปกติของธุกิจ  เพียงแต่ผู้ประกอบการต้องมีความระมัดระวังมากยิ่งขึ้นในการ พัฒนาโครงการออกมาให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า ในราคาที่เหมาะสม ในแง่ของผู้บริโภคเองก็ถือเป็นโอกาสที่จะสามารถได้สินค้าราคาดีเอาไว้   ทั้งนี้บริษัทได้เปิดตัวโครงการล่าสุด “เดอะเนสท์ จุฬาฯ–สามย่าน” คอนโดมิเนียม 8 ชั้น 2 อาคาร รวม 332 ยูนิต ในซอยจินดาถวิล ถนนพระราม 4 บนที่ดินกว่า 2 ไร่ ขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 21.14-49.39 ตารางเมตร มีพื้นที่จอดรถ 40 % ห่างจาก MRT สถานีสามย่าน 600 เมตร มูลค่าโครงการประมาน 1,500 ล้านบาท เริ่มก่อสร้าง ไตรมาส 1 ปี2563 คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 4 ปี 2564 โดยตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 50% ในวันพรีเซล 26-27 ตุลาคม 2562   ทำเลจุฬาฯ–สามย่าน เป็นชุมชนเก่าแก่ที่มีดีมานท์อยู่เสมอ ไม่ว่าจะผู้ที่อาศัยอยู่เดิม นักเรียน นักศึกษา บุคคลากร กลุ่มคนทำงาน และชาวต่างชาติ ที่ดินส่วนใหญ่มักจะเป็นที่ดินเช่าระยะยาว (ลีสโฮลด์) โดยปัจจุบันมีผู้ประกอบการรายใหญ่ที่เข้ามาลงทุนโครงการบิ๊กโปรเจ็กต์ในย่านนี้มากมาย แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของทำเลนี้ ไม่ว่าจะเป็น โครงการมิกซ์ยูส หรือคอนโดมิเนียม แต่สำหรับ “เดอะเนสท์ จุฬาฯ–สามย่าน” นั้นเป็นที่ดินฟรีโฮลด์ มีความคุ้มค่าในระยะยาวทั้งในแง่ของผู้อยู่อาศัยเอง และนักลงทุนที่สามารถปล่อยเช่าได้ประมาณ 18,000  บาท/เดือน คิดเป็น 6% ต่อปี   สำหรับราคาที่ดินในบริเวณดังกล่าวหากอยู่ในซอยจะมีราคาประมาณ 500,000 บาทต่อตารางวา แต่หากเป็นที่ดินแปลงติดถนนใหญ่ ราคาพุ่งสูงแตะที่ 1 ล้านบาทต่อตารางวาขึ้นไป ขึ้นอยู่กับทำเลของที่ดิน   บริษัทยังมองหาที่ดินในทำเลใจกลางเมือง เพื่อพัฒนาโครงการคอนโดฯ ปีละ 1-2 โครงการ และขณะนี้อยู่ในช่วงเจรจากับพันธมิตรต่างชาติ เพื่อร่วมกันพัฒนาโครงการ แต่ยังไม่สามารถเผยรายละเอียดได้” นางสาวอุษณา กล่าว   นอกจากนี้ยังมีที่ดินของครอบครัวในย่านพระราม 4 ช่วงต้น พื้นที่ประมาณเกือบ 6 ไร่ สำหรับใช้ในการพัฒนาโครงการอสังหาฯ ในอนาคต ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาข้อมูล คาดว่าจะสรุปได้ในปี 2563  
คนไทยนิยมซื้ออสังหาฯ อังกฤษ ไนท์แฟรงค์เตรียมปิดดีลกว่า 1,404 ล้าน

คนไทยนิยมซื้ออสังหาฯ อังกฤษ ไนท์แฟรงค์เตรียมปิดดีลกว่า 1,404 ล้าน

ตลาดอสังหาฯ อังกฤษ เริ่มฟื้นตัว หลังดีมานด์มีสูง ทั้งคนท้องถิ่นและต่างชาติ แต่ดีเวลลอปเปอร์พัฒนาโครงการออกมาน้อย  คาดปีนี้มีดีมานด์กว่า 70,000 ยูนิต แต่ซัพพลายในตลาดมีแค่ 40,000 เท่านั้น “ไนท์แฟรงค์” เห็นสัญญาณจากการขายเพิ่มเฉลี่ยเดือนละ 4-8 รายจากก่อนหน้าขายได้แค่ 1-2 รายต่อเดือน  พร้อมปิดดีลไปแล้วมูลค่ากว่า 569.4 ล้านบาท รอปิดอีก 10 ดีล   นายแฟรงค์ ข่าน กรรมการบริหาร หัวหน้าฝ่ายที่ปรึกษาด้านที่พักอาศัย บริษัท ไนท์แฟรงค์ ชาร์เตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า อสังหาริมทรัพย์ในประเทศอังกฤษ  เริ่มกลับมาฟื้นตัวหลังจากได้รับผลกระทบ จากนโยบายภาษีที่รัฐบาลประกาศใช้ ในการจัดเก็บภาษีที่อยู่อาศัยหลังที่ 2 อัตรา 3% และภาษีจากอัตรากำไรการขายอสังหาฯ (Capital gain) ในอัตรา 20-28% ซึ่งได้ประกาศใช้กับชาวต่างชาติ ที่ได้เข้าไปซื้ออสังหาฯ  ในประเทศอังกฤษ ตั้งแต่ปี 2557 ส่งผลให้ช่วง 5 ปีที่ผ่านมาตลาดอสังหาฯ​ มีอัตราลดลงเฉลี่ย 15%     การฟื้นตัวของตลาดอสังหาฯ ในประเทศอังกฤษนั้น  เกิดจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะความต้องการที่อยู่อาศัยมีสูง ทั้งจากคนในประเทศและชาวต่างชาติ ที่เข้าไปเรียนและทำงานจำนวนมาก แต่ปัจจุบันจำนวนที่อยู่อาศัยที่พัฒนาออกมาน้อย โดยเฉพาะในปีนี้คาดว่าความต้องการที่อยู่อาศัยจะมีมากกว่า 70,000 ยูนิต แต่มีที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะคอนโดมิเนียม ถูกพัฒนาออกไม่ประมาณ​ 40,000 ยูนิตเท่านั้น สาเหตุสำคัญที่ทำให้ดีเวลลอปเปอร์พัฒนาโครงการออกมาน้อย ทั้งที่มีความต้องการสูง เป็นเพราะยังมีปัญหาเศรษฐกิจโดยภายรวม ต้นทุนการพัฒนาโครงการสูง ไม่ว่าจะเป็นราคาที่ดิน  และราคาวัสดุก่อสร้าง ขณะที่ปัญหาเบร็กซิทถือว่ามีผลกระทบเล็กน้อย   สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาฯ ในประเทศอังกฤษช่วง 6 เดือนแรกเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น โดยเห็นได้จากการติดต่อจากกลุ่มลูกค้ามายังบริษัทเพิ่มมากขึ้นในการซื้ออสังหาฯ และมีปริมาณการซื้อขายเพิ่มมากขึ้น เมื่อเทียบกับช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งสามารถปิดการขายได้เดือนละ 1-2 ราย แต่ปัจจุบันสามารถปิดการขายได้ 4-8 รายต่อเดือน ขณะที่ช่วงก่อนหน้านี้ อสังหาฯ จะมีการลดราคาลงอย่างมากเพื่อจูงใจผู้ซื้อ บางโครงการลดราคาถึง 25% แต่ปัจจุบันลดราคาเพียง 11-12% เท่านั้น  ซึ่งความต้องการที่อยู่อาศัยในประเทศอังกฤษ  เริ่มฟื้นตัวทั้งจากตลาดภายในประเทศ และกลุ่มชาวต่างชาติที่เข้าไปซื้ออสังหาฯ ด้วย   ปัจจุบันสัดส่วนชาวต่างชาติที่เข้าไปซื้ออสังหาฯ มีประมาณ 40% กลุ่มลูกค้าหลักเป็นชาวจีน ฮ่องกง และสิงคโปร์ โดยวัตถุประสงค์หลักของการเข้าไปซื้ออสังหาฯ ส่วนใหญ่จะเป็นการซื้อเพื่อให้บุตรหลานได้พักอาศัย ในระหว่างการเรียน ซึ่งนักศึกษาต่างชาติในประเทศอังกฤษมีมากกว่า 100,000 คน บริษัทต่างชาติซื้ออสังหาฯ เพื่อให้พนักงานพักอาศัย และการซื้อเพื่อลงทุนของกลุ่มนักลงทุนเพื่อปล่อยเช่า  ซึ่งผลตอบแทนจากการเช่าจะอยู่ที่ 1-2% สำหรับย่านใจกลางลอนดอน และ 4-6% สำหรับเมืองรอบนอกที่มีระบบการคมนาคมขนส่งสะดวก  สามารถเดินทางเข้ามาใจกลางเมืองได้ภายในเวลา 5-10 นาที     ขณะที่คนไทยก็เริ่มให้ความนิยมในการเข้าไปซื้ออสังหาฯ ในประเทศอังกฤษเพิ่มมากขึ้น โดยในปีนี้บริษัทได้เป็นตัวแทนขายอสังหาฯ ในประเทศอังกฤษ ให้กับกลุ่มคนไทยได้แล้ว 8 ราย มูลค่า 14.6 ล้านปอนด์ หรือประมาณ​569.4 ล้านบาท  ซึ่ง 7 รายเป็นบุคคลทั่วไป ที่ซื้อคอนโดฯ ยูนิตในราคา 900,000 -1.6 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 35-62.4 ล้านบาท และมี 1 รายเป็นบริษัทที่ซื้อเพื่อการลงทุนจำนวน 16 ยูนิต  และบริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาอีก 10 รายที่จะซื้ออสังหาฯ​ ในอังกฤษด้วย มีระดับราคาตั้งแต่ 600,000-2 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 23.4-78 ล้านบาท ซึ่งมีหนึ่งรายต้องการซื้ออสังหาฯ มูลค่ามากถึง 36 ล้านปอนด์ หรือกว่า 1,404 ล้านบาท   ส่วนในปี 2563 บริษัทตั้งเป้าหมายการเป็นตัวแทนขายอสังหาฯ ในประเทศอังกฤษ 15-20 ยูนิต ราคาเฉลี่ย 1-2 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 39-78 ล้านบาทต่อยูนิต ซึ่งแนวทางการทำตลาด บริษัทได้มีกิจกรรมจัดสัมมนา และนิทรรศการให้ความรู้ และข้อมูลเกี่ยวกับตลาดอสังหาฯ ในประเทศอังกฤษ รวมถึงการพาชมโครงการที่ประเทศอังกฤษ เพื่อให้ผู้ซื้อได้เห็นโครงการจริงด้วย   สำหรับกลุ่มคนที่เลือกซื้ออสังหาฯ ในประเทศอังกฤษ ไม่ว่าจะอยู่อาศัย หรือการลงทุน ยังคงใช้ 3 หลักเกณฑ์ในการตัดสินใจซื้อ ได้แก่ 1.ทำเลที่ตั้ง ใกล้สถานีรถใต้ดิน ระยะห่างสามารถเดินทางได้ไม่เกิน 5-10 นาที 2. สิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการ อาทิ สวน พื้นที่ส่วนกลางสำหรับทำกิจกรรม และ 3.สภาพอาคาร หากเป็นอาคารใหม่จะได้รับความนิยมมากกว่าอาคารเก่า
รีวิวคอนโด เพชรบุรีตัดใหม่ “The Base เพชรบุรี-ทองหล่อ”  ริมถนนเพชรบุรี ใกล้ทองหล่อ

รีวิวคอนโด เพชรบุรีตัดใหม่ “The Base เพชรบุรี-ทองหล่อ” ริมถนนเพชรบุรี ใกล้ทองหล่อ

The Base Phetchaburi-Thonglor คอนโด เพชรบุรีตัดใหม่ พัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิด “Yours to Discover (ค้นพบพื้นที่ที่ใช่ บนทำเลใจกลางเมือง)” ด้วยทำเลที่ห่างจากทองหล่อเพียง 400 เมตร ใกล้จุดขึ้น-ลงทางด่วนทางด่วนศรีรัช ตัวอาคารออกแบบสะท้อนถึงความภาคภูมิใจของผู้อยู่อาศัยในแบบของตนเองตามคอนเซ็ปต์ “Trophy of Life” จนกลายมาเป็นดีไซน์ของเส้นสายสีทองอร่ามบนฟาสาด (Façade) ของอาคารที่เปรียบได้กับแสงไฟที่ส่องสว่างตัดกับตัวอาคารสีดำที่เป็นตัวแทนของท้องฟ้าของมหานครยามค่ำคืน   ชื่อโครงการ The Base Phetchaburi-Thonglor (เดอะ เบส เพชรบุรี-ทองหล่อ)  เจ้าของโครงการ บริษัท แสนสิริ จํากัด (มหาชน) ที่ตั้งโครงการ  ถ.เพชรบุรีตัดใหม่ แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ 10310 พื้นที่โครงการ  ประมาณ 2 ไร่  ลักษณะโครงการ High Rise  จำนวนอาคาร 1 จำนวนชั้น 36  จำนวนยูนิต  496 ยูนิต  ขนาดห้อง  1 Bedroom 1 Bathroom 27.25-29.25 ตร.ม. 1 Bedroom 1 Bathroom 31.75-40 ตร.ม. 2 Bedroom 1 Bathroom 45.75 ตร.ม. 2 Bedroom 2 Bathroom 61.25 ตร.ม.   เฟอร์นิเจอร์ Fully Fitted  สิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลาง คลับเฮ้าส์แบบ Stylish Cafe, Creative Co-working Hub, Co-Living Space, สระว่ายน้ำ, ฟิตเนส, Sky Lounge, Sky Theater, Rooftop Roof Terrace, Backyard Garden ราคาเริ่มต้น 2.69 ล้านบาท  ราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตร ประมาณ 98,000 บาท/ตร.ม. จุดเด่นโครงการ ทำเลริมถ.เพชรบุรี ใกล้จุดขึ้น-ลงทางด่วน สถานที่ใกล้เคียง J-Avenue, EmQuartier, Emporium, มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, โรงพยาบาลกรุงเทพฯ ภาพคอนโด เพชรบุรีตัดใหม่ โครงการ The Base Phetchaburi-Thonglor ภาพห้องตัวอย่าง คอนโด เพชรบุรีตัดใหม่ "The Base เพชรบุรี-ทองหล่อ"   รายละเอียดโครงการ คอนโด เพชรบุรีตัดใหม่ เพิ่มเติม The Base Phetchaburi-Thonglor    ข่าวอื่นๆ จาก SANSIRI เปิดโปรเจ็กต์ Tiger Lane ลักช์ชัวรี่โฮมออฟฟิศ บนทำเลท้องมังกร ใจกลางย่านธุรกิจ “เยาวราช” สิริ เวนเจอร์ส ผนึก สวทช. โชว์ 3 นวัตกรรมใหม่แห่งอนาคต SIRI ผนึก 3 พันธมิตร สานต่อ Green Mission ผลิตชุดเฟอร์นิเจอร์จากขวดพลากสติก  
ฮาบิแทท ผนึกทุนญี่ปุ่น เปิด 2 โปรเจ็กต์ มูลค่า 2.8 พันล้าน   

ฮาบิแทท ผนึกทุนญี่ปุ่น เปิด 2 โปรเจ็กต์ มูลค่า 2.8 พันล้าน   

ฮาบิแทท จับมือ ลิสต์ กรุ๊ป บิ๊กอสังหาฯ จากญี่ปุ่น ลุยตลาดคอนโดฯ กลางทองหล่อ ผุด 2 โปรเจ็กต์ มูลค่า 2,800 ล้าน   นายชนินทร์ วานิชวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า ฮาบิแททได้ร่วมทุนกับ “ลิสต์ กรุ๊ป” (List Group) ซึ่งดำเนินธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ในประเทศญี่ปุ่น และเป็นตัวแทนซื้อขายอสังหาฯ ที่มีเครือข่ายกระจายอยู่ทั่วโลก จัดตั้งบริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป ลิสต์ จำกัด  พัฒนาโครงการ “วาลเด้น ทองหล่อ 8” และบริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป ลิสต์ 2 จำกัด พัฒนาโครงการ “วาลเด้น ทองหล่อ 13” โดยฮาบิแททถือหุ้น 62% และลิสต์ กรุ๊ป ถือหุ้น 38%   การพัฒนา 2 โครงการดังกล่าว เนื่องจากบริษัทฯ มองเห็นถึงศักยภาพการเติบโตของทำเลทองหล่อ ที่ยังมีอนาคต ปัจจุบันมีซัพพลายเหลือเพียง 30% โดยแบ่งเป็นคอนโดฯ High Rise 80% และ Low Rise 20% รวมถึงการปล่อยเช่าในกลุ่มชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานในประเทศไทย (Expat) โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่นที่มักเลือกเช่าคอนโดฯ อยู่ในย่านนี้ ซึ่งได้ผลตอบแทนจากการปล่อยเช่า (Rental Yield) ถึง 6% ต่อปี   การมีพาร์ทเนอร์เช่นนี้เป็นเหมือนการนำเอาจิ๊กซอว์มาต่อกันจนสมบูรณ์แบบ เกิดเป็นคุณค่ามากที่สุด สำหรับโครงการ วาลเด้น ทองหล่อ 8 (Walden Thonglor 8) มูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท  เป็นอาคารสูง 8 ชั้น จำนวน 117 ยูนิต ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 1 ไร่ ในซอยทองหล่อ 8 ห่างจากถนนเส้นหลักเพียง 100 เมตร  มีขนาดห้องแบบ 1 ห้องนอน-2 ห้องนอนดีลักซ์ พื้นที่ 32.5-71 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 7.9 ล้านบาท   ส่วนโครงการวาลเด้น ทองหล่อ 13 (Walden Thonglor 13)  มีมูลค่าโครงการ 1,300 ล้านบาท เป็นอาคารสูง 8 ชั้น จำนวน 122 ยูนิต พื้นที่กว่า 1 ไร่ มีห้องขนาด 1-2 ห้องนอน พื้นที่ 35-66 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 6.9 ล้านบาท  ทั้งสองโครงการจะเปิดรอบ VVIP Days ระหว่างวันที่ 26 - 27 ตุลาคมนี้  โดยตั้งเป้าปิดการขายภายใน 12 ​เดือน ซึ่งมีการแบ่งโควต้าแยกออกแต่ละชั้นชัดเจน  เป็นกลุ่มลูกค้าคนไทย  50%  ซึ่งบริษัท ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้รับผิดชอบการขาย  และอีก 50% วางเป้าหมายชาวต่างชาติ  โดยมีบริษัทในเครือของ ลิสต์ กรุ๊ป เป็นตัวแทนจำหน่าย  และมีบริษัทลูกของ JALUX มาบริหารจัดการโครงการอีกด้วย   ด้านนายยาสุชิ ยามาดะ ผู้อํานวยการฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ลิสต์ โฮลดิ้งส์ สิงคโปร์ จำกัด และผู้อํานวยการฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ลิสต์ ซอเธอบี้ส์ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียลตี้ ไทยแลนด์ กล่าวว่า จะใช้ประสบการณ์ด้านการเป็นตัวแทนอสังหาริมทรัพย์  ผู้พัฒนาโครงการ และบริหารอสังหาริมทรัพย์ในญี่ปุ่นอย่างยาวนาน กว่า 30 ปี รวมถึงเครือข่ายการตลาดในต่างประเทศของ ลิสต์ ซอเธอบี้ส์ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียลตี้ ที่มีสำนักงานอยู่ถึง 1,000 แห่ง ใน 71 ประเทศทั่วโลก มาช่วยในการทำตลาดและการขาย  ในกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติ   “ตลาดคอนโดฯ ลักชัวรี่ในประเทศไทย นั้นยังคงแข็งแกร่งและน่าจับตามอง ซึ่งคาดว่าจะได้รับความสนใจ จากนักลงทุนชาวต่างชาติ โดยเฉพาะจากชาวญี่ปุ่น ฮ่องกง และสิงคโปร์ เพราะประเทศไทยเริ่มมี ธุรกิจใหม่ เข้ามาในโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC”   ขณะที่นางสาวอลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า แม้ว่าภาพรวมตลาดคอนโดฯ ในประเทศไทยจะชะลอตัวลง แต่ยังคงมีกำลังซื้ออยู่ เพียงแค่อาจมีการตัดสินใจซื้อช้าลง มีการเปรียบเทียบราคาและความคุ้มค่ากันมากขึ้น ซึ่งในทำเลทองหล่อยังคงได้รับความนิยมในการอยู่อาศัย เนื่องจากเป็นย่านใจกลางเมืองที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย   จากการสำรวจในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมาพบว่า ชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานในประเทศไทยประมาณกว่า 200,000 คน ซึ่งในจำนวนนี้เป็นชาวญี่ปุ่นมากที่สุดกว่า 90,000 คน คิดเป็น 19% รองลงมาเป็นจีน ฟิลิปปินส์ อินเดีย อังกฤษ สหรัฐฯ เกาหลีใต้ และอื่นๆ ซึ่งพฤติกรรมของชาวญี่ปุ่นมักนิยมเช่าคอนโดฯ 1 ห้องนอน ที่มีขนาดตั้งแต่ 40 ตารางเมตร​ ขึ้นไป ในช่วงราคา 35,000-40,000 บาทต่อเดือน   “ในส่วนของ CBRE ที่ดูแลการขายลูกค้าคนไทย ได้ตั้งเป้าไว้ว่าช่วงวัน VVIP Days จะสามารถทำยอดขายได้ 25% จาก 50% ของโควตาลูกค้าคนไทย”   ส่วนนายมาซาชิ ฮิกุจิ ประธานบริหาร บริษัท เจอาร์อี ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด บริษัทลูกของ JALUX ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารโครงการที่พักอาศัยจากญี่ปุ่น เผยว่า บริษัทฯ มีการบริหารจัดการโครงการที่พักอาศัยในญี่ปุ่นกว่า 3,500 ยูนิต มีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 95% ในปัจจุบันเป็นเจ้าของและบริหารจัดการเซอร์วิส อพาร์ทเม้นท์ ชื่อ L’axe Sriracha JALUX Serviced Residence ในอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นศูนย์กลางของชุมชนชาวญี่ปุ่นที่ใหญ่ที่สุด        
อสังหาฯ ไทยยังเนื้อหอม ทุนจีนไม่หวั่นตลาดขาลง-LTV คุมเข้ม

อสังหาฯ ไทยยังเนื้อหอม ทุนจีนไม่หวั่นตลาดขาลง-LTV คุมเข้ม

นักธุรกิจจีนมั่นใจศักยภาพตลาดอสังหาฯ เมืองไทย ยังมีดีมานด์อีกจำนวนมาก จากคนย้ายเข้ามาหางานในเมือง เศรษฐกิจมีแนวโน้มขาขึ้น  พร้อมลงทุนกว่า 22,500 ล้าน ผุดคอนโดฯ 4 โปรเจ็กต์  เตรียมที่ดินอีก 100 ไร่ ปั้นมิกซ์ยูส   นายเฉิน ซู่เฟิง ประธานกรรมการประจำภูมิภาค บริษัท ไฮไชน์ ดีเวลลอปเม้นท์ กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า  ได้ร่วมทุนกับนักธุรกิจคนไทยพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย เนื่องจากมองเห็นศักยภาพตลาดอสังหาฯ ที่เชื่อว่ายังมีความต้องการอยู่เป็นจำนวนมาก จากการขยายตัวของเมือง ซึ่งทำให้มีแรงงานจากต่างจังหวัดเข้ามาหางานทำในกรุงเทพฯ และปริมณฑล  ที่ถือว่าเป็นความต้องการที่แท้จริง ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจมีแนวโน้มเติบโต   แม้ว่าปัจจุบันตลาดอสังหาฯ จะอยู่ในช่วงขาลง จากปริมาณห้องชุดคอนโดฯ ที่มีออกมาจำนวนมาก จนส่งผลให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (แบงก์ชาติ) ต้องออกมาตรการ LTV มาควบคุมการปล่อยสินเชื่อ ธนาคารเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อ ตลาดอสังหาฯ ยังแข่งขันกันรุนแรงด้วย  แต่เชื่อว่าในระยะเวลาประมาณ 2 ปี ภาวะตลาดจะกลับมาฟื้นตัว ภาวะเศรษฐกิจก็จะเติบโตเพิ่มมากขึ้น จึงเชื่อว่าในอนาคตตลาดอสังหาฯ จะกลับมาเติบโตเป็นปกติ   “แม้ว่าการกู้เงินซื้อคอนโดฯ จะมีมาตรการควบคุมเข้มงวด แต่เชื่อว่าอสังหาฯ ไทยยังเติบโตต่อไปได้ เพราะไทยมีประชากรเยอะกว่า 70 ล้านคน เป็นตลาดที่มีความต้องการสูง ตลาดกรุงเทพฯ เหมือนกับประเทศจีนเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ประชากรที่อยู่ในปริมณฑลแล้วย้ายเข้ามาอยู่ในเมือง”    สำหรับกลุ่มไฮไชน์ได้ศึกษาตลาดในประเทศไทยมาตั้งแต่ 2 ปีที่ผ่านมา และได้ลงทุนพัฒนาโครงการคอนโดฯ 4 โครงการ รวมมูลค่า 22,500 ล้านบาท ได้แก่ โครงการรีเกิล สาทร-นราธิวาส ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 40% โครงการรีเกิล บางนา มียอดขายแล้ว 20%   โดยในเดือนพฤศจิกายน บริษัทฯ มีแผนเปิดตัวโครงการรีเกิล ศรีนครินทร์ 40 คอนโดฯ ขนาดความสูง  8 ชั้น มูลค่าโครงการ 1,200 ล้านบาท ตั้งอยู่ในซอยศรีนครินทร์ 40 และใกล้กับรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ห่างจากจากซีคอนสแควร์ 400 เมตร และห้างสรรพสินค้าพาราไดซ์ พาร์ค 700 เมตร   ล่าสุด บริษัทได้เปิดตัวโครงการรีเกิล สุขุมวิท 76 เป็นโครงการมิกซ์ยูส ประกอบด้วย อาคารที่พักอาศัย 8 อาคาร จำนวน 4,931 ยูนิตราคาเริ่มต้นที่ 1.79-10  ล้านบาท และพื้นที่ศูนย์การค้า 15,000 ตารางเมตร  มูลค่าโครงการกว่า 16,000 ล้านบาท  ใกล้รถไฟฟ้าบีทีเอส ซึ่งอยู่ระหว่างสถานีแบริ่งและสถานีสำโรง   นายเฉิน กล่าวว่า บริษัทวางแผนการลงทุนอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย  โดยนอกจาก 4 โครงการดังกล่าวแล้ว ยังเตรียมพัฒนาที่ดิน 100 ไร่ ใกล้สนาบินสุวรรณภูมิ เป็นโครงการมิกซ์ยูส ซึ่งประกอบด้วยโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบ พื้นที่เชิงพาณิชย์ อาทิ ห้างสรรพสินค้า โดยจะแบ่งการพัฒนาออกเป็นเฟส  ปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษาและวางแผนโครงการ คาดว่าจะเปิดตัวได้ในช่วงปลายปีนี้     “กลยุทธ์การแข่งขันในตลาดประเทศไทย บริษัทจะชู 3 เรื่องหลัก ได้แก่ 1.การออกแบบให้ตรงความต้องการของกลุ่มลูกค้าคนไทย 2.เลือกพัฒนาโครงการในทำเลศักยภาพ ใกล้สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสหรือเอ็มอาร์ที และ 3.วางกลยุทธ์ราคาให้กลุ่มลูกค้าเป้าหมายสามารถซื้อได้ โดยปีนี้ตั้งเป้ายอดขาย 3,000 ล้านบาท และจะเพิ่มขึ้นเป็น 4,500 ล้านบาทในปี 2563”   สำหรับ กลุ่มบริษัท ไฮไชน์ กรุ๊ป เป็นกลุ่มทุนอสังหาริมทรัพย์จากฮ่องกงและจีน ปัจจุบันมีโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนากว่า 138 โครงการ ในหลายประเทศ ทั้งจีน ฮ่องกง เป็นต้น เฉพาะตลาดในประเทศจีนมียอดขายกว่า 100,000 ล้านบาท  ปัจจุบันบริษัทได้เข้าไปลงทุนในหลายประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  ทั้งประเทศมาเลเซีย ไทย  และอยู่ระหว่างการศึกษา เพื่อเข้าลงทุนในเวียดนามและเมียนมา ขณะที่ประเทศมาเลเซีย ยังมีแผนพัฒนาต่อเนื่อง เป็นโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่มูลค่ากว่า 100,000 ล้านบาทด้วย
สรุปข่าวอสังหาริมทรัพย์รอบสัปดาห์ วันที่  7 – 13 ตุลาคม 2562

สรุปข่าวอสังหาริมทรัพย์รอบสัปดาห์ วันที่ 7 – 13 ตุลาคม 2562

ถึงตอนนี้ ถือว่าเข้าเราได้เดินทางมาสู่ไตรมาสสุดท้ายอย่างเต็มตัวแล้ว บรรยากาศช่วงไฮซีซั่นกำลังเริ่มต้นขึ้น เห็นได้จากแคมเปญการตลาดออกมากันแบบแรงๆ เพื่อเรียกยอดขาย  เพราะโค้งสุดท้ายแล้ว  หากหมดไตรมาสนี้ คงไม่มีเวลาสร้างผลงาน ให้ได้ตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ตั้งแต่ต้นปีแล้ว แม้จะมีผู้ประกอบการหลายราย ได้ปรับเป้าหมายทางธุรกิจไปกันบ้างแล้วก็ตาม   ส่วนในรอบสัปดาห์วันที่ 7-13 ตุลาคมที่ผ่านมา เกิดเหตุการณ์อะไรบ้างในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ ลองมาดูกัน   ฮาบิแทท 2 โครงการใหม่ย่านทองหล่อ      การเปิดตัวโครงการใหม่ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ล่าสุด ฮาบิแทท กรุ๊ป เปิดตัว 2 โครงการใหม่  มูลค่ากว่า 2,800 ล้านบาท ได้แก่  โครงการ วาลเด้น ทองหล่อ 8 (Walden Thonglor 8) และ โครงการ วาลเด้น ทองหล่อ 13 (Walden Thonglor 13) พร้อมดึง เจอาร์อี ดีเวลลอปเม้นท์ (JRE Development) บริษัท  ลูกของ “แจลุกซ์” (JALUX Inc.) จากประเทศญี่ปุ่น มาช่วยบริหารที่พักอาศัย นายชนินทร์ วานิชวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า ได้ร่วมทุนกับลิสต์ กรุ๊ป (List Group) ผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์จากประเทศญี่ปุ่น พัฒนาคอนโดมิเนียมลักชัวรี่โลว์ไรซ์ 2 โครงการดังกล่าว โดยอาศัยความสามารถในการทำตลาดระดับนานาชาติ เข้ามาเสริมจุดแข็งผ่านเครือข่ายของ ลิสต์ ซอเธอบี้ส์ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียลตี้  โดยทั้งสองโครงการคาดว่าจะเริ่มการก่อสร้างในช่วงไตรมาสแรก ปี 2563 และคาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาสแรก ปี 2565  นอกจากนี้ ยังได้เจอาร์อี ดีเวลลอปเม้นท์ (JRE Development) บริษัทลูกของ JALUX มาเป็นผู้บริหารจัดการโครงการทั้ง 2 แห่งด้วย   “แสนสิริ” ผนึก “พลัส ” ทุ่ม 60 ล้านปั้้นระบบความปลอดภัย      เรื่องของความปลอดภัย ถือเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญที่ผู้ประกอบการ ต้องให้ความสำคัญที่ทุกโครงการต้องทำให้ผู้อยู่อาศัยปลอดภัย เพราะหากบ้านไม่ปลอดภัย คงไม่มีใครอยากอยู่ คนจะซื้อที่อยู่อาศัยสักแห่ง ก็ต้องเลือกโครงการอยู่แล้วปลอดภัยมากที่สุด แสนสิริ ซึ่งมองเห็นว่าเรื่องความปลอดภัย เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ลูกค้าใช้เป็นเกณฑ์การตัดสินใจซื้อบ้านหรือคอนโดมิเนียม จึงนำเอาระบบ Smart Command Centre ศูนย์ควบคุมความปลอดภัยจากส่วนกลางแบบเรียลไทม์ 24 ชั่วโมง มาใช้ในโครงการของแสนสิริ อาทิ โครงการเดอะ ไลน์ อโศก-รัชดา   ล่าสุด แสนสิริ จับมือ พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ลงทุน 60 ล้านบาท ตั้งหน่วยธุรกิจใหม่ LIV-24 บุกเบิกแวดวงอสังหา ฯ กับสุดยอดบริการดูแลความปลอดภัยจากศูนย์ควบคุมแบบเรียลไทม์ 24 ชั่วโมง อย่างเต็มรูปแบบแห่งแรกและหนึ่งเดียวของวงการอสังหาฯ ไทย ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นอัปเกรดสุดล้ำ ต่อยอดจากความสำเร็จของ Smart Command Centre ที่ยกระดับความความปลอดภัยจากส่วนกลางเข้าสู่ที่พักอาศัย ด้วยการเชื่อมต่อสัญญาณ Intrusion Alarm แจ้งเตือนเมื่อมีการบุกรุกเข้าสู่ตัวบ้าน และระบบ Smart Meter โซลูชั่นตรวจสอบและแจ้งเตือน เมื่อมีการใช้น้ำประปาและไฟฟ้าที่ผิดปกติในที่พักอาศัย ปี 2020 จ่อขยายการให้บริการครอบคลุม 47 โครงการของแสนสิริ มุ่งเดินหน้าเสริมความปลอดภัย พร้อมสร้างความพึงพอใจระดับสูงสุดให้กับลูกบ้านแสนสิริ   ดร.ทวิชา ตระกูลยิ่งยง ประธานผู้บริหารสายงานเทคโนโลยี บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ได้จับมือกับ พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เพื่อทรานส์ฟอร์มสู่ ‘LIV-24’ ซึ่งเป็นหน่วยธุรกิจใหม่ของพลัส พร็อพเพอร์ตี้  เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีความปลอดภัยให้เพิ่มมากขึ้น กับเทคโนโลยีที่ทันสมัยจากส่วนกลางเข้าสู่ที่พักอาศัย ด้วยการเชื่อมต่อสัญญาณ Intrusion Alarm แจ้งเตือนเมื่อมีการบุกรุกเข้าสู่ตัวบ้าน และระบบ Smart Meter โซลูชั่นตรวจสอบและแจ้งเตือน เมื่อมีการใช้น้ำประปาและไฟฟ้าที่ผิดปกติในที่พักอาศัย  ซึ่งวางเป้าหมายติดตั้งกับโครงการของแสนสิริให้ครอบคลุม 47 โครงการ ภายในปีหน้า   “ORI” กวาดยอดขายสะสม 9 เดือน ทะยานสู่ 23,148 ล้าน     ช่วงนี้บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เริ่มทยอยประกาศผลประกอบการไตรมาส 3 ออกมากันบ้างแล้ว ล่าสุด บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI  แจ้งว่า สามารถสร้างยอดขายในช่วงไตรมาส 3/2562 ได้ถึงกว่า 10,188 ล้านบาท  ส่งผลให้บริษัทมียอดขายสะสม 9 เดือนแรกของปี 2562 อยู่ที่ 23,148 ล้านบาท หรือคิดเป็น 83% ของเป้าหมายยอดขายของทั้งปี 2562   นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ออริจิ้น  เปิดเผยว่า  ผลประกอบการในไตรมาส 3 ที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง  เป็นเพราะการเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมแบรนด์ ดิ ออริจิ้น (The Origin) จำนวน 4 โครงการ ตั้งแต่ช่วงปลายไตรมาส 2 ประสบความสำเร็จอย่างยอดเยี่ยมเหนือความคาดหมาย โดยมีถึง 3 โครงการที่สามารถปิดการขายได้แล้ว 100% (Sold Out) ได้แก่ 1. ดิ ออริจิ้น รามคำแหง 209 อินเตอร์เชนจ์ 2. ดิ ออริจิ้น รัชดา-ลาดพร้าว 3. ดิ ออริจิ้น ลาดพร้าว 15   ขณะเดียวกัน ดิ ออริจิ้น สุขุมวิท 105 ที่เพิ่งเปิดพรีเซลเมื่อกลางเดือนกันยายนที่ผ่านมา ก็ได้รับการตอบรับที่ดี ส่งผลให้ภาพรวมอัตรายอดขาย  ของแบรนด์ดิ ออริจิ้นที่เปิดตัวไป 4 โครงการ สูงถึงกว่า 85%  นอกจากนี้ โครงการคอนโดฯ แบรนด์พาร์ค ออริจิ้น (PARK ORIGIN) 2 โครงการที่ทยอยเปิดตัวในช่วงไตรมาส 2-3 มูลค่าโครงการรวมกว่า 7,500 ล้านบาท ก็สร้างยอดขายกลับมายังบริษัทได้อย่างต่อเนื่อง โดยโครงการพาร์ค ออริจิ้น จุฬา-สามย่าน และโครงการพาร์ค ออริจิ้น ราชเทวี ต่างมียอดขายแล้วกว่า 80% ขณะเดียวกัน โครงการเคนซิงตัน ระยอง คอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ภายใต้โครงการออริจิ้น สมาร์ท ซิตี้ ระยอง ก็ได้รับการตอบรับที่น่าพึงพอใจ ล่าสุดคิดเป็นยอดขาย 90% ของจำนวนยูนิตที่เปิดขาย (อ่านข่าวเพิ่มเติม)   BC โรดโชว์พบนักลงทุนกรุงเทพฯ     ความเคลื่อนไหวของบริษัทอสังหาฯ ในแวดวงตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย นอกจากเรื่องประกาศผลประกอบการแล้ว บริษัทที่เตรียมเข้าเทรดหุ้นตอนนี้ อย่าง “บูทิค คอร์ปอเรชั่น” หรือ BC ได้เดินสายจัดงานโรดโชว์พบนักลงทุน เพื่อสรุปข้อมูลการเสนอขายหุ้นไอพีโอ 167 ล้านหุ้น และโชว์ความแข็งแกร่งในธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ รูปแบบสร้าง - ดำเนินงาน - ขาย หรือ BOS Model  เพื่อสร้างความเชื่อมั่น ก่อนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ภายในปลายปีนี้   นายปรับชะรันซิงห์ ทักราล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บูทิค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (BC)  เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้จัดงานสรุปข้อมูลการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่นักลงทุนและประชาชนทั่วไป (โรดโชว์)​ ที่จังหวัดกรุงเทพมหานคร เพื่อแนะนำธุรกิจ และสร้างความเชื่อมั่น ก่อนเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน (ไอพีโอ) จำนวนไม่เกิน 167 ล้านหุ้น ตามแผนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ภายในปลายปี 2562   โดยโครงการอสังหาริมทรัพย์รูปแบบ BOS Model วางเป้าหมายอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) ไม่ต่ำกว่า 15%  ซึ่งความสำเร็จของโครงการที่กลุ่มบริษัทฯ ก่อสร้าง ดำเนินงาน และจำหน่ายออกไปแล้ว (BOS Model) มีจำนวน 6 โครงการ รวมมูลค่าโครงการ 3,525 ล้านบาท และได้กำไรจากการขายโครงการรวมมูลค่าประมาณ 1,626 ล้านบาท พร้อมทั้ง เดินหน้าพัฒนาโครงการใหม่ในพื้นที่ที่มีศักยภาพทั่วประเทศ ได้แก่ กรุงเทพฯ ชั้นใน ย่านสุขุมวิทตอนต้น และเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญ เช่น พัทยา ภูเก็ต และเชียงใหม่  สำหรับผลประกอบการงวด 6 เดือนแรกของปี 2562 รายได้รวมอยู่ที่ 675.9 ล้านบาท เติบโต 56.7% จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 431.3 ล้านบาท (อ่านข่าวเพิ่มเติม)   AWC เทรดวันแรกปิดบวก 0.05 บาท   ส่วนบริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC บริษัทพัฒนาอสังหาฯ ในตระกูล “สิริวัฒนะภักดี” ของเสี่ยเจริญ เจ้าพ่ออาณาจักรเบียร์ช้าง ที่ได้เริ่มทำการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ เป็นวันแรกในวันที่ 10 ตุลาคมที่ผ่านมา ​ ซึ่งหุ้นของ AWC  ทำราคาปิดวันแรกบวกเพิ่ม 0.05 บาท หรือ +0.83%  จากราคาขาย IPO 6.00 บาท มีมูลค่าการซื้อขาย 8,130.18 ล้านบาท สำมารถทำราคาขึ้นไปได้สูงสุด 6.10 บาท และราคาลงต่ำสุด 6.00 บาท (อ่านข่าวเพิ่มเติม)   ไทยเตรียมจัดงานประชุมสภาประเมินราคาแห่งอาเซียน     ปิดท้ายกับข่าวของสมาคมผู้ประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย เตรียมจัดงานประชุมสภานักประเมินราคาแห่งอาเซียน ครั้งที่ 22  ในประเทศไทยเนื่องจากเป็นประเทศเจ้าภาพ  ระหว่างวันที่ 20-22 ตุลาคม 2562 ที่โรงแรมดุสิตธานี พัทยา ซึ่งมีนายกิตติ พัฒนพงศ์พิบูล ดำรงตำแหน่งประธานสมาคมผู้ประเมินราคาแห่งอาเซียนระหว่างปี 2562-2563 โดยสมาคมผู้ประเมินราคาแห่งอาเซียน The ASEAN Valuers Association (AVA) ก่อตั้งในปี 2524 ปัจจุบันมีประเทศสมาชิก 8 ประเทศในอาเซียน ลาว และเมียนมา   สำหรับการประชุมในครั้งนี้จะเป็นโอกาสสำคัญต่อการผลักดันให้ไทยได้ยกระดับวิชาชีพการประเมินราคาทรัพย์สิน เนื่องจากที่ผ่านมาประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายควบคุมวิชาชีพการประเมินราคาทรัพย์สินและไม่มีหน่วยงานตามกฎหมายที่จะกำกับดูแลมาตราฐานการประเมินราคา ประเทศไทยจึงได้เกิดปัญหาจากการประเมินราคาอยู่บ่อยครั้งตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยทางสมาคมได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับมาร่วมประชุม เพื่อให้เห็นถึงความสำคัญในการมีกฎหมายควบคุมมาตรฐาน และพัฒนาการด้านต่างๆ ของการประเมินราคาทรัพย์สินในแต่ละประเทศสมาชิก AVA    
รีวิวคอนโด ทองหล่อ Walden Thonglor 13 คอนโดดีไซน์สไตล์ Japanese tropical เรียบง่าย หรูหรา

รีวิวคอนโด ทองหล่อ Walden Thonglor 13 คอนโดดีไซน์สไตล์ Japanese tropical เรียบง่าย หรูหรา

Walden Thonglor 13 คอนโด ทองหล่อ ตั้งอยู่บนทำเลซ.ทองหล่อ 13 ที่สามารถทะลุออกไปได้หลายเส้นทาง ตัวอาคารออกแบบในสไตล์ Japanese tropical และมีดีไซน์ แบบมินิมอลลิสต์ มีรายละเอียดของความหรูหรา อาทิ wood facade ที่สร้างบรรยากาศ จำลอง เหมือนอยู่ในฟอร์เรส พร้อมภูมิสถาปัตย์แบบมีเส้นโค้งพร้อมด้วยลูกเล่นการใช้สายน้ำ ท่ามกลางบรรยากาศสีเขียวของธรรมชาติ สอดคล้องกับการออกแบบแนวโมเดิร์น รัสติกอินทีเรีย   ชื่อโครงการ Walden Thonglor 13 (วาลเด้น ทองหล่อ 13)  เจ้าของโครงการ บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป ลิสต์ 2 จำกัด ที่ตั้งโครงการ แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ 10110 พื้นที่โครงการ  1-0-23 ไร่ ลักษณะโครงการ Low Rise  จำนวนอาคาร 1 อาคาร  จำนวนชั้น 8 ชั้น จำนวนยูนิต 122 ยูนิต  ขนาดห้อง  1 Bed Room และ 1 Bed Room Plus 35 - 46 ตร.ม. จำนวน 76 ยูนิต 2 Bedroom 55 - 66 ตร.ม. จำนวน 46 ยูนิต   ที่จอดรถ Auto Parking 79 คัน สิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลาง Lobby, Onsen, Co-Working Space, Swimming pool&Jacuzzi, Kids’ Pool, Pool Terrace, Playground, Green Space, Sky garden, BBQ. Area, Waterfall, Arrival Platform Reflective, Pond Stone Seating, Guard House, Green Amphitheater ปีที่สร้างเสร็จ Q1 2022 ราคาเริ่มต้น  6.9 ล้านบาท จุดเด่นโครงการ สามารถเข้า-ออกได้หลายเส้นทาง อาคารออกแบบให้ดูเรียบง่าย ใกล้ชิดธรรมชาติ แต่ยังคงความหรูหราในความเป็น Luxury Low Rise ระบบขนส่งสาธารณะใกล้เคียง รถไฟฟ้าสายสีเขียว สถานีทองหล่อ สถานที่ใกล้เคียง Tops market Thonglor, J-Avenue, DONKI Mall Thonglor, Big C, Gateway Ekamai, Major Cineplex Sukhumvit,โรงพยาบาลสมิติเวช, โรงพยาบาลคามิลเลียน, โรงพยาบาลสุขุมวิท ภาพคอนโด ทองหล่อ โครงการ Walden Thonglor 13   รายละเอียดคอนโด ทองหล่อ Walden Thonglor 13 เพิ่มเติม Walden Thonglor 13   ข่าวอื่นๆ จากฮาบิแทท กรุ๊ป ฮาบิแทท ผนึกทุนญี่ปุ่น เปิด 2 โปรเจ็กต์ มูลค่า 2.8 พันล้าน  “ฮาบิแทท กรุ๊ป” ปั้นโปรเจ็กต์มิกซ์ยูส 4,500 ล้าน พร้อมบุกตลาดลูกค้าต่างชาติ ‘ฮาบิแทท กรุ๊ป’ เปิดเกมขยายตลาดต่างประเทศ ลุยโรดโชว์จีน-ฮ่องกง เชื่อศักยภาพตลาดยังแกร่ง  
รีวิวคอนโด ทองหล่อ Walden Thonglor 8 คอนโดใจกลางไลฟ์สไตล์ของทองหล่อ

รีวิวคอนโด ทองหล่อ Walden Thonglor 8 คอนโดใจกลางไลฟ์สไตล์ของทองหล่อ

Walden Thonglor 8 คอนโด ทองหล่อ ใกล้กับแหล่งไลฟ์สไตล์หลากหลาย ตัวอาคารออกแบบในสไตล์ของโมเดิร์น ลักชัวรี่ มอบความเป็นส่วนตัวจากความวุ่นวายใจกลางเมืองด้วยการจัดภูมิทัศน์ที่แวดล้อมด้วยความเป็นธรรมชาติ และสวนสีเขียว ความโดดเด่นของแต่ละยูนิตคือ Ultra High Ceiling Zone ที่มีความสูง 3.45 เมตร   ชื่อโครงการ Walden Thonglor 8 (วาลเด้น ทองหล่อ 8 )  เจ้าของโครงการ บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป ลิสต์ จำกัด ที่ตั้งโครงการ แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ 10110  พื้นที่โครงการ  1-0-2.7 ไร่ ลักษณะโครงการ Low Rise  จำนวนอาคาร 1 อาคาร  จำนวนชั้น 8 ชั้น จำนวนยูนิต 117 ยูนิต  ขนาดห้อง  1 Bed Room 32.5 ตร.ม. จำนวน 8 ห้อง 1 Bed Room Plus 42 - 46 ตร.ม. จำนวน 47 ห้อง 2 Bedroom 49 - 55 ตร.ม. จำนวน 44 ห้อง 2 Bedroom Deluxe 61 - 71 ตร.ม. จำนวน 18 ห้อง   เฟอร์นิเจอร์ Fully Fitted ที่จอดรถ Auto Parking 71 คัน สิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลาง Lobby Lounge, Playground, Kids’ Pool, Lap Pool, Jacuzzi, Pool Terrace, Waterfall, Sunken Seat, Onsen, Family Sharing Space, Edible Garden, Sky Hall Court ปีที่สร้างเสร็จ Q1 2022 ราคาเริ่มต้น 7.9 ล้านบาท  จุดเด่นโครงการ ทำเลใจกลางทองหล่อ แต่มีความเป็นส่วนตัวด้วยการจัดภูมิทัศน์ที่แวดล้อมด้วยความเป็นธรรมชาติ ได้ยูนิต Ultra High Ceiling 3.45 เมตร ระบบขนส่งสาธารณะใกล้เคียง รถไฟฟ้าสายสีเขียว สถานีทองหล่อ สถานที่ใกล้เคียง Tops market Thonglor, J-Avenue, DONKI Mall Thonglor, Big C, Gateway Ekamai, Major Cineplex Sukhumvit, โรงพยาบาลคามิลเลียน, โรงพยาบาลสุขุมวิท ภาพตัวอย่างคอนโด ทองหล่อ โครงการ Walden Thonglor 8   รายละเอียดคอนโด ทองหล่อ โครงการ Walden Thonglor 8 เพิ่มเติม Walden Thonglor 8   ข่าวอื่นๆ จากฮาบิแทท กรุ๊ป ฮาบิแทท ผนึกทุนญี่ปุ่น เปิด 2 โปรเจ็กต์ มูลค่า 2.8 พันล้าน  “ฮาบิแทท กรุ๊ป” ปั้นโปรเจ็กต์มิกซ์ยูส 4,500 ล้าน พร้อมบุกตลาดลูกค้าต่างชาติ ‘ฮาบิแทท กรุ๊ป’ เปิดเกมขยายตลาดต่างประเทศ ลุยโรดโชว์จีน-ฮ่องกง เชื่อศักยภาพตลาดยังแกร่ง  
รีวิวคอนโด ปุณณวิถี PITI SUKHUMVIT 101 พร้อมเซอร์วิชระดับโรงแรม 24 ชม.

รีวิวคอนโด ปุณณวิถี PITI SUKHUMVIT 101 พร้อมเซอร์วิชระดับโรงแรม 24 ชม.

PITI SUKHUMVIT 101 คอนโด ปุณณวิถี ใกล้รถไฟฟ้า ระดับ Premium Living เป็นแบรนด์ท็อปจากเสนา ออกแบบภายใต้คอนเซป “Concept Private Living at your service” มีความ PRIVATE ด้วยจำนวนยูนิต เพียง 168 ยูนิต ในอาคารสูง 19 ชั้น ออกแบบสไตล์ Loft เพดานสูง 2 เมตร ได้วิวพาโนรามา ให้ความเป็นส่วนตัวด้วย Single Corridor แต่ละชั้นออกแบบให้มีห้องพักอาศัยเพียงฝั่งเดียว มีเพียง 4-13 ยูนิตต่อชั้นเท่านั้น และเป็นตึกสูงตึกเดียวในย่านนี้ที่เน้นความเป็นส่วนตัว พร้อมบริการระดับโรงแรม 5 ดาว ตลอด 24 ชั่วโมง ด้วยบริการสุด Exclusive มากมาย ไม่ว่าจะเป็นบริการ Reception, Doorman, Bellboy และผู้ช่วยส่วนตัว Concierge Service รวมไปถึงอีกหลากหลายบริการ   ชื่อโครงการ PITI SUKHUMVIT 101 (ปีติ สุขุมวิท 101)  เจ้าของโครงการ Sena x Hankyu ที่ตั้งโครงการ ถ.สุขุมวิท แขวงบางจาก เขตพระโขนง กรุงเทพฯ  พื้นที่โครงการ  1-0-97 ไร่  ลักษณะโครงการ High Rise  จำนวนอาคาร 1 อาคาร  จำนวนชั้น 19 ชั้น จำนวนยูนิต 168 ยูนิต (160 ห้อง LOFT และ 8 ห้อง Simplex)  ขนาดห้อง  1 BEDROOM (Simplex) พื้นที่ 33-33.5 ตร.ม. จำนวน  8 ยูนิต 1 BEDROOM (Loft) พื้นที่ 26-34 ตร.ม. จำนวน 136 ยูนิต 2 BEDROOM (Loft) พื้นที่ 49-52.5 ตร.ม. จำนวน 22 ยูนิต 3 BEDROOM (Loft) พื้นที่ 68.5 ตร.ม. จำนวน 2 ยูนิต   ที่จอดรถ 55% สิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลาง Garden Valley Active Pavillion, Rooftop Garden, Co-Hobby Space, Fitness, Fight camp, Steam & Sauna, Infinity Pool, Jacuzzi, Valley Garden, TRX suspension exercise, Home Automation, EV Charger, Elite Services ปีที่สร้างเสร็จ 2655 ราคาเริ่มต้น 4.9 ล้านบาท  ราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตร ประมาณ 145,000 บาท/ตร.ม. ค่าส่วนกลาง  85 บาท/ตร.ม. ค่ากองทุน  850 บาท/ตร.ม. จุดเด่นโครงการ บริการระดับโรงแรม 5 ดาว ตลอด 24 ชั่วโมง มีความเป็นส่วนตัวสูงด้วย Single Corridor มีเพียง 4-13 ยูนิตต่อชั้นเท่านั้น ระบบขนส่งสาธารณะใกล้เคียง รถไฟฟ้าสายสีเขียว สถานีปุณณวิถี สถานที่ใกล้เคียง 101 The Third Place,เซ็นทรัลบางนา, ไบเทค บางนา, เมกา บางนา, แม็คโคร, บิ๊กซี, โลตัส, โรงพยาบาลไทยนครินทร์, โรงพยาบาลสุขุมวิท         ภาพคอนโด ปุณณวิถี  PITI SUKHUMVIT 101 ใกล้รถไฟฟ้า   รายละเอียดคอนโด ปุณณวิถี PITI SUKHUMVIT 101 เพิ่มเติม PITI SUKHUMVIT 101   โครงการอื่นๆ จาก SENA  Niche MONO Sukhumvit-Puchao Niche MONO Mega Space Bangna PITI EKKAMAI Niche ID Serithai–Wongwaen  
เปิดราคาบ้าน-คอนโดฯ ไตรมาส 3 ปรับเพิ่มทั่วหน้า บิ๊กอสังหาฯ อัดของแถมเรียกยอดขาย

เปิดราคาบ้าน-คอนโดฯ ไตรมาส 3 ปรับเพิ่มทั่วหน้า บิ๊กอสังหาฯ อัดของแถมเรียกยอดขาย

แม้ว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ปีนี้ จะลดระดับความร้อนแรง จากมาตรการ LTV ความกังวลใจต่อภาวะเศรษฐกิจ และกำลังซื้อชะลอตัว  ทำให้ผู้ประกอบการต้องปรับแผนเปิดตัวโครงการใหม่ ทั้งชะลอ ทั้งเลื่อนกำหนดการเปิด จากเดิมที่ตั้งใจเอาไว้  เป็นปรากฎการณ์ที่เห็นได้ชัด ว่าผู้ประกอบการทั้งหลายไม่มั่นใจตลาด หากปล่อยของออกมามากๆ แล้วจะขายได้หมด   แต่แม้โครงการใหม่ที่ออกมาทำตลาด ไม่ได้เป็นไปตามที่บอกไว้เมื่อต้นปี แต่สิ่งหนึ่งที่ยังไม่เปลี่ยนแปลง คือ การเพิ่มขึ้นของราคาที่อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นบ้านหรือคอนโดมิเนียม ขยับขึ้นทุกๆ โครงการ เหตุผลสำคัญ คงเป็นเพราะราคาที่ดินไม่ได้ถูกลง แถมจะปรับเพิ่มขึ้นมากเสียด้วย เพราะที่ดินมีจำกัดยิ่งในทำเลดีๆ เจ้าของมีสิทธิ์กำหนดราคาขายได้ตามความพอใจ โดยเฉพาะเจ้าของที่ดินที่ไม่ได้เดือดร้อนเรื่องการเงิน ที่ดินแพงก็เลยสะท้อนกลับมาที่ราคาของบ้านหรือคอนโดฯ   แม้ตลาดอสังหาฯ ปีนี้ไม่ค่อยดี แต่ต้นทุนผู้ประกอบการขยับขึ้น ราคาขายจำเป็นต้องปรับสูง ซึ่งอาจจะส่งผลต่อยอดขายที่จะชะลอตัว  สิ่งที่เป็นทางออกของผู้ประกอบการเลือกจะทำ คือ การใช้กลยุทธ์โปรโมชั่น ไม่ว่าจะเป็นของแถม ส่วนลด สิทธิพิเศษต่างๆ เพื่อมาทำให้ลูกค้าเห็นว่า ได้ความคุ้มค่าคุ้มราคา โดยเฉพาะโปรโมชั่นในส่วนของราคา ตอนนี้อาจจะเห็นกันเยอะหน่อย บางโครงการหั่นราคาขายต่ำกว่าช่วงพรีเซลล์ด้วยซ้ำ แต่บางโครงการก็ยังไม่ปรับขึ้นราคาขาย รอให้สภาวะตลาดฟื้นตัวดีกว่านี้ก่อน   คอนโดฯ ใหม่ราคาปรับเพิ่ม 7%   ​​​​​​​​​​​ ข้อมูลล่าสุดจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) โดย ดร. วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคาร กล่าวในฐานะรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ รายงานว่า ราคาห้องชุดคอนโดฯ ใหม่ ที่อยู่ระหว่างการขาย ในพื้นที่กรุงเทพฯ - จังหวัดนนทบุรี และสมุทรปราการ ปรับเพิ่มขึ้น 7% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน  และปรับเพิ่มขึ้น 1.7% เมื่อเทียบกับราคาในไตรมาสก่อนหน้า แม้ว่าราคาที่เพิ่มขึ้นจะเป็นอัตราที่ชะลอตัวลงมาต่อเนื่อง 2 ไตรมาสแล้วก็ตาม     การชะลอตัวของราคาอาจเป็นผลจากการชะลอตัวของภาวะตลาด ซึ่งสอดคล้องกับการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดในไตรมาส 2 ซึ่งลดลง  9% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน  และลดลง 27.7% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน  ส่งผลให้ผู้ประกอบการชะลอการปรับขึ้นราคาขาย และใช้วิธีการส่งเสริมการขายในการแข่งขันกันมากขึ้น   ถ้าดูเฉพาะพื้นที่กรุงเทพฯ  จะพบว่าราคาคอนโดฯ ใหม่มีการปรับเพิ่มขึ้น 7.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 1.8% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ส่วนพื้นที่ปริมณฑลทั้ง 2 จังหวัด มีราคาเพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 1.3% เมื่อเทียบกับช่วงไตรมาสก่อนหน้า ราคาบ้านจัดสรรปรับเพิ่ม 3.2%    มาดูราคาบ้านจัดสรรใหม่ที่อยู่ระหว่างการขายกันบ้าง ในช่วงไตรมาสที่ 3 มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นแค่ไหน จากข้อมูล พบว่ามีการปรับราคาเพิ่มขึ้น 3.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 0.8% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า  เมื่อดูตามพื้นที่แล้ว พบว่า ในเขตกรุงเทพฯ มีราคาปรับเพิ่มขึ้น 2.9% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน  และเพิ่มขึ้น 0.9% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า   ส่วนในพื้นที่ปริมณฑล 3 จังหวัดที่ทำการสำรวจ ได้แก่ จังหวัดนนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ มีราคาเพิ่มขึ้น 2.8% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน(YoY) และเพิ่มขึ้น 0.8% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า      โดยหากแยกเป็นบ้านจัดสรรประเภทบ้านเดี่ยว พบว่า ราคาบ้านเดี่ยว ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ไตรมาส 3 ปี 2562 เพิ่มขึ้น 3.3% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 1.1% เมื่อเทียบกับ ไตรมาสก่อนหน้า เฉพาะพื้นที่กรุงเทพฯ มีราคาเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.1% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น  1.3% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ส่วนในพื้นที่ปริมณฑล  ราคาเพิ่มขึ้น 2.5% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน  และเพิ่มขึ้น 1.1% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า     ส่วนราคาทาวน์เฮ้าส์ ในกรุงเทพฯ – ปริมณฑล ปรับเพิ่มขึ้น  3.1% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 0.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งในพื้นที่กรุงเทพฯ ราคาเพิ่มขึ้น 2.7% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 0.4% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่พื้นที่ปริมณฑล  ราคาเพิ่มขึ้น 3.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน  และเพิ่มขึ้น  0.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า อัดโปรฯ ของแถมกระตุ้นยอดขาย   วิธีการพื้นฐานตามหลักการตลาด 4P กลยุทธ์ P-Promotion มักจะถูกนำมาใช้เพื่อกระตุ้นยอดขาย ให้กับสินค้าและบริการเสมอ ในช่วงที่ตลาดชะลอตัว สำหรับตลาดอสังหาฯ  ก็ไม่หนีหนทางนี้  สำหรับตลาดคอนโดฯ รายการส่งเสริมการขายในไตรมาสนี้ ส่วนใหญ่ 57.4% จะเร่งรัดการตัดสินใจของผู้ซื้อด้วยของแถม เช่น เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า รองลงมา 31.2% เป็นส่วนลดเงินสด และ 11.4% จะช่วยผู้ซื้อจ่ายค่าธรรมเนียมในการโอนกรรมสิทธิ์ สอดคล้องกับรายการส่งเสริมการขายในไตรมาสก่อน ขณะที่ตลาดบ้านจัดสรรใหม่ที่อยู่ระหว่างการขาย  รายการส่งเสริมการขาย ส่วนใหญ่ 45.4% จะจูงใจผู้ซื้อโดยการเสนอด้วยของแถม เช่น เครื่องปรับอากาศ เฟอร์นิเจอร์ ผ้าม่าน ปั๊มน้ำ แท้งก์น้ำ  รองลงมา 37.1%จะช่วยผู้ซื้อจ่ายค่าธรรมเนียมในการโอนกรรมสิทธิ์ และ/หรือ ฟรีค่าส่วนกลาง และ 17.5% จะให้เป็นส่วนลดเงินสด ในขณะที่ไตรมาส 2 ปี 2562 รายการส่งเสริมการขาย ส่วนใหญ่ 59.7% เป็นของแถม เช่น เครื่องปรับอากาศ เฟอร์นิเจอร์ ผ้าม่าน ปั๊มน้ำ แท้งก์น้ำ ฯลฯ รองลงมา 27.0% จะให้เป็นส่วนลดเงินสดและ 13.3% จะช่วยผู้ซื้อจ่ายค่าธรรมเนียมในการโอนกรรมสิทธิ์ และ/หรือ ฟรีค่าส่วนกลาง        
LPN ขนอสังหาฯ พร้อมโอน หั่นราคาต่ำกว่าพรีเซลล์ รับสงครามราคา Q4

LPN ขนอสังหาฯ พร้อมโอน หั่นราคาต่ำกว่าพรีเซลล์ รับสงครามราคา Q4

แอล.พี.เอ็น. ทุ่ม 150  ล้าน เปิดแคมเปญ “ความพอดี ที่ดีกว่า” พร้อมโฆษณาแบรนด์ดิ้งครั้งแรกในรอบ 10 ปี  เตรียมขนที่อยู่อาศัยพร้อมโอน 1,000 ล้าน จัดลดราคาพิเศษต่ำกว่าพรีเซลล์  ขณะที่ไตรมาสสุดท้ายยังเดินหน้าเปิดตัวโปรเจ็กต์ใหม่ 4,000-5,000 ล้าน ดันเป้ายอดขายอสังหาฯ ทั้งปี 10,000 ล้าน     นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน)(LPN) เปิดเผยว่า ได้ใช้งบประมาณ 150 ล้านบาท  จัดทำแคมเปญ “ความพอดี ที่ดีกว่า” ผ่านหนังสั้น “Dream Home”  เพื่อสื่อสารการตลาดไปยังกลุ่มผู้บริโภคในปัจจุบัน  ซึ่งถือว่าเป็นการออกแคมเปญโฆษณาแบรนด์ดิ้งครั้งแรกในรอบ 10 ปี เป็นการถ่ายทอดปรัชญาการสร้างบ้านในแบบของบริษัท ที่ต้องการสร้างบ้านที่พอดีกับการใช้ชีวิตจริง  จากปัจจุบันที่ผู้ประกอบการสร้างบ้านและสร้างแบรนด์ที่อยู่อาศัยจนเกินความพอดี  สะท้อนออกมาทำให้ราคาที่อยู่อาศัยสูงเกินไป โดยเฉพาะการปรับขึ้นของราคาที่ดิน  ซึ่งบางทำเลสูงขึ้นมากกว่า 5 เท่าตัว   นอกจากการจัดทำแคมเปญดังกล่าว  บริษัทยังวางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ในรูปแบบบ้านเดี่ยว และคอนโดมิเนียม รวม 10 โครงการ  มูลค่ารวมประมาณ  15,000-16,000  ล้านบาท ตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ปีนี้ ต่อเนื่องไปจนถึงช่วงต้นปีหน้าด้วย  ซึ่งในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้  จะเปิดตัว 5 โครงการ  รวมมูลค่าประมาณ 4,000-5,000 ล้านบาท  ได้แก่  1. คอนโด High Rise ย่านเตาปูน จำนวน 800 ยูนิต มูลค่า 1,900 ล้านบาท 2. คอนโด Low Rise แจ้งวัฒนะ ซอย 10  จำนวน 476 ยูนิต มูลค่า 600 ล้านบาท 3.โครงการบ้านพักอาศัย ย่านลาดกระบัง ห่างจากสนามบินสุวรรณภูมิ 4 กม. จำนวน 400 แปลง มูลค่า 1,250 ล้านบาท  4.โครงการบ้านแฝด 2 ชั้น และบ้านทาวน์โฮมจำนวน 133 แปลง มูลค่า 750 ล้านบาท ย่านสุขุมวิท 113 และ 5.โครงการย่านพหลโยธิน 54/1 ห่าง BTS สะพานใหม่ (ในอนาคต) ระยะทาง 3 กม. จำนวน 253 แปลง มูลค่า 880 ล้านบาท   ส่วนโครงการที่เปิดตัวในปี 2563 ได้แก่ 1.คอนโด High Rise อาคารด้านหน้าจำนวน 719 ยูนิต  มูลค่า 1,600 ล้านบาท และอาคารด้านหลังจำนวน 788 ยูนิต มูลค่า 1,450 ล้านบาท บริเวณถนนแจ้งวัฒนะ ซอย 17  2. คอนโด Low Rise จำนวน 2,293 ยูนิต มูลค่าประมาณ 2,500 ล้านบาท ย่านเอกชัย แถวเซ็นทรัลพระราม 2  3.โครงการลุมพินี มิกซ์ นราธิวาส-รัชดา คอนโด High Rise มูลค่าประมาณ 3,000 ล้านบาท 4.โครงการ Baan 365 ย่านเมืองทองธานี จำนวน 182 แปลง มูลค่า 1,890 ล้านบาท  และ 5.โครงการบ้านแฝด 2 ชั้น 108 แปลง มูลค่า 650 ล้านบาท ย่านท่าข้าม-พระราม 2 นายโอภาส กล่าวอีกว่า  ในไตรมาสสุดท้ายบริษัทตั้งเป้าหมายยอดขาย 5,000 ล้านบาท  ซึ่งปัจจุบันมีโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จ พร้อมโอนกรรมสิทธิ์รวมมูลค่า 8,000 ล้านบาท และกำลังจะก่อสร้างแล้วเสร็จอีก 6,000 ล้านบาท  โดยมียอดขายรอรับรู้รายได้กว่า 4,000 ล้านบาท  ซึ่งเชื่อว่าในปีนี้จะสามารถทำยอดขายโดยรวมทั้งปี 11,000 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 10,000 ล้านบาท เป็นยอดขายจากโครงการคอนโดมิเนียม 7,000-7,500 ล้านบาท และยอดขายจากธุรกิจบริการและเช่ามูลค่า 1,000 ล้านบาท   “ตลาดอสังหาฯ  ในไตรมาสสุดท้าย ยังคงแข่งขันรุนแรง โดยเฉพาะการแข่งขันด้านราคา ตอนนี้ทุกคนเอาของที่มีอยู่ออกมาขาย บางโครงการลดราคาต่ำกว่าราคาพรีเซลล์ถึง 15% ก็มี”   โดยในช่วงวันที่ 30 ตุลาคมนี้ บริษัทยังเตรียมจัดแคมเปญการตลาด  โดยใช้กลยุทธ์ราคาพิเศษเพื่อมากระตุ้นยอดขาย ซึ่งจะมีราคาต่ำกว่าราคาพรีเซลล์  โดยเตรียมโครงการที่อยู่อาศัยในทำเลต่างๆ มาจัดแคมเปญ  คิดเป็นมูลค่ายอดขายประมาณ​ 1,000 ล้านบาท  จากโครงการพร้อมโอนกรรมสิทธิ์มูลค่า 8,000 ล้านบาท   แผนธุรกิจในปีนี้ของบริษัท จึงมุ่งเน้นการกระจายฐานรายได้ออกหลายๆ ส่วนเพื่อลดความเสี่ยง โดยยังคงรักษารายได้จากการสร้างและขายอาคารชุดพักอาศัยปีละหมื่นล้านบาท รวมถึงขยายการเติบโตของโครงการบ้านพักอาศัยอย่างน้อย 50% ของอาคารชุดพักอาศัย เมื่อรวมกับรายได้จากธุรกิจบริการอื่นๆ ก็เชื่อว่าจะสร้างรายได้และการเติบโตอย่างต่อเนื่อง    
รีวิวคอนโดใกล้ MRT สุทธิสาร MAXXI PRIME รัชดา-สุทธิสาร คอนโดสเปคจัดเต็ม คุ้มค่าทุกตารางนิ้ว

รีวิวคอนโดใกล้ MRT สุทธิสาร MAXXI PRIME รัชดา-สุทธิสาร คอนโดสเปคจัดเต็ม คุ้มค่าทุกตารางนิ้ว

ถือเป็นโครงการคอนโดมิเนียมตัวที่สองแล้วสำรับกลุ่มบริษัท แม็กซิมัสเอสเตท จำกัด โดยครั้งนี้เลือกทำเลสุทธิสารมาพัฒนาโครงการภายใต้คอนเซป “Live Your Life Prime” คอนโดใกล้ MRT สุทธิสาร ที่เดินถึงเพียงแค่ 4 นาที และยังอยู่ในละแวกที่เป็นชุมชน ตลาด และแหล่งอาคารสำนักงาน มีความโดดเด่นตรงที่ให้สเปคห้องมาแบบจัดเต็มแบบ Fully Furnished ในราคาที่จับต้องได้ง่าย เฉลี่ยเพียง 95,000 บาท/ตร.ม.   ชื่อโครงการ MAXXI PRIME Ratchada-Sutthisan (แม็กซี่ ไพร์ม รัชดา สุทธิสาร)  เจ้าของโครงการ บริษัท แม็กซี่ พรีเมียร์ วัน จํากัด ที่ตั้งโครงการ 58 ถ.สุทธิสารวินิจฉัย แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ 10310 พื้นที่โครงการ  1-2-86.7 ไร่ ลักษณะโครงการ Low Rise  จำนวนอาคาร 1 อาคาร  จำนวนชั้น 8 ชั้น จำนวนยูนิต 218 ยูนิต  ขนาดห้อง  1 BEDROOM 27.9-30 ตร.ม. 1 BEDROOM PLUS 40.95 ตร.ม. เฟอร์นิเจอร์ Fully Furnished  ที่จอดรถ 40% สิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลาง สระว่ายน้ำ jet pool ยาว 21 เมตร, Smart Locker, Co-working space, Co-kitchen space, Meeting room, Fitness, Sky-theater, โรงหนังลอยฟ้า, ลาน B.B.Q., ลู่วิ่งลอยฟ้า, Sky garden ราคาเริ่มต้น 1.99 ล้านบาท  ราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตร ประมาณ 95,000 บาท/ตร.ม. จุดเด่นโครงการ สเปคห้องดีได้เฟอร์นิเจอร์ครบ ราคาจับต้องได้ง่าย  ระบบขนส่งสาธารณะใกล้เคียง รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน สถานีสุทธิสาร สถานที่ใกล้เคียง เซ็นทรัลพลาซา แกรนด์ พระราม 9, ฟอร์จูนทาวน์, เอสพลานาด รัชดาภิเษก, เดอะ สตรีท รัชดา, เซ็นทรัลลาดพร้าว, ยูเนี่ยน มอลล์ ภาพคอนโดใกล้ MRT สุทธิสาร โครงการ MAXXI PRIME รัชดา-สุทธิสาร ห้องตัวอย่างคอนโดใกล้ MRT สุทธิสาร โครงการ MAXXI PRIME รัชดา-สุทธิสาร   รายละเอียดโครงการเพิ่มเติม MAXXI PRIME Ratchada-Sutthisan      
“ศุภาลัย” ประเมินตลาดอสังหาฯ ปกติ แย่สุดยังขายได้ 80,000 ยูนิต

“ศุภาลัย” ประเมินตลาดอสังหาฯ ปกติ แย่สุดยังขายได้ 80,000 ยูนิต

ฝ่ายวิจัย “ศุภาลัย” ประเมินยอดขายอสังหาฯ ปิดปี 62 แย่สุดยังขายได้ 80,000 ยูนิต แต่อาจจะไต่ระดับเท่าค่าเฉลี่ย 100,000 ยูนิต มองบวกตลาดอยู่ในภาวะปกติ แม้มีมาตรการ LTV เป็นผลกระทบระยะสั้น ดีเวลลอปเปอร์ยังคงโกยกำไรไม่ต่ำกว่า 20%    ดร.ประศาสน์ ตั้งมติธรรม กรรมการที่ปรึกษา บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า แนวโน้มการขายอสังหาริมทรัพย์โดยรวมของปีนี้  คาดว่าจะอยู่ในระดับ 100,000 ยูนิต ซึ่งเท่ากับค่าเฉลี่ยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่หากสถานการณ์ไม่ดีหรือผลกระทบจากปัจจัยลบมากขึ้น ยอดขายอสังหาฯ คาดว่าจะอยู่ในระดับ 80,000 ยูนิต  ซึ่งยอดขายดังกล่าวถือว่าเป็นภาวะตลาดปกติ  เพราะหากเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยยอดขายอสังหาฯ  ตั้งแต่ปี 2554-2561 จะอยู่ในระดับ 94,000-100,000 ยูนิต   โดยการประมาณการณ์ตลาดอสังหาฯ มีหลายตัวแปรที่เข้ามาเป็นปัจจัยในการพิจารณา ซึ่งหากนำปัจจัยเรื่องการเปิดตัวโครงการใหม่ของผู้ประกอบการ ที่ประกาศเปิดตัวในแต่ละเดือน จะพบว่ายอดขายอสังหาฯ ปีนี้ต่ำสุดจะอยู่ที่ 91,252 ยูนิต และอาจจะสูงสุดที่ 105,903 ยูนิต แต่หากนำเอาปัจจัยเรื่องการเติบโตทางเศรษฐกิจมาเป็นตัวแปรในการประเมิน จะพบว่ายอดขายอสังหาฯ ปีนี้ อาจจะทำได้ดีที่สุด ด้วยยอดขายถึง 116,000 ยูนิต หรือหากสถานการณ์เลวร้าย ตัวเลขยออขายจะทำได้เพียง 75,000 ยูนิตเท่านั้น     แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่าหากประเมินตัวเลขยอดขายของปีนี้  ถ้าทำได้เพียง 75,000 ยูนิต สถานการณ์ตลาดอสังหาฯ​ ก็ถือว่ายังอยู่ในภาวะปกติ เพราะหากคิดสัดส่วนยอดขายต่อจำนวนอสังหาฯ ที่มีในตลาด ออกมาเป็นเปอร์เซ็นต์การขายได้ ก็ถือว่ายังอยู่ในระดับปกติด้วยอัตรา 25% เพราะผู้ประกอบการยังสามารถทำกำไรขั้นต้นได้มากกว่า 20% ซึ่งเป็นเปอร์เซ็นต์การขายได้ตั้งแต่ช่วงปี 2554-2561 ยังไม่เคยต่ำกว่า 20%   ดร.ประศาสน์ กล่าวว่า แม้ในปีนี้จะมีมาตรการ LTV ออกมาบังคับใช้ แต่มองว่าส่งผลกระทบต่อตลาดอสังหาฯ ในระยะสั้นเท่านั้น เชื่อว่าในอนาคตสภาพตลาดจะปรับตัว รับกับมาตรการที่เกิดขึ้นได้ เพราะปัจจุบันความต้องการที่อยู่อาศัยยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง จากการเคลื่อนย้ายแรงงานเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ทำให้ต้องการที่พักอาศัยจากแรงงานเหล่านั้น   “ปีนี้ถือว่าตลาดอยู่ในภาวะปกติ ไม่ได้ดีหรือไม่ดี ถ้าอัตราการขายต่ำกว่า 20% จะถือว่าตลาดไม่ดี  ซึ่งตั้งแต่ปี 2554 อัตราการขายยังไม่ต่ำกว่า 20% รวมถึงปีนี้ด้วย”​   ทั้งนี้ จากการศึกษาถึงพฤติกรรมของความต้องการที่อยู่อาศัยรวม  ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลด้วยข้อมูลย้อนหลังตลอด 10 ปีที่ผ่านมา พบว่าอัตราการขายที่อยู่อาศัยเมื่อเทียบกับปริมาณหน่วยที่ออกขายโดยรวมในตลาดนั้นอยู่ที่ระดับประมาณ 30% ต่อปี และมีลักษณะเช่นนี้มาอย่างต่อเนื่องยาวนาน จึงสามารถสรุปได้ว่าภาวะความต้องการที่อยู่อาศัยรวมยังคงมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าอาจจะไม่ร้อนแรงเท่าปี 2561 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีกำลังซื้อจากต่างชาติเข้ามา และส่งผลให้ปีที่ผ่านมายอดขายที่อยู่อาศัยรวมทำลายสถิติสูงสุดตลอดกาลที่ประมาณ 120,000 หน่วย
ทำความรู้จัก “BC” ดีเวลลอปเปอร์ ที่พัฒนาโครงการขายทั้งโปรเจ็กต์สร้างกำไร

ทำความรู้จัก “BC” ดีเวลลอปเปอร์ ที่พัฒนาโครงการขายทั้งโปรเจ็กต์สร้างกำไร

ในบรรดาดีเวลลอปเปอร์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย การพัฒนาโครงการส่วนใหญ่จะเป็นรูปแบบที่อยู่อาศัย ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียม ซึ่งเป็นการพัฒนาเพื่อขาย  ให้กับผู้ที่ต้องการอยู่อาศัย หรือนักลงทุนในรูปแบบการปล่อยเช่าหรือเอาไปขายต่อเมื่อมีกำไร รองลงมาจะเป็นการพัฒนาโครงการประเภทโรงแรม ศูนย์การค้า สำนักงาน และนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งสร้างรายได้ให้กับดีเวลลอปเปอร์แบบระยะยาว หรือ Recurring Income จากอัตราค่าเช่า หรือค่าห้องพัก   แต่ในระยะเวลาอีกไม่นาน นับจากนี้จะมีดีเวลลอปเปอร์น้องใหม่ คือ บริษัท บูทิค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BC ที่มีรูปแบบการพัฒนาโครงการอสังหาฯ ในลักษณะ  “สร้าง -ดำเนินงาน-ขาย” หรือ BOS (Build-Operate-Sell) ซึ่งเป็นหนึ่งกลยุทธ์สำคัญในการดำเนินธุรกิจ เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) เพื่อระดมทุนไปต่อยอดพัฒนาธุรกิจในอนาคต  ซึ่งรูปแบบการดำเนินธุรกิจในลักษณะ BOS ถือว่าไม่ค่อยเห็นดีเวลลอปเปอร์ทำกันบ่อยหนัก     ทำความรู้จัก BOS Model  ปั้นโปรเจ็กต์เพื่อขาย ลักษณะการดำเนินธุรกิจของ  บูทิค คอร์ปอเรชั่น ประกอบด้วย 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ 1.กลุ่มธุรกิจโรงแรม เป็นการพัฒนาและบริหารโรงแรมภายใต้แบรนด์ซิทาดีนส์ ที่ปัจจุบันมี 4 แห่ง ได้แก่ ซิทาดีนส์ สุขุมวิท 8 ซิทาดีนส์ สุขุมวิท 11 ซิทาดีนส์ สุขุมวิท 16 และ ซิทาดีนส์ สุขุมวิท 23 2.การพัฒนาโครงการ ดำเนินงาน และขาย หรือ BOS และ 3.กลุ่มธุรกิจบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งให้บริการในทุกขั้นตอนตั้งแต่เริ่มต้นจนขายโครการ และการเรียกเก็บค่าบริการต่างๆ   สำหรับกลยุทธ์การพัฒนาโครงการอสังหาฯ  ในรูปแบบสร้าง-ดำเนินงาน-ขาย หรือ BOS  (Build-Operate-Sell) มีทั้งประเภทโรงแรม เซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ ศูนย์การค้า และอาคารสำนักงานให้เช่า ในพื้นที่ที่มีศักยภาพทั่วประเทศ ได้แก่ กรุงเทพฯ ชั้นใน ย่านสุขุมวิทตอนต้น และเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญ เช่น พัทยา ภูเก็ต และเชียงใหม่ โดยรูปแบบการพัฒนาดังกล่าวทำให้ BC สามารถเพิ่มผลตอบแทนจากการนำเงินกำไรที่ได้รับจากการขายโครงการไปลงทุนในโครงการที่มีศักยภาพใหม่ๆ ในอนาคต ได้ทันที ขั้นตอนของการสร้าง-ดำเนินงาน-ขาย มีดังนี้   การสร้าง (Build)   เริ่มตั้งแต่ขั้นตอนก่อนการพัฒนาโครงการ (Pre-Development Phase)  ได้แก่  การเลือกทำเลและจัดหาที่ดิน ซึ่งจะซื้อที่ดินตามแผนงานลงทุนเท่านั้น   ไม่มีนโยบายซื้อที่ดินเก็บไว้ และจะจัดหาที่ดินในกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ที่มีประชากรและนักท่องเที่ยวจำนวนมากเช่น จ.ภูเก็ต จ.เชียงใหม่ จ.ชลบุรี จ.ระยอง จ.กระบี่ เกาะสมุย และจังหวัดที่มีการขยายสนามบิน หรือเพิ่มจำนวนเที่ยวบิน   การศึกษาความเป็นได้ของโครงการ (Feasibility Study)  ทั้งทางกายภาพของโครงการ (Physical Feasibility Study)  ด้านกฎหมาย (Legal Due Diligence)  ทางการตลาด (Market Feasibility Study)  ทางการเงิน (Financial Feasibility Study) จัดซื้อที่ดิน  การจัดหาเงินลงทุนและผู้ร่วมทุน  หลังจากนั้นจะเป็น ขั้นตอนการพัฒนาโครงการ (Development Phase) ตั้งแต่การออกแบบและวางแผนก่อสร้าง  การขอใบอนุญาตต่างๆ  จนก่อสร้างแล้วเสร็จ   การดำเนินงาน (Operate) เมื่อโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จ บริษัทจะทำหน้าที่บริหารจัดการโครงการ เพื่อให้ได้ผลการดำเนินงานเป็นไปตามแผนที่วางเอาไว้  โดยปัจจุบันโครงการที่เปิดดำเนินการแล้วมีทั้งหมด 9 โครงการ เป็นโรงแรมภายใต้แบรนด์ซิทาดีนส์​4 แห่ง และโรงแรมโอ๊ควู้ด เรสซิเดนส์ สุขุมวิท 24 กรุงเทพฯ​โรงแรมโอ๊ควู้ด โฮเทล เจอร์นีย์ฮับ ภูเก็ต ป่าตอง สาย 3 ภูเก็ต วิลล่า 1 หนังบริเวณหาดป่าตองภูเก็ต โครงการโรงแรมโอ๊ควู้ด โฮเทล เจอร์นีย์ฮับ พัทยา จ.ชลบุรี และโรงแรมโนโวเทล เชียงใหม่ นิมมาน เจอร์นีย์ฮับ จ.เชียงใหม่ การขาย (Sell) เมื่อบริษัทดำเนินโครงการได้ระยะหนึ่ง จะพิจารณาขายโครงการให้แก่ผู้สนใจ โดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ ประกอบ ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทขายโครงการให้กับนักลงทุน และผู้สนใจโครงการไปแล้ว 6 โครงการ รวมมูลค่า 3,525 ล้านบาท  สามารถทำกำไรได้แล้วกว่า 1,626 ล้านบาท ซึ่งอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยต่อโครงการ (IRR) ที่ได้รับมาไม่ต่ำกว่า 15% ซึ่งโครงการที่ขายแล้ว ได้แก่ 1.โรงแรมโอ๊ควู๊ด อพาร์ทเม้นท์ ทริลเลี่ยนท์ สุขุมวิท 18 กรุงเทพฯ 2.โรงแรมโอโซ พัทยา 3.ศูนย์การค้าเรนฮิลล์ สุขุมวิท 47 4.โรงแรมไฮแอท เพลส ป่าตอง 5.ศูนย์การค้าซัมเมอร์ ฮิลล์ พระโขนง และ 6.โครงการอาคารสำนักงานให้เช่าซัมเมอร์ ฮับ พระโขนง   แต่สำหรับโรงแรมภายใต้แบรนด์ซิทาดีนส์ บริษัทจะพัฒนาและบริหารเพื่อสร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่มีแผนขายโครงการดังกล่าวให้กับนักธุรกิจ หรือกลุ่มนักลงทุน   นายปรับชะรันซิงห์ ทักราล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บูทิค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BC เปิดเผยว่า การใช้กลยุทธ์ BOS เพื่อต้องการหาผลตอบแทนจากการลงทุนสูงสุดให้กับนักลงทุน ซึ่งการพัฒนาโครงการสามารถใช้พื้นที่ขนาดเล็กตั้งแต่ 300 ตารางวา ในทำเลศักยภาพก็สามารถพัฒนาโครงการได้ โดยมีการลงทุนทั้งร่วมกับพันธมิตรที่บริษัทจะลงทุนไม่ต่ำกว่า 26% หรือพัฒนาโครงการเอง   สำหรับแผนการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ นั้น บริษัทต้องการนำเงินไปใช้  ใน 3 เรื่องหลัก ได้แก่ 1.เพื่อใช้สำหรับการลงทุนในโครงการเชียงใหม่ Nimman 2-3 โครงการ Summer Point โครงการโรงแรมแรมบนถนนสุขุมวิท 16 โครงการเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์บนถนนสุขุวิท 36 และโครงการกมลา 1-2  2.เพื่อจ่ายคืนหนี้สิน และ 3.เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบกิจการ   สำหรับผลประกอบการงวด 6 เดือนแรกของปี 2562 รายได้รวมอยู่ที่ 675.9 ล้านบาท เติบโต 56.7% จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 431.3 ล้านบาท มีสาเหตุหลักมาจากการขายโครงการ Summer Hill และ Summer Hub Office สนับสนุนให้กำไรสุทธิอยู่ที่ 348.5 ล้านบาท เติบโตขึ้น 122.4% จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 156.7 ล้านบาท      
รีวิวคอนโด เอกมัย Holme Ekkamai 22 คอนโดที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นเหมือนอยู่บ้าน

รีวิวคอนโด เอกมัย Holme Ekkamai 22 คอนโดที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นเหมือนอยู่บ้าน

Holme Ekkamai 22 คอนโด เอกมัย โครงการแรกของเอส เอ ฟิวเจอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ตั้งอยู่ใน ซ.ปรีดีพนมยงค์ 41 ซึ่งสามารถทะลุไปยังซ.เอกมัย 22 เน้นความเป็นส่วนตัวทั้งจากที่ตั้งโครงการเอง และจำนวนยูนิตที่ไม่มาก เปรียบเสมือนบ้านหลังหนึ่งของคุณ โดยจะเปิดให้ชมห้องตัวอย่าง 15 ต.ค. 62 ที่ ซัมเมอร์ฮิลล์ ติด BTS พระโขนง  ชื่อโครงการ Holme Ekkamai 22 (โฮล์ม เอกมัย 22)  เจ้าของโครงการ บริษัท เอส เอ ฟิวเจอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ที่ตั้งโครงการ ซ.ปรีดีพนมยงค์ 41 แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ 10110 พื้นที่โครงการ  0-3-99 ไร่ ลักษณะโครงการ Low Rise  จำนวนอาคาร 2 อาคาร  จำนวนชั้น 8 ชั้น จำนวนยูนิต 90 ยูนิต  ขนาดห้อง  1 BEDROOM 33.75-43.00 ตร.ม. 2 BEDROOM 60.50-77.25 ตร.ม. Duplex 66.75-101.00 ตร.ม. ที่จอดรถ 62% สิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลาง ล็อบบี้, สระว่ายน้ำ, ห้องออกกำลังกาย, ห้องซาวน่า-สตรีม, สวนดาดฟ้า, ห้องเด็กเล่น, ห้องสมุด, Co-working Space, Shuttle Service ราคาเริ่มต้น 3.9 ล้านบาท  ราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตร 118,000 ประมาณ บาท/ตร.ม. จุดเด่นโครงการ ความเป็นส่วนตัวสูงทั้งทำเลที่ตั้ง และจำนวนยูนิต 14 ยูนิต/ชั้น ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน สถานที่ใกล้เคียง  บิ๊กซี เอกมัย, Gateway Ekamai, Major Cineplex Sukhumvit, โรงพยาบาลสุขุมวิท, DONKI Mall Thonglor, โรงเรียนนานาชาติเอกมัย, โรงเรียนแอ๊ดเวนตีสเอกมัย               ภาพคอนโด เอกมัย โครงการ Holme Ekkamai 22   รายละเอียดคอนโด เอกมัย Holme Ekkamai 22 เพิ่มเติม Holme Ekkamai 22   โครงการคอนโดฯ อื่นในย่านเอกมัย Impression Ekkamai-Sukhumvit61 The FINE Bangkok PITI EKKAMAI
ซื้อคอนโด มีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง?

ซื้อคอนโด มีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง?

เวลาเราจะซื้อคอนโดฯ สักห้องหนึ่ง จะมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่นอกเหนือจากเงินดาวน์ เงินจอง ตามมาอีกไม่น้อยเลยนะครับ ลองมาดูกันดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง จะได้เตรียมตัว เตรียมใจ เตรียมตังค์ในกระเป๋าเอาไว้ทัน   ค่าใช้จ่ายเมื่อจะซื้อคอนโด เงินจอง (จ่ายครั้งเดียว) ราคาตั้งแต่ประมาณ 20,000 บาทขึ้นไป ขึ้นอยู่กับราคาห้องที่เราจะซื้อ   เงินทำสัญญา (จ่ายครั้งเดียว) เมื่อวางเงินจองแล้ว ถัดไปอีก 7-14 วัน ทางโครงการจะเรียกมาทำสัญญาจะซื้อจะขาย โดยมากเป็นจำนวนเงินก้อนที่มากกว่าเงินจองตั้งแต่หลักหมื่นไปจนถึงหลักแสน แล้วแต่ราคาห้องของเรา   เงินดาวน์ (จ่ายหลายครั้งเป็นงวดๆ ) การซื้อคอนโดในปัจจุบันจะเป็นการซื้อตั้งแต่โครงการกำลังสร้างอยู่ จึงมีการผ่อนดาวน์เป็นงวดๆ แล้วแต่โครงการจะกำหนด โดยจะดูระยะเวลาการก่อสร้างด้วย แต่เนื่องจากมีมาตรการปล่อยสินเชื่อเพื่อซื้อคอนโดได้ไม่เกิน 90% (LTV) ดังนั้นเงินดาวน์ที่ต้องมีทั้งหมด (เมื่อรวมกับเงินจอง และเงินทำสัญญาแล้ว) ก็มักจะอยู่ที่ประมาณ 10-15% ของราคาคอนโด   ราคาค่าซื้อคอนโดส่วนที่เหลือ (จ่ายครั้งเดียวโดยเราเองหรือธนาคารที่ให้กู้) ใครที่ซื้อเงินสดก็สามารถโอนราคาคอนโดฯ อีก 85% - 90% ของราคาคอนโดที่เหลือได้เลย แต่หากผู้ยื่นกู้กับธนาคารจะต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมอีก คือ ค่าประเมินราคาห้องชุด จ่ายในวันที่ไปทำเรื่องยื่นกู้ เฉลี่ยอยู่ที่ 2,000-3,000 บาท/1 ครั้ง/ธนาคาร (หากกู้ไม่ผ่านก็ไม่สามารถเอาเงินคืนได้), ค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย และค่าจดทะเบียนจำนอง ชำระให้สำนักงานที่ดินในอัตราร้อยละ 1 ของมูลค่าจดจำนอง (ซึ่งมูลค่าจดจำนอง ธนาคารจะเป็นคนกำหนด)   ค่าธรรมเนียมการโอน (จ่ายครั้งเดียว) จ่ายในวันโอนกรรมสิทธิ์ให้กับกรมที่ดิน โดยค่าธรรมเนียมจดทะเบียนการโอนอัตราร้อยละ 2 ของราคาประเมิน   ค่าอากรสแตมป์ (จ่ายครั้งเดียว) การจดทะเบียนโอนคอนโด กรมที่ดินจะเก็บค่าอากรแสตมป์ในอัตราร้อยละ 0.5 ของราคาซื้อขาย   เงินกองทุนสำรองส่วนกลาง (จ่ายครั้งเดียว) เงินกองกลางที่นิติบุคคลอาคารชุดจะเรียกเก็บไว้เป็น "กองทุนสำรอง" เพื่อใช้จ่ายในการบริหารจัดการคอนโดในระยะยาว  โดยจะคิดตามขนาดพื้นที่ห้องของเรา   ค่าประกันมิเตอร์ไฟฟ้า (จ่ายครั้งเดียว) เป็นการการวางเงินประกันการใช้มิเตอร์กับการไฟฟ้านครหลวง เฉลี่ยประมาณ 2,000 - 4,000 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดมิเตอร์ไฟฟ้า   ราคาพื้นที่ห้องที่เกินกว่ากำหนดตอนแรก (จ่ายครั้งเดียว) เมื่อห้องของเราสร้างเสร็จแล้ว แต่ได้พื้นที่เพิ่มขึ้นมา เราอาจต้องจ่ายเพิ่มสำหรับตารางเมตรที่เพิ่มขึ้น โดยยึดราคาที่ระบุไว้ในสัญญาจะซื้อจะขาย   ค่าใช้จ่ายเมื่อเป็นเจ้าของคอนโดแล้ว ค่าส่วนกลาง (จ่ายปีละครั้ง) เป็นค่าใช้จ่ายตาม พรบ.อาคารชุด เพื่อนำไปคิดตามขนาดพื้นที่ห้องเป็นตารางเมตรแล้วคูณด้วยอัตราค่าส่วนกลางต่อเดือน เพื่อนำไปบริหารจัดการทรัพย์สินส่วนกลาง   ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการใช้น้ำประปา (จ่ายตามที่นิติบุคคลฯ จะเรียกเก็บจากเรา) บางโครงการอาจมีการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับน้ำประปาเพิ่มเติม แล้วแต่โครงการว่าจะเรียกค่าใช้จ่ายนี้ว่าอะไรแล้วแต่ทางนิติบุคคล   เบี้ยประกันที่ธนาคารกำหนดให้เราทำ (จ่ายตามที่จะตกลงกับธนาคาร/บริษัทประกันภัย) ส่วนใหญ่เวลาเรากู้เงินซื้อคอนโดธนาคารที่ปล่อยกู้มักจะให้ทำประกันอัคคีภัยบนตัวคอนโด และรับผิดชอบจ่ายเบี้ยประกันไปด้วยเลย เพราะธนาคารถือว่าเงินที่ซื้อคอนโดเป็นเงินของธนาคาร ดังนั้น ถ้ามีความเสียหายและได้เงินมา ธนาคารควรมีสิทธิเอาเงินมาลดหนี้ก่อนเสมอ   ค่าเบี้ยประกันภัยอาคารชุดที่นิติบุคคลฯ เป็นคนทำประกัน (จ่ายตามที่นิติบุคคลฯ จะเรียกเก็บจากเรา) เบี้ยประกันเหล่านี้ ทางนิติบุคคลฯ ก็จะมาเรียกเก็บจากเจ้าของร่วมทุกคนตามสัดส่วนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ส่วนกลาง ซึ่งควรสอบถามทางนิติให้ดีว่าเป็นประกันอะไร เราจะได้ไม่ต้องไปทำประกันซ้ำซ้อน      
รีวิวคอนโด รามอินทรา The Origin รามอินทรา 83 สเตชั่น ติดรถไฟฟ้าสายสีชมพู บนอาณาจักร Smart City

รีวิวคอนโด รามอินทรา The Origin รามอินทรา 83 สเตชั่น ติดรถไฟฟ้าสายสีชมพู บนอาณาจักร Smart City

หลังจากได้รับกระแสตอบรับอย่างดีเยี่ยมจากโครงการบิ๊กโปรเจคอย่าง Origin Smart City Rayong ล่าสุดออริจิ้นก็ได้เปิดตัวโครงการ‘ ‘Origin Smart City Ramintra’’ มิกซ์ยูสเช่นเดียวกันขึ้นอีกอย่างไม่รอช้า คราวนี้ยกมาไว้ในกรุงเทพฯ ริมถนนรามอินทรา ห่างจากรถไฟฟ้าสายสีชมพู สถานีสินแพทย์ ไม่เกิน 100 เมตร  โดยในเฟสแรกนี้จะเป็นโครงการคอนโดมิเนียม Low Rise 8 อาคาร ใช้ชื่อว่า "The Origin Ramintra 83 Station"   ชื่อโครงการ The Origin Ramintra 83 Station (ดิ ออริจิ้น รามอินทรา 83 สเตชั่น) ที่ตั้งโครงการ ถ.รามอินทรา แขวงรามอินทรา เขตคันนายาว กรุงเทพฯ  พื้นที่โครงการ  1-3-63 ไร่ ลักษณะโครงการ Low Rise  จำนวนอาคาร 8 อาคาร  จำนวนชั้น 8 ชั้น จำนวนยูนิต 879 ยูนิต  ร้านค้า 3 ยูนิต ขนาดห้อง  1 BEDROOM 22.5-23 ตร.ม. 1 BEDROOM 26-27 1 BEDROOM Plus 31-34 2 BEDROOM 44-45 ตร.ม.   เฟอร์นิเจอร์ Fully Fitted  ที่จอดรถ 40% สิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลาง SKY GARDEN POCKET SEAT, SKY RUNNING, FITNESS, LAP POOL+ JACUZZI, PRIVATE DINING, CO-KITCHEN CO-DINING, CO WORKING SPACE, MEETING ROOM , VISITOR LOBBY, SMART LOCKER, HOTEL SERVICE ON DEMAND เป็นต้น ปีที่สร้างเสร็จ Q4/2564 ราคาเริ่มต้น 1.69 ล้านบาท  ราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตร 79,900 บาท/ตร.ม. จุดเด่นโครงการ เป็นหนึ่งในโครงการมิกซ์ยูสที่จะมีทั้ง คอมมูนิตี้มอลล์, ออฟฟิศ, โรงแรม ฯลฯ อยู่ติดริมถ.รามอินทรา ใกล้รถไฟฟ้าสายสีชมพู สถานีสินแพทย์ ไม่เกิน 100 เมตร  ระบบขนส่งสาธารณะใกล้เคียง รถไฟฟ้าสายสีชมพู สถานีสินแพทย์ สถานที่ใกล้เคียง The Promenade, แฟชั่นไอส์แลนด์, เซ็นทรัลรามอินทรา, Maxvalu, บิ๊กซี, เทสโก้ โลตัส, โรงพยาบาลสินแพทย์, โรงพยาบาลพญาไท นวมินทร์ ฯลฯ ภาพโครงการคอนโด รามอินทรา The Origin รามอินทรา 83 สเตชั่น   รายละเอียดคอนโด รามอินทรา โครงการ The Origin รามอินทรา 83 สเตชั่น เพิ่มเติม  The Origin Ramintra 83 Station   คอนโด โครงการอื่นจาก ORIGIN  THE ORIGIN Phahol-Saphanmai THE ORIGIN SUKHUMVIT 105 THE ORIGIN Ratchada-Ladprao Origin Smart City Rayong