Tag : condo

1488 ผลลัพธ์
3 บิ๊กอสังหาฯ ขนโปรเจ็กต์ “บ้านและคอนโดฯ” จัดแคมเปญออนไลน์ 11.11

3 บิ๊กอสังหาฯ ขนโปรเจ็กต์ “บ้านและคอนโดฯ” จัดแคมเปญออนไลน์ 11.11

เทศกาลช้อปปิ้งออนไลน์ “11.11” หรือวันที่ 11 พฤศจิกายน เกิดขึ้นจากแนวคิดของอาลีบาบา ในช่วงปี 2552 ที่ต้องการจัดแคมเปญในวันคนโสดของจีน ด้วยการลดราคาครั้งใหญ่ของปี ความสำเร็จของแคมเปญที่อาลีบาบาจุดประกายขึ้น ส่งผลให้ปัจจุบันทุกวันที่ 11 พฤศจิกายน นักการตลาดและแบรนด์สินค้าแทบทุกชนิด ใช้โอกาสนี้จัดแคมเปญเพื่อสร้างยอดขาย ที่สำคัญแคมเปญ 11.11 ลุกลามไปออกไปนอกประเทศจีน แน่นอน ประเทศไทยก็ไม่พลาดที่จะจัดทำแคมเปญนี้   ปัจจุบันมีแบรนด์สินค้ามากมายที่จัดทำแคมเปญ 11.11 ซึ่งไม่ใช่แค่สินค้าคอนซูเมอร์  แฟชั่น หรือสินค้าอุปโภคบริโภคเท่านั้นที่ทำแคมเปญนี้ แม้แต่สินค้าขนาดใหญ่อย่าง “บ้านและคอนโดมิเนียม” ยังเข้ามาขอมีส่วนร่วมกับแคมเปญ 11.11 ด้วยเช่นกัน อย่างน้อยๆ ปีนี้มีผู้ประกอบการ 3 รายที่จัดแคมเปญออนไลน์ 11.11 SC Asset x Lazada จอง 11 บาท รับส่วนลดสูงสุด 1 ล้าน นายณัฏฐกิตติ์  ศิริรัตน์ Head of Marketing บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ได้ร่วมกับกับ บริษัท ลาซาด้า ประเทศไทย จำกัด  รุกขยายฐานลูกค้าบนแพลตฟอร์มออนไลน์ จัดทำแคมเปญแคมเปญช้อปกับ Lazada “11.11 Biggest One Day Sale” ช้อปวันเดียวได้ทุกดีล 11 พฤศจิกายนนี้   ด้วยการนำ 9 โครงการ ทั้งคอนโดฯ  บ้านเดี่ยว และทาวน์โฮม ซึ่งมีราคาเริ่มต้น 3-9 ล้านบาท  ซึ่งสามารถจองเริ่มต้นเพียง 11 บาท ได้รับส่วนลดเพิ่มสูงสุด 1 ล้าน เฉพาะวันที่ 11 พฤศจิกายนนี้ และหากโอนภายในวันที่ 25 ธันวาคม 2562 จะได้รับเพิ่ม Cash back 10,000 บาท พร้อม iPhone 11   สำหรับโครงการที่จัดโปรโมชั่นในครั้งนี้  ได้แก่  โครงการเซ็นทริค รัชโยธิน  ใกล้รถไฟฟ้า BTS สถานีรัชโยธิน เพียง 150 เมตร โครงการแชมเบอร์ส เฌอ รัชดา-รามอินทรา บ้านเดี่ยว 3 โครงการ ได้แก่ โครงการเพฟ ประชาอุทิศ, รังสิต, ปิ่นเกล้า-ศาลายา บ้านเดี่ยวและบ้านแฝด โครงการวี คอมพาวด์ ราชพฤกษ์-ปิ่นเกล้า ทาวน์โฮม 3 โครงการ ได้แก่ โครงการเวิร์ฟ พระราม9, ติวานนท์-รังสิต และเพชรเกษม 81 "ออริจิ้น" เตรียม 13 โครงการ จอง 111 บาท  นายรัฐพล เตชะเลิศสิริมงคล  ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการตลาดองค์กร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า  หลังจากบริษัทได้เปิด Official Store ให้จองคอนโดฯ พร้อมอยู่ในแบบออนไลน์ผ่าน LazMall ถือว่าได้รับกระแสตอบรับดีเกินกว่าที่คาดหมายไว้  ทำให้บริษัทจับมือกับ Lazada อย่างต่อเนื่อง จัดโปรโมชั่นส่งท้ายปีกับการเปิดตัวแคมเปญ  11.11 CRAZY SALE  X 10 YEARS ORIGIN ร่วมฉลองครบรอบ 10 ปี ออริจิ้น   ด้วยการเปิดให้จองคอนโดฯ พร้อมอยู่ 13 โครงการ ใกล้รถไฟฟ้าและโครงการในพื้นที่อีอีซี ราคาเริ่มต้น 1.39 ล้านบาท ผ่านแอพฯ LazMall ด้วยเงินจองเพียง 111 บาท  เฉพาะวันที่ 11 พฤศจิกายน 2562 เท่านั้น  นอกจากนี้ ยังได้รับส่วนลดสูงสุด 2 ล้านบาท ค่าส่วนกลางฟรี 5 ปี ค่าจดจำนอง ค่าโอน 1% ค่ากองทุนอาคารชุด ค่าประกันมิเตอร์น้ำ, มิเตอร์ไฟ ตามเงื่อนไขของบริษัท   สำหรับโครงการที่บริษัทนำมาจัดโปรโมชั่น 13 โครงการ ได้แก่  1.ไนท์บริดจ์ พหลโยธิน อินเตอร์เชนจ์  2.เคนซิงตัน สุขุมวิท เทพารักษ์ 3.นอตติ้ง ฮิลล์ สุขุมวิท แพรกษา 4.นอตติ้ง ฮิลล์ สุขุมวิท 105 5.บี ลอฟท์ สุขุมวิท 107 6.บี ลอฟท์ ไลท์ สุขุมวิท 115 7.ไนท์บริดจ์ ดิ โอเชียน ศรีราชา 8.นอตติ้ง ฮิลล์ แหลมฉบัง 9.เคนซิงตัน เกษตร แคมปัส 10.นอตติ้ง ฮิลล์ จตุจักร อินเตอร์เชนจ์  11.ไนท์บริดจ์ สกาย ริเวอร์ โอเชี่ยน  12.ไนท์บริดจ์ ติวานนท์ และ13.ไนท์บริดจ์ ไพร์ม สาทร   พฤกษา จับมือ ช้อปปี้ ขายคูปอง 11 บาทได้ 200,000 บาท นางสาวอังคณา ลิขิตจรรยากุล รักษาการรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาดองค์กรกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน)  กล่าวว่า เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา พฤกษาได้มีการเปิดตัวร้านค้า “Pruksa Real Estate Official” อย่างเป็นทางการบนแพลทฟอร์มช้อปปี้ พร้อมเปิดตัวแคมเปญ 6.6 Mid-Year Sale  ซึ่งถือเป็นการเปิดประสบการณ์รูปแบบใหม่ในการซื้อที่อยู่อาศัยผ่านช่องทางออนไลน์  อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มช่องทางการขายให้เข้าถึงตลาดกลุ่มมิลเลนเนียลที่เป็นกลุ่มที่นิยมการใช้สื่อดิจิทัลมากขึ้น   ทั้งนี้เทรนด์การจับจ่ายผ่านช่องทางออนไลน์ของผู้บริโภคยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันช้อปปี้มีผู้ใช้งานชาวไทยมากกว่า 30 ล้านคน จึงได้ออกแคมเปญใหม่ “11.11 ลดอลัง ปังทุกยูนิต” เพียงกดซื้อคูปองผ่านช้อปปี้ในราคา 11 บาท  สามารถนำไปแลกรับส่วนลดมูลค่าสูงถึง 200,000 บาท ในการซื้อทาวน์โฮมพร้อมอยู่แบรนด์ บ้านพฤกษา พฤกษาวิลล์ เดอะคอนเนค และพาทิโอ ในยูนิตที่เข้าร่วมโครงการกว่า 111 ยูนิต ตั้งแต่วันนี้ – 30 พฤศจิกายน 62  พิเศษสำหรับ 11 ยูนิตแรกที่โอนบ้านภายในวันที่ 27 ธันวาคม 2562  รับเพิ่มอีก 11,111 Coins   นอกจากสิทธิประโยน์และข้อเสนอพิเศษสำหรับผู้ใช้ช้อปปี้ในช่วงแคมเปญ “11.11 ลดอลัง ปังทุกยูนิต” แล้ว ยังมีการมอบส่วนลดพิเศษ 1.5% ให้กับ Shopee Seller ที่ปัจจุบันมีอยู่มากกว่า 600,000 ราย เพื่อสนับสนุนให้ผู้ต้องการทำธุรกิจได้มีที่อยู่อาศัยพร้อมกับสามารถทำธุรกิจได้ควบคู่กัน โดยพฤกษามีบ้านหลากหลายแบบกว่า 14 แบรนด์ที่ออกแบบด้วยความเข้าใจ  และตรงตามความต้องการที่หลากหลายของลูกค้า ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียม  
รีวิวคอนโดย่านลาซาล ติดถนนใหญ่ Nue Noble ศรีนครินทร์-ลาซาล

รีวิวคอนโดย่านลาซาล ติดถนนใหญ่ Nue Noble ศรีนครินทร์-ลาซาล

Nue Noble ศรีนครินทร์-ลาซาล คอนโดมิเนียมจาก Noble Development ติดถนนศรีนครินทร์ ใกล้รถไฟฟ้าสายสีเหลือง สถานีศรีลาซาล ใกล้สิ่งอำนวยความสะดวกหลากหลายทั้งช่วงถนนศรีนครินทร์ และโซนลาซาล อาทิ ศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอลล์ ไฮเปอร์มาร์เก็ต ซุปเปอร์มาร์เก็ต รวมถึงโรงเรียนชื่อดังหลายแห่ง   Nue Noble ศรีนครินทร์-ลาซาล คอนโดฯ High Rise ที่ถูกดีไซน์ให้เกิดการอยู่อาศัยแบบ Community ตามไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ที่สนุกไปกับการได้ connect ไม่ว่าจะกับผู้คนหรือการเดินทาง Nue Noble ศรีนครินทร์-ลาซาล จึงได้ออกแบบ Facilities ที่สามารถรวมกิจกรรมโปรดของทุกคนเข้าไว้ด้วยกันอย่างสร้างสรรค์ เกิดเป็นความสนุกได้ทุกวัน            ชื่อโครงการ Nue Noble Srinakarin-Lasalle (นิว โนเบิล ศรีนครินทร์-ลาซาล)  เจ้าของโครงการ บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ที่ตั้งโครงการ ถ.ศรีนครินทร์ ต.สำโรงเหนือ อ.เมืองสมุทรปราการ จ.สมุทรปราการ  พื้นที่โครงการ  3-1-77.9 ไร่ ลักษณะโครงการ High Rise  จำนวนอาคาร 1 อาคาร  จำนวนชั้น 43 ชั้น จำนวนยูนิต 1,014 ยูนิต  ขนาดห้อง  Type S  22.00 - 22.80 ตร.ม. Type A  26.00 - 26.60 ตร.ม. Type A  30.40 ตร.ม. Type B  34.80 ตร.ม.   ที่จอดรถ 35% (ไม่รวมจอดซ้อนคัน) สิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลาง  Lounge Pool, steam, common step, library & co-working area, co-kitchen, party area, kids club, games room, entertainment room, karaoke room, vending machine room, Street Basketball, สระว่ายน้ำ, ฟิตเนส  ปีที่สร้างเสร็จ  2565 ราคาเริ่มต้น 1.59 ล้านบาท  ค่าส่วนกลาง 45 บาท/ตร.ม. ค่ากองทุน 600 บาท/ตร.ม. จุดเด่นโครงการ ติดถนนศรีนครินทร์ ใกล้รถไฟฟ้าสายสีเหลือง สถานีศรีลาซาล ระบบขนส่งสาธารณะใกล้เคียง รถไฟฟ้าสายสีเหลือง สถานีศรีลาซาล จุดขึ้น-ลงทางด่วน บูรพาวิถี เชื่อมต่อกับทางด่วนเฉลิมมหานคร สถานที่ใกล้เคียง แม็คโคร ศรีนครินทร์, บิ๊กซี ศรีนครินทร์, ฟู้ดแลนด์ ศรีนครินทร์, แจส เออเบิร์น ศรีนครินทร์, ซีคอนสแควร์, พาราไดซ์ พาร์ค, บิ๊กซี บางนา, เซ็นทรัล บางนา, เมกา บางนา, โรงพยาบาลศิครินทร์ ภาพ Facilities ภาพห้องตัวอย่าง   รายละเอียดโครงการเพิ่มเติม Nue Noble ศรีนครินทร์-ลาซาล   โครงการอื่นๆ จาก Noble NOBLE PLOENCHIT NOBLE STATE 39 Noble Around Ari Nue Noble Chaengwattana
สรุปข่าวอสังหาริมทรัพย์รอบสัปดาห์ วันที่ 4-10 พฤศจิกายน 2562

สรุปข่าวอสังหาริมทรัพย์รอบสัปดาห์ วันที่ 4-10 พฤศจิกายน 2562

นับตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา วงการอสังหาริมทรัพย์ก็มีข่าวดี หลังจากรอคอยมาตรการกระตุ้นธุรกิจอสังหาฯ ด้วยการลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนการโอนจากเดิม 2% เหลือ 0.01% และลดค่าจดทะเบียนจดจำนองอสังหาริมทรัพย์จากเดิม 1% เหลือ 0.01% สำหรับการซื้อขายที่อยู่อาศัยที่ดินพร้อมอาคารหรือห้องชุด ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ให้มีผลบังคับใช้เสียที หลังจากเดิมที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบมาก่อนหน้า  แต่ยังไม่ได้ระบุว่าจะให้มีผลเมื่อไร โดยมาตรการดังกล่าวได้ประกาศกระทรวงมหาดไทยในราชกิจจานุเบกษา ให้มีผลบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ 2 พฤศจิกายน 2562 เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 24 ธันวาคม 2563 ถือว่าเป็นข่าวดีที่รอคอย ซึ่งทำให้เกิดบรรยากาศความคึกคักมากขึ้น  และเป็นสัญญาณที่ดีต่อภาพรวมของตลาดอสังหาฯ เพราะดีเวลลอปเปอร์หลายราย เริ่มทำแคมเปญออกมารองรับ เพื่อสร้างยอดขายในช่วงเวลาสุดท้ายของปีนี้  แม้ระยะเวลาจะสร้างผลงานเหลือน้อยเต็มทีก็ตาม   ส่วนรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา มีความเคลื่อนไหวอะไรเกิดขึ้นบ้าง ในแวดวงอสังหาฯ​ ตลาดบ้านและคอนโดฯ  ไปอัพเดทกันเลย เปิดทรู ไอคอน ฮอลล์ 2,000 ล้าน หลังการเดินทางของ “ไอคอนสยาม” ศูนย์การค้าบิ๊กโปรเจ็กต์ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ครบรอบ 1 ปี  สิ่งต่างๆ ที่ได้ประกาศว่าจะดำเนินการออกมา ก็เป็นไปตามแผน ล่าสุด ได้เปิด “ทรู ไอคอน ฮอลล์” อย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นศูนย์การประชุมและการจัดแสดงงาน และความบันเทิงต่างๆ แห่งใหม่ของประเทศไทย บนพื้นที่ 12,000 ตารางเมตร ครอบคลุมพื้นที่ชั้น 7 และชั้น 8 ของโครงการไอคอนสยาม โดยถือเป็นศูนย์การประชุมที่ทันสมัยขนาดใหญ่แห่งแรกในพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา   นายสุพจน์ ชัยวัฒน์ศิริกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอคอนสยาม จำกัด เปิดเผยว่า ทรู ไอคอน ฮอลล์ ซึ่งเป็นหนึ่งใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของไอคอนสยาม คืออีกหนึ่งสถานที่ที่เป็นความภาคภูมิใจของชาติ และเป็นศูนย์การประชุม การจัดแสดงงานและความบันเทิงที่ล้ำสมัยที่สุดเท่าที่ประเทศไทยเคยมีมา ซึ่งจะดึงดูดงานประชุมและการแสดงที่สำคัญและเหนือระดับอย่างไม่เคยมีมาก่อน เข้าสู่ประเทศไทย โดยความโดดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์ของ ทรู ไอคอน ฮอลล์ อยู่ที่ทัศนียภาพที่สวยงามอลังการแบบพาโนรามาของแม่น้ำเจ้าพระยา”   “การเปิดทรู ไอคอน ฮอลล์ จะเป็นตัวขับเคลื่อนที่ทรงพลังตัวใหม่ ที่มาช่วยกระตุ้นอุตสาหกรรมไมซ์ (Meetings, Incentives, Conventions & Exhibitions: MICE) ของไทยให้เติบโต รวมทั้งช่วยกระตุ้นการพัฒนาพื้นที่ฝั่งธนบุรีด้วย นอกจากนั้น ยังช่วยให้โรงแรมระดับ 4-5 ดาวริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยามีอัตราการเข้าพักสูงขึ้น ตอกย้ำความเป็นจุดหมายปลายทางระดับโลกแห่งใหม่ของแม่น้ำเจ้าพระยาได้เป็นอย่างดี”   กลุ่มทุนไต้หวันเดินหน้าลุยอสังหาฯ การเปิดตัวโครงการใหม่ ยังมีออกมาอย่างต่อเนื่อง และไม่ใช่เฉพาะผู้ประกอบการคนไทยเท่านั้น โครงการจากกลุ่มทุนต่างชาติก็มีออกมาต่อเนื่องเช่นกัน  เพราะยังคงมั่นใจในตลาดอสังหาฯ  เมืองไทย ล่าสุด กลุ่มทุนจากไต้หวัน ‘พีทีเอฟ เรียลตี้’ เปิดโครงการ  “MAYFAIR PLACE VICTORY MONUMENT ” มูลค่าโครงการ 1,200 ล้านบาท ด้วยการชูจุดขายในเรื่องการันตีผลตอบแทน Yield 5% นาน 2 ปี นายถงหยุ่ย โทนี่ ยิ่ง กรรมการผู้บริหาร บริษัท พีทีเอฟ เรียลตี้ (2018) จํากัด ในเครือ พีทีเอฟ เรียลตี้ เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในไทยว่า แม้ในปีนี้ตลาดจะอยู่ในภาวะชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจ แต่ก็ยังเชื่อมั่นว่าในอนาคตจะกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นในอีก 1-2 ปี ข้างหน้า ในขณะเดียวกันตลาดผู้บริโภคยังมีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัย และประเทศไทยมีแนวโน้มการลงทุนที่ดี เมื่อเทียบกับหลายประเทศในภูมิภาคอาเซียนด้วยกัน   สำหรับในส่วนของกลุ่มบริษัทพีทีเอฟ เรียลตี้นั้น ได้มีการลงทุนในธุรกิจอสังหาฯมาอย่างต่อเนื่องตลอดกว่า 10 ปีที่เข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศไทย แต่การลงทุนพัฒนาอสังหาฯของบริษัทฯนั้นจะเป็นในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป ไม่หวือหวาซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมมาแล้ว 4 โครงการรวมมูลค่ากว่า 5,400 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการคอนโด เดอะ ราชดำริ, โครงการเมแฟร์ เพลส สุขุมวิท 64 ,โครงการเมแฟร์ เพลส สุขุมวิท 50 โดยทั้ง 3 โครงการดังกล่าวปิดการขายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนโครงการที่ 4 คือโครงการDEFINE by Mayfair สุขุมวิท 50 ปัจจุบันมียอดขายกว่า 60% จากมูลค่าโครงการ 800 ล้านบาท เริ่มก่อสร้าง ปี 2562 คาดว่าจะแล้วเสร็จปลายปี 2563 (อ่านข่าวเพิ่มเติม) เปิดตัว “สมาคมไทยบิม” รับมือดิจิทัล เป็นเพราะเทคโนโลยี และดิจิทัลได้เข้ามามีส่วนสำคัญในชีวิตของคนปัจจุบันในทุกเรื่อง ส่งผลให้ทุกวงการต้องปรับตัวรับมือให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว รวมถึงวงการก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ไทยด้วย  โดยเฉพาะในเรื่องการออกแบบและการก่อสร้าง เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญ  อย่างเช่นการออกแบบ 3 มิติ ที่ใช้คอมพิวเตอร์อย่าง “BIM” (Building Information Modeling) แต่เพื่อเป็นมาตรฐานและการยอมรับในระดับสากล จำเป็นต้องมีคนมาคอยตรวจสอบและกำกับดูแล ทำให้เกิดมีการจัดตั้งเป็นสมาคมแบบจำลองสารสนเทศอาคาร (TBIM) ขึ้นมา   ศ.ดร.อมร พิมานมาศ ศาสตราจารย์สาขาวิศวกรรมโยธา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในฐานะนายกสมาคมแบบจำลองสารสนเทศอาคาร (TBIM) เปิดเผยว่า ในอนาคตเทคโนโลยีจะเข้ามา Disrupt ธุรกิจก่อสร้างมากยิ่งขึ้น ทำให้อุตสาหกรรมก่อสร้างและงานออกแบบของไทยต้องเร่งพัฒนาศักยภาพและเพิ่มประสิทธิภาพด้านงานออกแบบรองรับเศรษฐกิจยุคไทยแลนด์ 4.0 เป็นการปฏิรูปหรือปฏิวัติอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยโฉมใหม่ทั้งระบบ เพื่อสามารถแข่งขันกับต่างชาติได้ทุกรูปแบบและองค์กรเติบโตก้าวทันกระแสการพัฒนาของโลก   เนื่องจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ต่างชาติในปัจจุบันนี้กำลังเปลี่ยนโฉมงานออกแบบใหม่ไปสู่ระบบ 3 มิติ ด้วยการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า “BIM” (Building Information Modeling)  ซึ่งในขณะนี้กระบวนการ BIM ในประเทศไทย ยังไม่มีมาตรฐานการทำงานที่ชัดเจน จึงมีความจำเป็นที่จะต้องมีองค์กรกลาง คือ สมาคมแบบจำลองสารสนเทศอาคาร (Thai Building Information Modeling Association; TBIM) เพื่อช่วยสร้างกรอบการทำงาน และมาตรฐานให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน   โดยระบบ BIM จะสร้างแบบจำลองเสมือนจริงใน Computer ทำให้ผู้ทำงานเกี่ยวข้องสามารถเห็นส่วนประกอบทุกส่วนตรงกัน โดย BIM จะสร้างเป็นโมเดล 3 มิติขึ้นมาพร้อมกับ Intelligent Information อาทิ รายละเอียดวัสดุ เพื่อคำนวนปริมาณวัสดุก่อสร้าง ปรับปรุงกระบวนการออกแบบก่อสร้างและคำนวนพลังงานที่จะใช้ในอาคาร สร้างแบบจำลอง หรือ Digital Prototype Model ที่เสมือนจริง และเปลี่ยนจากการสร้างแบบบนกระดาษมาสู่เทคโนโลยีดิจิทัลและประสานข้อมูลบน Cloud สะดวกในการทำงานนอกสถานที่โดยสามารถใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อย่าง Tablet ได้อีกด้วย ซึ่งจะนำไปสู่การส่งมอบอาคารที่มีคุณภาพสูงขึ้นจากมาตรฐานของตลาดในปัจจุบัน (อ่านข่าวเพิ่มเติม)   เมืองไทยประกันชีวิต ลุยธุรกิจอสังหาฯ ดูเหมือนธุรกิจอสังหาฯ จะเป็นตลาดที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนเป็นที่น่าพอใจ ทำให้หลายคนอยากเข้ามาเป็นผู้ประกอกบการด้านอสังหาฯ ไม่เว้นแม้กระทั้งเมืองไทยประกันชีวิต ที่ได้กระโดดเข้ามาพัฒนาโครงการสำนักงานให้เช่า เพราะมองเห็นโอกาสจากความต้องการที่มีอยู่มากมาย ประกอบกับเคยมีประสบการณ์บริหารอาคารเมืองไทยภัทรมาก่อน ล่าสุด จึงเปิดตัวโครงการอาคารสำนักงาน 66 Tower (ซิคตี้ซิกส์ ทาวเวอร์)    นายสาระ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ MTL เปิดเผยว่า ได้ขยายธุรกิจมาสู่อสังหาริมทรัพย์  ด้วยการลงทุนพัฒนาโครงการอาคารสำนักงานเกรด A ภายใต้ชื่อ 66 Tower (ซิคตี้ซิกส์ ทาวเวอร์) มูลค่า 3,800 ล้านบาท บนเนื้อที่ 4 ไร่ อยู่บริเวณถนนสุขุมวิท 66 ห่างจากสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส อุดมสุข 150 เมตร ปัจจุบันได้ก่อสร้างแล้ว 15% มีกำหนดแล้วเสร็จในไตรมาส 2 ปี 2564 (อ่านข่าวเพิ่มเติม) “ASA” จัดงาน ASA Real Estate Forum 2019 ปิดท้ายกับการจัดงานอาษา เรียลเอสเตท ฟอรัม 2019 ( ASA Real Estate Forum 2019 ) โดยสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ (ASA) ภายใต้คอนเซ็ปต์งาน  “เมืองอัจฉริยะ เมืองนวัตกรรม เมืองเพื่อทุกคน” ชวนทุกภาคส่วนร่วมวางรากฐานสร้างเมืองอัจฉริยะเมืองนวัตกรรม ชูการสร้างเอกลักษณ์เมือง (City Identity) เน้นความต่างเป็นจุดขายเพื่อพัฒนาเมืองแห่งอนาคตที่ยั่งยืน   นายอัชชพล ดุสิตนานนท์ นายกสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดเผยว่า ในการสร้างเมืองอัจฉริยะและเมืองนวัตกรรมมีจุดมุ่งหมายเพื่อยกระดับคุณภาพของประชาชนอย่างตรงจุด โดยการนำเทคโนโลยีเข้าไปปรับใช้ พร้อมกับการออกแบบโครงสร้างอาคาร ที่อยู่อาศัยให้เกิดประโยชน์การใช้สอยอย่างเต็มประสิทธิภาพ และตอบสนองความต้องการของประชาชนในแต่ละพื้นที่ เนื่องจากในแต่ละพื้นที่ มีอาชีพและวิถีชีวิตที่ต่างกัน ในการพัฒนาเมืองอัจฉริยะและเมืองนวัตกรรม จึงต้องสร้างเมืองที่มีความโดดเด่นเฉพาะตัว (City Identity) กำหนดทิศทางที่ชัดเจนและสอดรับกับความต้องการในพื้นที่   โดยที่ผ่านมาภาครัฐได้มีการวางองค์ประกอบของเมืองอัจฉริยะใน 7 ด้าน ที่ช่วยให้แต่ละพื้นที่ มีทิศทางการพัฒนาที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ประกอบด้วย 1. Smart Environment สิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ 2. Smart Government การปกครองอัจฉริยะ 3. Smart Mobility การสัญจรอัจฉริยะ 4. Smart Energy พลังงานอัจฉริยะ 5. Smart Economy เศรษฐกิจอัจฉริยะ 6. Smart Living การใช้ชีวิตอัจฉริยะ และ 7. Smart People ประชาชนอัจฉริยะ   ภายในงานมีการถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ผ่านงานสัมมนา อาทิ สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย สมาคมการผังเมืองไทย สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) อีกทั้งในการจัดงานครั้งนี้ยังได้รับเกียรติจาก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี บรรยายในหัวข้อ อนาคตประเทศไทย อนาคตเมืองนวัตกรรมสำหรับทุกคน และนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีตรองนายกรัฐมนตรี บรรยายในหัวข้อ Thailand : Country of Opportunities & Equality    
รีวิวคอนโดติดทางด่วน เมทริส พัฒนาการ–เอกมัย

รีวิวคอนโดติดทางด่วน เมทริส พัฒนาการ–เอกมัย

เมทริส พัฒนาการ–เอกมัย คอนโดมิเนียมจาก Major Development ติดทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ เชื่อมต่อเข้าถนนเพชรบุรีได้อย่างง่ายดาย เพียง 5 นาที ถึงเอกมัย-ทองหล่อ และยังใกล้กับแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ สถานีรามคำแหง    เมทริส พัฒนาการ–เอกมัย มีการออกแบบภายในได้แรงบันดาลใจจากยุค Mid- Century Modern สไตล์เรียบเท่บนเส้นสายที่โค้งมน เรียบง่าย แต่มีชีวิตชีวา อย่างการใช้โทนสีที่มีเอกลักษณ์อย่าง สีเหลือง Mustard หรือ สีเขียว Sage ประกอบกับวัสดุปูนเปลือย ผิวสัมผัสไม้ ตัดกับความหรูหราจากหินอ่อน  เพื่อสร้างจุดเด่นให้กับพื้นที่อย่างแตกต่าง และสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการที่หลากหลาย ทั้ง Indoor-Outdoor รองรับไดุ้กความต้องการไม่ว่าจะชอบออกกำลังกายหรือพักผ่อน ชื่อโครงการ Metris Pattanakarn-Ekkamai (เมทริส พัฒนาการ–เอกมัย)  เจ้าของโครงการ บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ เอสเตท จำกัด ที่ตั้งโครงการ ซ.พัฒนาการ 12 ถ.พัฒนาการ เขตสวนหลวง แขวงสวนหลวง กรุงเทพฯ 10240  พื้นที่โครงการ 2-1-65 ไร่  ลักษณะโครงการ High Rise  จำนวนอาคาร 1 อาคาร  จำนวนชั้น 29 ชั้น จำนวนยูนิต 341 ยูนิต  ขนาดห้อง  1 Bedroom 1 Bathroom 29.80 – 31.30 ตร.ม. 2 Bedroom 1 Bathroom 53.40-54.30 ตร.ม. 2 Bedroom 2 Bathroom 57.10-61.90 ตร.ม.   เฟอร์นิเจอร์ Fully Fitted  ที่จอดรถ 46% สิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลาง Lobby, Co-Working Space, Pet Zone, Meeting Room, Jogging Track, สระว่ายน้ำ, ฟิตเนส, ซาวน่า, Jogging Track, ลานบาสเก็ตบอล, ลานบาร์บีคิว, CCTV, เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย 24 ชม.  ปีที่สร้างเสร็จ เดือนกุมภาพันธ์ 2564 ราคาเริ่มต้น 2.5 ล้านบาท  ราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตร ประมาณ 90,000 บาท/ตร.ม. จุดเด่นโครงการ 100 เมตร จาก ทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ ด่านพัฒนาการ 1, เลี้ยงสัตว์ได้ โดยมีลานสำหรับสัตว์เลี้ยงที่ส่วนกลางโดยเฉพาะ ระบบขนส่งสาธารณะใกล้เคียง แอร์พอร์ต เรล ลิงก์ สถานีรามคำแหง จุดขึ้น-ลงทางด่วน ทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ ด่านพัฒนาการ 1 สถานที่ใกล้เคียง Food Land, The Mall รามคำแหง, สนามราชมังคลากีฬาสถาน, London Street, Tesco Lotus, MaxValue , รพ.เพชรเวช, รพ.กรุงเทพ, สถาบันเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่น, ม.เกษมบัณฑิต, ม.อัสสัมชัญ  ภาพ Facilities ภาพห้องตัวอย่าง   รายละเอียดโครงการเพิ่มเติม เมทริส พัฒนาการ–เอกมัย   ข่าวอื่นๆ จาก เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ประเดิมบ้านเดี่ยวระดับ Super Luxury คอนโดฯ ริมหาดพัทยามาแรง “นาจอมเทียน” ฮอต เมเจอร์ฯ ขนคอนโดฯ 13 โครงการ จัดแคมเปญ
รวมโปรโมชั่นบ้าน-คอนโด เดือนพฤศจิกายน 2562

รวมโปรโมชั่นบ้าน-คอนโด เดือนพฤศจิกายน 2562

โปรโมชั่นบ้าน-คอนโด ช่วง 2 เดือนสุดท้ายที่มีมาตรการรัฐลดค่าธรรมเนียมการโอน-จดจำนองมาช่วยกระตุ้นภาคอสังหาฯ โดยการโอนจากเดิม 2% เหลือ 0.01% และลดค่าจดทะเบียนจดจำนองอสังหาริมทรัพย์จากเดิม 1% เหลือ 0.01% สำหรับการซื้อขายที่อยู่อาศัยที่ดินพร้อมอาคารหรือห้องชุด ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อหน่วย ต้องมาดูกันแล้วค่ะว่าจะมีโปรโมชั่นไหนที่ตอบรับมาตรการนี้ได้ดีบ้าง   อนันดา จัดงาน “IDEO Experience 2019” เปิดประสบการณ์ที่อยู่อาศัยใหม่จากแบรนด์ “ไอดีโอ”คอนโดใกล้รถไฟฟ้า พบ 2 โครงการใหม่ล่าสุด และ 2 โครงการพร้อมอยู่   ได้แก่ สามย่าน / พระโขนง / วงเวียนใหญ่ / ท่าพระ ราคาเริ่มต้น 2.69 – 3.69 ล้านบาท ที่ให้คุณออกแบบเวลาชีวิตได้อย่างลงตัว พร้อมจำลองบรรยากาศพื้นที่ส่วนกลางให้ได้สัมผัสก่อนใคร  วันที่ 3-11 พฤศจิกายน 2562 ที่ สามย่าน มิตรทาวน์ ชั้น G   LIFE LADPRAO VALLEY 11 วัน ราคาเดียว Life Ladprao Valley คอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้า สถานีห้าแยกลาดพร้าว จัดโปรโมชั่น 11 วัน 11 ยูนิตหลุดดาวน์ 1 ห้องนอน 35 ตร.ม. ราคาเดียว 5.19 ล้าน* วันที่ 1-11 พ.ย. 62    CMC BIG THANKS ช่วยผ่อนนานสูงสุด 10 ปี หรือฟรีทองคำมูลค่า 9 บาท  บริษัท เจ้าพระยามหานคร จำกัด (มหาชน) หรือ CMC จัดงานใหญ่ส่งท้ายปี ในงาน“CMC BIG THANKS” ขนทัพโครงการคุณภาพ ทำเลเด่น ตามแนวรถไฟฟ้า พร้อมจัดโปรโมชั่นเด็ดสุดคุ้มที่รอให้คุณเข้าไปจับจอง ไม่ว่าจะเป็น ซื้อตอนนี้ CMC ช่วยผ่อนนานสูงสุดถึง 10 ปี, แจกฟรีI PHONE11 PRO, ทองคำมูลค่า 9 บาท  และรางวัลอื่นๆ อีกมากมาย   แล้วพบกันในงาน ‘’CMC BIG THANKS” ตั้งแต่วันที่ 15-17 พฤศจิกายน 2562 เวลา 10.30–19.00 น. ณ CMC Privilege Lounge ชั้น 7 โรงภาพยนตร์ ไอคอน ซีเนคอนิค ศูนย์การค้าไอคอนสยาม   “ออริจิ้น” ฉลอง 10 ปี ลดแรง! คอนโดพร้อมอยู่ลดสูงสุด 2 ล้านบาท ออริจิ้น ฉลองครบรอบ 10 ปี ส่งโปรแรงแซงมาตรการรัฐ ภายใต้แคมเปญ10 ปี Origin ลดกระหน่ำสะท้านวงการ สูงสุด 2 ล้านบาท ร่วมกับ 12 คอนโดพร้อมอยู่ ทำเลรถไฟฟ้า ราคาเริ่มต้น 1.39 ลบ.* สามารถลงทะเบียนรับสิทธิ์ ตั้งแต่วันนี้ จนถึง 15 ธ.ค 62   นอกจากนี้ แคมเปญ 10 ปี Origin ยังมอบโปรพิเศษสุดในรอบปีอีกมากมาย อาทิ *ฟรี! ค่าส่วนกลาง 5 ปี ค่าจดจำนอง ค่าโอน 1% ค่ากองทุนอาคารชุด ค่าประกันมิเตอร์น้ำ, มิเตอร์ไฟ และพิเศษสุด! รับดอกเบี้ย 2.50% 3 ปีแรก* สำหรับผู้ขอสินเชื่อกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส) ผ่อนต่ำ วงเงิน 1 ล้านบาท ผ่อนเริ่มต้นเพียง 3,300 บาท/เดือน นาน 40 ปี*   โครงการที่เข้าร่วมแคมเปญ 10 ปี Origin ได้แก่ 12 โครงการพร้อมอยู่ ดังนี้ KnightsBridge Phaholyothin Interchange      ราคาเริ่มต้น 2.69 ลบ. Kensington Sukhumvit Thepharak                  ราคาเริ่มต้น 1.39 ลบ. Notting Hill Sukhumvit Praksa                        ราคาเริ่มต้น 1.59 ลบ. Notting Hill Sukhumvit 105                              ราคาเริ่มต้น 1.89 ลบ. B-Loft Sukhumvit 107                                        ราคาเริ่มต้น 1.59 ลบ. B-Loft Lite Sukhumvit 115                                 ราคาเริ่มต้น 1.99 ลบ. KnightsBridge The Ocean Sriracha                 ราคาเริ่มต้น 3.59 ลบ. Notting Hill Lamchabang                                  ราคาเริ่มต้น 2.39 ลบ. Kensington Kaset Campus                                 ราคาเริ่มต้น 3.89 ลบ. Notting Hill Jatujak Interchange                     ราคาเริ่มต้น 3.79 ลบ. KnightsBridge Sky River Ocean                       ราคาเริ่มต้น 4.99 ลบ. KnightsBridge Tiwanon                                     ราคาเริ่มต้น 2.79 ลบ.   LPN จัดโปรโมชั่นให้ลูกค้าซื้อง่าย ราคาต่ำสุด ไม่ต้องรอปีหน้า โค้งสุดท้ายก่อนสิ้นปี LPN ขานรับมาตรการรัฐกระตุ้นอสังหาฯ ได้นำสินค้าทั้งบ้านและคอนโดมิเนียมที่อยู่ในระดับราคาไม่เกิน  3  ลบ. จำนวน 9 โครงการ  โดยลดค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์จาก 2% เหลือ 0.01 % ของราคาประเมิน และลดค่าจดจำนองจาก 1 % เหลือ 0.01% ของราคาประเมิน สำหรับการซื้อขายที่อยู่อาศัยที่มีราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท โดยจะต้องโอนฯ และจดจำนองในคราวเดียวกัน ตั้งแต่ 1 พ.ย. 2562 – 24 ธ.ค.2563   คอนโดมิเนียม ลุมพินี ซีเล็คเต็ด สุทธิสาร-สะพานควาย โปรโมชั่น “Member Get Member” เพื่อนแนะนำเพื่อน รับค่าแนะนำสูงสุด 1 แสนบาท ลุมพินี เพลส รัชดา-สาธุ โปรโมชั่นพิเศษ “Member Get Member” เพื่อนแนะนำเพื่อน รับค่าแนะนำสูงสุด 1 แสนบาท ลุมพินี พาร์ค วิภาวดี-จตุจักร ส่งมอบวันที่ 2 – 3 พ.ย.นี้ ลุมพินี วิลล์ สุขสวัสดิ์-พระราม 3 ลุมพินี เพลส พระราม 3  – ริเวอร์ไรน์ บ้านพักอาศัย บ้านลุมพินี ทาวน์วิลล์ รังสิต คลอง ๒ บ้านลุมพินี ทาวน์วิลล์ ลาดปลาดุก – บางไผ่สเตชั่น บ้านลุมพินี ทาวน์วิลล์ เพิ่มสิน – วัชรพล บ้านลุมพินี ทาวน์วิลล์ ราชพฤกษ์ – ปิ่นเกล้า   แมเนอร์ สนามบินน้ำ แมเนอร์ สนามบินน้ำ คอนโดมิเนียมริมแม่น้ำเจ้าพระยา วิว 180 องศา จัดโปรโมชั่น Final Call 20 ยูนิตสุดท้าย ลดราคา 2 ล้านบาท ทุกยูนิต ตั้งแต่ 1 ต.ค.-25 ธ.ค. 62   Nue Noble Srinakarin–Lasalle เปิดจองรอบพิเศษ โครงการใหม่ล่าสุดจาก Noble คอนโดห้องหน้ากว้าง ติดรถไฟฟ้าศรีลาซาล เปิดจองรอบพิเศษ 17 พ.ย. 62 เริ่ม 1.59 ล้าน* ผ่อนเพียง 4,900 บาท/เดือน*   SC Asset x Lazada   จองเริ่ม 11 บาท รับส่วนลดสูงสุด 1 ล้าน SC Asset x Lazada   จองเริ่ม 11 บาท รับส่วนลดสูงสุด 1 ล้าน กับ คอนโด บ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม 9 โครงการทำเลคุณภาพภายใต้แคมเปญ “ช้อปวันเดียวได้ทุกดีล 11 พ.ย.นี้”   โดย 9 โครงการทำเลคุณภาพสร้างเสร็จพร้อมอยู่ของ SC  ทั้งคอนโด บ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม เริ่ม 3-9 ล้านบาท  จองง่าย จ่ายน้อยกว่า  เริ่มเพียง 11 บาท* ลดเพิ่มสูงสุด 1 ล้าน* เฉพาะวันที่ 11 พ.ย.นี้ และโอนภายใน 25 ธ.ค. 62 รับเพิ่ม Cash back 10,000 บาท พร้อม iPhone 11*   ได้แก่   คอนโดแต่งครบโครงการเซ็นทริค รัชโยธิน  ใกล้รถไฟฟ้า BTS สถานีรัชโยธิน เพียง 150 เมตร คอนโดอารมณ์บ้านโครงการแชมเบอร์ส เฌอ รัชดา-รามอินทรา บ้านเดี่ยว3 โครงการ ได้แก่ โครงการเพฟ ประชาอุทิศ , รังสิต , ปิ่นเกล้า-ศาลายา บ้านเดี่ยวและบ้านแฝดโครงการวี คอมพาวด์ ราชพฤกษ์-ปิ่นเกล้า ทาวน์โฮม3 โครงการ ได้แก่ โครงการเวิร์ฟ พระราม9 , ติวานนท์-รังสิต , เพชรเกษม 81   เจ เอส พี จัดโปรแรง “Sale เร็วกว่ามาตรการรัฐ” เจ เอส พี จัดโปรแรงที่สุดแห่งปี "Sale เร็วกว่ามาตรการรัฐ" เพื่อลูกค้าที่สนใจ บ้าน ทาวน์โฮม คอนโด อาคารพาณิชย์ บนทำเลศักยภาพ รังสิต แพรกษา เพชรเกษม กัลปพฤกษ์ บางปู รัตนาธิเบศร์ บางประกง และศรีราชา ไม่ต้องรอสิ้นถึงปี พิเศษ! เพียง 799,999 บาท พร้อมส่วนลดสูงสุด 2 ล้านบาท วันนี้ถึง 10 พ.ย. นี้ เท่านั้น      
“ไรมอน แลนด์” เปิดแผนปี 63 ปูทางสร้างรายได้หมื่นล้านใน 5 ปี

“ไรมอน แลนด์” เปิดแผนปี 63 ปูทางสร้างรายได้หมื่นล้านใน 5 ปี

“ไรมอน แลนด์” รุกตลาดเอเชีย ประเดิมเปิดสำนักงานขายโครงการ The Estelle Phrom Phong ประเทศสิงคโปร์ พร้อมเผยแผนปี 63 ลุยเปิดทั้งคอนโดฯ และโรงแรม ปูทางสู่รายได้ 1 หมื่นล้านภายใน 5 ปี   นายไลโอเนล ลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าบริษัทมุ่งเน้นพัฒนาโครงการระดับลักชัวรี่  โดยในโครงการระดับ 10 ล้านบาทขึ้นไป  บริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุด ด้วยสัดส่วน 13.2% โดยบริษัทมีฐานลูกค้าแบ่งออกเป็นกลุ่มลูกค้าคนไทย 50% ส่วนลูกค้าต่างชาติสัดส่วนหลักเป็นชาวเอเชีย 32% เป็นชาวสิงค์โปรสัดส่วน 13.2%   โดยจากการสำรวจของสถาบันเครดิตสวิสประเทศสิงคโปร์ พบว่าประเทศสิงคโปร์ประชากรมีเงินออมสูงที่สุดในโลก ด้วยเหตุนี้บริษัท ได้มองเห็นโอกาสทางการของตลาด จึงลงทุนกว่า 30 ล้านบาท เปิดสำนักงานขายโครงการ The Estelle Phrom Phong ในประเทศสิงคโปร์เป็นครั้งแรก ที่ Royal Square@ Novena ชั้น 2 ใกล้กับร้านอาหารบ้านหญิง บนถนน Irrawaddy ซึ่งเป็นย่าน Medical Hub และเป็นย่านที่มีที่พักอาศัยระดับไฮเอนด์ที่แพงที่สุด โดยในอนาคตมีแผนที่จะเปิดสำนักงานขายในประเทศอื่นๆ ต่อไป สำหรับโครงการ The Estelle Phrom Phong เป็นคอนโดมิเนียมระดับซุปเปอร์ลักชัวรี่ สูง 37 ชั้น ขนาด 1-4 ห้องนอน พื้นที่ 55-160 ตารางเมตร บนเนื้อที่กว่า 1 ไร่ ใกล้รถไฟฟ้าสถานีพร้อมพงษ์เพียง 200 เมตร คาดว่าแล้วเสร็จปี 2565 ราคาเริ่มต้น 18 ล้านบาท   นายไลโอเนล กล่าวอีกว่า ในปี 2563 บริษัทมีแผนจะเปิด 2 โครงการใหม่ โดยเป็นโครงการมิกซ์ยูสในต่างประเทศ และคอนโดมิเนียมระดับหรู “THE ARDMORE 38” ในซอยสุขุมวิท 38 มูลค่า 8,200 ล้านบาท นอกจากนี้ยังเตรียมเปิดโรงแรม KITCH HOTEL ตั้งอยู่หน้าโครงการคอนโดมิเนียม The River โดยออกแบบและพัฒนาภายใต้แนวคิด Food Hotel เป็นครั้งแรก ในประเทศไทย  เพื่อจับตลาดกลุ่มนักท่องเที่ยว ต้องการเรียนรู้วัฒนธรรมอาหารไทย จีน และอินเดีย โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากจีนและอินเดีย ซึ่งจะเป็นโรงแรมขนาด 72 ห้อง อัตราค่าพักอยู่ที่ ราว 1,400–1,600 บาทต่อคืน มีกำหนดการเปิดให้บริการประมาณต้นปีหน้า และอีกหนึ่งโรงแรมย่านสุขุมวิท จำนวน 220 ห้อง ภายใต้คอนเซ็ปต์ New Age Hotel คาดว่าสร้างเสร็จและเปิดให้บริการภายในปี 2566 ปัจจุบันบริษัทมีรายได้ประจำสัดส่วน 12% มีแผนเพิ่มสัดส่วนเป็น 50% โดยวางแนวทางการพัฒนาโครงการสำหรับสร้างรายได้ประจำ ปีละ 2 โครงการ และมีรายได้จากอาคารสำนักงานหรือพื้นที่ให้เช่าสัดส่วน 30% จากอาคาร One City Centre การมุ่งขยายโรงแรมจากเกือบ 300 ห้อง เป็น 1,400 ห้อง รวมถึงธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม เช่น ร้านบ้านหญิง จะขยายสาขาให้บริการเพิ่มขึ้นในประเทศแถบอาเซียน เพื่อเป้าหมายรายรวมของบริษัทได้แตะ 10,000 ล้านบาท ภายใน 5 ปี   ทั้งนี้ยังมีการเปิดเผยว่ามีการมีปรับเปลี่ยนการพัฒนาคอนโดมิเนียม Shaa Asoke ในซอยสุขุมวิท 19 ให้เป็นโรงแรม 220 ห้อง โดยอยู่ในระหว่างการเจรจากับพันธมิตรญี่ปุ่น    
รีวิวคอนโดย่านสะพานใหม่ THE ORIGIN Phahol-Saphanmai ใกล้รถไฟฟ้า ราคาล้านกว่า

รีวิวคอนโดย่านสะพานใหม่ THE ORIGIN Phahol-Saphanmai ใกล้รถไฟฟ้า ราคาล้านกว่า

จะมีคอนโดฯ สักกี่แบรนด์กันคะ ที่ได้รับกระแสตอบรับที่ดี Sold Out ช่วงพรีเซลกันทุกโครงการ ทุกย่านที่ไปเปิด ซึ่งหากใครที่ติดตามเรื่องของตลาดคอนโดในบ้านเราก็คงจะต้องนึกถึง "Origin" Developer ที่เก่งกาจด้านกลยุทธ์ Blue Ocen แม้จะอยู่ในสภาวะใดก็ตาม ที่ปีนี้ปั้นแบรนด์ THE ORIGIN จนใครๆ ก็หันมาให้ความสนใจกับน้องใหม่ของวงการคอนโดฯ แต่มาแรงแซงทุกกระแส ไม่ว่าไปอยู่ตรงไหนก็ได้รับการตอบรับที่ดีเสมอทุกโครงการ และล่าสุดก็ได้ส่งท้ายความสำเร็จของปีนี้ด้วย THE ORIGIN Phahol-Saphanmai ที่คาดว่าจะกระแสดีไม่น้อยหน้ารุ่นพี่โครงการอื่นที่ผ่านมาในปีนี้    อย่างที่ทราบกันดีค่ะว่าโครงการ THE ORIGIN Phahol-Saphanmai นั้นมาจากการ Redesign ใหม่จากเดิมที่เคยเป็นโครงการ Notting Hill Hyde Park สะพานใหม่ ถือเป็นความกล้าหาญของ Origin ทีเดียวค่ะ ที่กล้าคิดใหม่ ทำใหม่ เพื่อให้ได้คอนโดฯ ที่ตอบโจทย์ลูกค้ามากที่สุดทั้งในเรื่องของ Layout ห้องปรับเปลี่ยนใหม่ เฟอร์นิเจอร์ที่ได้ออกแบบมาให้ใหม่ Facilities เปลี่ยนตามไลฟ์สไตล์ปัจจุบันมากขึ้น แถมยังใส่นวัตกรรมและการบริการ อาทิ ระบบ Home Automation บริการ Hotel Service เช่น บริการช่างซ่อม บริการแม่บ้านทำความสะอาด จองพื้นที่ส่วนกลาง ฯลฯ ทั้งหมดก็ง่ายๆ เพียงปลายนิ้วมือผ่านสมาร์ทโฟนให้ชีวิตสะดวกสบายขึ้นอีกเยอะ สิ่งเหล่านี้อาจคุ้มเกินราคาไปแล้วค่ะ แต่จะมีรายละเอียดอะไรเปลี่ยนแปลงไป แล้วเพิ่มอะไรใหม่ๆ โดนๆ เข้ามาบ้างก็ต้องติดตามรีวิวฉบ้บนี้กันค่ะ  ใหม่กว่า ดีกว่า คุ้มกว่า ทำเลแนวรถไฟฟ้าใหม่ ในปีนี้บ้านเรามีการขยายเปิดให้บริการรถไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้นคือสายสีน้ำเงินหัวลำโพง-หลักสอง ตลอดเส้นทาง กับสายสีเขียวเหนือ ที่เปิดสถานีห้าแยกลาดพร้าวแล้ว ส่วนปลายปีนี้ก็เร่งเปิดให้ถึงม.เกษตรศาสตร์ และปี 63 จะเปิดให้ครบตลอดสายตามกันมาติดๆ นับเป็นสัญญาณที่ดีในด้านคมนาคมบ้านเราที่จะตามมาด้วยการพัฒนาพื้นที่รอบๆ ต่อออกไปอีกตามรถไฟฟ้า และยังทำให้คนที่อาศัยอยู่ตามชานเมืองสามารถเดินทางเข้าเมืองได้อย่างสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น ไม่จำเป็นจะต้องเข้าไปอาศัยกระจุกตัวอยู่ใจกลางเมืองเท่านั้น โดยเฉพาะราคาคอนโดฯ ในย่านสถานีรถไฟฟ้าที่เปิดให้บริการใหม่ยังอยู่ในราคาที่เอื้อมถึงกันได้ไม่ยาก แต่ยังอยู่ใกล้กับรถไฟฟ้าสายหลักเช่นเดียวกัน    ถ.พหลโยธิน ตั้งแต่ช่วงลาดพร้าวไปจนถึงสะพานใหม่ มีความคึกคักอยู่แทบจะตลอดเวลาเลยนะคะ เพราะมีสิ่งอำนวยความสะดวกหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเซ็นทรัลลาดพร้าว ศูนย์การค้าสุดฮิตที่ได้รับความนิยมอยู่เสมอ จะซื้อของกินของใช้ก็มีทั้งเทสโก้ โลตัส ตลาดบางเขน ตลาดยิ่งเจริญ หรือจะแวะชมภาพยนต์สักเรื่องที่เมเจอร์รัชโยธินแล้วหาร้านนั่งแฮงค์เอ้าท์ต่อ ทุกอย่างก็มีครบอยู่ในย่านนี้  THE ORIGIN Phahol-Saphanmai อยู่บนถ.เทพรัตน์ ถือเป็นถนนตัดใหม่ที่มาช่วยเพิ่มความสะดวกในการเดินทางได้อีกมากทีเดียวค่ะ เพราะสามารถเชื่อมต่อกับทางด่วนฉลองรัชได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องฝ่ารถติดออกถนนใหญ่ ห่างจากบีทีเอส สถานีสายหยุด 650 เมตร ซึ่งบริเวณปากทางเข้าถ.เทพรัตน์ ก็จะมีทั้งบิ๊กซี สะพานใหม่ โรงพยาบาลเซ็นทรัลเยนเนอรัล ห่างออกไปไม่ไกลก็จะเป็นโรงพยาบาลภูมิพล และยังสามารถใช้ถ.ธูปะเตมีย์ ทะลุไปยังถ.วิภาวดี ใกล้กับสนามบินดอนเมืองเพียงไม่กี่นาที    ภาพรวมโครงการ THE ORIGIN Phahol-Saphanmai THE ORIGIN Phahol-Saphanmai ที่เริ่มก่อสร้างแล้ว พร้อมโอนกรรมสิทธิ์ช่วง Q2/63 คอนโดมิเนียม High Rise สูง 14 ชั้น 536 ยูนิต 2 ร้านค้า ที่จอดรถ 49% รวมซ้อนคัน ราคาเริ่มต้น 1.49 ล้านบาท เป็น THE ORIGIN ที่มาปิดท้ายปีแต่พร้อมโอนเร็วที่สุดไม่ต้องรอนาน     Facilities คือสิ่งหนึ่งที่มีการพัฒนารูปแบบจากโครงการเดิมให้เข้ากับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ น่าใช้ยิ่งขึ้นอย่างชั้น 14 สูงสุดของอาคารที่จากเดิมเป็นเพียง Sky lounge และ Sky garden ให้นั่งเล่นชมวิว ก็พัฒนาขึ้นกลายเป็นพื้นที่สำหรับแก๊งค์เพื่อนฝูงใน Private Party และ Co kitchen ที่แน่นอนว่ามาพร้อมอุปกรณ์พร้อมที่สามารถชวนกันมาสังสรรค์ด้วยกันในบ้านของเราเอง ส่วน Facilities จะอยู่ที่ชั้น 3 จากเดิมมีเพียงสระว่ายน้ำ, ฟิตเนส, สวนสีเขียว แต่ปรับโฉมใหม่รอบนี้มีทั้งสระว่ายน้ำ, ฟิตเนส, Co Working Space, Office supply และ Multifunction Studio ให้ได้เลือกใช้ตามการใช้งานที่เปลี่ยนไปในแต่ละวัน สุดท้ายที่ชั้น G จากเดิมมีแค่ Lobby แต่มีการขยายให้เป็น Visitor Lobby Hall และเพิ่มมาทั้ง Smart Locker กับ Meeting Room ทั้งหมดนี้จะเห็นได้ว่าส่วนกลางของ THE ORIGIN Phahol-Saphanmai ไม่ใช่แค่ปรับใหม่เท่านั้น แต่ยังมีการเพิ่มให้ลูกบ้านมากขึ้นด้วยค่ะ     เปิดห้องตัวอย่าง  ห้องตัวอย่างที่จะพาไปชมมี 3 ห้องด้วยกันค่ะ ซึ่งจะขายมาแบบ Fully Fitted โดยสิ่งที่จะได้มา คือ Digital Door Lock เคาน์เตอร์ทีวี ตู้เสื้อผ้า เตียงไม่รวมฟูก เคาน์เตอร์ครัวทั้งชุด พร้อม Hood+Hob สุขภัณฑ์ในห้องน้ำทั้งหมด พร้อมฉากกั้นอาบน้ำ เครื่องปรับอากาศ    1 Bedroom 26 ตร.ม. Smart Closet   ถ้าใครเคยเห็น Layout ใหม่ที่เน้นพื้นที่ Smart Closet จาก Origin ที่ได้รับความนิยมอย่าล้นหลามสำหรับกลุ่มคนรุ่นใหม่ สำหรับ THE ORIGIN Phahol-Saphanmai ก็ไม่พลาดที่จะนำมาใส่ในโครงการนี้ไว้ให้เลือกเช่นกันค่ะ      ห้องแบบ Smart Closet เป็นห้องแนวลึก เริ่มด้วยพื้นที่ครัวปิดกั้นด้วยประตูกระจกบานเลื่อน พื้นปูด้วยแกรนิตโต้ ที่ Built In มาให้ทั้งเคาน์เตอร์ครัว Top หินสังเคราะห์ ติดตั้งซิงค์ล้างจาน เตาแม่เหล็กไฟฟ้า 2 หัว และเครื่องดูดควันมาให้ มีช่องสำหรับวางไมโครเวฟและเครื่องซักผ้าแบบฝาหน้าได้พอดี     อีกด้านของครัวก็ Built In มาให้เช่นกันค่ะ มีทั้งช่องวางตู้เย็นที่สามาเก็บรองเท้าและอุปกรณ์ต่างๆ ได้ เราจึงเราสามารถใช้ประโยนช์จากครัวได้เต็มที่เลย       ถัดเข้ามาเป็นโซน Living และ Bedroom อยู่ในพื้นที่เดียวกันค่ะ ใช้วัสดุปูพื้นด้วยลามิเนต Floor To Ceiling 2.4 เมตร ซึ่งในส่วนของ  Living สามารถวางโซฟาขนาด 2 ที่นั่งได้ พร้อมโต๊ะกลาง มี Built In เคาน์เตอร์ทีวี ซึ่งเหนือตัวเคาน์เตอร์ทีวีจะติดตั้งเครื่องปรับอากาศจาก Daikin มาให้ด้วย 1 ตัว      ส่วนด้านในสุดติดกับหน้าต่างของห้องจะวางเตียงขนาด 5 ฟุต มาพร้อมกับ Built In โต๊ะหัวเตียงเตี้ยๆ พอให้วางโคมไฟกับหนังสือได้        ปลายเตียงจะกั้นโซน Walk In Closet ด้วยประตูกระจกบานเลื่อนค่ะ แต่ตามห้องตัวอย่างจะไม่ได้กั้นมาให้ดู ซึ่งฟังก์ชั่นห้องส่วนนี้นี่แหละค่ะ เป็นที่มาของรูปแบบห้อง Smart Closet เพราะจะ Built In ตู้เสื้อผ้าพร้อมโต๊ะเครื่องแป้ง ช่องเก็บของต่างๆ มาให้ตลอดแนวผนังก่อนจะเป็นห้องน้ำด้านในสุด     ใครที่เป็นสายแฟชั่นนิสต้าที่มีเสื้อผ้า เครื่องประดับเยอะๆ รับรองว่าห้องนี้จะเหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคุณมากทีเดียวค่ะ       1 Bedroom Plus 34 ตร.ม.  อีกหนึ่ง Layout ที่ได้รับความนิยมไม่น้อยในระยะหลังมานี่ คือห้องแบบ 1 Bedroom Plus ค่ะ เพราะเราจะได้ห้องอเนกประสงค์เพิ่มขึ้นมาอีก 1 ห้อง สามารถตกแต่งเพิ่มเติมตามการใช้งานได้หลากหลาย    สำหรับ Type นี้ จะเน้นพื้นที่โซน Living กว้างๆ ที่สามารถวางได้ทั้งโซฟาขนาด 3-4 ที่นั่ง โต๊ะกลาง และโต๊ะทานข้าวได้ทีเดียวพร้อมกับ โดยที่พื้นที่ยังดูไม่แน่นจนเฟอร์นิเจอร์ชิดกันเกินไป มีการติดตั้งเครื่องปรับอากาศมาให้ 3 ตัว ที่ Living และอีกทั้ง 2 ห้องค่ะ       ครัวเปิดจะมีเคาน์เตอร์ครัวมาให้ทั้งชุดตามาตรฐานของโครงการ แต่จะมีการแยกเคาน์เตอร์ที่ Built In มาสำหรับให้วางเครื่องซักผ้า ซึ่งจะมีฟังก์ชั่นสามรถกางออกเป็นโต๊ะสำหรับเตรียมอาหารมื้อที่ไม่หนักจนเกินไปได้ ส่วนครัวเปิดนี้จะอนู่หน้าห้องน้ำ ภายในแยกส่วนเปียก-แห้ง ด้วยประตูกระจกบานสวิงไร้ขอบดูหรูหรามากขึ้นจากโครงการเดิมจะกั้นด้วยกระจกบานเลื่อน อีกทั้งลายกระเบื้องที่ปูทั้งพื้นและผนังด้านไหนก็เป็นลายหินสวยงามขึ้นเยอะเลยค่ะ   ด้านในสุดของห้องจะวาง Bedroom กับห้อง Plus ติดกันเลยค่ะ โดยห้อง Plus มีระเบียงห้องออกไปได้ด้วยค่ะ สามารถวางเตียงขนาด 3.5 ฟุต หรือจะปรับเป็นห้องอื่นๆ ได้ตามการใช้งาน    Bedroom วางเตียงขนาด 5 ฟุตได้ มีพื้นที่รอบเตียงทั้งสองด้าน มาพร้อมกับตู้เสื้อผ้าบานทึบ 3 บาน พร้อมติดตั้งกระจกเต็มตัว และเคาน์เตอร์ทีวีตรงปลายเตียง    2 Bedroom 49 ตร.ม.  ห้องตัวอย่างสุดท้ายที่เราจะพามาชมครั้งนี้ค่ะ Type นี้จะเป็นห้องหน้ากว้าง แบ่งฟังก์ชั่นออกจากกันอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น ติดตั้งเครื่องปรับอากาศมาให้ 3 ตัว     เริ่มจาก Common Area ที่มีส่วนของ Living ใกล้กับครัวปิด มีพื้นที่พอสำหรับวางโซฟาพร้อมโต๊ะทานข้าว Built In มาให้ทั้งเคาน์เตอร์ทีวีและตู้เก็บของ และมีระเบียงกว้างๆ ด้านข้างโซฟา ทำให้ Common Area ตรงนี้ได้รับแสงสว่างจากภายนอกส่องเข้ามาได้อย่างทั่วถึงไปจนถึงครัวปิดเลยค่ะ    ครัวปิดกั้นด้วยประตูกระจกบานเลื่อน มีพื้นที่ภายในพอที่จะเข้าไปได้พร้อมกัน 2-3 คนแบบหลวมๆ โดยจะสังเกตผนังด้านในเคาน์เตอร์ครัวจะมีการกรุกระจกมาให้ด้วย เมื่อมีคราบสกปรกจากการทำอาหารจะได้ทำความสะอาดง่าย และด้วยวัสดุที่ใช้ทำให้ดูพรีเมียมมากกว่าใช้วัสดุกระเบื้องธรรมดา         ลึกเข้ามาในส่วนของ Private Zone เริ่มด้วยห้องนอนแรกที่จะกั้นด้วยประตูกระจกบานเลื่อน พื้นที่ภายในเหมาะสำหรับวางเตียงขนาด 3.5 ฟุต และถ้าอยากได้ความเป็นส่วนยิ่งขึ้นก็สามารถติดตั้งผ้าม่านที่ประตูเพิ่มเติมเองได้ และตรงข้ามกับห้องนอนแรกคือห้องน้ำที่แยกออกมาสำหรับใช้ร่วมกันได้ค่ะ     ด้านในสุดคือ Master Bedroom มีพื้นที่กว้างรอบเตียง 5 ฟุต หัวเตียงสามารถวางโต๊ะเครื่องแป้งหรือโต๊ะทำงานเพิ่มเติมได้ และมี Built In ตู้เสื้อผ้าให้เช่นเคยค่ะ      Master Bedroom จะมีห้องน้ำในตัวด้วย ซึ่งภายในห้องน้ำทุกห้องจะใช้สุขภัณฑ์จาก American Standard ติดตั้งมาให้พร้อมใช้งาน พร้อมฉากกระจกอาบน้ำ และยังมีนวัตกรรมล้ำๆ Smart Mirror ให้คุณไม่พลาดทุกการนัดหมาย เช็คสภาพอากาศ หรือจะฟังเพลงระหว่างอยู่ในห้องน้ำก็ได้ทั้งนั้น เหมือนมีแท็ปเล็ตฝังอยู่ในกระจกเงาควบคุมผ่านหน้าจอกระจกสัมผัสได้เลยค่ะ     ไม่บ่อยนักที่คอนโดฯ จะมีการ Rebranding ใหม่ แถมมีการเพิ่ม Facilities เพิ่มสเปค ฟังก์ชั่นของห้องให้ดียิ่งขึ้นไปอีก ที่สำคัญคือราคาคุ้มค่ากว่าเดิมเมื่อเทียบกับของที่จะได้มาใหม่กับโครงการ THE ORIGIN Phahol-Saphanmai ราคาเริ่มต้น 1.49 ล้านบาท กับทำเลใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียว ซึ่งกำลังจะเสร็จสมบูรณ์ในไม่ช้า แน่นอนว่าเป็นอีกหนึ่ง THE ORIGIN ที่น่าจับตามองไม่แพ้โครงการรุ่นพี่ในปีนี้เลยค่ะ      เฉพาะวันที่ 23 พ.ย. 62 วันเดียวเท่านั้น สามารถผ่อนชำระเงินจอง สัญญา นาน 10 เดือน ผ่านบัตรเครดิต      ลงทะเบียนจองสิทธิ์ https://bit.ly/2q4kiyU   โครงการอื่นๆ จาก THE ORIGIN  Origin Smart City Rayong The Origin Ramintra 83 Station THE ORIGIN SUKHUMVIT 105 THE ORIGIN Ratchada-Ladprao  
“พีทีเอฟ เรียลตี้” ทุนไต้หวัน  ยังมั่นใจอสังหาฯ ไทย เดินหน้าลงทุนต่อเนื่อง

“พีทีเอฟ เรียลตี้” ทุนไต้หวัน ยังมั่นใจอสังหาฯ ไทย เดินหน้าลงทุนต่อเนื่อง

เปิดแผนกลุ่มทุนไต้หวัน ลุยตลาดอสังหาฯ เมืองไทย มั่นใจยังเติบโตและมีดีมานด์ พร้อมเดินหน้าลงทุนต่อเนื่อง และเตรียมปรับพอร์ตธุรกิจจากคอนโดฯ สู่แนวราบ หนี้การแข่งขันและยอดขายคอนโดฯ ชะลอตัว   นายถงหยุ่ย โทนี่ ยิ่ง กรรมการผู้บริหาร บริษัท พีทีเอฟ เรียลตี้ (2018) จํากัด ในเครือ พีทีเอฟ เรียลตี้ เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย  ยังมีศักยภาพการเติบโต จากภาวะเศรษฐกิจของไทย ที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ดีจากภาคการท่องเที่ยว และการเข้ามาลงทุนของกลุ่มทุนต่างชาติ รวมถึงยังมีความต้องการที่อยู่อาศัยของคนไทย ซึ่งตลาดอสังหาฯ ของไทยดีกว่าหลายประเทศในเซาท์อีสเอเชีย  แม้ว่าในปีนี้ตลาดอสังหาฯ จะอยู่ในภาวะชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจ แต่ยังเชื่อว่าจะกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นในอีก 1-2 ปี ข้างหน้า   “ตลาดผู้บริโภคยังมีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัย และประเทศไทยมีแนวโน้มการลงทุนที่ดี เมื่อเทียบกับหลายประเทศในภูมิภาคอาเซียนด้วยกัน” สำหรับแผนลงทุนของบริษัทยังคงลงทุนอย่างต่อเนื่อง  โดยมุ่งพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม  ในทำเลเส้นทางรถไฟฟ้า ซึ่งจะพัฒนาครั้งละ 1 โครงการ หากโครงการที่พัฒนาอยู่ มีอัตราการขาย 60-70% บริษัทจะหาที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการใหม่  เนื่องจากต้องการดำเนินธุรกิจอย่างมั่นคง  ซึ่งก่อนหน้านี้บริษัทได้พัฒนาโครงการคอนโดฯ มาแล้ว 4 โครงการรวมมูลค่ากว่า 5,400 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการคอนโด เดอะ ราชดำริ, โครงการเมแฟร์ เพลส สุขุมวิท 64 ,โครงการเมแฟร์ เพลส สุขุมวิท 50 โดยทั้ง 3 โครงการดังกล่าวปิดการขายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนโครงการที่ 4 คือโครงการ DEFINE by Mayfair สุขุมวิท 50 ปัจจุบันมียอดขายกว่า 60% จากมูลค่าโครงการ 800 ล้านบาท เริ่มก่อสร้าง ปี 2562 คาดว่าจะแล้วเสร็จปลายปี 2563 ล่าสุด ได้เปิดตัวโครงการใหม่ ภายใต้ชื่อ  MAYFAIR PLACE VICTORY MONUMENT (เมย์แฟร์ เพลส วิคทอรี่ โมนูเมนต์) มูลค่าโครงการรวม 1,200 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการยื่นขอ EIA คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในกลางปี 2563 การก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2565 สำหรับโครงการเมย์แฟร์ เพลส วิคทอรี่ โมนูเมนต์ เน้นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายซื้อเพื่ออยู่อาศัย  และซื้อเพื่อการลงทุนปล่อยเช่าระยะยาว ซึ่งบริษัทการันตีผลตอบแทนในอัตรา 5% นาน 2 ปี  โดยจากประสบการณ์บริหารและนำห้องของลูกค้าที่ซื้อไปแล้ว  มาปล่อยเช่ารวมทุกโครงการกว่า 250 ห้องชุด โดยผลตอบแทนที่ลูกค้ากลุ่มนักลงทุนได้รับ อยู่ในอัตราประมาณ 4-5% ต่อปี  โดยทุกโครงการที่เปิดขายมีสัดส่วนการซื้อ เพื่อลงทุนอยู่ที่ประมาณ 30 %   นายถงหยุ่ย กล่าวอีกว่า นอกจากแผนพัฒนาโครงการคอนโดฯ แล้ว บริษัทยังวางแผนพัฒนาโครงการแนวราบ ประเภทบ้านเดี่ยวหรือทาวน์โฮมในอนาคต ซึ่งมองทำเลลาดพร้าวและสุขุมวิท เนื่องจากปัจจุบันตลาดคอนโดฯ มีการแข่งขันสูง อัตราการขายได้ช้าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ขณะที่โครงการแนวราบยังมีความต้องการ และระดับราคาใกล้เคียงกับห้องชุดคอนโดฯ  แต่ได้พื้นที่มากกว่า ซึ่งปัจจุบันกลุ่มลูกค้าเริ่มมองหาซื้อโครงการแนวราบมากขึ้น
“เสนา” หั่นเป้า เหลือเปิดใหม่ 10 โปรเจ็กต์  

“เสนา” หั่นเป้า เหลือเปิดใหม่ 10 โปรเจ็กต์  

“เสนา” ลดเป้าเปิดโครงการใหม่จาก 18 โปรเจ็กต์ เหลือแค่ 10 โปรเจ็กต์ หลังเศรษฐกิจไม่เอื้อแถมเจอมาตรการ LTV แต่ยังมั่นใจกวดยอดขายได้ตามเป้ากว่าหมื่นล้าน  พร้อมเดินหน้าไตรมาสสุดท้าย เปิดโครงการ ใหม่อีก 5 โปรเจ็กต์ มูลค่ารวม 12,000 ล้านบาท        นางสาว อุมาพร ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ปรับเป้าหมายการเปิดโครงการใหม่ในปีนี้ ลดลงจากแผนเดิม 18 โครงการ เหลือ 10 โครงการ โดยแบ่งสัดส่วนรายได้จากที่อยู่อาศัยแนวสูง 90% และแนวราบ 10% โดยในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้  บริษัทมีแผนจะเปิดตัวอีก 5 โครงการ มูลค่ารวม 12,000 ล้านบาท เริ่มจากเปิดตัวโครงการ “นิช โมโน แจ้งวัฒนะ”   สำหรับการปรับเป้าหมายการเปิดตัวโครงการลดลง  เป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และมาตรการ LTV ที่มีผลบังคับใช้  แต่ยังคงเป้าหมายยอดขายจะเติบโตตามเป้าหมายที่คาดว่าจะทำได้ 10,172 ล้านบาท โดยในช่วง 9 เดือนแรกสามารถทำยอดขายได้แล้ว 5,000 ล้านบาท โดยคอนโดมิเนียมที่เปิดตัวล่าสุด  เป็นคอนโดฯ ร่วมทุนโครงการที่ 8 จากเสนา ฮันคิว ฮันชิน มีขนาดความสูง 35 ชั้นจำนวน 921 ยูนิต บนถนนแจ้งวัฒนะ เนื้อที่กว่า 3 ไร่เศษ  มีห้องให้เลือกแบบ 1-2 ห้องนอน ขนาดพื้นที่ 28–53 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 1.89 ล้านบาท  หรือตารางเมตรละ 67,500 บาท  มูลค่าโครงการ 2,300 ล้านบาท  เริ่มก่อสร้างปี 2563 และคาดว่าจะแล้วเสร็จปี 2565 ขณะนี้อยู่ในช่วง Soft Opening คาดว่าจะเปิดพรีเซลประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2563   โดยตั้งเป้ายอดขาย 40% จนถึงสิ้นปีนี้   สำหรับตลาดคอนโดฯ บนถนนแจ้งวัฒนะ  ไนท์แฟรงค์ประเทศไทย รายงานผลการวิจัย ระบุว่า ในช่วง 6 ปีที่ผ่านมามีคอนโดฯ เปิดขายปีละ 1,350 ยูนิต โดยเริ่มมีจำนวนคอนโดฯ สร้างใหม่เกิดขึ้นมากตั้งแต่ปี 2554 เนื่องจากมีหน่วยงานราชการเริ่มย้ายเข้ามาทำงานอยู่ในบริเวณศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ และเริ่มมีการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงมีนบุรี-แคราย แต่จำนวนโครงการใหม่เริ่มชะลอตัวลงและเพิ่มขึ้นสลับกันไปจนถึงปี 2561   ส่วนในช่วงครึ่งปีแรกของ 2562 มีจำนวนห้องชุดคอนโดฯ ทั้งสิ้น 18,942 ยูนิต เป็นโครงการเปิดใหม่ 1,838 ยูนิต และคาดว่าทั้งปี 2562 จะมีคอนโดฯ เปิดขายใหม่ในทำเลแจ้งวัฒนะประมาณ 3,000 ยูนิต ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคอนโดฯ เกรดซีไปจนถึงเกรดบี  ซึ่งมีราคาเฉลี่ยของคอนโดฯ เกรดซีประมาณ 72,438 บาทต่อตารางเมตร ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2554 ที่มีราคาเฉลี่ยประมาณ 53,680 บาทต่อตารางเมตร ค่าเฉลี่ยสะสมในการปรับตัวในระยะเวลา 7 ปี (Compound Annual Growth Rate: CAGR) ประมาณ 5% และราคาขายเฉลี่ยของคอนโดมิเนียมเกรดบีปัจจุบันจะอยู่ที่ 80,150 บาทต่อตารางเมตร    
5  เหตุผลสำคัญ  ทำให้ทำเลย่านแจ้งวัฒนะเป็นทำเลธุรกิจใหม่ในอนาคต

5 เหตุผลสำคัญ ทำให้ทำเลย่านแจ้งวัฒนะเป็นทำเลธุรกิจใหม่ในอนาคต

ถนนแจ้งวัฒนะ ปัจจุบันเริ่มมีความหนาแน่น ของการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม จากผู้ประกอบการทั้งรายเล็กและรายใหญ่ จากก่อนหน้าทำเลในโซนนี้ มีการพัฒนาโครงการประเภทแนวราบ ทั้งบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม เพราะต้องยอมรับว่าบริเวณแถวแจ้งวัฒนะ ปากเกร็ด และนนทบุรี เป็นพื้นที่ชานเมืองราคาที่ดินยังไม่สูงมากนัก สามารถนำมาพัฒนาเป็นโครงการแนวราบได้    ปัจจุบันย่านแจ้งวัฒนะเริ่มมีความโดดเด่น และกำลังจะกลายเป็นอีกหนึ่งย่านสำคัญ ด้านเศรษฐกิจและการค้า จากการพัฒนาเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีชมพู ถือเป็นตัวกระตุ้นสำคัญ ซึ่งเมื่อระบบคมนาคมขนส่งสะดวกมากขึ้น การพัฒนารูปแบบต่างๆ ก็จะมีเข้ามามากขึ้นด้วยเช่นกัน    นายพนม กาญจนเทียมเท่า กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า บริเวณแจ้งวัฒนะเป็นทำเลศักยภาพที่มีความโดดเด่น เป็นย่านเศรษฐกิจและย่านธุรกิจการค้า มีโครงการอสังหาริมทรัพย์แบบผสมผสานหลากหลายรูปแบบ ที่อยู่ระหว่างการวางแผนพัฒนาจากผู้ประกอบการรายใหญ่หลายราย ซึ่งได้เริ่มเข้ามาจับจองที่ดินบริเวณนี้ สิ่งที่ตอกย้ำให้ย่านแจ้งวัฒนะกำลังกลายเป็นย่านเศรษฐกิจและการค้าที่สำคัญในอนาคต คงมาจาก 5 เหตุผลนี้ 1.การพัฒนาเส้นทางรถไฟฟ้า ปัจจุบันแจ้งวัฒนะอยู่การพัฒนาโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี  ปัจจุบันกำลังดำเนินการก่อสร้าง และกำหนดเปิดให้บริการประมาณปี 2564  อีกทั้งยังมีส่วนต่อขยายจากสถานีศรีรัช–เมืองทองธานี ที่ออกแบบเป็นระบบรถไฟฟ้ารางเดี่ยว (Straddle Monorail)    โดยจุดเชื่อมต่อจะอยู่บริเวณสถานีศรีรัช  ของโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี สายหลัก ไปทางทิศตะวันตก และเลี้ยวขวาเข้าสู่เมืองทองธานีไปตามซอยแจ้งวัฒนะ-ปากเกร็ด 39 แนวทางเดียวกันกับทางพิเศษอุดรรัถยา ต่อเนื่องไปยังจุดสิ้นสุดโครงการบริเวณทะเลสาบเมืองทองธานี ประกอบด้วยสถานีรับส่งผู้โดยสาร 2 สถานี ได้แก่ สถานี MT-01 ตั้งอยู่บริเวณอิมแพ็คชาเลนเจอร์ (Impact Challenger) และสถานี MT-02 ตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าของทะเลสาบเมืองทองธานี รวมระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร   หากโครงการแล้วเสร็จจะเป็นการเพิ่มศักยภาพการเดินทางของประชาชน จากบริเวณถนนแจ้งวัฒนะเข้าสู่พื้นที่เมืองทองธานี ซึ่งเป็นพื้นที่ที่อยู่อาศัยหนาแน่น และเป็นที่ตั้งของยูนิตงานต่างๆ ด้วย เช่น ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี เอสซีจี สเตเดี้ยม ธันเดอร์โดม และมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เป็นต้น โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูยังสามารถเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายอื่น 3 สาย คือ   1.รถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-คลองบางไผ่ (ปัจจุบันเปิดให้ใช้บริการอยู่) โดยเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีชมพู ที่สถานีศูนย์ราชการนนทบุรี   2.รถไฟฟ้าสายสีแดงเข้ม ช่วงบางซื่อ-รังสิต  ปัจจุบันกำลังดำเนินการก่อสร้าง  และเปิดให้บริการประมาณต้นปี 2564 โดยเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีชมพูที่สถานีหลักสี่   3.รถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้ม หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต โดยเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีชมพูที่สถานีวัดพระศรีมหาธาตุ  เป็นโครงการในอนาคต 2.ทำเลใกล้สนามบินดอนเมือง บริเวณแจ้งวัฒนะตั้งอยู่ใกล้สนามบินดอนเมือง  ซึ่งในปัจจุบันสนามบินดอนเมืองมี 2 อาคารคือ Terminal 1 และ Terminal 2 โดยสามารถรองรับผู้โดยสารได้ประมาณปีละ 30 ล้านคน และในอนาคต บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ได้เตรียมแผนในการพัฒนาระยะที่ 3 (Terminal 3) และคาดว่าในอนาคตจะมีการเพิ่มเที่ยวบินและคาดว่าจำนวนผู้โดยสารที่เข้ามาใช้บริการจะเพิ่มขึ้นถึงปีละ 40 ล้านคน และสูงถึง 50-60 ล้านคน  ในช่วงปี 2568-2573  ในส่วนการเดินทางทางน้ำบริเวณนี้ยังมีท่าเรือปากเกร็ด ซึ่งคอยรองรับการเดินไปยังส่วนต่างๆ ของกรุงเทพมหานคร และยังมีระบบโครงสร้างพื้นฐานที่เข้าถึงโดยการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนของรัฐบาลอีกด้วย 3.จุดศูนย์รวมยูนิตงานขนาดใหญ่ ทั้งรัฐและเอกชน ในย่านแจ้งวัฒนะถือว่ามียูนิตงานขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นจากภาครัฐหรือเอกชน โดยเฉพาะการมีศูนย์ราชการ สถานที่ซึ่งเป็นศูนย์รวมของยูนิตงานราชการสำคัญเอาไว้ ทำให้แต่ละวันมีคนจำนวนมากเดินทางเข้ามาในย่านนี้  เพื่อติดต่อราชการในยูนิตงานต่างๆ ไม่นับรวมกับจำนวนข้าราชการที่ทำงานในยูนิตงานต่างๆ อีกมหาศาล ยิ่งทำให้บริเวณดังกล่าวกลายเป็นแหล่งธุรกิจที่สำคัญมากยิ่งขึ้น 4.บิ๊กโปรเจ็กต์ ด้านศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมขนาดใหญ่ การพัฒนาโครงการเมืองทองธานี ตั้งแต่ปี 2542 ซึ่งมีการพัฒนาศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมขนาดใหญ่และทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งของภูมิภาคเอเชีย โดยมีพื้นที่รวมกว่า 140,000 ตารางเมตร โดยเฉพาะ อิมแพ็ค มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากจำนวนผู้ใช้บริการจัดงานแสดงสินค้า นิทรรศการ ประชุม-สัมมนา งานเลี้ยงสังสรรค์ งานแต่งงาน คอนเสิร์ต กิจกรรมพิเศษอื่นๆ หมุนเวียนจัดงานรวมกว่า 1,000 งานต่อปี และมีจำนวนผู้เดินทางมาเยือนกว่า 10 ล้านคน    ภายในโครงการเมืองทองธานี ยังมีการพัฒนาโครงการอีกหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นที่อยู่อาศัย ศูนย์การค้า พื้นที่รีเทล โรงแรม คอมมูนิตี้มอลล์ต่างๆ อีกสารพัด ทำเมืองทองธานีมีความหนาแน่น ทั้งจำนวนประชากรผู้เข้ามาอยู่อาศัย และการติตต่อธุรกิจต่างๆ  ย่านแจ้งวัฒนะ ยังถูกเติมเต็มไปด้วยศูนย์การค้าขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเซ็นทรัลแจ้งวัฒนะ บิ๊กซีซุปเปอร์เซ็นเตอร์ แม็คโคร คอมมูนิตี้มอลล์ และโครงการอื่นๆ อีกหลายโครงการ 5.บิ๊กดีเวลลอปเปอร์แห่เข้าพัฒนาโครงการ ทำเลที่มีแนวโน้มเติบโต และกลายเป็นย่านสำคัญในอนาคต  ปัจจัยชี้วัดอีกประการ คือดูได้จากการเข้าไปพัฒนาโครงการของบิ๊กดีเวลลอปเปอร์ต่างๆ เพราะหากทำเลนั้นไม่มีศักยภาพเพียงพอ ดีเวลลอปเปอร์จะไม่เข้าไปจับจองพื้นที่เพื่อพัฒนาโครงการอย่างแน่นอน ปัจจุบันในย่านแจ้งวัฒนามีบิ๊กดีเวลลอปเปอร์หลายรายเข้าไปพัฒนาโครงการแล้ว อาทิ   กลุ่มบางกอกแลนด์ พัฒนาโครงการศูนย์การค้า คอสโม บาซาร์ พื้นที่รวม 80,000 ตารางเมตร มีทั้งโรงภาพยนตร์เครือเอสเอฟ ซีนีม่า ซิตี้ 5 โรง ซูเปอราร์เก็ต ฟิตเนสเซ็นเตอร์ ร้านค้า และร้านอาหาร กลุ่มบีแลนด์ยังวางแผนนำที่ดิน 600 ไร่ บริเวณทะเลสาบเมืองทองธานี  พัมนาโครงการเลเชอร์ แอนด์ เอ็นเตอร์เท็นเมนท์ คอมเพล็กซ์ มูลค่า 5,000-6,000 ล้านบาทอีกด้วย   ความเคลื่อนไหวของบิ๊กดีเวลลอปเปอร์อื่นๆ ที่เริ่มเตรียมตัวเข้ามาพัฒนาโครงการในย่านแจ้งวัฒนะก็มีอีกหลายราย อาทิ  กลุ่มแอล.พี.เอ็น. ซื้อสนามฟุตบอลสยามสปอร์ต ขนาดที่ดิน 26 ไร่ กลุ่มเมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ซื้อตึกร้างในเมืองทอง เพื่อเตรียมพัฒนาเป็นโครงการคอนโดฯ กลุ่มพฤกษา เรียลเอสเตท ซื้อที่ดิน 170 ไร่ เพื่อเตรียมพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย และกลุ่มแสนสิริ ซื้อที่ดินบริเวณตลาดสวนมะลิ ขนาด 30 ไร่ เพื่อเตรียมพัฒนาโครงการคอนโดฯ  เปิดข้อมูลตลาดคอนโดฯ ย่านแจ้งวัฒนะ นอกเหนือจาก 5 เหตุผลสำคัญดังกล่าวแล้ว ทางไนท์แฟรงค์ ยังได้จัดทำผลวิจัยสนับสนุน ให้เห็นว่าย่านแจ้งวัฒนะมีอีกหนึ่งย่านสำคัญในด้านธุรกิจและตลาดที่อยู่อาศัย โดยรายงานว่า ตลาดคอนโดฯ บริเวณแจ้งวัฒนะในช่วงกลางปี 2562 ที่ผ่านมา  มีจำนวนทั้งสิ้น 18,942 ยูนิต โดยคอนโดฯ ในบริเวณนี้มีจำนวนห้องชุดใหม่เกิดขึ้นมากตั้งแต่ปี 2554 เนื่องจากมียูนิตงานราชการเริ่มย้ายสถานที่ทำการเข้ามาอยู่ในบริเวณศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ ส่งผลให้ผู้ประกอบการหันมาซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการคอนโดฯ เพื่อรองรับ   แต่หลังจากเริ่มเปิดขายมากขึ้นในปี 2554  ในปีต่อมาพบว่า จำนวนห้องชุดใหม่เริ่มชะลอตัวลงและเพิ่มขึ้นสลับกันไปจนถึงปี 2561 และในปีนั้นเองได้เริ่มมีการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูช่วงมีนบุรี-แคราย จึงทำให้มีห้องชุดใหม่เปิดขายเพิ่มขึ้นมาเป็น 2,013 ยูนิต และครึ่งปีแรกของปี 2562 มีห้องชุดใหม่เปิดขายเพิ่มขึ้นมาจำนวน 1,838 ยูนิต และคาดว่าทั้งปี 2562 จะมีคอนโดฯ เปิดขายใหม่ในบริเวณนี้ประมาณ 3,000 ยูนิต กราฟแสดงอุปทานคอนโดมิเนียมบริเวณแจ้งวัฒนะ ปี 2554 ถึงกลางปี 2562 ช่วงกลางปี  2562 คอนโดฯ บริเวณแจ้งวัฒนะ มีจำนวนที่ขายไปแล้วประมาณ 12,271 ยูนิต จากจำนวนคอนโดฯ ที่เปิดขายทั้งสิ้น 18,942 ยูนิต คิดเป็นอัตราการขา 64.8% มีจำนวนคอนโดฯ เหลือขายประมาณ 6,671 ยูนิต จำนวนห้องชุดที่ในช่วง 6 ปีที่ผ่านมามีประมาณปีละ 1,350 ยูนิต เนื่องจากบริเวณนี้เป็นบริเวณที่มีศักยภาพเป็นบริเวณธุรกิจใหม่ แวดล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกในพื้นที่   โดยกลุ่มผู้ซื้อคอนโดฯ ในบริเวณนี้ คือ บุคลากรของหน่วยงานต่างๆ ในย่านนี้ และผู้ปกครองนักเรียนและนักศึกษาที่ศึกษาในสถาบันการศึกษาที่ตั้งอยู่ในบริเวณนี้ ที่สำคัญ ราคาคอนโดฯ ยังจับต้องได้ หากรถไฟฟ้าสายสีชมพูแล้วเสร็จการเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ก็จะสะดวกมากยิ่งขึ้น  ราคาขายจึงมีแนวโน้มที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นด้วย   นอกจากนี้ กลุ่มผู้ซื้อคอนโดฯ  ในบริเวณนี้  มักซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง และมีบางส่วนซื้อเพื่อปล่อยเช่า บางส่วนซื้อเก็บไว้เป็นทรัพย์สินโดยคาดว่าคอนโดฯ ในบริเวณแจ้งวัฒนะ มีระดับราคาที่สามารถปรับตัวขึ้นได้ในอนาคต ยิ่งเมื่อระบบรถไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างแล้วเสร็จ ย่อมทำให้ราคาขายคอนโดฯ ในบริเวณนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้น กราฟแสดงอุปทาน อุปสงค์ และ อัตราการขายคอนโดมิเนียมบริเวณแจ้งวัฒนะ 2554 ถึงกลางปี  2562   การพัฒนาคอนโดฯ บริเวณแจ้งวัฒนะ ส่วนใหญ่เป็นระดับเกรดซี โดยระดับราคาขายเฉลี่ยของคอนโดฯ เกรดซี ช่วงกลางปี 2562 มีระดับราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 72,438 บาทต่อตารางเมตรเมตร ปรับตัวขึ้นจากปี 2554 ซึ่งมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 53,680 บาทต่อตารางเมตร ค่าเฉลี่ยการปรับตัวขึ้นของคอนโดฯ ในบริเวณนี้จากปี 2554 ถึง กลางปี 2562 มีค่าเฉลี่ยสะสมในการปรับตัวในระยะเวลา 7 ปี (Compound Annual Growth Rate:CAGR) อยู่ในอัตรา 5% ในปี 2562 เริ่มมีการพัฒนาคอนโดฯ เกรดบี บริเวณแจ้งวัฒนะ และราคาขายเฉลี่ยของคอนโดฯ เกรดบี บริเวณแจ้งวัฒนะอยู่ที่ 80,150 บาทต่อตารางเมตร ณ กลางปี 2562 กราฟแสดงราคาขายเฉลี่ยคอนโดมิเนียมบริเวณแจ้งวัฒนะ 2554 ถึงกลางปี  2562
รีวิวคอนโดใกล้บีทีเอสพระโขนง IDEO Sukhumvit-Rama 4

รีวิวคอนโดใกล้บีทีเอสพระโขนง IDEO Sukhumvit-Rama 4

IDEO Sukhumvit-Rama 4 คอนโดมิเนียมที่อยู่ช่วงต้นถ.พระราม 4 อยู่ในระยะที่สามารถเดินไปถึงคอมมูนิตี้มอลล์อย่าง Summer Hill ที่อยู่ติดกับ BTS พระโขนง เพียง 350 เมตร จากโครงการ อยู่ใกล้เอกมัย-ทองหล่อ แต่ได้ความเป็นส่วนตัวมากกว่า ชื่อโครงการ IDEO Sukhumvit-Rama 4 (ไอดีโอ สุขุมวิท-พระราม 4 )  เจ้าของโครงการ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จํากัด (มหาชน) ที่ตั้งโครงการ แขวงพระโขนง เขตคลองเตย กรุงเทพฯ 10110 พื้นที่โครงการ  3-2-51.5 ไร่ ลักษณะโครงการ High Rise  จำนวนอาคาร 1 อาคาร  จำนวนชั้น 32 ชั้น  จำนวนยูนิต 642 ยูนิต  ขนาดห้อง  Studio ขนาด 5 ตร.ม. 1 Bedroom 34.5 ตร.ม. 1 Bedroom Plus 44 ตร.ม. 2 Bedroom 2 Bath 66 ตร.ม. 2 Bedroom 2 Bath 74 ตร.ม. Penthouse (3 Bedroom) 88 – 133 ตร.ม.   เฟอร์นิเจอร์ Fully Fitted  ที่จอดรถ 56% สิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลาง Private Lobby, Urban Courtyard, Digital Mailbox Room, Co-Creative Space, Meeting Room, 24-Hr Fitness Center, Semi-Outdoor Playtivity, Swimming Pool, Aqua Exercise Equipment, Garden, Floating Pavilion, Sky Lounge, Semi-Outdoor Sky Deck ปีที่สร้างเสร็จ 2565 ราคาเริ่มต้น 3.59 ล้านบาท  จุดเด่นโครงการ เพดานห้องสูง 2.9 เมตร ใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียว สถานีพระโขนง 350 เมตร ฟิตเนสส่วนกลางเปิด 24 ชั่วโมง   ระบบขนส่งสาธารณะใกล้เคียง รถไฟฟ้าสายสีเขียว สถานีพระโขนง  จุดขึ้น-ลงทางด่วน ทางด่วนเฉลิมมหานคร, ทางด่วนฉลองรัช ด่านพระโขนง สถานที่ใกล้เคียง Summer Hill, Big C, Tesco Lotus, K-Village, สวนเพลิน มาร์เก็ต, โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท, มหาวิทยาลัยกรุงเทพ กล้วยน้ำไท, โรงพยาบาลสุขุมวิท, โรงเรียนศรีวิกรม์       รายละเอียดโครงการเพิ่มเติม  IDEO Sukhumvit-Rama4   ข่าวอื่นๆ จากอนันดา  อนันดาฯ ยึดเบอร์ 1 คอนโดติดรถไฟฟ้า  อนันดาฯ จับมือ ช้อปปี้ เปิดเกมรุกบุกตลาดอีคอมเมิร์ซ อนันดาฯโชว์กำไรโต 61%
แสนสิริ x บีทีเอส โกยกำไรโปรเจ็กต์ร่วมทุน 1,000 ล้าน

แสนสิริ x บีทีเอส โกยกำไรโปรเจ็กต์ร่วมทุน 1,000 ล้าน

แสนสิริ เดินหน้าทำตลาดไตรมาสสุดท้าย กระตุ้นยอดขายให้ได้ 28,000 ล้าน ตามเป้าหมาย หลัง 10 เดือนแรกยังทำได้แค่ 15,500 ล้าน ทั้งการเปิดโปรเจ็กต์ใหม่ จัดโปรโมชั่นระบายสต็อกบ้านต่ำกว่า 3 ล้าน หวังรับประโยชน์จากมาตรการภาครัฐ ขณะที่โปรเจ็กต์ร่วมทุนกับกลุ่มบีทีเอส เตรียมโอนอีก 4 โครงการ สร้างกำไรทั้งปี 1,000 ล้าน   นางสาววรางคณา อัครสถาพร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโสสายงานการเงินและพัฒนาธุรกิจใหม่ บริษัท แสนสิริจำกัด (มหาชน) หรือ SIRI​ เปิดเผยถึงทิศทางธุรกิจในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ว่า น่าจะมีผลประกอบการสูงที่สุดของปี เนื่องจากมีโครงการแล้วเสร็จพร้อมโอนกรรมสิทธิ์หลายโครงการ  ส่งผลให้มียอดโอนประมาณ 14,000-15,000 ล้านบาท โดยเป็นโครงการที่บริษัทดำเนินการเอง และเป็นโครงการร่วมทุนกับบริษัท ยู ซิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ U  ทำให้ภาพรวมตลอดทั้งปี 2562 บริษัทน่าจะมียอดโอนได้ตามเป้าหมายที่วางไว้มูลค่า  28,000 ล้านบาท และมีแนวโน้มทำกำไรได้มากกว่าปีที่ผ่านมาด้วย   สำหรับการพัฒนาโครงการร่วมทุนระหว่างบริษัทกับ U ปัจจุบันดำเนินมาเป็นปีที่ 5 ซึ่งมีการบันทึกข้อตกลงร่วมกันและจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท เพื่อพัฒนาโครงการรวมทั้งสิ้น 26 โครงการ เป็นโครงการที่พัฒนาออกมาแล้ว  14 โครงการ รวมมูลค่า 50,000 ล้านบาท  จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ว่าจะพัฒนา 25 โครงการ รวมมูลค่า 100,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันมีโครงการที่โอนกรรมสิทธิ์ได้แล้วรวม 10 โครงการ โดยแผนการพัฒนาโครงการในปีหน้า  อยู่ระหว่างการวางแผนพัฒนาร่วมกัน ซึ่งบางโครงการที่ได้ชะลอการพัฒนา เนื่องจากในปีหน้าจะมีการประกาศผังเมืองใหม่ ซึ่งทำให้บางพื้นที่มีการปรับการใช้ประโยชน์ที่ดินให้ได้มากขึ้น  รวมถึงจะมีการขยายพื้นที่นอกเขตแนวรถไฟฟ้า จากเดิมระยะห่าง 500 เมตร เพิ่มขึ้นเป็น 800 เมตรที่จะได้รับประโยชน์การใช้พื้นที่พัฒนามากขึ้นด้วย   ในไตรมาสสุดท้ายขอปีนี้  บริษัทจะมีการโอนกรรมสิทธิ์โครงการร่วมทุน ซึ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียมรวม 4 โครงการ ได้แก่ เดอะ เบส เพชรเกษม (THE BASE Phetkasem) เดอะ ไลน์ สุขุมวิท 101 (THE LINE Sukhumvit 101) เดอะ ไลน์ พหลฯ-ประดิพัทธ์ (THE LINE Phahol – Pradipat) และคุณ บาย ยู อินสไปร์ บาย สตาร์ค (KHUN by YOO inspired by Starck) โดยมีมูลค่าการโอนกว่า  11,000-12,000 ล้านบาท  ซึ่งในปีนี้จะมีกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทร่วมทุน 1,000 ล้านบาท เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้  โดยอัตรากำไรดังกล่าว จะแบ่งสัดส่วนการถือหุ้นในอัตรา 50:50   นางสาววรางคณา กล่าวอีกว่า โดยช่วง 10 เดือนแรกที่ผ่านมา บริษัทมียอดขาย 15,500 ล้านบาท จากเป้าหมายยอดขายทั้งปี 30,000 ล้านบาท ซึ่งมั่นใจว่าจะสามารถทำยอดขายได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ เนื่องจากบริษัทยังเตรียมเปิดโครงการอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครงการแนวราบ ที่จะเปิดอีก 4 โครงการภายใต้แบรนด์ SIRI PLACE ส่วนโครงการคอนโดฯ  เตรียมเปิดขายโครงการร่วมทุนกับ U อีก 1 โครงการ  ภายใต้แบรนด์ “เดอะ เบส” ในโครงการย่านเพชรบุรี-ทองหล่อ รวมมูลค่า 2,000 ล้านบาท   นอกจากนี้ บริษัทยังวางแผนในการจัดแคมเปญการตลาด ด้วยการนำเอาโครงการที่มีระดับราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ที่มีทั้ง ทั้งหมด 17 โครงการ มูลค่ารวม 3,500 ล้านบาท หรือ 1,644 ยูนิต มาระบายสต็อก เพื่อให้ได้รับประโยชน์จากมาตรการภาครัฐ  ที่ได้ออกมากระตุ้นภาคอสังหาฯ  ซึ่งบริษัทคาดว่ากระทรวงมหาดไทยจะออกประกาศออกมาอย่างเป็นทางการภายใน 1-2 สัปดาห์นี้ โดยคาดว่ามาตรการการลดค่าธรรมเนียมการโอนและค่าจดจำนอง จะส่งผลดีทำให้ลูกค้าเร่งการโอนกรรมสิทธิ์เพิ่มมากขึ้น  เมื่อมาตรการดังกล่าวมีผลบังคับใช้ ด้านนางสาวปิยพร พรรณเชษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยู ซิตี้ จำกัด (มหาชน) บริษัทในกลุ่มบีทีเอส กล่าวว่า นโยบายการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ บริษัทจะพัฒนาโครงการที่สร้างรายได้ประจำ อาทิ โรงแรม อาคารสำนักงาน แต่หากเป็นโครงการที่อยู่อาศัย บริษัทจะพัฒนาภายใต้โครงการร่วมทุนกับแสนสิริ  ซึ่งตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมาถือว่า  บริษัทได้รับผลตอบแทนจากกำไรในการลงทุนอย่างต่อเนื่อง  ปัจจุบันมีการพัฒนาโครงการร่วมกัน 14 โครงการ รวมมูลค่าโครงการกว่า 50,000 ล้านบาทและมียอดขายปัจจุบันรวม 35,000 ล้านบาท หรือ กว่า 70% ของยอดขายทั้งหมด  และมียอดพรีเซลส์แบ็กล็อก  สำหรับโครงการร่วมทุนที่มีร่วมกัน 17,500 ล้านบาทที่เตรียมส่งมอบในปี 2562 ถึง 2565  
SC ลุยเปิด 5 โปรเจ็กต์ใหม่ กระตุ้นตลาดโค้งท้ายปี ’62

SC ลุยเปิด 5 โปรเจ็กต์ใหม่ กระตุ้นตลาดโค้งท้ายปี ’62

SC ลุยตลาดโค้งท้าย 2 เดือนสุดท้าย เปิดโครงการใหม่ 4โครงการ มูลค่ารวม 5,560  ล้าน พร้อมขน  34 โครงการ จัดแคมเปญใหญ่แห่งปี    นายอรรถพล สฤษฎิพันธาวาทย์ ประธานเจ้าหน้าที่ด้านสนับสนุนองค์กร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปีนี้ ได้เตรียมเปิดโครงการใหม่ 5 โครงการ รวมมูลค่า 5,560  ล้านบาท โดยเป็นโครงการแนวราบ 1 โครงการ และโครงการคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์อีก 1 โครงการ หลังจากช่วง 9 เดือนแรกที่ผ่านมา สามารถทำยอดขายกลุ่มบ้านเดี่ยวเติบโต 50% โดยเฉพาะบ้านระดับราคา  8-20 ล้านบาท   สำหรับโครงการแนวราบ ที่จะเปิดตัวประกอบด้วยบ้านเดี่ยว และทาวน์โฮม  มูลค่ารวม 3,860 ล้านบาท  ได้แก่ 1.โครงการเวนิวโฟลว์ พระราม 5 ใกล้รถไฟฟ้าสายสีม่วง สถานีแยกติวานนท์ และใกล้ทางด่วนศรีรัช – วงแหวนรอบนอก บนพื้นที่กว่า 18 ไร่ จำนวน 70 ยูนิต  ราคาเริ่มต้น 6.79 ล้านบาท   2.โครงการบางกอกบูเลอวาร์ด รามอินทรา-เสรีไทย 2  บนทำเลติดถนนใหญ่ เข้าออกได้ 2 ทาง คือ ถนนเสรีไทย และ เลียบวงแหวน-กาญจนา บนพื้นที่กว่า 24 ไร่ จำนวน 77 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 12 ล้านบาท   3.โครงการบางกอกบูเลอวาร์ด ซิกเนเจอร์ ลาดพร้าว-เสรีไทย  บนถนนเสรีไทยใกล้กับนิด้า บนพื้นที่กว่า 30  ไร่ จำนวน 77 ยูนิต ราคาเริ่มต้น  ล้านบาท   4.โครงการเวิร์ฟเพชรเกษม ทาวน์โฮม 2 ชั้น หน้ากว้างเริ่ม 5.45 เมตร พร้อมกับรุ่นใหม่ดีไซน์หน้ากว้าง 7.9 เมตร ขนาด 4 ห้องนอน 3 ที่จอดรถ ทำเลเชื่อมต่อถนนสายหลักหลายสาย  ได้แก่ ถนน เพชรเกษม,ถนนเอกชัย ,พุทธมณฑล บนพื้นที่กว่า 16 ไร่ จำนวน 176 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 2.99  ล้านบาท   ส่วนโครงการคอนโดฯ ได้เตรียมเปิดโครงการแชมเบอร์ส อ่อนนุช สเตชั่น (Chambers On Nut Station)  มูลค่า 1,700 ล้านบาท ที่ตั้งโครงการอยู่ห่างจาก BTS สถานีอ่อนนุช  เพียง 230 เมตร มีกำหนด เปิด Presale ให้ชมห้องและบรรยากาศพื้นที่ส่วนกลาง วันที่ 9-10 พฤศจิกายนนี้   นายอรรถพล  กล่าวอีกว่า เพื่อเป็นการกระตุ้นยอดขายช่วงโค้งท้ายปีนี้  บริษัทยังได้จัดแคมเปญใหญ่แห่งปี  ภายใต้แคมเปญ “SC DAY OMG ZERO DEAL” ระหว่าง วันที่ 9-10 พฤศจิกายนนี้ กับโปรโมชั่นในโครงการบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม โฮมออฟฟิศ และคอนโดฯ รวม 34 โครงการ มีราคาเริ่มต้น 2-50 ล้านบาท  
เปิดบทวิเคราะห์ EIC มาตรการอสังหาฯ ไม่ทำให้ตลาดฟื้นตัว

เปิดบทวิเคราะห์ EIC มาตรการอสังหาฯ ไม่ทำให้ตลาดฟื้นตัว

สัปดาห์ที่ผ่านมา (วันที่ 22 ตุลาคม 2562) คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาคอสังหาริมทรัพย์  ด้วยการออกมาตรการลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนโอน และจดจำนองให้กับผู้ซื้อที่อยู่อาศัยใหม่ ในราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทออกมามีผลบังคับใช้ ซึ่งระยะเวลาไปสิ้นสุดในวันที่ 24 ธันวาคม 2563   นอกจากนี้ ครม. ยังมีมติเห็นชอบ  มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยพิเศษของธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ซึ่งคิดอัตราดอกเบี้ยที่ 2.5% ในช่วง 3 ปีแรกสำหรับผู้กู้ซื้อบ้านราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ด้วยวงเงินสินเชื่อรวม 50,000 ล้านบาทด้วย   ถือได้ว่าเป็นมาตรการที่ออกมาช่วยกระตุ้นให้ภาคอสังหาฯ ฟื้นตัวดีขึ้น  จากแรงกดดันของมาตรการกำหนดสินเชื่อต่อวงเงินหลักประกัน หรือ LTV ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาบังคับใช้ก่อนหน้านี้ ซึ่งส่งผลทำให้ตลาดอสังหาฯ โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัดเจน นี่ยังไม่นับรวมปัจจัยเรื่องของภาวะเศรษฐกิจ กำลังซื้อ ปัญหาค่าเงิน และสงครามการค้าโลก ที่แม้ไม่ได้ส่งผลกระทบโดยตรง แต่ก็ทำให้ตลาดลูกค้าต่างชาติ ซึ่งเป็นหนึ่งกลุ่มลูกค้าที่เข้ามาเติมตลาดให้เติบโต ได้ชะลอตัวลดลงตามไปด้วย   จะว่าไปแล้วมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอน และค่าจดจำนองในครั้งนี้ ก็เป็นมาตรการต่อเนื่อง จากก่อนหน้าที่รัฐบาลได้ออกมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง กับการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับการซื้อบ้านพร้อมที่ดิน หรือคอนโดฯ มูลค่าไม่เกิน 5 ล้านบาท ตามจำนวนที่จ่ายภาษีจริง แต่จ่ายภาษีไม่เกิน 200,000 บาท กำหนดระยะเวลาของมาตรการสำหรับผู้ซื้ออสังหาฯ  ตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน ถึง 31 ธันวาคม 2562  นอกจากนี้ ยังมีมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนและค่าจดจำนองเหลือ 0.01% จากปกติต้องชำระในอัตรา 2% สำหรับบ้านและคอนโดฯ ที่มีราคาไม่เกิน 1 ล้านบาทด้วย   แต่ดูเหมือนว่ามาตรการที่กำหนดกรอบราคาบ้านเพียงแค่ 1 ล้านบาท จะไม่ได้ตอบโจทย์สภาพตลาดและความเป็นจริงในปัจจุบัน เพราะที่อยู่อาศัยที่ขายเป็นส่วนใหญ่ จะมีระดับราคาเฉลี่ยในราคา 2-3 ล้านบาท หากจะหาซื้อที่อยู่อาศัยในราคา 1 ล้านบาทได้นั้น  คงต้องออกไปชานเมืองที่ไกล หรือไม่ก็เป็นตลาดต่างจังหวัด มาตรการที่ออกมาก่อนหน้าจึงแทบจะเรียกได้ว่า ไม่ได้ช่วยกระตุ้นตลาดอสังหาฯ สักเท่าไร EIC ประเมินคอนโดฯ+ทาวน์เฮ้าส์ ได้ประโยชน์ ล่าสุด นางสาวนพมาศ ฮวบเจริญ นักวิเคราะห์อาวุโส  Economic Intelligence Center (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ได้จัดทำบทวิเคราะห์  มาตรการลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนการโอน และจดจำนองว่ามีผลต่อตลาดอสังหาฯ อย่างไรบ้าง   โดยทาง EIC มองว่า กลุ่มที่อยู่อาศัยใหม่สร้างเสร็จพร้อมโอนระดับราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท  จะได้รับประโยชน์จากมาตราการ ซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ของตลาด  และเป็นประเภทคอนโดฯ และทาวน์เฮาส์ โดยเฉพาะในพื้นที่รอบนอกของกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด   จากข้อมูลยูนิตที่อยู่อาศัยเหลือขาย (ทั้งที่สร้างเสร็จและกำลังก่อสร้าง) ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ณ กลางปี 2019 ที่จัดเก็บโดย AREA พบว่า มียูนิตเหลือขายราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทอยู่ทั้งสิ้น 107,646 ยูนิต คิดเป็น 53% ของจำนวนเหลือขายทั้งหมด ซึ่งจำนวนเหลือขายราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นคอนโดฯ ถึง 52% ของจำนวนเหลือขายราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาททั้งหมด รองลงมาคือทาวน์เฮาส์มีสัดส่วน 43%  หากพิจารณาเป็นรายพื้นที่จะพบว่า  ที่อยู่อาศัยกลุ่มที่ได้ประโยชน์จะกระจุกตัวในพื้นที่รอบนอกกรุงเทพฯ เช่น รังสิตคลอง 1-16 บางบัวทอง บางนา กม.10-30 วงแหวนรอบนอก-เพชรเกษม และรัตนาธิเบศร์   มาตรการในครั้งนี้ มีเงื่อนไขครอบคลุมเฉพาะกลุ่มที่อยู่อาศัยใหม่ที่ราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท แตกต่างจากมาตรการลดค่าโอนและจดจำนองในปี 2558 ที่ครอบคลุมที่อยู่อาศัยทุกระดับราคา แม้ว่ามาตรการในครั้งนี้จะครอบคลุมกลุ่มที่อยู่อาศัยกลุ่มใหญ่  และเป็นมาตรการที่ออกมาต่อเนื่องจากมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาฯ ในช่วงไตรมาสสองของปีนี้ แต่เงื่อนไขที่จำกัดเฉพาะที่อยู่อาศัยบางระดับราคาทำให้ผลบวกที่มีต่อตลาดโดยรวมจะมีไม่มากดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นในปี 2551 และ 2558 ที่มีการใช้มาตรการแบบเดียวกัน ต่างกันที่ครอบคลุมที่อยู่อาศัยทุกระดับราคา โดยเฉพาะในปี 2558 ที่ครอบคลุมทั้งบ้านจัดสรรและไม่จัดสรร รวมถึงที่ดินจัดสรรด้วย   นอกจากนี้  มาตรการยังไม่ได้ระบุชัดเจนถึงวันที่มีผลบังคับใช้ ทำให้ธุรกรรมการโอนและจดจำนองของที่อยู่อาศัยราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทอาจหยุดชะงักในระยะสั้นจนกว่ามาตรการจะมีผลบังคับใช้ จากการที่ภาครัฐอนุมัติมาตรการลดค่าโอนและจดจำนองโดยที่ยังไม่ได้ระบุวันที่มีผลบังคับใช้ ทำให้ผู้ซื้อบ้านที่เข้าข่ายได้ประโยชน์จากมาตรการชะลอ/เลื่อนการโอนและจดจำนองออกไปก่อน เพื่อให้ตนเองสามารถได้รับประโยชน์จากมาตรการ   หากภาครัฐประกาศวันที่มีผลบังคับใช้ล่าช้า ก็อาจส่งผลระยะสั้นให้ธุรกรรมการซื้อขายบ้านบางส่วนหยุดชะงักลง  และอาจกระทบต่อยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในไตรมาส 4 ปีนี้ อย่างไรก็ตาม จากการสอบถามหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับมาตรการนี้ในเบื้องต้น หน่วยดังกล่าวแจ้งว่าอาจใช้เวลาประมาณ 1 เดือนในการเตรียมรายละเอียดของประกาศกระทรวงมหาดไทย โดยมีโอกาสที่มาตรการอาจเริ่มบังคับใช้ปลายเดือนพฤศจิกายน หรือ ต้นเดือนธันวาคม 2562 EIC ชี้มาตรการยังเป็นยาเบา ไม่กระตุ้นตลาดฟื้นตัว EIC ประเมินว่า มาตรการลดค่าโอนและจดจำนองในครั้งนี้ จะแค่บรรเทาผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจ และเกณฑ์ LTV ในระยะสั้น แต่ยังไม่สามารถผลักดันให้ตลาดที่อยู่อาศัยกลับมาขยายตัวได้สูงดังที่เคยเกิดขึ้นจากการใช้มาตรการในครั้งก่อน ๆ เนื่องจาก 1.มาตรการในปีนี้ส่งผลกระทบในวงแคบกว่าเมื่อเทียบกับปี 2551 และ 2558 ที่ได้ประโยชน์กับที่อยู่อาศัยในทุกระดับราคาตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น 2.เศรษฐกิจโลกและไทยที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง  กดดันกำลังซื้อของชาวต่างชาติและชาวไทย โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อย-ปานกลางที่มีความเปราะบางต่อเศรษฐกิจที่ผันผวน 3.หนี้สินของภาคครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ดังพิจารณาได้จากข้อมูลหนี้ครัวเรือนต่อ Disposable income ที่รายงานโดยธปท. ซึ่งอยู่ในระดับเกือบ 150% เทียบกับปี 2551 ที่อยู่ในระดับต่ำกว่า 100% ขณะที่อัตราส่วนหนี้ต่อรายได้ของผู้กู้ซื้อบ้านยังคงอยู่ในระดับสูง แม้ว่าจะลดลงมาบ้างหลังจากเกณฑ์ LTV มีผลบังคับใช้ ทำให้ความสามารถในการก่อหนี้ของครัวเรือนยังมีข้อจำกัดค่อนข้างมาก 4.สถาบันการเงินเข้มงวดในการให้สินเชื่อที่อยู่อาศัยมากขึ้น สะท้อนจากอัตราการอนุมัติสินเชื่อบ้านที่ลดลงและมาตรฐานการให้สินเชื่อบ้านที่เข้มงวดขึ้นผ่านการสำรวจของ ธปท. ที่มีประจำทุกไตรมาส 5.เกณฑ์ LTV ที่เข้มงวดมากขึ้น ทำให้ความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคลดลง ทั้งการที่ไม่สามารถกู้ยืมเพื่อซื้อบ้านในวงเงินที่สูงดังเช่นในอดีตและการหาผู้กู้ร่วมที่ยากมากขึ้นกว่าในอดีตก่อนมีมาตรการ LTV ใหม่ (แม้ว่า ธปท. จะผ่อนปรนเกณฑ์ LTV ในกรณีกู้ร่วม แต่การผ่อนปรนเฉพาะกรณีกู้ร่วมไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัย ซึ่งอาจมีสัดส่วนไม่มาก) ขณะที่มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยพิเศษของ ธอส. อาจไม่มากพอที่จะช่วยผลักดันให้ตลาดบ้านกลับมาขยายตัวได้ เนื่องจากวงเงินในมาตรการที่ค่อนข้างน้อย คิดเป็นประมาณ 5-7% ของยอดสินเชื่อใหม่เพื่อซื้อบ้านในแต่ละปีเท่านั้น เร่งการโอน ลดค่าใช้จ่าย 90,000 บาท แม้ว่าผลต่อการฟื้นตัวของตลาดที่อยู่อาศัยโดยรวมอาจมีไม่มาก แต่กลุ่มผู้ซื้อบ้าน Low-end และผู้ประกอบการที่เน้นบ้านกลุ่ม Low-end จะเป็นผู้ที่ได้รับผลประโยชน์จากมาตรการครั้งนี้ โดยผู้ซื้อบ้านใหม่ในราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท  จะสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในการโอนและจดจำนองสูงสุดเกือบ 90,000 บาท ซึ่งอาจทำให้ผู้ซื้อบางส่วนเร่งเข้ามาโอนที่อยู่อาศัยเร็วขึ้นเพื่อให้ได้รับประโยชน์จากมาตรการ   ขณะที่ผู้พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยหรือมี Backlog ราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทในสัดส่วนสูง  จะได้รับประโยชน์ เนื่องจากผู้ประกอบการสามารถประหยัดต้นทุนการออกโปรโมชัน  ลดค่าโอนและจดจำนอง  ซึ่งเป็นหนึ่งในโปรโมชันที่ผู้ประกอบการนิยมทำ โดยผู้ประกอบการอาจจะใช้โอกาสนี้ในการออกโปรโมชันอื่น ๆ เพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นยอดขายและเร่งระบายที่อยู่อาศัยเหลือขายได้มากขึ้น   ตลาดที่อยู่อาศัยยังต้องใช้เวลาปรับตัวกับเกณฑ์ LTV ใหม่ประมาณ 1-2 ปี ซึ่งต้องอาศัยการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคอย่างชัดเจนร่วมด้วย นอกเหนือจากการสนับสนุนจากมาตรการทางภาษี แม้รัฐบาลทยอยออกมาตรการทางภาษีหลายอย่างเพื่อช่วยพยุงตลาดที่อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่อง แต่การปรับตัวของผู้บริโภคต่อเกณฑ์การให้สินเชื่อที่อยู่อาศัย หรือเกณฑ์ LTV ยังต้องใช้ระยะเวลา โดยอาศัยแรงขับเคลื่อนสำคัญจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคอย่างชัดเจน เพื่อผลักดันกำลังซื้อให้มีได้มากขึ้นเพื่อทดแทนความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยที่ลดลงจากเกณฑ์ LTV   อย่างไรก็ตาม มาตรการดังกล่าวอาจยังไม่สามารถส่งผลให้  ตลาดที่อยู่อาศัยกลับมาฟื้นตัวได้สูงเหมือนดังที่เคยเกิดขึ้น จากมาตรการแบบเดียวกันในอดีต เนื่องจากข้อจำกัด 3 ประการ ได้แก่ 1.ข้อจำกัดของมาตรการที่ครอบคุลมที่อยู่อาศัยเฉพาะกลุ่ม ซึ่งแตกต่างจากมาตรการในอดีตที่ครอบคุลมทุกระดับราคา 2.ข้อจำกัดด้านเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัวไม่เอื้อต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค 3.ข้อจำกัดด้านการกู้ยืมของผู้ซื้อบ้าน จากภาระหนี้สินของภาคครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ท่ามกลางความเข้มงวดของสถาบันการเงินและเกณฑ์ LTV ที่เข้มงวดมากในอดีต   ในบทสรุปสุดท้าย คงต้องติดตามกันต่อไปว่า มาตรการที่อออกมา จะส่งผลทำให้เกิดการซื้อขาย และโอนกรรมสิทธิ์กันได้มากน้อยแค่ไหน แต่สำหรับปีนี้จากระยะเวลาที่เหลืออยู่เพียง 2 เดือน  ภาพรวมของตลาดอสังหาฯ  คงเป็นไปตามที่หลายฝ่ายประเมิน ว่าตลาดคงไม่เติบโตเท่ากับปีที่ผ่านมา และคงต้องลุ้นกันใหม่ในปีหน้า ว่าสถานการณ์จะฟื้นตัวได้ดีขึ้นมากน้อยแค่ไหน  
รีวิวคอนโด จตุจักร ดีไซน์ที่สุดของไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ กับ Denim Jatujak เดนิมจตุจักร

รีวิวคอนโด จตุจักร ดีไซน์ที่สุดของไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ กับ Denim Jatujak เดนิมจตุจักร

คอนโดมิเนียมดูจะเป็นที่อยู่อาศัยที่สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ได้ตรงใจมากที่สุด ไม่ว่าจะด้วยเรื่องของทำเลเดินทางสะดวก ขนาดห้องดูแลง่าย อยู่ใกล้แหล่งสิ่งอำนวยความสะดวก แต่คอนโดฯ ไหนจะเป็นโครงการที่ใช่ที่สุดสำหรับทุกไลฟ์สไตล์ Live, Work, Play ของคนรุ่นใหม่ที่จะช่วยมาบาลานซ์ชีวิตให้ลงตัว ก็ลองหยิบยีนส์ตัวโปรดของคุณสักตัวมาใส่แล้วออกไปค้นหาคำตอบกันที่โครงการ Denim Jatujak กันค่ะ คอนโด จตุจักร ที่สุดของทำเลไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ ด้วยไลฟ์สไตล์ที่ไม่เคยหยุดนิ่งของคนรุ่นใหม่ ทำให้การเดินทางในแต่ละวันต้องการปรับเปลี่ยนแผนได้อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะหลบรถติดไปขึ้นรถไฟฟ้า หรือขับรถขึ้นทางด่วนเข้า-ออก ใจกลางเมืองได้อย่างง่ายดาย ทำให้การเลือกคอนโดฯ ที่สามารถเข้า-ออกได้หลายเส้นทาง กลายเป็นสิ่งที่หลายคนให้ความสนใจมากกว่า ยิ่งถ้าอยู่ท่ามกลางย่านช้อปปิ้ง แหล่งอาหารการกินพร้อม ก็จะยิ่งเติมเต็มไลฟ์สไตล์ของเราให้ยิ่งลื่นไหลไม่มีสะดุด    Denim Jatujak ตั้งอยู่ในซ.วิภาวดี 3 บรรยากาศภายในซอยค่อนข้างคึกคักทีเดียวค่ะ ด้วยความที่ใช้เป็นเส้นทางลัดได้ จึงลายเป็นแหล่งที่มีผู้คนอาศัยอยู่พอสมควร สิ่งที่ตามมาคือบรรดาร้านอาหาร สตรีทฟู๊ด ร้านกาแฟ อยู่ตลอดทั้งซอย  และยังสามารถทะลุกับซ.พหลโยธิน 18 หรือซ.พหลโยธิน 18/1 ออกไปยังถ.พหลโยธิน ฝั่งตรงข้ามตลาดนัดจตุจักร ซึ่งจะอยู่ใกล้กับ BTS สถานีหมอชิต และ MRT สถานีจตุจักร ส่วนจุดขึ้น-ลงทางด่วน ใกล้ที่สุดจากปากซ.วิภาวดี 3 เพียง 200 เมตร ก็สามารถขึ้นโทลล์เวย์ตรงไปถึงสนามบินดอนเมืองได้ไม่เกิน 20 นาที และทางด่วนศรีรัช บริเวณถ.กำแพงเพชร เพื่อเข้าเมือง หรือจะไปฝั่งธนฯ เชื่อมต่อออกไปถ.ราชพฤกษ์ ก็สามารถขึ้นทางด่วนตรงถ.กำแพงเพชร 2 ได้อย่างสะดวก         มาดูกันที่สิ่งอำนวยความสะดวกรอบๆ โซนนี้กันบ้างค่ะ เริ่มจากฝั่งถ.วิภาดี ในช่วงต้นแบบนี้เราจะเห็นอาคารสำนักงาน ที่ตั้งของบริษัทเอกชนชื่อดัง รัฐวิสาหกิจ สถานที่ราชการ อาทิ อาคารเล้าเป้งง้วน 1, อาคารซัน ทาวเวอร์, อาคารเอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์, บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน), สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์, ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) สำนักงานใหญ่ ฯลฯ รวมถึงสถาบันการศึกษาหลายแห่ง เช่น โรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี, มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตจักรพงษภูวนารถ เป็นต้น เรียกได้ว่าหากมองที่ดีมานท์แล้วก็มั่นใจได้เลยว่า มีกลุ่มคนที่เป็นนักเรียน นักศึกษาไปจนถึงวัยทำงานอยู่โซนนี้ตลอดเวลาไม่มีเงียบเหงา       หนึ่งในไฮไลท์ของย่านนี้ที่ไม่มีโซนไหนเทียบเท่าได้อีกแล้ว เห็นจะหนีไม่พ้นตลาดนัดจตุจักรและสวนสาธารณะขนาดใหญ่ถึง 3 แห่งนี่แหละค่ะ โดยสวนที่ว่านี้ก็อยู่ในบริเวณเดียวกันจนสามารถเดินถึงกันได้ทั้ง สวนวชิรเบญจทัศ, สวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ และสวนจตุจักร เปลี่ยนบรรยากาศพักผ่อนกันได้ใกล้ๆ คอนโดฯ สำหรับแหล่งสตรีทช้อปปิ้งสุดฮิปตลอดกาลอย่างตลาดนัดจตุจักร ซึ่งไม่ได้เปิดแค่เสาร์-อาทิตน์เท่านั้นนะคะ แต่ยังเปิดช่วงกลางคืนวันศุกร์กับวันเสาร์ ส่วนวันธรรมดาก็ยังสามารถเดินบนศูนย์การค้ามิกซ์ จตุจักร ได้ทุกวัน แต่ไม่ได้มีเพียงแค่นี้นะคะ ถ้าอยากเปลี่ยนไปจับจ่ายใช้สอยอื่นๆ ก็มีทั้งเซ็นทรัล ลาดพร้าว, ยูเนี่ยนมอลล์, บิ๊กซี ลาดพร้าว, โลตัส ลาดพร้าว เรียกว่าถ้าอยากได้อะไรไม่ต้องไปหาจากไหนไกล แถวนี้ก็มีครบ        ย่านจตุจักรยังมีอะไรที่น่าสนใจอีกนะคะ ถ้าเราผ่านไปบนถ.กำแพงเพชร หรืออยู่บนทางด่วนศรีรัช เราจะเห็นสิ่งก่อสร้างสุดอลังการตั้งตระหง่านอยู่บนพื้นที่กว่า 400 ไร่ นั่นคือ “สถานีกลางบางซื่อ” อนาคต HUB การเดินทางระบบรางทั้งหมดในบ้านเรา รองรับรถไฟฟ้าความเร็วสูงทุกสายในอนาคต อีกทั้งยังจะถูกพัฒนาให้มีทั้งศูนย์การค้า โรงแรม อาคารสำนักงาน ศูนย์ประชุม ฯลฯ หากเสร็จสมบูรณ์เมื่อไรก็เชื่อว่าจะเป็นการพลิกโฉมการเดินทางระบบรางครั้งใหญ่ที่สุดในบ้านเราเลยทีเดียวค่ะ    ภาพรวมโครงการ Denim Jatujak  Denim Jatujak จาก Grand Unity คอนโดฯ High Rise ทั้งหมด 4 อาคาร โดยแบ่งดังนี้ อาคาร A อาคารพักอาศัย 37 ชั้น, อาคาร B อาคารพักอาศัย 22 ชั้น (มีที่จอดรถ 6 ชั้น ส่วนชั้น 7 จะเริ่มมียูนิตพักอาศัย), อาคาร C อาคารพักอาศัย 33 ชั้น และอาคาร D อาคารจอดรถ 10 ชั้น รวมทั้งหมด 1,813 ยูนิต ขนาดห้อง 22.5-50.50 ตร.ม. ที่จอดรถทั้งหมด 978 คัน คิดเป็น 53%     ดีไซน์อาคารเน้นความเรียบเท่ ทันสมัย ด้วยการใช้เส้นสายแนวตั้งที่ดูแข็งแรงในสไตล์ Art Deco พื้นที่สีเขียวกว่า 2 ไร่ภายในโครงการ ตั้งแต่ชั้น Ground ที่มีสวนสีเขียวล้อมรอบทุกอาคาร Jogging Track และ Double Volume Lobby ที่อาคาร A-C แล้ว ยังมี Facilities อื่นๆ กระจายอยู่ทุกอาคาร โดยลูกบ้านสามารถใช้ร่วมกันได้ทั้งหมดผ่านการเชื่อมถึงกันด้วย Sky Bridge โดยแต่ละอาคารก็จะมีสิ่งอำนวยความสะดวกไม่ซ้ำกันเลยค่ะ โดยแบ่งเป็น    อาคาร A พื้นที่พบปะสังสรรค์ หรือประชุมระดมสมองอย่าง Brain Space และ Meeting Area อาคาร B พักผ่อนไปกับหลากหลายกิจกรรมโปรดตามแต่ไลฟ์สไตล์ ไม่ว่าจะกิจกรรมกลางแจ้งที่ Relax Pool, Kids’ Pool หรือกิจกรรมที่จัดเตรียมห้องเฉพาะเอาไว้ให้อย่าง Rhythm Studio ห้องซ้อมดนตรีที่ไม่ต้องไปจับจองที่ไหนไกล หรือดูหนังในสบายๆ ใน Theater Room นอกจากนี้ยังมี Bike Simulator, Playroom, Lobby Lounge และ Retreat Area อาคาร C ชวนเพื่อนมาปลอดปล่อยไอเดียได้ที่ Co-Living Area, Co-Kitchen Space, Co-Dining Area และ E-Library  อาคาร D สำหรับคนรักสุขภาพก็ต้องไม่พลาด Up & Above Gym ห้องออกกำลังกาย 2 ชั้น Active Pool ขนาดเทียบเท่าโอลิมปิกพร้อมวิวเมือง และ Sauna Steam, Yoga & Pilates, Green Roof, Outdoor BBQ      Floor Plan    Denim Jatujak ตั้งอยู่บนที่ดินแปลงหัวมุมระหว่างซ.วิภาวดี 3 กับ ซ.วิภาวดี 5 แยก 7 ซึ่งมีทางเข้า-ออกโครงการได้จากทั้ง 2 ด้าน คือด้านซ.วิภาวดี 3 บริเวณอาคาร D ที่เป็นอาคารจอดรถ และด้านซ.วิภาวดี 5 แยก 7 บริเวณอาคาร A และ B อาคารพักอาศัย      อาคาร A อาคารพักอาศัย มี Facilities ที่ชั้น 8 อยู่ฝั่งทิศตะวันออกของโครงการ ใกล้กับทางเข้า-ออก ฝั่งซอยวิภาวดี 5 แยก 7 มีลิฟท์โดยสาร 4 ตัว ลิฟท์เซอร์วิช 1 ตัว บันไดหนีไฟ 2 จุด เป็นอาคารที่มีจำนวนยูนิตต่อชั้นน้อยที่สุด และจะอยู่ใกล้ทางเข้า-ออก โครงการทั้ง 2 ฝั่ง โดยตำแหน่งยูนิตจะถูกวางเป็นทิศตะวันออก วิวนอกโครงการ และทิศตะวันตก วิวสระว่ายน้ำจากอาคาร D (ฝั่งเดียวกับลิฟท์) อาคาร B อาคารพักอาศัย และเป็น Facilities อยู่ฝั่งทิศเหนือของโครงการ มีลิฟท์โดยสาร 3 ตัว ลิฟท์เซอร์วิช 1 ตัว บันไดหนีไฟ 2 จุด ตัวอาคารวางเป็น L Shape ล้อมสระว่ายน้ำเอาไว้ ยูนิตพักอาศัยฝั่งที่ได้วิวสระว่ายน้ำจะหันทางทิศตะวันออก(ทิศนี้มีเพียง 2 ยูนิต/ชั้น) กับทิศใต้ ส่วนวิวภายนอกโครงการจะอยู่ทางทิศเหนือกับตะวันตก อาคาร C อาคารพักอาศัย  มี Facilities ที่ชั้น 8 ตั้งอยู่กลางพื้นที่โครงการไปค่อนทางฝั่งตะวันตก มีลิฟท์โดยสาร 4 ตัว ลิฟท์เซอร์วิช 1 ตัว บันไดหนีไฟ 2 จุด เป็นอาคารที่เปรียบเสมือน Center ของทุกอาคารด้วยการตำแหน่งของอาคารค่ะ  โดยยูนิตพักอาศัยจะหันออกทางทิศใต้ ฝั่งด้านหน้าโครงการ วิวสระว่ายน้ำจากอาคาร D และยูนิตทางทิศเหนือ วิวสระว่ายน้ำจากอาคาร B  อาคาร D อาคารจอดรถ และ Facilities อยู่ชั้น Rooftop อยู่ฝั่งทิศใต้ของโครงการ ใกล้กับทางเข้า-ออก ฝั่งซอยวิภาวดี 3    Unit Plan    ออกแบบทุกตารางเมตรอย่างเข้าใจในทุกไลฟ์สไตล์ ไม่ว่าจะชอบพักผ่อน หรือทำกิจกรรมก็สามารถรองรับได้ทุกรูปแบบ ด้วยดีไซน์แบ่งสัดส่วนให้อยู่บนความพอดีจนเกิดเป็นความลงตัว   เปิดห้องตัวอย่าง Denim Jatujak  สำหรับ Sale Gallery จะอยู่บริเวณเดียวกันกับที่ดินของโครงการเลยค่ะ โดยเป็นอาคาร 3 ชั้น มี Rooftop ไว้ให้ขึ้นไปชมที่ดินโครงการมุมสูงด้วย สำหรับห้องตัวอย่างจะมีทั้งหมด 3 ห้องค่ะ เป็นการขายแบบ Fully Furnished สิ่งที่จะได้มาภายในห้องคือ เครื่องปรับอากาศติดผนัง Panasonic  ตู้เสื้อผ้า เคาน์เตอร์ครัวพร้อม Hob+Hood ซิ้งค์ล้างจานจาก Teka สุขภัณฑ์ในห้องน้ำ โดยก๊อกน้ำ โถสุขภัณฑ์ สายชำระ ฝักบัว ใช้แบรนด์ HAFELE ส่วนอ่างล้างหน้าจาก Mogen มาพร้อมกับฉากกระจกกั้นอาบน้ำ Digital Door Lock   Studio 22.5 ตร.ม.  เริ่มกันที่ยูนิตขนาดเริ่มต้นของโครงการ ทุกยูนิต Floor To Ceiling 2.5 เมตร ส่วนแรกเป็นครัวปิดที่กั้นด้วยประตูกระจกบานเลื่อน ซ้ายมือเป็นห้องน้ำอยู่ในส่วนเดียวกันกับครัว ทั้งห้องจะใช้ไฟ Downling    พื้นครัวปูด้วยแกรนิตโต้ เคาน์เตอร์ครัวใช้ Top ลามิเนต ด้านในกรุด้วยกระเบื้อง เมื่อเกิดสิ่งสกปรกเวลาทำอาหารจะทำความสะอาดได้ง่ายขึ้น มีช่องสำหรับวางตู้เย็น เครื่องซักผ้าฝาหน้าด้านล่าง และไมโครเวฟด้านบนค่ะ ติดตั้งมาพร้อมกับเตาแม่เหล็กไฟฟ้า เครื่องดูดควัน และซิงค์ล้างจานมาให้แบบห้องตัวอย่างค่ะ    ทางซ้ายมือจะเป็นห้องน้ำ ซึ่งสำหรับโครงการนี้จะใช้เป็นห้องน้ำสำเร็จรูป พื้นของห้องน้ำจะถูกยกสูงขึ้นกว่าปกติ ข้อดีของเจ้าห้องน้ำสำเร็จรูปแบบนี้ คือ โอากสน้ำรั่วซึมน้อยกว่า เพราะมีรอยต่อต่างๆ น้อย วัสดุภายในทำความสะอาดได้ง่าย ที่สำคัญคือ เมื่อเกิดปัญหาต้องซ่อมแซมจะสามารถทำได้ง่ายกว่า จบได้ภายในห้องของเราเอง ไม่ต้องไปรบกวนไล่ดูท่อจากห้องอื่น     Bedroom จะ Built in ตู้เสื้อผ้าหน้าบานเลื่อนแบบทึบมาให้ ส่วนกลางห้องสามารถวางเตียงขนาด 5 ฟุต ได้โดยยังเหลือพื้นที่ทางเดินได้รอบเตียง    ปลายเตียงเราสามารถ Built in ได้ตลอดแนวผนังตามแบบห้องตัวอย่างเลยค่ะ จะวางเคาน์เตอร์ทีวี โต๊ะเครื่องแป้ง ชั้นวางของก็สามารถแบ่งฟังก์ชั่นได้ตามการใช้งาน ส่วนริมหน้าต่างบานกระทุ้งข้างเตียง มีมุมที่สามารถวาง Daybed หรือโต๊ะทำงานเข้ามุมได้พอดีค่ะ    ระเบียงจะกั้นด้วยประตูกระจกบานเลื่อน 3 บาน ส่วนระเบียงด้านนอกจะแขวน Condensing Unit ไว้ หันออกนอกอาคาร และใช้ระแนงอลูมิเนียมกั้นไว้เต็มพื้นที่ เพื่อความสวยงามเรียบร้อยของอาคารเมื่อมองมาจากด้านนอก จะได้ไม่เห็นเวลาตากเสื้อผ้า ถือเป็นภาพลักษณ์ของอาคารที่หลายโครงการจากแกรนด์ยูให้ความสำคัญเรื่องนี้ค่ะ    1 Bedroom 27.5 ตร.ม.    เป็นห้องที่เน้นพื้นที่ Living Room กับ Bedroom โดยส่วนแรกจะพบกับพื้นที่ Living Room ก่อน สามารถวางเคาน์เตอร์ทีวี โซฟาขนาด 3 ที่นั่งได้ พร้อมโต๊ะกลาง และยังเหลือพื้นที่สำหรับวางโต๊ะทานข้าวได้ประมาณ 2 ที่นั่งค่ะ โดยพื้นทั้งสองห้องนี้จะใช้วัสดุลามิเนต    เชื่อมต่อพื้นที่เดียวกันกับ Living Room จะเป็นครัวเปิดในสไตล์ Pantry ค่ะ เหมาะสำหรับใครที่ไม่เน้นทำอาหารหนักๆ แต่ก็มีเคาน์เตอร์ครัวพร้อมติดตั้ง Hob+Hood ซิงค์ล้างจานมาให้ครบเช่นกันค่ะ และห้องน้ำอยู่ถัดจากครัว หลังเคาน์เตอร์ทีวีค่ะ โดยภายในห้องน้ำจะถูกแบ่งส่วนแห้งและส่วนเปียกไว้ด้านใน กั้นด้วยฉากกระจกเทมเปอร์บานเลื่อน 3 ตอน     Bedroom จะถูกกั้นด้วยประตูกระจกบานเลื่อน กลางห้องวางเตียงขนาด 5 ฟุตได้ โดยเหลือทางเดินได้รอบเตียง และยังมีพื้นที่ข้างหน้าต่างบานกระทุ้ง พอที่จะวางโต๊ะทำงานหรือโต๊ะเครื่องแป้งได้   1 Bedroom Plus 33 ตร.ม.  สำหรับห้องตัวอย่างสุดท้าย มีพื้นที่ใช้สอยดีทีเดียวค่ะ เริ่มตั้งแต่ Living Room ที่เชื่อมต่อเป็นโซนเดียวกันกับครัวเปิด ที่ติดตั้งทั้งเซตเคาน์เตอร์มาให้เรียบร้อย    Living Room กลางห้องมีพื้นที่สามารถวางโซฟาขนาด 3-4 ที่นั่งพร้อมโต๊ะกลางได้ และยังสามารถจัดพื้นที่สำหรับวางโต๊ะทานข้าวได้ ส่วนห้องน้ำถูกวางไว้ส่วนหน้าห้อง ตรงข้ามกับครัวเปิด   ลึกเข้าไปด้านในที่เป็นส่วน จะมีห้องที่เป็น Multi Purpose หลายคนชอบห้อง Type นะคะ เพราะมีห้องห้องที่เป็น Plus นี่แหละค่ะ ที่สามารถปรับปลี่ยนได้ตามไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นห้องทำงานในสไตล์เฉพาะตัวของแต่ละคน หรือจะเป็นอีกหนึ่งห้องนอน เพราะสามารถวางเตียงขนาด 3.5 ได้ค่ะ ซึ่งห้องนี้จะเชื่อมต่อกับระเบียงห้องด้วย    สุดท้ายที่ Bedroom ค่ะ กลางห้องสามารถวางเตียง 5-6 ฟุตได้เลย ตู้เสื้อผ้าจะ Built in  มาให้ตรงมุมลึกเข้าไปข้างเตียงโดยเฉพาะ ทำให้ดูเป็นสัดส่วนยิ่งขึ้น ไม่เบียดกับพื้นที่อื่นภายในห้องด้วยนะคะ      Denim Jatujak ถือเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่สุดจากแกรนด์ยูในปัจจุบัน ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการวางฟังก์ชั่นภายในห้องพักอาศัย สิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการหลากหลายสไตล์ เพื่อบาลานซ์ทุกความต้องการทั้ง Live, Work, Play ได้อย่างลงตัว จนถือว่า Denim Jatujak สามารถทำออกมาได้ตรงตามไลฟ์สไตล์ของทำเลนี้ได้เป็นอย่างดีค่ะ   ใครที่สนใจสามารถลงทะเบียนไว้ก่อนได้ที่ https://bit.ly/3f6ETu2 หรือ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 02 652 4000        ข่าวอื่นเกี่ยวกับ GRAND UNITY  “แกรนด์ ยูนิตี้” เผยแผนปี’62 The Private Residence Rajadamri “แกรนด์ ยูนิตี้” ลุยย่านพระราม 6 เตรียมเปิดรอบพิเศษ แนะนำคอนโดหรู  
สรุปข่าวอสังหาฯ รอบสัปดาห์ วันที่ 21-27 ตุลาคม 2562

สรุปข่าวอสังหาฯ รอบสัปดาห์ วันที่ 21-27 ตุลาคม 2562

เข้าสู่ช่วงท้ายปลายเดือนตุลาคมแล้ว นับช่วงเวลาของปี 2562 ก็คงเหลือเพียง 2 เดือนเท่านั้น เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลานับถอยหลังของปีนี้แล้ว วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่สถานการณ์ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์  กลับไม่ได้ฟื้นตัวเร็วอย่างที่คาดคิดไว้เลย แต่ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเรียกได้ว่า มีข่าวดีกับวงการธุรกิจอสังหาฯ  พอให้เป็นกำลังใจที่จะมาช่วยกระตุ้นตลาดให้ฟื้นตัวดีขึ้น ครม.ลดค่าโอน-จดจำนองเหลือ 0.01% ช่วงวันที่ 22 ตุลาคม 2562 คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติออกมาตรการกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์  ด้วยมาตรการลดภาระภาษีเพื่อที่อยู่อาศัย ให้กับประชาชนทั่วไปที่มีความต้องการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองในราคาซื้อขายไม่เกิน 3 ล้านบาท สำหรับซื้อที่อยู่อาศัยตั้งแต่วันที่ประกาศกระทรวงหาดไทยมีผลบังคับใช้  ยาวไปจนถึงวันที่ 24 ธันวาคม 2563   โดยมีการลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนการโอนจากเดิม 2% เหลือ 0.01% และลดค่าจดทะเบียนการจำนองจากเดิม 1% เหลือ 0.01% เฉพาะการซื้อขายที่อยู่อาศัยที่ดินพร้อมอาคารหรือห้องชุด ในราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท และการจดทะเบียนการโอน และการจดจำนองอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัย ต้องดำเนินการในคราวเดียวกัน "คิวบ์”เตรียมตัวเข้าตลาด การระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ถือเป็นการหาแหล่งเงินทุนได้ในต้นทุนที่ต่ำ หากเปรียบเทียบกับการระดมทุนในหลายแหล่งเงิน แถมยังทำให้ภาพลักษณ์ของบริษัทดูดีมากขึ้น หลายบริษัทจึงอยากเข้าไปจดทะเบียนแปลงสภาพกลายเป็นบริษัทมหาชน  บริษัท คิวบ์ เรียล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด  ถือเป็นหนึ่งในหลายบริษัทที่มีเป้าหมายเดินหน้าไปสู่ความเป็น “มหาชน” นังตั้งแต่เริ่มต้นธุรกิจมาตั้งแต่ช่วงปี 2533   นายวิชิต  อำนวยรักษ์สกุล  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัท คิวบ์ เรียล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด  เปิดเผยว่า ได้วางแผนนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อนำเงินมาต่อยอดธุรกิจและพัฒนาโครงการ โดยจะเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 300 ล้านบาท  จากปัจจุบันบริษัทมีทุนจดทะเบียน 165 ล้านบาท   ซึ่งได้วางแนวทางการพัฒนาโครงการในแต่ละปีนั้น บริษัทกำหนดกรอบการพัฒนาไว้ 4-6 โครงการมูลค่าประมาณ​2,000-2,500 ล้านบาท แต่ละโครงการจะมีจำนวนยูนิตเฉลี่ย 300 ยูนิต มีมูลค่าโครงการประมาณ 600-700 ล้านบาท บริษัทไม่เน้นการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่หลัก 1,000-2,000 ล้านบาท เนื่องจากเน้นกระจายความเสี่ยง และไม่ให้ธุรกิจมีความเสี่ยงมากเกินไป  โดยมุ่งเน้นการพัฒนาโครงการคอนโดฯ เป็นหลักด้วยสัดส่วน 80-85% (อ่านข่าวเพิ่มเติม) “สิงห์ เอสเตท” ส่ง SHR เข้าตลาด  แต่สำหรับบริษัท สิงห์ เอสเตท  จำกัด (มหาชน) ได้ส่งบริษัทในเครืออย่าง “เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท” เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และพร้อมที่จะนำเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนเป็นครั้งแรก  (IPO) จำนวนไม่เกิน 1,473.456 ล้านหุ้น  กำหนดราคาขาย 5.10-5.50 บาทต่อหุ้น  โดยจะขายให้แก้ผู้ถือหุ้นของบริษัทเฉพาะกลุ่มที่มีสิทธิได้รับจัดสรรหุ้น ระหว่างวันที่ 28-30 ตุลาคม  และประชาชนทั่วไปในวันที่ 1-5 พฤศจิกายนนี้     นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ได้นำบริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ SHR ซึ่งดำเนินธุรกิจกลุ่มโรงแรมเตรียมขายหุ้น IPO ซึ่งนำเงินมาต่อยอดธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อกิจการ การพัฒนาโครงการเอง หรือการรับบริหาร เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพเติบโตสูง  แต่บริษัทมีงบลงทุนค่อนข้างจำกัด   ปัจจุบัน SHR มีโรงแรมทั้งหมด 39 แห่ง ใน 5 ประเทศ ภายใต้ 7 แบรนด์ รวมจำนวนห้องพัก 4,647 ห้อง เป้าหมายภายในระยะ 5 ปี หรือปี 2568 จะเพิ่มจำนวนห้องเติบโตปีละ 15% หรืออย่างน้อย 2 เท่า นั่นหมายว่าจะมีจำนวนโรงแรมรวมอย่างน้อย 80 แห่ง หรือคิดเป็นจำนวนกว่า 9,000 ห้องเลย (อ่านข่าวเพิ่มเติม) BAM ได้ฤกษ์นับหนึ่ง IPO           บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM เป็นอีกหนึ่งบริษัทหลังจากที่บริษัทได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อขอเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชน (IPO) ปัจจุบันสำนักงาน ก.ล.ต. ได้นับหนึ่งแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบไฟลิ่งแล้วเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2562 ที่ผ่านมา     นายสมพร มูลศรีแก้ว กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM เปิดเผยว่า เชื่อมั่นว่า BAM มีศักยภาพ และจุดแข็งของบริษัท ซึ่งเป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศ  มีประสบการณ์ยาวนานกว่า 20 ปี มีแหล่งเงินทุนที่หลากหลาย ผลประกอบการที่แข็งแกร่ง โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา บริษัทฯ มีกำไรสุทธิต่อเนื่องปีละกว่า 4,500 ล้านบาท มีสินทรัพย์เติบโตเฉลี่ย 7% ต่อปี มีเครือข่ายทั่วประเทศมากที่สุดรวม 26 แห่ง บริษัทจึงน่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง (อ่านข่าวเพิ่มเติม) ศูนย์ข้อมูลฯ รายงานตลาดอสังหาฯ​ภาคเหนือ-ตะวันออก ปิดท้ายกับการจัดงานสัมมนาของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) รายงานตลาดที่อยู่อาศัยอยู่ระหว่างการขายในช่วงครึ่งแรกปี 2562 ในพื้นที่ภาคเหนือ ได้แก่จังหวัดเชียงใหม่  เชียงรายตาก และพิษณุโลก โดยนับเฉพาะโครงการที่มีหน่วยเหลือขายไม่ต่ำกว่า 6 หน่วย พบว่า มีจำนวนโครงการที่ยังอยู่ระหว่างขาย 360 โครงการ มีจำนวนเหลือขาย 14,019 ยูนิต คิดเป็นมูลค่าเหลือขาย 49,997 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2561 4.3%  11.1% และ 10.1% ตามลำดับ (ครึ่งแรกปี 2561 มี 345 โครงการ มีจำนวนยูนิตเหลือขาย12,616 ยูนิต มีมูลค่าเหลือขาย 45,402 ล้านบาท)   ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ส่วนรายงานสรุปผลการสำรวจตลาดอสังหาฯ ในพื้นที่ภาคตะวันออก ได้แก่จังหวัดชลบุรี  ระยองตาก และฉะเชิงเทรา มีจำนวนโครงการที่ยังอยู่ระหว่างขาย 1,062 โครงการ มีจำนวนเหลือขาย 62,060 ยูนิต  คิดเป็นมูลค่าเหลือขาย 200,136 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2561 11.6% 12.2% และ 13.6% ตามลำดับ (ครึ่งแรกปี 2561 มี 952 โครงการ มีจำนวนหน่วยเหลือขาย 55,327 ยูนิต มีมูลค่าเหลือขาย 176,108 ล้านบาท)    
รวมโปรโมชั่นบ้าน-คอนโด เดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2562

รวมโปรโมชั่นบ้าน-คอนโด เดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2562

"รวมโปรโมชั่นบ้าน-คอนโด เดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2562"  ยิ่งปลายปีอย่างนี้ก็ยิ่งมีโปรโมชั่นออกมาให้ผู้บริโภคเลือกกันมากมาย โดยเฉพาะโครงการที่พร้อมอยู่แล้ว เราก็สามารถไปชมถึงสถานที่จริงกันได้เลย ใครที่ยังลังเลอยู่ อย่ารอช้าค่ะ     Origin Freedom Deal เอาใจผู้บริโภค ผ่อนคุ้มล้านละ 3,000 บาท นาน 2 ปี ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จัดแคมเปญ “Origin Freedom Deal” ให้ลูกค้าผ่อนคุ้มกว่าเช่า เพียงล้านละ 3,000 บาทต่อเดือน ต่อวงเงินสินเชื่อที่ได้รับอนุมัติจำนวน 1 ล้านบาท นาน 2 ปี* โดยมีคอนโดแนวรถไฟฟ้าเข้าร่วมแคมเปญถึง 6 โครงการ ได้แก่ ไนท์บริดจ์ พหลโยธิน อินเตอร์เชนจ์, เคนซิงตัน สุขุมวิท–เทพารักษ์, นอตติ้ง ฮิลล์ สุขุมวิท-แพรกษา, นอตติ้ง ฮิลล์ สุขุมวิท 105, บีลอฟท์ สุขุมวิท 107, บี ลอฟท์ ไลท์ สุขุมวิท 115 พร้อมรับสิทธิ์ฟรีทุกค่าใช้จ่าย* อาทิ ค่าส่วนกลางฟรี 1 ปี ฟรีค่าโอนกรรมสิทธิ์ หากยื่นขอสินเชื่อผ่านและโอนกรรมสิทธิ์ในระยะเวลาที่กำหนด พร้อมค่าตกแต่งอีก 100,000บาท มาแต่ตัว เข้าอยู่ได้เลย! พิเศษ!!! รับ ส่วนลดสูงสุดถึง 300,000 บาท ตั้งแต่วันนี้จนถึง 15 พฤศจิกายน 2562 นี้   บ้านเดี่ยวเอพี จัดแคมเปญพิเศษ ‘ไฮบริด บ้านนวัตกรรมที่คุณเลือกได้’ ครั้งแรกกับแพ็คเกจนวัตกรรมล้ำสมัย มูลค่าสูงสุด 5 ล้านบาท  เอพี (ไทยแลนด์) จัดแคมเปญ ‘Hybrid Living–ไฮบริด บ้านนวัตกรรมที่คุณเลือกได้’ นับเป็นแคมเปญพิเศษ ที่เอพีได้จัดขึ้นสำหรับลูกค้าครอบครัวคนเมืองรุ่นใหม่ ที่กำลังมองหาบ้านเดี่ยวทั้งโครงการใหม่ และบ้านเดี่ยวพร้อมอยู่ โดยเราได้รวบรวมโครงการบ้านเดี่ยวในเครือเอพี ภายใต้แบรนด์ CENTRO, THE CITY, MIND และ THE PALAZZO รวมทั้งสิ้น 8 โครงการใหม่ และบ้านเดี่ยวพร้อมอยู่กว่า 25 โครงการในสุดยอดทำเลศักยภาพ โดยนอกจากไฮไลท์พิเศษ แพ็คเกจนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยที่ดีที่สุด รวมมูลค่าสูงสุดกว่า 5 ล้านบาท เรายังเตรียมมอบที่สุดแห่งข้อเสนอ อาทิ คัดสรรบ้านแปลงพิเศษที่ดีที่สุด แพ็คเกจราคาพิเศษที่สุด ราคาเริ่มต้น 4.99–60 ล้านบาท และ ส่วนลดเพิ่มเติมอื่นๆ อีกมากมาย สำหรับลูกค้าที่ทำการจองซื้อและโอนกรรมสิทธิ์ภายในวันที่ 27 ธันวาคม 2562 เท่านั้น   แสนสิริ เร่งเครื่องอสังหาฯไตรมาส 4 เปิดตัวแคมเปญ “รับมโหฬาร 20 เท่า” ซื้อตอนนี้รับคืน 20 เท่าของมูลค่าเงินจอง สูงสุด 5 ล้านบาท ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และดีคอนโดพร้อมอยู่รวม 43 โครงการทั่วประเทศ ในราคาเริ่มต้น 1.79–30 ล้านบาท พบโปรโมชั่นสุดคุ้มที่คัดมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่มด้วยโปรโมชั่นเงินสดเพื่อการย้ายเข้าอยู่บ้านหลังใหม่ พร้อมโปรโมชั่น ฟรี! ค่าใช้จ่ายวันโอนกรรมสิทธิ์  ฟรี! เครื่องใช้ไฟฟ้า ฟรี! เฟอร์นิเจอร์ และฟรี! แอร์ทั้งหลัง ตอบรับเรียลดีมานด์ ผนึกสถาบันการเงินมอบอัตราดอกเบี้ย อาทิ ผ่อนต่ำล้านละ 1,000 บาท อัตราดอกเบี้ยเพียง 0.75% นาน 1 ปี หรือ ผ่อนต่ำล้านละ 2,800 บาท อัตราดอกเบี้ยเพียง  1.88% คงที่นาน 2 ปี พิเศษเฉพาะลูกบ้านแสนสิริที่โอนกรรมสิทธิ์ภายในปี 2562 นี้เท่านั้น   จอง 5,000 ฟรี 5 อย่าง* ยกขบวน 7 คอนโดฯ จัดเต็ม! สูงสุดเกือบ 500,000 บาท 7 คอนโดฯคุณภาพพร้อมอยู่ใน 7 ทำเลเด่นกรุงเทพฯและหัวหิน เริ่มต้น 2.19 ลบ. รับเต็มๆเครื่องใช้ไฟฟ้า 5 อย่าง ฟรี! ค่าส่วนกลางสูงสุด 5 ปี ฟรี! ค่าโอนและทำสัญญา ฟรี! Moving Package พร้อมข้อเสนอมากมาย รวมมูลค่าสูงสุดเกือบ 500,000 บาท พร้อมรับเพิ่มอีกต่อกับโปรโมชั่นจากแต่ละโครงการสูงสุด 600,000 บาท ตั้งแต่วันนี้ -15 ธ.ค.2562 ได้แก่ เดอะ ไลน์ วงศ์สว่าง, เดอะ ไลน์ สุขุมวิท 101, เดอะ ไลน์ พหลฯ-ประดิพัทธิ์, เดอะ เบส สุขุมวิท 50, เดอะ เบส เพชรเกษม, ทากะ เฮาส์ และ ลา กาซิต้า คอนโดตากอากาศสไตล์สแปนิชใจกลางหัวหิน   ANANDA BigDeal โปรโมชั่นผ่อนล้านละ 1,000 บาท/เดือน เฉพาะลูกค้าที่ขอสินเชื่อบ้านกับธนาคารกรุงไทย ฟรีค่าใช้จ่ายวันโอน (โปรโมชั่นอื่นๆ แตกต่างกันไปแล้วแต่โครงการ) ตั้งแต่วันที่ 4 ตุลาคม–20 ธันวาคม 2562   ไอดีโอ โมบิ อโศก ไอดีโอ โมบิ สุขุมวิท 66 ไอดีโอ ท่าพระ อินเตอร์เชนจ์ ไอดีโอ พหลโยธิน-จตุจักร ไอดีโอ สุขุมวิท 93 ไอดีโอ โมบิ วงศ์สว่าง-อินเตอร์เชนจ์ ไอดีโอ โมบิ บางซื่อ แกรนด์ อินเตอร์เชนจ์ ไอดีโอ โอทู ไอดีโอ พระรามเก้าตัดใหม่ เอลลิโอ เดล มอสส์  พหลโยธิน 34   Assetwise ลดจริงไม่มีหลอก ลดสูงสุด 1,000,000 บาท Assetwise จัดโปรลดจริงถึง 11 โครงการ ลดสูงสุด 1,000,000 บาท ราคาเริ่มต้น 1.39 ล้านบาท ตั้งวันที่ 1-31 ตุลาคม 2562 นี้เท่านั้น   H2 Condo รามอินทรา 21 Modiz Condo Sation พหลโยธิน Brown Condo พหลโยธิน 67 Wynn Condo พหลโยธิน 52 Episode Condo พหลฯ-สะพานใหม่ Modiz Condo รัชดา 32 Wynn Condo ลาดพร้าว-โชคชัย 4 Brown Condo รัชดา 32 Brown รัชดา-ห้วยขวาง Kave Town Condo ม.กรุงเทพ รังสิต     ถูกที่ ถูกเวลา ในราคาที่ถูกกว่า LPN จัดโปรโมชั่นคอนโดลุมพินี 10 โครงการ และ บ้านลุมพินี 7 โครงการ ในราคาเริ่มต้นเพียง 999,000 บาท*   ลุมพินี วิลล์ พระนั่งเกล้า-ริเวอร์วิว ราคาเริ่ม 999,000 บาท* ลุมพินี วิลล์ ราษฎร์บูรณะ-ริเวอร์วิว 2 ราคาเริ่ม 1.23 ล้าน* ลุมพินี วิลล์ สุขุมวิท 76-แบริ่ง สเตชั่น ราคาเริ่ม 1.36 ล้าน* ลุมพินี วิลล์ ราชพฤกษ์-บางแวก ราคาเริ่ม 1.24 ล้าน* ลุมพินี พาร์ค เพชรเกษม 98 (2) ราคาเริ่ม 1.29 ล้าน* ลุมพินี วิลล์ นาเกลือ-วงศ์อมาตย์ ราคาเริ่ม 1.90 ล้าน* ลุมพินี ซีวิว ชะอำ (B) ราคาเริ่ม 1.02 ล้าน* ลุมพินี พาร์คบีช จอมทียน ราคาเริ่ม 2.83 ล้าน* ลุมพินี สวีท เพชรบุรี-มักกะสัน ราคาเริ่ม 2.99 ล้าน* ลุมพินี สวีท ดินแดง-ราชปรารภ ราคาเริ่ม 2.99 ล้าน*   บ้านลุมพินี ทาวน์วิลล์ ลาดปลาดุก–บางไผ่สเตชั่น ราคาเริ่ม 1.74 ล้าน* บ้านลุมพินี ทาวน์วิลล์ รังสิต-คลอง 2 เฟส 1 ราคาเริ่ม 1.79 ล้าน* บ้านลุมพินี ทาวน์วิลล์ รังสิต-คลอง 2 เฟส 2 ราคาเริ่ม 1.20 ล้าน* บ้านลุมพินี ทาวน์วิลล์ เพิ่มสิน–วัชรพล ราคาเริ่ม 2.75 ล้าน* บ้านลุมพินี ทาวน์วิลล์ ราชพฤกษ์-ปิ่นเกล้า เฟส 2.1 ราคาเริ่ม 2.69 ล้าน* บ้านลุมพินี ทาวน์วิลล์ ราชพฤกษ์-ปิ่นเกล้า เฟส 2.2 ราคาเริ่ม 4.79 ล้าน* บ้านลุมพินี ทาวน์เพลส พระราม 2–ท่าข้าม ราคาเริ่ม 5.89 ล้าน* บ้านลุมพินี ทาวน์พาร์ค ท่าข้าม-พระราม 2 ราคาเริ่ม 3.70 ล้าน* บ้านลุมพินี สวนหลวง ร.๙ ราคาเริ่ม 10.70 ล้าน*   จองคอนโด Go JAPAN ยกขบวน 13 คอนโดฯ ทำเลใกล้รถไฟฟ้า มาจักแคมเปญ จองคอนโด Go JAPAN บินฟรี พักฟรี ไม่ต้องลุ้น รับแพคเกจทัวร์กรุงเทพฯ-ฮอกไกโด พร้อมที่พัก 5 วัน 3 คืน ฟรี 2 ท่าน   จอง 999 บาท ทุกห้อง ทุกขนาด กู้เต็ม 100%* ผ่อนต่ำล้านละ 3,000 บาท นาน 3 ปี* ฟรีค่าใช้จ่าย 6 รายการ* และลดสูงสุด 1 ล้านบาท*  ในราคาเริ่มต้น 1.69 ล้านบาท วันนี้-20 พ.ย. 62        
ทำความรู้จัก Hybrid Living นวัตกรรมที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิต

ทำความรู้จัก Hybrid Living นวัตกรรมที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิต

  แน่นอนว่า “บ้าน” คือ 1 ในปัจจัย 4 ที่จำเป็นในการใช้ชีวิต หน้าที่หลักของบ้าน คือ สถานที่พักอาศัย เป็นสถานที่ “กิน-อยู่-หลับนอน” แต่บ้านที่ดีไม่ได้มีคุณค่าแค่ทำให้การพักอาศัยมีความสะดวกสบาย และความปลอดภัยเท่านั้น แต่บ้านที่ดีต้องสามารถสร้างคุณค่าของความเป็นอยู่โดยรวม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความสุข ความอบอุ่น ความสบายใจ และเป็นสถานที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับชีวิต ไปจนถึงการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีของการอยู่อาศัยด้วย   แนวคิดในการพัฒนาที่อยู่อาศัยในปัจจุบัน จึงไม่ได้มุ่งตอบโจทย์แค่เรื่อง “ฟังก์ชั่น” การใช้งาน เพื่อการอยู่อาศัยเท่านั้น แต่มุ่งตอบสนองความต้องการใช้ชีวิต ที่มีคุณภาพของผู้อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นการอยู่ภายในบ้าน หรือภายในชุมชนรอบข้าง ด้วยการยึดเอาไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัยเป็นหัวใจสำคัญ โดยเฉพาะคนในยุคปัจจุบัน ซึ่งมีไลฟ์สไตล์หลากหลาย ไม่ได้มีบทบาทและหน้าที่เพียงอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น แต่มีบทบาทและหน้าที่หลากหลายในคนๆ เดียว บ้านที่ดีจึงต้องตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของผู้อยู่อาศัย     การพัฒนาที่อยู่อาศัย ผู้ประกอบการจึงต้องตอบสนองความต้องการเหล่านั้นให้ครบ และยังต้องมีคุณภาพที่ดีด้วย โดยเฉพาะกับการอยู่อาศัยในโครงการบ้านเดี่ยว เพราะเป็นการอยู่อาศัยกับคนหลายเจเนอเรชั่น คนแต่ละช่วงอายุ มีความต้องการหลากหลาย และไลฟ์สไตล์ที่แตกต่าง แต่ทุกคนต้องอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข และมีคุณภาพชีวิตที่ดี   AP หรือ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย ได้เห็นถึงความต้องการของคนในยุคปัจจุบัน ซึ่งมุ่งหวังการใช้ชีวิตภายในบ้าน ที่สามารถเติมเต็มคุณภาพชีวิตได้ในทุกไลฟ์สไตล์ของทุกคน จึงได้พัฒนาบ้านเดี่ยวภายใต้แนวคิด Hybrid Living นวัตกรรมบ้านเดี่ยวที่เข้าใจชีวิต จากการศึกษาค้นคว้าข้อมูลของคนยุคปัจจุบัน ซึ่งพบว่า มีความต้องการที่หลากหลาย ต้องการความสะดวกสบาย โดยเฉพาะความสะดวกสบายจากเทคโนโลยี   Hybrid Living นวัตกรรมบ้านเดี่ยวที่เข้าใจชีวิต คือ การนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ใช้ กับโครงการบ้านเดี่ยวของ AP ทั้งภายในตัวบ้านและภายนอกบ้าน ทำให้ทุกฟังก์ชั่นของบ้าน สร้างสรรค์ประโยชน์สูงสุดให้กับผู้อยู่อาศัย มีการผสมผสานฟังก์ชั่นบ้าน ให้เข้ากับเทคโนโลยีพลังงานทดแทน และระบบสมาร์ทโฮม ถือเป็นนวัตกรรมของการใช้ชีวิตในรูปแบบ Hybrid Living อย่างแท้จริง     Hybrid Living ตอบโจทย์การใช้ชีวิตได้อย่างไร?   หากมองไปในท้องตลาดตอนนี้ใครๆ ก็พูดถึงระบบสมาร์ทโฮม หรือ โฮมออโตเมชั่น ด้วยการนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาทำให้การอยู่อาศัยสะดวกสบาย กับเทคโนโลยีสารพัด เป็นจุดขายของโครงการอสังหาริมทรัพย์ แต่สำหรับ AP แนวคิด Hybrid Living นวัตกรรมบ้านเดี่ยวที่เข้าใจชีวิต พัฒนาโครงการบนแนวคิดที่เชื่อว่า ตัวตนคุณไม่ได้มีแค่หนึ่งคำจำกัดความ ความต้องการของการอยู่อาศัยจึงไม่ได้มีเพียงด้านเดียว บางคนอยากทำงาน แต่ก็อยากเที่ยว บางคนอยากหลีกหนีความวุ่นวาย แต่ก็อยากเชื่อมต่อกับโลกออนไลน์ บางคนอยากอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ แต่ก็ชอบความสะดวกสบายของเมือง และบางคนอยากพักผ่อนที่บ้าน แต่ก็อยากสังสรรค์กับเพื่อนๆ เป็นต้น     เมื่อโจทย์ความต้องการของคนยุคปัจจุบันมีความหลากหลายเช่นนี้ แนวคิดของ Hybrid Living นวัตกรรมบ้านเดี่ยวที่เข้าใจชีวิต จึงถูกพัฒนาบน 4 องค์ประกอบหลักสำคัญ เพื่อให้ทุกความต้องการได้รับการตอบสนอง   1. Cost-saving-ค่าใช้จ่ายส่วนกลางถูกลงด้วยเทคโนโลยี ในยุคที่คนเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้ง่าย ทำให้คนยุคปัจจุบันมุ่งเน้นเรื่องของ “ความคุ้มค่า” โดยเฉพาะการใช้จ่าย ผู้บริโภคยุคปัจจุบันมีทางเลือกมากมาย ในการซื้อสินค้าหรือบริการ ทำให้ทุกการใช้จ่ายยืนอยู่บนเหตุผลมากกว่าอารมณ์ ซึ่ง AP เข้าใจในเรื่องความคุ้มค่านี้ดี จึงเลือกพัฒนาสาธารณูปโภคภายในโครงการบ้านเดี่ยว ด้วยนวัตกรรมที่ช่วยให้ลูกบ้านประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากที่สุด อาทิ นวัตกรรมพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Power system) และระบบกำจัดน้ำเสีย (Greywater Recycle system) ซึ่งนำน้ำมาบำบัดเพื่อใช้รดต้นไม่ในโครงการ เป็นต้น ทำให้ค่าใช้จ่ายส่วนกลางลดลง เมื่อเทียบกับโครงการที่ไม่ได้ติดตั้งระบบนี้   2. Security-ความปลอดภัยในทุกไลฟ์สไตล์ บ้านแค่อยู่อาศัยแล้วสบายคงไม่เพียงพอ แต่ต้องมีความปลอดภัย ทั้งทรัพย์สินและชีวิตของผู้อยู่อาศัยภายในบ้าน นอกจากระบบรักษาความของโครงการ ไม่ว่าจะเป็น รปภ. กล้องวงจรปิด ระบบคีย์การ์ด ฯลฯ สิ่งเหล่านี้มีเป็นเรื่องพื้นฐานจำเป็นอยู่แล้ว แต่แนวคิดของ Hybrid Living ของ AP ต้องตอบโจทย์การดูแลความปลอดภัยได้มากกว่า ไม่ว่าจะเป็น   ระบบเซ็นเซอร์ประตู หน้าต่าง และเซ็นเซอร์ตรวจจับ ความเคลื่อนไหว ให้เจ้าของบ้านได้มั่นใจ แม้ว่าจะออกไปทำงานหรือเดินทางท่องเที่ยว เพราะจะมีระบบจะแจ้งเตือนผ่าน Application พร้อมส่งเสียงเตือนเมื่ออยู่ในโหมด “Alarm” ช่วยแจ้งเตือนเมื่อตรวจพบการเปิด-ปิดของประตูหรือหน้าต่าง หรือตรวจเจอการเคลื่อนไหวในบ้าน หรือจะดูความเป็นไปของคนภายในบ้าน สามารถทำได้ด้วยการดูผ่านกล้อง IP Camera จาก Application ได้แบบ Live Stream     แม้แต่ปัญหาประจำที่ทุกคนจะต้องเจอ เช่น การลืมกุญแจบ้าน ก็ไม่ใช่ปัญหาต้องจ้างช่างมาไขประตูเข้าบ้านอีกต่อไป เพราะระบบ Digital Door Lock ช่วยแก้ปัญหาได้ สามารถสั่งงานผ่าน Application ได้ หรือจะสั่งเปิดประตูให้กับแม่บ้านเพื่อเข้ามาทำความสะอาด ระบบก็มี Pin Code ชั่วคราวที่ใช้ได้ครั้งเดียวให้ เจ้าของบ้านอยู่ที่ไหนก็ใช้งานได้สะดวก เหมาะกับการวิถีชีวิตคนยุค 4.0   ที่สำคัญการพักอาศัยอยู่กับคนหลายเจเนอเรชั่น โดยเฉพาะผู้สูงอายุ บางครั้งลูกหลานออกไปทำงาน หรือเดินทางท่องเที่ยว ต้องให้ผู้สูงอายุอยู่โดยลำพัง ก็หมดห่วงกับสิ่งที่ AP คิดมาให้ เพื่อดูแลผู้สูงอายุ กับปุ่มเรียกฉุกเฉินในยามคับขัน พร้อมทั้งมีเซนเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหวที่เตียงนอน เพื่อเปิดไฟทางเดินสู่ห้องน้ำแบบอัตโนมัติในตอนกลางคืน หรือการดูแลที่ดีขึ้นไปอีก กับการส่งสัญญาณเตือนและภาพ Live Stream จาก IP Camera ไปยัง Application ในโทรศัพท์มือถือ หากไม่พบการเคลื่อนไหวของผู้อยู่อาศัยในห้อง เพื่อขอความช่วยเหลือในกรณีที่ผู้สูงอายุเกิดล้ม ถือเป็นแนวทางการพัฒนาที่สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนได้ทุกเจเนอเรชั่นจริงๆ   3. Comfort-ความสบายแค่ปลายนิ้วสั่งงาน เรื่องความสะดวกสบายในการอยู่อาศัย แม้จะเป็นเรื่องพื้นฐานที่บ้านต้องตอบโจทย์ แต่เพราะปัจจุบันเป็นยุคที่มีเทคโนโลยีดิจิทัล ทำให้ความสะดวกสบายต้องเป็นเรื่องที่พัฒนามากขึ้น โดยเฉพาะการนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาผสมผสานการดูแลบ้าน และให้ผู้อยู่อาศัยสั่งงานผ่านสมาร์ทโฟนได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้าน ที่ AP นำระบบควบคุมอุปกรณ์ ไฟฟ้าอัจฉริยะในบ้าน Smart Home Gateway and Security Module มาดูแลความสบายของคุณและครอบครัว   การใช้ระบบควบคุมไฟแสงสว่าง Lighting Control ที่สามารถเปิด-ปิด ผ่านสวิตช์ และ Application ทำงานคู่กับระบบ Motion Sensor ช่วยตรวจจับความเคลื่อนไหว และความสว่างในบ้าน และระบบพัดลม Air Flow ระบบควบคุมเครื่องกรองอากาศอัจฉริยะ แม้แต่ชีวิตนอกบ้าน เทคโนโลยีก็ยังเข้ามาทำให้มีความสะดวกสบาย อาทิ ระบบตั้งเวลา Sprinkle รดน้ำต้นไม้ ผ่านสวิตช์ และ Application ระบบ Gate Controller ควบคุมเปิด-ปิด มอเตอร์ประตูรั้วบ้าน ผ่าน Application ระบบ Digital Door Lock เป็นต้น   4. Community-ดูแลชุมชนปลอดภัย 24 ชั่วโมง การอยู่อาศัยภายในบ้าน แม้ว่าจะได้รับความสะดวกสบาย และความปลอดภัย ด้วยเทคโนโลยีซึ่งเติมเต็มให้กับการอยู่อาศัย สิ่งที่ละเลยไม่ได้กับการอยู่อาศัยภายในโครงการบ้านเดี่ยว AP คือ การสร้างสรรค์ให้เกิดสังคมแห่งความสงบสุข จากการอยู่ร่วมกันของผู้อยู่อาศัยในโครงการ เพราะ AP เชื่อว่า “เพื่อนบ้านที่ดี” คือ ปัจจัยสำคัญของการอยู่ร่วมกันในชุมชน จึงได้สร้างสรรค์ Katsan Application เพื่อสื่อสารกับพนักงานรักษาความปลอดภัยหน้าโครงการ เมื่อมีแขกมาเยือน ระบบจะส่งการแจ้งเตือนไปยังมือถือของคุณ   นอกจากนี้ ยังช่วยคัดแยกรถต้องสงสัย และแจ้งเตือนพนักงานรักษาความปลอดภัย เมื่อมีรถสาธารณะอยู่เกินเวลา ในกรณีฉุกเฉินยังสามารถใช้กดเรียกพนักงานรักษาความปลอดภัย ตำรวจ หรือรถพยาบาลได้แค่ปลายสัมผัส ทำให้การอยู่ร่วมกันของคนในชุมชนได้รับความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง เป็นชุมชนที่น่าอยู่อาศัย และสามารถสร้างคุณภาพชีวิตให้กับทุกคนในโครงการบ้านเดี่ยวของ AP     องค์ประกอบทั้งหมดที่ AP นำมาใช้พัฒนาโครงการบ้านเดี่ยว ภายใต้แนวคิด Hybrid Living นวัตกรรมบ้านเดี่ยวที่เข้าใจชีวิต จึงเป็นคำตอบของการอยู่อาศัยในยุคดิจิทัล 4.0 ที่ไม่ได้ต้องการแค่ความสะดวกสบายเมื่ออยู่ในบ้านเท่านั้น แต่หมายถึงการเติมเต็มคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้กับผู้อยู่อาศัยในทุกเจเนอเรชั่นด้วย   อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.apthai.com/HybridLiving/  
รีวิวคอนโด สามย่าน “เดอะเนสท์ จุฬา-สามย่าน” รายล้อมไปด้วยความสะดวกสบาย บนที่ดินฟรีโฮลด์

รีวิวคอนโด สามย่าน “เดอะเนสท์ จุฬา-สามย่าน” รายล้อมไปด้วยความสะดวกสบาย บนที่ดินฟรีโฮลด์

คอนโด สามย่าน "เดอะเนสท์ จุฬา-สามย่าน" คอนโดมิเนียมทำเลสามย่าน 600 เมตร จาก MRT สถานีสามย่าน บนที่ดินฟรีโฮลด์ซึ่งหาได้ยากมากแล้วสำหรับทำเลนี้ การออกแบบอาคารนำเอาสถาปัตยกรรมยุคเก่ามาผสมผสานกับความเป็นโมเดิร์นได้อย่างกลมกลืน จนได้รับรางวัลการันตีงานออกแบบโดยเวที Thailand Property Awards   ชื่อโครงการ The Nest Chula-Samyan (เดอะ เนสท์ จุฬา-สามย่าน)  เจ้าของโครงการ บริษัท เดอะเนสท์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด   ที่ตั้งโครงการ  168 ซอยจินดาถวิล แขวงมหาพฤฒาราม เขตบางรัก กรุงเทพฯ 10500 พื้นที่โครงการ  ประมาณ 2.4 ไร่ ลักษณะโครงการ Low Rise  จำนวนอาคาร 2 อาคาร  จำนวนชั้น 8  จำนวนยูนิต 332 ยูนิต  ขนาดห้อง STUDIO-2 BEDROOM  21.14-49.39 ตร.ม. เฟอร์นิเจอร์ Fully Fitted  ที่จอดรถ 40% สิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลาง Lobby, White Cloud Plunge Pool, Sky Yoga, Crystal Swimming Pool, Fitness, Co-Working Space, กล้องวงจรปิด, รปภ. 24 ชม. ปีที่สร้างเสร็จ Q4 2564 ราคาเริ่มต้น 3.29 ล้านบาท  จุดเด่นโครงการ 600 เมตร จาก MRT สถานีสามย่าน เป็นที่ดินฟรีโฮลด์ ระบบขนส่งสาธารณะใกล้เคียง รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน สถานีสามย่าน   สถานที่ใกล้เคียง จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย, โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย, สามย่านมิตรทาวน์, Siam Paragon, หอศิลปวัฒนธรรม แห่งกรุงเทพมหานคร, MBK Center, Silom Square, สวนลุมพินี , Chamchuri Square ภาพบรรยากาศคอนโด สามย่าน "เดอะเนสท์ จุฬา-สามย่าน"   รายละเอียดโครงการเพิ่มเติม  The Nest Chula-Samyan   ข่าวอื่นเกี่ยวกับ The Nest The Nest Sukhumvit 71 เดอะเนสท์ เปิดโปรเจ็กต์ “จุฬาฯ-สามย่าน”  
รีวิวคอนโด ใกล้รถไฟฟ้า สายสีเหลือง “The Cube Loft ศรีนครินทร์-เทพารักษ์”

รีวิวคอนโด ใกล้รถไฟฟ้า สายสีเหลือง “The Cube Loft ศรีนครินทร์-เทพารักษ์”

The Cube Loft Srinakarin-Thepharak สไตล์ลอฟท์บนถ.ศรีนครินทร์ คอนโด ใกล้รถไฟฟ้า สายสีเหลือง สถานีศรีแบริ่ง เพียง 100 เมตร ในราคาเอื้อมถึงได้ง่าย ตอบโจทย์ความต้องการคนรุ่นใหม่ด้วย Co-working space ฟรี Wifi ภายในห้องพักอาศัยจะได้เฟอร์นิเจอร์ครบชุด ได้แก่ ชุดวางทีวี ชุดโซฟา ชุดรับประทานอาหาร ชุดเตียงนอน ตู้เสื้อผ้า ชุดแต่งตัว โต๊ะกลาง โต๊ะข้างเตียง บิวท์อินโดย SB Furniture เริ่มเปิดชมห้องตัวอย่างครั้งแรก 26-27 ต.ค. 62    ชื่อโครงการ The Cube Loft Srinakarin-Thepharak (เดอะคิวบ์ ลอฟท์ ศรีนครินทร์-เทพารักษ์ )  เจ้าของโครงการ บริษัท คิวบ์ เรียล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ที่ตั้งโครงการ ซ.วิภาวดี 3 แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10210  พื้นที่โครงการ  2-1-99 ไร่ ลักษณะโครงการ Low Rise  จำนวนอาคาร 2  จำนวนชั้น 8  จำนวนยูนิต 349 ยูนิต  ขนาดห้อง  1 Bedroom Type A1 ขนาด 23.5 ตร.ม. จำนวน 83 ยูนิต 1 Bedroom Type A2 ขนาด 23.5 ตร.ม. จำนวน 10 ยูนิต 1 Bedroom Type B ขนาด 28 ตร.ม. จำนวน 210 ยูนิต 1 Bedroom Plus Type C ขนาด 34.5 ตร.ม. จำนวน 32 ยูนิต 1 Bedroom Type D1 ขนาด 33.5 ตร.ม. จำนวน 13 ยูนิต 1 Bedroom Type D2 ขนาด 31 ตร.ม. จำนวน 1 ยูนิต   เฟอร์นิเจอร์ Fully Furnished ที่จอดรถ 33% ปีที่สร้างเสร็จ 2564 ราคาเริ่มต้น 1.29 ล้านบาท  จุดเด่นโครงการ ห่างจากรถไฟฟ้าสายสีเหลือง สถานีศรีแบริ่ง เพียง 100 เมตร มีฟรี Wifi ทั้งล็อบบี้ และ Co-working space ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่   ระบบขนส่งสาธารณะใกล้เคียง รถไฟฟ้าสายสีเหลือง สถานีศรีแบริ่ง   สถานที่ใกล้เคียง เซ็นทรัลบางนา, ไบเทค บางนา, Lasalle Avenue, Foodland, Big C, Tesco Lotus, Makro, JAS URBAN Srinakarin, โรงพยาบาลศิครินทร์, โรงเรียนเซนต์โยเซฟบางนา, โรงเรียนลาซาล ภาพคอนโด ใกล้รถไฟฟ้า สายสีเหลือง "The Cube Loft ศรีนครินทร์-เทพารักษ์"  ภาพ Interior โครงการ "The Cube Loft ศรีนครินทร์-เทพารักษ์" คอนโด ใกล้รถไฟฟ้า   รายละเอียดคอนโด ใกล้รถไฟฟ้า สายสีเหลืองเพิ่มเติม The Cube Loft Srinakarin-Thepharak    ข่าวอื่นๆ เกี่ยวกับ The Cube เปิดแผนธุรกิจ “คิวบ์ เรียล พร็อพเพอร์ตี้” ก่อนสู่มหาชน The Cube Urban Sathorn-Chan The Cube Town Lamlukka
เปิดแผนธุรกิจ “คิวบ์ เรียล พร็อพเพอร์ตี้” ก่อนสู่มหาชน

เปิดแผนธุรกิจ “คิวบ์ เรียล พร็อพเพอร์ตี้” ก่อนสู่มหาชน

เปิดแผยธุรกิจ "คิวบ์ เรียล พร็อพเพอร์ตี้" เดินหน้าปั้นโปรเจ็กต์คอนโดฯ ปีละ 2,000-2,500 ล้าน ก่อนนำบริษัทสู่ตลาดหลักทรัพย์  ระดมทุนพัฒนาโครงการทั้งแนวราบ-แนวสูง   บริษัท คิวบ์ เรียล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เริ่มต้นธุรกิจมาตั้งแต่ช่วงปี 2533 เดิมใช้ชื่อบริษัท ธันยธร จำกัด  โดย 2 นักธุรกิจ อย่างนายภูมินทร์ ปิยะวานิชย์ และนายวิชิต อำนวยรักษ์สกุล ที่มองเห็นการขยายตัวของตลาดที่อยู่อาศัย สำหรับคนเมือง โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมซึ่งมีความต้องการสูงอย่างต่อเนื่อง  ประกอบกับมีที่ดินถืออยู่ในมือหลายแปลง และแต่ละแปลงก็มีศักยภาพในการพัฒนาโครงการ   แต่ในช่วงปี 2540 ได้หยุดดำเนินธุรกิจไประยะหนึ่ง เนื่องจากเกิดปัญหาวิกฤษเศรษฐกิจทำ จนกระทั่งปี 2554 ได้กลับมาพัฒนาโครงการใหม่อีกครั้ง ภายใต้ชื่อ The Cube Condominium (เดอะ คิวบ์ คอนโดมิเนียม) ซึ่งจดทะเบียนบริษัทใหม่เป็น “คิวป์ เรียล พร็อพเพอร์ตี้” จนปัจจุบันมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว 11 โครงการและยังมีอีกหลายโครงการ ที่กำลังจะเปิดตัวอีกในอนาคตอันใกล้     ปัจจุบันบริษัทมีทุนจดทะเบียน 165 ล้านบาท ต้นปี 2563 มีแผนเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 225 ล้านบาท หลังจากนั้น จะนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แปลงสภาพจากบริษัทจำกัด สู่การเป็นบริษัทมหาชน  โดยวางแผนเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 300 ล้านบาท เป้าหมายสำคัญในการระดมทุน คือ การนำเงินมาต่อยอดและพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่อง   The Cube ปั้นโปรเจ็กต์ปีละ2,500ล้าน   นายวิชิต  อำนวยรักษ์สกุล  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัท คิวบ์ เรียล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด  แนวทางการพัฒนาโครงการในแต่ละปีนั้น บริษัทกำหนดกรอบการพัฒนาไว้ 4-6 โครงการมูลค่าประมาณ​2,000-2,500 ล้านบาท แต่ละโครงการจะมีจำนวนยูนิตเฉลี่ย 300 ยูนิต มีมูลค่าโครงการประมาณ 600-700 ล้านบาท บริษัทไม่เน้นการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่หลัก 1,000-2,000 ล้านบาท เนื่องจากเน้นกระจายความเสี่ยง และไม่ให้ธุรกิจมีความเสี่ยงมากเกินไป  โดยมุ่งเน้นการพัฒนาโครงการคอนโดฯ เป็นหลักด้วยสัดส่วน 80-85%   สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจในปีนี้ ได้เปิดตัวโครงการคอนโดฯ 4 โครงการรวมมูลค่า 2,500 ล้านบาท ได้แก่ โครงการ The Cube North แจ้งวัฒนะ 12 The Cube South แจ้งวัฒนะ 15/1  โครงการล่าสุดThe Cube Loft ศรีนครินทร์-เทพารักษ์ บนเนื้อที่กว่า 2 ไร่ มูลค่าโครงการ 600 ล้านบาท  ส่วนโครงการสุดท้ายของปีนี้ จะเปิดโครงการรูปแบบโฮมออฟฟิศ  ภายใต้แบรด์ “เดย์ส รามอินทรา-วัชรพล” ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 9 ไร่  จำนวน 76 ยูนิต ราคา 7-9 ล้านบาท  มูลค่าโครงการ  700 ล้านบาท   The Cube เตรียมปั้นโครงการไฮไลท์   สำหรับแผนธุรกิจในปี 2563 บริษัทเตรียมนำเอาที่ดินซึ่งมีอยู่ 3 แปลง  ซึ่งเป็นทำเลตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้า มาพัฒนาโครงการคอนโดฯ​ อย่างต่อเนื่อง เป็นโครงการโลว์ไรซ์ ประมาณ 300 ยูนิต มูลค่าโครงการละ 600-700 ล้านบาท  ขณะเดียวกันยังมองหาที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการแนวราบด้วย  ซึ่งจะพัฒนาโครงการทาวน์โฮมระดับราคาประมาณ 3 ล้านบาท     ในปีหน้าบริษัทคาดว่าจะมียอดรับรู้รายได้ 1,600-1,700 ล้านบาท มียอดขาย ซึ่งมีโครงการอยู่ระหว่างการก่อสร้างและกำหนดแล้วเสร็จในปีหน้า ได้แก่ The Cube Loft นวลจันทร์ The Cube Loft ลาดพร้าว 107 The Cube North แจ้งวัฒนะ 12 และ The Cube  สาทร-จันทร์ 56   ส่วนในปี 2562 บริษัทน่าจะทำยอดขายได้ 1,800 ล้านบาท ต่ำกว่าที่วางป้าหมายว่าจะทำยอดขายได้ 2,000 ล้านบาท เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโดยรวม และภาวะตลาดคอนโดฯ ที่ชะลอตัว ปัจจุบันรับรู้รายได้แล้ว 1,200 ล้านบาท   โดยในปีหน้าหากสามารถนำบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์  ได้ตามแผนที่วางไว้ บริษัทจะพัฒนาโครงการแนวสูง หรือไฮไลท์เข้ามาในพอร์ต จากที่ผ่านมาไม่เคยพัฒนามาก่อน เพื่อขยายตลาดไปยังกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ และเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้มากขึ้น
[PR News] พฤกษา ผนึก 4 พันธมิตร  สร้างการใช้ชีวิตที่เป็นมิตรกับธรรมชาติ  

[PR News] พฤกษา ผนึก 4 พันธมิตร สร้างการใช้ชีวิตที่เป็นมิตรกับธรรมชาติ  

ปัญหาภาวะโลกร้อนที่ทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่ทุกวันนี้ เราทุกคนต่างทราบกันดีว่าสาเหตุหลักมาจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน ถ่านหิน รวมไปถึงการคมนาคมขนส่ง และการผลิตสินค้าในโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ซึ่งล้วนแล้วแต่ส่งผลให้อุณหภูมิโลกของเราสูงขึ้น ได้ยินกันแบบนี้แล้วทุกภาคส่วนคงต้องเริ่มปรับตัวและลงมือทำกันอย่างจริงจังเพื่อช่วยให้โลกของเราให้น่าอยู่ไปนานๆ    พฤกษา เรียลเอสเตท ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทย ได้ใส่ใจถึงปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมมาโดยตลอด และพร้อมร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทยในการช่วยลดปัญหาภาวะโลกร้อนผ่านเทคโนโลยีการอยู่อาศัยเพื่อสังคมสิ่งแวดล้อมในด้าน Green หนึ่งในแกนหลักของ Pruksa Livng Tech ที่นำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาผสมผสานกับความเป็นธรรมชาติเอามารวมกันไว้ด้วยกันอย่างลงตัว มาใช้ในการพัฒนาโครงการต่างๆ เพื่อให้คนรุ่นหลังมีคุณภาพชีวิตที่ดีภายใต้สิ่งแวดล้อมที่ดีต่อไป     ล่าสุด พฤกษาได้จับมือร่วมกับ 4 บริษัทพันธมิตรใหญ่ เพื่อร่วมกันพัฒนาและผลิตเรือพลังงานไฟฟ้าระบบ BEV (BATTERY ELECTRIC VEHICLE) เพื่อให้บริการ SHUTTLE BOAT รับ - ส่งลูกบ้านในคอนโด “แชปเตอร์ เจริญนคร – ริเวอร์ไซด์” ได้แก่ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน), ห้างหุ้นส่วนจำกัด นาวาเลียน คอมโพสิท, มหาวิทยาลัยมหิดล และสำนักนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) NIA   นอกจากลูกบ้านจะได้รับความสะดวกสบายในการเดินทางเรือบนแม่น้ำเจ้าพระยาแล้ว ในด้านสิ่งแวดล้อมยังช่วยลดปัญหามลพิษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหา PM 2.5 ที่ยังเกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบัน เนื่องจากเรือพลังงานไฟฟ้าระบบ BEV จะไม่มีไอเสียหรือเขม่าควันที่ถูกปล่อยออกมา มีเสียงเบา และก่อให้เกิดคลื่นน้อย แถมยังช่วยลดการใช้พลังงานโลกอีกด้วย   ปัจจุบันพบว่ามีแนวโน้มการใช้รถยนต์ไฮบริดและรถยนต์ไฟฟ้าสูงขึ้นเกือบ 50% ต่อปี เพื่อเป็นการตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคใหม่ รวมถึงเพื่อเป็นการช่วยสนับสนุนและส่งเสริมให้คนไทยหันมาใช้พลังงานสะอาดกันมากขึ้น พฤกษาจึงได้มีการติดตั้งสถานีชาร์จไฟรถยนต์ไฟฟ้าปลั๊กอินไฮบริด หรือ EV STATION ไว้ภายในโครงการ “แชปเตอร์ เจริญนคร – ริเวอร์ไซด์”   โดยเปิดให้ลูกค้าและบุคคลทั่วไปที่ใช้รถยนต์ไฟฟ้าสามารถเข้ามาใช้บริการฟรีได้ตั้งแต่วันนี้ – 31 มี.ค. 2563 ที่สำนักงานขาย และในอนาคตจะมีการขยายการติดตั้ง EV Station ไปยังโครงการอื่นๆ เริ่มจากโครงการ “เดอะรีเซิร์ฟ พหลฯ – ประดิพัทธ์” ที่เตรียมจะโอนปลายปี 2562 นี้ และโครงการ แชปเตอร์วัน โฟลว์ บางโพ ในอนาคต     นอกจากนี้ ในส่วนของโครงการทาวน์เฮาส์ของพฤกษายังมีระบบ Pruksa Fresh Air ช่วยเรื่องการหมุนเวียนอากาศ ทำให้อุณหภูมิภายในบ้านเย็นกว่าข้างนอก การติดตั้งระบบ Solar Cell System เพื่อนำมาในพื้นที่ส่วนกลาง เช่น บ่อบำบัดน้ำเสีย คลับเฮาส์ รวมไปถึงการติดตั้ง SKYLIGHT ฝ้าเพดานโปร่งแสง เพื่อนำแสงสว่างเข้ามาสู่ตัวบ้านในเวลากลางวัน ทั้งหมดนี้เป็นความใส่ใจที่พฤกษาได้นำเอาเทคการอยู่อาศัยเพื่อสังคมสิ่งแวดล้อมในด้าน Green หนึ่งในแกนหลักของ Pruksa Livng Tech มาช่วยตอบโจทย์เทรนด์การอยู่อาศัยภายใต้สิ่งแวดล้อมที่ดี            
เดอะเนสท์  เปิดโปรเจ็กต์ “จุฬาฯ-สามย่าน” ชูจุดขาย ผลตอบแทนการเช่า 6%

เดอะเนสท์ เปิดโปรเจ็กต์ “จุฬาฯ-สามย่าน” ชูจุดขาย ผลตอบแทนการเช่า 6%

เดอะเนสท์ เปิดโครงการ “เดอะเนสท์ จุฬาฯ – สามย่าน” มูลค่า 1,500 ล้านบาท ชูจุดขายความคุ้มค่าและผลตอบแทน 6% จากการปล่อยเช่า   นางสาวอุษณา มหากิจศิริ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เดอะเนสท์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในกลุ่ม บริษัท พี.เอ็ม. กรุ๊ป เปิดเผยว่า จากสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน เชื่อว่าไม่ได้ส่งผลให้ราคาคอนโดมิเนียมลดลง แต่อยู่ในภาวะทรงตัว ซึ่งมองว่าเป็นวัฏจักรปกติของธุกิจ  เพียงแต่ผู้ประกอบการต้องมีความระมัดระวังมากยิ่งขึ้นในการ พัฒนาโครงการออกมาให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า ในราคาที่เหมาะสม ในแง่ของผู้บริโภคเองก็ถือเป็นโอกาสที่จะสามารถได้สินค้าราคาดีเอาไว้   ทั้งนี้บริษัทได้เปิดตัวโครงการล่าสุด “เดอะเนสท์ จุฬาฯ–สามย่าน” คอนโดมิเนียม 8 ชั้น 2 อาคาร รวม 332 ยูนิต ในซอยจินดาถวิล ถนนพระราม 4 บนที่ดินกว่า 2 ไร่ ขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 21.14-49.39 ตารางเมตร มีพื้นที่จอดรถ 40 % ห่างจาก MRT สถานีสามย่าน 600 เมตร มูลค่าโครงการประมาน 1,500 ล้านบาท เริ่มก่อสร้าง ไตรมาส 1 ปี2563 คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 4 ปี 2564 โดยตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 50% ในวันพรีเซล 26-27 ตุลาคม 2562   ทำเลจุฬาฯ–สามย่าน เป็นชุมชนเก่าแก่ที่มีดีมานท์อยู่เสมอ ไม่ว่าจะผู้ที่อาศัยอยู่เดิม นักเรียน นักศึกษา บุคคลากร กลุ่มคนทำงาน และชาวต่างชาติ ที่ดินส่วนใหญ่มักจะเป็นที่ดินเช่าระยะยาว (ลีสโฮลด์) โดยปัจจุบันมีผู้ประกอบการรายใหญ่ที่เข้ามาลงทุนโครงการบิ๊กโปรเจ็กต์ในย่านนี้มากมาย แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของทำเลนี้ ไม่ว่าจะเป็น โครงการมิกซ์ยูส หรือคอนโดมิเนียม แต่สำหรับ “เดอะเนสท์ จุฬาฯ–สามย่าน” นั้นเป็นที่ดินฟรีโฮลด์ มีความคุ้มค่าในระยะยาวทั้งในแง่ของผู้อยู่อาศัยเอง และนักลงทุนที่สามารถปล่อยเช่าได้ประมาณ 18,000  บาท/เดือน คิดเป็น 6% ต่อปี   สำหรับราคาที่ดินในบริเวณดังกล่าวหากอยู่ในซอยจะมีราคาประมาณ 500,000 บาทต่อตารางวา แต่หากเป็นที่ดินแปลงติดถนนใหญ่ ราคาพุ่งสูงแตะที่ 1 ล้านบาทต่อตารางวาขึ้นไป ขึ้นอยู่กับทำเลของที่ดิน   บริษัทยังมองหาที่ดินในทำเลใจกลางเมือง เพื่อพัฒนาโครงการคอนโดฯ ปีละ 1-2 โครงการ และขณะนี้อยู่ในช่วงเจรจากับพันธมิตรต่างชาติ เพื่อร่วมกันพัฒนาโครงการ แต่ยังไม่สามารถเผยรายละเอียดได้” นางสาวอุษณา กล่าว   นอกจากนี้ยังมีที่ดินของครอบครัวในย่านพระราม 4 ช่วงต้น พื้นที่ประมาณเกือบ 6 ไร่ สำหรับใช้ในการพัฒนาโครงการอสังหาฯ ในอนาคต ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาข้อมูล คาดว่าจะสรุปได้ในปี 2563  
คนไทยนิยมซื้ออสังหาฯ อังกฤษ ไนท์แฟรงค์เตรียมปิดดีลกว่า 1,404 ล้าน

คนไทยนิยมซื้ออสังหาฯ อังกฤษ ไนท์แฟรงค์เตรียมปิดดีลกว่า 1,404 ล้าน

ตลาดอสังหาฯ อังกฤษ เริ่มฟื้นตัว หลังดีมานด์มีสูง ทั้งคนท้องถิ่นและต่างชาติ แต่ดีเวลลอปเปอร์พัฒนาโครงการออกมาน้อย  คาดปีนี้มีดีมานด์กว่า 70,000 ยูนิต แต่ซัพพลายในตลาดมีแค่ 40,000 เท่านั้น “ไนท์แฟรงค์” เห็นสัญญาณจากการขายเพิ่มเฉลี่ยเดือนละ 4-8 รายจากก่อนหน้าขายได้แค่ 1-2 รายต่อเดือน  พร้อมปิดดีลไปแล้วมูลค่ากว่า 569.4 ล้านบาท รอปิดอีก 10 ดีล   นายแฟรงค์ ข่าน กรรมการบริหาร หัวหน้าฝ่ายที่ปรึกษาด้านที่พักอาศัย บริษัท ไนท์แฟรงค์ ชาร์เตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า อสังหาริมทรัพย์ในประเทศอังกฤษ  เริ่มกลับมาฟื้นตัวหลังจากได้รับผลกระทบ จากนโยบายภาษีที่รัฐบาลประกาศใช้ ในการจัดเก็บภาษีที่อยู่อาศัยหลังที่ 2 อัตรา 3% และภาษีจากอัตรากำไรการขายอสังหาฯ (Capital gain) ในอัตรา 20-28% ซึ่งได้ประกาศใช้กับชาวต่างชาติ ที่ได้เข้าไปซื้ออสังหาฯ  ในประเทศอังกฤษ ตั้งแต่ปี 2557 ส่งผลให้ช่วง 5 ปีที่ผ่านมาตลาดอสังหาฯ​ มีอัตราลดลงเฉลี่ย 15%     การฟื้นตัวของตลาดอสังหาฯ ในประเทศอังกฤษนั้น  เกิดจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะความต้องการที่อยู่อาศัยมีสูง ทั้งจากคนในประเทศและชาวต่างชาติ ที่เข้าไปเรียนและทำงานจำนวนมาก แต่ปัจจุบันจำนวนที่อยู่อาศัยที่พัฒนาออกมาน้อย โดยเฉพาะในปีนี้คาดว่าความต้องการที่อยู่อาศัยจะมีมากกว่า 70,000 ยูนิต แต่มีที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะคอนโดมิเนียม ถูกพัฒนาออกไม่ประมาณ​ 40,000 ยูนิตเท่านั้น สาเหตุสำคัญที่ทำให้ดีเวลลอปเปอร์พัฒนาโครงการออกมาน้อย ทั้งที่มีความต้องการสูง เป็นเพราะยังมีปัญหาเศรษฐกิจโดยภายรวม ต้นทุนการพัฒนาโครงการสูง ไม่ว่าจะเป็นราคาที่ดิน  และราคาวัสดุก่อสร้าง ขณะที่ปัญหาเบร็กซิทถือว่ามีผลกระทบเล็กน้อย   สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาฯ ในประเทศอังกฤษช่วง 6 เดือนแรกเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น โดยเห็นได้จากการติดต่อจากกลุ่มลูกค้ามายังบริษัทเพิ่มมากขึ้นในการซื้ออสังหาฯ และมีปริมาณการซื้อขายเพิ่มมากขึ้น เมื่อเทียบกับช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งสามารถปิดการขายได้เดือนละ 1-2 ราย แต่ปัจจุบันสามารถปิดการขายได้ 4-8 รายต่อเดือน ขณะที่ช่วงก่อนหน้านี้ อสังหาฯ จะมีการลดราคาลงอย่างมากเพื่อจูงใจผู้ซื้อ บางโครงการลดราคาถึง 25% แต่ปัจจุบันลดราคาเพียง 11-12% เท่านั้น  ซึ่งความต้องการที่อยู่อาศัยในประเทศอังกฤษ  เริ่มฟื้นตัวทั้งจากตลาดภายในประเทศ และกลุ่มชาวต่างชาติที่เข้าไปซื้ออสังหาฯ ด้วย   ปัจจุบันสัดส่วนชาวต่างชาติที่เข้าไปซื้ออสังหาฯ มีประมาณ 40% กลุ่มลูกค้าหลักเป็นชาวจีน ฮ่องกง และสิงคโปร์ โดยวัตถุประสงค์หลักของการเข้าไปซื้ออสังหาฯ ส่วนใหญ่จะเป็นการซื้อเพื่อให้บุตรหลานได้พักอาศัย ในระหว่างการเรียน ซึ่งนักศึกษาต่างชาติในประเทศอังกฤษมีมากกว่า 100,000 คน บริษัทต่างชาติซื้ออสังหาฯ เพื่อให้พนักงานพักอาศัย และการซื้อเพื่อลงทุนของกลุ่มนักลงทุนเพื่อปล่อยเช่า  ซึ่งผลตอบแทนจากการเช่าจะอยู่ที่ 1-2% สำหรับย่านใจกลางลอนดอน และ 4-6% สำหรับเมืองรอบนอกที่มีระบบการคมนาคมขนส่งสะดวก  สามารถเดินทางเข้ามาใจกลางเมืองได้ภายในเวลา 5-10 นาที     ขณะที่คนไทยก็เริ่มให้ความนิยมในการเข้าไปซื้ออสังหาฯ ในประเทศอังกฤษเพิ่มมากขึ้น โดยในปีนี้บริษัทได้เป็นตัวแทนขายอสังหาฯ ในประเทศอังกฤษ ให้กับกลุ่มคนไทยได้แล้ว 8 ราย มูลค่า 14.6 ล้านปอนด์ หรือประมาณ​569.4 ล้านบาท  ซึ่ง 7 รายเป็นบุคคลทั่วไป ที่ซื้อคอนโดฯ ยูนิตในราคา 900,000 -1.6 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 35-62.4 ล้านบาท และมี 1 รายเป็นบริษัทที่ซื้อเพื่อการลงทุนจำนวน 16 ยูนิต  และบริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาอีก 10 รายที่จะซื้ออสังหาฯ​ ในอังกฤษด้วย มีระดับราคาตั้งแต่ 600,000-2 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 23.4-78 ล้านบาท ซึ่งมีหนึ่งรายต้องการซื้ออสังหาฯ มูลค่ามากถึง 36 ล้านปอนด์ หรือกว่า 1,404 ล้านบาท   ส่วนในปี 2563 บริษัทตั้งเป้าหมายการเป็นตัวแทนขายอสังหาฯ ในประเทศอังกฤษ 15-20 ยูนิต ราคาเฉลี่ย 1-2 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 39-78 ล้านบาทต่อยูนิต ซึ่งแนวทางการทำตลาด บริษัทได้มีกิจกรรมจัดสัมมนา และนิทรรศการให้ความรู้ และข้อมูลเกี่ยวกับตลาดอสังหาฯ ในประเทศอังกฤษ รวมถึงการพาชมโครงการที่ประเทศอังกฤษ เพื่อให้ผู้ซื้อได้เห็นโครงการจริงด้วย   สำหรับกลุ่มคนที่เลือกซื้ออสังหาฯ ในประเทศอังกฤษ ไม่ว่าจะอยู่อาศัย หรือการลงทุน ยังคงใช้ 3 หลักเกณฑ์ในการตัดสินใจซื้อ ได้แก่ 1.ทำเลที่ตั้ง ใกล้สถานีรถใต้ดิน ระยะห่างสามารถเดินทางได้ไม่เกิน 5-10 นาที 2. สิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการ อาทิ สวน พื้นที่ส่วนกลางสำหรับทำกิจกรรม และ 3.สภาพอาคาร หากเป็นอาคารใหม่จะได้รับความนิยมมากกว่าอาคารเก่า