Tag : condo

1488 ผลลัพธ์
สรุปข่าวอสังหาฯ รอบสัปดาห์ วันที่ 1-8 ธันวาคม 2562

สรุปข่าวอสังหาฯ รอบสัปดาห์ วันที่ 1-8 ธันวาคม 2562

หลังจากคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติโครงการ “บ้านดีมีดาวน์”  ในวันที่ 26 พฤศจิกายนที่ผ่านมา  ด้วยการสนับสนุนเงินแคชแบ็ค (Cash Back) เพื่อลดภาระผ่อนดาวน์ จำนวน 50,000 บาท ให้แก่ผู้ซื้อที่อยู่อาศัย ซึ่งผู้สนใจสามารถเข้าร่วมโครงการได้     โดยลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.บ้านดีมีดาวน์.com  ตั้งแต่วันที่ 11 ธันวาคม 2562 เวลา 8.00 น. จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2563  และจะต้องได้รับการอนุมัติสินเชื่อที่อยู่อาศัยจากสถาบันการเงินและจดจำนองตั้งแต่วันที่27 พฤศจิกายน 2562 จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2563   โอกาสดีๆ แบบนี้ บรรดาดีเวลลอปเปอร์ ทั้งค่ายเล็กค่ายน้อย ย่อมไม่พลาดโอกาส ใช้เป็นจังหวะที่ดีในการจัดแคมเปญการตลาด กระตุ้นยอดขาย โดยขนบ้านและคอนโดมิเนียมในสต็อกออกมาร่วมแคมเปญกันแทบทุกราย อาทิ แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ ขน 9 โครงการ 370 ยูนิต มูลค่า 830 ล้านบาท ทั้งบ้านและคอนโดฯ มาจัดแคมเปญร่วมกับโครงการบ้านดีมีดาวน์ และแอล.พี.เอ็น.ฯ ยังเติมเงินให้อีก 50,000 บาท (อ่านข่าวเพิ่มเติม)   บริษัท มั่นคง เคหะการ จำกัด (มหาชน) ก็ขานรับนโยบาย คัดโครงการทั้งทาวน์โฮม บ้านแฝด บ้านเดี่ยว 10 โครงการ กว่า 300 ยูนิต เข้าร่วม แถมด้วยสิทธิพิเศษต่างๆ อาทิ  ฟรีค่ามิเตอร์น้ำ – มิเตอร์ไฟ, ฟรีค่าส่วนกลาง 3 ปี, เฟอร์นิเจอร์ห้องนอนใหญ่ 1 ชุด, เครื่องปรับอากาศห้องนอนใหญ่ และเครื่องใช้ไฟฟ้าอีก  5 รายการ เป็นต้น (อ่านข่าวเพิ่มเติม)   นอกเหนือจากความเคลื่อนไหว การจัดแคมเปญของดีเวลลอปเปอร์ กับโครงการภาครัฐแล้ว ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาวงการอสังหาริมทรัพย์ มีความเคลื่อนไหวอะไรบ้าง มาอัพเดทกันได้เลย   “ซิซซา” ลุยอสังหาฯ เพื่อการลงทุน การันตีผลตอบแทน 6% วินแดม โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จับมือพันธมิตร ซิซซา กรุ๊ป  รุกตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน ภายใต้แบรนด์ “วินแดม แกรนด์” (Wyndham Grand) เน้นเจาะตลาดพรีเมียม ด้วยสินค้าระดับลักซูรี่ ตามหัวเมืองท่องเที่ยว พร้อมยกระดับโครงการ “วินแดม แกรนด์ ในหาน บีช ภูเก็ต”     นายอรรถนพ พันธุกำเหนิด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซิซซา กรุ๊ป จำกัด  เปิดเผยว่า แม้ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์จะชะลอตัวลง แต่อสังหาริมทรัพย์ในหัวเมืองท่องเที่ยวอย่างภูเก็ตกลับยังมีความต้องการอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติ รวมถึงคนไทยที่เข้ามาซื้อในลักษณะเพื่อการลงทุน จนทำให้ตลาดอสังหาฯในรูปแบบการการันตีผลตอบแทน หรือ Investment Property มีความต้องการสูงเห็นได้จากจำนวนโครงการแบบ Investment Property ที่เพิ่มมากขึ้นในจังหวัดภูเก็ต   ในระยะหลายปีที่ผ่านมาผู้ประกอบการในภูเก็ตจึงหันมาพัฒนาสินค้าในลักษณะ Investment Property จำนวนมาก จนทำให้การแข่งขันสูง และซิซซา กรุ๊ป ได้เล็งเห็นทิศทางของตลาด จึงได้ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญกับ WYNDHAM Hotels and Resorts ซึ่งเป็นกลุ่มโรงแรมรีสอร์ทที่มีจำนวนสาขาในเครือมากที่สุดของโลก ที่จะพัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าในตลาดระดับบน และโครงการล่าสุดของบริษัทก็ได้รับการยกระดับขึ้นเป็น วินแดม แกรนด์ ในหาน บีช ภูเก็ต (WYNDHAM Grand Nai Harn Beach Phuket)  (อ่านข่าวเพิ่มเติม)   “ฮาบิแทท กรุ๊ป” ปั้นโปรเจ็กต์มิกซ์ยูส 4,500 ล้าน   “ฮาบิแทท กรุ๊ป” เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่มุ่งเน้นทำตลาด อสังหาฯ เพื่อการลงทุน โดยมองแนวโน้มตลาดในปีหน้าว่ายัง เติบโตแต่ไม่หวือหวา ซึ่งแผนธุรกิจของบริษัทในปีหน้า ยังคงชูกลยุทธ์  "ไลฟ์สไตล์ อินเวสเม้นท์” พร้อมกับเตรียมเปิดโปรเจ็กต์มิกซ์ยูส 4,500 ล้าน  นอกจากนั้นยังมุ่งหน้าทำตลาดในต่างประเทศ  ด้วยการผนึกพันธมิตร ลีสต์ กรุ๊ป ญี่ปุ่น รุกขยายตลาดใหม่จับลูกค้าต่างชาติเพิ่ม ทั้ง ญี่ปุ่น ไต้หวัน ตะวันออกกลางและยุโรป ทดแทนตลาดจีน และฮ่องกง     นายชนินทร์ วานิชวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2563 คาดว่าจะไม่เติบโตจากปีนี้ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโดยรวมน่าจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปี 2562  ซึ่งไม่เอื้ออำนวยต่อการดำเนินธุรกิจ และค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ทำให้กำลังซื้อได้รับผลกระทบ ขณะที่ปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ธนาคารยังคงเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากกว่าระดับปกติ และยังมีปัจจัยเรื่องนโยบายการควบคุมสินเชื่อที่อยู่อาศัย (LTV)   แม้จะมีปัจจัยบวกอยู่บ้างจากการที่รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นตลาด ประกาศลดค่าธรรมเนียมการโอน และการจดจำนองให้เหลือเพียง 0.01% ของราคาประเมินไปจนถึงวันที่ 24 ธันวาคม 2563 และยังมีโครงการบ้านดีมีดาวน์ ขณะที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ แต่ภาพรวมตลาดอสังหาฯ น่าจะอยู่ในภาวะทรงตัว หรือใกล้เคียงกับปี 2562 (อ่านข่าวเพิ่มเติม)   เสนาฯ​ เลื่อน9โปรเจ็กต์หมื่นล้านเปิดตัวปี63 ปีนี้สถานการณ์ตลาดอสังหาฯ ไม่เอื้ออำนวยให้ดีเวลลอปเปอร์รุกตลาดมากนัก จากช่วงต้นปีที่ได้ประกาศธุรกิจ พอเอาเข้าจริงกลับไม่เป็นไปตามแผน หลายๆ บริษัทปรับแผนธุรกิจเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพตลาดในปัจจุบัน อย่างเสนาฯ เลื่อน 9 โปรเจ็กต์ มูลค่านับหมื่นล้านไปเปิดตัวใหม่ในปีหน้า   แม้ว่า 3 ไตรมาสแรกของปี ยังโกยรายได้และกำไรเติบโต  ซึ่งสาเหตุหลักมาจากการทำการตลาดอย่างต่อเนื่อง ส่วนในไตรมาสสุดท้ายได้เปิดตัว 3 โครงการแนวราบ–แนวสูง เพื่อผลักดันยอดขายให้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้     นางสาวอธิกา บุญรอดชู ผู้อำนวยการ สายงานจัดสรรเงินทุนและการลงทุน บริษัท เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA  เปิดเผยว่า ในไตรมาส 4 บริษัทมีแผนการเปิดโครงการใหม่ 3 โครงการทั้งโครงการบ้านและคอนโดมิเนียม  รวมมูลค่าโครงการราว 2,977 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการ เสนา แกรนด์ โฮม รามอินทรา กม. 8 ม, โครงการเสนา วิลล์ ลำลูกกา คลอง 6 และล่าสุด เปิดโครงการเสนา- อาศุ พระราม 9  คอนโดมิเนียมแบรนด์ใหม่ ซึ่งทั้งหมดได้เปิดขายแล้ว   สำหรับแผนธุรกิจในปีนี้ บริษัทวางแผนเปิดโครงการทั้งหมด 20 โครงการ รวมมูลค่า 18,779 ล้านบาท แต่จากสถานการณ์อสังหาฯ ที่ชะลอตัว และปัจจัยลบต่างๆ ทำให้บริษัทต้องบริษัทได้เลื่อนการเปิดโครงการใหม่ไปในปีหน้า ซึ่งช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ ได้เปิดตัวโครงการใหม่แล้ว 8 โครงการมูลค่า 5,411 ล้านบาท และเลื่อนเปิดตัวโครงการใหม่ 9  โครงการในปี 2563 มูลค่า 10,391 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีที่ดินเตรียมพร้อมการพัฒนาไว้ทั้งหมดแล้ว (อ่านข่าวเพิ่มเติม)   แมกโนเลียฯ จับมือ ททท.-RSTA จัดงานแสดงแสงสีเสียง   เข้าสู่ช่วงโค้งท้ายของปีแล้ว ตอนนี้สถานที่หลายแห่งเริ่มเตรียมพื้นที่เฉลิมฉลอง รับเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่กันแล้ว อย่างแมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น หรือ MQDC ได้จับมือกับ ททท. และสมาคมผู้ประกอบวิสาหกิจในย่านราชประสงค์ จัดงาน “Beautiful Bangkok 2020” งานแสดงแสงสีเสียงบริเวณอาคาร โครงการแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด ซึ่งเตรียมเปิดแสดงรอบปฐมฤกษ์วันที่ 16 ธันวาคมนี้     นายวิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) เปิดเผยว่า ได้ร่วมกับ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และสมาคมผู้ประกอบวิสาหกิจในย่านราชประสงค์ (RSTA)  เตรียมประกาศความพร้อมการจัดงาน “Beautiful Bangkok 2020” การแสดงแสงสีเสียง ด้วยการเนรมิตอาคารโครงการแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด ให้สวยงาม   โดยในปีนี้ใช้ชื่อการแสดงว่า “Beautiful Bangkok 2020: A Blossom of Happiness” ซึ่งมาพร้อมกับกิจกรรมอีกมากมาย บริเวณลานหน้าโครงการแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด เพื่อร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลแห่งความสุขส่งท้ายปี  โดยจะเปิดการแสดงรอบปฐมฤกษ์วันที่ 16 ธันวาคม 2562 นี้ และจัดต่อเนื่องไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2562 (อ่านข่าวเพิ่มเติม)      
แมกโนเลียฯ จับมือ ททท.-RSTA จัดงานแสดงแสงสีเสียง  ดึงนักท่องเที่ยวทะลุ 9 แสนคน

แมกโนเลียฯ จับมือ ททท.-RSTA จัดงานแสดงแสงสีเสียง ดึงนักท่องเที่ยวทะลุ 9 แสนคน

แมกโนเลียฯ ร่วมกับ ททท. และสมาคมผู้ประกอบวิสาหกิจในย่านราชประสงค์ จัดงาน “Beautiful Bangkok 2020”  เฉลิมฉลองเทศกาลแห่งความสุขส่งท้ายปี เตรียมเปิดแสดงรอบปฐมฤกษ์วันที่ 16 ธันวาคม นี้  คาดเป็นตัวช่วยดึงนักท่องเที่ยวเข้าพื้นที่ราชประสงค์ทะลุ 900,000 คน   นายวิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) เปิดเผยว่า ได้ร่วมกับ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และสมาคมผู้ประกอบวิสาหกิจในย่านราชประสงค์ (RSTA)  เตรียมประกาศความพร้อมการจัดงาน “Beautiful Bangkok 2020” การแสดงแสงสีเสียง ด้วยการเนรมิตอาคารโครงการแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด ให้สวยงาม   โดยในปีนี้ใช้ชื่อการแสดงว่า “Beautiful Bangkok 2020: A Blossom of Happiness” ซึ่งมาพร้อมกับกิจกรรมอีกมากมาย บริเวณลานหน้าโครงการแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด เพื่อร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลแห่งความสุขส่งท้ายปี  โดยจะเปิดการแสดงรอบปฐมฤกษ์วันที่ 16 ธันวาคม 2562 นี้ และจัดต่อเนื่องไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2562 “งาน Beautiful Bangkok 2020 จัดขึ้นภายใต้แนวคิด ที่ต้องการสื่อถึงความสุขและความปรารถนาดี ที่เราต่างมอบให้กันอย่างจริงใจ  เปรียบเสมือนจิตใจที่เต็มเปี่ยมด้วยความสุขเบ่งบานสดใส เฉกเช่นดอกไม้ที่บานอยู่กลางใจของคนกรุงเทพฯ พร้อมส่งมอบความสุขสดใสให้แก่ นักท่องเที่ยวหรือผู้ที่มาเยือนกรุงเทพฯ ผ่านการมอบช่อดอกไม้ช่อแรกของปีให้เป็นตัวแทนของความสุขและความปรารถนาดีสำหรับทุกคน”   ใช้ AI จากญี่ปุ่นสร้างสรรค์ "แสงสีเสียง" โดยการจัดงานได้แรงบันดาลใจมาจาก รูปทรงอันอ่อนช้อยงดงามของดอกแมกโนเลีย ดอกไม้มงคลของไทย และดอกไม้นานาชาติอีกหลากหลายชนิด ซึ่ง MQDC ได้ทุ่มงบประมาณจัดกิจกรรม Beautiful Bangkok 2020: A Blossom of Happiness ในปีนี้ให้มีความยิ่งใหญ่และพิเศษมากกว่าปีก่อนๆ โดยในปีนี้ใช้เทคโนโลยี AI และการแสดงแสงสีตระการตาจากทีมสร้างสรรค์ชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่น บนตึกโครงการ แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด ซึ่งเป็นโครงการที่พักอาศัยความสูง 60 ชั้น ที่ออกแบบอย่างสวยงามอ่อนช้อยจากแรงบันดาลใจของกลีบดอกแมกโนเลีย เป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คสำคัญที่มีความโดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ของย่านราชประสงค์   งาน Beautiful Bangkok 2020: A Blossom of Happiness มีกำหนดจัดแสดงรอบปฐมฤกษ์ โครงการแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด ในวันจันทร์ที่ 16 ธันวาคม 2562 เวลา 18.00 – 21.00 น. และจะเปิดการแสดงรอบประชาชนทั่วไปในวันที่ 17 – 31 ธันวาคม 2562 เวลา 18.00 – 23.00 น. โดยในวันที่ 31 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ จะจัดการแสดงจนถึงเวลา 24.00 น.   นอกจากนั้น ในปีนี้ MQDC ยังจัดให้มีกิจกรรม The Wonder Flower Land  บริเวณลานหน้าโครงการแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด ซึ่งไฮไลท์อยู่ที่การแสดงแสงสีแบบ Interactive ด้วยเทคโนโลยี AI จากประเทศญี่ปุ่น ที่จะทำให้ทุกคนสนุกสนานไปกับการแสดงแสงสี ที่มีความเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองอย่างแท้จริง โดยมาจากจังหวะการเต้นของหัวใจและชีพจรของแต่ละบุคคล ทำให้ผู้ร่วมงานแต่ละคนได้ภาพแห่งความประทับใจของตัวเองโดยเฉพาะและไม่ซ้ำกับใคร     ทั้งนี้ MQDC ได้จัดรถรับส่ง Beautiful Bangkok Free Shuttle เส้นทางราชดำริ - พระราม 4 - สยาม เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยวในการเดินทางท่องเที่ยวในย่านราชประสงค์ และมาร่วมมีความสุขที่งาน Beautiful Bangkok ได้อย่างสะดวกสบาย   จัดประกวดภาพถ่ายชิงกล้อง Leica นอกจากนั้น ยังได้จัดให้มีกิจกรรมประกวดภาพถ่ายจากงาน Beautiful Bangkok 2020: A Blossom of Happiness โดยเฟ้นหาภาพที่แสดงให้เห็นถึงความสวยงามที่งาน Beautiful Bangkok อาคารแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด มอบให้กับกรุงเทพฯ มีองค์ประกอบภาพ และการถ่ายทอดความสวยงามออกมาได้อย่างน่าประทับใจและสร้างสรรค์ที่สุด ตัดสินการประกวดโดย MQDC ร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย โดยภาพที่ได้รับการคัดเลือกว่าสวยงามที่สุด 3 อันดับแรก จะมอบให้กับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย นำไปผลิตเป็นโปสการ์ดโปรโมทการท่องเที่ยวประเทศไทยต่อไป และผู้ชนะเลิศอันดับ 1 จะได้รับกล้อง Leica 1 รางวัล   “MQDC ในฐานะสมาชิก RSTA มีความยินดีและภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความงดงามให้กับฟากฟ้ากรุงเทพฯ ผ่านการจัดงาน Beautiful Bangkok ซึ่งจัดต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 3 แล้ว เป็นหนึ่งในกิจกรรมที่สร้างสรรค์ความเป็นอยู่ที่ดีอย่างยั่งยืนแก่ผู้อยู่อาศัยและสังคมรอบข้าง (For All Well Being) รวมทั้งกิจกรรมดังกล่าวนี้ยังมีส่วนช่วยส่งเสริมความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของกรุงเทพฯ และประเทศไทย”   คาดนักท่องเที่ยวเยือนราชประสงค์วันละกว่า 9 แสนคน ด้านนายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กล่าวว่า กรุงเทพมหานครและประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางที่ครองใจผู้คนทั่วโลก เอาชนะเมืองชั้นนำในหลายประเทศทั่วโลกติดต่อกันมาตลอดหลายปี ด้วยความหลากหลายของแม็กเน็ตด้านการท่องเที่ยวที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และความต้องการของนักเดินทางทุกกลุ่มได้อย่างครอบคลุม   สำหรับงาน Beautiful Bangkok 2020: A Blossom of Happiness จะเป็นอีกหนึ่ง  attraction ที่สำคัญ และน่าตื่นเต้นที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติได้เป็นอย่างดี ช่วยกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวในช่วงสุดท้ายก่อนสิ้นปี ซึ่งคาดว่าเฉพาะช่วงเทศกาลเฉลิมฉลองความสุขส่งท้ายปี จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในกรุงเทพฯ เป็นจำนวนมากกว่าทุกปี โดยในปีนี้ภาครัฐมีนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจ ตั้งเป้าเติบโตขึ้นกว่าจากปีก่อน   สมาคมผู้ประกอบวิสาหกิจในย่านราชประสงค์ เป็นการรวมตัวของผู้ประกอบการเอกชนในย่านราชประสงค์ ก่อตั้งอย่างเป็นทางการในปี 2546   มีวัตถุประสงค์ในการก่อตั้งสมาคมฯเพื่อผลักดันย่านราชประสงค์ให้เป็นศูนย์กลางทางธุรกิจการค้า แหล่งช้อปปิ้ง และย่านท่องเที่ยวชั้นนำระดับโลก ด้วยพื้นที่รวมกว่า 1,020,000 ตารางเมตร โดยมีทางเดินเชื่อมลอยฟ้า "ราชประสงค์วอล์ค"  ยาวกว่า 1 กิโลเมตร เป็นโครงข่ายเส้นทางเดินเชื่อม 23 อาคาร โดยแมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น ได้เข้าร่วมในสมาคมฯ ในปี 2561 โดยนับเป็นสมาชิกรายที่ 9 ที่เข้ามาร่วมพัฒนาย่านราชประสงค์   ส่วนนายชาย ศรีวิกรม์ นายกสมาคมผู้ประกอบวิสาหกิจในย่านราชประสงค์ กล่าวว่า  ย่านราชประสงค์เป็นพื้นที่ท่องเที่ยว เศรษฐกิจ และการค้าที่สำคัญกลางใจเมือง มีผู้คนหมุนเวียนในแต่ละวันกว่า 600,000 คน และคาดว่าจะเพิ่มมากกว่า 50% เป็น 900,000 คน ในช่วงไฮซีซั่น โดยการจัดงาน Beautiful Bangkok ใน 2 ปีที่ผ่านมา เป็นแม็กเน็ตสำคัญที่ช่วยดึงดูดผู้คนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติจำนวนมากให้เข้ามาในย่านราชประสงค์ โดยในปีนี้ ผู้ประกอบการต่างๆ ในย่านราชประสงค์ต่างเตรียมพร้อมในการจัดกิจกรรมมากมาย เพื่อร่วมผนึกกำลังสร้างสรรค์ความสนุกสนานและความน่าดึงดูดใจ ตอกย้ำความแข็งแกร่งของย่านราชประสงค์ในฐานะจุดหมายปลายทางด้านช้อปปิ้งและไลฟ์สไตล์ชั้นนำของภูมิภาค   ติดตามรอบการแสดง “Beautiful Bangkok 2020: A Blossom of Happiness” และกติกาประกวดภาพถ่ายได้ที่ www.mqdc.com หรือ https://www.facebook.com/mqdcforallwellbeing/  
รวมโปรโมชั่นบ้าน-คอนโด เดือนธันวาคม 2562

รวมโปรโมชั่นบ้าน-คอนโด เดือนธันวาคม 2562

โค้งสุดท้ายปลายปีที่จะมาจัดโปรโมชั่นบ้าน-คอนโด ลดราคากระหน่ำก่อนปิดยอดปลายปี ถือเป็นช่วงกอบโกยของผู้บริโภคไปด้วย เพราะจะสามารถมีอำนาจในการต่อรองได้เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังได้มาตรการรัฐเข้ามาช่วย ก็ยิ่งประหยัดเงินในกระป๋าเราได้มากขึ้นค่ะ   SC Asset Final Sale ลดสูงสุด 2,000,000 บาท* SC Asset จัด Final Sale ช่วงปลายปี พบ 4 โครงการคุณภาพ อาทิ บางกอก บูเลอวาร์ด สาทร-ปิ่นเกล้า 2, บางกอก บูเลอวาร์ด ปิ่นเกล้า-เพชรเกษม, เวนิว เวสต์เกต, ไลฟ์ บางกอก บูเลอวาร์ด ราชพฤกษ์-รัตนาธิเบศร์ ราคาเริ่มต้น 5.99–15 ล้านบาท ตั้งแต่วันที่ 1–15 ธ.ค. นี้ เท่านั้น! “บริทาเนีย” เปิดตัวแคมเปญส่งท้ายปี “ฉลองใหญ่ให้เต็ม” บริทาเนีย (Britania) จัดแคมเปญใหญ่ส่งท้ายปีกับโปร “ฉลองใหญ่ให้เต็ม” กับบ้านราคาเริ่มต้นเพียง 2.59 ล้านบาท* อัดส่วนลดให้เต็มกว่ารัฐมากถึง 3 ต่อ พิเศษ!ส่วนลดสูงสุด 1,000,000 บาท* พร้อมสิทธิ์ ค่าเงินดาวน์คืน สูงสุด 50,000 บาท (จากโครงการ “บ้านดีมีดาวน์”) และ ฟรี! ค่าใช้จ่ายต่างๆ อีกมากมาย กับ 3 ทำเล 3 โครงการพร้อมอยู่ บริทาเนีย วงแหวน หทัยราษฎร์ บริทาเนีย เมกะทาวน์ บางนา บริทาเนีย บางนา กม.12 วันที่ 7-8 ธ.ค. นี้ ณ สำนักงานขายทั้ง 3 โครงการ ลลิล ร่วมแคมเปญ ‘บ้านดีมีดาวน์’ ซื้อปุ๊บ โอนปั๊บ รับ 3 สิทธิพิเศษสุดคุ้ม ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ นำบ้านคุณภาพทุกโครงการทุกทำเลเข้าร่วมแคมเปญ ‘บ้านดีมีดาวน์’ เริ่มวันที่ 11 ธันวาคม 2562 พร้อมรับ 3 สิทธิพิเศษ ทั้งเงินดาวน์ 50,000 บาทที่รัฐออกให้, ลดค่าจดจำนองและค่าโอนเหลือ 0.01% และสามารถเลือกกู้ดอกชิวๆ ‘กู้ล้าน ผ่อน 800 บาท’ กับแบงก์กรุงเทพ พฤกษา ยกขบวนบ้านและคอนโด 101 โครงการ ร่วมโครงการ ‘บ้านในฝัน รับปีใหม่’กับธอส.  พฤกษา ยกขบวนบ้านและคอนโด 101 โครงการ กว่า 1,800 ยูนิต เข้าร่วมแคมเปญกับธอส. ลูกค้าที่ซื้อและโอนบ้านในโครงการที่เข้าร่วมภายใน 31 ธันวาคมนี้ สามารถมีบ้านได้ง่ายขึ้นด้วยสิทธิพิเศษ 3 ต่อจากแคมเปญ ได้แก่ กู้บ้านกับธอส.รับดอกเบี้ยคงที่ 2.5% นาน 3 ปี พร้อมแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายให้กับลูกค้าในวันโอนกรรมสิทธิ์ด้วย รับฟรีทันที ค่าโอนและค่าจดจำนอง และสิทธิ์ต่อที่ รับโปรโมชั่นพิเศษต่างๆจากทางโครงการอาทิ เช่น เฟอร์นิเจอร์ ค่ามิเตอร์น้ำและไฟ, ค่าบริการสาธารณะ, ส่วนลดเพิ่มเติม (โปรโมชั่นขึ้นอยู่กับรายละเอียดที่แต่ละโครงการกำหนด) “มั่นคงฯ” ส่งโปรโมชั่นท้าลมหนาวร่วมโครงการ “บ้านในฝัน” มั่นคงฯ สนองนโยบายโครงการ “บ้านในฝัน” พิเศษสำหรับลูกค้าเมื่อจอง “บ้าน” ของ “มั่นคงฯ” ในราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท รับไปเลยต่อที่ 1 ทันที ดอกเบี้ยพิเศษ 2.5% คงที่ 3 ปี (เงื่อนไขต้องกู้สินเชื่อ 5 ปี ไม่สามารถไถ่ถอนได้), ฟรีค่าธรรมเนียมการโอน, ฟรีค่าธรรมเนียมจดจำนอง พร้อมข้อเสนอเพิ่มเติมสุดอลังการ!! ได้แก่ ฟรีค่ามิเตอร์น้ำ – มิเตอร์ไฟ, ฟรีค่าส่วนกลาง 3 ปี, เฟอร์นิเจอร์ห้องนอนใหญ่ 1 ชุด, เครื่องปรับอากาศห้องนอนใหญ่ และเครื่องใช้ไฟฟ้าอีก 5 รายการ รวมมูลค่ากว่า 116,000 ล้านบาท โดยมีให้เลือก 6 โครงการ ได้แก่ ชวนชื่น ทาวน์ รังสิต-คลอง 1,  ชวนชื่น ทาวน์ ราชพฤกษ์ 345, ชวนชื่น ทาวน์ ชัยพฤกษ์-แจ้งวัฒนะ, ชวนชื่น ทาวน์ บางใหญ่, ชวนชื่น ทาวน์ แก้วอินทร์-บางใหญ่ และ ชวนชื่น ทาวน์ วิลเลจ บางนา กม.29 ตั้งแต่วันนี้–31 ธ.ค. 2562 เดอะคิวบ์ นอร์ท แจ้งวัฒนะ ลดแรงสุดส่งท้ายปี เดอะคิวบ์ นอร์ท แจ้งวัฒนะ 12 คอนโดมิเนียมใหม่สไตล์บูทีค บนทำเลศักยภาพถนนแจ้งวัฒนะ ซอย 12 เยื้องศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา (แจ้งวัฒนะ) 350 เมตร จากรถไฟฟ้าสายสีชมพู สถานีแจ้งวัฒนะ 14 จัดโปรโมชั่นพิเศษส่งท้ายปีให้เตรียมความพร้อมเข้าอยู่ได้เดือนมีนาคม 2563 พร้อมเฟอร์นิเจอร์คุณภาพดี (Fully Furnished) ราคาพิเศษเริ่มเพียง 1.79 ล้านบาท* พร้อมส่วนลดสูงสุด 150,000 บาท "เจ เอส พี" จัด โปรดี Free จัดเต็ม เจ เอส พี พร็อพเพอร์ตี้ จัดโปรแรงที่สุดแห่งปี "เจ เอส พี" จัด โปรดี Free จัดเต็ม เพื่อลูกค้าที่สนใจ บ้าน  ทาวน์โฮม คอนโด อาคารพาณิชย์ บนทำเลศักยภาพ รังสิต  แพรกษา เพชรเกษม กัลปพฤกษ์ บางปู รัตนาธิเบศร์ บางประกง และศรีราชา พิเศษ เริ่มต้น เพียง 799,999 บาท พร้อมส่วนลดสูงสุด 1 ล้านบาท วันนี้ถึง 31 ธ.ค. 62 เท่านั้น “แกรนด์ ยูนิตี้” ฉีก ทุกราคาและทุกเงื่อนไข แรงกว่ามาตรการรัฐ แกรนด์ ยูนิตี้ รุกตลาดโค้งสุดท้ายของปี’62 ปล่อยโปรฯ “ฉีก..แรงกว่ามาตรการรัฐ” จ่ายเพียง 0 บาท* ฟรี! เงินจอง, เงินทำสัญญา, ค่าโอน, ค่าจดจำนอง, ค่าส่วนกลาง และค่ากองทุนแรกเข้า* พร้อมรับ Cash Back เพิ่มอีก 20,000 บาท* สำหรับลูกค้าที่ซื้อคอนโดพร้อมอยู่ 6 ทำเลดีใกล้สถานีรถไฟฟ้า อาทิ คอนโด ยู เกษตร – นวมินทร์, ยู ดีไลท์ รัชวิภา, ยู ดีไลท์ รัตนาธิเบศร์, ยู ดีไลท์ เรสซิเดนท์ ริเวอร์ฟร้อนท์ พระราม 3, เซียล่า ศรีปทุม, เดอ ลาพีส จรัญ 81 ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.54 ล้านบาท* ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 25 ธ.ค. 2562 THANA ผุดแคมเปญ “ วันธรรมดา ก็มาได้” รับข้อเสนอพิเศษสุด พร้อมรับเพิ่ม iPhone11 ธนาสิริ กรุ๊ป จัดแคมเปญพิเศษ “วันธรรมดา ก็มาได้” เอาใจสายอาชีพอิสระ หรือฟรีแลนซ์ เลือกชมและช้อปบ้านในวันธรรมดา พร้อมมอบข้อเสนอพิเศษสุด รับ ฟรี โทรศัพท์มือถือ Iphone 11 รุ่น 64 gb. มูลค่า 24,900 บาท (เมื่อจองและทำสัญญา ในแปลงที่กำหนด) พร้อมบัตรกำนัลพิเศษ เมื่อนัดเข้าชมทั้ง 5 โครงการของธนาสิริ อาทิ ธนาฮาบิแทต ปิ่นเกล้า-สิรินธร, ธนาคลัสเตอร์ ราชพฤกษ์, ธนาคลัสเตอร์ เวสต์เกต, ธนาซิโอ รัตนาธิเบศร์ และสิริวิลเลจ อุดรธานี-แอร์พอร์ต ตั้งแต่วันนี้-27 ธ.ค.2562 นี้ property perfect จัดโปรว้าว แซงรัฐ property perfect จัดโปรแรงกว่ามาตรการรัฐ มาพร้อมสิทธิพิเศษในคอนโดใกล้รถไฟฟ้าทั้ง 13 โครงการ ได้แก่  กู้เต็ม 100% จองง่ายเพียง 999 บาท ผ่อนสบายล้านละ 3,000 บาท/เดือน เป็นเวลา 3 ปี ฟรีค่าใช้จ่าย 6 รายการ ลดสูงสุด 1,000,000 บาท รับแพ็คเกจทัวร์ฮอกไกโด พร้อมที่พัก 5 วัน 3 คืน 2 ท่าน และลดเพิ่มตามมาตรการรัฐ ตั้งแต่วันนี้-27 ธ.ค.2562 นี้    
LPN ขน 9 โครงการ บ้าน-คอนโดฯ ร่วม “บ้านดีมีดาวน์”

LPN ขน 9 โครงการ บ้าน-คอนโดฯ ร่วม “บ้านดีมีดาวน์”

LPN ขน 9 โครงการ 370 ยูนิต มูลค่า 830 ล้าน เข้าร่วมมาตรการรัฐ “บ้านดีมีดาวน์” สร้างโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง ขณะเดียวกันยังจัดโปรโมชั่นเติมให้อีก 50,000 บาท เมื่อซื้อโครงการและโอนกรรมสิทธิ์ภายในสิ้นปีนี้ นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พีเอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) เปิดเผยว่า จากการอนุมัติของคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ภายใต้โครงการ “บ้านดีมีดาวน์” รัฐบาลจะสนับสนุนเงินแคชแบ็ค (Cash Back) เพื่อลดภาระผ่อนดาวน์ จำนวน 50,000 บาทแก่ผู้ซื้อที่อยู่อาศัย โดยสามารถเข้าร่วมโครงการ ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ บ้านดีมีดาวน์ ได้ตั้งแต่วันที่ 11 ธันวาคม 2562 เวลา 8.00 น. จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2563 และจะต้องได้รับการอนุมัติสินเชื่อที่อยู่อาศัยจากสถาบันการเงินและจดจำนองตั้งแต่วันที่ 27 พฤศจิกายน 2562 จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2563 คนละ 1 สิทธิ์ (1 บัตรประชาชนต่อ 1 สิทธิ์)   โดยรัฐบาลมอบสิทธิ์ให้แก่ผู้ที่สนใจที่อยู่ในเกณฑ์รายได้ไม่เกิน 100,000 บาทต่อเดือน ซึ่ง LPN ได้ตอบรับเข้าร่วมมาตรการนี้ โดยคัดสรรสินค้าคุณภาพทั้งบ้านและคอนโดฯ 9 โครงการ จำนวน 370 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 830 ล้านบาท ที่ออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ “ความพอดี ที่ดีกว่า” ใน 3 องค์ประกอบ ได้แก่ พอดีกับการออกแบบ พอดีกับการใช้ชีวิตที่สะดวกสบายปลอดภัยมากกว่าที่เคย และพอดีกับบริการที่ลงตัวในทุกความใส่ใจภายใต้การบริหารหลังการขายตามกลยุทธ์ “ชุมชนน่าอยู่” เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า ซึ่งสิทธิประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับมี 3 ต่อ ดังนี้   ต่อที่ 1 ลูกค้าจะได้รับแคชแบ็ค (Cash Back) มูลค่า 50,000 บาทจากรัฐบาลหลังโอนกรรมสิทธ์ ต่อที 2 LPN เติมให้อีก 50,000 บาท เมื่อลูกค้าซื้อสินค้าของ LPN และโอนกรรมสิทธิ์ภายในสิ้นปี 2562 รวมมูลค่าระหว่างรัฐบาลและ LPN มูลค่า 100,000 บาท ต่อที่ 3 ลูกค้าได้รับอานิสงค์จากรัฐบาลในมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์จาก 2% เหลือ 0.01 % และลดค่าจดจำนองจาก 1% เหลือ 0.01% โครงการของ LPN ที่เข้าร่วมแคมเปญ ได้แก่ กลุ่มโครงการคอนโดมิเนียม ลุมพินี วิลล์ พระนั่งเกล้า - ริเวอร์วิว ลุมพินี วิลล์ สุขุมวิท 76แบริ่ง – สเตชั่น ลุมพินี สวีท เพชรบุรี – มักกะสัน กลุ่มโครงการบ้านพักอาศัย บ้านลุมพินี ทาวน์วิลล์ รังสิต - คลอง ๒ บ้านลุมพินี ทาวน์วิลล์ ลาดปลาดุก – บางไผ่สเตชั่น บ้านลุมพินี ทาวน์วิลล์ เพิ่มสิน – วัชรพล บ้านลุมพินี ทาวน์วิลล์ ราชพฤกษ์ – ปิ่นเกล้า บ้านลุมพินี ทาวน์พาร์ค ท่าข้าม - พระราม 2 ลุมพินี ทาวน์เพลส พระราม 2 - ท่าข้าม เงื่อนไขของมาตรการ “บ้านดีมีดาวน์” ได้แก่ ผู้เข้าร่วมมาตรการต้องเป็นผู้ที่มีรายได้ไม่เกิน 100,000 บาทต่อเดือน หรือไม่เกิน 1,200,000 บาทต่อปี และเป็นผู้ที่อยู่ในระบบฐานภาษีอากรของกรมสรรพากร จำกัดจำนวนสิทธิ์ ผู้ร่วมโครงการ 100,000 รายแรก ที่ผ่านเกณฑ์ตามแนวทางที่กระทรวงการคลังกำหนด ต้องเป็น “บ้านใหม่” เท่านั้น ระยะเวลาโครงการ ตั้งแต่วันที่ 27 พ.ย. 2562 – 31 มี.ค. 2563 โดยสามารถลงทะเบียนรับสิทธิ์ได้ตั้งแต่วันที่ 11 ธันวาคม 62 เป็นต้นไป โดยผู้สนใจร่วมโครงการ สามารถลงทะเบียนได้ที่ บ้านดีมีดาวน์ ขั้นตอนการเข้าร่วม ขั้นตอนที่ 1 ลงทะเบียนผ่านเว็บ บ้านดีมีดาวน์ โดยกรอกข้อมูลที่เกี่ยวข้องและยินยอมให้มีการนำข้อมูลส่วนบุคคลไปตรวจสอบคุณสมบัติกับกรมการปกครอง กรมสรรพากร NCB และ ITMX ขั้นตอนที่ 2 รอรับ SMS แจ้งผลรอบแรก ผู้ผ่านคุณสมบัติจะได้รับ SMS แจ้งผลการตรวจสอบรอบแรก กรมการปกครอง : มีตัวตนตามฐานข้อมูล กรมสรรพากร : อยู่ในระบบฐานภาษีและมีรายได้ปีละไม่เกิน 1.2 ล้านบาท ขั้นตอนที่ 3 พิจารณาคำขอกู้ สถาบันการเงินพิจารณาคำขอกู้ อนุมัติเงินกู้และดำเนินการจดจำนองให้แล้วเสร็จ โดยคำขอกู้ต้องไม่ผิดวัตถุประสงค์ของมาตรการ และผู้ขอกู้ต้องเป็นผู้ได้รับอนุมัติสินเชื่อและจดจำนองหลังจากวันที่ 27 พฤศจิกายน 2562 ซึ่งเป็นกำหนดเริ่มต้นของโครงการ ขั้นตอนที่ 4 ตรวจสอบข้อมูลกับ NCB และ ITMX ระบบตรวจสอบข้อมูลจากสถาบันการเงินของผู้กู้ร่วมมาตรการกับ NCB และ ITMX วัตถุประสงค์การกู้กับสถาบันการเงิน วันจดจำนองกับ NCB ความถูกต้องของเลขที่ PROMT PAY (ID card เท่านั้น) กับ ITMX ขั้นตอนที่ 5 โอนเงิน 50,000 บาท ธนาคารอาคารสงเคราะห์จะโอนเงินเข้าบัญชี PROMT PAY ที่ผูกกับเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก ของผู้กู้หลัก ขั้นตอนที่ 6 ผู้เข้าร่วมโครงการที่ได้รับสิทธิ์จะได้รับเงินโอน สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. LPN Call Center 02-689-6888 หรือ LPN
“ฮาบิแทท กรุ๊ป” ปั้นโปรเจ็กต์มิกซ์ยูส 4,500 ล้าน พร้อมบุกตลาดลูกค้าต่างชาติ

“ฮาบิแทท กรุ๊ป” ปั้นโปรเจ็กต์มิกซ์ยูส 4,500 ล้าน พร้อมบุกตลาดลูกค้าต่างชาติ

“ฮาบิแทท กรุ๊ป” ชี้ตลาดอสังหาฯเพื่อการลงทุนปี 2563  ยังเติบโตแต่ไม่หวือหวา พร้อมเดินหน้าชูกลยุทธ์ ” ไลฟ์สไตล์ อินเวสเม้นท์” เตรียมเปิดโปรเจ็กต์มิกซ์ยูส 4,500 ล้าน ผนึกพันธมิตร ลีสต์ กรุ๊ป ญี่ปุ่น รุกขยายตลาดใหม่จับลูกค้าต่างชาติเพิ่ม ทั้ง ญี่ปุ่น ไต้หวัน ตะวันออกกลางและยุโรป ทดแทนตลาดจีน และฮ่องกง นายชนินทร์ วานิชวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2563 คาดว่าจะไม่เติบโตจากปีนี้ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโดยรวมน่าจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปี 2562  ซึ่งไม่เอื้ออำนวยต่อการดำเนินธุรกิจ และค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ทำให้กำลังซื้อได้รับผลกระทบ ขณะที่ปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ธนาคารยังคงเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากกว่าระดับปกติ และยังมีปัจจัยเรื่องนโยบายการควบคุมสินเชื่อที่อยู่อาศัย (LTV)   แม้จะมีปัจจัยบวกอยู่บ้างจากการที่รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นตลาด ประกาศลดค่าธรรมเนียมการโอน และการจดจำนองให้เหลือเพียง 0.01% ของราคาประเมินไปจนถึงวันที่ 24 ธันวาคม 2563 และยังมีโครงการบ้านดีมีดาวน์ ขณะที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ แต่ภาพรวมตลาดอสังหาฯ น่าจะอยู่ในภาวะทรงตัว หรือใกล้เคียงกับปี 2562 ปี 63 โอกาสของลูกกค้าเลือกซื้ออสังหาฯ ราคาสุดคุ้ม สำหรับจำนวนโครงการที่อยู่อาศัยเปิดใหม่ คาดว่าจะใกล้เคียงกับปีนี้เช่นกัน โดยโครงการใหม่เปิดที่ออกสู่ตลาดจะเป็นโครงการแนวราบมากกว่าคอนโดมิเนียม ซึ่งโครงการใหม่ที่ดีเวลลอปเปอร์เลือกเปิด เชื่อว่ามีการคัดกรองมาอย่างดีไม่ว่าจะเป็นเรื่องทำเล  ลักษณะโครงการ และราคาที่มีความเหมาะสม เพราะว่ากำลังซื้อในตลาดถึงแม้ยังมีอยู่ แต่มีอยู่ไม่มากนัก เนื่องจากผู้บริโภคยังระมัดระวังในการใช้เงิน เพื่อซื้อที่อยู่อาศัยซึ่งถือเป็นหนี้ผูกพันธ์ในระยะยาว   “อสังหาฯ ประเภทที่อยู่อาศัยยังถือว่าเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยของแต่ละทำเล ถ้ามีทำเลดีและมีราคาที่เหมาะสม แต่หากในบางทำเลก็ยังมีการชะลอตัว จากซัพพลายมีอยู่จำนวนมากจะยังคงซบเซาต่อไป อย่างไรก็ดี ในปี 2563 นี้จะเป็นปีที่ดีของผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อ และมีความต้องการแท้จริงเรื่องที่อยู่อาศัย ซึ่งจะได้รับประโยชน์ และได้เลือกสินค้าที่ดีมีคุณภาพจากการแข่งที่สูงขึ้นของตลาด” สำหรับแนวโน้มภาพรวมตลาดอสังหาฯ เพื่อการลงทุน ในปี 2563 คาดว่าตลาดยังคงเติบโตไปได้ต่อเนื่อง แม้ว่าจะไม่เติบโตสูงเหมือนในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาก็ตาม เนื่องจากแนวโน้มการลงทุนอสังหาฯ ยังเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะได้ผลตอบแทนทั้งค่าเช่าระยะยาว อีกทั้งส่วนต่างมูลค่าสินทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น (Capital gain) ซึ่งหากลงทุนในทำเลที่ดี แตกต่างจากการลงทุนในตลาดหุ้น พันธบัตร กองทุนรวมที่มีความผันผวน และสามารถมีผลตอบแทนติดลบได้ นักลงทุนจึงนิยมลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ เพราะมีความเสี่ยงต่ำ จึงเป็นปัจจัยที่ทำให้ผู้ประกอบการรายใหญ่หลายราย หันมาให้ความสนใจลงทุนโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนเพิ่มมากขึ้น   “คนที่มีเงินสดในมือ ไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือต่างชาติ ก็ยังมีความต้องการลงทุนในอสังหาฯ เมืองไทยอยู่ ถ้าหากมีการนำเสนอโปรดักส์ที่ตอบโจทย์ มีการรันตีผลตอบแทนจากการปล่อยเช่า ซึ่งในปีหน้าเรียกว่าเป็นช่วงจังหวะที่ดีสำหรับผู้ที่มีกำลังทรัพย์ในการซื้ออสังหาฯเพื่อลงทุน เพราะสามารถต่อรองราคาได้มาก แถมได้รับโปรโมชั่นที่ดี เพราะดีเวลลอปเปอร์เองต้องการผลักดันยอดขาย ในปีหน้าจึงถือเป็นตลาดของผู้ซื้ออยู่เอง และซื้อเพื่อลงทุนจริงๆ” เปิดโปรเจ็กต์มิกซ์ยูส 4,500 ล้าน สำหรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของฮาบิแทท กรุ๊ป ในปี 2563 ยังมุ่งเน้นการพัฒนาโครงการเพื่อการลงทุนในรูปแบบไลฟ์สไตล์ อินเวสเม้นท์ (Lifestyle Investment) มากขึ้น โดยปีหน้าจะหันมาโฟกัสการลงทุนในพื้นที่พัทยาเป็นหลัก  เพื่อรองรับการเป็นศูนย์กลางภาคตะวันออก เนื่องจากพัทยาได้ชื่อว่าเป็นเมืองท่องเที่ยวเชิงธุรกิจอันดับต้นๆ ของประเทศไทย ประกอบกับมีกำลังซื้อทั้งจากนักท่องเที่ยวคนไทย และชาวต่างชาติที่เดินทางมาท่องเที่ยวในเมืองพัทยา   โดยคาดว่าพัทยามีการเติบโตอีกมากใน 5 ปีข้างหน้า ส่วนหนึ่งเกิดจากโครงการพัฒนาพื้นที่พิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซี ที่ภาครัฐให้การสนับสนุนและลงทุนในโครงการพื้นฐาน อาทิ โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงที่เชื่อมต่อ 3 สนามบิน  คือ สนามบินดอนเมือง สนามบินสุวรรณภูมิ และสนามบินอู่ตะเภา โครงการขยายสนามบินอู่ตะเภา หรือมอเตอร์เวย์ส่วนต่อขยาย ไประยอง อู่ตะเภา มาบตาพุด ส่งผลให้มีการลงทุนหลั่งไหลเข้ามาในพัทยา ทั้งจากหน่วยงานภาครัฐ ต่างประเทศ และภาคเอกชน มากขึ้น นายชนินทร์ กล่าวอีกว่า ในปีหน้า ฮาบิแทท กรุ๊ป ยังดำเนินการตามแผนเดิมคือ การเปิดตัวโครงการมิกซ์ยูสอีก 1 โครงการ บนทำเลติดทะเลนาจอมเทียน ประกอบไปด้วย คอนโดฯ ซื้อเพื่อลงทุนและคอนโดฯ ซื้อเพื่ออยู่อาศัย และโรงแรมระดับ 5 ดาว มูลค่ากว่า 4,500 ล้านบาท หลังจากที่บริษัทฯได้ลงทุนพัฒนาโครงการในพัทยาไปแล้วทั้งหมด 7 โครงการ มูลค่ารวมทั้งสิ้นกว่า 5,500 ล้านบาท โดยเป็นโครงการที่ได้เปิดให้บริการในรูปแบบของโรงแรมแล้วจำนวน 3 แห่งคือ เดอะ วิลล์ จอมเทียน, ครอสทู ไวบ์ พัทยา ซีเฟียร์, ครอสทู พัทยา โอเชี่ยนเฟียร์ และเตรียมเปิดบริการเพิ่มอีก 2 แห่งในปี 2563 คือ บลูเฟียร์ บีดับเบิลยู พรีเมียร์ คอลเล็คชั่น บาย เบสท์เวสเทิร์น และเบสท์เวสเทิร์น พรีเมียร์ เบย์เฟียร์ พัทยา   ส่วนในกรุงเทพฯ ฮาบิแทท กรุ๊ป ยังเน้นการลงทุนในทำเลซีบีดีอย่าง อโศก พร้อมพงศ์ และทองหล่อ เพราะ “ทำเล” ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการลงทุน ที่สร้างผลตอบแทนสูงให้กับนักลงทุนทั้งผลตอบแทนจากการปล่อยเช่า และแคปปิตอลเกน เฉลี่ยที่ 10% ขึ้นไปเมื่อผ่านไป 3-5 ปี  อย่างไรก็ดีปีหน้าตลาดในกรุงเทพฯ ฮาบิแทท กรุ๊ป จะโฟกัสการทำตลาดและการขายใน 2 โครงการที่ได้เปิดตัวล่าสุด คือโครงการ วาลเด้น ทองหล่อ 8 และวาลเด้น ทองหล่อ 13  โดยทั้ง 2 โครงการเป็น คอนโด ลักชัวรี่โลว์ไรส์ สูง 8 ชั้น ราคาเริ่มต้นที่ 7 ล้านบาท เดินหน้าจับตลาดลูกค้าต่างชาติ นอกจากนี้ในปี 2563 ฮาบิแทท กรุ๊ป ยังมองหาตลาดใหม่ๆ จากเมื่อก่อนที่เน้นเจาะโดยเฉพาะลูกค้าในตลาดจีน และฮ่องกง ซึ่งเป็นตลาดใหญ่มีสัดส่วน 50% ที่เข้ามาซื้ออสังหาฯในไทย แต่ปัจจุบันทั้งสองตลาดมีการชะลอตัวไปมาก จากผลกระทบของภาวะเศรษฐกิจในประเทศ  ซึ่งในปีหน้า ฮาบิแทท กรุ๊ป ที่มีการผนึกกับพันธมิตรอย่าง ลิสต์ กรุ๊ป จากญี่ปุ่น จึงจะเข้าไปขยายตลาดใหม่ เช่น ญี่ปุ่น ไต้หวัน ตะวันออกกลาง และยุโรป เพื่อมาทดแทนตลาดจีน และฮ่องกง พร้อมทั้งมุ่งตอกย้ำรูปแบบพัฒนาโครงการ ไลฟ์สไตล์ อินเวสเม้นท์ มากขึ้น เพื่อสร้างความแตกต่าง ขณะเดียวกัน ก็จะร่วมกับกูรูทางด้านการลงทุน จัดเสวนาให้ความรู้เรื่องการลงทุนให้กับผู้ซื้ออย่างต่อเนื่อง   สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการต่างๆได้ทางเว็บไซต์ของฮาบิแทท กรุ๊ป หรือโทร. 02-168-8266 เฟสบุ๊ค HabitatGroupProperties และไลน์ @habitatgroup อินสตาแกรม habitatgroup.th    
อสังหาฯ 63 ยังน่าห่วง กำลังซื้อมี แต่น้อย แนะบริหารสต็อก-ทำตลาดระมัดระวัง

อสังหาฯ 63 ยังน่าห่วง กำลังซื้อมี แต่น้อย แนะบริหารสต็อก-ทำตลาดระมัดระวัง

ศูนย์ข้อมูลฯ ​ประเมินสถานการณ์ อสังหาฯ หลังรัฐออกมาตรการมากระตุ้นตลาด ประเมินยังติดลบ 2% โดยมีบ้านราคาไม่เกิน 3 ล้าน รอขาย 84,191 ยูนิต พร้อมส่งสัญญาณเตือนปีหน้า ดำเนินธุรกิจอย่างระมัดระวัง-บริหารสต็อกในมืออย่างพอดี แม้กำลังซื้อมีแต่ปริมาณน้อย ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์  เปิดเผยถึงสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัย ไตรมาส 3 ต่อเนื่องไตรมาส 4 ปี 2562 ว่า หลังจากที่รัฐบาลประกาศมาตรการลดภาระให้กับผู้ซื้อที่อยู่อาศัย เพื่อสนับสนุนและบรรเทาภาระให้แก่ประชาชนที่ต้องการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง เหมาะสมกับศักยภาพของประชาชนแต่ละกลุ่ม โดยรัฐบาลจะลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนการโอนกรรมสิทธิ์จากเดิม 2% เหลือ 0.01% และลดค่าจดทะเบียนการจำนองอสังหาริมทรัพย์จากเดิม 1% เหลือ 0.01%  เฉพาะการซื้อขายที่อยู่อาศัยที่ดินพร้อมอาคารหรือห้องชุด ในราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อยูนิต และโครงการ “บ้านดีมีดาวน์” ซึ่งให้การสนับสนุนเงินดาวน์ 50,000 บาท แก่ผู้ซื้อที่อยู่อาศัย มาตรการดังกล่าวส่งผลต่อภาพรวมของตลาดที่อยู่อาศัยปี 2563   โดยเดิมทางศูนย์ข้อมูลฯ ประเมินว่า ตัวเลขการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย จะติดลบถึง 7.7% แต่เมื่อมีมาตรการมากระตุ้นการซื้อขาย และโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยของรัฐบาล จะส่งผลดีทำให้ภาพรวมติดลบเพียง 2.2% หรือลดลง 0.6% จากปี 2561   สำหรับสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัย ในไตรมาส 3 ปี 2562 ยังคงเป็นช่วงเวลาที่ได้รับแรงส่ง หรือแรงสนับสนุนจากมาตรการลดค่าทำเนียมการโอนและค่าธรรมเนียมการจัดจำนอง ซึ่งได้ออกมาตรการมาก่อนหน้านี้ สำหรับบ้านในระดับราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท ซึ่งกลุ่มใหญ่คือโครงการบ้านเอื้ออาทร โครงการที่อยู่อาศัยในภูมิภาค และคอนโดมิเนียมในพื้นที่ปริมณฑล บ้านราคาไม่เกิน 3 ล.รอขาย 84,191 ยูนิต อย่างไรก็ตามสถานการณ์ตลาดในช่วงครึ่งแรกของปี 2562 จำนวนที่อยู่อาศัยเหลือขายภาพรวมทั่วประเทศ ครึ่งแรกปี 2562 มีจำนวนยูนิตเหลือขาย  270,131 ยูนิต ประกอบด้วยโครงการในพื้นที่กรุงเทพฯปริมณฑล 151,993 ยูนิต คิดเป็น 56.3% ของจำนวนที่อยู่อาศัยเหลือขาย และอยู่ในพื้นที่ภูมิภาค 20 จังหวัดหลัก มีจำนวน 118,138 ยูนิต คิดเป็น 43.7%   ขณะที่ที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง และก่อสร้างเสร็จรอการขาย ช่วงเวลาเดียวกันทั่วประเทศ มีจำนวนประมาณ 158,895 ยูนิต เป็นกลุ่มระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท จำนวน 84,191 ยูนิต คิดเป็น  53% ของจำนวนที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างเสร็จและรอการขาย  เป็นคอนโดมิเนียมพักอาศัย 43,597 ยูนิต คิดเป็น 51.8%   โดยในจำนวนดังกล่าว แบ่งเป็นโครงการที่อยู่อาศัยในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล 95,462 ยูนิต เป็นกลุ่ม ราคาไม่เกิน 3.0 ล้านบาท จำนวน 48,465 ยูนิต คิดเป็น 50.8%  โดยเป็นคอนโดมิเนียม 30,873 ยูนิต คิดเป็น 63.7% ขณะที่ในภูมิภาค มีจำนวน 63,433 ยูนิต เป็นกลุ่มระดับราคาไม่เกิน 3.0 ล้านบาท 35,726 ยูนิต เป็น 56.3% เป็นคอนโดมิเนียม 12,724 ยูนิต คิดเป็น 35.6%   ส่วนประมาณการที่อยู่อาศัยเหลือขายทั่วประเทศ ครึ่งหลังปี 2562 จะมีจำนวน  257,969 ยูนิต แบ่งเป็นอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล 149,284 ยูนิต หรือคิดเป็น 56.3% ในพื้นที่ภูมิภาคจำนวน 108,685 ยูนิต คิดเป็น 43.7% บ้านราคาไม่เกิน 1 ล. ช่วยพยุงตลาด 9 เดือนแรก สำหรับสถานการณ์ด้านความต้องการที่อยู่อาศัยในช่วงครึ่งหลังปี 2562 ประเมินจากข้อมูลการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย พบว่าภาพรวมทั่วประเทศในช่วงไตรมาส 3 ปี 2562 มียูนิตการโอนกรรมสิทธิ์จำนวน 101,704 ยูนิต เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา 11.1% มีมูลค่ารวม 227,793 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา 12.4%  ซึ่งเป็นผลส่วนหนึ่งจากการโอนคอนโดมิเนียมราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท ซึ่งมีจำนวนมากถึง 16,179 ยูนิต อยู่ในพื้นที่ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล รวม 13,984 ยูนิต   ขณะที่ภาพโดยรวมมีการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย ทุกประเภททุกระดับราคาในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล รวม 53,936 ยูนิต หรือคิดเป็น  53.0% เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา 10.9% เป็นการโอนกรรมสิทธิ์ในภูมิภาค 47,768 ยูนิต คิดเป็น  47.0% หรือเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา 13.1%   ด้านมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ภาพรวมทั่วประเทศช่วงไตรมาส 3 ปี 2562 มีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ 227,793 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา 12.4% เป็นมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล 146,827 ล้านบาท  คิดเป็น 64.5% โดยเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา 9.6% เป็นการโอนกรรมสิทธิ์ในภูมิภาค 80,966 ล้านบาท คิดเป็น 35.5% เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีแล้ว 17.8% คาดเปิดตัวใหม่ กว่า 112,000 ยูนิต สำหรับอุปทานใหม่ที่จะเข้ามาในตลาดปี 2562 คาดว่าจะมีการปรับตัวในช่วงครึ่งหลังปี 2562 เมื่อพิจารณาจากไตรมาส 3 ปี 2562 ประมาณการว่าจะมีการเปิดขายโครงการใหม่ประมาณ 20,000 ยูนิต ถ้าเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2561ซึ่งมีการเปิดตัวโครงการใหม่ประมาณ 40,000 ยูนิต จะเห็นถึงการปรับตัวลดลงสอดคล้องกับสถานการณ์ตลาดที่ชะลอตัว  และเมื่อพิจารณาจากเส้นค่าเฉลี่ยของการเปิดตัวโครงการใหม่แต่ละไตรมาส จะเห็นว่าค่าเฉลี่ยอยู่ประมาณ 20,000 – 30,000 ยูนิต และคาดการณ์ว่าไตรมาส 4 ปี 2562 จะมีโครงการเปิดขายใหม่ไม่น้อยกว่า  44,000 ยูนิต แสดงว่าเอกชนเริ่มกลับเข้ามามีความมั่นใจอีกครั้ง   ทั้งนี้ จากข้อมูลสำรวจโครงการที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ของศูนย์ข้อมูลฯ  พบว่าในช่วงไตรมาส 3 ปี 2562 ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล มีที่อยู่อาศัยทุกประเภทเปิดขายใหม่จำนวนรวม 20,863 ยูนิต เป็นบ้านจัดสรรเปิดตัวใหม่เพียง 8,879 ยูนิต ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีแล้ว 57.3% ซึ่งเป็นการปิดตัวที่ลดลงอย่างต่อเนื่องมา 3 ไตรมาส ขณะที่มีคอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่ประมาณ 11,984 ยูนิต โดยลดลงจากช่วงเดียวกันของแล้ว 56.5%   โดยประมาณการว่า ปี 2562 ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล จะมีที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ทุกประเภทรวม 112,044 ยูนิต เป็นโครงการบ้านจัดสรรเปิดตัวใหม่เพียง 46,010 ยูนิต โดยลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 24.4% เป็นการเปิดตัวน้อยต่ออย่างเนื่องมา 3 ไตรมาส ส่วนคอนโดมิเนียมมีโครงการเปิดตัวใหม่เพียง 66,034 ยูนิต ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 22.4%  คาดตลาดที่อยู่อาศัยปี 2562 ยังติดลบ 2.2% อย่างไรก็ตามศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ประเมินสถานการณ์ไตรมาส 4 ปี 2562 ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล คาดว่าจะมีการเปิดโครงการใหม่ทั้งบ้านจัดสรรและคอนโดมิเนียมเพิ่มขึ้นมากกว่า 3 ไตรมาสที่ผ่านมาอย่างเห็นได้ชัด โดยคาดว่าโครงการบ้านจัดสรรจะเปิดโครงการใหม่ 14,954 ยูนิต เป็นคอนโดมิเนียม 29,399 ยูนิต โดยคาดว่าจะมีการเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งปี 2562 จำนวน 112,044 ยูนิต ลดลงจากปีที่แล้ว 23.2%   ทั้งนี้ แบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรรจำนวน 46,010 ยูนิต คิดเป็น 41.1% ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว  24.4% เป็นโครงการคอนโดมิเนียม 66,034 ยูนิต คิดเป็น 58.8% ลดลง  22.4% จากช่วงเดียวกันของปี 2561   โดยคาดว่าในช่วงครึ่งหลังของปี 2562 หลังจากได้รับผลบวกจากมาตรการกระตุ้นจากรัฐบาล จะเหลืออุปทานในตลาด 257,969 ยูนิต ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ดีขึ้นกว่าไม่มีมาตรการรองรับ 2.4% และคาดว่าจะมียอดการโอนกรรมสิทธิ์รวมทั่วประเทศจำนวนประมาณ 361,696 ยูนิต เป็นมูลค่ารวม 820,624 ล้านบาท ซึ่งน่าจะลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 2.2% ทิศทางตลาดที่อยู่อาศัย ปี 2563 ทิศทางตลาด ปี 2563 ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ วิเคราะห์ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยโดยคาว่าจะมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องจากปลายปี 2562 แต่จะมีการขยายตัวไม่มากนักโดยจะขยายตัวไม่เกิน 5% โดยโครงการที่อยู่อาศัยใหม่จะมีการเปิดตัวต่อเนื่อง จากช่วงปลายปีรองรับมาตรการรัฐซึ่งคาดว่าจะมีจำนวนใกล้เคียงกับยอดการเปิดตัวในปี 2562   ด้านความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยจะมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยสำคัญคืออัตราดอกเบี้ยขาลง และ มาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาล ทั้งการลดค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์และค่าจดจำนอง รวมถึง “โครงการบ้านดีมีดาวน์” ส่งผลให้อุปทานในตลาดจะถูกทยอยดูดซับ โดยในปี 2563 ผู้ประกอบการยังคงต้องให้ความสำคัญ กับการบริหารสินค้าที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง และที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จรอการขาย (Inventory) เพื่อให้อุปทานไม่ค้างอยู่มากเกินไป ซึ่งภาพรวมทั่วประเทศครึ่งแรกปี 2563 คาดว่าจะมีที่อยู่อาศัยเหลือขายประมาณ 245,371 ยูนิต “ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยยังคงขยายตัวต่อเนื่องจากปลายปีนี้ แสดงว่ามาตรการยังมีผลอยู่ในการกระตุ้น และยังคงขยายตัวต่อเนื่อง แต่ว่ามีการขยายตัวไม่มากนัก” คาดว่าสถานการณ์ขณะนี้ตลาดโดยรวมจะขยายตัวไม่เกิน 5% ในส่วนของโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ก็ยังคงเปิดตัวโดยมีจำนวนใกล้เคียงกับปีที่ 2561 และความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยยังคงมีปัจจัยสำคัญคือเรื่องดอกเบี้ยซึ่งอยู่ในสภาวะดอกเบี้ยขาลง ในส่วนของมาตรการกระตุ้นการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยของรัฐบาลก็ส่งผลให้อุปทานมีการถูกดูดซับออกไป   “ในปี 2563 สิ่งที่ควรให้ความระมัดระวังคือผู้ประกอบการเองยังคงต้องให้ความสำคัญกับการบริหารสินค้าคงเหลือ หรือ Inventory ที่มีอยู่ในมือ โดยให้มีเหลือค้างอยู่ไม่มากจนเกินไป ตลาดปี 2563 ยังคงดำเนินต่อไปได้แต่คงต้องระมัดระวังอย่าปล่อย Supply ออกมาเยอะจนตลาดดูดซับไม่ทัน เพราะว่ากำลังซื้อในตลาดถึงแม้ยังมีอยู่ แต่มีอยู่ไม่มากนัก” ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ กล่าวในตอนท้าย   หาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ โครงการบ้านดีมีดาวน์ 
สรุปข่าวอสังหาฯ รอบสัปดาห์ วันที่ 25-30 พฤศจิกายน 2562

สรุปข่าวอสังหาฯ รอบสัปดาห์ วันที่ 25-30 พฤศจิกายน 2562

เข้าสู่เดือนสุดท้ายของปีอย่างเป็นทางการแล้ว สำหรับเดือนธันวาคม ช่วงเวลาที่จะทำผลงานให้ได้ตามที่ประกาศไว้ตั้งแต่ต้นปี ตอนนี้ผู้ประกอบการจึงโหมทำแคมเปญการตลาดออกมากันอย่างหนัก ในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ มีแคมเปญออกมามากมายสารพัด ยิ่งที่ผ่านมาภาครัฐออกมาตรการมากระตุ้นด้วย ผู้ประกอบการยิ่งต้องสร้างแรงจูงใจให้มากกว่า   ช่วงเวลานี้ จึงถือเป็นช่วงจังหวะที่ดี สำหรับคนที่ได้วางแผนเอาไว้แล้วว่าจะซื้อบ้านหรือคอนโดมิเนียมสักห้อง  แต่ใครยังไม่ได้วางแผนไว้  ได้แต่เล็งหรือคิดเอาไว้บ้าง ต้องลองพิจารณาแคมเปญต่างๆ ดูว่าน่าสนใจแค่ไหน และสำรวจสภาพทางการเงินของตนเองด้วย ว่าพร้อมไหมกับการต้องแบกรับภาระหนี้ ระยะยาว 10-30 ปี  หากได้คำตอบแล้วก็ลุยเลย   ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดอสังหาฯ  จึงถือว่าคักคักพอสมควร ใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไรกันบ้าง ไปอัพเดทกัน   บันยันฯ จับมือ ริชมอนทส์ คริสตี้ส์ฯ ขายโครงการหัวหิน บันยัน ไทยแลนด์ กรุ๊ป ร่วมมือกับ ริชมอนทส์ คริสตี้ส์ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียลเอสเตท เป็นพันธมิตรทำการตลาดและขายโครงการ “บันยัน เรสซิเดนซ์ วิลล่า หัวหิน” วิลล่าระดับไฮเอนด์ ให้ลูกค้าระดับบนที่มองหาบ้านพักตากอากาศหรือที่อยู่อาศัยถาวรสุดเอกซ์คลูซีฟในหัวหิน เมืองท่องเที่ยวที่ยังคงเสน่ห์และศักยภาพการเติบโต โดยความร่วมมือในครั้งนี้ ริชมอนทส์ คริสตี้ส์ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียลเอสเตท จะเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบงานขายและทำการตลาดให้กับโครงการบันยัน เรสซิเดนซ์ วิลล่า หัวหิน   นายเชิ๊ท คว้อนท์ ประธานกรรมการบริหาร บันยัน ไทยแลนด์ กรุ๊ป เปิดเผยว่า ความร่วมมือกับริชมอนทส์ คริสตี้ส์ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียลเอสเตท ในการทำการตลาดโครงการบันยัน เรสซิเดนซ์ วิลล่า หัวหิน ในครั้งนี้ จะช่วยทำให้โครงการเป็นที่รู้จักในวงกว้างและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในระดับบนมากยิ่งขึ้น  ซึ่งโครงการบันยัน เรสซิเดนซ์ วิลล่า หัวหิน เป็นโครงการวิลล่าระดับไฮเอนด์ของบันยัน ไทยแลนด์ กรุ๊ป ซึ่งประกอบธุรกิจบันยัน กอล์ฟ คลับ ที่มีชื่อเสียงมากว่า 10 ปี ที่หัวหิน ทั้งโครงการมีที่ดินสำหรับสร้างบ้านได้จำนวน 102 หลัง ราคาตั้งแต่ 15-80 ล้านบาท   โดยผู้ซื้อสามารถที่จะเลือกแบบวิลล่าจากแบบมาตรฐาน 4 แบบ ที่ทางโครงการมีให้ หรือปรับเปลี่ยนในรูปแบบที่ตนเองต้องการเพิ่มเติม เพื่อปลูกสร้างบนที่ดินขนาดที่เลือกเองเริ่มต้นประมาณ 100 ตารางวา ซึ่งความพิเศษของโครงการบันยัน เรสซิเดนซ์ วิลล่า หัวหิน คือ ทำเลที่ตั้ง ที่อยู่ใกล้ตัวเมืองหัวหิน และชายหาดหัวหิน มีความเป็นส่วนตัว และไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยที่เข้าถึงการพักผ่อนพร้อมวิวทะเลในด้านหน้าและภูเขาในด้านหลังที่สวยงาม ผู้ซื้อวิลล่ายังได้รับสิทธิ์สมัครเป็นสมาชิกบันยัน กอล์ฟ คลับ ในราคาพิเศษสุด  ทางโครงการมีบริการ Concierge คอยดูแลลูกบ้านตลอด 24 ชั่วโมง และการบริการแบบโรงแรม เช่น แม่บ้าน คนดูแลสวน คนดูแลทำความสะอาดสระว่ายน้ำ และกำจัดปลวก (อ่านข่าวเพิ่มเติม) พราว จับมือ อินเตอร์คอนฯ ปั้นโปรเจ็กตลักชัวรี่ พราว เรียล เอสเตท  เปิดตัวโครงการ “อินเตอร์คอนติเนนตัล เรสซิเดนเซส หัวหิน (InterContinental Residences Hua Hin)” ครั้งแรกของโครงการที่พักอาศัยระดับลักชัวรี่  ภายใต้แบรนด์อินเตอร์คอนติเนนตัลในประเทศไทยบนพื้นที่กว่า 7 ไร่ติดชายหาดผืนสุดท้ายใจกลางเมืองหัวหิน บนถนนเพชรเกษม ช่วงซอยหัวหิน 71 (ตรงข้ามศูนย์การค้า Market Village) ซึ่งถือเป็นสถิติราคาที่ดินสูงสุดของหัวหิน ด้วยราคาที่มากกว่า 150 ล้านบาทต่อไร่ เพื่อมอบประสบการณ์การพักอาศัยที่เหนือระดับพรั่งพร้อมด้วยบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกครบวงจรแบบโรงแรม ด้วยมาตรฐานระดับโลกในแบบฉบับของอินเตอร์คอนติเนนตัล พร้อมแต่งตั้ง ซีบีอาร์อี บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ระดับสากล ให้เป็นตัวแทนการขายของโครงการอย่างเป็นทางการ   นางสาวพราวพุธ ลิปตพัลลภ กรรมการบริหาร  บริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การพัฒนาโครงการ “อินเตอร์คอนติเนนตัล เรสซิเดนเซส หัวหิน” เป็นการต่อยอดความร่วมมือกับ อินเตอร์คอนติเนนตัล โฮเทล กรุ๊ป (ไอเอชจี) และยังเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ในการพัฒนาโครงการที่พักอาศัย ระดับลักชัวรี่ ภายใต้  แบรนด์อินเตอร์คอนติเนนตัล เรสซิเดนเซส ซึ่งเป็นแบรนด์เอ็กซ์คลูซีฟที่มีเพียงไม่กี่แห่งในมหานครชั้นนำของโลกเท่านั้น เช่น บอสตัน ดูไบ ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นที่อินเตอร์คอนติเนนตัล โฮเต็ล กรุ๊ป มีต่อพราว เรียล เอสเตท และสถานะของหัวหินในการเป็นเมืองท่องเที่ยวชั้นนำ  ซึ่งโครงการอินเตอร์คอนติเนนตัล เรสซิเดนเซส หัวหิน ถือว่าเป็นต้นแบบของการพัฒนาโครงการที่เป็นมากกว่าที่อยู่อาศัย ตามแนวคิด “More than just living”   ทายาทตัน ภาสกรนที เปิดตัว T-ONE อาคารสำนักงานเกรด A   "วริษา ภาสกรนที"  ทายาท "ตัน ภาสกรนที" ได้ฤกษ์เปิดอาคาร T-ONE อาคารสำนักงานและพื้นที่ Co Working Space เกรดเอแห่งเดียวในทำเลทองหล่อ-สุขุมวิท หลังมีผู้เช่าครบ 100% ภายใน 3 เดือน   นางสาววริษา ภาสกรนที กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทีวัน บิวดิ้ง จำกัด บริษัท ทีวัน บิวดิ้ง จำกัด เปิดเผยว่า ได้เปิดตัว “อาคาร T-One” อาคารสำนักงานเกรด A ขนาด 43,700 ตารางเมตร มูลค่าการลงทุน 3,500 ล้านบาทมีความสูง 47 ชั้น แบ่งเป็นส่วนพื้นที่สำนักงาน   Co-working space  ร้านอาหาร ฟิตเนสเซ็นเตอร์ และพื้นที่ส่วนกลาง  ชูจุดเด่นเป็นอาคารสำนักงานสำหรับธุรกิจด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม และธุรกิจคลื่นลูกใหม่ทั้งระดับประเทศ และระดับโลก อาทิ Tencent, Joox, WeWork, Wongnai, Sanook, Etigo, Zelingo, Shiseido รวมทั้งสำนักงานใหญ่ของอิชิตัน กรุ๊ป   โดยอาคารดังกล่าวตั้งอยู่ใจกลางเมืองบริเวณ ทองหล่อ - สุขุมวิท 40 ที่มาพร้อมการคมนาคมสะดวกทุกรูปแบบ เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้า บีทีเอส สถานีทองหล่อ และเข้าออกได้ทั้งถนนสุขุมวิทและถนนพระราม 4 กับสถาปัตยกรรมแบบทวิสต์ที่สวยงามไม่ซ้ำใครจนชนะรางวัลด้านการออกแบบจาก BCI Top 10 Architects 2017 Thailand และ Asia Pacific Property Award Architecture พรั่งพร้อมด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัยในการบริหารจัดการอาคารอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ตรงความต้องการของนักธุรกิจรุ่นใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์แบบ Work Hard, Play Harder (อ่านข่าวเพิ่มเติม)   บลูฮิลล์ เปิดตัว "อากาศ วิลล่า เขาใหญ่" บลูฮิลล์ เขาใหญ่ ลุยตลาดนิชพรีเมียมรับปีใหม่ เปิดตัว อากาศ วิลล่า เขาใหญ่ คอนโดมิเนียมกึ่งวิลล่าสไตล์ Thai Modern Loft  มูลค่าโครงการกว่า 380 ล้านบาท  เพียง 23 ยูนิต บนทำเลใกล้กรุงเทพฯ ริมถนนผ่านศึก-กุดคล้า เดินทางสะดวกจากกรุงเทพฯ เพียง 2.30 ชั่วโมง คอนโดฯ ตกแต่งพร้อมอยู่ ขนาดเริ่มต้น 130 ตารางเมตร ในราคาเริ่มต้น 13.2 ล้านบาท  หรือประมาณ 92,000 บาทต่อตารางเมตร   นางสุพิณดา แท่นเพ็ชร์รัตน์ กรรมการบริหาร บริษัท บลูฮิลล์ เขาใหญ่ จำกัด เปิดเผยว่า หลังประสบความสำเร็จกับการเปิดตัวคอนโดโลว์ไรส์ ภายใต้แบรนด์ “อากาศ เขาใหญ่” บริษัทพร้อมเปิดโครงการใหม่ล่าสุด “อากาศ วิลล่า เขาใหญ่” มูลค่าโครงการกว่า 380 ล้านบาท ชูไฮไลท์ คอนโดมิเนียมสไตล์วิลล่า 1 และ 2 ชั้น 3 อาคาร สุดเอ็กซ์คลูซีฟเพียง 23 ยูนิต ทุกห้องหันหน้ารับวิวทิวเขาสลับซับซ้อนแบบพาโนราม่า บนพื้นที่กว่า 4 ไร่ ตอบโจทย์ชีวิตที่อยากใกล้ชิดธรรมชาติมากขึ้น เปิดรับความสดชื่นของธรรมชาติเข้ามาแทนที่ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าในชีวิตประจำวัน   โครงการ อากาศ วิลล่า เขาใหญ่ วิลล่าสไตล์ Thai Modern Loft   ตกแต่งพร้อมอยู่จำนวน 23 ยูนิต แบ่งเป็น 2 ประเภทได้แก่ 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ ขนาด  130 - 145 ตารางเมตร จำนวน 12 ยูนิต และ 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ ขนาด 145 - 195 ตารางเมตร จำนวน 11 ยูนิต (อ่านข่าวเพิ่มเติม)        
บลูฮิลล์ ปั้นโปรเจ็กต์ “อากาศ วิลล่า เขาใหญ่” 380 ล้าน รับดีมานด์ตลาด 2 ห้องนอน

บลูฮิลล์ ปั้นโปรเจ็กต์ “อากาศ วิลล่า เขาใหญ่” 380 ล้าน รับดีมานด์ตลาด 2 ห้องนอน

บลูฮิลล์ เขาใหญ่ เดินหน้าปั้นโปรเจ็กต์ “อากาศ เขาใหญ่” เฟส 2 หลังได้รับกระแสตอบรับดีในเฟสแรก ยอดขายพุ่ง 99% ขึ้นโครงการ อากาศ วิลล่า เขาใหญ่ 380 ล้าน ตอบสนองความต้องการลูกค้าอยากได้ห้องขนาดใหญ่   บลูฮิลล์ เปิดโปรเจ็กต์ใหม่ “อากาศ วิลล่า เขาใหญ่” นางสุพิณดา แท่นเพ็ชร์รัตน์ กรรมการบริหาร บริษัท บลูฮิลล์ เขาใหญ่ จำกัด เปิดเผยว่า  ได้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม ภายใต้แบรนด์ อากาศ เขาใหญ่ ต่อเนื่องเป็นเฟสที่ 2 ภายใต้ โครงการใหม่ “อากาศ วิลล่า เขาใหญ่”มูลค่าโครงการกว่า 380 ล้านบาท หลังจากประสบความสำเร็จกับโครงการในเฟสแรก จึงได้พัฒนาโครงการต่อเนื่อง เพราะมีความต้องการห้องชุดพักอาศัยขนาดใหญ่  โดยเฉพาะห้องชุดขนาด 2 ห้องนอน พื้นที่ตั้งแต่ 90 ตารางเมตรขึ้นไป แต่โครงการในเฟสแรกเหลือห้องชุดเฉพาะห้องขนาด 1 ห้องนอน “โครงการเฟสแรก 2 ห้องนอนขายหมดแล้ว แต่ลูกค้ายังมีความต้องการ เพราะลูกค้าส่วนใหญ่ที่เดินทางมาเขาใหญ่ จะเป็นกลุ่มครอบครัว” สำหรับโครงการแรก คือ "อากาศ เขาใหญ่" เป็นโครงการคอนโดฯ พักอาศัยแบบโลว์ไรส์ 7 ชั้น 2 อาคาร จำนวน 83 ยูนิต มูลค่าโครงการกว่า 800 ล้านบาท มียอดขายแล้ว 99% ปัจจุบันยังเหลือห้องชุดอีก 6 ยูนิต ขนาดพื้นที่ประมาณ 50 ตารางเมตร ราคา 5 ล้านบนาท  ซึ่งถือว่าในเฟสแรกได้รับการตอบรับที่ดี กลุ่มผู้ซื้อส่วนใหญ่จะเป็นนักธุรกิจ และเจ้าของกิจการ โดยซื้อด้วยเงินสดถึง 60%   ส่วนโครงการล่าสุด พัฒนาเป็นคอนโดฯ โลวไรส์ 3 อาคาร ตกแต่งพร้อมอยู่จำนวน 23 ยูนิต บนเนื้อที่กว่า 4 ไร่ แบ่งเป็น 2 ประเภทได้แก่ 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ ขนาด  130 - 145 ตารางเมตร จำนวน 12 ยูนิต และ 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ ขนาด 145 - 195 ตารางเมตร จำนวน 11 ยูนิต  ราคาเริ่มต้น 13.2 ล้านบาท หรือประมาณ 92,000 บาทต่อตารางเมตร  ซึ่งจะเริ่มก่อสร้างในปี 2563 และคาดว่าสามารถเข้าอยู่ได้ในปี 2564 ซึ่งบริษัทคาดว่าในไตรมาสแรกของปี 2563 จะสามารถทำยอดขายได้  60% “อากาศ วิลล่า เขาใหญ่” ชูจุดเด่นวิวพาโนรามา นางสุพิณดา กล่าวอีกว่า การพัฒนาโครงการ อากาศ วิลล่า เขาใหญ่ ได้มีบริษัท สถาปนิก 49 จำกัด มาเป็นผู้ออกแบบ ในรูปแบบ Thai Modern Loft  ที่คำนึงถึงรายละเอียดของการอยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของทิศทางของสายลม และรูปแบบดีไซน์สอดคล้องไปกับภูมิประเทศที่เป็นเขา การออกแบบให้เห็นวิวภูเขาได้แบบพาโนรามา  ส่วนที่ตั้งโครงการอยู่ริมถนน ผ่านศึก-กุดคล้า ใกล้แหล่งท่องเที่ยวของเขาใหญ่ เดินทางไป-กลับกรุงเทพฯ ได้สะดวก โดยเฉพาะมอเตอร์เวย์สายบางปะอิน-โคราชซึ่งจะเปิดให้บริการในปี 2563 นี้​​ “คอนโดฯ ในเขาใหญ่ สไตล์อาคารขนาด 1-2 ชั้น เหมือนกับที่บริษัทพัฒนาไม่มีในท้องตลาด และโลเกชั่นของโครงการที่สามารถเห็นเขาใหญ่แบบพาโนรามาก็แทบจะไม่มีเช่นกัน” คอนโดฯ เขาใหญ่ ต้อง 2 ห้องนอน สำหรับภาพรวมตลาดคอนโดฯ โดยเฉพาะโซนเขาใหญ่ ในช่วงปี 2562 จนถึงปี 2563 คาดว่ายอดขายน่าจะชะลอตัว จากปริมาณคอนโดฯ ที่คงเหลืออยู่ในตลาดพอสมควร โดยเฉพาะอาคารชุดขนาด 1 นอน แต่คาดว่าจะมีแนวโน้มดีขึ้น และจะมีความต้องการเพิ่มขึ้น เมื่อมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรถไฟความเร็วสูง รถไฟรางคู่ ทางด่วนพิเศษ หรือมอเตอร์เวย์ ที่จะส่งผลทำให้เกิดความต้องการเพิ่มขึ้น ทำให้ราคาที่ดินพุ่งสูงขึ้น  ส่วนความต้องการคอนโดฯ ขนาด 2 ห้องนอนยังคงมีอยู่ค่อนข้างมาก   โดยที่ผ่านมาทางศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ได้จัดทำรายงานสรุปผลการสำรวจโครงการที่อยู่อาศัยในจังหวัดนครราชสีมา ที่อยู่ระหว่างการขายในช่วงครึ่งหลังปี 2561 ครอบคลุมพื้นที่อำเภอเมืองนครราชสีมา และอำเภอปากช่องมีจำนวน 139  โครงการ มียูนิตในผังของทุกโครงการรวมกัน 16,882 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 77,338 ล้านบาท มียูนิตเหลือขายหรือเป็นอุปทานในตลาด 6,939 ยูนิต หรือ  41.1% ของยูนิตในผังโครงการบ้านจัดสรรทั้งหมด คิดเป็นมูลค่ายูนิตเหลือขาย 32,840 ล้านบาท ซึ่งหนึ่งในทำเลขายดีของคอนโดฯ ในจังหวัดนครราชสีมา คือ  ทำเลเขาใหญ่ ขายได้ 73.9% มูลค่าที่ขายได้ 7,100 ล้านบาท  แสดงให้เห็นว่าตลาดอสังหาฯ เขาใหญ่ก็ยังคงเติบโตไปได้อย่างต่อเนื่อง (อ่านรายละเอียดข่าวเพิ่มเติม)    
[PR News] เมเจอร์ฯ ขนคอนโดฯ 13 โครงการ จัดแคมเปญให้มากกว่ามาตรการรัฐ

[PR News] เมเจอร์ฯ ขนคอนโดฯ 13 โครงการ จัดแคมเปญให้มากกว่ามาตรการรัฐ

“เมเจอร์” ขนคอนโดฯ 13 โครงการ 5 โซน จัดแคมเปญ “เมเจอร์ฯ ฉีกกฎ ลดสูงสุด 5 ล้าน ฟรี 5 รายการ” กระตุ้นตลาดเรียลดีมานด์ ให้คนไทยมีที่อยู่อาศัย หนุนมาตรการภาครัฐ   นางสาวเพชรลดา พูลวรลักษณ์ กรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากการที่รัฐบาลได้ออกมาตรการต่างๆ เพื่อกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ บริษัทจึงได้ร่วมสนับสนุนมาตรการดังกล่าว ด้วยการจัดแคมเปญเพื่อให้กลุ่มลูกค้าเรียลดีมานด์ ได้ซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง ด้วยการจัดแคมเปญการตลาด “เมเจอร์ฯ ฉีกกฎ ลดสูงสุด 5 ล้าน ฟรี 5 รายการ” ด้วยการนำโครงการคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ 13 โครงการ ใน 5 โซน ในราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 2.75 – 18.5 ล้านบาท จนถึงเดือนธันวาคมนี้ “แคมเปญดังกล่าวถือว่าบริษัทได้ให้สิทธิพิเศษมากกว่ามาตรการรัฐ จะเป็นโอกาสที่ดีที่ให้ผู้บริโภคได้มีโอกาสเลือกซื้อคอนโดมิเนียมที่มีคุณภาพ บนทำเลดีใจกลางเมืองใกล้รถไฟฟ้าและศูนย์การค้าชั้นนำ ในราคาที่ดีที่สุด” สำหรับ 5 โซนของโครงการคอนโดฯ​ ที่ได้นำมาร่วมรายการครั้งนี้  ได้แก่ โซน CBD, New CBD, ราชเทวี-อนุสาวรีย์ชัยฯ, จตุจักร และพัทยา ส่วนโปรโมชั่นที่บริษัทได้มอบให้ลูกค้าโดยไม่ต้องจ่ายเพิ่ม ได้แก่ ค่าจดจำนอง ค่าโอนกรรมสิทธิ์ ค่าส่วนกลาง กองทุนและประกันมิเตอร์ไฟฟ้า นอกจากนี้ ยังมอบส่วนลดสูงสุดถึง 5 ล้านบาท โดย 13 โครงการ  5 โซน ที่ร่วมจัดแคมเปญในครั้งนี้ ประกอบด้วย โซน CBD ได้แก่ โครงการมาเอสโตร 01 สาทร – เย็นอากาศ เพียง 5 นาทีสู่ย่านธุรกิจ ใกล้ BTS ศาลาแดง และ MRT ลุมพินี ราคาเริ่มต้น 4.79 ล้านบาท, มาเอสโตร 02 ร่วมฤดี คอนโดใจกลางร่วมฤดี 2 ห้องนอน ราคาเริ่มต้น 8.5 ล้านบาท, มาเอสโตร 39 สุขุมวิท 39  เพียง 4 นาที สู่ BTS พร้อมพงษ์ 2 ห้องนอน ราคาเริ่มต้น 7.8 ล้านบาท, เอ็ม สีลม ยูนิตน้อยเป็นส่วนตัว ใกล้ BTS ช่องนนทรี ราคาเริ่มต้น 16 ล้านบาท, เอ็ม ทองหล่อ ใช้ชีวิตใจกลางเมือง ใกล้ BTS ทองหล่อ เอกมัย ราคาเริ่มต้น 4.79 ล้านบาท                                                                                                                                โซน New CBD ได้แก่ โครงการมาเอสโตร 03 เพียง 5 นาทีสู่เซ็นทรัลพลาซา แกรนด์ พระราม 9 ใกล้ MRT พระราม 9 ราคาเริ่มต้นที่ 3.3 ล้านบาท, มาเอสโตร 19 ใกล้ MRT รัชดา สะดวกเชื่อมต่อ 3 เส้นทาง รัชดาฯ วิภาฯ ลาดพร้าว ราคาเริ่มต้นที่ 2.75 ล้านบาท, เมทริส พระราม9 – รามคำแหง คอนโดใหม่ พร้อมเข้าอยู่ธ.ค. 62 ติดทั้งถนนรามคำแหงและพระราม 9 ราคาเริ่มต้น 2.9 ล้านบาท โซนราชเทวี – อนุสาวรีย์ชัยฯ ได้แก่ โครงการมาเอสโตร 07 อนุสาวรีย์ชัยฯ เพียง 80 ม. BTS Skywalk อนุเสาวรีย์ฯ 3 นาที สู่ BTS อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ 2 ห้องนอน ราคาเริ่มต้น 9.2 ล้านบาท, มาเอสโตร 12 ราชเทวี ติดถนนเพชรบุรี ใกล้ BTS ราชเทวี 2 ห้องนอน ราคาเริ่มต้น 9.9 ล้านบาท, มาเอสโตร 14 สยาม –ราชเทวี เพียง 4 นาที สู่สยามฯ 300 ม. สู่ BTS ราชเทวี ราคาเริ่มต้น 3.99 ล้านบาท   โซนจตุจักร ได้แก่ โครงการเอ็ม จตุจักร คอนโดที่ให้ส่วนกลางกว่า 2 ไร่ ใกล้ BTS สะพานควาย ราคาเริ่มต้น 3.69 ล้านบาท และสุดท้ายโซนพัทยา กับ รีเฟล็คชั่น จอมเทียน บีช พัทยา คอนโดหรู วิวทะเล 180 องศา ทุกห้อง ราคาเริ่มต้น 18.5 ล้านบาท เป็นต้น   รายละเอียดเพิ่มเติมทุกโครงการจาก เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์  
จับตาทำเลสาทร-จันทน์-เย็นอากาศ แหล่งรวมออฟฟิศ คอนโดไฮเอนด์

จับตาทำเลสาทร-จันทน์-เย็นอากาศ แหล่งรวมออฟฟิศ คอนโดไฮเอนด์

ทำเล CBD ของกรุงเทพฯ อย่างย่านสาทร ยังคงเป็นแหล่งรวมอาคารสำนักงาน ซึ่งเป็นที่ตั้งของบริษัทชั้นนำ รวมถึงคอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์ และสถานที่สำคัญอีกจำนวนมาก แม้ว่าปัจจุบันทำเล New CBD ขยายออกไปหลายพื้นที่ แต่ย่านสาทรยังคงมีอัตราการดูดซับไม่เคยลดลง และสูงกว่าภาพรวมของตลาดอย่างมีนัยสำคัญ ภาพรวมตลาดอาคารสำนักงานย่านสาทร นายธีระวิทย์ ลิ้มทองสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส เรียลเอสเตท แอ็ดไวเซอรี่ จำกัด เผยว่า ทำเลย่านสาทร ถือเป็นศูนย์รวมของอาคารสำนักงานที่มีทั้งบริษัทสัญชาติไทยจากทั่วประเทศ และบริษัทชั้นนำระดับโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ธนาคารและบริษัทการเงินจากหลากหลายประเทศ ทำให้สาทรยังคงเป็นย่านที่มีอัตราการเช่าสูงถึง 97% ส่งผลถึงราคาค่าเช่าสูงขึ้นทุกปีเฉลี่ย 4-5% ต่อปี โดยต่อเดือนอาคารสำนักงานเกรดเอมีค่าเช่าเฉลี่ย 920 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน ในบางอาคารพุ่งสูงสุดต่อเดือนกว่า 1,000 บาทต่อตารางเมตร  ตลาดอาคารสำนักงานยังคงมีความต้องการเช่าเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอาคารสำนักงานเกรดเอ อุปทานในปัจจุบันมีอยู่อย่างจำกัด ทำให้มีการพัฒนาโครงการอาคารสำนักงานใหม่ รวมถึงโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ออกมารองรับ ซึ่งขยายออกไปในทำเลรอบๆ อย่างย่านสีลม พระราม 4 อาทิ โครงการโครนอส บนถนนสาทร โครงการดุสิต เซ็นทรัล ปาร์ค บนที่ดินโรงแรมดุสิตธานีเดิม โครงการสีลม สแควร์ ในบริเวณอาคารสีบุญเรืองเดิม โครงการวัน แบงค็อก บริเวณหัวมุมถนนพระรามที่ 4 และโครงการสถานีแม่น้ำของร.ฟ.ท. ริมแม่น้ำเจ้าพระยาล้อมรอบด้วยถนนพระราม 3 เป็นต้น อีกทั้งยังมีโครงการรถไฟฟ้าสายสีเทาผ่านถนนสาทร ถนนนราธิวาส ถนนพระราม 3 ซึ่งขณะนี้กำลังศึกษาความเป็นไปได้ และจัดทำรายงานการวิเคราะห์ทำเลดังกล่าวผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) โดยจะสามารถก่อสร้าง ได้ประมาณปี 2564 เหล่านี้ยิ่งส่งผลให้ทำเลในย่านนี้ได้รับอานิสงส์ไปด้วย และทำให้ตลาดอาคารสำนักงานยิ่งมีความคึกคัก และเป็นการขยายแหล่งงานไปด้วย           ภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมใจกลางเมือง-สาทร ด้านนางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด เผยว่า ภาพรวมของตลาดคอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์ทำเลใจกลางเมืองในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมานี้ มีอุปทานสะสมทั้งหมด 93,122 ยูนิต เป็นอุปทานที่เกิดขึ้นใหม่จำนวน 3,262 ยูนิต โดยมีราคาเฉลี่ยประมาณ 233,200 บาทต่อตารางเมตร ถือว่าจำนวนลดลงเมื่อเทียบกับหลายปีที่ผ่านมา เหตุเพราะผู้พัฒนาโครงการมีความระมัดระวังในการเปิดโครงการใหม่มากขึ้น ประกอบกับมุ่งเน้นกลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงเป็นหลัก ส่งผลให้สินค้าที่ออกมาใหม่ในตลาดมีคุณภาพดี อยู่ในทำเลที่น่าสนใจยิ่งขึ้น ซึ่งถือเป็นผลดีต่อตลาด เพราะทำให้ห้องชุดที่เปิดใหม่สามารถขายได้เร็วขึ้น สำหรับภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมเฉพาะย่านสาทรมีจำนวนทั้งสิ้น 22,255 ยูนิต จากทั้งหมด 48 โครงการ มีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 214,400 บาทต่อตารางเมตร มียอดขายรวม 84% สูงกว่ายอดขายรวมของตลาดถึง 2% โดยยอดขายเฉลี่ยรวมของตลาดอยู่ที่ 82%   สาเหตุที่ทำให้ สาทร-จันทน์-เย็นอากาศ ยังคงมีเสน่ห์ และความน่าสนใจนั้น เนื่องจากเป็นทำเลที่ถือเป็นย่านชุมชนเก่า แต่ยังอยู่ท่ามกลางความสะดวกสบายทั้งในเรื่องของสิ่งอำนวยความสะดวก ไม่ว่าจะเป็นแหล่งธุรกิจใจกลางเมือง โรงเรียน โรงพยาบาล ศูนย์การค้า ร้านอาหาร รวมถึงการเดินทางที่ใกล้ทางด่วน และรถไฟฟ้า   ข้อมูลเพิ่มเติมของบริษัท Nexus อ่านข่าวอื่นๆ ของ Nexus เพิ่มเติมได้ที่ Reviewyourliving  
สรุปข่าวอสังหาฯ รอบสัปดาห์ วันที่ 18-24 พฤศจิกายน 2562

สรุปข่าวอสังหาฯ รอบสัปดาห์ วันที่ 18-24 พฤศจิกายน 2562

อาทิตย์สุดท้ายของเดือนพฤศจิกายน  กำลังจะผ่านพ้นไปแล้ว  และเรากำลังก้าวเข้าสู่เดือนสุดท้ายของปี  2562 ช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองและการเตรียมตัวเริ่มต้นปีใหม่  ที่เชื่อว่าหลายคนคงอยากจะเริ่มต้นกับวันใหม่  ปีใหม่  เพราะปีที่ผ่านมาอาจทำอะไรไม่ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้   สำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ปีนี้ก็ถือว่าเป็นปีที่ยากลำบากปีหนึ่ง เพราะเจอกับปัจจัยลบหลายเรื่อง เหลือเวลาอีกเดือนเดียวจะทำผลงานได้ตามเป้าหมายหรือไม่  คงลุ้นกันน่าดู เดือนธันวาคมคงเป็นช่วงเวลาสุดท้าย  ที่จะโหมแรงทำการตลาดกันสุดฤทธิ์ ได้ตามตามเป้าหมายหรือไม่ค่อนมาว่ากันอีกที   ส่วนรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาวงการอสังหาฯ ใคร ทำอะไร ที่ไหน  อย่างไร  มาหาคำตอบกัน   พฤกษา รุกหนักคอนโด เปิด 3 โปรเจ็กต์ “The Tree"  นายปิยะ ประยงค์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท – แวลู  บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในครึ่งปีหลัง 2562 บริษัทมีการปรับกลุทธ์การเปิดขายโครงการคอนโดมิเนียม โดยเน้นโครงการที่เป็น Best in Class เจาะกลุ่มลูกค้าระดับกลางที่มีกำลังซื้อและมีศักยภาพในท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ในทำเลใกล้รถไฟฟ้าและมีดีมานด์รองรับ  โดยในไตรมาส 4 จะเปิดคอนโดมิเนียมอีก 3 โครงการ ได้แก่ The Tree พัฒนาการ-เอกมัย, The Tree Victory Monument และ The Tree พระราม 4-สุขุมวิท มูลค่ารวม 5,100 ล้านบาท   โดยโครงการ “The Tree Victory Monument”  ถือเป็นโครงการ Highlight ของแบรนด์ The Tree โครงการแรกในระดับลักชัวรี่ มีการปรับโฉมที่ทำห้องฝ้าเพดานสูง 4.4 เมตร และ ห้อง Duplex ฝ้าเพดานสูง 4.9 เมตร ในราคาที่แข่งขันได้ (อ่านข่าวเพิ่มเติม) ชาญอิสสระ เปิดตัว "ดิ อิสสระ สาทร" นายสงกรานต์ อิสสระ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึง ภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมในปัจจุบันนี้ว่า คอนโดมิเนียมที่มีทำเลอยู่ในย่านกลางเมืองและชานเมืองยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับตลาดกลุ่มลูกค้าระดับบน ซึ่งถือเป็นกลุ่มลูกค้าเรียลดีมานด์ยังมีความต้องการหาสินค้าที่มีคุณภาพมาตอบโจทย์การอยู่อาศัย ทั้งนี้เพื่อเป็นการตอบโจทย์ความต้องการของคนเมืองที่มองหาคอนโดมิเนียมในย่านกลางเมือง พร้อมต้องการหลีกหนีความวุ่นวาย   ล่าสุด บริษัทได้เปิดตัวลักชัวรี่คอนโด “ดิ อิสสระ สาทร” (The Issara Sathorn) ย่านถนนจันทน์-สาทร เป็นโครงการคอนโดมิเนียมสูง 37 ชั้น จำนวน 270 ยูนิต มูลค่าโครงการกว่า 2,400 ล้านบาท เริ่มก่อสร้างในปีหน้า และคาดว่าโครงการจะแล้วเสร็จประมาณปี 2565 ราคาเริ่มต้น 4.88 ล้านบาท ตั้งอยู่บนพื้นที่ประมาณ 1-2-60 ไร่ บริเวณถนนจันทน์-สาทร มีขนาดพื้นที่ห้องเริ่มต้น 32.75-188 ตารางเมตร  มีห้องให้เลือกถึง 4 รูปแบบ ได้แก่ ห้องแบบ 1 ห้องนอน, ห้องแบบ 2 ห้องนอน, ห้องแบบ 3 ห้องนอน และเพนท์เฮ้าส์ 3-4 ห้องนอน   “มั่นคงฯ” เปิดตัวสำนักงานใหม่บนถนนสุรวงศ์ นายวรสิทธิ์ โภคาชัยพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) หรือ MK  เปิดเผยว่า ได้ย้ายสำนักงานใหม่มาที่ถนนสุรวงค์  เนื่องกจากสถานที่เดิมได้ครบสัญญาเช่า 30 ปี  จึงได้ย้ายสำนักงานใหม่ด้วยการลงทุน 250 ล้านบาท เช่าที่ดินย่านสุรวงศ์ ก่อสร้างอาคารขนาด 8 ชั้น ชูแนวคิด Wellbeing ภายใต้คอนเซปต์ Workplace Wellbeing   โดยภายในอาคาร บริเวณชั้น G เป็นพื้นที่ Co-Wellnest  ซึ่งพนักงานสามารถใช้พื้นที่ในการ Sharing ความรู้ต่างๆ นอกจากนี้ยังเปิดให้บุคคลภายนอกเข้ามาใช้บริการได้, ชั้น P1 - P2ชั้นจอดรถ, ชั้น 5 ชั้นฟิตเนสให้พนักงานได้ออกกำลังกาย มีทั้งห้องโยคะและห้องกายภาพ, ชั้น 6, 7, 8 คือส่วนของสำนักงาน โดยที่ชั้น 8 จะมีในส่วนของห้องอาหาร (Canteen) สำหรับพนักงานด้วย และชั้นดาดฟ้า ที่จัดให้เป็น “Rooftop Organic Farm” ให้ผู้บริหารและพนักงานได้ร่วมกันปลูกผัก-ผลไม้ออร์แกนิค สำหรับไว้รับประทานอีกทั้งเพื่อให้พนักงาน ได้เรียนรู้ถึงความสำคัญของที่มาที่ไปของอาหาร   “แสนสิริ” เผยโฉม “KHUN by YOO inspired by Starck”   นายปิติ จารุกำจร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโสฝ่ายพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมและบริหารกลยุทธ์ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทได้เปิดตัวโครงการ “KHUN by YOO inspired by Starck” (คุณ บาย ยู อินสไปร์ บาย สตาร์ค)” ภายใต้บริษัทร่วมทุนกับ บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ ซึ่งได้ก่อสร้างแล้วเสร็จ 100% มูลค่ารวม 4,400 ล้านบาท ซึ่งเป็น 1st Design Branded Residence ระดับลักซ์ชัวรี่ใน Sansiri Luxury Collection ภายใต้ความร่วมมือกับ YOO Studio แบรนด์ดีไซน์สตูดิโอระดับโลกอย่างเต็มรูปแบบแห่งแรกในประเทศไทย  ปัจจุบันมียอดขายแล้วเกือบ 70% หรือคิดเป็นมูลค่า 2,800 ล้านบาท   นายปิติ กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการนี้เป็น 1 ในเพียงแค่ 36 โปรเจ็กต์ทั่วโลกที่ฟิลิปป์ สตาร์ค ร่วมรังสรรค์ ด้วยจำนวนจำกัดเพียง 148 ยูนิต   มาตรฐานทั่วไปที่มีในตลาด จึงถือเป็นอสังหาฯ ที่มีศักยภาพสูงมากในการลงทุนแบบ Passion Investment  ซึ่งโครงการ KHUN by YOO inspired by Starck ก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ 100% พร้อมโอนกรรมสิทธ์แล้วตั้งแต่วันนี้ ราคาเริ่มต้นที่ 18.9 ล้านบาท  ปัจจุบัน Sansiri Luxury collection คอลเลคชั่น สร้างยอดขายรวมแล้วกว่า 17,700 ล้านบาท ได้แก่ 98 Wireless ซึ่งปัจจุบันเหลือเพียงจำนวน 3 ยูนิต, บ้านแสนสิริ พัฒนาการเหลือเพียงจำนวน 3 หลัง ตลอดจน THE MONUMENT Thong Lo ที่มียอดขายแล้วถึง 60% จากทั้งหมดของโครงการ   "ลลิล" ส่ง 7 โครงการรับกำลังซื้อ ย่านรังสิต-ปทุม-ลำลูกกา นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN)  เปิดเผยถึงศักยภาพของทำเลรังสิตว่า พื้นที่ในทำเลรังสิตตั้งแต่ลำลูกกา รังสิต-องครักษ์ และคลองหลวง ถือเป็นพื้นที่ของการพัฒนาโครงการบ้านจัดสรรมาอย่างยาวนาน เนื่องจากเป็นทำเลที่มีความสะดวกในด้านการเดินทางจากโครงข่ายคมนาคมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ถนนวิภาวดีรังสิต ทางด่วนดอนเมืองโทลล์เวย์ ถนนวงแหวนฝั่งตะวันออก เป็นต้น   ขณะที่ในปัจจุบันรถไฟฟ้าทั้งสายสีแดงธรรมศาสตร์ รังสิต-บางซื่อ และรถไฟฟ้าสายสีเขียว หมอชิต-คูคต ที่จะเปิดให้บริการในอนาคต และมีแผนจะขยายเส้นทางไปถึงถนนวงแหวน จะทำให้การเดินทางเข้า-ออกเมืองมีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ประกอบกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกด้านต่างๆ เช่น การขยายสนามบินดอนเมือง รวมถึงห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่เกิดขึ้นในอนาคต และห้างเดิมที่มีให้บริการอยู่แล้วจะทำให้สิ่งอำนวยความสะดวกในพื้นที่มีความพร้อมและสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น จึงเป็นปัจจัยที่ทำให้ทำเลรังสิตกลับมาคึกคักอีกครั้งหนึ่ง   ทั้งนี้ โครงการที่อยู่อาศัยในทำเล ลำลูกกา-รังสิต ถือเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคในเมือง ซึ่งโครงการทาวน์โฮมของบริษัทฯ ในทำเลรังสิต ราคาเริ่มต้นประมาณ 2 ล้านบาท ได้ห้องนอน 3 ห้องนอน และที่จอดรถ 2 คัน ส่วนบ้านราคาเริ่มต้นจะอยู่ที่ 2 ล้านกว่า - 6 ล้านบาท  บริษัทจึงได้เปิด 7 โครงการมูลค่ากว่า 4,000 ล้านบาท ในทำเลดังกล่าว ได้แก่   1.โครงการไลโอ บลิสซ์ รังสิต-คลองหลวง   2. โครงการไลโอ บลิสซ์ ลำลูกกา-คลอง 2  3.โครงการบุรีรมย์ รังสิต-ลำลูกกา คลอง 4  4. โครงการลลิล ทาวน์ ลำลูกกา คลอง 4-5  5. โครงการลลิล ทาวน์ วงแหวน-ลำลูกกา คลอง 6   6. โครงการลลิล ทาวน์ รังสิต-คลอง  2 และ 7. โครงการไลโอ บลิสซ์ รังสิต-คลอง 4  รวมมูลค่ากว่า 4,000 ล้านบาท   BAM เดินหน้าขายหุ้น IPO   นางทองอุไร ลิ้มปิติ ประธานกรรมการ บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM เปิดเผยว่า ได้เปิดให้ประชาชนจองหุ้น IPO ได้ในวันที่ 25 - 29 พฤศจิกายนนี้  ผ่านธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงไทย และธนาคารไทยพาณิชย์ ทุกสาขา ในช่วงราคาเสนอขาย 15.50-17.50 บาทต่อหุ้น โดยบริษัทจะเสนอขายหุ้น IPO ด้วยจำนวนรวมกันไม่เกิน 1,535 ล้านหุ้น ประกอบด้วยหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 280 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเดิมจำนวนไม่เกิน 1,255 ล้านหุ้น   นอกจากนี้ อาจมีการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน (Greenshoe) จำนวนไม่เกิน 230 ล้านหุ้น รวมทั้งสิ้นจำนวนไม่เกิน 1,765 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 5 บาท เพื่อนำเงินจากการระดมทุนไปขยายธุรกิจโดยซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพและทรัพย์สินรอการขายในอนาคต ชำระคืนเงินกู้จากสถาบันการเงิน และ/หรือชำระหุ้นกู้ที่ถึงกำหนดที่ออกโดยบริษัทฯ และ/หรือตั๋วเงินจ่าย และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน (อ่านข่าวเพิ่มเติม)          
[PR News] SC Asset จับมือ 6 พันธมิตร เพิ่มบริการผ่านแอป “บ้านรู้ใจ”

[PR News] SC Asset จับมือ 6 พันธมิตร เพิ่มบริการผ่านแอป “บ้านรู้ใจ”

SC Asset จับมือ 6 พันธมิตร ปล่อยบริการใหม่ ที่ไม่ได้จำกัดแค่เรื่องที่อยู่อาศัย ทั้งการรีไฟแนนซ์ ประกันภัย และส่งแก๊ซ ผ่านแอปพลิเคชัน “บ้านรู้ใจ” ตอบโจทย์ human-centric สู่การเป็น “Living Solutions Provider”   แอปพลิเคชัน "บ้านรู้ใจ" ของ SC Asset  ได้ถูกออกแบบและพัฒนาไว้บนแพลตฟอร์มหนึ่งเดียว โดยรวบรวมทุกสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าทั้งบ้านและคอนโด ด้วยฟีเจอร์ใหม่ Rue Jai Subscription “ช่วยเรื่องบ้าน จัดการเรื่องชีวิต” โดยรูปแบบ คือ บริการแพ็กเกจดูแลที่อยู่อาศัยแบบรายเดือน ครอบคลุมตั้งแต่การทำความสะอาดบ้าน ดูแลสวน ซัก-รีด ฯลฯ    SC Asset จับมือพันธมิตร เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ในแอปพลิเคชั่น นายดิเรก ตยาคี Head of Living Solutions บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC Asset เปิดเผยว่า ได้จับมือกับ 6 พันธมิตรทั้งกลุ่มธนาคาร ประกันภัย และ บริษัทแก๊สชั้นนำ เปิดบริการใหม่ในแอปพลิเคชัน "บ้านรู้ใจ"  ของ SC Asset  ได้แก่ บริการรีไฟแนนซ์ ซึ่งได้ร่วมกับ 4 องค์กรพันธมิตร ได้แก่  ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารยูโอบี  ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ และ Refinn  “ปัจจุบันผลตอบรับบริการรีไฟแนนซ์ดีมาก มีลูกบ้านยื่นเรื่องรีไฟแนนซ์ผ่านแอปพลิเคชั่นกว่า 400 ล้านบาท และดำเนินการยื่นเรื่องจดจำนองเรียบร้อยคิดเป็นมูลค่า 100 ล้านบาท สำหรับอนาคตจะมีการขยายการให้บริการด้านการเงินต่างๆ เพิ่มมากขึ้น อาทิ เปลี่ยนบ้านให้เป็นเงิน การกู้เงินเพื่อตกแต่งบ้าน และการดูแลในเรื่อง Wealth Management ด้วย” ประกันเดินทางร่วมกับการประกันบ้าน นอกจากนี้ ยังมีบริการ “ประกันภัย” จากบริษัท ชับบ์สามัคคีประกันภัย จำกัด ที่ร่วมนำเสนอแพ็คเก็จประกันเดินทางแบบใหม่ร่วมกับการประกันบ้านในระยะเวลาที่ต้องการ ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกของวงการประกันภัย และเป็นบริการพิเศษเฉพาะสำหรับลูกบ้านของ SC เท่านั้น เพื่อให้ลูกบ้านรู้สึกสบายใจ ไร้กังวล เวลาเดินทางไปท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นทริปสั้นๆ หรือทริปยาว และในอนาคตก็จะมีบริการด้านประกันภัยอื่นๆ เช่น พรบ.รถยนต์ เป็นต้น บริการส่งแก๊สถังใหม่ทุกเดือน นายดิเรก กล่าวอีกว่า แอปพลิเคชั่น บ้านรู้ใจ ยังมีบริการจัดส่งแก๊ส โดยความร่วมมือกับบริษัท ดับบลิวพี เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) ผู้นำในการจัดจำหน่ายแก๊ส LPG ที่ร่วม co-creation สร้างสรรค์บริการใหม่ๆ โดยจัดบริการส่งแก๊สถังใหม่ให้เป็นประจำทุกเดือน หมดปัญหาความยุ่งยากที่อาจเกิดขึ้นเมื่อแก๊สหมดระหว่างทำกับข้าว โดยแผนในอนาคต คือการร่วมกับ SC จะนำต้นแบบจากประเทศญี่ปุ่นมาพัฒนาให้เป็นมาตรฐานเดียวกันให้เกิดความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกในการเปลี่ยนถังแก๊สเพิ่มขึ้น “จุดเด่นที่สำคัญของแอปพลิเคชัน บ้านรู้ใจ นอกจาก Conversation การสนทนาผ่านเจ้าหน้าที่รู้ใจ ด้วยบริการตลอด 24 ชั่วโมง คือ การมีฟีเจอร์ “Rue Jai Subscription” ช่วยเรื่องบ้าน จัดการเรื่องชีวิตรวมไปถึงการร่วมมือกับพันธมิตรผู้เชี่ยวชาญมอบบริการที่พิเศษหลากหลายไว้บนฟีเจอร์ โดยไม่ได้จำกัดแค่เรื่องที่อยู่อาศัยเท่านั้น ยังตอบโจทย์ human-centric สำหรับชีวิตประจำวันอีกด้วย” ลูกบ้านสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน "บ้านรู้ใจ" ผ่าน IOS และ Google Play ได้ฟรี    
ถอดกลยุทธ์ “พฤกษา” เติบโต 5% ได้อย่างไรในภาวะตลาดอสังหาฯ ติดลบ

ถอดกลยุทธ์ “พฤกษา” เติบโต 5% ได้อย่างไรในภาวะตลาดอสังหาฯ ติดลบ

ตลาดอสังหาฯ 9 เดือนหดตัว 22% ส่อแววตลาดชะลอตัวต่อเนื่องถึงปีหน้า “พฤกษา” ชู 4 กลยุทธ์ปรับตัวรับมือและรักษาการเติบโต หั่นโปรเจ็กต์เล็กลง จับตลาดเรียลดีมานด์ และมีกำลังซื้อสูง ปักหมุดในทำเลศักยภาพ ปี 63 เตรียมอีก 15 โปรเจ็กต์ใหม่สร้างการเติบโต 5%   ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ในช่วง 9 เดือนแรกที่ผ่านมา ดูเหมือนจะเติบโตลดลงทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ หรือคอนโดมิเนียม เป็นการลดลงมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา โดยลดลง 22% จากมูลค่า 385,926 ล้านบาท ในปีที่ผ่านมา เหลือ 299,789 ล้านบาท เฉพาะไตรมาส 3 ภาพรวมตลาดอสังหาฯ ลดลงไปถึง 35% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีมูลค่าประมาณ 100,629 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาส 3 ปี 2561 มีมูลค่าสูงถึง 154,415 ล้านบาท   แนวโน้มตลาดอสังหาฯ ที่ลดลงมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ประกอบการหลายราย ต้องปรับตัวเพื่อให้ธุรกิจเดินหน้าต่อไปได้ ส่วนใหญ่จะเปิดโครงการเมื่อมั่นใจในทำเลที่ตั้ง และการทำตลาดสำหรับโครงการนั้น แต่หากยังไม่มั่นใจ หรือพิจารณาดูแล้วโครงการที่จะเปิดยังมีความต้องการไม่มากพอ ผู้ประกอบการมักจะเลื่อนไปเปิดตัวโครงการไปในปีหน้าแทน หรือไม่ก็ปรับลดขนาดให้โครงการเหมาะสมกับสภาพแต่ละทำเล   ทั้ง 2 เรื่อง เป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการหยิบมาใช้ เป็นวิธีการสร้างความมั่นคงให้กับธุรกิจ และไม่ทำให้ธุรกิจมี “ความเสี่ยง” มากเกินไป ไม่เว้นแม้แต่ผู้นำตลาดอย่างกลุ่ม “พฤกษา” ที่เลือกเปิดเฉพาะโครงการในทำเลที่มั่นใจจริงๆ เท่านั้น อย่างเช่นในไตรมาส 3 ที่ผ่านมาก็เลื่อนเปิดตัวโครงการใหม่ 4 โครงการ โดยเลื่อนมาเปิดในไตรมาสสุดท้าย และไปเปิดในปี 2563 แทน   นายปิยะ ประยงค์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท – แวลู  บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แนวโน้มสถานการณ์อสังหาฯ ในปี 2563 เชื่อว่าคงจะไม่เติบโต และอาจจะลดลงต่อเนื่องในอัตรา 10-20% ทำให้กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท – แวลู จะเปิดตัวโครงการใหม่ประมาณ 15 โครงการ มีมูลค่าเฉลี่ยโครงการละ 1,000 ล้านบาท  แบ่งเป็น โครงการแนวราบ 50% และคอนโดฯ  50% ซึ่งใกล้เคียงกับปีนี้ที่เปิดตัว 16 โครงการ   “โครงการใหม่ในปี 2563 จำนวน 30% เป็นโครงการที่เลื่อนเปิดจากปีนี้” ถอด 4 กลยุทธ์การเติบโตกลุ่มพฤกษา สำหรับกลยุทธ์สำคัญในการดำเนินธุรกิจปีหน้ากลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท-แวลู คือ 1.โครงการเปิดใหม่จะไม่เน้นโครงการขนาดใหญ่ จะมีจำนวนยูนิตเฉลี่ย 200-300 ยูนิตต่อโครงการ พื้นที่โครงการแนวราบจะลดขนาดลงและกระจายเข้ามาใกล้ใจกลางเมืองมากขึ้น เช่น บ้านเดี่ยวเคยพัฒนาบนเนื้อที่ 80 ไร่ จะลดเหลือ 20-30 ไร่ เป็นต้น   2.จับตลาดกลุ่มเป้าหมายคนเมือง มีรายได้ 50,000-150,000 บาทต่อเดือน เนื่องจากมองว่าเป็นกลุ่มกำลังซื้อสูง ไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ และมีความต้องการที่อยู่อาศัยอย่างแท้จริง   3.ขยายกลุ่มลูกค้าไปสู่ตลาดระดับบนมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าบ้านเดี่ยวราคามากกว่า 5 ล้านบาท ขึ้นไป และกลุ่มลูกค้าคอนโดฯ ระดับราคา 3-5 ล้านบาท   4.เลือกเปิดตัวโครงการในทำเลที่มีศักยภาพ และมีช่องว่างทางการตลาด การแข่งขันไม่รุนแรง ทั้งในพื้นที่กลางเมืองกรุงเทพฯ​ และปริมณฑล รวมถึง พื้นที่ต่างจังหวัดไม่ว่าจะเป็นเขตอีอีซี เชียงใหม่ และภูเก็ต     “ในครึ่งปีหลัง 2562 บริษัทมีการปรับกลุทธ์การเปิดขายโครงการคอนโดฯ โดยเน้นโครงการที่เป็น  Best in Class เจาะกลุ่มลูกค้าระดับกลางที่มีกำลังซื้อและมีศักยภาพในท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ในทำเลใกล้รถไฟฟ้าและมีดีมานด์รองรับ” โดยล่าสุด เปิดตัวโครงการ “The Tree Victory Monument”  ถือเป็นโครงการสูงของแบรนด์เดอะทรี (The Tree) โครงการแรกในระดับลักชัวรี่ มีการปรับโฉมทำห้องฝ้าเพดานสูง 4.4 เมตร และ ห้อง Duplex ฝ้าเพดานสูง 4.9 เมตร  ในทำเลย่านอนุสาวรีย์ชัยฯ  ราคาเริ่มต้น 3.59 ล้านบาท ซึ่งตัวอาคารมีขนาดความสูง 31 ชั้น  1 อาคาร มีชั้นจอดรถใต้ดิน 3  ชั้น มีห้องพักจำนวน 253  ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,300 ล้านบาท   โครงการ “The Tree Victory Monument” ถือเป็น 1 ใน 3 โครงการที่จะเปิดตัวในไตรมาส 4 นี้ มูลค่ารวม 5,100 ล้านบาท  โดยจะเปิดตัวอีก 2 โครงการ จะเปิดคอนโดมิเนียมอีก 3 โครงการ ได้แก่ The Tree พัฒนาการ-เอกมัย และ The Tree พระราม 4-สุขุมวิท     นายปิยะ กล่าวเพิ่มเติมว่า ภาพรวมธุรกิจอสังหาฯ ในไตรมาสสุดท้าย น่าจะได้รับอานิสงค์จากมาตรการภาครัฐ ทำให้ตลาดฟื้นตัวดีขึ้นแต่ยังคงติดลบจากปีที่ผ่านมา แต่คงติดลบน้อยลงจากเดิม 22% น่าจะเหลือติดลบประมาณ 15-20%  ซึ่งพฤกษา เรียลเอสเตท-แวลู  เตรียมนำสต๊อกโครงการสร้างเสร็จในกลุ่มบ้านเดียว มูลค่า 3,000 ล้านบาท และคอนโดฯ มูลค่า 3,000 ล้านบาท มาจัดแคมเปญโปรโมชั่นฟรีทุกค่าใช้จ่าย และลดราคาขาย 5-10%   “ในปีนี้ กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท – แวลู  คาดว่าจะมีรายได้ตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ 20,000 ล้าน และมีเป้าหมายยอดขาย 17,000 ล้านบาท ปัจจุบันทำยอดขายได้แล้ว 15,000 ล้านบาท ส่วนปีหน้าคงวางเป้าหมายการเติบโตไว้ 5%”  
รวมโปรโมชั่นบ้าน-คอนโด เดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม 2562

รวมโปรโมชั่นบ้าน-คอนโด เดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม 2562

รวมโปรโมชั่นบ้าน-คอนโด ปลายเดือนพฤศจิกายน 2562 ยังมีโปรโมชั่นจากหลาย Developer โดยเฉพาะโครงการพร้อมอยู่ให้ได้เข้าไปชมสถานที่จริงก่อนตัดสินใจคว้าราคาดีๆ และยังมีโครงการเปิดตัวใหม่ที่กำลังจะเปิดขายเป็นครั้งแรกในช่วงนี้เช่นกันค่ะ       THE ORIGIN Phahol-Saphanmai เปิดจองครั้งแรก THE ORIGIN Phahol-Saphanmai คอนโดใหม่ บนทำเลฮอต รถไฟฟ้า สายสีเขียว สถานีสายหยุด 23 พ.ย.นี้ เปิดจองครั้งแรก ราคา เริ่ม 1.49 ล้าน ลงทะเบียนจองสิทธิ์ ส่วนลด 200,000 บาท รายละเอียดเพิ่มเติม THE ORIGIN Phahol-Saphanmai The Tree Victory Monument เปิดรอบ VVIP DAY คอนโดตัวล่าสุดจากพฤกษา ใกล้ BTS อนุสาวรีย์ชัยฯ ห้องเพดานสูง 4.9 เมตร ทุกยูนิต Facility ส่วนกลางบนชั้นRooftop Skyline ต่อเนื่องกันถึง 6 ชั้น เปิดรอบ VVIP DAY ในวันที่ 23-24 พ.ย. นี้ Exclusive Offer รับส่วนลดสูงสุด 500,000 บาท จองภายในงานรับเครื่องใช้ไฟฟ้าเพิ่ม ธนาสิริ กรุ๊ปจัดโปรโมชั่นพิเศษ ในงาน Hello winter ธนาสิริได้จัดโปรโมชั่นพิเศษ ในงาน Hello winter หนาวนี้ต้องรีบจอง แถมฟรี ! แอร์ทั้งหลัง เมื่อจองบ้านพร้อมอยู่ในโครงการที่สนใจ พร้อมรับของแถมเพิ่มสูงสุด 10 รายการ  โดยมีทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม ในทำเลใกล้รถไฟฟ้า ใกล้ทางด่วนและห้างสรรพสินค้า ชั้นนำ ในราคาเริ่มต้น 2.59-13.9 ล้านบาท  โดย 5 โครงการบ้านคุณภาพในเครือธนาสิริ กรุ๊ปที่นำมาร่วมรายการ ได้แก่ ธนาฮาบิแทต ปิ่นเกล้า-สิรินธร, ธนาคลัสเตอร์ ราชพฤกษ์, ธนาคลัสเตอร์ เวสต์เกต, ธนาซิโอ รัตนาธิเบศร์, สิริวิลเลจ อุดรธานี-แอร์พอร์ต Rich Point @BTS วุฒากาศ จัดงาน Pre-sale Rich Point @BTS วุฒากาศ คอนโดใหม่ทำเลคุณภาพ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ 0 เมตร จากรถไฟฟ้า BTS วุฒากาศ เริ่ม 1.99 ลบ.* เตรียมจัดงาน Pre-sale จองสิทธิ์ก่อนเพียง 5,000 บาท* รับส่วนลดสูงสุดทันที 300,000 บาท* ได้เลือกแบบ เลือกห้อง เลือกชั้น ก่อนใคร เปิดจอง 30 พ.ย. นี้ LPN โปรส่งท้ายปี ดีลปิดไตรมาส จัดเต็มทั้งลด ทั้งแถม ทุกโครงการพร้อมอยู่   คอนโดมิเนียม ลุมพินี วิลล์ พระนั่งเกล้า–ริเวอร์วิว พิเศษ 999,000 บาท* ลุมพินี วิลล์ ราษฎร์บูรณะ-ริเวอร์วิว 2 พิเศษ 1.23 ล้าน* ลุมพินี วิลล์ สุขุมวิท 76-แบริ่ง สเตชั่น (2) พิเศษ 1.36 ล้าน* ลุมพินี วิลล์ ราชพฤกษ์–บางแวก พิเศษ 1.24 ล้าน* ลุมพินี วิลล์ สุขสวัสดิ์-พระราม 2 พิเศษ 1.29 ล้าน* ลุมพินี ทาวน์ชิป รังสิต-คลอง 1 พิเศษ 945,000 บาท* ลุมพินี เพลส รัชดา–สาธุ พิเศษ 2.78 ล้าน* ลุมพินี พาร์ค เพชรเกษม 98 (2) พิเศษ 1.19 ล้าน* ลุมพินี พาร์ค พหล 32 พิเศษ 2.59 ล้าน* ลุมพินี พาร์ค วิภาวดี–จตุจักร พิเศษ 2.19 ล้าน* ลุมพินี สวีท เพชรบุรี–มักกะสัน พิเศษ 2.99 ล้าน* ลุมพินี สวีท ดินแดง–ราชปรารภ พิเศษ 2.79 ล้าน* ลุมพินี ซีเล็คเต็ด สุทธิสาร–สะพานควาย พิเศษ 2.99 ล้าน* ลุมพินี พาร์คบีช ชะอำ 2 พิเศษ 2.55 ล้าน* ลุมพินี ซีวิว ชะอำ (B) พิเศษ 1.02 ล้าน* ลุมพินี พาร์คบีช จอมทียน พิเศษ 2.83 ล้าน* ลุมพินี วิลล์ นาเกลือ–วงศ์อมาตย์ พิเศษ 1.90 ล้าน*   บ้าน บ้านลุมพินี ทาวน์วิลล์ ลาดปลาดุก–บางไผ่สเตชั่น พิเศษ 1.99 ล้าน* บ้านลุมพินี ทาวน์วิลล์ รังสิต-คลอง 2 เฟส 1 พิเศษ 1.89 ล้าน* บ้านลุมพินี ทาวน์วิลล์ รังสิต-คลอง 2 เฟส 2 พิเศษ 1.20 ล้าน* บ้านลุมพินี ทาวน์วิลล์ เพิ่มสิน–วัชรพล พิเศษ 2.79 ล้าน* บ้านลุมพินี ทาวน์วิลล์ ราชพฤกษ์-ปิ่นเกล้า เฟส 2.1 พิเศษ 2.79 ล้าน* บ้านลุมพินี ทาวน์วิลล์ ราชพฤกษ์-ปิ่นเกล้า เฟส 2.2 พิเศษ 4.79 ล้าน* บ้านลุมพินี ทาวน์พาร์ค ท่าข้าม-พระราม 2 พิเศษ 2.90 - 5.39 ล้าน* บ้านลุมพินี ทาวน์เพลส พระราม 2–ท่าข้าม พิเศษ 5.89 ล้าน* บ้านลุมพินี สวนหลวง ร.๙ พิเศษ 11.00 ล้าน* อนันดา โปรเหนือโปร 6 คอนโดพร้อมอยู่ ใกล้รถไฟฟ้า ฟรีโอน จดจำนอง ทุกราคา ทุกยูนิต เริ่ม 1.59-2.69 ล้านบาท วันที่ 23-24 พ.ย. นี้ ไอดีโอ โมบิ บางซื่อ-แกรนด์ อินเตอร์เชนจ์ ไอดีโอ โมบิ วงศ์สว่าง-อินเตอร์เชนจ์ ไอดีโอ พระราม 9 ตัดใหม่ ไอดีโอ ท่าพระ อินเตอร์เชนจ์ ไอดีโอ โอทู เอลลิโอ เดล มอสส์ พหลโยธิน 34 เสนา ให้ก่อนมาตรการรัฐ คืนค่าธรรมเนียมโอน ค่าจดจำนอง เสนา ดีลดี จอง 999 บาท รับเลย samsung galaxy note 10* และยังได้คืนค่าธรรมเนียมโอน 1% และค่าจดจำนอง 1% ทั้งบ้านและคอนโด 21 โครงการพร้อมอยู่ 26 ต.ค.-31 ธ.ค. 62 MAVISTA เปิดบ้านตัวอย่างหลังใหม่ ลดสูงสุด 5,000,000 บาท MAVISTA Krungthep Kreetha บ้านเดี่ยวสุดหรู พร้อมเข้าอยู่  ฉลองเปิดบ้านตัวอย่างหลังใหม่ 5 หลังสุดท้ายก่อนปิดโครงการ รับส่วนลดสูงสุด 5,000,000 บาท* เริ่มต้น 90 ล้านบาท* วันนี้-30 พ.ย. นี้ บ้านหลังแรก พร้อมโอน รับ 3 สิทธิ์ ตอบรับมาตรการรัฐ บ้าน ทาวน์โฮม คอนโด บ้านหลังแรก ราคาไม่เกิน 5 ล้าน พร้อมโอนภายในปีนี้ ลดหย่อนภาษีได้สูงสุดอีก 200,000 บาท*    บ้านราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ได้สิทธิ์ลดค่าโอน และจดจำนอง และสามารถใช้สิทธิ์ดอกเบี้ยเงินกู้ยืม ลดหย่อนภาษีสูงสุด 100,000 บาท* จากโครงการดังนี้   Villaggio รังสิต - คลอง 2 ราคาเริ่มต้น 3.3 ล้านบาท Indy รังสิต – คลอง2 ราคาเริ่มต้น 2.3 ล้านบาท ชัยพฤกษ์ ศรีนครินทร์ ราคาเริ่มต้น 5 ล้านบาท Villaggio บางนา – เทพารักษ์  ราคาเริ่มต้น 3.7 ล้านบาท Villaggio ศรีนครินทร์ – บางนา  ราคาเริ่มต้น 3 ล้านบาท Villaggio บางนา ราคาเริ่มต้น 2.2 ล้านบาท Indy 2 ศรีนครินทร์ ราคาเริ่มต้น 2.6 ล้านบาท Villaggio 2 พระราม 2 ราคาเริ่มต้น 3.9 ล้านบาท Villaggio ประชาอุทิศ 90 ราคาเริ่มต้น 3.6 ล้านบาท Villaggio เพชรเกษม – สาย4 ราคาเริ่มต้น 2.5 ล้านบาท Indy ประชาอุทิศ 90 ราคาเริ่มต้น 2.5 ล้านบาท พฤกษ์ลดา วงแหวน – หทัยราษฏร์ราคาเริ่มต้น 4.7 ล้านบาท The Key สาทร – เจริญราษฎร์ราคาเริ่มต้น 3.9 ล้านบาท Villaggio เกาะเรียนราคาเริ่มต้น 4 ล้านบาท Indy อยุธยา ราคาเริ่มต้น 2 ล้านบาท โปรแรงแห่งปี จาก Goldenland โกลเด้น ทาวน์ เพชรเกษม-พุทธมณฑลสาย 3 ทาวน์โฮมโครงการใหม่ สุดยอดทำเลทอง 2 กิโล ถึงรถไฟฟ้า ติดถนนใหญ่+ใกล้เดอะมอลล์ มาพร้อมฟังก์ชั่น 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ อลังการสโมสร+โรงหนังส่วนตัว พร้อมสวนสวยรอบโครงการ ราคาพิเศษ เริ่ม 2.39 ล้าน* วันที่ 16-24 พ.ย. นี้ The Vision ลาดพร้าว – นวมินทร์ เปิดจองครั้งแรก เปิดบ้านดีไซน์ใหม่ ใหญ่ทุกห้องนอน ทำเลทองย่านลาดพร้าว-นวมินทร์ บ้านใหม่ดีไซน์หรู Vision Smart เปิดจองครั้งแรก 23 พ.ย. นี้ รับส่วนลดสูงสุด 350,000 บ.* ราคาเริ่มต้น 2.59 ลบ.*       
รีวิวคอนโดย่านสาทร วิวคุ้งแม่น้ำเจ้าพระยา THE ISSARA SATHORN

รีวิวคอนโดย่านสาทร วิวคุ้งแม่น้ำเจ้าพระยา THE ISSARA SATHORN

THE ISSARA SATHORN (ดิ อิสสระ สาทร) คอนโดที่ออกแบบมาเพื่อให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้านมากกว่าคำว่าคอนโดมิเนียม โดยนำเอาทำเลรอบๆ ที่มีความเป็นเมือง metropolitan กับธรรมชาติ suburban มาผสมผสานอัตลักษณ์ของ 2 บริบทนี้เข้าด้วยกัน   รอบโครงการได้กระจายพื้นที่ส่วนกลางสีเขียวไว้ตามส่วนต่างๆของอาคารตั้งแต่ทางเข้าของโครงการจนไปถึงชั้นต่างๆ ของตึกจนถึงบริเวณสูงสุดของอาคาร โดยลักษณะพื้นที่ในสวนในรูปแบบของ pattern ที่เป็นเส้นตรง มีการสลับกันระหว่างพื้นที่สีเขียว ทางเดิน และน้ำ ในส่วนของ facilities หลักของโครงการชั้น 30 ประกอบด้วยสระว่ายน้ำ Wellness pool ที่ยาวกว่า 28 เมตร เป็นตัวเชื่อมวิวระหว่างฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาเข้าหาเมืองกรุงเทพมหานคร ส่วนชั้น 38 และ Rooftop ถูกออกแบบอย่างมี Character และกิจกรรมต่างๆ ดึงดูดให้มาใช้งาน อาทิ พื้นที่ปลูกพืชผักสวนครัวและสมุนไพร โดยมีพื้นที่และอุปกรณ์สำหรับการทำสวนและปลูกผัก ส่งไปถึงการออกกำลังกายบนชั้น Rooftop ใช้สีสันฉูดฉาดชวน Active บนวิวเมืองสวยๆ และยังมีที่นั่งที่เป็น Net Hammock ดูยื่นออกไปนอกอาคารอีกด้วย ซึ่งทำให้ผู้ใช้งานสามารถมองวิวได้อย่างครบ 360 องศา   ภายในสร้างบรรยากาศการตกแต่งแบบร่วมสมัย คือ MODERN แต่ก็ผสมผสาน ART CULTURE แบบ RETRO ในรูปแบบ MODERN RETRO ที่สะท้อนการใช้งานศิลปะเข้ามาผสมผสานในทุกๆพื้นที่ ในส่วนของห้องพักมีความโล่งกว้างสามารถใช้อยู่อาศัยได้จริงทั้งส่วนบุคคลหรืออยู่เป็นครอบครัว มีการแบ่งพื้นที่อย่างเป็นสัดส่วน ถ่ายเทของอากาศได้ดี จากการออกแบบแปลนของอาคารทำให้ทุกห้องได้รับวิวทัศนียภาพที่สวยงามของสถานที่โดยรอบได้ ไม่ว่าจะเป็นด้านวิวเมืองหรือวิวคุ้งแม่น้ำเจ้าพระยาและบางกระเจ้า และมีการประหยัดพลังงานด้วยการออกแบบให้มีครีบที่ช่วยกันแดดแนวตั้งที่สามารถช่วยลดความร้อนและแสงที่จะเข้ามาภายในอาคารได้ในบางส่วน โดยที่ไม่บดบังทัศนียภาพนอกอาคาร ชื่อโครงการ THE ISSARA SATHORN (ดิ อิสสระ สาทร) เจ้าของโครงการ บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด มหาชน ที่ตั้งโครงการ ถ.จันทน์ แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร จ.กรุงเทพฯ พื้นที่โครงการ  1-2-60 ไร่ ลักษณะโครงการ High Rise  จำนวนอาคาร 1 อาคาร  จำนวนชั้น  37 ชั้น จำนวนยูนิต 270 ยูนิต  ขนาดห้อง  1 BEDROOM 32.66 – 47.21 ตร.ม. 1 BEDROOM PLUS 37.21 ตร.ม. 2 BEDROOM 58.96 – 90.32 ตร.ม. 2 BEDROOM  PLUS 88.14 – 88.17 ตร.ม.  3 BEDROOM 93.44 – 110.74 ตร.ม. PENTHOUSE 134.88- 188.76 ตร.ม. เฟอร์นิเจอร์ Fully Fitted  ที่จอดรถ Auto Parking 270 คัน สิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลาง  ปีที่สร้างเสร็จ ประมาณปลายปี 2565 ราคาเริ่มต้น 4.88 ล้านบาท  จุดเด่นโครงการ  ระบบขนส่งสาธารณะใกล้เคียง รถไฟฟ้าสายสีเขียว สถานีช่องนนทรี  จุดขึ้น-ลงทางด่วน ทางด่วนเฉลิมมหานคร สถานที่ใกล้เคียง Makro, Market Place นางลิ้นจี่, Central rama 3, The Up rama 3, Silom Complex,สวนลุมพินี, โรงพยาบาล กรุงเทพคริสเตียน, โรงพยาบาล BNH, โรงพยาบาลเซ็นหลุยส์, โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ภาพ Facilities ภาพ Interior   ข้อมูลโครงการเพิ่มเติม  THE ISSARA SATHORN โครงการอื่นๆ จากชาญอิสสระ THEW TALAY ESTATE Blu ชะอำ-หัวหิน BaBa Beach Club Phuket
รีวิวคอนโดใกล้จุฬาฯ Ideo Chula-Samyan ใกล้ MRT สามย่าน 400 เมตร

รีวิวคอนโดใกล้จุฬาฯ Ideo Chula-Samyan ใกล้ MRT สามย่าน 400 เมตร

Ideo Chula-Samyan คอนโดที่ "คิดเพื่อชีวิตจุฬา" แค่ชื่อคอนเซปก็บ่งบอกคาแรคเตอร์ของโครงการนี้ได้ดี เพราะการออกแบบทุกพื้นที่ถูกคิดขึ้นมาเพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ชาวจุฬา ส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ได้ไม่รู้จบตลอด 24 ชม. อาทิ Co-Living Space, Fitness Center, Sky Pool, Vertical Garden, Twin Tone Lobby, Co-Nature Space,EV Charger, Shop พร้อมฟรี Wifi 3x Facilities บน 3 ชั้นสูงสุดของอาคาร ท่ามกลางธรรมชาติให้ได้พักผ่อนไปกับวิวกลางเมือง   ชื่อโครงการ Ideo Chula-Samyan (ไอดีโอ จุฬา-สามย่าน)  เจ้าของโครงการ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จํากัด (มหาชน) ที่ตั้งโครงการ ซ.วิภาวดี 3 แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10210  พื้นที่โครงการ  3-1-45.5 ไร่ ลักษณะโครงการ High Rise  จำนวนอาคาร 2 อาคาร  จำนวนชั้น อาคาร A สูง 34 ชั้น อาคาร B สูง 35 ชั้น จำนวนยูนิต 773 ยูนิต  ขนาดห้อง  STUDIO 26-30.5 ตร.ม. 1 BEDROOM 30.5-41.5 ตร.ม. 1 BEDROOM PLUS 45-48 ตร.ม. 2 BEDROOM  52-70.5 ตร.ม.   เฟอร์นิเจอร์ Fully Fitted  ที่จอดรถ 385 คัน (ไม่รวมซ้อนคัน) สิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลาง Co-Living Space, Fitness Center, Sky Pool, Vertical Garden, Twin Tone Lobby, Co-Nature Space,EV Charger, Shop ราคาเริ่มต้น 3.59 ล้านบาท  จุดเด่นโครงการ 400 เมตร จาก MRT สถานีสามย่าน อยู่กลางเมืองที่มีความสะดวกสบายรอบด้าน และ 3x Facilities ชั้นบนสุดของอาคารเต็มพื้นที่ 3 ชั้น เปิดให้ใช้งานตลอด 24 ชม. พร้อมฟรี Wifi ระบบขนส่งสาธารณะใกล้เคียง รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน สถานีสามย่าน จุดขึ้น-ลงทางด่วน ทางด่วนศรีรัช ด่านสุรวงศ์ สถานที่ใกล้เคียง จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย, โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย, สามย่านมิตรทาวน์, Siam Paragon, หอศิลปวัฒนธรรม แห่งกรุงเทพมหานคร, MBK Center, Silom Square, สวนลุมพินี, Chamchuri Square, โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน, โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, โรงพยาบาล BNH 3x Facilities ด้านใน Facilities   เปิดจองครั้งแรก 23 พ.ย. 62 Free iPhone 11 Pro Max* ราคาเริ่มต้น 3.59 ล้านบาท   รายละเอียดเพิ่มเติม Ideo Chula-Samyan   ข่าวอื่นๆ จากอนันดา อนันดาฯ ยึดเบอร์ 1 คอนโดติดรถไฟฟ้า อนันดาฯ จับมือ ช้อปปี้ เปิดเกมรุกบุกตลาดอีคอมเมิร์ซ คำถามที่รอคำตอบ “ไอดีโอ คิว พหล-สะพานควาย”
พลัสฯ แนะ 5 วิธี ดีเวลอปเปอร์หน้าใหม่ รับมือวิกฤตอสังหาฯ  

พลัสฯ แนะ 5 วิธี ดีเวลอปเปอร์หน้าใหม่ รับมือวิกฤตอสังหาฯ  

แม้ว่ารัฐบาลจะดีเดย์มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ด้วยการออกมาตรการลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนการโอนจากเดิม 2% เหลือ 0.01% และลดค่าจดทะเบียนจดจำนองอสังหาริมทรัพย์จากเดิม 1% เหลือ 0.01% สำหรับการซื้อขายที่อยู่อาศัยที่ดินพร้อมอาคารหรือห้องชุด ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ซึ่งมีผลใช้แล้วตั้งแต่วันที่ 2 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เพราะช่วงที่ผ่านมาต้องยอมรับว่า เกิดวิกฤตอสังหาฯ​ ไม่น้อยเลยจากปัจจัยลบต่างๆ   แต่ด้วยระยะเวลาที่ธุรกิจอสังหาฯ ต้องเผชิญกับความยากลำบาก  เป็นวิกฤตอสังหาฯ จากผลกระทบของมาตรการ LTV เศรษฐกิจชะลอตัว กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง ที่ต่อเนื่องยาวนานกว่า ขณะที่ผลบวกจากมาตรการที่จะใช้ในปีนี้เหลือระยะเวลาแค่ 2 เดือนเท่านั้น ขณะที่ วิกฤตอสังหาฯ ดูเหมือนว่าปัจจัยลบยังต่อเนื่องยาวนานไปจนถึงปีหน้าด้วย เพราะภาพรวมเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวเป็นปกติ   5 วิธีรับมือ วิกฤตอสังหาฯ   บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ในฐานะที่ดำเนินธุรกิจบริหารงานขายมานานกว่า 20 ปี พลัสฯ ได้ให้คำแนะนำกับผู้ประกอบการหน้าใหม่  เพื่อรับมือกับปัญหาและปัจจัยเสี่ยงที่เกิดขึ้น  กับคำแนะนำ 5 วิธี ปรับตัว รับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้น ได้แก่   1.คอยติดตามสถานการณ์ตลาดและข่าวสารอย่างใกล้ชิด เนื่องจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจครั้งนี้เป็นการชะลอตัวในหลายประเทศ จึงอาจกระทบกับกำลังซื้อของผู้บริโภคทั่วโลก หากผู้ประกอบการรายใดมีเป้าหมายเน้นกลุ่มลูกค้าต่างชาติ ก็จำเป็นต้องติดตามสถานการณ์ประเทศที่เป็นกลุ่มลูกค้าอย่างใกล้ชิดว่ากำลังซื้อยังดีหรือไม่ 2.หา Demand เฉพาะในแต่ละพื้นที่ และลงทุนให้เหมาะกับขนาดตลาดหรือความต้องการที่มี เมื่อสถานการณ์ของตลาดนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์ (Investor) ได้รับผลกระทบจากการควบคุมการปล่อยสินเชื่อของภาครัฐฯ   การศึกษากลุ่มที่เป็นผู้อยู่อาศัยจริง (Real Demand) ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ ควรสำรวจตลาดโดยเฉพาะเรื่องยอดขายของโครงการในบริเวณนั้นๆ และจำนวนยูนิตเหลือขาย  ตลาดที่อยู่อาศัยยังคงมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง หากพัฒนาสินค้าให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายในทำเลนั้นๆ จึงต้องศึกษาและวิจัยตลาดอย่างละเอียดและตั้งราคาที่สมเหตุสมผล   3.ความรู้เกี่ยวกับตลาดและทำเลต้องแน่น ทำเลที่ตั้งของโครงการเป็นสิ่งที่ลูกค้าพิจารณาเป็นอันดับต้นๆ การเลือกทำเลจึงเป็นสิ่งสำคัญ ต้องเข้าใจตลาดในทำเลนั้นและสามารถวิเคราะห์ศักยภาพทำเลได้อย่างแม่นยำ เพื่อการพัฒนาโครงการที่เหมาะสมและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของกลุ่มลูกค้าด้วย และวางแผนเปิดตัวโครงการให้สอดคล้องกับภาวะตลาดที่แท้จริงมากยิ่งขึ้น พิจารณาเรื่องเวลาและจังหวะการเปิดตัวที่เหมาะสม และมีแผนรองรับที่มีความยืดหยุ่นตามสถานการณ์ตลาด   4.Customer-Centric ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง โดยต้องเข้าใจ Insight ของลูกค้าว่ากลุ่มเป้าหมายมีพฤติกรรมการใช้ชีวิตและความต้องการด้านที่อยู่อาศัยอย่างไร เพื่อออกแบบโครงการที่ตอบโจทย์และวางกลยุทธ์การขายและการตลาดที่ตรงใจลูกค้า  นอกจากนี้ การปรับสเปคโครงการเพื่อให้ตั้งราคาได้เหมาะสม กับความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ก็เป็นอีกกลยุทธ์หนึ่งที่น่าสนใจ และเน้นโฟกัสโครงการเดิมที่มีอยู่เพื่อระบายสต็อก   5.ทำการตลาดที่แข็งแกร่ง สามารถสื่อสารภาพลักษณ์ที่สะท้อนจุดเด่นของโครงการ และเชื่อมโยงกับไลฟ์สไตล์ของกลุ่มเป้าหมาย การออกแบบห้องพักและพื้นที่ส่วนกลาง ต้องสะท้อนภาพลักษณ์ของกลุ่มเป้าหมาย ต้องมีความประณีตในการพัฒนาและเลือกสรรสิ่งต่างๆ เพื่อสะท้อนความใส่ใจในทุกรายละเอียด การตลาดที่ดีจะช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของผู้พัฒนาโครงการและตัวโครงการ     รวมถึงสามารถสื่อสารจุดเด่นของตัวโครงการ ให้เชื่อมโยงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้ เลือกกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนเพื่อทำตลาด ให้ความสำคัญกับการสร้าง Brand Story ที่สามารถสะท้อน Personality ของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้ ทั้งในแง่ Functional และ Emotional   “พลัส” เดินหน้าลงทุน-หาลูกค้าใหม่ สู้ วิกฤตอสังหาฯ        นางสาวสมสกุล หลิมศุทธพรรณ  รองกรรมการผู้จัดการสายงานบริหารธุรกิจใหม่และสนับสนุนงานขาย บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ในสถานการณ์ปัจจุบันที่ภาวะเศรษฐกิจยังชะลอตัวต่อเนื่อง ส่งผลให้ผู้ประกอบการหลายราย ออกมาปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น   สำหรับพลัส พร็อพเพอร์ตี้ ในส่วนของงานบริหารงานขาย ยังเดินตามแผนโรดแมพระยะยาวที่วางไว้ ด้วยการเดินหน้าขยายฐานลูกค้าไปกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการรุ่นใหม่ กลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการต่างชาติ และกลุ่มลูกค้าบริษัทขนาดใหญ่ ในการเป็นพาร์ทเนอร์ร่วมกับลูกค้า เป็นมากกว่าตัวแทนขาย เข้าไปมีส่วนร่วมให้คำปรึกษาตั้งแต่ก่อน-ระหว่าง-หลัง การพัฒนาโครงการ   เพื่อให้แต่ละโครงการมีรูปแบบที่เหมาะสมและตรงกับความต้องการของลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย และออกแบบกลยุทธ์การบริหารงานขายและการตลาดที่ตอบโจทย์ Customer-Centric และที่สำคัญคือเคียงข้างและให้คำปรึกษาลูกค้าผู้ประกอบการในทุกสถานการณ์ ไม่ทอดทิ้งลูกค้า ซึ่งในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจชะลอตัวนั้นลูกค้าหลายรายโดยเฉพาะรายใหญ่ล้วนมีการปรับตัวที่ดี   “นอกจากนี้พลัสฯ ยังได้ทำการสำรวจเทรนด์ความต้องการผู้บริโภคในปัจจุบันพบว่า คอนโดมิเนียมในทำเลที่เดินทางสะดวก มีการเชื่อมต่อด้านคมนาคมที่หลากหลาย ยังคงตอบโจทย์ลูกค้าในทุกยุคสมัย ในปีนี้ทำเลสุขุมวิทตอนกลางถือว่ามีความโดดเด่น ตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการความสะดวกในทุกด้านของการใช้ชีวิต”   อย่างไรก็ตาม หากดูจากเทรนด์ของโครงการใหม่ที่เปิดในปีนี้จะพบว่า ให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวของผู้อยู่อาศัย และมีการออกแบบ Facility ตลอดจนการบริการต่างๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะกลุ่มมากขึ้น และมีเทคโนโลยี IoT ใช้อำนวยความสะดวกในโครงการ จะได้รับความสนใจจากลูกค้ามากยิ่งขึ้น   ทั้งนี้ ธุรกิจ Sole Agent หรืองานบริหารงานขายของพลัสฯ ปัจจุบัน (เดือนพฤศจิกายน 2562) มีลูกค้ารวม 13 โครงการ มูลค่าโครงการโดยประมาณอยู่ที่ 14,000 ล้านบาท โดยมีสัดส่วนลูกค้ากลุ่มผู้ประกอบการรุ่นใหม่ 50%  กลุ่มบริษัทมหาชน 30% และกลุ่มทุนต่างชาติ 20%  
คอนโด สิงคโปร์ ราคาเท่าไร ซื้อ-ขายกันอย่างไร

คอนโด สิงคโปร์ ราคาเท่าไร ซื้อ-ขายกันอย่างไร

หลายครั้งที่ Reviewyourliving มักจะเล่าถึงคอนโดมิเนียมหลายๆ โครงการในบ้านเรามาให้ชมกัน แต่สำหรับบทความนี้ เราจะมาเล่าถึงคอนโดมิเนียมของประเทศสิงคโปร์ จากมุมมองของชาวสิงคโปร์เองดูกันบ้างค่ะ จะมีอะไรน่าสนใจ แตกต่างจากบ้านเราอย่างไร ต้องมาดูกันค่ะ   ประเทศสิงคโปร์มีขนาดพื้นที่ประมาณ 721.5 ตารางกิโลเมตร ใหญ่กว่าเกาะภูเก็ตในบ้านเราเล็กน้อย ซึ่งขยายจากเดิมด้วยการถมทะเลออกไปทางใต้ ตะวันออก และตะวันตก ขณะที่จำนวนประชากรมีกว่า 5.5 ล้านคน จึงถือว่ามีความหนาแน่นสูงที่สุดในโลกเป็นอันดับ 2 เลยทีเดียว แต่อย่าลืมว่าที่นี่ไม่มีคนเร่ร่อนอยู่เลยนะคะ แล้วแบบนี้รัฐบาลมีวิธีจัดการที่อยู่อาศัยให้รองรับประชาชนทุกคนได้อย่างไร ซึ่งเราก็ได้คำตอบจากการพูดคุยกับคนสิงคโปร์มาฝากกันค่ะ    80% ของคนสิงคโปร์ จะอาศัยอยู่ในการเคหะของรัฐบาล ซึ่งถือเป็นที่อยู่อาศัยเริ่มต้นที่มีราคาถูกที่สุด แต่จะอยู่ในทำเลชานเมืองเสียส่วนใหญ่ ซึ่งมีสิทธิ์ครอบครอง 99 ปี 999 ปี และตลอดชีวิต แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่รัฐบาลต้องการพื้นที่ก็ต้องขายคืน แต่ก็จะซื้อคืนด้วยราคาตลาด โดยราคาในปัจจุบันถ้า 2 ห้องนอน ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 60,000 เหรียญ    เมื่อเวลาผ่านไปคอนโดของการเคหะเริ่มเก่าแล้ว รัฐบาลก็จะไม่ปล่อยให้ทรุดโทรม โดยใช้วิธีสร้างแห่งใหม่ขึ้นมาแล้วซื้อที่เดิมคืน เพื่อให้คนย้ายเข้าไปอยู่อาศัยในแห่งใหม่ ถือเป็นการดูแลคุณภาพชีวิตประชาชนได้ดีทีเดียว   จากการอยู่อาศัยในการเคหะ หากต้องการขยับขยายก็ต้องเก็บเงินไปซื้อคอนโดของเอกชนต่อไป เพราะการกู้ซื้อที่อยู่อาศัยจะมีลักษณะแบบเดียวกันกับในประเทศไทยค่ะ คือการกู้กับธนาคาร แต่จะไม่มีการปล่อยกู้ 100% ฉะนั้นต้องมีการวางเงินดาวน์ในส่วนที่เหลือ โดยทางธนาคารจะมีเกณฑ์การพิจารณาจากอาชีพ รายได้ อายุ    เมื่อพูดถึงการเลือกซื้อคอนโดสักยูนิต คนสิงคโปร์จะเลือกพิจารณาจากราคาและทำเล โดยคอนโดมิเนียมใจกลางเมืองในทำเลที่แพงที่สุด คือย่าน Orchard ราคาประมาณ 4 ล้านเหรียญ ขนาด 3 ห้องนอน และได้สิทธิ์แบบ Freehold แต่ถ้าเป็นสิทธิ์ Leasehold 99 ปี ราคาก็จะลดลงมา เหลือประมาณ 1.5 ล้านเหรียญ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละโครงการ ส่วนทำเลที่ร์นิยมอยู่อาศัยกันมากที่สุด เมื่อก่อนจะนิยมอยู่ในย่าน Bishan หรือ Ang Mo kio เพราะถือเป็นพื้นที่ตรงกลางของประเทศ อยู่ใกล้กับใจกลางเมือง แต่ปัจจุบันก็กระจายไปยังส่วนอื่นๆ ด้วย  เช่น Buangkok, Sengkang      สิ่งที่น่าสนใจมากอย่างหนึ่งคือเรื่องของขนาดยูนิตค่ะ เพราะอย่างที่เล่าไปตอนต้นว่าประเทศสิงคโปร์มีพื้นที่ค่อนข้างจำกัด แต่ขนาดยูนิตในคอนโดก็ไม่ได้เล็กตามเลยนะคะ เพราะห้องสตูดิโอจะมีขนาด 30 ตร.ม. ขึ้นไป ขณะที่ยูนิตไซส์ประมาณ 60 ตร.ม. จะเป็นหนึ่งห้องนอน ขณะที่พื้นที่ประมาณ 70 ตร.ม. จะเป็นสองห้องนอน โดยสมัยก่อนทั้งโครงการ จะมี 200-300 ยูนิต  แต่ปัจจุบันโครงการรุ่นใหม่ทำออกมาประมาณ 500 ยูนิต เพราะขนาดห้องเล็กลง     “ที่สิงคโปร์สมัยก่อนห้องสตูดิโอมีขนาด 40-60 ตร.ม. แต่ทุกวันนี้เหลือแค่ 30 กว่าตร.ม. หรือที่เรียกกันว่า Shoebox Condominium”    ชาวสิงคโปร์เรียกห้องสตูดิโอ ไซส์ประมาณ 30 ตร.ม.ว่า Shoebox Condominium แค่ฟังชื่อก็สะท้อนให้เห็นแล้วใช่ไหมคะ ว่าคนสิงคโปร์แม้ส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมบนคอนโด แต่ไซส์ห้องที่เพียงพอต่อความต้องการจริงๆ นั้น ต้องมีความกว้างอยู่พอสมควร หากลองเทียบกับในเมืองไทยที่ปัจจุบันมีขนาดเริ่มต้นให้เราเห็นกันที่ 22 ตร.ม. เท่านั้น  หลักเกณฑ์ของรัฐบาลสิงคโปร์ต่อการดูแลที่อยู่อาศัย อ่านมาถึงตรงนี้แล้วก็อาจจะเกิดความคิดว่า แบบนี้ก็ซื้อคอนโดของการเคหะไปเลยจะดีกว่าไหม? เพราะทั้งราคาถูกกว่า ขนาดยูนิตกว้างกว่า การเดินทางก็สะดวกสบายอยู่แล้วด้วย แต่ในเรื่องของการซื้อที่อยู่อาศัยใหม่ รัฐบาลก็มีการกำหนดเงื่อนไขอื่นๆ ตามมาอีก โดยดูจากเกณฑ์รายได้ เช่น ถ้ามีเงินเดือนเกิน 13,500 เหรียญ หรือเป็นคนโสดอายุ 35 ปีขึ้นไป ก็ไม่สามารถซื้อคอนโดของการเคหะได้แล้วนะคะ จะต้องไปซื้อคอนโดมิเนียมของเอกชน แต่ถ้ามีครอบครัวแล้วจะดูรายได้ครอบครัวเป็นหลัก ถ้ารวมกันแล้วมากกว่า 7,000 เหรียญ ก็จะซื้อห้องขนาด 3-4 ห้องนอนขึ้นไป เป็นต้น  เห็นถึงการจัดเรื่องที่อยู่อาศัยแบบนี้แล้ว ก็ใช่ว่าจะไม่มีปัญหาเกิดขึ้นเลยนะคะ เพราะปัจจุบันสังคมผู้สูงอายุก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดปัญหาขึ้นได้ในอนาคตคล้ายกับในประเทศญี่ปุ่น เพื่อป้องกันการเกิดปัญหา รัฐบาลก็เตรียมวิธีรับมือกับปัญหานี้อยู่หลายทาง อย่างการสร้างที่อยู่อาศัยของการเคหะในทำเลที่เข้ามาในเมืองมากขึ้น เช่น ย่านไชน่าทาวน์ ด้วยเหตุผลที่คนรุ่นใหม่มักจะนิยมซื้อคอนโดทำเลในเมืองมากขึ้น จนในอนาคตทำเลของการเคหะในเขตเดิมอาจกลายเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของผู้สูงอายุ ฉะนั้นซื้อคอนโดของการเคหะรุ่นใหม่ๆ จึงมีจุดประสงค์ในการทำให้คนรุ่นใหม่ได้อยู่ใกล้ชิดกับครอบครัวเดิมด้วย ไม่จำเป็นต้องเข้าเมืองเพียงอย่างเดียว     อีกเรื่องที่สำคัญมากไม่แพ้กัน คือ รายได้ของผู้สูงอายุไม่เพียงพอหลังจากเกษียณ จึงได้มีมาตรการที่สามารถขายสิทธิ์ที่อยู่อาศัย Leasehold ของตัวเองได้สำหรับปีสัญญาที่เหลือ เช่น หลังจากเกษียณแล้วเหลือสัญญาอีก 30 ปี แล้วขายให้รัฐบาลไป 10 ปี ก็จะได้เงินจำนวนนี้มาใช้หลังเกษียณ และหากมีชีวิตอยู่ต่อ ไม่ถึง 20 ปี สิทธิ์ที่เหลือ รัฐบาลก็จะจ่ายเงินให้กับลูกหลาน แต่ลูกหลานจะไม่ได้สิทธิ์อยู่ต่อตามสัญญาที่เหลือ      เป็นอย่างไรกันบ้างคะ สำหรับวิถีของคนคอนโดในประเทศสิงคโปร์ ทั้งในแง่ของขนาดยูนิตและการบริหารจัดการจากทางรัฐบาลน่าสนใจมากทีเดียวใช่ไหมคะ น่าเอามาปรับใช้ในบ้านเราอยู่หลายอย่างเลย สุดท้ายโอกาสหน้าเราจะนำข้อมูลดีๆ มาเล่าให้กันฟังอีกนะคะ 
พร็อพเพอร์ตี้ กูรู เปิด 7 เทรนด์อสังหาฯ ปี 63

พร็อพเพอร์ตี้ กูรู เปิด 7 เทรนด์อสังหาฯ ปี 63

พร็อพเพอร์ตี้กูรู เตรียมจัดงาน Asia Real Estate Summit 2019 ระดมกูรูด้านอสังหาฯ และวิทยากรชั้นนำทั่วโลก ชี้เทรนด์อสังหาฯ ในปีหน้า ชูไฮไลท์เรื่องเทคโนโลยี กำลังจะเข้ามาผลิกโฉมวงการที่อยู่อาศัย พร้อมเปิด 7 เทรนด์อสังหาฯ​ ไทยในปี 63      นายเจสัน เกรกอรี กรรมการผู้จัดการ พร็อพเพอร์ตี้ กูรู อินเตอร์ชันแนล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทได้เตรียมจัดงานสัมมนาให้ความรู้ด้านอสังหาริมทรัพย์  "Asia Real Estate Summit 2019" ระหว่างวันที่ 21-22 พฤศจิกายน 2562  โรงแรม The Athenee Hotel, a Luxury Collection Hotel, Bangkok โดยภายในงานวิทยากรผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจอสังหาฯ  และที่เกี่ยวข้องระดับโลก มาร่วมบรรยายสถานการณ์ตลาดในปัจจุบัน พร้อมอัพเดทเทรนด์การเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ ต่อวงการอสังหาฯ ในอนาคต   สำหรับหัวข้อที่น่าสนใจ อาทิ การออกแบบให้เหมาะกับมนุษย์ : โซลูชั่นที่ชาญฉลาดและการบูรณาการแบบครบวงจรที่มนุษย์ต้องการ บรรยายโดย Tim Kobe ผู้ก่อตั้ง Eight,lnc และผู้สร้างต้นแบบของ Apple Store หรือ Charles Reed Anderson ผู้ก่อตั้ง CRA & Associates บรรยายในหัวข้อ “การสร้างอาคารที่ปลอดภัยและระบบนิเวศที่ชาญฉลาด สำหรับบ้านของคนเอเชีย” ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับ วิธีการพัฒนาเทคโนโลยี ที่สามารถตระหนักถึงการสร้างเมืองอัจฉริยะที่แท้จริง เป็นระยะต่อไปของ Internet of Things (IoT) ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคอสังหาฯ ในเอเชีย ทั้งปัจจุบันและอนาคตอย่างไร   นายเจสัน กล่าวอีกว่า ภายในงานยังมีการอภิปรายเกี่ยวกับเทคโนโลยี 5G ในหัวข้อ "5G การปลดปล่อยคลื่นลูกใหม่แห่งการเชื่อมต่อ" เป็นการนำเสนอประเด็น ความก้าวหน้าของ Internet of Things (IoT) ในอาคารและบ้านอัจฉริยะของคนเอเชีย การแนะนำและการปรับใช้เทคโนโลยี 5G สามารถพัฒนาเมืองอัจฉริยะได้อย่างไร ความน่าเชื่อถือของอุปกรณ์ที่รองรับ Bluetooth 5.1 และ Wi-Fi 6 และคุณสมบัติการเชื่อมต่อในภูมิภาค ซึ่งจะมีผู้ร่วมอภิปราย ได้แก่ นายอัศนีย์ วิภาตเวทย์ หัวหน้าส่วนงานผลิตภัณฑ์ลูกค้าองค์กร และบริการระหว่างรประเทศ AIS ดร.เจษฎา ศิวรักษ์ หัวหน้าฝ่ายรัฐกิจและธุรกิจสัมพันธ์ บริษัท อีริคสัน (ประเทศไทย) จำกัด และ Look Fan หัวหน้ากลุ่มทุน TechNode “ไฮไลท์ของงานครั้งนี้ จะเป็นเรื่องเทคโนโลยี และเทรนด์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งเทรนด์ที่เกิดขึ้นในการพัฒนาอสังหาฯ ปัจจุบัน คือ การพัฒนาโครงกางการไปตามแนวเส้นทางการเดินทางของคน เช่น ระบบรถไฟฟ้า จากเมื่อก่อนอสังหาฯ จะถูกพัฒนาในเขตซีบีดี ในใจกลางเมืองธุรกิจ แต่วันนี้ไม่ใช่ซีบีดีอาจจะอยู่พื้นที่รอบนอก แต่เดินทางเข้ามาในเมืองได้”สำหรับเทรนด์ตลาดอสังหาฯ ประเทศไทยที่จะเกิดขึ้นในปี 2563 กูรูพร็อพเพอร์ตี้ มองว่าจะมี 7 เรื่องดังนี้   1.ผู้บริโภคยุคมิลเลนเนียล เลือกซื้ออสังหาฯ โดยมองเรื่องการลงทุนเป็นหลัก ต่างจากผู้บริโภคในอดีตที่ต้องการซื้ออสังหาฯ เพื่อการอยู่อาศัยร่วมกับคนในครอบครัว   2.ตลาดอสังหาฯ​ในเมืองไทย มีความหลากหลายมากที่สุด ด้านราคามีตั้งแต่ราคาต่ำสุดไปจนถึงแพงสุด โดยตลาดที่เป็นกลุ่มใหญ่ คือ ตลาดระดับราคาที่คนส่วนใหญ่เข้าถึงได้ ในราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทลงมา   3.ทำเลการพัฒนาอสังหาฯ ยังมุ่งเน้นตามแนวรถไฟฟ้า แต่มีการพัฒนาพื้นที่ใหม่สำหรับตลาดอสังหาฯ อย่างเช่น พื้นที่อีอีซี ทำให้มีการขยายพื้นที่การพัฒนาออกไปรองรับ เช่น โซนบางนา     4.ผู้ประกอบการหันมาพัฒนาโครงการในรูปแบบมิกซ์ยูสเพิ่มมากขึ้น เพื่อสร้างจุดขาย และตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนในยุคปัจจุบันมากขึ้น   5.ทิศทางการพัฒนาอสังหาฯ ในปี 2563 ผู้ประกอบการยังลงทุนต่อเนื่อง แม้ว่าภาพรวมตลาดจะยังไม่เติบโต แต่ไม่ถึงกับติดลบ ซึ่งรูปแบบการพัฒนาจะมีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น มีการพัฒนารูปแบบใหม่ เช่น การพัฒนาที่อยู่อาศัยรวมกับโรงแรม ซึ่งผู้ประกอบการแต่ละรายจะพัฒนารูปแบบโครงการ ตามความถนัดของตนเอง ในแต่ละเซ็กเมนต์   6.ดีเวลลอปเปอร์จะพัฒนาโครงการ โดยขยายตลาดไปสู่กลุ่มเป้าหมายชาวต่างชาติเพิ่มมากขึ้น จากเดิมที่โฟกัสตลาดคนไทยเป็นหลัก โดยเฉพาะในพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญ อาทิ พัทยา และจังหวัดภูเก็ต   7.การนำเอาเทคโนโลยี เข้ามาช่วยในด้านการขายอสังหาฯ เช่น การใช้เทคโนโลยี 3D เพื่อดูห้องตัวอย่างและโครงการ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นในต่างประเทศแล้ว รวมถึงเทคโนโลยีอื่นๆ มีโอกาสที่ถูกนำเข้ามาใช้ประเทศไทย เช่น ฟินเทค ระบบการประเมินคุณสมบัติผู้กู้ซื้ออสังหาฯ ผ่านช่องทางออนไลน์ หรือ Home Loan Pre Approval Online เป็นต้น   “ปีหน้าตลาดอสังหาฯ ยังมีความเคลื่อนไหวอยู่ แต่จะมีความไดนามิกซ์มาก ยังมีการเปิดโปรเจ็กต์ใหม่ แม้จะน้อยลง ผู้ประกอบการแต่ละราย จะปรับตัวไปตามความถนัดของตัวเอง”        
“พฤกษา” ยังท็อปฟอร์ม โชว์ผลงาน Q3 ครองแชมป์เบอร์ 1 ตลาดอสังหา

“พฤกษา” ยังท็อปฟอร์ม โชว์ผลงาน Q3 ครองแชมป์เบอร์ 1 ตลาดอสังหา

พฤกษา โชว์ฟอร์มไตรมาส 3 ยังรักษาแชมป์ผู้นำเบอร์ 1 ตลาดอสังหาฯ ทำยอดขายได้ 14,113 ล้านบาท เติบโต 15%  และมีกำไร 916 ล้านบาท เตรียม 3 กลยุทธ์โค้งท้ายปีกระตุ้นเป้าหมาย พร้อมขน 9 โครงการเปิดตัว มูลค่า 8,800 ล้านบาท   นางสุพัตรา เป้าเปี่ยมทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลประกอบการในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมาว่า บริษัทยังคงสร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และรักษาความเป็นผู้นำตลาด โดยมียอดขาย 14,113 ล้านบาท เติบโต 15% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า แต่ลดลง 4.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีรายได้ 8,517 ล้านบาท เติบโต  9.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน แต่ลดลง 23.4% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และมีกำไรอยู่ที่ 916 ล้านบาท ลดลง 1.8% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และลดลง 42.4% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา   ด้านผลประกอบการในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา บริษัททำยอดขายได้ 37,480 ล้านบาท ลดลง 3.7% มีรายได้ 28,179 ล้านบาท ลดลง 6.8% และมีกำไร 3,534 ล้านบาท ลดลง 12% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน  ซึ่งไตรมาส 3 ที่ผ่านมาบริษัทเปิดโครงการใหม่ ไม่ได้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ เนื่องจากบางทำเลยและบางโครงการ  ยังไม่ผ่านเกณฑ์ในการพิจารณาเปิดโครงการของบริษัท และในบางทำเลยังมีปริมาณลูกค้าไม่มากพอ ทำให้บริษัทเปิดโครงการทั้ง 14 โครงการ มูลค่า 15,396 ล้านบาท เลื่อนเปิด 4 โครงการไปในไตรมาสสุดท้ายและปีหน้า  จากแผนเดิมเปิด 18 โครงการ มูลค่า 18,683 ล้านบาท   “แม้ว่าสภาวะตลาดในไตรมาส 3 จะชะลอตัว การเปิดโครงการใหม่ของพฤกษา ยังมีอัตราการสูงขึ้นถึง 30% ดีกว่าตลาดที่มีอัตราการขายเฉลี่ย 27% สะท้อนความสำเร็จของกลยุทธ์ การเลือกเปิดตัวโครงการ Right Location Right Time และ Right Target” ยังรักษาแชมป์ผู้นำเบอร์ 1 ตลาดอสังหาฯ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าตลาดรวมที่มีกำลังซื้อชะลอตัวลง แต่บริษัทยังคงรักษาความเป็นผู้นำตลาดเบอร์ 1 ด้วยส่วนแบ่งตลาดสูงสุดอยู่ที่ 12% จากมูลค่าตลาดรวม 299,789 ล้านบาท และยังคงรักษาความเป็นผู้นำใน 3 ตลาดหลัก ได้แก่  ผู้นำตลาดเบอร์ 1 ในตลาดทาวน์เฮ้าส์ ด้วยสัดส่วน 22%  จากมูลค่าตลาดรวม 60,625 ล้านบาท ผู้นำตลาดเบอร์ 1 ตลาดคอนโดฯ สัดส่วน 9% จากมูลค่าตลาดรวม 160,293 ล้านบาท  ส่วนตลาดบ้านเดี่ยวและบ้านแฝด  พฤกษามีส่วนแบ่ง 8% อยู่ในอันดับ 5 จากมูลค่าตลาดรวม 73,832 ล้านบาท   โดยยอดขายในไตรมาส 3 มูลค่า 14,113 ล้านบาท  แบ่งเป็น กลุ่มคอนโดฯ  มูลค่า 6,734 ล้านบาท เติบโต 51.7% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และเติบโต 17.6% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา กลุ่มคอนโดฯ-แวลู  มียอดขาย 3,749 ล้านบาท เติบโต  151.3% จากไตรมาสก่อนหน้า และเติบโต 8.2% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา กลุ่มคอนโดฯ พรีเมียม มียอดขาย 2,985 ล้านบาท  เติบโต 1.3% จากไตรมาสก่อนหน้า และเติบโต 31.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนกลุ่มทาวน์เฮ้าส์ 5,480 ล้าบาท  ลดลง 1.1% จากไตรมาสก่อนหน้า และลดลง 19.3% จากปีที่ผ่านมา ส่วนกลุ่มบ้านเดี่ยว มียอดขาย 1,899 ล้านบาท ลดลง 17.4% จากไตรมาสก่อนหน้า และลดลง 14.7% จากปีที่ผ่านมา   ส่วนรายได้ในไตรมาส มูลค่า 8,517 ล้านบาท แบ่งเป็น  กลุ่มคอนโดฯ มูลค่า 2,809 ล้านบาท  เติบโต 6.9% จากไตรมาสก่อนหน้า แต่ลดลง 27.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน  กลุ่มคอนโดฯ-แวลู มีรายได้ 1,454 ล้านบาท ลดลง 31.5% จากไตรมาสก่อนหน้า  และลดลง 62.6% จากช่วงเดียวของปีก่อน กลุ่มคอนโดฯ พรีเมียม มีรายได้ 1,355 ล้านบาท เติบโต 168.4% จากไตรมาสก่อนหน้า กลุ่มทาวน์เฮ้าส์ มีรายได้ 3,923 ล้านบาท  เติบโต 6.5% จากไตรมาสก่อนหน้า แต่ลดลง 25.4% จากปีที่ผ่านมา และกลุ่มบ้านเดี่ยว มีรายได้  1,776 ล้านบาท  ลดลง​ 21.5% จากไตรมาสก่อนหน้า และลดลง 9.5% จากปีที่ผ่านมา   เดินหน้าเปิด 9 โปรเจ็กต์ใหม่ไตรมาสท้าย สำหรับแผนเปิดโครงการใหม่ในไตรมาสสุดท้าย บริษัทเตรียมเปิดตัวอีก 9 โครงการ มูลค่า 8,800 ล้านบาท โดยเลือกเปิดตัวโครงการที่มีศักยภาพ โดยบริษัทเตรียม 3 กลยุทธ์สำคัญในไตรมาสสุดท้าย เพื่อผลักดันยอดขายและรายได้ ได้แก่ 1.การขยายตลาดไปสู่เซ็กเม้นต์ที่มีศัยกภาพ  เป็นการขยายตลาดไปยังกลุ่มบนมากขึ้น โดยเฉพาะตลาดบ้านเดี่ยวภายใต้แบรนด์ภัสสร ในระดับราคา 7-10 ล้านบาท และแบรนด์เดอะปาล์ม ในระดับราคา 10-15 ล้านบาท   กลยุทธ์ที่ 2 การเปิดโครงการใหม่จะมุ่งเน้น กลยุทธ์ Right Location, Right Timing และ Right Target  และ 3.การใช้ดิจิทัล มาร์เก็ตติ้ง เพื่อสร้างยอดขายและการตลาด โดยบริษัทยังมียอดขายที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) ที่สามารถรับรู้เป็นรายได้ในปีนี้อยู่ที่ 16,092 ล้านบาท นอกจากนี้  บริษัทได้เตรียมร่วมกับธนาคารพันธมิตร ในการช่วยเตรียมความพร้อมให้ลูกค้ากู้ผ่านได้ง่ายยิ่งขึ้น หลังจากที่ผ่านมาธนาคาเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ ทำให้อัตราการปฎิเสธสินค้ามีถึง 8%   โดยทั้งนี้บริษัทได้มีแผนช่วยเหลือลูกค้า ที่มีปัญหาการกู้เงินไม่ผ่าน  ให้กลับบ้านซื้อบ้านได้อีกครั้งผ่านโปรแกรม Win back ซึ่งช่วยเพิ่มยอดขายให้กับบริษัทได้ถึง 4,878 ล้านบาท คิดเป็น 13% ของยอดขายรวม   “กลยุทธ์ตลาดคอนโดฯ ยังคงมุ่งเน้นการพัฒนาโปรดักส์ ทำเลที่มีศักยภาพ ใกล้รถไฟฟ้า ต่อไปจะพัฒนาโลว์ไรซ์มากขึ้น เพื่อป้องกันควาเสี่ยง และได้รายได้กลับมาเร็ว”   ด้านภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลในไตรมาส 3 มีมูลค่าตลาดฯ ติดลบถึง 35% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีปัจจัยลบจากสถานการณ์เศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัวต่อเนื่องมาตั้งแต่ช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา รวมไปถึงมาตรการ LTV และการปล่อยสินเชื่อของธนาคารที่เข้มงวดขึ้น โดยทั้งนี้บริษัทฯ ได้มีแผนช่วยเหลือลูกค้าที่มีปัญหาการกู้เงินไม่ผ่านให้กลับบ้านซื้อบ้านได้อีกครั้งผ่านโปรแกรม Win back ซึ่งช่วยเพิ่มยอดขายให้กับบริษัทฯ ได้ถึง 4,878 ล้านบาท คิดเป็น 13% ของยอดขายรวม   “ในไตรมาสสุดท้ายสิ่งที่กังวลมากที่สุด คือ บรรยากาศ ที่มีข่าวไม่ดีเยอะ ซึ่งตลาดยังมีความต้องการ คนยังต้องการมีบ้านอีกมาก ปีนี้บริษัทน่าจะรายได้ 45,000 ล้านบาท อาจจะไม่ถึงเป้าหมายที่วางไว้ ส่วนพรีเซลล์น่าจะทำได้ 50,000 ล้านบาทและทำได้ใกล้เคียงเป้าหมายมากที่สุด”  
รีวิวคอนโดของคนรักสุขภาพ Sena-Azu Rama 9

รีวิวคอนโดของคนรักสุขภาพ Sena-Azu Rama 9

Sena-Azu Rama 9 หากพูดถึงคอนโดแนว Wellness ส่วนใหญ่ก็มักจะนึกถึงคอนโดสำหรับผู้สูงอายุ ออกแบบภายในยูนิตให้ปลอดภัยมากขึ้น ตั้งอยู่ใกล้โรงพยาบาล ในโซนชานเมืองที่เงียบสงบ แต่สำหรับ SENA Development ไม่ได้คิดเพียงเท่านี้ เพราะเมื่อพูดถึงเรื่องของการดูแลรักษาสุขภาพ คนรุ่นใหม่ก็ให้ความสำคัญไม่แพ้กัน   Sena-Azu Rama 9 คอนโดมิเนียมแนวคิดใหม่ สำหรับคนใส่ใจด้านสุขภาพโดยเฉพาะ ไม่ใช่แค่มี Facilities รองรับการออกกำลังกาย หรือภายในยูนิตออกแบบ Universal Design แต่ยังจับมือกับโรงพยาบาลกรุงเทพฯ ด้วยการมอบบัตรสมาชิกชิววัฒนะ บริการตรวจสุขภาพ ส่วนลดการรักษา บริการรถพยาบาลฉุกเฉินสำหรับลูกบ้านในโครงการ ฯลฯ และ FIT Thailand ที่จะมีการจัด Work Shop จากเทรนด์เนอร์พิเศษเพื่อลูกบ้านโดยเฉพาะ ชื่อโครงการ SENA – AZU RAMA 9 (เสนา – อาศุ พระราม 9)  เจ้าของโครงการ เสนา ฮันคิว ที่ตั้งโครงการ ถ.พระราม 9 แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ 10310 พื้นที่โครงการ  8-2-59 ไร่  ลักษณะโครงการ Low Rise  จำนวนอาคาร 3 อาคาร  จำนวนชั้น 8  จำนวนยูนิต 1,813 ยูนิต  ขนาดห้อง  A1  1 Bedroom 32.00 – 33.00 ตร.ม. B1   1 Bedroom Plus (Living Plus)  44.00 – 45.50 ตร.ม. B2   1 Bedroom Plus (Bed Plus)  44.00 ตร.ม. C1   2 Bedroom 54.00 – 55.00 ตร.ม. C2   2 Bedroom 51.50 – 52.50 ตร.ม.   ที่จอดรถ 70 % (ไม่รวมซ้อนคัน) + ที่จอดมอเตอร์ไซต์ 23 คัน สิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลาง Swimming Pool, Fitness, Yoga Room, Co-Working Space, Jogging Track, 24 Concierge Servic, SENA 360 Service Application ราคาเริ่มต้น 2.89 ล้านบาท  ราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตร ประมาณ 80,000 บาท/ตร.ม. ค่าส่วนกลาง 52 บาท/ตร.ม. ค่ากองทุน 520 บาท/ตร.ม. จุดเด่นโครงการ คอนโดแนวคิด Wellness รูปแบบใหม่ที่ตั้งอยู่ในทำเลใจกลางเมืองมากที่สุด พร้อมสิทธิพิเศษแก่ลูกบ้านโดยเฉพาะจากโรงพยาบาลกรุงเทพ และ FIT Thailand ระบบขนส่งสาธารณะใกล้เคียง รถไฟฟ้าสายสีส้ม สถานีวัดพระราม 9  จุดขึ้น-ลงทางด่วน ทางด่วนฉลองรัช สถานที่ใกล้เคียง  Big C, Central Plaza Grand Rama 9, Fortune Town, Central Festival East Ville, คลินิกศูนย์แพทย์ฯ, โรงพยาบาลปิยะเวช, โรงพยาบาลกรุงเทพ, โรงพยาบาลกรุงเทพ, โรงเรียนสมาคมไทย-ญี่ปุ่น, โรงเรียนนานาชาติสิงคโปร์, สวนสุขภาพห้วยขวาง, สวนพรรณภิรมย์, สวน รฟม. พระราม9 ภาพ Facilities ภาพห้องตัวอย่าง   รายละเอียดโครงการเพิ่มเติม Sena-Azu Rama 9 โครงการอื่นๆ จากเสนา PITI SUKHUMVIT 101 Niche MONO Sukhumvit-Puchao เสนา แกรนด์โฮม รังสิต-ติวานนท์ เสนา วิลล์ ลำลูกกา คลอง 6
สำรวจคอนโดตระกูล Life ย่านพระราม 9 

สำรวจคอนโดตระกูล Life ย่านพระราม 9 

ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ ถ้าพูดถึงทำเลที่สุดแสนจะร้อนแรง จน Developer ค่ายใหญ่ต่างพร้อมใจกันกระโดดลงไปเล่นช่วงชิงตลาดกันให้คึกโครมจนเกิดนิยามใหม่ขึ้นมาสำหรับย่านนี้โดยเฉพาะนั่นคือ NEW CBD แน่นอนว่าเรากำลังเอ่ยถึงย่านพระราม 9 โดยเฉพาะช่วงสี่แยกพระราม 9    ศักยภาพของทำเลที่ได้ขึ้นชื่อกันว่าเป็น New CBD แน่นอนว่าต้องมีความสมบูรณ์ในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของการเป็นแหล่งงานของหลายบริษัทชั้นนำบนอาคารออฟฟิศเกรดเอ ศูนย์การค้า ไฮเปอร์มาร์เกต สถานที่สำคัญอื่นๆ เช่น สถานฑูต เป็นต้น และเรื่องของการเดินทางไม่ว่าจะด้วยรถยนต์ส่วนตัว หรือระบบขนส่งสาธารณะจะต้องสามารถเข้าถึงได้ง่าย ภาพรวมก็คือย่านที่เป็นศูนย์กลางการขับเคลื่อนของเศรษฐกิจ    ทุกวันนี้ถ้าผ่านไปแถวสี่แยกพระราม 9 ไม่ว่าจะบนถนนหรือทางด่วนก็จะเห็นคอนโดหลายๆ โครงการก่อสร้างขึ้นเป็นรูปเป็นร่างให้เราได้เห็นกันจนแทบแยกไม่ออกว่า อาคารไหนคือโครงการอะไร เพราะความที่ใกล้กันมากเหลือเกินค่ะ ซึ่งคอนโดแบรนด์ที่เราจะพามาอัพเดทกันมีความน่าสนใจมากค่ะ เพราะในโซนใกล้เคียงกัน AP (Thailand) ยกมาถึง 3 โครงการด้วยกัน นั่นคือ Life แบรนด์ที่ถูกปลุกขึ้นมาใหม่ให้ดียิ่งกว่าที่เคย หากใครที่ลองติดตามแบรนด์ Life ก็จะเห็นการพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ นี่ยังไม่นับแบรนด์ RHYTHM อีก 2 โครงการในละแวกเดียวกันนะคะ แสดงว่าทาง AP (Thailand) รวมถึงค่ายอื่น ก็ต้องมั่นใจในศักยภาพของทำเลนี้มาก ถึงได้กลายเป็นอีกหนึ่งทำเลที่มีการแข่งขันกันดุเดือดตั้งแต่ช่วงเริ่มเปิดโครงการ และเชื่อว่าตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไปที่จะเริ่มมีการโอนกรรมสิทธิ์ในโครงการใหม่ๆ ก็จะยิ่งมีโปรโมชั่นออกมาอย่างน่าสนใจ        Life Asoke-Rama 9  ถ้าเราใช้รถไฟฟ้าใต้ดินมาขึ้นที่สถานีพระราม 9 แล้วเดินข้ามสี่แยกพระราม 9 มาจากฝั่งฟอร์จูนทาวน์ ประมาณ 300 เมตร ก็จะพบกับ Life Asoke-Rama 9 ซึ่งเปิดตัวไปเมื่อปี 2560 เป็น High-Rise 2 อาคาร สูง 42 กับ 45 ชั้น รวม 2,248 ยูนิต Studio-2 Bedroom ขนาด 25 – 58 ตร.ม. พื้นที่โครงการ 8-3-11 ไร่ ขายแบบ Fully Fitted โดยการวางผังยูนิตของ Life Asoke-Rama 9 จะใช้เทคนิค New Interlocked Layout ทำให้ได้ห้องหน้ากว้างมากขึ้นถึง 5-7 เมตร เน้นฟังก์ชั่นการใช้งานที่เป็นสัดส่วนมากขึ้น สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามไลฟ์สไตล์ และได้ห้องครัวปิด        โครงการนี้โดดเด่นตรงที่พื้นที่ส่วนกลางบน Rooftop รวมกว่า 1.5 ไร่ เป็นสะพาน Sky Bridge เชื่อมต่อระหว่างสองอาคาร ยังไม่รวมส่วนกลางชั้นอื่นๆ ซึ่งถ้ารวมกันทั้งโครงการแล้วก็จะมีพื้นที่ส่วนกลางถึง 7.5 ไร่เลยทีเดียว ส่วน Facilities อื่นๆ ที่น่าสนใจก็จะมี 24-HOUR CONNECTED WORLD สามารถเชื่อมต่อ Wi-fi ในพื้นที่ส่วนกลางทุกจุด รองรับกับพื้นที่ Co-working Space ที่ถูกแบ่งตามการใช้งานจริงไม่ว่าจะทำงานคนเดียวหรือมีการนัดประชุม   ราคาเริ่มต้นช่วงเปิดตัวโปรโหมดกันอยู่ที่ 2.75 ล้านบาท ซึ่งมีข่าวออกมาว่าสามารถปิดยอดขายได้ประมาณ 90% ไปได้พร้อมๆ กับตัว Life One Wireless กับ Life Ladprao ที่เปิดตัวในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน ทำให้ส่งผลไม่น้อยกับให้ยอดขายรวมในปี 2560 ของ AP (Thailand) ทำสถิติเติบโต 85% ทะลุเป้าถล่มทลาย โดยปัจจุบันซื้อ-ขายกันที่ราคาเริ่มต้นประมาณ 2.8 ล้านบาทขึ้นไป และจะเริ่มโอนกรรมสิทธิ์กันในปีหน้า ซึ่งใกล้จะ Sold Out เต็มที      Life Asoke Hype  ตัวนี้เปิดตัวพร้อมๆ กันกับ Life Ladprao Valley ซึ่งออกตัวมาว่าถ้าซื้อเพื่อลงทุนจะคุ้มค่าแค่นอน ด้วยผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าประมาณ 5 – 6% ประกอบกับทำเลย่านนี้ก็มีชาวเอเชียมาอาศัยอยู่ไม่น้อย เช่น จีน ฮ่องกง สิงคโปร์ เป็นต้น โดย Life Asoke Hype เรียกได้ว่าเป็นรุ่นน้องของ Life Asoke-Rama 9 เพราะที่ดินใกล้เคียงกันมาก ใช้ทางเข้า-ออกเดียวกันตรงฝั่งถ.อโศก-ดินแดง แต่ตัวนี้จะสามารถเข้า-ออกทางฝั่งถ.จตุรทิศ เป็นหลักได้ด้วย      Life Asoke Hype เป็น High Rise สูง 40 ชั้น 1,253 ยูนิต+4 Shop Studio-2 Bedroom ขนาด 25.5-64 ตร.ม. บนพื้นที่ 5-0-10 ไร่ และมี Layout แบบใหม่จาก AP มาลงโครงการนี้ที่แรก โดยโครงการนี้จะโดดเด่นด้านงานดีไซน์ ที่ออกแบบด้วยการใช้สีแดงเข้มมาแต่งแต้มเพิ่มมิติให้ตัวอาคารมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แบบที่ถ้าอาคารสร้างเสร็จ มองมาปุ๊บก็รู้ทันที่ว่านี่คือ Life Asoke Hype ประกอบกับวัสดุตกแต่งและเฟอร์นิเจอร์ที่สั่งทำ Custom Made พิเศษขึ้นมาทำให้ มีความ Unique โดดเด่นไม่เหมือนใคร ตามสไตล์คนรุ่นใหม่ที่ชอบเป็นตัวของตัวเอง ขณะที่ Facilities เองก็ยังคงตอบรับกับกลุ่มคนยุคใหม่เช่นเดียวกัน อย่างการมีปลั๊กไฟอยู่ให้ทุกจุดที่นั่ง พร้อมฟรี Wifi ส่วนสระว่ายน้ำก็มีมาให้ถึง 2 สระ ที่ชั้น 7 ยาว 30 เมตร ชั้น 40 L-Shape Sky Pool และฟิตเนสถึง 2 ชั้น  บนชั้น Roof Top เชื่อมด้วยสะพานพื้นกระจกใส เรียกได้ว่าพัฒนาให้ดูทันสมัย ตอบโจทย์การใช้งานจริงมากขึ้น      ราคาเปิดตัว 2.89 ล้านบาท ปัจจุบันราคาเริ่มต้น 1 Bedroom ราคา 3.99 ล้าน กำหนดสร้างเสร็จประมาณปี 2564       Life Asoke โครงการนี้จะอยู่ห่างจากสี่แยกพระราม 9 ออกมาสักหน่อยค่ะ แต่จะอยู่ติดกับแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ สถานีมักกะสัน โดยมีสะพานเชื่อมเดินเข้าสถานีได้เลย และยังเป็นจุด Interchang กับ MRT เพชรบุรี รวมถึงใกล้จุดขึ้น-ลงทางด่วนศรีรัช ด่านอโศก Life Asoke จึงถือว่ามีความโดดเด่นในด้านของทำเลการเดินทางอย่างมาก            Life Asoke คอนโดมิเนียม High Rise 35 ชั้น 1,642 ยูนิต Studio-2 Bedroom ขนาด 24–54 ตร.ม. บนพื้นที่ 6-2-85 ไร่ แม้ปัจจุบันจะ Sold Out เรียบร้อยแล้ว แต่ด้วยทำเลทำให้กลายเป็นคอนโดที่ปล่อยเช่าต่างชาติได้ค่อนข้างดีทีเดียว ราคารีเซลที่ตามหากันได้ตอนนี้จะเริ่มต้นประมาณ 4.6 ล้านาท            
“เรียลแอสเสท” เจอพิษ LTV เดินหน้าปรับกลยุทธ์บุกตลาดแนวราบ

“เรียลแอสเสท” เจอพิษ LTV เดินหน้าปรับกลยุทธ์บุกตลาดแนวราบ

เรียลแอสเสท โดนผลกระทบ LTV เร่งปรับกลยุทธ์ธุรกิจครึ่งปีหลัง ต่อเนื่องจนถึงปีหน้า บุกตลาดแนวราบในพื้นที่โซนตะวันออก ชี้ยังมีศักยภาพสูงจากระบบคมนาคมรอบด้าน ขณะที่แผนปี 63 เตรียมเปิด 3 โปรเจ็กต์ 3,600 ล้าน นายบดินทร์ธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ ได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมสินเชื่อที่อยู่อาศัยใหม่ (LTV)  ของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ที่เริ่มใช้วันที่ 1 เมษายน 62 ที่ผ่านมา ประกอบกับตัวลูกค้าประสบปัญหาหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาหนี้ครัวเรือนสูง  ส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์มีความเข้มงวดต่อการยื่นขอสินเชื่อ   นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยภายนอกประเทศ เช่น ปัญหาส่งครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน ปัญหาการประท้วงในประเทศฮ่องกง และแนวโน้มกำลังซื้อจากต่างชาติลดลง โดยเฉพาะจากประเทศจีน  ซึ่งเป็นปัจจัยกระทบต่อภาพรวมอสังหาฯ ในปีนี้ แต่หากพิจารณาจากตลาดอสังหาฯ​ ในโซนภาคตะวันออก  ยังถือว่าเป็นทำเลที่มีศักยภาพ  เนื่องจากมีสิ่งอำนวยความสะดวก ทั้งเรื่องการเดิน มีการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเหลือง(สำโรง-ลาดพร้าว) มีแหล่งที่อยู่อาศัย และหากในอนาคตเกิดโครงการรถไฟรางเบา (LRT) ที่จะวิ่งจากบางนา-สุวรรณภูมิ จะสร้างความคึกคักและเพิ่มศักยภาพของการอยู่อาศัยมากขึ้น ล่าสุดโครงการรถไฟความเร็วสูง(ไฮสปีดเทรน) เชื่อม 3 สนามบินได้รับการลงนามเป็นที่เรียบร้อย   ในปีนี้บริษัทจึงได้ปรับกลยุทธ์ในครึ่งปีหลัง  และต่อเนื่องถึงปี 2563 โดยชูในเรื่อง Active Wellness มาใช้ในการพัฒนาโครงการ ซึ่งเริ่มนำร่องกับโครงการ เซนส์ บางนา-สุวรรณภูมิ ที่ออกแบบให้มีพื้นที่สีเขียวรวมมากถึง 29,600 ตร.ม.มีพื้นที่ปั่นจักรยาน 2,600 ตารางเมตร และลู่วิ่ง ความยาวถึง 7,400 ตารางเมตร ซึ่งถือเป็นเทรนด์และความต้องการของผู้อยู่อาศัยในปัจจุบัน   “แม้ว่าบริษัทยังคงเน้นการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย ทั้งประเภทคอนโดมิเนียม และแนวราบ ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮาส์ โฮมออฟฟิศ แต่บริษัทต้องปรับกลยุทธ์เพื่อตอบสนองความต้องการทุกรูปแบบของลูกค้า”   นอกจากนี้ บริษัทยังมุ่งเน้นในเรื่องคุณภาพการก่อสร้าง และการใส่ใจในการบริการที่มีต่อลูกค้า ผ่านวิสัยทัศน์ We  build real matters for living  เพื่อให้ลูกค้าสัมผัสถึงความคุ้มค้าที่ได้รับจากโครงการผ่านทางคุณภาพบ้าน  รวมถึงการใส่ใจในเรื่องสุขภาพ   ด้านนายวีระชัย หาญจริยากูล ผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์ ธุรกิจบ้านจัดสรรและอาคารพาณิชย์ กล่าวว่า ภาพรวมของตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบเริ่มปรับตัวดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 3 หลังจากตลาดชะลอตัวช่วงประกาศใช้มาตรการ LTV   โดยช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา บริษัททำยอดขายโครงการแนวราบได้  600 ล้านบาท มาจากโครงการโฮมออฟฟิศ คาสเคด บางนา , บ้านเดี่ยว  โครงการ วีรัณยา วงแหวน-อ่อนนุช , ทาวน์โฮม เพล็กซ์ เกษตร-นวมินทร์ และบ้านแนวคิดใหม่ โครงการเซนส์ สายไหม 56   “ตลาดโครงการแนวราบ การแข่งขันสูง เนื่องจากผู้ประกอบการหลายค่าย หันมาเล่นตลาดแนวราบมากขึ้น ซึ่งในส่วนของบริษัท ก็มีจุดแข็งหลายด้าน มีเครือข่ายทางธุรกิจที่พร้อมสนับสนุน” ปัจจุบัน บริษัทมีที่ดินผืนใหญ่อยู่บนทำเลบางนา-สุวรรณภูมิ ประมาณ 180 ไร่ มีแผนจะทยอยนำมาสร้างมูลค่าเพิ่มผ่านการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในกลุ่มแนวราบต่อเนื่องได้ถึง 8 ปี หรือมีมูลค่าโครงการไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท   ล่าสุด บริษัทฯได้นำที่ดิน 23 ไร่ มาพัฒนาโครงการ เซนส์ บางนา-สุวรรณภูมิ รูปแบบทาวน์โฮมและบ้านแฝด จำนวน 160 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 810 ล้านบาท แบ่งพัฒนาเป็น 4 เฟสๆละ 40 ยูนิต ราคาตั้งแต่ 4.99-6ล้านบาท ซึ่งในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2562 จะเปิดรอบวีไอพีก่อน   ส่วนแผนพัฒนาโครงการในปี 2563 จะพัฒนาโครงการอย่างน้อย 3 โครงการ รวมมูลค่า 2,600 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการทาวน์โฮม แบรนด์ สตอรี่ส์ จำนวน 200 ยูนิต โครงการบ้านเดี่ยว แบรนด์ วีรัณยา จำนวน 150 ยูนิต รวมทั้ง 2 โครงการมูลค่ากว่า 1,500 ล้านบาท และโครงการบริเวณสุขาภิบาล 2 ภายใต้แบรนด์ เพล็กซ์ ที่จะเปิดกลางปีหน้าจำนวจน 227 ยูนิต มูลค่ากว่า 1,100 ล้านบาท.        
LPN เริ่มโอนคอนโดฯ​ ในโปรเจ็กต์มิกซ์ยูสแห่งแรก

LPN เริ่มโอนคอนโดฯ​ ในโปรเจ็กต์มิกซ์ยูสแห่งแรก

LPN เริ่มโอนคอนโดฯ ในโครงการ “ลุมพินี พาร์ค วิภาวดี จตุจักร” โปรเจ็กต์มิกซ์ยูสมูลค่า 5,500 ล้าน แห่งแรกของบริษัท หลังกวาดยอดขายได้กว่า 90% พร้อมขนห้องชุดอีก 10% จัดโปรโมชั่นกระตุ้นยอดโค้งท้ายปี   จากสถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ส่อสัญญาณว่าตลาดคอนโดมิเนียม จะชะลอตัวลงเข้าสู่สภาวะถอดถอย แม้จะไม่ถึงขั้นกับฟองสบู่แตกเหมือนกับในอดีตก็ตาม แต่ราคาที่อยู่อาศัยปรับเพิ่มขึ้น จนทำให้คนส่วนใหญ่ของประเทศ ซื้อที่อยู่อาศัยได้ยากมากขึ้น  ส่งผลต่อบริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) หรือ LPN ซึ่งเคยจับตลาดกลางลงล่างเป็นหลัก ต้องปรับตัวขนานใหญ่ สิ่งหนึ่งที่ LPN ปรับตัวอย่างชัดเจนในปีนี้ คือ การปรับพอร์ตธุรกิจไปสู่การพัฒนาโครงการที่สร้างรายได้ประจำ อย่างเช่นตลาดอาคารสำนักงาน  ภายใต้การพัฒนาโครงการในรูปแบบมิกซ์ยูส ซึ่งจึงได้เปิดตัวโครงการ “ลุมพินี พาร์ค วิภาวดี จตุจักร” มูลค่า 5,000 ล้านบาท ประกอบด้วยอาคารสำนักงานและอาคารชุดพักอาศัย จำนวน 4 อาคาร  ประกอบด้วย อาคารสำนักงาน 2 อาคาร และที่พักอาศัยอีก 2 อาคาร  บนที่ดินประมาณ​ 8 ไร่   สำหรับโครงการดังกล่าวถือเป็น 1 โครงการใน 8 โครงการที่เปิดตัวในปีนี้มูลค่า 7,700 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียมและสำนักงานให้เช่ารวม 4 โครงการมูลค่า 4,200 ล้านบาท และโครงการแนวราบ 4 โครงการมูลค่า 3,550 ล้านบาท   โดยโครงการ “ลุมพินี พาร์ค วิภาวดี จตุจักร” เตรียมจัดงานส่งมอบโครงการโครงการ “ลุมพินี พาร์ค วิภาวดี-จตุจักร” แก่ลูกค้า ในวันเสาร์ที่ 16 พฤศจิกายนนี้  จากที่ได้เริ่มส่งมอบมาตั้งแต่ช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งโครงการสามารถทำยอดขายได้ 90 % ส่วนอีก 10% บริษัทได้จัดโปรโมชั่นส่งเสริมการขายสุดพิเศษ “One Price ราคาเดียว” ทุกยูนิต 2.19 ล้านบาท ขนาด 24 ตารางเมตร จำนวนจำกัดเพียง 20 ยูนิต เฉพาะชั้น 2,3,4 ฟรี! เฟอร์นิเจอร์ เครื่องปรับอากาศ และเครื่องทำน้ำอุ่น เมื่อโอนกรรมสิทธิ์ภายใน 18 ธันวาคมนี้ นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ เปิดเผยว่า  “ลุมพินี พาร์ค วิภาวดี จตุจักร” ออกแบบในลักษณะโครงการมิกซ์ยูส ถือเป็นโครงการแห่งแรกที่บริษัทพัฒนาขึ้น มูลค่ารวม 5,000 ล้านบาทภายใต้แนวคิด “Work & Life”  ภายในโครงการมีทั้งอาคารสำนักงานและอาคารชุดพักอาศัย จำนวน 4 อาคาร ประกอบด้วย อาคารสำนักงาน 2 อาคาร ตั้งอยู่ด้านหน้า อาคารจอดรถ 1 อาคาร และอาคารชุดพักอาศัย 1 อาคารตั้งอยู่ด้านหลัง   โดยอาคารสำนักงาน คือ “ลุมพินี ทาวเวอร์ วิภาวดี จตุจักร” เน้นการออกแบบและก่อสร้างให้ประหยัดพลังงาน ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสร้างสภาพแวดล้อมภายในอาคารที่ดี ทั้งยังจัดองค์ประกอบภายในโครงการให้เหมาะกับแคมเปญ “ความพอดีที่ดีกว่า” (The Better Balance) แนวทางการสร้างแบรนด์ของ LPN ที่ตกผลึกจากประสบการณ์ที่สั่งสมมากว่า 30 ปี ให้เจ้าของร่วมมีความพอดีกับการใช้ชีวิตจริงอันประกอบไปด้วย 3 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ 1. พอดีกับการออกแบบ 2. พอดีกับการใช้ชีวิตที่สะดวกสบายปลอดภัยมากกว่าที่เคย 3. พอดีกับบริการที่ลงตัวในทุกความใส่ใจ ภายใต้  กลยุทธ์ “ชุมชนน่าอยู่”   สำหรบรายละเอียดของคอนโดมิกซ์ ยูส  ประกอบด้วย จำนวน 4 อาคาร ได้แก่   ทาวเวอร์   A เป็นอาคารสำนักงาน สูง 21 ชั้น  จำนวน 105 ยูนิต ทาวเวอร์   B อาคารสำนักงาน สูง 17 ชั้น จำนวน 96 ยูนิต 1 ร้านค้า  ทาวเวอร์   C อาคารพักจอดรถ สูง 8 ชั้น จอดได้ 271 คัน 4 ร้านค้า และทาวเวอร์   D อาคารชุดพักอาศัย สูง 21 ชั้น จำนวน 736 ยูนิต