Tag : LivingProducts

216 ผลลัพธ์
เจ.ดี.พูลส์  ชู 3 กลยุทธ์สู้โควิด-19  ปั้นรายได้ 1,000 ล้าน

เจ.ดี.พูลส์ ชู 3 กลยุทธ์สู้โควิด-19 ปั้นรายได้ 1,000 ล้าน

เจ.ดี.พูลส์ ชู 3 กลยุทธ์สร้างการเติบโตธุรกิจสระว่ายน้ำ ออกสินค้าราคาจับต้องได้ การขยายตลาดงานราชการ และเพิ่มสาขาแฟรนไชส์  หวังสถานการณ์โควิด-19 ฟื้นตัวดีขึ้น สร้างรายได้ทะลุ 1,000 ล้าน   นายธนูศักดิ์ พึ่งเดช ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจ.ดี.พูลส์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายสระว่ายน้ำแบรนด์ เจ.ดี.พูลส์ (J.D.Pools) เปิดเผยถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2564 ว่า ได้ตั้งเป้าหมายการสร้างรายได้ 1,000 ล้านบาท เติบโตจากปีที่ผ่านมามีรายได้ 950 ล้านบาท  แม้ว่าในปีนี้ยังมีสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ยังกระทบกับภาวการณ์ท่องเที่ยว เพราะธุรกิจสระน้ำมีความเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ซึ่งปัจจุบันยังไม่ฟื้นตัวมากนัก แต่จากแนวทางการทำตลาด และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของบริษัทคาดว่าจะสามารถสร้างรายได้เติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้​   สำหรับกลยุทธ์ในการสร้างการเติบโตปีนี้ บริษัทวางแนวทางการทำตลาดไว้ใน 3 เรื่อง คือ 1.การขยายตลาดสระว่ายน้ำในบ้านทั่วไป เป็นสระว่ายน้ำราคาจับต้องได้ 2.การขยายตลาดไปยังกลุ่มงานราชการ และ 3.การขยายสาขาแฟรนไชน์ โดยปีนี้เปิดตัวสินค้าใหม่เพื่อขยายตลาด ซึ่งเป็นสินค้าราคาที่จับต้องได้ ซึ่งเน้นการทำตลาดกับกลุ่มบ้านที่อยู่อาศัยทั่วไป และกลุ่มผู้สนใจรักสุขภาพ ในการใช้สระน้ำเพื่อช่วยออกกำลังกายและการบำบัดโรค โดยได้เปิดตัวสระว่ายน้ำระดับราคาประมาณ 300,000 บาท ขนาดความยาว 5 เมตร ที่สามารถติดตั้งได้ในบ้านเดี่ยว บ้านแฝด หรือทาวน์โฮม บริษัทพยายามทำราคาสระว่ายน้ำให้จับต้องได้ ซึ่งตลาดที่กำลังมาแรง คือ ตลาดสุขภาพ ที่สระว่ายน้ำช่วยด้านการรักษาโรคและช่วยให้ร่างกายแข็งแรง เช่น การเดินในสระน้ำเพื่อรักษาข้อเข่า เป็นต้น   ส่วนแนวทางการขยายตลาดกลุ่มงานราชการ บริษัทได้นำเสนองานผ่านองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านการกีฬา เช่น กรมพลศึกษา เพื่อนำเสนอสินค้าที่ตรงความต้องการของหน่วยงานดังกล่าว เนื่องจากปัจจุบันหน่วยงานราชการมีนโยบายด้านการส่งเสริมให้ประชาชนออกกำลังกายมากขึ้น โดยเฉพาะตามแหล่งชุมชนที่ต้องการให้มีสระวายน้ำเพื่อการออกกำลังกายมากขึ้น ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้จากงานราชการเพียง 50 ล้านบาท เนื่องจากเพิ่งเริ่มต้นเข้าทำตลาด แต่คาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง นายธนูศักดิ์ กล่าวอีกว่า ส่วนการขยายสาขาแฟรนไชน บริษัทต้องการขยายสาขาให้ครอบคลุมทั่วประเทศ  แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความพร้อม และภาวะเศรษฐกิจโดยรวม ซึ่งเมื่อมีโอกาสจะขยายตลาดอย่างต่อเนื่อง แต่เบื้องต้นวางเป้าหมายเพิ่มบริษัทมีแผนเพิ่มศูนย์บริการและจัดจำหน่ายเพิ่มอย่างน้อย 10 แห่ง จากปัจจุบันที่มีอยู่ 22 แห่งใน 20 จังหวัด ภายในระยะเวลา 3 ปีนี้ ซึ่งในจำนวนดังกล่าวเป็นสาขาที่บริษัทลงทุนเอง 8 แห่ง   นอกจาก การทำตลาดในประเทศ ปัจจุบันบริษัทมีตัวแทนจำหน่ายและพันธมิตรในประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งเมียนมา สปป.ลาว และกัมพูชา โดยในเมียนมาสามารถทำยอดขายได้มากที่สุดกว่า 20 ล้านบาท จากยอดขายโดยรวมของกลุ่มตลาดต่างประเทศกว่า 100 ล้านบาท แต่ปีที่ผ่านมายอดขายตลาดต่างประเทศได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 ทำให้มียอดขายลดลงไปประมาณ 20%  
ตราเพชร เปิดตัวบ้านน็อกดาวน์ 1.2 ล้าน ตอบโจทย์มีสินค้าครบทั้งหลัง

ตราเพชร เปิดตัวบ้านน็อกดาวน์ 1.2 ล้าน ตอบโจทย์มีสินค้าครบทั้งหลัง

ตราเพชร เดินเครื่องผลิตสินค้ากลุ่มไม้สังเคราะห์ 55,000  ตัน ดันเป้ารายได้โต 5% พร้อมเปิดตัวบ้านน็อกดาวน์ 1.2 ล้าน ตอบโจทย์ความต้องการ สินค้าบ้านมีครบทั้งหลัง    นายสาธิต สุดบรรทัด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน) หรือ DRT เปิดเผยถึงทิศทางธุรกิจในปี 2564 ว่า ตั้งเป้าหมายการเติบโตด้านรายได้ไว้ 5% จากปีที่ผ่านมาสามารถทำรายได้ 4,409 ล้านบาท  โดยการเติบโตจะมาจากปัจจัยหลัก คือ การเพิ่มกำลังการผลิตสินค้ากลุ่มไม้สังเคราะห์ ซึ่งมีการเดินเครื่องจักร NT-11 ทำให้มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 5% หรือประมาณ 55,000 ตันต่อปี    นอกจากนี้ บริษัทยังได้เพิ่มความหลากหลายของสินค้า อาทิ นำเข้าวัสดุมุงหลังคาเมทัลชีท การผลิตผนังที่สามารถสั่งพิมพ์ลวดลายได้โดยเฉพาะ และการจัดทำบ้านสำเร็จรูป หรือบ้านน็อกดาวน์ โดยได้เปิดตัว Diamond Studio แบบบ้านน็อกดาวน์ พื้นที่ใช้สอย 75 ตารางเมตร ในราคา 1.2 ล้านบาท หรือ 16,000 บาทต่ารางเมตร  ซึ่งวัสดุเกือบทั้งหมดจะเป็นของตราเพชร ซึ่งนอกจากการก่อสร้างบ้านแล้ว ยังสามารถปรับเป็นรูปแบบร้านกาแฟ หรือคาเฟ่ต่าง ๆ ได้อีกด้วย  ซึ่งใช้เวลาการก่อสร้างเพียง 3 สัปดาห์ วัสดุโดยเฉพาะผนัง สามารถออกแบบลวดลายและขนาดตามความต้องการของลูกค้าได้โดยเฉพาะ บ้านน็อกดาวน์บริษัทมองช่องทางบริษัทรับสร้างบ้าน หรือดีเวลลอปเปอร์ในการนำไปทำตลาด  ซึ่งเป็นการตอกย้ำคอนเซ็ปต์ของบริษัท ในเรื่องการมีสินค้าครบของบ้านทั้งหลัง ปัจจุบันบริษัทมี 4 ช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้า  ได้แก่ 1.ตัวแทนจำหน่าย ซึ่งถือเป็นช่องทางหลักในการสร้างยอดขายและรายได้ โดยมีสัดส่วนมากกว่า 50% ของรายได้รวม  2.ช่องทางโมเดิร์นเทรด 3.กลุ่มลูกค้าโครงการ ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และ 4.ตลาดต่างประเทศ ทั้งกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน และเอเชียแปซิฟิค   ปัจจุบันกลุ่มลูกค้ายังนำวัสดุไปใช้ในการก่อสร้างหรือซ่อมแซมบ้านแนวราบ ซึ่งบริษัทมองว่าจากการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการเพิ่มความหลากหลายของสินค้า เช่น ผนังดิจิตอลพริ้นติ้ง และอิฐมวลเบา จะสามารถขยายตลาดไปยังกลุ่มคอนโดมิเนียมได้ในอนาคต รวมถึงการขยายตลาดไปยังกลุ่มบริษัทรับสร้างบ้าน ในการนำเอาวัสดุก่อสร้างของบริษัทไปประกอบเป็นบ้านน็อกดาวน์ ซึ่งบริษัทจะหาพันธมิตรมาร่วมทำตลาด หรืออนาคตอาจจะขยายตลาดด้วยตนเองเพื่อสร้างการเติบโตเพิ่มมากขึ้น   โดยในปีนี้บริษัทประเมินว่าตลาดวัสดุก่อสร้างจะฟื้นตัว โดยมีการเติบโตประมาณ 5-10% เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ราคาพืชผลการเกษตรเริ่มดีขึ้น สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย ห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ เปิดขายได้ตามปกติ และผู้ประกอบการเริ่มมีการก่อสร้างบ้านมากขึ้น รวมถึงตลาดซ่อมแซมยังคงมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง​ ความท้าทายในการทำธุรกิจปีนี้ คือ สถานการณ์โควิด-19 กำลังซื้อของผู้บริโภค และการขยายตลาดใหม่ ๆ 
โฮมโปร เจอพิษกระทบโควิด-19 ทำรายได้-กำไรลดตามคาด

โฮมโปร เจอพิษกระทบโควิด-19 ทำรายได้-กำไรลดตามคาด

โฮมโปร เผยผลงานปี 63 รายได้และกำไรลด หลังโดนผล​กระทบของ​โควิด​-19​ ทำให้ต้องปิดสาขาชั่วคราว กำลังซื้อผู้บริโภคลดลง แม้ยอดขายช่องทางออนไลน์เติบโต​ แต่ยังคงเดินหน้าขยายตลาดกลุ่ม CLMV ล่าสุด เข้าลงทุนในบริษัท Home Product Center Vietnam Company Limited ลุยธุรกิจค้าปลีกในเวียดนาม     นายคุณวุฒิ ธรรมพรหมกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของบริษัทและบริษัทย่อย ประจำปี 2563 ว่า  มีรายได้จำนวน 61,748.99 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนหน้า 8.35% และมีกำไรสุทธิ จำนวน  5,154.70 ล้านบาท ลดลง 16.54% จากปีก่อนหน้า  ปัจจัยหลักที่ทำให้ผลการดำเนินงานที่ลดลง เป็นเพราะ​การปิดสาขาในช่วงไตรมาสที่ 2  และกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลง แม้ยอดขายผ่านช่องทางออนไลน์เติบโตขึ้น แต่ยังไม่สามารถชดเชยผลกระทบด้านผลประกอบการของสาขาที่ปิดไปได้ โดยรายได้จากสัญญาที่ทำกับลูกค้า ซึ่งเป็นรายได้ที่ประกอบไปด้วยรายได้จากการขายสินค้า และรายได้จากการให้บริการลูกค้า (Home Service) รวมจำนวน 58,346.77 ล้านบาท ลดลง 4,699.46 ล้านบาท หรือ 7.45% ซึ่งเป็นผลมาจากยอดขายสาขาเดิมที่ลดลงของธุรกิจโฮมโปร เมกา โฮม และ โฮมโปรที่ประเทศมาเลเซีย และมีสาเหตุหลักมาจากการปิดสาขาชั่วคราวในประเทศไทยและมาเลเซีย   ด้านรายได้ค่าเช่า จำนวน 1,527.16 ล้านบาท ลดลง 679.92 ล้านบาท หรือ 30.81% เป็นผลมาจากการปิดร้านค้าเช่าที่อยู่ในพื้นที่สาขาของโฮมโปรและศูนย์การค้ามาร์เก็ตวิลเลจ และการลดค่าเช่าในพื้นที่สาขาของโฮมโปรและศูนย์การค้ามาร์เก็ตวิลเลจ รวมถึงการยกเลิกการจัดกิจกรรม HomePro Expo ในไตรมาสที่ 1 ปี 2563   บริษัทยังมีรายได้อื่น จำนวน 1,875.06 ล้านบาท ลดลง 245.35 ล้านบาท หรือ 11.57% โดยเป็นผลมาจากการลดลงของการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายร่วมกับคู่ค้าในสาขา การยกเลิกการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายในงาน HomePro Expo ในไตรมาสที่ 1 ปี 2563  บริษัทมีกำไรขั้นต้นจากการขายสินค้าและการให้บริการลูกค้า  รวมจำนวน 14,748.51 ล้านบาท ลดลง 1,472.80 ล้านบาท หรือ 9.08% เมื่อเทียบกับปีก่อน สำหรับอัตรากำไรขั้นต้นต่อยอดขายลดลงจาก 25.73% ในปีก่อน มาอยู่ที่ 25.28% ทั้งนี้ โฮมโปร มีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร จำนวน 10,964.70 ล้านบาท ลดลง 980.16 ล้านบาท หรือ 8.21% เมื่อเทียบกับปีก่อน สำหรับอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อยอดขายมีการปรับลดลงเล็กน้อยจาก 18.95% ในปีก่อน มาอยู่ที่ 18.79% สาเหตุหลักมาจากการยกเลิกการจัดกิจกรรม HomePro Expo รวมถึงการลดลงของค่าใช้จ่ายผันแปรและค่าใช้จ่ายคงที่   ในปี 2563 บริษัทฯ ได้เปิดสาขาใหม่ 2 สาขาที่ รังสิตคลอง 4 และสุขสวัสดิ์ ซึ่งทั้ง 2 สาขาอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพ และยังมีกำลังซื้อ โดย ณ สิ้นปี 2563 บริษัทฯ จำนวนสาขาคือ โฮมโปร 86 สาขา โฮมโปรเอส 9 สาขา เมกาโฮม 14 สาขา และโฮมโปรในประเทศมาเลเซียอีก 6 สาขา   นอกจากนี้บริษัทยังได้มีการแสวงหาโอกาสต่าง ๆ ในธุรกิจเพื่อรองรับการเติบโตในระยะยาวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยคณะกรรมการบริษัทได้มีมติอนุมัติการเข้าลงทุนในบริษัท Home Product Center Vietnam Company Limited เพื่อดำเนินธุรกิจค้าปลีกในประเทศเวียดนาม อีกด้วย   นายคุณวุฒิ กล่าวต่อไปอีกว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2563 ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ซึ่งเกิดจากสถานการณ์ ไวรัสโคโรนา 2019  โฮมโปร ได้ให้ความร่วมมือและดำเนินการสอดคล้องกับมาตรการและคำสั่งของหน่วยงานรัฐอย่างเต็มที่ โดยมีการปิดบางสาขาชั่วคราวในส่วนของโฮมโปรและเมกาโฮม ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม 2563 ถึง 16 พฤษภาคม 2563 และกลับมาเปิดครบทุกสาขาในวันที่ 17 พฤษภาคม 2563 ตามมาตรการผ่อนคลายการล็อกดาวน์ของศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) แต่ยังคงจำกัดเวลาทำการ โดยภาพรวมในปีนี้บริษัทสามารถรองรับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงจากการเกิดชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) ที่ยังมีความต้องการจับจ่ายใช้สอย และรับมือกับสถานการณ์โควิด-19 ได้อย่างทันท่วงที ผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งได้มีการเตรียมพร้อมและพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงระบบขนส่งสินค้าและบริการภายในวันที่มีการสั่งซื้อ (Same Day Delivery) ยกระดับความรวดเร็วในการจัดส่ง โดยลูกค้าสามารถเลือกรับสินค้าที่สาขา (Click and collect) ได้เช่นกัน   ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มความสะดวกยิ่งขึ้นให้แก่ลูกค้าท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19 ทางบริษัทได้เปิดให้บริการ Shop4U ที่เสมือนมีผู้ช่วยในการเลือกซื้อสินค้าและบริการในช่วงที่ลูกค้าไม่สามารถออกมาซื้อที่สาขาได้ โดยนอกเหนือจากเว็บไซต์ของบริษัท ทางบริษัทได้มีช่องทางในการเลือกซื้อสินค้าและบริการผ่านแอพพลิเคชั่น HomePro Application และ Home Service Application เพื่อตอบโจทย์ความต้องการบริการที่จำเป็นต่อการซ่อมแซมบ้านและที่อยู่อาศัย  
สีนิปปอนเพนต์ วางเป้าโต 20% ลุยตลาดสีท่ามกลางโควิด-19

สีนิปปอนเพนต์ วางเป้าโต 20% ลุยตลาดสีท่ามกลางโควิด-19

นิปปอนเพนต์ เปิดเกมรุกปี 64 หวังเติบโต 20% ท่ามกลางตลาดสีทาบ้าน 25,000 ล้าน แนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่อง ลุยหน้าแคมเปญการตลาดครบวงจร พร้อมสร้างการรับรู้สู่กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ​    นายวัชระ ศิริฤทธิชัย ผู้จัดการทั่วไป บริษัท นิปปอนเพนต์ เดคโคเรทีฟ โคทติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสีนิปปอนเพนต์ในประเทศไทย  เปิดเผยว่า ทิศทางธุรกิจสีทาบ้านและอาคารใน ช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564 ยังคงชะลอตัวต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา เพราะผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่หากสถานการณ์ปรับตัวดีขึ้น คาดว่าตลาดจะฟื้นตัวได้ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2564 นี้ ซึ่งในปี 2563 ที่ผ่านมา ตลาดสีทาบ้านและอาคารลดลงประมาณ 5-10% จากมูลค่าตลาดประมาณ 25,000 ล้านบาท ส่วนความต้องการใช้งานคาดว่าจะลดลง 15%   อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในภาพรวมตลาดจะมีการหดตัวลง แต่ยังพบว่ากลุ่มสีเพื่อสุขภาพและสุขภาวะที่ดี  ยังคงมีอัตราการเติบโตขยายตัวที่ดี คาดว่าจะมีมูลค่าตลาด 1,000-1,500 ล้านบาท เห็นได้จากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์สี air care ของบริษัทที่ได้รับการตอบรับที่ดี สำหรับการเติบโตในปี 2564 คาดว่าบริษัทจะสร้างการเติบโตได้ประมาณ 20% จากปีที่ผ่านมา ภายใต้การประเมินสถานการณ์การแพร่ระบาดของโวรัสโควิด-19 ในปัจจุบัน และแนวโน้มการนำเอาวัคซีนเข้ามาใช้ แต่หากสถานการณ์ปรับตัวดีขึ้นกว่าปัจจุบัน บริษัทคาดหวังว่าจะสามารถสร้างการเติบโตได้มากกว่า 20% โดยบริษัทวางแผนธุรกิจในปีนี้ด้วยการจัดกิจกรรมการตลาดแบบครบวงจร รวมถึงกลยุทธ์การทำตลาดอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ การขยายตลาดไปยังกลุ่มเป้าหมายใหม่   "ปัจจุบันต้องยอมรับว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นกับสีทาบ้านหรือสีทาอาคาร มีทั้งการเกิดรอยด่าง สีซีด สีลอกล่อน ซึ่ง มาจากหลายสาเหตุ ขณะที่บางคนมองแต่ความสวยงาม แต่เมื่อใช้งานผ่านไปเพียง 3-4 ปี เริ่มเกิดปัญหา นิปปอนเพนต์ จะนำนวัตกรรมต่างๆ ออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทันกับความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม โดยเฉพาะการ ยกระดับคุณภาพชีวิตให้ปลอดภัยในยุคโควิดที่กำลังระบาดระลอกใหม่นี้"   ขณะที่กลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการโครงการต่างต้องการเดินหน้าโครงการต่อเนื่อง พร้อมมองหา "เทคโนโลยีใหม่" มาเป็นตัวช่วยเสริมให้การทำงานเร็วขึ้น  ลดการใช้แรงงานคน ลดต้นทุน แต่คงประสิทธิภาพของงานได้ดี ทำให้ส่งมอบงานได้เร็วยิ่งขึ้น จึงเป็นอีกหนึ่งโอกาสสำคัญของนิปปอนเพนต์ที่โฟกัสกลุ่มลูกค้า B2B ต่อเนื่อง รวมถึงมุ่งสร้างความรู้ ความเข้าใจ และความสำคัญของการเลือกใช้สีและ วัสดุเคลือบผิวที่มีคุณภาพ และขั้นตอน การทำงานที่ถูกต้อง ล่าสุด บริษัทเปิดตัแคมเปญ  “เครื่องสำอางเพื่อบ้านคุณ” ซึ่งเป็นการต่อยอดจากความสำเร็จในปีที่ผ่านมา ​เพื่อตอกย้ำความเป็น The Coatings Expert ที่จะช่วยแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น และบริษัทฯ ยังมีเป้าประสงค์ที่ต้องการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องอย่างแท้จริงให้ผู้บริโภค ว่าสีและวัสดุเคลือบผิวแต่ละชนิด แต่ละประเภทมีความแตกต่างกัน การเลือกสี การใช้สี การเตรียมสี ก็แตกต่างกันขึ้นอยู่กับสภาพพื้นผิวของผนังหรือวัสดุนั้น ๆ เพื่อให้ได้ผลงานที่ดีและมีคุณภาพ ผ่านแคมเปญโฆษณา “เครื่องสำอางเพื่อบ้านคุณ” ที่จะมาบอกเล่าเรื่องราว ของการแต่งเติมบ้านให้ยังคงความสวยสด งดงาม แม้เวลาจะผ่านไป โดยประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อออนไลน์เป็นหลัก   ​
อิเกีย ขายเสื้อผ้า  ครั้งแรก!! จากเฟอร์นิเจอร์สู่สตรีทแฟชั่น…

อิเกีย ขายเสื้อผ้า ครั้งแรก!! จากเฟอร์นิเจอร์สู่สตรีทแฟชั่น…

อิเกีย ประเทศไทย เตรียมเปิดตัวสินค้าแฟชั่นครั้งแรก คอลเล็คชั่น เอฟเตอร์แทรดา  (EFTERTRÄDA)  นำโลโก้และบาร์โค้ดอันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ ผสานความเรียบง่ายสไตล์มินิมัลซึ่งเป็นแนวคิดหลักในการออกแบบเฟอร์นิเจอร์ของอิเกียมาใช้กับการสร้างสรรค์เสื้อผ้าและแอคเซสซอรี่ต่างๆ    คอลเล็คชั่น “EFTERTRÄDA/เอฟเตอร์แทรดา” เปิดตัวครั้งแรกที่อิเกีย ฮาราจูกุ เมื่อกลางปี 2563 และได้เสียงตอบรับเป็นอย่างดีจากแฟนอิเกียในญี่ปุ่น ตามด้วยในสิงคโปร์ และพร้อมเปิดตัวในประเทศไทย วันที่ 14 มกราคม 2564 ที่อิเกีย บางนา อิเกีย  บางใหญ่ และอิเกีย ภูเก็ต   คอลเล็คชั่น “EFTERTRÄDA/เอฟเตอร์แทรดา” นับเป็นการปฏิวัติของแบรนด์เฟอร์นิเจอร์และ   ของแต่งบ้านชั้นนำระดับโลกจากสวีเดน ทั้งนี้ EFTERTRÄDA เป็นภาษาสวีเดนแปลว่า “ผู้สืบทอด” คอลเล็คชั่นนี้เกิดจากการทำงานร่วมกันของอิเกีย ญี่ปุ่น และ อิเกีย สวีเดน โดยได้รับแรงบันดาลใจ และผลิตขึ้นเพื่อแฟนอิเกียในโตเกียว และทั่วโลก โดยมีโลโก้อิเกียและบาร์โค้ดของตู้ รุ่น BILLY/ บิลลี่ ซึ่งเป็นสินค้าขายดีเป็นองค์ประกอบหลักของงานดีไซน์ ลีโอนี่ ฮอสกิ้น ผู้จัดการฝ่ายธุรกิจค้าปลีก อิเกีย ประเทศไทย และเวียดนาม เปิดเผยว่า   อิเกีย ประเทศไทย  เตรียมจัดกิจกรรมพิเศษต้อนรับคอลเล็คชั่นแฟชั่นครั้งแรกของอิเกีย ผ่านแนวคิด “Bangkok City Scape” เพื่อถ่ายทอดกลิ่นอายความงดงามของกรุงเทพฯ ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองหลวงที่มีเอกลักษณ์ สอดคล้องกับสไตล์ของคอลเล็คชั่น “EFTERTRÄDA/เอฟเตอร์แทรดา” ที่ออกแบบสำหรับผู้คนทุกเพศ ทุกวัย และทุกไลฟ์สไตล์ โดยเฉพาะคนที่มีความ young at heart รูปแบบที่เหนือกาลเวลา ซึ่งเป็นแนวคิดในการออกแบบของอิเกีย หรือที่เราเรียกว่า democratic design   เพราะอิเกียเชื่อเสมอว่าทุกคนควรเข้าถึงและเป็นเจ้าของงานดีไซน์ที่มีคุณภาพได้ ในราคาย่อมเยา คอลเล็คชั่น  EFTERTRÄDA/เอฟเตอร์แทรดา​ จึงเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ดี   นอกจากนี้ อิเกีย ยังได้จัดมุมพิเศษ สำหรับคอลเล็คชั่น “EFTERTRÄDA/เอฟเตอร์แทรดา” รวมถึงแอคเซสซอรี่ที่เป็นไอคอนของอิเกียให้ลูกค้า ได้เลือกซื้อ​ พร้อมข้อเสนอพิเศษสำหรับสมาชิก IKEA Family  รับหน้ากากผ้าฟรี  จำนวนจำกัด เมื่อซื้อสินค้าใดก็ได้ในคอลเล็คชั่น “EFTERTRÄDA/เอฟเตอร์แทรดา”   รวมถึงจัดกิจกรรมออนไลน์ ชวนทุกคนร่วมสนุกลุ้นรับรางวัลกิฟต์การ์ดอิเกีย มูลค่า 3,000 บาท เพียงถ่ายภาพกับไอเท็มใดก็ได้จากคอลเล็คชั่น “EFTERTRÄDA/เอฟเตอร์แทรดา” โพสต์ลงในเฟซบุ๊กหรืออินสตาแกรมของคุณ พร้อมติด แฮชแท็ก #EFTERTRADA และ #IKEAThailand พร้อมตั้งค่าโพสต์เป็นสาธารณะ ระหว่างวันที่ 14 - 28 มกราคม 2564   สำหรับสินค้า EFTERTRÄDA/เอฟเตอร์แทรดา   ประกอบด้วย เสื้อฮู้ดแจ็คเก็ต ราคา 699 บาท มีขนาด  S/M: ยาว 65 ซม. กว้าง 52 ซม. L/M: ยาว 75 ซม. กว้าง 62 ซม. ​ ผ้าเช็ดตัว ราคา 299 บาท มี 2 สี เหลือง และ ขาว ขนาด: ยาว 140 ซม. กว้าง 70 ซม. กระเป๋าผ้า ราคา 199 บาท ขนาด: กว้าง 40 ซม. สูง 40 ซม. กระติกน้ำ ราคา 99 บาท มี 2 สี เหลือง และ ขาว  สูง: 24 ซม. ความจุ: 0.5 ลิตร คอลเลคชั่น ​EFTERTRÄDA/เอฟเตอร์แทรดา เติมเต็มลุคทั้งแต่งบ้านและแต่งตัว ประกอบด้วย เสื้อยืด  ฮู้ดแจ็คเก็ต ผ้าเช็ดตัว กระติกน้ำ กระเป๋าผ้า พวงกุญแจ ฯลฯ  พร้อมวางจำหน่ายที่อิเกีย บางนา  อิเกีย บางใหญ่ และอิเกีย ภูเก็ต ในวันที่ 14 มกราคม 2564 (สินค้ามีจำนวนจำกัด)    
แคตตาล็อกอิเกีย 2021  เปิดตัวแล้ว  พร้อมหั่นราคาถูกลง 20%

แคตตาล็อกอิเกีย 2021 เปิดตัวแล้ว พร้อมหั่นราคาถูกลง 20%

แคตตาล็อกอิเกีย 2021 เปิดตัวแล้ว พร้อมกับการหั่นราคาสินค้าขายดีถูกลง 20% กว่า 376 รายการ รับกำลังซื้อลดลง พร้อมเปิดตัว E-catalogue รับยอดขายออนไลน์เติบโต คาดสัดส่วนเพิ่มเป็น 20%  ในอีก 1-2 ปี   ในช่วงไตรมาส 3 ของทุกปี แม้ว่าจะยังไม่ใช่ช่วงเวลาการเข้าสู่ปีใหม่ แต่สำหรับ อิเกีย (IKEA) แล้ว ถือว่าเป็นช่วงเวลาของการเปิดตัวแคตตาล็อกเล่มใหม่ของค.ศ.หน้า ที่กำลังจะก้าวมาถึง โดยในปีนี้ก็เช่นกันช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2563 ที่ผ่านมา “อิเกีย” ได้เปิดตัวแคตตาล็อก 2021 ออกมาอวดโฉมให้บรรดาลูกค้าและแฟนคลับที่ชื่นชอบสินค้าของอิเกียให้ได้เลือกซื้อกัน โดยแคตตาล็อกอิเกีย 2021 มีไฮไลท์ที่น่าสนใจ คือ 1.สินค้ายอดฮิตหั่นราคา 20% แคตตาล็อกอิเกีย 2021 มีสินค้า 376 รายการที่ได้ปรับลดราคาถูกลงกว่า ปีที่ผ่านมาเฉลี่ย 20% จากปกติที่ผ่านมาลดราคาเพียง 10-12% เท่านั้น  และถือว่าเป็นการลดราคาสินค้าที่มากที่สุดในรอบ 10 ปี โดยต้องการให้ผู้บริโภคสามารถซื้อสินค้าได้มากขึ้น และสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อ ซึ่งลดลงต่อเนื่องจากช่วงก่อนหน้านี้ เป็นการวางแผนไว้ก่อนที่จะเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19    สินค้าในแคตตาล็อกอิเกีย 2021 ที่ปรับราคาลดลง เป็นสินค้าที่ขายดีและลูกค้าชื่นชอบอยู่แล้ว มีครบทุกกลุ่มสินค้า และทุกหมวดหมู่ อาทิ สินค้าห้องนอน ห้องนั่งเล่น ห้องทำงาน 2.สินค้าใหม่กว่า 2,000 รายการ แคตตาล็อกอิเกีย 2021 ได้มีสินค้าใหม่ออกมาจำหน่ายกว่า 2,000 รายการ โดยจะทยอยวางจำหน่ายอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี   สินค้าใหม่ภายในแคตตาล็อกอิเกีย 2021 ได้พัฒนาให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของคนยุคปัจจุบัน ที่ยังคงอาศัยอยู่ในเมืองเป็นหลักมากถึง 70% และอยู่อาศัยในพื้นที่จำกัด เฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้านจึงต้องมีฟังก์ชั่นหลากหลายในการใช้งาน และมีขนาดเหมาะสม 3.ออก E-catalogue รับออนไลน์โต   นอกจากแคตตาล็อกอิเกีย 2021 ซึ่งมาในรูปแบบหนังสือ ยังมีการจัดทำแคตตาล็อกอิเกีย 2021 ในรูปแบบ E-catalogue เพื่ออำนวยความสะดวกกับลูกค้า และไลฟ์สไตล์ของคนยุคปัจจัยที่ซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์​ เพราะสินค้าในแคตตาล็อกอิเกีย 2021 รูปแบบ E-catalogue สินค้าจะลิงค์ไปที่เว็บไซต์ของอิเกีย เพื่อสั่งซื้อสินค้าได้เลย นายรอย เดวาร์ ผู้จัดการสโตร์ อิเกีย บางนา เปิดเผยว่า ปัจจุบันยอดขายผ่านช่องทางออนไลน์ สามารถช่วยผลประกอบการของอิเกียได้จำนวนมาก มากกว่าที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้ ซึ่งช่วงล็อกดาวน์ อิเกียสามารถขายสินค้าผ่านออนไลน์ได้มากถึง 18% ของยอดขายรวม จากปกติมียอดขายเพียงเลขตัวเดียว แม้ว่าปัจจุบันจะลดลงเฉลี่ย 12-14.5% เพราะลูกค้าหันมาซื้อสินค้าที่สโตร์มากขึ้นก็ตาม แต่เชื่อว่าแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้น ซึ่งอิเกียคาดว่าภายใน 1-2 ปีนับจากนี้ ยดขายผ่านช่องทางออนไลน์น่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 20% (อ่านข่าวเพิ่มเติม ... ก้าวต่อไปของ อิเกีย บุกตลาดออนไลน์ หลังโควิด-19 ทุบยอดขายหาย 40%) 4.ยอดพิมพ์กว่า 38 ล้านเล่ม 32 ภาษา แคตตาล็อกอิเกีย 2021 หน้าปกจะเป็นไอเดียการตกแต่งห้องนั่งเล่น จากปี 2020 เปิดตัวแคตตาล็อกเป็นหน้าปกห้องนอน (อ่านข่าว...เปิด 5 เรื่อง (ไม่) ลับ ของแคตตาล็อกอิเกีย 2020 เพื่อแรงบันดาลใจในการอยู่อาศัย) โดยมีจำนวนตีพิมพ์ทั้งหมดทั่วโลกกว่า 38 ล้านเล่ม ด้วยจำนวนภาษามากถึง 32 ภาษา มีทั้งหมดด้วยกัน 69 เวอร์ชั่น เพื่อใช้ใน 53 ประเทศที่อิเกียเปิดให้บริการ ซึ่งแคตตาล็อกอิเกีย 2021 มีจำนวน 280 หน้าและมากับปก 4 หน้า
5 กลยุทธ์ “โฮมโปร” ลุยตลาดครึ่งปีหลัง สู่เป้าหมายรายได้ 69,000 ล้าน

5 กลยุทธ์ “โฮมโปร” ลุยตลาดครึ่งปีหลัง สู่เป้าหมายรายได้ 69,000 ล้าน

ผลกระทบจากมาตรการล็อคดาวน์ประเทศ เพราะการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้หลายธุรกิจต่างต้องหยุดการดำเนินธุรกิจชั่วคราว คนส่วนใหญ่จำเป็นต้อง “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” การใช้ชีวิตและการทำงานต้องเปลี่ยนเป็น Work From Home หลาย ๆ ธุรกิจต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ และวิธีการทำตลาดใหม่ หันมามุ่งเน้นช่องทางตลาดออนไลน์ แทนการเปิดร้านขายแบบปกติ   การปิดสาขา หรือร้านขายสินค้าปกติ แน่นอนกระทบต่อยอดขายที่ต้องหายไป  แม้การเปิดขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์จะสามารถสร้างยอดขายให้เพิ่มขึ้น แต่เชื่อว่าอาจจะไม่ทดแทนกับยอดขายที่หายไปได้อย่างแน่นอน เพราะสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่เกิดขึ้น ไม่มีใครคาดคิดและเตรียมแผนรับมือเอาไว้ล่วงหน้า   “โฮมโปร”  ศูนย์จำหน่ายสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ ของตกแต่ง และวัสดุก่อสร้าง ก็ได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อกคดาวน์  ซึ่งทำให้ผลการดำเนินงานในรอบครึ่งปีแรกของปี 2563 นี้ ชะลอตัวลงในอัตรา 12% แม้ว่ายอดขายผ่านช่องทางออนไลน์จะเพิ่มสูงขึ้น 350% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาก็ตาม นางสาวศิริวรรณ เปี่ยมเศรษฐสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กลุ่มการตลาด บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ยอดขายออนไลน์ของโฮมโปรเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างมาก เฉพาะช่วงเดือนเมษายน มียอดขายเติบโตถึง 500%  โดยปกติยอดขายออนไลน์เฉลี่ยต่อวันจะมีประมาณ 2-3 ล้านบาท แต่ช่วงโควิด-19 สามารถขายได้สูงถึง 20 ล้านบาทต่อวัน และหากวันไหนมีการจัด Live Facebook ขายสินค้าได้สูงถึงวันละ 30 ล้านบาท   อย่างไรก็ตาม แม้ว่ายอดขายออนไลน์จะเติบโตเพิ่มสูงขึ้น แต่ผลการดำเนินงานโดยรวมของช่วงครึ่งปีแรก ยังลดต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งช่วงครึ่งปีหลังโฮมโปรเตรียมแผนการตลาด เพื่อกระตุ้นยอดขายให้กลับมาเติบโต และคาดหวังว่าจะสามารถทำผลประกอบการให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ว่าจะมีรายได้ 69,000 ล้านบาทในปีนี้ สำหรับแผนการตลาดในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งโฮมโปรได้วางแผนไว้ ประกอบด้วย 1.การขยายสาขาใหม่เพิ่มอีก 2 แห่ง ในช่วงครึ่งปีหลังโฮมโปรวางแผนขยายสาขาขนาดใหญ่ 2 แห่ง ที่ย่านรังสิต และย่านสุขสวัสดิ์ ซึ่งตามแผนเดิมโฮมโปรจะขยายสาขาในรูปแบบโฮมโปร เอส ซึ่งเป็นาขาขนาดเล็ก อยู่ในพื้นที่ศูนย์การค้าหรือคอมมูนิตี้มอลล์ แต่จากสถานการณ์ของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ ศูนย์การค้าหรือคอมมูนิตี้มอลล์ที่จะเข้าไปขยายสาขา ยังไม่เปิดให้บริการ ทางโฮมโปรจึงต้องเลื่อนกำหนดการขยายสาขาออกไปเป็นปีหน้าแทน 2.จัดอีเวนต์ 5 งานใหญ่ ในช่วงครึ่งปีหลังโฮมโปรวางแผนจัดงานอีเวนต์ 5 งานหลัก ได้แก่ งานโฮมโปร แฟร์ จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งจัดไปแล้วในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม ที่ผ่านมา งานโฮมโปรเอ็กซ์โป เมืองทองธานี ช่วงจัดขึ้นใน วันที่ 24 กรกฎาคม – 2 สิงหาคม 2563 นี้ และอีก 3 งานที่กำลังจะจัดขึ้นต่อไป ได้แก่  งานโฮมโปร เอ็กซ์โป จ.เชียงใหม่  งานโฮมโปร เอ็กซ์โป จ.ขอนแก่น และงานโฮมโปร เอ็กซ์โป เมืองทองธานี ช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้ ซึ่งนอกเหนือจากงานอีเวนต์หลักดังกล่าวแล้ว ยังมีการจัดกิจกรรมภายในสาขา เช่น งานวันครบรอบ การจัดโปรโมชั่นประจำปี และการไปร่วมกับพันธมิตรในการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ด้วย   3.เปิดตัว Homepro Mobile  Application สำหรับช่องทางตลาดออนไลน์ ปัจจุบันโฮมโปรมีการจำหน่ายสินค้าผ่านเว็บไซต์ www.homepro.co.th  และ  Application Line “SHOP4YOU” และการสั่งซื้อสินค้าผ่านโทร 1284 เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า ที่ไม่สามารถเดินทางมาซื้อสินค้าที่สาขาได้ และเป็นการเสริมช่องทาง Omni Channel ของโฮมโปรให้มีความสมบูรณ์มากขึ้น  จึงเตรียมเปิดตัว Homepro Mobile Application ในวันที่ 1 กันยายน 2563 นี้ โดยโฮมโปรตั้งเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนรายได้จากช่องทางออนไลน์ จากปัจจุบันประมาณ​ 3% ให้ได้ประมาณ 5% ตามเป้าหมายในปีนี้   4.พัฒนาระบบโลจิสติกส์ ระบบโลจิสติกส์  ถือว่าเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญของการทำตลาดออนไลน์ ซึ่งปัจจุบันโฮมโปรมีการจัดส่งสินค้าให้กับลูกค้าในพื้นที่สาขาตั้งอยู่รัศมี 30 กิโลเมตร เมื่อสั่งซื้อสินค้าครบ 3,000 บาท แต่ในช่วงเกิดภาวะโควิด-19 ลูกค้าสั่งซื้อสินค้าเพียง 500 บาท ก็สามารถได้รับบริการจัดส่งสินค้าได้เช่นกัน โดยบริษัทมีแผนที่จะพัฒนาระบบการจัดส่งสินค้า ให้มีความสะดวกรวดเร็วและมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น ด้วยบริการ “SAMEDAY Delivery” หรือการบริการจัดส่งสินค้าภายในวันเดียวกับที่สั่งซื้อสินค้า ซึ่งเริ่มต้นทดลองระบบดังกล่าวในงานโฮมโปร เอ็กซ์โป ครั้งที่ 31 ก่อน หากประสบความสำเร็จจะนำมาใช้จริง   นอกจากนี้ ทางโฮมโปร ยังได้ขยายระยะเวลาการให้บริการจัดส่งสินค้า  จากเดิมจัดส่งภายในเวลา 18.00 น. เป็นการจัดส่งภายในเวลา 21.00 น. ซึ่งแผนการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ โฮมโปรยังทำอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การส่งสินค้ามีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น ในอนาคตจะขยายศูนย์กระจายสินค้าให้เพิ่มมากขึ้นด้วย 5.เพิ่มความหลากหลายสินค้า รับ New Normal สินค้า คือ ความสำเร็จของการดำเนินธุรกิจ ซึ่งต้องมีทั้งความหลากหลาย และตรงกับความต้องการของลูกค้า โดยเฉพาะการเข้าสู่ความปกติวิถีใหม่ หรือ New Normal ของลูกค้าในยุคโควิด-19 โดยโฮมโปรมองว่าสินค้าที่จะนำมาจำหน่าย ต้องมีความหลากหลาย  จึงได้ปรับสินค้าให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคยุคปัจจุบัน ภายใต้แนวคิด Happy Home Healthy Living ยิ่งอยู่บ้าน ยิ่งรู้ว่าบ้านต้องการอะไร  ซึ่งเป็นการจัดกลุ่มสินค้าเพื่อตอบโจทย์ความเป็น Total Home Solution  ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม   -ลูกค้าที่ต้องทำงานที่บ้าน (Work from Home) เช่น เฟอร์นิเจอร์, โต๊ะ, เก้าอี้ -ลูกค้าที่ต้องการความบันเทิงภายในบ้าน (Entertainment Home) เช่น Smart TV. -กลุ่มนักเรียน นักศึกษาที่ต้องเรียนออนไลน์ (Learning at Home)  -กลุ่มที่ทำอาหารเอง (Cooking at Home) เช่น หม้อทอด, เครื่องครัว, เครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก -กลุ่มสินค้าสุขอนามัย (Hygienic) เช่น เครื่องอบจาน, เครื่องซักผ้า, เครื่องอบผ้า, เครื่องฟอกอากาศ, เครื่องกรองน้ำ -สินค้าจำเป็นในการดูแลบ้าน ซ่อมแซม ปรับปรุง และบริการด้าน Home Service การันตีด้วยทีมช่างมืออาชีพ   บทสรุปสุดท้าย ภายใต้สถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ซึ่งปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โฮมโปร จะยังสามารถกอบกู้ยอดขายที่หดหายไปในช่วงครึ่งปีแรก ให้กลับมาได้ตามเป้าหมายรายได้ปีนี้ 69,000 ล้านบาท หรือไม่ ต้องรอดูว่ากลยุทธ์ต่าง ๆ ที่วางแผนออกมานั้น มีประสิทธิภาพมากน้อยแค่ไหน
นิปปอนเพนต์ผนึก 3 พันธมิตรระดับโลก เตรียมรับมือตลาดฟื้นตัวหลังหมดโควิด-19

นิปปอนเพนต์ผนึก 3 พันธมิตรระดับโลก เตรียมรับมือตลาดฟื้นตัวหลังหมดโควิด-19

นิปปอนเพนต์ผนึกกำลัง 3 พันธมิตรระดับโลก “เทอร์ราโก้ – เกรโก้ -  เมอร์กา” ลุยตลาดสีกลุ่ม Professional Series รับทิศทางอุตสหกรรมก่อสร้างฟื้นตัว หลังโดนพิษไวรัสโควิด-19 ทุบตลาดติดลบ 10-15% มั่นใจปี 2564 ตลาดโตอีกครั้ง   นายวัชระ ศิริฤทธิชัย ผู้จัดการทั่วไป บริษัท นิปปอนเพนต์ เดคโคเรทีฟ โคทติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสีนิปปอนเพนต์ในประเทศไทย  เปิดเผยว่า  ภาพรวมอุตสาหกรรมก่อสร้างในปีนี้คาดว่าจะลดลง 10-15% จากเดิมที่เคยเติบโต 3-5% ต่อปี  ซึ่งเป็นผลจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด – 19 ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา  และยังส่งผลต่อการใช้สีเพื่อการปรับปรุง (Renovation) เกิดการชะลอตัวของการใช้ตามมาด้วย ทำให้ความต้องการใช้สีในช่วงครึ่งปีแรกลดลง 15-20%   แต่อย่างไรก็ตาม แม้จะมีสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ยังพบว่า ยังมีงานก่อสร้างอาคารใหม่บางส่วนที่ยังคงก่อสร้างอย่างต่อเนื่อง เพราะมีระยะเวลาในการส่งมอบงานที่ชัดเจน โดยประเมินว่าภายหลังจากที่สถานการณ์ต่างๆ คลี่คลายลง  ในปี 2564 ภาพรวมอุตสาหกรรมก่อสร้างจะกลับมาเติบโตอย่างก้าวกระโดดอีกครั้ง สำหรับทิศทางการดำเนินงานของบริษัทนั้น  ล่าสุดได้จับมือเป็นพันธมิตรกับ 3 บริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมก่อสร้างระดับโลก เพื่อร่วมกันพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีส่งเสริมการทำงานอย่างมืออาชีพ ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดต่อผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์, เจ้าของอาคาร, สถาปนิกและนักออกแบบ, ผู้รับเหมาก่อสร้าง รวมถึงช่างสี เป็นต้น ถือเป็นครั้งแรกของโลกที่บริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมก่อสร้าง ได้พัฒนานวัตกรรมเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น   โดยเริ่มจากการพัฒนานวัตกรรมแรกเพื่อผู้ประกอบการผ่านระบบ  Professional Series by Nippon Paint ด้วยการผนึกกำลังกับ 3 แบรนด์ชั้นนำระดับโลกที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านในวงการอุตสาหกรรมก่อสร้าง  ได้แก่ เทอร์ราโก้ (Terraco) จากประเทศสวีเดน เกรโก้ (Graco) จากประเทศสหรัฐอเมริกา และเมอร์กา (Mirka) จากประเทศฟินแลนด์     สำหรับเทอร์ราโก้ (Terraco) ประเทศสวีเดน ถือว่าเป็นผู้นำด้านวัสดุตกแต่งผิว เช่น อะคริลิกฉาบบาง อะคริลิกกันซึม วัสดุอุดโป๊ว ด้วยนวัตกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ก่อตั้งนานกว่า 40 ปี ด้วยวัตถุดิบและเทคโนโลยีการผลิตที่คัดสรรมาอย่างดี ทำให้ผลิตภัณฑ์ของเทอร์ราโก้มีความทนทานสูงตอบโจทย์การออกแบบการตกแต่งผิวที่มีความหลากหลายซับซ้อนมากขึ้น  และเทอร์ราโก้เป็นผู้ผลิตที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและผู้ใช้งานอีกด้วย   ส่วนเกรโก้ (Graco) ประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้นำอันดับหนึ่งของโลกในด้านการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องพ่นสี ด้วยยอดขายทั่วโลกกว่า 2,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี  ซึ่งผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของเกรโก้ผลิตในประเทศสหรัฐอเมริกา จำหน่ายในอุตสาหกรรมต่างๆ อาทิเช่น อุตสาหกรรมก่อสร้าง การประกอบรถยนต์และซ่อมรถยนต์  อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า เกรโก้ทุ่มเทให้กับการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อให้ได้คุณภาพสูงสุดและตอบสนองความคุ้มค่าที่มากที่สุด ปัจจุบันจำหน่ายมากกว่า 100 ประเทศทั่วโลก   ขณะที่เมอร์กา (Mirka) ประเทศฟินแลนด์  ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดาษทรายและผลิตภัณฑ์สำหรับการขัดพื้นผิวที่ไร้ฝุ่น (Net Sanding) รายแรกของโลก  ด้วยนวัตกรรมการสร้างกระบวนการผลิตสารเคลือบผิวที่คิดค้นขึ้นใหม่  อาทิ เครื่องขัดไฟฟ้าไร้ฝุ่น อุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพ คุณภาพสูง ใส่ใจสิ่งแวดล้อม โดดเด่นเหนือคู่แข่งสามารถสร้างประโยชน์ให้กับผู้ใช้ได้อย่างยอดเยี่ยม โดยปัจจุบันผลิตภัณฑ์ของเมอร์กากว่า 90%  ถูกส่งออกไปจำหน่ายในกว่า 80 ประเทศทั่วโลก   ถือเป็นปรากฏการณ์ครั้งแรกของโลก ที่ 4 บริษัทชั้นนำจากอุตสาหกรรมก่อสร้างมาร่วมมือ  เพื่อยกระดับการทำงานของมืออาชีพให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งการทำงานที่เร็วขึ้น ลดต้นทุนการผลิต และเพิ่มคุณภาพงาน โดยการร่วมมือกันในครั้งนี้ บริษัทได้พัฒนาระบบสีเพื่อตอบโจทย์อุตสาหกรรมก่อสร้าง คือ ระบบปิดผิวผนัง โปร-วอลล์ ฟินิช (Pro-Wall Finish) ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อความคุ้มค่า ทั้งการยึดเกาะ ประหยัดค่าใช้จ่าย  ประหยัดเวลา รวมถึงการใช้งานง่ายไม่ซับซ้อน ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์แรกในกลุ่มผลิตภัณฑ์ภายใต้ Professional Series  และในอนาคต นิปปอนเพนต์  มีแผนขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ Professional Series ให้มีความหลากหลายยิ่งขึ้น   นายวัชระ กล่าวในตอนท้ายว่า ภายหลังจากสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 เริ่มคลี่คลายจะทำให้ทิศทางของอุตสาหกรรมในครึ่งปีหลังกลับมาคึกคัก จากกลุ่มลูกค้ารีโนเวตที่จะกลับมามากขึ้น      
รีวิว Dyson V11 Absolute จากเรื่องจริงที่ใช้แล้วฟินเลยต้องบอกต่อ

รีวิว Dyson V11 Absolute จากเรื่องจริงที่ใช้แล้วฟินเลยต้องบอกต่อ

รีวิว Dyson V11 Absolute จากเรื่องจริงที่ใช้แล้วฟินเลยต้องบอกต่อ เอาล่ะ ถ้าคุณมีความคิดว่าการทำความสะอาดบ้านเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย ยุ่งยาก แล้วก็ไม่สนุกเลยซักนิด ที่ต้องกลายร่างมาเป็นนางแจ๋วหน้ามัน หัวกระเซิงเพื่อกำจัดฝุ่นภายในบ้านให้หมดเกลี้ยง.... เราขอให้คุณเปลี่ยนความคิดซะใหม่ แล้วตามเราไปดูกันว่า เราจะช่วยให้ “งานทำความสะอาดบ้าน” เป็นเรื่องสวยๆ ชวนพิสมัยได้อย่างไร   เกิดเป็นผู้หญิงในยุคนี้ งานนอกบ้านก็ต้องเริ่ด งานในบ้านก็ต้องให้เป๊ะ ดังนั้นการทำความสะอาดบ้านสำหรับแม่บ้านยุคใหม่แบบเราที่เวลาก็รีบเร่ง จะต้องบริหารเวลาสำหรับงานบ้านให้มีประสิทธิภาพมากที่สุดค่ะ เริ่มจากหาผู้ช่วยคนสำคัญ อย่าง “Dyson V11 Absolute” เพื่อให้งานทุกอย่างสะดวกรวดเร็ว ได้บ้านสะอาดเอี่ยมในพริบตา     ด้วยประสิทธิภาพพลังดูดของ Dyson V11 Absolute ตัวล่าสุดนี้ บวกกับขนาดของแบตเตอรี่ที่ทรงพลังที่สุดที่ Dyson เคยมีมา ทำให้ระยะเวลาในการทำงานสูงสุด 60 นาทีนี้ เป็น 60 นาทีที่คุ้มค่าที่สุดในการทำความสะอาดบ้านสำหรับเรา ยิ่งเป็นคอนโดมิเนียมขนาดไม่เกิน 300 ตร.ม. แบบที่เราอยู่ด้วยแล้ว รับรองว่าสบายหายห่วงได้เลย   เริ่มต้นการทำความสะอาดบ้านวันนี้ด้วย การจิบกาแฟนิดๆ เช็คเมลซักหน่อย พร้อมกับดูดฝุ่นไปด้วยก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร เพราะว่า Dyson V11 Absolute เป็นเครื่องดูดฝุ่นไร้สายที่มีน้ำหนักกำลังพอดี สามารถถือและทำงานสะดวกได้ด้วยมือเพียงข้างเดียว     เมื่อเป็นแม่บ้านในยุคดิจิตอลแล้ว ทุกอย่างก็ต้องดูทันสมัยจริงมั้ยคะ แน่นอนว่า Dyson V11 Absolute นี้ทำงานเต็มกำลังได้แรงสุดๆ แบบไม่เคยงอแง เพราะ Dyson ดิจิตอลมอเตอร์ V11 มีพลังดูดที่เพิ่มกว่ารุ่นก่อนๆ ถึง 20% แถมยังมีหน้าจอ LCD เพิ่มความไฮโซเข้าไปอีก ซึ่งหน้าจอ LCD นี้จะแสดงโหมดการทำความสะอาดให้เห็นอย่างชัดเจน แล้วก็ยังง่ายต่อการสลับโหมดด้วยนะ ไม่ว่าจะเป็นโหมด Eco แบบประหยัดพลังงาน, โหมด Auto แบบสวยๆ และ Boost ที่พลังดูดแรงสะใจ   เอาจริงๆ แล้วสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน แค่โหมด Eco หรือ Auto ก็ทำให้บ้านเราสะอาดเรียบร้อยได้แล้วค่ะ แต่บางพื้นผิว หรือพื้นที่ที่ต้องการแรงดูดอันทรงพลังมากๆ อย่างพื้นพรมหนาๆ หรือต้องการกำจัดไรฝุ่นบนที่นอนและโซฟา โหมด Boost ก็พร้อมจะเป็นผู้ช่วยมือหนึ่งได้อย่างไม่มีเกี่ยงงอนเลยทีเดียว     ความไฮเทค ไฮโซของการมีหน้าจอ LCD ไม่ได้มีดีแค่การบอกโหมดการใช้งานเท่านั้นนะจ๊ะ เพราะหน้าจอเล็กๆ นี้ยังสามารถแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพการทำงานปัจจุบัน พลังงาน และเวลาที่คงเหลือ เพื่อให้เราวางแผนการทำความสะอาดได้ง่ายขึ้น แถมยังช่วยแจ้งเตือนเมื่อถึงเวลาต้องทำความสะอาดตัวกรองให้อีกด้วย   คุยเรื่องสเปคต่างๆ ของตัวเครื่องอย่างเดียวเดี๋ยวจะหาว่าโม้ งานนี้บอกเลยว่า เราได้ทดลองใช้จริงไรจริงไม่พึ่งสแตนอินนะจ๊ะ เรียกว่าแกะกล่องแล้วก็เอามาดูดๆๆๆๆ กันให้ครบทุกซอกทุกมุมในบ้านให้รู้กันไปเลย ก็ Dyson เค้าเป็นตัวจริงเรื่องเครื่องดูดฝุ่นที่หมกมุ่นพัฒนามานานกว่า 25 ปีเลยนี่นา แล้วจะต้องไปง้อยัยแจ๋วจอมอู้อีกทำไม   "รีวิว Dyson V11 Absolute จากเรื่องจริงที่ใช้แล้วฟินเลยต้องบอกต่อ" จากประสบการณ์ใช้จริง ข้อแรกเราเห็นว่า Dyson V11 Absolute ตัวนี้ จับได้ถนัดมือขึ้นกว่ารุ่นก่อนๆ ควบคุมทิศทางได้ง่าย ถึงแม้น้ำหนักของตัวเครื่องจะไม่ได้เบาหวิวจนสามารถยกดูดฝุ่นบนที่สูงๆ ได้คราวละนานๆ แต่ชะนีออกกำลังกายแบบเราก็สามารถอยู่ค่ะ ถือว่าเป็นการเวทเทรนนิ่งเบาๆ ซึ่งในชีวิตจริงแล้ว เราก็ไม่ได้จับเครื่องดูดฝุ่นมายกดูดผ้าม่านกันทุกวันหรอกจริงมั้ย     จุดเด่นต่อมาของ Dyson V11 Absolute คือ หัวแปรงดูด และอุปกรณ์เสริมที่ให้มาเยอะแยะมากมายจนบางทีก็แอบงงว่าตัวเองเลือกใช้ถูกประเภทอยู่รึเปล่า ซึ่ง Highlight ของรุ่นนี้คือ หัวดูดแบบ High Torque ที่เป็นหัวแปรงแรงบิดสูงพร้อมเซ็นเซอร์โหลดแบบไดนามิก (Dynamic Load Sensor - DLS) โดยระบบนี้จะช่วยตรวจจับแรงต้านของพื้นผิว เพื่อทำการเปลี่ยนโหมดพลังดูดให้เหมาะสมโดยอัตโนมัติ ทำให้แม่บ้านสมัยใหม่อย่างเราไม่ต้องคอยกังวลว่าจะกดโหมดถูกๆ ผิดๆ จนทำให้การทำความสะอาดบ้านขาดความเนี้ยบแล้วต้องเหนื่อยทำซ้ำอีกรอบ     ส่วนหัวดูดแบบอื่นๆ ก็คล้ายกับรุ่นก่อนเลยค่ะ มีทั้งหัวดูดลูกกลิ้งนุ่ม, หัวดูดมอเตอร์ขนาดเล็ก, หัวดูดปากแคบ, หัวดูด 2 in 1, และแปรงปัดฝุ่นขนนุ่ม ซึ่งหัวดูดแต่ละอันก็มีคุณสมบัติเฉพาะที่ต่างกันออกไป ทำให้ไม่ว่าจะเป็นฝุ่นผงขนาดเล็ก ขนาดใหญ่ เศษขนม เส้นผม ขนสัตว์เลี้ยง ฝุ่นฝังแน่น หรือแม้แต่สารก่อภูมิแพ้อย่างไรฝุ่นตัวจิ๋ว ก็เก็บได้เรียบโดยไม่ทำลายพื้นผิวแต่อย่างใด ที่สำคัญหัวดูดทุกตัว ข้อต่อทุกชิ้นสามารถถอดเปลี่ยนได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่คลิกเดียว ทำให้แม่บ้านสวยๆ แบบเราไม่ต้องออกแรงเยอะเลยค่ะ     พูดถึงฝุ่นผงขนาดเล็ก รวมถึงสารก่อภูมิแพ้แล้ว หลายคนอาจจะกลัวว่า มอเตอร์ที่ดูดแรงทรงพลังอย่างนี้ แรงลมที่ออกมาทางท้ายเครื่องจะพาอะไรต่อมิอะไรฟุ้งกระจายเต็มอากาศในห้องมั้ย เรื่องนี้ทาง Dyson เค้าเคลมว่า Dyson V11 Absolute มีระบบการกรองที่ปิดผนึกอย่างแน่นสนิท สามารถดักจับอนุภาคฝุ่นที่มีขนาดเล็กระดับ 0.3 ไมครอน ได้ถึง 99.97% เลยทีเดียว ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นเกสรดอกไม้ หรือแบคทีเรียต่างๆ ที่ว่าอนุภาคเล็กจนต้องมองด้วยกล้องจุลทรรศน์ ก็จะถูกเก็บเข้าไปในถังฝุ่นจนหมดเกลี้ยง   แล้วถ้าถังฝุ่นเต็มล่ะ? เราต้องสัมผัสกับถังเก็บฝุ่น ต้องกลั้นหายใจใส่หน้ากากสิบชั้นอีกรึเปล่า? ลืมภาพถุงเก็บฝุ่นที่มีแต่ฝุ่นผงนานาชนิดจนเกรอะกรังเทเท่าไหร่ก็หลุดไม่หมดไปได้เลย เพราะ Dyson มีการออกแบบวิธีการเทถังฝุ่นแบบที่เราไม่ต้องสัมผัสโดนฝุ่นเลยยยยยย ซึ่งในรุ่น V11 Absolute นี้พัฒนามาดีกว่ารุ่นเก่าเยอะ ด้วยระบบ Point and Shoot แค่เรายื่นฝาถังเก็บฝุ่นลงไปในถุงขยะ แล้วก็ปลดสลักตัวล็อค ฝุ่นทั้งหมดก็จะลงไปกองอยู่ในถุงขยะแล้ว เหลือแค่ผูกปากถุงให้เรียบร้อย แล้วก็ปิดฝาถังเก็บฝุ่นแค่นี้พร้อมใช้งานครั้งต่อไปได้สวยๆ     เรื่องการจัดเก็บเครื่องก็เป็นอีกเรื่องที่มักจะกวนใจแม่บ้านสายเนี้ยบอย่างเรา เพราะหลายครั้งอุปกรณ์ทำความสะอาดต่างๆ ก็ไม่ได้สวยงามชวนให้เอามาอวดโชว์ซักเท่าไหร่ แต่เรื่องนี้ไม่ได้เป็นปัญหากับ Dyson ไหนๆ ก็ซื้อมาตั้งแพงแล้ว ถ้าอยากจะแอบวางไว้อวดเบาๆ ก็ไม่น่าจะแปลกเกินไปหรอกเนอะ ก็ในกล่องเค้ามีตัวแขวนยึดกับผนังพร้อมแท่นชาร์จมาให้ด้วยค่ะ ทำให้การจัดเก็บเครื่องดูเป็นระเบียบเรียบร้อยจนอยากจะอวดชาวโลกให้รับทราบโดยทั่วกัน นอกจากจะทำให้หยิบใช้งานได้ง่าย พร้อมใช้งานได้ตลอดเวลาแล้ว ก็ไม่ได้ทำให้ขัดตาอะไรถ้าจะมีเครื่องดูดฝุ่นอย่าง Dyson แขวนไว้ในห้องกับเค้าด้วย     เชื่อว่าเครื่องดูดฝุ่น Dyson น่าจะเป็นไอเทมในฝันของแม่บ้านยุคใหม่หลายๆ คนเลยแหละ ยิ่งโดนเราป้ายยาแบบนี้คงต้องอยากได้กันบ้างไม่มากก็น้อย แต่ถ้าลังเลยังไม่ปักใจเชื่อรีวิวของเรา ลองไปทดลองเล่นเครื่องจริงกันได้ที่ร้าน Dyson Demo สยามพารากอน และไอคอนสยามก่อนได้นะคะ รวมถึงห้างสรรพสินค้าชั้นนำในแผนกเครื่องใช้ไฟฟ้าก็มีหลายแห่งเลยจ้า แต่ถ้าการป้ายยาของเราได้ผล นอกจากการเดินไปช็อปปิ้งด้วยตัวเอง ยื่นบัตรให้พนักงานรูดปรื้ดๆ แล้ว เรายังสามารถเข้าไปคลิกสั่งซื้อแบบออนไลน์ให้สมกับเป็นแม่บ้านยุคใหม่กันได้ที่ เว็บไซต์ https://www.dyson.co.th/ เชื่อเถอะว่า มันจะเป็นการลงทุนเงินหมื่น ที่คุ้มแสนคุ้มเลยทีเดียว   แล้วถ้าอยากได้ห้องชุดสวยๆ อยู่ใจกลางเมือง มีวิวดีๆ ติดริมน้ำ หรืออยากมาเป็นเพื่อนบ้านกับเรา เชิญชมห้องตัวอย่างได้ที่ Park Court Sukhumvit 77 เลยจ้า   บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ไรฝุ่น ผู้ร้ายบนที่นอน (Dyson V8) รีวิว PARK COURT สุขุมวิท 77 คอนโดหรูห้องใหญ่ใจกลางเมือง เทคนิคทำความสะอาดบ้านแบบง๊ายง่าย ห่างไกล “ภูมิแพ้” บ้านสะอาดไร้ฝุ่นด้วย BOSCH Flexxo Serie 4  
SENA ส่ง “ทาวน์โฮมติดโซลาร์” 1 กิโลวัตต์ รับกระแส Work Form Home

SENA ส่ง “ทาวน์โฮมติดโซลาร์” 1 กิโลวัตต์ รับกระแส Work Form Home

“SENA” รุกตลาดแนวราบชิงเปิด “ทาวน์โฮมติดโซลาร์” รายแรกในวงการอสังหาฯ ไทย เตรียมขาย มิ.ย.นี้ ชี้จุดเปลี่ยนหลังโควิดป่วน มาตรการ Work From Home กลายเป็น New Normal แต่โซลาร์จะเป็น Next New Normal ที่ช่วยตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คอนซูมเมอร์ได้ระยะยาว 25 ปี     ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA เปิดเผยว่า ในช่วงการระบาดของโควิด-19 ทำให้คำว่า Work From Home มีการพูดถึงกันมาก จนกลายเป็นความเคยชินของผู้คนทั่วโลกไปโดยปริยาย แนวโน้มการทำงานแบบไม่ต้องเข้าออฟฟิศเป็นสิ่งที่หลายบริษัทหันมาให้ความสนใจมากขึ้น แต่เรื่องค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้นช่วงกลางวันก็จะยังเป็นปัญหาสำหรับคนทำงานที่บ้าน เพื่อเป็นการต่อยอดมาตราการ SENA Zero Covid เสนาจึงพัฒนานิวโปรดักส์ “ทาวน์โฮมติดโซลาร์”  รองรับความต้องการในการลดค่าใช้จ่ายระยะยาวให้กลุ่มลูกค้าที่สนใจสินค้าประเภทนี้ เพิ่มเติมจากเดิมที่ติดตั้งโซลาร์ที่บ้านเดี่ยวทุกหลังและส่วนกลางของคอนโดทุกโครงการ   เสนาดีเวลลอปเม้นท์ นับเป็นดีเวลลอปเปอร์รายแรกและรายเดียวที่มุ่งมั่นติดตั้ง Solar Rooftop ทุกโครงการ พร้อมด้วยบริการหลังการขายครบวงจร โดยเริ่มดำเนินการมาประมาณ 5 ปีแล้ว ช่วงวิกฤติโควิด-19 บริษัทฯ เตรียมพร้อมมาตรการที่จะดูแลลูกค้าทุกกลุ่มอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดประกาศมาตรการ SENA Zero Covid #2 ตอบรับกระแส New Normal คือการทำงานที่บ้าน (Work From Home) จากค่าไฟฟ้าเพิ่ม ในขณะที่บางคนมีรายได้ที่ลดลง จากการที่บางบริษัทมีการปรับลดเงินเดือน หรือแม้กระทั่งเลิกจ้าง โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีรายได้ไม่สูงมาก ยิ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบอย่างมาก การติดตั้งโซลาร์สามารถตอบโจทย์วิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป Next New Normal ที่จะช่วยลูกค้าประหยัด และลดค่าใช้จ่าย ระยะยาว 25 ปี   บริษัทพัฒนารูปแบบสินค้าใหม่และเตรียมเปิดตัวตามแผนงานที่วางไว้ในปี 2563 รุกตลาด “ทาวน์โฮม” ติดโซลาร์รายแรกของวงการอสังหาฯไทย เน้นกลุ่มคอนซูมเมอร์ระดับกลาง - ล่าง ขนาดติดตั้งโซลาร์ 1 กิโลวัตต์ ซึ่งเท่ากับการเปิดแอร์ และคอมพิวเตอร์ทำงาน ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าไฟเพิ่ม ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายสำหรับคนกลุ่มนี้  ภายใต้ชื่อโครงการ “เสนา วิลล์ ลำลูกกา คลอง 6” ทาวน์โฮม 2 ชั้น หน้ากว้าง 5.5 เมตร ที่ดินเริ่ม 22 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 138 ตารางเมตร 4 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ พร้อมที่จอดรถ 1 คัน ราคาเริ่ม 2 ล้านบาท กำหนดเปิดขายเดือนมิถุนายน 2563 ผศ.ดร.เกษรา กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันติดตั้งโซลาร์ทุกหลังทุกโครงการของเสนาฯ ถือเป็นมาตรฐานสินค้า หรือ Standard Product และไม่ใช่เพียงแค่ติดที่หลังคาบ้าน แต่ติดตั้งในพื้นที่ส่วนกลางของหมู่บ้านและคอนโดมิเนียม มากกว่า 400 ครัวเรือน  1,000 กิโลวัตต์   อนึ่ง ทางเสนาดีเวลลอปเม้นท์ มีบริษัทในเครือ คือ บริษัท เสนา โซลาร์ เอนเนอร์ยี่ จำกัด ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับพลังงานแสงอาทิตย์ และเป็นผู้ให้บริการติดตั้งแบบครบวงจร (อีพีซี ) ปัจจุบันอยู่ระหว่างการติดตั้งและการเจรจาสัญญา Private PPA : Private Power Purchase Agreement (สัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่างหน่วยงานเอกชนกับเอกชน)กลุ่มลูกค้าในอุตสาหกรรม  ประกอบด้วย BMW Millennium Auto Ladprao ,CJ supermarket 3 สาขา, สนามกอล์ฟ ริเวอร์เดล ,The nine พระราม 9 สนามกอล์ฟ ริเวอร์เดล MBK HO (มาบุญครอง) เป็นต้น
DRT โชว์ผลงาน Q1 ยังทำกำไร แม้รายได้ลดลงกว่า 7%

DRT โชว์ผลงาน Q1 ยังทำกำไร แม้รายได้ลดลงกว่า 7%

DRT ใช้กลยุทธ์ Product Mix และบริหารต้นทุนสินค้า ฝ่าวิกฤกต COVID-19 ทำกำไรสุทธิไตรมาสแรกได้กว่า  168.20 ล้านบาท  แม้รายได้จะลดลงกว่า 7%  ขณะที่ไตรมาส 2 ลุ้นรัฐผ่อนคลายล็อกดาวน์ ร้านค้าวัสดุกลับมาเปิดบริการอีกครั้ง     นายสาธิต สุดบรรทัด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน) หรือ DRT  ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ตราสินค้า "ตราเพชร" เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกของปี 2563 ที่ผ่านมาว่า บริษัทฯ ทำกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน 168.20 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.56% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่มีกำไร 165.62 ล้านบาท (ไม่รวมกำไรจากการขายที่ดินที่ไม่ใช้ประโยชน์)   แม้ว่าในปีนี้จะมีปัจจัยลบจาก COVID-19 ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมให้ชะลอตัวอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้รายได้จากการขายสินค้าและบริการในไตรมาสนี้อยู่ที่ 1,233.51 ล้านบาท ลดลง 7.20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ที่มีรายได้จากการขายและการบริการ 1,329.18 ล้านบาท ทั้งนี้ กำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้น มาจากการบริหารต้นทุนการผลิตสินค้าต่อหน่วยอยู่ในระดับต่ำ โดยสามารถรักษาอัตราการเดินเครื่องจักรผลิตสินค้าเฉลี่ยมากกว่า 90% ของกำลังการผลิตรวม และบริหาร Product Mix หรือสัดส่วนการขายสินค้าได้ดี  ช่วยสนับสนุนอัตราการทำกำไรขั้นต้นได้ตามแผนงาน ประกอบกับ DRT มีจุดแข็งด้านช่องทางการจัดจำหน่ายที่หลากหลาย โดยร้านค้าตัวแทนจำหน่ายรายย่อยและตลาดส่งออก ที่มีสัดส่วนรวมกัน 70% ของรายได้ทั้งหมด ยังทำยอดขายไตรมาสแรกที่ผ่านมาเป็นที่น่าพอใจ แม้ไตรมาสแรกปีนี้มีวิกฤต COVID-19 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างรุนแรง แต่เรายังสามารถผลักดันการเติบโตของกำไรสุทธิได้ เนื่องจากจุดแข็งของ DRT ที่มีการผลิตด้วยต้นทุนต่อหน่วยที่ต่ำ การบริหารสัดส่วนการขายสินค้าแต่ละประเภทได้ดีช่วยสนับสนุนการทำกำไรขั้นต้นได้ตามเป้า    ส่วนภาพรวมการดำเนินงานไตรมาส 2  ต้องติดตามสถานการณ์กำลังซื้อ  และบรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคอย่างใกล้ชิด หากภาครัฐควบคุมการแพร่ระบาดของ COVID-19 ได้ดี และเริ่มผ่อนคลายการล็อกดาวน์ ธุรกิจบางประเภทเริ่มทยอยกลับมาเปิดดำเนินการได้บางส่วน โดยเฉพาะการเปิดบริการห้างค้าปลีกวัสดุก่อสร้างสมัยใหม่ จะส่งผลดีต่อยอดขายจากช่องทางจำหน่ายดังกล่าวฟื้นตัว ซึ่ง DRT ได้เตรียมสต็อกสินค้าไว้รองรับอย่างเพียงพอ ขณะที่ช่องทางขายผ่านร้านค้าตัวแทนจำหน่ายรายย่อย และตลาดส่งออกในไตรมาสนี้ ยังมีแนวโน้มทำยอดขายอยู่ในเกณฑ์ที่ดีต่อเนื่อง จากความต้องการใช้วัสดุก่อสร้าง เพื่อการปรับปรุงและซ่อมแซ่มบ้าน รวมถึงดีมานด์จากกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านที่เริ่มฟื้นตัว ยกเว้นช่องทางลูกค้าโครงการที่ยังไม่ฟื้นตัวอย่างชัดเจน  
7 เรื่องต้องรู้ “GREE” แอร์เบอร์ 1 ของโลก

7 เรื่องต้องรู้ “GREE” แอร์เบอร์ 1 ของโลก

  ถึงวันนี้ ประเทศไทยได้เข้าสู่ฤดูร้อนอย่างเป็นทางการแล้ว จากการประกาศของกรมอุตุวิทยา ว่าประเทศไทยสิ้นสุดฤดูหนาวและได้เริ่มต้นเข้าสู่ฤดูร้อนตั้งแต่วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2563 ที่ผ่านมา ประเทศไทยจะมีอุณหภูมิสูงขึ้น และมีอากาศร้อนในตอนกลางวันอย่างต่อเนื่อง คาดว่าฤดูร้อนจะสิ้นสุดในช่วงกลางเดือนพฤษภาคมนี้   แม้ว่าเมืองไทยจะมีอากาศร้อนเป็นปกติ  ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงฤดูหนาวหรือฤดูฝน แต่หากเข้าสู่ฤดูร้อน อากาศเมืองไทยจะร้อนมากขึ้นกว่าปกติ ทำให้คนส่วนใหญ่ต้องมองหา อุปกรณ์สิ่งจำเป็นที่จะช่วยคลายร้อน ทำให้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในแต่ละวัน โดยเฉพาะการพักอาศัยอยู่ภายในบ้าน ซึ่งก็คือ การติดตั้งเครื่องปรับอากาศ นั่นเอง     ตอนนี้ในท้องตลาดมีเครื่องปรับอากาศสารพัดแบรนด์ วางขายและทำตลาดให้ผู้บริโภคได้เลือก ตามความต้องการ ซึ่งแต่ละแบรนด์แต่ละรุ่น ต่างก็มีคุณสมบัติหลากหลาย แล้วแต่เจ้าของแบรนด์จะพัฒนาออกมา ซึ่งนับวันเครื่องปรับอากาศถูกพัฒนาออกมาให้มีเทคโนโลยีทันสมัย และตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนยุคปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความสะดวกสบาย หรือทำให้ผู้ที่ใช้มีสุขภาพดี ห่างไกลจากมลภาวะทางอากาศต่างๆ ด้วย   เมื่อเครื่องปรับอากาศในท้องตลาดมีมากมายหลากหลายแบรนด์ หลายรุ่น หลายขนาด และราคา แล้วเราจะมีหลักเกณฑ์การเลือกแอร์สักเครื่องอย่างไร เพื่อให้ได้ทั้งคุณสมบัติที่ดี มีคุณภาพ คุ้มค่า และคุ้มราคา สำหรับคำแนะนำเบื้องต้น   การเลือกแอร์สักเครื่อง เราควรพิจารณาใน  6 ประเด็นหลัก 1. เลือกขนาดของ BTU ให้พอเหมาะกับขนาดของห้อง การเลือกขนาด BTU (British Thermal Unit) ของแอร์ให้เหมาะสมกับขนาดของห้องที่จะติดตั้ง จะช่วยทำให้เราได้แอร์ที่ทำงานเต็มประสิทธิภาพ ไม่ทำงานหนักไป หรือทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ ข้อดีของการเลือก BTU ที่เหมาะสม ยังทำให้ประหยัดไฟฟ้า และแอร์มีอายุการใช้งานที่ยาวนานด้วย   2. แบรนด์ และชื่อเสียงของแบรนด์ เรื่องแบรนด์ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลย หรือมองข้าม แม้ว่าหลายคนอาจจะบ่นว่าเลือกได้ยาก เพราะทุกแบรนด์ล้วนแต่บอกว่า แบรนด์ของตนเองดี มีคุณภาพมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับ ซึ่งหลักเกณฑ์การพิจารณาง่ายๆ คงดูได้จากหลายเรื่อง อาทิ ดูจากยอดขาย มากน้อยแค่ไหน วางขายสินค้าที่ใดบ้าง ระยะเวลาการดำเนินธุรกิจ  เพราะข้อมูลเหล่านี้จะบอกได้ว่า ผู้บริโภคให้การตอบรับกับแบรนด์นั้นๆ มากน้อยเพียงใด   3. คุณสมบัติของแอร์ เดี๋ยวนี้เครื่องปรับอากาศ ถูกพัฒนาให้มีคุณสมบัติ คุณภาพ และประสิทธิภาพ ด้วยเทคโนโลยีล้ำหน้าไปจากอดีต แอร์ไม่ได้มีคุณสมบัติแค่ ให้อุณหภูมิที่เย็นสบายเท่านั้น แอร์ยังฟอกอากาศให้บริสุทธิ์ ฆ่าเชื้อโรค ดับกลิ่นเหม็นได้  เป็นต้น ซึ่งคุณสมบัติองแอร์ปัจจุบันยังมีอีกมากมายหลายเรื่อง ซึ่งผู้บริโภคสามารถเลือกได้ตามที่ตนเองต้องการ เพื่อคุณภาพการใช้ชีวิตในบ้าน   4. โรงงานและมาตรฐานการผลิต เรื่องของมาตรฐานการผลิต  เป็นการรับประกันได้ว่า เราจะได้เครื่องปรับอากาศที่มีคุณภาพ ตรงตามที่แบรนด์นั้นโฆษณาไว้ รวมถึงเราจะได้ใช้แอร์ที่มีอายุการใช้งานยาวนาน ด้วยมาตรฐานการผลิตที่ได้รับการยอมรับ   5. จุดขายและการบริการหลังการขาย การหาซื้อสินค้าได้ง่ายกับจุดจำหน่ายหลากหลาย และการมีศูนย์บริการหลังการขาย รวมถึงการรับประกันคุณภาพสินค้า จะช่วยสร้างความอุ่นใจให้กับลูกค้า เมื่อเกิดปัญหากับสินค้าที่ซื้อไปนั้น บางครั้งก็กลายเป็น “คำตอบสุดท้าย” ที่ผู้บริโภคใช้ในการตัดสินใจ ว่าจะเลือกซื้อสินค้านั้นหรือไม่  เพราะแม้ว่าแอร์แบรนด์นั้นจะมีประสิทธิภาพ มีคุณสมบัติที่ดีแค่ไหนก็ตาม แต่การบริการหลังการขายไม่ดี หรือหาศูนย์บริการได้ยาก ผู้บริโภคก็อาจจะไม่เลือกซื้อสินค้าแบรนด์นั้นเลยก็ได้   6. ราคาคุ้มค่า เรื่องของราคา ก็เป็นปัจจัยสำคัญไม่แพ้เรื่องอื่นๆ เพราะหากสินค้ามีประสิทธิภาพ คุณสมบัติดีแค่ไหน แต่ราคาผู้บริโภคเอื้อมไม่ถึง ไม่สามารถซื้อได้  ก็คงไม่เกิดประโยชน์อะไร ราคาจึงต้องสมเหตุสมผล คุ้มค่าคุ้มราคา และผู้บริโภคส่วนใหญ่ต้องซื้อได้     7 เรื่องต้องรู้เกี่ยวกับแอร์กรี (GREE) ปัจจุบันท้องตลาดมีแอร์สารพัดแบรนด์วางขายอยู่ แต่ผู้บริโภคส่วนใหญ่อาจจะไม่รู้ว่า สินค้าหลายๆ แบรนด์ที่วางขายอยู่นั้น มาจากโรงงานผลิตที่มีเจ้าของคนเดียว ซึ่งวันนี้เราจะมาแนะนำแบรนด์กรี (GREE) ซึ่งคือแบรนด์ยักษ์ใหญ่ระดับโลก ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของเครื่องปรับอากาศหลายแบรนด์ที่วางจำหน่ายอยู่ในปัจจุบัน ผ่านเรื่องราวและข้อมูล 7 เรื่องสำคัญ 1.แบรนด์เบอร์ 1 ของโลก สิ่งที่ยืนยันและบอกว่าแอร์ แบรนด์กรี เป็นแบรนด์แอร์อันดับ 1 ของโลก คือ  ยอดขายที่ถูกส่งออกไปทั่วโลก มากว่า 160 ประเทศ  ซึ่งในปี 2557  ผลิตภัณฑ์แอร์สามารถทำยอดขายมากถึง 10,000 ล้านหยวน จากยอดขายโดยรวมในกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้า ของบริษัทซึ่งมีมากถึง 140,000 ล้านหยวน และช่วงปี 2561 ยอดขายของบริษัทพุ่งไปกว่า 200,000 ล้านหยวน เติบโตจากปีก่อนหน้ากว่า 33.33% ที่สำคัญ EUROMONITOR INTERNATIONAL ยังให้การรับรองว่าบริษัท GREE มียอดขายอันดับ 1 ของโลก ในช่วงปี 2560 อีกด้วย  ไม่เพียงแต่ยอดขายที่สูงมากแล้ว บริษัทยังได้รับการจัดอันดับ จาก Forbes Global 2000 ว่าเป็นบริษัทมหาชนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก อันดับที่ 294 ใช่วงปี 2561 2. แอร์ดีต้องไม่มี “เชื้อโรค” ประเด็นสำคัญของสังคมไทย รวมถึง สังคมโลก ในขณะนี้คงหนีไม่พ้นเรื่องของ “ไวรัส” หรือแม้แต่ปัญหาฝุ่นระดับ PM 2.5 ซึ่งกำลังคุกคามสุขภาพของคนไทย ซึ่งเทรนด์ความใส่ใจในเรื่องสุขภาพ เกิดขึ้นมาหลายปีแล้ว ทำให้สินค้าต่างๆ ต้องมีคุณสมบัติทำให้ผู้ใช้งานมีสุขภาพดี หรือไม่สร้างปัญหากับผู้ใช้งาน เครื่องปรับอากาศในยุคปัจจุบันจึงต้องเสริมคุณสมบัติ ที่ทำให้อากาศบริสุทธิ์ ปราศจากเชื้อโรค หรือสิ่งแปลกปลอมในอากาศ ที่จะมาทำร้ายสุขภาพคนในบ้าน แอร์กรีจึงมีแผ่นกรองอากาศ (Catechin Filter) ซึ่งมีคุณสมบัติต้านเชื้อ แบคทีเรียเอสเคอริเคีย โคไล ในอัตรา 99.99 และต้านเชื่อแบคทีเรียสแตฟิโลค็อกคัส ออเรียส ในอัตรา 97.06 ซึ่งแผ่นกรองอากาศของแอร์กรี ได้ผ่านการตรวจสอบที่ศูนย์ตรวจสอบจุลชีวะแห่งเมืองกวางตุ้ง เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2557 3. แอร์ดีมีประสิทธิภาพ ต้องมีระบบ Inverter แอร์ระบบ Inverter ดีกว่าแอร์ระบบเดิม คือ สามารถควบคุมความเย็นได้ตามที่กำหนดไว้ ที่สำคัญคือ ประหยัดไฟ และเครื่องปรับอากาศทำงานเบา โดยแอร์กรี มีระบบ Cooling Inverter ซึ่งช่วยทำให้ห้องเย็นเร็วตามอุณหภูมิที่ต้องการ และประหยัดค่าไฟได้เต็มประสิทธิภาพ 4. มาตรฐานการผลิต เครื่องพิสูจน์คุณภาพแอร์ คุณสมบัติสำคัญอีกประการที่ผู้บริโภคคำนึงถึง ในการใช้เป็นเกณฑ์เลือกซื้อแอร์ คือ คุณภาพการผลิต ซึ่งหลักเกณฑ์ที่ผู้บริโภคใช้เลือก คงเป็นมาตรฐานของโรงงานว่ามีมาตรฐานอย่างไร ใช้เทคโนโลยีอะไรมาช่วยในการผลิตสินค้า ซึ่งแบรนด์แอร์กรีเองนั้น ใช้เทคโนโลยีโรบอท จาก GREE ELECTRIC APPLIANCES, INC.OF ZHUHAI ซึ่งไม่ใช่แค่เทคโนโลยีที่มีหุ่นยนต์มาคอยควบคุมการผลิต มีความแม่นยำในการผลิต ได้มาตรฐานและคุณภาพ 100% แล้ว ทางโรงงานยังมีทีมวิศวกรอีกกว่า 5,000 คน คอยควบคุมการผลิต และเป็นทีมพัฒนาสินค้าให้มีเทคโนโลยีล้ำหน้าอย่างต่อเนื่องด้วย ปัจจุบันแอร์กรี มีฐานการผลิตกระจายหลายมุมของโลก อยู่มากถึง 9 โรงงาน ซึ่งมาตรฐานและเทคโนโลยีการผลิตของแอร์กรี ที่บอกว่ามีมาตรฐานและทันสมัยนั้น คงวัดได้จากการให้การตอบรับจากผู้บริโภคทั่วทุกมุมโลกมากกว่า 250 ล้านคนหรือพูดได้ว่าแอร์กรี ครองส่วนแบ่งการตลาดของตลาดแอร์มากถึง 1 ใน 3 ของตลาดแอร์ทั่วโลก นอกจากผลตอบรับของผู้บริโภคที่มีต่อแอร์กรีแล้ว หลายคนอาจจะไม่รู้ข้อมูลเชิงลึกของแอร์กรี คือ การเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของแบรนด์แอร์ชั้นนำมากถึง 9 แบรนด์ ที่วางจำหน่ายอยู่ในประเทศไทยและกระจายอยู่ทั่วโลกด้วย 5. ผู้บริโภคยุคใหม่ เลือกใช้สินค้าประหยัดไฟเบอร์ 5 เรื่องการประหยัดไฟ ประหยัดพลังงาน เป็นเรื่องที่ผู้บริโภคยุคใหม่ให้ความใส่ใจ และความสำคัญ เพราะไม่ใช่แค่การร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการอนุรักษ์พลังงานของโลกใบนี้เท่านั้น แต่เป็นสิ่งที่สะท้อนมาถึงตัวผู้บริโภคเอง เพราะช่วยในเรื่องการประหยัดไฟฟ้า ทำให้ไม่ต้องจ่ายค่าไฟสูงเกินความจำเป็น ทำให้ผู้บริโภคเลือกที่จะซื้อแอร์ที่ช่วยประหยัดไฟฟ้า ผู้บริโภคหลายคนมีการเปรียบเทียบแอร์แต่ละแบรนด์แต่ละรุ่น เพื่อเลือกซื้อแอร์ที่ช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าได้มากที่สุด สำหรับแอร์กรี ถือว่าได้ผ่านเกณฑ์มาตรฐานการประหยัดไฟฟ้า จนได้รับฉลากเบอร์ 5 3 ดาว ซึ่งเป็นค่าการประหยัดไฟฟ้าสูงสุด ซึ่งเดิมเครื่องใช้ไฟฟ้าจะมีฉลากที่บ่งบอกการประหยัดไฟด้วยเลข 1-5 เท่านั้น ต่อมาเพิ่มเติมข้อมูลในฉลากด้วยดาว ซึ่งมีตั้งแต่ 1-3 ดวง ซึ่งฉลากที่มีดาว 3  ดวง คือ เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีมาตรฐานประหยัดไฟสูงสุด 6. เสริมเทคโนโลยี เพื่อผู้บริโภคยุคดิจิทัล เพราะในโลกยุคปัจจุบันเป็นโลกของ “ดิจิทัล” ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่มีอุปกรณ์มือถือเป็นของจำเป็นประจำตัวที่ขาดไม่ได้ อุปกรณ์และเครื่องใช้ไฟฟ้าส่วนใหญ่ จึงพัฒนาเทคโนโลยีให้สามารถเชื่อมต่อกับโลกดิจิทัล เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถใช้มือถือ เป็นอุปกรณ์ที่ควบคุมการทำงานของเครื่องใช้ไฟฟ้านั้น ไม่ว่าจะผ่านเครือข่ายสัญญาณ WiFi หรือ bluetooth แอร์กรี ก็ไม่ละเลยที่จะให้ความสำคัญกับการตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคปัจจุบัน ด้วยการนำเทคโนโลยี WiFi เข้ามาใช้  ทำให้ลูกค้าสามารถใช้สมาร์ทโฟนควบคุมการทำงานของแอร์กรีได้ เปรียบเสมือนกับเป็นรีโมทคอนโทรล ผ่านฟังก์ชั่น Mobile Controller 7. มั่นใจในคุณภาพคอมเพรสเซอร์ รับประกันนานนับ 10 ปี สิ่งที่เป็นการตอกย้ำให้ผู้บริโภคมั่นใจในคุณภาพ และประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์  เพื่อทำให้ผู้บริโภคเกิดความ “อุ่นใจ” หากซื้อสินค้ากลับไปใช้ที่บ้าน คงเป็นเรื่องของการ “รับประกัน” ซึ่งแอร์กรี มีการประกันคอมเพรสเซอร์ ที่ถือเป็นหัวใจของเครื่องปรับอากาศ นานถึง 10 ปี ขณะเดียวกันยังรับประกันอะไหล่นานถึง 5 ปีอีกด้วย ซึ่งเงื่อนไขและรายละเอียดของการรับประกัน ลูกค้าสามารถสอบถามได้ที่พนักงานและตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ     เรื่องราวทั้ง 7 ข้อ คงเป็นข้อมูลที่ทำให้เราได้รู้จักกับเครื่องปรับอากาศ แบรนด์กรี กันมากขึ้น และคงเป็นข้อมูลสำคัญในการใช้พิจารณาเลือกซื้อเครื่องปรับอากาศสักเครื่องมาใช้ ได้ตรงตามความต้องการของลูกค้ามากที่สุด    
โฮมโปร เปิด SHOP4YOU ลดความเสี่ยงลูกค้าเจอโควิด-19

โฮมโปร เปิด SHOP4YOU ลดความเสี่ยงลูกค้าเจอโควิด-19

โฮมโปร เดินหน้ารุกช้อปออนไลน์ เปิดบริการใหม่ SHOP4YOU ช้อปปิ้งได้ 24 ชั่วโมง ผ่านไลน์ หลังปิดสาขาในกรุงเทพฯ -ปริมณฑล เชียงใหม่ และนครราชสีมา เพิ่มความสะดวกให้ลูกค้า และลดเสี่ยงลูกค้าเจอไวรัสโควิด-19   ตามประกาศของผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงเทพมหานคร และทางกระทรวงมหาดไทย ให้ปิดห้างสรรพสินค้าชั่วคราวเป็นระยะเวลา 22 วัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม ถึงวันที่ 12 เมษายน 2563 โฮมโปร จึงขอแจ้งปิดดำเนินการสาขาชั่วคราว ในเขตพื้นกรุงเทพมหานคร รวมถึงจังหวัดปริมณฑล ได้แก่  จังหวัดนนทบุรี  สมุทรปราการ  สมุทรสาคร ปทุมธานี  และนครปฐม   นอกจากนี้ ตามประกาศของผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา และจังหวัดเชียงใหม่ ให้ปิดห้างสรรพสินค้าชั่วคราวเพื่อยับยั้งเชื้อไวรัส โควิด-19 เป็นระยะเวลา 22 วัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม ถึงวันที่ 12 เมษายน2563 โฮมโปร จึงขอแจ้งปิดดำเนินการสาขาชั่วคราว เพิ่มเติม ในจังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดนครราชสีมาด้วย เพื่อให้เป็นไปตามประกาศและความปลอดภัยของประชาชน ขณะเดียวกัน ได้เพิ่มการจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ใหม่ SHOP4YOU เพียงเพิ่มเพื่อนใน Line @Homepro หรือ โทร 1284 “ทักมาเราช้อปให้” แค่นี้ง่ายๆ เหมือนมีผู้ช่วยส่วนตัว ในการช้อปสินค้าเรื่องบ้านผ่านช่องทางออนไลน์ของโฮมโปร ทั้งยังช่วยเอื้ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งจะเริ่มให้บริการตั้งแต่วันที่ 24 มีนาคมเป็นต้นไป  จากก่อนหน้าที่เปิดให้บริการช้อปปิ้งออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ของโฮมโปร   นางสาวศิริวรรณ เปี่ยมเศรษฐสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กลุ่มการตลาด บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ "โฮมโปร" เปิดเผยว่า เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้า ให้ห่างไกลจากไวรัสโควิด-19 ที่แพร่ระบาดในปัจจุบัน ซึ่งส่งผลให้การใช้ชีวิตของคนเปลี่ยนไปอย่างมาก จนทำให้ยอดขายสินค้าของ โฮมโปรผ่านช่องทาง “ออนไลน์” เติบโตเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และช่องทางซื้อสินค้าออนไลน์กลายเป็นทางออกสำหรับการซื้อสินค้าทั้งของจำเป็นในชีวิตประจำวัน   นอกจากนี้ลูกค้าสามารถเลือก บริการส่งฟรีทั่วไทย และบริการส่งภายในวัน หรือ Same Day Delivery รวมถึงบริการด้าน Home Service ติดตั้งฟรี เปลี่ยนคืนสินค้า ซ่อมสินค้า เปิดบริการตามปกติที่การันตีด้วยทีมช่างมืออาชีพ พร้อมทั้งให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงสินค้า ผ่านออนไลน์  www.homepro.co.th ได้ 24 ชั่วโมง อีกด้วย  
งานสถาปนิก’63 โดนพิษโควิด-19 เลื่อนจัดงานเป็นวันที่ 7-12 กรกฎาคมนี้

งานสถาปนิก’63 โดนพิษโควิด-19 เลื่อนจัดงานเป็นวันที่ 7-12 กรกฎาคมนี้

งานสถาปนิก’63 เจอวิกฤตไวรัสโควิด-19 เลื่อนจัดงานไปวันที่ 7-12 กรกฎาคมนี้ พร้อมเตรียม 8 มาตรการเสริมสร้างความปลอดภัยในการเข้าจัดแสดงและเข้าชมงาน ยังมั่นใจผู้ประกอบการในวงการเข้าร่วมงาน 700 บริษัท   นายอัชชพล ดุสิตนานนท์ นายกสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดเผยว่า เนื่องด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างไปทั่วโลก และยังส่งผลต่อการจัดงานสถาปนิกในปี 2363 ด้วย ซึ่งปกติจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในช่วงเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม แต่จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้คณะผู้จัดงานได้ตระหนักถึงความปลอดภัยและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ร่วมแสดงสินค้า ผู้ชมงาน ผู้เกี่ยวข้อง จึงมีมติให้เลื่อนการจัดงานออกไปเป็นวันที่ 7-12 กรกฎาคมนี้ จากกำหนดเดิมจะจัดวันที่ 28 เมษายน – 3 พฤษภาคม 2563   สำหรับงานสถาปนิก’63 ซึ่ถือเป็นงานจัดแสดงสินค้านวัตกรรมด้านสถาปัตยกรรม และวัสดุก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน ในปี 2563 เตรียมจัดในธีม “มองเก่า ให้ใหม่ : Refocus Heritage” ซึ่งเป็นการปรับมุมมองในการมองและการอนุรักษ์มรดกทางสถาปัตยกรรมใหม่ เป็นการปรับจูนความคิดให้มองสิ่งเดิมๆ แตกต่างออกไป   ดร. วสุ โปษยะนันทน์ ประธานการจัดงานสถาปนิก’63 กล่าวว่า ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง สถานการณ์ไวรัสในครั้งนี้ก็เป็นอีกหนึ่งเครื่องยืนยันว่าการปรับตัว ปรับทัศนคติเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตเสมอ และเราหวังว่าการเลื่อนกำหนดการจัดงานสถาปนิก’63 ในครั้งนี้จะช่วยเสริมสร้างความมั่นใจ ทั้งในส่วนของผู้มาจัดแสดงสินค้า รวมถึงผู้เข้าชมงานเอง สามารถมางานสถาปนิกและเดินชมนวัตกรรมและนิทรรศการต่างๆ ได้อย่างอุ่นใจเช่นเคย สำหรับการจัดงานสถาปนิกเป็นเวทีสำคัญของวงการสถาปัตยกรรมและการก่อสร้าง ที่จัดขึ้นเพียงปีละหนึ่งครั้ง เพื่อตอบโจทย์ทางธุรกิจสำหรับกลุ่มผู้ประกอบการที่ต้องการมาร่วมจัดแสดงเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่างๆ เพื่อแสดงศักยภาพ โดยคาดว่าการจัดงานในครั้งนี้จะมีผู้ประกอบการพร้อมร่วมจัดแสดงงานและสนับสนุนอุตสาหกรรมกว่า 700 บริษัท จากทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ   ในส่วนของกลุ่มผู้ซื้อได้รับการตอบรับที่ดี จากบริษัทชั้นนำที่เกี่ยวข้องกับวงการสถาปนิก ผู้ประกอบการด้านอาคารและการก่อสร้าง การออกแบบตกแต่งภายใน บริษัทในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นสมาชิกของสมาคมต่างๆ จากกลุ่มประเทศ CLMV ที่กำลังมีการพัฒนาโครงการก่อสร้างมากมายภายในกลุ่มประเทศนั้น นายศักดิ์ชัย ภัทรปรีชากุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี.ซี. เอ็กซิบิชั่น ออกาไนเซอร์ จำกัด หรือ นีโอ ผู้บริหารงานสถาปนิก’63 กล่าวว่า การจัดงานแสดงสินค้าและนิทรรศการ (Exhibition) เป็นอีกหนึ่งเวทีสำคัญที่จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการพบปะเพื่อให้เกิดแลกเปลี่ยนความร่วมมือภายในอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นการสนับสนุนเศรษฐกิจและผลักดันให้อุตสาหกรรมเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน   ทั้งนี้ ทางสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ มีนโยบายในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมงานแสดงสินค้าของประเทศไทย และมุ่งมั่นในการยกระดับมาตรฐานการจัดงานแสดงสินค้าของไทยสู่ระดับสากล โดยการออกแคมเปญ Exhibiz in Market และ ASEAN+6 Privilege Campaign สนับสนุนค่าใช่จ่ายเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการและผู้ที่สนใจร่วมชมงานจากต่างประเทศ เตรียม 8 มาตรการป้องกัน “ไวรัสโควิด-19” เพื่อเป็นการดูแลความปลอดภัยและสุขภาพของผู้เข้าร่วมงานอย่างสูงสุด ทางคณะผู้จัดงานได้ร่วมกับศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี ในการวางมาตรการเฝ้าระวังเเละป้องกันโรคระบาดภายใต้การควบคุมของระบบการจัดการด้านการรักษาความปลอดภัยสำหรับการจัดประชุมสัมมนา เเละนิทรรศการ มอก.22300 เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้เข้าร่วมงานทุกท่าน ดังนี้   1.เตรียมแอลกอฮอล์บริการลูกค้า ณ ทางเข้าอาคารหลัก ห้องประชุมย่อยรวมถึงห้องน้ำ เพื่อใช้ทำความสะอาด   2.ติดตั้งเครื่องเทอร์มัลสแกน (Thermo scan) บริเวณทางเข้าอาคารหลักและหน้างาน สำหรับคัดกรองอุณหภูมิร่างกาย และผู้ป่วยที่เข้าข่ายต้องคัดแยกเพื่อเฝ้าระวังติดตามอาการ   3.จัดเตรียมอุปกรณ์เทอร์มัลสแกน (Thermo Gun) สำหรับตรวจวัดอุณหภูมิ คัดกรองผู้ป่วย โดยมีการติดสติกเกอร์ต่างสีในแต่ละวัน เพื่อให้มั่นใจว่าบุคคลที่เข้าร่วมงานได้รับการตรวจคัดกรองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว   4.เตรียมห้องปฐมพยาบาลเพื่อคัดกรองผู้ป่วยโดยมีเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ประจำการ   5.ประสานทีมแพทย์และพยาบาล จากสถาบันบำราศนราดูรให้การช่วยเหลือสนับสนุนทางการแพทย์   6.จัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ ให้ความรู้สร้างความเข้าใจ เกี่ยวกับโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัส โคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 พร้อมขอความร่วมมือผู้เข้ามาใช้บริการปฏิบัติตามข้อแนะนำในการป้องกันการแพร่ระบาด   7.เพิ่มความถี่ในการทำความสะอาดอาคาร สถานที่ บริเวณห้องจัดงาน จุดบริการอาหารเครื่องดื่ม ห้องน้ำ และอื่นๆ ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อโรคทุกวัน ตลอดจนฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อในพื้นที่จัดแสดงงานทั้งการก่อสร้างและหลังจากการรื้นถอน   8.จัดเตรียมถังขยะสำหรับทิ้งหน้ากากอนามัยโดยเฉพาะ เพื่อการนำไปกำจัดอย่างถูกวิธี   งานสถาปนิก’63 “มองเก่า ให้ใหม่: Refocus Heritage” จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 7-12 กรกฎาคม 2563 ระหว่างเวลา 10.00 – 20.00 น. ณ อาคารชาเลนเจอร์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ www.architectexpoasia.com  
“โฮมโปร” ฝ่าปัจจัยลบปี 62 สร้างรายได้รวมกว่า 6 หมื่นล้าน

“โฮมโปร” ฝ่าปัจจัยลบปี 62 สร้างรายได้รวมกว่า 6 หมื่นล้าน

โฮมโปร ฝ่าปัจจัยลบปี 62 ทำรารายได้รวมโตได้เล็กน้อยแค่ 2.08% แต่ทำกำไรได้กว่า  6,176.59 ล้านบาท หลังหันปรับปรุงประสิทธิภาพการบริหารงานภายใน และขยายสาขาต่อเนื่อง แม้ได้รับผลกระทบรอบด้านจากภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อหดตัว   นายคุณวุฒิ ธรรมพรหมกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของบริษัทและบริษัทย่อย ประจำปี 2562 ว่า บริษัทและบริษัทย่อยยังคงมีผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีรายได้รวมจำนวน 67,423.88 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.08%  และมีกำไรสุทธิจำนวน 6,176.59 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.05% จากปีก่อนหน้า ปัจจัยที่ทำให้บริษัทมีผลประกอบการเติบโต เป็นเพราะรายได้จากสัญญาที่ทำกับลูกค้า ซึ่งเป็นรายได้ที่ประกอบไปด้วยรายได้จากการขายสินค้า และรายได้จากการให้บริการลูกค้า Home Service รวมจำนวน 63,046.23 ล้านบาท มารเติบโต 1.77% หรือเพิ่มขึ้น 1,094.91 ล้านบาท  เป็นผลมาจากการเติบโตเล็กน้อยของยอดขายสาขาเดิมของธุรกิจโฮมโปร ในขณะที่ยอดขายสาขาเดิมของธุรกิจเมกา โฮม อยู่ในระดับทรงตัว รวมถึงยอดขายสาขาใหม่ทั้งธุรกิจโฮมโปร และเมกา โฮม รวมถึงรายได้จากค่าบริการ “Home Service”   สำหรับยอดขายสาขาเดิมในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2562 เติบโตสูงจากกลุ่มสินค้าปรับปรุงคุณภาพอากาศ เนื่องด้วยสภาพอากาศที่มีมลภาวะสูงผิดปกติ และกลุ่มสินค้าเครื่องทำความเย็นจากสภาพอากาศที่ร้อนต่อเนื่อง  อย่างไรก็ตาม ยอดขายสาขาในครึ่งปีหลังยังไม่เป็นไปตามเป้าหมาย โดยได้รับผลกระทบจากปัจจัยทางเศรษฐกิจ ส่วนผลการดำเนินงานของบริษัทย่อยนั้นมีประสิทธิภาพการดำเนินงานดีขึ้น เป็นผลจากการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานด้านต่างๆ   นอกจากนี้ โฮมโปร ยังมีรายได้ค่าเช่า จำนวน 2,207.08 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 232.02 ล้านบาท หรือ 11.75% เป็นผลมาจากรายได้ค่าเช่าที่เพิ่มขึ้นจากการขยายพื้นที่เช่าภายในศูนย์การค้ามาร์เกต วิลเลจ และพื้นที่ให้เช่าสาขาใหม่ของโฮมโปรและเมกา โฮม  ส่วนของรายได้อื่นปีที่ผ่านมาของโฮมโปรมีจำนวน 2,170.56 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 47.03 ล้านบาท หรือ 2.21% โดยเป็นผลมาจากการเติบโตของรายได้ส่งเสริมการขายร่วมกับคู่ค้า ดอกเบี้ยรับ และรายได้เบ็ดเตล็ด สำหรับกำไรขั้นต้นกำไรขั้นต้นจากการขายสินค้าและการให้บริการลูกค้า Home Service ปีที่ผ่านมามีจำนวนรวม 16,331.28 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 542.11 ล้านบาท หรือ 3.43% เมื่อเทียบกับปีก่อน ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นต่อยอดขายเพิ่มขึ้นจาก 25.49% ในปีก่อน มาอยู่ที่ 25.90% โดยเป็นผลมาจากการปรับเปลี่ยนของส่วนผสมสินค้ามีไว้เพื่อขายทั้งกลุ่มสินค้าทั่วไป และกลุ่มสินค้า Direct Sourcing รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพวางแผนการจัดซื้อสินค้าของธุรกิจโฮมโปร เมกา โฮม และโฮมโปรที่ประเทศมาเลเซีย แม้ว่าบริษัทฯ มีต้นทุนค่าขนส่งเพิ่มขึ้นก็ตาม   ในปี 2562 บริษัทเปิดสาขาโฮมโปรทั้งหมด 2 แห่งที่จรัญสนิทวงศ์และมุกดาหาร และเปิดสาขาโฮมโปรเอส 1 แห่งที่ สามย่าน มิตรทาวน์ และได้มีการเปิดสาขาเมกา โฮม ทั้งหมด 2 แห่งที่บ้านฉาง จังหวัดระยอง  และบางนา-ตราด ส่งผลให้สิ้นปี 2562 มีสาขาโฮมโปร 84 สาขา โฮมโปรเอส 9 สาขา เมกาโฮม 14 สาขา และโฮมโปรที่ประเทศมาเลเซีย 6 สาขา ส่งผลให้ สิ้นปี 2562 บริษัทมีสาขาโฮมโปร 84 สาขาโฮมโปรเอส 9 สาขา เมกาโฮม 14 สาขา และโฮมโปรที่ประเทศมาเลเซีย 6 สาขา   นายคุณวุฒิ กล่าวต่อไปอีกว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2562 ขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้ เป็นผลมาจากการชะลอตัวของปริมาณการค้าโลกและอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศคู่ค้าที่สำคัญจากการกีดกันทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน โดยภาคการส่งออกได้รับผลกระทบจากอุปสงค์ที่ลดลงทั่วโลก ส่งผลให้การบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงเช่นกัน เนื่องมาจากอัตราการจ้างงานที่ปรับลดลง โดยเฉพาะในภาคการผลิตเพื่อส่งออก   นอกจากนั้นกำลังซื้อของผู้บริโภคยังได้รับผลกระทบจากระดับหนี้สินภาคครัวเรือนที่ปรับตัวสูงขึ้น และราคาพืชผลทางการเกษตรที่ยังอยู่ในระดับต่ำ ในขณะที่ภาคการท่องเที่ยวเองก็ได้รับผลกระทบจากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ลดน้อยลงโดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีแรก แม้ว่ารัฐบาลจะได้เร่งกระตุ้นเศรษฐกิจและฟื้นความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภคโดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลังด้วยมาตรการต่างๆ เช่น โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และโครงการชิมช้อปใช้ เป็นต้น แต่เศรษฐกิจในภาพรวมยังคงไม่เอื้ออำนวยต่อการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคเท่าที่ควร  
9 ทริค จัดบ้านให้ร่ำรวยตลอดปี เรียกทรัพย์ รับโชค

9 ทริค จัดบ้านให้ร่ำรวยตลอดปี เรียกทรัพย์ รับโชค

ต้อนรับปี 2020 กันด้วย Infographic ที่จะช่วยให้บ้านของคุณเรียกทรัพย์ รับโชค กันตลอดทั้งปี แล้วอย่างนี้ใครล่ะจะไม่อยากมีเงินมีทองเข้าบ้าน เกิดความเจริญรุ่งเรือง ซึ่งเรามีวิธีจัดแบบไม่ยาก แค่ขยับนิดตกแต่งอีกหน่อยก็เป็นอันถูกต้องตามหลักฮวงจุ้ยแล้ว ถ้าไม่เริ่มจัดบ้านตอนนี้ รอจะไปทำตอนปลายปีก็เสียดายแย่เลยนะครับ      หน้าบ้านเปิดโล่งรับทรัพย์ หลายบ้านมักจะวางรองเท้าเอาไว้ตรงลานหน้าบ้าน เพื่อความสะดวกเวลาจะหยิบใส่ แต่ทว่าในทางฮวงจุ้ย หน้าบ้านเปรียบเสมือนโต๊ะที่วางกับข้าว ส่วนประตูก็เป็นเหมือนกับปากที่รอรับอาหาร หากวางรองเท้าหรือสิ่งของเอาไว้ก็เท่ากับมีสิ่งกีดขวางโชคลาภ ทำให้เข้าบ้านได้ไม่เต็มที่ ทางที่ดีควรจะมีตู้เก็บให้มิดชิด ไม่ให้กีดขวางด้านหน้า และที่สำคัญไม่ควรอยู่เหนือลม เพราะลมจะพากลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ เข้ามาในบ้าน ซึ่งถือเป็นฮวงจุ้ยที่ไม่ดี เปิดประตู-หน้าต่าง เรียกเงินทอง ยามเช้าคือช่วงเวลาอันเหมาะสมในการเปิดรับอากาศบริสุทธิ์ ถือเป็นการสะสมพลังงานดีๆ เรียกเงินทองเข้าบ้าน แต่ถ้าบ้านไหนที่ไม่มีเวลา ต้องออกไปทำงานตั้งแต่เช้า ก็แนะนำให้ก่อนเปิดแอร์ตอนกลางคืนให้เปิดประตู-หน้าต่าง ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที เพื่อระบายความชื้นในห้องออกไปก่อน แล้วรับออกซิเจนใหม่เข้ามาเพิ่มความสดชื่น ปลอดโปร่งให้ห้องของเรา เพิ่มแสงสว่าง เสริมโชค แสงสว่าง คือ พลังหยาง เป็นพลังมงคล เสริมความโชคดีเรื่องการค้าและสุขภาพ ซึ่งจะมีความสัมพันธ์กับพลังหยิน จึงต้องมีความสมดุลกันอย่างพอดีๆ ในแง่ของแสงสว่างภายในบ้านก็ต้องมีปริมาณที่เพียงพอด้วยเช่นกัน  ยกตัวอย่าง มุมอ่านหนังสือหรือแต่งหน้าควรใช้ไฟขาวจะได้ไม่หลอกตา และไม่เสียสายตา มุมพักผ่อนหย่อนใจ ควรใช้ไฟวอร์มไลท์ เพื่อสร้างความรู้สึกผ่อนคลาย ไม่เคร่งเครียดมากเกินไป ห้องครัวต้องมีไฟสว่างมากพอ รวมถึงตามทางเดินจะต้องมีแสงสว่างเพียงพอด้วย จัดบ้าน เปลี่ยนมุมเฟอร์นิเจอร์ เฟอร์นิเจอร์ที่ทุกคนบ้านใช้ร่วมกัน เช่น โซฟา โต๊ะทานอาหาร ควรจะล้อมวงหันเข้าหากัน ให้เหลือพื้นที่โดยรอบเอาไว้ ไม่ควรวางด้านใดด้านหนึ่งชิดผนัง เพราะจะเป็นการเพิ่มระยะห่างและทำให้สมาชิกแต่ละคนอยู่ในมุมของตัวเอง และควรปูพรมก่อนวางเฟอร์นิเจอร์ หากพื้นที่ไม่พอ อาจจะให้แค่บางส่วนอยู่บนพรม ไม่ต้องอยู่บนพรมทั้งหมดก็ได้ ใช้สีจัดบ้าน ส่งเสริมดวง เรื่องของการใช้สีได้รับความนิยมในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เพราะสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ง่าย ไม่ว่าจะกับเสื้อผ้า กระเป๋าสตางค์ หรือแม้แต่การตกแต่งบ้านก็ยังสามารถนำเอาสีที่ช่วยส่งเสริมด้านต่างๆ อย่างของประดับตกแต่ง สีผนัง สีเฟอร์นิเจอร์เช่น ใช้สีเหลือง สีทอง สีเบจ เสริมด้านการเรียน การศึกษา สีน้ำตาลอมเทา สีหม่น เสริมด้านความสัมพันธ์ในครอบครัว สีแดงและสีชมพู เสริมความรัก มีคนสนับสนุน สีเขียวและสีม่วง เสริมด้านการงาน การเงิน สุขภาพแข็งแรง สีฟ้าและสีม่วง เสริมร่ำรวย เป็นต้น ทั้งนี้ก็ต้องดูเรื่องของทิศ เรื่องวันเกิดของแต่ละคนเพิ่มเติมด้วย เลือกของตกแต่งบ้านตามธาตุ ในวิชาโหราศาสตร์จีนและฮวงจุ้ยเชิงวิชาการจะมองทุกสิ่งรอบตัว ทิศทางเป็นธาตุ รวมถึงตัวบุคคลเองด้วย  จึงควรทำระบบธาตุในบ้านให้เกิดความสอดคล้องกัน เพื่อความสมดุลของพลังงานทุกๆ ส่วนในบ้าน เพราะจะช่วยส่งเสริมทุกด้านดีๆ ในชีวิตเราได้ โดยมีวิธีการดูอย่างง่าย ดังนี้   ทิศเหนือ : เป็นทิศธาตุน้ำ ควรตกแต่งด้วยน้ำพุหรือวัตถุทรงโค้ง ทรงกลม วาว รูปคลื่น หรือใช้สีฟ้า น้ำเงิน เทา ดำ ขาว เงิน ทอง และห้ามใช้สี เหลือง ส้ม ครีม น้ำตาล โอรส ตกแต่งบ้านเด็ดขาด ทิศใต้ : เป็นทิศธาตุไฟ ควรประดับตกแต่งด้วยดอกไม้ ต้นไม้ หรือวัตถุทรงสูง ทรงกระบอก ทรงปิระมิด หรือใช้สีแดง ชมพู เขียว และห้ามใช้สี ฟ้า น้ำเงิน เทา ดำ ตกแต่งบ้านเด็ดขาด ทิศตะวันออก และตะวันออกเฉียงใต้ : เป็นทิศธาตุไม้ ควรตกแต่งด้วยต้นไม้ น้ำพุ หรือวัตถุทรงสูง รูปทรงคลื่น หรือใช้สีเขียว ฟ้า น้ำเงิน เทา ดำ และห้ามใช้สีเงิน ทอง โลหะ ต่างๆ ตกแต่งบ้านในทิศนี้เด็ดขาด ทิศตะวันตก และตะวันตกเฉียงเหนือ : เป็นทิศธาตุทอง ควรตกแต่งด้วยโลหะ ทรงกลม แวววาว เซรามิก เครื่องปั้นดินเผา หรือสีเงิน ทอง น้ำตาล ครีม เหลือง ส้ม โอรส ห้ามใช้สีแดง ชมพู ตกแต่งบ้านในทิศทางนี้โดยเด็ดขาด ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และตะวันตกเฉียงใต้ : เป็นทิศธาตุดิน ควรตกแต่งด้วย เซรามิก เครื่องปั้นดินเผา หรือสีเหลือง ส้ม ครีม น้ำตาล โอรส แดง ชมพู ห้ามใช้สีเขียว ตกแต่งบ้านในทิศทางนี้โดยเด็ดขาด เครื่องรางทางฮวงจุ้ย เรียกโชคลาภ เครื่องรางหลายชนิดในทางฮวงจุ้ย ไม่ใช่แค่ช่วยเสริมพลังบวกเท่านั้น แต่ยังมีความสวยงามสามารถนำมาประดับตกแต่งบ้านได้ด้วย ซึ่งก็มีอยู่หลากหลายชนิดที่ให้ความหมายแตกต่างกันไป เช่น เรือสำเภาจีน, เหรียญจีนโบราณมหาจักรพรรดิ, รูปปั้นสิงโต, รูปปั้นเต่า, รูปม้า, ลูกแก้วคริสตัล, โคมไฟแดง, ปลาทอง, ปลามังกร, ปลาคาร์พ เป็นต้น น้ำพุ เพื่อความรุ่งเรือง น้ำพุถือเป็นตัวแทนของความมั่งคั่ง อุดมสมบูรณ์พูนสุข ในหลักของฮวงจุ้ย ซึ่งควรจะดูลักษณะของน้ำพุหรือน้ำตก รวมถึงตำแหน่งการวางให้ดีครับ โดยมีหลักการดูง่ายๆ ดังนี้   ลักษณะของน้ำพุหรือน้ำตก เป็นรูปทรงกลมจะเหมาะสมที่สุด ไม่ตื้นจนเกินไป ขนาดโดยรวมเอาให้สัมพันธ์กับตัวบ้าน ไม่จำเป็นต้องใหญ่ไว้ก่อน   การไหลของน้ำ ก่อนน้ำจะไหลลงสู่บ่อควรมีความคดเคี้ยว ดีกว่าไหลลงมาตรงๆ ส่วนกระแสน้ำก็ควรจะให้พัดเข้ามาในตัวบ้าน ซึ่งควรจะไหลแรงอยู่เป็นประจำ ไม่ควรไหลเอื่อย และน้ำต้องสะอาดอยู่เสมอ   ทิศที่เหมาะสมต่อการวางน้ำพุ ได้แก่ ทิศเหนือ การงานที่มั่นคง ก้าวหน้า, ทิศตะวันออก เสริมสร้างรากฐานครอบครัวให้มั่นคง มีสุขภาพแข็งแรง, ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ความอุดมสมบูรณ์และมีเงินทองไหลมาเทมา   แต่ก็มีข้อควรระวังอย่างยิ่งเลยครับ เพราะหากวางน้ำพุเอาไว้ผิดที่ผิดทางแล้วล่ะก็ จะกลายเป็นว่าคนในครอบครัวของเราอาจพบเจอกับปัญหาอุปสรรค เกิดความแตกแยก ไม่เจริญก้าวหน้าไปเลยก็ได้หากวางในที่ดังต่อไปนี้ อาทิ ทิศใต้ของบ้าน ห้องน้ำ ห้องครัว ห้องนอน ใต้บันได้ ด้านขวามือของบ้าน (เมื่อหันหน้าออกหน้าบ้าน) เก็บกวาด จัดบ้าน เปิดรับโชค สุดท้ายไม่ใช่แค่เรื่องของการตกแต่งบ้านเท่านั้นนะครับ แต่เรื่องของความสะอาดก็สำคัญมากเช่นกันในทางฮวงจุ้ย เพราะเชื่อว่าจะช่วยปัดสิ่งอัปมงคลทิ้งไป โชคดีไหลเข้ามาได้อย่างเต็มที่ เว้นก็เพียงช่วงตรุษจีนที่ห้ามจับไม้กวาด เพราะจะกวดเงินทองออกจากบ้านไป ในช่วงตรุษจีนจึงควรทำความสะอาดบ้านล่วงหน้าสัก 4-5 วัน   เคล็ดลับจัดบ้านอีกหลากหลายรูปแบบให้ยิ่งเฮงๆ  ฮวงจุ้ยตำแหน่งเตียงนอน เสริมรักรุ่ง เงินพุ่ง ฮวงจุ้ยตู้เย็น วางตรงไหนเสริมดวง สีอะไรถูกโฉลก จัดหิ้งพระในบ้าน ให้เป็นสิริมงคลกับเจ้าของ 9 วิธีจัดห้องนอนเสริมดวง
10 ของแต่งบ้าน เสริมโชค รับปีหนู

10 ของแต่งบ้าน เสริมโชค รับปีหนู

ใกล้เข้าสู่ปีใหม่ 2563 ทุกที บางสิ่งที่ไม่ดีเกิดขึ้นก็อยากจะทิ้งไปกับปีเก่า แล้วต้อนรับสิ่งดีๆ เข้ามาพร้อมกับปีใหม่นี้ เริ่มต้นง่ายๆ จากการหาของตกแต่งบ้านเสียใหม่ เพื่อเสริมสิริมงคลตามความเชื่อฮวงจุ้ย เพื่อความร่ำรวย เสริมโชค เพิ่มพูนความสุขให้กับสมาชิกในครอบครัวไปพร้อมๆ กับปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง โมบายกระดิ่ง โมบายกระดิ่งมักเกิดเสียงไพเราะยามต้องลม ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย อีกทั้งตามหลักฮวงจุ้ยจะช่วยขจัดพลังงานด้านลบให้ออกไป แถมยังช่วยเรียกเงินทองเข้าบ้าน เพียงแค่นำไปแขวนไว้หน้าบ้าน โดยมีเคล็ดลับในการเลือกโมบายกระดิ่งให้มีจำนวน 6 หรือ 8 แท่ง จะยิ่งช่วยเสริมด้านเงินทองได้ดียิ่งขึ้น เทียนหอม นอกจากจะช่วยสร้างกลิ่นหอม ไล่กลิ่นอับไม่พึงประสงค์แล้ว ตามหลักฮวงจุ้ยยังถือเป็นพลังชีวิตจากพืช เพิ่มพลังบวกมีแต่สิ่งดีเกิดขึ้นกับบ้านเรา พัด หลายครั้งที่เราเห็น “พัด” เข้ามามีบทบาทในภาพยนตร์จีนหลายต่อหลายเรื่อง เพราะมีความสำคัญมาตั้งแต่ในอดีตกาล โดยเราสามารถนำมาประดับตกแต่งห้องรับแขก จะช่วยพัดข่าวดีเข้าบ้านเสมอ นำพามิตรสหายที่ดีเข้ามาสู่ชีวิต และยังช่วยให้คู่รักร่มเย็นเป็นสุข กระจกเงา ตามความเชื่อแล้ว กระจกเงาจะช่วยสะท้อนพลังงานให้ไหลเวียนในบ้านได้ดีขึ้น เสริมโชคลาภและความร่ำรวย ไม่ว่าจะเป็นกระจกทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า สี่เหลี่ยมจัตุรัส หรือทรงกลม โดยจะต้องหมั่นทำความสะอาดอยู่เสมอ ไม่บิ่น หรือแตกร้าว และติดตั้งให้ถูกทิศทาง เช่น ติดกระจกตรงข้ามบริเวณที่มีทิวทัศน์สวยงาม, ติดในห้องรับประทานอาหาร เป็นต้น เรือสำเภา ในอดีตเรือสำเภามีความสำคัญอย่างมากสำหรับการขนส่งสินค้ารวมถึงการทูตกับเมืองต่างๆ เรือสำเภาจึงกลายเป็นตัวแทนของความเชื่อทางฮวงจุ้ยว่าเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ ความสำเร็จ และการสมความปรารถนา รูปปั้นช้าง “ช้าง” ถือเป็นหนึ่งในสัตว์มงคลมาช้านาน แม้จะมีรูปร่างใหญ่โต แต่กลับอ่อนโยนและเป็นมิตร ตามหลักฮวงจุ้ยจะเปรียบเหมือนกับภูเขาสูง จึงเชื่อกันว่าจะช่วยปัดเป่าภัยอันตรายทั้งปวงไม่ให้เข้าบ้าน และยังช่วยให้เกิดความมั่นคง จึงแนะนำให้นำรูปปั้นช้างวางไว้บนโต๊ะทำงาน ด้านหลังเป็นผนังทึบ นกยูง สัญลักษณ์แห่งความมีชื่อเสียงเกียรติยศ อำนาจ ความสำเร็จ รวมถึงช่วยเสริมด้านความรัก และการเงิน ฉะนั้นหากมีภาพนกยูงตกแต่งห้องเอาไว้ก็จะดีไม่น้อย โดยเฉพาะภาพนกยูงรำแพนหางที่จะมีลายเสมือนดวงตาพันดวง จะช่วยปกป้องจากโชคร้ายและอันตรายรอบตัวได้อีกด้วย ต้นไม้มงคล นอกจากจะช่วยสร้างบรรยากาศให้สดชื่น “ต้นไม้” ยังสามารถมอบเป็นของขวัญปีใหม่ที่ให้ความหมายอันเป็นมงคล โดยเฉพาะด้านโชคลาภได้ด้วยนะครับ ซึ่งก็มีอยู่มากมายหลายหลากพันธุ์ อาทิ พลูด่าง ไผ่กวนอิม ต้นวาสนา ต้นนางกวัก ต้นกวนอิม มะยม กล้วยไม้ จำปา โป๊ยเซียน เป็นต้น โดยแนะนำว่าให้ปลูกต้นไม้มงคลเหล่านี้เอาไว้ทางทิศเหนือของบ้าน เลี้ยงปลามงคล คำว่าปลาในภาษาจีนอ่านว่า “หยู” ซึ่งพ้องเสียงกับคำที่แปลว่าอุดมสมบูรณ์ ทำให้เชื่อกันว่าการเลี้ยงปลาจะช่วยเสริมด้านการเงินให้ร่ำรวย มีความอุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะการเลี้ยง “ปลาคาร์ฟ” โดยภาษาจีนออกเสียงว่า “หยูหลี่” พ้องเสียงกับคำที่แปลว่ามั่งคั่ง น้ำตกหรือน้ำพุ “น้ำ” คือตัวแทนของเงินทองในทางฮวงจุ้ย การที่มีน้ำไหลเวียนอยู่เสมอจึงหมายถึงการดึงดูดโชคลาภ และเสริมสิริมงคล ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะแนะนำให้วางหน้าประตูบ้าน   เสริมดวงตามฮวงจุ้ยด้านอื่นๆ ฮวงจุ้ยตำแหน่งเตียงนอน เสริมรักรุ่ง เงินพุ่ง 9 วิธีจัดห้องนอนเสริมดวง ฮวงจุ้ยตู้เย็น วางตรงไหนเสริมดวง สีอะไรถูกโฉลก
รวมโปรโมชั่นเฟอร์นิเจอร์-ของแต่งบ้าน เดือนธันวาคม 2562

รวมโปรโมชั่นเฟอร์นิเจอร์-ของแต่งบ้าน เดือนธันวาคม 2562

หลายสถานที่เริ่มมีการตกแต่งต้อนรับเทศกาลแห่งความสุขในช่วงคริสต์มาสและปีใหม่ บางที่ก็มีการจับฉลากกัน ถ้าใครไม่มีไอเดียในการซื้อของจับฉลากก็ลองมาดูที่โปรโมชั่นของตกแต่งบ้านก็น่าสนใจดีนะคะ เพราะไม่ใช่แค่สวยงามเท่านั้น แต่ยังสามารถเอาไปใช้งานได้จริงด้วยค่ะ Gift of Happiness 2020 ขอขวัญสุดพิเศษจากอินเด็กซ์ อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ จับมือกับพันธมิตรจัดแคมเปญการตลาดครั้งใหญ่ ‘Gift of Happiness 2020’ ภายใต้แนวคิด Share a Wish, Share a Gift แชร์ความสุขด้วยหัวใจ ตั้งแต่วันนี้- 8 มกราคม 2563 บัตรเครดิตรับสิทธิ์ผ่อน0% สูงสุด 10  เดือน พร้อมรับเครดิตเงินคืนและของสมนาคุณ ลุ้นรับบัตรที่พักหรูจากโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล หัวหิน รีสอร์ท และสวนน้ำVana Nava จำนวน 5 รางวัลๆ ละ 2 ท่าน ลูกค้าที่ใช้จ่ายด้วยทรูมันนี่ วอลเล็ท ตั้งแต่1,000 บาทขึ้นไป รับสิทธิ์ลุ้นรับโทรศัพท์ Huawei P3 Pro จำนวน 2 รางวัล ทุกการใช้จ่าย1,000 บาท ที่อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ทุกสาขา  และเดอะ วอล์ค สาขาเกษตร-นวมินทร์ และสาขาราชพฤกษ์ ลุ้นรับรถยนต์ The All – New NISSAN NOTE มูลค่า 4 แสนบาท SB Design Square พระราม 2 ฉลองเปิดสาขาใหม่ สินค้านาทีทองทุกสัปดาห์ SB Design Square พระราม 2 ฉลองเปิดสาขาใหม่ "เสิร์ฟความคุ้ม ส่งต่อความฟิน ด้วยเฟอร์สุดปัง" ด้วยสินค้านาทีทองทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 14.00 น. และ 17.00 น. อาทิ โซฟาเบด 990 บาท เก้าอี้พักผ่อน 1,990 บาท ชุดห้องนอน 9,900 บาท ที่นอน 6 ฟุต จากแบรนด์ชั้นนำ 3,900 บาท และยังมีสินค้าราคาพิเศษประจำสัปดาห์ สินค้าแลกซื้อสุดคุ้ม สำหรับ Top Spender ที่มียอดซื้อสูงสุด 3 ท่านแรก (300,000 บาทขึ้นไป) ได้รับ iphone11 (64GB) มูลค่า 24,900 บาท บุญถาวร Big Thanks Sale บุญถาวรลดราคาพิเศษกว่า 50% มาพร้อม Big Thanks Sale ต่อที่ 1 ช้อปครบลดเลยไม่ต้องลุ้น ช้อปทุก 9,000 บาท รับส่วนลด 200 บาท ช้อปทุก 15,000 บาท รับส่วนลด 500 บาท และช้อปทุก 25,000 บาท รับส่วนลด 1,000 บาท ต่อที่ 2 สะสมยอดซื้อสีภายในเดือนรับฟรี ทองคำ เมื่อสะสมยอดซื้อครบ 100,000 บาท รับทอง 1 สลึง และสะสมยอดซื้อครบ 300,000 บาท รับทอง 1 บาท ตั้งแต่วันนี้-30 ธ.ค. 62 Super Shock Sale ลดหลายต่อ ช็อคหลายชั้น รับคริสต์มาส โฮมโปร ซูเปอร์ช็อคเซล ลดหลายต่อ ช็อคหลายชั้น รับคริสต์มาส พบกับสินค้าเรื่องบ้าน อาทิ ชุดครัว ชุดเครื่องนอน ของตกแต่ง สินค้าปรับปรุงบ้าน ตลอดจนเครื่องใช้ไฟฟ้าแบรนด์ชั้นนํา ลดสูงสุด 70%* พิเศษสำหรับสมาชิกโฮมการ์ดนำคะแนนแลกรับส่วนลดได้ตามเงื่อนไข สิทธิพิเศษจากบัตรเครดิตชั้นนำมากมาย และโฮมเซอร์วิส บริการเพื่อคนรักบ้าน ด้วยทีมงานมืออาชีพ วันที่ 28 พ.ย. 62–5 ม.ค. 63 ที่ โฮมโปรทุกสาขา Express Carpet NEW YEAR SALE EXPRESS CARPET & DECOR ผู้นำแฟชั่นพรม เอาใจสายแต่งบ้านเนรมิตให้ห้องเก่าเป็นห้องใหม่ด้วยพรมดีๆ สักผืนที่นำมาจัดโปรโมชั่น NEW YEAR SALE ลดสูงสุด 50% พร้อมผ่อน 0% นาน 10 เดือน พิเศษสุด นำพรมเก่าที่บ้านมาแลกพรมใหม่ได้ในราคาสูงสุดถึง 2,000 บาท ที่ CDC Express Carpet & Decor ชั้น 1 ตึก F ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 62-15 ม.ค.63 SCG ลดแหลก แจกสนั่น ส่งท้ายปี วัสดุก่อสร้างคุณภาพจาก SCG ลดแหลก แจกสนั่น ส่งท้ายปี อาทิ อิญมวลเบา Q-con, ปูนสำเร็จรูป, ปูนเสือกาวซีเมนต์, ฝ้าสมาร์ทบอร์ด, ยิปซั่มบอร์ด, หลังคา ฯลฯ เมื่อยอดซื้อครบทุกๆ 10,000 บาท รับบัตรกำนัลโลตัส 2,000 บาท สูงสุด 30,000 บาท เฉพาะการสั่งซื้อผ่าน Online Store พร้อมโปรโมชั่นผ่อน 0% นาน 6 เดือน ตั้งแต่วันนี้-25 ธ.ค. 62 ฉลองความสุขกับไทวัสดุ ราคาเริ่มต้น 19 บาท ต้อนรับเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ที่ไทวัสดุ ด้วยสินค้าที่จะนำไปมอบเป็นของขวัญและของตกแต่งบ้านได้มากมายในราคาโดนใจ และสินค้าพิเศษ “ต้นคริสต์มาสจริง สายพันธุ์แคนาดา” ส่งตรงจากแหล่งผลิตต้นคริสต์มาสที่มีชื่อเสียงระดับโลก รับประกันความสดใหม่ส่งตรงถึงบ้าน ราคาเริ่มต้นเพียง 4,990 บาท ตั้งแต่วันนี้-31 ม.ค. 63 รายละเอียดเพิ่มเติม SCG SB Design Square Index livingmall Homepro Boonthavorn Thai Watsadu CDC
รวมโปรโมชั่นเฟอร์นิเจอร์-ของแต่งบ้าน เดือนธันวาคม 2562

รวมโปรโมชั่นเฟอร์นิเจอร์-ของแต่งบ้าน เดือนธันวาคม 2562

ก้าวเข้าสู่เดือนสุดท้ายของปี 2562 ถือเป็นช่วงเวลาไฮไลท์ที่สุดของการจับจ่ายใช้สอยสินค้าราคาพิเศษหลากหลายประเภท ที่เรียกได้ว่าแทบจะยกกันมาจนเกือบหมดสต็อก เพื่อจัดโปรโมชั่นราคาพิเศษ แถมด้วยการผ่อน 0% ลด แลก แจก แถม มาให้เลือกกันจนตาลาย ซึ่งเดือนธันวาคมนี้จะมีโปรโมชั่นเฟอร์นิเจอร์ ของแต่งบ้าน รวมถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าอะไรบ้าง ต้องติดตามค่ะ     Power Mall Celebration Sale ยกขบวนพาเหรดเครื่องใช้ไฟฟ้า สินค้าไอที และโปรโมชั่นเซลล์แรงๆ ลดราคาสูงสุดกว่า 50%* เช่น เครื่องดูดฝุ่นแบบด้ามจับ Electrolux, เครื่องปั่นเครื่องดื่ม Buono, ทีวี, เครื่องซักผ้า,สมาร์ทโฟน, โน๊ตบุ๊ค ฯลฯ พร้อมสิทธิพิเศษมายมาย อาทิ ฟรี ! คูปองส่วนลดเงินสด สูงสุด 1,300 บาท* ผ่อน 0%* x 10 เดือน ทุกชิ้น + ลดเพิ่มร่วมสูงสุด 15%* M Card ลดเพิ่ม 15%* เมื่อใช้คะแนนลด แต่ไม่เกินยอดซื้อ ตั้งแต่วันนี้–14 ธันวาคม 2562  นี้ ที่ Power Mall ทุกสาขา (ยกเว้น เดอะมอลล์งามวงศ์วาน และ บลูพอร์ต หัวหิน) Big C Big Happy Year End Sales 2019 บิ๊กซีส่งท้ายปีด้วยสินค้าลดราคาลดสูงสุด 80% หลากหลายสินค้าไม่ว่าจะเป็นของใช้ภายในบ้าน เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงสินค้าแฟชั่น กว่า 30 แบรนด์ อาทิ Tefal, Seagull, ตราม้าลาย, Panasonic, Tulip, Mi, Huawei, Wiko, Oppo, Vivo, LG, Samsung, ADIDAS, RAYBAN เป็นต้น ตั้งแต่วันที่ 28 พฤศจิกายน-1 ธันวาคม 2562 เวลา 8.00 – 18.00 น. ที่อาคารเบอร์ลี่ ยุคเกอร์ (สำนักงานใหญ่) และอาคารไวท์ กรุ๊ป (ซอยสุขุมวิท 42) MUJI Gift โปรโมชั่น สินค้าจากร้าน MUJI ต้อนรับช่วงเทศกาล ลดราคาพิเศษหลายรายการ เช่น กางเกงเดนิม, ซีรีส์ชุดผ้าฟลีซถัก, ผ้าพันคอ, บีดโซฟา, โซฟาไร้ขาพร้อมปลอกหุ้ม, ผ้าห่ม  ผ้าปูที่นอน ตั้งแต่วันนี้ - 26 ธันวาคม 2562 ที่ร้านมูจิ ทุกสาขา Index Living Mall ผ่อน 0% สูงสุด 6 เดือน Index Living Mall จัดโปรโมชั่น ผ่อน 0% สำหรับผู้ถือบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ และเฉพาะซื้อทาง Online เว็บไซต์ Index Living Mall เท่านั้น ยกเว้นสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่จัดอยู่ในโปรโมชั่น ตั้งแต่วันนี้-31ธันวาคม 2562 โปรโมชั่นช้อปออนไลน์สุดฟิน ผ่อน 0% นานสูงสุด 10 เดือน* SB Design Square ให้ช้อปออนไลน์สุดฟิน ผ่อน 0% นานสูงสุด 10 เดือน* กับบัตรเครดิตกรุงศรี พร้อมสิทธิพิเศษอื่นเพิ่มเติม เฉพาะซื้อทาง Online เว็บไซต์ SB Design Square เท่านั้น ตั้งแต่วันนี้-31 ธันวาคม 2562 OfficeMate เฟอร์นิเจอร์สำนักงาน ลดแรง สูงสุด 70% เฟอร์นิเจอร์สำนักงาน ลดราคาสูงสุด 70% เช่น เก้าอี้สำนักงาน, โต๊ะทำงาน, ชั้นวางของ, ตู้ลิ้นชัก เป็นต้น (สินค้าบางรายการเฉพาะซื้อออนไลน์เว็บไซต์ OfficeMate เท่านั้น) และยังแถมเพิ่ม! ของสมนาคุณ Starbuck Card สูงสุด 1,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 25-30 พฤศจิกายน 2562  
“อินเด็กซ์” ออกสินค้าใหม่ 1.4 หมื่นรายการ เพิ่มยอดปลายปี

“อินเด็กซ์” ออกสินค้าใหม่ 1.4 หมื่นรายการ เพิ่มยอดปลายปี

“อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์” เพิ่มสินค้าใหม่กว่า 14,000 รายการ รับเทรนด์การอยู่อาศัยคนยุคปัจจุบันในพื้นที่จำกัด พร้อมออกแคมเปญกระตุ้นตลาดปลายปี หวังมาตรการภาครัฐดันตลาดเฟอร์นิเจอร์ 50,000 ล้านปีหน้าโตต่อเนื่อง   นางสาวกฤษชนก ปัทมสัตยาสนธิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ ILM เปิดเผยว่า  ช่วงปลายปีเป็นช่วงทีสู่ช่วงไฮซีซั่น (ฤดูการขาย) ที่ผู้บริโภคจะมีการจับจ่ายใช้สอยเลือกซื้อสินค้าของใช้ ถือว่าส่งผลดีต่อภาพรวมธุรกิจเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้าน  เพราะมีการซื้อของใช้และของตกแต่งบ้าน  เพื่อทำการปรับปรุงซ่อมแซมที่อยู่อาศัยให้น่าอยู่ยิ่งขึ้น หรือนำไปตกแต่งที่อยู่อาศัยเพื่อให้พร้อมเข้าพักอาศัย จากโอกาสทางการตลาดดังกล่าว บริษัทได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่ม ‘สินค้าของใช้ในบ้านและของตกแต่งบ้าน’ เพิ่มมากขึ้น โดยออกแบบและพัฒนาภายใต้แนวคิด ‘Home Living Solutions’ เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตในบ้าน ด้วยหลักการเพิ่มพื้นที่จัดเก็บและใช้สอยผ่านฟังก์ชั่นที่ชาญฉลาด (Smart Storage) และจัดสรรคุ้มทุกพื้นที่ในบ้าน กับดีไซน์ที่สวยงาม (Creative Space)   เนื่องจากเทรนด์ของการอยู่อาศัยและตกแต่งในปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงไป  ผู้บริโภคต้องการสินค้าที่ปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นการใช้งานได้อย่างหลากหลาย มีขนาดกะทัดรัด สามารถตอบโจทย์การจัดวางเพื่อใช้สอยในพื้นที่จำกัด อาทิ คอนโดมิเนียม, ทาวน์เฮาส์, บ้านแฝดฯลฯ บริษัทฯ จึงได้พัฒนาและออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่สามารถตอบโจทย์อินไซด์การใช้ชีวิตคนในยุคปัจจุบัน เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อสินค้าในช่วงไฮซีซั่น สำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เปิดตัวครั้งนี้ มีจำนวนทั้งสิ้นมากกว่า 14,000 รายการ  โดยแบ่งเป็น  4 กลุ่ม ได้แก่ 1.สินค้าอุปกรณ์จัดเก็บของใช้ในบ้าน (Home Organization) 2.กลุ่มสินค้าตกแต่งบ้าน (Living & Décor)3.กลุ่มสินค้าเครื่องนอนและอุปกรณ์ของใช้สำหรับห้องน้ำ  (Bed & Bath) 4.กลุ่มสินค้าเครื่องครัวและเครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร (Kitchen & Dining) โดยมีสินค้าไฮไลท์ อาทิ ชั้นวางของอเนกประสงค์ 4 ชั้น สามารถปรับระดับความสูงระหว่างชั้นได้ตามต้องการ สินค้าทั้งหมดจะวางจำหน่ายภายในอินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ ที่เปิดบริการแล้ว 31 สาขาทั่วประเทศ และวินเนอร์ สโตร์ สาขาใหม่ที่จังหวัดราชบุรี ที่เพิ่งเปิดให้บริการเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา  “แม้ว่าภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ชะลอความร้อนแรงลงไปบ้าง แต่เชื่อว่าความต้องการบ้านและคอนโดมิเนียมยังคงมีอยู่ เนื่องจากเป็นสินค้าที่เป็นปัจจัย 4 ของทุกคน” บริษัท มั่นใจว่า การเปิดตัวสินค้าใหม่ในกลุ่มของใช้ในบ้านและของตกแต่งบ้าน จะได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าที่เป็นเจ้าของบ้านและคอนโดฯ ที่ต้องการเลือกซื้อสินค้าเพื่อนำไปตกแต่งในที่อยู่อาศัยที่มีพื้นที่จำกัด เพราะได้ออกแบบและพัฒนาสินค้า ให้สอดคล้องกับเทรนด์การใช้ชีวิตในยุคปัจจุบัน และจำหน่ายในราคาเริ่มต้น 19 – 4,990 บาทต่อชิ้นเท่านั้น   นอกจากนี้  ได้จัดโปรโมชั่นส่งเสริมการขายผ่านบัตร Joy Card เมื่อซื้อสินค้ากลุ่มของใช้ตกแต่งบ้านแบรนด์ต่างๆ ได้แก่ อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ (Index Living Mall), อินเด็กซ์โฮม (Index Home), คูซิโน (Cusino), และแคทเธอรีน บรู๊ค (Catherine Brooks) ครบ 2,000 บาทขึ้นไป รับสิทธิพิเศษเป็นส่วนลด 200 บาท นางสาวกฤษชนก กล่าวต่อว่า ปัจจุบันตลาดเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้าน คาดว่าจะมีมูลค่าตลาดรวมกว่า 50,000 ล้านบาท โดยปัจจุบัน อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์มีส่วนแบ่งการตลาดสูงสุดอยู่ที่ 20%  ขณะที่แนวโน้มตลาดในปีหน้า คาดว่าจะมีความคึกคักเพิ่มขึ้น หลังจากมาตรการกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอนจาก 2% เหลือ 0.01% และลดหย่อนค่าธรรมเนียมการจดจำนองจาก 1% เหลือ 0.01% สำหรับที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ที่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 2 พฤศจิกายน 2562 ถึงวันที่ 24 ธันวาคม 2563   รวมถึงมาตรการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) สนับสนุนสินเชื่อที่อยู่อาศัยให้แก่ประชาชนทั่วไปที่มีความต้องการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองในราคาซื้อขายไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อหน่วย โดยการให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ราคาพิเศษและเงื่อนไขผ่อนปรนสำหรับมาตรการสินเชื่อ จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 22 ตุลาคม 2562 ถึงวันที่ 24 ธันวาคม 2563 โดยมีวงเงินสินเชื่อทั้งหมด 50,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2.5% ในช่วง 3 ปีแรก ซึ่งเป็นปัจจัยที่จะส่งผลดีทางอ้อมต่อความต้องการของใช้ในบ้านและของตกแต่งบ้านที่เพิ่มขึ้น   เลือกช้อปสินค้าทางออนไลน์ได้ที่ อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์  
รวมโปรโมชั่นเฟอร์นิเจอร์-ของแต่งบ้าน เดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม 2562

รวมโปรโมชั่นเฟอร์นิเจอร์-ของแต่งบ้าน เดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม 2562

รวมโปรโมชั่นเฟอร์นิเจอร์-ของแต่งบ้าน เดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม 2562 โปรต้อนรับฤดูหนาวปลายปี ทั้งเครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ ของตกแต่งบ้าน ลดราคาจัดเต็ม พร้อมโปรโมชั่นลด แลก แจก แถม ผ่อน 0% ร่วมกับบัตรเครดิตชั้นนำมากมาย ใกล้ที่ไหนก็ไปที่นั่นได้เลยค่ะ   Index Living Mall  โปรโมชั่น ผ่อน 0% สูงสุด 6 เดือน เฉพาะ ONLINE เท่านั้น สิทธิพิเศษสำหรับผู้ถือบัตรเครดิต แล้วช้อปออนไลน์ผ่าน  www.indexlivingmall.com เท่านั้น เฉพาะเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้านที่ร่วมรายการ อาทิ Index Living Mall, Index Home, Baby Journey, Catherine Brooks, Winner Furniture, Index Furniture, ที่นอน Serta, ที่นอน Theraflex, ที่นอน Winner เป็นต้น ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.-31 ธ.ค. 2562   Lighting Solutions & Home Decoration ลดสูงสุด 80% ตกแต่งมุมเล็กๆภายในบ้าน ให้กลายเป็นบรรยากาศใหม่ๆ ด้วยของแต่งบ้าน ราคาหลักร้อยด้วยโคมไฟ หลากสไตล์ และของแต่งบ้าน ลดสูงสุด 80% ที่ SB Design Square ทุกสาขา หรือ www.sbdesignsquare.com ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.-30 พ.ย. 62   Bedroom Konckout Sale ลดจัดหนักไม่ต้องรอสิ้นปี Koncept Furniture จัดแคมเปญ Bedroom Konckout Sale ลดจัดหนักไม่ต้องรอสิ้นปี ลดราคาเฟอร์นิเจอร์ในห้องนอนแบบครบเซต ในราคาเริ่มต้นที่ 9,900 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.-30 พ.ย. 62   บุญถาวร BIG Clearance Sale บุญถาวร จัด BIG Clearance Sale ลดราคาถูกที่สุดในรอบปี พร้อมสิทธิพิเศษมากมาย เช่น บัตรเครดิตที่ร่วมรายการ รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 100,000 บาท เลือกรับบัตรของขวัญ หรือส่วนลดสูงสุด 55,000 บาท ฯลฯ เฉพาะสาขารัชดา, รังสิต, พุทธมณฑล, พระราม 2, สุวรรณภูมิ, เกษตร-นวมินทร์, ราชพฤกษ์, พัทยา, หัวหิน, เชียงใหม่, สุราษฎร์ธานี, อุดรธานี, สัตหีบ และระยอง ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.-30 ธ.ค. 62   Water Heater sale November 2019 Baan And Beyond จัดโปรโมชั่นต้อนรับหน้าหนาว เครื่องทำน้ำอุ่น-น้ำร้อน ลดราคาสุดคุ้ม พิเศษช้อปครบ 3,000 บาท รับเพิ่มบัตรกำนัลเงินสด 5,500 บาท เมื่อช้อปครบ 100,000 บาท ขึ้นไป ตั้งแต่วันที่ 31 ต.ค.-27 พ.ย. 62   Do Home ลดแรงแซงลมหนาว Do Home จัดโปรโมชั่นลดราคารับฤดูหนาว End Of Season Winter Sale อาทิ เครื่องทำน้ำอุ่น พร้อมของแถมพิเศษ ฟรีติดตั้งเฉพาะรุ่น ชุดเครื่องนอนคุณภาพราคาประหยัด เป็นต้น จำนวนจำกัด หมดแล้วหมดเลย ตั้งแต่วันที่ 19 ต.ค.-30 พ.ย. 62   Modernform Festive Sale Modernform มอบเซอร์ไพรส์สุดพิเศษส่งท้ายปี ลดราคาสินค้าหลายรายการ สูงสุด 70% อาทิ  ชุดโต๊ะ-เก้าอี้ ชั้นวางหนังสือ โซฟา เตียง โต๊ะเครื่องแป้ง ที่นอน หมอน ฯลฯ พบสินค้าราคาเดียว 990 บาท เฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์, สามารถผ่อนชำระ 0% กับบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ และสะสมยอดซื้อรับ Voucher ที่พัก FisherMan’ s เพชรบุรี ตามเงื่อนไขกำหนด ตั้งแต่วันที่ 23 พ.ย.-25 ธ.ค. 62   SANTAS & Sealy Warehouse Sale มหกรรมเครื่องนอนและที่นอน  ลดกระหน่ำครั้งยิ่งใหญ่ ส่งท้ายปี 2019 พบกับที่นอนและเครื่องนอนคุณภาพ ลดสูงสุด 80% อาทิ Santas, Sealy, Steven, Tempur, Jaspalhome พร้อมของสมนาคุณ และสิทธิพิเศษจากบัตรเครดิตที่อาคารคลังสินค้า บริษัทยัสปาลแอนด์ซันส์ จำกัด สุขุมวิท ซอย 66/1 (ใกล้ BTS สถานีอุดุมสุข) เวลาเปิด–ปิด 10:00–19.00 น. สินค้ามีจำนวนจำกัด* บริการส่งที่นอนฟรีทุกหลังเฉพาะกรุงเทพฯ และปริมณฑล ตั้งแต่วันที่ 15 พ.ย.-15 ธ.ค. 62    
พร็อพเพอร์ตี้ กูรู เปิด 7 เทรนด์อสังหาฯ ปี 63

พร็อพเพอร์ตี้ กูรู เปิด 7 เทรนด์อสังหาฯ ปี 63

พร็อพเพอร์ตี้กูรู เตรียมจัดงาน Asia Real Estate Summit 2019 ระดมกูรูด้านอสังหาฯ และวิทยากรชั้นนำทั่วโลก ชี้เทรนด์อสังหาฯ ในปีหน้า ชูไฮไลท์เรื่องเทคโนโลยี กำลังจะเข้ามาผลิกโฉมวงการที่อยู่อาศัย พร้อมเปิด 7 เทรนด์อสังหาฯ​ ไทยในปี 63      นายเจสัน เกรกอรี กรรมการผู้จัดการ พร็อพเพอร์ตี้ กูรู อินเตอร์ชันแนล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทได้เตรียมจัดงานสัมมนาให้ความรู้ด้านอสังหาริมทรัพย์  "Asia Real Estate Summit 2019" ระหว่างวันที่ 21-22 พฤศจิกายน 2562  โรงแรม The Athenee Hotel, a Luxury Collection Hotel, Bangkok โดยภายในงานวิทยากรผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจอสังหาฯ  และที่เกี่ยวข้องระดับโลก มาร่วมบรรยายสถานการณ์ตลาดในปัจจุบัน พร้อมอัพเดทเทรนด์การเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ ต่อวงการอสังหาฯ ในอนาคต   สำหรับหัวข้อที่น่าสนใจ อาทิ การออกแบบให้เหมาะกับมนุษย์ : โซลูชั่นที่ชาญฉลาดและการบูรณาการแบบครบวงจรที่มนุษย์ต้องการ บรรยายโดย Tim Kobe ผู้ก่อตั้ง Eight,lnc และผู้สร้างต้นแบบของ Apple Store หรือ Charles Reed Anderson ผู้ก่อตั้ง CRA & Associates บรรยายในหัวข้อ “การสร้างอาคารที่ปลอดภัยและระบบนิเวศที่ชาญฉลาด สำหรับบ้านของคนเอเชีย” ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับ วิธีการพัฒนาเทคโนโลยี ที่สามารถตระหนักถึงการสร้างเมืองอัจฉริยะที่แท้จริง เป็นระยะต่อไปของ Internet of Things (IoT) ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคอสังหาฯ ในเอเชีย ทั้งปัจจุบันและอนาคตอย่างไร   นายเจสัน กล่าวอีกว่า ภายในงานยังมีการอภิปรายเกี่ยวกับเทคโนโลยี 5G ในหัวข้อ "5G การปลดปล่อยคลื่นลูกใหม่แห่งการเชื่อมต่อ" เป็นการนำเสนอประเด็น ความก้าวหน้าของ Internet of Things (IoT) ในอาคารและบ้านอัจฉริยะของคนเอเชีย การแนะนำและการปรับใช้เทคโนโลยี 5G สามารถพัฒนาเมืองอัจฉริยะได้อย่างไร ความน่าเชื่อถือของอุปกรณ์ที่รองรับ Bluetooth 5.1 และ Wi-Fi 6 และคุณสมบัติการเชื่อมต่อในภูมิภาค ซึ่งจะมีผู้ร่วมอภิปราย ได้แก่ นายอัศนีย์ วิภาตเวทย์ หัวหน้าส่วนงานผลิตภัณฑ์ลูกค้าองค์กร และบริการระหว่างรประเทศ AIS ดร.เจษฎา ศิวรักษ์ หัวหน้าฝ่ายรัฐกิจและธุรกิจสัมพันธ์ บริษัท อีริคสัน (ประเทศไทย) จำกัด และ Look Fan หัวหน้ากลุ่มทุน TechNode “ไฮไลท์ของงานครั้งนี้ จะเป็นเรื่องเทคโนโลยี และเทรนด์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งเทรนด์ที่เกิดขึ้นในการพัฒนาอสังหาฯ ปัจจุบัน คือ การพัฒนาโครงกางการไปตามแนวเส้นทางการเดินทางของคน เช่น ระบบรถไฟฟ้า จากเมื่อก่อนอสังหาฯ จะถูกพัฒนาในเขตซีบีดี ในใจกลางเมืองธุรกิจ แต่วันนี้ไม่ใช่ซีบีดีอาจจะอยู่พื้นที่รอบนอก แต่เดินทางเข้ามาในเมืองได้”สำหรับเทรนด์ตลาดอสังหาฯ ประเทศไทยที่จะเกิดขึ้นในปี 2563 กูรูพร็อพเพอร์ตี้ มองว่าจะมี 7 เรื่องดังนี้   1.ผู้บริโภคยุคมิลเลนเนียล เลือกซื้ออสังหาฯ โดยมองเรื่องการลงทุนเป็นหลัก ต่างจากผู้บริโภคในอดีตที่ต้องการซื้ออสังหาฯ เพื่อการอยู่อาศัยร่วมกับคนในครอบครัว   2.ตลาดอสังหาฯ​ในเมืองไทย มีความหลากหลายมากที่สุด ด้านราคามีตั้งแต่ราคาต่ำสุดไปจนถึงแพงสุด โดยตลาดที่เป็นกลุ่มใหญ่ คือ ตลาดระดับราคาที่คนส่วนใหญ่เข้าถึงได้ ในราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทลงมา   3.ทำเลการพัฒนาอสังหาฯ ยังมุ่งเน้นตามแนวรถไฟฟ้า แต่มีการพัฒนาพื้นที่ใหม่สำหรับตลาดอสังหาฯ อย่างเช่น พื้นที่อีอีซี ทำให้มีการขยายพื้นที่การพัฒนาออกไปรองรับ เช่น โซนบางนา     4.ผู้ประกอบการหันมาพัฒนาโครงการในรูปแบบมิกซ์ยูสเพิ่มมากขึ้น เพื่อสร้างจุดขาย และตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนในยุคปัจจุบันมากขึ้น   5.ทิศทางการพัฒนาอสังหาฯ ในปี 2563 ผู้ประกอบการยังลงทุนต่อเนื่อง แม้ว่าภาพรวมตลาดจะยังไม่เติบโต แต่ไม่ถึงกับติดลบ ซึ่งรูปแบบการพัฒนาจะมีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น มีการพัฒนารูปแบบใหม่ เช่น การพัฒนาที่อยู่อาศัยรวมกับโรงแรม ซึ่งผู้ประกอบการแต่ละรายจะพัฒนารูปแบบโครงการ ตามความถนัดของตนเอง ในแต่ละเซ็กเมนต์   6.ดีเวลลอปเปอร์จะพัฒนาโครงการ โดยขยายตลาดไปสู่กลุ่มเป้าหมายชาวต่างชาติเพิ่มมากขึ้น จากเดิมที่โฟกัสตลาดคนไทยเป็นหลัก โดยเฉพาะในพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญ อาทิ พัทยา และจังหวัดภูเก็ต   7.การนำเอาเทคโนโลยี เข้ามาช่วยในด้านการขายอสังหาฯ เช่น การใช้เทคโนโลยี 3D เพื่อดูห้องตัวอย่างและโครงการ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นในต่างประเทศแล้ว รวมถึงเทคโนโลยีอื่นๆ มีโอกาสที่ถูกนำเข้ามาใช้ประเทศไทย เช่น ฟินเทค ระบบการประเมินคุณสมบัติผู้กู้ซื้ออสังหาฯ ผ่านช่องทางออนไลน์ หรือ Home Loan Pre Approval Online เป็นต้น   “ปีหน้าตลาดอสังหาฯ ยังมีความเคลื่อนไหวอยู่ แต่จะมีความไดนามิกซ์มาก ยังมีการเปิดโปรเจ็กต์ใหม่ แม้จะน้อยลง ผู้ประกอบการแต่ละราย จะปรับตัวไปตามความถนัดของตัวเอง”        
[PR NEWS] มหาจักรเปิดตัว Wisdom Audio : The Sound of Modern  Living  เครื่องเสียงระดับไฮเอนด์

[PR NEWS] มหาจักรเปิดตัว Wisdom Audio : The Sound of Modern Living เครื่องเสียงระดับไฮเอนด์

บริษัท มหาจักรดีเวลอปเมนท์ จำกัด ผู้นำเข้าแบรนด์สินค้าคุณภาพระดับพรีเมียม ในอุตสาหกรรมเครื่องเสียง นำโดย คุณกิตติศักดิ์ กาญจนชัยภูมิ ผู้อำนวยการฝ่าย Consumer ร่วมกับ มร.ลุค กรี-ยม กรรมการผู้จัดการ จาก Wisdom Audio แบรนด์เครื่องเสียงชั้นนำระดับโลกจากประเทศสหรัฐอเมริกา จัดงานเปิดตัว “Wisdom The Sound of Modern Living” ด้วยการนำเสนอประสบการณ์ใหม่ของความบันเทิงระดับไฮเอนด์ จาก Wisdom Audio ณ M-Hall อาคารมหาจักร พร้อมตอบโจทย์ทุกการออกแบบภายในและฟังก์ชันการใช้งานภายในงานได้รับเกียรติจากเซเลบริตี้แถวหน้าของเมืองไทย อาทิ สู่ขวัญ บูลกุล, วสุ วิรัชศิลป์, วริษฐา พรหมมาสา และบุรินทร์ บุญวิสุทธิ์ เข้าร่วมงาน ณ M-Hall อาคารมหาจักรกรุงเทพฯ   มร.ลุค กรี-ยม กรรมการผู้จัดการ จาก บริษัท Wisdom Audio Corporation จำกัด กล่าวว่า “Wisdom Audio เป็นแบรนด์เครื่องเสียงชั้นนำระดับโลก จากประเทศสหรัฐอเมริกา ก้าวล้ำด้วยเทคโนโลยีที่ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างประสบการณ์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยสุดยอดผู้เชี่ยวชาญด้านซาวน์ เอ็นจิเนียร์ สถาปนิก นักออกแบบภายใน และวิศวกรชื่อดังระดับโลก เพื่อให้คุณได้สัมผัสถึงขีดสุดของความสมบูรณ์แบบด้านความบันเทิงอย่างใกล้ชิด ซึ่งคุณอาจจะไม่เคยได้ยินที่โรงภาพยนต์ทั่วไป แต่คุณจะได้ยินที่นี่”   นายกิตติศักดิ์ กาญจนชัยภูมิ ผู้อำนวยการฝ่าย Consumer บริษัท มหาจักรดีเวลอปเมนท์ จำกัด กล่าวว่า “เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ บริษัท มหาจักรดีเวลอปเมนท์ จำกัด ได้รับความไว้วางใจ จากแบรนด์เครื่องเสียงระดับโลกให้เป็นตัวแทนจัดจำหน่าย เพื่อต้องการให้กลุ่มลูกค้าที่รักในเสียงเพลงและชื่นชอบกับการชมภาพยนตร์ ได้สัมผัสกับประสบการณ์พลังเสียงที่สมจริง ได้อรรถรสความบันเทิงระดับไฮเอนด์ที่เหนือกว่าโรงภาพยนตร์ทั่วไป พร้อมตอบโจทย์กับทุกการออกแบบทั้งภายในบ้าน หรือคอนโดมิเนียม ซึ่งเราวางกลุ่มเป้าหมายเป็นลูกค้าระดับไฮเอนด์ที่ต้องการ Customize เพื่อให้เข้ากับ Personalize ของลูกค้าแต่ละคน” ด้วยระบบเสียงที่ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษเอกลักษณ์เฉพาะของ Wisdom Audio ที่ใช้เทคโนโลยี Planar Magnetic Driver เป็นเทคโนโลยีเฉพาะ ที่แบรนด์ Wisdom Audio ได้ประดิษฐ์ขึ้นมา ซึ่งมีน้ำหนักเบา ต่างจาก Driver ทั่วไป ช่วยให้เสียงที่ส่งออกมามีคุณภาพสูง และให้เสียงที่ธรรมชาติสมจริง เพิ่มอรรถรสในทุกไลฟ์สไตล์ต่อการใช้งาน ทั้งฟังเพลงและชมภาพยนตร์ เหมาะสำหรับคนรุ่นใหม่ที่ต้องการความบันเทิงเหนือขีดจำกัด โดยพลังเสียงสุดยอดจากชุดเครื่องเสียง Wisdom 2 Channel และ Wisdom Atmos 9.4.4 Channel ซึ่งเป็นระบบเสียง Surround 9.4.4 Channel ตัวแรกของประเทศไทย มาพร้อมกับ Power Amp, System Controller, Decoder และ Speaker เพื่อการสร้างประสบการณ์เสียงเหนือระดับในแบบทุกทิศทาง 360 องศาอย่างลงตัว ตัวเครื่องผลิตจากวัสดุ Aluminum-Airplane Grade คุณภาพพรีเมียมระดับโลก ช่วยเสริมความแข็งแกร่ง คงทน ทันสมัยและหรูหราไปพร้อมกัน เพื่อให้เครื่องเสียงสุด Luxury เป็นเสมือนเฟอร์นิเจอร์ชิ้นเด่นที่ชูให้บ้านของคุณดูมีระดับกว่าที่เคยเป็นมา  
“โฮมโปร” โชว์รายได้ 9 เดือนโตสวนเศรษฐกิจ ทำได้กว่า 5 หมื่นล้าน

“โฮมโปร” โชว์รายได้ 9 เดือนโตสวนเศรษฐกิจ ทำได้กว่า 5 หมื่นล้าน

“โฮมโปร” โชว์รายได้ช่วง 9 เดือนแรก มีรายได้รวม 50,493.89 ล้าน โตจากปีก่อนหน้า 3.35%  พร้อมกวดกำไรกว่า 4,428.72 ล้าน สวนภาวะเศรษฐกิจซบเซา    นายคุณวุฒิ ธรรมพรหมกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ “โฮมโปร” ผู้ดำเนินธุรกิจศูนย์รวมวัสดุก่อสร้าง และอุปกรณ์ตกแต่งบ้าน  เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานช่วง 9 เดือนแรก 2562 ว่า  ทำรายได้รวม 50,493.89 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,634.89 ล้านบาท หรือ 3.35% และมีกำไรสุทธิกว่า 4,428.72 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 501.87 ล้านบาท หรือ 12.78% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน   โดยบริษัทมีรายได้จากการขาย จำนวน 47,046.01 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,325.80 ล้านบาท หรือ 2.90% ซึ่งเป็นผลมาจากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิมของธุรกิจโฮมโปร และเมกา โฮม รวมถึงการเติบโตของยอดขายจากสาขาใหม่จากธุรกิจโฮมโปร และ รายได้ค่าเช่าและบริการ 1,951.89 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 203.37 ล้านบาท หรือ 11.63%  ซึ่งค่าเช่าที่เพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากพื้นที่เช่าภายในศูนย์การค้ามาร์เกต วิลเลจ และพื้นที่ให้เช่าของสาขาโฮมโปร และพื้นที่เช่าจากการจัดกิจกรรมต่างๆ ร่วมกับคู่ค้า และรายได้จากค่าบริการ “Home Service” และมีรายได้อื่นอีก 1,496.00 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 105.72 ล้านบาท หรือ 7.60% โดยเป็นผลมาจากการเติบโตของรายได้ส่งเสริมการขายร่วมกับคู่ค้า ดอกเบี้ยรับ และรายได้เบ็ดเตล็ด นอกจากนี้ บริษัทยังมีกำไรขั้นต้น 12,496.36 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 542.68 ล้านบาท หรือ 4.54% เมื่อเทียบกับปีก่อน  สำหรับอัตรากำไรขั้นต้นต่อยอดขายเพิ่มขึ้นจาก 26.15% ในปีก่อน มาอยู่ที่ 26.56% โดยเป็นผลมาจากการปรับเปลี่ยนของส่วนผสมสินค้ามีไว้เพื่อขายทั้งกลุ่มสินค้าทั่วไป และกลุ่มสินค้า Direct Sourcing รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพวางแผนการจัดซื้อสินค้าของธุรกิจโฮมโปร, เมกา โฮม และโฮมโปรที่ประเทศมาเลเซีย   นายคุณวุฒิ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ภาวะเศรษฐกิจมีการขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้   เนื่องจากผลกระทบจากสภาวะการกีดกันทางการค้า  สงครามทางการค้า และเศรษฐกิจโลกที่อ่อนแอลง โดยเฉพาะภาคการส่งออก ทำให้ได้รับผลกระทบตามเศรษฐกิจ จำนวนคู่ค้าและปริมาณการค้าโลกที่ชะลอตัวลง เริ่มส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วนโดยเฉพาะความต้องการในประเทศ  การบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มชะลอตัวลงจากรายได้และการจ้างงานที่ปรับลดลง  โดยเฉพาะในภาคการส่งออก   ประกอบกับกำลังซื้อของผู้บริโภคยังคงได้รับแรงกดดัน  จากหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง  และราคาสินค้าการเกษตรที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ สำหรับภาคการท่องเที่ยวมีแนวโน้มขยายตัวชะลอลง รวมถึงผลกระทบจากฤดูฝน และอุทกภัยที่ภาคอีสาน อย่างไรก็ตามรัฐบาลได้มีมาตรการต่างๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจไทย เช่น บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และโครงการชิมช้อปใช้ เป็นต้น สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทในไตรมาส 3 ถือเป็นช่วง Low Season ของธุรกิจค้าปลีก ซึ่งได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัย เช่น ตัวเลขด้านเศรษฐกิจไทย ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลงต่ำสุดในช่วง 38 เดือนที่ผ่านมา และอุทกภัยในต่างจังหวัด รวมถึงไตรมาส 3 ปีที่ผ่านมา มียอดขายสินค้ากลุ่มโทรทัศน์ที่สูงผิดปกติ  ทำให้การเติบโตของยอดขายในไตรมาสที่ 3 ปีนี้ ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้   อย่างไรก็ตามบริษัทได้จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง  เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของลูกค้า อาทิ งานโฮมโปร แฟร์ (HomePro Fair) ที่เมืองทองธานี และที่หาดใหญ่ รวมถึงกิจกรรม “ฉลองครบรอบ 23 ปี Anniversary Day ” ในช่วงวันที่ 29 สิงหาคม – 29 กันยายน 2562 เพื่อกระตุ้นยอดขายอีกด้วย   นายคุณวุฒิ กล่าวถึง การเติบโตของบริษัทย่อยว่า เมกา โฮม มียอดขายทรงตัว ส่วนธุรกิจ  โฮมโปร ที่ประเทศมาเลเซียยังได้รับผลกระทบจากยอดขายที่สูงผิดปกติในปี 2561 จากการยกเลิกภาษี GST อย่างไรก็ตาม บริษัทย่อยมีประสิทธิภาพการดำเนินงานที่ดีขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินงานต่างๆ ผ่านการปรับปรุงด้านอัตราการทำกำไรขั้นต้น และการบริหารค่าใช้จ่าย   “สำหรับการขยายสาขาในไตรมาสที่ 3 บริษัทได้ขยายสาขาใหม่ 2 แห่ง ที่ โฮมโปร สาขามุกดาหาร และโฮมโปรเอส สาขาสามย่านมิตรทาวน์ ส่งผลให้ไตรมาสที่ 3 ของปี 2562 บริษัท มีสาขาโฮมโปร 84 สาขา และ โฮมโปรเอส 9 สาขา เมกา โฮม 12 สาขา และ โฮมโปรที่ประเทศมาเลเซีย 6 สาขาอีกด้วย”