Tag : Location

72 ผลลัพธ์
สิวารมณ์ วิลเลจ (วงแหวน-ชัยพฤกษ์) บ้านแฝด-ทาวน์โฮมพร้อมรองรับ EV ทุกหลัง

สิวารมณ์ วิลเลจ (วงแหวน-ชัยพฤกษ์) บ้านแฝด-ทาวน์โฮมพร้อมรองรับ EV ทุกหลัง

สิวารมณ์ วิลเลจ (วงแหวน-ชัยพฤกษ์) บ้านแฝด-ทาวน์โฮมพร้อมรองรับ EV ทุกหลัง รีวิวฉบับนี้ เราจะพาไปเยี่ยมชมแบบบ้านซีรีส์ใหม่ล่าสุด สไตล์เบอร์เกน นอร์เวย์ ที่โครงการ “สิวารมณ์ วิลเลจ (วงแหวน-ชัยพฤกษ์)” จาก บริษัท สิวารมณ์ เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) หนึ่งในโครงการที่มีแบบบ้านสวย น่ารัก บนทำเลติดถนนบางกรวย-ไทรน้อย ที่จะมาตอบโจทย์ครอบครัวที่กำลังตามหาบ้านหลังใหม่เพื่อการขยับขยาย หรือคนที่ต้องการบ้านหลังแรกสำหรับการเริ่มต้นครอบครัวใหม่ เพราะที่โครงการ “สิวารมณ์ วิลเลจ (วงแหวน-ชัยพฤกษ์)” มีแบบบ้านใหม่เลือกทั้งบ้านแฝดและทาวน์โฮม พร้อมรองรับทุกสไตล์ของการใช้ชีวิตที่สมบูรณ์   ด้วยแรงบันดาลใจที่ได้มาจากเมืองเบอร์เกน ประเทศนอร์เวย์ ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวชื่อดังแห่งหนึ่งของยุโรป ทางโครงการจึงนำมาใช้เป็นคอนเซปต์หลักในการออกแบบตัวบ้านที่เน้นการใช้โทนสีที่สดใส และมีเอกลักษณ์ด้วยหลังคาทรงจั่ว พร้อมคิ้วหน้าต่างทรงยุโรป ทำให้ได้บรรยากาศมีชีวิตชีวาเหมือนอยู่ในชุมชนเล็กๆ ของยุโรปอย่างไรอย่างนั้น ด้วยดีไซน์ที่โดดเด่นตั้งแต่ซุ้มประตูทางเข้าที่มีรูปทรงคล้ายประภาคารสูง พร้อมป้อมรักษาความปลอดภัย เข้าออกด้วยระบบ Easy Pass และ CCTV ที่บริเวณประตูทางเข้าซึ่งจะช่วยเสริมความปลอดภัยให้ลูกบ้านอุ่นใจได้อย่างเต็มที่     ถัดเข้ามาจากซุ้มประตูเราก็จะเห็นพื้นที่สวนและคลับเฮาส์ส่วนกลางที่ตกแต่งสไตล์สวนยุโรป เด่นด้วยประติมากรรมหัวเรือไวกิ้งขนาดใหญ่ พร้อมดอกไม้มากมายซึ่งทำให้บรรยากาศภายในโครงการมีชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก พื้นที่ของคลับเฮ้าส์รวบรวมทั้ง สระว่ายน้ำ ฟิตเนส ห้องเด็กเล่น และ Co-working Space ไว้อย่างครบครัน นอกจากนี้พื้นที่สวนส่วนกลางขนาดใหญ่กว่า 2 ไร่ ทางโครงการยังให้ความสำคัญกับการส่งเสริมพัฒนาการของเด็กๆ ด้วยเครื่องเล่นสำหรับเด็กสีสันสดใสมากมาย และยังส่งเสริมให้ลูกบ้านมีสุขภาพที่ดีด้วยอุปกรณ์ออกกำลังกายกลางแจ้ง สนามบาสเก็ตบอล และลู่จ็อกกิ้งรอบๆ บ่อน้ำพุขนาดใหญ่ ซึ่งพื้นที่ส่วนกลางทั้งหมดนี้สามารถตอบโจทย์ได้ทุกความต้องการของทุกคนในครอบครัวได้อย่างเต็มที่แน่นอน   แบบบ้านใหม่สดใสในสไตล์เบอร์เกน โครงการ “สิวารมณ์ วิลเลจ (วงแหวน-ชัยพฤกษ์)” มีแบบบ้านให้เลือกทั้ง ทาวน์โฮม, บ้านแฝด และอาคารพาณิชย์ รวม 242 ยูนิต ซึ่งแบบบ้านตัวอย่างที่เราจะพาไปชมในครั้งนี้ มีด้วยกัน 2 หลัง นั่นคือ บ้านแฝด Flamsbana และ บ้านทาวน์โฮม Lofoten ความพิเศษของบ้านในโครงการนี้จะเป็นที่แรกของสิวารมณ์ที่พร้อมรองรับ EV Charger ทุกหลัง และ มีทั้ง Smart Security พร้อมสัญญาณกันขโมย และ IP Camera ติดตั้งให้เสร็จเพื่อความปลอดภัยของลูกบ้าน   บ้านตัวอย่างหลังแรกเราเริ่มต้นกันด้วย บ้าน Flamsbana บ้านแฝด 2 ชั้น พื้นที่ใช้สอย 135 ตารางเมตร หน้ากว้าง 10.2 เมตร พร้อมฟังก์ชัน 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 1 ห้องครัว 2 ที่จอดรถ บ้านเดี่ยวหลังคาทรงจั่วสีสันสดใสนี้ เชื่อมติดกันด้วยคานบริเวณโรงจอดรถ ทำให้ไม่ต้องใช้กำแพงบ้านร่วมกัน และทางโครงการได้ออกแบบพื้นที่ระหว่างกำแพงทั้งสองหลังตกแต่งต่อเติมเป็นห้องซักรีดให้เราได้เห็นภาพการใช้สอยประโยชน์จากพื้นที่ได้มากขึ้นด้วย   มาดูพื้นที่ภายในบ้านบริเวณชั้น 1 กันก่อน ตั้งแต่บริเวณด้านหน้าที่สามารถจอดรถได้ 2 คัน และยังมีพื้นที่สวนล้อมตัวบ้านไว้ถึง 3 ด้าน ช่วยเพิ่มวิวสวนให้กับตัวบ้านได้มากขึ้น พื้นที่ภายในตัวบ้าน ต้อนรับด้วยมุมรับแขกที่โอ่โถง เชื่อมต่อกับบริเวณรับประทานอาหารในสไตล์ Open Plan ที่เราสามารถจัดสรรการใช้พื้นที่ได้ตามใจ ด้วยลักษณะของบ้านแฝดที่ไม่ต้องใช้ผนังร่วมกับใคร บริเวณรับประทานอาหาร และพื้นที่นั่งเล่น จึงมีหน้าต่างและประตูเชื่อมต่อกับสวนบริเวณด้านข้างของบ้านและทำให้ภายในบ้านสว่างด้วยแสงธรรมชาติได้อย่างเต็มที่   ครัวในบ้านเป็นครัวปิดให้ความเป็นสัดส่วน ซึ่งมีประตูเชื่อมต่อไปยังพื้นที่ซักล้างด้านข้างของบ้าน ซึ่งทางโครงการกั้นเป็นห้องซักรีดให้ความเป็นสัดส่วนน่าใช้งานมากๆ   ในขณะที่ห้องโซนด้านหลังของชั้น 1 เป็นห้องเอนกประสงค์ที่เราสามารถเลือกตกแต่งเป็นห้องนอน ห้องทำงาน หรือห้องอื่นๆ ก็ได้ตามความต้องการ ด้วยขนาดของห้องที่กำลังพอดี และมีหน้าต่างเปิดรับแสงได้ดีทั้ง 2 ด้าน จึงเป็นพื้นที่ที่เราสามารถเลือกปรับเปลี่ยนฟังก์ชันได้มากมาย ขึ้นมาที่บริเวณชั้น 2 จากโถงกลางจะแบ่งพื้นที่ด้านบนออกเป็น 3 ห้องนอน และ 1 ห้องน้ำแยก โดยที่ห้องนอนเล็กทั้ง 2 ห้องจะใช้ห้องน้ำร่วมกัน ในขณะที่ห้อง Master Bedroom จะมีห้องน้ำในตัว   ห้อง Master Bedroom เป็นห้องโซนด้านหน้าของตัวบ้าน ดังนั้นจะได้ห้องที่มีขนาดหน้ากว้างเต็มพื้นที่ และเปิดรับแสงธรรมชาติได้เต็มที่ พื้นที่ภายในห้องกว้างขวางมาก เราสามารถวางเตียง 6 ฟุตได้สบายๆ และสามารถ Built-in พวกตู้เสื้อผ้า ตู้เก็บของเพิ่มเติมได้อีก ซึ่งฟังก์ชันในบ้านตัวอย่างทางโครงการเพิ่มฉากกั้นห้องให้มีพื้นที่สำหรับ Walk-in Closet บริเวณหน้าห้องน้ำได้เป็นสัดส่วน เหมาะกับการใช้งานในชีวิตประจำวันได้อย่างลงตัว ขยับมาทางโซนด้านหลังแบ่งเป็น 2 ห้องนอนเล็กที่มีขนาดเท่าๆ กัน โดยสามารถตกแต่งให้เป็นห้องนอนสำหรับเด็ก ก็สามารถวางเตียงขนาด 3.5 ฟุตได้กำลังดี หรือจะเพิ่มฟังก์ชันด้วยการ Built-in โต๊ะ ตู้ ได้ตามการใช้งาน ในขณะเดียวกันเราก็สามารถปรับพื้นที่การใช้งานให้เป็นห้องทำงาน ห้องแต่งตัวเพิ่มเติม หรือห้องออกกำลังกายก็ยังได้ ด้วยความที่ภายในห้องมีเพดานสูงถึง 2.9 เมตร และมีหน้าต่างบ้านใหญ่ ทำให้บรรยากาศภายในห้องไม่อึดอัดเลย   บ้านตัวอย่างหลังต่อไป บ้าน Lofoten ทาวน์โฮม 2 ชั้น พื้นที่ใช้สอย 125 ตารางเมตร หน้ากว้าง 5.4 เมตร ขนาด 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ บริเวณชั้น 1 มีพื้นที่นั่งเล่นหรือมุมรับแขกเชื่อมต่อยาว ลึกเข้าไปถึงด้านหลัง ซึ่งกั้นลานซักล้างด้านหลังบ้านด้วยประตูกระจกบานเลื่อน ลานซักล้างด้านหลังทางโครงการลงเสาเข็มไว้พร้อมรองรับการต่อเติมทั้งหลังคา หรือต่อเติมเป็นห้องครัวเพิ่มเติมแล้ว       ห้องนอนบริเวณชั้น 1 เป็นห้องที่อยู่ในโซนด้านหลังของตัวบ้าน มีหน้าต่างเปิดรับแสงและระบายอากาศได้ และอีกเช่นกันที่เราสามารถปรับการใช้พื้นที่ของห้องนี้ให้เป็นห้องทำงาน ห้องเกม หรือห้องอื่นๆ ได้ตามไลฟ์สไตล์ของเจ้าของบ้านได้เลย   ขึ้นมาที่ชั้น 2 การแบ่งพื้นที่ยังคงให้ Master Bedroom อยู่โซนด้านหน้าของบ้าน และแบ่งอีก 2 ห้องนอนเล็กไว้ที่โซนด้านหลัง Master Bedroom ยังคงดีไซน์ให้มีห้องน้ำในตัว และสามารถจัดฟังก์ชั่นการใช้งานได้เป็นสัดส่วน ทั้งการวางเตียงนอนขนาดใหญ่ 6 ฟุต แล้วก็ยังคงมีพื้นที่เพียงพอสำหรับตู้เสื้อผ้า ชั้นเก็บของ และโต๊ะเครื่องแป้งได้สบายๆ ส่วนห้องน้ำภายในห้องนอน ก็แบ่งพื้นที่ส่วนแห้งส่วนเปียกไว้ให้แล้ว รองรับการติดตั้งกระจกฉากกั้นอาบน้ำเพิ่มเติมได้   ส่วนห้องนอนเล็กอีก 2 ห้องมีขนาดพอๆ กัน และแชร์ห้องน้ำที่อยู่ด้านหน้าด้วยกัน ในห้องนอนเล็กทางโครงการให้ไอเดียวการตกแต่งเป็นห้องนอนทั้ง 2 ห้องในสไตล์ที่แตกต่างกัน ห้องแรกน่ารักๆ แบบห้องนอนเด็กเล็ก และอีกห้องมีสไตล์ที่โตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาหน่อย แต่ทั้งนี้ เราก็สามารถเลือกใช้ประโยชน์ของพื้นที่ในห้องได้ตามจำนวนสมาชิกในครอบครัว หรือตามความต้องการอื่นๆ ได้เช่นกัน   ทำเลดี ติดถนนใหญ่ เดินทางสะดวก โครงการ “สิวารมณ์ วิลเลจ (วงแหวน-ชัยพฤกษ์)” ปักหมุดอยู่ในทำเลที่ดี ติดถนนใหญ่ บางกรวย-ไทรน้อย ซึ่งเชื่อมต่อกับถนนสายสำคัญหลายสาย เช่น ถนนวงแหวนรอบนอกฝั่งตะวันตก (ถนนกาญจนาภิเษก), ถนนชัยพฤกษ์, ถนนรัตนาธิเบศร์, ถนนราชพฤกษ์ และยังอยู่ไม่ไกลจากระบบขนส่งมวลชนอย่างรถไฟฟ้าสายสีม่วง สถานีคลองบางไผ่ ทำให้การเดินทางไปสู่แหล่งงานมีความสะดวก และง่ายมากยิ่งขึ้น   นอกจากนี้พื้นที่รอบๆ โครงการยังเพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก เหมาะสำหรับการอยู่อาศัย ด้วยความเป็นแหล่งชุมชนที่อยู่อาศัย ใกล้ๆ โครงการจึงมีทั้ง ร้านค้า ร้านอาหาร ร้านสะดวกซื้อมากมาย รวมถึงตลาดสด, คลินิก, ร้านขายยา ก็พร้อมรองรับทุกความต้องการ ในขณะเดียวกันห้างสรรพสินค้าชั้นนำอย่าง Central West Gate, IKEA บางใหญ่, Lotus, Makro ก็มีครบทุกแบรนด์ เช่นเดียวกับ สถานศึกษาและสถานพยาบาลก็มีอยู่ในบริเวณใกล้ๆ พร้อมสำหรับการดูแลสุขภาพของทุกคน ด้วยดีไซน์ของตัวบ้าน บนทำเลศักยภาพ ในราคาเริ่มต้นเพียง 2.45-3.99 ล้านบาท*  โครงการสิวารมณ์ วิลเลจ (วงแหวน-ชัยพฤกษ์) จึงเหมาะสำหรับคนที่กำลังมองหาบ้านเพื่อสร้างครอบครัว หรือขยายบ้านใหม่ เพราะสามารถตอบโจทย์ของสมาชิกครอบครัวได้อย่างรอบด้าน และมีแบบบ้านหลายขนาดให้เลือก ใครที่สนใจสามารถเข้าเยี่ยมชมโครงการได้แล้ว พร้อมข้อเสนอพิเศษที่ทางโครงการจัดเตรียมไว้ให้ ลงทะเบียนรับส่วนลดพิเศษ คลิกเลย http://sivaromvillagewongwaen-chaiyapruek.com/ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ โทร. 063 212 2323 บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง พรีวิวโครงการ สิวารมณ์ วิลเลจ (วงแหวน-ชัยพฤกษ์) M Life สุขุมวิท–บางปู 87 บ้านแฝดหรูดีไซน์ใหม่ สิวารมณ์ เนเจอร์พลัส 2 (สุขุมวิท-บางปู)
Supalai Sense Srinakarin – Staycation คอนโดแนวใหม่ ใกล้ห้างและรถไฟฟ้า

Supalai Sense Srinakarin – Staycation คอนโดแนวใหม่ ใกล้ห้างและรถไฟฟ้า

Supalai Sense Srinakarin - Staycation คอนโดแนวใหม่ ใกล้ห้างและรถไฟฟ้า กระแสของตลาดอสังหาฯช่วงนี้วนมาถึงทำเล “ศรีนครินทร์” ที่กำลังคึกคักเป็นพิเศษเพราะ Developer หลายเจ้าเข้ามาปักหมุดและเริ่มทำการขายโครงการคอนโดมิเนียมในย่านนี้มากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะแนวรถไฟฟ้าสายสีเหลือง และบริเวณใกล้ๆ ห้างซีคอนสแควร์ ทำให้ช่วงปลายปี 2023 นี้ ถนนศรีนครินทร์เป็นทำเลทองของคอนโดเลยก็ว่าได้   สำหรับโครงการใหม่ล่าสุดที่เราจะพาไปดูกันในครั้งนี้ เป็นคอนโดมิเนียม Low Rise จาก “ศุภาลัย” ภายใต้แบรนด์ใหม่ “Supalai Sense” ซึ่งดีไซน์ในคอนเซปต์ “Sense of Staycation” ที่ต้องการให้บรรยากาศภายในโครงการให้ทุกวันเหมือนวันพักผ่อน ในขณะเดียวกันก็ปักหมุดบนทำเลที่เดินทางสะดวก และเพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย เหมาะสำหรับการอยู่อาศัยและการลงทุน     Sense of Location ก่อนอื่นเราขอพูดถึงเรื่องทำเลที่ตั้งของโครงการ “Supalai Sense Srinakarin” ที่เชื่อว่าพอพูดถึงชื่อศรีนครินทร์แล้ว ใครๆ ก็คงปักหมุดในใจไปที่ตำแหน่งของห้างดังอย่าง “ซีคอนสแควร์” แน่ๆ ซึ่งตัวโครงการตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับห้าง ในซอยศรีนครินทร์ 42 หรือซอยสุภาพงษ์ 3 แยก 8 ถัดจากปากซอยเข้าไปเพียง 500 เมตรเท่านั้น พื้นที่ในย่านนี้เป็นโซนที่อยู่อาศัย มีอาคารพานิชย์ หอพัก อพาร์ทเม้นท์ ร้านค้า ร้านอาหาร ร้านสะดวกซื้อ ตลาดสด คึกคักและอุดมสมบูรณ์มากตั้งแต่ปากซอยเข้าไปเลย         ในห้างซีคอนสแควร์เอง ก็มีทั้ง Lotus's, Don Don Donki รวมถึงร้านค้า ร้านอาหารชั้นนำมากมาย ซึ่งถือว่าเป็นห้างดัง ห้างประจำของคนในย่านนี้ นอกจากห้างซีคอนสแควร์ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามแล้ว บริเวณใกล้ๆ ยังมีตลาดนัดรถไฟ ห้างพาราไดซ์พาร์ค และสวนหลวงร.9 ก็อยู่ในระยะที่เรียกว่าพอเดินไหว และไม่ไกลจนเกินไปนัก          ในขณะที่การเดินทางด้วยรถไฟฟ้าสายสีเหลืองก็มี สถานีสวนหลวงร.9 และสถานีศรีนครินทร์ 38 สามารถไปเชื่อมต่อกับแอร์พอร์ตลิงค์ได้ที่สถานีหัวหมาก หรือถ้าลัดไปออกทางซอยอุดมสุข ก็จะเจอกับแนวรถไฟฟ้าสายสีเขียวบริเวณสถานีอุดมสุข และสถานีปุณณวิถี ได้เช่นกัน และด้วยความที่ถนนของซอยศรีนครินท์ 40 สามารถเชื่อมต่อได้หลากหลายเส้นทางก็ทำให้การเดินทางด้วยรถส่วนตัวมีความคล่องตัวไม่แพ้กัน ทั้งเส้นทางไปออกซอยอ่อนนุช 46 และซอยอ่อนนุช 44 หรือจะออกไปทางถนนอุดมสุข (ซอยสุขุมวิท 103) และทางถนนวิชิรธรรมสาธิต (ซอยสุขุมวิท 101/1) ก็ได้ ดังนั้นไม่ว่าจะเลือกเดินทางเข้าเมือง หรือต้องไปทำงานในโซนไหนก็สะดวกเหมือนกัน      Sense of Staycation จากความตั้งใจในการปั้นแบรนด์ “Sense” ที่อยู่ในระดับเดียวกับ “City Resort” แต่อัพเลเวลขึ้นมา ทั้งในเรื่องของการดีไซน์ใหม่ให้ทันสมัยมากขึ้น ทั้งการเลือกใช้สีให้บรรยากาศอบอุ่นผ่อนคลาย การเลือกใช้เส้นสายโค้งมนสบายตา และรูปแบบห้องที่หลากหลายเหมาะกับการพักผ่อน เพื่อเจาะตลาดกลุ่มคนทำงานที่มองหาที่อยู่อาศัยทดแทนการเช่า และมองหาคอนโดราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ในขณะที่ยังได้สิ่งอำนวยความสะดวกทั้งภายในและนอกโครงการครบครัน     ภายใต้คอนเซปต์การออกแบบ “Sense of Staycation เปลี่ยนวันธรรมดาให้กลายเป็น Vacation” ศุภาลัยจึงออกแบบให้อาคารโอบล้อมพื้นที่ส่วนกลาง เน้นให้ผู้อยู่อาศัยได้เห็นบรรยากาศของสวนและสระว่ายน้ำ เหมือนได้ไปเที่ยวพักผ่อนในรีสอร์ททุกวัน พร้อมกับจัดยูนิตพิเศษ เป็นห้องแบบ Pool Access ที่มีเพียง 7 ยูนิตเท่านั้น!!       นอกจากนี้พื้นที่ส่วนกลาง และ Facility ต่างๆ ก็ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับความต้องการของผู้อยู่อาศัยที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย เช่น จุด Food Drop ของแต่ละตึก สำหรับการส่งอาหารแบบ Delivery, ห้องรับพัสดุที่เป็น Drop Store ขนาดใหญ่ ไม่ต้องมีปัญหาพัสดุวางเกะกะจนล้นห้องนิติฯ, จุดรองรับ EV Charger สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า รวมถึงห้อง Private Storage ที่ทางศุภาลัยใส่ไว้ในทุกๆ โครงการใหม่ เพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บของส่วนตัวสำหรับลูกบ้านที่ต้องการซื้อห้องเก็บของเพิ่ม   Lobby เป็น Double Space ที่สามารถมองเห็นทั้ง Fitness + ห้อง Co-working Space Lobby Co-working Space   ขณะเดียวกัน Facility พื้นฐานที่ต้องมีในคอนโด ทางศุภาลัยก็จัดมาเต็มที่ ทั้งสระว่ายน้ำ Infinity Edge ระบบน้ำเกลือ แยกสระเด็กพร้อมจากุชชี่, ฟิตเนส, Jogging Trail, Co-working Space, พื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ และ Roof Garden เพื่อเพิ่มพื้นที่พักผ่อน, Vending Machine, ระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง, การเข้าออกด้วยระบบ Face Scan และสแกนทะเบียนรถ รวมถึงการเพิ่มบริการ Shutter Service รับ-ส่งจากสถานีสวนหลวง ร.9 ให้กับลูกบ้านอีกด้วย   ภาพรวมส่วนกลางในตึก A Roof Garden  พื้นที่ส่วนกลางบริเวณชั้น 2 มีทั้งสระว่ายน้ำ สวน และมุมพักผ่อน Pocket Garden และ บันได Jogging Trail  Room Type Supalai Sense Srinakarin แบ่งเป็น 3 อาคารที่โอบล้อมส่วนกลางไว้ โดยตึก A สูง 7 ชั้น (ไม่รวมดาดฟ้า) ส่วนตึก B และ C สูง 8 ชั้น (ไม่รวมดาดฟ้า) บริเวณชั้น 1 เป็นพื้นที่จอดรถใต้อาคารและนอกอาคารรวม 40% (ไม่นับซ้อนคัน) ในส่วนของ Facility จะเริ่มที่บริเวณชั้น 2 และทั้งหมดจะรวมอยู่ที่ ตึก A ดังนั้นตึกนี้จะมีข้อดีที่สะดวกต่อการใช้ Facility ต่างๆ และมีจำนวนยูนิตน้อย เพียง 57 ยูนิตเท่านั้น ให้ความเป็นส่วนตัวและยังเป็น Single Corridor ทั้งหมด รวมถึงยูนิตพิเศษที่เป็น Pool Access ก็มีเพียง 7 ยูนิตเท่านั้น ที่ลูกบ้านจะได้บรรยากาศเหมือนพักอยู่ในรีสอร์ททุกวัน แค่เดินออกมาที่ระเบียง ก็สามารถลงสระว่ายน้ำได้เลยทันที   พื้นที่จอดรถบริเวณชั้น 1 อาคารทั้ง 3 ตึก โอบล้อมพื้นที่ส่วนกลางไว้ตรงกลาง ห้องรูปแบบ Pool Access ที่มีเพียง 7 ยูนิต และเป็นแบบ Single Corridor   ส่วนอีก 2 อาคาร จะได้เปรียบเรื่องความสงบ เป็นส่วนตัวสำหรับการพักอาศัย โดยที่ตึก B และตึก C จะมีจำนวนห้องตึกละ 210 ยูนิต ทั้งโครงการมีจำนวนยูนิตรวม 477 ยูนิต โดยมีรูปแบบห้องหลักๆ 3 แบบคือ 1 Bedroom, 1 Bedroom Plus (Me Corner) และ 2 Bedroom ในขนาดตั้งแต่ 25-53 ตารางเมตร ห้องทุกรูปแบบมีการจัด Layout เป็นสัดส่วนชัดเจน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่แตกต่างกัน ซึ่งห้องส่วนใหญ่เป็นลักษณะครัวปิด และมีห้องน้ำอยู่นอกห้องนอน     สำนักงานขายปัจจุบันตั้งอยู่ที่ ห้างซีคอนสแควร์ ชั้น 3 ฝั่งโลตัส ซึ่งมีห้องตัวอย่างให้ชม 2 แบบ เราเริ่มกันด้วยห้องตัวอย่าง 1 Bedroom ขนาด 33 ตารางเมตร (1B1) ที่เชื่อว่าใครเห็นก็คงถูกใจรูปแบบของห้องนี้แน่ๆ ด้วยการแบ่งพื้นที่การใช้งานได้เป็นสัดส่วน ได้ครัวปิดติดระเบียง พื้นที่ห้องนั่งเล่นกว้างขวาง เชื่อมต่อกับบริเวณรับประทานอาหารได้อย่างลงตัว ภายในห้องนอนมีมุมสำหรับ Walk-in Closet เล็กๆ เป็นสัดส่วน รวมถึงหน้าต่างบานใหญ่ในห้องนอนที่สามารถเปิดรับแสงธรรมชาติได้อย่างเต็มที่                      ภายในห้องน้ำทุกห้องใช้ชุดสุขภัณฑ์ของ Hafele ทั้งหมด โดดเด่นด้วยการเลือกชุดฝักบัว ก๊อกน้ำ สายชำระ และราวแขวนผ้าเป็นสีดำทั้งหมด รวมถึงเครื่องทำน้ำอุ่นก็ยังเป็นสีดำจาก Stiebel Eltron ส่วนในห้องครัวก็ติดตั้งเคาน์เตอร์ครัว พร้อมชั้นเก็บของมาให้ พร้อมเตาไฟฟ้า และเครื่องดูดควันของ Hafele มาให้ด้วยเช่นกัน       ห้องตัวอย่างอีกห้อง เป็นห้อง 1 Bedroom ขนาด 25 ตารางเมตร (1A1) ซึ่งเป็นรูปแบบที่กะทัดรัดลงมาหน่อย แต่ยังคงความเป็นสัดส่วน เปิดเข้าห้องมาจะเจอกับครัวปิด มีประตูกระจกกั้นครัวให้แยกจากพื้นที่นั่งเล่นและห้องนอนชัดเจน พื้นที่ด้านในเป็น Living Area เปิดกว้างที่มีมุมนั่งเล่นกับที่นอนแชร์พื้นที่ร่วมกัน นอกจากนี้ยังมีมุมเล็กๆ บริเวณริมหน้าต่าง สำหรับตั้งโต๊ะทำงานหรือใช้เป็นมุมอ่านหนังสือได้พอดี เหมาะกับการอยู่อาศัยคนเดียวง่ายๆ หรือเหมาะกับการปล่อยเช่าเช่นกัน              บริเวณครัวให้ชุดเคาน์เตอร์พร้อมเตาไฟฟ้าและเครื่องดูดควันติดตั้งให้เรียบร้อย รวมถึงในห้องน้ำก็เป็นชุดสุขภัณฑ์จาก Hafele ทั้งหมด        หลังจากเห็นต้องตัวอย่างแล้ว เรามาดูเรื่องราคากันบ้าง Supalai Sense Srinakarin เปิดราคาเริ่มต้นมาที่ 1.42 ล้านบาท* เริ่มต้น 57,000 บาท/ตารางเมตรเท่านั้น แถมยังขายมาแบบ Fully Fitted ให้ครบทั้งชุดครัว Hob & Hood, เครื่องปรับอากาศ, เครื่องทำน้ำอุ่น, ฉากกั้นอาบน้ำ รวมถึง Digital Door Lock ด้วย!! พร้อมการรับประกันโครงสร้างนานถึง 10 ปี* และประกันส่วนควบอีก 3 ปี* ถ้าเป็นลูกบ้านก็อุ่นใจกันไปยาวๆ ได้เลย ที่สำคัญในราคาเริ่มต้นเพียง 1.42 ล้านบาท* ถือว่าเป็นราคาที่คุ้มค่ามากๆ เทียบกับสเปคที่ได้ ซึ่งแทบจะหาไม่ได้จากโครงการอื่นๆ ในระแวกเดียวกัน ในขณะเดียวกันในย่านนี้ นอกจากจะเป็นเป้าหมายของกลุ่มลูกค้าที่มองหาคอนโดไว้อยู่อาศัยเองแล้ว ยังมีกลุ่มผู้เช่าไม่น้อยเลย ทั้งกลุ่มลูกเรือ นักบิน หรือกลุ่มวัยเรียนและคนที่ทำงานในเมือง ด้วยการเดินทางที่สะดวกทั้งไปสนามบินสุวรรณภูมิ หรือเข้าสู่ใจกลางเมือง อัตราการเช่าห้องในย่านศรีนครินทร์มีความต้องการค่อนข้างต่อเนื่อง และอัตรา Yield เฉลี่ยสูงถึง 5-6% ต่อปี (อ้างอิงจากข้อมูลของทางศุภาลัย) แล้วยิ่งเป็นตึกใหม่ที่มี Facility ครบครันแบบนี้ ก็ยิ่งดึงดูดผู้เช่าใหม่ๆ ได้เป็นอย่างดี     ใครที่สนใจ สามารถไปดูห้องตัวอย่างของ Supalai Sense Srinakarin ก่อนได้ที่ Sale Gallery บนห้างซีคอนสแควร์ และในวันที่ 18-19 พฤศจิกายนนี้ ทางโครงการเปิดรอบ Pre-Sale อย่างเป็นทางการ ลองแวะไปสอบถามโปรโมชั่นพิเศษเพิ่มเติมจากเจ้าหน้าที่ขายได้ หรือลงทะเบียนล่วงหน้าได้ที่ https://bit.ly/3SN1KPe     บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ศุภาลัยเปิดตัว พรีเซ้นเตอร์คนแรก เคลียร์ชัดศุภาลัยบ้านไม่แคบ ศุภาลัย วิลล์ วงแหวน-ลำลูกกา คลอง 7 แบบบ้านใหม่ เอาใจทาสแมว ศุภาลัย เอสเซ้นส์  โครงการพรีเมี่ยมแห่งแรกในอ่างศิลา    
The Gentry สุขุมวิท-บางนา วิลล่าหรูเพื่อชีวิตใกล้ชิดธรรมชาติสไตล์คนติดเมือง

The Gentry สุขุมวิท-บางนา วิลล่าหรูเพื่อชีวิตใกล้ชิดธรรมชาติสไตล์คนติดเมือง

The Gentry สุขุมวิท-บางนา วิลล่าหรูเพื่อชีวิตใกล้ชิดธรรมชาติสไตล์คนติดเมือง   ถ้าคุณเป็นคนกรุงเทพที่ติดไลฟ์สไตล์แบบใจกลางเมือง ทั้งทำงาน กินข้าว แฮงค์เอ้าท์อยู่แต่ย่าน CBD หรือแม้แต่อาศัยอยู่ในคอนโดมิเนียมใจกลางเมืองจนเคยชิน แล้วเกิดอยากขยับขยายครอบครัว มองหาบ้านซักหลังที่ใหญ่ขึ้น แต่ก็ไม่อยากได้ทำเลที่ต้องหนีไปถึงพื้นที่รอบนอกของกรุงเทพฯ เรามีโครงการบ้านเดี่ยวบนทำเล “สุขุมวิท-บางนา” จาก SC Asset มาแนะนำภายใต้ชื่อแบรนด์ “The Gentry Sukhumvit-Bangna” (เดอะ เจนทริ สุขุมวิท-บางนา) โครงการบ้านเดี่ยวใหม่ล่าสุดซึ่งปักหมุดอยู่บนถนนสุขุมวิทจริงๆ พร้อมสัมผัสนิยามของชีวิตที่ใกล้ชิดธรรมชาติ ตอบโจทย์ชีวิตติดเมือง แบบใกล้กว่านี้ไม่มีอีกแล้ว!!   EFFORTLESS Location The Gentry สุขุมวิท-บางนา ตั้งอยู่บนทำเลสุขุมวิท-บางนาอย่างแท้จริง เพราะใกล้กับสี่แยกบางนาแบบสุดๆ ตัวโครงการตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 68 ใกล้ทางด่วนเฉลิมมหานคร (ด่านบางนา) เพียง 250 เมตรเท่านั้น แถมยังมีเส้นทางเข้าออกโครงการได้หลากหลายเส้นทาง เช่น ทางซอยสุขุมวิท 68,ซอยสุขุมวิท 64, ถนนบางนา-ตราด และถนนสรรพาวุธ ตอบโจทย์การเดินทางของคนติดเมืองแบบสุดๆ เพราะแค่อึดใจก็สามารถเข้าถึงใจกลาง CBD ได้อย่างรวดเร็วแล้ว หรือถ้าวันไหนไม่อยากขับรถ ก็สามารถใช้บริการรถไฟฟ้า BTS ได้ง่ายๆ ด้วยทำเลที่อยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้ามากถึง 2 สถานี ใช้เวลาแค่ 5 นาที ก็เลือกได้เลยว่าจะไปที่สถานีอุดมสุข หรือสถานีบางนาก็ได้เช่นกัน   นอกจากนี้บริเวณใกล้เคียงกับโครงการยังแวดล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ทั้งโรงเรียนนานาชาติ ห้างสรรพสินค้า และโรงพยาบาลชั้นนำ เช่น Berkeley International School, Anglo Singapore International School, St. Andrews International School, Bangkok Mall, Cloud 11, True Digital Park, Central Plaza Bangna, Emporium, Emquartier, รพ.ไทยนครินทร์, รพ.สมิติเวช ฯลฯ ซึ่งเรารู้กันดีอยู่แล้วว่า ทำเลในย่านนี้จะหาบ้านเดี่ยวสักหลังไม่ใช่เรื่องง่ายเลย จึงไม่เกินจริงถามเราจะบอกว่าที่ตั้งของโครงการ The Gentry สุขุมวิท-บางนานั้น เป็น Rare Item ที่หาได้ยากในปัจจุบัน ห้างสรรพสินค้า บางกอกมอลล์         1.2 กม. คลาวด์ 11                2.3 กม. ทรู ดิจิทัล พาร์ค       2.5 กม. เซ็นทรัล บางนา       4.0 กม. เอ็มโพเรียม             8.5 กม. เอ็มควอเทียร์           8.7 กม. เมกา บางนา            9.6 กม.                       สถานศึกษา โรงเรียนนานาชาติเบอร์กลีย์                                 1.8 กม. โรงเรียนนานาชาติแองโกล-สิงคโปร์                   2.4 กม. โรงเรียนนานาชาติเซนต์แอนดรูว์ส สุขุมวิท 107  2.8 กม. โรงเรียนนานาชาติเวลส์                                        4.5 กม. โรงเรียนบางกอกพัฒนา                                        4.7 กม. โรงเรียนนานาชาติเซนต์แอนดรูว์ส กรุงเทพฯ       6.6 กม. โรงพยาบาล โรงพยาบาลไทยนครินทร์                         4.9 กม. โรงพยาบาลสุขุมวิท                                  6.8 กม. โรงพยาบาลพริ้นซ์สุวรรณภูมิ                    7.9 กม. โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท                     9.5 กม. Club House และส่วนกลาง ด้วยคอนเซปต์การออกแบบโครงการที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Swedish Forest, Sweden ด้วยบรรยากาศของป่าสนที่อุดมสมบูรณ์ ซึ่งอยู่ร่วมกันกับชุมชน ดังนั้นบรรยากาศของพื้นที่ส่วนกลางตั้งแต่ซุ้มประตูทางเข้าโครงการ, Club House และพื้นที่สวนส่วนกลางจึงแวดล้อมไปด้วยต้นไม้เขียวครึ้มในสไตล์สวนป่าที่มีพื้นที่พักผ่อนแทรกตัวอยู่อย่างกลมกลืน   นอกจากบรรยากาศที่ทำให้การอยู่อาศัยของทุกคนได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติมากขึ้นแล้ว ทางโครงการยังคงให้ความสำคัญกับเรื่องของความปลอดภัยของลูกบ้าน ตั้งแต่บริเวณซุ้มทางเข้าที่ควบคุมการเข้าออกด้วย Smart Gate with License Plate จัดการการเข้าออกได้ง่ายผ่านการสแกนทะเบียนรถ รวมถึงการติดตั้ง Solar Roof ในพื้นที่ส่วนกลางเพราะใช้พลังงานทดแทนและช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายส่วนกลาง   บรรยากาศสวนส่วนกลางในโครงการ ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากป่าสนที่สมบูรณ์ ของประเทศสวีเดน พร้อมมุมพักผ่อนที่แทรกตัวอยู่ตามจุดต่างๆ มุมเด็กเล่นที่ถูกออกแบบให้กลมกลืนไปกับธรรมชาติ   บริเวณ Club House เป็นอาคาร 2 ชั้นที่มีสถาปัตยกรรมร่วมสมัย ระแนงของ façade ในโทนสีเอิร์นโทนที่กลมกลืนไปกับธรรมชาติรอบด้าน ภายในอาคารประกอบไปด้วย ฟิตเนส, Co-working Area & Meeting Room และสระว่ายน้ำระบบน้ำเกลือยาวกว่า 16 เมตร ซึ่งแยกสระว่ายน้ำเด็กมาให้ด้วย พร้อมรองรับทุกการใช้งานของลูกบ้านทุกช่วงวัยอย่างแท้จริง   อาคาร Club House ถูกออกแบบด้วยสถาปัตยกรรมที่ใช้โทนสีสอดคล้องไปธรรมชาติ โดยมีทั้งโซน indoor และ semi outdoor สระว่ายน้ำระบบน้ำเกลือ แบ่งโซนของสระเด็กและมุมพักผ่อนไว้เป็นสัดส่วน สระว่ายน้ำกว้างเหมาะสำหรับการออกกำลังกาย  มุมพักผ่อนริมสระว่ายน้ำ ให้บรรยากาศสบายๆ เหมาะกับการพักผ่อนทุกๆ วัน บริเวณชั้น 2 ของอาคาร Club House มีโซนที่เป็น Co-working & Meeting Room เพื่อรองรับการใช้งานในรูปแบบต่างๆ ของลูกบ้านไม่ว่าจะเป็นการทำงาน WFH หรือแม้แต่การนัดประชุมงานกลุ่มย่อยๆ ได้อย่างสะดวกสบาย ฟิตเนสบริเวณชั้น 2 ของ Club House พร้อมด้วยอุปกรณ์มาตรฐานครบครัน ระบบรักษาความปลอดภัยบริเวณทางเข้าโครงการ ซึ่งใช้ระบบ Smart Gate with License Plate ลูกบ้านเข้าออกสะดวกด้วยการสแกนทะเบียนรถ และสามารถจัดการการเข้าออกของแขกผ่านแอปพลิเคชันรู้ใจได้ด้วย นอกจากนี้ ยังมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชม. พร้อมกล้อง CCTV ซึ่งทำให้ลูกบ้านอุ่นใจได้ตลอดการอยู่อาศัย   3 แบบบ้านจาก The Gentry สุขุมวิท-บางนา The Gentry สุขุมวิท-บางนา คือบ้านเดี่ยวสุดหรู 3 ชั้น พร้อมสังคมคุณภาพที่ให้ความเป็นส่วนตัวสูงสุดด้วยจำนวนบ้านเพียง 17 ยูนิตเท่านั้น บ้านทุกหลังครบครันด้วยนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัย ทั้ง Ruejai Home OS แอปพลิเคชันควบคุมบ้านอัจฉริยะ, จุดรองรับการติดตั้ง EV Charger, Active Air Qualityระบบที่ขจัดมลพิษทางอากาศในบ้าน, ติดตั้งสัญญาณกันขโมยในตัวบ้านด้วย Magnetic และ Shock Sensor, Smoke & Heat Detector และ CCTVs รอบตัวบ้าน ฯลฯ     รูปแบบบ้านของ The Gentry สุขุมวิท-บางนา ออกแบบผ่านแนวคิดเพื่อคนเจนเนอเรชั่นใหม่ที่กำลังมองหาบ้านเพื่อการใช้ชีวิตของทุกคนในครอบครัว แต่ยังไม่ทิ้งไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตแบบคนเมือง สามารถตอบโจทย์ด้านความสะดวกสบาย ความทันสมัย และมีความเป็นส่วนตัว ทางโครงการมีแบบบ้านให้เลือกด้วยกัน 3 แบบ HAVEN-T พื้นที่ใช้สอย 442 ตร.ม. ขนาด 4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 1 ห้องรับแขก 1 ส่วนพักผ่อน 1 ห้องครัว 1 ห้องรับประทานอาหาร 1 ห้องแม่บ้าน 3 ที่จอดรถ และรองรับการติดตั้งลิฟต์ HIDEAWAY-T พื้นที่ใช้สอย 553 ตร.ม ขนาด 5 ห้องนอน 6 ห้องน้ำ 1 ห้องรับแขก 1 ส่วนพักผ่อน 1 ห้องครัว 1 ห้องรับประทานอาหาร 1 ห้องแม่บ้าน 4 ที่จอดรถ และลิฟต์ SANCTUARY-T พื้นที่ใช้สอย 695 ตร.ม. ขนาด 5 ห้องนอน 7 ห้องน้ำ 1 ห้องรับแขก 2 ส่วนพักผ่อน 1 ห้องครัว 1 ห้องรับประทานอาหาร 1 ห้องแม่บ้าน 5 ที่จอดรถ ลิฟต์ และสระว่ายน้ำ   ซึ่งเราจะพาไปชมบ้านตัวอย่างทั้ง 3 แบบ เพื่อให้เห็นฟังก์ชันการใช้งานภายในบ้าน และรูปแบบการตกแต่งภายในบ้านแต่ละสไตล์กันครับ The Gentry สุขุมวิท-บางนา เริ่มต้นกันด้วยบ้าน HAVEN-T พื้นที่ใช้สอย 442 ตร.ม. ขนาด 4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 1 ห้องรับแขก 1 ส่วนพักผ่อน 1 ห้องครัว 1 ห้องรับประทานอาหาร 1 ห้องแม่บ้าน 3 ที่จอดรถ และรองรับการติดตั้งลิฟต์ (หน้ากว้างของบ้าน 15 เมตร) ถึงแม้จะบอกว่าเป็นบ้านไซส์เล็กสุด แต่พื้นที่ใช้สอยภายในบ้านก็ยังมากถึง 442 ตร.ม. ซึ่งมาพร้อมฟังก์ชันเพื่อครอบครัวขยาย สามารถอยู่ได้หลายเจนเนเรชั่น  ทางโครงการเตรียมจุดติดตั้ง EV Charger เพื่อรองรับการใช้รถไฟฟ้า และพื้นที่หน้าบ้านสามารถจอดรถได้มากถึง 3 คัน และภายในบ้านยังมี Home Automation แผงควบคุมไฟฟ้าในบ้าน ซึ่งสามารถสั่งการผ่านแอปพลิเคชั่น Ruejai  เมื่อเข้าบ้านมาจะเจอกับโถงรับแขกที่เป็น Double Volume เพดานสูงโปร่งและเชื่อมต่อกับพื้นที่สวนบริเวณข้างๆ บ้านได้ เอื้อต่อการขยายพื้นที่สำหรับทำกิจกรรมครอบครัวที่ต้องการพื้นที่มากขึ้น สำหรับบ้านหลังนี้ ทางโครงการจัดเตรียมพื้นที่สำหรับติดตั้งลิฟต์โดยสารบริเวณด้านหน้าบันไดทางขึ้นชั้นบนไว้ให้ด้วย โถงทางเดินชั้น 2 เชื่อมต่อกับบริเวณ Double Volume ชั้นล่าง และเชื่อมต่อกับห้องพักอีก 2 ห้อง ซึ่งเปิดโล่งรับแสงได้เต็มที่ ทำให้ไม่อึดอัดเลย ส่วนห้องนอนในตำแหน่งต่างๆ เราสามารถเลือกตกแต่งฟังก์ชันการใช้งานได้ตามชอบ ไม่ว่าจะเป็นห้องเสริมสวยสำหรับสาวๆ หรือจะเป็นห้องนอนของสมาชิกในบ้าน เพราะทุกห้องมีห้องน้ำในตัว โถงพักผ่อนบริเวณชั้น 3 เป็นอีกมุมที่น่าสนใจ เนื่องจากทางโครงการได้ออกแบบเป็นมุมพักผ่อนและโชว์ของเล่น ของสะสมไว้เต็มผนัง เชื่อว่ามุมนี้น่าจะถูกใจใครหลายๆ คนเลยทีเดียว   -----------------------------------------------------------------     บ้านหลังต่อมาคือ HIDEAWAY-T พื้นที่ใช้สอย 553 ตร.ม ขนาด 5 ห้องนอน 6 ห้องน้ำ 1 ห้องรับแขก 1 ส่วนพักผ่อน 1 ห้องครัว 1 ห้องรับประทานอาหาร 1 ห้องแม่บ้าน 4 ที่จอดรถ และลิฟต์ (หน้ากว้างของบ้าน 18 เมตร) สำหรับบ้านหลังขนาดกลางนี้ ยังคงเตรียมจุด EV Charger ไว้ให้เช่นกัน ส่วนชานข้างบ้านทางโครงการเลือกแต่งให้เป็นมุมพักผ่อน และมุมออกกำลังกายกึ่งกลางแจ้ง เลยทำให้เห็นว่าพื้นที่บริเวณนี้กว้างมากเลยครับ โถงรับแขกบริเวณชั้น 1 ยังโดดเด่นด้วยความเป็น Double Volume เพดานสูงโปร่ง และบานหน้าต่างที่เปิดรับแสงได้เต็มที่มากๆ ด้วยขนาดพื้นที่ใช้สอยที่มากขึ้น จึงสามารถวางโซฟาชุดใหญ่เพื่อรองรับแขกได้จำนวนมาก   แบบบ้านหลังนี้ เพิ่มเติมห้องนอนที่ชั้น 1 ไว้ให้ด้วย ซึ่งเหมาะจะใช้เป็นห้องสำหรับผู้สูงอายุ ด้วยการออกแบบ Universal Design เสริมอุปกรณ์ช่วยพยุงในห้องน้ำเพื่อการใช้ที่สะดวกขึ้น รวมถึงการออกแบบพื้นให้เรียบ ไม่มีส่วนที่ต่างระดับ เตรียมรองรับการใช้ Wheel Chair ในอนาคต แต่ถ้าเราได้เข้ามาดูในบ้านตัวอย่าง ทางโครงการลองตกแต่งให้เป็นห้องออกกำลังกายในร่ม พร้อมเติมแสงสีให้รู้สึก Active กับการออกกำลังกายมากขึ้น และยังเชื่อมโยงกับพื้นที่ออกกำลังกายด้านนอก ซึ่งก็เป็นไอเดียที่ดีมากๆ เลยทีเดียว พื้นที่ของครัวไทยภายในบ้านก็แยกออกมาเป็นสัดส่วน และมีพื้นที่มากขึ้นเหมาะสำหรับการทำครัวจริงๆ  โถงทางเดินชั้น 2 ยังคงโล่งและเชื่อมต่อกับโถงรับแขกด้านล่าง และด้วยธีมการออกแบบของบ้านนี้ที่ออกแนวเท่ห์ๆ แบบคนรักรถและรักความเร็ว บรรยากาศโดยรวมของห้องต่างๆ จึงดูเท่ห์และแมนมาก ทั้งห้องทำงานที่เป็นเหมือนห้องทำงานของนักแข่ง หรือห้องเกมซึ่งก็ยังเป็นเกมแข่งรถจากเครื่อง PS5 เชื่อว่าหลายห้องของบ้านนี้ต้องถูกใจคุณผู้ชายที่มีใจรักการแข่งรถแน่นอน บ้านหลังนี้ มีห้อง Master Bedroom ที่ให้บรรยากาศคล้าย Penthouse เพราะมีทั้งมุมพักผ่อนภายในห้อง มีระเบียงกว้าง พร้อม Walk-in Closet ขนาดใหญ่ ซึ่งวาง Layout เพื่อการใช้งานไว้อย่างดี รวมถึงห้องน้ำภายในห้อง Master Bedroom ก็มาพร้อมอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ และสุขภัณฑ์ไฟฟ้า (washlet) ขณะเดียวกัน ห้องนอนเล็กอีกห้องก็ไม่ได้มีขนาดเล็กเลย ด้วยพื้นที่ใช้สอยที่กว้างและจัด Layout ไว้เป็นสัดส่วน ถามยังมีระเบียบส่วนตัวเหมือนกับห้องอื่นๆ จึงทำให้บรรยากาศภายในห้องโปร่งน่าอยู่มากๆ   -----------------------------------------------------------------   ส่วนแบบบ้านหลังสุดท้ายเป็นหลังที่ใหญ่สุดชื่อ SANCTUARY-T พื้นที่ใช้สอย 695 ตร.ม. ขนาด 5 ห้องนอน 7 ห้องน้ำ 1 ห้องรับแขก 2 ส่วนพักผ่อน 1 ห้องครัว 1 ห้องรับประทานอาหาร 1 ห้องแม่บ้าน 5 ที่จอดรถ ลิฟต์ และสระว่ายน้ำ (หน้ากว้างของบ้าน 23 เมตร) ด้วยขนาดบ้านที่เป็นหลังใหญ่สุดสามารถรองรับสมาชิกจำนวนมาก ดังนั้นลานจอดรถหน้าบ้านจึงเตรียมพร้อมรองรับการจอดได้มากถึง 5 คัน รวมถึงจุด EV Charger  ความอลังการของโถงรับแขกของบ้านหลังนี้ เชื่อว่าใครเห็นก็ต้องร้องว้าว ทั้งความกว้างของพื้นที่ใช้สอย เพดานสูงแบบ Double Volume และประตูกระจกบานเลื่อนขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อกับสระว่ายน้ำส่วนตัวภายในบ้าน แถมทางโครงการยังปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นของบ้านหลังนี้หลายส่วน จนแทบจะเปลี่ยนพื้นที่ใช้สอยเดิมไปอย่างสิ้นเชิง บรรยากาศภายในบ้านหลังนี้จึงดูพิเศษไปซะทุกส่วน จริงๆ พื้นที่บริเวณนี้ เป็นส่วนของห้องนอนชั้นล่างที่ออกแบบไว้สำหรับผู้สูงอายุ แต่พอปรับเปลี่ยนเป็นมุมพักผ่อนประกอบกับตำแหน่งห้องอยู่ติดกับสระว่ายน้ำ เลยทำให้พื้นที่บริเวณชั้น 1 ของบ้าน โอ่อ่าอลังการมากที่สุด เหมือนได้ไปพักผ่อนตากอากาศในพูลวิลล่าหรูจนเกือบลืมไปว่าจริงๆ แล้วเราอยู่แค่แยกบางนาซึ่งใกล้เมืองมากๆ สระว่ายน้ำส่วนตัวภายในบ้าน ให้บรรยากาศของความผ่อนคลายมากที่สุด เพราะแวดล้อมไปด้วยพื้นที่สีเขึยวซึ่งเป็นสวนที่พร้อมจะปรับเปลี่ยนเป็นพื้นที่สังสรรค์ได้อย่างลงตัว พื้นที่ครัวไทยขนาดใหญ่จัดสรรไว้เป็นสัดส่วน และยังเชื่อมต่อไปยังโซนรับประทานอาหาร และ pentry ด้านนอก อย่างที่บอกไว้ว่า บ้านหลังนี้ทางโครงการได้นำเสนอไอเดียการปรับเปลี่ยนฟังก์ชันการใช้งานส่วนต่างๆ ไว้หลายจุด ทั้งกั้นพื้นที่เพิ่ม หรือลองปรับให้ใช้งานได้หลากหลายมากขึ้น ไม่จำกัดอยู่แค่ห้องนอน ดังนั้นเราจะเป็นพื้นที่พักผ่อน Family Room รวมถึงพื้นที่อเนกประสงค์ที่ถูกจัดเป็นพื้นที่สำหรับกิจกรรมที่หลากหลายมากขึ้น เช่น ห้องซ้อมดนตรี ห้องพลู หรือมุมเก็บของสะสมต่างๆ รวมถืงพื้นที่พักผ่อนชิวๆ บริเวณระเบียง หรือบริเวณชานบ้าน เพื่อแสดงให้เห็นว่า หากสมาชิกในบ้านมีความสนใจในกิจกรรมที่ต่างกัน หรือหลากหลาย พื้นที่ทั้งหมดภายในบ้านก็สามารถรองรับทุกกิจกรรมได้อย่างเต็มที่ ขึ้นมาที่บริเวณชั้น 3 ทางโครงการออกแบบให้เป็นเหมือน Penthouse ส่วนตัว มีทั้งโซนทำสปาเพื่อความผ่อนคลายของเจ้าบ้าน แล้วจัดสรรพื้นที่ใหม่โดยปรับพื้นที่เกือบทั้งชั้นให้เป็น Master Bedroom พร้อม Walk-in Closet สุดอลังการ (เพราะปรับห้องนอนเล็กอีกห้องของชั้นนี้ จัดเป็นห้องแต่งตัวทั้งหมด) แบบห้องแต่งตัวในฝันของใครหลายๆ คน โดยเสนอไอเดียแบ่งพื้นที่แต่งตัวชาย-หญิงแยกกันด้วยสไตล์การตกแต่ง ในขณะเดียวกันพื้นที่ในห้องนอนก็มีพร้อมทั้งมุมนั่งเล่น และระเบียงขนาดใหญ่สำหรับนั่งเล่นรับลมได้ตลอดวัน  ห้องนอนเล็กที่ถูกปรับฟังก์ชันให้เป็นห้องแต่งตัวแบบเข้มๆ ในสไตล์แมนๆ  Master Bedroom พร้อมอ่างอาบน้ำ และสุขภัณฑ์ washlet ซึ่งแยกส่วนแห้งส่วนเปียกไว้เป็นสัดส่วน   ดูบ้านตัวอย่างกันไปครบทั้ง 3 แบบแล้ว จะเห็นได้ว่าบ้านแต่ละหลังถูกออกแบบฟังก์ชันการใช้งานเป็นสัดส่วนมาอย่างดี แต่ก็ยังสามารถปรับแต่งพื้นที่การใช้งานให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของเจ้าบ้านได้หลากหลายเช่นกัน ซึ่ง The Gentry สุขุมวิท-บางนา สามารถตอบโจทย์การอยู่อาศัยของคนเมืองได้เป็นอย่างดี ด้วยจุดเด่นของทำเลที่ตั้งที่อยู่บนถนนสุขุมวิท ใกล้กับสี่แยกบางนา สามารถเข้า-ออกได้หลายทาง ใกล้ทางด่วนเฉลิมมหานคร (ด่านบางนา) เพียง 250 เมตรเท่านั้น ทำให้การเดินทางเข้าสู่ใจกลางเมืองในเวลาแค่อึดใจเท่านั้น สิ่งอำนวยความสะดวกรอบๆ โครงการยังเพียบพร้อมพอดีกับการใช้ชีวิตของคนเมืองที่ดูยังไงก็ลงตัวไปทุกด้าน พร้อมสังคมคุณภาพที่มีเพื่อนบ้านเพียง 17 หลังเท่านั้น ในราคาเริ่มต้น 45-75 ล้านบาท* ใครที่สนใจสามารถติดต่อเข้าชมบ้านตัวอย่างได้แล้ว หรือต้องการสอบถามข้อมูลโครงการเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 065-919-3456 หรือคลิกลิงก์เพื่อลงทะเบียน https://m.scasset.com/If7G     บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เอสซี แอสเสท ลุยเปิดคอนโดแบรนด์ใหม่ COBEเจาะ 2 ทำเล COBE รัชดา-พระราม 9 โครงการใหม่ของคนรุ่นใหม่ เอสซี แอสเสท ส่งบ้านหรูแบรนด์ใหม่ 95E1 ราคาเริ่มต้นหลังละ 100 ล้าน  
Nue Mega+ Bangna คอนโดแนวคิดใหม่ ชีวิตติดห้างดีกว่าที่เคย!!

Nue Mega+ Bangna คอนโดแนวคิดใหม่ ชีวิตติดห้างดีกว่าที่เคย!!

Nue Mega+ Bangna คอนโดแนวคิดใหม่ ชีวิตติดห้างดีกว่าที่เคย !! ไม่ต้องอาศัยอยู่ในย่าน CBD ใจกลางเมือง แต่เรายังสามารถเลือกชีวิตติดสบาย ตอบโจทย์ความสุข สนุกในทุกวันได้ด้วยตัวเอง อย่างโครงการ “Nue Mega Plus Bangna” (นิว เมกา พลัส บางนา) คอนโดติดห้างที่แค่ก้าวก็ถึงห้าง “เมกาบางนา” ได้ทันที   จริงอยู่ที่ทำเลในย่านบางนาช่วงนี้เป็นที่น่าจับตา และมีดีเวลอปเปอร์หลายรายผุดโครงการใหม่ๆ มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีหลากหลายรูปแบบ หลายระดับราคาให้เลือก แต่ก็ต้องยอมรับว่าปัจจัยในการหาที่อยู่ใหม่ซักแห่ง มีความต้องการที่แตกต่างกันตามข้อจำกัดและเงื่อนไขให้ต้องตัดสินใจมากมาย เราเลยจะพาทุกคนไปดูกันว่า ถ้าเราเลือกใช้ชีวิตในคอนโดติดห้างอย่าง Nue Mega Plus Bangna จะดีกว่าอย่างไรบ้าง?   + ทำเลที่ได้เปรียบ ถ้าใครเคยมองหาคอนโดในย่านบางนาจะพอเห็นภาพว่า ในละแวกที่ใกล้เคียงกันยังมีคอนโดมิเนียมอื่นให้เลือกอีก 2-3 โครงการ แค่บอกว่าอยู่ติดกับ “เมกาบางนา” ก็มีทั้ง A Space Maga 1, 2 และ NOWW Mega ซึ่งอยู่ทางด้านหลังของเมกาบางนาเป็นตัวเทียบที่ไม่เอ่ยถึงคงไม่ได้ ด้วยการชูจุดเด่นที่เป็นคอนโดติดห้างเหมือนกันแต่ก็ไม่เหมือนกันซะทีเดียว เพราะการที่โครงการ Nue Mega Plus Bangna ปักหมุดริมถนนใหญ่ ถนนสายหลักอย่างถนนบางนา-ตราด (ขาเข้า) ย่อมได้เปรียบกว่าในเรื่องของการเดินทาง อย่างแรกคือ ไม่ต้องเข้าซอย ถ้าเดินทางด้วยระบบขนส่งมวลชน แค่ลงรถก็เดินเข้าโครงการได้เลย ไม่ต้องต่อรถ หรือเดินต่อเข้าไปถึงที่พักในซอย (หรือผ่านห้างเมกาบางนา) ซึ่งนับว่าไกลพอสมควร และยังอาจจะมีเรื่องของความปลอดภัยระหว่างเดินทางเข้ามาเป็นอีกปัจจัย หากเรามีเหตุจำเป็นต้องกลับบ้านดึกบ่อยครั้ง การที่มีจุดขึ้น-ลงรถใกล้ๆ ทางเข้าโครงการเลยยังไงก็ย่อมดีกว่า     แล้วถ้าดูตามแผนโครงการรถไฟฟ้ารางคู่ขนาดเบา (LRT – Light Rail Transit) หรือ รถไฟฟ้าสายสีเงิน ตำแหน่งของสถานีก็น่าอยู่ไม่ไกลจากบริเวณด้านหน้าโครงการ Nue Mega Plus Bangna อีกด้วย (ตามแผนสถานีจะอยู่ค่อนไปทางด้านหน้าเมกาบางนา) ดังนั้นเรื่องการเดินทางจึงได้เปรียบกว่าอีก 2 โครงการที่อยู่ด้านในแน่นอน   ส่วนการเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัว ก็มีความสะดวกไม่แพ้กัน ด้วยทำเลที่ตั้งที่ติดกับถนนบางนา-ตราด ใกล้ทางขึ้นลงด่านบางแก้ว ถนนกาญจนาภิเษก (วงแหวนรอบนอก) ซึ่งเชื่อมต่อไปยังส่วนต่างๆ ของกรุงเทพมหานครได้ไม่ยาก รวมถึงการเดินทางเข้าสู่ใจกลางเมืองผ่านเส้นทางวงแหวน และเชื่อมต่อกับสะพานภูมิพล 2 ก็ช่วยร่นระยะเวลาในการเดินทางเข้าสู่ถนนพระราม 3 ได้ไม่น้อยเหมือนกัน นอกจากนี้ยังมีแผนพัฒนาตัดถนนใหม่เป็นถนนสี่เลนจากศรีนครินทร์มาที่เมกาบางนา ก็จะช่วยเพิ่มความสะดวกในการเดินทางในอนาคตให้มีเส้นทางให้เลือกใช้ได้มากขึ้นไปอีกเช่นกัน   + ติดเมกาบางนา มีครบ.. ง่ายแค่ก้าว ข้อดีของคอนโดติดห้างขนาดใหญ่ คือการได้อยู่ใกล้กับร้านอาหารมากมาย แหล่งช้อปปิ้ง มีครบทุกสิ่งที่ต้องการ เพียบพร้อมทั้งเรื่อง กิน ดื่ม เที่ยว เล่น เรียกได้ว่าแค่คุณก้าวเท้าออกจากคอนโดก็ถึงแล้ว หรือจะเลือกใช้เป็นจุดแวะกินข้าว จับจ่ายของใช้ก่อนกลับเขาบ้านก็นับว่าสะดวกอีกเช่นกัน คงไม่มีอะไรสะดวกมากไปกว่านี้ได้อีกแล้ว     ในบริเวณพื้นที่ของเมกาบางนา มีห้างใหญ่ๆ ที่หลายคนคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว ทั้งเซ็นทรัล, บิ๊กซี, โฮมโปร และ อิเกีย รวมถึงร้านอาหารชั้นนำที่น่าจะมีครบทุกแบรนด์ ทุกสไตล์เทียบกับห้างใจกลางเมืองได้เลยทีเดียว ดังนั้นตัวห้างเมกาบางนาจึงนับเป็นศูนย์กลางของไลฟ์สไตล์ช็อปปิ้งขนาดใหญ่ของคนที่พักอาศัยในย่านนี้ นอกจากการเป็นแหล่งช็อปปิ้งขนาดใหญ่แล้ว ในบริเวณเดียวกันยังมีกิจกรรมที่หลากหลายสำหรับทุกคนในครอบครัวให้เลือกทำ เช่น โรงหนัง, ฮาเบอร์แลนด์, Top Golf และ เมกา พาร์ค ซึ่งนับเป็นพื้นที่สันทนาการกลางแจ้งอีกจุด ที่เหมาะสำหรับการพักผ่อนหย่อนใจ หรือไว้เปลี่ยนบรรยากาศออกมาทำกิจกรรมกลางแจ้งนอกโครงการได้บ้าง โดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปไกลๆ     ขณะเดียวกัน ในส่วนของสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ที่อยู่ในย่านใกล้เคียงกับโครงการ Nue Mega Plus Bangna ก็พร้อมสำหรับทุกการอยู่อาศัยเช่นกัน ทั้งโรงพยาบาล, มหาวิทยาลัย, โรงเรียนนานาชาติ, โรงเรียนรัฐและเอกชน, สนามบินสุวรรณภูมิ, สนามกอล์ฟ ฯลฯ รวมทั้งแหล่งงานอีกมากมายทั้งบริษัทเอกชน, นิคมอุตสาหกรรม พร้อมรองรับตลาดงานที่หลากหลาย     + โครงการใหม่ Facility ครบตอบโจทย์ได้มากกว่า ปฏิเสธไม่ได้ว่า Facility ในโครงการ เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่หลายคนใช้ประกอบการตัดสินใจเลือกซื้อคอนโด เพราะราคาที่จ่ายจะต้องแลกมาด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่คุ้มค่า และตอบโจทย์การใช้ชีวิตได้มากที่สุด ทีนี้เรามาดูกันว่าโครงการ Nue Mega Plus Bangna จัดเตรียม Facility ส่วนกลางอะไรไว้เพื่อตอบโจทย์การอยู่อาศัยของลูกบ้านบ้าง?   เทียบกับโครงการอื่นที่สร้างเสร็จไปก่อนหน้าอย่าง A Space 1 กับคอนโดมิเนียมที่สร้างทีหลังอย่าง Nue Mega Plus Bangna ย่อมได้เปรียบกว่าในเรื่องของ Facility ที่ทันสมัยและตอบโจทย์วิถีชีวิตในปัจจุบันได้ดีกว่า เช่นการออกแบบให้มีพื้นที่ Grab & Go Station with UV Sterilizer ซึ่งออกแบบมาด้วยความเข้าใจวิถีชีวิตคนรุ่นใหม่ ที่นิยมสั่งอาหาร เครื่องดื่ม ทางออนไลน์บ่อยๆ ทางโครงการจึงจัดพื้นที่รับส่งอาหารให้แยกออกมาอย่างเป็นสัดส่วนเรียบร้อย พร้อมป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรคด้วยการฆ่าเชื้อด้วยแสงยูวี เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้ลูกบ้านมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมี Smart Locker เพิ่มความสะดวกอีกขั้นในการรับพัสดุให้ลูกบ้านอีกด้วย         นอกจากนี้สิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ที่เพิ่มเติมเข้ามาในโครงการ ล้วนแต่ปรับการออกแบบมาให้ตอบโจทย์ทุกความต้องการได้อย่างทันยุคสมัยมากขึ้น เช่น จัดเตรียม EV Charging Station เพื่อรองรับการใช้รถไฟฟ้าที่จะเพิ่มมากขึ้น, Co-Creative Space & Tutoring Room พื้นที่สำหรับนั่งทำงานที่มากกว่าแค่พื้นที่ Co-Working Space ทั่วๆ ไป เพราะมีโซนที่จัดไว้เป็น Private Workstation เพื่อเพิ่มความเป็นส่วนตัวในการคุยงาน รวมถึง Facility มาตรฐานอื่นๆ แบบจัดเต็มถึง 5 ชั้น ตั้งแต่พื้นที่สีเขียวของสวนขนาดใหญ่บริเวณชั้น G, Breeze Court โซนพักผ่อน ชั้น 7, จนถึงสวนบน Rooftop และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ เช่น Sky Mega Gymnasium, Sky High Yoga, The Cloud Catertier Club, Sunset View Deck, Cinema Studio และอื่นๆ อีกมากมาย รวมกว่า 38 รายการ พร้อม Skyview Blu Lagoon สระว่ายน้ำขนาดใหญ่บนชั้น 38 หนึ่งเดียวในย่านนี้ แถม Facility ต่างๆ ยังออกแบบให้มีทั้งสไตล์ Passive และ Active พร้อมให้ความเป็นส่วนตัว โดนใจทั้งสาย Introvert และ Extrovert เพื่อให้ลูกบ้านทุกคนได้ใช้ชีวิตภายในโครงการได้อย่างเต็มที่     ในขณะเดียวกัน ถ้าไปลองเปรียบเทียบกับโครงการ NOWW Mega ที่กำลังอยู่ในระหว่างการขายและก่อสร้างเหมือนกัน ที่ถึงแม้จะชูจุดเด่นที่ค่าส่วนกลางค่อนข้างถูก แต่ก็ไม่มีสระว่ายน้ำ และค่าส่วนกลางที่แจ้งไว้อาจจะไม่ครอบคลุมทุกค่าใช้จ่ายจริง เช่น ค่าจอดรถ รวมถึงค่าประกันอาคาร และค่าใช้จ่ายจิปาถะอื่นๆ ซึ่งเป็นภาระค่าใช้จ่ายของลูกบ้านที่ต้องมีการเรียกเก็บเพิ่มเติม ปัจจัยในส่วนนี้จึงไม่ควรมองข้าม เนื่องจากหลายคนอาจจะลืมไปว่าหลังจากที่เราซื้อบ้านหรือคอนโดแล้ว ยังมีค่าใช้จ่ายส่วนนี้เป็นรายจ่ายประจำที่เราควรใช้ในการคำนวณภาระค่าใช้จ่ายในระยะยาวด้วยว่าคุ้มค่าหรือไม่   + ห้องแต่งครบ จบที่ 2.5 ล้านบาท* ขยับมาดูแบบห้องของ Nue Mega Plus Bangna กันบ้าง ซึ่งทางโครงการเป็นคอนโดมิเนียม High Rise สูง 38 ชั้น จำนวน 1 อาคาร ที่มียูนิตรวม 1,005 ยูนิต และมีแบบห้องให้เลือกด้วยกัน 5 แบบ ตั้งแต่Studio ขนาดเริ่มต้นประมาณ 21 ตร.ม. ไปจนถึง 2 Bedroom Plus ขนาดประมาณ 66 ตร.ม. โดยครั้งนี้เราจะยกห้องแบบ 1 Bedroom ขนาดประมาณ 26-30 ตร.ม. ขึ้นมาเทียบให้ดูว่ามีจุดเด่น หรือคุ้มค่ากว่าอย่างไร หากต้องนำมาข้อมูลต่างๆ มาใช้ในการตัดสินใจเปรียบเทียบ     โครงการมีห้อง Studio เป็นขนาดเริ่มต้น ที่น่าสนใจทั้งอยู่เองหรือจะลงทุนก็ดี แต่ถ้าหากเรามองว่าอาศัยเป็นบ้านหลักสำหรับ 1-2 คน ห้อง 1 Bedroomในราคา 2.5 ล้านบาท*  มีพื้นที่ใช้สอยภายในห้องเป็นสัดส่วนที่ชัดเจน เป็นขนาดที่สามารถอยู่อาศัยได้จริงๆ แบบไม่อึดอัดจนเกินไป แต่ละคนยังพอมีพื้นที่ส่วนตัวเป็นของตัวเอง และอีกจุดเด่นที่ Nue Mega Plus Bangna ก็คือแบบห้องหน้ากว้าง ซึ่งจะให้บรรยากาศโดยรวมภายในห้องกว้างขวางกว่า และที่สำคัญ ห้องแบบ 1 Bedroom ยังมี Layout ให้เลือกทั้งแบบครัวเปิด หรือ ครัวปิดติดระเบียง ซึ่งมีข้อดีต่างกันตามรูปแบบไลฟ์สไตล์ของลูกบ้านที่ไม่เหมือนกัน ไม่ได้จำกัด Layout ให้เลือกอยู่แค่แบบใดแบบหนึ่งเท่านั้น   ห้องทั้งหมดของ Nue Mega Plus Bangna ขายแบบ Fully Furnished พร้อมเครื่องปรับอากาศทุกห้อง เรียกได้ว่าตกแต่งครบพร้อมหิ้วกระเป๋าเข้าอยู่ได้เลย มีเพียงแค่เครื่องใช้ไฟฟ้าที่โครงการเปิดโอกาสให้ลูกค้าได้ที่ซื้อหาเพิ่มเติมได้ตาม Lifestyle ส่วนอื่นๆ ที่เห็นในห้องตัวอย่าง เช่น โต๊ะ ตู้ เตียง ครัว ฯลฯ ทางโครงการออกแบบมาให้พร้อมกับห้องแล้ว ซึ่งเฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นที่โครงการที่เลือกมาให้ ล้วนผ่านกระบวนการคิดการออกแบบที่คำนึงถึงการใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน ทั้งพื้นที่เก็บของ ตู้รองเท้า ที่วางกุญแจ เคาน์เตอร์ครัว พร้อมเตาไฟฟ้าและเครื่องดูดควันที่ต่อระบบดูดควันออกไปนอกอาคาร เพื่อช่วยลดปัญหากลิ่นอาหารจากการทำครัวมาให้เสร็จสรรพ   ห้องตัวอย่างแบบ 1 Bedroom ที่มีให้ชมใน Sale Gallery จะมีด้วยกัน 2 ขนาด คือ ขนาดประมาณ 26 ตร.ม. และ 30 ตร.ม. ซึ่งมีทั้งแบบครัวเปิด หรือ ครัวปิดติดระเบียงให้ชม แต่ต่างกันที่ขนาดพื้นที่ใช้สอยในแต่ละส่วนนิดหน่อย ห้อง 1 Bedroom ขนาด 26.25 ตร.ม.   ในส่วนของ Spec ห้องที่เด่นในเรื่องของการออกแบบพื้นที่ใช้สอยแล้ว วัสดุต่างๆ ก็เลือกใช้ Spec ดีคุ้มค่าตัวห้อง ถึงแม้ราคาต่อตารางเมตรของ Nue Mega Plus Bangna จะมีค่าตัวสูงกว่าทั้งในแง่ของราคาเริ่มต้น หรือราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตร แต่ก็คุ้มค่า เพราะแลกมาด้วยข้อดีหลายข้อที่กล่าวไปแล้วข้างต้น ยิ่งถ้าเทียบกับห้องในขนาดที่ใกล้เคียงกัน (26-29 ตร.ม.) ด้วยแล้ว ในโครงการอื่นๆ อาจจะได้ห้องนอนที่กั้นด้วยประตูกระจกบานสไลด์ หรือได้ห้องที่ตกแต่งแบบ Fully Fitted เท่านั้น   ถ้ามีโอกาสได้ไปดูห้องตัวอย่างที่ Sale Gallery ซึ่งทางโครงการตั้งใจตกแต่งให้ใกล้เคียงกับห้องจริงได้มากที่สุด (ยกเว้นของตกแต่งในห้อง) เราก็จะได้ลองสัมผัสวัสดุ สุขภัณฑ์ เฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ภายในห้อง ได้ลองจินตนาการถึงการใช้ชีวิตในห้องได้ชัดเจนขึ้น   ห้อง 1 Bedroom ขนาด 30.46 ตร.ม.   พอพูดถึงห้องที่ขายในรูปแบบแต่งครบพร้อมอยู่ บางคนอาจจะนึกถึง Niche Mono Mega Space Bangna  เพราะเป็นอีกหนึ่งโครงการที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่แล้ว บนทำเลบางนา ซี่งอาจจะมีความใกล้เคียงกันในแง่ของขนาดห้อง การตกแต่งแบบ Fully Furnished แต่ก็ต้องยอมรับในข้อนึงว่า การปักหมุดที่ตั้งโครงการอยู่ติดห้างแบบ Nue Mega Plus Bangna ยังเป็นข้อได้เปรียบมากกว่าในเรื่องของความสะดวกสบาย และความอุดมสมบูรณ์ของการอยู่อาศัย   ตารางเปรียบเทียบข้อมูลของโครงการในย่านเดียวกัน   ในส่วนของการซื้อเพื่อการลงทุนปล่อยเช่านั้น หากมองว่าในย่านนี้มีการแข่งขันสูงในตลาดปล่อยเช่าเนื่องจากมีทางเลือกกระจายอยู่ในหลายโครงการ แต่ถ้าลองชั่งน้ำหนักด้วยข้อได้เปรียบต่างๆ ที่ Nue Mega Plus Bangna มี ก็น่าจะได้กลุ่มคนเช่าที่มีกำลังในการจ่ายที่สูงกว่าได้ไม่ยาก ด้วยห้องที่สร้างเสร็จทีหลัง โครงการใหม่กว่า ทันสมัยกว่า เดินทางสะดวกกว่า และถ้าในอนาคตรถไฟฟ้ารางคู่ขนาดเบา (LRT – Light Rail Transit) สร้างเสร็จ ก็จะเป็นปัจจัยที่ทำให้ราคาห้องมีมูลค่าสูงขึ้น และอาจจะทำกำไรส่วนต่าง (yield) ได้มากขึ้นทั้งจากการปล่อยเช่าหรือขายต่อก็ได้   พูดถึงจุดเด่น/ข้อดีมามากมายหลายข้อแล้ว จะบอกว่าโครงการ Nue Mega Plus Bangna ไม่มีข้อด้อย หรือจุดให้กังวลเลยก็คงจะเกินจริงไปบ้าง ต้องบอกกันตามตรงกว่า การที่ตัวโครงการตั้งอยู่ติดห้างเมกาบางนา คงหลีกเลี่ยงเรื่องการจราจรที่หนาแน่นบริเวณหน้าโครงการไม่ได้ แต่ถ้าเทียบกับความสะดวกสบายที่ได้รับ ก็ต้องบอกว่าคุ้มค่ามาก ซึ่งในอนาคตทำเลนี้อยู่บนแผนพัฒนารถไฟฟ้า หากรถไฟฟ้าเสร็จพร้อมใช้งาน ก็คงจะหมดข้อกังวลเรื่องรถติดไปได้มากเลยทีเดียว     สำหรับใครที่สนใจโครงการ Nue Mega Plus Bangna สามารถเข้าไปชมห้องตัวอย่างที่ Sale Gallery ติดเมกาบางนาได้แล้ว ซึ่งทางโครงการมีห้องตัวอย่างให้ชมด้วยกัน 4 แบบ สามารถเข้าไปลองสัมผัสบรรยากาศในห้องด้วยตัวเองก่อนได้ พร้อมรับข้อเสนอ ดาวน์ 0 บาท จองวันนี้ ไม่ต้องผ่อน รอโอนได้เลย ในราคาเริ่มต้น 2.5 ล้านบาท* สามารถลงทะเบียนรับโปรโมชั่นได้ที่ https://nobleurl.com/45n11qS    
[PR News] อีซี่วิซ  เปิดตัว กล้องวงจรปิด ซีรีย์ใหม่​ “H8 Pro” ความคมชัดระดับ

[PR News] อีซี่วิซ เปิดตัว กล้องวงจรปิด ซีรีย์ใหม่​ “H8 Pro” ความคมชัดระดับ

EZVIZ (อีซี่วิซ) เตรียมอวดโฉม กล้องวงจรปิด สำหรับการติดตั้งภายนอกอาคารซีรีย์ใหม่ “H8 Pro” กล้องสมาร์ท Wi-Fi แบบแพนและเอียง หมุนได้ 360 องศา     EZVIZ H8 Pro Series นวัตกรรมกล้องวงจรปิดอัจฉริยะสำหรับการติดตั้งภายนอกอาคาร เชื่อมต่อสัญญาณผ่านระบบ Wi-Fi ที่มีนวัตกรรมโดดเด่น 4 ด้าน ได้แก่   นวัตกรรมที่ทำงานด้วยระบบอัตโนมัติที่โดดเด่นน่าจับตา ทั้งการตรวจจับด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะขั้นสูง แยกแยะการเคลื่อนไหวของมนุษย์หรือรถยนต์ได้อย่างชาญฉลาด พร้อมล็อกและติดตามเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ และยังเพิ่มวิสัยทัศน์การมองเห็นที่ครอบคลุมทุกมิติมากขึ้น แสดงภาพสีคมชัดทั้งกลางวันและกลางคืน พร้อมสลับโหมดการแสดงภาพอัตโนมัติกับฟีเจอร์ Smart Night Vision (มีไฟ IR 2 ดวง) ช่วยให้คุณตรวจจับทุกเหตุการณ์ที่เคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วและไกลถึง 30 เมตร (98 ฟุต) มาพร้อมระบบเตือนภัยเชิงรุก แจ้งเตือนผู้บุกรุกด้วยไฟกระพริบและไซเรนดังอัตโนมัติ พร้อมส่งข้อความแจ้งเตือนให้คุณรับรู้ในทันที ให้คุณไม่พลาดทุกความเคลื่อนไหวและป้องกันภัยได้อย่างทันท่วงที   เสริมวิสัยทัศน์การมองเห็นครอบคลุมทุกมิติด้วยเลนส์ประสิทธิภาพสูงแบบเรียลไทม์ ช่วยทลายทุกกรอบการมองเห็นเพื่อการปกป้องที่กว้างมากขึ้น ด้วยการออกแบบให้กล้องปรับหมุนได้ทั้งแนวตั้ง 340° และแนวนอน 80° (Pan and tilt camera) ครอบคลุมมุมมองพาโนรามา 360° ผ่านเลนส์อัจฉริยะที่ให้ภาพคมชัดสูงสุด กับ 2 โมเดลที่แตกต่างให้เลือก คือ วิดีโอความละเอียดระดับ 2K (3 ล้านพิกเซล) และระดับ 3K (5 ล้านพิกเซล) ที่คมชัดทุกรายละเอียด ผสานการทำงานกับเซ็นเซอร์ DWDR (Digital Wide Dynamic Range) ที่ช่วยปรับสมดุลความสว่างในภาพย้อนแสงอัตโนมัติ ช่วยให้การบันทึกภาพมีความคมชัดสมจริงแม้อยู่ในที่แสงน้อยที่สุด   นวัตกรรมที่สนับสนุนการควบคุมและสั่งงานจากระยะไกล ผ่าน EZVIZ App ซึ่ง อีซี่วิซ ไม่เคยหยุดยั้งการพัฒนาระบบให้มีความทันสมัยอยู่เสมอ เพื่อให้สามารถเฝ้าติดตามดูแลและควบคุมการสั่งงานได้จากทุกที่ทุกเวลาผ่านสมาร์ทโฟนได้ง่ายและรวดเร็ว มีฟังก์ชั่น “การสื่อสารสองทาง” พร้อมเสริมประสิทธิภาพเสียงให้คมชัดมากยิ่งขึ้นด้วยไมโครโฟนแบบตัดเสียงรบกวนและลำโพงในตัว  สามารถเชื่อมต่อการสื่อสารกับคนในครอบครัวได้จากทุกที่ทุกเวลา และยังมาพร้อมฟีเจอร์เด็ดที่ผู้บริโภคกำลังมองหามากที่สุด กำหนดตำแหน่งเริ่มต้น (Home) ให้กล้องปรับหมุนไปยังจุดที่บันทึกไว้ล่วงหน้าได้มากถึง 12 ตำแหน่งแบบอัตโนมัติ ช่วยลดความยุ่งยากกับการใช้งาน ไม่ต้องคอยกดหมุนกล้องทุกครั้งที่ต้องการเฝ้าดูเหตุการณ์ต่างๆ ในบริเวณโดยรอบ และฟีเจอร์พิเศษที่มีเฉพาะในกล้องรุ่น H8 Pro 3K ให้คุณสามารถสร้างคำสั่งให้กล้องจดจำท่าทาง “การโบกมือ” เพื่อให้คุณ VDO Call หากันได้ง่ายๆ อีกด้วย   ระบบการปกป้องข้อมูลและความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ในระดับสูงสุด ด้วยการเข้ารหัสลับแบบ AES 128 บิต และการยืนยันตัวตนหลายขั้นตอน บน EZVIZ Cloud ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มระดับโลกสำหรับการจัดเก็บวิดีโอที่ปลอดภัย เพื่อให้ทุกข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งานได้รับการรักษาความปลอดภัยสูงสุด และอีกหนึ่งความพิเศษ กล้อง H8 Pro ได้เพิ่มความจุเมมโมรี่ได้สูงถึง 512 GB เสริมด้วยเทคโนโลยีการบีบอัดวิดีโอรูปแบบใหม่ H.265 ที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มความสามารถในการบีบอัดข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพและใช้พื้นที่ความจุน้อยลง เพื่อให้การบันทึกมีความต่อเนื่อง พร้อมทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยเฝ้าดูแลบ้านคุณให้ปลอดภัยตลอด 24 ชม.   EZVIZ H8 Pro มาอวดโฉมด้วยดีไซน์ที่ดูทันสมัยและมีความมินิมัลมากขึ้น ตัวเครื่องออกแบบให้มีสีขาวสะท้อนความเรียบง่ายที่เข้าได้กับการตกแต่งทุกสไตล์ ผลิตภัณฑ์จากวัสดุที่ได้มาตรฐาน กันน้ำ กันฝุ่น ทนต่อทุกสภาพอากาศในเมืองไทย โดยสามารถหาซื้อ EZVIZ “H8 Pro” กล้องสมาร์ท Wi-Fi Outdoor Camera ได้แล้ววันนี้ ที่ตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ
ณวรางค์ แอสเซท  เปิดคอนโด “ณ วรา พหลโยธิน 8” 300 ล้าน  ลุยตลาดอสังหาฯ ไตรมาสสุดท้าย

ณวรางค์ แอสเซท เปิดคอนโด “ณ วรา พหลโยธิน 8” 300 ล้าน ลุยตลาดอสังหาฯ ไตรมาสสุดท้าย

ณวรางค์ แอสเซท เดินหน้าปั้นโปรเจ็กต์ใหม่ “ณ วรา พหลโยธิน 8” มูลค่า 300 ล้าน จับกลุ่มลูกค้าเรียลดีมานด์ ชูจุดเด่นห้องไซส์ใหญ่ จำนวนเพียง 35 ยูนิต เล็งปั้นโปรเจ็กต์ต่อเนื่อง ยึดทำเลลาดปลาเค้า-พระราม 5-รพ.ศิริราช-สุขุมวิท ปูทางสู่การพัฒนาโครงการปีละ 1,000 ล้าน   นายอภิภู พรหมโยธี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ณวรางค์ แอสเซท จำกัด เปิดเผยว่า ได้เตรียมเปิดพรีเซลล์ โครงการ ณ วรา พหลโยธิน 8 มูลค่าโครงการรวม 300 ล้านบาท ในวันที่ 5-6 พฤศจิกายน 2565 นี้  ซึ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียม Low rise จำนวน 8 ชั้น ระดับลักชัวรี่ ตั้งอยู่ในซอยพหลโยธิน 8  โดยตั้งเป้าหมายว่าภายในสิ้นปีจะสามารถสร้างยอดขาย 50% เนื่องจากยังมีความเชื่อมั่นตลาดอสังหาริมทรัพย์ของไทย โดยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพฯ ที่ยังมีกลุ่มลูกค้าต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเพื่ออยู่จริง  โดยภาพรวมตลาดอสังหาฯ ในพื้นที่ย่านพหล-อารีย์ ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ยังคงมีการพัฒนาโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง  ซึ่งทำเลนี้ยังมีอุปสงค์ (Demand) เพิ่มขึ้น ในขณะที่อุปทาน (Supply) ลดลง บริษัทจึงเล็งเห็นศักยภาพของทำเล และจากก่อนหน้านี้ เคยเข้ามาพัฒนาโครงการ ณ วีรา พหล-อารีย์ ซึ่งประสบความสำเร็จสามารถทำยอดขายได้ 40% จากการเปิดการขายช่วงพรีเซลภายในวันเดียว จุดแข็งของโครงการ ณ วรา พหลโยธิน 8 คือ การตั้งอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพ มีการเติบโตเป็นย่านใจกลางธุรกิจได้ในอนาคต และมีจุดขายที่สำคัญ คือ ความเป็นส่วนตัวด้วยจำนวนเพียง 35 ยูนิต การเชื่อมต่อการเดินทางรถไฟฟ้าบีทีเอส ที่จอดรถมากถึง 80% ราคาขายเฉลี่ย 135,000 บาทต่อตร.ม. หรือเริ่มต้นราคา 6.6 ล้านบาท  นอกจากนี้ จากการพัฒนาโดยเน้นห้องขนาดใหญ่ ซึ่งมีพื้นที่เริ่มต้น 40 ตร.ม. และส่วนใหญ่จะเป็นขนาด 2 ห้องนอน พื้นที่ตั้งแต่ 50.50-77.50 ตร.ม. เป็นการตอบสนองความต้องการของลูกค้า ที่ต้องการอยู่ห้องขนาดใหญ่ ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน ซึ่งโครงการส่วนใหญ่ที่พัฒนาอยู่ในปัจจุบัน จะมีห้องขนาดเล็กเริ่มต้น 28-32 ตร.ม. จึงถือว่าเป็นสินค้าที่หาได้ยากในพื้นที่ดังกล่าว  ​ สำหรับโครงการ ณ วรา พหลโยธิน 8 ตั้งอยู่บนพื้นที่ 0-1-95 ไร่ จำนวน 35 ยูนิต มีห้องให้เลือก 4 แบบ 1.แบบ 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ พื้นที่ใช้สอยเริ่มต้น 40-46 ตร.ม. 2.แบบ 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ พื้นที่ใช้สอย 50.50 ตร.ม. 3.แบบ 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ พื้นที่ใช้สอย 53-77.50 ตร.ม. และ 4.แบบ ดูเพล็กซ์ 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ พื้นที่ใช้สอย 107.50-116 ตร.ม. โดยจะเริ่มก่อสร้างในช่วงต้นปีหน้า และคาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงไตรมาส 1 ปี 2567   นายอภิภู กล่าวอีกว่า ส่วนภาพรวมการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ที่ผ่านมาว่า ถือว่าเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ สามารถปิดโครงการ ณ วรา เรสซิเดนซ์ และ โครงการ ณ วีรา พหล-อารีย์ ได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขณะที่โครงการ ณ รีวา เจริญนคร ปัจจุบันมียอดขายแล้วกว่า 50%  ซึ่งโครงการคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จ และเริ่มทยอยรับรู้รายได้ภายในปี 2567    สำหรับแผนการดำเนินงานในอนาคต บริษัทตั้งเป้าหมายพัฒนาโครงการให้ได้ปีละ 1,000 ล้านบาท หรือปีละ 2-3 โครงการ  โดยในปีหน้าวางแผนพัฒนาโครงการในย่านลาดปลาเค้า ใกล้มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ทำเลย่านโรงพยาบาลศิริราช ย่านพระราม 5 และทำเลย่านสุขุมวิทตอนปลายด้วย    อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -5 เหตุผล “ณวรางค์ แอสเซท” พัฒนาโครงการย่านเจริญนคร -“ณ วีรา พหลฯ-อารีย์” แอคทีฟแบบชีวิตติดเมือง สุขเต็มที่กับความเป็นส่วนตัว จาก “ณวรางค์ แอสเซท”  
“รัชดา-วงศ์สว่าง” น่าอยู่อย่างไร?

“รัชดา-วงศ์สว่าง” น่าอยู่อย่างไร?

“รัชดา-วงศ์สว่าง” น่าอยู่อย่างไร?   พื้นที่ในย่าน “รัชดา-วงศ์สว่าง” โซนที่เรียกได้ว่า เป็นพื้นที่ของการอยู่อาศัยขนาดใหญ่มานาน เนื่องจากการขยายตัวของชุมชน จากโซนบางซื่อมาจนถึงวงศ์สว่างจะเห็นได้ว่ามีหมู่บ้านเก่าแก่เกิดขึ้นมากมาย ประกอบกับในบริเวณนี้ยังเป็นแหล่งงานขนาดใหญ่ ด้วยเหตุที่มีสำนักงานใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) ใกล้กับชุมทางรถไฟบางซื่อ ใกล้สถานีขนส่งหมอชิต แล้วยังมีพื้นที่ของหน่วยงานภาครัฐอีกมากมาย บริเวณนี้จึงมีการพัฒนาที่อยู่อาศัยมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน   สะดวกเดินทาง “รัชดา-วงศ์สว่าง” น่าอยู่อย่างไร? “แยกวงศ์สว่าง” เป็นแยกสำคัญที่เป็นจุดเชื่อมต่อถนนสายสำคัญเข้าด้วยกัน โดยมี “ถนนวงศ์สว่าง” และ “ถนนรัชดาภิเษก”  ตัดกับ “ถนนกรุงเทพ-นนทบุรี” ซึ่งมีรถไฟฟ้าสายสีม่วงยาวตลอดสาย จากแหล่งที่อยู่อาศัยเดิมที่เป็นบ้านแนวราบ และอาคารพาณิชย์เสียเป็นส่วนใหญ่ ก็มีเริ่มมีโครงการคอนโดมิเนียมผุดขึ้นมากมายตามแนวรถไฟฟ้า ที่ดินในโซนนี้จึงถูกพัฒนาเกือบเต็มพื้นที่ และอาจมีการชะลอตัวเล็กน้อยในช่วงที่รถไฟฟ้า MRT ทั้ง 2 สายยังไม่เชื่อมต่อถึงกัน   หลังจากที่รถไฟฟ้าสายสีม่วงได้เชื่อมการเดินทางกับรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินเสร็จสมบูรณ์ ก็ทำให้ทำเลในย่านวงศ์สว่างกลับมาเป็นที่น่าจับตาอีกครั้ง นอกจากนี้ การใช้รถส่วนตัวก็เป็นอีกทางเลือกที่ยังคงสะดวกมากเช่นกัน ด้วยเป็นทำเลที่มีจุดขึ้นลงทางด่วนอยู่ไม่ไกล แถมยังมีหลายด่านให้เลือกใช้ เช่น ด่านประชาชื่น, ด่านรัชดาภิเษก และด่านบางกรวย ในขณะที่ถนนรัชดาภิเษกซึ่งถือเป็นถนนวงแหวนรอบในของกรุงเทพฯ ก็เป็นถนนสายสำคัญที่ตัดผ่านใจกลางเมือง ใจกลางย่านธุรกิจ ทั้งฝั่งธนบุรีและพระนคร ไปจนถึงนนทบุรีกันเลยทีเดียว     และ “สถานีกลางบางซื่อ” ซึ่งเป็นศูนย์กลางการเดินทางระบบรางขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศไทยและอาเซียน ก็เป็นอีกชุมสายของการเดินทางที่สำคัญไม่แพ้กัน เพราะเป็นทั้งชุมทางของรถไฟฟ้าทั้ง 3 สาย รถไฟฟ้าสายสีแดงเข้ม, รถไฟฟ้าสายสีแดงอ่อน และรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน อีกทั้งยังเป็นสถานีรถไฟหลักแห่งใหม่ของไทย แทนสถานีหัวลำโพงเดิม และในอนาคตจะเป็นสถานีรองรับระบบรถไฟฟ้าความเร็วสูงอีกด้วย ความเป็นศูนย์กลางการเดินทางระบบรางที่สำคัญนี่เอง จะทำให้การเดินทางไปยังภาคส่วนต่างๆ ของประเทศไทยมีความสะดวกมากยิ่งขึ้นไปอีก   “ศุภาลัย ลอฟท์ รัชดา-วงศ์สว่าง” คอนโดมิเนียมติดใจกลางเมือง   อย่างที่เกริ่นกันไปแล้วในเรื่องความเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของย่าน  “รัชดา-วงศ์สว่าง” ดังนั้นเราจะพาไปทำความรู้จักกับโครงการใหม่ล่าสุดจาก บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ที่กำลังจ่อคิวเปิดตัวในเร็ววันนี้     โครงการศุภาลัย ลอฟท์ รัชดา-วงศ์สว่าง ปักหมุดริมถนนรัชดาภิเษก (ขาเข้า) ช่วงระหว่างแยกวงศ์สว่าง และแยกประชานุกูล เป็นจุดที่สามารถเดินทางได้สะดวก ไม่ว่าจะเดินทางเข้าสู่ใจกลางรัชดา ศูนย์รวมธุรกิจขนาดใหญ่ที่ได้รับการขนานนามว่า New CBD ของกรุงเทพฯ ตลอดเส้นทางที่ถนนรัชดาภิเษกตัดผ่านเราจะเห็นอาคารสำนักงานขนาดใหญ่มากมายที่เราคุ้นเคย  อีกทั้งหน่วยงานราชการ โรงพยาบาล โรงเรียน มหาวิทยาลัย รวมไปถึงแหล่งช้อปปิ้ง แฮงค์เอ้าท์มากมายเต็มไปหมด อาทิ ธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักงานใหญ่ (SCB), อเวนิว รัชโยธิน, เมเจอร์ รัชโยธิน, ตึกช้าง, สำนักงานอัยการสูงสุด, โรงเรียนสาธิต มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม, มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม, ศาลแพ่ง, ศาลอาญา, เมืองไทยภัทร คอมเพล็กซ์, บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต, เตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ รัชดา, เดอะ สตรีท รัชดา, CW Tower, บิ๊กซี เอ็กซ์ตร้า รัชดา, เอสพลานาด รัชดา, ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย, ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, สถานทูตจีน, อาคารทรู ทาวน์เวอร์, เซ็นทรัล พระราม9, ฟอร์จูน ทาวน์เวอร์, G Tower ฯลฯ   ในขณะที่จากทางแยกวงศ์สว่างไป ยังมีแหล่งงานขนาดใหญ่อย่าง สำนักงานใหญ่ ปูนซีเมนต์ไทย, การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า พระนครเหนือ, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร เป็นต้น     ถ้าจะบอกว่าตำแหน่งที่ตั้งของโครงการศุภาลัย ลอฟท์ รัชดา-วงศ์สว่าง มีความเหมาะสมสำหรับการอยู่อาศัยก็คงจะไม่เกินเลยนัก โดยเฉพาะกับกลุ่มวัยทำงานที่กำลังมองหาคอนโดมิเนียมใกล้แหล่งงาน มีการเดินทางสะดวก และมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันสามารถตอบโจทย์การอยู่อาศัยได้อย่างรอบด้าน ถึงแม้ว่าในปัจจุบันบริเวณใกล้ๆ ที่ตั้งโครงการจะไม่มีร้านสะดวกซื้อในระยะที่เดินถึง และบางคนอาจจะมองว่าขาดความอุดมสมบูรณ์ในเรื่องอาหารการกินไปบ้าง แต่ในความเป็นจริงแล้วถ้าขับรถหรือขยับออกไปทางแยกวงศ์สว่างซักนิด ก็จะเจอกับแหล่งช้อปปิ้งหลักของคนในย่านนี้อย่าง “วงศ์สว่างทาวน์เซ็นเตอร์”  หรือที่รู้จักและเรียกกันติดปากว่า “Big C วงศ์สว่าง” ซึ่งอยู่คู่แยกวงศ์สว่างมาอย่างยาวนาน และปัจจุบันพื้นที่ทั้งหมดกำลังมีการปรับปรุงโฉมครั้งใหญ่ คาดว่าจะมีร้านค้าชั้นนำมากขึ้น รวมถึงร้านอาหารชื่อดังก็จะตามมาเปิดให้บริการอีกมากมาย  ซึ่งบรรยากาศโดยรอบนี้น่าจะเปลี่ยนแปลงไปไม่น้อยเลยทีเดียว นอกจากนี้ก็ยังมีร้านอาหาร และคาเฟ่ ให้เลือกอีกพอสมควร และก็อยู่ไม่ห่างจากโครงการมากนัก หรือถ้าหากยังคิดว่าอยากให้ใกล้กว่านี้ เมื่อโครงการแล้วเสร็จ พื้นที่ร้านค้าภายในโครงการจะมีร้านสะดวกซื้ออย่าง 7-11 ให้บริการด้วย เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้ลูกบ้านไม่ต้องเหนื่อยเดินให้ไกลอีกต่อไป   HIGHLAND LIVELIHOOD – เปิดรับวิวมุมสูงแบบเต็มตา โครงการศุภาลัย ลอฟท์ รัชดา-วงศ์สว่าง เป็นคอนโดมิเนียม High Rise สูง 18 ชั้น จำนวน 3 อาคาร ที่มีแนวคิดในการออกแบบเพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตบนที่สูงได้อย่างเต็มที่ จัดเต็มด้วย Roof TopFacilities ส่วนกลางที่ยกขึ้นไปไว้บนชั้น 18 ซึ่งเป็นชั้นบนสุดของอาคาร พร้อมเชื่อมต่อพื้นที่ส่วนกลางบนดาดฟ้าทั้ง 3 อาคารด้วย Jogging Track ยาว 340 เมตร เพื่อให้ลูกบ้านทุกคนได้ใช้ Facility ได้อย่างอิสระเต็มที่ และเพิ่มมุมมองการเปิดรับวิวเมืองได้กว้างเต็มสายตา โดยมีสระว่ายน้ำ ระบบน้ำเกลือ ความยาว 30 เมตร, Kids Zone และ Relaxing Pavillion อยู่บนอาคาร A ส่วน Fitness, Co-Living Spaceและ Backyard Garden จะอยู่บนอาคาร B และบนอาคาร C จะเป็นพื้นที่ของ Co-Working Space ที่จะมาตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมืองในปัจจุบันที่ต้องการพื้นที่สำหรับสร้างสรรค์แรงบันดาลในการทำงานอย่างไม่รู้จบ     พื้นที่ส่วนกลางภายในโครงการไม่ได้จำกัดอยู่แต่บนชั้นดาดฟ้าเท่านั้น ด้วยไอเดียการออกแบบที่ต้องการเน้นความเรียบง่าย สงบ แต่ในขณะเดียวกันก็แฝงความหรูหราเอาไว้ด้วย โทนสีที่ใช้จึงเป็น Mono Tone และคุมธีมภายในเน้นใช้ Meterial หินลายธรรมชาติเป็นหลัก ให้ฟิลแบบการพักผ่อนในรีสอร์ท พร้อมด้วยพื้นที่สีเขียวกว่า 3 ไร่ และเสริมด้วย Green Wall สอดแทรกธรรมชาติในทุกส่วนของโครงการ ในขณะที่รูปแบบการใช้ชีวิตแบบ New Normal ก็ถูกจัดเป็นส่วนหนึ่งที่ทางโครงการให้ความสำคัญ ด้วยการออกแบบให้มีจุด Delivery Pick Up แยกเป็นสัดส่วนในทุกอาคาร, มีห้องเก็บพัสดุ และประตูอัตโนมัติเพื่อลดการสัมผัส   ยังไม่หมดแต่เพียงเท่านี้ พื้นที่ภายในโครงการยังใส่ใจการออกแบบแบบ Universal Design เพื่อรองรับผู้พิการ หรือผู้ที่ต้องใช้ Wheel Chair ให้สามารถใช้ชีวิตได้สะดวกสบายยิ่งขึ้น แถมยังเตรียมพร้อมรองรับการใช้รถไฟฟ้าที่กำลังได้รับความสนใจมากขึ้นด้วย จุดจอด EV Charger ภายในโครงการ หรือถ้าหากไม่สะดวกจะใช้รถส่วนตัว ทางโครงการก็จัดเตรียม Shuttle Bus ไว้บริการรับ-ส่ง ถึง MRT สถานีวงค์สว่างไว้ให้เรียบร้อยเลยทีเดียว     นอกจากนี้ การออกแบบและว่า Layout ห้องก็มีให้เลือกหลากหลายตามความต้องการ โดยมีไฮไลท์ อยู่ที่แปลนห้อง 1 ห้องนอน ซึ่งเป็นแบบห้องที่เพิ่ม Favorite Corner แยกจากห้องนอน สามารถใช้เป็นห้องทำงานเพื่อให้ตอบโจทย์การใช้ชีวิตแบบ New Normal ที่ต้อง WFH กันมากขึ้น พร้อมด้วยเพดานสูงถึง 2.7 เมตร ทำให้บรรยากาศภายในห้องกว้างและโปร่งสบายมากขึ้น รวมถึงยังมีแบบห้องที่น่าสนใจอื่นๆ ทั้งห้องแบบ Loft และแบบ 2 ห้องนอนที่เหมาะกับครอบครัวขนาดเล็ก หรือกลุ่มคนที่กำลังต้องการขยับขยายที่อยู่ใหม่เพื่อสร้างครอบครัว     ปัจจุบัน ณ ที่ตั้งโครงการ ได้เปิด Sale Gallery ให้เข้าสัมผัสบรรยากาศของห้องตัวอย่างได้แล้ว ซึ่งมีให้เข้าชมด้วยกัน 2 Type ในขนาด 35 ตร.ม. เหมือนกัน แต่ต่างกันที่ Layout ห้อง ซึ่งทำออกมาได้น่าสนใจทั้งคู่เลย พื้นที่ใช้สอยกำลังดี ฟังก์ชันที่จัดไว้ก็เหมาะกับการอยู่อาศัย 1-2 คน หรือกลุ่มคนทำงานที่ต้องการที่อยู่อาศัยใกล้ๆ แหล่งงานและเดินทางสะดวก           ถ้าหากว่าคุณกำลังมองหาคอนโดมิเนียมที่เดินทางสะดวกสบาย มีบรรยากาศที่เหมาะสมในการอยู่อาศัย ไม่ว่าจะไว้อยู่อาศัยเองหรือเพื่อการปล่อยเช่า โครงการศุภาลัย ลอฟท์ รัชดา-วงศ์สว่าง ก็น่าจะเป็นคอนโดมิเนียมที่ต้องเก็บไว้พิจารณาในลำดับต้นๆ เลยก็ว่าได้ ด้วยความเป็นโครงการใหม่ล่าสุดของย่านนี้ และเอกลักษณ์ของแบรนด์ที่สามารถตอบโจทย์กลุ่มคนทำงานได้เป็นอย่างดี ในราคาเริ่มต้น 1.7 ล้านบาท*   ถ้าไม่รีบตัดสินใจจับจอง โอกาสพลาดการเป็นเจ้าของน่าจะมีสูง!!   บทความน่าสนใจ “สามเสน-ราชวัตร” ย่านนี้มีเรื่องราว เตาปูน ของเราน่าอยู่ [VDO Review Around] ศุภาลัย เดินหน้าลุยตลาดคอนโด เตรียมเปิด 4 โปรเจ็กต์ใหม่    
แกรนด์ สิวารมณ์ สุขุมวิท-บางปู บ้านเดี่ยว 4 ห้องนอน ท่ามกลางบรรยากาศสุดชิล

แกรนด์ สิวารมณ์ สุขุมวิท-บางปู บ้านเดี่ยว 4 ห้องนอน ท่ามกลางบรรยากาศสุดชิล

แกรนด์ สิวารมณ์ สุขุมวิท-บางปู บ้านเดี่ยว 4 ห้องนอน ท่ามกลางบรรยากาศสุดชิล รีวิวฉบับนี้ เราจะพาไปชมบ้านเดี่ยว สไตล์ Modern English Victorian ภายใต้แบรนด์ “แกรนด์ สิวารมณ์ สุขุมวิท-บางปู" บ้านเดี่ยวบรรยากาศบ้านพักตากอากาศ ติดถนนสุขุมวิท จาก บริษัท สิวารมณ์ เรียลเอสเตท จำกัด มาแนะนำให้รู้จักกัน ซึ่งปักหมุดในย่านบางปูที่มีชื่อเสียงมายาวนานในเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติใกล้กรุงเทพฯ และเหมาะแก่การพักผ่อน ชมนกนางนวลที่อพยพมาในช่วงต้นฤดูหนาวของทุกปีด้วย   ถ้าพูดถึงชื่อ “บางปู” คงไม่มีใครไม่รู้จักอย่างแน่นอน ในโซนนี้เป็นพื้นที่ที่รองรับการขยายตัวจากเขตกรุงเทพฯ มาอย่างยาวนาน มีถนนสายหลักอย่าง “ถนนสุขุมวิท” ตัดผ่านเพื่อเป็นเส้นทางในการเดินทางสู่ภาคตะวันออกมาก่อนถนนบางนา-ตราด และถนนสายอื่นๆ ในปัจจุบัน เราจึงเห็นว่าในย่านนี้เป็นทั้งที่ตั้งของโครงการนิคมอุตสาหกรรมมากมาย เป็นทั้งแหล่งรวมของโกดัง ศูนย์กระจายสินค้า รวมทั้งมีการขยายตัวของแหล่งที่อยู่อาศัยมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังเป็นพื้นที่ที่ได้รับการพัฒนาด้านคมนาคมตลอดเวลา การเดินทางสะดวก มีถนนเชื่อมต่อเส้นทางหลักได้หลายสาย เช่น ถนนสุขุมวิท ถนนเทพารักษ์ ถนนแพรกษา ถนนบางนา-ตราด ฯลฯ และยังมีรถไฟฟ้า BTS สายสีเขียวเข้ม ซึ่งปัจจุบันมีสถานีเคหะเป็นสถานีปลายทาง  แต่ต่อไปในอนาคตส่วนต่อขยายจากสถานีเคหะ จะขยายต่อมาถึง “โซนบางปู” โดยมาสุดที่สถานีตำหรุ ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ที่อาศัยในย่านนี้เดินทางสะดวกมากยิ่งขึ้น     ปักหมุดทำเลดี  แกรนด์ สิวารมณ์ สุขุมวิท-บางปู บ้านเดี่ยวเพื่อการอยู่อาศัย ที่ตั้งของโครงการ แกรนด์ สิวารมณ์ สุขุมวิท-บางปู อยู่ติดถนนสุขุมวิท (สายเก่า) ซึ่งมีการเดินทางที่สะดวกไม่ว่าจะเป็นการเดินทางเข้าเมือง หรือเดินทางสู่โซนตะวันออกของไทย แถมยังเป็นทำเลที่มีรถไฟฟ้าเข้าถึงแล้วอีกด้วย ในขณะที่บริเวณรอบๆ มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งห้างสรรพสินค้าเพื่อการจับจ่ายใช้สอย โรงเรียน มหาวิทยาลัยชั้นนำ  สถานพยาบาลก็มีครบ ใกล้แหล่งท่องเที่ยวอย่าง สถานตากอากาศบางปู เมืองโบราณ อีกทั้งยังมีแหล่งงานขนาดใหญ่ในนิคมอุตสาหกรรมบางปู นิคมอุตสาหกรรม บางพลี และศูนย์กระจายสินค้าขนาดใหญ่อีกมากมาย แต่ด้วยทำเลที่ห่างออกจากโซนนิคมอุตสาหกรรมบางปูมาพอสมควร จึงได้บรรยากาศของเมืองตากอากาศอย่างเต็มที่ และเหมากับการอยู่อาศัยเป็นอย่างมาก   ห้างสรรพสินค้าใกล้เคียง โรบินสัน สมุทรปราการ บิ๊กซี สมุทรปราการ บิ๊กซี บางพลี โลตัส บางปู แมคโคร บางพลี โฮมโปร สุวรรณภูมิ เซ็นทรัล วิลเลจ เมกา บางนา อิเกีย บางนา   สถานศึกษาใกล้เคียง โรงเรียนสวนกุหลายวิทยาลัย สมุทรปราการ มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี สมุทรปราการ   สถานพยาบาลใกล้เคียง โรงพยาบาลรามาฯ สมุทรปราการ โรงพยาบาลรัทรินทร์ บางปู โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ต.บางปูใหม่ โรงพยาบาล บางนา 2 โรงพยาบาลศครินทร์ สมุทรปราการ   สถานที่ใกล้เคียงอื่นๆ นิคมอุตสาหกรรม บางปู นิคมอุตสาหกรรม บางพลี สถานตากอากาศบางปู เมืองโบราณ   บ้านเดี่ยวสไตล์ Modern English Victorian พร้อมบรรยากาศแห่งการพักผ่อน แกรนด์ สิวารมณ์ สุขุมวิท-บางปู มีคอนเซปต์การออกแบบตัวบ้านมาในสไตล์ Modern English Victorian ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ โดยเน้นที่ความหรูหรา กว้างขวางอยู่สบาย สามารถตอบโจทย์การอยู่อาศัยเพื่อทุกคนในครอบครัว โดยมีจุดเด่นที่ฟังก์ชันภายในบ้านที่แบ่งเป็น 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ บนที่ดินตั้งแต่ขนาด 50 ตารางวาเป็นต้นไป   ภายในพื้นที่โครงการขนาด 50 ไร่ ประกอบไปด้วยบ้านเดี่ยว 2 ชั้น จำนวน 227 ยูนิต ที่มีรูปแบบการดีไซน์ที่สวยงามทันสมัย โดยมีแบบบ้านให้เลือกด้วยกัน 3 แบบ ซึ่งแตกต่างกันไปด้วยพื้นที่ใช้สอยภายในบ้าน และขนาดของที่ดิน พร้อมฟังก์การใช้งานที่เอื้อต่อการอยู่อาศัยของทุกคนในครอบครัว ทุกแบบบ้านมีห้องน้ำ Master Bedroom ขนาดใหญ่ พร้อมห้องน้ำในตัว รวมถึงห้องอเนกประสงค์บริเวณชั้นล่าง ที่สามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานได้หลากหลาย ทั้งเป็นห้องนอนสำหรับผู้สูงอายุ ใช้เป็นห้องพักผ่อน หรือใช้เป็นห้องทำงานก็ได้ตามแต่ไลฟ์สไตล์ของเจ้าของบ้าน โดยมีแบบบ้านให้เลือกดังนี้   S – Simon บ้านเดี่ยว 2 ชั้น บนที่ดินเริ่มต้น 50 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 159 ตารางเมตร ฟังก์ชัน 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ     แบบบ้าน Simon มีขนาดกำลังดี เหมาะกับผู้ที่กำลังต้องการขยายครอบครัว และต้องการพื้นที่ส่วนตัวให้กับสมาชิกภายในบ้าน บริเวณชั้นล่างแบ่งเป็น Living Area ที่เปิดโล่งและเปิดรับแสงธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ ด้วยความสูงของเพดานที่สูงถึง 2.70 เมตรในบริเวณชั้นที่ 1 และชั้นที่ 2 เพดานสูงถึง 2.85 เมตร บริเวณ Living Area สามารถแบ่งการใช้สอยออกเป็นห้องรับแขก และห้องรับประทานอาหารได้สบายๆ รวมถึงห้องนอนชั้นล่าง ก็สามารถใช้เป็นห้องทำงาน หรือห้องนอนผู้สูงอายุได้ตามวัตถุประสงค์การใช้สอยอีกด้วย       ขึ้นมาที่บริเวณชั้น 2 แบ่งเป็น 3 ห้องนอน และ 2 ห้องน้ำ โดยมีห้อง Master Bedroom ขนาดใหญ่ พร้อมห้องน้ำในตัว แถมยังมีพื้นที่เหลือพอสำหรับทำ Walk-in Closet ได้สบายๆ นอกจากนี้อีก 2 ห้องนอนเล็กก็ยังมีขนาดกำลังดี สามารถตกแต่งเป็นห้องนอนของเด็กๆ ได้ตามในแบบบ้านตัวอย่างก็น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว   M – Marble บ้านเดี่ยว 2 ชั้น บนที่ดินเริ่มต้น 50 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 167 ตารางเมตร ฟังก์ชัน 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ         แบบบ้าน Marble จะมีพื้นที่ใช้สอยกว้างขึ้นมาอีกสเต็บ แต่ฟังก์ชันภายในบ้าน ยังคงมีลักษณะเดียวกันกับแบบบ้าน Simon รวมถึงความสูงของเพดานที่สูง 2.70 เมตร และ 2.85 เมตรเช่นเดียวกัน   Living Area บริเวณชั้นล่างมีความโอ่โถงมากขึ้น สามารถวางชุดโซฟาได้ใหญ่ขึ้น พื้นที่ติดกันวางชุดโต๊ะรับประทานอาหารได้ 4 ที่นั่งกำลังสวย ซึ่งใกล้ๆ กับชุด Pantry ที่ทางโครงการตกแต่งมาให้ชมเป็นไอเดีย นอกจากนี้ในบริเวณห้องนอนชั้นล่าง ในบ้านตัวอย่างยังจำลองเป็นห้องสตูดิโอ ที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์คนปัจจุบันที่นิยมมีกิจการบนโลกโซเชียล         ในขณะที่บริเวณชั้น 2 ก็แบ่งเป็น 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ ซึ่งแต่ละห้องก็มีพื้นที่ใช้สอยมากขึ้น และห้อง Master Bedroom ที่กว้างขวาง พร้อมเปิดรับแสงธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ เช่นเดียวกับห้องนอนเล็กอีก 2 ห้อง ก็มีหน้าต่างขนาดใหญ่มากพอให้ห้องสว่างได้ด้วยแสงจากธรรมชาติเช่นกัน     L – Luther บ้านเดี่ยว 2 ชั้น บนที่ดินเริ่มต้น 50 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 214 ตารางเมตร ฟังก์ชัน 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ             แบบบ้าน Luther เป็นที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มีลักษณะเป็นบ้านหน้ากว้าง และจะมีตำแหน่งอยู่บนที่ดินแปลงมุมทั้งหมด ในส่วนของการแบ่งฟังก์ชันภายในยังคงเหมือนกันทั้งหมด แต่เพิ่มเติมที่แบบบ้าน Luther จะมีการแบ่งพื้นที่สำหรับห้องครัวไว้ภายในบ้านมาให้เรียบร้อยแล้ว รวมถึงพื้นที่โถงกลางบ้านก็กว้างขวางมาก เหมาะกับครอบครัวขนาดใหญ่           ในขณะที่บริเวณชั้น 2 เมื่อขึ้นบันไดมาแล้วจะเจอกับ Living Area บริเวณโถงกลางระหว่างห้องต่างๆ ของชั้นบน ด้วยพื้นที่บ้านขนาดใหญ่ทำให้พื้นที่ใช้สอยแต่ละห้องกว้างขวางขึ้นเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะห้อง Master Bedroom ที่มีประตูกระจกใสยาวตลอดแนวระเบียง พร้อมกับ Walk-in Closet ขนาดใหญ่ขึ้นบริเวณหน้าห้องน้ำพอดี ในขณะที่ห้องนอนเล็กอีก 2 ห้อง กว้างพอที่จะมีโต๊ะทำงานพร้อมมุมส่วนตัวได้สบายๆ     ภายในโครงการ แกรนด์ สิวารมณ์ สุขุมวิท-บางปู มีพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย และมีบรรยากาศเงียบสงบ เป็นส่วนตัว และลมพัดเย็นสบายเหมือนเหมาะกับการพักผ่อนและอยู่อาศัย ทางโครงการจัดสรรพื้นที่สวนกลางไว้มากมาย บริเวณโซนด้านหน้า คลับเฮ้าส์ มีทั้งสระว่ายน้ำระบบน้ำเกลือ และสระน้ำพุที่ให้บรรยากาศการพักผ่อนเพิ่มขึ้น ภายในคลับเฮ้าส์มีทั้ง Co-working Space, Game Room และ ฟิตเนส พร้อมอุปกรณ์ครบถ้วน ถัดจากคลับเฮาส์เข้ามาด้านในโครงการ เป็นสวนสไตล์อังกฤษขนาดใหญ่ ตรงตามคอนเซปต์ Modern English Victorian ได้อย่างสมบูรณ์แบบ พร้อมสนามเด็กเล่นขนาดใหญ่, ลู่วิ่ง, มุมนั่งเล่นพักผ่อน แถมยังเอาใจคนรักสัตว์เลี้ยงแบบเต็มที่ เพราะมีพื้นที่ Pets Zone ไว้ให้น้องหมาได้วิ่งเล่นได้อย่างสบายใจ        โครงการ แกรนด์ สิวารมณ์ สุขุมวิท-บางปู เป็นอีกหนึ่งโครงการที่เหมาะสำหรับการอยู่อาศัยเป็นอย่างมาก ทั้งในส่วนของบรรยากาศโดยรวมภายในโครงการ และสิ่งอำนวยความสะดวกโดยรอบที่จัดว่ามีพร้อมสรรพ ในอนาคตส่วนต่อขยายของสถานีรถไฟฟ้ามาถึงสถานีตำหรุ ก็จะยิ่งทำให้การเดินทางเข้าสู่ใจกลางเมืองสะดวกมากยิ่งขึ้น อีกทั้งแบบบ้านของโครงการก็มีให้เลือกหลายแบบ สำหรับผู้อาศัยที่ต้องการขยายครอบครัวใหญ่ขึ้น หรือต้องการพื้นที่สำหรับสมาชิกในครอบครัวมากขึ้น อีกทั้งตัวโครงการเองก็ได้รับความสนใจจากคนในพื้นที่เป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากมีความคุ้นเคยกับพื้นที่อยู่แล้ว อีกทั้งราคาเริ่มต้นในระดับที่สามารถเป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้น จึงไม่น่าแปลกใจที่ทำให้โครงการนี้ถูกจับจองอย่างรวดเร็ว     สนใจโครงการ แกรนด์ สิวารมณ์ สุขุมวิท-บางปู หรือต้องการข้อมูลโปรโมชั่นเพิ่มเติม สามารถสอบถามข้อมูลได้ที่ www.sivarom.co.th/grand-bang-pu/   บทความที่เกี่ยวข้อง สิวารมณ์ วิลเลจ สุขุมวิท-เทพารักษ์ “สิวารมณ์” ขน 7 โครงการ อัดแคมเปญ ดันยอดขาย    
สิวารมณ์ วิลเลจ สุขุมวิท-เทพารักษ์ ทาวน์โฮมดีใกล้รถไฟฟ้า

สิวารมณ์ วิลเลจ สุขุมวิท-เทพารักษ์ ทาวน์โฮมดีใกล้รถไฟฟ้า

สิวารมณ์ วิลเลจ สุขุมวิท-เทพารักษ์ ทาวน์โฮมดีใกล้รถไฟฟ้า สำหรับใครที่กำลังมองหาบ้านใหม่เพื่อขยับขยายที่อยู่ของครอบครัว หรือสร้างครอบครัวใหม่ บ้านทาวน์โฮมก็ดูจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับหลายครอบครัว ด้วยราคาเริ่มต้นที่ไม่สูงจนเกินไปในทำเลใกล้เมือง เมื่อเปรียบเทียบกับการเลือกซื้อคอนโดมิเนียมแล้ว จึงได้เปรียบทั้งเรื่องพื้นที่ใช้สอย และอีกหลายๆ เรื่องเลยทีเดียว รีวิวฉบับนี้เรามีโครงการใหม่จาก บริษัท สิวารมณ์ เรียลเอสเตท จำกัด มาแนะนำให้รู้จักกัน โดยเฉพาะคนที่กำลังหาบ้านในโซนสุขุมวิท เทพารักษ์ สำโรง สมุทรปราการใกล้รถไฟฟ้ากันอยู่ กับโครงการ “สิวารมณ์ วิลเลจ สุขุมวิท-เทพารักษ์”   ปักหมุด สิวารมณ์ วิลเลจ สุขุมวิท-เทพารักษ์ ทาวน์โฮมดีใกล้รถไฟฟ้า ที่ตั้งของโครงการ “สิวารมณ์ วิลเลจ สุขุมวิท-เทพารักษ์” อยู่ในซอยศรีบุญเรือง 1 ห่างจากถนนเทพารักษ์ประมาณ 800 เมตร ซึ่งสามารถเดินทางเชื่อมต่อเข้าสู่เมืองได้สะดวกหลายเส้นทาง เพราะอยู่ใกล้ทางพิเศษวงแหวนตะวันออก-กาญจนาภิเษก มีถนนสายหลักให้เลือกในการเดินทางเข้าออกเมืองทั้ง ถนนเทพารักษ์ ถนนสุขุมวิท ถนนศรีนครินทร์ และถนนบางนา-ตราด นอกจากนี้ยังใกล้กับรถไฟฟ้าถึง 2 สาย ทั้งสายสีเหลือง-สถานีทิพวัล ซึ่งอยู่ฝั่งถนนเทพารักษ์ (ปัจจุบันอยู่ระหว่างก่อสร้าง) และสายสีเขียวอ่อน-สถานีสำโรง (สถานีอินเตอร์เชนจ์) และสถานีช้างเอราวัณ ซึ่งอยู่ทางด้านถนนสุขุมวิท โดยสถานีทั้งหมดนี้อยู่ห่างจากตัวโครงการประมาณ 2 กิโลเมตร สามารถต่อรถสาธารณะอื่นๆ ไปยังโครงการได้ง่าย หากไม่ต้องการใช้รถส่วนตัวในการเดินทางก็ถือเป็นทางเลือกที่คล่องตัวมากเช่นกัน     นอกจากการเดินทางที่สะดวกสบายแล้ว รอบๆ โครงการก็พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันครบครัน ทั้งห้างสรรพสินค้า คอมมูนิตี้มอลล์ เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายอย่าง เซ็นทรัลพลาซ่า บางนา, บิ๊กซี สำโรง, อิมพีเรียลเวิลด์, ลาซาลอเวนิว, ไบเทค บางนา, โรบินสัน สมุทรปราการ, โฮมโปร ศรีนครินทร์, แมคโคร ศรีนครินทร์, ฟูดแลนด์ ศรีนครินทร์ เป็นต้น รวมถึงโรงพยาบาลชั้นนำ และโรงเรียนชื่อดังอีกหลายแห่งเพื่อรองรับครอบครัวที่มีเด็กในวัยเรียน เช่น โรงเรียนอัสสัมชัญ สมุทรปราการ, โรงเรียนเซนต์โยเซฟทิพวัล, โรงเรียนเทพศิรินทร์ สมุทรปราการ ฯลฯ     ด้วยที่ตั้งของโครงการสิวารมณ์ วิลเลจ สุขุมวิท-เทพารักษ์ ที่อยู่ถัดจากถนนใหญ่เข้ามาในซอยศรีบุญเรือง 1 พอสมควร จึงมีข้อได้เปรียบในเรื่องห่างไกลความวุ่นวายจากถนนใหญ่ มีความเป็นส่วนตัวค่อนข้างมาก ในขณะที่บริเวณรอบๆ โครงการในซอยศรีบุญเรืองมีความเป็นชุมชนที่อยู่กันมานาน ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์เดิมที่อยู่กันมานาน มีร้านค้า ร้านอาหาร ร้านสะดวกซื้อ รวมถึงอพาร์ทเม้นต์เป็นจำนวนมากตามซอยที่แยกย่อยออกไป และยังมีพื้นที่โรงงานเดิมอยู่ด้วย ทำในบรรยากาศในซอยมีความคึกคักพอสมควร โดยเฉพาะในช่วงเช้าและเย็นน่าจะเป็นเวลาที่รถเข้าออกค่อนข้างมาก   อีกทั้งโครงการสิวารมณ์ วิลเลจ สุขุมวิท-เทพารักษ์ ได้รับความสนใจจากคนในพื้นที่ค่อนข้างมาก เนื่องจากมีความคุ้นชินกับทำเลมากอยู่แล้ว ประกอบกับความต้องการที่อยู่อาศัยใหม่สำหรับครอบครัว อีกทั้งความต้องการพื้นที่ทำงานในบ้านที่เป็นสัดส่วนมากขึ้นในภาวะที่ต้อง Work From Home หรือการขยายพื้นที่สำหรับครอบครัวใหม่เพื่อลดความแออัดจากที่อยู่เดิม จึงไม่น่าแปลกใจเพียงแค่เปิดตัวโครงการก็มียอดจองเป็นจำนวนมากจนแทบจะปิดเฟสกันไปเลย   ทาวน์โฮมสไตล์ Modern English Victorian สิวารมณ์ วิลเลจ สุขุมวิท-เทพารักษ์ มีคอนเซปต์การออกแบบตัวบ้านมาในสไตล์ Modern English Victorian ที่เน้นความหรูหราอยู่สบาย พร้อมเพิ่มฟังก์ชันภายในบ้านเพื่อการอยู่อาศัยที่ลงตัวมากขึ้น ด้วยทาวน์โฮม 2 ชั้น หน้ากว้าง 5.4 เมตร ประกอบด้วย 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ และ 2 ที่จอดรถ บนที่ดินขนาดเริ่มต้น 18.9 ตารางวา   ภายในพื้นที่โครงการกว่า 10 ไร่ มีพร้อมทั้งคลับเฮ้าส์ สระว่ายน้ำระบบน้ำเกลือ ฟิตเนส สวน และสนามเด็กเล่น เพื่อลูกบ้านเพียง 107 ยูนิตเท่านั้นที่จะได้บรรยากาศเพื่อการพักผ่อนอย่างแท้จริง นอกจากนี้เรื่องระบบรักษาความปลอดภัยก็เป็นสิ่งที่ทางโครงการให้ความสำคัญไม่แพ้กัน ทั้งการเข้า-ออกโครงการด้วย Easy Pass, เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง, กล้อง CCTV รวมถึงการติดตั้ง Smart Security System ภายในตัวบ้านทุกหลังให้อุ่นใจได้ตลอดการอยู่อาศัย     แบบบ้านของโครงการสิวารมณ์ วิลเลจ สุขุมวิท-เทพารักษ์ มีชื่อว่า “Winston” มีพื้นที่ใช้สอยภายในขนาด 124 ตารางเมตร ซึ่งการจัดสรรพื้นที่ภายในทำออกมาได้ดีและลงตัวมากๆ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่บริเวณหน้าบ้านที่มีหน้ากว้างถึง 5.4 เมตร สามารถจอดรถได้ 2 คันแบบสบายๆ ในขณะที่พื้นที่ชั้น 1 ของตัวบ้านจัดไว้เป็นสัดส่วน เปิดประตูเข้ามาแล้วจะเห็นโซน Living Area ที่เปิดโล่งยาวไปถึงด้านหลังของตัวบ้าน ซึ่งเราสามารถจัดเป็นพื้นที่ของห้องนั่งเล่นหรือห้องรับแขก ส่วนรับประทานอาหารและห้องครัว ที่เชื่อมต่อถึงกันเพื่อที่สมาชิกในครอบครัวจะได้ใช้พื้นที่ร่วมกัน ในขณะที่อีกด้านแบ่งเป็นห้องนอนเล็ก หรือห้องเอนกประสงค์ ที่เลือกใช้ได้ตามความต้องการ ไม่ว่าจะเป็นห้องนอนผู้สูงอายุซึ่งก็สะดวกดีเพราะอยู่ติดกับห้องน้ำที่ชั้นล่าง หรือจะใช้เป็นห้องทำงานก็เป็นอีกไอเดียที่เหมาะกับการ Work From Home ในปัจจุบัน     โซนทางด้านหลังบ้าน บริเวณพื้นที่ซักล้างสามารถต่อเติมเพิ่มให้เป็นครัวแยกออกมาจากตัวบ้าน หรือให้เป็นห้องซักผ้าก็ถือเป็นไอเดียทางเลือกที่ทำให้เราใช้สอยพื้นที่ภายในบ้านได้เป็นสัดส่วนและใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ ซึ่งทางโครงการก็ได้นำเสนอไว้ให้เห็นในบ้านตัวอย่างแล้ว     ขึ้นมาที่บริเวณชั้น 2 ของตัวบ้าน ด้านบนจะแบ่งออกเป็น 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ โดยที่ห้อง Master Bedroom มีห้องน้ำในตัว เพิ่มความสะดวกในการใช้งาน ในขณะที่อีกด้านแบ่งเป็น 2 ห้องเล็กซึ่งมีขนาดกว้างกำลังดี สามารถใช้เป็นห้องนอนเล็กทั้ง 2 ห้องก็ได้ หรือจะจัดสรรเพื่อการใช้สอยประโยชน์อื่นๆ ได้ตามไลฟ์สไตล์ของแต่ละครอบครัว   ทาวน์โฮมใส่ใจทุกรายละเอียด บ้านทุกหลังของโครงการสิวารมณ์ วิลเลจ สุขุมวิท-เทพารักษ์ มาพร้อมกับรายละเอียดของการออกแบบที่ผ่านการคิดและคัดสรรมาอย่างดี เพื่อตอบสนองการอยู่อาศัยที่สะดวกสบายและปลอดภัย บ้านทุกหลังติดตั้งสัญญาณกันขโมย (Smart Security System) มาให้เรียบร้อย ซึ่งเป็นส่วนที่เพิ่มความอุ่นใจให้กับลูกบ้านที่นอกเหนือจากระบบรักษาความปลอดภัยจากส่วนกลาง นอกจากนี้การเลือกใช้วัสดุและออกแบบฟังก์ชั่นในจุดต่างๆ ของตัวบ้านก็สะท้อนให้เห็นถึงความใส่ใจในรายละเอียดของทีมงาน โดยคำนึงถึงความต้องการของผู้อยู่อาศัย การใช้พื้นที่อย่างคุ้มค่า สะดวกสบาย และตอบโจทย์ความต้องการได้มากที่สุด เช่น การออกแบบให้บ้านหน้ากว้าง 5.4 เมตร สามารถรองรับการจอดรถได้ 2 คัน, ห้องเก็บของบริเวณด้านหน้า, ตำแหน่งปลั๊กสำหรับการติดตั้งกล้องวงจรปิด, ตำแหน่งปลั๊กไฟฟ้าภายในบ้าน และเพิ่ม Charging Port Built-in, จุดติดตั้งระบบต่างๆ รวมถึงการเลือกใช้วัสดุเพื่อช่วยลดความร้อนของตัวบ้าน ฯลฯ     หลังจากได้เห็นตัวบ้านของจริง พร้อมรายละเอียดต่างๆ แล้ว เชื่อว่าหลายคนคงอยากจะรู้ราคาขายพร้อมโปรโมชั่นกันบ้างแล้ว บ้านทาวน์โฮม สิวารมณ์ วิลเลจ สุขุมวิท-เทพารักษ์ ราคาเริ่มต้น 2.79 ล้านบาท* และหากใครอยากลองสัมผัสบรรยากาศจริง สามารถแวะไปชมบ้านตัวอย่างได้ที่โครงการ พร้อมข้อเสนอที่ทางโครงการเตรียมไว้ให้พิเศษ ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร.065-5201222 หรือ Sivarom Real Estate   บทความที่เกี่ยวข้อง [Preview] สิวารมณ์ วิลเลจ สุขุมวิท – เทพารักษ์ “สิวารมณ์” ขน 7 โครงการ อัดแคมเปญ ดันยอดขาย  
THE UNIQUE VILLAGE บ้านเดี่ยวสไตล์มินิมอล

THE UNIQUE VILLAGE บ้านเดี่ยวสไตล์มินิมอล

THE UNIQUE VILLAGE บ้านเดี่ยวสไตล์มินิมอล โครงการ THE UNIQUE VILLAGE By KTN ASSET THE UNIQUE VILLAGE บ้านเดี่ยวสไตล์มินิมอล บนทำเลศาลายา-คลองโยง ที่น่ารักน่าอยู่แบบสุดๆ ตอบโจทย์ทุกคนในครอบครัว ด้วยบ้านขนาด 4 ห้องนอน4  4 ห้องน้ำ บนที่ดินขนาด 49 ตารางวา แถมราคาช่วง Presale ก็โดนใจ เปิดตัวในงบ 2.99 ล้านบาท* เท่านั้น พร้อมความเป็นส่วนตัวแบบสุดๆ เพียงแค่ 4 ยูนิต     THE UNIQUE VILLAGE บ้านเดี่ยวสไตล์มินิมอล โครงการ THE UNIQUE VILLAGE By KTN ASSETเป็นโครงการบ้านเดี่ยว สไตล์ "มินิมอล" ตามคอนเซปต์ของแบรนด์ "Less Speaking, More Creating" ซึ่งโดดเด่นด้วยการออกแบบตัวบ้านให้มีความเรียบง่าย แต่ยังคงไว้ด้วยฟังก์ชันครบครัน ตอบสนองทุกความต้องการ ตอบโจทย์ความสะดวกสบายในการอยู่อาศัยของทุกคนในครอบครัว จากแนวคิด Organic Living ใช้ชีวิตใกล้ชิดธรรมชาติ บนทำเลในย่าน ศาลายา-คลองโยง จังหวัดนครปฐม ใกล้ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสายบางใหญ่-กาญจนบุรี (กำลังก่อสร้าง) สามารถเดินทางได้ง่าย ไม่ว่าจะเข้าสู่ใจกลางเมือง หรือเดินทางออกต่างจังหวัด ก็ใช้เวลาเดินทางไม่มาก ตัวบ้านอยู่บนที่ดินขนาด 49 ตารางวา ออกแบบเป็นหน้าจั่ว 2 ชั้น ภายในแบ่งเป็น 4 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ พื้นที่ใช้สอยทั้งหมด 132 ตารางเมตร ที่เพิ่มพื้นที่ให้ทุกคนในครอบครัวได้ใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่ ใกล้ทั้งแหล่งช็อปปิ้งอย่าง Central ศาลายา และมหาวิทยาลัยมหิดล แวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ทั้งร้านอาหาร ร้านกาแฟ และคาเฟ่เก๋ๆ อีกเพียบ ทำให้ทุกวันของคุณเป็นวันพักผ่อนได้พิเศษกว่าใคร ด้วยยูนิตจำนวนจำกัดเพียง 4 หลังเท่านั้น!! ราคาเริ่มต้น 2.99 ล้าน* เฉพาะช่วง PRESALE เท่านั้น *เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด KTN ASSET โทรสอบถามรายละเอียดโครงการ • โทรสอบถามเพิ่มเติม : 099-607-6116 • Line : @KTNASSET ( มี @ นำหน้า ) • Facebook : KTN ASSET บทความที่น่าสนใจ ‘ศาลายา – พุทธมณฑลสาย 5’ แลนด์มาร์กใหม่อสังหาฯ ทุ่ม 9 พันล้านขยายถนนนครอินทร์เชื่อมศาลายา
ผังเมือง เรื่องใกล้ตัว

ผังเมือง เรื่องใกล้ตัว

ผังเมือง เรื่องใกล้ตัว ผังเมืองคืออะไร? ผังเมือง คือ การกำหนดการใช้พื้นที่ให้เป็นระบบ เพื่อการวางแผนหรือพัฒนาเมืองให้เป็นไปตามกรอบการพัฒนาด้านกายภาพในระดับประเทศ ระดับภาค ระดับจังหวัด ระดับเมือง ระดับชนบท และพื้นที่เฉพาะควบคู่กับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อการพัฒนาเมือง บริเวณที่เกี่ยวข้อง หรือชนบทให้ดียิ่งขึ้น ทั้งในด้านสุขลักษณะ ความสะดวกสบาย ความเป็นระเบียบ ความสวยงาม การใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง ความปลอดภัยของประชาชน สวัสดิภาพของสังคม การป้องกันภัยพิบัติ และการป้องกันความขัดแย้งในการใช้ประโยชน์ที่ดิน รวมถึงเพื่อการบำรุงรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และเพื่อประโยชน์อื่นๆ ในการใช้พื้นที่อย่างเหมาะสม   ปัจจุบันการกำหนดพื้นที่ต่าง ๆ ในผังเมืองจะยึดตาม พระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. 2562 ซึ่งเป็นฉบับที่ได้มีการปรับปรุงเนื้อหาใหม่ให้มีความทันสมัยและเหมาะสมกับสภาพปัจจุบัน  และยังช่วยให้มีการวางผังเมืองได้ทั้งระบบตั้งแต่ระดับประเทศจนถึงระดับท้องถิ่น เพื่อให้เกิดการพัฒนาเมือง, การดำรงรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, รักษาคุณค่าทางศิลปวัฒนธรรม และยังมีการกระจายอำนาจให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้สามารถวางผังได้เองด้วย ประเภทของผังเมืองแบ่งออกเป็น 2 ระดับ 5 ประเภท ดังนี้ ผังนโยบายการใช้ประโยชน์พื้นที่ซึ่งจะใช้เฉพาะกับหน่วยงานของรัฐ เป็นการกำหนดแนวทางการใช้ที่ดินต่างๆ เพื่อสนับสนุนการพัฒนาประเทศโดยนำมาจากยุทธศาสตร์ชาติ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ ผังนโยบายระดับประเทศ ผังนโยบายระดับภาค ผังนโยบายระดับจังหวัด ผังกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดิน จะใช้กับหน่วยงานของรัฐและประชาชน ซึ่งอาจจะมีขนาดพื้นที่เต็มทั้งจังหวัด พื้นที่ระดับเมืองหรือชุมชนที่มีข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินกำหนดไว้ให้ปฏิบัติตาม เช่น การกำหนดรายละเอียดของการใช้ที่ดินในระดับพื้นที่และจัดสิ่งอำนวยความสะดวก เพื่อรองรับการอยู่อาศัยอย่างปลอดภัย แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ผังเมืองรวม มีการกำหนดโซนของการใช้ประโยชน์ที่ดินเป็นสีต่างๆ ผังเมืองเฉพาะ จะเป็นการเลือกพื้นที่พิเศษ และกำหนดจุดเด่นของเมืองเพื่อการออกแบบผังเมืองให้มีความเป็นอัตลักษณ์   โดยการวางผังเมืองต่างๆ จะมีผู้วางผัง 2 หน่วยงาน คือ “กรมโยธาธิการและผังเมือง” ซึ่งสามารถวางผังเมืองได้ทุกประเภท และ “องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น” สามารถวางผังเมืองได้ 2 ประเภท คือ ผังเมืองรวม และผังเมืองเฉพาะที่อยู่ในเขตพื้นที่ของตนเอง แต่ละต้องสอดคล้องเชื่อมโยงกับผังแต่ละระดับนั้นด้วย เพื่อให้เป็นระบบและมีทิศทางเดียวกัน   ผังเมือง เรื่องใกล้ตัว - โซนสี ต้องรู้ก่อนซื้อ ก่อนสร้าง สีแดง - ย่านธุรกิจการค้าที่หนาแน่น สีเหลือง – เขตที่อยู่อาศัย สีส้ม – เขตที่อยู่อาศัยหนาแน่นปานกลาง สีม่วง - พื้นที่อุตสาหกรรมและคลังสินค้า สีน้ำเงิน – ที่ตั้งหน่วยงานราชการ สีเขียว - พื้นที่เกษตรกรรม สีเขียวอ่อน – พื้นที่โล่งเพื่อการพักผ่อนและรักษาสิ่งแวดล้อม ฯลฯ   ผังเมือง เป็นเรื่องของประชาชน ผังเมืองทั้ง 5 ประเภท ประชาชนสามารถเข้ามามีส่วนร่วมได้ เมื่อจะมีการวางผังเมือง ผู้วางผังจะประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบ และแจ้งข้อมูลของผังให้ดูเพื่อทำความเข้าใจร่วมกัน ก่อนที่จะจัดประชุมเพื่อรับฟังความคิดเห็น เพื่อนำความเห็นเหล่านั้นมาประกอบการจัดทำผัง โดยขั้นตอนวางผังเมืองจะมีการปิดประกาศ 90 วัน เพื่อให้ผู้มีส่วนได้เสียมายื่นคำร้องสงวนสิทธิ์ไว้ล่วงหน้าเป็นหนังสือตามระยะเวลาที่กำหนด เมื่อผ่านขั้นตอนต่างๆ แล้ว ผังเมืองทุกประเภทจะมีผลใช้บังคับเมื่องได้มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว   โดยทั่วไปผังเมืองทุกประเภทจะไม่มีการกำหนดระยะเวลาในการใช้บังคับ แต่ผังนโยบายระดับประเทศ ผังนโยบายระดับภาค และผังนโยบายระดับจังหวัด จะต้องมีการทบทวนผังทุกๆ 5 ปี หรือก่อน 5 ปีหากมีความจำเป็น ส่วนผังเมืองรวมต้องมีการประเมินผลภายในเวลาไม่เกิน 5 ปี นับแต่วันที่ผังเมืองรวมใช้บังคับ หากผลของการทบทวนหรือประเมินผลเห็นว่าต้องมีการเปลี่ยนแปลง ผู้วางผังก็จะต้องจัดทำผังขึ้นใหม่ เพื่อใช้แทนผังเดิม บทลงโทษหากทำผิดผังเมือง เมื่อมีบทใช้บังคับแล้ว หากมีผู้กระทำผิดไม่ปฏิบัติตามผังเมืองรวม หรือผังเมืองเฉพาะ จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และมีโทษปรับรายวันอีกวันละไม่เกิน 30,000 บาท ตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืนหรือจนกว่าจะได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง และถ้านิติบุคคลกระทำผิด ผู้สั่งการของนิติบุคคลนั้นต้องรับโทษด้วย     ข้อมูลจาก : พระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ.2562 ฉบับประชาชน บทความน่าสนใจ ผังเมืองกรุงเทพหลากสี แบ่งไปทำไมกัน? ซื้อบ้านให้ไกลจากน้ำท่วม ควรดูอะไรบ้าง?    
3 ทำเลศักยภาพและโอกาสในการลงทุนที่อยู่อาศัย “จรัญฯ-แจ้งวัฒนะ-ลาดพร้าว 101”

3 ทำเลศักยภาพและโอกาสในการลงทุนที่อยู่อาศัย “จรัญฯ-แจ้งวัฒนะ-ลาดพร้าว 101”

เปิดศักยภาพและโอกาสการลงทุนอสังหาฯ ใน 3 ทำเลเติบโตสูง ​“จรัญฯ-แจ้งวัฒนะ-ลาดพร้าว 101” ได้อานิสงค์รถไฟฟ้า ช่วยผลักดันราคาและความต้องการอสังหาฯ  ย่านจรัญสนิทวงศ์ ได้รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน เปิดโอกาสการลงทุนเติบโต 8% ขณะที่แจ้งวัฒนะ-ปากเกร็ด ราคาที่ดินพุ่งกว่า 12.5% ส่วนทำเลลาดพร้าว 101 มีรถไฟฟ้าพัฒนาโดยรอบ และการเปลี่ยนสีผังเมืองผลักดันความเจริญ   ​นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลุมพินี วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด บริษัทด้านวิจัยและพัฒนาในเครือบริษัท แอล. พี. เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) เปิดเผยถึงผลการสำรวจความต้องการที่อยู่อาศัยใน 3 ทำเลประกอบด้วย “จรัญสนิทวงศ์-แจ้งวัฒนะ-ลาดพร้าว 101” ว่า เป็น 3 ทำเลที่มีความต้องการที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นผลมาจากการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนทั้งรถไฟฟ้าและทางด่วน ส่งผลให้ระดับราคาที่ดินใน 3 ทำเลมีการปรับตัวขึ้นเฉลี่ยมากกว่า 10% ต่อปี ในขณะที่ระดับราคาที่อยู่อาศัยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นตามระดับราคาที่ดินที่ขยับสูงขึ้นทั้งที่อยู่อาศัยเก่าและใหม่  จรัญสนิทวงศ์  "สายสีน้ำเงิน" ดันราคาคอนโด จากผลการสำรวจพบว่า   ทำเล “จรัญสนิทวงศ์” เป็นพื้นที่มีแนวโน้มการพัฒนาที่อยู่อาศัยในรูปแบบคอนโดมิเนียมเป็นหลัก โดยเฉพาะโซนติดรถไฟฟ้า โดยในปี 2563 คอนโดในย่านจรัญฯ มีอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (capital gain) จากการซื้อมาและขายออกไปเฉลี่ยอยู่ที่ 8% ต่อปี โดยระดับราคาคอนโดในทำเลนี้มีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 80,000-120,000 บาท/ตารางเมตร ซึ่งเป็นราคาที่ปรับขึ้น 20% จากปี 2560 และราคามีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นผลจากการขยายของเมืองตามแนวรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน โดยปัจจุบันมีจำนวนอาคารชุดเหลือขายในทำเลจรัญฯ 965 ยูนิต​ มีอัตราการขายเฉลี่ย 5% ต่อเดือน โดยมีระดับราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 89,700 บาทต่อตารางเมตร หรือประมาณ 2.8 ล้านบาทต่อยูนิต ในขณะเดียวกัน ความต้องการเช่าที่พักอาศัยในย่านนี้ก็มีความต้องการเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ตั้งแต่อดีตก่อนรถไฟฟ้าสีน้ำเงินจะแล้วเสร็จ เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีแหล่งงานทางการแพทย์อย่างโรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลธนบุรี และโรงพยาบาลยันฮี ทำให้มีกลุ่มผู้เช่าที่เป็นบุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องการที่พักอาศัยใกล้ที่ทำงานเป็นจำนวนมาก ราคาเช่าเฉลี่ยในย่านจรัญสนิทวงศ์อยู่ที่ 350 บาท/ตร.ม./เดือน โดยราคาเช่าห้องขนาด 30-35 ตร.ม.เฉลี่ยอยู่ที่ 10,000 บาท/เดือน ห้อง Studio type เฉลี่ยที่ 6,000-8,500 บาท/เดือน และมี Rental Yield ที่ 5% ต่อปี แจ้งวัฒนะ-ปากเกร็ด ที่ดินพุ่ง 12.5% ส่วนทำเล “แจ้งวัฒนะ-ปากเกร็ด” เป็นทำเลที่มีอัตราการเติบโตของโครงการใหม่โดยเฉลี่ย 100% - 250% ต่อปี  จากผลการสำรวจของทีมวิจัย พบว่า ณ สิ้นปี  2563 ทำเลแจ้งวัฒนะมีซัพพลายสะสมอยู่ที่ 10,325  ยูนิต​ โดยคิดเป็นบ้านพักอาศัย 15% และ คอนโด 85%  มีอัตราการขายของบ้านพักอาศัยอยู่ที่ 3.1%ต่อเดือน และอัตราการขายคอนโด​ในทำเลอยู่ที่ 5% ต่อเดือน สูงกว่าอัตราการขายของบ้านพักอาศัยเฉลี่ยในนนทบุรีซึ่งอยู่ที่ 2.8% ต่อเดือน  และอัตราการขายคอนโด​ในทำเลอยู่ที่ 4%ต่อเดือน   การเติบโตของการพัฒนาที่อยู่อาศัยในทำเลนี้ ทำให้ระดับราคาที่ดินในย่าน “แจ้งวัฒนะ-ปากเกร็ด” มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยราคาประเมินที่ดินสูงขึ้นเฉลี่ย 12.5% ต่อปี  ทำให้ระดับราคาที่อยู่อาศัยในทำเลนี้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 15-20% ต่อปี โดยเฉพาะราคาบ้านพักอาศัยย่านแจ้งวัฒนะ-เมืองทองธานี ที่เพิ่มขึ้นถึง 20%  ต่อปี โดยในด้านของตลาดมือสองมีอัตราผลตอบแทนของการลงทุน (capital gain) อยู่ที่ 7-8% ต่อปี  และมีราคาให้เช่าอยู่ที่ 28,000-35,000 บาท คาดว่าเมื่อรถไฟฟ้าสายสีแดง และสายสีชมพูเปิดใช้งาน จะยิ่งส่งเสริมให้ทำเลแจ้งวัฒนะเป็นทำเลที่มีความต้องการที่อยู่อาศัยมากขึ้นและราคาที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันบ้านพักอาศัยเปิดตัวใหม่ในทำเลแจ้งวัฒนะมีหลายระดับราคา ตั้งแต่บ้านทาวโฮมในราคาเริ่มต้น 2 ล้านบาท จนถึง บ้านเดี่ยวราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป จึงถือว่าเป็นทำเลที่มีบ้านพักอาศัยให้เลือกอย่างหลากหลาย ทำให้บ้านพักอาศัยในทำเล แจ้งวัฒนะ-ปากเกร็ดเหมาะสำหรับ ผู้ที่มองหาบ้านพักอาศัยในทำเลศักยภาพที่เดินทางสะดวกใกล้แหล่งงานและสถานศึกษา มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ และมีศักยภาพในการลงทุน ลาดพร้าวได้รถไฟ 4 สีดันการพัฒนา ในขณะที่การพัฒนารถไฟฟ้าทั้งหมด 4 สาย ที่ล้อมรอบพื้นที่ “ลาดพร้าว 101-โพธิ์แก้ว” ทั้งสายสีเหลือง, สีส้ม, สีเทา และสีน้ำตาล ปัจจุบัน สายสีเหลือง และสายสีส้มกำลังดำเนินการก่อสร้างและมีกำหนดเปิดใช้งานได้ภายในปี 2565 และปี 2567 ตามลำดับ ซึ่งจะช่วยให้การเดินทางเชื่อมต่อไปได้ทั่วทั้งกรุงเทพฯ สะดวกและง่ายยิ่งขึ้น ทำให้ทำเล   “ลาดพร้าว 101 – โพธิ์แก้ว” เป็นหนึ่งในทำเลศักยภาพทางโซนเหนือของกรุงเทพฯ โดยปัจจุบันในทำเลนี้มี บ้านพักอาศัยเปิดขายใหม่อยู่ทั้งหมด 14 โครงการ แบ่งเป็นรูปแบบบ้านเดี่ยวและบ้านแฝด 7 โครงการ ราคาขายต่อยูนิตมากกว่า 10 ล้านบาทขึ้นไป มียูนิต​เหลือขายคิดเป็นสัดส่วน 16% ของยูนิตที่เปิดขายอยู่ทั้งหมด โดยมีอัตราการขายเฉลี่ยอยู่ที่ 2% ต่อเดือน   อีกรูปแบบคือ ทาวน์โฮม อีกจำนวน 7 โครงการ มียูนิตเหลือขายคิดเป็นสัดส่วน 22% ของยูนิตที่เปิดขายอยู่ทั้งหมด โดยราคาขายเฉลี่ยต่อยูนิตแบ่งออกเป็น 3 ช่วงราคา ได้แก่ 3-5 ล้านบาท, 5-10 ล้านบาท และมากกว่า 10 ล้านบาท โดยมีอัตราการขายได้เฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ 7% 3% และ 4% ตามลำดับ ในขณะที่จำนวนเหลือขายในทำเลนี้มีประมาณ 420 ยูนิต ทำให้คาดว่าจะสามารถระบายยูนิตเหลือขายได้ภายใน 3 ปี   ในขณะที่ตลาดบ้านพักอาศัยมือสองในย่านมีราคาขายเริ่มต้นที่ 8 ล้านบาท สำหรับบ้านเดี่ยว อัตราค่าเช่าเริ่มต้น 35,000-120,000 บาทต่อเดือน ส่วนทาวน์โฮม 2 ชั้น ราคาขายเริ่มต้นที่ 2 ล้านบาท ทาวน์โฮม 3 ชั้น เริ่มต้นต่ำสุดที่ 3.70 ล้านบาท และสูงสุดถึง 6.50 ล้านบาท อัตราค่าเช่าเริ่มต้น 18,000-45,000 บาทต่อเดือน โดยขึ้นอยู่กับสภาพหรืออายุการใช้งานของบ้าน พื้นที่ใช้สอย และที่ตั้งห่างจากถนนหลักมากน้อยแค่ไหน ซึ่งอัตราค่าเช่านั้นใกล้เคียงกับอัตราการผ่อนชำระในกรณีซื้อเอง ทำให้โครงการที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่เป็นที่น่าสนใจและคุ้มค่าสำหรับผู้ที่มองหาที่อยู่อาศัยมากกว่า ร่างผังเมืองใหม่ดันราคาพุ่ง ในขณะเดียวกัน ร่างผังเมืองใหม่ที่จะประกาศใช้ในเร็วนี้ ได้มีการปรับการใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่ “ลาดพร้าว 101-โพธิ์แก้ว” จากพื้นที่สีเหลือง เป็นพื้นที่สีส้ม คือ ประเภทพื้นที่อยู่อาศัยหนาแน่นปานกลาง ทำให้สามารถพัฒนาที่ดินได้เพิ่มมากขึ้นจาก FAR 3:1 – OSR 10% เป็น FAR 3.5:1 – OSR 8.5% และสามารถพัฒนาโครงการคอนโดขนาดน้อยกว่า 10,000 ตารางเมตร หรือพื้นที่มากกว่า 10,000 ตารางเมตรได้ โดยที่เหล่าผู้พัฒนารายใหญ่ยังมีที่ดินผืนใหญ่รอพัฒนาในบริเวณรอบ ๆ ย่านนี้อีกจำนวนมาก ซึ่งจะทำให้ราคาที่ดินในย่านมีแนวโน้มจะปรับตัวสูงขึ้นอีก จากปัจจุบันราคาซื้อขายที่ดินในย่านนี้ต่ำสุดอยู่ที่ราคา 50,000 บาท/ตารางวา ซึ่งเป็นที่ดินบริเวณกลางซอยลาดพร้าว 101 และราคาสูงสุดอยู่ที่ 130,000 บาท/ตารางวา ในตำแหน่งที่ดินที่ใกล้ถนนประเสริฐมนูญกิจหรือถนนลาดพร้าว   “การพัฒนาระบบขนส่งมวลชน ทำให้เมืองขยายจากพื้นที่เศรษฐกิจเดิมอย่างย่านสุขุมวิท เพลินจิต สาทร ไปสู่ย่านเศรษฐกิจใหม่ ซึ่งทั้ง 3 ทำเล  ถือเป็นย่านธุรกิจใหม่ที่กระจายออกมาจากศูนย์กลางเศรษฐกิจเดิม จึงเป็นโอกาสสำหรับการลงทุนของผู้ประกอบการ และผู้ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในระดับราคาที่จับต้องได้และเดินทางได้สะดวก”  
รีวิวพาทัวร์เลาะรั้วรอบบ้าน “ถนนจันทน์”

รีวิวพาทัวร์เลาะรั้วรอบบ้าน “ถนนจันทน์”

รีวิวพาทัวร์เลาะรั้วรอบบ้าน "ถนนจันทน์" ช่วงนี้อากาศกำลังดีค่ะ วันนี้เลยจะพาทุกคนไปเดินเล่นแถวๆ "ถนนจันทน์" กันซักหน่อย ด้วยความที่เป็นพื้นที่คุ้นเคยเพราะเกิดและโตในย่านนี้จนคุ้นชินกับบรรยากาศของชุมชนในระแวก และเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ก็ตั้งแต่ยังไม่ตัดถนนนราธิวาสฯ นั่นแหละ คงไม่ต้องสืบแล้วนะว่าเกิดมานานขนาดไหน อิอิ   ย่านถนนจันทน์เป็นย่านของชุมชนเก่าค่ะ บรรยากาศคึกคักพลุกพล่านตลอดทั้งวัน ที่สำคัญ.. เป็นแหล่งที่ขึ้นชื่อเรื่องอาหารการกินอยู่พอตัว เรียกว่ามีร้านเก่าแก่ ร้านอร่อย ร้านดัง พ่วงด้วยร้านใหม่ๆ ตามสมัยนิยมมาเปิดกันมากมายเลยทีเดียว รอบนี้เราเลือกปักหมุดในโซนหัวถนนที่เชื่อมต่อกับถนนนางลิ้นจี่ ลัดเลาะไปตามถนนจันทน์เก่า แล้วก็วนมาที่ถนนจันทน์ตัดใหม่ (ซื่งไม่ใหม่แล้ว) เพราะเราเห็นว่าโซนนี้มีความเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมาก มีความร่วมสมัยมากขึ้น มีชาวต่างชาติเข้ามาอยู่เยอะ คอนโดใหม่ก็แยะ พอๆ กับที่มีร้านชิคๆ คูลๆ อีกหลายร้านจนเราอยากจะขออวดซะหน่อย   เลาะรั้วรอบ "ถนนจันทน์" เริ่มต้นด้วยไลฟ์สไตล์แบบสายเฮลท์ตี้ ต้องไม่พลาดร้าน “Snooze Atlas” ร้านสีเขียวขนาดกะทัดรัดริมถนนนางลิ้นจี่ ที่มี Smoothies Blows คุณภาพไม่กะทัดรัดเลยนะจ๊ะ แต่ละถ้วยอัดแน่นไปด้วยผักผลไม้สดแช่แข็ง อุดมไปด้วยวิตามินธรรมชาติ เราแนะนำให้บูสเช้าวันใหม่กันด้วย “Acai Sunset” เพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระจาก Super Fruit ให้เต็มคำกันก่อน แถมยังอิ่มท้องด้วย Topping ที่คัดแล้วว่าดีต่อสุขภาพอีกเพียบ ทั้งเมล็ดเจีย งาขี้ม่อน เกสรผึ้ง โกจิเบอร์รี่ มะพร้าวคั่ว กราโนล่า และผลไม้สด Smoothies ถ้วยนี้ได้รสเปรี้ยวๆ หวานๆ แถมยังเย็นฟรีซสุดๆ กันไปเลย กินแล้วรับรองว่าสดชื่นตลอดทั้งวันแน่นอน   นอกจาก Acai Sunset ที่เราเลือกแล้ว ที่ร้านก็ยังมี Smoothies Blows ให้เลือกอีกหลายแบบ ซึ่งอ่านชื่อเมนูและส่วนผสมแล้วก็อยากลองไปซะทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็น Afternoon Delight, Green Twelve หรือแม้แต่เมนูง่ายๆ อย่าง Strawberry Milkshake ก็เหมาะกับการ take away ในวันที่เร่งรีบ แต่ต้องไม่ลืมดูแลสุขภาพนะจ๊ะ     บรรยากาศในร้านเล็กๆ แห่งนี้ อัดแน่นไปด้วยต้นไม้สวยๆ แบบทุกซอกทุกมุมคือพื้นที่สีเขียว เหมาะกับสายเช็คอินขยันโพส รับรองว่าคุณจะได้รูปสวยไปลง IG เพียบแน่ๆ  ต้นไม้ที่เห็นในร้านไม่ได้ตั้งโชว์เฉยๆ นะคะ ใครอยากได้เค้าก็ขายจ้า เพราะใกล้ๆ กันมีร้านชื่อ “Garden Atlas” ซึ่งเป็นเจ้าของเดียวกัน ในร้าน Garden Atlas จะเต็มไปด้วยต้นไม้ยอดฮิตหลายหลายชนิด พร้อมอุปกรณ์เพาะปลูกกะจุ๊กกะจิ๊กอีกเพียบ ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่หัดปลูก หรือเป็นสายสะสมไม้แปลก เชิญไปเลือกดูที่ร้านนี้ได้เลยค่ะ ร้านน่ารักจนเราขอยกตำแหน่งให้เป็นร้านรวมต้นไม้ที่ชิคที่สุดของย่านนี้ไปเลย     ถ้าไม่ค่อยถูกจริตกับสายเฮลท์ตี้ แต่เป็นสาวกสายแป้งที่อินกับกลิ่นเนย เราแนะนำให้ไปโดน “Amantee The Bakery” ร้านอบขนมปังสัญชาติฝรั่งเศสเจ้าดังที่ฮิตติดท็อปชาร์ตในเวลานี้  ยิ่งถ้าเป็นคนรัก “ครัวซอง” ตัวยงยิ่งห้ามพลาด!!  หลายคนอาจจะเคยกินขนมปังฝรั่งเศสนานาชนิดของร้านนี้มาบ้างแล้วจากสาขาใน Emquartier ซึ่งจุดกำเนิดของขนมปังหอมๆ ในแต่ละวันซ่อนตัวอยู่ในร้านขนาด 2 คูหาบนถนนจันทน์เก่าแห่งนี้นี่แหละ ที่บอกว่าซ่อนตัวนั้นไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลยนะ เพราะหลายคนคิดไม่ถึงว่า บนถนนจันทน์เก่าที่เป็นถนนเล็กๆ ที่เกือบจะถูกลืมไปแล้วจะมีร้านขนมอบดีๆ มาเปิดกับเค้าด้วย!!     ถ้าใครอยากกินขนมปังอุ่นๆ จากเตา เราแนะนำให้ไปกันแต่เช้า ยิ่งเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี เพราะเมนูเด็ดๆ หลายตัวหมดเกลี้ยงตั้งแต่ยังไม่ทันเที่ยงเลยจ้า กลิ่นหอมๆ ของขนมปังอบใหม่มักจะทำให้เราขาดสติ แล้ววัตถุดิบหลักในร้านรวมถึงตัวเชฟก็นำเข้ามาจากฝรั่งเศสทั้งหมด ไม่อร่อยแบบต้นตำรับก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว   สำหรับ Croissant Lover ที่ชื่นชอบเนื้อสัมผัสแบบผิวนอกกรอบนิด เนื้อในนุ่มหนึบ ชุ่มเนยหน่อย ให้รีบไปเก็บแต้มบุญสะสมความอร่อยไว้ได้เลย (แต่สำหรับเราแล้วยังมีร้านอื่นที่มีครัวซองโดนใจกว่านี้ค่ะ) ส่วนขนมปังตัวอื่นๆ ก็อร่อยไม่น้อยหน้ากันนะคะ ระหว่างที่กำลังเลือกขนมอยู่ในร้านเราก็เห็นลูกค้าทั้งไทยและต่างชาติมาซื้อกลับไปรัวๆ เลยทีเดียวจ้า แล้วจะไม่ให้แนะนำว่าเป็นร้านอร่อยประจำย่านได้อย่างไร     อย่างที่บอกว่าในย่านถนนจันทน์นี้มีความเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมาก ที่ชัดเจนเลยก็คือบริเวณปากซอยเย็นอากาศ ซึ่งเป็นที่ตั้งของ “Market Place นางลิ้นจี่” คอมมิวนิตี้มอลล์ ที่มี Tops Market เป็นตัวชูโรง มีผัก ผลไม้ วัตถุดิบทำอาหาร แล้วก็สินค้านำเข้าให้เลือกเยอะเลยค่ะ คงเพราะมีชาวต่างชาติเข้ามาอยู่ในย่านนี้มากขึ้นด้วยแหละ เลยได้อัพเกรดจากที่เคยเป็นแค่ Tops Supermarket อย่างเดียวก็ขยายพื้นที่มาเป็นคอมมิวนิตี้มอลล์แทน นอกจากนี้ก็ยังมี ร้านกาแฟ ร้านอาหารชื่อเพิ่มขึ้นมาอีกหลายร้าน รวมถึง Home Pro S ก็มาเปิดที่ชั้นใต้ดินด้วย     สำรวจแหล่งช้อปปิ้งกันเบาๆ แล้ว เรายังมีร้านอาหารมาแนะนำอีก 2 ร้าน 2 สไตล์ เป็นร้านเก่าแก่พอๆ กันทั้งคู่ เริ่มจากมื้อกลางวันแบบง่ายๆ ที่ “ร้านมานี หมูสเต๊ะ” แค่ชื่อก็บอกแล้วว่าต้องกิน “หมูสเต๊ะ” ซึ่งเป็นเจ้าเก่าจากท่าดินแดง จึงรับประกันเรื่องรสชาติที่ได้มาตรฐาน ทางร้านเลือกใช้หมูอนามัยจากเบทาโกร นำมาหมักเครื่องเทศอย่างดีกินคู่กับน้ำจิ้มหมูสเต๊ะ และเพิ่มรสชาติด้วยอาจาดอีกคำถึงจะครบเครื่อง แต่ถ้าอยากได้อาหารที่หนักท้องมากขึ้น อยากให้ลองสั่งข้าวราดแกง หรือแยกเป็นกับข้าวก็ได้นะคะ พวกเมนูแกงต่างๆ จัดว่าดี เลยอยากแนะนำให้ได้ลองชิมดูค่ะ กับข้าวในร้านก็จะหมุนเวียนกันไปในแต่ละวัน แวะไปกินได้บ่อยๆ เลย     ไปต่อกันที่ร้าน “ครัวสาธร” ร้านเก่าแก่ที่ย้ายมาจากย่านสาทร อาหารในร้านเน้นอาหารไทยสไตล์ครอบครัวค่ะ เพราะมีเมนูให้เลือกมากมาย รสชาติเหมาะกับทุกวัย เมนูที่อยากแนะนำให้ลองคือ 2 เมนูในสไตล์กุ๊กช็อป อาหารฝรั่งสไตล์จีนที่หากินได้ยากอย่าง “สลัดเนื้อสัน” สลัดผักน้ำใส เสิร์ฟมาพร้อมกับเนื้อสันในชิ้นหนาที่กริลมาอย่างพอดิบพอดี และ “ซี่โครงหมูอบ” ที่ใช้เนื้อหมูส่วนพอร์คช้อปคลุกเกล็ดขนมปังทอด แล้วราดด้วยน้ำสตูข้นๆ อันเป็นเอกลักษณ์ ถือว่าเป็นเมนูเก่าแก่ตัวชูโรงกันเลยทีเดียว นอกจากนี้ก็ยังมี ปลาช่อนแป๊ะซะ, ถุงทอง, ห่อหมกขนมครก และเมนูตามฤดูกาลอีกหลายจานเลยค่ะที่เห็นชื่อเมนูก็ชวนให้หิวแล้ว     มาถึงร้านสุดท้ายที่ขอเอาใจคนชอบงานคราฟ เราขอจับมือพาไปเที่ยวร้าน “YARNNAKARN x AGO” บริเวณปากซอยนางลิ้นจี่ 4  ร้านขายสินค้าเซรามิกทำมือที่ชิคสุดๆ งานทุกชิ้นเกิดจากแรงบันดาลใจที่ได้จากธรรมชาติรอบตัว รวมถึงวัตถุดิบที่นำมาใช้ก็ล้วนแต่หาได้ในประเทศไทยทั้งหมดเลยนะคะ พอมาผสมผสานกันแล้วชิ้นงานแต่ละชิ้นก็จะมีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำกัน มีความเป็น Master Piece ในตัวเอง ถ้าอยากได้ของแต่งบ้านเก๋ๆ ไม่ซ้ำใครเราแนะนำว่าห้ามพลาดร้านนี้ค่ะ พื้นที่ชั้น 2 ของร้านเปิดโชว์ผลงานเป็นแกลลอลี่เล็กที่มักจะมีงานดีๆ มาจัดแสดงอยู่เรื่อยๆ เช่นกันค่ะ ส่วนพื้นที่ชั้น 3 เป็นร้าน AGO คาเฟ่สุดชิคที่แอบซ่อนตัวอยู่บนดาดฟ้านี่เอง ชั้นบนนี้มีเสื้อผ้าและข้าวของสไตล์วินเทจให้เลือกช้อปกันด้วยนะคะ     เดินดูของกันพอหอมปากหอมคอแล้ว แนะนำให้ลองเลือกเครื่องดื่มซักแก้วจาก AGO Cafe มาดับกระหายสักหน่อยค่ะ นอกจากกาแฟเมนูต่างๆ แล้ว ห้ามพลาด “AGO Special Craft Drink” เครื่องดื่มสุดเก๋ที่รังสรรค์ด้วยแรงบันดาลใจจากชื่อถนนนางลิ้นจี่อันเป็นที่ตั้งของร้าน โดยเมนูต่างๆ ของ Craft Drink นี้จะมีส่วนผสมหลักคือ “น้ำลิ้นจี่” แล้วนำมาผสมกับไซรัปที่ทางร้านปรุงขึ้นเอง ซึ่งมีให้เลือกมากถึง 8 ชนิด แล้วไซรัปแต่ละตัวก็จะให้กลิ่นและรสชาติที่พิเศษแตกต่างกันออกไปนะคะ กลายเป็นเรื่องสนุกเล็กๆ ที่เราได้ลองดมกลิ่นไซรัป แถมยังสนุกกับการชิมเครื่องดื่มในแก้วสวย พร้อมบรรยากาศสบายๆ ของสวนบนดาดฟ้า ที่คล้ายว่าเราได้ปลีกตัวมานั่งพักระหว่างวัน ให้หยุดนิ่งเงียบๆ ซักหน่อยแล้วค่อยไปต่อค่ะ     เสน่ห์ของถนนจันทน์ไม่ได้หมดแต่เพียงแค่นี้นะคะ ถนนสายนี้ยังมีทั้งเรื่องราวที่น่าสนใจและของอร่อยๆ รออยู่อีกมากมาย ไว้เราจะหาโอกาสพาทุกคนมาเที่ยวเล่นแถวบ้านเราอีก แต่ถ้าใครอยากย้ายมาเป็นชาวถนนจันทน์ มาเป็นเพื่อนบ้านในระแวกเดียวกับเรา ลองแวะไปเยี่ยม Sale Gallery โครงการ The ISSARA Sathorn กันได้นะคะ     ตอนนี้เค้ามีโปรโมชันพิเศษ “ISSARA DAY Yes ทุกดีล” 14 - 15 พ.ย.นี้ พบกันได้ที่สำนักงานขายทุกโครงการ เพื่อเลือกข้อเสนอที่ "YES" ตามใจคุณ กับ 9 ทำเลคุณภาพจากชาญอิสสระ รายละเอียดเพิ่มเติม คลิ๊ก : https://bit.ly/38pMb8Q วันนี้ - 15 พ.ย. นี้เท่านั้น #IssaraDayYesทุกดีล #Charnissara คลิกเข้าไปดูข้อมูลโครงการกันก่อนที่ The ISSARA Sathorn  
เตาปูน ของเราน่าอยู่ [VDO Review Around]

เตาปูน ของเราน่าอยู่ [VDO Review Around]

เตาปูน ของเราน่าอยู่ สวัสดีค่ะ วันนี้เราอยู่กันที่สถานีรถไฟฟ้าเตาปูน จุดที่เป็นสถานีเชื่อมต่อระหว่างรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินและสายสีม่วง วันนี้เราจะพาไปสำรวจทำเลรอบๆ นี้นะคะว่ามีอะไรน่าสนใจบ้าง รวมไปจนถึงถนนประชาราษฎร์สาย 2 ถนนสายหลักว่ามีอะไรอัพเดทและน่าสนใจบ้าง ตามไปดูกันเลยค่ะ   สาเหตุที่เราเลือกทำเลเตาปูนมาพาชมกันในครั้งนี้นะคะ ก็เพราะว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีโครงการต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย มาพร้อมๆ กับการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินและสายสีม่วงนะคะ ทำให้บริเวณรอบๆ นี้มีปัจจัยสนับสนุนหลายข้อเลยค่ะ ที่ทำให้เหมาะสมกับการอยู่อาศัย   ข้อแรกเลยค่ะ การเป็นศูนย์กลางของการเดินทาง บริเวณเตาปูนนอกจากจะเป็นจุดเชื่อมต่อของรถไฟฟ้ามากถึง 3 สายแล้ว ยังมี “สถานีกลางบางซื่อ” ศูนย์กลางการคมนาคมระบบรางที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้!!  ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลเองค่ะ ซึ่งจะเป็นศูนย์กลางที่จะเชื่อมโยงรถไฟทางไกล รถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง และรถไฟฟ้าไปทางสุวรรณภูมิ รวมไปถึงรถไฟความเร็วสูงที่จะเชื่อมไปสู่สนามบินทั้ง 3 แห่งอีกด้วย ไม่เพียงแต่การเดินทางด้วยระบบรางเท่านั้น การเดินทางต่อด้วยรถยนต์ส่วนตัว รถสาธารณะ หรือแม้แต่การต่อเรือด่วนเจ้าพระยา ก็มีการเดินทางเชื่อมโยงถึงกันครบถ้วนเลยทีเดียวค่ะ   แล้วถ้าใครที่คุ้นเคยกับทำเลในเตาปูนอยู่พอสมควรแล้วนะคะ คงจะทราบกันดีว่า บริเวณนี้เป็นย่านการค้าเก่าแก่ ที่ดำเนินธุรกิจกันมายาวนาน อีกทั้งยังเป็นแหล่งชุมชนที่มีคนอยู่อาศัยกันมานานแล้ว ซึ่งเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ทำเลเตาปูนมีความน่าสนใจเพิ่มขึ้นไปอีก และด้วยความที่เป็นแหล่งชุมชน ดังนั้นในย่านนี้จึงมีความอุดมสมบูรณ์พอสมควรเลยทีเดียวค่ะ มีร้านค้า ร้านอาหาร ร้านดังๆ เก่าแก่อยู่เยอะแยะเต็มไปหมดเลย แค่ลงจากสถานีเตาปูนก็จะเจอกับตลาดเตาปูนเลย พื้นที่บริเวณนี้ก็จะมีร้านค้าเยอะ ก็สามารถจับจ่ายซื้ออะไรก็มีครบแทบทุกอย่างเลยค่ะ ถัดไปอีกหน่อยก็มี gateway @บางซื่อ ห้างใหญ่ประจำย่าน ที่ใครๆ ก็รู้กันดีว่า เป็นทั้งแหล่งช้อปปิ้ง ที่แฮงค์เอ้าท์ มีร้านอาหารเยอะ แล้วก็มีความบันเทิงรวมอยู่อีกมากมาย ทำให้บริเวณในรอบๆ นี้ คึกคักขึ้นมาทันตา   สำหรับข้อสุดท้ายที่อาจจะไม่ท้ายสุด ที่ทำให้เตาปูนมีแรงดึงดูดมากก็คือ "ศักยภาพในด้านธุรกิจ" อย่างที่บอกไปแล้วว่าเป็นย่านการค้าที่เก่าแก่ อย่างถนนสายไม้ที่หลายคนรู้จักกันดีใน "ซอยประชานฤมิตร" ก็จัดเป็นศูนย์กลางของสินค้าประเภทไม้ที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพเลยแหละ ในขณะเดียวกันบริเวณรอบๆ ก็ยังมีแหล่งงานขนาดใหญ่ทั้งของรัฐและเอกชน มีโรงพยาบาล สถานศึกษา และในอนาคตอันใกล้ยังจะมีพื้นที่ช็อปปิ้งขนาดใหญ่เพิ่มเติมในบริเวณสถานีกลางบางซื่ออีกด้วย!!   เตาปูน ของเราน่าอยู่ ด้วยปัจจัยที่ว่ามาทั้งหมดนี้ เลยไม่น่าแปลกใจว่าทำไมบริเวณเตาปูน และ ถนนประชาราษฎร์สาย 2 มีโครงการคอนโดมิเนียมต่างๆ ผุดขึ้นมากมายเลยทีเดียว ซึ่งแต่ละโครงการก็มีจุดเด่น จุดขายที่งัดออกมาเอาใจ target ของตลาดแบบไม่ยอมน้อยหน้ากันเลย....  ครั้งนี้เราจะพาไปเดินสำรวจในบริเวณรอบๆ นี้ว่า แต่ละโครงการบนทำเลนี้มีอะไรน่าสนใจ และอัพเดทไปถึงไหนกันบ้างแล้ว Niche pride เตาปูน interchange เริ่มกันที่โครงการแรกกันเลยค่ะ  Niche pride เตาปูน interchange โครงการจากเสนา ดีเวลลอปเม้นท์ ที่จัดว่าใกล้สถานีรถไฟฟ้ามากที่สุด เพราะแค่ลงบันไดจากสถานีที่ทางออกที่ 4 บันไดสถานีก็แทบจะจ่ออยู่ที่หน้าโครงการแล้ว  ปัจจุบันตัวโครงการใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้วนะคะ  จุดเด่นของเสนาก็คงเป็นเรื่องการใช้ solar cells ในส่วนกลาง ที่จะช่วยลดภาระค่าส่วนกลางได้ในระยะยาว และมี facility ส่วนกลางครบสุดๆ ไปเลยจ้า ตอนนี้มียูนิตเหลืออีกไม่มาก แถมยังมีโปรโมชั่นล่าสุดในราคาเริ่มต้น 3.59 ล้านบาทอีกด้วย Chewathai interchange ถ้า Niche Pride ติดทางออกที่ 4 นะคะ Chewathai Interchange ก็เป็นอีกโครงการที่บันไดทางออกที่ 1 ติดหน้าโครงการเลยเช่นกันค่ะ คอนโดนี้จะนับเป็นโครงการแรกๆ ของเตาปูนก็ได้นะ เพราะสร้างเสร็จตั้งแต่ปี 58 แล้ว แน่นอนว่า sold out กันไปเรียบร้อย ถ้าใครสนใจอาจจะต้องไปดูว่ามีเจ้าของห้องคนไหนประกาศขายอยู่รึเปล่า ถึงจะมาก่อนใคร แต่แว่วว่า การปล่อยเช่าก็ทำราคาได้ดีไม่แพ้โครงการอื่นๆ เลยนะคะ Ideo mobi บางซื่อ grand interchange ยังอยู่กันที่รอบๆ สถานีเตาปูนนะคะ แค่ข้ามมาอีกฝั่งนึงเท่านั้นเอง ขยับมาทางถนนประชาชื่น ก็จะเจอกับ Ideo mobi บางซื่อ grand interchange  อีกโครงการที่สร้างเสร็จไปตั้งแต่ปี 60 แต่ยังคงมียูนิตเหลือขายอยู่ค่ะ โครงการนี้ชูจุดเด่นในเรื่องความใกล้รถไฟฟ้าถึง 3 สาย แต่ว่าจริงๆ แล้วไม่ได้อยู่ติดสถานีนะจ๊ะ แค่อยู่ในระยะ 300 เมตร ที่เดินได้กำลังดี มี facility ชุดใหญ่บนชั้นสูงๆ ที่วิวสวยใช้ได้เลยแหละ ถ้าสนใจตอนนี้มีโปร เฟอร์ครบ ลดแรง เริ่มที่ 3.35 ล้านบาท ถ้าใครสนใจก็เข้ามาดูกันได้ค่ะ Lumpini place เตาปูน interchange ที่นี้ขยับมาดูอีกฝั่งหนึ่ง มาที่ทางออกที่ 2 ของสถานีเตาปูนบ้างค่ะ ห่างออกไปประมาณ 120 เมตร จะเจอกับโครงการใหม่ล่าสุดของย่านนี้ Lumpini place เตาปูน interchange โครงการนี้อยู่ริมถนนกรุงเทพ-นนทบุรี  ใกล้กับตลาดสดเตาปูนมากๆ ขึ้นขึ้นชื่อว่าลุมพินี แค่เปิดขายอย่างเป็นทางการ ยอดขายก็พุ่งไปที่ 50% แล้วค่ะ ก็ราคาขายเปิดเริ่มต้นมาที่ 1.99 ล้านบาทเท่านั้น แต่ facility ส่วนกลางไม่ได้เยอะมากตามสไตล์เค้าล่ะ กับขนาดห้องเริ่มต้นที่ 22.5 ตร.ม. เท่านั้นนะคะ ตอนนี้มีโปรน่าสนใจอยู่เข้าไปดูกันได้ และตัวโครงการคาดว่าจะสร้างเสร็จในปี 65 ค่ะ Rich park 2 @เตาปูน interchange กลับมาที่ถนนประชาราษฏร์สาย 2 กันค่ะ ถนนเส้นหลักที่เราพามาดูในครั้งนี้กันค่ะ อีกหนึ่งโครงการที่จัดอยู่ในกลุ่มผู้เปิดตลาดย่านเตาปูนก็คือ Rich park 2 @เตาปูน interchange โครงการนี้สร้างเสร็จตั้งแต่ปี 57 แล้ว แต่ยังคงมียูนิตเหลืออยู่อีกนิดหน่อย ความน่าสนใจคือ ขนาดห้องค่ะ เป็นแบบ 1 Bedroom ทั้งหมดเลยนะคะ โดยมีขนาดเริ่มต้นที่ 28 ตร.ม. และโปรโมชั่นตอนนี้เปิดมาที่ราคา 1.99 ล้านบาทเท่านั้น  เป็นราคาโปรนี้เลยเร้าใจมากๆ เลยทีเดียวค่ะ The stage @เตาปูน ขยับกันมาที่โครงการต่อไปคือ The stage @เตาปูน อีกหนึ่งโครงการที่ยังมียูนิตเหลือขาย ที่ทางโครงการกำลังเร่งทำโปรเพื่อปิดการขายให้ได้ สำหรับห้องขนาดเริ่มต้นที่ 33.2 ตร.ม. นะคะ ด้วยราคาเริ่มต้น 2.99 ล้านบาทเท่านั้น ภายในโครงการก็มี facility ครบเลยนะ แถมส่วนกลางก็ได้วิวดีด้วยแหละ The Tree Interchange ในบรรดาโครงการทั้งหมดบนถนนประชาราษฎร์สาย 2 ต้องยกให้กับโครงการ The Tree Interchange เป็นโครงการที่ใหญ่ที่สุด เพราะมียูนิตรวมมากกว่า 1,700 ยูนิตเลยทีเดียว เหตุผลนึงที่ทำให้โครงการนี้เป็นที่น่าสนใจและขายหมดเร็วกว่าโครงการอื่นๆ ในบริเวณเดียวกันก็อาจจะเป็นเพราะว่า เป็นโครงการที่ตั้งอยู่ใกล้กับ Gateway @บางซื่อ มากๆ เลยค่ะ ชนิดที่ว่าใช้รั้วติดกันเลยทีเดียว Chewathai Residence บางโพ อีกหนึ่งโครงการที่ตั้งอยู่ใกล้กับ Gateway @บางซื่อ ก็คือ โครงการ ชีวาทัย เรสซิเดนซ์ บางโพ โครงการนี้ขยับไปทางสถานีบางโพนะคะ ซึ่งอยู่ห่างจากตัวสถานีเพียง 80 เมตรเท่านั้นค่ะ อาจจะเป็นโครงการที่ไม่ใกล้สถานีเตาปูนนะคะ แต่ก็เป็นอีกหนึ่งโครงการที่อยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้าไม่ต่างกันเลยค่ะ   เป็นอย่างไรบ้างคะ สำหรับบรรยากาศในย่านเตาปูน ที่เราไล่เรียงกันมาตั้งแต่บริเวณสถานีรถไฟฟ้าเตาปูน ถึงสถานีบางโพ รวมถึงบริเวณท่าน้ำบางโพแห่งนี้ คงได้เห็นกันแล้วว่าทำเลในย่านเตาปูนนี้มีความพร้อมและเหมาะสำหรับการอยู่อาศัยมาก และในอนาคตอันใกล้นี้ โครงการต่างๆ ทั้งของภาครัฐและเอกชนจะพัฒนาจนเสร็จสมบูรณ์ ทั้งรัฐสภาแห่งใหม่ที่เห็นทางด้านหลังนี้ รวมถึงสถานีกลางบางซื่อด้วยค่ะ พอทุกอย่างเสร็จสมบูรณแล้ว บริเวณในย่านเตาปูนและทำเลใกล้เคียง ก็น่าจะเป็นแหล่งงาน แหล่งธุรกิจ ไปจนถึงที่อยู่อาศัยที่น่าจับตามองเลยทีเดียวค่ะ   บทความอื่นๆ เกี่ยวกับเตาปูน 5 ปัจจัยหนุนทำเลเตาปูน สู่ย่านใจกลางธุรกิจแห่งใหม่ รีวิวคอนโด ส่องทำเลเตาปูน-บางโพ ฉบับอัปเดต 2563  
ศุภาลัย พรีเมียร์ สี่พระยา-สามย่าน : Preview โครงการใหม่ใกล้ จุฬาฯ

ศุภาลัย พรีเมียร์ สี่พระยา-สามย่าน : Preview โครงการใหม่ใกล้ จุฬาฯ

ศุภาลัย พรีเมียร์ สี่พระยา-สามย่าน : Preview โครงการใหม่ใกล้ จุฬาฯ คอนโดมิเนียมโครงการใหม่ล่าสุดจาก บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ปักหมุดทำเลใจกลางกรุงเทพฯ ริมถนนสี่พระยา เดินทางสะดวกด้วยรถไฟฟ้าทั้ง MRT และ BTS แถมยังแวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่างอย่างครบครัน ศุภาลัย พรีเมียร์ สี่พระยา-สามย่าน (Supalai Premier สี่พระยา-สามย่าน) เป็นคอนโด High Rise สูง 36 ชั้น มียูนิตรวม 384 ยูนิต ออกแบบภายใต้คอนเซปต์ “Old Town New Time” โดยการนำเครื่องประดับที่มีคุณค่าอย่าง “ไข่มุก” มาเป็นแนวคิดประยุกต์ใช้ในการออกแบบโครงการ  ด้วยรูปทรงธรรมชาติของไข่มุก ที่มีลักษณะเส้นสายโค้งมน นำมาผสมผสานกับสถาปัตยกรรมชุมชนในสมัยอดีต เพื่อออกแบบโครงสร้างอาคาร  อีกทั้งยังนำรูปแบบของเส้นเปลือกหอยไข่มุกที่มีลักษณะเป็นเส้นโค้งเว้าวนรอบที่บ่งบอกถึงการเคลื่อนไหวแบบอิสระไม่มีที่สิ้นสุด มาประยุกต์ใช้ในงานสถาปัตยกรรม เพื่อผสมผสานให้เกิด มิติสัมพันธ์  มีเอกลักษณ์อันโดดเด่น โดยสร้างความต่อเนื่องของเส้นสายและการหักมุมโค้งเพื่อให้เกิดความลื่นไหล รวมทั้งการสร้างความกลมกลืนด้วยเส้นโค้งที่เชื่อมต่อกัน จนเป็นรูปแบบที่ทันสมัยตอบสนอง  LIFESTYLE ของคนรุ่นใหม่ ทำเลใจกลางกรุงเทพฯ ตำแหน่งที่ตั้งของโครงการ อยู่ริมถนนสี่พระยา ซึ่งเป็น ทำเลศักยภาพสูง ใจกลางเมือง เชื่อมต่อทุกการเดินทางได้อย่างสะดวกสบาย รวดเร็ว ใกล้รถไฟฟ้าใต้ดิน MRT สามย่าน เพียง 750 เมตร ใกล้จุดขึ้นลงทางด่วนด่านพระราม 4 อีกทั้งยังสามารถเดินทางเข้าสู่ถนนสายสำคัญต่างๆ อาทิ ถนนสาทร, สีลม, สุรวงศ์, พระราม 3, พระราม 4, วิทยุ, สุขุมวิท, อโศก เป็นต้น   นอกจากนี้ยังอยู่ใกล้กับ ศูนย์กลางย่านธุรกิจ (Central Business Districts - CBD Area) และ สถานศึกษาชั้นนำ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เช่น ตึก Empire Tower, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, สาธิตจุฬาฯ, อัสสัมชัญ คอนเวนต์, กรุงเทพคริสเตียน, เตรียมอุดมศึกษา, เซนต์โยเซฟคอนเวนต์, สาธิต มศว.ปทุมวัน เป็นต้น   อีกทั้งยังแวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งห้างสรรพสินค้า, Shopping Mall, ร้านอาหาร, โรงแรม,โรงพยาบาล ชื่อดังมากมาย อาทิ สามย่านมิตรทาวน์, สยามพารากอน, เซ็นทรัลเวิลด์, มาบุญครอง, สยามเซ็นเตอร์, สีลมคอมเพล็กซ์, จามจุรี สแควร์, โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน, โรงพยาบาลเซ็นต์หลุยส์, โรงพยาบาลบีเอ็นเอช, โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์, Pullman Bangkok Hotel G, โรงแรม เลอ เมอริเดียน, โรงแรมมณเฑียร  สุรวงศ์, เป็นต้น   ศุภาลัย พรีเมียร์ สี่พระยา-สามย่าน : Preview โครงการใหม่ใกล้ จุฬาฯ ภายในโครงการ ศุภาลัย พรีเมียร์ สี่พระยา-สามย่าน (Supalai Premier สี่พระยา-สามย่าน) เพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่เหนือกว่าด้วยสระว่ายน้ำที่ชั้น 8 พร้อมห้องออกลังกาย (Fitness) , ซาวน่า และ สวนลอยฟ้า (Roof Garden) และพื้นที่พักผ่อนบนชั้นดาดฟ้า (Sky Bar) เพื่อการพักผ่อนที่แท้จริง สามารถสัมผัสทิวทัศน์ใจกลางเมืองบรรยากาศโค้งแม่น้ำเจ้าพระยา ทางโครงการออกแบบเพื่อการอยู่อาศัย โดยตั้งใจมอบความสงบ และความเป็นส่วนตัวในการพักผ่อนอย่างแท้จริง มั่นใจกับระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง ที่เหนือกว่าด้วยระบบกล้อง CCTV, ระบบป้องกัอัคคีภัย Smoke & Heat Detector และ Fire Alarm, Video Door Phone พร้อมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชม.   Type ห้องแบบต่างๆ สำหรับ Type ห้องของโครงการ ศุภาลัย พรีเมียร์ สี่พระยา-สามย่าน (Supalai Premier สี่พระยา-สามย่าน) มี 3 แบบหลัก 1 Bedroom ขนาด 41.50 - 55.00 ตร.ม. 2 Bedroom ขนาด 73.0 - 85.0 ตร.ม. 3 Bedroom ขนาด 129.5 - 139.00 ตร.ม.     สำหรับราคาเริ่มต้นของโครงการนี้ เปิดมาที่ 3.69 ล้านบาท หรือราคาเฉลี่ย 85,000 บาท/ตารางเมตร โดยกำหนดวันเปิดขายรอบ Pre-sale วันที่ 26-27 ก.ย. 63  สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่  โทร. 1720   โครงการอื่นๆ ของ ศุภาลัย คอนโด ศุภาลัย ลอฟท์ สาทร-ราชพฤกษ์ ทาวน์โฮม ศุภาลัย พรีโม่ รังสิต คอนโด ศุภาลัย ไลท์ ท่าพระ-วงเวียนใหญ่    
ศุภาลัย ลอฟท์ สาทร-ราชพฤกษ์ คอนโดเพื่อชีวิตติดเมือง ใกล้รถไฟฟ้า แค่ 10 นาทีก็ถึงสาทร

ศุภาลัย ลอฟท์ สาทร-ราชพฤกษ์ คอนโดเพื่อชีวิตติดเมือง ใกล้รถไฟฟ้า แค่ 10 นาทีก็ถึงสาทร

“คุณคะ.... ทำงานที่สาทรรึเปล่าคะ?” ถ้าคำตอบคือใช่ เชื่อว่าคุณคงคุ้นชินกับชีวิตเร่งรีบ แยกไฟแดงรถเยอะๆ และบรรยากาศที่ผู้คนขวักไขว่เกือบตลอดทั้งวันเช้าจรดค่ำ ตั้งแต่จันทร์ถึงศุกร์ ก็เพราะเป็นศูนย์กลางธุรกิจขนาดใหญ่ของกรุงเทพฯ มีบริษัทใหญ่ๆ และอาคารสำนักงานเรียงรายเต็มไปหมด นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งรวมไลฟ์สไตล์ขนาดใหญ่ของคนเมือง ซึ่งมีความหลากหลายและน่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว   พอพูดถึง “สาทร” ใครๆ ก็คงนึกถึงชีวิตพนักงานออฟฟิศที่ต้องแอคทีฟอยู่ตลอดเวลา และเราก็เป็นคนนึงที่ใช้ชีวิตอยู่ในสาทรเสียเป็นส่วนใหญ่ แน่นอนว่าในวันทำงานที่ยุ่งแสนยุ่งจะกินจะดื่มอะไรก็ต้องทำเวลาไปหมด แต่ถึงจะรีบแค่ไหนก็ยัง Keep Cool ได้นะจ๊ะ   ชีวิตสนิทกับสาทร เอาล่ะ เริ่มกันตั้งแต่เช้าก่อนเริ่มงานก็ต้องปลุกตัวเองกันนิดนึง กาแฟดีๆ ซักแก้วต้องมีนะคะ และถ้ารีบๆ กลัวแตะนิ้วเข้างานไม่ทันก็ต้องสไตล์ Grab&Go เลยจ้า “Mouthfeel x Warm Batch Roasters” สาขานี้เค้าเป็น Speed Bar ร้านเล็กขนาดกระทัดรัดแทบไม่มีที่ให้ยืนรอในช่วงเช้าและพักกลางวัน แต่เค้าก็ชงกาแฟได้รวดเร็วทันใจ รสชาติดี แถมราคาไม่แรงได้ใจชาวออฟฟิศไปเต็มๆ เลย     มีกาแฟติดมือแล้วก็รีบไปทำงานที่เรารักได้แล้วค่ะ     ช่วงพักกลางวันเป็นอีกเวลาที่เร่งรีบไม่แพ้กันเลยค่ะ อย่างที่รู้ว่าถนนสาทรเป็นแหล่งรวมบริษัทใหญ่ๆ ไว้มากมาย ดังนั้นปริมาณพนักงานออฟฟิศก็ล้นหลามไม่แพ้กันเลยทีเดียว มีเวลาพักกลางวัน 1 ชั่วโมงเท่ากัน ต้องใช้ให้คุ้มกันหน่อยค่ะ ขอหลบไปนั่งกินข้าวให้ผ่อนคลาย พักสายตากับสีเขียวๆ ซักหน่อย “GLOWFISH DINNING HALL” เป็นฟู้ดคอร์ทที่มีบรรยากาศสบายๆ ด้านข้างริมกระจกมีวิวสวนให้พักสายตาได้ดี แล้วก็มีอาหารให้เลือกหลากหลายพอสมควร นอกจากจะเป็นฟู้ดคอร์ทที่เก๋ไม่เบาแล้ว บางทีก็เป็นอีกที่ที่เหมาะจะนั่งคุยงานด้วยนะคะ (ถ้างานด่วนจนเบียดเวลาพักอะนะ) จริงๆ แล้ว GLOWFISH มีพื้นที่ Co-Working Space ด้วย หลายครั้งเวลาที่เราอยากหาที่หลบมานั่งทำงานเงียบๆ ที่นี่ก็เป็นตัวเลือกที่ดีอีกแห่งเลยแหละ แต่ต้องเลยเวลาพักกลางวันไปแล้วนะ     หลังจากยุ่งวุ่นวายกันมาทั้งสัปดาห์ เย็นวันศุกร์ไหนที่ไม่ได้มีนัดแฮงค์เอ้าท์ การเปลี่ยนบรรยากาศไปออกกำลังกาย สูดอากาศบริสุทธิ์ในสวนบ้างก็นับว่าเป็น “วิถีชีวิตคุณภาพ” เลยนะคะ เพราะปกติเราได้แต่ออกกำลังกาย วิ่งบนลู่วิ่งแห้งๆ ในฟิตเนสเท่านั้น แน่นอนว่าชาวสาทรและคนเมืองในย่านนี้ก็มี “สวนลุมพินี” นี่แหละที่เป็นปอดขนาดใหญ่ให้เราได้แวะไปฟอกปอดซักหน่อย ในสวนลุมมีกิจกรรมเยอะเลยค่ะ ใครใคร่วิ่งก็วิ่ง อยากจะแอโรบิคก็ได้ หรือที่ศูนย์กีฬาฯ ก็มีกีฬาหลายประเภทให้เลือกเล่นเลยนะ แต่ถ้าหมดแรงแล้วจะแค่แวะมาเดินเล่น ยืดเส้นยืดสาย ชมนก ชมวรนุช ก็ดีนะ   ชีวิตสนิทกับราชพฤกษ์ ถึงวันหยุด ได้หยุดพักจากงาน มีเวลาได้ออกไปเที่ยวเล่นกับเค้าบ้าง ในวันสบายๆ แบบนี้เราเลือกไปโซนราชพฤกษ์ค่ะ เพราะเป็นพื้นที่หนึ่งที่อยู่ไม่ไกลใจกลางเมืองและยังมีที่ให้แวะเที่ยว แวะพักผ่อน ทำกิจกรรมในวันหยุดได้หลายอย่างเลยทีเดียว แถมยังมีคอมมิวนิตี้มอลล์ให้เลือกเยอะเลย ร้านอาหาร คาเฟ่เก๋ๆ ก็เยอะ เรียกได้ว่าตลอดเส้นทางบนถนนราชพฤกษ์มีร้านใหม่ๆ ให้ไปเช็คอินกันไม่ซ้ำตลอดทั้งปีแน่นอน     เมื่อกองทัพต้องเดินด้วยท้อง “Food Villa ราชพฤกษ์” ก็จัดว่าขึ้นชื่อเรื่องเป็นแหล่งรวมสตรีทฟู้ดอร่อยๆ เอาไว้เพียบ แล้วก็ยังมีโซนขายอาหารซีฟู้ด กุ้ง หอย ปู ปลาสดๆ แล้วก็ขนมนมเนย อาหารขึ้นชื่อจากหลากหลายจังหวัดมากมาย เราว่าที่นี่เหมาะกับวันว่างๆ ที่ยังนึกไม่ออกว่าอยากกินอะไรดี ลองไปเดินเล่นเลือกดูที่หน้างานเลย เผลอแป๊บเดียวได้หิ้วกันพะรุงพะรังเต็มสองมือค่ะ (เชื่อเถอะ... เราโดนมาแล้ว)     มีแรงแล้วทีนี้จะเดินช็อปปิ้งซื้อของใช้เข้าบ้าน หรือเดินเลือกต้นไม้ไปปลูกให้อินเทรนด์ ก็จัดมาให้ครบไปเลยจ้า // ไหนๆ ใครปลูกต้นไม้ตามกระแสกับเค้าบ้าง? มาแนะนำมือใหม่แบบเราหน่อยว่าต้องเริ่มจากต้นอะไรดี     ถ้ามาถึงราชพฤกษ์แล้วไม่ได้เช็คอินคาเฟ่เก๋ๆ กับเค้าซักร้านเดี๋ยวจะหาว่ามาไม่ถึง ครั้งนี้เราเลือก “2D Eye Candy” คาเฟ่ล่าสุดที่มาในธีม 2D สีขาวดำ ซึ่งน่าจะได้ไอเดียมาจากคาเฟ่ในเกาหลีที่เป็นที่นิยมกันมากในช่วงนึง แต่ที่ไทยเพิ่งจะมีร้านนี้และมั้งที่เป็นคาเฟ่ 2D ร้านแรกในกรุงเทพฯ     เข้าไปในร้านแล้วเหมือนได้เข้าไปอยู่ในหนังสือการ์ตูนเลย ทุกอย่างถูกทำให้เหมือนกับภาพวาด 2 มิติจากหมึกสีดำ มองเผินๆ คิดว่าโต๊ะ เก้าอี้ เค้าน์เตอร์บาร์ในร้านดูแบนราบเรียบเป็นระนาบเดียวกันไปหมด ถ้าใครชอบถ่ายรูปนะ บอกเลยว่าสนุกแน่ๆ เพราะมองไปมุมไหนก็น่าถ่ายรูปลง IG ไปหมด   ชีวิตติดเมือง ถ้าชีวิตดีๆ ที่ลงตัว หมายถึง การใช้ชีวิตที่เราคิดและออกแบบได้เอง มีอิสระแบบคนเมืองในการเลือกอาศัยในทำเลที่ดีและตอบโจทย์การใช้ชีวิตได้มากที่สุด “ศุภาลัย ลอฟท์ สาทร-ราชพฤกษ์” น่าจะเป็นคำตอบที่ตรงกับไลฟ์สไตล์ที่เราเล่ามาทั้งหมด   ด้วยทำเลที่ติดถนนใหญ่ เดินทางได้สะดวกสุดๆ เพราะอยู่ใกล้รถไฟฟ้าสถานีบางหว้าเพียง 450 เมตร นั่งไปแค่ 6 สถานีก็ถึงสาทร หรือถ้าใช้รถส่วนตัวเดินทางมาที่สาทรก็ใช้เวลา 10 นาทีเท่านั้น.... อันนี้เรื่องจริงเลยนะ เพราะเราลองจับเวลาจริงด้วยตัวเอง อาจจะบวกลบนิดหน่อยถ้าเจอการจราจรหนาแน่นบ้าง แต่ก็ยังจัดว่าเร็วอยู่ดี จะเข้าจะออกเมืองจึงสะดวกจริงไม่มีโม้ คนทำงานสาทรแบบเราเลยไม่ต้องห่วงว่าจะต้องตื่นแต่เช้าตรู่และเสียเวลาเดินทางบนถนนนานๆ วันไหนไม่อยากใช้รถส่วนตัวก็มีรถไฟฟ้า จะไปไหนมาไหนก็ง่าย อยากเปลี่ยนบรรยากาศจากตึกสูงๆ ก็แค่ขยับไปทางราชพฤกษ์เท่านั้นเอง ไลฟ์สไตล์ชิคแอนด์คูลก็รอให้เช็คอินอยู่เพียบ   ศุภาลัย ลอฟท์ สาทร-ราชพฤกษ์ คอนโดติดเมืองใกล้รถไฟฟ้า 10 นาทีถึงสาทร   โครงการศุภาลัย ลอฟท์ สาทร-ราชพฤกษ์นี้ เป็นคอนโดมิเนียมที่ออกแบบมาเพื่อรองรับไลฟ์สไตล์รูปแบบใหม่ หรือที่ตอนนี้เรียกกันว่า New Normal กันเลยนะ เริ่มตั้งแต่ฟังก์ขั่นการออกแบบ ทั้งส่วนกลางไปจนถึงภานในห้องพัก ซึ่งทุกอย่างถูกคิดมาอย่างละเอียดรอบด้าน เช่น การเพิ่มพื้นที่ส่วนกลาง และจัดแยกส่วนเพื่อลดความแออัด หรือการจัดผังอาคารให้มีการถ่ายเทอากาศจากธรรมชาติได้ดีขึ้น การมีจุดพักรับ-ส่งของ หรือ Delivery Drop Off เพราะปัจจุบันเราใช้บริการสั่งอาหารให้มาส่งกันมากขึ้นเลยจัดแยกส่วนไว้ให้สะดวกขึ้นซะเลย หรือแม้แต่การเข้าออกตัวอาคารที่เปลี่ยนมาใช้ระบบ Touchless ด้วยประตูอัตโนมัติ และการใช้ Face Scan เพื่อลดการสัมผัส แค่ตัวอย่างที่ว่ามานี้ก็ทำให้เราร้อง “ว้าว” ออกมาดังๆ ได้เลย     แล้วยิ่งได้เห็นห้องตัวอย่างของ ศุภาลัย ลอฟท์ สาทร-ราชพฤกษ์ ก็ยิ่งตาลุกวาวไปอีก เพราะศุภาลัยเดี๋ยวนี้เค้าไม่เหมือนเดิมแล้วนะคะ ไม่มีแล้วห้องแบบเชยๆ ที่เคยโดนปรามาสไว้ เพราะห้องรูปแบบใหม่ สวย ทันสมัย ฟังก์ชั่นตอบโจทย์คนรุ่นใหม่สุดๆ   ที่ Sale Gallery มีห้องตัวอย่างให้ชมกัน 2 แบบ 2 สไตล์ ตัวโครงการเน้นความเป็นส่วนตัวด้วยยูนิตรวมไม่เยอะมาก เน้นห้องกว้างและเพดานสูง 2.7 เมตร แถมภายในห้องยังคิดเผื่อรูปแบบการทำงานที่อาจเปลี่ยนไปในอนาคต จึงเน้นให้ห้องอยู่สบาย มีการเปิดรับแสงและระบายอากาศได้ดี เพิ่มมุมเพื่อรองรับการทำงานแบบ work from home แถมยังคิดเผื่อระบบ Fiber Optic ไว้ให้อีกด้วย ตอบโจทย์ชีวิตคนเมืองได้ทันเหตุการณ์มากๆ   ห้องตัวอย่างขนาด 35 ตร.ม. หรือ 1 Bedroom ออกแบบมาในสไตล์หวานๆ โทนสีพาสเทลนิดๆ ที่น่าจะโดนใจสาวๆ ได้เป็นอย่างดี แถมพิเศษด้วยพื้นที่ Favorite Coner มุมแต่งตัวสวยๆ ที่ทำเป็น Walk-in Closet ได้อย่างลงตัว จริงๆ แล้วพื้นที่ในส่วนนี้สามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานได้ตามต้องการเลยนะคะ ไม่ได้จำกัดตายตัวเพราะชื่อก็บอกแล้วว่าเป็นมุมโปรดนี่นา แถมห้อง Typeนี้ยังเป็น Layout แบบใหม่ของศุภาลัยที่น่าสนใจมากๆ เลยทีเดียว ส่วนห้องตัวอย่างอีกห้องมาในโทนขรึมๆ กับขนาด 44.5 ตร.ม. หรือ 1 Bedroom Plus ซึ่ง Layout ห้องนี้ลงตัวมากๆ ด้วยพื้นที่ใช้สอยที่กว้างขวางขึ้น มีมุมโปรดได้หลายมุมเลยค่ะ แถมการตกแต่งห้องตัวอย่างนี้ยังมาในสไตล์ Cafe ชวนให้ได้บรรยากาศเหมือนอยู่ในร้านกาแฟตลอดเวลา พร้อมด้วยห้องอเนกประสงค์ที่จัดเป็นห้องทำงาน และพื้นที่ปลูกต้นไม้ให้อินเทรนกับเค้าด้วย เลยทำให้บรรยากาศสไตล์ลอฟท์ไม่รู้สึกแข็งที่อจนเกินไป เชื่อว่าใครเห็นก็ต้องถูกใจห้องสไตล์นี้แน่ๆ   เล่ามาถึงตรงนี้แล้ว ถ้าใครอยากมีชีวิตสนิทกับสาทรแบบเรา ศุภาลัย ลอฟท์ สาทร-ราชพฤกษ์ น่าจะเป็นคอนโดที่จะทำให้ชีวิตคุณลงตัวในทุกจังหวะ ไม่ว่าจะเป็นแบบแอคทีฟสุดๆ หรือแบบสโลว์ไลฟ์ตามสไตล์สายชิว.....ลองไปค้นพบความหมายของการใช้ชีวิตที่เราคิดและออกแบบได้เองที่ “ศุภาลัย ลอฟท์ สาทร-ราชพฤกษ์” กันดูมั้ยคะ   รายละเอียดโครงการเพิ่มเติม : Supalai Loft สาทร-ราชพฤกษ์  หรือโทร. 1720   บทความอื่นๆ เกี่ยวกับศุภาลัย ศุภาลัย ไลท์ ท่าพระ-วงเวียนใหญ่ ศุภาลัย ซิตี้ รีสอร์ท สุขุมวิท 107 ศุภาลัย บุกตลาดอสังหาฯ แนวราบ ประเดิมโครงการแรกย่านพระราม 2  
รีวิวคอนโด ส่องทำเลเตาปูน-บางโพ ฉบับอัปเดต 2563

รีวิวคอนโด ส่องทำเลเตาปูน-บางโพ ฉบับอัปเดต 2563

ย้อนเวลากลับไปกว่า 10 ปีที่แล้ว ในบ้านเราเริ่มเข้าสู่ยุคคอนโด Fever วิถีของคนเมืองเริ่มเปลี่ยนไปอีกครั้ง ด้วยการหันมาใช้ชีวิตในแนวสูงกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโครงการทำเลใจกลางเมือง ใกล้รถไฟฟ้า หรือแม้แต่ทำเลนอกเมือง แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา สังเกตกันบ้างไหมคะ? ว่าในทุกทำเลที่เหล่าผู้พัฒนาสังหาฯ ไปทำโครงการในแต่ละพื้นที่จะต้องมีองค์ประกอบที่ดีอยู่หลายด้าน ไม่ว่าจะด้วยสิ่งที่มีอยู่เดิมหรือการพัฒนาในอนาคต อาทิ ศูนย์การค้า ไฮเปอร์มาร์เก็ต ซุปเปอร์มาร์เก็ต ตลาด โรงพยาบาล สถาบันการศึกษา สถานที่สำคัญต่างๆ การเดินทางก็ต้องสะดวกทั้งการใช้รถส่วนตัวและสาธารณะ โดยเฉพาะรถไฟฟ้าที่ยังคงเป็นปัจจัยหลักของการเดินทางอันสะดวกสบายมากที่สุดในบ้านเรา ซึ่งตามแผนทั้งหมด 13 สาย ครอบคลุมทั่วทั้งกรุงเทพฯ – ปริมณฑล ทำให้สถานี Interchange กลายเป็นอีกจุดขายสำคัญของคอนโดมิเนียม เมื่อเอ่ยถึงสถานี Interchange ทุกวันนี้ก็เริ่มมีมากขึ้นตามรถไฟฟ้าที่ขยายตัวอยู่ทั่วทุกมุมเมือง หลายจุดมีความน่าสนใจแตกต่างกันไป แต่จุดที่เป็น Interchange ล่าสุด ณ เวลานี้ นั่นคือ สถานีเตาปูน ที่กำลังจะกลายเป็นจุดเชื่อมต่อสำคัญที่ทำให้วงแหวนสายสีน้ำเงินสมบูรณ์ในอีกไม่ช้า สำหรับ Update Status คอนโดในครั้งนี้ เราจะประเดิมย่านแรกกันที่ถนนประชาราษฎร์ สาย 2 ซึ่งเป็นถนนเส้นที่มีรถไฟฟ้าที่เป็น Interchange ของสายสีน้ำเงินเองกับสายสีม่วง และสถานีบางโพ ที่เป็นสถานีก่อนจะข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาไปทางฝั่งธนบุรี แล้วเหล่าคอนโดฯ ทั้ง 8 โครงการบนถนนเส้นนี้จะมีความคืบหน้าอะไรบ้าง เราไปอัปเดตพร้อมๆ กันค่ะ ไอดีโอ โมบิ บางซื่อ แกรนด์ อินเตอร์เชนจ์ ถ้าดูจากที่ตั้งของโครงการ แม้จะได้ขึ้นชื่อว่าอยู่บนถนนประชาราษฎร์ สาย 2 แต่ทางเข้า - ออก จะอยู่ทางฝั่งถนนประชาชื่นค่ะ โดยที่ดินจะอยู่หัวมุมสี่แยกประชาชื่นพอดี โดยโครงการนี้สร้างเสร็จช่วงปลายปี 2560 ปัจจุบันยังคงมียูนิตเหลือขายอยู่ ในราคาเริ่มต้นที่ 2.68 ล้านบาท มีห้องปล่อยเช่าในช่วงราคา 9,500 - 35,000 บาทต่อเดือน นิช ไพรด์ เตาปูน-อินเตอร์เชนจ์ ในบรรดาโครงการคอนโดมิเนียมบนถนนประชาราษฎร์ สาย 2 ทั้งหมด “นิช ไพรด์ เตาปูน - อินเตอร์เชนจ์” จาก Sena ถือว่าติดกับสถานีรถไฟฟ้ามากที่สุดเลยค่ะ คือลงมาจากสถานี ทางออก 4 ไม่กี่ก้าว ไม่ต้องข้ามถนน ก็ถึงตัวโครงการเลยค่ะ โดยเตรียมจะเริ่มทยอยโอนกรรมสิทธิ์กันในเดือนเมษายน 2563 นี้แล้ว ซึ่งช่วงก่อนเปิดอาคารมีโปรโมชั่นราคาเริ่มต้นที่ 3.59 ล้านบาท เหลือขายประมาณ 100 กว่ายูนิตค่ะ     ชีวาทัย อินเตอร์เชนจ์ ถ้าเดินลงมาจากสถานี ทางออกที่ 1 เราจะพบกับ “ชีวาทัย อินเตอร์เชนจ์” ก่อนเป็นโครงการแรก สร้างเสร็จตั้งแต่ปี 2558 แน่นอนว่า sold out ไปแล้ว แต่ยังคงทำราคาค่าเช่าได้ดีไม่แพ้โครงการรุ่นน้องในย่านเดียวกัน ซึ่งปัจจุบันราคาค่าเช่าอยู่ที่ 10,000 – 32,000 บาทต่อเดือน ริชพาร์ค 2 @เตาปูนอินเตอร์เชนจ์ ถือเป็นคอนโดฯ โครงการแรกๆ ของย่านนี้ โดยสร้างเสร็จตั้งแต่ปลายปี 2557 ซึ่งเป็นโครงการที่ทำราคามาถูกที่สุดในปัจจุบันของถนนเส้นนี้ โดยราคาตอนเปิดตัวอยู่ที่ 1.88 ล้านบาท ส่วนราคาโปรโมชั่นปัจจุบัน 1.99 ล้านบาท ส่วนค่าเช่าประมาณ 8,000 - 12,000 บาทต่อเดือน เดอะ สเตจ เตาปูน - อินเตอร์เชนจ์ 1 ใน 3 โครงการคอนโดมิเนียมจาก Real Asset (แอบกระซิบกันนิดนึงค่ะว่า กำลังจะเป็นทั้งหมด 4 โครงการแล้ว) สำหรับโครงการนี้สร้างเสร็จปลายปี 2560 ราคาตอนเปิดตัวอยู่ที่ 1.89 ล้านบาท ปัจจุบันมีโปรโมชั่นก่อนปิดโครงการช็อค One price ผ่อนล้านละ 1,500 บาท* อยู่ฟรี 2 ปี* เริ่มต้น 2.99 ล้านบาท สำหรับห้องขนาด 33.20 ตร.ม. ค่าเช่าปัจจุบันประมาณ 9,000 - 15,000 บาทต่อเดือน ด้วยตัวโครงการที่ทำออกมาได้สวยทีเดียว ใครที่ได้มือแรกๆ ไปก็ถือว่าคุ้มค่ะ เดอะ ทรี อินเตอร์เชนจ์ โครงการนี้เห็นยูนิตเพียบ แต่หมดเรียบแล้วนะคะ สำหรับ “เดอะ ทรี อินเตอร์เชนจ์” จากค่ายใหญ่ Pruksa ที่นับว่าเป็นโครงการที่มีจำนวนยูนิตมากที่สุดในละแวกนี้ถึง 1,734 ยูนิต และยังตั้งอยู่ใกล้กับศูนย์การค้าเกตเวย์ บางซื่อ มากที่สุด ประมาณ 60 เมตรเท่านั้น เรียกว่าแทบจะเดินไปได้ทุกวันแบบไม่ต้องเสียเวลาขับรถวนให้เวียนหัว ปัจจุบันทำราคาค่าเช่าที่ 8,000 - 25,000 บาทต่อเดือน ซึ่งตัวอาคารสร้างเสร็จประมาณปี 2557 ใกล้เคียงกับ ริชพาร์ค 2 ชีวาทัย เรสซิเดนซ์ บางโพ ถ้านับจากสี่แยกบางโพ โครงการนี้ถือว่าอยู่ใกล้ที่สุดเลยค่ะ นั่นหมายความว่าก็จะใกล้กับรถไฟฟ้า สถานีบางโพ ประมาณ 80 เมตร และยังห่างจากศูนย์การค้าเกตเวย์ บางซื่อ ประมาณ 100 เมตรเท่านั้น แต่สำหรับ “ชีวาทัย เรสซิเดนซ์ บางโพ” จะมีความแตกต่างจากโครงการก่อนหน้านี้ เพราะคอนโดฯ ถูกวางให้อยู่ใน High End Segment ซึ่งราคาเปิดตัวอยู่ที่ 3.9 ล้านบาท และแม้ว่าอาคารจะสร้างเสร็จเมื่อปี 2560 แต่ปัจจุบันทำราคาค่าเช่าได้ถึง 12,000 - 45,000 บาทต่อเดือน 333 Riverside ไม่บ่อยนักที่เราจะได้เห็นคอนโดจาก Land & House แต่เมื่อไรที่เราได้เห็นคอนโดจาก Developer เจ้านี้ ก็มักจะไม่ทำให้เราผิดหวังค่ะ ซึ่ง “333 Riverside” เป็นโครงการหรูที่สุดบนถนนเส้นนี้ แถมยังอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ถนนด้านหน้าก็เงียบสงบมาก มีบันไดสถานีบางโพมาเกยถึงหน้าโครงการอีกต่างหาก แม้ว่าโครงการแห่งนี้จะสร้างเสร็จตั้งแต่ปี 2560 มีราคาเปิดตัวที่ 5 ล้านบาท แต่ทุกวันนี้โครงการยังคงสวยงามโดดเด่นอยู่ริมแม่น้ำ ประกอบกับบรรยากาศภายในโครงการแล้ว ทำให้ 333 Riverside กลายเป็นคอนโดฯ ที่ให้อารมณ์เหมือนอยู่ในหัวหินหรือพัทยาเลยทีเดียวค่ะ ซึ่งปัจจุบันทำราคาค่าเช่าที่ 18,000 -150,000 บาทต่อเดือน   นี่คือ Update Status สำหรับคอนโดฯ ทั้งหมด 8 โครงการ บนถนนประชาราษฎร์ สาย 2 ที่เชื่อว่าในอนาคตอีก 2 - 3 ปีข้างหน้า เราจะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่ดีกว่าทุกวันนี้ขึ้นไปอีก ด้วยองค์ประกอบแวดล้อมใกล้เคียงที่กำลังจะขยายตัว อาทิ สถานีกลางบางซื่อ รัฐสภาแห่งใหม่ และท่าเรือบางโพที่เตรียมปรับปรุงใหม่ สิ่งเหล่านี้จะเป็นแรงผลักสำคัญทำให้ทำเลโซนนี้เติบโตอย่างแทบจะพลิกโฉมต่อไป และสำหรับคอลัมน์ของเราในครั้งถัดไปจะพาไปอัปเดตกันในทำเลไหน อย่าลืมติดตามกันนะคะ รายละเอียดโครงการและสิ่งที่น่าสนใจในย่านเตาปูน-บางโพ รีวิวคอนโด The Stage Taopoon Interchange  รีวิวคอนโด 333 Riverside รีวิวคอนโด Ideo Mobi บางซื่อ-แกรนด์ อินเตอร์เชนจ์ รีวิว Gateway Bangsue ปลุกบางซื่อให้มีชีวิตชีวา
Update รถไฟฟ้า ปี 2563

Update รถไฟฟ้า ปี 2563

ทุกวันนี้ไม่ว่าจะเดินทางไปย่านไหนของกรุงเทพฯ ก็มักจะพบเจอกับการก่อสร้างรถไฟฟ้าอยู่หลายสาย ซึ่งตั้งแต่ปีที่แล้วก็เริ่มมีการเปิดให้ใช้บริการเพิ่มขึ้น ยิ่งทำให้การเดินทางเป็นไปได้อย่างสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งภายในปี 2563 นี้ ก็จะมีการเปิดให้ใช้บริการเพิ่มขึ้นอีก เราจึงชวนมาอัพเดทกันครับว่า จะมีเส้นทางไหนที่ทั้งเปิดให้บริการอย่างเต็มรูปแบบไปแล้ว และกำลังจะเปิดให้ใช้บริการในอนาคตอันใกล้นี้ เผื่อเป็นตัวเลือกในการเดินทางเพิ่มเติม สำหรับกรุงเทพฯ เมืองที่ประสบปัญหารถติดอยู่เกือบทุกเมื่อเชื่อวันเช่นนี้ รถไฟฟ้า สายสีเขียวเข้ม สุขุมวิท BTS สายสีเขียวทั้งเขียวสุขุมวิท และเขียว สีลม เป็นรถไฟฟ้าสายแรกในประเทศไทยที่เปิดให้บริการมาตั้งแต่วันที่ 5 ธันวาคม 2542 ซึ่งยังคงเป็นเส้นทางหลักในบ้านเรามาจนปัจจุบัน เพราะผ่านใจกลางเมืองแหล่งทำงานอยู่หลายโซน ไม่ว่าจะเป็นช่วงห้าแยกลาดพร้าว อารีย์ อโศก พร้อมพงษ์ ทองหล่อ สีลม สาทร ฯลฯ เมื่อดูจากเส้นทางทั้งหมดแล้วจะเป็นรถไฟฟ้าสายหนึ่งที่ชัดเจนมากในแง่ของการขนส่งคนจากนอกเมืองเข้าสู่ใจกลางเมืองได้อย่างรวดเร็วที่สุดในบรรดาการคมนาคมในเมืองหลวงเช่นนี้ และเนื่องจากสายนี้มีเส้นทางทั้งหมดยาวมากทีเดียวครับ เราจึงแบ่งออกเป็น 2 เส้นทาง คือสายสีเขียวเหนือ กับสายสีเขียวใต้ ดังนี้   รถไฟฟ้า สายสีเขียวเหนือ ภาพของผู้คนแน่นขนัดที่ยืนรอรถเมล์อยู่ใต้สถานีหมอชิต ฝั่งขาออกทุกเย็นวันทำงาน หลังจากนี้อาจจะเบาบางลงบ้างนะครับ เพราะสายสีเขียวเหนือ ซึ่งเปิดให้บริการไปจนถึงสถานีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และเตรียมเปิดให้บริการเต็มรูปแบบตลอดสายไปจนถึงสถานีคูคต ในช่วงปลายปี 2563 นี้ จะทำให้การเดินทางสะดวกสบายขึ้นอีกเยอะ เพียงแต่ก็ยังต้องพิจารณากันดีๆ ในแง่ของค่าใช้จ่ายที่จะต้องเพิ่มขึ้นแน่นอน สำหรับใครที่ตัดสินใจนั่งรถไฟฟ้าต่อออกไป รถไฟฟ้า สายสีเขียวใต้ ปัจจุบันเปิดให้บริการตลอดสายแล้วครับ โดยที่สถานีสำโรง จะเป็นจุด Interchange ต้องลงเพื่อเปลี่ยนขบวน เพื่อต่อออกไปยังสถานีปู่เจ้า-เคหะฯ ซึ่งค่าใช้จ่ายตลอดสาย หากเริ่มจากสถานีสยามไปจนถึงเคหะฯ ก็มีราคาปกติอยู่ที่ 59 บาท ใช้เวลาเดินทางประมาณ 42 นาที รถไฟฟ้า สายสีเขียวอ่อน สีลม รถไฟฟ้าสายแรกที่สร้างข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาจากใจกลางเมืองข้ามไปฝั่งธนฯ โดยราคาจากสถานีสนามกีฬาไปจนถึงบางหว้าอยู่ที่ 59 บาท ใช้เวลาประมาณ 23 นาที รถไฟฟ้า สายสีน้ำเงิน รถไฟฟ้าใต้ดิน MRT สายแรกในบ้านเราครับ ซึ่งเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการครั้งแรกตั้งแต่วันที่ 3 กรกฎาคม 2547 จากเดิมเริ่มจากสถานีบางซื่อ-หัวลำโพง แต่ในปัจจุบันได้เปิดเพิ่มขึ้น โดยแบ่งเป็น 2 สาย คือ ช่วงหัวลำโพง-หลักสอง เปิดให้ใช้บริการตั้งแต่ปีที่แล้ว และช่วงเตาปูน-ท่าพระ จะให้บริการอย่างเป็นทางการ วันที่ 30 มีนาคม 2563 นี้แล้ว เมื่อสายสีน้ำเงินเดินรถอย่างเต็มรูปแบบก็จะกลายเป็นวงแหวนล้อมรอบกรุงเทพ ผ่านสถานที่สำคัญหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นย่านที่อยู่อาศัย แหล่งออฟฟิศ และสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ จนกลายเป็นอีกหนึ่งสายหลักที่น่าจับตามองทีเดียวครับ   ช่วงเตาปูน-หลักสอง จากเดิมเปิดให้บริการเตาปูน-หัวลำโพง แต่ปัจจุบันสามารถเดินทางกันยาวๆ ไปจนถึงสถานีหลักสอง โดยไม่ต้องเปลี่ยนขบวนครับ โดยที่เตาปูนจะเป็นสถานีแบบยกระดับ ส่วนช่วงสถานีบางซื่อจะเป็นการเดินรถใต้ดินก่อนจะมายกระดับที่สถานีท่าพระ-หลักสอง ซึ่งอัตราค่าโดยสารสูงสุด 42 บาท ใช้เวลาเดินทางตั้งแต่สถานีเตาปูน-หลักสอง ประมาณ 57 นาที ช่วงเตาปูน-ท่าพระ เป็นช่วงที่ใช้รถไฟฟ้าแบบยกระดับตลอดสาย โดยตอนนี้ยังเป็นช่วงทดลองวิ่ง ซึ่งเปิดให้บริการ 10.00-16.00 น. และจะให้บริการอย่างเป็นทางการ วันที่ 30 มีนาคม 2563 มีอัตราค่าโดยสารสูงสุด 42 บาท ใช้เวลาเดินทางตั้งแต่สถานีเตาปูน-ท่าพระ ประมาณ 44 นาที รถไฟฟ้า สายสีม่วง MRT สายสีม่วง ถือว่าได้รับกระแสตอบรับดีทีเดียวสำหรับชาวนนทบุรี ซึ่งมักจะใช้เดินทางเข้าไปทำงานในเมืองโดยเปลี่ยนขบวนเป็นสายสีน้ำเงินที่สถานีเตาปูน เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการครั้งแรกวันที่ 6 สิงหาคม 2559 เป็นช่วงเตาปูน-บางใหญ่ โดยมีราคาสูงสุดที่ 42 บาท ใช้เวลาเดินทางประมาณ 28 นาที ส่วนสายสีม่วงใต้ ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ มีกำหนดเปิดให้บริการภายในปี 2569 รถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิ้งค์ รถไฟฟ้าที่เป็นหัวใจหลักของผู้ที่ต้องการเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิ รวมถึงผู้ที่พักอาศัยอยู่ในโซนตะวันออกของกรุงเทพฯ เข้าเมืองที่สถานีพญาไท ในราคาสูงสุด 45 บาท ใช้เวลาเดินทางทั้งสายประมาณ 26 นาที ที่สำคัญเลยคือ ในอนาคตสายนี้จะเป็นส่วนหนึ่งของโครงการรถไฟความเร็วสูง เชื่อม 3 สนามบิน ซึ่งหากเปิดให้บริการอย่างสมบูรณ์เมื่อไร เราจะสามารถเดินทางจากกรุงเทพฯ-มาบตาพุด ได้ภายในเวลา 2 ชั่วโมงเท่านั้น   Infographic เรื่องอื่นๆ ลดหย่อนภาษี สำหรับมนุษย์เงินเดือน บ้านกับรถ ซื้ออะไรก่อนดี ? เคล็ดลับผ่อนบ้านให้หมดเร็ว ดอกเบี้ยลด หมดหนี้ไว
Airbnb เผย 5 เมืองที่คนไทยนิยม “เคาท์ดาวน์” มากสุด

Airbnb เผย 5 เมืองที่คนไทยนิยม “เคาท์ดาวน์” มากสุด

คืนวันที่ 31 ธันวาคมของทุกปี นับเป็นช่วงเวลาสำคัญที่หลายคน ต่างเฝ้ารอเพื่อจะทำการ “เคาท์ดาวน์” เพื่อส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ เป็นช่วงเวลาของการเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ดีกว่า คนส่วนใหญ่จะเลือกสถานที่สำคัญๆ ที่สวยงามหรือชื่นชอบ เป็นจุดหมายปลายทางเพื่อการ “เคาท์ดาวน์” นอกเหนือจากการกลับไปยังบ้านเกิดเพื่อร่วมฉลองปีใหม่กับครอบครัว   นอกจากการเฉลิมฉลอง และการเตรียมส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ภายในประเทศแล้ว เมืองท่องเที่ยวหลายแห่งในต่างประเทศ ก็ถูกเลือกเป็นสถานที่สำคัญ สำหรับการเคาท์ดาวน์ด้วยเช่นกัน ซึ่งคนไทยนิยมไปประเทศไหนบ้าง เพื่อใช้เป็นสถานที่ส่งท้ายปีเก่าและต้อนรับปีใหม่ กับคนรักหรือคนพิเศษนั้น ทาง Airbnb ได้เปิดเผยผลสำรวจให้ได้รู้กัน   กรุงโซล เมืองยอดฮิตคนไทย "เคาท์ดาวน์" หากวัดจากผลสำรวจของ Airbnb จากการจองห้องพักมากที่สุดของคนไทย ในช่วงระหว่างวันหยุดยาวปีใหม่ เมื่อเทียบกับจำนวนผู้เข้าพักในปีที่แล้ว เมืองที่มีอัตราการเติบโตมากที่สุดก็คือ “กรุงโซล” ประเทศเกาหลีใต้ เหตุผลสำคัญ คงเป็นเพราะการมีเที่ยวบินไปมากขึ้น และคนชนชั้นกลางที่มีจำนวนเพิ่มขึ้น ทำให้คนไทยนิยมเดินทางไปต่างประเทศ เพื่อท่องเที่ยวในสถานที่ใหม่และเรียนรู้วัฒนธรรมใหม่ๆ     ถึงแม้กรุงโซลจะเป็นเมืองจุดหมายปลายทางที่ได้รับความนิยมมากที่สุด แต่การเดินทางท่องเที่ยวไปยังต่างประเทศในช่วงปีใหม่ของคนไทยนั้น ประเทศญี่ปุ่น นับว่ามีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะมีถึง 3 เมืองใหญ่อย่าง “โตเกียว โอซาก้า และฮอกไกโด” ติดโผ 5 อันดับแรก โดยอ้างอิงจากยอดการเข้าพักในช่วงปีใหม่มีการเติบโตขึ้นเมื่อเปรียบเทียบระหว่างปี 2561 กับปี 2562 ดังนี้   1.ลอนดอน  มีการเติบโตเพิ่มขึ้น 164% 2.เซี่ยงไฮ้  มีการเติบโตเพิ่มขึ้น 162% 3.โตเกียว มีการเติบโตเพิ่มขึ้น 87% 4.โอซาก้า มีการเติบโตเพิ่มขึ้น 70% 5.ฮอกไกโด มีการเติบโตเพิ่มขึ้น 61%   “เชียงใหม่” เมืองที่คนไทยไปมากสุดในประเทศ  สำหรับคนที่เลือกที่จะท่องเที่ยวภายในประเทศไทย พบว่า จุดหมายปลายทางที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในช่วงปีใหม่ยังคงเป็นภูเขากับความหนาวเย็นทางภาคเหนือ โดย “เชียงใหม่” ยังรักษาตำแหน่งสถานที่ยอดนิยมของนักท่องเที่ยวชาวไทย จากการมียอดจองห้องพักสูงถึง 90% เมื่อเทียบกับปีก่อน ทำให้เชียงใหม่ มีอัตราการเติบโตมากที่สุด โดย 3 อันดับเมืองยอดนิยมในประเทศไทยของนักท่องเที่ยวไทย ได้แก่ 1.เชียงใหม่ มีการเติบโตเพิ่มขึ้น 90% เมื่อเทียบกับปีก่อน 2.ภูเก็ต มีการเติบโตเพิ่มขึ้น 82% เมื่อเทียบกับปีก่อน 3.กรุงเทพฯ มีการเติบโตเพิ่มขึ้น 64% เมื่อเทียบกับปีก่อน     หากดูภาพรวมของการจองห้องพักทั้งหมดของ Airbnb ทั้งจากในประเทศและต่างประเทศแล้ว เมืองที่คนไทยนิยมไปเฉลิมฉลองมากที่สุดนั้น 5 อันดับแรก เป็นเมืองที่อยู่ภายในประเทศ ได้แก่ 1.กรุงเทพฯ 2.เชียงใหม่ 3.พัทยา 4.ภูเก็ต 5.สมุย สรุปแล้วปีนี้ ไปเคาท์ดาวน์ที่ไหนกันบ้าง แต่ไม่ว่าจะอยู่สถานที่ใดก็ตาม ขอให้ทุกช่วงเวลานับจากนี้ มีแต่สิ่งดีดีให้กับทุกคน เพื่อการเริ่มชีวิตในปีใหม่ที่สดใส และเต็มไปด้วยความสุข
5 ทำเลฮอต คนสนใจค้นหามากที่สุดประจำปี 2019

5 ทำเลฮอต คนสนใจค้นหามากที่สุดประจำปี 2019

ปี 2019 นับเป็นปีแห่งความลุ้นระทึกของตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย โดยเฉพาะกลุ่มที่พักอาศัย จากรายงาน DDproperty Property Market Outlook ฉบับล่าสุด พบว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังคงทรงตัว ซึ่งเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจทั้งในประเทศและทั่วโลกที่ชะลอตัว มาตรการ LTV ควบคุมสินเชื่อบ้านจากธนาคารแห่งประเทศไทย รวมถึงหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง แต่ด้วยความที่ที่อยู่อาศัยเป็นปัจจัยสี่ที่สำคัญ จึงเชื่อว่ายังมีความต้องการอย่างต่อเนื่องในตลาด รอเพียงการกระตุ้นจากภาครัฐ หรือโอกาสที่เหมาะสมเท่านั้น   สังเกตได้จากการค้นหาที่อยู่อาศัยในเว็บไซต์ DDproperty.com ที่ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในทำเลสำคัญ ๆ ของกรุงเทพฯ  แล้วทำเลไหนที่คนยังคงมองหา และค้นหามากที่สุดกัน ลองมาดูว่าตลอดทั้งปี 2019 มีทำเลไหนที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่ค้นหาที่อยู่อาศัยมากที่สุด 5 อันดับแรก 5 ทำเลฮอตคนหามากสุดในรอบปี 1.อ่อนนุช อ่อนนุช ถือเป็นทำเลยอดฮิต ติดอันดับต้น ๆ ของยอดค้นหามากที่สุด มาตลอดแทบจะทุกครั้ง โดยเฉพาะบริเวณรถไฟฟ้า BTS สถานีอ่อนนุช ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากราคาอสังหาริมทรัพย์ยังไม่แพงเกินไป ถือเป็นช่วงราคาที่คนทำงาน หรือผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นทำงาน (First Jobber) ยังสามารถซื้อเป็นเจ้าของเองได้ นอกจากนี้ยังเดินทางสะดวกสบาย ใกล้รถไฟฟ้า BTS เชื่อมต่อใจกลางเมืองและศูนย์กลางธุรกิจทั้งทองหล่อ อโศก สยาม หรือสีลม สาทร ได้ไม่ยาก และใช้เวลาไม่นาน รายล้อมด้วยห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ ตลาด และแหล่งแฮงก์เอ้าท์มากมาย มีสีสันในการใช้ชีวิตที่ครบจบในที่เดียว ทำไมอ่อนนุชถึงน่าอยู่ ใกล้สิ่งอำนวยความสะดวก อาทิ ตลาดอ่อนนุช, เทสโก้ โลตัส สุขุมวิท 50, บิ๊กซี อ่อนนุช, ฮาบิโตะมอลล์, พิคอะเดลี่ เดินทางง่ายใกล้รถไฟฟ้า BTS สถานีอ่อนนุช และเชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีเหลือง สถานีศรีนุช (อนาคต) จุดเด่นสำคัญ ตลาดเช่าใหญ่ของกลุ่มชาวต่างประเทศที่มาทำงานในเมืองไทย (Expat) โดยมีชาวต่างชาติเช่าห้องชุดเพื่ออยู่อาศัยในย่านนี้สูงถึงประมาณ 70% ราคาค่าเช่าคอนโดมิเนียมสูงขึ้นถึง 10% ในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา 2.อารีย์ อีกหนึ่งทำเลที่ได้รับความนิยมในการค้นหาสูงสุดเป็นอันดับที่ 2 ในปี 2019 คือ อารีย์ หากถามว่าทำเลนี้มีอะไรดี คงต้องบอกว่าทำเลนี้แต่เดิมเป็นทำเลขุนนางเก่า ที่มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง และมีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด หลังจากมีรถไฟฟ้า BTS เปิดให้บริการ ทำให้ทำเลนี้กลายเป็นทำเลที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่ โดยเฉพาะรูปแบบคอนโดมิเนียมที่มีเพิ่มมากขึ้นทุกวัน รวมถึงยังเป็นแหล่งงานขนาดใหญ่ทั้งภาครัฐและเอกชน มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายทั้งตลาด ร้านค้า ร้านอาหาร แหล่งช้อปปิ้ง เดินทางเชื่อมต่อสะดวก ไม่ไกลจากใจกลางเมือง และสถานีกลางบางซื่อ ทำไมอารีย์ถึงน่าอยู่ ใกล้สถานีกลางบางซื่อ เชื่อมต่อใจกลางเมือง-ปริมณฑลได้สะดวก ด้วยรถไฟฟ้า BTS โดยไม่ต้องเปลี่ยนสาย จุดเด่นสำคัญ ศูนย์กลางอาคารสำนักงานแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ ทั้งภาครัฐและเอกชน มีคนทำงานมากกว่า 6,000 คนต่อวัน 3.พระราม 9 ทำเลที่มียอดการค้นหามากเป็นอันดับที่ 3 คงหนีไม่พ้น พระราม 9 เพราะที่ผ่านมามีการพัฒนาในทำเลนี้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะบริเวณรถไฟฟ้า MRT สถานีพระราม 9 ซึ่งมีทั้งห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ขนาบข้างทั้ง 2 ฟากฝั่งถนน ได้แก่ ฟอร์จูน และเซ็นทรัลพลาซา แกรนด์ พระราม 9 ไม่ไกลกันนักก็มีทั้งเอสพลานาด ซีนีเพล็กซ์ รัชดาภิเษก และเดอะ สตรีท รัชดา แม้ว่าซุปเปอร์ทาวเวอร์จะพับโครงการไปแล้ว แต่ยังมีอาคารสำนักงาน และแหล่งงานขนาดใหญ่จำนวนมากในย่านนี้ และมีโครงการใหม่ ๆ รอจ่อคิวพัฒนาเป็นจำนวนมาก จึงไม่น่าแปลกใจที่พระราม 9 ได้ชื่อว่าเป็นทำเลศูนย์กลางธุรกิจแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ หรือ New CBD โดยโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ในทำเลนี้มียอดขายเฉลี่ยสูงถึงเกือบ 90% ทำไมพระราม 9 ถึงน่าอยู่ ทำเลใกล้ห้าง ใกล้แหล่งงาน ใกล้รถไฟฟ้า MRT สถานีพระราม 9 เชื่อมต่อรถไฟฟ้า BTS ได้สะดวก อนาคตจะเชื่อมต่อเป็นวงแหวนกับรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงเตาปูน-ท่าพระ และช่วงหัวลำโพง-หลักสอง จุดเด่นสำคัญ เป็นทำเลที่กลุ่มชาวจีนเข้ามาอยู่อาศัยเป็นจำนวนมาก เพราะใกล้สถานทูตจีน ราคาที่อยู่อาศัยปรับตัวสูงขึ้นปีละประมาณ 10-20% ผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าอยู่ที่ประมาณ 5% ต่อปี 4.บางนา มาถึงอันดับที่ 4 ทำเลบางนา ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจุบันมีการพัฒนาต่อเนื่องทั้งด้านการเดินทางที่มีรถไฟฟ้า BTS พาดผ่านช่วงบริเวณแยกบางนา และยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ มากมาย จากแต่เดิมที่การพัฒนากระจุกตัวอยู่บริเวณแยกบางนา อาทิ ห้างสรรพสินค้าอย่างเซ็นทรัลพลาซา บางนา และศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา แต่ปัจจุบันการพัฒนาเริ่มกระจายตัวออกไปจากบริเวณอื่นมากขึ้น ซึ่งปัจจัยหลักมาจากห้างสรรพสินค้าใหม่อย่างอิเกีย บางนา และเมกาบางนา ส่วนรูปแบบที่อยู่อาศัยก็มีหลากหลายทั้งคอนโดมิเนียม ทาวน์เฮ้าส์ บ้านเดี่ยว โดยเฉพาะบ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี บริเวณแนวถนนกาญจนาภิเษก ทำไมบางนาถึงน่าอยู่ มีตัวเลือกการเดินทางที่หลากหลายทั้งถนนบางนา-ตราด และสุขุมวิท ใกล้ทางด่วนอย่างทางพิเศษเฉลิมมหานคร ทางพิเศษบูรพาวิถี และถนนกาญจนาภิเษก และใกล้รถไฟฟ้า BTS จุดเด่นสำคัญ อนาคตบริเวณแยกบางนาจะมีโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ของเดอะมอลล์กรุ๊ปอย่างแบงค็อกมอลล์ ซึ่งจะช่วยผลักดันให้ทำเลนี้เติบโตเพิ่มขึ้นไปอีก บางนา เป็นเพียงไม่กี่ทำเลในกรุงเทพฯ ที่มีราคาอสังหาฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นตลอดปี 2019 5.สะพานควาย มาถึงทำเลสุดท้าย ไม่ไกล้ ไม่ไกล ยังอยู่ในแนวรถไฟฟ้า BTS คือทำเลสะพานควาย ทำเลนี้เป็นทำเลก่อนหน้าจตุจักรเพียง 1 สถานี จึงเชื่อมต่อสถานีกลางบางซื่อได้ไม่ยาก เดินทางสะดวกด้วยรถไฟฟ้า BTS สถานีสะพานควาย โดยปัจจุบันเป็นแหล่งงานสำคัญอีกแห่งหนึ่ง เชื่อมต่อกับถนนวิภาวดีรังสิต และรัชดาภิเษกได้สะดวก และใช้ถนนพหลโยธินเดินทางได้สะดวกเช่นกัน มีตลาด ร้านค้า ร้านอาหาร Co-working space และแหล่งแฮงก์เอ้าท์มากมาย ทำไมสะพานควายถึงน่าอยู่ ใกล้รถไฟฟ้า ใกล้สถานีกลางบางซื่อ มีแหล่งแฮงก์เอ้าท์ ร้านค้า ร้านอาหาร จำนวนมาก และใกล้สวนจตุจักร จุดเด่นสำคัญ ใกล้สวนสาธารณะขนาดใหญ่อย่างอุทยานจตุจักร มีเนื้อที่ประมาณ 727 ไร่ อนาคตจะมีโครงการมิกซ์ยูสเกิดขึ้น ซึ่งมีทั้งอาคารสำนักงาน พื้นที่ค้าปลีก และโรงแรม รถไฟฟ้า ผลักดันทำเลฮอต จะเห็นได้ว่าทำเลที่มียอดค้นหามากที่สุดทั้ง 5 อันดับ ล้วนแล้วแต่เป็นทำเลในแนวรถไฟฟ้าทั้งสิ้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าความต้องการของผู้อยู่อาศัยส่วนใหญ่ไม่ว่าซื้อหรือเช่านั้น มองเรื่องทำเลเป็นสำคัญสอดคล้องกับผลการสำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภคต่อสภาพตลาดอสังหาริมทรัพย์ (DDproperty Consumer Sentiment Survey) รอบล่าสุด ที่ระบุว่าทำเลยังเป็นปัจจัยหลักที่ผู้เลือกซื้อที่อยู่อาศัยให้ความสำคัญ เชื่อว่าในอนาคตเมื่อกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีเส้นทางรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอีกหลายสาย จะยิ่งทำให้เห็นภาพการเลือกที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคกระจายตัวออกไปสู่เส้นทางสายต่าง ๆ มากขึ้น   โดยพบว่า 1 ใน 3 ของผู้ที่ตอบแบบสอบถาม หรือ 32% มองว่าระยะทาง 400-500 เมตร จากที่พักอาศัยถึงระบบขนส่งสาธารณะ เป็นระยะห่างที่ยอมรับได้   นอกจากนี้ยังพบว่า ระยะทางจากสิ่งอำนวยความสะดวกที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญ ได้แก่ 60% ใกล้ระบบขนส่งสาธารณะ 51% ใกล้สถานที่ทำงาน 34% ใกล้จากแหล่งช้อปปิ้ง 33% ใกล้สถานพยาบาล   ขณะเดียวกันยังพบว่า 35% ของผู้ตอบแบบสอบถามให้ความสนใจกับการซื้ออสังหาฯ ในพื้นที่รอบนอกกรุงเทพฯ เนื่องจากราคาที่ดินและอสังหาฯ ในบริเวณดังกล่าวยังมีราคาไม่สูงมากนัก รวมทั้งโครงการรถไฟฟ้าหลายสายที่ใกล้เปิดใช้บริการและอยู่ในระหว่างการก่อสร้างหลายเส้นทางทำให้การเดินทางเชื่อมต่อจากเขตกรุงเทพฯ รอบนอก เข้าสู่ใจกลางเมืองได้สะดวกเช่นกัน   รองลงมาจำนวน 16% ให้ความสนใจในทำเลรัชดา ลาดพร้าว พระราม 9 และอีก 15% ยังเทใจให้กับพื้นที่สุขุมวิทชั้นใน ขณะที่ทำเลสุขุมวิทรอบนอก อย่าง บางนา แบริ่ง และย่านอารีย์กับพหลโยธิน ได้รับความสนใจในจำนวน 11% เท่ากัน อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง เปิดทำเลฮอต !! คอนโดฯ ที่จะออกสู่ตลาดกว่า 20,000 ยูนิตในไตรมาส 3 ที่ดิน 4 ทำเลฮอตราคาพุ่ง 20-30%
จับตาทำเลสาทร-จันทน์-เย็นอากาศ แหล่งรวมออฟฟิศ คอนโดไฮเอนด์

จับตาทำเลสาทร-จันทน์-เย็นอากาศ แหล่งรวมออฟฟิศ คอนโดไฮเอนด์

ทำเล CBD ของกรุงเทพฯ อย่างย่านสาทร ยังคงเป็นแหล่งรวมอาคารสำนักงาน ซึ่งเป็นที่ตั้งของบริษัทชั้นนำ รวมถึงคอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์ และสถานที่สำคัญอีกจำนวนมาก แม้ว่าปัจจุบันทำเล New CBD ขยายออกไปหลายพื้นที่ แต่ย่านสาทรยังคงมีอัตราการดูดซับไม่เคยลดลง และสูงกว่าภาพรวมของตลาดอย่างมีนัยสำคัญ ภาพรวมตลาดอาคารสำนักงานย่านสาทร นายธีระวิทย์ ลิ้มทองสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส เรียลเอสเตท แอ็ดไวเซอรี่ จำกัด เผยว่า ทำเลย่านสาทร ถือเป็นศูนย์รวมของอาคารสำนักงานที่มีทั้งบริษัทสัญชาติไทยจากทั่วประเทศ และบริษัทชั้นนำระดับโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ธนาคารและบริษัทการเงินจากหลากหลายประเทศ ทำให้สาทรยังคงเป็นย่านที่มีอัตราการเช่าสูงถึง 97% ส่งผลถึงราคาค่าเช่าสูงขึ้นทุกปีเฉลี่ย 4-5% ต่อปี โดยต่อเดือนอาคารสำนักงานเกรดเอมีค่าเช่าเฉลี่ย 920 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน ในบางอาคารพุ่งสูงสุดต่อเดือนกว่า 1,000 บาทต่อตารางเมตร  ตลาดอาคารสำนักงานยังคงมีความต้องการเช่าเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอาคารสำนักงานเกรดเอ อุปทานในปัจจุบันมีอยู่อย่างจำกัด ทำให้มีการพัฒนาโครงการอาคารสำนักงานใหม่ รวมถึงโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ออกมารองรับ ซึ่งขยายออกไปในทำเลรอบๆ อย่างย่านสีลม พระราม 4 อาทิ โครงการโครนอส บนถนนสาทร โครงการดุสิต เซ็นทรัล ปาร์ค บนที่ดินโรงแรมดุสิตธานีเดิม โครงการสีลม สแควร์ ในบริเวณอาคารสีบุญเรืองเดิม โครงการวัน แบงค็อก บริเวณหัวมุมถนนพระรามที่ 4 และโครงการสถานีแม่น้ำของร.ฟ.ท. ริมแม่น้ำเจ้าพระยาล้อมรอบด้วยถนนพระราม 3 เป็นต้น อีกทั้งยังมีโครงการรถไฟฟ้าสายสีเทาผ่านถนนสาทร ถนนนราธิวาส ถนนพระราม 3 ซึ่งขณะนี้กำลังศึกษาความเป็นไปได้ และจัดทำรายงานการวิเคราะห์ทำเลดังกล่าวผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) โดยจะสามารถก่อสร้าง ได้ประมาณปี 2564 เหล่านี้ยิ่งส่งผลให้ทำเลในย่านนี้ได้รับอานิสงส์ไปด้วย และทำให้ตลาดอาคารสำนักงานยิ่งมีความคึกคัก และเป็นการขยายแหล่งงานไปด้วย           ภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมใจกลางเมือง-สาทร ด้านนางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด เผยว่า ภาพรวมของตลาดคอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์ทำเลใจกลางเมืองในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมานี้ มีอุปทานสะสมทั้งหมด 93,122 ยูนิต เป็นอุปทานที่เกิดขึ้นใหม่จำนวน 3,262 ยูนิต โดยมีราคาเฉลี่ยประมาณ 233,200 บาทต่อตารางเมตร ถือว่าจำนวนลดลงเมื่อเทียบกับหลายปีที่ผ่านมา เหตุเพราะผู้พัฒนาโครงการมีความระมัดระวังในการเปิดโครงการใหม่มากขึ้น ประกอบกับมุ่งเน้นกลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงเป็นหลัก ส่งผลให้สินค้าที่ออกมาใหม่ในตลาดมีคุณภาพดี อยู่ในทำเลที่น่าสนใจยิ่งขึ้น ซึ่งถือเป็นผลดีต่อตลาด เพราะทำให้ห้องชุดที่เปิดใหม่สามารถขายได้เร็วขึ้น สำหรับภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมเฉพาะย่านสาทรมีจำนวนทั้งสิ้น 22,255 ยูนิต จากทั้งหมด 48 โครงการ มีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 214,400 บาทต่อตารางเมตร มียอดขายรวม 84% สูงกว่ายอดขายรวมของตลาดถึง 2% โดยยอดขายเฉลี่ยรวมของตลาดอยู่ที่ 82%   สาเหตุที่ทำให้ สาทร-จันทน์-เย็นอากาศ ยังคงมีเสน่ห์ และความน่าสนใจนั้น เนื่องจากเป็นทำเลที่ถือเป็นย่านชุมชนเก่า แต่ยังอยู่ท่ามกลางความสะดวกสบายทั้งในเรื่องของสิ่งอำนวยความสะดวก ไม่ว่าจะเป็นแหล่งธุรกิจใจกลางเมือง โรงเรียน โรงพยาบาล ศูนย์การค้า ร้านอาหาร รวมถึงการเดินทางที่ใกล้ทางด่วน และรถไฟฟ้า   ข้อมูลเพิ่มเติมของบริษัท Nexus อ่านข่าวอื่นๆ ของ Nexus เพิ่มเติมได้ที่ Reviewyourliving  
ทำความรู้จักกับ “แอมไชน่าทาวน์” มิกซ์ยูส 3,000 ล้าน ใจกลางเยาวราช

ทำความรู้จักกับ “แอมไชน่าทาวน์” มิกซ์ยูส 3,000 ล้าน ใจกลางเยาวราช

โครงการ แอมไชน่าทาวน์ (I’m Chinatown) โปรเจ็กต์มิกซ์ยูส มูลค่า 3,000 ล้านบาท ของบริษัท ไอแอมไชน่าทาวน์ จำกัด ได้เปิดให้บริการในเฟสแรกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป็นพื้นที่ในส่วนของศูนย์การค้าตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งอาจจะไม่ใช่เรื่องง่ายนักสำหรับพื้นที่ย่านเยาวราช ในการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ เนื่องจากข้อจำกัดของพื้นที่ ซึ่งอาจจะหาได้ยาก นายสุวรรณ เลิศปัญญาโรจน์ กรรมการ บริษัท ไอแอมไชน่าทาวน์ จำกัด เปิดเผยว่า โครงการ I’m Chinatown เป็นโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ที่สุด โครงการแรกที่มีการก่อสร้างในย่านเยาวราชภายในรอบ 30 ปี ด้วยขนาดพื้นที่ 40,000 ตารางเมตร เนื่องจากย่านเยาวราชมีข้อจำกัดในเรื่องที่ดิน ไม่สามารถก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่ ทำได้แค่เพียงการปรับปรุงซ่อมแซมอาคารเดิมเท่านั้น “ย่านเยาวราช หรือ ไชน่าทาวน์ เป็นย่านเศรษฐกิจที่สำคัญลำดับต้นๆ ของประเทศไทย ไม่เพียงแต่จะเป็นศูนย์รวมการค้าขายของชาวไทยเชื้อสายจีน ในประเทศไทยมาอย่างยาวนาน แต่ยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลกด้วย” สำหรับที่ตั้งโครงการอยู่ห่างจากสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT วัดมังกร เพียงแค่ 1 นาที มีกลุ่มเป้าหมายทั้งชาวไทยและต่างประเทศ ซึ่งคาดว่าจะเข้ามาใช้บริการไม่ต่ำกว่าวันละกว่า 8,000 คน ปัจจุบันมีร้านค้าทยอยเปิดให้บริการแล้วประมาณ  70% และจะเปิดบริการเต็มรูปแบบอย่างเป็นทางการในวันที่ 16 มกราคม 2563 ซึ่งหลังเปิดให้บริการเต็มรูปแบบ บริษัทน่าจะมีรายได้จากการปล่อยเช่าพื้นที่ของศูนย์การค้า ปีละ 100 ล้านบาท และคืนทุนได้ภายใน 5-7 ปี เปิด 4 พื้นที่ในโครงการ I’m Chinatown 1.โรงแรม ซึ่งเป็นโครงการร่วมมือกันระหว่างโรงแรม “อาศัย” (ASAI) เครือดุสิต ซึ่งเป็นโรงแรมเจาะกลุ่มไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะสำหรับนักเดินทางที่มองหาประสบการณ์ที่แตกต่างไป โดยเน้นการเข้าถึงวิถีชุมชน หรือ ‘Live Local’ มีจำนวนห้องทั้งสิ้น 224 ห้อง ให้บริการตั้งแต่ชั้น 4-8 ของศูนย์การค้า จะเปิดรองรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก โดยคาดว่า 40% จะเป็นนักท่องเที่ยวชาวจีน รองลงมาจะเป็นญี่ปุ่น เกาหลี และยุโรป และคาดว่าจะมีอัตราการเข้าพักมากกว่า 90% ตลอดทั้งปี   2.อาคารจอดรถ ที่อำนวยความสะดวกกับผู้มาใช้บริการและประชาชนที่จะเดินทางมาไชน่าทาวน์ โครงการฯ เปิดให้บริการที่จอดรถ 300 คัน ซึ่งเป็นอาคารจอดรถขนาดใหญ่และทันสมัยที่สุดในย่านไชน่าทาวน์   3.I’m Chinatown Residence พื้นที่พักอาศัยในส่วนคอนโดมิเนียม ซึ่งตกแต่งเสร็จพร้อมอยู่ 8 ชั้น จำนวน 43 ยูนิต ซึ่งตอบสนองประชาชนที่พักอาศัยในย่านนี้ ที่ไม่ต้องเดินทางออกไปชานเมืองและกลับมาตอนเช้า รวมถึงเจ้าของกิจการและผู้ประกอบการที่มีธุรกิจในย่านเยาวราช  พื้นที่คอนโดมิเนียมจะใช้ระบบลิฟต์แยกตามชั้น เพื่อความเป็นส่วนตัว มีระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง เข้า-ออก โครงการด้วยระบบคีย์การ์ด ปัจจุบันโครงการปิดการขายทั้งหมดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว   4.พื้นที่ศูนย์การค้า ซึ่งจะเป็นศูนย์รวมของฝากและร้านอาหาร เป็นจุดนัดพบของนักท่องเที่ยว ผู้มาจับจ่ายใช้สอย แหล่งรับประทานอาหารของประชาชนทั่วไป สำรวจพื้นที่รีเทลหมื่นตารางเมตร สำหรับพื้นที่เชิงพาณิชย์ หรือรีเทล มีทั้งหมดด้วยกัน 4 ชั้น ซึ่งมีร้านค้าจำนวนทั้งสิ้นกว่า 80 ร้าน คิดเป็นพื้นที่พาณิชย์กว่า 10,000 ตารางเมตร   -ชั้น B1 เป็นพื้นที่ร้านค้าสะดวกซื้อและร้านบริการ เช่น 7 - Eleven, Kerry Express, ร้านขายยา, CleanMate, Kamu, Nara Gem, B’me by Wacoal, Beauty Maker, Vision and Café, ร้านอาหารบุฟเฟ่ต์ ชื่อดังอย่าง King Kong บุฟเฟ่ต์ปิ้งย่างสไตล์ยากินิคุ และ King Kong Sweets ร้านขนมหวานยอดนิยมต้นตำรับจากประเทศญี่ปุ่น   นอกจากนี้ยังมี Gourmet Thai ซึ่งเป็นสแตนอโลนช็อปแห่งแรกที่เปิดทำการนอกพื้นที่อสังหาริมทรัพย์ภายในเครือเดอะมอลล์ กรุ๊ป โดยได้คัดสรรรายการสินค้าคุณภาพจาก Gourmet Market สาขาต่างๆ มาจำหน่ายที่ร้านค้าแห่งนี้  เพื่อให้บริการสำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติโดยเฉพาะ -ชั้น G และชั้น 2 เป็นแหล่งรวมร้านอาหาร ร้านไลฟ์สไตล์ และของหวานชั้นนำ ทั้ง KFC, Starbucks, Krispy Kreme, Wacoal, แว่นท็อปเจริญ, Beauty Station, Jamba Juice, Dairy Queen, ชานมไข่มุก CoCo, Olino Crepe & Tea, Stickhouse, ชาผลไม้อันดับหนึ่งของประเทศไต้หวันอย่าง Yi Fang ซึ่งเป็นสาขาที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย, New York 5th Ave. Deli ร้านแซนด์วิชสไตล์อเมริกันระดับพรีเมี่ยมสาขาแรกในกรุงเทพฯ, ร้านสุกี้ MK, Yayoi, Hachiban Ramen, Ryo Shi ซูชิบาร์, Swensen, Daiso, ตำมั่ว และ Munchy Bar and Restaurant รวมถึงยังมีศูนย์อาหาร ซึ่งรวบรวมสตรีทฟูดชื่อดังจากทั่วกรุงเทพฯ มาให้ได้ลิ้มรสกันอีกด้วย   -ชั้น 3 ประกอบไปด้วยร้านค้าที่เปิดให้บริการด้านสุขภาพและความงาม อย่าง Together Clinic, ร้านทำเล็บ, Jetts Fitness ฟิตเนสเต็มรูปแบบแห่งแรกของย่านเยาวราช เปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง และ Let’s Relax Spa สปาระดับพรีเมี่ยมแห่งแรกและใหญ่ที่สุดในย่านเยาวราช ซึ่งจะเปิดให้บริการตั้งแต่ 10.00 น. ถึงเที่ยงคืน “การพัฒนาของยุคสมัยที่มีมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เยาวราชในปัจจุบันกลายเป็นศูนย์รวมธุรกิจการค้าที่มีส่วนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย เพราะเป็นแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ที่มีความโดดเด่นเฉพาะตัว” ข้อมูลเพิ่มเติม "แอมไชน่าทาวน์"  
คอนโด สิงคโปร์ ราคาเท่าไร ซื้อ-ขายกันอย่างไร

คอนโด สิงคโปร์ ราคาเท่าไร ซื้อ-ขายกันอย่างไร

หลายครั้งที่ Reviewyourliving มักจะเล่าถึงคอนโดมิเนียมหลายๆ โครงการในบ้านเรามาให้ชมกัน แต่สำหรับบทความนี้ เราจะมาเล่าถึงคอนโดมิเนียมของประเทศสิงคโปร์ จากมุมมองของชาวสิงคโปร์เองดูกันบ้างค่ะ จะมีอะไรน่าสนใจ แตกต่างจากบ้านเราอย่างไร ต้องมาดูกันค่ะ   ประเทศสิงคโปร์มีขนาดพื้นที่ประมาณ 721.5 ตารางกิโลเมตร ใหญ่กว่าเกาะภูเก็ตในบ้านเราเล็กน้อย ซึ่งขยายจากเดิมด้วยการถมทะเลออกไปทางใต้ ตะวันออก และตะวันตก ขณะที่จำนวนประชากรมีกว่า 5.5 ล้านคน จึงถือว่ามีความหนาแน่นสูงที่สุดในโลกเป็นอันดับ 2 เลยทีเดียว แต่อย่าลืมว่าที่นี่ไม่มีคนเร่ร่อนอยู่เลยนะคะ แล้วแบบนี้รัฐบาลมีวิธีจัดการที่อยู่อาศัยให้รองรับประชาชนทุกคนได้อย่างไร ซึ่งเราก็ได้คำตอบจากการพูดคุยกับคนสิงคโปร์มาฝากกันค่ะ    80% ของคนสิงคโปร์ จะอาศัยอยู่ในการเคหะของรัฐบาล ซึ่งถือเป็นที่อยู่อาศัยเริ่มต้นที่มีราคาถูกที่สุด แต่จะอยู่ในทำเลชานเมืองเสียส่วนใหญ่ ซึ่งมีสิทธิ์ครอบครอง 99 ปี 999 ปี และตลอดชีวิต แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่รัฐบาลต้องการพื้นที่ก็ต้องขายคืน แต่ก็จะซื้อคืนด้วยราคาตลาด โดยราคาในปัจจุบันถ้า 2 ห้องนอน ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 60,000 เหรียญ    เมื่อเวลาผ่านไปคอนโดของการเคหะเริ่มเก่าแล้ว รัฐบาลก็จะไม่ปล่อยให้ทรุดโทรม โดยใช้วิธีสร้างแห่งใหม่ขึ้นมาแล้วซื้อที่เดิมคืน เพื่อให้คนย้ายเข้าไปอยู่อาศัยในแห่งใหม่ ถือเป็นการดูแลคุณภาพชีวิตประชาชนได้ดีทีเดียว   จากการอยู่อาศัยในการเคหะ หากต้องการขยับขยายก็ต้องเก็บเงินไปซื้อคอนโดของเอกชนต่อไป เพราะการกู้ซื้อที่อยู่อาศัยจะมีลักษณะแบบเดียวกันกับในประเทศไทยค่ะ คือการกู้กับธนาคาร แต่จะไม่มีการปล่อยกู้ 100% ฉะนั้นต้องมีการวางเงินดาวน์ในส่วนที่เหลือ โดยทางธนาคารจะมีเกณฑ์การพิจารณาจากอาชีพ รายได้ อายุ    เมื่อพูดถึงการเลือกซื้อคอนโดสักยูนิต คนสิงคโปร์จะเลือกพิจารณาจากราคาและทำเล โดยคอนโดมิเนียมใจกลางเมืองในทำเลที่แพงที่สุด คือย่าน Orchard ราคาประมาณ 4 ล้านเหรียญ ขนาด 3 ห้องนอน และได้สิทธิ์แบบ Freehold แต่ถ้าเป็นสิทธิ์ Leasehold 99 ปี ราคาก็จะลดลงมา เหลือประมาณ 1.5 ล้านเหรียญ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละโครงการ ส่วนทำเลที่ร์นิยมอยู่อาศัยกันมากที่สุด เมื่อก่อนจะนิยมอยู่ในย่าน Bishan หรือ Ang Mo kio เพราะถือเป็นพื้นที่ตรงกลางของประเทศ อยู่ใกล้กับใจกลางเมือง แต่ปัจจุบันก็กระจายไปยังส่วนอื่นๆ ด้วย  เช่น Buangkok, Sengkang      สิ่งที่น่าสนใจมากอย่างหนึ่งคือเรื่องของขนาดยูนิตค่ะ เพราะอย่างที่เล่าไปตอนต้นว่าประเทศสิงคโปร์มีพื้นที่ค่อนข้างจำกัด แต่ขนาดยูนิตในคอนโดก็ไม่ได้เล็กตามเลยนะคะ เพราะห้องสตูดิโอจะมีขนาด 30 ตร.ม. ขึ้นไป ขณะที่ยูนิตไซส์ประมาณ 60 ตร.ม. จะเป็นหนึ่งห้องนอน ขณะที่พื้นที่ประมาณ 70 ตร.ม. จะเป็นสองห้องนอน โดยสมัยก่อนทั้งโครงการ จะมี 200-300 ยูนิต  แต่ปัจจุบันโครงการรุ่นใหม่ทำออกมาประมาณ 500 ยูนิต เพราะขนาดห้องเล็กลง     “ที่สิงคโปร์สมัยก่อนห้องสตูดิโอมีขนาด 40-60 ตร.ม. แต่ทุกวันนี้เหลือแค่ 30 กว่าตร.ม. หรือที่เรียกกันว่า Shoebox Condominium”    ชาวสิงคโปร์เรียกห้องสตูดิโอ ไซส์ประมาณ 30 ตร.ม.ว่า Shoebox Condominium แค่ฟังชื่อก็สะท้อนให้เห็นแล้วใช่ไหมคะ ว่าคนสิงคโปร์แม้ส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมบนคอนโด แต่ไซส์ห้องที่เพียงพอต่อความต้องการจริงๆ นั้น ต้องมีความกว้างอยู่พอสมควร หากลองเทียบกับในเมืองไทยที่ปัจจุบันมีขนาดเริ่มต้นให้เราเห็นกันที่ 22 ตร.ม. เท่านั้น  หลักเกณฑ์ของรัฐบาลสิงคโปร์ต่อการดูแลที่อยู่อาศัย อ่านมาถึงตรงนี้แล้วก็อาจจะเกิดความคิดว่า แบบนี้ก็ซื้อคอนโดของการเคหะไปเลยจะดีกว่าไหม? เพราะทั้งราคาถูกกว่า ขนาดยูนิตกว้างกว่า การเดินทางก็สะดวกสบายอยู่แล้วด้วย แต่ในเรื่องของการซื้อที่อยู่อาศัยใหม่ รัฐบาลก็มีการกำหนดเงื่อนไขอื่นๆ ตามมาอีก โดยดูจากเกณฑ์รายได้ เช่น ถ้ามีเงินเดือนเกิน 13,500 เหรียญ หรือเป็นคนโสดอายุ 35 ปีขึ้นไป ก็ไม่สามารถซื้อคอนโดของการเคหะได้แล้วนะคะ จะต้องไปซื้อคอนโดมิเนียมของเอกชน แต่ถ้ามีครอบครัวแล้วจะดูรายได้ครอบครัวเป็นหลัก ถ้ารวมกันแล้วมากกว่า 7,000 เหรียญ ก็จะซื้อห้องขนาด 3-4 ห้องนอนขึ้นไป เป็นต้น  เห็นถึงการจัดเรื่องที่อยู่อาศัยแบบนี้แล้ว ก็ใช่ว่าจะไม่มีปัญหาเกิดขึ้นเลยนะคะ เพราะปัจจุบันสังคมผู้สูงอายุก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดปัญหาขึ้นได้ในอนาคตคล้ายกับในประเทศญี่ปุ่น เพื่อป้องกันการเกิดปัญหา รัฐบาลก็เตรียมวิธีรับมือกับปัญหานี้อยู่หลายทาง อย่างการสร้างที่อยู่อาศัยของการเคหะในทำเลที่เข้ามาในเมืองมากขึ้น เช่น ย่านไชน่าทาวน์ ด้วยเหตุผลที่คนรุ่นใหม่มักจะนิยมซื้อคอนโดทำเลในเมืองมากขึ้น จนในอนาคตทำเลของการเคหะในเขตเดิมอาจกลายเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของผู้สูงอายุ ฉะนั้นซื้อคอนโดของการเคหะรุ่นใหม่ๆ จึงมีจุดประสงค์ในการทำให้คนรุ่นใหม่ได้อยู่ใกล้ชิดกับครอบครัวเดิมด้วย ไม่จำเป็นต้องเข้าเมืองเพียงอย่างเดียว     อีกเรื่องที่สำคัญมากไม่แพ้กัน คือ รายได้ของผู้สูงอายุไม่เพียงพอหลังจากเกษียณ จึงได้มีมาตรการที่สามารถขายสิทธิ์ที่อยู่อาศัย Leasehold ของตัวเองได้สำหรับปีสัญญาที่เหลือ เช่น หลังจากเกษียณแล้วเหลือสัญญาอีก 30 ปี แล้วขายให้รัฐบาลไป 10 ปี ก็จะได้เงินจำนวนนี้มาใช้หลังเกษียณ และหากมีชีวิตอยู่ต่อ ไม่ถึง 20 ปี สิทธิ์ที่เหลือ รัฐบาลก็จะจ่ายเงินให้กับลูกหลาน แต่ลูกหลานจะไม่ได้สิทธิ์อยู่ต่อตามสัญญาที่เหลือ      เป็นอย่างไรกันบ้างคะ สำหรับวิถีของคนคอนโดในประเทศสิงคโปร์ ทั้งในแง่ของขนาดยูนิตและการบริหารจัดการจากทางรัฐบาลน่าสนใจมากทีเดียวใช่ไหมคะ น่าเอามาปรับใช้ในบ้านเราอยู่หลายอย่างเลย สุดท้ายโอกาสหน้าเราจะนำข้อมูลดีๆ มาเล่าให้กันฟังอีกนะคะ 
สำรวจคอนโดตระกูล Life ย่านพระราม 9 

สำรวจคอนโดตระกูล Life ย่านพระราม 9 

ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ ถ้าพูดถึงทำเลที่สุดแสนจะร้อนแรง จน Developer ค่ายใหญ่ต่างพร้อมใจกันกระโดดลงไปเล่นช่วงชิงตลาดกันให้คึกโครมจนเกิดนิยามใหม่ขึ้นมาสำหรับย่านนี้โดยเฉพาะนั่นคือ NEW CBD แน่นอนว่าเรากำลังเอ่ยถึงย่านพระราม 9 โดยเฉพาะช่วงสี่แยกพระราม 9    ศักยภาพของทำเลที่ได้ขึ้นชื่อกันว่าเป็น New CBD แน่นอนว่าต้องมีความสมบูรณ์ในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของการเป็นแหล่งงานของหลายบริษัทชั้นนำบนอาคารออฟฟิศเกรดเอ ศูนย์การค้า ไฮเปอร์มาร์เกต สถานที่สำคัญอื่นๆ เช่น สถานฑูต เป็นต้น และเรื่องของการเดินทางไม่ว่าจะด้วยรถยนต์ส่วนตัว หรือระบบขนส่งสาธารณะจะต้องสามารถเข้าถึงได้ง่าย ภาพรวมก็คือย่านที่เป็นศูนย์กลางการขับเคลื่อนของเศรษฐกิจ    ทุกวันนี้ถ้าผ่านไปแถวสี่แยกพระราม 9 ไม่ว่าจะบนถนนหรือทางด่วนก็จะเห็นคอนโดหลายๆ โครงการก่อสร้างขึ้นเป็นรูปเป็นร่างให้เราได้เห็นกันจนแทบแยกไม่ออกว่า อาคารไหนคือโครงการอะไร เพราะความที่ใกล้กันมากเหลือเกินค่ะ ซึ่งคอนโดแบรนด์ที่เราจะพามาอัพเดทกันมีความน่าสนใจมากค่ะ เพราะในโซนใกล้เคียงกัน AP (Thailand) ยกมาถึง 3 โครงการด้วยกัน นั่นคือ Life แบรนด์ที่ถูกปลุกขึ้นมาใหม่ให้ดียิ่งกว่าที่เคย หากใครที่ลองติดตามแบรนด์ Life ก็จะเห็นการพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ นี่ยังไม่นับแบรนด์ RHYTHM อีก 2 โครงการในละแวกเดียวกันนะคะ แสดงว่าทาง AP (Thailand) รวมถึงค่ายอื่น ก็ต้องมั่นใจในศักยภาพของทำเลนี้มาก ถึงได้กลายเป็นอีกหนึ่งทำเลที่มีการแข่งขันกันดุเดือดตั้งแต่ช่วงเริ่มเปิดโครงการ และเชื่อว่าตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไปที่จะเริ่มมีการโอนกรรมสิทธิ์ในโครงการใหม่ๆ ก็จะยิ่งมีโปรโมชั่นออกมาอย่างน่าสนใจ        Life Asoke-Rama 9  ถ้าเราใช้รถไฟฟ้าใต้ดินมาขึ้นที่สถานีพระราม 9 แล้วเดินข้ามสี่แยกพระราม 9 มาจากฝั่งฟอร์จูนทาวน์ ประมาณ 300 เมตร ก็จะพบกับ Life Asoke-Rama 9 ซึ่งเปิดตัวไปเมื่อปี 2560 เป็น High-Rise 2 อาคาร สูง 42 กับ 45 ชั้น รวม 2,248 ยูนิต Studio-2 Bedroom ขนาด 25 – 58 ตร.ม. พื้นที่โครงการ 8-3-11 ไร่ ขายแบบ Fully Fitted โดยการวางผังยูนิตของ Life Asoke-Rama 9 จะใช้เทคนิค New Interlocked Layout ทำให้ได้ห้องหน้ากว้างมากขึ้นถึง 5-7 เมตร เน้นฟังก์ชั่นการใช้งานที่เป็นสัดส่วนมากขึ้น สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามไลฟ์สไตล์ และได้ห้องครัวปิด        โครงการนี้โดดเด่นตรงที่พื้นที่ส่วนกลางบน Rooftop รวมกว่า 1.5 ไร่ เป็นสะพาน Sky Bridge เชื่อมต่อระหว่างสองอาคาร ยังไม่รวมส่วนกลางชั้นอื่นๆ ซึ่งถ้ารวมกันทั้งโครงการแล้วก็จะมีพื้นที่ส่วนกลางถึง 7.5 ไร่เลยทีเดียว ส่วน Facilities อื่นๆ ที่น่าสนใจก็จะมี 24-HOUR CONNECTED WORLD สามารถเชื่อมต่อ Wi-fi ในพื้นที่ส่วนกลางทุกจุด รองรับกับพื้นที่ Co-working Space ที่ถูกแบ่งตามการใช้งานจริงไม่ว่าจะทำงานคนเดียวหรือมีการนัดประชุม   ราคาเริ่มต้นช่วงเปิดตัวโปรโหมดกันอยู่ที่ 2.75 ล้านบาท ซึ่งมีข่าวออกมาว่าสามารถปิดยอดขายได้ประมาณ 90% ไปได้พร้อมๆ กับตัว Life One Wireless กับ Life Ladprao ที่เปิดตัวในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน ทำให้ส่งผลไม่น้อยกับให้ยอดขายรวมในปี 2560 ของ AP (Thailand) ทำสถิติเติบโต 85% ทะลุเป้าถล่มทลาย โดยปัจจุบันซื้อ-ขายกันที่ราคาเริ่มต้นประมาณ 2.8 ล้านบาทขึ้นไป และจะเริ่มโอนกรรมสิทธิ์กันในปีหน้า ซึ่งใกล้จะ Sold Out เต็มที      Life Asoke Hype  ตัวนี้เปิดตัวพร้อมๆ กันกับ Life Ladprao Valley ซึ่งออกตัวมาว่าถ้าซื้อเพื่อลงทุนจะคุ้มค่าแค่นอน ด้วยผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าประมาณ 5 – 6% ประกอบกับทำเลย่านนี้ก็มีชาวเอเชียมาอาศัยอยู่ไม่น้อย เช่น จีน ฮ่องกง สิงคโปร์ เป็นต้น โดย Life Asoke Hype เรียกได้ว่าเป็นรุ่นน้องของ Life Asoke-Rama 9 เพราะที่ดินใกล้เคียงกันมาก ใช้ทางเข้า-ออกเดียวกันตรงฝั่งถ.อโศก-ดินแดง แต่ตัวนี้จะสามารถเข้า-ออกทางฝั่งถ.จตุรทิศ เป็นหลักได้ด้วย      Life Asoke Hype เป็น High Rise สูง 40 ชั้น 1,253 ยูนิต+4 Shop Studio-2 Bedroom ขนาด 25.5-64 ตร.ม. บนพื้นที่ 5-0-10 ไร่ และมี Layout แบบใหม่จาก AP มาลงโครงการนี้ที่แรก โดยโครงการนี้จะโดดเด่นด้านงานดีไซน์ ที่ออกแบบด้วยการใช้สีแดงเข้มมาแต่งแต้มเพิ่มมิติให้ตัวอาคารมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แบบที่ถ้าอาคารสร้างเสร็จ มองมาปุ๊บก็รู้ทันที่ว่านี่คือ Life Asoke Hype ประกอบกับวัสดุตกแต่งและเฟอร์นิเจอร์ที่สั่งทำ Custom Made พิเศษขึ้นมาทำให้ มีความ Unique โดดเด่นไม่เหมือนใคร ตามสไตล์คนรุ่นใหม่ที่ชอบเป็นตัวของตัวเอง ขณะที่ Facilities เองก็ยังคงตอบรับกับกลุ่มคนยุคใหม่เช่นเดียวกัน อย่างการมีปลั๊กไฟอยู่ให้ทุกจุดที่นั่ง พร้อมฟรี Wifi ส่วนสระว่ายน้ำก็มีมาให้ถึง 2 สระ ที่ชั้น 7 ยาว 30 เมตร ชั้น 40 L-Shape Sky Pool และฟิตเนสถึง 2 ชั้น  บนชั้น Roof Top เชื่อมด้วยสะพานพื้นกระจกใส เรียกได้ว่าพัฒนาให้ดูทันสมัย ตอบโจทย์การใช้งานจริงมากขึ้น      ราคาเปิดตัว 2.89 ล้านบาท ปัจจุบันราคาเริ่มต้น 1 Bedroom ราคา 3.99 ล้าน กำหนดสร้างเสร็จประมาณปี 2564       Life Asoke โครงการนี้จะอยู่ห่างจากสี่แยกพระราม 9 ออกมาสักหน่อยค่ะ แต่จะอยู่ติดกับแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ สถานีมักกะสัน โดยมีสะพานเชื่อมเดินเข้าสถานีได้เลย และยังเป็นจุด Interchang กับ MRT เพชรบุรี รวมถึงใกล้จุดขึ้น-ลงทางด่วนศรีรัช ด่านอโศก Life Asoke จึงถือว่ามีความโดดเด่นในด้านของทำเลการเดินทางอย่างมาก            Life Asoke คอนโดมิเนียม High Rise 35 ชั้น 1,642 ยูนิต Studio-2 Bedroom ขนาด 24–54 ตร.ม. บนพื้นที่ 6-2-85 ไร่ แม้ปัจจุบันจะ Sold Out เรียบร้อยแล้ว แต่ด้วยทำเลทำให้กลายเป็นคอนโดที่ปล่อยเช่าต่างชาติได้ค่อนข้างดีทีเดียว ราคารีเซลที่ตามหากันได้ตอนนี้จะเริ่มต้นประมาณ 4.6 ล้านาท