Tag : Lifestyle

408 ผลลัพธ์
เลือกซื้อแอร์อย่างไรให้คุ้มค่า เข้ากับทุกขนาดและสไตล์การแต่งห้อง

เลือกซื้อแอร์อย่างไรให้คุ้มค่า เข้ากับทุกขนาดและสไตล์การแต่งห้อง

ย่างเข้าสู่  “ฤดูร้อน” กันแล้ว อย่างที่ทราบกันดีว่าสภาพอากาศช่วงหน้าร้อนของประเทศไทยนั้นทวีอุณหภูมิสูงถึง 40 องศา กันเลยทีเดียว วิธีรับมือส่วนใหญ่ของใครหลายๆ คนคงเป็นการมองหาเครื่องปรับอากาศเครื่องใหม่เพื่อมาคลายร้อนให้กับตัวเอง แต่ปัจจุบันการเลือกซื้อเครื่องปรับอากาศโดยคำนึงเพียงแค่ขนาด BTU และราคานั้นไม่ได้แล้วนะคะ เพราะด้วยสภาวะแวดล้อม คุณภาพของอากาศ หรือไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้เราต้องคำนึงถึงปัจจัยเหล่านี้เพิ่มเติมนอกเหนือจากที่กล่าวมาข้างต้น   ซึ่งจะดีแค่ไหนถ้ามีเครื่องปรับอากาศสักตัวที่ตอบโจทย์ทั้งด้านความเย็น ดีไซน์ คุณภาพ และราคา ที่สำคัญต้องประหยัดไฟฟ้า แน่นอนว่าผู้ผลิตเครื่องปรับอากาศ Mitsubishi Heavy Duty จึงได้ปล่อยผลิตภัณฑ์ที่หลายครอบครัวกำลังมองหานั่นคือให้ทั้งความคุ้มค่า ที่มาพร้อมประสิทธิภาพทรงพลัง ด้วยนวัตกรรมการผลิตที่ตอบโจทย์ได้ทุกไลฟ์สไตล์ โดยเฉพาะการดูแลสุขภาพของผู้ใช้ และความสะดวกสบายจากการใช้งาน วันนี้เราจึงมีข้อแนะนำในการเลือกขนาดเครื่องปรับอากาศให้เหมาะกับการใช้งานแต่ละห้อง ที่จะทำให้วันสบายๆ ของคุณหมดกังวลเรื่องความร้อน แถมยังประหยัดและดีต่อสุขภาพมาฝากกันค่ะ..   ถ้ารู้ขนาดห้องที่ชัดเจน ก็จะเลือกเครื่องปรับอากาศง่าย!   สิ่งแรกต้องรู้ในการเลือกซื้อเครื่องปรับอากาศ คือจะใช้แอร์กี่ บีทียู (BTU) โดยค่า BTU คือหน่วยบอกความสามารถในการถ่ายเทหรือดึงความร้อนออกจากห้อง และทำความเย็นภายในห้อง ซึ่งคิดหน่วยต่อชั่วโมง (BTU/h) เราจึงต้องเลือก BTU ให้เหมาะกับขนาดห้อง ในการซื้อแอร์มาติดตั้ง ซึ่งสูตรสำเร็จง่ายๆ ที่เราอยากแนะนำ คือโดยทั่วไปแล้ว เครื่องปรับอากาศแบบติดผนัง หรือเครื่องปรับอากาศขนาดเล็ก จะมีมาตรฐานเริ่มต้นที่ 9000-24,000 บีทียู ขนาด 9,000 BTU จะเหมาะกับห้องขนาด 9-12 ตารางเมตร หรือห้องนอนขนาดเล็ก 12,000 BTU เหมาะกับห้องขนาด 12-16 ตารางเมตร หรือห้องนอนมาตรฐานของคอนโดฯ ทั่วไป ถ้าเป็นขนาด 18,000 BTU จะเหมาะกับห้องขนาด 16-24 ตารางเมตร ซึ่งสามารถเป็นเครื่องปรับอากาศตัวเดียวของห้องสตูดิโอในคอนโดได้ และ 24,000 BTU เหมาะกับห้องขนาด 24-32 ตารางเมตร ใช้กับขนาดของห้องโถงในบ้าน หรือสตูดิโอขนาดใหญ่นั่นเองค่ะ   ถ้าเน้นประหยัดไฟ ต้องเลือกเครื่องปรับอากาศแบบประหยัดพลังงาน   การเลือกซื้อเครื่องปรับอากาศที่มีระบบ Inverter จะช่วยประหยัดไฟได้จริงนะคะ เพราะระบบนี้จะเน้นสร้างความเย็นคงที่ อุณหภูมิจะไม่สวิงไปมา จึงมีความเงียบในการใช้งาน เนื่องจากคอมเพรสเซอร์ในระบบนี้ทำงานต่อเนื่องแบบลดรอบ ซึ่งต่างจากคอมเพรสเซอร์ธรรมดาที่ทำความเย็นถึงจุดหนึ่งแล้วตัด แล้วก็เริ่มทำความเย็นใหม่เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น เครื่องปรับอากาศที่มีระบบ Inverter อาจจะมีราคาสูงสักหน่อย แต่ลงทุนระยาวถือว่าคุ้ม น่าสนใจไม่น้อย แต่เครื่องปรับอากาศ ระบบ inverter ในท้องตลาดนั้นมีมากมายหลายรุ่นหลายยี่ห้อเลยะคะ แถมยังมีราคาที่สูงกว่าระบบธรรมดาอีกด้วย ดังนั้นก่อนตัดสินใจซื้อควรเลือกเครื่องปรับอากาศที่ได้รับฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีที่ง่ายที่สุด ที่จะช่วยประหยัดพลังงานและค่าใช้จ่ายได้ ที่สำคัญควรคำนึงถึงประสิทธิภาพการทำงาน และชิ้นส่วนประกอบภายในของเครื่องปรับอากาศแต่ละเครื่องที่เรียกว่า ระบบ inverter แท้ทั้งระบบ (100% Real Inverter) เพื่อประสิทธิภาพในการประหยัดไฟที่มากกว่า คุ้มค่ากว่าในระยะยาว   ถ้าเครื่องปรับอากาศมันเก่ากินไฟ ก็อย่าฝืนใช้ต่อเลย..   หลายๆ คนคงทราบกันดีอยู่แล้วว่าเครื่องปรับรุ่นเก่า หรือเครื่องที่ใช้งานมาอย่างหนักหน่วงยาวนานนั้นกินไฟมาก ดังนั้นแนะนำให้ตัดใจเลือกซื้อใหม่ดีกว่าค่ะ เพราะเครื่องปรับอากาศรุ่นใหม่นั้นมีความสามารถในการทำความเย็นได้ดี ในขณะที่กินไฟน้อย ทั้งยังมีระบบทำความเย็นต่างๆ ที่เราสามารถเลือก หรือปรับใช้ให้เหมาะกับพื้นที่ พร้อมสู้หน้าร้อนได้สบาย แถมยังมีคุณสมบัติพิเศษรวมอยู่ในตัวด้วยเพื่อให้เกิดความคุ้มค่าแก่ผู้ใช้มากที่สุด เช่น SENSOR ที่จะคอยตรวจจับความเคลื่อนไหวของเราและเลือกโหมดการทำงาน, อุณหภูมิ หรือระดับพัดลมโดยอัตโนมัติ ให้เหมาะสมกับจำนวนคนและจำนวนคนและการทำกิจกรรมต่างๆ ภายในห้อง, โหมดประหยัดพลังงาน หลีกเลี่ยงการทำให้อากาศภายในห้องเย็นจนเกินไป ด้วยการเพิ่มอุณหภูมิและลดระดับพัดลมให้ต่ำลง เพื่อให้เกิดการประหยัดพลังงานมากที่สุด, ระบบเร่งทำความเย็น ที่จะเร่งการทำงานเมื่อเปิดเครื่องให้อุณหภูมิห้องลดลงอย่างรวดเร็ว และลมแรงทำให้เรารู้สึกเย็นสบายขึ้นเมื่อเข้าในห้อง, ฟังก์ชั่นที่ปิดการใช้งานเครื่องปรับอากาศโดยอัตโนมัติหากไม่มีคนอยู่ในห้องเป็นเวลานาน หรือโหมดอัจฉริยะต่างๆ ที่ปรับเปลี่ยนการทำงานตามพฤติกรรมการใช้งานของผู้ใช้งานแต่ละคน ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานี้มีอยู่ในเครื่องปรับอากาศ Mitsubishi Heavy Duty รุ่นใหม่ทุกข้อเลยนะคะ   Mitsubishi Heavy Duty 5 ทศวรรษในประเทศไทย 5 ปีรับประกันทุกชิ้น และเย็นเร็วทันใจ   Mitsubishi Heavy Duty คือเครื่องปรับอากาศแบรนด์ดังจากประเทศญี่ปุ่น ที่มีจุดแข็งในการผลิตเครื่องจักรกล เครื่องยนต์กลไก เครื่องใช้ไฟฟ้า ทั้งในครัวเรือนและภาคอุตสาหกรรม ทำให้เครื่องปรับอากาศของแบรนด์นี้ ขึ้นชื่อด้านประสิทธิภาพ มาตรฐานการผลิต ความทนทาน ตลอดจนมีตัวแทนจำหน่าย และบริการหลังการขายที่ครองใจและเคียงคู่คนไทยมากว่า 5 ทศวรรษ ด้วยการสร้างสรรค์และพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือว่าเป็นสุดยอดเทคโนโลยีวิศวกรรมระดับโลกที่มีอยู่ในเครื่องปรับอากาศ อีกทั้งยังคงจุดเด่น “ประหยัดทนทานทุกงานหนัก” ไม่ว่าจะเป็นขนาด หรือฟังก์ชั่นการใช้งานแบบใด เครื่องปรับอากาศแบรนด์นี้ทุกรุ่น ล้วนมีประสิทธิภาพ ประหยัด ทนทานสมชื่อ Heavy Duty ที่เป็นจุดขายอย่างยาวนาน     ความคุ้มค่าของเครื่องปรับอากาศ Mitsubishi Heavy Duty ไม่ได้หมดเพียงเท่านี้ ยังมีระบบ Jet Flow ที่ทำให้เครื่องปรับอากาศ ลมแรงเย็นเร็วทันใจ แถมยังช่วยประหยัดไฟได้มากกว่า ด้วย Inverter แท้ทั้งระบบ  และยังคงใส่ใจสิ่งแวดล้อม โดยงดใช้สารทำความเย็นที่เป็นอันตรายต่อชั้นบรรยากาศโอโซน ตามนโยบายของบริษัท “Move the world forward” มุ่งสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่ออนาคต ทั้งสังคม อุตสาหกรรมและชีวิตประจำวัน ที่สดใสยิ่งขึ้น     Mitsubishi Heavy Duty ช่วยประหยัดและทนทานทุกงานหนัก   เมื่อเครื่องปรับอากาศ เป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้อุณหภูมิภายในบ้านเย็นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น Mitsubishi Heavy Duty จึงคิดค้นนวัตกรรมใหม่ที่มาช่วยให้อากาศเย็นขึ้น ดีต่อสุขภาพของผู้อยู่อาศัย และมาพร้อมดีไซน์อันโดดเด่น โดยล่าสุดปี 2561 นี้ได้เปิดตัวเครื่องปรับอากาศ inverter แท้ทั้งระบบ (100% Real Inverter) รุ่น SRK-ZSXS SERIES ซึ่งเป็นเครื่องปรับอากาศระดับลักชัวรี่ จุดเด่นอยู่ที่ทุกรุ่นทุกขนาดครอบคลุมทุกความต้องการการใช้งาน ตั้งแต่ 9,000, 12,000, 18,000 และ 24,000 BTU ที่เหนือกว่าด้วยดีไซน์สวยงาม เหมาะแก่การติดตั้งเข้ากับขนาดและสไตล์การแต่งห้อง แถมยังได้รับรางวัล A’ Design award 2017 มาพร้อมฟังก์ชั่นการใช้งานอันสะดวกสบายและทันสมัย เช่น Motion Sensor ที่คอยตรวจจับความเคลื่อนไหวของมนุษย์อยู่ภายในห้อง, ECO OPERATION ที่ทำงานร่วมกับ Motion Sensor โดยการปรับความเหมาะสมของอุณหภูมิและระดับพัดลมให้เหมาะสมกับจำนวนคนที่อยู่ในห้อง, AUTO OFF ฟังก์ชั่นที่ปิดการใช้งานเครื่องปรับอากาศโดยอัตโนมัติหากไม่มีคนอยู่ในห้องนานกว่า 1 ชั่วโมงขึ้นไป, PRESET OPERATION ให้ผู้ใช้สามารถเลือกโหมดการทำงานล่วงหน้าได้, LED BRIGHTNESS ADJUSTMENT ให้ผู้ใช้งานสามารถหรี่ไฟ LED หน้า Panel แอร์โดยเพื่อไม่ให้รบกวนการนอน เป็นต้น   เครื่องปรับอากาศ Mitsubishi Heavy Duty รุ่นล่าสุดปี 2561 SRK-ZSXS SERIES ที่มี inverter แท้ทั้งระบบ  (100% Real Inverter) Design : Italian Designได้รับรางวัล A’ Design award   Mitsubishi Heavy Duty รุ่น SRK-ZSXS SERIES ดีต่อสุขภาพมากกว่า   นอกจาก Mitsubishi Heavy Duty inverter รุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง SRK-ZSXS SERIES จะมาพร้อมฟังก์ชั่นการใช้งานอันสะดวกสบายและทันสมัยแล้ว ยังมีฟังก์ชั่นเอาใจคนรักสุขภาพ โดยการใช้ Filter ที่สามารถเลือกเปลี่ยนได้ ตามฟังก์ชั่นเพื่อสุขภาพต่างๆ เช่น Natural Enzyme Filter ที่มีส่วนประกอบของเอ็นไซม์ธรรมชาติ สามารถป้องกันและทำลายเชื้อโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ, Natural Solar Filter ช่วยกรองอากาศกำจัดกลิ่นเหม็นและกลิ่นไม่พึงประสงค์ต่างๆ ทำให้อากาศในห้องมีความสดชื่นมากยิ่งขึ้น, Anti-allergy & Activated carbon filter ช่วยกำจัดสารก่อภูมิแพ้ ดูดซับก๊าซอันตรายและฝุ่นละอองในอากาศ, Vitamin C Filter ช่วยทำให้อากาศที่ออกมามีวิตามิน C ทำให้ผิวหนังมีความชุ่มชื่น เครื่องปรับอากาศ Mitsubishi Heavy Duty รุ่น SRK-ZSXS SERIES ขนาด 9,000 BTU ที่ออกแบบให้มีหน้าตาเหมือนกันทุกขนาด Btu เหมาะกับห้องขนาด 9-12 ตารางเมตร ซึ่งเมื่อนำไปติดตั้งบริเวณห้องนั่งเล่นของคอนโดมิเนียมก็มีความลงตัว ทั้งขนาดของพื้นที่ และดีไซน์ที่เข้ากับทุกการตกแต่งห้องทุกๆ สไตล์   สุดท้ายนี้ คงไม่มีใครไม่อยากหายใจเอาอากาศดีๆ เข้าปอดหรอกใช่ไหมคะ ดังนั้นการเลือกเครื่องปรับอากาศสักเครื่องหนึ่งก็ถือว่าเป็นตัวช่วยทำให้บรรยากาศดีขึ้นได้เยอะเลยนะคะ โดยเฉพาะเครื่องปรับอากาศ Mitsubishi Heavy Duty รุ่นใหม่ SRK-ZSXS SERIES ที่มาพร้อมระบบ inverter แท้ทั้งระบบ เหนือกว่าแบรนด์คู่แข่งทั้งหมด อีกทั้งยังมีฟังก์ชั่นการทำงานแบบครบครันทันสมัย ที่สำคัญตัวแบรนด์ยังความน่าเชื่อถือและมาตรฐานการผลิตที่ดีเยี่ยม โดยทุกเครื่องที่ผลิตและจัดจำหน่ายในประเทศไทยนั้นได้ผ่านการตรวจรับรองคุณภาพตามมาตรฐานโลกเช่นเดียวกับประเทศญี่ปุ่นที่ QC กันทุกชิ้นส่วนตั้งแต่กระบวนการผลิตจนถึงการ Packaging สินค้าลงกล่อง ทำให้กล้ารับประกันทุกชิ้นส่วนเป็นระยะเวลา 5 ปี แถมดีไซน์ก็ยังสวยงามเข้ากับทุกสไตล์ห้อง ในขณะที่ขนาด BTU ก็มีให้เลือกมากมาย จึงมั่นใจในคุณภาพได้ว่า Mitsubishi Heavy Duty เป็นเครื่องปรับอากาศที่จะช่วยเติมเต็มช่วงเวลาแห่งความสุขของครอบครัวคุณเสมอ   และอีกหนึ่งโปรโมชั่นสุดคุ้มเพียงซื้อเครื่องปรับอากาศ Mitsubishi Heavy Duty รุ่น SRK10CRV และ SRK13CRV รับไปเลย ลำโพง JBL Go สุดคุ้ม 1 เครื่อง ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 มี.ค. 2561 เท่านั้น   ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม – 31 พฤษภาคม 2561 เมื่อซื้อเครื่องปรับอากาศซีรี่ย์ SRK-CVV ทุกรุ่น รับไปเลยเสื้อยืดสุดเท่ห์จาก MITSUBISHI HEAVY DUTY   หน้าร้อนนี้ไม่ว่าจะซื้อรุ่นไหน รับรองได้เลยว่าคุ้ม!!!   หมายเหตุ : เฉพาะสินค้ารุ่นที่ร่วมรายการ และห้างสรรพสินค้าที่ร่วมรายการเท่านั้น โปรดสอบถามข้อมูล ณ จุดขาย ดูรายละเอียดสินค้าเพิ่มเติมได้ที่ www.mitsuheavythai.com     #หนีร้อนมาพึ่งโอ้ #HeavyDutyชื่อนี้ไม่ได้มีไว้เล่นๆ #MitsubishiHeavyDuty #เย็นเร็วทนทานประหยัดไฟ
เคล็ดลับเลือกวัสดุออกแบบบ้านให้เย็นสบาย ไม่ซ้ำใคร สไตล์ “ยิปซัม ตราช้าง”

เคล็ดลับเลือกวัสดุออกแบบบ้านให้เย็นสบาย ไม่ซ้ำใคร สไตล์ “ยิปซัม ตราช้าง”

  ถึงเวลาที่สภาพอากาศเดินทางเข้าสู่หน้าร้อนทีไร ก็เป็นต้องเหนื่อยหน่าย หงุดหงิด ไม่สบอารมณ์ทุกครั้ง เพราะระดับความร้อนในบ้านเราเพิ่มขึ้นทุกปีๆ จะออกไปข้างนอกก็เจอแดดเผา จะอยู่ในบ้านก็อบอ้าวเหลือทน เนื่องจากความร้อนจากภายนอกได้เข้ามาสะสมภายในบ้านผ่านหลายช่องทาง ส่วนที่มีผลต่ออุณภูมิภายในบ้านหลักๆ เลยได้แก่หลังคาและผนัง หากต้องการอยู่ในบ้านโดยไม่ต้องพึ่งแอร์ หรือช่วยให้แอร์ทำงานน้อยที่สุดเพื่อเป็นการประหยัดไฟ ก็จำเป็นต้องเลือกผลิตภัณฑ์ที่ช่วยป้องกันความร้อนที่เหมาะสม “ยิปซัม ตราช้าง” หยิบยกเทคนิคเพื่อการเลือกผลิตภัณฑ์ช่วยลดความร้อนภายในบ้านมานำเสนอ     เทคนิคการเลือกวัสดุ หลังคาบ้าน: 70% ของความร้อนที่เข้าสู่ตัวบ้านมาจากหลังคา เพราะเป็นส่วนที่ต้องรับแสงแดดโดยตรง และส่งความร้อนผ่านลงมาที่ตัวบ้าน ควรเลือกฝ้าเพดานใต้หลังคาที่สามารถสะท้อนความร้อนได้ในตัว มีแผ่นสะท้อนความร้อน การเลือกรูปทรงหลังคายิ่งมีพื้นที่กักเก็บความร้อนด้านบนค่อนข้างมากจะช่วยลดอุณหภูมิของบ้านได้เพราะโดยธรรมชาติอากาศร้อนจะลอยตัวขึ้นสู่ด้านบน ฉนวนกันความร้อน: ด่านแรกในการป้องกันความร้อนจากหลังคาไม่ให้เข้าสู่บ้าน สามารถใช้ฉนวนกันความร้อนติดตั้งเข้าไปอีกชั้นเพื่อลดความร้อนภายในบ้านได้ดียิ่งขึ้น แผ่นฉนวนกันความร้อนสามารถติดตั้งร่วมกับหลังคา ฝ้าเพดาน หรือผนัง เพื่อป้องกันความร้อนเข้าสู่บ้านได้อีกทางหนึ่ง ฝ้าชายคา: ควรเลือกฝ้าที่มีรูหรือช่องระบายอากาศผ่านเข้าออกได้ เพื่อรับลมเย็นและระบายความร้อนที่สะสมใต้โถง หลังคา พื้นบ้าน: ควรเลือกใช้กระเบื้องหรือหินอ่อนปูชั้นล่าง เพราะกักเก็บความเย็นจากพื้นดินได้เป็นอย่างดี ผนังภายใน: เป็นอีกหนึ่งส่วนของบ้านที่ถูกส่งผ่านความร้อนมาจากแสงแดดตลอดทั้งวัน ทำให้เกิดการสะสมความร้อนสูง ควรเลือกใช้วัสดุที่มีค่าการสะสมความร้อนต่ำ เช่น อิฐมวลเบา หรือเลือกใช้แผ่นยิปซัมที่มีความหนาอย่างน้อย 12 มม. และเพิ่มฉนวนกันความร้อนเพิ่มเติมเพื่อลดความร้อน ส่วนผนังภายนอกควรเลือกใช้สีขาว สีครีม สีพาสเทล ที่ช่วยสะท้อนความร้อน       ปัจจุบัน แผ่นยิปซัมมีคุณสมบัติตอบสนองการใช้งานได้หลากหลายทั้งผนังและฝ้าเพดาน นอกจากการติดตั้งที่ไม่ซับซ้อน แผ่นยิปซัมบางประเภทยังผลิตให้มีคุณสมบัติโดดเด่นเฉพาะด้าน  ฮีทบล็อค ตราช้างพลัส เทคโนโลยีของ "ชีตร็อคแบรนด์" สิทธิบัตรจาก ยูเอสจี (USG) ผู้ผลิตชั้นนำจากประเทศสหรัฐอเมริกา เพิ่มคุณสมบัติป้องกันการส่งผ่านความร้อนโดยการบุแผ่นสะท้อนรังสีความร้อนด้านหลังแผ่น สามารถสะท้อนรังสีความร้อนได้ถึง 93.7% พร้อมคุณสมบัติน้ำหนักเบา แข็งแกร่ง ไม่แอ่นตัว เนื้อแผ่นสม่ำเสมอ ผ่านการรับรองตามมาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก) และการทดสอบการสะท้อนรังสีความร้อนตามมาตรฐาน JIS R 3106 เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและสามารถนำกลับมารีไซเคิลได้อีกด้วย   สภาพอากาศและอุณหภูมิในประเทศเขตร้อนอย่างเรามีแต่จะสูงขึ้นทุกวัน การเลือกใช้วัสดุเพื่อออกแบบและตกแต่งบ้านเพื่อการอยู่อาศัยเพื่อช่วยลดอุณภูมิจึงเป็นเรื่องที่ควรให้ความสำคัญ เพราะนอกจากจะส่งผลเรื่องอารมณ์และสุขภาพจิตของผู้อยู่อาศัย ยังช่วยในเรื่องค่าไฟฟ้าอีกด้วย ผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วน ยิปซัม ตราช้าง โทร. 08-9988-5005 หรือ http://www.siamgypsum.comหรือfacebook fanpage:@GypsumTraChangTH  
แต่งบ้านสวยดูแพง ในงบหลักร้อย จากอิเกีย บางใหญ่

แต่งบ้านสวยดูแพง ในงบหลักร้อย จากอิเกีย บางใหญ่

อย่างที่หลายๆ คนทราบกันดีอยู่แล้วว่า "อิเกีย บางใหญ่" ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เรียกว่าสร้างความตื่นเต้นให้ย่านบางใหญ่กลับมาคึกคักยิ่งขึ้น เนื่องจากเป็นสโตร์อิเกียที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยเนื้อที่รวมถึง 50,278 ตารางเมตร มาพร้อมสินค้าให้เลือกสรรกว่า 8,000 รายการ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าสำหรับแต่งบ้าน อาทิ ห้องนอน, ห้องนั่งเล่น, ห้องครัว และห้องน้ำ จุดเด่นของเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้านภายใต้แบรนด์ อิเกีย นั้นอยู่ในช่วงราคาย่อมเยา แต่มาพร้อมดีไซน์ที่ดูดีทันสมัยและฟังก์ชั่นที่โดนใจใช้งานได้ดี วันนี้ทีมงาน “Review Your Living” เลยขอเอาใจคนรักบ้าน ที่มีความสุขกับการแต่งบ้านโดยคัดสรรเฟอร์นิเจอร์และสินค้าไอเท็มเด็ดๆ ราคาโดนใจในราคาหลักร้อยจาก อิเกีย บางใหญ่ มาให้แล้ว บอกเลยว่านอกจากจะใช้งานได้ดี ยังตอบโจทย์ความต้องการให้กับผู้ที่กำลังมองหาตัวช่วยที่ทำให้บ้านหลังสวย หรือคอนโดมิเนียมสุดที่รักได้ปรับเปลี่ยนตามพื้นที่ที่มีอยู่แบบจำกัด แถมยังประหยัดงบในกระเป๋าสตางค์ด้วย   1. จัดห้องน้ำให้งาม และใช้ง่าย     เพราะเราต่างเริ่มต้นวันใหม่ทุกวันที่ “ห้องน้ำ” ไม่ว่าจะมีขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ ก็ถือว่ามีความสำคัญไม่แพ้ห้องอื่นๆ ของบ้าน เพราะเป็นพื้นที่ที่ทำให้เรารู้สึกดีเสมอ ช่วยสร้างความสุขให้ผู้ใช้ได้แม้ในระยะเวลาไม่นานนักก็ตาม เมื่อห้องน้ำมีความสำคัญมากขนาดนี้ เราจึงอยากแบ่งปันไอเท็มดีๆ ราคาหลักร้อย ที่จะช่วยให้คุณใช้ประโยชน์ได้คุ้มค่ายิ่งขึ้น..   1.1 VESKEN เวสเก้น ชั้นวางของ ราคา 399 บาท  ชั้นวางของ VESKEN เวสเก้น ที่ใครๆ ก็สามารถประกอบได้ง่าย ไม่ต้องใช้เครื่องมือ เพียงต่อให้ลงล็อกก็พร้อมใช้งาน ชั้นผลิตจากพลาสติกรีไซเคิล จึงใช้เก็บของกระจุกกระจิกในห้องน้ำได้สบายๆ ไม่ต้องห่วงเรื่องขึ้นเชื้อรา 1.2. BRICKAN บริคกัน ชั้นวางของ ราคา 790 บาท ชั้นวางของ BRICKAN บริคกัน ที่ใช้ในห้องน้ำขนาดเล็กได้อย่างลงตัว และช่วยให้คุณหาของที่ต้องใช้ได้รวดเร็วทันใจ มี 2 ฟังก์ชันการใช้งาน ใช้ชั้นเก็บผ้าเช็ดตัวที่ยังไม่ได้ใช้และใช้ตะขอแขวนผ้าเช็ดตัวผืนที่ใช้งานอยู่ 1.3.  ฮูร์เน็น ราวม่านห้องน้ำ ราคา 399 บาท ราวม่านห้องน้ำฮูร์เน็น ที่สามารถติดตั้งง่ายโดยไม่ต้องเจาะรูหรือขันสกรู มีปลอกพลาสติกหุ้มรอยต่อราวม่าน ช่วยให้เลื่อนผ้าม่านได้ไม่สะดุดเพราะราวม่านมีระบบสปริง จึงยึดติดกับผนังได้มั่นคง ทั้งนี้ที่ครอบปลายราวม่านทำจากยาง จึงไม่ก่อให้เกิดร่องรอยขีดขวนบนผนังหรือกระเบื้อง ทนทานและดูแลทำความสะอาดง่าย เพราะทำจากสแตนเลส และสามารถยืดออกได้ตั้งแต่ 70 ถึง 120 ซม. 1.4. บาลุงเง่น ราวตากผ้า ราคา 590 บาท ราวตากผ้าซีรีส์ BALUNGEN/บาลุงเง่น ได้แรงบันดาลใจจากห้องน้ำในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 ต้นศตวรรษที่ 19 สกรูที่ซ่อนอย่างแนบเนียน และผิวชุบโครเมียม จึงทนทาน ไม่ผุกร่อน ช่วยให้ห้องน้ำดูสวยเนี้ยบกลมกลืนกันทั้งห้อง 1.5. คนอดด์ ถังขยะมีฝาปิด ราคา 299 บาท ถังขยะมีฝาปิด คนอดด์ ฝามีตะขอใช้เกี่ยวขอบถังเวลาเปิด ทำให้ไม่ต้องหาที่วางฝา สามารถใช้ได้ทุกที่ในบ้าน แม้แต่ในที่เปียกชื้น อย่างในห้องน้ำ   2. แต่งห้องนอนให้ชวนฝัน     “ห้องนอน” ถือเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่มีความสำคัญไม่แพ้มุมอื่นๆ ภายในบ้าน เนื่องจากเป็นแหล่งพักผ่อนและเป็นห้องที่สมาชิกในบ้านใช้เวลากับมันมากที่สุดในแต่ละวัน ทั้งนี้ตามศาสตร์ของเรื่องฮวงจุ้ย การตกแต่งห้องนอนให้เป็นระเบียบและเรียบร้อยอยู่เสมอจะส่งผลถึงดวงชะตาในชีวิต ดังนั้นไม่ควรพลาดไอเท็มเด็ด ราคาหลักร้อย ที่จะทำให้ห้องนอนของคุณน่าทิ้งกายพักผ่อนชวนฝันมากกว่าที่เคย   2.1 เซียลเย่ โต๊ะข้างเตียง สีขาว ราคา 999 บาท โต๊ะข้างเตียงดีไซน์เรียบง่าย มาพร้อมฟังก์ชั่นการใช้งานสุดเจ๋ง เพียงร้อยสายไฟปลั๊กพ่วงสำหรับเสียบที่ชาร์จออกทางด้านหลังลิ้นชัก เท่านี้คุณก็มีที่ชาร์จอยู่ใกล้มือ สะดวกสบาย แถมยังเก็บสายไฟได้เรียบร้อยมิดชิดในราคาสบายกระเป๋า 2.2 ทูฟเบร็กก้า ปลอกผ้านวม และปลอกหมอน2ใบ สีดำ/ขาว ราคา 990 บาท เติมเต็มความสุขในการนอนด้วยปลอกผ้านวมเนื้อนุ่ม ทอด้วยเส้นใยฝ้ายที่ทนทาน ระบายอากาศ และซึมซับความชื้นได้ดี ให้สัมผัสนุ่มสบายผิว ปลอกผ้านวมมีลายทางที่วาดด้วยมือที่ได้รับความนิยมในยุค 70 หากลองสังเกตดีๆ จะเห็นว่าลายเส้นไม่ตรงนัก เพราะดีไซเนอร์วาดลวดลายขึ้นเองกับมือ และปลอกผ้านวมลายหน้าหลังต่างกัน ใช้ได้ทั้งสองด้าน สลับได้ตามชอบ อีกทั้งยังติดกระดุมแป๊กซ่อน ช่วยให้ผ้านวมเรียบ ไม่เป็นกระจุกอีกด้วย 2.3 EIDSÅ กระจกเงา ราคา 699 บาท ให้คุณเตรียมพร้อมก่อนออกจากบ้านด้วยกระจกเงารุ่น EIDSÅ ขนาด 48 x 120 ซม. ดีไซน์สวยเหนือกาลเวลา จะแขวนในห้องนั่งเล่นหรือห้องน้ำก็ได้ และยังเลือกติดแนวตั้งหรือแนวนอนได้ตามความชอบและขนาดพื้นที่ 2.4 โลเต้ ตู้ 3 ลิ้นชัก สีขาว ราคา 999 บาท ออกแบบตู้เสื้อผ้าได้ตามความต้องการจัดเก็บอย่างแท้จริง เพียงเลือกใช้ตู้ลิ้นชักน้ำหนักเบาและมีมือจับอยู่ข้างตู้ จึงเคลื่อนย้ายได้สะดวกสบาย และจัดเก็บเสื้อผ้าหรือข้าวของได้อย่างเป็นระเบียบ 2.5 ÄNGLAND (แองแลนด์) โคมไฟตั้งพื้น ราคา 790 บาท สร้างบรรยากาศอบอุ่น แสนสบาย ด้วยโคมไฟตั้งพื้นและฐานเหล็กเป็นการผสมผสานแบบคลาสสิกที่ลงตัว ช่วยเพิ่มกลิ่นอายของความดั้งเดิมในห้องของคุณ ที่ช่วยกระจายแสงไฟให้ดูนวลตา โคมไฟ ÄNGLAND (แองแลนด์) จึงตอบโจทย์ทุกความต้องการของโคมไฟด้วยลุคเดียวที่ลงตัว   3. แต่งครัวให้สวยดั่งใจนึก   “ห้องครัว” หนึ่งในหัวใจสำคัญอีกห้องหนึ่งของบ้านที่ขาดไม่ได้ เพราะนอกจากจะเป็นบริเวณประกอบอาหาร ยังกลายเป็นมุมสำหรับพูดคุยเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตประจำวันของคนในครอบครัวได้อย่างมีอรรถรส ดังนั้นเราควรตกแต่งห้องครัวให้สวยงามดั่งใจจากไอเท็มสำคัญราคาหลักร้อย ดังต่อไปนี้..   3.1 วาเรียร่า ถาดเก็บช้อนส้อม ราคา 990 บาท ครัวที่สมบูรณ์แบบคือครัวที่แก้ปัญหาความไม่ลงตัวในชีวิตประจำวันได้ อาทิ การเลือกใช้ถาดเก็บช้อนส้อมวาเทียร่า เพื่อจัดระเบียบอุปกรณ์ครัว ซึ่งผลิตจากไม้จริง เป็นวัสดุธรรมชาติที่ทนทานการใช้งาน ขนาด 52 x 50 ซม. คุ้มค่าในราคาไม่ถึง 1,000 บาท 3.2 เวียดดิงเง บานตู้ สีขาว ราคา 1,000 บาท ตู้ครัวที่เหมาะกับการใช้งานจะช่วยให้คุณประหยัดเวลาและพลังงานทุกครั้งที่คุณทำอาหารหรือจัดการงานครัว อิเกียมีตู้ครัวหลากหลายแบบและราคาให้เลือกสรร แต่ที่น่าสนใจทั้งในแง่ของคุณภาพและราคาก็คือ บานตู้ รุ่น เวียดดิงเง สีขาวที่ดูสบายตา สะท้อนสไตล์โมเดิร์นที่ดูสบายตาในราคาน่าคบหา 3.3 วาเรียร่า ที่วางจาน ราคา 359 บาท จานชามที่วางตั้งอยู่ธรรมดาคงดูไม่สวยงามเท่าไหร่ แนะนำให้เลือกใช้ วาเรียร่า ที่วางจาน ขนาด 21 - 31 ซม. ซึ่งสามารถปรับความกว้างได้ตามขนาดของจานชาม วางเก็บในลิ้นชักสูง บนชั้นวาง หรือบนโต๊ะได้ตามใจ และเป็นระเบียบเรียบร้อยอีกด้วย 3.4. RIMFORSA (ริมฟอร์ซา) ที่วางแท็บเล็ต ราคา 490 บาท ผู้ช่วยของครัวยุคใหม่คงหนีไม่พ้น RIMFORSA (ริมฟอร์ซา) ที่ตั้งแท็บเล็ตให้คุณเห็นการคลิปการทำอาหารชัดๆ และไม่เกะกะเลอะเทอะ ขณะคุณยุ่งอยู่กับการปรุงอาหารสูตรใหม่ 3.5 ฟินทอร์ป ที่คว่ำจาน สีดำกัลวาไนซ์ ราคา 429 บาท ถ้าตู้ครัวและลิ้นชักเก็บของมีพื้นที่ไม่พอเก็บเครื่องครัวและของใช้ต่างๆ ที่เก็บของแขวนผนังคือทางเลือกที่ลงตัว นอกจากจะเลือกออกแบบได้ตอบโจทย์การใช้งาน ด้วยราวแขวน ตะขอ ภาชนะใส่ของ และชั้นวางของแบบต่างๆ แล้ว ยังช่วยให้คุณเก็บเครื่องครัวได้อย่างเป็นระเบียบ อยู่ใกล้มือหยิบใช้ง่าย เช่นเดียวกับ ฟินทอร์ป ที่คว่ำจาน สำหรับแขวนติดผนังหรือตั้งโต๊ะ มีถาดรองน้ำใต้ที่คว่ำจาน ช่วยป้องกันพื้นเปียกเลอะเทอะ   4. แต่งแต้มห้องนั่งเล่นในฝัน     การมี "ห้องนั่งเล่น" ไว้พักผ่อนในวันหยุด ก็ทำให้เราหายเหนื่อยจากการทำงานทั้งสัปดาห์ได้เป็นอย่างดี วันนี้เราจึงรวบรวมไอเท็มน่าสนใจจากอิเกียบางใหญ่ ที่จะช่วยให้ห้องนั่งเล่น ต่างสไตล์ ที่ใช้เป็นพื้นที่พักผ่อน ดูทีวี และทำกิจกรรมร่วมกับครอบครัวมาฝาก   4.1 ลัค โต๊ะกลาง ราคา 790 บาท ห้องนั่งเล่นเป็นสถานที่ที่บอกเล่าความเป็นตัวตนคุณ จึงไม่ควรวางข้าวของให้รกรุงรัง แนะนำให้ใช้โต๊ะกลาง รุ่นลัค ที่มีชั้นวางของใต้โต๊ะ เก็บนิตยสารและของต่างๆ ได้เป็นระเบียบ ไม่รกบนโต๊ะ ก็ช่วยทำให้ห้องดูน่าอยู่ขึ้นมาง่ายๆ 4.2 อัลเซด้า สตูลเตี้ย ราคา 990 บาท มีโต๊ะกลางแล้ว ก็ต้องมีสตูลเล็กๆ อย่าง อัลเซด้า สตูลทรงเตี้ย ที่ทำจากใยกล้วย ให้ผิวสัมผัสธรรมชาติ แต่เมื่อนำไปวางไว้ในห้องนั่งเล่นก็ช่วยทำให้ห้องดูมีสไตล์มากขึ้น 4.3 โอสเตียด พรมทอเรียบ ราคา 990 บาท ไม่ว่าจะตกแต่งสบายแค่ไหน แต่การให้นั่งพักผ่อนในห้องที่คุณไม่รู้สึกเป็นตัวของตัวเองก็คงไม่น่าอภิรมย์เท่าไหร่นัก การใช้พรมเข้าไปตกแต่งก็ช่วยให้ห้องดูโดดเด่นขึ้นมาง่ายๆ ซึ่งเราขอแนะนำ โอสเตียด พรมทอเรียบ สีน้ำตาล ขนาด 80 x 140 ซม. พรมทอจากใยป่านศรนารายณ์ ซึ่งเป็นเส้นใยที่ได้จากต้นอะกาเว่ (Agave) ทำให้พรมมีความเหนียวทนทานเป็นพิเศษ 4.4 ยิลล์ฮอฟ ปลอกหมอนอิง ราคา 599 บาท เมื่อใดที่คุณเริ่มรู้สึกเบื่อห้องนั่งเล่นเดิมๆ แนะนำให้เปลี่ยนหมอนอิง และปลอกหมอนใหม่ ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายดาย รวดเร็ว และสบายกระเป๋าสตางค์ ในการเพิ่มความแปลกใหม่ให้ห้อง เช่นเดียวกับ ยิลล์ฮอฟ ปลอกหมอนอิงลวดลายป่าทรอปิคอล ขนาด 40 x 65 ซม. สีสันสดใสที่จะทำให้ห้องนั่งเล่นของคุณมีเสน่ห์มากขึ้น 4.5 SJÖPENNA (เคอเพนนา) โคมแขวนเพดาน ราคา 790 บาท เพราะแสงไฟจากโคมไฟแต่ละชิ้นสร้างความแตกต่างได้อย่างสิ้นเชิง ดังนั้นห้องนั่งเล่นที่ดีนอกจากมีแสงสว่างจากธรรมชาติสาดส่องเข้ามาเพียงพอแล้ว แสงประดิษฐ์จากโคมไฟก็มีความจำเป็นเช่นกัน ซึ่งเราขอแนะนำ SJÖPENNA (เคอเพนนา) โคมแขวนเพดาน ทรงรี ขนาด 35 ซม. ที่จะช่วยกระจายแสง ให้แสงสว่างทั่วบริเวณห้องนั่งเล่นของคุณได้อย่างทั่วถึงในราคาแสนประหยัด  
วิธีป้องกันงูเข้าบ้าน ง่ายๆ แต่ได้ผล

วิธีป้องกันงูเข้าบ้าน ง่ายๆ แต่ได้ผล

ในช่วงฤดูฝนที่มีฝนตกลงมาอาจทำให้เกิดน้ำท่วมตามพื้นที่ต่างๆ บรรดาสัตว์เลื้อยคลาน หรือสัตว์มีพิษอย่าง "งู" ที่มักอยู่ตามพื้นดินย่อมอพยพหนีน้ำขึ้นมาสู่พื้นที่ที่สูงกว่า ดังนั้น ถ้ามีงูเลื้อยเข้ามาในบ้าน จึงถือว่าเป็นอันตรายต่อเจ้าของบ้านมาก ยิ่งกรณีที่ขดตัวอยู่ตามกิ่งไม้หรือซุกซ่อนอยู่ตามมุมบ้านยิ่งเป็นสิ่งที่ไม่พึ่งประสงค์ เมื่อเราพบเจอควรอยู่ให้ห่างเข้าไว้ หรือไม่ก็แจ้งเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญมาจัดการจะดีกว่า แต่จะให้ดีก็ควรหาวิธีป้องกันตั้งแต่เนิ่นๆ วันนี้ทีมงาน Review Your Living จึงขอเสนอวิธีป้องกันงูที่สามารถทำกันง่ายๆ แถมยังช่วยเพิ่มความสวยงาม เป็นระเบียบเรียบร้อยให้กับบ้านด้วย วิธีป้องกันงูเข้าบ้าน ง่ายๆ แต่ได้ผล   1. กำจัดขยะแหล่งรวมหนู เหยื่อของงู! หนึ่งในวิธีแก้ไขปัญหาที่ดี คือการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ และสาเหตุหลักที่งูเข้ามาอยู่ในพื้นที่รอบบ้านและสวน ก็เพราะมาหาอาหารอย่างหนูและกบ ซึ่งสัตว์ชนิดนี้ก็ชอบอยู่อาศัยในพื้นที่สกปรกตามแหล่งขยะ ดังนั้น แนะนำให้กำจัดขยะและเศษอาหารโดยการคัดแยกขยะก่อนนำไปทิ้งให้เป็นที่เป็นทาง และควรปิดปากถุงขยะหรือถังขยะให้มิดชิด ก็จะลดปริมาณหนูลงได้ และช่วยส่งผลให้งูไม่เข้ามาอาศัยในบ้านของเราเช่นกัน หรือหากใครเลี้ยงสัตว์ตัวเล็กอย่าง แมว กระต่าย นก หรือลูกไก่ ก็ควรทำกรงให้มิดชิด หรือคลุมตาข่ายขนาดเล็กในตอนกลางคืน เพื่อป้องกันงูเลื้อยเข้ามาอยู่อาศัย และทำอันตรายกับสัตว์เลี้ยงในบ้าน   2. ดูแลสวนอยู่เสมอ หลายๆ คนคงทราบกันดีว่า งูเป็นสัตว์ที่ชอบใช้ใบไม้และเศษดินมาทำรัง ในอุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการอยู่อาศัยประมาณ 30 องศาเซลเซียส และมีความชื้นสูงถึง 95% ซึ่งงูสามารถออกล่าเหยื่อได้ทั้งตอนกลางวันที่มีแสงแดดไม่ร้อนจัด และตอนพลบค่ำ ดังนั้น แนะนำให้เจ้าของบ้านหมั่นตัดแต่งสวนให้แสงแดดสามารถส่องถึงพื้นได้ในช่วงกลางวัน และตัดแต่งหญ้ารวมถึงพุ่มไม้ให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ในขณะที่บริเวณบ่อน้ำที่มีปลาอาศัยชุกชุมก็ควรตัดแต่งต้นไม้ที่อยู่รอบๆ บ่อด้วย เพื่อไม่ให้เป็นที่ซ่อนตัวของงู ซึ่งการดูแลสวนสม่ำเสมอก็ถือว่าเป็นการตรวจตราดูแลว่ามีงูเข้ามาทำรังหรือมีคราบงูอยู่หรือไม่ เพื่อจะได้เตรียมการรับมือต่อไป   3. ใช้งานพื้นที่อย่างคุ้มค่า สำหรับข้อนี้คงต้องขออธิบายก่อนว่าโดยพื้นฐานนั้นสัตว์มีพิษอย่าง "งู" จะกลัวคนมากที่สุด เพราะสัมผัสในรูปแบบของเสียง และการสั่นสะเทือนมีอิทธิพลต่องูมาก จึงควรกำจัดมุมอับ เช่น โพรงใต้บ้าน แปลงต้นไม้ สวนกระถางที่ไม่เป็นระเบียบ หรือมุมที่ไม่ได้ใช้งานบ่อยๆ โดยอาจเพิ่มกิจกรรม และการใช้งานมุมเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการเลี้ยงสุนัขขนาดใหญ่ หรือห่านที่บริเวณนอกบ้าน ก็มีส่วนช่วยส่งเสียงดังรบกวน  ทำให้งูหวาดกลัวอยู่อาศัยไม่ได้   4. สร้างกับดัก มาถึงข้อสุดท้ายกันแล้ว วิธีป้องกันงูที่เราอยากแนะนำที่สุดนั่นก็คือ การสร้างกับดักให้งูเลื้อยผ่านได้ยาก เพราะวัสดุบางอย่างช่วยให้งูเลื้อยผ่านเข้ามาในสวนเราได้ลำบาก เช่น รั้วตาข่ายขนาดเล็ก หรือพื้นที่โรยด้วยหินกรวดที่มีความคม เช่นเดียวกับต้นไม้บางชนิดที่มีหนามแหลมคม แต่วิธีดังกล่าวแค่ช่วยให้งูเลือกที่จะไม่เข้าใกล้เท่านั้น แต่หากไม่มีทางเลือกอื่น งูก็สามารถเลื้อยเข้ามาได้หากมีแหล่งอาหารที่ล่อตาล่อใจ ปัจจุบันมีนวัตกรรมหลากหลายที่มีคุณสมบัติป้องกันงูได้ไม่ว่าจะเป็น แผ่นกันงูที่มีความลื่นสูงจนงูไม่สามารถเลื้อยผ่านได้ หรือสารเคมีต่างๆ ก็สามารถเลือกนำไปใช้ได้นะคะ "งู" เป็นสัตว์ที่ไม่ชอบอยู่ใกล้มนุษย์ ไม่ชอบเสียงดังและความวุ่นวาย ดังนั้นหากบ้านของเรามีคนอยู่อาศัยตลอดเวลาและมีการใช้งานอย่างทั่วถึงทั้งบ้าน สวนมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย หมั่นตัดแต่งทรงพุ่มอยู่เสมอ กำจัดแหล่งอาหารของงู ก็จะช่วยป้องกันงู และลดพื้นที่ที่งูจะอาศัยอยู่ได้เป็นอย่างดี
Freehold กับ Leasehold ต่างกันอย่างไร อย่างไหนดีกว่ากัน

Freehold กับ Leasehold ต่างกันอย่างไร อย่างไหนดีกว่ากัน

ระยะ 1-2 ปีหลังมานี้หากใครติดตามข่าวคราวแวดวงอสังหาริมทรัพย์ก็คงจะได้ยินคำว่า Freehold กับ Leasehold กันบ่อยมากขึ้นใช่ไหมคะ เรื่องนี้ดูจะเป็นเทรนด์ใหม่ที่ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะที่ดินทำเลทองในบ้านเรา แต่สำหรับต่างประเทศเรื่องนี้มีมานานมากแล้วค่ะ แล้วระหว่าง Freehold กับ Leasehold อย่างไหนจะมีดีกว่ากัน เราลองมาเปรียบเทียบกันดูค่ะ ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับความแตกต่างของ Freehold กับ Leasehold กันก่อนค่ะ Freehold คือ การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งหมายความว่าคนซื้อก็จะได้กรรมสิทธิ์ไปครอบครอง แต่ทั้งนี้ตามกฎหมายแล้วชาวต่างชาติจะสามารถซื้อห้องชุดในคอนโดมิเนียมลักษณะนี้ได้ 49% จากยูนิตทั้งหมดของโครงการ Leasehold คือ การเช่าซื้ออสังหาริมทรัพย์ เรียกง่ายๆ ว่าเช่าในระยะยาว ไม่ได้กรรมสิทธิ์แต่อย่างใด เมื่อครบกำหนดตามสัญญาก็ต้องคืนสิทธิ์ให้เจ้าของหรือต่อสัญญาอีก ซึ่งในบ้านเราก็ตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป และส่วนใหญ่จะเป็นทำเลทองอยู่ใจกลางเมือง   เหตุผลของการต้องมีการซื้อ-ขายแบบ Leasehold กันเกิดขึ้นก็เพราะราคาที่ดินซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าแพงขึ้นอยู่ตลอด ทำให้ราคาแบบเช่าระยะยาวจะมีราคาถูกกว่าซื้อ-ขายขาด ยิ่งทำเลใจกลางเมืองที่ทุกวันนี้ราคาก็ปาเข้าไปหลักล้านบาท/ตารางวา หากจะซื้อที่ดินราคาขนาดนั้นแล้วนำมาพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมก็ย่อมต้องมีราคา/ตารางเมตรสูงมากทีเดียว เฉลี่ยแล้วอย่างน้อยก็ไม่ต่ำกว่า 200,000 บาท/ตารางเมตร ซึ่งก็เป็นราคาที่ผู้บริโภคทั่วไปเอื้อมถึงได้ยาก ทุกวันนี้เราจึงเห็นโครงการที่ขายแบบ Leasehold จะเป็นโครงการในระดับ Super Luxury ขึ้นไป หรือไม่ก็เป็น Mix Use แบบโปรเจคยักษ์ใหญ่ ประกอบกับเจ้าของที่ดินเหล่านั้นเองก็เริ่มมองเห็นหนทางการสร้างรายได้ระยะยาวเพิ่มมากขึ้นแทนที่จะขายขาดแล้วจบไป เพราะระยะ 2-3 ปีหลังมานี้ราคาที่ดินพุ่งสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดดทะลุ 100% เหตุผลอีกประการหนึ่งคือส่วนใหญ่ที่ดินนั้นมีเจ้าของเป็นหน่วยงานภาครัฐ จึงทำให้ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องขายขาด เช่น สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์, กรมธนารักษ์, การรถไฟฯ เป็นต้น   แล้วโครงการแบบ Leasehold ขายใครล่ะ? ดูแบบนี้แล้วใครๆ ก็อยากซื้อที่ดินแบบ Freehold กันมากกว่าใช่ไหมคะ แล้วแบบนี้ใครจะซื้อคอนโดมิเนียมแบบ Leasehold ล่ะ ในเมื่อไหนๆ จะเสียเงินก้อนโตหรือต้องผ่อนแบบระยะยาวหลายปีแล้ว ก็ซื้อแบบ Freehold เป็นของตัวไปเลยไม่ดีกว่าหรือ คำตอบนี้แบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ค่ะ คือ   กลุ่มคนไทยที่มีกำลังทรัพย์มากพอ ซึ่งยอมจ่ายแพงกว่า แต่แลกกับการได้ทำเลที่อยู่อาศัยใจกลางเมืองที่หาได้ยากเต็มที พร้อมมีสิ่งอำนวยความสะดวกระดับพรีเมียมอยู่รอบตัว ซึ่งโครงการคอนโดมิเนียมแบบนี้ก็ตามมาด้วยบริการหลังการขายรวมไปถึงการดูแลรอบด้านที่ดีตลอดระยะเวลาในสัญญาตามไปด้วย   กลุ่มชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวจีน ฮ่องกง ไต้หวัน สิงคโปร์ ฯลฯ ไม่ว่าจะด้วยการทำธุรกิจ หรือซื้อไว้เป็นบ้านหลังที่ 2 เพราะเมื่อเทียบกับราคาคอมโดมิเนียมในประเทศของตัวเองแล้ว คอนโดมิเนียมในประเทศไทยนั้นก็ถือว่ามีราคาถูกกว่ามาก เช่น คอนโดมิเนียมในเมืองเซี่ยงไฮ้ส่วนใหญ่ก็เป็นแบบ Leasehold มีราคาเฉลี่ยประมาณ 500,000 บาท/ตารางเมตร ไปจนถึง 1,000,000 บาท/ตารางเมตร และตามกฏหมายแล้วชาวต่างชาติสามารถเข้ามาถือครองคอนโดมิเนียมลักษณะนี้ได้อย่างไม่จำกัด     อีกประเด็นสำคัญที่กำลังเป็นข้อถกเถียงกันใหญ่โตอยู่ในขณะนี้ถึงขั้นตั้งคำถามกันว่านี่จะเป็นการขายชาติหรือไม่ในการให้ต่างชาติมาถือครองที่ดินและการซื้อคอนโดแบบ Leasehold ในเขต EEC แต่ทั้งนี้ทางรัฐบาลก็ได้ออกมาอธิบายแล้วว่าชาวต่างชาติที่สามารถเข้ามาถือครองที่ดินในลักษณะนี้ได้มีการระบุว่าจะถือครองได้ก็ต่อเมื่อเป็นชื่อนิติบุคคลที่มาประกอบกิจการที่เป็นอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงภายใต้เงื่อนไขที่รัฐบาลกำหนด และแม้ว่าในบ้านเราจะยังไม่คุ้นชินกันมากนัก แต่ในต่างประเทศนั้นมีการเช่าซื้อระยะยาวแบบนี้มานานแล้ว จึงทำให้ชาวต่างชาติมีความเข้ากับคำว่า Leasehold อยู่แล้ว   สุดท้ายไม่ว่าจะเป็นโครงการแบบ Freehold หรือ Leasehold ก็มีทั้งข้อดี-ข้อเสียแตกต่างกันออกไป ใครชอบทำเลใจกลางเมืองมีสิ่งอำนวยความสะดวกอันสมบูรณ์แบบ ใช้ชีวิตแบบคนยุคใหม่ ในอนาคตก็คงต้องเลือกอยู่แบบ Leasehold เพราะเป็นเทรนด์ใหม่ที่มีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนใครที่ยังชอบแบบ Freehold ได้กรรมสิทธิ์เป็นของตัวเองก็ยังคงมีให้เลือกกันอีกมากมากหลายทำเลเลยค่ะ บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ วิเคราะห์ โปรเจ็กต์มิกซ์ยูส มีทั้งโอกาสและความเสี่ยง 4 เหตุผลสำคัญ ทำไมคอนโดฯ ไฮเอนด์ยังน่าลงทุน ในภาวะตลาดชะลอตัว-คุมเข้ม LTV ตลาดอสังหาฯ จะไปต่ออย่างไร หลังปลดล็อค LTV หนุนตลาดโตเพิ่มแค่ 0.8%  
Energetic Work Place เมื่อสถานที่สามารถเสริมพลังให้กับการทำงาน

Energetic Work Place เมื่อสถานที่สามารถเสริมพลังให้กับการทำงาน

งานออกแบบออฟฟิศทำงานแห่งใหม่ของ KWG ที่ถนนสาทรครั้งนี้ของทีมดีไซเนอร์ JARKEN อยู่ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Energetic”  คือการทำให้ออฟฟิศแห่งนี้สามารถทำให้บุคลากรในองค์กรมีพลังในการทำงานอย่างกระฉับกระเฉง กระปรี้กระเปร่าอยู่เสมอ ภายใต้บรรยากาศแห่งความทันสมัยและหรูหราสมกับการเป็นธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ระดับนานาชาติที่มีความมั่นคง ตอบโจทย์ของผู้บริหารที่อยากจะทำให้ออฟฟิศแห่งนี้เป็นสถานที่ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น โดยคอนเซ็ปต์ของ Energetic ว่าด้วยเรื่องพลังในการทำงานนี้ ดีไซเนอร์ได้ตีความหมายของงานออกแบบนี้เป็น 3 ส่วน คือ Performance : สถานที่ทำงานจะต้องเสริมสร้างศักพยภาพการทำงานให้กับคนทำงาน ให้ความรู้สึกเปี่ยมพลัง มีการขับเคลื่อนในการทำงานอยู่เสมอ โดยดีไซเนอร์จะใช้ “เส้นเฉียง” มาเป็นตัวสร้างความรู้สึกที่เคลื่อนไหวและมีชีวิตชีวา เพราะเส้นเฉียงจะทำให้รู้สึกถึงการก้าวไปข้างหน้า โดยเส้นเฉียงจะอยู่ทั้งในการจัดวางและตกแต่งในส่วนของวัสดุต่างๆ และใช้เป็นตัวเชื่อมต่องานออกแบบในส่วนต่างๆ ของพื้นที่ด้วย กระตุ้นพลังงานในการทำงานของพนักงานให้ตื่นตัวและมุ่งมั่น Exclusion : แต่เดิม ออฟฟิศเก่าของ KWG จะแบ่งพื้นที่การทำงานตามแผนกแยกออกจากกัน เมื่อย้ายมาที่ออฟฟิศแห่งใหม่นี้  ดีไซเนอร์อยากจะนำเสนอการพังทลายกำแพงนั้น(collaboration) ด้วยการเชื่อมต่อคนทำงานทุกคนให้อยู่ในพื้นที่เปิด( Open Work-Station) ทำให้ทุกคนมีมุมมองในการทำงานที่แตกต่างไปจากเดิม สามารถประสานการทำงานโดยไม่มีสิ่งกั้นขวางการติดต่อสื่อสารภายในองค์กร Focus : นอกเหนือไปจากเรื่องของพลัง(Energy) และการขับเคลื่อน( Movement) แล้ว ดีไซเนอร์ได้ออกแบบเพื่อให้คนทำงานมีสมาธิ( Focus) ในการทำงานด้วย ส่วนนี้คือการใช้เส้นเฉียงเข้ามาช่วย เพราะเส้นเฉียงที่ปรากฎในพื้นที่ต่างๆนั้น นอกจากจะให้ความรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวแล้ว ยังให้มิติของความมุ่งมั่นอีกด้วย แตกต่างจากเส้นที่คลื่นซึ่งอาจจะให้ความรู้สึกเคลื่อนไหวที่ใช้กันโดยทั่วไป แต่ไม่รู้สึกถึงพลังที่แน่วแน่เหมือนกับเส้นเฉียง Reception : เมื่อก้าวเข้ามาในออฟฟิศ สิ่งแรกที่จะเห็นคือ พื้นที่ reception ที่มีเคาน์เตอร์หินอ่อนสีทองตั้งอยู่โดดเด่นตัดกับฉากหินอ่อนสีดำด้านหลัง ให้ความรู้สึกมีพลังและมั่นคง พื้นผิวแกะเป็นลายไทยร่วมสมัย นำเสนอความเป็นเอกลักษณ์ให้กับสำนักงาน KWG สาขาประเทศไทย  โดยรายละเอียดของการแกะสลักหินเป็นงานที่ละเอียดอ่อนและทำค่อนข้างยาก เพื่อให้ได้ชิ้นงานที่มีความพิเศษเฉพาะตัวตามที่ดีไซเนอร์ต้องการจะสื่อให้เห็นถึงลักษณะเฉพาะขององค์กรแห่งนี้ เส้นเฉียง(Oblique) จะปรากฎอยู่ทั่วทั้งแปลนของงานตกแต่งออฟฟิศ KWG ไม่ใช่เส้นตัดตรงทื่อๆ ซึ่งจะทำให้เกิดความรู้สึกนิ่งอยู่กับที่  เส้นเฉียงถูกนำมาใช้เป็นจุดนำสายตาที่ทำให้คนทำงานในสถานที่แห่งนี้รู้สึกถึงพลังการขับเคลื่อนอย่างมีเป้าหมาย Mood&Tone : สีหลักที่นำมาใช้ในการออกแบบคือ ดำ ขาว ทอง และสีน้ำเงินซึ่งเป็นสีประจำองค์กรของ KWG ภายใต้สไตล์การออกแบบ Modern Luxury ด้วยวัสดุหินอ่อน กระจก และการจัดแสงที่ให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่ โอ่โถงแต่ก็ยังคงความเท่และทันสมัยอยู่ในที สะท้อนภาพลักษณ์ขององค์กรที่น่าเชื่อถือและอยู่ในระดับแถวหน้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
5 ต้นไม้ใหญ่ เสริมสิริมงคล ช่วยให้เย็นสบายที่ควรปลูกไว้ในบ้าน

5 ต้นไม้ใหญ่ เสริมสิริมงคล ช่วยให้เย็นสบายที่ควรปลูกไว้ในบ้าน

ใกล้เข้าสู่ฤดูร้อนคราใด ปัญหากวนใจคงหนีไม่พ้นกับความร้อนระอุของสภาพอากาศที่ทุกคนต่างเคยสัมผัสกันดี เนื่องจากประเทศไทยตั้งอยู่บนพื้นที่เขตร้อน อุณหภูมิจึงค่อนข้างสูงในเวลากลางวัน และจะค่อยๆ ทวีคูณความร้อนขึ้นในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม ของทุกปี ซึ่งแน่นอนค่ะว่า "หน้าร้อน" กับ "บ้านร้อน" เป็นของคู่กัน ยิ่งอากาศภายนอกสูงเท่าไหร่ แอร์คอนดิชั่นก็ยิ่งทำงานหนักจากการเปิดใช้เครื่องปรับอากาศตลอดทั้งวัน โดยปัญหาที่ตามมาก็คือค่าไฟที่สูงกว่าปกติ นับว่าส่งผลกระทบกับการอยู่อาศัยไม่ใช่น้อยเลยนะคะ ซึ่งวิธีลดความร้อนไม่ให้เข้าสู่ตัวบ้านนอกจากการติดตั้งฉนวนกันความร้อนใต้หลังคา, การทำระแนงไม้กรองแสง หรือจะเป็นการเลือกใช้วัสดุอย่างอิฐมวลเบาแทนการก่อผนังอิฐ และคอนกรีตที่สะสมความร้อนแล้ว ยังมีอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยป้องกันความร้อนเข้าสู่บ้านได้ง่ายๆ คือ ปลูกต้นไม้ใหญ่ เพื่อช่วยสร้างความร่มรื่นและให้ร่มเงาแก่อาคารที่พักอาศัย นอกจากนี้ยังเป็นไม้ประดับเพื่อโชว์ความสวยงามของลำต้น รูปทรงของเรือนยอด ทรงพุ่มใบ รูปทรงหรือสีสันของดอก และกลิ่นหอมก็ช่วยทำให้บรรยากาศในบริเวณนั้นน่าพักผ่อนมากขึ้นไปอีก นับว่าเป็นวิธีป้องกันความร้อนด้วยธรรมชาติก็ว่าได้ค่ะ   แต่ปัญหากวนใจของการปลูกต้นไม้ใหญ่ หลายคนคงกลัวว่ารากลึกของไม้ใหญ่จะมีผลกระทบต่อโครงสร้าง ซึ่งเราอาจแก้ปัญหานี้ได้โดยเลือกต้นไม้ที่มีพุ่มแผ่กว้าง เลือกต้นไม้ที่รากไม่ลึกนักเพื่อป้องกันการทำลายโครงสร้างนั่นเองค่ะ ทั้งนี้ต้นไม้ใหญ่ก็มีให้เลือกหลากหลายพรรณนะคะ แต่จะมีต้นอะไรบ้างที่ช่วยบดบังแสงแดดทำให้บ้านเย็นสบาย ดูแลรักษาง่าย และเสริมสิริมงคล เรามีคำตอบมาให้แล้วค่ะ 1.มะม่วง ต้นไม้ใหญ่ให้ผลดี ต้นไม้ใหญ่ขนาดกลางที่แนะนำให้ปลูกติดบ้านไว้ ก็คือต้นมะม่วงค่ะ ซึ่งเป็นไม้มงคลที่มีมาตั้งแต่พุทธกาล เชื่อกันว่าหากปลูกมะม่วงเอาไว้ในบ้านจะทำให้คนในบ้านมีความร่ำรวยมากขึ้น และควรปลูกไว้ทางทิศใต้เพื่อความเป็นสิริมงคลหรือปลูกในหน้าฝนเนื่องจากจะเจริญเติบโตได้ดี นอกจากแผ่กิ่งก้านสาขาออกมาให้ความร่มเงากับตัวบ้านแล้ว ในช่วงฤดูร้อนยังออกผลให้เจ้าของบ้านสามารถเก็บรับประทานได้ด้วย สำหรับพันธุ์มะม่วงที่นิยมปลูกกันก็คือ เขียวเสวย, อกร่อง, โชคอนันต์, แรด, น้ำดอกไม้ และฟ้าลั่น หากใครอยากขยายพันธุ์ก็สามารถทำได้โดยการเพาะเมล็ด หรือการตอนกิ่งง่ายๆ นับว่าเป็นต้นไม้ที่ดูแลไม่ยากและมีประโยชน์อีกด้วยค่ะ   ข้อแนะนำ : ควรปลูกให้ห่างจากรั้วบ้านและตัวบ้าน เนื่องจากการเจริญเติบโตของต้นมะม่วงอาจทำให้เกิดรอยแตกร้าวได้ 2.ต้นหูกระจง หรือต้นไม้ใหญ่แผ่บารมี "หูกระจงควรปลูกให้ห่างจากตัวบ้าน" เชื่อว่าหลายคนคงคุ้นหูคุ้นตากับประโยคนี้ดี แต่เคยสงสัยไหมคะว่าทำไมต้องปลูกให้ห่างจากตัวบ้านด้วย เหตุผลก็เพราะต้นหูกระจงค่อนข้างเติบโตเร็ว เมื่อปลูกใกล้ตัวบ้านเวลาโตขึ้นเรื่อยๆ กิ่งก้าน และพุ่มจะขยายใหญ่จนอาจทำให้เกิดความเสียหายกับหลังคาบ้านได้ ดังนั้นจึงควรปลูกโดยเว้นระยะห่างสัก 8 เมตร พุ่มจึงจะแผ่กิ่งก้านออกมาสวยงาม ซึ่งส่วนใหญ่นิยมปลูกเป็นไม้ประดับเพื่อให้ความร่มเงาแก่อาคารที่พักอาศัย ซึ่งลำต้นมีความสูงประมาณ 15-20 เมตร ลักษณะเด่นคือมีพุ่มใบละเอียดแผ่เป็นชั้นสวยงาม ใบมีลักษณะเหมือนหูกวาง แต่ขนาดใบเล็กกว่า มักออกดอกช่วงกุมภาพันธ์ถึงเมษายน และมีความเชื่อว่าหากปลูกไว้ในบริเวณบ้านจะทำให้มีบารมีกว้างไกล สามารถใช้เป็นไม้ประธานในสวนได้   ข้อแนะนำ : ไม่ควรปลูกใกล้สระหรือบ่อน้ำ เพราะใบร่วงง่าย 3.อโศกอินเดีย ต้นไม้ใหญ่กันฝุ่นละออง ต้นอโศกอินเดียเป็นไม้ยืนต้นทรงสูงแบบผลัดใบ สูงเต็มที่ได้ถึง 25 เมตร  มีลักษณะเป็นพุ่มพีระมิดแคบๆ กิ่งโน้มลู่ลงทั้งต้น ใบเดี่ยวและปลายแหลม มีสีเขียวเป็นมันเงางาม ขอบใบเป็นคลื่น มักออกดอกในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน ทนแดดทนฝนได้ดี สามารถใช้เป็นไม้ประดับอำพรางสายตาจากเพื่อนบ้านได้ เนื่องจากส่วนใหญ่นิยมปลูกไว้ริมรั้วเพื่อสร้างความเป็นส่วนตัว โดยควรปลูกห่างจากริมรั้วอย่างน้อยประมาณ 30 เซนติเมตร นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติช่วยบดบังแสงแดด และป้องกันฝุ่นละอองได้ดี ทั้งยังมีความเชื่อว่าเป็นต้นไม้มงคลที่ใครปลูกไว้ในบริเวณบ้านแล้วจะหมดทุกข์หมดโศกนั่นเองค่ะ   ข้อแนะนำ : ในช่วงหน้าแล้งใบจะร่วงเยอะ ทำให้ต้องหมั่นเก็บกวาดและรดน้ำบ่อยๆ หากเจ้าของบ้านต้องการควบคุมความสูงของลำต้นก็ควรหมั่นตัดยอดเรื่อยๆ นะคะ 4.ต้นสารภี ต้นไม้ใหญ่ดูแลง่าย ต้นสารภี จัดว่าเป็นไม้ดอกยืนต้นขนาดกลาง มีลำต้นสูงประมาณ 10-15 เมตร เป็นไม้ไม่ผลัดใบ ลำต้นตรง มีเรือนยอดเป็นทรงพุ่มทึบ ใช้ปลูกเพื่อให้ความร่มเงาและบังลมได้ อีกทั้งยังมีดอกและพุ่มใบที่สวยงาม จึงใช้ปลูกเป็นไม้ประดับได้ด้วย ทั้งนี้มีความเชื่อว่าหากบ้านไหนปลูกต้นสารภีจะทำให้มีอายุยืนยาว ซึ่งสามารถปลูกในดินได้ทุกสภาพ ปลูกได้ดีทั้งในที่ร่มรำไรและกลางแจ้ง นอกจากนี้ยังออกดอกและผลให้สามารถนำใช้ประโยชน์ได้มากมายไม่ว่าจะเป็น ผลไม้สำหรับรับประทาน, สมุนไพรรักษาโรค และผลิตภัณฑ์แปรรูปต่างๆ ไม่เพียงเท่านี้เนื้อไม้สารภียังมีความแข็งแรง ทนทาน สามารถนำมาใช้สร้างเป็นที่อยู่อาศัย หรือทำเฟอร์นิเจอร์ได้อีกด้วยค่ะ ข้อแนะนำ : เพื่อความเป็นสิริมงคลคนไทยโบราณเชื่อว่า การปลูกไม้เอาคุณนั้นควรปลูกในวันเสาร์ และควรปลูกไว้ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อช่วยป้องกันสิ่งไม่ดี และผู้ปลูกควรเป็นสุภาพสตรีเท่านั้น เนื่องจากสารภีเป็นชื่อที่เหมาะสำหรับสตรี 5.ไทรย้อย ต้นไม้ใหญ่ดูดสารพิษ ต้นไทรย้อยก็เป็นอีกหนึ่งไม้ยืนต้นขนาดกลางไปถึงใหญ่ ที่มีความเชื่อมาตั้งแต่โบราณว่าเป็นที่อาศัยของเทพารักษ์ หากปลูกไว้ในบริเวณบ้านจะทำให้ร่มเย็นเป็นสุข ป้องกันอันตรายทั้งปวง และยังช่วยดูดสารพิษได้ดีด้วย ซึ่งลักษณะของลำต้นจะมีความสูงตรง เมื่อโตเต็มที่จะมีความสูงประมาณ 10-20 เมตร แตกก้านเป็นพุ่ม มีรากอากาศแตกย้อยห้อยลงมาตามกิ่งก้านและลำต้นเป็นจำนวนมาก ทำให้ดูสวยงามและสามารถบังแดดได้ดี จัดเป็นไม้ประดับที่นิยมปลูกไว้ทางทิศตะวันตก เพื่อความเป็นสิริมงคลกับบ้าน นอกจากนี้ยังทนแดด ทนฝนได้ดีอีกด้วยค่ะ   ข้อแนะนำ : หากอยากควบคุมการเจริญเติบโตของรากไม่ให้กระทบโครงสร้าง สามารถสร้างกระบะปลูกต้นไม้ได้นะคะ สำหรับไม้ที่ใหญ่เกินกว่าจะปลูกลงในกระถาง เพื่อให้ต้นไม้เติบโตได้เฉพาะตำแหน่งและพื้นที่ที่กำหนดไว้ สามารถทำได้โดยการก่อกระบะบนผิวดินและฝังไว้ใต้ดิน เพราะการเจริญเติบโตของทรงต้นจะสัมพันธ์กับการแตกทรงพุ่ม ทำให้เราสามารถบังคับทรงพุ่มให้มีขนาดที่ต้องการได้ค่ะ แนะนำต้นไม้กันไปแล้ว หากแฟนๆ ชาว Review Your Living คนไหนอยากตกแต่งสวนในบริเวณบ้านของตัวเองให้ร่มรื่นและเขียวขจี แต่ไม่รู้จะไปหาซื้อต้นไม้ที่ไหนดี วันนี้เรามีแหล่งขายตลาดต้นไม้และอุปกรณ์จัดสวนในราคาย่อมเยามาฝากด้วยค่ะ 1. ตลาดนัดสวนจตุจักร  เรียกได้ว่าเป็นตลาดต้นไม้อันดับต้นๆ ของประเทศกันเลยค่ะ สำหรับตลาดนัดจตุจักร ซึ่งการเดินทางมาตลาดต้นไม้ในครั้งนี้ก็ง่ายและสะดวกมากๆ เพราะสามารถนั่งรถไฟฟ้า BTS มาลงสถานีหมอชิต หรือนั่งรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT มาลงที่สถานีกำแพงเพชร เดินเท้าเพียงไม่กี่ก้าวก็ถึงแล้วค่ะ ภายในตลาดมีต้นไม้ให้เลือกซื้อหลากหลายสายพรรณเลยนะคะ ตั้งแต่ต้นไม้ยอดฮิต, ต้นไม้ใหญ่, ไม้มงคล, แคคตัส หรือแม้กระทั่งต้นไม้พันธุ์หายาก ก็มีหมดเลย โดยทุกคนสามารถแวะเวียนไปได้ในช่วงเวลาขายส่ง วันพุธ-วันพฤหัสบดี ตั้งแต่เวลา 08.00-17.00 น. ของทุกสัปดาห์ หากใครทำงานไม่มีเวลาช่วงกลางวัน แนะนำให้ไปเดินซื้อในวันอังคารนะคะ เพราะจะมีบรรดาพ่อค้าแม่ค้ามาเริ่มขายตั้งแต่เวลา 15.00 ไปจนถึง 23.00 น. เลยค่ะ 2. ตลาดต้นไม้ บางใหญ่-บางบัวทอง สำหรับใครที่มีรถส่วนตัว แนะนำให้ขับรถลัดเลาะไปตามเส้นทางถนนกาญจนาภิเษก บางใหญ่-บางบัวทอง เรื่อยๆ จะพบกับร้านขายต้นไม้เรียงรายอยู่ริมฝั่งถนนตลอดเส้นทาง ซึ่งก็มีต้นไม้สารพัดชนิดให้เลือกซื้อกลับไปปลูกในสวนที่บ้านไม่ต่างกับตลาดนัดจตุจักรเลยค่ะ นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์ทำสวนขายอีกด้วย โดยตลาดย่านนี้จะเปิดขายทุกวันนะคะ แต่แอบกระซิบว่าวันเสาร์-อาทิตย์ จะมีร้านต้นไม้มาเปิดขายกันเยอะเป็นพิเศษ 3.ตลาดต้นไม้ คลอง 15 มีทั้งต้นไม้ใหญ่-ไม้ประดับ อีกหนึ่งตลาดต้นไม้แถบชานเมืองที่เรียกว่าขายต้นไม้แบบครบวงจรเลยทีเดียวค่ะ เพราะนอกจากจะเป็นตลาดต้นไม้แล้ว ยังขึ้นชื่อว่าเป็นอันซีนไทยแลนด์อีกด้วย เพราะมีทั้งการจำหน่ายพันธุ์ไม้ดอก-ไม้ประดับ, บอนไซ, ไม้ถัก, ไม้ล้อม, ไม้หายากนานาชนิด และอุปกรณ์ทำสวน ซึ่งตลาดแห่งนี้ตั้งอยู่บริเวณ รังสิต-องครักษ์ คลอง 15 หากขับรถลัดเลาะมาตามเลียบคลองรังสิต จะเจอป้ายบอกทางอยู่ตลอดเลยค่ะ ไม่ต้องกลัวหลงนะคะ แถมตลาดต้นไม้ที่นี่ก็เปิดให้บริการทุกวันด้วยค่ะ เมื่อรู้แหล่งซื้อขายต้นไม้ราคาย่อมเยาแบบครบวงจรหลักๆ ที่เราคัดมาแนะนำกันไปแล้ว ก็อย่าลืมจด list ไว้นะคะว่าสนใจต้นไม้ชนิดไหนบ้าง เวลาไปเลือกซื้อจะได้ควบคุมเงินได้ ซึ่ง 5 ต้นไม้มงคล (ขนาดใหญ่) ที่เรานำมาฝากในบทความด้านบนนั้น จัดว่าเป็นไม้ยืนต้นที่มีคุณค่าและมีประโยชน์ เนื่องจากเป็นต้นไม้หายากที่กำลังจะถูกลืม เพราะไม่ได้เป็นที่รู้จักมากนัก จึงควรค่าแก่การอนุรักษ์ ทั้งยังเหมาะแก่การนำมาปลูกเป็นไม้ประดับเพื่อชื่นชมความงามของดอกและผลที่มีลักษณะสวยงาม นอกจากนี้ยังเป็นต้นไม้ที่มีทรงพุ่มสวยงาม เหมาะแก่การใช้ปลูกเพื่อตกแต่งสวน ปลูกให้ความร่มรื่นและร่มเงาแก่ตัวบ้านให้เย็นสบาย อีกทั้งยังเสริมสิริมงคลตามความเชื่อของคนโบราณได้เป็นอย่างดี รูปภาพจาก : Pinterest รายละเอียดของตลาดไม้เพิ่มเติม ตลาดไท ตลาดต้นไม้ มิกซ์จตุจักร ตลาดต้นไม้ใกล้บ้านเนอวานา   บทความเกี่ยวกับต้นไม้อื่นๆ  9 ต้นไม้มงคล ช่วยเสริมโชคลาภ มอบเป็นของขวัญปีใหม่ 10 ต้นไม้มงคล ควรปลูกไว้ในบ้าน ต้นไม้ไล่ยุง ปลูกไว้ไร้แมลงร้าย
ห้องครัวในแบบของคุณ ต้องชุดครัว STARMARK

ห้องครัวในแบบของคุณ ต้องชุดครัว STARMARK

การเลือกห้องครัวให้สามารถใช้งานได้เต็มที่ มักจะเป็นปัญหาใหญ่ของคุณแม่บ้าน ส่วนใหญ่มักมีความละเอียดจุกจิกเต็มไปหมด แต่งานนี้ STARMARK ช่วยคุณได้ เพราะ STARMARK เข้าใจไลฟ์สไตล์ของคุณได้ดีที่สุด ทุกการดีไซน์สามารถตอบโจทย์ทุกฟังก์ชัน ไม่ว่าจะเป็นคนที่อยู่ในคอนโดมิเนียม ทาวน์โฮม หรือบ้านเดี่ยว มีวัสดุ และแบบให้เลือกมากมายค่ะ   ในงาน HomePro EXPO ครั้งที่ 27 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 16-25 มี.ค.นี้ ทาง STARMARK ออกบูธใหญ่ ขนชุดครัวมาให้เลือกมากมาย ไม่ว่าพื้นที่บ้านของคุณจะเป็นรูปแบบใด มีโจทย์อยากได้ครัวรูปตัว L เข้ามุม, ครัว Built-in, ครัวเล็กครัวใหญ่ ที่ STARMARK ก็สามารถเนรมิตได้ทุกสไตล์ เพื่อให้คุณได้ครัวสวยๆ ถูกใจ ซึ่งวันนี้เราจะพาไปทำความรู้จักกับชุดครัวที่เอามาโชว์ในงานกันค่ะ       เริ่มต้นกันที่รุ่น GLAZZO เคาน์เตอร์เป็นหินแกรนิต ซึ่งทนความร้อน แรงกระแทก และป้องกันรอยขีดข่วนได้เป็นอย่างดี ชุดครัวรุ่นนี้ออกแบบมาให้มีราวแขวน และตู้ด้านบนให้คุณแม่บ้านมีพื้นที่เก็บข้าวของ เครื่องครัวได้อย่างเต็มที่ แถมยังสามารถหยิบใข้ได้สะดวก ตัวตู้ชั้นบนมีจุดเด่นที่สามารถเปิดได้กว้างตามความต้องการ นอกจากนี้ในชุด GLAZZO ยังเพิ่มฟังก์ขั่นการใช้งานเข้าไปในทุกๆ จุด ยกตัวอย่างเช่น ตู้สูงเก็บของ เปิดใช้งานได้สะดวก ด้วยบาน roller แถมยังมีลิ้นชักที่ดึงออกมาก็จะมีพื้นที่ใช้สอยมากขึ้น เพราะลิ้นชักนี้ซ่อนโต๊ะเล็กๆ เอาไว้ น่าจะถูกใจคุณแม่บ้านแน่นอน ชุดครัวของ STARMARK ไม่ได้มีดีแค่เรื่องฟังก์ชั่นการใช้งานนะคะ ทุกการออกแบบยังลงรายละเอียดไปถึงปัญหาต่างๆ ที่เรามักจะเจอบ่อยๆ เช่น ปัญหาน้ำรั่วซึมจากซิงค์ เคาน์เตอร์ของ STARMARK ได้ติดตั้งแผ่นอลูมิเนียมไว้ด้านล่างซิงค์ เพื่อป้องกันน้ำรั่วซึมลงมาด้านล่าง รวมถึงอุปกรณ์ "ตะแกรง" ภายในตู้ที่ทำให้สะดวกต่อการใช้งานและจัดเก็บอย่างเป็นระบบ   สำหรับการใช้งานแบบ Multi-Function สำหรับบ้านหรือคอนโดที่มีพื้นที่จำกัด ชุดครัวแบบ 2 in 1 อย่างชุดครัว ATRO น่าจะตอบโจทย์ได้ดเป็นอย่างดี ด้วยการออกแบบแบบฟรีฟอร์ม และใส่ใจถึงความคุ้มค่าของการใช้งานในพื้นที่ที่จำกัด การออกแบบให้มีตู้เก็บของ ชั้นวางไมโครเวฟ หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก แถมด้วยโต๊ะประทานอาหารที่ออกแบบมาพร้อมกันเลยก็นับว่าเป็นไอเดียที่เก๋ไม่ซ้ำใคร ใครที่อยู่คอนโดเล็กแต่ชอบเข้าครัว และอยากได้ชุดครัวที่สามารถใช้งานได้จริงต้องแวะมาเลือกกันดูค่ะ   ความพิเศษของ STARMARK ที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือ วัสดุพิเศษที่มีชื่อว่า Quarandum ซึ่งเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะของแบรนด์ โดยวัสดุตัวนี้มีจุดเด่นอยู่ที่ เคาน์เตอร์ท้อปที่ถูกออกแบบบัวและ water drop เผื่อไม่ให้น้ำไหลลงสู่หน้าตู้เป็นชิ้นเดียวกันกับเคาน์เตอร์ท้อป อีกทั้งยังมีอ่างซิงค์ขนาดใหญ่ เพื่อรองรับการใช้งานอย่างจุใจ แถมยังมีให้เลือกได้มากถึง 10 เฉดสีกันเลยทีเดียว   สำหรับใครที่กำลังมองหาชุดครัวอยู่ อยากให้ลองไปเจอกันได้ที่บูธ STARMARK ในงาน HomePro EXPO ครั้งที่ 27 กันก่อนค่ะ ในงานนี้ทาง STARMARK จัดเต็มทั้งโปรโมชั่น ลด แลก แจก แถม พร้อมพนักงานที่น่ารักจะมาให้คำปรึกษา และช่วยออกแบบชุดครัวที่ตอบโจทย์คุณแม่บ้านในราคาที่โดนใจแน่นอน...... แล้วพบกันได้ที่ อิมแพ็ค เมืองทองธานี ฮอลล์ 5-8 ตั้งวันนี้-25 มีนาคม 2561   พิเศษ!! สั่งซื้อชุดครัวในงาน ลดทันที 30% และลดเพิ่มอีก 5% เมื่อซื้อสินค้าเพิ่ม สำหรับลูกค้าที่ใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ สามารถเลือกผ่อนชำระ 0% นาน 6 เดือน **ทุกการใช้จ่ายภายในงาน สามารถร่วมโปรโมชั่นสุดคุ้ม ของ HomePro ได้อีก เช่น ของสมนาคุณ ส่วนลดเพิ่มเติม (ตามเงื่อนไขในงาน)   หากภายในงาน HomePro EXPO ยังไม่จุใจ สามารถเลือกชมชุดเครื่องครัวเพิ่มเติมได้ที่ Show Room STARMARK ทุกสาขา หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ FB : Facebook.com/StarmarkKitchen IG : Instagram.com/StarmarkKitchen LINE : LINE.me/ti/p/~@StarmarkKitchen www.starmark.co.th  
“เอสซีจี” แนะเจ้าของบ้าน จบทุกปัญหาหลังคาเก่าอย่างมั่นใจ  ด้วยการเปลี่ยนหลังคาใหม่ และซ่อมแซมให้ถูกจุด

“เอสซีจี” แนะเจ้าของบ้าน จบทุกปัญหาหลังคาเก่าอย่างมั่นใจ ด้วยการเปลี่ยนหลังคาใหม่ และซ่อมแซมให้ถูกจุด

“หลังคา” เป็นองค์ประกอบสำคัญของบ้านที่คอยทำหน้าที่ปกป้องผู้อยู่อาศัยจากสภาพแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศภายนอก อย่างลม ฝน พายุ และความร้อน แต่เมื่อใช้งานไปนานหลายปีย่อมเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา  ยิ่งเป็นส่วนที่อยู่สูง จึงยากต่อการดูแลและตรวจสอบความผิดปกติ จะรู้ว่าเกิดปัญหาก็ต่อเมื่อสร้างความเสียหายให้บ้านซะแล้ว ไม่ว่าจะเป็น น้ำไหลซึมบริเวณฝ้าเพดานเพราะหลังคารั่ว  กระเบื้องแตกร้าว  หรือหลุดปลิว  รวมไปถึงสีของหลังคาซีด เก่า โทรม ขึ้นราไม่สวยงาม  “เอสซีจี” ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านวัสดุก่อสร้าง เล็งเห็นปัญหาของลูกค้า จึงขอนำเสนอแนวทางในการจบทุกปัญหาเรื่องหลังคาอย่างมั่นใจ ด้วยการแก้ไขปัญหาหลังคารั่วอย่างถูกจุด  และเปลี่ยนหลังคาเก่าให้สวยเหมือนใหม่ทั้งผืน  เพื่อให้บ้านพร้อมอยู่อาศัย  ไร้กังวล นายทรงวุฒิ พิมพ์สุวรรณ ผู้เชี่ยวชาญด้านการปรับปรุงหลังคา จาก “เอสซีจี” กล่าวว่า  หลังคาที่ผ่านการใช้งานมาระยะหนึ่ง  เจ้าของบ้านหลายท่านมักต้องพบกับสารพันปัญหากวนใจไม่ว่าจะเป็น หลังคารั่วซึม แตกร้าว ชิ้นส่วนหลังคาหลุด หรือชำรุดเสียหาย รวมไปถึงสีของหลังคาเก่าโทรมไม่สวยงาม เป็นต้น โดยสาเหตุหลักของปัญหามักเกิดขึ้นจาก 2 ปัจจัยหลักๆ คือ ปัจจัยด้านวัสดุ ได้แก่ โครงหลังคา กระเบื้องหลังคา และอุปกรณ์หลังคา อาจมีการเลือกใช้วัสดุที่ไม่ได้คุณภาพ หรือวัสดุมีการเสื่อมสภาพตามการใช้งาน และปัจจัยด้านการติดตั้ง เช่น การติดตั้งไม่ได้มาตรฐาน เนื่องจากช่างขาดทักษะความเชี่ยวชาญในการติดตั้ง  ซึ่งเบื้องต้นเจ้าของบ้านสามารถตรวจเช็คสภาพหลังคาด้วยตนเองได้  ดังนี้ วิธีตรวจเช็คปัญหาหลังคารั่ว อาการที่บ่งบอกว่าบ้านคุณเกิดปัญหาหลังคารั่ว คือ ได้ยินเสียงน้ำไหล หรือเสียงน้ำหยดกระทบกับฝ้าตอนฝนตก  การพบคราบน้ำสีน้ำตาลบนฝ้า รวมไปถึงเฟอร์นิเจอร์ใบบริเวณที่หลังคารั่วบวม มีกลิ่นอับชื้น และอาจมีเชื้อราขึ้น รวมไปถึงบริเวณหลอดไฟหากโดนน้ำสามารถเกิดการลัดวงจรได้  และท้ายที่สุดหากปล่อยอาการรั่วทิ้งไว้นานฝ้าเพดานอาจทะลุจนเป็นโพรง สร้างความเสียหายให้กับบ้านมากขึ้น วิธีแก้ไขปัญหา เมื่อทราบว่าบ้านเกิดปัญหาหลังคารั่ว  ควรรีบติดต่อช่างผู้เชี่ยวชาญเพื่อสำรวจและซ่อมแซมหลังคาจุดที่รั่วซึมทันที และควรเลือกช่างที่มีคุณภาพและประสบการณ์เพื่อตัดปัญหาหลังคากลับมารั่วซ้ำซาก และควรเลือกช่างที่ไว้วางใจเชื่อถือได้  เพื่อตัดปัญหาการทิ้งงานเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของเจ้าของบ้าน ลดความยุ่งยาก และสร้างทางเลือกใหม่ในการหาช่างหลังคาที่มีความเชี่ยวชาญ แก้ไขปัญหาได้ถูกต้องตรงจุด เอสซีจีจึงได้เปิดบริการ “เอสซีจี รูฟ  รีโนเวชั่น” เพื่อมอบโซลูชั่นที่จะช่วยจบทุกปัญหาเรื่องหลังคาอย่างครบวงจร ให้การแก้ปัญหาเป็นเรื่องง่าย  ไร้กังวล โดยมีให้เลือกทั้งบริการซ่อมหลังคารั่วเฉพาะจุด (Roof-Repair) และเปลี่ยนหลังคาเก่าทั้งผืน (Re-Roof) ให้กลับมาสวยงาม ทนทานเหมือนใหม่ โดยปีนี้เน้นให้บริการงานบ้านเดี่ยวก่อน และวางแผนขยายบริการไปสู่ที่อยู่อาศัยรูปแบบอื่นต่อไป “เอสซีจี รูฟ รีโนเวชั่น”  มีสินค้าและบริการที่จะช่วยตอบโจทย์เจ้าของบ้านให้  “มั่นใจ” ด้วยทีมช่างคุณภาพที่ผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรรีโนเวทหลังคามาโดยเฉพาะ มีประสบการณ์จริง  พร้อมการรับประกัน สำหรับงาน Re-Roof  นาน 1 ปีเต็ม “วางใจได้” ด้วยเทคโนโลยีหลังคาและระบบหลังคาคุณภาพเยี่ยม มาตรฐานเอสซีจี  “ไร้กังวล”  จากทีมงานสำรวจหน้างานเพื่อนำมาวางแผนแก้ปัญหาที่ตรงจุด จบปัญหารั่วซ้ำซาก ไม่ทิ้งงานกลางคัน “สบายใจ” ด้วยกระบวนการวางแผนงานติดตั้งอย่างเป็นระบบ  จึงทำให้เจ้าของบ้านสามารถอยู่อาศัยในบ้านได้ตามปกติระหว่างติดตั้ง ไม่ต้องย้ายออก สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถขอรับคำปรึกษาได้ฟรีที่เอสซีจี เอ็กซ์พีเรียนซ์ และเอสซีจี โฮมโซลูชั่น ทุกสาขาในกรุงเทพฯและปริมณฑล รวมถึงสาขาในหัวเมืองใหญ่ อาทิ ชลบุรี เชียงใหม่ ขอนแก่นและสุราษฎร์ธานี หรือติดต่อเอสซีจี คอนแทค เซ็นเตอร์ โทร.02-586-2222 หรือคลิกเว็บไซต์ www.scgbuildingmaterials.com  
วิธีตรวจสอบที่ดิน และหาราคาประเมิน แบบง่ายๆ แค่คลิ๊กเดียว

วิธีตรวจสอบที่ดิน และหาราคาประเมิน แบบง่ายๆ แค่คลิ๊กเดียว

ยุคนี้จะทำอะไรก็ง่ายแค่คลิ๊กเดียว วิธีตรวจสอบที่ดิน และการหาราคาประเมินก็เช่นเดียวกันค่ะ แค่เปิดเว็บไซต์ค้นหาที่ดินที่เราสนใจจะซื้อ หรือจะเป็นที่ดินของเราอยู่แล้วมาตรวจสอบดูว่าที่ดินตรงนั้นมีขนาดเท่าไร เป็นที่ดินประเภทไหนสามารถนำไปพัฒนาในรูปแบบไหนได้บ้างตามกฎหมายกำหนด และสามารถดูราคาประเมินที่ดินได้ด้วย ที่สำคัญคือสามารถดูได้ทั่วประเทศค่ะ ซึ่งตรงนี้มีประโยชน์มากสำหรับก่อนจะตัดสินใจซื้อที่ดิน หรือจะทำอะไรกับที่ดินก็ตามแต่ ที่สำคัญไม่ต้องเดินทางไปถึงกรมที่ดินเสียเวลาไปเป็นวันแบบสมัยก่อนค่ะ วิธีเช็คที่ดินก็ง่ายมาก ลองทำตามดูทีละข้อนะคะ ขั้นตอนการตรวจสอบที่ดิน 1.เปิดเว็บไซต์กรมที่ดินก็ตรวจสอบที่ดินได้ทันที เลือกจังหวัด อำเภอ ด้านบน หากเรามีฉโนดในมืออยู่แล้วก็ระบุเลขโฉนดลงไปแล้วกดค้นหาได้เลยค่ะ แต่ถ้าในกรณีที่เราสนใจที่ดินผืนไหน หรือแม้กระทั่งคอนโดฯ โครงการไหนก็ลองซูมแผนที่ ไล่หาที่ดินแล้วคลิ๊กตรงที่ดินได้เลยค่ะ จะมีข้อมูลขึ้นมาให้ตามภาพเลย    หาราคาประเมินที่ดินจากกรมธนารักษ์ ในกรณีที่บางที่ดินคลิ๊กขึ้นมาแล้วไม่ได้ระบุราคาประเมินก็ต้องเปิด เว็บไซต์ของกรมธนารักษ์ เราสามารถหาราคาประเมินที่ดินได้จากทั้งเลขที่โฉนด หรือเลขที่ดินก็ได้ค่ะ โดยเอาเลขที่เราได้จากเว็บไซต์กรมที่ดินในข้อที่ 1 มาระบุก็จะได้ราคาประเมินมาค่ะ ซึ่งราคาประเมินที่ได้เป็นเพียงราคาเบื้องต้นเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงมีหลายปัจจัยที่ส่งผลกระทบกับราคาที่ดิน รวมถึงราคาตัวบ้านและคอนโดตามไปด้วยค่ะ    ตรวจสอบที่ดิน สีผังเมือง ที่ดินแต่ละแปลงย่อมมีข้อกำหนดเอาไว้ค่ะ ว่าสามารถใช้ประโยชน์แบบไหนได้บ้างตามผังเมือง เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย เกิดความปลอดภัยและประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนนั่นเอง 2.ตรวจสอบที่ดิน รายละเอียดการใช้ประโยชน์ ย่อหน้าสุดท้ายของข้อมูลที่ดิน จะระบุเอาไว้ว่าเป็นที่ดินประเภทไหน อย่างในรูปด้านบนนี้เป็นที่ดินประเภท ย.6 ซึ่งที่ดินแต่ละประเภทจะมีข้อกำหนดในการอนุญาตใช้ประโยชน์จากที่ดินได้แตกต่างกัน เช่น ที่ดิน ย.6 อนุญาตให้สร้างที่อยู่อาศัยประเภทอาคารอยู่อาศัยรวม พื้นที่ไม่เกิน 10,000 เมตร ตามเงื่อนไขที่ 3 คือ ตั้งอยู่ริมถนนที่มีเขตทางไม่น้อยกว่า 30 เมตร หรืออยู่ในระยะ 500 เมตร จากสถานีรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน, ไม่อนุญาตให้ใช้ที่ดินในเชิงพาณิชยกรรมพื้นที่เกิน 10,000 ตร.ม. เป็นต้น วิธีตรวจสอบที่ดินแบบดูสีผังเมือง ง่ายๆ เลย คือ เมื่อปักแปลงที่ดินที่เราดูไว้แล้วก็แค่คลิ๊กตรงช่อง เปิด/ปิด ผังเมือง ตรงด้านบน แล้วก็จะกลายเป็นสีผังเมืองขึ้นมา สามารถคลิ๊กดูข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินฯ แต่ละสีได้เลย ซึ่งตามภาพตัวอย่างนี้ ที่ดินที่เราดูเอาไว้เป็นสีน้ำตาล เราก็ไปคลิ๊กตารางทางขวามือที่เป็นสีน้ำตาล ที่ดินประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่นมาก ก็จะมีรายละเอียดทั้งหมดขึ้นให้อ่านแยกกันไปตามสีผังเมือง หรือสามารถเข้าไปรายละเอียดอ่านข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินแบบตารางให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นได้ที่ เว็บไซต์ของสำนักผังเมือง    3.ศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับกฎหมายด้านโยธาธิการและผังเมืองเพิ่มเติม  ถ้าอ่านข้อกำหนดจากข้อ 2 แล้วยังไม่เข้าใจ ก็สามารถเข้าไปอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเรื่องกฏหมายด้านโยธาธิการและผังเมืองได้ที่ เว็บไซต์ของกรมโยธาธิการและผังเมือง สรุปเว็บไซต์ที่สามารถตรวจสอบที่ดิน และราคาประเมิน ได้ฟรี! ระบบค้นหารูปแปลงที่ดิน กรมที่ดิน ค้าหาราคาประเมินจาก กรมธนารักษ์  รายละเอียดข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินจาก สำนักผังเมือง  ทั้งหมดนี้เป็นข้อมูลที่ทำให้เราสามารถทราบข้อมูลเบื้องต้นของที่ดินแต่ละแปลง และยังสามารถรู้ข้อกำหนดที่สามารถสร้างได้กับที่ดินอย่างคร่าวๆ ด้วยค่ะ  
ผังเมืองกรุงเทพหลากสี แบ่งไปทำไมกัน?

ผังเมืองกรุงเทพหลากสี แบ่งไปทำไมกัน?

หลายครั้งหลายหนที่เราพูดถึงเรื่องที่ดิน แต่ทราบหรือเปล่าคะว่าแต่ละพื้นที่นั้นมีการจัดการวางผังเมืองเอาไว้แบ่งเป็นโซนๆ แล้วในแต่ละโซนก็มีการกำหนดสีเอาไว้ด้วยว่าสีไหนสร้างอะไรบนที่ดินนั้นได้ แล้วสร้างได้ขนาดไหน หรือห้ามสร้างอะไรบ้าง ซึ่งในบทความนี้เราจะโฟกัสพื้นที่ของกรุงเทพฯ ค่ะ   ผังเมือง คือ การจัดการพื้นที่ของเมืองให้เป็นสัดส่วน แล้วตั้งข้อกำหนดเพื่อให้การนำที่ดินไปพัฒนานั้นเกิดประโยชน์สูงสุดและเป็นไปตามแนวทางที่วางเอาไว้ มองภาพรวมแล้วมีความสอดคล้องกันควบคู่ไปกับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพทย์สินของประชาชน รวมถึงต้องรักษาสภาพแวดล้อมเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีต่อไปด้วย ซึ่งในประเทศไทยมีกรมโยธาธิการและผังเมืองที่เป็นหน่วยงานดูแลจัดทำผังเมือง ส่วนในกรุงเทพฯ มีสำนักผังเมือง กรุงเทพมหานคร คอยจัดการดูแล ซึ่งในบ้านเรามีการแบ่งผังเมืองแยกออกเป็นหลายสี แต่ละสีก็มีความหมายรวมถึงมีข้อกฎหมายในการใช้ประโยชน์จากที่ดินแตกต่างกันออกไป จากภาพเราจะเห็นว่ากรุงเทพฯ ถูกแบ่งพื้นที่ออกเป็นหลายสี แต่ละสีก็จะมีความหมายรวมถึงกฎข้อบังคับการใช้ประโยชน์ที่ดินแตกต่างกันออกไป โดยแบ่งตามสีได้ดังนี้        สีเหลือง(ย.1-ย.4) ที่ดินประเภทอยู่อาศัยหนาแน่นน้อย สีส้ม(ย.5-ย.7) ที่ดินประเภทอยู่อาศัยหนาแน่นปานกลาง สีน้ำตาล(ย.8-ย.10)   ที่ดินประเภทอยู่อาศัยหนาแน่นมาก สีแดง(พ.1-พ.5)    ที่ดินประเภทพาณิชยกรรม สีม่วง(อ.1-อ.2)    ที่ดินประเภทอุตสาหกรรม สีม่วงเม็ดมะปราง(อ.3) ที่ดินประเภทคลังสินค้า สีขาวมีกรอบและเส้นทแยงสีเขียว(ก.1-ก.3) ที่ดินประเภทอนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรม สีเขียว(ก.4-ก.5) ที่ดินประเภทชนบทและเกษตรกรรม สีน้ำตาลอ่อน(ศ.1-ศ.2) ที่ดินประเภทอนุรักษ์เพื่อส่งเสริมเอกลักษณ์ศิลปวัฒนธรรมไทย สีน้ำเงิน(ส.) ที่ดินประเภทสถาบันราชการการสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ   ปัจจุบันกรุงเทพฯ มีการขยายตัวของเมืองออกไปอย่างรวดเร็วตามรถไฟฟ้าที่กำลังก่อสร้างอยู่หลายสายรวมถึงถนนที่ขยายเส้นทางเพิ่มขึ้น จากเดิมที่กระจุกตัวอยู่แค่ในโซน CBD เช่น สีลม สาทร อโศก สุขุมวิทช่วงต้น รวมถึง New CBD อย่างพระราม9 และพื้นที่อื่นๆ อีกในอนาคต ซึ่งย่อมต้องมีผลกระทบจากการขยายตัวของเมืองแม้จะเกิดผลดีต่อการพัฒนาบ้านเมือง แต่ทั้งนี้ย่อมเกิดผลกระทบด้านลบตามมาด้วยเช่นกัน เพราะเมื่อไหร่ที่มีความเจริญเข้ามาพื้นที่เกษตรกรรมก็มักจะลดลงตามไปด้วย โดยพื้นที่การเกษตรในเขตกรุงเทพฯ เกิดการใช้ประโยชน์ลดลงกว่า 4% หรือประมาณ 2.6 แสนไร่ จากพื้นที่การเกษตรในกรุงเทพฯ ทั้งหมด 1,500 ตารางกิโลเมตร คิดเป็น 27% แต่ในขณะที่พื้นที่อยู่อาศัยกลับเพิ่มขึ้นประมาณ 7.3% และพื้นที่พาณิชยกรรมเพิ่มขึ้น 25.43%     เมื่อเมืองเกิดการพัฒนาที่ขยายวงกว้างมากยิ่งขึ้นเช่นนี้แล้วจึงต้องมีการเตรียมปรับปรุงผังเมืองฉบับใหม่ซึ่งฉบับที่กำลังเร่งพลักดันให้ประกาศใช้ในปีนี้นั้นเป็นฉบับที่ 4 โดยการปรับปรุงผังเมืองแต่ละครั้งจะต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญจาก 14 ด้านมาดำเนินงานร่วมกันกับสำนักผังเมือง เพื่อให้ผังเมืองออกมาสมบูรณ์มากที่สุด ได้แก่ ด้านประชากร, เศรษฐกิจ, อุตสาหกรรม, ผังเมือง, การคมนาคมขนส่ง, สิ่งแวดล้อม, สาธารณูปโภค, สังคม, ยุทธศาสตร์ความมั่นคง, การวางผังชุมชนและภูมิทัศน์เมือง, กฏหมาย, สารสนเทศด้านภูมิศาสตร์, การจัดทำร่างผังเมืองรวม และด้านการประชาสัมพันธ์และการมีส่วนร่วมของประชาชน ซึ่งสาระสำคัญของผังเมืองฉบับใหม่นี้คือการกำหนดการขยายตัวเท่าที่จำเป็น กำหนดโซนเพื่อให้เกิดการใช้พื้นที่อย่างคุ้มค่าที่สุดทำให้กระชับเมืองเข้าไปอีก แต่จะไม่เป็นการเสียพื้นที่สีเขียวของกรุงเทพฯ ไป สร้างความสมดุลระหว่างพื้นที่ในเมืองกับชานเมือง ขณะเดียวกันกลุ่มนักลงทุนก็พยายามพลักดันให้เกิดการกระจายของเมืองให้มากขึ้น เพื่อพัฒนาโครงการได้อย่างคล่องตัวมากยิ่งขึ้น และยังช่วยเรื่องราคาที่ดินได้ด้วย       สุดท้ายแล้วหน้าตาของผังเมืองใหม่จะออกมาเป็นอย่างไร เมื่อบังคับใช้แล้วจะสามารถนำมาใช้จริงโดยไม่เกิดผลเสียต่อฝ่ายใดได้หรือไม่ก็ต้องรอดูกันต่อไปค่ะ  
NPL คือ? ส่งผลต่อคนจะกู้สินเชื่ออย่างไร

NPL คือ? ส่งผลต่อคนจะกู้สินเชื่ออย่างไร

เป็นที่ทราบกันดีว่าเมื่อไรที่เราจะยื่นกู้สินเชื่อบ้านเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยไม่ว่าประเภทไหนก็ตามทางธนาคารจะมีวิธีพิจารณาเพื่ออนุมัติคล้ายๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นรายได้หลัก การเดินบัญชี ฯลฯ หรือแม้แต่ปัจจัยภายนอกอย่าง NPL ที่จะส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจปล่อยกู้ ซึ่งตัวผู้ที่ต้องการยื่นกู้เองควรจะลองศึกษาหาข้อมูลในเบื้องต้นเอาไว้บ้าง เพื่อเพิ่มโอกาสให้เราได้รับการอนุมัติมากยิ่งขึ้น NPL ย่อมาจาก Non-Performing Loan คือ สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือที่เรียกกันว่าหนี้เสีย โดยเกิดจากการที่ลูกหนี้ไม่สามารถชำระดอกเบี้ยและเงินต้นคืนให้สถาบันการเงินเป็นระยะเวลาติดต่อกัน 3 เดือน สถาบันการเงินนั้นจะมองว่าเป็นหนี้เสียทันที โดยหากตัวบุคคลถูกตีว่าติด NPL จะส่งผลต่อความน่าเชื่อถือทางการเงินอย่างมาก ยิ่งหากจะทำการกู้สินเชื่อไม่ว่าจะประเภทใดก็ตามมักจะถูกปฏิเสธได้ง่าย ซึ่งจากสถิติจากปีที่ผ่านมา NPL ที่พุ่งสูงที่สุด 3 อันดับแรก คือ ธนาคารกรุงเทพ ประมาณ 87,000 ล้านบาท ธนาคารกสิกรไทย ประมาณ 69,000 ล้านบาท และธนาคารไทยพาณิชย์ ประมาณ 65,000 บาท แต่ธนาคารที่มีอัตราลดลง คือ ธนาคารทหารไทย ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย และธนาคารเกียรตินาคิน ตามลำดับ   อย่างที่เกริ่นไปข้างต้นว่าเราจะต้องศึกษาข้อมูลที่เป็นปัจจัยหนึ่งก่อนการยื่นขอสินเชื่อนั่นคือ NPL ที่กล่าวถึงนี้ เพราะหากช่วงไหนที่ภาพรวม NPL ของประเทศสูงจะส่งผลให้ธนาคารมีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้นโดยเฉพาะในภาคอสังหาริมทรัพย์ เพราะเมื่อช่วงปีที่ผ่านมามี NPL พุ่งสูงที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับสินเชื่อบุคคลประเภทอื่นๆ สาเหตุหลักมาจากความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ที่มีรายได้น้อย ส่งผลต่อการถูกปฏิเสธสินเชื่อในกลุ่มคนที่มีรายได้น้อย-ปานกลาง ซึ่งปีที่แล้วสูงถึง 40-50% และเมื่อยอดปฏิเสธสินเชื่อเพิ่มสูงขึ้นในกลุ่มผู้มีรายได้น้อย-ปานกลาง ทางผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์จึงหันไปพัฒนาโครงการระดับสูงทำเลใจกลางเมืองมากกว่า เพราะนอกจากเรื่องของการจับกลุ่มผู้ที่มีกำลังซื้อระดับสูงในประเทศไทยแล้ว ยังหันไปหากลุ่มผู้ซื้อชาวต่างชาติโดยเฉพาะในเอเชียด้วยกันที่สนใจซื้อคอนโดมิเนียมในประเทศไทยกันมากขึ้น แม้ว่าในปี 2561 หลายฝ่ายต่างเชื่อว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้นจากหลายๆ ปัจจัยต่อเนื่องมาจากปีที่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มจำนวนของยูนิตมากที่สุดในรอบ 4-5 ปี การร่วมทุนระหว่างผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยและจากต่างประเทศ รวมถึงตัวเลข GDP ที่จะเพิ่มสูงขึ้น ทำให้แนวโน้มของ NPL ค่อยๆ ลดลง แต่การขยายตัวเพิ่มขึ้นของภาคอสังหาริมทรัพย์นี้ยังคงกระจุกตัวอยู่กลางเมืองกรุงเทพฯ ในโครงการที่มีกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้มีรายได้สูง  จึงทำให้ธนาคารยังคงต้องพิจารณาการอย่างถี่ถ้วนในการปล่อยสินเชื่อให้กับกลุ่มผู้มีรายได้น้อย เพื่อพยายามควบคุมไม่ให้มีตัวเลข NPL ที่สูงขึ้นอีก   แม้ว่าหลายธนาคารจะยังคงเข้มงวดต่อการปล่อยสินเชื่อบุคคลโดยเฉพาะกลุ่มผู้ที่มีรายได้น้อย แต่ก็ใช่ว่าจะไม่ปล่อยสินเชื่อให้เลย เพราะหลายคนต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าในปีนี้อสังหาริมทรัพย์จะดีขึ้นยิ่งกว่าปีที่แล้ว และหากเราแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการชำระหนี้ได้ รวมถึงการมีวินัยทางการเงินก็จะทำให้กู้ผ่านได้ไม่ยาก แม้แต่ผู้ที่มีประวัติ NPL ก็สามารถเข้าไปปรึกษากับทางธนาคารได้ แต่จะใช้ระยะเวลานานกว่า และมีข้อแม้หลายอย่างที่ต้องปฏิบัติเสียก่อนจะยื่นกู้ เช่น ต้องจ่ายหนี้สินทั้งหมดให้เรียบร้อยก่อน เป็นต้น   ความรู้อื่นเกี่ยวกับ NPL ธนาคารแห่งประเทศไทย บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง กู้ไม่ผ่าน เกิดจากอะไร วิเคราะห์ LTV หลักเกณฑ์ใหม่ ดีต่อตลาดอสังหาฯ แค่ไหน-ใครได้ประโยชน์ EIC วิเคราะห์ ใครคือผู้ได้รับผลกระทบจากภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง  
เอสซีจี แนะนำ 4 เรื่อง ระบบท่อที่เจ้าของบ้านควรรู้ก่อนลงมือสร้างบ้าน

เอสซีจี แนะนำ 4 เรื่อง ระบบท่อที่เจ้าของบ้านควรรู้ก่อนลงมือสร้างบ้าน

ผู้ที่กำลังสนใจในการสร้างบ้าน นอกจากการให้ความสำคัญกับการเลือกผู้รับเหมา งานโครงสร้าง การออกแบบดีไซน์ ทั้งภายในและภายนอกแล้ว “งานระบบท่อ” ก็เป็นเรื่องสำคัญที่เจ้าของบ้านหลายคนมักมองข้ามไป เพราะจริงๆ แล้วเมื่อเราสร้างบ้านหนึ่งหลัง ระบบท่อจะอยู่คู่กับบ้านเราไปตลอด หากเริ่มต้นวางระบบท่อไม่ได้มาตรฐาน เลือกใช้วัสดุที่ไม่ได้คุณภาพหรือไม่ตรงกับประเภทการใช้งาน การดูแลซ่อมแซ่ม อาจเป็นเรื่องยุ่งยาก ทำลายทัศนียภาพของบ้าน และมีราคาสูง ท่อเอสซีจี จึงอยากนำเสนอและแนะนำเจ้าของบ้านหรือผู้ที่สนใจกำลังจะสร้างบ้าน เกี่ยวกับระบบท่อก่อนลงมือสร้างจริง ถึงแม้ว่าการวางระบบท่อ เหมือนจะเป็นเรื่องที่ไกลตัว เพราะว่าส่วนใหญ่เรามักจะจ้างผู้รับเหมาให้ดูแลทั้งระบบอยู่แล้ว แต่ในความเป็นจริงเราควรรู้จักและรู้ถึงการเลือกใช้ท่อให้เหมาะสมต่อการใช้งาน หรือแม้กระทั้งการเลือกใช้วัสดุที่มีคุณภาพ เพราะเมื่อมีการสร้างจริงแล้ว เจ้าของบ้านจะสามารถรู้ได้ว่าผู้รับเหมาใช้ของที่มีคุณภาพ วางระบบได้มาตรฐานหรือคุ้มกับค่าใช้จ่ายหรือไม่ ท่อเอสซีจี จึงขอแนะนำ 4 เรื่องระบบท่อ ทำไมเจ้าของบ้านควรรู้ก่อนลงมือสร้างบ้าน ดังนี้ การเลือกวัสดุให้เหมาะสมต่อการใช้งานในแต่ละประเภทสำหรับระบบประปา ท่อประปาที่นิยมในท้องตลาดมีทั้งหมด 2 ประเภท ชนิดแรก ท่อพีวีซี (PVC) หรือท่อประปาสีฟ้าที่ใช้งานทั่วไป มีคุณสมบัติเหนียวและยืดหยุ่นสูง สามารถทนต่อสภาพกรดและด่าง ปลอดภัยจากสารพิษ เหมาะสมกับงานภายในอาคาร และน้ำที่มีอุณหภูมิไม่เกิน 60 องศาเซลเซียส ชนิดที่สอง ท่อพีพีอาร์ (PP-R) ท่อสำหรับระบบประปาน้ำอุ่น และสำหรับน้ำร้อน คุณสมบัติเป็นฉนวนความร้อนช่วยรักษาอุณหภูมิได้ดี  ท่อและข้อต่อเชื่อมเป็นเนื้อเดียวกัน โดยวิธีการให้ความร้อนจากเครื่องเชื่อม นิยมใช้กับงานอาคารสูง ราคาไม่แพง สามารถใช้แทนท่อเหล็กได้ ทั้งนี้การเลือกท่อควรเลือกใช้สินค้าที่มีแบรนด์น่าเชื่อถือและมีตรามาตรฐานการผลิตอุตสาหกรรม (มอก.) พร้อมตัวเลขบอกขนาดกำกับไว้อย่างชัดเจน หรือท่อประปาที่ได้รับฉลากเขียว ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ผลิตจากวัสดุที่คำนึงถึงความปลอดภัยในการใช้งาน ปราศจากสารปนเปื้อนอย่างโลหะหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับท่อพีพีอาร์และท่อซีพีวีซีที่เป็นท่อประปาน้ำร้อนที่ใช้สำหรับอุปโภคบริโภคโดยตรง จึงควรเลือกใช้ที่ได้รับการรับรองความปลอดภัยจากองค์กรส่งเสริมอนามัยแห่งชาติระหว่างประเทศ (NSF International) เท่านี้ก็จะสามารถมั่นใจได้ว่าเจ้าของบ้านจะได้รับสินค้าที่มีคุณภาพ เหมาะสมต่อการใช้งาน และไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพอีกด้วย การเดินระบบท่อประปาภายในบ้าน สามารถแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะ ดังนี้ การเดินท่อแบบลอยตัว คือการวางระบบท่อติดผนังหรือเพดาน การวางระบบท่อในลักษณะนี้ มีข้อดีในการดูแลซ่อมบำรุง หรือการติดตั้งงานระบบเพิ่มเติมภายหลัง แต่มีข้อเสียคืออาจไม่เข้ากับบ้านในดีไซน์ต่างๆ เช่น บ้านที่ต้องการความเรียบร้อยในการตกแต่งเนื่องจากสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน แต่เหมาะสมอย่างยิ่งกับบ้านในสไตล์ลอฟท์ (Loft)หรืออินดัสเทรียล (Industrial) และอีกหนึ่งลักษณะ คือ การเดินท่อแบบฝังภายในพื้นหรือผนัง เป็นการวางระบบท่อแบบเจาะสกัดผนังหรือพื้นเพื่อเดินท่อ ก่อนฉาบปูนทับ มีข้อดีคือทำให้บ้านดูเรียบร้อยและสวยงาม แต่ข้อเสียคือการซ่อมแซมและบำรุงรักษามีความยุ่งยากและราคาสูง หรือควรออกแบบให้มีช่องเซอร์วิสหรือช่องชาฟต์ (Shaft) เพื่อให้ง่ายต่อการซ่อมบำรุง นอกจากการเลือกใช้วัสดุแล้ว การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับระบบท่อ ก็เป็นเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กัน อย่างน้ำยาประสานท่อ ที่มีอยู่ 2 ชนิดด้วยกัน คือ ชนิดเข้มข้น น้ำยามีความหนืดสูง สามารถยึดติดท่อได้อย่างรวดเร็ว และรับแรงดันได้สูง เหมาะกับงานคุณภาพสูง เช่น งานอาคารสูง ส่วนชนิดใสจะมีความหนืดต่ำ ทำให้สามารถใช้งานได้ง่ายขึ้น  เหมาะสำหรับงานบ้านและอาคารทั่วไป ส่วนเทปพันเกลียว  ใช้สำหรับพันเกลียวข้อต่อของท่อ  เพื่อให้การขันเกลียวมีความหนาแน่นมากขึ้น และกันน้ำไม่ให้รั่วซึมออกมา รวมถึงน้ำยาทำความสะอาดท่อพีวีซี  ใช้สำหรับทำความสะอาดท่อเมื่อข้อต่อเปื้อนคราบน้ำมันหรือสารหล่อลื่นต่างๆ ในท่อ ที่เราไม่สามารถใช้มือเข้าไปทำความสะอาดได้ ทั้งหมดนี้ล้วนควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่ได้การรับรอง หรือสินค้าที่มีคุณภาพเช่นกัน การเลือกผู้รับเหมาที่มีความชำนาญและน่าเชื่อถือได้ ควรเลือกผู้รับเหมาที่มีชื่อเสียง พิจารณาจากผลงานที่ผ่านมา การรับประกันผลงาน และควรสอบถามหาข้อมูลจากหลายๆ เจ้า เพื่อเปรียบเทียบทั้งราคาและคุณภาพ และที่สำคัญคือเจ้าของบ้านและผู้รับเหมาควรมีสัญญาว่าจ้างกันอย่างถูกต้อง ชัดเจนและเป็นไปตามกฎหมาย เพื่อให้งานออกมาตามที่ตกลง และหากมีข้อผิดพลาดเจ้าของบ้านจะสามารถดำเนินการทางกฎหมายได้ จาก 4 ข้อแนะนำจากท่อเอสซีจีเจ้าของบ้าน สามารถนำไปประยุกต์ พูดคุยกับผู้รับเหมาได้อย่างเข้าใจ สามารถต่อรองการใช้สินค้า หรืออุปกรณ์ต่างๆ ที่มีคุณภาพและน่าเชื่อถือ เพื่องานระบบต่างๆ จะสามารถอยู่คู่กับบ้านเราได้อย่างคงทนถาวรตราบนานเท่านาน ผู้ที่สนใจท่อเอสซีจี สามารถหาข้อมูลได้ที่ www.scgbuildingmaterials.com
8 เคล็ดลับ แต่งห้องนอนไม่ได้นอน เติมไฟรักให้ชีวิตคู่

8 เคล็ดลับ แต่งห้องนอนไม่ได้นอน เติมไฟรักให้ชีวิตคู่

เข้าสู่เดือนกุมภาพันธ์เดือนแห่งความรักกันแล้ว สำหรับคู่รักทั่วไปคงไม่มีอะไรดีไปกว่าการมอบของขวัญแทนใจเพื่อแสดงความรักให้กันและกันในวันวาเลนไทน์ ไม่ว่าจะเป็นการมอบช่อดอกไม้, ของขวัญ, Chocolate, ตุ๊กตา ไปจนถึงของใช้ส่วนตัว ทั้งหมดนี้ก็ขึ้นอยู่กับความพอใจและกำลังทรัพย์ส่วนตัวนะคะ แต่การแสดงความรักนั้นก็ไม่จำเป็นต้องใช้เงินหรือของขวัญแทนใจเสมอไป เพราะเพียงแค่ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันก็ทำให้ชีวิตคู่มีความสุขแล้ว ซึ่ง 'ห้องนอน' ก็ถือว่าเป็นพื้นที่ส่วนตัวที่ตอบโจทย์คู่รักได้มากที่สุดเลยทีเดียวค่ะ เพราะนอกจากจะใช้สำหรับพักผ่อนแล้ว ยังเป็นพื้นที่เติมเต็มความรักของใครหลายๆ คนอีกด้วย ดังนั้นเราจึงควรตกแต่งห้องนอนธรรมดาๆ ให้กลายเป็นสวรรค์ของรังรักเพื่อกระตุ้นบรรยากาศให้หอมหวานและโรแมนติก ด้วยเคล็บลับเหล่านี้..   1. เริ่มต้นที่เลือกเตียงนอนและฟูก คิดจะแต่งห้องนอนให้เป็นรังรักทั้งที การลงทุนเลือกซื้อเตียงและฟูกดีๆ นับว่ามีความสำคัญเป็นอย่างมากเลยนะคะ โดยเตียงนอนนั้นควรเลือกวัสดุที่มีความแข็งแรง ทนทาน และรองรับน้ำหนักได้ดี สำหรับฟูกนั้นควรเลือกที่ความนุ่มสบาย ลงตัวกับสรีระ แนะนำให้ลองศึกษาหาข้อมูลสเปคของฟูกให้ตรงกับความต้องการของตนเองก่อน ว่าชอบความสบายประมาณไหน ตัวฝูกทำมาจากอะไร เช่น ทำมาจากโฟม, ยางพารา, สปริง หรือแบบธรรมชาติอื่นๆ ทั้งนี้ควรคำนึงถึงขนาดของเตียงนอนและฟูกที่ต้องกว้างพอสำหรับ 2 คนด้วยนะคะ เพราะพื้นที่ส่วนนี้มักเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของกิจกรรมบนเตียงนั่นเอง   2. เพิ่มความโรแมนติกด้วยแสงไฟ ข้อนี้หลายคนคงทราบกันดีอยู่แล้วว่าภายในห้องนอนควรมีแสงไฟส่องสว่างเพียงพอ แต่ไฟที่ช่วยสร้างบรรยากาศโรแมนติกเสมือนห้องพักในโรงแรมคือ แสง Warm White ในโทนสีแดงอมส้ม สาเหตุที่ควรใช้ไฟโทนสีอุ่นในห้องนอนนั้น เป็นเพราะไฟสีนี้มีความอ่อนโยนต่อสายตา สว่างน้อย ช่วยสร้างบรรยากาศสลัวๆ อันแสนโรแมนติกที่มีความนุ่มนวล ดูอบอุ่น ที่สำคัญคือช่วยให้ผู้หญิงดูเซ็กซี่ มีเสน่ห์ และน่าสัมผัสมากขึ้นอีกด้วยค่ะ   3.  ปลุกอารมณ์ด้วยโทนสี คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าการใช้โทนสีอ่อน และสีพาสเทลที่ผนังหรือวอลเปเปอร์ทำให้ห้องดูอ่อนหวาน ชวนฝัน และโรแมนติกได้เป็นอย่างดี แต่บางครั้งโทนสีเข้มๆ อย่างสีม่วงเข้มที่ดูมีเสน่ห์น่าค้นหา หรือสีแดงที่ดูเร่าร้อน ก็ช่วยปลุกอารมณ์ร้อนแรงได้ดีกว่านะคะ เพราะมีผลวิจัยออกมาแล้วว่าสีม่วงและสีแดงมีคุณสมบัติในการกระตุ้นอารมณ์ทางเพศได้สูงกว่าสีอื่นๆ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความชอบของคู่รักแล้วค่ะ ว่าสีอะไรจะช่วยปลุกอารมณ์รักแก่คู่ของคุณได้มากกว่า หากชอบกันคนละสีก็อาจลองผสมสองสีเข้าด้วยกัน และจัดไฟสลัวๆ ด้วยแสง Warm White เพิ่มอีกนิด เท่านี้ก็ปลุกความพลุ่งพล่านสำหรับคืนพิเศษได้แล้วค่ะ   4. เครื่องนอนชวนสัมผัส นอกจากสัมผัสอันนุ่มนวลของกันและกันจะสามารถเติมอารมณ์รักได้ดีแล้ว การเลือกเครื่องนอนอย่างผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน และผ้าห่ม ก็นับว่าควรใส่ใจทุกรายละเอียดนะคะ เพราะนอกจากสีสันและลวดลายที่สวยถูกใจแล้ว เนื้อผ้าของเครื่องนอนก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน โดยปัจจุบันได้มีการนำผ้าหลากหลายแบบมาตัดเย็บเป็นเครื่องนอนมากมาย ซึ่งผ้าแต่ละชนิดก็จะให้สัมผัสนุ่มนวลที่แตกต่างกันออกไป แต่ที่เราอยากแนะนำให้ใช้เป็นพิเศษคือผ้าแพรและผ้าซาตินค่ะ เพราะเนื้อผ้าค่อนข้างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยมีความเซ็กซี่เล็กๆ เพราะเนื้อเรียบเนียน มันวาว นิ่ม และนุ่มลื่น เรียกได้ว่าถ้าผิวกายของคุณและคนรักได้สัมผัสกับเนื้อผ้าแล้วจะยิ่งเคลิบเคลิ้ม และช่วยกระตุ้นอารมณ์รักได้ดีทีเดียวค่ะ   5. เคลิบเคลิ้มด้วยกลิ่นหอม   แน่นอนว่ากลิ่นหอมช่วยทำให้เรารู้สึกผ่อนคลาย สบาย และเพลิดเพลิน ซึ่งเรื่องของ 'กลิ่น' ก็มีผลต่อกิจกรรมบนเตียงอย่างมาก เพราะนอกจากกลิ่นฟีโรโมนร่างกาย และกลิ่นน้ำหอมเฉพาะตัวที่ช่วยปลุกอารมณ์ให้ตื่นตัวแล้ว การทำให้ห้องนอนเต็มไปด้วยกลิ่นหอมเย้ายวนชวนหลงใหลก็เป็นสิ่งที่ทุกคนควรทำอย่างยิ่ง แนะนำให้ใช้เทียนหอม, น้ำมันหอมระเหย หรือน้ำหอมที่มาพร้อมก้านไม้หอม ในกลิ่นอโรมาที่คุณชื่นชอบมาวางไว้ในบริเวณห้องนอนหรือโต๊ะข้างเตียง รับรองว่าไอเท็มเหล่านี้จะช่วยสร้างบรรยากาศให้คุณรู้สึกผ่อนคลาย สบายดุจสปาส่วนตัว ที่สำคัญยังช่วยเพิ่มความโรแมนติก เร้าอารมณ์ทางเพศให้คุณเคลิบเคลิ้มจนไม่อยากก้าวขาออกจากห้องนอนเลยล่ะ   6. เปิดเสียงเพลงคลอเคล้าพร้อมจังหวะรัก เพิ่มความมีชีวิตชีวาให้ค่ำคืนพิเศษของคุณและคนรัก ด้วยการเปิดเพลงจังหวะช้าๆ เพิ่มบรรยากาศโรแมนติกในห้องนอน เพราะจังหวะของเพลงนั้นมีผลต่อการเย้ายวน ปลุกอารมณ์ทางเพศของทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิงได้ดี และการใช้เสียงเพลงเบาสบาย หรือเสียงธรรมชาติ ก็ช่วยขับกล่อมให้นอนหลับได้ง่ายและสบายขึ้นด้วยนะคะ แต่หากใครกลัวว่าดนตรีเบาๆ จะทำให้เคลิ้มหลับไปเสียก่อน ก็อาจจะเปิดเพลงที่มีจังหวะสนุกๆ เพื่อปลุกเร้าอารมณ์ให้คึกคักในจังหวะรักของคุณได้เช่นกันนะ   7. กระตุ้นอารมณ์รักด้วยรูปภาพ หากคุณอยากเปลี่ยนบรรยากาศห้องนอนที่ชวนหลับใหล ให้กลายเป็นห้องนอนที่แสนโรแมนติกแถมยังกระตุ้นให้เกิดอารมณ์ แนะนำให้ตกแต่งด้วยรูปภาพที่ช่วยเสริมอารมณ์รักด้วยรูปภาพแนวอีโรติก, รูปถ่ายกันและกัน, รูปถ่ายสมัยที่เพิ่งคบกัน, รูปตอนไปเที่ยวด้วยกัน หรือรูปคู่หวานชื่น แทนการตกแต่งด้วยรูปภาพแนวธรรมชาติจำพวกป่าเขาทั่วไป ก็นับว่าเป็นตัวช่วยที่เติมไฟรักได้ดี หากใครอยากเพิ่มความมุ้งมิ้งก็อาจจะนำมารูปมาแปะเรียงบนผนังห้องเป็นรูปหัวใจ ก็เป็นการเพิ่มลูกเล่นให้ห้องนอนดูแปลกตาไปจากทุกวันได้ดีนะคะ ซึ่งรับรองเลยค่ะว่าวิธีนี้ต้องทำให้คนรักของคุณรู้สึกอยากขยับเข้ามาชิดใกล้เพื่อกระชับความสัมพันธ์แน่นอน   8. เติมความเซ็กซี่ให้ขยี้หัวใจด้วยกระจกวิเศษ แน่นอนค่ะว่า 'กระจกเงา' มีคุณสมบัติที่โดดเด่นมากมาย ถ้าเป็นเรื่องของ interior ก็เป็นวัสดุที่ช่วยสะท้อนหลอกตาทำให้ห้องดูกว้างขึ้น แต่ในเรื่องของฮวงจุ้ยก็เป็นไอเท็มสำคัญที่ช่วยสะท้อนสิ่งไม่ดีออกไป ส่วนด้านของการใช้งานในห้องนอนส่วนใหญ่นั้นมักใช้ส่องสำรวจร่างกายเวลาแต่งตัว นอกจากนี้ยังเป็นตัวช่วยกระตุ้นอารมณ์รักจากมองเห็นรูปร่าง และลีลาระหว่างที่กำลังทำกิจกรรมกระชับความสัมพันธ์ของตัวเองได้ดีอีกด้วย ซึ่งแนะนำให้ลองแขวนหรือติดกระจกเงาไว้ที่ผนังหัวเตียงนะคะ เพราะเมื่อเปิดไฟสลัวๆ จะยิ่งช่วยสะท้อนให้เกิดอารมณ์เซ็กซี่ได้ดีทีเดียว เคล็ดลับแต่งห้องนอนไม่ได้นอน ที่เรานำมาฝากในบทความด้านบนเป็นเพียงตัวช่วยเติมไฟรักให้ชีวิตคู่ของคุณมีสีสันและชีวิตชีวามากขึ้นเท่านั้น หากแต่การรักษาชีวิตคู่ให้ยืนยาวนั้นต้องขึ้นอยู่กับการกระทำ ความใส่ใจ ความไว้เนื้อเชื่อใจ และการประนีประนอมซึ่งกันและกันนะคะ สุดท้ายหากชาว Review Your Living ได้ลองนำไอเดียเหล่านี้ไปตกแต่งห้องนอนกันแล้ว ก็อย่าลืมถ่ายรูปมาให้ทีมงานชื่นชมในแฟนเพจบ้างนะคะ :) รูปภาพจาก : Pinterest
เฮเฟเล่ แนะนำกระจกอัจฉริยะ เติมเต็มความล้ำสมัยสำหรับยูสเซอร์ใน ยุคดิจิทัลไลฟ์สไตล์

เฮเฟเล่ แนะนำกระจกอัจฉริยะ เติมเต็มความล้ำสมัยสำหรับยูสเซอร์ใน ยุคดิจิทัลไลฟ์สไตล์

บริษัท เฮเฟเล่ (ประเทศไทย) จำกัด แนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุด กระจกอัจริยะ (HÄFELE BATHROOM MIRROR) ที่สุดแห่งความล้ำสมัยที่ตอบโจทย์ยูสเซอร์ยุคดิจิทัลไลฟ์สไตล์อย่างแท้จริง ด้วยฟังก์ชั่น ระบบไฟทั้งด้านหน้ากระจก (Front Light) และหลังกระจก (Background Light) ซึ่งสามารถปรับรูปแบบของแสงได้ทั้งวอร์มไลท์ (Warm Light) และคลูไลท์ (Cool Light) ให้เหมาะสำหรับการพักผ่อนหรือเวลาแต่งหน้า ซึ่งระดับของแสงได้รับการรับรองค่าความถูกต้องของแสงซีอาร์ไอ 90 (CRI 90) และยังสามารถจดจำพฤติกรรมการใช้งานได้ด้วย แสงไฟหน้ากระจกที่สว่างสดใสสามารถลดการเกิดเงาจากแสงบนเพดานได้ ทำให้มองเห็นใบหน้าชัดทุกมุมโดยไม่มีแสงด้านอื่นตกระทบ มีฮีทเตอร์ (Heater) ในตัวสำหรับกำจัดไอน้ำ ช่วยรักษาอุณหภูมิกระจกกับในห้องน้ำให้เท่านั้นเพื่อให้กระจกใสสว่างอยู่ตลอดเวลา พิเศษกับความสามารถสั่งงานผ่านสมาร์ทโฟน ด้วยการเชื่อมต่อสัญญาณบลูทูธในการเปิดเพลง ตลอดจนสามารถปรับระดับแสง, เลือกสีของแสง และปรับอุณหภูมิของฮีทเตอร์กระจกได้ สแตนบายการทำงานได้ถึง 45 นาที เพื่อการประหยัดพลังงาน มีให้เลือกตั้งแต่ขนาด 900x600 มิลลิเมตร ราคา 24,500 บาท, 900x900 มิลลิเมตร ราคา 29,960 บาท และ 1,200x900 มิลลิเมตร ราคา 35,310 บาท ทุกขนาดสามารถปรับได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอน กระจกอัจฉริยะจากเฮเฟเล่ HÄFELE BATHROOM MIRROR นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ที่ผสานดิจิทัลเข้าไปในทุกๆ ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต เพื่อให้ทุกจังหวะชีวิตเป็นเรื่องง่ายและล้ำสมัยเหนือใคร กระจกอัจฉริยะจากเฮเฟเล่ HÄFELE BATHROOM MIRROR มีวางจำหน่ายแล้วที่เฮเฟเล่ ดีไซน์ สตูดิโอ  ทุกสาขา อาทิ สุขุมวิท 64, พัทยา, หัวหิน, ภูเก็ต, และสาขาเชียงใหม่ หรือตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์เฮเฟเล่ทั่วประเทศ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ โทร. 02-741-7171 หรือเลือกชมเลือกซื้อสินค้าผ่านเแคทตาล็อคออนไลน์ ได้ที่ www.hafelethailand.com. www.hafelethailandshop.com  หรือ LINE @hafele
เลือกฝ้าเพดานยิปซัมที่ใช่ ให้บ้านของคุณ

เลือกฝ้าเพดานยิปซัมที่ใช่ ให้บ้านของคุณ

หลายๆคนมักมองข้ามความสำคัญของการเลือกฝ้าเพดาน และคิดว่าห้องไหนๆภายในบ้าน ก็ติดตั้งฝ้าเพดานแบบเดียวกันได้หมดเพราะลักษณะภายนอกของแผ่นฝ้าเพดานดูไม่แตกต่างกัน หากจำเป็นต้องมีการซ่อมแซม หรือ ทำฝ้าเพดานใหม่ เจ้าของบ้านอย่างเรามักยกให้เป็นหน้าที่ของผู้รับเหมา หรือช่างติดตั้ง เนื่องจากคนเหล่านั้นมีประสบการณ์และความชำนาญด้านการก่อสร้างและตกแต่งสูง แต่ความเป็นจริง เรื่องฝ้าเพดาน เป็นเรื่องสำคัญเพราะฝ้าเพดานเป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบที่จะทำให้การอยู่อาศัยในบ้านลงตัวมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินไปสำหรับเจ้าของบ้านที่จะมีส่วนในการเลือกผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับการใช้งาน เพื่อการอยู่อาศัยในระยะยาว ประหยัดเวลาและความยุ่งยากในการซ่อมแซมภายหลัง และก่อให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด คุณยุทธศักดิ์ นฤชัยปราโมทย์ ผู้อำนวยการฝ่ายสถาปัตยกรรม บริษัท สยามอุตสาหกรรมยิปซัม (สระบุรี) จำกัด กล่าวว่า เราควรเลือกฝ้าเพดานให้ตอบโจทย์การใช้งานอย่างเหมาะสม เนื่องจากในแต่ละส่วนของบ้าน มีปัจจัยแวดล้อมที่ก่อให้เกิดสภาพที่ต่างกัน เช่น ความร้อน ความชื้น หรือ การเกิดคราบรา พูดง่ายๆ คือ การเลือกฝ้าเพดานสำหรับบ้านพักอาศัย แบ่งตามการใช้งานหลักได้ 4 ประเภท ได้แก่ การใช้งานภายในบ้านทั่วไป  การใช้งานในห้องน้ำ ห้องชั้นบนหรือห้องใต้หลังคา หรือการใช้งานบริเวณฝ้าชายคา ซึ่งการใช้งานแต่ละประเภทจะมีวิธีการเลือกฝ้าเพดานยิปซัมที่มีคุณสมบัติเฉพาะที่แตกต่างกัน ภายในบ้านทั่วไป ควรคำนึงถึงฝ้าที่มีคุณสมบัติพื้นฐานช่วยให้ห้องเงียบและเย็นสบายขึ้น ด้วยแผ่นฝ้ายิปซัมมาตรฐาน ตราช้าง พลัส ที่มีความแข็งแกร่งทั่วแผ่น ติดตั้งง่าย เพื่อให้สามารถใช้งานได้ยาวนานและได้ความสวยเรียบเนียนทั้งผืน แผ่นยิปซัมทนชื้น ตราช้าง พลัส ห้องชั้นบนหรือห้องใต้หลังคา เป็นพื้นที่ที่จะสะสมความร้อนได้ง่ายๆ เนื่องจากความร้อนที่สะสมผ่านมาทางหลังคาในช่วงกลางวันและทำให้ห้องร้อนในช่วงกลางคืน ที่ผ่านมามักจะถูกแนะนำให้ปูฉนวนกันความร้อนร่วมกับการใช้แผ่นฝ้ายิปซัมมาตรฐาน ทั้งนี้ แผ่นยิปซัมป้องกันความร้อน ตราช้าง พลัส จึงมีคุณสมบัติสะท้อนรังสีความร้อนได้สูงถึง 93.7% ช่วยลดความร้อนที่ผ่านมาทางหลังคา แถมยังช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าได้เพิ่มขึ้นด้วย แผ่นยิปซัมป้องกันความร้อน ตราช้าง พลัส ห้องน้ำ เป็นพื้นที่ที่มีความชื้นสูง และมีการใช้งานอย่างเป็นประจำ หากมีการระบายอากาศที่ไม่ดี ไอน้ำจะขึ้นไปกระทบกับแผ่นฝ้าเพดานโดยตรงและอาจส่งผลให้ฝ้าเพดานแอ่นตัว บวม และชำรุดเสียหายได้ง่ายขึ้นจึงจำเป็นต้องเลือกใช้แผ่นฝ้าที่สามารถทนความชื้นได้ดี ดูดซึมน้ำต่ำ มีความแข็งแกร่งทั่วแผ่นเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการบวม แอ่นตัว และหดตัว ซึ่งผลิตภัณฑ์ แผ่นยิปซัมทนชื้น ตราช้าง พลัส สามารถตอบโจทย์ความต้องการให้เจ้าของบ้าน ด้วยเนื้อแผ่นชนิดพิเศษผสมสารป้องกันการดูดซึมความชื้น ทำให้ทนชื้นได้ดีและดูดซึมน้ำต่ำ เหมาะกับฝ้าเพดานในห้องน้ำอย่างมาก แผ่นยิปซัมทนชื้น ตราช้าง พลัส แผ่นยิปซัมเวเทอร์บล็อค ตราช้าง  “ยิปซัม ตราช้าง” ในฐานะผู้นำนวัตกรรมฝ้าเพดานและระบบผนังยิปซัมแนวหน้าของประเทศไทย จึงให้ความสำคัญกับนวัตกรรมที่สามารถตอบสนองความต้องการและการใช้งานที่หลากหลาย เพื่อให้งานก่อสร้างและตกแต่งภายในเป็นเรื่องง่ายสำหรับช่างและเจ้าของบ้าน  ผลิตภัณฑ์ของยิปซัมตราช้าง จึงถูกออกแบบให้ตอบโจทย์การใช้งานได้ประสิทธิผลสูงสุด” คุณยุทธศักดิ์ กล่าวเสริม มาช่วยกันเลือกฝ้าเพดานยิปซัมที่ใช่ ให้บ้านของคุณ เจ้าของบ้านสามารถสอบถามข้อมูลการใช้งานเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนยิปซัมตราช้าง โทร. 02-555-0000 หรือ www.siamgypsum.com หรือ facebook fanpage : @GypsumTraChangTH”
จัดระเบียบคอนโดพื้นที่จำกัด ด้วยเฟอร์นิเจอร์ราคาโดนใจ ตอบทุกไลฟ์สไตล์

จัดระเบียบคอนโดพื้นที่จำกัด ด้วยเฟอร์นิเจอร์ราคาโดนใจ ตอบทุกไลฟ์สไตล์

ต้องยอมรับจริงๆ ค่ะว่าวิถีชีวิตของผู้คนในสังคมยุค 4.0 นั้นเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก การเลือกซื้อที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดฯ จึงเป็นตัวเลือกที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการได้ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็น ทำเลที่ตั้งที่อยู่ใจกลางเมือง การเดินทางที่สะดวกใกล้ทางด่วนหรือรถไฟฟ้า รวมไปถึงการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ใกล้แหล่งความเจริญอย่าง ห้างสรรพสินค้า, สถานที่ทำงาน, โรงเรียน หรือโรงพยาบาล ก็ล้วนแต่อยู่ในพิกัดที่ง่ายต่อการไปถึง แต่ความสะดวกสบายนั้นก็ต้องแลกกับพื้นที่จำกัดของคอนโดฯ ที่ทำให้การใช้ชีวิตของมนุษย์ต้องอาศัยอยู่ภายในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ เท่านั้น ดังนั้นการเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์หรือของแต่งห้องเอง จึงต้องให้ความสำคัญเป็นอับดับต้นๆ เพราะต้องคำนึงถึงความเหมาะสมกับขนาดว่าจะนำมาจัดวางอย่างไรให้ลงตัว รวมไปจนถึงการใช้งานภายในห้องเล็กๆ เหล่านี้ด้วยว่าตอบโจทย์หรือไม่ นอกจากนี้การออกแบบของรูปลักษณ์ และราคาก็ถูกนำมาพิจารณาในการตัดสินใจอีกด้วย อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ (Index Living Mall) ผู้นำด้านเฟอร์นิเจอร์ ของแต่งบ้านและของใช้ภายในบ้าน จึงได้ออกแบบเฟอร์นิเจอร์ที่สามารถสร้างพื้นที่และแต่งห้องไปพร้อมๆ กัน เพื่อเป็นการตอบโจทย์ให้กับผู้อยู่อาศัยที่มีปัจจัยจำกัดด้านพื้นที่ในสมัยนี้ ชุดห้องนอน CLICK คือเฟอร์นิเจอร์ที่ช่วยแก้ไขปัญหาพื้นที่อันจำกัดภายในคอนโดฯ อย่างห้อง Studio หรือห้องขนาดเล็กได้เป็นอย่างดี โดยสามารถเปลี่ยนพื้นที่ใช้สอยในห้องนอนขนาดเล็กให้กว้างขวางมากขึ้นได้ ตัวเฟอร์นิเจอร์เป็นได้ทั้งเตียงนอนสำหรับการพักผ่อน และพื้นที่จัดเก็บในชิ้นเดียวกัน เน้นรูปแบบที่เรียบง่ายสไตล์โมเดิร์นกับโทนสีขาวสบายตา พร้อมโดดเด่นด้วยฟังก์ชั่นการใช้งานอันหลากหลาย โดยนำคุณสมบัติของโต๊ะ ตู้ และเตียง มาผสมผสานกันได้อย่างลงตัว อีกทั้งยังมอบความสะดวกสบาย โดยไม่จำเป็นต้องสรรหาเฟอร์นิเจอร์ชิ้นอื่นให้มาเปลืองพื้นที่เลยค่ะ จึงช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากเลยทีเดียว แถมยังมีความคุ้มค่า เพราะดีไซน์ครบทุกฟังก์ชั่นการใช้ชีวิตภายใต้พื้นที่อันน้อยนิดในคอนโดฯ เหมาะกับทุกสไตล์ห้อง เนื่องจาก ชุดห้องนอน CLICK มีรูปลักษณ์ที่ดูโมเดิร์น สบายตา ภายใต้ดีไซน์ที่เรียบง่าย จึงทำให้เข้ากับการแต่งคอนโดฯ ได้หลากหลายรูปแบบ หลากหลายสไตล์ เช่น การตกแต่งในสไตล์โมเดิร์นของผู้คนสมัยใหม่ การตกแต่งในแบบ Cozy Living ที่ดูอบอุ่น หรือแม้กระทั่งการตกแต่งในสไตล์มินิมอล น้อยชิ้นแต่มีฟังก์ชั่น เฟอร์นิเจอร์ชิ้นนี้ก็สามารถรองรับได้ทุกรูปแบบ ราคาสบายกระเป๋า เมื่อราคามีผลต่อการตัดสินใจ หากคุณผู้อ่านมีงบประมาณในการจับจ่ายอย่างจำกัด การเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์เพียงชิ้นเดียวแต่สามารถใช้สอยประโยชน์ได้อย่างมากมายภายใต้ราคาอันย่อมเยา ซึ่งมีให้เลือกสรรถึง 2 รุ่นด้วยกัน คือ ชุดห้องนอน CLICK  รุ่นหัวเตียงเตี้ย ในราคา 19,900 บาท และ รุ่นหัวเตียงสูง ในราคา 29,900 บาท ทำให้มั่นใจได้ว่านอกจากจะได้เฟอร์นิเจอร์ที่ใช้งานได้หลากหลายแล้ว ยังมีพื้นที่ในการจัดเก็บสิ่งของได้อย่างจุใจ ไม่ว่าจะไซส์เล็กหรือใหญ่ก็สามารถจัดเก็บให้เป็นระเบียบเรียบร้อยและครบถ้วนได้อย่างง่ายดายเลยค่ะ ช่องสำหรับเก็บสัมภาระขนาดใหญ่บริเวณท้ายเตียง หรือสามารถเอาไว้เลี้ยงสัตว์ได้ คืนพื้นที่ให้คอนโดฯ หลายครั้งที่พื้นที่เล็กๆ ของคอนโดฯ เต็มไปด้วยข้าวของที่กระจัดกระจายไม่เป็นระเบียบ ชุดห้องนอน CLICK นั้นสามารถเก็บข้าวของเครื่องใช้ได้หลากหลาย ด้วยช่องใส่ของที่มีมากมายไม่ว่าจะเป็นลิ้นชักหรือบานตู้ที่ช่วยซ่อนความรกของข้าวของได้เป็นอย่างดี โดยมาพร้อมขนาดและรูปทรงอันหลากหลายรายล้อมรอบเตียงไว้ เพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นด้านบน ด้านข้าง หรือแม้กระทั่งด้านล่าง ก็ล้วนตอบโจทย์ความต้องการได้ทุกรูปแบบ ซึ่งทำให้มีพื้นที่ในการจัดเก็บเพิ่มมากขึ้น รวมไปจนถึงการหยิบใช้ก็แสนสะดวกสบาย ทำให้ประหยัดเวลาในการหาของใช้ แถมยังประหยัดเงินด้วยราคาที่คุ้มค่ากับฟังก์ชั่นการใช้งานภายในงบประมาณที่จับต้องได้ เพื่อให้คอนโดฯ ของคุณได้มีพื้นที่เหลือมากขึ้น ตู้วางทีวี มีช่องสำหรับเก็บของเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย ภายในตู้ถูกออกแบบมาให้สามารถปรับเป็นตู้รองเท้าและวางของได้ สวยครบเครื่องในเฟอร์นิเจอร์ชิ้นเดียว หลายคนที่อาศัยอยู่ในคอนโดฯ ห้องขนาดเล็ก คงเข้าใจดีว่าพื้นที่แต่งตัวนั้นยากต่อการจัดสรรให้เป็นอย่างใจ ยิ่งถ้าขนาดห้องเล็กมาก บางคนอาจต้องใช้โต๊ะเครื่องแป้งในห้องน้ำ หากมุมแต่งตัวเพื่อเตรียมความพร้อมในแต่ละวันของคุณยังจัดได้ไม่ลงตัว ทำให้เกิดความลำบากและยุ่งยากในการใช้ชีวิตมากขึ้น การเลือกชุดห้องนอนครบฟังก์ชั่น CLICK แบบรุ่นหัวเตียงสูง ที่รวมตู้เสื้อผ้าและโต๊ะเครื่องแป้งในหนึ่งเดียว พร้อมช่องเก็บของเอนกประสงค์ที่สามารถจัดเก็บหนังสือ ของใช้ส่วนตัวและอุปกรณ์ต่างๆ รวมทั้งการเสริมเฟอร์นิเจอร์ อย่างตู้เสื้อผ้าบานสไลด์ และตู้วางทีวี มาช่วยเพิ่มพื้นที่จัดเก็บให้มากยิ่งขึ้น เพียงเท่านี้ก็สามารถดำเนินชีวิตในแต่ละวันได้อย่างสะดวกสบาย และมีสไตล์ไปพร้อมๆ กันแล้ว ชุดห้องนอน รุ่น CLICK ที่รวมเตียงนอน ตู้เสื้อผ้า และโต๊ะเครื่องแป้งในหนึ่งเดียว พร้อมช่องเก็บของอเนกประสงค์ การตกแต่งคอนโดในปัจจุบันแค่ความสวยเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอนะคะ การตกแต่งห้องนอนที่ดีจึงต้องคำนึงถึงพื้นที่ใช้สอยไปพร้อมกับการใช้งานด้วย หากคุณอยากจัดระเบียบคอนโดพื้นที่จำกัดให้คุ้มค่าทุกตารางนิ้ว การเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ดีไซน์ทันสมัยในฟังก์ชั่นที่เป็นมากกว่าหนึ่งที่เรานำมาแนะนำกันในวันนี้ ก็สามารถจัดระเบียบห้องให้สวยมีสไตล์ และพร้อมสำหรับทุกการใช้สอยในงบประมาณจำกัดก็เป็นตัวเลือกที่ดีไม่ใช่น้อย สำหรับผู้ที่สนใจลองไปสัมผัสของจริงได้ที่โชว์รูม อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ ทั่วประเทศ หรือคลิกดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.indexlivingmall.com ขอบคุณรูปภาพจาก : indexlivingmall
10 วิธี เปลี่ยนบ้านจัดสรรให้สวยงาม มีสไตล์ เหมาะสมกับการใช้งาน

10 วิธี เปลี่ยนบ้านจัดสรรให้สวยงาม มีสไตล์ เหมาะสมกับการใช้งาน

ปฏิเสธไม่ได้เลยค่ะว่า "บ้านจัดสรร" คือตัวเลือกและทางออกของใครหลายคนที่ต้องการลดความยุ่งยากในขั้นตอนการสร้างบ้านสักหลัง เพราะโครงการจัดสรรต่างๆ มักตั้งอยู่ในทำเลที่เราคงไม่สามารถหาเองได้ง่าย อีกทั้งมีระบบสาธารณูปโภคครบครัน จึงมักเป็นคำตอบส่วนใหญ่ของคนที่อยากมีบ้านหลังแรก ซึ่งการออกแบบโดยใช้ระบบอุตสาหกรรมในการทำองค์ประกอบของบ้านซ้ำๆ กันนั้นก็เพื่อช่วยลดต้นทุน จึงเลี่ยงไม่ได้ที่บ้านจัดสรรจะมีรูปแบบและหน้าตาเหมือนกันไปหมดทั้งโครงการ บางคนอาจจะเบื่อเพราะอยากได้บ้านที่ไม่เหมือนใคร ทีมงานเราเข้าใจดีค่ะ จึงค้นหาคำตอบว่าจะตกแต่งบ้านจัดสรรอย่างไรให้ออกมาสวยงามมีสไตล์ ดูแตกต่าง เหมาะกับการใช้งาน และลงตัวกับชีวิตของเรามากขึ้น 10 วิธีปรับปรุงบ้านที่เรานำมาแนะนำในวันนี้ เป็นวิธีง่ายๆ ที่ให้ผลลัพธ์ชัดเจน เริ่มตั้งแต่ พื้น ผนัง เพดาน ไปจนพื้นที่นอกบ้าน ให้คุณได้ค่อยๆ ปรับปรุงไปทีละเล็กทีละน้อย โดยจะเลือกทำข้อไหนก่อนก็ได้นะคะ ตามกำลังและความสะดวกของแต่ละคนเลย แต่จะมีอะไรบ้างตามไปดูกันเลย.. 1. เปลี่ยนผนังตามใจฉัน ถ้าเบื่อผนังสีขาวแบบเดิมๆ ลองเติมสีสันให้ห้องด้วยการเปลี่ยนสี หรือสร้างลวดลายให้ผนัง หากผู้อ่านมีความสามารถเชิงช่างและมีใจรักงานศิลปะก็สามารถทำเองได้ง่ายๆ เลยค่ะ หรือจะใช้ความสวยงามของวัสดุแทนสีสัน อย่าง อิฐโชว์แนวโทนสีส้มตัดสลับกับผนังสีขาวธรรมดา ก็ทำให้มุมเดิมๆ ของบ้านดูแปลกตาได้ขึ้นมาง่ายๆ 2. เปลี่ยนมือจับประตูจากหมุนเป็นบิด อย่างที่ทราบกันดีแหละค่ะว่าบ้านจัดสรรคงไม่มีอะไรถูกใจเราไปทั้งหมด ดังนั้นการปรับเปลี่ยนเพียงนิดหน่อยอาจทำให้เราใช้งานได้สะดวกขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ลูกบิดทรงกลมแบบมาตรฐานทั่วไป ที่หาซื้อง่ายและมีราคาประหยัด หากคุณเป็นสายช่วยเหลือตัวเองที่ชอบถือข้าวของพะรุงพะรัง การใช้มือจับแบบก้านโยกน่าจะช่วยเพิ่มความสะดวกได้มากขึ้น ถึงมือไม่ว่าง แต่ข้อศอกยังอยู่ สามารถใช้ศอกกดเพื่อเลื่อนเปิดประตูได้ในยามฉุกเฉินได้เช่นกัน 3. กั้นพื้นที่ใหม่  การกั้นพื้นที่ด้วยพาร์ทิชั่นคงไม่ใช่เรื่องใหม่ของการต่อเติมใช่ไหมคะ แต่การออกแบบให้มีระยะที่พอดี มีระยะช่องเก็บของที่สวยงามเป็นสิ่งสำคัญ หากไม่อยากง้อช่าง ลองซื้อตู้สำเร็จรูปมาประกอบร่างดู เพียงเท่านี้ก็สามารถกั้นพื้นที่และเก็บของได้ในตัวแล้ว ยิ่งถ้านำของใช้ของตกแต่งมาประดับเพิ่ม ก็ยิ่งทำให้บ้านมีความสวยงามมากขึ้น 4. ปรับบ้านให้โปร่งโล่ง หากคุณอยากให้บ้านดูโปร่งโล่งสบายแล้วล่ะก็ การรื้อผนังทึบออก เปลี่ยนมาติดผนังกระจกแทน หรือแค่ใช้วิธีกั้นห้องเพิ่มด้วยการใช้บานประตูแคบๆ อย่างบานเฟี้ยม ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ทำให้เราสามารถจัดการกับพื้นที่ได้อย่างเป็นสัดส่วนมากขึ้น ทั้งยังทำให้บ้านดูกว้างขึ้นอีกด้วย 5. แค่เปลี่ยนพื้น อารมณ์ก็เปลี่ยน นอกจากผนังและหลังคาแล้ว องค์ประกอบหนึ่งซึ่งกินบริเวณในบ้านของเรามากเป็นพิเศษก็คือพื้นด้วยวัสดุที่โครงการจัดสรรเลือกมาให้ก็อาจไม่ตรงกับใจที่เราอยากจะให้บ้านในฝันของเราเป็นได้ ดังนั้นหากต้องการเปลี่ยนบรรยากาศให้บ้าน การเปลี่ยนวัสดุปูพื้นก็เป็นสิ่งที่ทำให้เห็นผลได้เด่นชัดที่สุด เช่น กระเบื้องดินเผาช่วยเพิ่มความอบอุ่นและดูเป็นกันเอง หรือจะเป็นกระเบื้องลายสวยๆ ที่สร้างเรื่องราวให้พื้นที่ที่ออกแบบไว้ นอกจากนี้ยังมีวัสดุอย่างพื้นปูนขัดมัน ก็เป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจ ในทางกลับกันวัสดุปูพื้นอย่างไม้ปาร์เกต์ หรือกระเบื้องยางลายธรรมชาติต่างๆ ก็เป็นตัวเลือกที่ช่วยให้บรรยากาศอบอุ่นน่าสัมผัสด้วยเท้าเป็นอย่างดี 6. ทำเคาน์เตอร์ครัวแสนเก๋ แน่นอนว่าเคาน์เตอร์ครัวสมัยนี้ต้องมีไอส์แลนด์ไว้เพิ่มการใช้งาน เพื่อให้สมาชิกภายในบ้านได้นั่งรับประทานอาหารเช้า หรือมีเพื่อนมานั่งจิบไวน์พูดคุยเบาๆ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือขนาดของเคาน์เตอร์ที่ต้องปรับไปตามการใช้งาน หากใช้งานครัวทำขนมหรืออาหารเป็นหลัก ความกว้างของเคาน์เตอร์ที่ใช้งานสะดวกอยู่ที่ประมาณ 80-85 เซนติเมตร ความสูงประมาณ 1.10 เซนติเมตร และอย่าลืมเว้นระยะกันเตะด้านล่างเคาน์เตอร์ เพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้งานด้วยนะคะ 7. ต่อเติมกันสาดและชายคา ประเทศไทยมีแสงแดดและฝนเยอะ ช่องเปิดต่างๆ เช่น ประตูหน้าต่างจึงมักถูกปิดเอาไว้หรือไม่ก็มีม่านบังแดด น่าเสียดายหากมีสวนสวยๆหรือวิวดีๆที่ต้องอดมองไป มากกว่านั้นคือการที่ช่องเปิดต่างๆ ไม่เปิดระบายอากาศได้ ลองทำกันสาดคุ้มแดดคุ้มฝนให้ช่องประตูหน้าต่าง เท่านี้เราก็ไม่ต้องกลัวแดดกลัวฝน สามารถใช้งานช่องเปิดเหล่านั้นได้อย่างเต็มที่ จะให้ดีก็ลองเลือกรูปแบบกันสาดตามสไตล์ที่ชอบไปเลย เช่น โครงอะลูมิเนียมบางๆกับอะคริลิกกรองแสงสำหรับบ้านโมเดิร์น  หรือจะเติมไม้ระแนงให้ดูอบอุ่นแบบบ้านไม้เพิ่มขึ้นก็เข้าที 8. ทำทางเดินบริเวณบ้านให้น่าเดิน ส่วนใหญ่แล้วบริเวณข้างบ้านจัดสรรจะมีพื้นที่อยู่โดยรอบ ครั้นจะเทปูนก็น่าเสียดาย แต่จะปูหญ้าหมดก็คงอยู่ได้ไม่ได้  ข้อแนะนำคือลองแบ่งพื้นที่หญ้า และวางแผ่นทางเดินแค่พอเดินได้ โดยเว้นพื้นที่ไว้ให้หญ้าสามารถขึ้นได้บ้าง ซึ่งแผ่นทางเดินสมัยนี้ก็มีหลากหลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นแผ่นคอนกรีต หรือไม้เทียม ก็ล้วนแต่ดูดี ถ้าหากต้องการแบ่งพื้นที่ให้ชัดเจน ก็อาจทำยกพื้นด้วยเหล็กกล่องเพื่อแยกพื้นออกจากแนวดิน หากข้างบ้านมีประตูบานเลื่อนก็นั่งเล่นหย่อนขาได้อีกด้วย  และสำหรับปัญหาหญ้าขึ้นรกนั้น วิธีการหนึ่งที่ช่วยป้องกันไม่ให้หญ้าขึ้นจนรกมาบดบังทางเดินก็คือการโรยกรวดหรือหินก้อนเล็กๆ เอาไว้ เพียงเท่านี้ทางเดินก็จะดูเรียบร้อยน่าเดินแม้ในวันที่หญ้าขึ้นสูงแล้วค่ะ 9. จัดพื้นที่สวนสวยเล็กๆ  เมื่อมีทางเดินข้างบ้านแล้ว แนะนำให้จัดสวนสวยๆ ไว้ข้างบ้านด้วยนะคะ ซึ่งปกติแล้วการจัดสวนต้องมีพื้นที่พอประมาณ แต่หากมองว่ารั้วของเราสามารถเป็นพื้นที่สีเขียวได้ การทำสวนกระถาง สวนแขวน หรือการปลูกไม้เลื้อย ก็สามารถสร้างวิวดีๆ ที่ทำให้พื้นที่ในบ้านมีความเชื่อมโยงกับธรรมชาติภายนอก สามารถมองจากหน้าต่างห้องรับแขกหรือห้องกินข้าวได้เลยทีเดียว หรืออาจวางม้านั่งเล็กๆ ไว้เป็นมุมพักผ่อนก็ยังได้ 10. รั้วบ้านต้องสวยงาม เราสามารถสร้างความเชื่อมโยงจากภายในสู่ภายนอกให้ผู้อยู่ในบ้านไม่รู้สึกอึดอัด ด้วยการทำแนวรั้วบ้านด้วยต้นไม้อย่างโมก ข่อย หรือเฟิร์นเกาหลี นอกจากจะช่วยลดความแข็งกระด้างของรั้วปูนทึบๆ ด้วยการที่รั้วแบบนี้สามารถเห็นภายนอกรั้วบ้านได้โดยสะดวก การใช้ต้นไม้ผสมกับโครงสร้างของรั้วเดิมก็เป็นวิธีการที่น่าสนใจหากต้องการความเป็นส่วนตัวมากยิ่งขึ้นสำหรับรั้วเดิมที่สูงอยู่แล้วและการต่อโครงเพื่อปลูกไม้เลื้อยให้สูงขึ้นไปจากแนวรั้วเดิมก็เพื่อบดบังมุมมองสายตาจากชั้นสองบ้านข้างๆ หรือจะลดความสูงของรั้วปูนเดิมลง ปลูกต้นไม้สลับบ้าง ก็จะลดความทึบทึมของบ้านลงได้อย่างมากเลยล่ะ การออกแบบ และการเลือกใช้วัสดุที่ทางโครงการจัดสรรเลือกมาให้อาจไม่ตรงกับใจกับบ้านในฝันของเราไปทั้งหมดหรอกค่ะ ทั้งนี้ก็แล้วแต่ความชอบส่วนบุคคล แต่ถ้าคุณผู้อ่านอยากให้บ้านจัดสรรของคุณดูสวยงาม ไม่เหมือนใคร แถมยังใช้งานได้เป็นอย่างดี ลองนำวิธีที่เรานำมาฝากไปปรับใช้กันดูนะคะ รับรองว่าบ้านของคุณจะสวยและมีเอกลักษณ์อย่างที่คาดไม่ถึงเลยล่ะ รูปภาพจาก Pinterest
วิธีกำจัดแมลงสาบในบ้านง่ายๆ ได้ผลดีที่สุด

วิธีกำจัดแมลงสาบในบ้านง่ายๆ ได้ผลดีที่สุด

เมื่อพูดถึงสัตว์ ที่มักสร้างความรำคาญและน่ากลัวภายในบ้าน คงหนีไม่พ้น แมลงสาบ ใช่ไหมคะ? เพราะแมลงชนิดนี้ชอบอาศัยอยู่ในที่อุ่นชื้น, มืด ชอบกินเศษอาหารและขยะ ซึ่งฝุ่นจากซากแมลงสาบนั้นจัดเป็นสารก่อภูมิแพ้ทำให้เกิดโรคจมูกอักเสบ และโรคภูมิแพ้อื่นๆ อย่างหอบหืดได้ ทั้งยังก่อให้เกิดอาการภูมิแพ้ได้จากการสัมผัส การสูดดมและการกิน รวมถึงเป็นสัตว์พาหะนำเชื้อโรคมาสู่มนุษย์ได้ เพราะเป็นตัวกลางของพยาธิบางชนิด แน่นอนว่าคงไม่มีอยากพบเจอแมลงชนิดนี้ในบ้าน หากคุณเคยประสบปัญหาแมลงสาบกวนใจวิ่งพล่านไปทั่ว สร้างความปวดหัวให้สมาชิกในครอบครัวไม่น้อย แถมยังทำให้บ้านดูสกปรก เกิดเชื้อรา เป็นพาหะนำโรค วันนี้เราจึงมีวิธีป้องกันและกำจัดแมลงสาบในบ้านมาฝากค่ะ วิธีป้องกันแมลงสาบในบ้าน 1. หมั่นทำความสะอาดบ้านเป็นประจำ แน่นอนว่าความสะอาด เป็นสิ่งสำคัญ ไม่เพียงแต่ป้องกันเฉพาะแมลงสาบเท่านั้น แต่รวมไปถึงสัตว์อื่นๆ อย่าง มด และหนู เป็นต้น ฉะนั้นเราจึงควรดูแลบ้านให้ดี และหมั่นทำความสะอาดบ้านเป็นประจำ นอกจากนี้ไม่ควรวางอาหารทิ้งไว้ เพราะแมลงสาบมักชอบกินเศษอาหารและขยะ ซึ่งควรกำจัดเศษอาหารที่เป็นแหล่งรวมเชื้อโรค เท่านี้ก็ช่วยป้องกันแมลงสาบกวนใจได้ในระดับหนึ่งแล้วค่ะ 2. อุดรอยรั่ว รวมถึงแหล่งน้ำขังต่างๆ สำหรับวิธีการป้องกันแมลงสาบอีกหนึ่งสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามเลยก็คือ รอยรั่วซึม รวมไปจนถึงแหล่งน้ำขังต่างๆ เพราะแมลงสาบไม่สามารถขาดน้ำได้เกิน 1 อาทิตย์ ดังนั้นหากพบรอยรั่วซึมของน้ำ หรือแหล่งน้ำขัง แนะนำให้ทำการแก้ไขโดยทันทีค่ะ เพื่อช่วยป้องกันแมลงสาบเข้ามาวุ่นวายในบ้านได้ วิธีกำจัดแมลงสาบในบ้าน 1. ลองใช้สบู่ผสมน้ำดูสิ.. หลายคนอาจสงสัยว่าสบู่สามารถช่วยกำจัดแมลงสาบได้ด้วยเหรอ? ขอตอบเลยค่ะว่า ได้! เพราะกลิ่นหอมของสบู่ เป็นกลิ่นที่ทำให้แมลงสาบไม่ชอบ และไม่อยากเข้าใกล้ วิธีง่ายๆ ก็แค่นำสบู่ไปผสมกับน้ำเล็กน้อย จากนั้นก็นำไปวางตามบริเวณจุดต่างๆ ที่มักมีแมลงสาบ เท่านี้ก็สามารถไล่แมลงสาบได้แล้วค่ะ แต่วิธีนี้ผู้อยู่อาศัยต้องหมั่นเติมสบู่อยู่บ่อยครั้งนะคะ เนื่องจากสบู่จะค่อยๆ ละลายหายไปกับน้ำนั่นเอง 2. ใบกระวานก็ช่วยได้นะ ใบกระวาน ถือเป็นใบที่มีกลิ่นเป็นเอกลักษณ์ จึงนิยมนำไปใช้เป็นเครื่องเทศแต่งกลิ่นในอาหารต่างๆ  ซึ่งถือเป็นอีกกลิ่นที่แมลงสาบไม่อยากเข้าใกล้และไม่ชอบเป็นอย่างมาก ดังนั้นเมื่อเรารู้ว่าเจ้าแมลงสาบไม่ชอบ ก็แค่เพียงนำใบกระวานไปวางตามจุดต่างๆ ภายในบ้าน หรือบริเวณที่มักมีแมลงสาบ ก็จะสามารถไล่แมลงสาบได้เช่นกันค่ะ 3. ลูกเหม็นก็สำคัญ ลูกเหม็นที่เราใช้ดับกลิ่นในห้องน้ำ ไม่เพียงแค่ช่วยไล่แค่จิ้งจกเท่านั้น แต่ลูกเหม็นยังสามารถไล่แมลงสาบได้อีกด้วย โดยนำลูกเหม็นไปวางใกล้ๆ ถังขยะ หรือบริเวณตามจุดต่างๆ ภายในบ้าน ด้วยกลิ่นฉุนของลูกเหม็นก็จะทำให้แมลงสาบไม่กล้าเข้าใกล้ แต่วิธีนี้จะต้องเก็บให้พ้นมือเด็กนะคะ และควรมีภาชนะปิดฝาให้เรียบร้อยด้วยเพื่อป้องกันการเกิดอันตรายแก่เด็ก 4. ง่ายๆ แค่ใช้..สเปรย์พริกไทย อีกหนึ่งวิธีที่แสนง่าย สามารถทำเองได้สบายเลยค่ะ เพราะแค่นำพริกไทย ผสมกับน้ำ ใส่ลงในขวดสเปรย์เท่านี้ก็จะได้ สเปรย์พริกไทยกันแล้ว จากนั้นก็นำไปฉีดบริเวณที่แมลงสาบมักชอบอาศัยอยู่ หรือใครจะใช้เป็นพริกไทยเม็ดแทนก็ได้เช่นกันนะคะ เพียงนำพริกไทยเม็ดใส่ห่อผ้า แล้วไปวางตามจุดต่างๆ ภายในบ้าน กลิ่นฉุนของพริกไทยก็จะทำให้แมลงสาบนั้นหนีไป และไม่กล้าเข้ามาใกล้อีกค่ะ 5. เปลือกส้ม เปลือกมะนาว อย่าทิ้ง! เปลือกส้ม และเปลือกมะนาว นั้นมีประโยชน์จริงๆ ค่ะ ด้วยกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ เป็นอีกกลิ่นที่แมลงสาบไม่ชอบเช่นกัน ดังนั้นแนะนำให้นำเปลือกส้ม เปลือกมะนาว ไปปั่นเข้ากับน้ำ แล้วนำไปฉีดราดบริเวณที่แมลงสาบมักชอบอยู่ หรือจะนำเปลือกส้ม เปลือกมะนาวใส่ภาชนะไปวางตามจุดต่างๆ บริเวณภายในบ้านก็ได้เช่นกัน เท่านี้ก็สามารถไล่แมลงสาบกันได้แล้ว นอกจากไล่แมลงสาบแล้วยังสามารถใช้ไล่มดและจิ้งจกได้อีกด้วยค่ะ วิธีการป้องกันและกำจัดแมลงสาบที่เรานำมาฝาก เป็นเพียงตัวช่วยหนึ่งเท่านั้น ถ้าจะให้ได้ผลดีที่สุดควรตรวจสอบในบ้านให้ดี เพราะแหล่งอาหาร น้ำ มักเป็นที่หลบซ่อนของแมลงเหล่านี้ ดังนั้นถ้าหารรับประทานอาหารไม่หมด หรือมีเศษอาหารเหลือจึงควรเก็บอาหารในกล่องที่มีฝาปิดมิดชิด รวมไปถึงการทำความสะอาดและกำจัดฝุ่นอย่างสม่ำเสมอ รวมไปจนถึงการซ่อมแซมรอยร้าว และรูโหว่ต่างๆ ในบ้านเพื่อไม่ให้แมลงตัวป่วนเข้ามาในบ้านของเราได้อีก รูปภาพจาก : Pinterest, google 
ทำความรู้จักกับบ้านสำเร็จรูป ตัวเลือกของคนงบน้อย ใช้เวลาไม่มาก

ทำความรู้จักกับบ้านสำเร็จรูป ตัวเลือกของคนงบน้อย ใช้เวลาไม่มาก

เมื่อเทคโนโลยียุค 4.0 เดินหน้าต่อเนื่องอย่างไม่เคยหยุดยั้ง หากมองย้อนกลับไปในระยะเวลาเพียงไม่ถึง 20 ปีที่โลกได้รู้จักคอมพิวเตอร์ จะเห็นภาพชัดเลยว่าเทคโนโลยีได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์ให้ต่างไปจากเดิมมากมาย ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นด้านของการติดต่อสื่อสาร การเดินทาง การเรียนรู้ และที่อยู่อาศัย ซึ่งประเด็นสุดท้ายนั้นมีความสำคัญเกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตของเราทุกคนโดยตรง เพราะวันนี้ 'บ้าน' ได้เปลี่ยนรูปแบบไปจากเดิม เล่าย้อนไปสัก 30 ปีที่แล้ว ระบบการสร้างบ้านที่คุ้นเคยกันดีคือระบบก่อสร้างในพื้นที่ โดยฝีมือแรงงานมนุษย์ที่ลงมือทำทีละส่วนตามแบบแปลน ค่อยๆ บรรจงในทีละขั้นตอน ตั้งแต่เทคาน ก่ออิฐ ฉาบปูน เฉพาะงานโครงสร้างนั้นกินเวลาหลายเดือน และด้วยระยะเวลาในก่อสร้างที่ยาวนานนี้ทำให้เกิดนวัตกรรมก่อสร้างที่อยู่อาศัยหลายรูปแบบเพื่อร่นระยะเวลา ลดปัจจัยเสี่ยงจากการขนส่ง และลดค่าใช้จ่ายไม่ให้บานปลาย รวมทั้งหมดก็เพื่อให้เกิดความสะดวกสบายในการสร้างที่อยู่อาศัยนั่นเอง สำหรับคนที่สนใจในเรื่องของบ้านสำเร็จรูป แต่ไม่รู้ว่างานก่อสร้างแบบไหนที่เหมาะกับการใช้งานที่แท้จริง วันนี้เราจะพาไปรู้จักระบบของบ้านสมัยใหม่ที่จะช่วยให้เข้าใจและตัดสินใจได้ง่ายขึ้น   KNOCK DOWN     บ้านสมัยใหม่ที่หลายคนคงคุ้นหูคุ้นตาคนไทยมานานสำหรับระบบก่อสร้างแบบ Knock down หรือเรียกว่าบ้านสำเร็จรูป ซึ่งส่วนใหญ่มักจะติดภาพ บ้านไม้ชั้นเดียว ที่มีขนาดเล็ก กะทัดรัด สร้างอยู่ทำเลที่เข้าถึงยาก และมักจะสร้างเป็นรีสอร์ต เป็นที่พักอาศัยชั่วคราว แต่ในปัจจุบัน รูปทรงของบ้านน็อคดาวน์ได้ต่างไปจากเดิมแล้วนะคะ เพราะผ่านการพัฒนารูปแบบให้ทันสมัย มีความแข็งแรงคงทน และสามารถปรับเปลี่ยนวัสดุเป็นวัสดุสมัยใหม่ที่สามารถยืดอายุการใช้งานได้นานขึ้น โดยใช้ผนังรับแรง ทำให้ไม่จำเป็นต้องมีเสาคานรับน้ำหนัก ง่ายต่อการขนย้าย บ้านน๊อคดาวน์จะเป็นบ้านที่ออกแบบทุกส่วนไว้เสร็จสรรพ ไม่สามารถปรับแบบเพิ่มเติมได้แต่ก็ง่ายในการก่อสร้าง ส่วนเรื่องของความแข็งแรงนั้นมั่นใจได้เป็นอย่างดีว่ามีความคงทนแน่นอน ระยะเวลา : 2-4 เดือน/ยูนิต จุดเด่น : ติดตั้งประกอบได้อย่างรวดเร็ว รื้อประกอบใหม่ได้ หมายเหตุ : ไม่เหมาะในการปรับแบบจากอาคารเดิม   MODULAR HOUSE     บ้านสมัยใหม่ อันดับต่อมาที่ถือว่าได้รับความสนใจในเมืองไทยเลยทีเดียวกับระบบก่อสร้างที่ชื่อ Modular หรือบ้านกึ่งสำเร็จรูปอีกรูปแบบ ที่มีความแตกต่างจากบ้านน็อคดาวน์ในหลายจุด ถ้าจะให้อธิบายแบบง่ายๆ ให้เห็นภาพชัดๆ คือระบบนี้ก็เปรียบเสมือนตัวต่อเลโก้ที่นำชิ้นส่วนต่างๆ มาประกอบกัน สามารถขยายขนาดได้เรื่อยๆ โดยที่สามารถปรับรูปแบบฟังก์ชั่นภายในได้ตามที่ต้องการ ตัวอาคารจะถูกออกแบบในสเกลที่พอเหมาะเป็นขนาดมาตรฐานของวัสดุซึ่งช่วยลดขยะจากวัสดุก่อสร้างได้ ใช้ระยะเวลาน้อย ระบบโมดูล่าจำเป็นจะต้องมีการลงเสาเข็มเพื่อรากฐานที่มั่นคงในขณะที่ส่วนอื่นๆ สามารถถอดประกอบได้ใหม่ตามความต้องการ โดยชื่อที่คุ้นหูกันดีคือบ้าน SCG-Heim ซึ่งใช้ระบบภายในจากประเทศญี่ปุ่น และก่อสร้างด้วยระบบโมดูล่า ระยะเวลา : 3 เดือน/ยูนิต จุดเด่น : ถูกออกแบบให้ใช้ประโยชน์ในทุกส่วนอย่างครบครัน หมายเหตุ : ราคาค่อนข้างสูงกว่าระบบอื่นๆ   CONTAINER     อีกหนึ่งบ้านสมัยใหม่ที่นับว่าเป็นเทรนด์ใหม่ของคนไทยเลยก็คือ บ้านคอนเทนเนอร์ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนฟังก์ชั่นของตู้คอนเทนเนอร์เก่านำมาใช้ประโยชน์อย่างอื่น ส่วนมากนิยมสร้างเป็นพื้นที่สำหรับทำธุรกิจ อย่างคาเฟ่ร้านกาแฟ โรงแรมรีสอร์ต ซึ่งการนำตู้คอนเทนเนอร์กลับมาใช้ใหม่จะต้องมีการปรับปรุงหลายขั้นตอน ตั้งแต่การจัดการเรื่องสนิม ติดตั้งฉนวนกันร้อนกันเสียง การเพิ่มช่องประตูหน้าต่าง และติดตั้งระบบปรับอากาศภายในรวมถึงระบบไฟฟ้าด้วย ขนาดมาตรฐานจะมี 2 ไซส์ด้วยกันคือ 20 ฟุต และ 40 ฟุต ระยะเวลา : 7-14 วัน/ยูนิต จุดเด่น : ติดตั้งได้รวดเร็วขนย้ายได้คล่องตัวไม่ต้องมีงานโครงสร้างเสาเข็ม หมายเหตุ : ปัญญาเรื่องเสียง ความร้อน และขนาดที่เป็นไซส์มาตรฐาน   PREFAB     ถ้าไม่พูดถึงบ้านสมัยใหม่ระบบ Prefab หรือ Prefabrication เลยก็คงไม่ได้แล้วค่ะ เพราะการก่อสร้างระบบนี้มีมาตั้งแต่อดีต ถ้าจะให้ยกตัวอย่างชัดๆ ก็คงหนีไม่พ้นพีรามิดที่เมืองกีซ่า ประเทศอิยิปต์ที่ใช้ระบบนี้ก่อสร้าง ซึ่งระบบ Prefab คือการนำชิ้นส่วนที่ถูกออกแบบไว้แล้วไปประกอบกันที่หน้างาน โดยสิ่งก่อสร้างดังกล่าวมักจะมีขนาดใหญ่เกินกว่าจะขนย้าย อย่างสะพานขนาดใหญ่ หรืออาคารสูงหลายสิบชั้น ซึ่งความสะดวกสบายดังกล่าวถูกนำมาใช้กับการก่อสร้างที่อยู่อาศัย อย่างบ้านจัดสรร โดยบริษัทอสังหาริมทรัพย์ใหญ่ๆ ในเมืองไทยอย่าง พร๊อพเพอร์ตี้เพอร์เฟค, แลนด์แอนด์เฮ้าส์, แสนสิริ และพฤกษา ต่างเปลี่ยนมาใช้ระบบก่อสร้างแบบ Prefabrication ทำให้การสร้างบ้านหนึ่งหลังสมบูรณ์อย่างรวดเร็วนั่นเอง ระยะเวลา : 2-3 เดือน/ยูนิต จุดเด่น : ได้สเปซการใช้งานในบ้านที่กว้างไม่มีเสาหรือคานมาบดบัง หมายเหตุ : การต่อเติม ทุบรื้อ ต้องอยู่ในการดูแลของวิศวกร     รูปภาพจาพ : Pinterest
สูตรคำนวณผลตอบแทน ก่อนปล่อยเช่าคอนโด

สูตรคำนวณผลตอบแทน ก่อนปล่อยเช่าคอนโด

ทุกวันนี้มีหลายคนที่หันมาเป็นนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์ระยะยาวเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการขายเพื่อเก็งกำไร โดยเฉพาะการปล่อยเช่าคอนโดมิเนียมที่ให้ผลตอบแทนอย่างคุ้มค่า ซึ่งมีให้เห็นกันอยู่เกือบทุกโครงการ แต่การปล่อยห้องให้เช่าในคอนโดมิเนียมนั้นจะต้องคำนึงถึงหลายสิ่งให้รอบด้าน ตั้งแต่การเลือกซื้อตัวโครงการที่มีศักยภาพสูง ทำเลที่ตั้งดี การเลือกทิศทางของห้อง การตกแต่งห้อง ไปจนถึงการคำนวณอัตราค่าเช่าให้เหมาะสมกับราคาตลาด เพื่อไม่ให้ผู้ปล่อยเช่าเจ็บตัวเสียเอง ผลตอบแทนจากการลงทุนปล่อยเช่า หรือที่เรียกกันในนักลงทุนคอนโดมิเนียมว่า “Yield” (Rental Yield) เป็นเครื่องมือในการคำนวณปล่อยเช่าที่ไม่ใช่เฉพาะกับคอนโดมิเนียมเท่านั้น คำนวณกับบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม หอพัก โรงแรมก็ยังได้ ซึ่งมีหลายสูตรด้วยกัน คือ 1.Gross Rental Yield การคำนวณก่อนปล่อยเช่าคอนโด การคำนวณอัตราผลตอบแทนจากการให้เช่าเบื้องต้น วิธีนี้ง่าย สะดวก แต่จะไม่มีการคิดต้นทุน กับค่าใช้จ่ายอื่นๆ ด้วย               เช่น ราคาคอนโดที่เราซื้อมาอยู่ที่ 3,000,000 บาท แล้วจะปล่อยเช่า 15,000 บาท/เดือน โดยคาดว่าผู้เช่าจะเช่าอยู่ตามสัญญาเป็นระยะเวลา 1 ปี(12 เดือน) ฉะนั้นค่าเช่าที่คาดว่าจะได้รับตลอดทั้งปี = 180,000 บาท แล้วเอามาคำนวณตามสูตรด้านบน คือ (180,000÷3,000,000) x100 = 6% ต่อปี วิธีนี้อาจมีความคาดเคลื่อนค่อนข้างสูง เพราะผู้เช่าอาจอยู่ไม่ครบตามสัญญา 1 ปี และอาจมีช่วงที่ไม่มีผู้เช่า 2-3 เดือน ฉะนั้นเราอาจจะเปลี่ยนตัวเลขการคำนวณจาก 12 เดือน เป็นเพียง 10 เดือน ก็ได้ 2.ปล่อยเช่าคอนโดให้คำนวณ Net Rental Yield การคำนวณอัตราผลตอบแทนจากการให้เช่าสุทธิ วิธีนี้คล้ายกับวิธีแรก เพียงแต่จะนำค่าใช้จ่ายอื่นมาคำนวณด้วย เช่น ค่าส่วนกลาง ที่ต้องจ่ายกันเป็นประจำอยู่แล้ว เช่น ราคาคอนโดที่เราซื้อมาอยู่ที่ 5,000,000 บาท แล้วจะปล่อยเช่า 30,000 บาท/เดือน โดยคาดว่าผู้เช่าจะเช่าอยู่ตามสัญญาเป็นระยะเวลา 1 ปี(12 เดือน) ฉะนั้นค่าเช่าที่คาดว่าจะได้รับตลอดทั้งปี = 360,000 บาท เสร็จแล้วคำนวณค่าส่วนกลาง เช่น ค่าส่วนกลาง 45 บาท/ตร.ม. ยูนิตที่จะปล่อยเช่ามีขนาด 50 ตร.ม. ก็จะเท่ากับ 2,250 บาท/เดือน รวม 12 เดือน = 27,000 และเมื่อคำนวณตามสูตร (333,000÷5,000,000) x100 = 6.66% วิธีนี้เราจะมองเห็นผลตอบแทนได้เห็นภาพจริงมากกว่าแบบแรก แต่หากจะคำนวณเผื่อช่วงที่ไม่มีคนเช่าก็เปลี่ยนจาก 12 เดือน เป็น 10 เดือนแทนดูก็ได้ 3.คำนวณ Cash on Cash Rental Yield ก่อนปล่อยเช่าคอนโด เป็นวิธีคำนวณที่เหมาะกับผู้ที่กู้สินเชื่อธนาคารเพื่อซื้อคอนโดมิเนียม เพราะไม่ได้จ่ายเงินทั้งก้อนตามราคาจริงของคอนโด และยังมีการนำค่าใช้จ่ายที่เป็นต้นทุนที่เราจ่ายออกไปจริงๆ มาคำนวณด้วย เช่น ค่าเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งห้อง ค่าเครื่องใช้ไฟฟ้า ค่าดาวน์ เป็นต้น เช่น ปล่อยเช่าเดือนละ 15,000 บาท/เดือน ทั้งหมด 12 เดือน จะได้ค่าเช่า 180,000 บาท/ปี ค่าส่วนกลาง 2,000 บาท/เดือน เท่ากับมีค่าใช้จ่าย 24,000 บาท/ปี สรุปค่าเช่าที่จะได้รับจริงเป็น 156,000 บาท/ปี เจ้าของห้องต้องผ่อนจ่ายสินเชื่อทุกเดือน งวดละ 10,000 บาท/เดือน ภายใน 1 ปี จะต้องจ่ายเป็นเงิน 120,000 บาท/ปี เงินจอง 50,000 บาท เงินดาวน์ 200,000 บาท ค่าเฟอร์นิเจอร์ และค่าเครื่องใช้ไฟฟ้า ทั้งหมด 100,000 บาท เมื่อคำนวณตามสูตร (180,000-24,000)÷(10,000+200,000+100,000)×100 = 10.3%   วิธีทั้งหมดนี้เมื่อคำนวณออกมาแล้วไม่ควรต่ำกว่า 5% และผลตอบแทนที่ได้ควรสูงกว่าดอกเบี้ยเงินกู้ 2% ขึ้นไป ทั้งนี้เราก็ต้องดูองค์ประกอบของห้องที่เราจะปล่อยเช่า เช่น ห้องอยู่ในมุมที่ได้วิวโล่ง ไม่ถูกบล็อควิว ไม่โดนแดดบ่าย เฟอร์นิเจอร์พร้อมเครื่องใช้ไฟฟ้าพร้อมเข้าอยู่ เลขชั้นที่อยู่ เลขห้องที่เป็นมงคล สิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลางของโครงการ ทำเลที่ตั้งของโครงการ รวมถึงดูราคาตลาดปล่อยเช่าในโครงการเดียวกัน และโครงการใกล้เคียงด้วย การที่เราให้ราคาที่สมเหตุสมผลจะทำให้ปล่อยเช่าได้ง่ายมากกว่า และแม้ว่าสูตรทั้งหมดนี้จะสามารถนำไปใช้คำนวณเบื้องต้นได้จริง แต่ก็ให้ระวังความคาดเคลื่อนไว้ด้วย เพราะอสังหาริมทรัพย์นั้นมีปัจจัยจากทั้งภายนอก และภายในเข้ามาทำให้มีผลกระทบอยู่หลายอย่าง บทความอื่นๆ เกี่ยวกับการปล่อยเช่าคอนโด 4 เทคนิคเบื้องต้นแต่งคอนโดปล่อยเช่า ลงทุนคอนโดฯ ปล่อยเช่า ทำอย่างไรให้ไปรอด ชินวะ เรียลเอสเตส ติดอาวุธให้คอนโดปล่อยเช่า
คู่มือการทำบุญบ้าน ต้อนรับปีใหม่ ฉบับเข้าใจง่าย!

คู่มือการทำบุญบ้าน ต้อนรับปีใหม่ ฉบับเข้าใจง่าย!

ก้าวเข้าสู่ปีใหม่ทั้งที ใครมีแผนการทำบุญบ้าน คงต้องกดเซฟบทความนี้ไว้เลยค่ะ เพราะการทำบุญคือการแสดงเคารพต่อพระรัตนตรัยอันเป็นที่เป็นที่พึ่งที่ระลึกอันสูงสุด เพื่อให้การเริ่มต้นเข้าอยู่อาศัยหรือการเริ่มกิจการประสบแต่ความสุขความสำเร็จ นอกจากนี้การทำบุญยังเป็นการเชื่อมสัมพันธไมตรีอันดีกับเหล่าเทวดา สัมภเวสี ที่อาศัยอยู่ ณ สถานที่นั้นๆ ก่อนที่เราจะเข้าไปอยู่ เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างร่มเย็น ต่างฝ่ายต่างให้คุณกัน ไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน แต่ถ้าใครอยู่บ้านมาหลายปีแล้ว แต่อยากทำบุญเสริมสิริมงคลให้กับตัวเองและบ้านในปีหน้า Review Your Living ขอรวบรวมหลักการน่าสนใจของพิธีการนี้มาให้ก่อนใคร ไปดูว่ามีเรื่องอะไรที่ต้องพิจารณากันบ้างค่ะ ทำบุญบ้านช่วงปีใหม่ไปทำไม? นอกจากเหตุผลเพื่อการเสริมสิริมงคลให้กับบ้านแล้ว หลายคนเชื่อว่าการทำบุญบ้านใหม่ คือการแสดงเคารพต่อพระรัตนตรัย และยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีให้เกียรติกับเหล่าเทวดา เจ้าที่เจ้าทางที่อาศัยอยู่ ณ สถานที่นั้นๆ เพื่อความร่มเย็นเป็นสุขของผู้อยู่อาศัยนั่นเองค่ะ ทำบุญบ้าน ต้องนิมนต์พระกี่รูป? จำนวนพระตามประเพณีนิยมในการทำบุญขึ้นบ้านใหม่ คือเลขคี่ ซึ่งตามปกตินิยมนิมนต์ตั้งแต่ 5, 7 หรือ 9 รูป โดยถือกันว่าเลข 9 เป็นเลขมงคลขลังดี จะได้มีแต่ความเจริญก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไป แต่ทั้งหมดนี้ก็แล้วแต่กำลังศรัทธานะคะ ถ้าหากสถานที่จัดงานทำบุญมีพื้นที่มากพอ แนะนำให้นิมนต์พระจำนวน 9 รูป จะดีที่สุดค่ะ ทำบุญบ้าน วันไหนดี? ถึงแม้ว่าฤกษ์ที่ดีที่สุดของการทำบุญขึ้นบ้านใหม่ คือฤกษ์ที่เจ้าของบ้านสะดวก อาจจะเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ที่เจ้าของบ้านและหมู่ญาติสามารถมารวมตัวกันได้ แต่ว่าบางตำราโบราณยังมีความเชื่อว่าไม่ควรทำในวันเสาร์ เพราะเชื่อกันว่าเป็นวันแห่งโทษทุกข์ รวมถึงดาวเสาร์ยังจัดเป็นดาวแห่งบาปเคราะห์ บางบ้านอาจจะดูปฏิทินจีนประกอบให้เลือกวันที่ตรงกับวันธงไชย ว่าเป็นวันดีหรือวันที่มีฤกษ์ดีที่เหมาะสมกับสิ่งที่ดี ช่วยส่งเสริมให้มีความสุข ความสำเร็จ เช่นการขึ้นบ้านใหม่ พิธีแต่งงาน ฤกษ์เข้าหอ ส่งตัว การออกรถใหม่ การเปิดบริษัท โรงงาน เป็นต้น ที่สำคัญควรนิมนต์พระล่วงหน้าอย่างน้อยหนึ่งเดือน ทำบุญบ้าน ต้องเริ่มพิธีกี่โมง? ช่วงเวลาการทำบุญขึ้นบ้านใหม่ สามารถเลือกว่าจะถวายภัตตาหารเช้าหรือเพล โดยถ้าเป็นการถวายภัตตาหารเช้าให้เริ่มเวลาประมาณ 7.30 น. หรือหากเลือกถวายภัตตาหารเพลก็ควรเริ่มพิธีเวลาประมาณ 10.30 น. อย่างไรก็ตามเวลาก็อาจยืดหยุ่นตามศาสนกิจของพระวัดที่เราได้ทำการนิมนต์ด้วย ควรเตรียมบทสวดอะไรไว้บ้าง? บทสวดสำหรับการทำบุญขึ้นบ้านใหม่ ที่เจ้าของบ้านต้องเตรียมนำไว้สวดต่อหน้าพระก็มีตั้งแต่บทบูชาพระรัตนตรัย และ บทกราบนมัสการพระรัตนตรัย บทอาราธนาศีล 5, บทสมาทานศีล และบทอาราธนาพระปริตร เตรียมสถานที่ทำบุญบ้านอย่างไร? การจัดสถานที่ก่อนวันทำบุญขึ้นบ้านใหม่ นั้นควรทำความสะอาดบ้านให้สะอาด เก็บสิ่งของต่างๆ ให้เป็นระเบียบเรียบร้อย กำหนดมุมที่จะจัดวางโต๊ะหมู่บูชา พื้นที่สำหรับสงฆ์ ซึ่งเป็นมุมที่ไม่ควรแขวนหรือประดับภาพใดๆ เหนือศีรษะของพระภิกษุสงฆ์ ต้องเตรียมอุปกรณ์อะไรบ้าง? อุปกรณ์สำคัญในการทำบุญขึ้นบ้านใหม่ได้แก่โต๊ะหมู่บูชา, อาสนะพระ, ตาลปัตร, ขันน้ำมนต์, แป้งเจิม, แผ่นทอง, สายสิญจน์, เทียนน้ำมนต์, ดอกไม้, ธูปเทียน, พานพุ่ม เป็นต้น โดยจัดวางให้เป็นระเบียบถูกที่ถูกตำแหน่งดังต่อไปนี้   1. โต๊ะหมู่บูชาพระ ที่จัดเพื่อการแสดงความเคารพในพระรัตนตรัย จำต้องมีพระพุทธรูปที่เป็นพระประธาน ทิศการตั้งโต๊ะหมู่ไม่ได้ถูกกำหนดมาแบบตายตัว ควรพิจารณาจากความเหมาะสมของสถานที่โดยวางไว้ด้านขวามือของพระสงฆ์องค์ที่ 1 และไม่ควรตั้งอยู่ใต้บันได หน้าห้องน้ำ หรือหันไปในมุมอับเป็นต้น   2. อาสนะ สามารถหยิบยืมจากวัดมาใช้ได้ โดยอาสนะให้จัดวางให้มีระยะห่างพอดี ไม่ชิดติดกันจนเกินไป คำนึงถึงการวางข้าวของเครื่องใช้ของพระสงฆ์ด้วย (ตาลปัตร พร้อมน้ำดื่ม กระดาษชำระ และกระโถน)   3. อาหาร แบ่งออกเป็น 3 ชุดได้แก่ชุดบูชาข้าวพระพุทธ สำหรับพระสงฆ์ตามจำนวน และสำหรับเจ้าที่เจ้าทาง (หรือศาลพระภูมิที่ได้ทำการตั้งวางไว้แล้วของแต่ละบ้าน) ประกอบด้วยข้าว อาหารคาว ผลไม้ ของหวาน และน้ำดื่ม ชุดสำหรับพระพุทธวางไว้ด้านหน้าโต๊ะหมู่ สำหรับภัตตาหารของสงฆ์สามารถแบ่งออกเป็น 2 วง (ในกรณีนิมนต์พระ 9 รูป) สำหรับเจ้าที่เจ้าทางจัดเป็นสำรับเช่นกันแล้วนำไปวางไว้นอกชายคาบ้าน อาหารที่เป็นมงคลนิยมถวายได้แก่ ขนมมงคลไทย 5 อย่าง เช่น ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง เม็ดขนุน และขนมถ้วยฟู ผลไม้มงคลอย่างกล้วย มะพร้าว สาลี่ ทับทิม และส้ม   4. ของถวายสังฆทาน สามารถถวายได้ทั้งเครื่องอุปโภคและบริโภค ปัจจัย หรือผ้าไตรที่หลายบ้านนิยมถวายร่วมด้วยเพื่อความเป็นสิริมงคล   5. อุปกรณ์เพื่อการการเจิมและการปะพรมน้ำพระพุทธมนต์ ที่จะทำเป็นขั้นตอนท้ายสุดของพิธี โดยเจ้าของบ้าน (ฝ่ายชาย) ต้องเดินถือขันน้ำมนต์นำพระสงฆ์ไปตามห้องต่างๆเพื่อการปะพรม และปิดท้ายที่การเจิมประตู (ส่วนมากนิยมที่ประตูด้านหน้า) โดยอุปกรณ์ประกอบไปด้วยขี้ผึ้งสำหรับติดแผ่นทอง แผ่นทอง หรืออาจใช้เพียงแป้งเจิมหรือดินสอพองก็ได้ค่ะ   ใช้งบประมาณเท่าไหร่? โดยเฉลี่ยแล้ว หากเป็นพิธีเล็กๆ มีแค่คนในครอบครัว ค่าใช้จ่ายอาจอยู่ที่ประมาณ 5,000 บาท แต่หากเป็นพิธีใหญ่ขึ้น ก็อาจจะอยู่ที่ 10,000 บาท ซึ่งเจ้าของบ้านเองควรเป็นผู้พิจารณาถึงความเหมาะสม เพราะจุดประสงค์ของพิธีขึ้นบ้านใหม่โดยแท้จริง คือการสร้างความร่มเย็นเป็นสุขให้ผู้อยู่อาศัย ส่วนเรื่องพิธีการจะยิ่งใหญ่แค่ไหนนั้น ถือเป็นเรื่องรองค่ะ การเชิญแขกร่วมงานทำบุญบ้าน การเชิญแขกมาร่วมงานบุญบ้านนั้น ในกรณีที่เป็นการทำบุญบ้าน หากเจ้าภาพจัดงานได้แยกครอบครัวออกมาแล้ว บุคคลสำคัญที่ควรระลึกถึงและเชิญร่วมงานเป็นอันดับแรกคือ "พ่อและแม่" หากท่านมีชีวิตอยู่ ควรเชิญท่านได้ร่วมทำบุญ หากท่านไม่อยู่ ก็ควรทำบุญอุทิศกุศลแก่ท่าน เพราะความกตัญญูต่อพ่อแม่คือความเป็นสิริมงคลอันสูงสุด และยังความปลาบปลื้มให้ท่านได้เห็นความก้าวหน้าและความสำเร็จของเรา นอกเหนือจากนั้นก็จะเป็นญาติมิตร และพ้องเพื่อนที่สนิท การปฏิบัติตัวของผู้มาร่วมงาน สำหรับการปฏิบัติตัวของผู้มาร่วมงาน ผู้ไปงานทำบุญที่ถูกต้องควรปฏิบัติ 3 ประการ คือ ทำทาน, รักษาศีล และฟังการเจริญพระพุทธมนต์ จึงจะเรียกได้ว่าไปงานทำบุญอย่างเต็มปาก ไม่ใช่ไปคุย กินข้าว และกินเหล้า เพราะทั้งสามข้อหลังไม่ได้บุญแม้แต่น้อย และควรงดสุราและอบายมุข เพราะการทำบุญคือการนำความมงคลเข้าสู่บ้าน บุคคล และบริษัท ดังนั้นจึงควรงดการเลี้ยงสุรา เล่นการพนัน ในการทำบุญ อันเป็นอบายมุขสู่ความเสื่อม เพราะความเป็นมงคลมิได้เกิดจากการที่นิมนต์พระเจริญพระพุทธมนต์เท่านั้น แต่หากเกิดจากการที่เจ้าภาพกระทำในสิ่งที่เป็นมงคลคือ ทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ประกอบด้วยเป็นสำคัญ ขั้นตอนปฏิบัติของพิธีทำบุญบ้าน 1. นิมนต์พระสงฆ์เข้ายังสถานที่ที่จัดเตรียมไว้ ถวายน้ำดื่ม สนทนาธรรม และพร้อมเริ่มพิธีการเมื่อถึงเวลาฤกษ์ 2. จุดเทียนธูปที่โต๊ะหมู่บูชา ประธานฝ่ายเจ้าบ้านจุดเทียนโดยเริ่มจากด้านขวาของพระพุทธก่อนแล้วจึงตามด้วยเทียนด้านซ้าย และธูป ตามลำดับ 3. กราบพระพุทธ แบบเบญจางค์ประดิษฐ์ ประธานฝ่ายเจ้าบ้านกล่าวบูชาพระรัตนตรัย ตามด้วยอาราธนาศีล 5 ฝ่ายเจ้าบ้านกล่าวตามพระสงฆ์ด้วยบทสมาทานศีล ฝ่ายเจ้าบ้านกล่าวบทอาราธนาพระปริตร 4. ประธานฝ่ายเจ้าบ้านจุดเทียนสำหรับทำน้ำพระพุทธมนต์ เมื่อพระสงฆ์สวดถึง “อเสวนา จ พาลานัง” ถวายข้าวพระพุทธ ประธานถวายพระพุทธโดยวางภัตตาหารบนโต๊ะหรือผ้าขาวด้านหน้าโต๊ะหมู่ฯ วางให้สูงกว่าอาสนะพระสงฆ์ 5. ประเคนภัตตาหารแด่พระสงฆ์ เจ้าบ้านและแขกเหรื่อช่วยกันประเคน 6. เมื่อพระสงฆ์ฉันเสร็จแล้วให้นำจตุปัจจัย ดอกไม้ ธูป เทียน และหรือสังฆทานมาวางรอไว้ที่หน้าพระสงฆ์ทุกรูป ดอกไม้วางขนานปลายดอกไม้ชี้ไปทางด้านขวามือของพระสงฆ์ และเจ้าภาพเข้ามาที่ต่อหน้าพระเพื่อยกถวาย หลังจากที่กล่าวคำถวายสังฆทานแล้ว 7. ลาข้าวพระพุทธ ต่อเนื่องด้วยการถวายสังฆทานด้วยบทถวายสังฆทาน 8. พระสงฆ์สวดอนุโมทนา เจ้าบ้านและผู้ร่วมงานกรวดน้ำอุทิศส่วนบุญกุศล 9. พระสงฆ์ประพรมน้ำพระพุทธมนต์ พร้อมทั้งสวดชยันโตฯ พนมมือ รับน้ำพระพุทธมนต์ 10. การเจิมและการปะพรมน้ำพระพุทธมนต์ เจ้าภาพกราบนิมนต์ประธานสงฆ์ไปยังที่ๆ ต้องการเจิม เช่น ประตูทางเข้าออกหลัก ควรทำความสะอาดพื้นผิวให้เรียบร้อยก่อนเจิม เมื่อท่านเจิมแล้วไม่ควรลบออก การปะพรมน้ำเจ้าภาพอาจนำท่านไปพรมตามห้องต่างๆได้ ในขณะพระสงฆ์พรมน้ำพุทธมนต์ ควรประนมมือรับน้ำพุทธมนต์ด้วยความเคารพอ่อนน้อม 11. การส่งพระกลับวัด เมื่อเสร็จพิธีแล้ว เจ้าภาพกราบขอบพระคุณในความเมตตาที่ท่านได้มาเป็นเนื้อนาบุญ และนำส่งคณะพระภิกษุสงฆ์ไปยังรถ ควรช่วยท่านยกไทยธรรมที่ถวายสังฆทานแล้วไปยังรถ ให้ประนมมือส่งท่านขึ้นรถด้วยความอ่อนน้อมและรอจนกว่ารถจะเคลื่อนตัวออกไปแล้วจึงค่อยเข้าบ้าน 12. เสร็จพิธี   แต่ถ้าบ้านไหนไม่มีเวลามากพอที่จะเตรียมทั้งข้าวของอุปกรณ์ต่างๆ อาหารเลี้ยงพระ อาหารสำหรับแขก ไปจนถึงนิมนต์พระ แล้วล่ะก็ เดี๋ยวนี้มีบริการจัดงานเลี้ยงทำบุญบริการถึงบ้านเลยนะคะ มีหลากหลายราคาให้ได้เลือกตามขนาดของงานที่จะจัด ตัวอย่างร้านที่รับจัดงาน อาทิ ธรรมะจัดสรร  3 minutesfood horapacatering
8 ทริค จัดบ้านตามฮวงจุ้ย เปิดรับโชค อยู่แล้วรวยตลอดปี

8 ทริค จัดบ้านตามฮวงจุ้ย เปิดรับโชค อยู่แล้วรวยตลอดปี

เมื่อบ้านคือที่อยู่อาศัย และเป็นพื้นที่พักผ่อน ตัดขาดความวุ่นวายจากโลกภายนอกของสมาชิกในครอบครัวได้ จึงไม่แปลกใจเลยค่ะว่านิยามคำว่า 'บ้านคือวิมาน' นั้นหมายความว่าอย่างไร แต่การอยู่บ้านให้อยู่ เย็น เป็นสุข ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ควรคำนึงนะคะ เพราะหลายๆ คนที่เชื่อในเรื่องของ ฮวงจุ้ย ก็มักจะให้ซินแซเข้ามาเป็นผู้ดูแล ตรวจสอบในบ้านว่ามีอะไรผิดหลักไปบ้างหรือเปล่า ต้องจัดวางอะไรตรงไหนถึงจะเฮง ปังไปทั้งปี ซึ่งถ้าใครกำลังรู้สึกว่าช่วงนี้ดวงตกทำอะไรก็ไม่ค่อยรุ่ง เงินขาดสภาพคล่องต้องหยิบยืมบ่อยๆ แถมยังไม่มีทีท่าว่าจะสละโสดเหมือนคนอื่นสักที วันนี้ Review Your Living มี 8 ทริค จัดบ้านเพื่อรับโชคลาภ อยู่แล้วรวยตลอดปี มาฝากกันค่ะ บอกเลยว่าเป็นวิธีที่ง่ายมาก แถมยังไม่ต้องทุบ รื้อ ถอน ให้สิ้นเปลืองใดๆ เพียงแค่ใช้เวลาว่างช่วงวันหยุดจัดบ้านตามหลักฮวงจุ้ยเรียกทรัพย์เสริมดวงกันหน่อย เงินทองจะได้ไหลมาเทมามีใช้ไม่ขาดมือแน่นอน 1.หน้าบ้านต้องเปิดโล่งรับทรัพย์ หลายๆ บ้านที่มักมีของกองอยู่หน้าบ้าน โดยเฉพาะรองเท้า คือข้อเสียในการกีดกันโชคลาภในหลักฮวงจุ้ย เพราะบริเวณหน้าบ้าน โดยเฉพาะลานที่ตรงกับหน้าประตู เปรียบเสมือนโต๊ะที่วางกับข้าว สำหรับป้อนเข้าปาก ส่วนประตู ก็เปรียบเสมือนปาก ที่รอรับอาหาร หรือพลังงานดีๆ นั่นเอง หากวางของกีดขวาง หน้าบ้าน หน้าประตู ก็เหมือนถูกขวางปาก ไม่ให้รับอาหารเต็มที่ ทำให้กินได้น้อย โชคก็น้อยตามไปด้วย หากจำเป็นต้องมีของวางจริงๆ ก็ควรวางให้อยู่ด้านใดด้านหนึ่ง และใส่ตู้เก็บให้เรียบร้อยมิดชิด ไม่ให้กีดขวางด้านหน้า และที่สำคัญไม่ควรอยู่เหนือลม เพราะลมจะพากลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ เข้ามาในบ้าน ซึ่งถือเป็นฮวงจุ้ยที่ไม่ดี 2.เรียกเงินทองด้วยการเปิดประตูและหน้าต่าง การเปิดประตูและหน้าต่างเพื่อเรียกเงินและทอง ไม่จำเป็นต้องเปิดทั้งวันนะคะ สำหรับบ้านบางพื้นที่ที่มีอากาศร้อนมาก ต้องเปิดแอร์ ก็ควรเปิดประตูหน้าต่างระบายอากาศในช่วงเช้าๆ ก่อน เพื่อรับมวลอากาศใหม่ๆ ที่บริสุทธิ์เข้ามาในบ้าน ซึ่งเป็นการสะสมพลังงานดีให้บ้านของเรา สำหรับผู้ที่ไม่ค่อยได้อยู่บ้าน แนะนำให้เปิดประตูหน้าต่าง ในขณะที่เริ่มเปิดแอร์  สัก 5-15 นาที เพื่อให้ความชื้นที่สะสมในแอร์ และเชื้อโรคที่คั่งค้าง ได้รับการระบายออกไปก่อน แล้วค่อยรับอากาศใหม่เข้ามาในบ้านของเราค่ะ เพราะเมื่อมีลม ก็จะมีโชค เพราะลมนำพาออกซิเจนเข้ามา เพิ่มความสดชื่น และความปลอดโปร่งให้กับบ้านของเราได้เป็นอย่างดี 3.เปิดแสงสว่างส่องทางเข้าบ้าน แสงสว่าง คือ พลังหยาง หรือการเคลื่อนไหว Active หากคุณผู้อ่านรู้สึกนิ่งๆ เนือยๆ โชคลาภ ก็ไม่ถูกกระตุ้น ถ้าจัดบ้านให้มีความเป็นหยางมากเกินไป ก็จะส่งทำให้บรรยากาศในบ้านเคร่งเครียด อยู่ไม่สุข ดังนั้นควรเลือกไฟให้เหมาะกับตำแหน่งที่ใช้งาน จะได้เสริมทั้งโชค และอยู่บ้านอย่างมีความสุขด้วย เช่น บริเวณที่เราชอบอ่านหนังสือ หรือมุมแต่งหน้า ควรใช้ไฟขาว จะได้ไม่หลอกตา และไม่เสียสายตา ส่วนมุมที่เรานั่งพักผ่อนหย่อนใจ ก็อาจเป็นวอร์มไลท์ เพื่อสร้างความรู้สึกผ่อนคลาย และไม่เคร่งเครียดมากเกินไปนะคะ ที่สำคัญทุกๆ พื้นที่ต้องมีไฟสว่างเพียงพอ ในตำแหน่งทางเดินต่างๆ ซึ่งเป็นเหมือนการนำทางพลังงานไปทุกที่ และป้องกันการเกิดอุบัติเหตุได้เป็นอย่างดี 4.จัดวางเฟอร์นิเจอร์ซะใหม่ เมื่อมุมนั่งเล่นในบ้านเป็นที่ที่สมาชิกครอบครัวทุกคนพุดคุยปรึกษากัน ดังนั้นเฟอร์นิเจอร์ควรจะจัดให้ล้อมวง หรือชิดกันเพื่อง่ายต่อการพูดคุยกัน ไม่ควรจัดชิดผนังทั้งหมด เพราะจะเป็นการเพิ่มระยะห่างและทำให้สมาชิกแต่ละคนอยู่ในมุมของตัวเอง อีกอย่างหนึ่งที่แนะนำคือการปูพรมรองพื้นเฟอร์นิเจอร์ ไม่จำเป็นต้องวางเฟอร์นิเจอร์ทั้งตัวไว้บนพรมก็ได้ แต่อย่างน้อยควรให้ขาด้านหน้าของเฟอร์นิเจอร์วางอยู่บนพรม 5.เลือกของตกแต่งบ้านตามธาตุ ในวิชาโหราศาสตร์จีนและฮวงจุ้ยเชิงวิชาการ เรามองทุกสิ่งรอบตัวเป็นธาตุ รวมถึงทิศทางต่างๆ ด้วย ดังนั้นการตกแต่งบ้านให้รับโชค จึงควรทำระบบธาตุในบ้านของเรา เกิดความสอดคล้อง ทั้งก่อเกิด และถ่ายเท เพื่อความสมดุลของพลังงานทุกๆ ส่วนในบ้าน นอกจากจะช่วยส่งเสริมโชคลาภแล้วยังช่วยให้ผู้ที่อยู่อาศัย มีสุขภาพที่ดี และมีความรักใคร่สามัคคีกันอีกด้วย โดยในขั้นสูงนั้น ซินแสจะมีการเสริมธาตุที่ดีกับดวงให้กับแต่ละบุคคลอย่างเฉพาะเจาะจง ในตำแหน่งที่ดีกับดวงเป็นพิเศษด้วย   สำหรับทิศเหนือ : เป็นทิศธาตุน้ำ ควรตกแต่งด้วยน้ำพุหรือวัตถุทรงโค้ง ทรงกลม วาว รูปคลื่น หรือใช้สีฟ้า น้ำเงิน เทา ดำ ขาว เงิน ทอง และห้ามใช้สี เหลือง ส้ม ครีม น้ำตาล โอรส ตกแต่งบ้านเด็ดขาด ทิศใต้ : เป็นทิศธาตุไฟ ควรประดับตกแต่งด้วยดอกไม้ ต้นไม้ หรือวัตถุทรงสูง ทรงกระบอก ทรงปิระมิด หรือใช้สีแดง ชมพู เขียว และห้ามใช้สี ฟ้า น้ำเงิน เทา ดำ ตกแต่งบ้านเด็ดขาด ทิศตะวันออก และตะวันออกเฉียงใต้ : เป็นทิศธาตุไม้ ควรตกแต่งด้วยต้นไม้ น้ำพุ หรือวัตถุทรงสูง รูปทรงคลื่น หรือใช้สีเขียว ฟ้า น้ำเงิน เทา ดำ และห้ามใช้สีเงิน ทอง โลหะ ต่างๆ ตกแต่งบ้านในทิศนี้เด็ดขาด ทิศตะวันตก และตะวันตกเฉียงเหนือ : เป็นทิศธาตุทอง ควรตกแต่งด้วยโลหะ ทรงกลม แวววาว เซรามิก เครื่องปั้นดินเผา หรือสีเงิน ทอง น้ำตาล ครีม เหลือง ส้ม โอรส ห้ามใช้สีแดง ชมพู ตกแต่งบ้านในทิศทางนี้โดยเด็ดขาด ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และตะวันตกเฉียงใต้ : เป็นทิศธาตุดิน ควรตกแต่งด้วย เซรามิก เครื่องปั้นดินเผา หรือสีเหลือง ส้ม ครีม น้ำตาล โอรส แดง ชมพู ห้ามใช้สีเขียว ตกแต่งบ้านในทิศทางนี้โดยเด็ดขาด 6.เก็บกวาดบ้าน เตรียมรับโชค พื้นที่รกรุงรัง ไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย มักจะทำลายพลังและนำความไม่มั่นคงมาสู่บ้าน ดังนั้นควรจัดการทำความสะอาดพื้นที่เหล่านั้นให้เรียบร้อย และเพิ่มต้นไม้หรือดอกไม้เข้าไปเพื่อปรับพื้นที่ให้อากาศถ่ายเทสะดวก ซึ่งถ้าเป็นไปได้ควรนำน้ำพุมาตกแต่งบ้านด้วยก็ดีนะคะ เพราะน้ำพุถือว่าเป็นตัวแทนของความมั่งคั่งในหลักของฮวงจุ้ย ซึ่งช่วยสร้างพลังและความเจริญรุ่งเรือง ทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ของเงินทองด้วยค่ะ 7.เลือกใช้สีส่งเสริมการเงิน หากอยากเสริมโชคลาภ ส่งเสริมการเงิน ลองใช้สีที่สื่อถึงธาตุไม้ ธาตุน้ำ และธาตุดิน อย่าง สีเขียว สีน้ำตาล สีน้ำเงิน สีดำ สีส้มดิน หรือสีเหลืองอ่อน ตกแต่งในพื้นที่การเงิน ไม่ว่าจะในรูปแบบของสีผนัง สีผ้า หรือของตกแต่งเล็กๆ น้อยๆ ก็จะช่วยส่งเสริมพลังแห่งความมั่งคั่งให้กับเราได้ นอกจากนี้สีของธาตุไฟอย่าง สีแดง สีส้ม สีม่วง สีม่วงแดง หรือสีชมพู ก็ช่วยกระตุ้นพลังทางด้านการเงินได้เช่นกัน เพียงแต่ควรใช้แต่น้อยหรือแค่แต่งแต้มเป็นบางจุดก็พอค่ะ 8.เครื่องรางทางฮวงจุ้ยก็ช่วยเกื้อหนุนได้ อีกหนึ่งทริคดีๆ ในการจัดบ้านเพื่อเรียกโชคลาภ ควรเลือกเครื่องรางทางฮวงจุ้ยที่ชอบและเข้ากับสไตล์การตกแต่งบ้านมาใช้ เช่น ตู้ปลาที่จัดถูกต้องตามหลักฮวงจุ้ย หรือเลี้ยงปลาที่ส่งเสริมโชคลาภ เช่น ปลาเงิน ปลาทอง ปลามังกร ปลาคาร์พ นอกจากนี้การตกแต่งบ้านด้วยเหรียญจีนโบราณมหาจักรพรรดิ แจกันความมั่งคั่ง เรือสำเภาจีน พระพุทธรูปแห่งความสุข (Laughing Buddha) คริสตัลไพไรต์ หรือซิทริน ก็ล้วนแต่ช่วยส่งเสริมโชคภาภได้เป็นอย่างดี   การจัดและตกแต่งบ้านอย่างถูกต้องตามหลักฮวงจุ้ย จะช่วยดึงดูดความมั่งคั่งร่ำรวยมาสู่คนในบ้านได้ ลองนำ 8 ทริค จัดบ้านเพื่อรับโชคลาภ อยู่แล้วรวยตลอดปี  ไปประยุกต์ใช้กันดูนะคะ นอกจากนี้ยังควรรักษาพลังงานให้สดชื่นและมีชีวิตชีวาอยู่เสมอ โดยการทำบ้านให้มีกลิ่นหอมสดชื่นด้วยการใช้กลิ่นอโรมา กลิ่นดอกไม้สด หรือเทียนหอมก็ได้ค่ะ และอย่าลืมว่าแสงสว่างที่พอดีก็มีความสำคัญเช่นกันนะคะ รวมถึงอาจเปิดเพลงที่ฟังไพเราะเพื่อกระตุ้นพลังงานด้านบวก และสิ่งสุดท้ายที่ลืมไม่ได้ คือพื้นที่การเงินจะต้องสะอาดและเป็นระเบียบอยู่เสมอนั่นเอง จัดบ้านตามฮวงจุ้ย เสริมสิ่งดีๆ หลากหลายด้าน ของแต่งบ้านเสริมฮวงจุ้ย ความรัก หาคู่แท้ ฮวงจุ้ยตำแหน่งเตียงนอน เสริมรักรุ่ง เงินพุ่ง ฮวงจุ้ยตู้เย็น วางตรงไหนเสริมดวง สีอะไรถูกโฉลก  
ไอเดียแต่งบ้าน 5 มุม ตามเทรนด์สี Pantone ประจำปี 2018

ไอเดียแต่งบ้าน 5 มุม ตามเทรนด์สี Pantone ประจำปี 2018

สำหรับปี 2018 ที่กำลังจะมาถึงนี้ ทุกอย่างรอบตัวมักเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ โดยเฉพาะการอัพเดทเทรนด์ฮิตที่กำลังมาแรง จนทำให้ผู้เขียนได้ติดตามมาเรื่อยๆ หากใครอยากตกแต่งบ้านเพื่อให้ดูดีน่าอยู่ยิ่งขึ้น การตกแต่งบ้านตามเทรนด์สี Pantone ก็นับว่าเป็นไอเดียที่ดี เพราะเมื่อไม่นานมานี้ทาง Pantone Color Institute บริษัทสีและสถาบันวิเคราะห์สีชั้นนำของโลก ได้ออกมาประกาศเทรนด์สีโดดเด่นที่คาดว่าจะถูกใช้กันในปี 2018 โดยสี Pantone Color นั้นมีอิทธิพลกับวงการออกแบบแทบจะทุกวงการ ตั้งแต่การนำไปใช้ในแวดวงแฟชั่น, งานออกแบบสินค้า, งานออกแบบโฆษณา และสื่อสิ่งพิมพ์ ไปจนถึงการออกแบบสถาปัตยกรรมทั้งภายในและภายนอกเลยทีเดียว สำหรับเทรนด์สีปี 2018 ที่ทาง Pantone ประกาศออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นั่นก็คือ สีม่วง Ultra Violet (PANTONE 18-3838) หรือ สีม่วงโทนน้ำเงิน เป็นสีที่สื่อถึงความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ความฉลาดหลักแหลม การไม่ตีกรอบความคิด จินตนาการอันไร้ขอบเขต ความกว้างขวาง และความลึกลับของจักรวาล โดยเป็นสีที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้สามารถทำงานให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ดังนั้นการแต่งบ้านตามเทรนด์สีสุดฮิตของแพนโทน จึงนับได้ว่าเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคุณผู้อ่านอย่างแน่นอน เพราะเราสามารถเลือกซื้อของตกแต่งบ้าน พร้อมทั้งเฟอร์นิเจอร์ที่ชื่นชอบตามเฉดสีของ Pantone ได้ตามใจ ครั้งนี้ทีมงานเราจึงได้คัดไอเดียแต่งบ้านสีม่วง 5 มุม มาฝากกัน สำหรับใครที่ชอบสีม่วงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว หรือใครอยากจะอินเทรนด์ก็ลองนำไอเดียไปใช้กันดูนะคะ   แต่งมุมนั่งเล่นด้วยสีม่วง Ultra Violet หากคุณผู้อ่านอยากให้ห้องนั่งเล่นของคุณดูอินเทรนด์ ตามสี Pantone 2018 การเลือกใช้สีม่วงทาที่ผนังจะทำให้ห้องดูโดดเด่นมากขึ้น ซึ่งถ้าใครอยากได้ไอเดียในการตกแต่งบ้านก็สามารถเลือกใช้เฉดสีนี้ได้เลยค่ะ เพราะจะส่งผลทำให้บ้านของคุณดูน่าสนใจ มีความสะอาดตามากยิ่งขึ้น ข้อแนะนำอีกหนึ่งสิ่งควรเลือกเฟอร์นิเจอร์ พร้อมของตกแต่งบ้านที่มีสีขาวควบคู่ ไม่ว่าจะเป็น โซฟา, โต๊ะ, เก้าอี้, แจกัน หรือกรอบรูปแต่งบ้าน เพื่อให้โทนสีดูตัดกัน แต่ถ้าอยากให้ห้องดูสวยงามรับกันมากขึ้นก็เพียงแค่เลือกหมอนอิง, ม่าน หรือพรมปูพื้น เป็นสีม่วงโทนเดียวกับผนังห้อง ก็ย่อมทำให้บ้านของคุณดูสวย สง่า และโดดเด่นไม่ซ้ำใครอย่างแน่นอน   ห้องน้ำก็อินเทรนด์ได้นะ! จะแต่งบ้านให้อินเทรนด์รับกับโทนสีใหม่ทั้งที ไม่จำเป็นต้องเลือกใช้สีม่วงแต่งห้องเพียงสีเดียวก็ได้นะคะ เพราะสีม่วงเป็นสีรองที่เกิดจากการผสมกันของแม่สี ได้แก่สีแดงและสีน้ำเงิน ทำให้สามารถเข้ากันได้ดีกับทั้งสีโทนร้อนและโทนเย็น เช่น การใช้สีม่วง+สีแดง+สีชมพู จะให้มีความรู้สึกลึกลับและดูเป็นห้องที่มีความมั่นใจ หากเลือกใช้สีม่วง+สีเหลือง จะให้ความรู้สึกที่ดูอบอุ่นและสบายมากขึ้น และถ้าใช้สีม่วง+สีเทา อย่างห้องน้ำในภาพตัวอย่างที่เราเลือกมา ก็ใช้สีม่วงแค่ส่วนของเคาน์เตอร์ล้างหน้า ซึ่งดูตัดกับสีของผนังและกระเบื้องสีเทา ที่ทำให้ห้องดูสุขุม สงบนิ่ง เป็นทางการ และดูโมเดิร์นมากขึ้น ทั้งนี้การเลือกใช้คู่สีต้องพิจารณาจากการใช้งานของห้องและอารมณ์ที่ต้องการนั้นๆ   เท่ก็ได้ อ่อนหวานบ้างก็ดี.. สำหรับห้องนอนบ้านใครที่ก่อผนังอิฐก่อโชว์แนวสไตล์เท่ๆ ไว้อยู่แล้ว หากอยากแต่งบ้านให้อินเทรนด์ตามโทนสีใหม่แพนโทน ข้อแนะนำง่ายๆ ให้ทาสีทับผนังอิฐไปเลยค่ะ ซึ่งการใช้สีม่วงนั้นไม่จำเป็นต้องเลือกสีเข้มเสมอไป เพราะสีม่วงโทนอ่อน ก็เป็นตัวเลือกที่ทำให้ห้องดูสว่างมากขึ้นซึ่งจะเหมาะกับห้องนอนมากกว่า การใช้สีม่วงที่ดูมืดจะให้ความรู้สึกที่ดูลึกลับและสนุกสนาน แต่ด้วยห้องนอนเป็นห้องที่ไว้ใช้สำหรับพักผ่อน เราจึงควรใช้สีม่วงผสมผสานกับโทนอื่น อาทิ สีม่วงโทนแดง, สีชมพู หรือสีขาว เพื่อให้ห้องดูมีอ่อนหวานชวนฝันมากขึ้น นอกจากนี้หากเลือกใช้ผ้าปูที่นอนหรือผ้าห่มสีม่วงอ่อน ก็จะทำให้ห้องนอนของคุณดูสวย สบายตา และมีนุ่มนวลได้แบบไม่น่าเชื่อเลยทีเดียว   เรียบแต่เก๋! ต้องขอบอกก่อนเลยว่าสีม่วง Ultra Violet จากแพนโทน 2018 ที่ใช้ในงานอินทีเรียหรือสถาปัตยกรรมนั้นไม่จำเป็นต้องทาอาคาร, ผนังทั้งหมด ซึ่งถ้าเราอยากตกแต่งบ้านให้อินเทรนด์ ก็สามารถเลือกทาสีเฉพาะจุดก็ได้ค่ะ อย่างเช่น ห้องครัวในภาพตัวอย่างที่เราเลือกมา ก็ทาสีม่วงที่ผนังเพียงฝั่งเดียว เพื่อย้อมสีให้ห้องดูสนุกสนาน น่าหลงใหล และมีเสน่ห์มากขึ้น โดยที่ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเคาน์เตอร์ครัวใหม่ แถมยังคงมีความเก๋ไก๋ สร้างจุดน่าสนใจในห้องครัวขึ้นมาง่ายๆ   เก้าอี้สีม่วงของฉัน แต่งห้องครัวด้วยโทนสีม่วง Ultra Violet ไว้แล้ว แน่นอนว่าปีหน้าจะต้องมีเฟอร์นิเจอร์จากแบรนด์ชั้นนำออกคอลเล็คชั่นตามสี Pantone ประจำปีมาอย่างมากมาย ซึ่งใครที่ชื่นชอบการตกแต่งบ้านด้วยเฟอร์นิเจอร์ ให้ลองเริ่มจากการเปลี่ยนเก้าอี้เก่าที่บ้านให้เป็นของใหม่ก่อนก็ได้ค่ะ ทั้งนี้สีม่วงเป็นสีที่เข้ากันกับห้องสีขาวและสีเทาอยู่แล้ว เช่นเดียวกันกับพื้นไม้และเฟอร์นิเจอร์ไม้ก็สามารถเลือกเฟอร์นิเจอร์สีม่วงมาวางได้เลย แต่หากต้องการให้ห้องดูมีความโมเดิร์นและดูสงบนิ่ง ควรเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์สีม่วงแค่ไม่กี่ชิ้นก็เพียงพอแล้วค่ะ ทั้งหมดนี้คือตัวอย่างไอเดียแต่งบ้านผ่านเฉดสี Pantone 2018 ไม่ว่าคุณผู้อ่านจะชื่นชอบสีโทนไหน อยากจะตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์หรือของตกแต่งบ้านในรูปแบบอะไร ก็สามารถเลือกได้ตามใจชอบเลยค่ะ เพียงแค่ควรยึดหลักในการตกแต่งตามเฉดสี Pantone เทรนด์สีสุดฮอตไว้เท่านั้น เพียงเท่านี้คุณก็สามารถเปลี่ยนแปลงบ้านของคุณให้ดูสวยน่ามองน่าอยู่ จนใครๆ พากันหลงใหลและอยากมาเยี่ยมเยียนบ้านของคุณบ่อยๆ แน่นอน รูปภาพจาก : Pinterest