Tag : howto

432 ผลลัพธ์
บ้านชั้นเดียวต่อเติมเป็นบ้านสองชั้นได้หรือไม่

บ้านชั้นเดียวต่อเติมเป็นบ้านสองชั้นได้หรือไม่

เรื่อง:  นิยดา หวังวิวัฒน์ศิลป์ SCG Architect Writer "บ้านชั้นเดียวเมื่ออยู่อาศัยไปสักพัก หากรู้สึกว่าพื้นที่ใช้สอยไม่พอ และคิดจะต่อเติมบ้านให้กลายเป็นบ้าน 2 ชั้น จะทำได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับสภาพโครงสร้างบ้านของเดิมว่าจะสามารถรับน้ำหนักส่วนต่อเติมได้มากน้อยเพียงใด ซึ่งจะต้องให้วิศวกรช่วยคำนวณ และควรคำนึงถึงความคุ้มค่าก่อนจะตัดสินใจลงมือต่อเติม" สำหรับครอบครัวขนาดเล็กเมื่อเริ่มคิดปลูกบ้าน บางครั้งอาจเลือกสร้างบ้านชั้นเดียวเพราะเห็นว่าควบคุมงบประมาณและเวลาได้ง่าย ประหยัดโครงสร้างวัสดุ ง่ายต่อการดูแลรักษาและทำความสะอาด ทั้งยังเหมาะกับผู้สูงอายุซึ่งไม่สะดวกขึ้นลงบันได แต่เมื่ออาศัยไปสักระยะหนึ่งอาจมีปัจจัยบางอย่างเปลี่ยนแปลงทำให้ต้องการพื้นที่ใช้สอยเพิ่มขึ้น โดยปกติเรามักเลือกต่อเติมเพิ่มออกมาจากตัวบ้าน แต่ถ้าที่พื้นที่รอบบ้านไม่พอจะมีวิธีอย่างไร จะต่อเติมบ้านชั้นเดียวให้กลายเป็น 2 ชั้นได้หรือไม่ ? ตัวอย่างบ้านชั้นเดียว (ภาพบน) ที่ต่อเติมเป็นบ้าน 2 ชั้น (ภาพล่าง) (ขอขอบคุณภาพจาก www.banandresort.com) ต่อเติมบ้านชั้นเดียวเป็นบ้าน 2 ชั้นได้จริงหรือ ? ในจุดนี้จะต้องพิจารณาหลายปัจจัยประกอบกัน โดยเรื่องสำคัญที่สุด คือ “สภาพของโครงสร้างบ้านเดิม” ทั้งเสาเข็มฐานราก  เสา คาน ว่าสามารถรับน้ำหนักส่วนต่อเติมชั้น 2 ได้หรือไม่และอย่างไรจึงจะไม่ถล่มพังลงมา ซึ่งจำเป็นต้องพึ่งวิศวกรโครงสร้างผู้เชี่ยวชาญในการวิเคราะห์คำนวณเพื่อความปลอดภัย เมื่อเจ้าของบ้านทราบถึงความเป็นไปได้และพิจารณาความคุ้มค่าในการต่อเติม ก็อาจลองมองทางเลือกอื่นประกอบด้วย เช่น กรณีเป็นบ้านที่อยู่อาศัยมานานจนทรุดโทรมมากอยู่แล้ว ถ้าทุบทิ้งแล้วสร้างใหม่หรือหาซื้อบ้านใหม่ไปเลยจะคุ้มกับระยะเวลาและค่าใช้จ่ายมากกว่าหรือไม่ เป็นต้น บ้านชั้นเดียวมักถูกออกแบบโครงสร้างมาเพื่อรับน้ำหนักบ้านเพียง 1 ชั้นเท่านั้น หากต้องการต่อเติมเป็น 2 ชั้น ต้องให้วิศวกรตรวจสอบว่า โครงสร้างจะรับน้ำหนักที่เพิ่มไหวหรือไม่ ต่อเติมบ้านชั้นเดียวเป็นบ้าน 2 ชั้นได้อย่างไร ? หากวิศวกรคำนวณแล้วพบว่าโครงสร้างบ้านเดิมสามารถรับน้ำหนักส่วนต่อเติมชั้น 2 ได้แล้ว  ยังมีปัจจัยที่ส่งผลต่อแนวทางการต่อเติม นั่นคือจะต่อเติมได้เต็มทั้งชั้นหรือได้เพียงส่วนเดียวเฉพาะแค่บางช่วงเสา รวมถึงน้ำหนักต่อตารางเมตรของส่วนต่อเติมซึ่งมีผลต่อการเลือกใช้วัสดุ ตั้งแต่ส่วนโครงสร้าง เช่น เสาที่จะต้องต่อให้สูงขึ้นไปเพื่อรับหลังคาชั้น 2 นั้น จะใช้วิธีสกัดหัวเสาคอนกรีตเดิมแล้วหล่อเสาต่อได้เลย หรือจะต้องใช้เสาเหล็กซึ่งน้ำหนักเบากว่าแทน เป็นต้น  ในส่วนของพื้นผนังกรณีที่โครงสร้างเดิมรับน้ำหนักเพิ่มได้พอสมควรอาจใช้ผนังก่ออิฐฉาบปูน  พื้นหล่อคอนกรีต แผ่นพื้นคอนกรีตสำเร็จรูป แต่ถ้ารับน้ำหนักเพิ่มได้ไม่มากอาจต้องใช้วัสดุที่เบาขึ้น เช่น ผนังอิฐมวลเบา ระบบพื้น Metal Deck  ระบบพื้นและผนังเบาไฟเบอร์ซีเมนต์  ระบบผนังและฝ้าเพดานยิปซั่ม เป็นต้น ซึ่งจะต้องให้วิศวกรโครงสร้างเป็นผู้แนะนำทางเลือกที่เหมาะสม พื้นเบาจากโครงเหล็ก ปูด้วยแผ่นไฟเบอร์ซีเมนต์และวัสดุทับหน้า ผนังเบาจากวัสดุแผ่นปิดทับโครงคร่าว ระบบพื้น Metal Deck (ขอขอบคุณภาพจาก constructthai.com) กรณีโครงสร้างบ้านเดิมรับน้ำหนักได้ไม่มาก ส่วนหลังคาซึ่งจะต้องรื้อออกและประกอบใหม่อยู่แล้วอาจเป็นอีกจุดที่สามารถปรับให้มีน้ำหนักเบาขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นโครงหลังคาหรือวัสดุมุง (การเปลี่ยนวัสดุมุงอาจส่งผลถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างด้วย เช่น ระยะแป เป็นต้น) ซึ่งจำเป็นต้องได้รับคำแนะนำจากวิศวกรโครงสร้างผู้เชี่ยวชาญด้วยเช่นกัน โครงหลังคาสำเร็จรูป ผลิตจากเหล็กเคลือบป้องกันสนิม ซึ่งมีน้ำหนักเบากว่าเหล็กรูปพรรณ จะเห็นได้ว่าการต่อเติมบ้านชั้นเดียวให้กลายเป็นบ้าน 2 ชั้นนั้น  ต้องพิจารณาเรื่องความสามารถในการรับน้ำหนักของโครงสร้างเดิมเป็นหลัก (สำหรับใครที่จะสร้างบ้านชั้นเดียวอาจเลือกทำโครงสร้างรองรับการต่อเติมในอนาคตไว้ก็ได้)  นอกจากนี้ยังมีเรื่องของความคุ้มค่า โดยเฉพาะกรณีต่อเติมได้ไม่เต็มชั้นซึ่งต้องไม่ลืมว่าพื้นที่ส่วนหนึ่งของทั้ง 1 ชั้น 2 จะต้องถูกใช้เป็นบันไดด้วย ดังนั้นพื้นที่ที่ได้เพิ่มมาจะคุ้มค่าหรือไม่ต้องลองคิดคำนวณให้ดี ทั้งนี้หากเลือกที่จะต่อเติมแล้วก็ควรให้อยู่ภายใต้ขอบเขตของกฎหมายเพื่อความถูกต้องและปลอดภัย  ไม่ว่าจะเป็นการยื่นขออนุญาตดัดแปลงบ้าน การคำนึงเรื่องที่ว่างและระยะร่นตามกฎหมายซึ่งสัมพันธ์กับตำแหน่งช่องเปิดและขนาดพื้นที่ใช้สอยของบ้าน เป็นต้น นับเป็นอีกเรื่องสำคัญที่ควรศึกษาให้ดีก่อนลงมือต่อเติม ขอขอบคุณภาพและข้อมูลจาก  www.scgbuildingmaterials.com
12 ข้อควรรู้ หากเกิดไฟไหม้คอนโดฯ

12 ข้อควรรู้ หากเกิดไฟไหม้คอนโดฯ

เคยไหม อยู่ในคอนโด ดีๆ อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงสัญญานไฟไหม้ดังขึ้น แต่ไม่รู้ว่าจะยังไงต่อไปหลังจากได้ยินเสียงนี้ บางครั้งแค่ชะโงกหน้าออกมาหน้าห้องดูว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อสัญญานเงียบลง ต่างคนก็ต่างไปใช้ชีวิตตามปกติในห้องใครห้องมันเหมือนเดิม แต่หารู้ไม่ถ้าได้ยินเสียงสัญญาณเตือนให้คิดว่าเป็นเหตุเพลิงไหม้จริงไว้ก่อนเสมอ ซึ่งบางครั้งอาจจะไม่จริง อาจจะเกิดเหตุผิดพลาดในสัญญาณเตือน แต่ควรป้องกันไม่ประมาทดีที่สุด หากเกิดไฟไหม้ในคอนโด ผู้อยู่อาศัยควรมีความรู้เรื่องนี้ไว้บ้างดังนี้ ในกรณีไฟไหม้คอนโด 1.ต้องดับเพลิงในอาคารสูงด้วยอุปกรณ์ดับเพลิงอาคารของตนเองให้ได้ภายในระยะเพลิง เริ่มใหม้ใน 2 นาทีแรกอย่ามัวแต่รอความช่วยเหลือจากพนักงานดับเพลิง 2.ดึงหรือกดสถานีแจ้งเหตุเพลิงไหม้ที่กล่องแดงที่ติดไว้ข้างผนังทางเดินทันทีที่พบเหตุเพลิงไหม้แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม 3.แต่ละชั้นต้องทำแผนผังแสดงเส้นทางหนีไฟจากห้องพักไปสู่บันไดหนีไฟ อย่างน้อย 2 เส้นทาง 4.ตรวจสอบเส้นทางหนีไฟไว้ล่วงหน้า ว่าจะไม่มีสิ่งกีดขวางตลอดทางวิ่ง 5.ร่วมฝึกซ้อมหนีไฟเพื่อเป็นการตรวจสอบด้วยตนเองถึงความพร้อมของเจ้าหน้าที่อาคาร และอุปกรณ์ป้องกันและดับเพลิงของอาคารว่ายังมีประสิทธิภาพใช้การได้ดีอยู่เสมอ 6.อย่าใช้ลิฟต์หนีไฟ ให้หนีลงมาโดยเร็วโดยบันไดหนีไฟทันทีที่ได้ยินสัญญาณกระดิ่งแจ้งเหตุไฟไหม้ภายในอาคาร 7.หากติดอยู่ในกลุ่มควันไฟ ให้ก้มตัวให้ต่ำหรือหมอบคลานเพื่อหาทางออก ควันไฟทำให้คนส่วนใหญ่เสียชีวิตมากกว่าจากเปลวไฟถึง 3 เท่าตัว 8.ก่อนเปิดประตูให้แตะหรือคลำลูกบิด หากร้อนจัดแสดงว่ามีเปลวเพลิงอยู่ด้านนอกอย่าเปิดทันทีจะถูกเปลวไฟพุ่งเข้าตัวได้ 9.เมื่อหนีออกจากห้องพักหรือหนีผ่านประตูใดๆ ให้ปิดประตูนั้นให้สนิท 10.กรณีหนีไฟไม่ได้ให้อยู่ภายในห้องพักและปิดประตู ใช้ผ้าชุบน้ำอุดบริเวณขอบบานประตู และให้ขอความช่วยเหลือที่หน้าต่างหรือระเบียง 11.แนะนำทุกคนในครอบครัวให้ทราบถึงกฎความปลอดภัยและวิธีปฏิบัติตัวกรณีเกิดเพลิงไหม้ 12.ไฟไหม้ในอาคารสูงเกิดขึ้นเป็นประจำและเกิดขึ้นบ่อย แต่ที่ไม่เป็นข่าวเพราะผู้อาศัยและเจ้าหน้าที่อาคารช่วยกันดับได้ก่อนลุกลาม ทุกคนที่อาศัยในอาคารสูงทุกอาคารจึงต้องเตรียมพร้อมตลอดเวลาแล้วจะมีความปลอดภัยได้แน่นอน   ขอขอบคุณข้อมูลจาก  home.co.th
ต่อรั้วบ้านเดิมเพิ่มความส่วนตัว

ต่อรั้วบ้านเดิมเพิ่มความส่วนตัว

เรื่อง :  อิษฎา แก้วประเสริฐ             SCG Experience Architect "เมื่อพื้นที่รอบบ้านมีการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นถนนสาธารณะ หรือตึกข้างเคียงที่สูงขึ้น รั้วบ้านเดิมจึงไม่สามารถปกป้องความเป็นส่วนตัวได้เท่าที่ควร การปรับปรุงรั้วบ้านให้สูงขึ้นพร้อมหาวิธีตกแต่งให้สวยงาม นับเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับเจ้าของบ้านซึ่งประสบปัญหาดังกล่าว" “รั้วบ้าน” เป็นปราการที่กั้นระหว่างตัวบ้านกับเพื่อนบ้านหรือพื้นที่สาธารณะภายนอก แต่ด้วยการเปลี่ยนแปลงของสภาพสังคมทุกวันนี้  สิ่งไม่พึงประสงค์ต่างๆ ทั้ง เสียง มลพิษ และภัยจากผู้คุกคาม อาจเข้ามาถึงตัวบ้านได้ง่ายขึ้น รั้วบ้านเดิมที่สร้างไว้เริ่มสูงไม่พอ เมื่อเทียบกับระดับถนน พื้นดินแวดล้อม และความสูงของอาคารสร้างใหม่ใกล้เคียง ทั้งหมดนี้นำมาซึ่งความกังวลใจจนเจ้าของบ้านจนต้องเริ่มนึกถึง “การปรับปรุงรั้วบ้านให้สูงขึ้น” ซึ่งมีเรื่องต่างๆ ต้องพิจารณา ได้แก่ ความสูง ความโปร่ง ความสวยงาม รวมถึงปัจจัยสำคัญคือ สภาพรั้วบ้านเดิม น้ำหนักวัสดุ และการติดตั้ง รั้วบ้านที่ทำการต่อเติมด้วยระแนงไม้เทียม รั้วบ้านที่เตี้ยเกินไปจนบุคคลภายนอกมองเข้ามาได้ ทำให้รู้สึกไม่เป็นส่วนตัว ต่อเติมรั้วบ้านสูงเท่าไหร่ดี ความสูงของรั้วบ้านจะต้องไม่ขัดกับกฎหมาย โดยจะสูงจากระดับถนนหรือทางเท้าได้ไม่เกิน 3.00 เมตร และควรคำนึงถึงความระดับความสูงของอาคารข้างเคียงรวมถึงช่องเปิดด้วย  ทั้งนี้ระดับรั้วบ้านยิ่งสูงจะยิ่งมีพื้นที่ปะทะแรงลมมากขึ้นจึงควรคำนึงเรื่องจุดยึดที่มั่นคงแข็งแรงเพียงพอ รั้วบ้านโปร่ง รั้วบ้านทึบ เจ้าของบ้านหลายคนอยากให้รั้วบ้านโปร่ง สามารถมองทะลุและระบายอากาศได้  เพื่อลดความอึดอัด โดยเฉพาะบ้านที่มีระยะร่นอาคารน้อย ระยะห่างระหว่างตัวบ้านกับรั้วค่อนข้างกระชั้น หรือกรณีที่มีความสูงของบ้านมากๆ หากทำรั้วบ้านทึบตันจะยิ่งอึดอัด ทั้งนี้การทำรั้วบ้านโปร่งอาจออกแบบเป็นจังหวะโปร่ง-ทึบ สลับกันไป ตามตำแหน่งระยะและมุมมองที่เหมาะสมในเรื่องความเป็นส่วนตัว อย่างไรก็ตาม การต่อเติมรั้วบ้านให้สูงเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะเรื่องความเป็นส่วนตัวด้านสายตาเท่านั้น ส่วนเรื่องการป้องกันเสียงรบกวนยังช่วยได้ไม่มาก ภาพเปรียบเทียบรั้วบ้านทึบ (ซ้าย) กับรั้วบ้านโปร่ง (ขวา) ซึ่งลมสามารถลอดผ่านซี่รั้วเข้ามาได้ ออกแบบส่วนต่อเติมรั้วบ้านให้สวยงาม รั้วบ้านเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลกับรูปลักษณ์ของบ้าน  การปรับปรุงรั้วบ้านควรเลือกใช้วัสดุ สีสัน และรูปแบบที่ไม่ขัดแย้งกับบ้าน โดยอาจลดทอนความแข็งกระด้างของวัสดุรั้วบ้านทรงสี่เหลี่ยมทื่อๆ ได้ด้วย พืชพรรณต้นไม้ สวนแขวน หรือสวนแนวตั้ง ซึ่งนอกจากจะเพิ่มพื้นที่สีเขียวเพื่อความสุขสบายตาแล้ว ยังช่วยลดแสงสะท้อนสำหรับรั้วบ้านสีอ่อน และลดทอนเสียงรวมถึงมลพิษจากภายนอกได้ด้วยเช่นกัน ตัวอย่างการตกแต่งรั้วบ้านด้วยวัสดุเบาต่างๆ สภาพรั้วบ้านเดิม นับเป็นเรื่องสำคัญที่สุดที่เจ้าของบ้านควรพิจารณา เนื่องจากโครงสร้างของรั้วบ้านทั่วไปมักจะรับน้ำหนักด้วยเสาเข็มแบบสั้น หากเป็นไปได้ควรนำแบบรั้วบ้านมาขอรับคำปรึกษาจากวิศวกรโครงสร้างจะดีที่สุด เพื่อช่วยประเมินว่าโครงสร้างรั้วบ้านยังอยู่ในสภาพดีหรือไม่ โดยรั้วบ้านจะที่ต่อเติมไม่ควรเกิดการทรุดตัวมาก คานทับหลังไม่แอ่นตกท้องช้าง ไม่มีการปริแตกของเสารั้วบ้าน วัสดุผนังที่ก่อไว้ไม่แตกทะลุหรือมีรอยแยกใหญ่ผิดปกติ รั้วบ้านที่มีลักษณะดังกล่าวนี้หากฝืนต่อเติมไปอาจยิ่งก่อให้เกิดปัญหามากขึ้น น้ำหนักของวัสดุที่ใช้ต่อเติมรั้วบ้าน หลีกเลี่ยงวัสดุประเภทผนังก่อ เพราะการต่อเติมจะสร้างน้ำหนักให้กับโครงสร้างรั้วบ้านเดิมเพิ่มขึ้น ควรเลือกใช้วัสดุเบา ยกตัวอย่างเช่น ไฟเบอร์ซีเมนต์ ซึ่งมีทั้งแบบแผ่นบอร์ด และแผ่นยาวที่ออกแบบหน้ากว้างมาสำหรับทำรั้วบ้านโดยเฉพาะ บางรุ่นมีสีและพื้นผิวเลียนแบบไม้ให้เลือกใช้ด้วย โดยติดตั้งกับโครงสร้างเบา เช่น โครงเหล็ก โครงไม้ ฯลฯ ตามระยะโครงคร่าวที่ผู้ผลิตกำหนด (ส่วนใหญ่มักมีระยะประมาณ 30-60 ซม.ขึ้นอยู่กับขนาดและความหนาของวัสดุ) โครงเหล็กสำหรับรั้วส่วนต่อเติม วิธีการติดตั้งเข้ากับรั้วบ้านเดิม รั้วบ้านส่วนต่อเติมควรติดตั้งโดยยึดเข้ากับโครงสร้างรั้วบ้านเดิมที่เป็นส่วนของคอนกรีตเสริมเหล็ก (คสล.) ได้แก่ คานคอดิน เสารั้วบ้าน หรือคานทับหลังรั้วบ้าน เพราะเป็นจุดที่เจาะยึด หรือฝังเหล็กเสียบเหล็กได้ดี โดยถ่ายน้ำหนักสู่ระบบฐานรากหรือโครงสร้างใต้ดินโดยตรง ส่วนวิธีการยึดนั้น จะยึดโครงรั้วบ้านใหม่เข้ากับด้านบนของคานทับหลังรั้วบ้านเดิม (ภาพซ้าย) หรือเลือกยึดด้านข้างโดยใช้สกรูยึดเพลทเหล็กเข้ากับโครงสร้าง แล้วเชื่อมโครงสร้างรั้วบ้านใหม่เข้ากับเพลทเหล็ก (ภาพขวา) อีกวิธีหนึ่งคือฝังเหล็กหนวดกุ้งเข้ากับเนื้อคอนกรีตด้วยกาวซีเมนต์หรือเคมีภัณฑ์ที่ใช้เสียบเหล็ก จากนั้นนำมาเชื่อมกับโครงสร้างรั้วบ้านต่อเติม วิธีหลังนี้ต้องอาศัยความแม่นยำในการต่อเชื่อมสูง จึงมักไม่เป็นที่นิยมนัก การติดตั้งรั้วส่วนต่อเติมด้วยโครงเหล็กและไม้เทียม จะเห็นได้ว่าการต่อเติมรั้วบ้านให้สูงขึ้นนั้น นอกจากความสวยงาม ความโปร่ง และความเป็นส่วนตัวแล้ว ยังมีเรื่องของความแข็งแรงซึ่งเป็นข้อสำคัญที่ควรคำนึง ทั้งสภาพโครงสร้าง การยึดติดตั้ง รวมถึงแรงลมปะทะที่เพิ่มขึ้น ทางที่ดีควรให้วิศวกรหรือผู้เชี่ยวชาญช่วยพิจารณา โดยเฉพาะการประเมินสภาพโครงสร้างรั้วบ้านเดิม ขนาดเหล็ก ระยะยึดทาบของโครงสร้าง เพื่อให้การปรับปรุงต่อเติมรั้วบ้านมีความมั่นคงแข็งแรง สามารถตอบโจทย์ความต้องการของเจ้าของบ้านได้อย่างแท้จริง หรือหากมีข้อสงสัย สามารถปรึกษาสถาปนิกจาก SCG ได้ก่อนการแก้ไขปรับปรุงดังกล่าว ขอขอบคุณภาพและข้อมูลจาก  www.scgbuildingmaterials.com
อยากกู้ปลูกบ้านในฝันบนที่ดินเปล่า ต้องทำอย่างไร

อยากกู้ปลูกบ้านในฝันบนที่ดินเปล่า ต้องทำอย่างไร

หลายคนมีที่ดินเปล่าเป็นของตัวเองอยู่แล้ว ไม่ว่าจะได้มาจากการรับมรดกหรือซื้อที่ดินเอาไว้ก่อน และเมื่ออยากปลูกสร้างบ้านบนที่ดินผืนนั้น ด้วยการกู้เงินกับธนาคาร อาจเกิดข้อสงสัยไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร หรือไม่แน่ใจว่าสามารถขอกู้กับธนาคารได้หรือไม่ ต้องบอกว่าการกู้เงินเพื่อนำไปปลูกสร้างบ้านบนที่ดินกรรมสิทธิ์ของตนเองสามารถทำได้ครับ แต่จะมีความแตกต่างกับการกู้ซื้อบ้านแบบปกติบางเรื่อง จะมีอะไรบ้างนั้นเรามีคำแนะนำสำหรับผู้ที่กำลังวางแผนปลูกสร้างบ้านมาฝากครับ เอกสารการปลูกสร้างบ้านที่ต้องใช้ สำหรับการยื่นกู้ปลูกสร้างบ้านกับธนาคาร นอกจากจะต้องเตรียมเอกสารแสดงตนและเอกสารทางการเงินแล้ว เรายังต้องเตรียมเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการปลูกสร้างอีกด้วยครับ ไม่ว่าจะเป็น แบบแปลนบ้าน สัญญาจ้างเหมาก่อสร้าง และใบอนุญาตก่อสร้าง ซึ่งแน่นอนครับว่า ก่อนที่จะลงมือปลูกสร้างบ้านได้นั้น เราต้องได้รับอนุญาตจากหน่วยงานราชการในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องเสียก่อน เช่น หากบ้านอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร ก็สามารถยื่นขอใบอนุญาตก่อสร้างได้ที่ฝ่ายโยธา สำนักงานเขตในพื้นที่บ้านของเรา หรือหากบ้านอยู่ในเขตภูมิภาค สามารถยื่นขอได้ที่กองช่าง องค์การบริหารส่วนตำบล โดยการขอใบอนุญาตก่อสร้างจะต้องมีแบบแปลนบ้านให้ตรวจสอบ ซึ่งแบบแปลนเราสามารถใช้แบบมาตรฐานของหน่วยงานราชการในพื้นที่ที่มีอยู่ หรือหากใครมีแบบบ้านในใจก็สามารถจ้างสถาปนิกเขียนแบบแปลนให้ ทั้งนี้สถาปนิกหรือบริษัทรับสร้างบ้านมักจะอำนวยความสะดวกในเรื่องการขอใบอนุญาตก่อสร้างให้เราด้วยครับ ส่วนการก่อสร้างบ้านเมื่อเราติดต่อกับผู้รับเหมาได้แล้ว สิ่งสำคัญคือต้องทำสัญญารับเหมาก่อสร้างที่ระบุเงื่อนไขการเบิกเงินของผู้รับเหมาตามความคืบหน้าของการก่อสร้างด้วยครับ วงเงินกู้ที่ธนาคารจะอนุมัติ หลายคนอาจสงสัยว่า ธนาคารจะอนุมัติวงเงินกู้ให้ได้เท่าไร ในเมื่อบ้านยังสร้างไม่เสร็จ ธนาคารรู้มูลค่าบ้านได้อย่างไร ต้องบอกว่า การให้วงเงินกู้สำหรับปลูกสร้างบ้าน ธนาคารจะประเมินมูลค่าบ้านจากแบบแปลนบ้าน หรือที่เรียกว่าแบบพิมพ์เขียว ซึ่งในแบบแปลนบ้านนอกจากจะระบุรูปแบบบ้านแล้ว ยังมีรายละเอียดเกี่ยวกับวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการก่อสร้างบ้านอีกด้วย นอกจากนี้ธนาคารต้องทำการประเมินมูลค่าที่ดินไปพร้อมๆ กัน ซึ่งปกติแล้วธนาคารมักให้วงเงินกู้ปลูกสร้างบ้านไม่เกิน 100% ของค่าปลูกสร้าง โดยวงเงินต้องไม่เกิน 80% ของราคาประเมินที่ดินพร้อมบ้านครับ และเมื่อเราได้รับอนุมัติวงเงินกู้ปลูกสร้างบ้านแล้วต้องไม่ลืมว่า หลักประกันที่จำนองกับธนาคารไม่ใช่แค่ตัวบ้านเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการจำนองที่ดินพร้อมบ้านที่เรากำลังจะก่อสร้างนั่นเองครับ วิธีรับเงินกู้ปลูกสร้างบ้าน หลังจากที่เราได้รับอนุมัติวงเงินกู้ปลูกสร้างบ้านแล้ว การรับเงินจะไม่ได้เป็นก้อนทีเดียวเหมือนกับการกู้ซื้อบ้านครับ แต่ธนาคารจะทยอยให้ตามสัญญาเงินกู้ ซึ่งรับเป็นงวดๆ ตามความคืบหน้าของการปลูกสร้างที่ระบุไว้ในสัญญาเงินกู้ เช่น งวดที่ 1 เบิก 500,000 บาท เมื่อวางผังและปรับพื้นตอกเสาเข็มเรียบร้อย จากนั้นสามารถเบิกงวดที่ 2 เป็นเงิน 300,000 บาท เมื่อตั้งเสาและเทพื้น เสร็จเรียบร้อย โดยในการเบิกเงินแต่ละงวด ธนาคารจะทำการประเมินความคืบหน้าของการก่อสร้างจริงว่า เป็นไปตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในสัญญาเงินกู้หรือไม่ครับ นอกจากเอกสารต่างๆ เกี่ยวกับการปลูกสร้างบ้านที่ต้องเตรียมยื่นกู้กับธนาคารแล้ว อย่าลืมคำนึงถึงความสามารถในการผ่อนชำระหนี้ของเราด้วยนะครับ หากเลือกแบบบ้านที่มีค่าใช้จ่ายการก่อสร้างสูงเกินความสามารถในการชำระหนี้อาจทำให้กู้ไม่ผ่านได้ครับ   ขอขอบคุณข้อมูลจาก K-Expert
ติดฉนวนใยแก้วกันความร้อนแล้วทำไมบ้านยังร้อน ?

ติดฉนวนใยแก้วกันความร้อนแล้วทำไมบ้านยังร้อน ?

สำหรับเจ้าของบ้านที่ซื้อฉนวนใยแก้วกันความร้อนมาติดตั้งบริเวณหลังคาหรือฝ้าเพดาน แล้วพบว่าบ้านไม่ได้เย็นขึ้นอย่างที่คิด ให้ลองหันมาดูปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้เกิดความร้อนในบ้าน รวมถึงช่องทางระบายความร้อนออกไปนอกบ้าน ทั้งนี้ อาจลองพิจารณาวิธีอื่นๆ ที่ช่วยลดความร้อนในบ้านด้วยนะครับ ปัญหาบ้านร้อน นับเป็นเรื่องธรรมดาของผู้ที่อาศัยเขตเส้นศูนย์สูตรอย่างประเทศไทย วิธีแก้ปัญหาที่มักนึกถึงกันคือ การติดตั้ง “ฉนวนใยแก้วกันความร้อน” และเนื่องจากความร้อนที่เกิดขึ้นภายในบ้าน ประมาณ 70 % มักมาจากทางหลังคาบ้าน  เจ้าของบ้านจึงมักได้รับคำแนะนำให้ติดฉนวนกันความร้อนที่หลังคาหรือฝ้าเพดานชั้นบนสุด  แต่ทั้งนี้อาจมีบางกรณีที่ซื้อฉนวนมาติดตั้งตามคำแนะนำแล้ว แต่ความร้อนในบ้านก็ไม่ได้ลดลง ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ? ก่อนอื่น เจ้าของบ้านควรทำความเข้าใจถึงแหล่งกำเนิดของความร้อนภายในบ้านว่ามาจากส่วนใดได้บ้าง ความร้อนในบ้านมาจากไหน โดยทั่วไป ความร้อนภายในบ้านส่วนใหญ่มักมาจากแสงแดดที่ส่งผ่านความร้อนเข้ามาในบ้าน ผ่านทางหลังคาและ ฝ้าเพดานชั้นบน อีกทางที่เข้ามาได้ง่ายคือ ผนังกระจกและประตูหน้าต่างกระจก ทั้งนี้ แสงแดดยังส่งผ่านความร้อนบางส่วนผ่านผนังทึบได้ด้วย โดยจะมากน้อยเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับค่ากันความร้อน หรือที่เรียกว่า “ค่า R” ของระบบผนังซึ่งแตกต่างกันไปตามชนิดของวัสดุและการติดตั้ง   นอกจากนี้ การทำกิจกรรมประจำวันภายในบ้านก็ทำให้เกิดความร้อนได้  เช่น ความร้อนจากเครื่องใช้ไฟฟ้า ความร้อนจากร่างกายคน เป็นต้น แหล่งที่มาของความร้อนภายในบ้าน ตัวอย่าง ค่า R ของระบบผนังต่างๆ ตัวอย่าง ค่า R ของระบบหลังคาและฝ้าเพดาน ทำความรู้จักฉนวนใยแก้วกันความร้อน ฉนวนใยแก้วกันความร้อน ผลิตจากซิลิกาซึ่งเป็นวัตถุดิบจากแก้ว นำไปหลอมละลายแล้วปั่นเป็นเส้นใย มีคุณสมบัติทนและกันความร้อนได้ดีมาก สามารถติดไฟได้แต่ไม่ลามไฟ (ตรงข้ามกับวัสดุกันความร้อนหลายชนิดที่ลามไฟได้รวดเร็ว) วัสดุเส้นใยแก้วเมื่อแตกตัวจะมีอนุภาคใหญ่เกินกว่าจะเข้าสู่ทางเดินหายในของมนุษย์ได้ จึงไม่นับเป็นสารก่อมะเร็ง ซึ่งตรงกันข้ามกับใยหิน ผลิตภัณฑ์ฉนวนใยแก้วกันความร้อนที่ขายในท้องตลาด อาจมีลักษณะเป็นแผ่น หรือเป็นม้วน โดยจะมีทั้งรุ่นที่ผลิตมาสำหรับติดตั้งบนแปหลังคา ติดตั้งบนฝ้าเพดาน และติดตั้งที่ผนัง การใช้งานฉนวนใยแก้ว มีข้อควรระวังคือ ตัวฉนวนใยแก้วอาจทำให้ผิวหนังมีอาการระคายเคืองได้ โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการแพ้วัสดุชนิดนี้ ดังนั้น ในการติดตั้งจึงควรสวมถุงมือและเสื้อผ้ามิดชิด เพื่อเลี่ยงการสัมผัสฉนวนใยแก้วโดยตรง การติดตั้งฉนวนใยแก้วกันความร้อนบนหลังคาและฝ้าเพดาน หน้าที่ของฉนวนกันความร้อนใยแก้วคือ ช่วยป้องกันความร้อนไม่ให้ผ่านเข้ามาในบ้าน โดยคุณสมบัติของตัวฉนวนจะมีค่ากันความร้อนหรือ “ค่า R” สูง (ค่า R จะมากขึ้นตามความหนาฉนวนด้วย) การติดตั้งฉนวนกันความร้อนจะเป็นการเพิ่มค่า R ให้กับบริเวณที่ติดตั้ง ไม่ว่าจะเป็น ผืนหลังคา ฝ้าเพดาน หรือผนัง การติดตั้งฉนวนใยแก้วกันความร้อนเพื่อเพิ่มค่า R ให้ระบบผนัง ทำให้สามารถป้องกันความร้อนได้มากขึ้น ติดฉนวนแล้วทำไมยังร้อน ? การที่บ้านจะร้อนหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย สำหรับบ้านที่ติดตั้งฉนวนกันความร้อนที่หลังคาหรือฝ้าเพดานก็จะช่วยป้องกันความร้อนจากแสงแดดที่สองหลังคาไม่ให้เข้ามาในบ้านได้ แต่อย่าลืมว่า ความร้อนที่เกิดขึ้นในบ้านอาจมาจากส่วนอื่นได้ด้วย อย่างความร้อนจากแสงแดดที่ส่งผ่าน ผนัง ประตูหน้าต่าง หรือความร้อนจากการทำกิจกรรมในบ้าน ดังที่ได้กล่าวไปข้างต้น ทั้งนี้ ฉนวนกันความร้อนที่ติดตั้งนั้น นอกจากจะป้องกันไม่ให้ความร้อนจากนอกบ้านเข้าสู่ภายในบ้านแล้ว ความร้อนที่อยู่ภายในบ้านก็จะถูกฉนวนป้องกันไม่ให้ออกนอกบ้านด้วยเช่นกัน หรือพูดได้อีกอย่างว่า “ความร้อนไม่ได้ถูกระบายออกจากตัวบ้าน” จึงทำให้บ้านร้อนแทนที่จะเย็นนั่นเอง ติดฉนวนอย่างไรให้บ้านเย็น ? แม้การติดฉนวนกันความร้อนที่หลังคาจะช่วยป้องกันความร้อนจากบริเวณหลังคาได้ แต่ในขณะเดียวกัน ความร้อนจากส่วนอื่นๆ ก็ควรป้องกันด้วยวิธีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความร้อนจากผนัง  โดยเฉพาะด้านที่โดนแดดแรงควรทำเป็นผนังทึบด้วยวัสดุที่มีค่า R สูง ไม่อมความร้อน และอาจติดตั้งฉนวนกันความร้อนเพิ่มเติมด้วย สำหรับผนังส่วนที่จำเป็นต้องใช้กระจกใส อาจลดความร้อนโดยติดตั้งแผงบังแดดเพิ่ม ติดฟิล์มช่วยกันความร้อนบนกระจก นอกจากนี้ยังมีวิธีอื่นๆ ที่ช่วยลดความร้อนได้ อย่างการปลูกต้นไม้ให้ร่มเงาบังแดด การเลือกใช้วัสดุที่มีค่า R สูง และไม่อมความร้อน เป็นต้น อีกเรื่องสำคัญที่ลืมไม่ได้คือ การจะทำบ้านในเมืองร้อนให้เย็นได้นั้น “ควรมีการระบายอากาศที่ดี” เพื่อให้ความร้อนภายในบ้านสามารถระบายออกไปนอกบ้านได้ ไม่ว่าจะเป็นประตูหน้าต่างที่เพียงพอในตำแหน่งเหมาะสม การทำช่องทางระบายอากาศบริเวณหลังคา (ติดตั้งฝ้าชายคาแบบมีรูระบายอากาศหรือทำเป็นระแนงเพื่อระบายอากาศ) เป็นต้น  ทั้งนี้ หากบ้านติดตั้งอยู่ในบริเวณที่มีมลภาวะมาก อาจใช้อีกทางเลือกซึ่งต้องอาศัยอุปกรณ์ช่วย คือ การปิดบ้านให้มิดชิด โดยติดตั้งอุปกรณ์ที่ดึงเอาอากาศจากภายนอกมาใช้ในบ้านผ่านระบบกรอง จากนั้น อากาศที่ใช้แล้วพร้อมความร้อนจะถูกปล่อยทิ้งออกไปนอกบ้าน ฉนวนทำหน้าที่ป้องกันความร้อนจากภายนอกไม่ให้เข้ามาในบ้าน ขณะเดียวกัน ความร้อนภายในบ้านก็ไม่สามารถออกไปได้ด้วยเช่นกัน จะเห็นได้ว่า การแก้ปัญหาบ้านร้อนอาจไม่ใช่แค่การติดตั้งฉนวนกันความร้อนเพียงอย่างเดียว แต่ควรคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ ที่มีส่วนในการป้องกันความร้อนในบ้านให้ครอบคลุม รวมถึงระบบระบายอากาศที่ดีเพื่อให้ความร้อนระบายออกไปจากบ้านได้ ปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้อุณหภูมิในบ้านลดลง ทำให้สามารถอยู่อาศัยได้อย่างสบายมากขึ้น รวมถึงช่วยลดการใช้พลังงานจากเครื่องปรับอากาศได้ด้วย ขอขอบคุณภาพและข้อมูลจาก  www.scgbuildingmaterials.com
12 เคล็ดลับดูแลสวนในบ้านให้สวยชุ่มชื่นอยู่เสมอ

12 เคล็ดลับดูแลสวนในบ้านให้สวยชุ่มชื่นอยู่เสมอ

คนที่มีพื้นที่ในบ้านเพียงพอที่จะทำสวนสวย ๆ ไว้ชื่นชม อาจจะเป็นที่น่าอิจฉาของบ้านที่มีพื้นที่น้อย แต่การดูแลสวนให้สวยและสะอาดตาก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เพราะมีปัจจัยแวดล้อมอย่างสภาพอากาศ สัตว์ รวมทั้งเหล่าวัชพืชมาคอยป่วนสวนอยู่ตลอด ทำให้หลายคนเริ่มเหนื่อยและท้อกับการดูแลสวนไม่น้อย จนคิดอยากจะจ้างบริษัทรับดูแลสวนให้รู้แล้วรู้รอดกันไป แต่อย่าเพิ่งใจร้อนขนาดนั้นเลยครับ เพราะจริง ๆ แล้วเราก็สามารถดูแลสวนด้วยตัวเองได้ ตามเคล็ดลับดูแลสวนเหล่านี้ รับรองว่าไม่ยากเกินความสามารถด้วยนะครับ 1. เตรียมพร้อมอุปกรณ์ทำสวน อุปกรณ์ทำสวนมีหลายชนิด ซึ่งแบ่งหน้าที่ตามการใช้งาน ฉะนั้นสำหรับคนมีสวนอยู่ในบ้าน ก็ควรต้องเตรียมอุปกรณ์ทำสวนอย่าง คราด พลั่ว หัวฉีดน้ำสำหรับรดน้ำต้นไม้ ฝักบัว และกรรไกรตัดกิ่งไว้ให้พร้อม หากต้องการจะทำสวนขึ้นมาวันใด จะได้เลือกใช้อุปกรณ์ได้ถูกหลักการใช้งาน 2. รดน้ำต้นไม้ให้ถูกเวลา เวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการรดน้ำต้นไม้ควรจะเป็นช่วงเช้าตรู่ เนื่องจากในตอนกลางวันแสงแดดจะค่อนข้างแรง และอาจจะทำให้ต้นไม้คายน้ำมากขึ้นได้ ดังนั้นเราจึงต้องรดน้ำป้องกันต้นไม้ขาดน้ำไว้ก่อน ต้นไม้จะได้มีน้ำเพียงพอสำหรับกระบวนการเจริญเติบโต 3. ใส่ปุ๋ยให้ถูกสูตร ก่อนจะเลือกต้นไม้มาปลูกในสวน เราควรต้องศึกษาข้อมูลของต้นไม้แต่ละชนิดก่อนว่า ต้องการน้ำ แสงแดด หรือปุ๋ยในปริมาณเท่าไร เพื่อให้เราดูแลเขาให้เติบโตมาอย่างสมบูรณ์ที่สุด โดยเฉพาะกับเรื่องปุ๋ย ที่น่าจะต้องรู้สูตรปุ๋ยที่เหมาะสมกับต้นไม้แต่ละชนิดให้ดี จะได้ใส่ปุ๋ยบำรุงต้นไม้ได้ถูกต้อง 4. คลุมหน้าดิน การคลุมหน้าดินสามารถป้องกันได้ทั้งวัชพืช ลดการกัดเซาะของหน้าดิน รวมทั้งช่วยรักษาความชุ่มชื้นให้ดินได้อีกด้วย ข้อดีเป็นขบวนแบบนี้ เราก็คงต้องหาพืชมาคลุมหน้าดินบริเวณโคนต้นไม้กันแล้วล่ะเนอะ 5. ปลูกพืชล้มลุก พืชล้มลุกมีระยะเวลาการเจริญเติบโตเป็นของตัวเอง ซึ่งแต่ละชนิดก็จะแตกต่างเวลากันไป แต่ความแตกต่างตรงนี้ล่ะที่เป็นประโยชน์ดี ๆ กับสวนของเรา เพราะหากเราปลูกพืชล้มลุกถูกเวลา สวนก็จะดูเขียวชอุ่ม ชุ่มชื่นอยู่ตลอด แถมพอพืชล้มลุกหมดอายุแล้วจริง ๆ ซากพืชเหล่านี้ยังสามารถนำไปทำเป็นปุ๋ยได้ด้วยนะ 6. ปราบวัชพืช อย่างที่รู้กันดีว่า ศัตรูตัวฉกาจของสวนและสนามหญ้าก็คือวัชพืชตัวดีนั่นเอง และหากว่าในสวนของคุณมีวัชพืชอยู่ล่ะก็ ต้องรีบจัดการโดยด่วนเลยนะจ๊ะ จะถางออก หรือทำลายด้วยสูตรธรรมชาติก็ได้ ขอแค่ไม่ต้องให้วัชพืชมาอยู่กวนใจต้นไม้ต้นโปรดก็พอ 7. ปลูกไม้พุ่ม ไม้พุ่มมีส่วนช่วยให้สวนดูเขียวชอุ่มมีชีวิตชีวาไม่น้อยเลยทีเดียว ดังนั้นหากคุณต้องการให้มีบรรยากาศของความสดชื่นจากธรรมชาติ ก็ควรปลูกไม้พุ่มไว้รอบ ๆ สวน แบบนี้ไม่ว่าจะฤดูไหน สวนของคุณก็จะดูสวยงามอยู่เสมอเลยจ้า 8. เริ่มปลูกพืชต้นใหม่ หลังจากที่ไม้ล้มลุกหมดอายุและล้มลงไปแล้ว ให้เริ่มลงต้นไม้ชนิดใหม่ได้เลย เพราะช่วงเวลานั้นคือโอกาสที่วัชพืชจะเจริญเติบโต ดังนั้นเราก็ควรชิงปลูกไม้ล้มลุกชนิดใหม่ลงไปก่อน จะได้เป็นการป้องกันไม่ให้วัชพืชมาป่วนสวนเราได้ครับ 9. อย่ารดน้ำเกินขนาด ต้นไม้ต้องการน้ำเพื่อการเจริญเติบโต แต่ทั้งนี้ก็ต้องอยู่ในปริมาณที่เหมาะสม เพราะหากต้นไม้ได้รับน้ำเกินขนาดก็มีสิทธิ์รากเน่า ใบเหลือง เสียสุขภาพได้เช่นกันจ้า 10. หมั่นเติมปุ๋ยคอก ปุ๋ยคอกเป็นปุ๋ยที่ได้จากมูลสัตว์ และซากพืช ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นของจากธรรมชาติทั้งสิ้น และด้วยเหตุนี้จึงสามารถช่วยบำรุงแร่ธาตุในดินได้ แถมยังคอยเติมสารอาหารที่ดินขาดไปได้ด้วย ฉะนั้นเราก็ควรหมั่นใส่ปุ๋ยคอกบำรุงดิน และต้นพืชเสมออย่าให้ขาด 11. ตัดเล็มต้นไม้เท่าที่จำเป็น ต้นไม้บางชนิด เช่น ไม้พุ่ม ไม่จำเป็นต้องตัดเล็มบ่อยนักก็ได้ เพราะจะได้รักษาน้ำให้ต้นไม้ได้เยอะ ๆ แต่หากต้นไม้เสียรูปทรง ก็ทำแค่เพียงตัดแต่งกิ่งเท่าที่จำเป็นก็พอ เพราะการเล็มต้นไม้บ่อยเกินไป ก็อาจจะทำให้เสียเวลาและเปลืองแรงโดยไม่จำเป็น อีกทั้งยังเป็นการทำลายต้นไม้ทางอ้อมด้วย 12. วิเคราะห์สภาพดิน เพราะดินเป็นพื้นฐานสำคัญในการปลูกต้นไม้ ดังนั้นเราก็ควรรู้จักสภาพดินในสวนของเราให้ได้ดีที่สุด เพราะหากดินมีปัญหา หรือขาดแคลนสารอาหารตัวไหน เราจะได้แก้ปัญหาดินได้อย่างตรงจุด ไม่ว่าคุณจะมีทักษะในการปลูกต้นไม้หรือทำสวนหรือเปล่าก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ขอแค่เพียงมีใจรักในการปลูกต้นไม้ และมีความต้องการอยากให้บ้านมีสวนสวย ๆ ก็แค่พกเคล็ดลับดูแลสวนเหล่านี้เอาไว้ แล้วนำไปใช้ดูแลสวนของเราก็พอนะครับ   ขอขอบคุณข้อมูลจาก home.kapook.com  
ไม่อยากโสดตลอดชีวิต เช็กฮวงจุ้ยสักนิดก่อนจัดบ้าน!

ไม่อยากโสดตลอดชีวิต เช็กฮวงจุ้ยสักนิดก่อนจัดบ้าน!

คนโสดที่กำลังห่อเหี่ยวเดียวดายเพราะไร้คู่ อย่าเพิ่งท้อใจไปว่าจะต้องอยู่คนเดียวไปตลอดชีวิต เพราะอาจมีคนดี ๆ เดินเข้ามาหากลองจัดบ้านใหม่ตามฮวงจุ้ย ที่เรานำมาฝากกันในวันนี้  จะทนเหงาหงอยมองเห็นใครเขามีคู่อยู่ทำไม ใช่ว่าคนโสดคนสุดท้ายของโลกใบนี้จะเป็นเราซะเมื่อไร เพราะวันนี้คนโสดจะไม่ต้องทนเหงาอีกต่อไป ถ้าได้ลองจัดบ้านตามหลักฮวงจุ้ยเรียกความรักที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ ความรักดี ๆ ก็จะร้องเรียกหาคุณเอง งานนี้ขอบอกเลยว่าต่อให้คุณจะโสดเหงาเศร้าใจมานานนับแรมปี แต่ฮวงจุ้ยดี ๆ เหล่านี้จะทำให้คุณต้องเตรียมผ้าไว้ซับหัวกระไดบ้านทุกวี่ทุกวันแน่นอนครับ 1. เก็บความทรงจำเก่า ๆ เข้ากรุไปซะ แม้เรื่องราวและความทรงจำเก่า ๆ จะยังคงตราตรึงใจคุณมากแค่ไหน ถ้าหากอยากมีรักใหม่ก็จำเป็นที่จะต้องเก็บมันไว้ก่อน บรรดารูปภาพความทรงจำจากคนรักเก่า จดหมายรัก หรือของขวัญที่ยังอยู่เป็นหนามแทงใจคุณอยู่ควรเก็บลงกล่องให้หมด 2. จัดห้องนอนให้เหมาะสำหรับการอยู่อาศัยเป็นคู่ สาวโสดอย่างเราก็ควรจะจัดห้องนอนให้เหมือนกับคนมีแฟนได้นะ เพราะหากว่ากันตามหลักฮวงจุ้ยที่ดีแล้ว สาวโสดควรจัดห้องนอนให้มีมุมโรแมนติกอย่างโซนนั่งเล่นที่ตกแต่งด้วยเทียนไขคู่ สร้างบรรยากาศโรแมนติกเพื่อรักษาพลังชี่ (Chi) ทางด้านความรักให้ไหลเวียนอยู่สม่ำเสมอ 3. ตั้งเตียงให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม ไม่ว่าจะจัดห้องนอนตามหลักฮวงจุ้ยเพื่อดึงดูดความรักหรือจะจัดเพื่อรับโชคลาภก็ตาม อย่างไรเสียเตียงนอนก็ไม่ควรตั้งให้ตรงกับประตูห้องเพราะองศานี้เปรียบเสมือนทิศแห่งความตาย ที่สำคัญไม่ควรใช้กระจกบานใหญ่แต่งห้องนอนเพราะจะสะท้อนให้เห็นถึงความบกพร่องและทำให้สาว ๆ หมดความมั่นใจในตัวเอง 4. เปิดรับพลังแห่งรักให้ถูกทิศ ห้องนอนนั้นมีมุมพลังแห่งรักซ่อนตัวอยู่แล้วนั่นก็คือทิศตะวันตกเฉียงใต้ ควรหาโมบายคริสตัลมาตกแต่งบริเวณนั้นด้วยริบบิ้นสีแดงหรือประดับห้องด้วยดอกโบตั๋นสีแดงที่มีความหมายเป็นสิริมงคลก็ได้ครับ นอกจากนี้ยังสามารถใช้วิธีทาสีผนังที่ต้องการด้วยโทนสีชมพูหรือแดงแทนก็ได้ครับ ที่สำคัญอย่าลืมเก็บดอกไม้แห้งและของเก่าดูรกหูรกตาทิ้งไปซะให้หมด 5. ใช้องค์ประกอบของธรรมชาติมาตกแต่ง ดิน น้ำ ลม ไฟ ไม้ โลหะ และโลกถือว่าเป็นธรรมชาติที่สมบูรณ์แบบที่สุดแล้ว ดังนั้นตามหลักฮวงจุ้ยจึงแนะนำให้คนที่อยากมีคู่นั้นตกแต่งบ้านด้วยองค์ประกอบของธรรมชาติ อย่างเช่น เน้นใช้โทนสีขาว-เทา พรมถักจากเส้นใยธรรมชาติ โคมไฟประดับคริสตัล หรือนำรูปปั้นดินมาวาง เพื่อให้รักษาพลังและเติมเต็มความรักให้ห้องนอนของคุณ 6. เปลี่ยนผ้าปูที่นอนให้เป็นผ้าลินิน ฮวงจุ้ยดี ๆ ไม่ได้มีแค่การจัดตำแหน่งให้ถูกทิศเท่านั้น แต่เราต้องเลือกใช้วัสดุและสีสันให้ถูกต้องด้วยเช่นกัน แนะนำสาวโสดทั้งหลายเปลี่ยนผ้าปูที่นอนแบบธรรมดา ๆ มาเป็นผ้าลินินที่มีสีสันสุดโรแมนติกอย่าง แดง ขาว หรือเขียวสว่างกันเถอะครับ แต่ขอบอกไว้ก่อนว่าไม่ควรใช้ผ้าปูที่นอนผ้าลินินสีแดงบ่อยเกินไป เพราะความร้อนแรงของโทนสีนี้จะค่อย ๆ ลบล้างความโรแมนติกให้จางหายไปนั่นเอง 7. ไม่ควรวางโต๊ะทำงานในห้องนอน ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าห้องนอนเป็นห้องที่ต้องการความเงียบสงบและผ่อนคลายเท่านั้น หากมีโต๊ะทำงานตั้งอยู่ในห้องนอนความเครียดจากการงานก็จะดึงพลังลบเข้ามาและทำให้รู้สึกเครียดทั้งตอนหลับและตอนตื่น ซึ่งแบบนี้ก็เท่ากับว่าเป็นการทำลายบรรยากาศโรแมนติกของสาวโสดให้พบรักยากขึ้นไปอีก 8. จัดระเบียบบ้านให้ลงตัว การจัดระเบียบบ้านให้ใช้ชีวิตได้อย่างลงตัวนั้น ถือว่าเป็นการเสริมสร้างเสน่ห์ให้สาวโสดดูฮอตขึ้นมาเลยล่ะ เพียงแค่จัดระเบียบข้าวของเครื่องใช้ ภายในครัว บนโต๊ะทำงาน หรือแม้กระทั่งโรงรถให้หยิบจับถนัดมือ เท่านี้การใช้ชีวิตของเราก็จะง่ายและคล่องตัวขึ้น รับรองเลยว่าใครเห็นก็ต้องหลงรักไปทุกราย 9. จัดห้องน้ำได้ถูกหลัก ความรักก็จะเข้ามาหาเอง สำหรับการจัดห้องน้ำของคนโสดให้ถูกต้องตามหลักฮวงจุ้ย แค่ทาสีผนังด้วยสีทาบ้านโทนอบอุ่นเพื่อเสริมสร้างพลังชี่ (Chi) ให้ไหลเวียนอยู่ตลอด ตกแต่งด้วยภาพผลงานศิลปะที่เกี่ยวกับความรัก เปลี่ยนผ้าเช็ดตัวให้มีสีหรือลายเป็นเซตเดียวกัน และที่สำคัญควรหมั่นดูแลห้องน้ำให้สะอาดอย่างสม่ำเสมอด้วยนะครับ 10. จัดสวนต้อนรับความรักสำหรับบ้านสาวโสด ฮวงจุ้ยไม่ได้จำกัดอยู่แต่ในบ้านเพียงอย่างเดียวเพราะจริง ๆ แล้วการเลือกต้นไม้มาปลูกในสวนก็สำคัญไม่แพ้กัน แนะนำให้สาวโสดปลูกพืชที่เป็นผลไม้สัก 2-3 ชนิดหรือปลูกไม้ดอกงาม ๆ อย่าง ดอกโบตั๋นแดง เพื่อเปล่งประกายเสน่ห์และความอ่อนโยนในตัวคุณ ถึงฮวงจุ้ยจะเป็นหลักตามความเชื่อ แต่ก็มีจุดประสงค์และเทคนิคที่สอดคล้องกับการใช้ชีวิตประจำวันของทุกคน หากสาวโสดคนไหนที่ยังคงนั่งเหงาใจอยากมีคู่กับใครเขาบ้าง ก็จงอย่าปล่อยให้เวลาผ่านเลยไป หันมาเอาใจใส่จัดบ้านตามหลักฮวงจุ้ยเรียกความรักที่เรานำมาให้ชมกันในวันนี้ดีกว่าครับ   ขอขอบคุณข้อมูลจาก : home.kapook.com
10 แบบบ้านชั้นเดียว 3D 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ

10 แบบบ้านชั้นเดียว 3D 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ

แบบบ้านชั้นเดียว ใช้ได้ทั้งบ้านและคอนโด สำหรับคนที่กำลังจะรีโนเวทคอนโดหรือสร้างบ้านใหม่  ยังคงเป็นแบบบ้านที่นิยมมาอย่างต่อเนื่อง วันนี้เราเลยรวบรวมแบบบ้านชั้นเดียว 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ ในรูปแบบของแปลน 3D มาฝากเป็นของขวัญปีใหม่ เผื่อใครกำลังจะสร้างบ้าน รีโนเวทคอนโด หรือกำลังจะขึ้นบ้านใหม่ปีหน้านี้ ภาพจาก bridgesatkendallplace 1.แบบบ้านชั้นเดียวสไตล์โมเดิร์น ตกแต่งด้วยโทนสีอบอุ่น จัดวางพื้นที่ส่วนรวมไว้ตรงกลาง แล้วแยกห้องนอนออกเป็น 2 ฝั่ง ฝั่งขวาเป็นห้องนอนใหญ่ 1 ห้อง ส่วนห้องนอนอีก 2 ห้องจัดอยู่ฝั่งซ้ายใช้ห้องน้ำร่วมกัน ภาพจาก home-designing 2.แบบบ้านชั้นเดียวสำหรับครอบครัวที่มีพี่น้อง ห้องนอนของพ่อ-แม่ถูกแยกออกไปอยู่เหนือห้องนั่งเล่น ส่วนห้องลูก ๆ อยู่ฝั่งตรงข้ามกันทั้ง 2 ห้อง โดยมีห้องน้ำคั่นตรงกลางไว้ใช้ร่วมกัน ภาพจาก home-designing 3.แบบบ้านชั้นเดียวบรรยากาศเรียบหรู ด้วยการตกแต่งโทนสีขาว-เขียวกับการวางห้องนอนและห้องน้ำในแนวตัวแอล (L) ล้อมพื้นที่ส่วนรวมอย่างห้องนั่งเล่นกับห้องครัวเอาไว้ นอกจากนี้มีระเบียงตรงมุมห้องไว้ออกไปกินลมชมวิวด้วย ภาพจาก pradipta 4.แบบบ้านชั้นเดียวแยกห้องครัว สำหรับคนที่ไม่ชอบให้ควันจากการทำอาหารลอยฟุ้งเข้าไปในห้องนั่งเล่น ห้องน้ำ หรือห้องนอน แบบบ้านนี้ได้แยกส่วนของห้องครัวออกมาต่างหากสามารถทำประตูปิดได้ อยู่คั่นระหว่าง 2 ห้องนอนเล็ก ส่วนห้องนอนใหญ่ถัดออกไปด้านหน้าติดกับห้องนั่งเล่น พอแขกเปิดประตูเข้ามาก็นั่งพักได้เลย ภาพจาก foundationdezin 5.ที่ดินเล็กก็มีแบบบ้านชั้นเดียวได้ แม้จะมีพื้นที่น้อยนิดก็ไม่เป็นปัญหาหากจะทำบ้านแบบ 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ เพราะแค่ลดขนาดของแต่ละห้องลงมา แล้วรวมห้องกินข้าวไว้กับห้องนั่งเล่น ก็หมดปัญหาเรื่องการแบ่งพื้นที่แล้ว ภาพจาก Landtrades 6.ที่ดินหน้าแคบก็ทำแบบบ้านชั้นเดียวได้ แปลนสำหรับบ้านหน้าแคบแต่ตัวบ้านยาว โดยการจัดพื้นที่รวมไว้ด้านหน้า ส่วนห้องนอนและห้องน้ำทั้งหมดนำมารวมไว้ด้านหลัง ทำให้ห้องนอนทุกห้องมีระเบียงเป็นของตัวเองด้วย ภาพจาก domaineatvillebois 7.แบบบ้านชั้นเดียวในรูปแบบเรียบง่าย เมื่อเปิดประตูเข้ามาก็จะเจอทางแยกสำหรับไปพื้นที่รวมและห้องนอนเล็ก 2 ห้องกับห้องน้ำอีก 1 ห้อง ส่วนห้องนอนใหญ่มีห้องน้ำในตัวมีทางเข้าอยู่หลังห้องนั่งเล่นที่อยู่รวมกับห้องครัว โต๊ะทำงาน และโต๊ะกินข้าวในพื้นที่เดียวกัน ภาพจาก fixarh 8.แบบบ้านชั้นเดียว มีพื้นที่ปลูกต้นไม้ สำหรับคนที่ชอบธรรมชาติแบบบ้านหลังนี้น่าจะตอบโจทย์ได้ดี โดยการตกแต่งด้วยโทนสีน้ำตาล-ขาว มีต้นไม้ปลูกเป็นหย่อม ๆ พร้อมระเบียงอีก 3 จุดในห้องนั่งเล่น ห้องนอนใหญ่ และห้องครัว ภาพจาก hemorpheusgroup 9.มีระเบียงทุกห้อง แบบบ้านที่เปิดต้อนรับด้วยห้องนั่งเล่นและโต๊ะกินข้าว ก่อนเป็นส่วนของห้องครัว ห้องนอน และห้องน้ำ พร้อมระเบียงที่เชื่อมต่อจากด้านข้างของทุกห้อง โดยใช้ระเบียงของห้องครัวเป็นพื้นที่ซักล้างไปในตัว ภาพจาก siddhagroup 10.เน้นพื้นที่ห้องนอน แบบบ้านที่จัดพื้นที่รวมไว้ตรงกลางล้อมรอบด้วยห้องครัว ห้องซักล้าง ห้องน้ำ และห้องนอน โดยห้องนอนเล็ก 2 ห้องใช้ห้องน้ำร่วมกัน พร้อมพรางตาพื้นที่ภายในให้กว้างขึ้นด้วยประตูกระจกใส แบบบ้านชั้นเดียว และสองชั้นอื่นๆ ที่น่าสนใจ แบบบ้านชั้นเดียว หลังเล็กๆ เรียบง่ายสไตล์ญี่ปุ่น แบบบ้านสองชั้นดีไซน์สวย พร้อมสวนสไตล์โมเดิร์น ปัจจัยหลักในการออกแบบบ้านชั้นเดียวสำหรับผู้สูงอายุ
แต่งคอนโดเล็กๆ ให้ดูกว้าง ชิคๆ สไตล์ฮิปสเตอร์แบบงบจำกัด

แต่งคอนโดเล็กๆ ให้ดูกว้าง ชิคๆ สไตล์ฮิปสเตอร์แบบงบจำกัด

ไอเดียแต่งคอนโดห้องเล็ก ๆ สไตล์ฮิปสเตอร์แบบงบจำกัด อยากมีคอนโดเก๋ ๆ สไตล์ฮิปสเตอร์ มาดูไอเดียแต่งคอนโดสไตล์ฮิปสเตอร์ ราคาเบา ๆ ไม่พึ่งบิวท์อินห้องนี้กันเลย สำหรับคนที่เกือบหมดงบไปกับการซื้อคอนโด เหลืองบแต่งคอนโดนิด ๆ หน่อย ๆ มาชมไอเดียแต่งคอนโดเล็ก ๆ ห้องนี้ไปพร้อม ๆ กันเลย วันนี้สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม คุณสมาชิกหมายเลข 1926754 มารีวิวให้ชมว่าจะแต่งคอนโดห้องเล็ก ๆ อย่างไรให้ดูกว้างและน่าอยู่ อีกทั้งยังมีเคล็ดลับประหยัดเงินซื้อของตกแต่งมาบอกต่อด้วยครับ [CR] เมื่อ Hipster อย่างผม เกิดอยากแต่งห้องกับงบจำกัด โดย คุณ สมาชิกหมายเลข 1926754  สวัสดีชาวพันทิป เรื่องของเรื่องคือเป็นหนี้มาสักพักแล้ว หลังจากซื้อคอนโดมาย่างเข้าเดือนที่ 5 ก็เริ่มเก็บตังค์ได้บางส่วน อีกส่วนรูดบัตรเครดิต เลยอยากตกแต่งเพิ่มเติมสีสันให้ห้องและมุมนั่งเล่นดูมีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น (ยังไม่เข้าอยู่อย่างเป็นทางการ ไป ๆ มา ๆ สลับกับบ้าน) ลองเข้าไปหาข้อมูลเฟอร์นิเจอร์หลายที่อยู่เหมือนกัน บวกลบคูณหารเรื่องคุณภาพสินค้ากับราคาอยู่หลายรอบ พอลองเข้าอินเทอร์เน็ตอยู่ดี ๆ ก็เกิดไอเดียในการตกแต่งห้องขึ้นมาทันทีทันใด 555+ เลยตกลงใจกดคลิก ๆ ๆ ซื้อโซฟากับตู้เก็บของมา 2 ใบ (เพราะเอกสารผมเยอะมาก ๆ) สวยเรียบง่ายดีครับ ที่สำคัญลดราคาอยู่พอดีและอีกอย่างคือไม่มีเวลาไปเลือกดูของที่ร้าน เนื่องจากปกติทำงานต่างจังหวัดจันทร์-ศุกร์ พอวันเสาร์-อาทิตย์ก็ไปเรียน ว่าง ๆ ก็นอนเก็บแรงครับ เลยสั่งซื้อเฟอร์นิเจอร์แบบออนไลน์นี่แหละ สะดวกดี สินค้าที่ซื้อก็มี (เอาตามงบละกัน) ตามนี้ ตู้เก็บของ (สูง) รุ่น Chosen ราคา 2,490 บาท ตู้เก็บของ (เตี้ย) รุ่น Chosen ราคา 1,490 บาท โซฟา U-Boom ราคา 8,900 บาท ของตกแต่งอื่น ๆ ของที่เหลือหอบมาจากที่บ้าน 555 อันนี้ก็เป็นภาพผังของห้องนะ ไปก๊อปมาจากเว็บไซต์ของโครงการคอนโด เริ่มต้นจากการนำแปลนห้องมาก่อน มาดูว่าจะวางอะไรยังไงตรงไหนดี ห้องมันจริง ๆ ก็แคบอยู่ ก่อนแต่งคือคิดจะแต่งด้วยบิวท์อิน แต่พอไปสอบถามราคามาคือมันแพงไปอะ เลยคิดว่าซื้อเฟอร์นิเจอร์มาเเต่งห้องให้มันฮิปสเตอร์แบบสดใส เข้ามาแล้วแบบอยากกระโดดนอนลงบนโซฟาดังตู้มแล้วกลายเป็นโกโก้ครั้นช์ ดีกว่าประหยัดงบได้ด้วย 555 ก่อนอื่นมาดูสภาพห้องจริงกันก่อนนะครับ ห้องของโครงการที่ไม่มีอะไรเลย โล่งเชียว มีแค่เคาน์เตอร์ครัวกับตู้เสื้อผ้า แค่นั้นแหละครับจบ ที่เหลือหาซื้อเอาเอง ภาพโดยรวมของห้อง จะเห็นห้องรับแขกกับห้องครัว ส่วนห้องแยกเป็นห้องนอนครับ ภาพห้องนอนถ่ายจากด้านใน ภาพห้องนอนถ่ายจากด้านนอก ภาพห้องครัว หลังจากดูภาพ Before กันแล้ว มาลุยแต่งห้องกันดีกว่าครับ พี่ ๆ จาก SB มาประกอบของให้  ใจดีมาก ๆ จริง ๆ แล้วพี่เขาแอบเกร็ง ๆ ตอนผมถ่ายภาพด้วยอะครับ อิอิ จัด ๆ เลื่อน ๆ วาง ๆ ของสักหน่อย ให้พี่ช่างช่วยถ่ายให้ 555+ ( ป.ล.สวนติดผนังด้านข้างของ SCG Landscape แหล่มมาก ๆ บอกเลย ซื้อมาติดไว้เมื่อเดือนก่อน) ต่อไปมาดูกันนะครับว่าแต่งห้องเสร็จแล้วจะแหล่มขนาดไหน ห้องรับแขกครับ โดนใจสุด ๆ (ป.ล. ผ้าม่านที่เเม่เลือกให้ เพราะแม่แกอยากมีส่วนร่วมด้วย แต่มันขัดใจผมจริง ๆ ) งานห้องครัวก็มา โดนใจอีกแล้ว ดู ๆ ไปก็ไม่ค่อยรกเท่าไร (ใช่ไหม ?) อิอิ ส่วนมุมโต๊ะกินข้าวก็ไปจำมาจากร้านอาหารแนว ๆ ฮิปสเตอร์ที่เคยไปกินมาครับ ต่อมาเป็นห้องนอนครับ ผมเลือกใช้เป็น Sofa Bed เนื่องจากปกติผมจะชอบนอนห้องรับแขก (เพราะติดแอร์อยู่ห้องเดียวและมีทีวี) ส่วนห้องนอนเอาไว้รับแขก พอไม่มีใครมานอนก็จะพับเป็นโซฟา ห้องจะได้ดูไม่แคบครับ อันนี้เป็นตู้เก็บเอกสารที่ผมซื้อมาเพิ่มครับ รูปนี้ขอนิดนึง "ญาญ่าของตาโอ๊ต...ต" เป็นไงครับหลังแต่ง แหม...ห้องออกมาสไตล์สแกนดิเนเวียนนิด ๆ ฮิปสเตอร์หน่อย ๆ ตกแต่งตามความชอบส่วนตัวไปเรื่อย ๆ ออกมาเป็นแบบนี้ครับผม ถ้ามีงบกว่านี้อีกสักหน่อยจะติดวอลเปเปอร์เพิ่มคงได้อารมณ์มากกว่านี้ ผมเลือกโทนสีนี้เพราะของโครงการมันเป็นแนวนี้อยู่แล้ว ของที่ขนเข้ามาจริง ๆ ก็ใช้เป็นกองทัพมดขนมาได้สักพักแล้วครับ แต่เหตุที่ส่วนใหญ่เลือกใช้สินค้าของ SB เพราะพอบวกลบคูณหารแล้วราคากับคุณภาพคุ้มกันที่สุด บางอย่างอาจจะซื้อจากที่อื่นมาบ้าง ก็แปรผันไปตามกำลังทรัพย์ของตัวเองนะครับ ยังไงก็ฝากผลงานการรีวิวครั้งนี้ของผมไว้ด้วย งดดราม่านะครับ ไม่ได้เป็นหน้าม้าให้ใคร ของทั้งหมดผมก็ซื้อจาก SB, Ikea, Homepro และ SCG ก็มี แต่พอดีวันนี้พี่ SB มาส่งของให้พอดี เลยถ่ายรูปมาทำรีวิวครับผม ขอบคุณครับ ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก สมาชิกหมายเลข 1926754 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม home.kapook.com
7 ลักษณะบ้านอยู่แล้ว “จน”

7 ลักษณะบ้านอยู่แล้ว “จน”

คงไม่มีใครอยาก “จน” ทุกคนก็คงอยากรวย มีอิสระทางการเงินกันทั้งนั้น บางคนอาจสงสัยว่าทำไมตั้งใจทำงาน ขยัน อดออม แต่ทำไมไม่เคยมีเงินมีทอง หรือมั่งมีเหมือนคนอื่น ถ้าคุณพยายามทำทุกอย่างเต็มความสามารถแล้ว เราอยากให้คุณลองสังเกตหรือพิจารณาฮวงจุ้ย หรือตำแหน่งที่ตั้งของบ้านคุณดูว่าบ้านคุณเข้าข่ายอยู่แล้วจนหรือเปล่า   1.บ้านในสภาพแวดล้อมสกปรก จะยิ่งทำให้บ้านขาดพลังชี่ สังเกตดูก็ได้ว่าไม่ว่าคุณจะทำงานหนักแค่ไหนเหมือนเหนื่อยฟรี ดังนั้นคุณควรดูแลทำความสะอาดบ้านให้เรียบร้อย โปร่ง โล่ง สะอาด 2.บ้านต่ำกว่าถนน หรือสูงกว่าถนน สำหรับบ้านที่ต่ำหรือสูงกว่าถนนเกินไปนั้นไม่ดีเพราะทำให้โชคลาภและสิ่งดีงามไม่ไหลเข้าบ้าน หรือไล่เข้าบ้านได้ไม่ถนัดนัก วิธีแก้ไขสำหรับบ้านที่อยู่ต่ำกว่าถนนคือการทำลานหน้าบ้านเปิดรับพลังเหล่านั้นให้ไหลเข้าบ้าน 3.บ้านโดนสะพานตัดผ่าน ส่งผลให้มองไม่เห็นบริเวณหน้าบ้าน ซึ่งตามหลักฮวงจุ้ยแล้วถือว่าไม่เหมาะสม 4.ประตูและหน้าต่างมีจำนวนมากจนเกินไป หากพิจารณาตามหลักฮวงจุ้ยแล้วถือว่าการมีประตูและหน้าต่างมากจนเกินไปนั้นจะยิ่งเป็นช่องทางให้เงินไหลออกจากบ้าน วิธีแก้ไขคือการเปิดหน้าต่างบางบานหรือใช้ผ้าม่านช่วย 5.รั้วบ้านเตี้ย บ้านที่เน้นการโชว์ความสวยงามของบ้าน อาจจะเลือกทำรั้วเตี้ยๆ เป็นไม้ระแนง ทำให้ไม่สามารถเก็บเงินทองไว้ได้ 6.เปิดประตูแล้วเจอบันได บ้านแบบนี้ยิ่งทำงานหนัก เงินยิ่งรั่วไหล ไม่เข้ากระเป๋า 7.ประตูทางเข้าบ้านแคบ และรก ประตูเป็นทางเข้าของโชคลาภก็จริง แต่คุณควรเคลียร์พื้นที่บริเวณประตูให้สะดวกสำหรับสิ่งดีๆ จะวิ่งเข้ามาด้วย     ขอขอบคุณข้อมูลจาก home.sanook.com        
“มือใหม่” ซื้อบ้าน มักผิดพลาดในเรื่องใด

“มือใหม่” ซื้อบ้าน มักผิดพลาดในเรื่องใด

จะซื้อบ้านทั้งทีก็ต้องดูให้ดี ตัดสินใจให้แน่ เพราะมีหลายต่อหลายครั้งที่เรามักตัดสินใจซื้อบ้านแบบไม่ทันได้คิดให้รอบคอบ วันนี้เราจึงมีข้อผิดพลาดสำหรับมือใหม่ที่จะซื้อบ้านมาฝากไว้เป็นข้อเตือนใจกันครับ 1. ซื้อเกินงบ ส่วนใหญ่จะมองว่าเพิ่มเงินอีกนิดหน่อยก็จะได้หลัง/ห้องชุดที่ต้องการ  แต่ทางที่ถูกคือ มีงบเท่าไหร่ ควรซื้อเท่านั้น 2. ตัดสินใจเร็วไป  เช่น เปลี่ยนที่ทำงานใหม่ก็ตัดสินใจซื้อบ้านใหม่ทันที ทั้งๆที่อาจอยู่ได้ไม่นานก็ต้องย้ายงานอีก หรือบางทีแค่ทำงานไม่ครบปีก็จะซื้อบ้านซื้อคอนโดฯแล้ว ทางที่ดี ถ้าต้องอยู่อาศัยเป็นพักๆ ไม่แน่นอนก็อาจใช้วิธีลองเช่าดูก่อนแล้วค่อยซื้อ  หรือถ้าการงานยังไม่มั่นคง ทำงานเก็บเงินไปก่อนรอให้พร้อมแล้วค่อยซื้อ 3. จ่ายดาวน์น้อยเกินไป หลายคนชอบความสบาย ใช้เงินคนอื่นซื้อ(กู้ธนาคาร)มากกว่าเก็บเงินซื้อเอง จึงมักเลือกที่จะดาวน์น้อยและกู้มากๆ ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้กู้ไม่ผ่านหรือได้วงเงินกู้น้อยกว่าที่ต้องการ ทางที่ดีควรวางเงินดาวน์สัก 20% ของราคา 4. ไม่ได้สำรองค่าใช้จ่าย ซื้อบ้านไม่ได้จ่ายแค่เงินตามมูลค่าบ้าน แต่จะมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ มากมาย เช่น ค่าส่วนกลางล่วงหน้า,ค่าประกัน,ค่าโอน รวมถึงค่าตกแต่ง และของใช้ 5. มองข้ามรายละเอียดในสัญญา บ่อยครั้งที่เกิดปัญหาแล้วถึงค่อยกลับไปดู(อ่าน)สัญญา แต่ถึงตอนนั้นก็สายเกินไปเสียแล้ว  ฉะนั้น ก่อนเซ็นสัญญาทุกครั้งต้องอ่านอย่างละเอียด ถ้าเห็นว่าไม่ถูกต้องหรือถูกเอาเปรียบก็ต้องให้แก้ไขหรือเลี่ยงไปซื้อโครงการอื่น 6. ชอบอัพเกรดตัวเองด้วยสิ่งของใหม่ๆ คนจำนวนไม่น้อยนิยมอัพเกรดตัวเองด้วยการซื้อของใหม่ๆ หรือคิดว่าซื้อของใหม่ใช้ของใหม่แล้วชีวิตจะดูดีขึ้น เมื่อซื้อบ้านใหม่แล้ว ก็อยากได้รถคันใหม่ หรือเฟอร์นิเจอร์ใหม่ๆ ซึ่งจริงๆแล้วถ้าของเดิมดีอยู่แล้วก็ไม่จำเป็น เพราะรายได้ไม่มาก ไม่ควรแบกภาระหนี้มากเกินไป   ขอขอบคุณข้อมูลจาก home.co.th
5 จุดเหมาะติดกล้องวงจรปิด ก่อนทิ้งบ้านยาวช่วงวันหยุดยาว

5 จุดเหมาะติดกล้องวงจรปิด ก่อนทิ้งบ้านยาวช่วงวันหยุดยาว

5 จุดสำคัญที่แนะนำให้ติดกล้องวงจรปิด ไว้สอดส่องดูแลบ้านในยามที่ไม่มีคนดูแล โดยเฉพาะวันหยุดยาวในเทศกาลต่าง ๆ จะได้ไปเที่ยวแบบหมดห่วง  เดี๋ยวนี้ขโมยเยอะเสียจนน่ากลัว ทิ้งบ้านแป๊บเดียวเหล่าโจรก็สามารถบุกเอาทรัพย์สินมีค่าของเราไปได้ นับประสาอะไรกับวันหยุดยาวช่วงสงกรานต์ สัปดาห์ที่ทุกคนต่างพาครอบครัวกลับภูมิลำเนาหรือไปเที่ยวต่างจังหวัด หากอยากไปเที่ยวอย่างสบายใจหายห่วง แนะนำให้ติดกล้องวงจรปิดทั้ง 5 จุดนี้เอาไว้เลย เพราะเป็นจุดที่เสี่ยงต่อการงัดแงะมากที่สุด อีกทั้งยังเป็น 5 จุดสำคัญที่เหมาะกับการใช้สอดส่องดูแลบ้านในวันปกติหรือยามวิกาลอีกด้วย 1. ประตูหน้า          ตำแหน่งที่ขโมยใช้เข้ามาในบ้านมากที่สุด การติดกล้องวงจรปิดในตำแหน่งนี้ ให้ติดไว้บนประตูหน้าในตำแหน่งที่เอื้อมไม่ถึง แล้วติดตาข่ายลวดคลุมไว้อีกชั้น เพื่อป้องกันก้อนหินที่ขโมยอาจขว้างใส่กล้อง 2. หน้าต่างบ้านชั้นแรก  จุดเสี่ยงอันตรายลำดับต่อมา เพราะเป็นจุดที่คนร้ายไม่ต้องปีน อีกทั้งยังง่ายต่อการงัดแงะและทุบ โดยเฉพาะหน้าต่างกระจกใส ส่วนการติดกล้องตำแหน่งนี้ควรหันกล้องมาจากประตูหน้าไปตามแนวหน้าต่างชั้นแรก หรือติดกล้องเพิ่มที่มุมบ้านอีกตัว แล้วหันหน้ากล้องเข้าหาประตูหน้าบ้าน 3. หน้าต่างในมุมอับ หน้าต่างหลังบ้านหรือหน้าต่างที่มีต้นไม้หรือกำแพงบัง ก็เป็นอีกหนึ่งตำแหน่งที่ถูกหัวขโมยงัดแงะบ่อย เนื่องจากปลอดจากสายตาคนภายนอก การติดกล้องตำแหน่งนี้ควรติดไว้ตำแหน่งสูงที่สุดในระนาบเดียวกับมุมทแยงของหน้าต่าง 4. ประตูหลังบ้าน ประตูหลังบ้านเป็นจุดที่ปลอดสายตาจากคนภายนอกเช่นกัน อีกทั้งถ้าทำเสียงดังเสียงก็จะเล็ดลอดเข้าไปในบ้านได้น้อยมาก การติดกล้องในตำแหน่งนี้ให้ติดเหมือนกับประตูหน้าบ้าน คือติดให้สูงที่สุด เอื้อมไม่ถึง และติดตาข่ายลวดป้องกันไว้อีกชั้นด้วย 5. สวนหลังบ้าน สวนหลังบ้านเป็นตำแหน่งที่มักจะถูกละเลยเนื่องจากอยู่ด้านในสุด ในขณะที่บ้านบางหลังก็ปล่อยหลังบ้านโล่ง ไม่มีกำแพงล้อมรอบ อีกทั้งมีอุปกรณ์ทำสวนที่สามารถนำมางัดบ้านได้ การติดกล้องตำแหน่งนี้ให้หันกล้องไปยังกำแพงบ้าน หรือติดตั้งในองศาที่เห็นสวนในมุมที่กว้างและไกลที่สุด หากไม่อยากเที่ยวสงกรานต์ไป แล้วต้องรู้สึกพะว้าพะวงกลัวคนมางัดแงะบ้านของเรา ก็ลองหากล้องวงจรปิดดี ๆ สักเครื่องมาติดตั้งตามมุมสำคัญที่บอกไปนี้ เพื่อใช้สอดส่องดูแลบ้านขณะที่คุณไม่อยู่หรือในวันที่ต้องทิ้งบ้านยาว ๆ นะครับ   ขอขอบคุณข้อมูลจาก home.co.th
ข้อควรรู้ เมื่ออยากขายดาวน์บ้าน

ข้อควรรู้ เมื่ออยากขายดาวน์บ้าน

การขายดาวน์บ้านหรือคอนโดมักเกิดขึ้นด้วยหลายๆ สาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นเพราะ ผ่อนดาวน์ต่อไม่ไหว เปลี่ยนใจอยากได้บ้านหลังอื่น หรือยื่นกู้ซื้อบ้านกับธนาคารแล้วกู้ไม่ผ่าน แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม หลายคนที่ตัดสินใจขายดาวน์ก็มักมีข้อสงสัยต่างๆ เกิดขึ้น ซึ่งเราได้ไปหาคำตอบสำหรับข้อสงสัยต่างๆ เหล่านี้มาให้แล้วครับ กู้ไม่ผ่านเงินดาวน์จะได้คืนมาครบไหม ในกรณีที่ผ่อนดาวน์จนครบกำหนด พอทำเรื่องยื่นกู้ซื้อกับธนาคารไปแล้ว ปรากฏว่าผลการยื่นกู้ไม่ผ่าน กรณีนี้เราอาจจะได้เงินดาวน์คืนทั้งหมด หรือโดนหักเงินบางส่วน  ก็ขึ้นอยู่กับข้อตกลงของโครงการตั้งแต่ตอนแรกๆ ที่ทำสัญญากันครับ และเมื่อกู้ไม่ผ่านแต่อยากจะขายดาวน์ เราอาจจะได้เงินเพิ่มขึ้นหรือลดลงก็ได้ครับ ซึ่งหากโครงการอยู่ในทำเลดี และเป็นที่ต้องการของตลาด ทำให้มีผู้สนใจซื้อเป็นจำนวนมาก ในกรณีนี้นอกจากจะได้เงินดาวน์ครบแล้วเรายังสามารถบวกกำไรเข้าไปกับราคาขายดาวน์ทำให้ได้เงินเพิ่มขึ้นครับ แต่หากโครงการอยู่ในทำเลที่ไม่ดี หรือโครงการไม่เป็นที่ต้องการของผู้ซื้อก็อาจส่งผลให้เราต้องขายดาวน์ในราคาขาดทุนได้ครับ ทำเรื่องโอนสิทธิ์หรือเปลี่ยนสัญญากันที่ไหน เมื่อมีผู้สนใจต้องการซื้อดาวน์ต่อจากเรา ก็ควรพาผู้ซื้อไปดูสภาพและสถานที่จริงหากผู้ซื้อพึงพอใจและตัดสินใจที่จะซื้อดาวน์ สิ่งที่ผู้ขายต้องดำเนินการก็คือ การทำเรื่องโอนสิทธิหรือเปลี่ยนสัญญาครับ โดยผู้ขายจะต้องนัดผู้ซื้อไปทำเรื่องโอนสิทธิหรือเปลี่ยนสัญญากันที่โครงการ เพื่อให้โครงการรับรู้ และผู้ซื้อเองก็จะได้รับทราบรายละเอียดการผ่อนดาวน์ต่อหรือต้องจ่ายเงินให้กับโครงการและผู้ขายดาวน์เท่าไร โดยโครงการจะออกเอกสารการโอนสิทธิให้กับผู้ซื้อคนใหม่ ที่ระบุรายละเอียดการจ่ายเงินที่ผู้ขายได้จ่ายให้กับโครงการไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็น เงินจอง เงินผ่อนดาวน์ และเงินส่วนที่เหลือที่ผู้ซื้อคนใหม่จะต้องจ่ายให้กับโครงการต่อไป นอกจากนี้หากผู้ขายหรือผู้ซื้อเดิมได้มีการทำหนังสือสัญญาจะซื้อจะขายกับโครงการไว้แล้ว ก็จะต้องส่งมอบให้กับผู้ซื้อคนใหม่ด้วยครับ เพื่อให้ผู้ซื้อคนใหม่ตรวจสอบรายละเอียดการจ่ายเงินของผู้ซื้อเดิม รวมทั้งเงื่อนไขต่างๆ ที่ได้ทำไว้กับโครงการ ซึ่งช่วยเป็นการลดข้อโต้แย้งกันภายหลังจากการโอนสิทธิไปแล้ว ค่าธรรมเนียมโอนสิทธิหรือเปลี่ยนสัญญาต้องเสียหรือไม่ การโอนสิทธิจากผู้ซื้อเดิมเปลี่ยนเป็นผู้ซื้อคนใหม่ ปกติแล้วโครงการจะเก็บค่าธรรมเนียมในกรณีที่ผู้ซื้อยังถือเอกสารเป็นสัญญาจองสิทธิ โดยยังไม่ได้มีการทำสัญญาจะซื้อจะขาย ซึ่งในใบจองจะระบุว่าหากผู้ซื้อมีการโอนสิทธิจะต้องเสียค่าธรรมเนียมเท่าไร สำหรับค่าใช้จ่ายส่วนนี้ต้องบอกว่า แต่ละโครงการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมไม่เท่ากันครับ แต่หากผู้ซื้อเดิมได้มีการทำหนังสือสัญญาจะซื้อจะขายกับโครงการแล้ว ต่อมาต้องการขายดาวน์ในกรณีนี้ปกติแล้วจะไม่เสียค่าธรรมเนียมในการโอนสิทธิ เนื่องจากในสัญญาจะซื้อจะขายได้มีการระบุไว้ครับ   ขอขอบคุณข้อมูลจาก K-Expert
ข้อควรรู้ เมื่อถูกขอให้เป็นผู้กู้ร่วม

ข้อควรรู้ เมื่อถูกขอให้เป็นผู้กู้ร่วม

การกู้ร่วมอาจเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ แต่สาเหตุหนึ่งที่มักพบเจอบ่อยๆ ก็คือ รายได้ของผู้กู้หลักเมื่อหักภาระหนี้ผ่อนแล้ว เหลือไม่พอที่จะผ่อนบ้านหลังใหม่ หรือความสามารถในการชำระหนี้ไม่เพียงพอตามหลักเกณฑ์ของธนาคาร จึงต้องหาคนมากู้ร่วม เพื่อให้มีความสามารถในการชำระหนี้เพิ่มขึ้นนั่นเอง และไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม หากเรากำลังถูกขอให้ไปเป็นผู้กู้ร่วม เช่น กู้ร่วมกับพี่ชาย กู้ร่วมกับน้องสาว ก็ควรรู้ว่าการกู้ร่วมจะมีผลกระทบอะไรกับเราบ้าง เราจึงได้รวบรวมข้อควรรู้ ก่อนที่จะตัดสินใจไปกู้ร่วมมาฝากครับ ภาระหนี้ผ่อนในเครดิตบูโรหารเฉลี่ย เมื่อเราตกลงที่จะกู้ร่วมต้องไม่ลืมว่า ภาระหนี้บ้านหลังนี้จะกลายเป็นภาระหนี้ของเราด้วย ถึงแม้ว่าในความเป็นจริงการกู้ร่วมครั้งนี้ เราจะไม่ได้ไปช่วยผู้กู้หลักผ่อนชำระก็ตาม โดยภาระหนี้จะแสดงในเครดิตบูโรทั้งของผู้กู้หลักและผู้กู้ร่วม ซึ่งการรับภาระผ่อนจะหารเฉลี่ยกับจำนวนผู้กู้ เช่น ผ่อนบ้านเดือนละ 14,000 บาท กู้ร่วม 2 คน เท่ากับว่าผู้กู้แต่ละคนจะรับภาระผ่อนคนละ 7,000 บาท หากในอนาคตผู้กู้ร่วมต้องการขอสินเชื่อครั้งใหม่ เช่น กู้ซื้อบ้าน กู้ซื้อรถ ภาระผ่อนจากการกู้ร่วม จะถูกนำไปพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้ด้วย หรือก็คือทำให้ความสามารถในการผ่อนสินเชื่อครั้งใหม่จะลดลงไป 7,000 บาทนั่นเอง มีประวัติผ่อนชำระเช่นเดียวกับผู้กู้หลัก แน่นอนว่าเมื่อเรากู้ร่วมไปแล้ว ความรับผิดชอบในภาระหนี้จะเหมือนกับผู้กู้หลัก หากผู้กู้หลักสามารถผ่อนชำระหนี้ได้เป็นปกติ หรือมีประวัติผ่อนชำระที่ดี ผู้กู้ร่วมก็จะมีประวัติผ่อนชำระที่ดีไปด้วย แต่ในทางกลับกันหากผู้กู้หลักไม่สามารถผ่อนชำระหนี้ได้อย่างปกติ ผ่อนตรงกำหนดบ้าง ไม่ตรงกำหนดบ้าง ประวัติการผ่อนต่างๆ เหล่านี้ก็จะแสดงในเครดิตบูโรของผู้กู้ร่วมด้วย และหากผู้กู้หลักไม่สามารถชำระหนี้ได้เลย จนมีหนี้ค้างชำระ ผู้กู้ร่วมก็จะต้องรับประวัติเสียนี้ด้วยเช่นกัน ซึ่งก็จะส่งผลต่อการขอสินเชื่อของผู้กู้ร่วม ทำให้ไม่สามารถขอสินเชื่อครั้งใหม่ได้เนื่องจากมียอดหนี้ที่ยังค้างชำระอยู่ กรรมสิทธิ์ในหลักประกันมีสิทธิ์ร่วม ผู้กู้ร่วมบางคนอาจคิดว่าตนเองไม่สามารถเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในหลักประกันได้ ต้องบอกว่า ในการกู้ร่วมเจ้าของกรรมสิทธิ์หลักประกันสามารถมีได้หลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นของผู้กู้หลักคนเดียว หรือจะเป็นกรรมสิทธิ์ร่วมกันก็ได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับข้อตกลงระหว่างผู้กู้หลักกับผู้กู้ร่วม อย่างไรก็ตามหากเป็นกรรมสิทธิ์ร่วมแล้ว ในอนาคตต้องการเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์ของบ้านที่เป็นหลักประกัน เช่น ขายบ้าน ก็จะต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของกรรมสิทธิ์ทุกคนเสียก่อน จึงทำให้บางครั้งผู้กู้หลักเลือกที่จะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในหลักประกันเพียงคนเดียวมากกว่าเป็นกรรมสิทธิ์ร่วม ดอกเบี้ยบ้านมีสิทธิใช้ลดหย่อนภาษี ดอกเบี้ยบ้านจากการกู้ร่วมสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ ด้วยการหารเฉลี่ยตามจำนวนผู้กู้ร่วม โดยสามารถลดหย่อนได้ตามจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท เช่น กู้ร่วม 2 คน ดอกเบี้ยบ้านทั้งปีอยู่ที่ 90,000 บาท จะสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้คนละ 45,000 บาท แต่หากดอกเบี้ยบ้านจ่ายจริงเกิน 100,000 บาท เช่น ดอกเบี้ยบ้านกู้ร่วมทั้งปีอยู่ที่ 110,000 บาท ดอกเบี้ยบ้านที่สามารถนำมาใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้จะอยู่ที่ 100,000 บาท หากกู้ร่วม 2 คน ก็สามารถใช้สิทธิลดหย่อนดอกเบี้ยบ้านได้คนละ 50,000 บาท   ขอขอบคุณข้อมูลจาก K-Expert
เลือกวัสดุปูพื้นอย่างไร ให้ตอบโจทย์การใช้งาน

เลือกวัสดุปูพื้นอย่างไร ให้ตอบโจทย์การใช้งาน

คุณแน่ใจแล้วหรือยังว่าวัสดุปูพื้นที่คุณเลือกใช้นั้นสามารถตอบโจทย์การใช้งานได้เป็นอย่างดี เพราะห้องแต่ละห้องมีการใช้งานที่แตกต่างกัน วัสดุปูพื้นที่จะนำมาใช้จึงควรผ่านการพิจารณาก่อนนำมาติดตั้งเพื่อรองรับการใช้งานได้อย่างเต็มที่ การเลือกวัสดุปูพื้นที่เหมาะสมจะช่วยยืดอายุการใช้งานให้ยาวนาน ง่ายต่อการดูแลรักษา และปลอดภัยสำหรับสมาชิกในบ้าน 1. ห้องโถงและทางเดิน - เป็นบริเวณที่ใช้สัญจรเข้าออกตั้งแต่เช้าจรดเย็นตลอดเวลา และยังเป็นพื้นที่ที่ต้องการโชว์ความสวยงามสำหรับแขกผู้มาเยือน  ดังนั้น นอกจากความสวยงามที่แสดงออกถึงสไตล์การตกแต่งแล้ว พื้นที่ส่วนนี้จึงควรมีความทนทานแข็งแรง ไม่ลื่นจนเกินไป และทนต่อการขีดข่วนโดยเฉพาะเจ้าของบ้านที่มีสัตว์เลี้ยงในบ้าน วัสดุปูพื้นสามารถเลือกใช้เป็นหินแกรนิต หินขัด (Terrazzo) ที่มีทั้งความสวยงาม ความแข็งแกร่ง และความทนทานสูง หรือหากไม่ชอบอะไรที่จำเจ สามารถเลือกเป็นกระเบื้องเซรามิกที่มีความหลากหลายทั้งโทนสี และผิวสัมผัสก็ได้ หรือหากต้องการให้บ้านดูอบอุ่นขึ้นมาหน่อยอาจเลือกใช้ไม้ลามิเนตแทนการใช้ไม้จริง เนื่องจากทนต่อการขีดข่วนได้ดี และยังดูเป็นธรรมชาติ ภาพ: ห้องโถง (ซ้าย) ปูด้วยกระเบื้อง Cotto Italia / (ขวา)พื้นไม้ลามิเนต 2. ห้องรับแขก และห้องนั่งเล่น - นับเป็นอีกห้องที่ใช้งานหนัก ไหนจะมีเครื่องเรือนทั้งโต๊ะ โซฟา เคาน์เตอร์วางทีวี ตู้โชว์ ตู้ปลา หรือตู้หนังสือจัดวาง วัสดุปูพื้นสำหรับห้องนี้คล้ายห้องโถงและทางเดิน คือควรมีลักษณะทนทาน ไม่เป็นรอยง่ายอย่าง หินแกรนิต ไม้ลามิเนต หินขัด หรือกระเบื้องเซรามิก นอกจากนี้ การปูพรมเสริมภายในห้อง ก็ช่วยให้ห้องดูอบอุ่นสบายตายิ่งขึ้น ภาพ: ห้องรับแขกปูด้วยกระเบื้อง Cotto Italia 3. ห้องครัว และห้องทานอาหาร - ห้องครัว หรือห้องทานอาหารมักอยู่บริเวณใกล้เคียงกัน เป็นห้องที่บางบ้านอาจใช้งานบ่อย หรือบางบ้านอาจใช้ไม่บ่อยนัก แต่ด้วยการใช้งานมีไว้สำหรับไว้ทำอาหาร จึงมีโอกาสเกิดคราบสกปรกที่พื้นและผนังได้ง่าย ทั้งเศษอาหาร ไขมัน น้ำ และกลิ่น ทั้งนี้ วัสดุปูพื้นจึงควรเลือกเป็นวัสดุที่ทำความสะอาดง่าย ไม่สะสมเศษสกปรกหรือกลิ่น เช่น กระเบื้องเซรามิก กระเบื้อง PVC เป็นต้น ทั้งนี้ควรหลีกเลี่ยงพื้นหินอ่อน ไม้จริง กระเบื้องดินเผา และพรม เพราะจะสกปรกง่าย และทำความสะอาดยาก   ภาพ: ห้องทานอาหารพื้นด้วยกระเบื้องเซรามิก 4. ห้องน้ำ - เป็นพื้นที่ต้องรองรับความเปียกชื้น รวมถึงน้ำยา และสารเคมีต่างๆ เช่น สบู่ แชมพู และน้ำยาล้างห้องน้ำ ซึ่งส่งผลต่อพื้นผิววัสดุปูพื้นโดยตรง ดังนั้นควรเลือกวัสดุปูพื้นที่มีคุณสมบัติกันน้ำ กันลื่น ไม่ขึ้นรา ทำความสะอาดง่ายอย่างกระเบื้องเซรามิก โดยเลือกเป็นประเภทที่มีค่าดูดซึมน้ำต่ำ รวมถึงควรมีค่า R (ค่ากันลื่น) ที่ 10 ขึ้นไป หรือหากต้องการตกแต่งห้องน้ำสไตล์ธรรมชาติ สามารถใช้กรวดล้างทรายล้าง หรือใช้พื้นไม้สังเคราะห์ประเภทไฟเบอร์ซีเมนต์ หรือไวนิลสลับกับการโรยด้วยกรวดหินก็เป็นอีกวิธีที่นิยม นอกจากนี้ ต้องยาแนวกระเบื้องอย่างถูกวิธี และอย่าลืมทำระบบกันซึมบนพื้นคอนกรีตโครงสร้าง เพื่อป้องกันน้ำรั่วซึม ภาพ: ห้องน้ำปูกระเบื้องเซรามิก 5. ห้องนอน - เป็นพื้นที่พักผ่อนส่วนตัวที่ควรมีบรรยากาศผ่อนคลาย สามารถเลือกวัสดุปูพื้นได้หลายประเภทตามแต่เจ้าของห้องต้องการ เพราะเป็นบริเวณที่ไม่ได้ใช้งานหนัก โดยมากจะเลือกเป็นพื้นไม้ ไม่ว่าจะเป็นไม้จริงหรือไม้เทียมต่าง ๆ เพราะให้ความรู้สึกอบอุ่น ไม่เย็นเท้า หรือสามารถเลือกเป็นกระเบื้องเซรามิก หินขัด และปูพรมบางส่วน โดยเฉพาะบริเวณรอบเตียง เพื่อช่วยเพิ่มความนุ่มนวล และลดความแข็งกระด้าง ภาพ: ห้องนอนปูด้วยพื้นไม้ 6. ชาน และระเบียงบ้าน - ชาน และพื้นระเบียงที่อยู่ชั้นบนหรือชั้นล่าง มีโอกาสเจอทั้งแดดและฝน ดังนั้น ควรพิจารณาเลือกใช้วัสดุที่แข็งแรง อายุการใช้งานยาวนานอย่างไม้สังเคราะห์ไฟเบอร์ซีเมนต์ หรือไวนิล สำหรับเจ้าของบ้านที่ชอบสไตล์ธรรมชาติ หรือเลือกใช้เป็นกระเบื้องเซรามิกที่ทำความสะอาดง่าย ทนทานต่อสภาพแวดล้อม ภาพ: ระเบียงนอกบ้านปูด้วยไม้สมาร์ทวูด Floor Plank 7. บันได - สำหรับบ้านพักอาศัยส่วนใหญ่จะเลือกใช้วัสดุประเภทเดียวกันหรือใกล้เคียงกับวัสดุปูพื้นชั้นล่าง หรือวัสดุปูพื้นชั้นบน อย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อให้กลมกลืนต่อเนื่องกัน และควรมีจมูกบันไดที่เป็นวัสดุกันลื่น เพื่อความปลอดภัย นอกจากนี้ หากมีงบประมาณสามารถปูพรมเพื่อความปลอดภัย และลดเสียงเวลาใช้งานได้ด้วย ภาพ: (ซ้าย) บันไดปูไม้บันไดสมาร์ทวูด/ (ขวา) บันไดปูกระเบื้องเซรามิกลายหินอ่อน อย่างไรก็ตาม การเลือกวัสดุปูพื้นในแต่ละห้องต้องไม่ลืมนึกถึงสมาชิกในบ้านด้วย เช่น หากมีเด็กเล็ก หรือผู้สูงอายุ ควรเลือกวัสดุปูพื้นที่มีคุณสมบัติกันลื่น หรือเลือกใช้สีพื้นต่างกันในพื้นที่ต่างระดับ เป็นต้น ทราบอย่างนี้แล้ว อย่าลืมศึกษาทั้งคุณสมบัติและการติดตั้งก่อนตัดสินใจ และหมั่นทำความสะอาด บำรุงรักษาวัสดุปูพื้นเพื่อยืดอายุการใช้งานให้สวยงามอยู่เสมอ ขอขอบคุณภาพประกอบและข้อมูลจาก  www.scgbuildingmaterials.com
วิธีลดความร้อนที่เข้ามาทางผนัง เพื่อบ้านเย็นอยู่สบาย

วิธีลดความร้อนที่เข้ามาทางผนัง เพื่อบ้านเย็นอยู่สบาย

เรื่อง: SCG Experience ความร้อนจากภายนอกที่ผ่านเข้ามาภายในบ้าน นอกจากจะผ่านเข้ามาทางหลังคาแล้ว ‘ผนัง’ ถือเป็นส่วนสำคัญที่ควรป้องกันเช่นกัน โดยเฉพาะผนังห้องที่อยู่ทางทิศตะวันตก และทิศใต้ซึ่งต้องโดนแดดตลอดช่วงบ่าย จึงมีการสะสมความร้อนจนทำให้อุณหภูมิสูงกว่าส่วนอื่นๆ โดยถึงแม้จะเป็นช่วงกลางคืน ก็ยังรู้สึกร้อนเนื่องจากผนังคายความร้อนที่สะสมในระหว่างวันออกมา ส่งผลให้เครื่องปรับอากาศต้องทำงานหนักมากขึ้นกว่าอุณหภูมิจะลดลงตามที่ต้องการ และทำให้ต้องจ่ายค่าไฟมากกว่าที่ควร จึงขอแนะนำวิธีต่างๆ ที่สามารถช่วยป้องกันความร้อนที่เข้ามาทางผนังบ้านได้ ทั้งการลดความร้อนที่ผนังและช่องเปิด รวมถึงการสร้างร่มเงาให้แก่บ้าน ลดการความร้อนที่ผนัง สำหรับบ้านสร้างใหม่ควรเลือกใช้วัสดุก่อผนังที่มีค่าการสะสมความร้อนต่ำอย่างอิฐมวลเบา โดยที่ผนังภายนอกบ้านควรทาสีโทนอ่อนหรือโทนสว่าง เช่น สีขาว สีครีม สีพาสเทล หรือเลือกใช้สีสะท้อนความร้อน แต่หากเป็นบ้านเก่าสามารถแก้ไขได้โดยการทำผนัง 2 ชั้น (ระบบผนังโครงเบา) เพื่อเพิ่มช่องว่างอากาศในผนังซึ่งจะช่วยลดความร้อนเข้าสู่ภายในห้องได้ดีขึ้น หรือติดตั้งฉนวนกันความร้อนเพิ่มเติมที่ผนังด้านที่โดนแดดจัด เพื่อการป้องกันความร้อนที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ภาพ: การทาสีผนังบ้านภายนอกด้วยสีโทนอ่อนช่วยลดการอมความร้อนได้ดีกว่าสีโทนเข้ม สถานที่: บ้านคุณวิสันต์ กรัณฑรัตน ลดความร้อนที่กระจก กระจกที่ช่องเปิดต่างๆ เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ความร้อนจากแสงแดดผ่านเข้ามาได้ง่าย ทั้งทางหน้าต่าง ประตู หรือบ้านที่ออกแบบสไตล์โมเดิร์นซึ่งมักใช้กระจกแทนผนัง การเลือกใช้กระจกสองชั้น กระจกลามิเนต กระจก Low-E  หรือติดฟิล์มกันรังสี UV เพิ่มเติมบนกระจกเดิม จะช่วยลดความร้อนที่ผ่านเข้ามาได้มากพอสมควร รวมถึงการใช้ม่านกัน/กรองแสงยังช่วยป้องกันความร้อนได้อีกชั้นหนึ่ง ภาพ: ติดม่านกรองแสง สถานที่: บ้านสวนมุก หัวหิน สร้างร่มเงาให้ผนัง การติดตั้งระแนงหรือกันสาดรูปแบบต่างๆ ให้เหมาะสมตามทิศทางแสงแดดในแต่ละด้านเพื่อช่วยกรองแสงแดดที่ส่องกระทบผนังและช่องเปิดจะช่วยลดความร้อนที่สะสมในผนังได้ โดยสำหรับบ้านที่ยังไม่ได้สร้าง ควรออกแบบให้มีชายคายื่นออกมา 1.5 – 2 เมตร จะช่วยกันแดดได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้หากมีพื้นที่โดยรอบบ้านพอสมควร ควรปลูกต้นไม้เพื่อให้ร่มเงา  โดยหากเป็นต้นไม้ใหญ่ควรปลูกให้ห่างจากตัวบ้านอย่างน้อย 2-3 เมตร เพื่อป้องกันต้นไม้บังทิศทางลม ภาพ: ติดตั้งระแนงกันสาดตามแนวทางเดินรอบบ้านเพื่อกันแดดและฝน สถานที่: บ้านคุณเกด-เจษฎ์สุภา พิพัฒนสุภรณ์ และคุณจี๊ป-ปริญญา ณรงค์ธนรัฐ  ภาพ: การติดตั้งระแนงกันแดด สถานที่: Muay House, บ้านคุณอิษฎา แก้วประเสริฐ, AREE HOUSE ภาพ: ลักษณะชายคาที่ยื่นออกมาเพื่อการป้องกันแสงแดดได้ดียิ่งขึ้น สถานที่: Coffee Hill Resort นอกจากนี้ การออกแบบทิศทางช่องเปิด และลักษณะการวางตัวบ้านหรืออาคารก็ส่งผลต่ออุณหภูมิภายในบ้านเช่นกัน โดยการออกแบบที่ดีควรหลีกเลี่ยงการทำประตู หน้าต่าง หรือช่องเปิดต่างๆ ในทิศตะวันตก โดยควรทำเป็นผนังทึบหรือจัดพื้นที่เป็นห้องเก็บของ/ห้องน้ำ เพื่อป้องกันแดดส่องเข้าบ้านโดยตรง และควรมีช่องเปิดที่ผนังทิศเหนือและทิศใต้เพื่อรับกับทิศทางลมตลอดปี ส่งผลให้บ้านหรืออาคารหลังนั้นมีการถ่ายเทอากาศที่เหมาะสม รวมถึงในทิศตะวันออก อาจมีระแนง หรือม่านเพื่อช่วยกรองแสงในช่วงสาย นอกจากนี้พื้นรอบบ้านยังสามารถช่วยลดอุณหภูมิลงได้โดยการปูหญ้า หรือบล็อกปูพื้น เอสซีจี รุ่น Cool Plus แทนการเทพื้นคอนกรีตที่มีค่าการอมความร้อนสูง โดยสามารถสอบถามสถาปนิกจาก SCG ได้ก่อนการตัดสินใจ ภาพ: (บน) ทำผนังทึบในทิศตะวันตกเพื่อป้องกันแสงแดด, (ล่าง) ออกแบบหลังคาเพื่อป้องกันแดดร่วมไปกับการติดม่าน และการปลูกต้นไม้ สถานที่: บ้านสวนมุก หัวหิน ขอขอบคุณภาพประกอบและข้อมูลจาก  www.scgbuildingmaterials.com
ซื้อบ้านหลังแรกช่วยลดภาษีได้อย่างไร?

ซื้อบ้านหลังแรกช่วยลดภาษีได้อย่างไร?

ข่าวดีสำหรับคนที่เพิ่งซื้อบ้านไปเมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว หรือมีแพลนจะซื้อบ้านในปีนี้ ถ้าไม่เคยซื้อบ้านหรือมีชื่อเป็นเจ้าของบ้านมาก่อน สามารถนำเงินค่าซื้อบ้านมาลดหย่อนภาษีได้นะครับ ซึ่งรายละเอียด เงื่อนไขเป็นอย่างไรนั้น เรามีข้อมูลมาฝากครับ บ้านแบบไหนลดหย่อนภาษีได้ บ้านที่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีกรณีบ้านหลังแรกได้นั้น ต้องเป็นบ้านพร้อมที่ดิน หรือเป็นคอนโดฯ จะเป็นมือ 1 หรือมือ 2 ก็ได้ แต่ต้องมีราคาซื้อขายไม่เกิน 3 ล้านบาท และจะซื้อด้วยเงินสด หรือเงินผ่อนก็ได้ แต่ต้องจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในช่วง 13 ตุลาคม 2558 - 31 ธันวาคม 2559  ดังนั้น ถ้าโอนกรรมสิทธิ์ไม่ทันช่วงเวลานี้ ก็อดหมดสิทธิลดหย่อนภาษีจากบ้านหลังแรกนะครับ รวมถึงถ้ามีที่ดินอยู่แล้ว จะปลูกสร้างบ้านหรือที่อยู่อาศัยบนที่ดินนั้น แม้ไม่เคยเป็นเจ้าของบ้านมาก่อน ก็ไม่สามารถใช้สิทธิลดหย่อนบ้านหลังแรกได้เช่นกันครับ ลดหย่อนภาษีได้เท่าไร ผู้ที่ซื้อบ้านหรือคอนโดฯ โดยที่ตัวเองไม่เคยมีกรรมสิทธิ์ในบ้านหรืออสังหาฯ เพื่อที่อยู่อาศัยใดๆ มาก่อน ถ้ามีรายได้อยู่ในเกณฑ์ต้องเสียภาษี จะสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีจากบ้านหลังแรกได้ โดยสามารถนำ 20% ของราคาบ้านมาเฉลี่ยลดหย่อนภาษีได้เป็นเวลา 5 ปี หรือก็คือ ลดหย่อนภาษีได้ปีละ 4% ของราคาบ้านเป็นเวลา 5 ปีนั่นเอง ยกตัวอย่างเช่น ซื้อบ้านหรือคอนโดฯ หลังแรกราคา 3 ล้านบาท จะสามารถลดหย่อนภาษีได้เป็นเวลา 5 ปี ปีละ 120,000 บาท โดยบ้านที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ในช่วง 13 ตุลาคม 2558 - 31 ธันวาคม 2558 จะสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีสำหรับเงินได้ของปี 2558-2562 ส่วนบ้านที่โอนกรรมสิทธิ์ในปี 2559 จะสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีสำหรับเงินได้ของปี 2559-2563 แล้วตอนที่ยื่นภาษีเพื่อใช้สิทธิลดหย่อนบ้านหลังแรกรอบนี้ จะกรอกเป็นค่าลดหย่อนในช่อง “เงินได้ที่จ่ายเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์” ซึ่งต่างจากมาตรการบ้านหลังแรกที่ออกมาในช่วงปี 2554-2555 ที่ตอนยื่นภาษีจะกรอกในช่อง “ภาษีเงินได้ที่ได้รับยกเว้นจากการซื้ออสังหาริมทรัพย์” นะครับ ร่วมกันซื้อบ้าน ลดหย่อนภาษีอย่างไร ถ้าหลายคนซื้อบ้านหรือคอนโดฯ ร่วมกัน จะสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ทุกคน โดยหารเฉลี่ยเท่ากัน แต่เมื่อรวมกันทั้งหมดแล้วต้องไม่เกิน 20% ของราคาบ้านหรือคอนโดฯ นั้น เช่น ซื้อบ้านราคา 3 ล้านบาท โดยกู้ร่วมกัน 3 คน จะสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีจากบ้านหลังแรกได้คนละ 40,000 บาทต่อปี รวมกันแล้วอยู่ที่ 120,000 บาท ซึ่งไม่เกิน 20% ของราคาบ้าน 3 ล้านบาท แต่ในกรณีที่เป็นสามีภรรยากู้ร่วมกันซื้อบ้าน การใช้สิทธิลดหย่อนภาษีจากบ้านหลังแรกจะต้องดูรายได้ของแต่ละฝ่ายก่อนนะครับ ถ้าสามีหรือภรรยามีรายได้แค่ฝ่ายเดียว ให้ฝ่ายที่มีรายได้สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้เต็มจำนวน แต่ถ้ามีรายได้ทั้ง 2 ฝ่าย การใช้สิทธิลดหย่อนภาษีจะเป็นอย่างไรนั้น ต้องดูว่ายื่นภาษีแบบไหนครับ - ถ้าต่างฝ่ายต่างแยกยื่นรายได้ของตัวเอง หรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยื่นเฉพาะเงินเดือน (รายได้ตามมาตรา 40(1)) แล้วนำรายได้อื่นไปยื่นรวมกับอีกฝ่ายหนึ่ง แต่ละฝ่ายจะใช้สิทธิลดหย่อนได้คนละครึ่ง เช่น สามีภรรยาซื้อบ้านราคา 3 ล้านบาทร่วมกัน จะใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้คนละ 60,000 บาทต่อปีครับ - ถ้าสามีภรรยายื่นภาษีร่วมกัน ให้ฝ่ายที่ยื่นแบบได้ใช้สิทธิลดหย่อนบ้านหลังแรกของตนเอง และใช้สิทธิในส่วนของสามีหรือภรรยาด้วย เช่น สามีภรรยาซื้อบ้านราคา 3 ล้านบาทร่วมกัน ถ้ายื่นภาษีร่วมกัน ผู้ที่ยื่นแบบจะใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้รวมเท่ากับ 120,000 บาทต่อปีครับ ใช้หลักฐานอะไรบ้างในการลดหย่อนภาษี ผู้ที่ต้องการลดหย่อนภาษีบ้านหลังแรก อย่าลืมเตรียมหลักฐานต่างๆ เพื่อใช้ยื่นภาษีให้พร้อมจะได้ไม่พลาดสิทธิดีๆ นะครับ มีอะไรบ้างมาดูกันครับ 1. หนังสือรับรองจำนวนเงินที่ชำระค่าซื้ออสังหาริมทรัพย์ (สามารถดูแบบฟอร์มของกรมสรรพากร) 2. หนังสือรับรองการซื้ออสังหาริมทรัพย์ว่าเป็นที่อยู่อาศัยหลังแรก (สามารถดูแบบฟอร์มของกรมสรรพากร) 3. สำเนาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ 4. สำเนาสัญญากู้ยืมเงิน (กรณีขอสินเชื่อจากธนาคารหรือสถาบันการเงิน) อยากขายบ้านที่ใช้สิทธิบ้านหลังแรกทำได้หรือไม่ สำหรับผู้ที่ใช้สิทธิลดหย่อนบ้านหลังแรก จะต้องมีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์บ้านที่ซื้อไม่น้อยกว่า 5 ปีนับตั้งแต่วันที่จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ จึงจะขายบ้านได้โดยไม่ผิดเงื่อนไข แต่ถ้ามีการทำผิดเงื่อนไข เช่น ขายบ้านก่อนถือครองครบ 5 ปี จะทำให้หมดสิทธิการใช้สิทธิลดหย่อนภาษี แถมยังต้องคืนภาษีที่ได้ลดหย่อนจากบ้านหลังแรก พร้อมเงินเพิ่มอีก 1.5% ต่อเดือนของจำนวนเงินภาษีที่ได้ลดหย่อนไป นับตั้งแต่เดือนเมษายนของปีที่ผู้ซื้อบ้านยื่นขอลดหย่อนภาษีจนถึงเดือนที่มีการยื่นคืนเงินภาษี   ขอขอบคุณข้อมูลจาก K-Expert
ห้องน้ำผู้สูงอายุ

ห้องน้ำผู้สูงอายุ

เรื่อง พีระพงษ์ บุญรังษี SCG Experience Architect “คนส่วนใหญ่มักตัดสินใจสร้างบ้านของตัวเองในช่วงวัยหนุ่มสาวถึงวัยกลางคน ซึ่งร่างกายยังสมบูรณ์แข็งแรง จึงมักมุ่งความสนใจไปกับพื้นที่ใช้สอย ความสวยงามตามสมัยนิยม วัสดุที่คงทนคุ้มค่า จนลืมนึกไปว่าเมื่อเวลาผ่านไป ร่างกายของผู้อาศัยก็เสื่อมโทรมไปพร้อมกับบ้านด้วย” เมื่อการเคลื่อนไหวทำได้ช้าลง  กล้ามเนื้ออ่อนแรง ลุกนั่งลำบาก สายตาฝ้าฟาง หูไม่ค่อยได้ยินเสียง และเมื่อได้รับบาดเจ็บจะต้องรักษาตัวพักฟื้นนาน ดังนั้นการใช้งานในบ้านหลังเดิมจึงเริ่มไม่ตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนพื้นที่ที่นับว่าค่อนข้างยากลำบากสำหรับผู้สูงอายุ นั่นคือ “ห้องน้ำ” ห้องน้ำตั้งแต่เริ่มแรกสร้างบ้านมักถูกออกแบบให้มีขนาดเล็ก แบ่งพื้นที่ใช้งานส่วนแห้งและส่วนเปียกออกจากกันด้วยพื้นต่างระดับ ประตูเปิดเข้าด้านในทำให้เวลาปิดจะต้องเบี่ยงเบียดตัวไปด้านข้าง มือจับเป็นลูกบิด เวลาเปิดจะต้องบิดหมุนข้อมือ ที่นั่งโถสุขภัณฑ์ตามปกติจะเตี้ยกว่าที่นั่งเก้าอี้เล็กน้อยทำให้เวลาลุกต้องออกแรงดันตัวมาก ฝักบัวแขวนไว้สูงเหมาะกับการยืนอาบ มีดวงโคมส่องสว่างเฉพาะส่วนอาบน้ำกับกระจกอ่างล้างหน้าเท่านั้น  รายละเอียดเหล่านี้เป็นสิ่งที่ควรได้รับการปรับเปลี่ยนเพื่อช่วยให้ผู้กำลังจะสูงวัยที่ยังพอช่วยเหลือตัวเองได้ (คือไม่ถึงขั้นอ่อนแรงล้มหมอนนอนฟูก) สามารถใช้งานห้องน้ำเดิมภายในบ้านได้สะดวกยิ่งขึ้น วิธีการปรับเปลี่ยนง่ายๆ เริ่มจาก การเปลี่ยนมือจับลูกบิดประตูห้องน้ำเป็นแบบคันโยก และติดราวจับช่วยทรงตัวด้านข้าง หรือจะถอดประตูบานเปิดออกแล้วติดตั้งประตูบานเลื่อนแบบรางแขวน ไม่มีรางบนพื้นขวางทางเข้าให้เดินสะดุด ควรเลือกใช้บานประตูที่มีน้ำหนักไม่มาก ไม่ควรติดกลอนล็อกบาน อาจมีการเจาะช่องกระจกสำหรับมองเข้าไปในห้องเผื่อเกิดอุบัติเหตุจะเข้าช่วยเหลือได้ทันท่วงที ในส่วนของพื้น ควรปรับพื้นส่วนแห้งและส่วนเปียกให้มีระดับเดียวกับพื้นภายในบ้าน โดยรื้อกระเบื้องพื้นและโถสุขภัณฑ์เดิมออก สกัดปูนผิวหน้าให้ลดต่ำลง ทาน้ำยาประสานคอนกรีต และเทปูนทรายปรับระดับพื้นห้องน้ำให้ลาดเอียงไปทางท่อระบายน้ำ ทิ้งไว้ให้แห้งแล้วทำความสะอาดฝุ่นผง จากนั้นทาน้ำยากันซึมเคลือบทับผิวพื้นปูนและที่ขอบล่างของผนัง ก่อนจะปูกระเบื้องพื้นด้วยปูนกาว ทิ้งไว้ให้แห้งสนิทก่อนจะยาแนวร่องรอยต่อ ทั้งนี้ ควรเลือกกระเบื้องปูพื้นที่มีค่าความฝืดผิวกระเบื้องตั้งแต่ R 10 ขึ้นไป เพื่อลดการลื่นล้มเมื่อพื้นเปียกน้ำ นอกจากนี้สีขององค์ประกอบและวัตถุต่างๆ ที่ใช้ในห้องน้ำควรให้ดูแตกต่างกันชัดเจน โดยเฉพาะวัตถุที่อยู่ใกล้กัน เช่น สีของกระเบื้องพื้นและผนังควรให้ดูต่างกัน และตัดกับสีของสุขภัณฑ์อย่างเห็นได้ชัด เป็นต้น นอกจากนี้ ควรติดตั้งราวจับเพื่อช่วยในการพยุงตัวทั้งสองข้างของอ่างล้างหน้าและโถสุขภัณฑ์ โดยสามารถเลือกใช้ราวทรงตัวรูปตัวแอลหรือราวทรงตัวแขนพับแบบสวิง ตามความเหมาะสม และควรมีราวจับที่ผนังนำทางไปจนถึงส่วนอาบน้ำ ติดตั้งสูงจากพื้น 60-75cm ทั้งนี้ สีของราวจับควรดูแตกต่างจากสีของกระเบื้องผนังอย่างชัดเจน สำหรับโถสุขภัณฑ์ภายในห้องน้ำ ควรเปลี่ยนมาเลือกใช้รุ่นที่มีที่นั่งสูงจากพื้น 43-45 cm ซึ่งเป็นระดับที่ผู้สูงอายุลุกนั่งได้อย่างสะดวกเมื่อใช้งานร่วมกับราวทรงตัว (ที่นั่งของโถสุขภัณฑ์ปกติจะสูงจากพื้น 38-40 cm ทำให้ต้องออกแรงมากขณะดันตัวลุกขึ้นยืน) ที่กดชำระน้ำควรเลือกใช้เป็นแบบคันโยก ส่วนสายชำระควรติดตั้งไว้ด้านข้างให้มือเอื้อมหยิบใช้ได้ง่ายโดยไม่ต้องเอี้ยวตัวไปด้านหลัง และควรมีเก้าอี้สำหรับนั่งอาบน้ำ ทั้งนี้ ฝักบัวอาบจ้ำควรยึดกับก้านจับเลื่อนขึ้นลงปรับระดับในการใช้งานได้ ส่วนหัววาล์วเปิดปิดน้ำควรเลือกแบบก้านปัด รวมถึงก็อกน้ำที่อ่างล้างหน้าด้วย เนื่องจากหัววาล์วแบบนี้ใช้งานและดูแลรักษาง่าย อีกเรื่องหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม คือ ควรเพิ่มแสงสว่างด้วยการติดหลอดไฟให้มากขึ้น โดยแสงที่เหมาะสมควรจะเป็นแสงสีขาว ซึ่งช่วยให้มองเห็นรายละเอียดของสิ่งต่างๆ ที่จะหยิบจับใช้งานในห้องน้ำ รวมไปถึงข้อความระบุวิธีใช้งานด้านข้างขวดน้ำยาต่างๆ ได้อย่างง่ายดายชัดเจน เพียงเท่านี้ก็จะได้ห้องน้ำที่เหมาะสมกับการใช้งานของเจ้าของบ้านที่มีอายุเพิ่มขึ้นไปพร้อมๆ กับบ้าน ในส่วนนี้นับเป็นเรื่องสำคัญที่ควรใส่ใจ เพราะมิใช่แค่ความสะดวกสบายเท่านั้น แต่รวมถึงเรื่องความปลอดภัยและการลดโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุกับผู้สูงอายุอีกด้วย   ขอขอบคุณภาพและข้อมูลจาก www.scgbuildingmaterials.com  
ช่วยกิจการครอบครัวไม่ต้องกลัวเรื่องกู้บ้าน

ช่วยกิจการครอบครัวไม่ต้องกลัวเรื่องกู้บ้าน

มีหลายคนเมื่อเรียนจบแล้ว เลือกที่จะทำงานดูแลกิจการของครอบครัว แต่ด้วยความเป็นส่วนหนึ่งของสมาชิกในครอบครัว การจ่ายค่าจ้างหรือเงินเดือน ก็อาจไม่ได้ชัดเจนเหมือนพนักงานทั่วๆ ไป ไม่ว่าจะเป็นวิธีการจ่าย จำนวนเงินเดือน หรือตำแหน่งงานที่รับผิดชอบ จึงทำให้หลายคนที่เลือกทำงานกับครอบครัวประสบปัญหาในการยื่นกู้ซื้อบ้าน แล้วความชัดเจนในการทำงานกับครอบครัวจะพิสูจน์ให้ธนาคารรู้ได้อย่างไร เรามีคำตอบครับ รายได้ต้องเข้าระบบบัญชีเงินเดือน ถึงแม้จะทำงานกับครอบครัว แต่หากรับรายได้จากครอบครัวเป็นแบบค่าจ้างหรือเงินเดือน ก็ถือว่าเราเป็นพนักงานคนหนึ่งของกิจการครับ และเมื่อมีรายได้เป็นแบบเงินเดือน การรับเงินจึงควรรับผ่านระบบบัญชีเงินเดือน หรือที่เรียกกันว่า Payroll เหมือนกับพนักงานประจำทั่วไปครับ โดยลักษณะการรับเงินผ่านระบบ Payroll นายจ้างจะจ่ายเงินเดือนให้ด้วยการโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากที่ลูกจ้างหรือพนักงานเปิดไว้กับธนาคาร เพื่อรองรับเงินเดือนนั่นเอง ที่สำคัญการรับเงินเดือนผ่านระบบ Payroll ในสมุดบัญชีเงินฝากจะต้องแสดงรหัส (Code) เป็นรหัสเฉพาะของ Payroll ตามที่ธนาคารกำหนด ซึ่งจะไม่เหมือนกับรหัสการโอนเงินเข้าบัญชีแบบทั่วๆ ไป ดังนั้นหากเรามีการรับเงินเดือนผ่านระบบ Payroll แล้ว ในสมุดบัญชีเงินฝากจะแสดงยอดจำนวนเงินเดือนและมีรหัสที่แสดงว่ามีการรับเงินผ่านระบบ Payroll เราก็สามารถใช้รายการเดินบัญชีย้อนหลัง (Statement) จากบัญชีนี้ เป็นหลักฐานในการยื่นกู้ซื้อบ้าน ซึ่งช่วยยืนยันรายได้และการทำงานของเราได้ครับ ทำงานจริงต้องมีเอกสารยืนยัน สำหรับเอกสารที่ใช้ในการยื่นกู้ซื้อบ้าน เพื่อแสดงรายได้และยืนยันการทำงานกับกิจการของครอบครัว จะใช้เอกสารเช่นเดียวกับการยื่นกู้ซื้อบ้านกรณีเป็นพนักงานประจำครับ ซึ่งเอกสารที่ต้องเตรียมให้กับธนาคาร ได้แก่ - สลิปเงินเดือนหรือหนังสือรับรองเงินเดือน - เอกสารการเสียภาษี เช่น หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย (50 ทวิ) - รายการเดินบัญชีย้อนหลัง โดยต้องเป็นบัญชีเงินฝากที่ใช้รับเงินเดือน เอกสารต่างๆ เหล่านี้จะช่วยให้ธนาคารรู้ว่า การทำงานกับกิจการของครอบครัวของเรานั้น  ทำงานในตำแหน่งอะไร  มีรายได้จากเงินเดือนเท่าไร และทำมานานแค่ไหนครับ การพิสูจน์ให้ธนาคารเห็นว่า เรามีการทำงานกับครอบครัวจริงๆ และมีรายได้ประจำจากเงินเดือนอย่างสม่ำเสมอ ด้วยการมีเอกสารที่ชัดเจนและน่าเชื่อถือ ก็จะช่วยให้เพิ่มโอกาสในการยื่นกู้ซื้อบ้านให้ผ่านได้ครับ   ขอขอบคุณข้อมูลจาก K-Expert
อยากเพิ่มกรรมสิทธิ์คู่ชีวิต คิดค่าใช้จ่ายอย่างไร

อยากเพิ่มกรรมสิทธิ์คู่ชีวิต คิดค่าใช้จ่ายอย่างไร

การเพิ่มชื่อเจ้าของกรรมสิทธิ์ในบ้านอาจเกิดขึ้นได้ด้วยหลายๆ เหตุผลครับ แต่เหตุผลที่มักพบบ่อยๆ ก็คือต้องการเพิ่มชื่อคู่สมรส อาจเป็นเพราะในช่วงที่ซื้อบ้านตอนนั้นยังโสด หรือกู้ซื้อบ้านแบบกู้เดี่ยว เนื่องจากรายได้คนเดียวก็เพียงพอในการกู้ซื้อบ้านแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องกู้ร่วมกับคู่สมรสอีก แต่หากภายหลังเปลี่ยนใจอยากจะให้คู่สมรสมีชื่อกรรมสิทธิ์ในบ้านร่วมกัน หรือต้องการเปลี่ยนจากการกู้คนเดียวมาเป็นการกู้ร่วมกับคู่สมรสกับธนาคารเดิมหรือรีไฟแนนซ์ไปธนาคารอื่น จึงทำให้ต้องเพิ่มเจ้าของกรรมสิทธิ์ในหลักประกันอีกหนึ่งคน ซึ่งการเพิ่มชื่อกรรมสิทธิ์ที่กรมที่ดินจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเท่าไรนั้น เรารวบรวมมาฝากดังนี้ครับ ซื้อบ้านตอนยังโสด หากตอนที่เราซื้อบ้านไม่ว่าจะเป็นการซื้อด้วยเงินสด หรือกู้ซื้อบ้านกับธนาคาร ขณะนั้นยังเป็นโสด ถือว่าบ้านหลังนี้เป็นสินส่วนตัว คือได้ทรัพย์สินมาก่อนที่จะจดทะเบียนสมรสกัน  หากภายหลังได้มีการจดทะเบียนสมรสกันแล้วต้องการเพิ่มชื่อเจ้าของกรรมสิทธิ์จะมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้น ได้แก่ ค่าใช้จ่ายในการให้ 0.5% ของราคาประเมิน ภาษีหัก ณ ที่จ่ายตามหลักเกณฑ์ของกรมสรรพากร เนื่องจากการเพิ่มชื่อถือว่าเป็นการขายอสังหาริมทรัพย์ ผู้ให้เปรียบเสมือนเป็นผู้ขาย จึงต้องนำเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเฉพาะในส่วนที่ให้คู่สมรส เช่น บ้านมูลค่า 4 ล้านบาทแบ่งกันคนละครึ่ง 2 ล้านบาท ก็จะต้องนำ 2 ล้านบาทไปคำนวณภาษี โดยกรมที่ดินจะใช้ราคาประเมินจากกรมธนารักษ์ในการคำนวณมูลค่าหลักทรัพย์ ซึ่งจะนำไปหักค่าใช้จ่ายตามจำนวนปีที่ถือครอง หลังจากนั้นหารด้วยจำนวนปีที่ถือครอง แล้วนำไปคำนวณภาษีตามฐานภาษี อากรแสตมป์ 0.5% ของราคาประเมินหรือราคาซื้อขายแล้วแต่ราคาใดจะสูงกว่า โดยมีการถือครองกรรมสิทธิ์มา 5 ปี หรือมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านมา 1 ปีแล้วแต่หากถือครองกรรมสิทธิ์น้อยกว่า 5 ปี และมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านน้อยกว่า 1 ปี ก็จะเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ 3.3% ของราคาประเมินหรือราคาซื้อขายแล้วแต่ราคาใดจะสูงกว่าแทนอากรแสตมป์ ซื้อบ้านหลังจดทะเบียนสมรส สำหรับในกรณีที่เป็นการเพิ่มชื่อคู่สมรส โดยมีการจดทะเบียนสมรสกันก่อนที่จะกู้ซื้อบ้านหรือได้ทรัพย์สินนี้มาหลังจดทะเบียนสมรส จะถือว่าเป็นสินสมรสครับ การเพิ่มชื่อคู่สมรสเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในบ้านอีกคน จะเสียค่าธรรมเนียมอยู่ที่ประมาณ 75 บาทเท่านั้น การเพิ่มชื่อคู่สมรสที่เกิดขึ้นในกรณีที่ต้องการเปลี่ยนจากการกู้เดี่ยวมาเป็นการกู้ร่วมนั้น อย่าลืมว่าธนาคารจะต้องนำรายได้และภาระหนี้ของคู่สมรสที่กู้ร่วมมาพิจารณาด้วย หากคู่สมรสมีภาระหนี้สูงเกินไปก็อาจทำให้กู้ร่วมไม่ผ่าน ดังนั้นอาจจำเป็นต้องรอให้ปิดภาระหนี้ลดลงก่อน และไม่ควรก่อหนี้เพิ่มครับ   ขอขอบคุณข้อมูลจาก  k-expert.askkbank.com
ดินเปล่าแบบไหน กู้ซื้อกับธนาคารได้

ดินเปล่าแบบไหน กู้ซื้อกับธนาคารได้

การกู้ซื้อที่ดินเปล่าๆ โดยที่ยังไม่ก่อสร้างบ้านอาจจะดูเป็นเรื่องยากสักหน่อยครับ เพราะปกติแล้วการกู้ซื้อที่ดินเปล่ากับธนาคารจะต้องกู้ซื้อพร้อมกับการปลูกสร้างบ้านบนที่ดินแปลงนั้น แต่การกู้ซื้อที่ดินเปล่าก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้เลย เนื่องจากมีบางกรณีที่เราสามารถยื่นกู้ซื้อที่ดินเปล่าได้ สำหรับใครที่กำลังมองหาอยากได้ที่ดินเปล่าไว้เป็นทรัพย์สิน ลองมาดูกันว่ามีกรณีไหนบ้าง เรามีคำตอบครับ ซื้อที่ดินเปล่าขยายพื้นที่จากบ้านเดิม เป็นกรณีที่เราต้องการซื้อที่ดินเปล่าเพิ่ม เพื่อขยายที่อยู่อาศัยเดิมให้กว้างขวางขึ้น โดยที่ดินเปล่าจะต้องมีเนื้อที่ติดกับพื้นที่บ้านซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของผู้กู้ ขอยกตัวอย่างให้เข้าใจง่าย ๆ เช่น การซื้อที่ดินเปล่าจากเพื่อนบ้านที่มีเนื้อที่ดินติดกับบ้านของเรา กรณีนี้สามารถนำที่ดินแปลงดังกล่าวยื่นกู้ซื้อกับธนาคารได้ครับ ทั้งนี้ธนาคารอาจมีการกำหนดเงื่อนไขในการกู้ที่ไม่ได้เหมือนกับการกู้ซื้อบ้านปกติ เพราะจะกู้ได้วงเงินน้อยกว่า ระยะเวลาผ่อนสั้นกว่า เช่น ให้กู้ได้ไม่เกิน 70% ของราคาประเมินที่ดิน ผ่อนสูงสุดไม่เกิน 10 ปี หากใครมีแผนที่จะซื้อที่ดินเปล่าจากเพื่อนบ้าน ก็อย่าลืมเตรียมเงินส่วนต่างที่กู้ธนาคารได้ไม่เต็ม เพื่อจ่ายให้กับผู้ขายครับ ซื้อที่ดินเปล่าจากลูกหนี้ธนาคาร สำหรับผู้ที่สนใจต้องการกู้ซื้อที่ดินเปล่า หลักประกันของลูกหนี้ธนาคารเป็นอีกทางเลือกหนึ่งครับ โดยที่ดินเปล่าที่สามารถยื่นกู้ซื้อได้ มีกรณีต่อไปนี้ - ซื้อที่ดินเปล่าจากการประมูลขายทอดตลาดของกรมบังคับคดี หากเป็นทรัพย์ที่ติดจำนองอยู่กับธนาคาร ก็สามารถยื่นกู้ได้กับธนาคารนั้นเลยครับ - ซื้อที่ดินเปล่าจากทรัพย์สินรอการขายของธนาคาร  โดยสามารถเข้าไปดูได้ในเว็บไซต์ทรัพย์สินรอการขายของธนาคารที่สนใจ เพื่อเสนอราคาซื้อทรัพย์สิน หากธนาคารแจ้งผลว่าเราได้รับอนุมัติการเสนอซื้อ ก็สามารถยื่นกู้ซื้อที่ดินเปล่าดังกล่าวกับธนาคารได้ครับ หลายคนอาจสงสัยว่าธนาคารมีหลักประกันเป็นที่ดินเปล่าจากลูกหนี้ได้อย่างไร ต้องบอกว่าหลักประกันที่เป็นที่ดินเปล่าส่วนใหญ่ จะมาจากลูกหนี้ที่ขอกู้เงินประเภทสินเชื่อธุรกิจครับ เพราะที่ดินเปล่าถึงแม้จะไม่สามารถกู้ซื้อได้ แต่สามารถนำมาใช้เป็นหลักประกันในการขอสินเชื่อธุรกิจได้ เช่น วงเงินเบิกเกินบัญชี หรือ O/D ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านไปหากลูกหนี้ไม่สามารถชำระหนี้ได้เลย ก็จะเข้าสู่กระบวนการต่างๆ ตามลำดับตั้งแต่การเจรจาแก้ไขหนี้หรือปรับโครงสร้างหนี้  ไปจนถึง ยึดหลักทรัพย์ ประมูลขายทอดตลาดของกรมบังคับคดี เพื่อขายหลักประกันนำเงินไปชำระหนี้ครับ อย่างไรก็ตาม การกู้ซื้อที่ดินเปล่าจะไม่ได้ระยะเวลาผ่อนยาวเหมือนกับการกู้ซื้อบ้าน เช่น อาจจะผ่อนได้ไม่เกิน 10 ปี ทำให้ยอดผ่อนต่อเดือนค่อนข้างสูงกว่าการผ่อนกู้ซื้อบ้านปกติ หากใครที่กำลังวางแผนจะกู้ซื้อที่ดินเปล่า ก็ไม่ควรก่อหนี้เพิ่ม หรือลดภาระหนี้ที่ผ่อนอยู่ให้น้อยลงก่อนนะครับ เพื่อให้มีความสามารถเพียงพอในการชำระหนี้ โดยปกติควรมีภาระหนี้ผ่อนทั้งหมดต่อเดือนไม่เกิน 40% ของรายได้ครับ   ขอขอบคุณข้อมูลจาก K-Expert
กู้ซื้อบ้านมือสองต้องทำอย่างไร?

กู้ซื้อบ้านมือสองต้องทำอย่างไร?

เวลาที่เราซื้อบ้านมือหนึ่งกับโครงการเปิดใหม่ การยื่นกู้ซื้อบ้านกับธนาคารอาจดูไม่ใช่เรื่องยากมากนัก เพราะจะมีเจ้าหน้าที่โครงการช่วยอำนวยความสะดวกให้ ไม่ว่าจะเป็นการจัดทำเอกสารสัญญาจะซื้อจะขาย รวมทั้งติดต่อยื่นกู้กับธนาคารให้เรา โดยที่ผู้ซื้อเองแทบไม่ต้องเดินทางไปที่ธนาคาร เพื่อทำเรื่องยื่นกู้ซื้อบ้านเลย แต่สำหรับใครที่กำลังมีแผนจะซื้อบ้านมือสองด้วยการกู้เงินกับธนาคาร ก็ไม่ต้องกังวลใจไปครับ ถึงแม้การซื้อบ้านมือสองจะไม่ได้มีเจ้าหน้าที่โครงการช่วยอำนวยความสะดวกให้เหมือนกับการซื้อบ้านมือหนึ่ง แต่ผู้ซื้อเองก็สามารถดำเนินการในเรื่องต่างๆ ได้ไม่ยากครับ ส่วนจะต้องทำอย่างไรบ้างนั้น เรามีคำแนะนำมาฝากครับ   ตกลงราคากับผู้ขาย เพื่อทำสัญญา เมื่อเราเลือกบ้านมือสองที่ถูกใจได้แล้ว ก็จะต้องดำเนินการติดต่อกับผู้ขาย เพื่อทำสัญญาจะซื้อจะขายบ้านมือสองหลังนั้นครับ ในสัญญาจะซื้อจะขายต้องมีการระบุราคาที่ได้ตกลงซื้อขายกัน การจ่ายเงินมัดจำ และเงินส่วนที่เหลือจะชำระเมื่อไร โดยผู้ขายมักจะกำหนดระยะเวลาการชำระเงินส่วนที่เหลือ ซึ่งหากผู้ซื้อไม่สามารถชำระเงินส่วนที่เหลือได้ภายในกำหนดผู้ขายก็จะมีสิทธิ์ยึดเงินมัดจำ ส่วนสัญญาจะซื้อจะขายเราสามารถทำขึ้นมาเอง หรือใช้แบบฟอร์มมาตรฐานที่มีอยู่ โดยดาวน์โหลดได้ตามเว็บไซต์ หรือจะซื้อจากร้านเครื่องเขียนก็ได้ และเมื่อทำสัญญาจะซื้อจะขายเรียบร้อยแล้วผู้ขายจะต้องให้สำเนาโฉนดที่ดิน เพื่อใช้เป็นเอกสารในการยื่นกู้ครับ   ติดต่อธนาคาร เพื่อยื่นกู้ การยื่นกู้ซื้อบ้านมือสองกับธนาคาร ผู้ซื้อหรือผู้กู้จะต้องเตรียมเอกสารแสดงตนและเอกสารทางการเงินที่แสดงแหล่งที่มาของรายได้ เช่น สลิปเงินเดือน รายการเดินบัญชีย้อนหลัง เป็นต้น พร้อมทั้งจะต้องนำสัญญาจะซื้อจะขายและสำเนาโฉนดที่ดินที่ได้มาจากผู้ขาย ยื่นกับธนาคารเพื่อให้ประเมินราคาทรัพย์สิน ซึ่งปกติแล้วธนาคารก็จะให้วงเงินกู้ไม่เกิน 80% ของราคาซื้อขายหรือราคาประเมิน โดยเลือกราคาที่ต่ำกว่า ดังนั้นผู้ซื้อควรจะต้องเตรียมเงินไว้อย่างน้อย 20% ของราคาซื้อขาย เพื่อจ่ายให้กับผู้ขายด้วยครับ   นัดจำนองกรมที่ดิน เพื่อโอนบ้าน หลังจากผ่านการอนุมัติวงเงินกู้ซื้อบ้านกับธนาคารแล้ว ผู้ซื้อจะต้องแจ้งกับผู้ขาย เพื่อนัดวันไปโอนบ้านที่กรมที่ดิน พร้อมจำนองบ้านหลังนั้นต่อให้กับธนาคาร เพื่อใช้เป็นหลักประกันในการกู้เงิน ผู้ขายเองก็จะได้รับเงินจากการขายบ้านทั้งหมดในวันนั้น ซึ่งเท่ากับว่าจะต้องมากรมที่ดินพร้อมกัน 3 ฝ่าย ได้แก่ ผู้ซื้อ ผู้ขาย และธนาคาร เพื่อทำการโอนบ้านและจำนองให้เสร็จสิ้นภายในวันเดียวกัน โดยในวันนั้นจะมีการชำระค่าใช้จ่ายต่างๆ  เกี่ยวกับการซื้อขายบ้าน การโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินมาเป็นของผู้ซื้อ การจำนองทรัพย์สินให้กับธนาคาร ได้แก่ ค่าภาษีธุรกิจเฉพาะหรือค่าอากรแสตมป์ ค่าโอน ค่าจำนอง ซึ่งจะชำระให้กับกรมที่ดิน ค่าใช้จ่ายต่างๆ ส่วนนี้ ผู้ซื้อและผู้ขายควรมีการตกลงกันตั้งแต่วันทำสัญญาจะซื้อจะขายว่า ใครจะเป็นคนจ่ายค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง หรือตกลงแบ่งจ่ายกันอย่างไร เช่น ค่าใช้จ่ายทั้งหมดแบ่งจ่ายกันคนละครึ่ง เป็นต้นครับ   ถึงแม้ว่าการซื้อบ้านมือสองจะไม่ได้มีเจ้าหน้าที่โครงการช่วยอำนวยความสะดวกให้  แต่หากเราต้องการคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการยื่นกู้ซื้อบ้านมือสอง ก็ยังสามารถสอบถามหรือขอคำแนะนำกับเจ้าหน้าที่ธนาคารได้ครับ   ขอขอบคุณข้อมูลจาก K-Expert      
DIY Renovate “ห้องนอน” ถ้าทำแล้วมีความสุขขึ้นขนาดนี้ รู้งี้ทำไปตั้งนานแล้ว

DIY Renovate “ห้องนอน” ถ้าทำแล้วมีความสุขขึ้นขนาดนี้ รู้งี้ทำไปตั้งนานแล้ว

วันนี้เรามีไอเดียการ Renovate ห้องนอนเก๋ๆ น่ารักๆ จาก สมาชิกพันทิป คุณ PuY~isme มาฝากทุกท่านอีกหนึ่งกระทู้ครับ เราลองไปดูกันดีกว่าครับ ว่าจะออกมาสวยงามขนาดไหน สวัสดีค่ะ วันนี้กลับอีกครั้ง จะมาพูดถึงการตกแต่งห้อง สไตล์ DIY กันต่อ หลังจากที่ได้รีวิวไปแล้ว 4 ห้อง (ห้องนอนเด็ก ห้องเก็บของ ห้องทำงาน และมุมบิวตี้โถงทางเดิน) สำหรับห้องนี้ปุ้ยตั้งใจจะรีโนเวททำให้เป็นของขวัญวันเกิดของสามีและของขวัญวันครบรอบแต่งงาน 2 ปี ของเราค่ะ ห้องนอน ขนาด 3.5x4 m (มีบันไดในห้อง) ห้องน้ีเป็นห้องนอนหลัก (แต่ขนาดเล็ก) เพราะเน้นฟังก์ชั่น คือ ไว้นอน และเอาไว้เก็บเสื้อผ้าของสามี (ใต้บันได) ไม่ดูทีวี ไม่ทำงานในห้องค่ะ ส่วนบันไดที่เห็นนั้นจะเดินไปสู่ห้องแต่งตัวของปุ้ยอยู่ชั้นบน มีคนถามเยอะมากว่า บันไดในห้องนอนทำไปทำไม ? ตอนแรกเดิมที ปุ้ยออกแบบให้มีบันได เพราะว่าชอบอารมณ์ห้อง Duplex ในคอนโดหรือโรงแรม รู้สึกว่าเจ๋งดี แล้วก็ตอนออกแบบบ้าน ปุ้ยเอามาปรับใช้ เพราะว่าสามีนอนกรน ช่วงแต่งงานแรกๆ ปุ้ยนอนไม่หลับเลย (แรกๆ เช่าคอนโดอยู่กันก่อนจะมีบ้านค่ะ) ปุ้ยเลยคิดขึ้นมาได้ว่า เอาไอเดียห้อง Duplex มาใช้ แล้วกะว่าแยกกันนอนคนละชั้น แต่ยังมีบันไดเชื่อมกัน จะได้ไม่โดนครหาว่าแยกห้องนอน (คือ ยังเป็นห้องเดียวกันอยู่) แต่ว่า เอาเข้าจริง ตอนหลัง ปุ้ยไปฝังเข็ม รักษาคลายเครียด คลายกล้ามเนื้อ แล้วก็ทำให้ไม่ได้ยินเสียงกรนอีกเลย เพราะว่าช่วยให้ปุ้ยก็หลับง่ายขึ้น เลยสรุปไม่ได้แยกกันนอนค่ะ Inspiration ที่ปุ้ยคิดไว้ตอนที่ออกแบบห้องนี้ ประมาณว่ามีเตียงกับตู้เสื้อผ้าใต้บันได คือ เห็นจากเว็บ pinterest แล้วหลงรักไอเดียของตู้เสื้อผ้าใต้บันได เพราะดูเหมือนการใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์คุ้มค่า ดีไซน์ในห้องนี้ เน้นเอาใจคุณผู้ชาย ดังนั้นการแม็ทสีและดีไซน์ ปุ้ยจึงเลือกใช้สีดำ ทอง น้ำตาล และเงินหรือไอเท็มที่แวววาว ทุกอย่างดูเข้าเหลี่ยมเข้ามุม (ไม่มีลายโค้งมนหรือหวานช้อย) และมิกซ์เข้ากับเฟอร์นิเจอร์โทนสีเข้ม ให้ออกมาดูหรู แต่ทุกอย่างอยู่ภายใต้งบท่ีไม่แพงจนเกินไป ซึ่งห้องนี้เกิดขึ้นจากน้ำพักน้ำแรงของปุ้ยเอง ภูมิใจและเรียกได้ว่าเป็นของขวัญชิ้นโตให้กับเค้าเลย ปุ้ยตั้งงบกับห้องนี้ไว้ ที่ 55,000 บาทค่ะ ก่อนที่จะเล่าถึงที่มาที่ไป และไอเดียในการแต่งห้องนี้ มาดูรูปผลงานที่สำเร็จแล้ว ยั่วน้ำลายกันก่อน ภาพหลัง รีโนเวทเสร็จแล้ว ภาพจริง บรรยากาศจริง ค่ะ [ถ่ายรูปในวันที่แดดออก แสงเข้ามาทำให้ห้องที่ใช้เฟอร์นิเจอร์สีเข้ม ดูสว่างสดใสขึ้นเยอะเลย] สำหรับกระทู้นี้ อาจจะรีวิวไปพร้อมกับการเล่าเนื้อหาแนวไลฟ์สไตล์ไปด้วยนะคะ เพราะห้องนี้มีเรื่องราวของเค้าค่ะ อย่างที่เกริ่นตอนต้น โดยใช้คำว่า “รีโนเวท” เพราะว่าห้องนี้เป็นห้องนอนที่เราใช้ซุกหัวนอนกันมาตั้งแต่บ้านยังสร้างไม่เสร็จค่ะ แล้วก็ทนๆ อยู่กันไปแบบนี้ เพราะว่าไม่มีงบมาตกแต่งซะที ถ้าใครได้ติดตามเรื่องราวการสร้างบ้านของปุ้ยจะรู้ว่า กว่าจะมาเป็นห้องๆ นี้ในวันนี้ มันผ่านอะไรมามากมายค่ะ มีปัญหาตั้งแต่คราวที่ผู้รับเหมาทิ้งงาน เราต้องมารับชะตากรรมจากช่างทาสี ที่รู้สึกว่าชีวิตความเป็นอยู่ เลวร้ายสุดๆ คือ เราย้ายเข้ามาอยู่มานอนแล้ว สีก็ยังทาไม่เสร็จ แต่จำเป็นต้องย้ายเพราะว่า สัญญาเช่าคอนโดหมด (เป็นภาพที่ไม่น่าดู เลยต้องทำสีเป็น Sepia ค่ะ 555) ภาพที่เห็นเราต้องใช้เตียงเก่าของสามี (ที่เค้าบอกว่านอนมาตั้งแต่เด็ก) ขนมาจากบ้านแม่ ส่วนของที่แพ็คมาจากคอนโดก็ต้องเอาถุงพลาสติกคลุมไว้ เพราะกลัวฝุ่นและสีหกใส่ อีกทั้งยัง Unpack ไม่ได้ จะทำอะไรก็ลำบากมากค่ะ อยู่กันสภาพนี้ 2 สัปดาห์กว่าช่างทาสีจะยอมมาทาสีต่อ แล้วก็พอทาสีเสร็จ ออกมาย่ำแย่กว่าที่คิดไว้เยอะ จนหมดกำลังใจจะทำอะไรต่อ เพราะเงินก็หมด แต่ก็อดทนค่ะ ต่อมาพอบ้านเสร็จ ช่างทุกอย่างออกจากบ้านไป เราก็ไปซื้อราวแขวนผ้าราคาถูกๆ อันละ 100 - 200 กว่าบาท มาติดผนัง เพื่อให้อยู่ได้  แล้วก็มีเฟอร์นิเจอร์จากคอนโดนิดหน่อยที่ขนมาใช้ต่อที่บ้าน สภาพเป็นแบบนี้ก็อยู่กันมา 1 ปีเต็มๆ เวลาใครไปใครมา ก็ไม่ค่อยอยากให้เข้ามาดูห้องนอน เพราะว่า “อาย” ค่ะ (ห้องนอนเป็นห้องที่อยู่ชั้นล่าง ใครๆ ก็ชอบถามว่าห้องอะไร จะขอดู) สามีเป็นคนง่ายๆ อะไรก็ได้ค่ะ เค้าอยู่ได้ (เราก็ต้องอยู่กับเค้า แบบจำยอม) แต่ปุ้ยฝันมาตลอดว่าอยากทำห้องนี้ให้มันออกมาดี มันควรเป็นห้องที่เราอยากอยู่ที่สุดในบ้าน มันคือ ห้องของเรา โอเค ขอจบดราม่าแค่ตรงนี้ ต่อไปจะเล่าถึงการรีโนเวทห้องให้ฟังค่ะ --------------  ภาพก่อน การรีโนเวท -------------- ภาพ Before ทุกๆ มุมของห้องก่อนทำการ Renovate การรีโนเวทครั้งนี้ ไม่ใช่แค่การตกแต่งเฟอร์นิเจอร์ให้สวยงามเท่านั้นค่ะ แต่เป็นการรีโนเวทพฤติกรรมที่ควรปรับเปลี่ยนให้ไปในทางที่ช่วยให้ชีวิตดีขึ้นด้วย ได้แก่ - การหันเตียงนอนให้ถูกต้อง (อยากเปลี่ยนมานานแล้ว แต่ว่าไม่มีใครช่วยย้ายเตียง) - การทิ้งข้าวของที่ไม่จำเป็น - การจัดระเบียบเสื้อผ้าและสิ่งของ - การจัดให้เป็นหมวดหมู่และให้หยิบใช้สะดวก - การตกแต่งบรรยากาศห้องให้ดูสวยงาม น่าพักผ่อน - และผลลัพธ์ คือ การเปลี่ยนแปลงชีวิตแบบที่ปุ้ยคาดไม่ถึง อันดับแรกเลย คือ ปุ้ยซื้อตู้เสื้อผ้าเผื่อมาจัดระเบียบข้าวของในห้องค่ะ ฝันมานานแล้วอยากทำตู้เสื้อผ้าใต้บันได (ก็เลยเป็นหนึ่งเหตุผลที่ออกแบบให้มีบันไดในห้อง) ซึ่งปุ้ยตั้งใจจะให้เป็นตู้เสื้อผ้าแบบเปิดโล่ง (Open Closet) ซึ่งคนไทยมักจะเรียกว่า ตู้เสื้อผ้าวอร์คอิน (Walk-in Closet) จากการเดินสำรวจตลาดเฟอร์นิเจอร์หลายๆ ที่ ปุ้ยก็ตกลงปลงใจกับดีไซน์รุ่น ILLUSION SERIES เป็นโครงอลูมิเนียมพ่นสีดำ บานไม้อัด หน้าบานพ่นไฮกลอส และชั้นวางสีไม้ ปุ้ยคิดว่าดีไซน์นี้มันดูเหมาะกับผู้ชายมากค่ะ (จริงๆ เค้ามีสีขาวด้วย) ตู้นี้ปุ้ยได้มาจากอินเด็กซ์ (Index Living Mall) ก่อนจะคำนวณราคา เค้าจะมาวัดพื้นที่จริง แล้วก็ออกแบบก่อนว่าต้องใช้เสาสูงเท่าไหร่ จะแต่งส่วนได้กี่ล็อก แล้วจะใช้ฟังก์ชั่นอะไรใส่ลงไปได้บ้าง สำหรับพื้นที่เล็กๆ ใต้บันไดนี้ พื้นที่ใช้งานจริงที่สามารถติดตั้งได้ คือ 1.8 เมตร ความสูงไล่ระดับด้วย เค้าต้องมาวัดอย่างละเอียดเลยค่ะ เสร็จแล้วก็ออกแบบสามมิติ แล้วก็ตีราคาออกมาตามชิ้นอุปกรณ์ที่ใช้ ราคาคิดแยกเป็นชิ้นๆ เลย ส่วนการติดตั้งก็ง่ายมาก ทั้งชุดนี้ช่างจากอินเด็กซ์มาติดตั้ง 3 คน ใช้เวลาประมาณ 1 ชม. เองค่ะ - เสาอลูมิเนียม+ชุดปรับขา 4x1,995 = 7,980 บาท - ชุดข้อต่อเข้าผนัง 4x590 = 2,360 บาท - แผ่นชั้นไม้ 80x40 cm = 600 บาท
- ชุดราวแขวนเสื้อสแตนเลส 40 cm 2x490 = 980 บาท - ชุดราวแขวนเสื้อสแตนเลส 60 cm = 690 บาท - กล่องบนบานเปิดขึ้น 60 cm = 5,090 บาท - ลิ้นชัก 3 ชั้น 60 cm =10,900 บาท
- ลิ้นชักแขวนกางเกง 80 cm = 4,290 บาท - ตัวรับชั้น 6x690 = 4,140 บาท - ตัวยึดโครงตู้กับเสาอลูมิเนียม 3x590 = 1,770 บาท - แผ่นชั้นราวแขวน 40x40 cm  2x310 = 620 บาท รวมทั้งสิ้น 39,420 บาท เดิมทีแล้วตั้งงบกับตู้ไว้แค่ 15,000 บาท เกินมา 2 เท่านิดๆ 
สำหรับใครที่อยากได้ตู้แบบนี้ ถ้าไม่เอากล่องบานปิด หรือลิ้นชัก ก็น่าจะใช้งบประมาณ 20,000 
แต่ปุ้ยอยากให้มีลิ้นชักเพราะอยากให้ดูเป็นระเบียบ และให้มีส่วนที่เก็บของกันฝุ่นด้วย
ถ้าใครไปซื้อ เค้าจะเคาะราคามา แล้วถ้าเราไม่อยากได้ชิ้นไหน ก็ตัดออกได้ค่ะ เค้าก็จะไปทำราคามาให้ใหม่อีกรอบ โครงสร้างของตู้เสื้อผ้านี้ เป็นแบบปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นได้เอง (Flexible) ดังนั้นเราอาจจะตั้งงบเพื่อซื้อโครงและฟังก์ชั่นจำเป็นมาติดตั้งก่อน และข้อดีคือ ในอานาคต ถ้าเราอยากเพิ่มชั้นวาง ก็ซื้อมาเพิ่มเองได้ ส่วนชั้นวางที่ติดตั้งแล้ว สามารถถอดและ เปลี่ยนระดับความสูงได้เองค่ะ ปุ้ยลองทำดูแล้วไม่ยากนะ ไหนๆ จะจัดทั้งที่ก็ถือโอกาสทำทีเดียวเลย เฟอร์นิเจอร์ย้ายออก แล้วก็ติดวอลเปเปอร์ ด้วยค่ะ (แต่ปุ้ยติดวอลเปเปอร์หลังติดตั้งเฟอร์นิเจอร์ ก็ทำได้ไม่ยากค่ะ เพราะว่าตู้ไม่ได้เป็นบิวท์อิน แค่ยึดติดผนังไว้แบบ เคลื่อนย้ายได้) การติดวอลเปเปอร์ เพื่อช่วยแก้ปัญหาที่ช่างทาสีแสนห่วย (ที่เกริ่นไว้ตอนแรก) ทาสีไม่เรียบทำให้ห้องนอนของเราเป็นสไตล์ลอฟท์ ดูไม่เรียบร้อย ส่งผลให้เวลานอน รู้สึกไม่ผ่อนคลายอย่างเต็มที่ 
หลังติดวอลเปเปอร์ แล้วช่วยให้ห้องดูสะอาดตาขึ้น แสงในห้องและเทคเจอร์จะดูดีขึ้น เรียบร้อยและดูมีฟิลลิ่งมากขึ้นเยอะเลยค่ะ รูปตู้เสื้อผ้า ก่อนติดตั้งวอลเปเปอร์ รูปตู้เสื้อผ้า หลังติดตั้งวอลเปเปอร์ มุมใต้บันได ดูดีขึ้นหลังจากติดตั้งตู้เสื้อผ้าแบบ Open Closet และติดวอลเปเปอร์ลาย Dandy Check (จาก Zaran Wallpaper) ส่วนผนังที่เหลือเป็นลายเรียบๆ เพื่อส่งเสริมให้ลายหลักของเรา ดูดโดดเด่น ผนังส่วนอื่นๆ จึงเป็นสีเบจอ่อนๆ ที่มีเทคเจอร์วิ้งๆ รับกับแสงไฟ สวยงามมาก ช่วยให้ห้องดูแพงขึ้น ดูหรูขึ้นได้จริงค่ะ 
แอบแต่งแสง ด้วยโคมไฟเส้น LED เพิ่ม (ขอรีวิวท้ายกระทู้) ทำให้มุมนี้ดูหรูหรา น่าสนใจขึ้นเยอะเลย ทีนี้มาพูดถึงฟังก์ชั่นการจัดเก็บที่ปุ้ยออกแบบไว้ให้สามี กันค่ะ เทคนิคการจัดระเบียบ ที่ได้ไอเดียสรุปมาจาก ทฤษฎีของ KonMari method (นักจัดระเบียบชื่อดังของญี่ปุ่น) และ Kyoko Ikeda (จากหนังสือชื่อ ทำไงดี! อยากจัดห้องให้เนี้ยบๆ) ดังนี้ 1. ทิ้งของที่ไม่จำเป็น หรือถ้าเลือกไม่ถูก คือ ของที่พอเห็นแล้วทำให้ใจเต้น (Spark Joy) ให้เก็บไว้ 2. อย่าเก็บของที่คิดว่าจะได้เอามาใช้สักวัน เพราะคำว่า “สักวัน” จะไม่มีวันมาถึง 3. อย่าให้ใครเข้ามาดูตอนเราทิ้งของ เพราะเค้าจะบอกว่าอย่าทิ้งเสียดาย (ใส่ถุงดำมัดเงื่อนตายไว้เลย) 4. การตัดใจจากสิ่งของง่ายๆ โดยการไว้อาลัยกับสิ่งของ ด้วย “คำขอบคุณ” ที่เค้าได้รับใช้เรามา และขอให้เค้าจากไปอย่างมีความสุข 5. จัดของที่เหลือ ตามหมวดหมู่การใช้งาน และพับเข้าที่ให้เป็นระเบียบ 6. ของทุกอย่างต้องมองเห็น จะได้หยิบมาใช้ได้ ไม่ลืมว่าไว้ตรงไหน 7. การวางทุกอย่างแบบตั้งขึ้น จะทำให้เห็นง่ายขึ้น เพราะไม่ถูกชิ้นอื่นทับ 8. ที่สำคัญต้องหยิบใช้สะดวกด้วยนะคะ ตามที่เห็น จัดระเบียบให้หมดแล้ว ทุกอย่าง ตู้ Wall-in Closet นี้เอาอยู่ เนื่องจากห้องเราเล็กและก็ไม่ได้มีที่เก็บของมากนัก เพราะฉะนั้น ในห้องนี้ จะมีฟังก์ชั่น แค่สำหรับ การนอน เก็บเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวของสามี ส่วนของส่วนตัวของปุ้ย เก็บห้องอื่นค่ะ   สำหรับห้องนี้ ตู้เสื้อผ้าเรามีพื้นที่จำกัด ตามที่เห็นว่ามีที่แขวนเสื้ออยู่แค่ราวเดียวเล็กๆ เราควรคัดเลือกเสื้อผ้าข้าวของ ทิ้งให้หมด  เอาให้เหลือ เท่าที่ใช้งานจริงๆ ของส่วนใหญ่เป็นของสามี ดังนั้นเราเป็นคนทิ้ง ไม่มีคำว่า เสียดาย 555 ข้อดีของสามีปุ้ย คือ เค้าเป็นคนสมบัติน้อยค่ะ ไม่ค่อยมีของสะสม และไม่บ้าแต่งตัว แต่ว่าบางทีก็ใช้ของบางอย่าง จนมันน่าจะหมดอายุขัยแล้ว ก็ยังไม่ปล่อยมันไปเกิดใหม่ค่ะ   ข้าวของจะมี เสื้อเชิ๊ตใส่ไปทำงาน (12 ตัว) เสื้อเชิ๊ตที่ไม่ค่อยได้ใช้ (10ตัว) กางเกงใส่ไปทำงาน (6 ตัว) เสื้อลำลอง (10 ตัว) กางเกงลำลอง (8 ตัว) ถุงเท้า กางเกงใน และข้าวของส่วนตัวเล็กๆ น้อยๆ   สิ่งที่เราจัดการ คือ ทิ้งเสื้อผ้าที่เก่าจนย้วย เสื้อผ้าที่ไม่ได้ใส่แล้ว ทิ้งขยะพวกนามบัตร บิล ใบเสร็จ (ไม่รู้เก็บไว้ทำไม) แต่สิ่งที่เราแอบเก็บไว้ให้ คือ เสื้อเชิ๊ตไซส์ XXL เพราะตอนนี้เค้าผอมลง เหลือใส่ไซส์ L2 
จริงๆ ควรจะทิ้งไปเลย จะได้ไม่มีข้ออ้างในการกลับมาอ้วนอีก เพราะว่าไม่มีเสื้อใส่ ถ้าอ้วนอีกคราวหน้า ก็คือ ต้องถอดเสื้อไปทำงานแล้วหละ (เดี๋ยวเขียนกระทู้นี้เสร็จ จะเอาไปบริจาคเลย) ถ้าเห็นจากรูปจะรู้ว่าข้าวของเค้าน้อยมาก พวกเน็คไท เสื้อสูท ก็ไว้ที่ทำงาน รองเท้าหนังมีหลายคู่ก็ไว้ท้ายรถ จริงๆ ผู้ชายก็ไม่จำเป็นต้องมีเครื่องแต่งตัวเยอะ (เพราะถ้าเยอะ เดี๋ยวจะแต่งหล่อไปจีบสาว)   ถ้าคุณผู้ชายที่บ้านใครข้าวของเยอะ เราลองช่วยเค้าทิ้ง+จัดระเบียบก็จะช่วยให้มีพื้นที่เพิ่มขึ้นได้อีกเยอะเลยนะคะ ส่วนพวกเสื้อผ้าที่ไม่ค่อยได้ใช้ เช่น เสื้อโค้ทหรือชุดสำหรับใส่ไปเที่ยวประเทศหนาวๆ เราก็พับเก็บใส่กรุไว้ในตู้ ถ้าจะใช้ ค่อยไปรื้อมาค่ะ ฟังก์ชั่นการใช้งานของตู้นี้ เหมาะมากสำหรับคนของไม่เยอะอย่างสามีเรา เพราะว่าถ้าเยอะจนแน่นเกินไป จะดูไม่ค่อยสวย เสื้อเชิ๊ตที่ใส่จริงๆ มี 12 ตัวเองค่ะ ที่แขวน 4 ตัว แล้วที่เหลืออยู่ในตระกร้าเตรียมซักอีก 3  ตัว ซักแล้วยังไม่ได้รีด อีก 5 ตัว (กระจายอยู่ตาม Process การซัก-ใส่) ไม้แขวนเสื้อ สีดำซื้อมานานแล้ว แต่ไซส์เล็กเหมาะกับเสื้อผู้หญิง และสีแดงเป็นไซส์ใหญ่เหมาะกับเสื้อของผู้ชายมากกว่า ไม่แขวนทั้ง 2 แบบจากอินเด็กซ์ (ไซส์ใหญ่สีดำเค้าก็มีนะคะ แต่สีแดงนี่ได้รับมรดกมาจากบ้านพี่สาวค่ะ พอมาวาง ก็ดูเด่น กลายเป็นกิมมิกไปอีกแบบ) ปุ้ยประยุกต์ใช้จากกล่องตะแกรงลวดสีดำ ที่ใช้สำหรับใส่ของในสำนักงาน และกล่องลิ้นชักจิ๋วใสๆ ทั้งนี้หมดนี้ก็ซื้อจากอินเด็กซ์ แต่ละชิ้นประมาณ 29 - 199 บาท ไม่เกินนี้ค่ะ มุมสะสมเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ 
อันนี้ไม่ได้สนับสนุนนะคะ แต่ว่าเค้าขอไว้ เค้าอยากได้ ความฝันของเค้า ปุ้ยก็เลยไปซื้อ ที่วางขวดไวน์อะคริลิก มาให้ใช้ไปก่อน ซื้อจากอินเด็กซ์ ราคา 890 บาท ปกติจะชอบซื้อเวลาไปดิวตี้ฟรี ก่อนหน้านี้ซื้อเยอะมาก ช่วงนี้ก็เลยสั่งงด ตอนนี้เหลือแค่ขวดเดียวที่กินไม่หมดค่ะ ถัดมา ที่แขวนกุญแจ สามารถนำมาประยุกต์ใช้แขวนแว่น กับเครื่องประดับได้ด้วย ซื้อจากอินเด็กซ์ เหมือนกันค่ะ แต่ปุ้ยลืมจดราคาไว้ กล่องลิ้นชักพลาสติกจิ๋วๆ ใสๆ จากอินเด็กซ์ ราคา 99 บาท Accessories พวกหมวกกับสายเอี๊ยม ปุ้ยซื้อมาให้เค้าเอง เห็นแล้วชอบ ปุ้ยประยุกต์ใช้ไม้แขวนกระโปรง เอามาแขวนให้ค่ะ ก็ดีเก๋ดีนะ จริงๆ แขวนพวกเนคไทกับโบว์ไทได้ด้วยค่ะ ส่วนต่อมาเป็น ลิ้นชัก แขวนกางเกง อันนี้ปุ้ยชอบเป็นการส่วนตัว ก็เลยเอาฟังก์ชั่นนี้มาใส่ ช่องใส่ของเหนือชั้นแขวนกางเกง ปุ้ยเอากล่องกระดาษ มาไว้เก็บของที่ไม่ค่อยได้ใช้ โดยแยกตามประเภทและเขียนป้ายชื่อติดไว้ อย่างชัดเจน จริงๆ กล่องนี้ซื้อมานานมากแล้วตอนอยู่คอนโด พอย้ายบ้าน เกือบจะทิ้งแล้ว พอดีไซน์ตู้มีสีน้ำตาล เลยนึกขึ้นได้ ไปหยิบมาใช้ มันก็ดูเข้ากันได้พอดีเลยค่ะ กล่องอเนกประสงค์จากอินเด็กซ์ ราคา 139 บาท   ถัดมาเป็นตะกร้าใส่เสื้อผ้าเตรียมซัก จากอินเด็กซ์ ราคา 469 บาท อันนี้ก็ชอบค่ะ 
ใช้ของอินเด็กซ์ มาหลายอันแล้ว พอเจออันนี้ ก็ปิ๊งเลย เหมาะกับสไตล์ห้องนอนห้องนี้สุดๆ เพราะเป็นสีดำขอบขาว แล้วก็มีแยก 2 ส่วน คือ ผ้าสีเข้มกับผ้าสีอ่อน   ส่วนอีกใบเป็นถังขยะ 20 ลิตร จากอินเด็กซ์ ราคา 359 บาท แน่นอนเลือกมาเพราะดีไซน์เข้ากับห้อง เป็นสีดำ แล้วปุ่มกดสีเงินค่ะ ถังนี้ปุ้ยประยุกต์มาใส่ ถุงเท้าที่ใส่แล้ว เตรียมเอาไปซัก แล้วภายในใส่ถุงใส่ผ้าแบบที่มีหูหิ้ว ขนาดพอดีกับถัง เวลาไปซัก ก็หิ้วไปแต่ถุงใส่ผ้าด้านในค่ะ
 ไอเดียนี้ทำให้ แยกถุงเท้าออกจากเสื้อผ้าอื่นๆ แล้วก็ยังเก็บได้มิดชิด ดูสวยงามด้วยค่ะ ชุดลำลอง ประกอบด้วย เสื้อยืด เสื้อบอล กางเกงบอล กางเกงขาสั้น คือ ชุดที่เค้าใส่ในวันหยุดค่ะ พับๆๆ ให้เรียบร้อย แล้วก็วางเก็บแบบตั้งไว้ จะได้เห็นครบทุกตัว ปุ้ยพยายามพับโดยหันมาร์คของเสื้อออกมาให้เห็นชัดๆ เพราะว่า บางทีเค้ามีเสื้อสีเดียวกันหลายตัว 
ส่วนเสื้อเชิ๊ตในลิ้นชัก ก็เช่นกันค่ะ พับแล้วหันวางในแนวตั้ง ไอเดียของการจัดของ นอกจากจะทำให้เป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว ที่สำคัญ เราจะต้องมองเห็นของทุกชิ้น เพื่อที่จะไม่หลงลืมว่า มีมันอยู่ และละเลยที่จะหยิบมาใช้ รวมถึง ช่วยแก้ปัญหา “การหานู่นนั่นนี่ไม่เจอ” ค่ะ อีกไอเดียหนึ่งที่เก็บมาจากเว็บของฝรั่ง แล้วรู้สึกว่าน่าจะเวิร์คสำหรับสามี คือ การจัดระเบียบอุปกรณ์ชาร์จแบ็ตโทรศัพท์มือถือ เพราะว่า ปุ้ยต้องหงุดหงิดทุกวัน ที่จะมาเก็บให้ คือไงรู้มะ เค้ามีโทรศัพท์ หลายเครื่อง ไหนจะแท็บเล็ตอีก แล้วเวลาชาร์จก็กองบนพื้น พอออกไปทำงานแล้ว พวกสายชาร์จ ปลั๊กพ่วง ก็กองระเกะระกะ บนพื้นนั่นแหละ จะกวาดจะถูอะไรก็ลำบาก (ขอบ่นให้เถอะค่าาาา) เชื่อว่าหลายคนประสบกันปัญหานี้ค่ะ ปุ้ยก็เลยจัดระเบียบให้โดยการซ่อนพวกปลั๊กและสายชาร์จไว้ในลิ้นชัก และก็ม้วนเก็บให้เป็บระเบียบ แบ่งเป็น 2 ลิ้นชัก จะได้ไม่ทับกัน หรือพันกันสะเปะสะปะ ชั้นบนไว้ชาร์จพวกโทรศัพท์มือถือ ส่วนลิ้นชักล่างไว้ชาร์จแท็บเล็ต ซึ่งมีขนาดใหญ่และกินที่มาก แบบนี้ แก้ปัญหาชีวิตระเกะระกะ สะเปะสะปะ ไปได้เยอะเลยค่ะ จบในส่วนของตู้เสื้อผ้าและการจัดเก็บข้าวของแล้วค่ะ เดี๋ยวมาต่อ มุมพักผ่อน กันค่ะ ยังไม่เหนื่อยกันใช่มั้ยคะ เรามาต่อกันที่ "มุมหลับพักผ่อน" ปุ้ยปรึกษากับสามี เราตัดสินใจขยายไซส์เตียงจากควีนไซส์ เป็นคิงไซส์ (เผื่อมีสมาชิกเพิ่ม) จะได้นอนกันสบายๆ เตียงคิงไซส์รุ่น GEHRY จากอินเด็กซ์ ราคา 21,900 บาท ปุ้ยชอบรุ่นนี้ ตรงที่เป็นผิวบานไม้ไฮกลอสเงาวั๊บสีน้ำตาลดำ (ชอบสีนี้มากว่าน้ำตาลแดงอันเก่าเยอะเลย) ตรงขอบด้านหัวเตียงมีคิ้วขอบสีทองเหลือง ชอบตรงนี้ที่สุดค่ะ ทำให้ดูหรูหราขึ้น ส่วนรุ่นนี้ไม่มีหัวเตียง ก็ช่วยให้ดูเป็นระเบียบไม่รก 
แต่ปุ้ยเอาเบาะรองนั่งสีเบจขลิบขอบสีดำ มาวางไว้ ช่วยให้เตียงดูนุ่มนวลขึ้น เวลาพิงอ่านหนังสือก่อนนอนก็ดีเลยค่ะ   มุมเตียงนอน ปุ้ยย้ายหัวเตียงมาไว้ฝั่งทิศเหนือค่ะ พอเปิดประตูห้องเข้ามา ก็จะเจอเตียงหันออกมา
ปุ้ยก็ย้ายมานอนด้านซ้ายของเตียง (ด้านขวาของรูป) ซึ่งปุ้ยเคยรู้มาว่า ถ้าแต่งงานกัน ภรรยาควรนอนซ้าย สามีนอนขวา คราวนี้พอย้ายมาฝั่งนี้ปุ้ยเลยขอนอนทางซ้าย ส่วนสามีก็นอนฝั่งที่ติดกับตู้เสื้อผ้า ซึ่งเค้าจะได้หยิบใช้ของส่วนตัวเค้าได้สะดวกเลย ที่สำคัญต่อไปนี้ปุ้ยจะไม่ต้องเดินอ้อมไปขึ้นเตียงไกลๆ อีกแล้วววว นี่คือ ผลพลอยได้ที่แฮปปี้สุด โต๊ะข้างเตียง เรางบไม่พอ ก็เลยไปเอาโต๊ะที่เคยซื้อไว้หลายปีแล้ว สีเข้ากัน มาวางด้านขวาของเตียง ด้านขวา (ด้านที่สามีนอน) ไม่มีโคมไฟ เพราะว่าสามารถใช้ไฟตรงโครงเสาตู้เสื้อผ้าได้ ปุ้ยติดตั้งโคมไฟ LED แบบที่เปิด/ปิดด้วยระบบสัมผัสที่ โคมเลย สะดวกสุดๆ (ใครสนใจเดี๋ยวโพสต์รีวิวโคมไฟ ให้นะคะ) วอลเปเปอร์จาก Zaran Wallpaper สีเบจอ่อนๆ ช่วยให้ผนังดูนุ่มนวลขึ้น และมีเทคเจอร์ลายผ้า แซมกลิตเตอร์วิ้งๆ แบบกระจายห่างๆ ช่วยให้ดูหรูหราขึ้น ราคาตรม.ละ 350 - 550 บาท ส่วนด้านซ้ายที่ปุ้ยนอน เอาเก้าอี้ม้านั่งสีดำมาใช้วางของ (ม้านั่ง จากอินเด็กซ์ 199 บาท) 
และมุมนี้เพิ่มไฮไลท์ด้วยการเอาโคมไฟ ที่มีดีไซน์เข้ากับเตียงมาวางไว้ค่ะ ทำให้มุมนี้ดูดีขึ้นมาทันตาเลย โคมไฟ ตั้งพื้น รุ่น ROARKE จากอินเด็กซ์ ราคา 1,430 บาท ขาโคมเคลือบสแตนเลส และหุ้มหนังสีน้ำตาล
ปุ้ยชอบโคมไฟอันนี้ เพราะนอกจากเรื่องดีไซน์แล้ว ยังฟังก์ชั่นมี ที่เปิด/ปิด แบบเชือกดึง สะดวกดี เบาะรองนั่ง จากอินเด็กซ์ ราคา 199 บาท หมอนอิง จากอินเด็กซ์  สีดำ คำว่า Rock ตกแต่งด้วยหมุมสีทอง 139 บาท ผ้าปูสีเขียวขี้ม้าและผ้านวมสีเบจทอง ได้มาจากการช็อปปิ้งงาน บ้านและสวนแฟร์ เซ็ทละ 3,990 บาท ส่วนมุมด้านบนจริงๆ อยากเอาตู้แขวนบานไฮกลอสหรือบานกระจกเงา มาแขวน ไว้เก็บของที่ไม่ค่อยได้ใช้ แต่ว่างบเราหมดแค่นี้จริงๆ ค่ะ อีกด้านผนังของห้อง เป็นหน้าต่างบานใหญ่ รอเก็บตังค์ซื้อผ้าม่านสวยๆ มาเปลี่ยนค่ะ 
อันนี้รับมรดกจากบ้านพี่สาวมา ขนาดไม่พอดี ตอนแรกมีเอามาแปะเพิ่มให้มันบังหน้าต่างให้มิดๆ แต่พอติดวอลเปเปอร์ดึงออกมา ยังไม่ได้ติดกลับเข้าไป ส่วนผนังตรงชานบันได ปุ้ยกำลังคิดว่าจะหานาฬิกาเก๋ๆ มาแขวน แต่ยังไม่เจอที่ถูกใจ (อยากได้สไตล์ที่ดูคลาสสิก แบบเรียบๆ ) ถ้าแขวนนาฬิกาตรงนี้ เวลาตื่นมาจะได้ดูเวลาพอดี
 ด้านล่างนานาฬิกาลงมา ก็คิดๆ ไว้ว่าจะหาชั้นวางของเล็กๆ มาวางพวกขวดน้ำหอมที่สะสมไว้ค่ะ สรุปค่ะ งบที่ใช้ไปในห้องนี้ก็ ราวๆ 66,000 บาท (ไม่รวมค่าเสื่อกับวอลเปเปอร์) ซึ่งเกินจากงบที่ตั้งไว้มา 11,000 บาท ถือว่าไม่ประสบความสำเร็จในการบริหารงบ แต่ว่ายังไงก็ได้ความถูกใจและลงตัวมากๆ ค่ะ ถือว่าคุ้มค่ากับความพยายาม ไม่รู้ว่าสามี เค้าดีใจแค่ไหน เพราะว่าไม่เคยถาม แต่ตอนนี้ก็นอนห้องสวยๆ นี้มา 1 สัปดาห์แล้วค่ะ มาดูเปรียบเทียบกันแบบชัดๆ ว่าเปลี่ยนแปลงไปขนาดไหน ขอบคุณสำหรับเพื่อนๆ ที่อ่านกันมาจนจบนะคะ กระทู้นี้ใช้ความพยายาม (ความถึก) อย่างมากเลย เพราะว่าถ่ายรูปยากมาก ปุ้ยถ่ายเองค่ะ ปกติห้องอยู่ในมุมที่ไม่ค่อยโดนแสง ต้องรอจังหวะวันที่แดดออกจ้าๆ เลย แถมห้องก็แคบ เลนส์ที่ยืมพี่สาวมาก็แบบว่าถอยจนสุดหัวติดผนังอีกฝั่งแล้วก็ยังเห็นมุมกว้างสุดแค่นี้ สรุปถ่ายอยู่ 5 วัน ถ่ายแล้วถ่ายอีก กดชัตเตอร์มา 3,000 กว่ารูป เลือกมาใช้ไม่ถึง 30 รูป 555 หลายคนอาจจะคิดว่า ห้องสวยเพราะถ่ายรูปสวยรึเปล่า บอกเลยว่า ไม่ใช่ค่ะ เพราะว่า ของจริงสวยกว่าในรูปมากๆ แต่ว่าความสามารถในการถ่ายรูปก็ไม่ได้มีมากมาย ใช้พยายามสุดๆ แล้วได้แค่นี้จริงๆ ระหว่างทาง มีแมวๆ เจ้าขนมผิง เจ้าก้อนเมฆ และเจ้าปลาทู แวะเวียนกันมาให้กำลังใจ พร้อมป่วนเล็กๆ ค่ะ ก่อนจะจบกระทู้ ขอสรุปบางอย่างแต่สำคัญมาก ที่ปุ้ยมีหยอดไว้เล็กๆ ตอนต้นกระทู้ว่า นี่ไม่ใช่แค่การรีโนเวทห้อง แต่มันคือ การรีโนเวทชีวิต หมายถึง ชีวิตคู่ค่ะ
 ปุ้ยไม่อายที่จะเล่าว่า เมื่อก่อน เราทะเลาะกันบ่อยมาก จนปุ้ยได้สังเกตและตระหนักถึงพฤติกรรมการทะเลาะของเรา (หลังอยู่ห้องรีโนเวทมา 1 สัปดาห์) สาเหตุก่อนหน้าที่ทำให้เราทะเลาะกันเพราะว่า - บรรยากาศในห้องเก่า มันไม่ทำให้จิตใจสงบ ไม่ผ่อนคลายค่ะ - ปุ้ยแทบจะไม่อยากเข้ามานอน และไม่อยากจะตื่นมาพบบรรยากาศแย่ๆ ในห้องเก่า - บรรยากาศที่ไม่ดี ทำให้จิตใจเราเครียด และทำให้หงุดหงิดง่าย - ทุกครั้งที่ทะเลาะกัน มักจะทะเลาะกัน “ในห้องนอน” และปุ้ยมักจะเริ่มต้นประโยคว่า “เบื่อ” แต่ตอนนี้ชีวิตคู่เรา ถูกรีโนเวทไปพร้อมๆ กับห้องนอนห้องนี้
ทุกวันนี้พอเข้าห้องนี้ จะอารมณ์ดี คุยกันดี เห็นความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนว่า ชีวิตคู่ของเรา “แฮปปี้” กันมากขึ้น และปุ้ยเพิ่งเข้าใจก็วันนี้เองว่า การอยู่ในที่ดีๆ ทำให้ชีวิตเราดีขึ้น ได้จริงๆ ค่ะ ถ้าใครอยากจะเอาใจสามีหรือภรรยา หรือกำลังประสบปัญหาชีวิตคู่ ลองใช้วิธีการรีโนเวทห้อง สร้างบรรยากาศของความสุขแบบนี้ ปุ้ยเชื่อว่า อะไรๆ มันจะต้องดีขึ้น หรือใครที่อยู่คนเดียว ลองหาโอกาสรีโนเวทห้องนอน ก็มันเหมือนได้รีโนเวทชีวิตของเราไปด้วย เพราะชีวิตถ้าได้หลับสบาย และพบความสุขตั้งแต่ตอนลืมตาตื่น วันทั้งวันของเรา ก็จะมีความสุขค่ะ บอกเลยว่าจบห้องนี้แล้วมีความสุขมากๆ เวลาได้นอนห้องสวยๆ มันช่างดีอย่างงี้นี่เอง สุดท้ายนี้ขอบคุณสามีที่ตามใจ ให้เราจัดระเบียบ เลือกเฟอร์นิเจอร์ตามใจเรา ไม่มีขัด ซักนิด หวังว่าจะชอบของขวัญชิ้นนี้ ที่ภรรยาทำให้ด้วยความรักและความตั้งใจ <3
  แม้จะไม่เอ่ยปากชม แต่ดูก็รู้ว่า “ชอบใจ” อยู่ไม่น้อยค่ะ ต่อจากนี้เก็บตังค์/หางบ กันต่อนะคะ จะมาตกแต่งแบบ DIY กันอีก ที่บ้านยังเหลือห้องมาให้เพื่อนๆ อ่านรีวิวเป็นไอเดียกันอีกเยอะ ทั้งห้องครัว ห้องนั่งเล่น ห้องซักรีด ห้องกินข้าว ทางเข้าบ้าน ห้องแต่งตัว ยังไม่ได้ทำเลยค่าาา เอาเป็นว่า พบกันใหม่กระทู้หน้าแล้วกันค่ะ มีอะไรดีๆ มา DIY ให้ดูกันอีก รับรอง บั๊ยบายค่าาา เพิ่มเติม จากที่ปุ้ยได้มีพูดถึงการติดตั้งไฟ LED ที่ช่วยทำให้ตู้เสื้อผ้าดูสวย และสว่างขึ้น รวมถึงเวลากลางคืนก็สามารถใช้เป็นไฟส่องสว่างแทนไฟหัวเตียงได้ด้วย มาเล่า DIY กันต่อ ในเรื่องการติดตั้งโคมไฟเส้น LED อเนกประสงค์ ซึ่งปุ้ยลองใช้ดูแล้ว คิดว่าเป็นโคมไฟที่ใช้งานง่ายๆ เพียงแค่เสียบปลั้ก และต่อเข้าเป็นเส้นยาวได้ตามที่เราต้องการ แล้วที่เวิร์คมากๆ ก็คือ ฟังก์ชั่นกันใช้งานเก๋ๆ ด้วยการเปิด/ปิดแบบสัมผัส โดยไม่ต้องต่อสวิตซ์ใดๆ เพียงแค่แตะที่โคมไฟก็เปิดปิดเองได้แล้ว เท่สุดๆ ไปเลย ที่สำคัญ คือ ดีไซน์ดูดี และแข็งแรงทนทานด้วยค่ะ ก่อนอื่นขอพูดถึงโปรดักซ์ที่เลือกมาใช้ในการ DIY นี้ก่อนค่ะ มี 2 แบบ 1) ขอเรียกว่า "ตัวแม่" Philips Linear wall lamp LED 1x3W ไฟตกแต่ง LED พร้อมหม้อแปลง รุ่น 30913 (Grey) สามารถใช้ตัวพ่วง รุ่น 30914 ได้เพิ่มอีก 3 ชุด 2) ขอเรียกว่า "ตัวลูก" Philips Linear wall lamp LED 1x3W ไฟตกแต่ง LED รุ่น 30914 (Grey) ซึ่งโคมไฟเส้น LED ชนิดนี้เป็นไอเดียที่เหมาะกับ - ผู้ที่ต้องการอุปกรณ์ให้แสงสว่าง ที่ติดตั้งเองได้แบบง่ายๆ เพียงแค่เสียบปลั๊ก และยึดเส้นโคมไฟด้วยตะปูเล็กๆ หรือติดกาว 3m ก็ได้ เพราะน้ำหนักเบามากค่ะ - ผู้ที่ต้องการอุปกรณ์ให้แสงสว่าง ที่อเนกประสงค์ใช้งานได้หลากหลายจุด ทั้ง อ่างล้างจาน ตู้เสื้อผ้า ไฟหัวเตียง โต๊ะเครื่องแป้ง เป็นต้น - ผู้ที่ต้องการอุปกรณ์ให้แสงสว่างที่ถอดประกอบและเคลื่อนย้ายได้ง่าย อุปกรณ์ที่ต้องใช้ในการติดตั้ง - โคมไฟเส้นตัวแม่ + อะแดปเตอร์ - โคมไฟตัวลูก (หรือตัวพ่วง) - ตัวเชื่อมโคมไฟ ในเซ็ทให้มา 2 แบบ คือ แบบสำหรับต่อเชื่อมเป็นเส้นตรง กับแบบสายไฟ สำหรับต่อห่าง หรือต่อแบบหักมุม - ตัวยึดผนัง แถมมาให้พร้อมโคมไฟ - เทปกาว 2 หน้าสำหรับยึดโคมไฟกับผนัง - อุปกรณ์อื่นๆ ดินสอ กรรไกร ตลับเมตร สะพานไฟ เป็นต้น วิธีการติดตั้ง 1.   นำตัวแม่ (สังเกตจากมีขั้ว) ต่อด้านที่มีขั้วเข้ากับสายอะแดปเตอร์ 2.   ต่อตัวเชื่อมเข้าที่ตัวแม่อีกด้าน 3.   นำตัวลูก มาต่อเข้ากับตัวเชื่อม 4.   ทำซ้ำข้อ 2)-3) จนกว่าจะได้ความยาวที่ต้องการ 5.   ยึดอุปกรณ์ทั้งหมดเข้ากับผนังหรือพื้นที่ใช้งานด้วยเทปกาว 2 หน้า  หรือถ้าต้องการติดตั้งถาวรก็เจาะผนังแล้วใช้พุกและน็อตที่อยู่ในเซ็ทอุปกรณ์ 6.   เสียบปลั๊ก คำแนะนำในการติดตั้ง (หลังจากลองผิดลองถูกมาแล้ว) 1.  หากพื้นที่เป็นสี่เหลี่ยมเล็กๆ แนะนำให้ติดตั้งโคมไฟแค่แถวเดียวหรือติดตั้งด้านในด้านหนึ่ง ไม่ควรติดตั้งมากกว่า 1 ด้าน เพราะแสงจะสว่างมากไป 2.  หากต้องการติดตั้งในผนังที่หันออกมายังผู้ใช้ แนะนำให้ติดตั้งโดยหันหลอดไฟขึ้นด้านบนหรือด้านล่าง ไม่ควรติดโดนหันหลอดออกมายังผู้ใช้งานโดนตรง เพราะแสงที่ส่องจะมีปริมาณมาก(แสงจ้า) ทำให้แสบตาได้ 3.   เมื่อติดตั้งตัวแม่แนะนำให้หันส่วนขั้วต่อเข้ากับสายอะแดปเตอร์ เพื่อให้ใช้งานเปิด/ปิดได้ตามฟังก์ชั่นที่ออกแบบไว้ 4.   หากติดตั้งตัวแม่โดยใช้ด้านที่ไม่มีขั้วต่อเข้าอะแดปเตอร์ ก็จะทำให้หลอดไฟเปิดอยู่ตลอดเวลา เหมาะสำหรับการใช้งานในกรณีที่มีหลายจุด และต่อปลั๊กจากตัวแม่ทุกจุดเข้ากับสวิตส์หรือสะพานไฟตัวเดียว แล้วสั่งเปิดปิดจากสวิตส์ตัวเดียวกันให้เปิดไฟพร้อมกันทุกจุดค่ะ วิธีการใช้งาน เปิด/ปิด ด้วยการแตะเบาๆ ที่โคมไฟตัวแม่ ก็จะสว่างทั้งเส้น (อย่าลืมเสียบอะแดปเตอร์เข้ากับปลั๊กไฟที่บ้าน) ลิงค์ VDO สาธิตการเปิด/ปิด มาเล่าถึงไอเดียการใช้งานกันค่ะ พอดีช่วงนี้ปุ้ยกำลังรีโนเวทห้องนอน ซึ่งในห้องจะมีตู้เสื้อผ้าแบบ Walk-in ที่ติดตั้งใต้บันได เป็นมุมที่ค่อนข้างมืด ดังนั้นก็เลยเอา Philips Linear wall lamp LED มาลองติดตั้ง และพบว่ามันเวิร์คมากค่ะ เพราะว่า โครงเสาของราวตู้เสื้อผ้า มีช่องตรงกลางพอดี (สำหรับยึดบาน) เริ่มต้น ปุ้ยลองเล่นดูก่อน ค่อยๆ ติดทีละชิ้น ทีละฝั่งค่ะ ลองเปลี่ยนตำหน่งไปเรื่อย ทำให้ค้นพบว่า ในพื้นที่ส่วนย่อยๆ หนึ่งส่วนเราควรวางหลอดไว้เพียงแถวเดียว หรือด้านเดียว เพื่อไม่ให้แสงไฟจ้าเกินไป และ สุดท้ายออกมาได้แบบนี้ พอติดไฟ LED แล้ว ดูสว่างและหรูหราขึ้นเอยะเลยค่ะ       ของจริงสวยมากค่ะ ช่วยให้แสงโดยรวมของมุมนี้ดูเด่น และหรูหราขึ้น หรือใครจะลองเอามาวางเป็นเส้นตามขอบผนัง ก็ช่วยให้ห้องดูหรูหรา น่าสนใจขึ้นมากเลยค่ะ ก่อนจะติดตั้งบนตู้เสื้อผ้า ปุ้ยลองเอามาฝึกประกอบ บนพื้นก่อน มันดูดีมาก เลยถ่ายรูปก็บไว้ค่ะ โดยรวมแล้ว ปุ้ยให้คะแนนไอเท็มเจ๋งๆ Philips Linear wall lamp LED เซ็ทนี้ 9/10 เลยค่ะ ถ้ามีหลากลายสีให้เลือกเข้ากับผนังและเฟอร์นิเจอร์นะคะ ปุ้ยจะให้คะแนะเต็มเลย ปุ้ยลองใช้งานแล้ว คิดว่าทุกคนสามรถติดตั้งเองได้ง่ายจริงๆ รวมถึงให้ความสวยงาม และปลอดภัย (ไม่มีโดนช็อต หรือมีสปาร์คค่ะ) อีกทั้งคุณภาพก็ถือว่าอยู่ในระดับที่ดีและทนทานเลย (ทำตกหลายครั้ง ยังใช้งานได้ปกติ) พร้อมมีอะไหล่ในการติดตั้งให้มาพร้อมกับคู่มืออย่างดี หวังว่าใครที่กำลังมาหา ตัวช่วยในการเพิ่มแสงสว่าง หรือไอเท็มเก๋ๆ สำหรับตกแต่งห้อง จะถูกใจและลองหามาใช้งานกันดูนะคะ แล้วพบกันในกระทู้หน้านะคะ จะมาชวน DIY กันต่อ อีกค่าาา บั๊ยบายค่าาาา   ขอขอบคุณภาพและข้อมูลจาก สมาชิกพันทิป คุณ PuY~isme  www.facebook.com/ilkePuYisme www.puyisme.com
เลาะกระเบื้องที่แตกร้าวออกอย่างไร ไม่ให้กระเบื้องแผ่นอื่นรอบๆ ที่ติดกันแตกไปด้วย?

เลาะกระเบื้องที่แตกร้าวออกอย่างไร ไม่ให้กระเบื้องแผ่นอื่นรอบๆ ที่ติดกันแตกไปด้วย?

การเลาะกระเบื้องแผ่นที่แตกร้าวเพื่อเปลี่ยนใหม่โดยไม่ให้แผ่นรอบๆ เกิดการแตกร้าวเสียหายต้องทำอย่างระมัดระวัง โดยใช้หลักการเพิ่มพื้นที่ว่าง โดยการสกัดยาแนวรอบแผ่นกระเบื้องที่แตกออกเสียก่อน จากนั้นจึงค่อยๆ สกัดแผ่นกระเบื้องที่เกิดการชำรุดออกโดยการทุบ หรือใช้อุปกรณ์ “ลูกหมู” ค่อยๆ กรีดหรือตัดกระเบื้องแผ่นที่แตกร้าวออก ซึ่งทำให้กระเบื้องแผ่นรอบๆ มีความเสี่ยงต่อการแตกหักน้อยกว่า จากนั้นจึงติดตั้งกระเบื้องแผ่นใหม่ลงไป ขอขอบคุณภาพและข้อมูลจาก  www.scgbuildingmaterials.com