Tag : News

2376 ผลลัพธ์
ดี–แลนด์ โชว์ทราฟฟิก 3 ศูนย์รีเทล พุ่ง 1 ล้านคัน  เดินกลยุทธ์ครึ่งปีหลัง บุกทัวร์สายมู  

ดี–แลนด์ โชว์ทราฟฟิก 3 ศูนย์รีเทล พุ่ง 1 ล้านคัน เดินกลยุทธ์ครึ่งปีหลัง บุกทัวร์สายมู  

ดี-แลนด์ ดี–แลนด์ พร็อพเพอร์ตี้ เผยทราฟฟิกรถเข้า 3 ศูนย์ค้าปลีก  Porto Chino และ Porto Go 2 สาขา 5 เดือนแรกรวมกว่า 1 ล้านคัน เฉพาะ Porto Go 2 สาขาผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นกว่า 80% รับอนิสงค์นักท่องเที่ยวไทยเทศเดินทางเพิ่มขึ้น ครึ่งปีหลังลุยกลยุทธ์เพิ่มความหลากหลายให้ทั้ง 3 ศูนย์ ตอบโจทย์ New Norm หลังโควิด รับเทรนด์ท่องเที่ยวขาขึ้น คาดภายในปี 66 ยอดทราฟฟิกโตเพิ่ม 100%     นายสุเทพ ปัญญาสาคร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดี-แลนด์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ คอมมูนิตี้มอลล์ และจุดพักรถ (Rest Area) เปิดเผยว่า หลังนักท่องเที่ยวไทยเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ​ และกลับมาอยู่ในระดับก่อนเกิดโควิด-19 รวมไปถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ทยอยกลับเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้จำนวนทราฟฟิกของรถที่เข้ามาใช้บริการทั้ง 3 ศูนย์การค้าของบริษัท ได้แก่  Porto Chino, Porto Go สาขา ทบางปะอินและท่าจีน ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2566 มีจำนวนกว่า 1 ล้านคัน แบ่งเป็น Porto Chino 372,163 คัน Porto Go บางปะอิน 540,355 คัน และ Porto Go ท่าจีน 243,088 คัน โดยเฉพาะที่ Porto Go ทั้ง 2 สาขา มีนักท่องเที่ยวและนักเดินทางทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเพิ่มขึ้นกว่า 80% จากช่วงสถานการณ์โควิดที่ผ่านมา ทั้งนี้ คาดว่าจำนวนรถและผู้ใช้บริการจะยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากทั้ง 3 ศูนย์ตั้งอยู่บนทำเลคุณภาพ ย่านชุมชน และเส้นทางสัญจรหลัก โดย Porto Chino เป็นไลฟ์สไตล์มอลล์แห่งแรกและแห่งเดียวบนถนนพระราม 2 ตั้งอยู่บนทำเลที่สำคัญในเชิงการท่องเที่ยว เพราะเป็นเส้นทางไปสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงต่าง ๆ เช่น หัวหิน ชะอำ เพชรบุรี ฯลฯ และแหล่งรวมด้านไลฟ์สไตล์ของคนในพื้นที่ ถนนพระราม 2 และมหาชัย ในส่วน Porto Go 2 สาขา ก็ตั้งอยู่ในทำเลศักยภาพ 2 เส้นทาง แนวถนนไฮเวย์ บางปะอิน ถนนสายเอเชียก่อนถึงตัวเมืองอยุธยา และท่าจีน ถนนพระราม 2 เส้นทางสัญจรหลักในประเทศที่เชื่อมต่อแหล่งท่องเที่ยว มีปริมาณรถและนักท่องเที่ยวสัญจรผ่านจำนวนมาก   จากสัญญาณจำนวนรถและผู้ใช้บริการ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวและคนเดินทางกลับเข้าสู่ภาวะปกติและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีก ดี–แลนด์ พร็อพเพอร์ตี้ ยังคงเดินหน้าพัฒนาศูนย์ Porto Chino และ Porto Go 2 สาขา อย่างต่อเนื่องเต็มกำลัง โดยในครึ่งปีหลังเตรียมลุยกลยุทธ์เพิ่มความหลากหลายให้ทั้ง 3 ศูนย์ เพื่อตอบโจทย์ New Norm หลังโควิด พร้อม Re-positioning ทั้ง 3 ศูนย์ ได้แก่ Porto Chino มอลล์ที่เป็นเพื่อนที่รู้ใจ ผ่านบริการสะท้อนความห่วงใย เข้าใจความต้องการและเข้าถึงเพื่อนที่มาใช้บริการ อาทิ ร้านค้าที่หลากหลายเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายทุกเพศทุกวัย ความสะดวกในการจอดรถ บริการรถเข็นคนพิการ/สัตว์เลี้ยง ฟรี Wifi และ EV Charger พร้อมทั้งพื้นที่ส่วนกลางสำหรับการพบปะ และกิจกรรมพิเศษ เป็นต้น   ส่วนของ Porto Go 2 สาขา มาในกลยุทธ์ “เพื่อนรู้ใจนักเดินทาง” รับเทรนด์ท่องเที่ยวขาขึ้น ด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบจบสำหรับนักเดินทาง อาทิ ห้องน้ำติดแอร์แบบไร้สัมผัส ที่จอดรถกว้างขวาง มีการจัดสรรพื้นที่เฉพาะสำหรับคนพิการ และครอบครัว ตลอดจนมุมถ่ายภาพจุดเช็กอินเอาใจสายโซเชียล พร้อมด้วยบริการที่ปลอดภัย กับพื้นที่ใช้งานปลอดภัย ไฟส่องสว่าง รปภ. ตลอด 24 ชั่วโมง มีกล้องวงจรปิดทั่วถึง เป็นต้น บนกลยุทธ์ธุรกิจที่มุ่งตอบไลฟ์สไตล์นักเดินทางวิถีใหม่ ที่ให้ความสำคัญกับความสะอาด รวมไปถึงนักเดินทางที่ยังคงรักษาระยะห่างในการใช้บริการสาธารณะ โดยเป็นจุดพักรถที่มีร้านบริการไดร์ฟ-ทรูมากที่สุดในประเทศไทยใน Porto Go 2 สาขา บางปะอิน และท่าจีน ขณะเดียวกัน พบว่านักท่องเที่ยวส่วนมากกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ ทางศูนย์จึงมีหน้าร้านที่สามารถนั่งทานได้กว่า 30 ร้านในแต่ละสาขา นอกจากนี้ Porto Go 2 สาขาบางปะอิน และท่าจีน ยังมุ่งขยายกลุ่มเป้าหมาย จากอินไซท์พบว่ามีนักเดินทางจำนวนไม่น้อยที่นิยมเดินทางมาเพื่อไหว้สักการะและขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อส่วนบุคคล จึงเล็งเห็นเป็นโอกาสในการสร้างมาร์เก็ตเซ็กเมนต์ใหม่ จับตลาดทัวร์สายมู เส้นทางบางปะอิน-อยุธยา ที่มีมากกว่า 100 วัดดัง โดยมีทั้งวัดที่สายมูนิยมมากราบไหว้ และวัดที่มีความสวยงามของโบราณสถานและวัตถุโบราณต่าง ๆ อาทิ วัดใหญ่ชัยมงคล วัดพนัญเชิงวรวิหาร วัดหน้าพระเมรุราชิการาม วัดท่าการ้อง เป็นต้น   ด้าน Porto Go สายท่าจีน มุ่งจับตลาดทัวร์สายมูที่นิยมไปกราบไหว้ขอพรวัดดังย่านสมุทรสาคร ซึ่งเป็นหนึ่งในไฮไลท์ของการมาเที่ยวสมุทรสาคร โดยมีวัดดังที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจ อาทิ วัดใหญ่จอมปราสาท วัดเกตุม วัดกาหลง เกจิชื่อดังของตี๋ใหญ่ และแวะไหว้วัดค่ายบางกุ้ง ที่นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางไปเพื่อขอเลขเด็ด เป็นต้น คาดภายในปี 66 ยอดทราฟฟิกโตเพิ่ม 100% ทั้งจากกลุ่มทัวร์สายมูทั้ง 2 เส้นทาง นักท่องเที่ยวทั่วไป ตลอดจนผู้สัญจรทั่วไป   อย่างไรก็ดี Porto Go สาขาบางปะอิน และ Porto Go สาขาท่าจีน ยังคงเปิดรับผู้เช่าและร้านค้าที่ตอบโจทย์นักเดินทาง เพื่อให้มีร้านค้าเพียงพอต่อการเติบโตของจำนวนนักเดินทางที่เริ่มกลับมามีจำนวนเพิ่มมากขึ้นต่อเนื่อง รวมทั้งเป็นการเตรียมพร้อมรับทราฟฟิกช่วงไฮซีซันในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ทั้งนี้ Porto Go มีเป้าหมายที่จะยืนหนึ่งในการเป็นจุดพักรถที่ดีที่สุด และตอบโจทย์นักเดินทางยุคนิวนอร์มอล สู่การนำพาพันธมิตรให้เติบโตไปพร้อม ๆ กัน นายสุเทพกล่าวทิ้งท้าย   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ดี-แลนด์ เตรียมเปิดตัว “พอร์โต้ โก ท่าจีน” จุดแวะพักสำหรับนักเดินทางบนถ.พระราม 2
[PR News] ไทยพาณิชย์ ปล่อยสินเชื่อความยั่งยืน-สินเชื่อสีเขียว 20,000 ล้าน ให้ AWC

[PR News] ไทยพาณิชย์ ปล่อยสินเชื่อความยั่งยืน-สินเชื่อสีเขียว 20,000 ล้าน ให้ AWC

สินเชื่อสีเขียว ธนาคารไทยพาณิชย์ ปล่อยสินเชื่อความยั่งยืน และสินเชื่อสีเขียว จำนวน 20,000 ล้าน ให้ แอสเสท เวิรด์ คอร์ป เพื่อพัฒนาโครงการเมกะโปรเจกต์ สานต่อเจตนารมณ์ด้านความยั่งยืนของทั้งสององค์กร   นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ได้สนับสนุนสินเชื่อที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืน (Sustainability Linked Loan) และสินเชื่อสีเขียว (Green Loan) จำนวน 20,000 ล้านบาท ให้แก่ AWC เพื่อสนับสนุนการพัฒนาโครงการใหม่ ๆ และการดำเนินงานด้านความยั่งยืนของ AWC อีกทั้งยังเป็นการสนับสนุนพันธกิจด้านสิ่งแวดล้อมของธนาคาร และธุรกิจภายใต้กลุ่มเอสซีบี เอกซ์ โดยมีเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์จากการดำเนินงานภายในปี 2030 และจากการให้สินเชื่อและการลงทุนภายในปี 2050 ธนาคารมีความเชื่อมั่นในศักยภาพของ AWC และเชื่อมั่นว่าการสนับสนุนทางการเงินจำนวน 20,000 ล้านในครั้งนี้ จะช่วยเสริมศักยภาพทางธุรกิจผ่านการพัฒนาโครงการคุณภาพมากมาย ที่จะสร้างความน่าตื่นเต้นให้แก่วงการอสังหาริมทรัพย์ และเพื่อสนับสนุนประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวที่ยั่งยืนระดับโลก ด้านนางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC กล่าวว่า AWC มุ่งขับเคลื่อนธุรกิจภายใต้กรอบการพัฒนาที่ยั่งยืน 3 เสาหลัก 9 มิติ หรือ 3 BETTERs ประกอบไปด้วย 1.การสร้างคุณค่าด้านสิ่งแวดล้อม (BETTER PLANET) เพื่อโลกที่มีสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้น 2.การสร้างคุณค่าด้านสังคม (BETTER PEOPLE) เพื่อผู้คนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และ 3.การสร้างคุณค่าด้านเศรษฐกิจ (BETTER PROSPERITY) เพื่อเศรษฐกิจของประเทศที่ดีขึ้น   โดยที่ผ่านมา AWC ได้ดำเนินโครงการเพื่อสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง อาทิ โรงแรม เชอราตัน สมุย ดำเนินโครงการธนาคารปู เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ และโรงแรมบันยันทรี กระบี่ ที่ได้ร่วมมือกับมูลนิธิอันดามัน เพื่อนำร่องโครงการท่องเที่ยวชุมชนอย่างยั่งยืน รวมถึงการดำเนินงานด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน ผ่านแนวคิดธุรกิจ reConcept ที่ส่งเสริมการนำเฟอร์นิเจอร์และวัสดุเก่า รวมถึงอุปกรณ์ตกแต่งของโรงแรมที่ไม่ได้ใช้งาน กลับมารีไซเคิลและใช้ซ้ำ เพื่อลดปริมาณขยะฝังกลบ ตลอดจนการลงทุนพัฒนาบริหารโครงการอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทฯ ที่ส่งเสริมการสร้างงานและสร้างรายได้สู่ชุมชนรอบโครงการ และสนับสนุนผู้ประกอบการไทยท้องถิ่นเพื่อสร้างโอกาสรายได้ที่ยั่งยืนผ่านโครงการ เดอะ GALLERY เป็นต้น   AWC ยังคงดำเนินงานตามแผนแม่บทอนุรักษ์พลังงาน (Energy Efficiency Plan: EEP) สอดคล้องกับกรอบสินเชื่อที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืนและสินเชื่อสีเขียว เพื่อมุ่งเน้นการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ผ่านโครงการติดตั้งแผงโซลาร์บนหลังคาหรือชั้นดาดฟ้าของอาคาร การเปลี่ยนมาใช้หลอดไฟประหยัดพลังงาน การเพิ่มประสิทธิภาพระบบทำความเย็นและเครื่องปรับอากาศ ครอบคลุมโรงแรมในเครือที่มีการดำเนินงานมาตั้งแต่ปี 2019   นอกจากนี้ AWC จะพัฒนาโครงการในเครือตามกรอบเพื่อขอรับรองมาตรฐานอาคารสีเขียวสากล อาทิ มาตรฐาน EDGE LEED หรือ WELL เพื่อผลักดันให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนและคํานึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมด้วยการใช้ทรัพยากรให้เกิดความคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพสูงสุด   โดย AWC มีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาโครงการคุณภาพระดับเมกะโปรเจกต์ให้เป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก (Mega sustainable destination) อาทิ โครงการเอเชียทีค ที่จะสร้างเป็นแลนด์มาร์คความยั่งยืนริมแม่น้ำเจ้าพระยาให้กับกรุงเทพฯ โครงการอควอทีค กลางเมืองพัทยา และโครงการเวิ้ง นาครเกษม ศูนย์กลางคุณค่าประวัติศาสตร์วัฒนธรรมกลางไชน่า ทาวน์ รวมถึงโครงการลานนาทีค ที่มีคุณค่าของเสน่ห์ศิลปวัฒนธรรมล้านนากลางเมืองเชียงใหม่ เป็นต้น ซึ่ง AWC เชื่อมั่นว่าการพัฒนาโครงการต่างๆ ให้เป็นจุดหมายปลายทางด้านความยั่งยืนระดับโลกนี้ จะเป็นส่วนหนึ่งเพื่อสานต่อนโยบายและกลยุทธ์หลักของประเทศสู่การเป็นผู้นำการท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก   AWC ยังมุ่งพัฒนาอาคารตามมาตรฐานอาคารสีเขียวในระดับสากล อาทิ โรงแรมอินน์ไซด์ บาย มีเลีย กรุงเทพ สุขุมวิท ซึ่งได้รับการรับรองมาตรฐาน EDGE (Excellence in Design for Greater Efficiencies) และโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล เชียงใหม่ แม่ปิง ได้รับการรับรอง LEED & WELL PRECERTIFIED รวมถึงอีกหลากหลายโครงการ โดยใช้สินเชื่อยั่งยืนแรกที่ได้รับการสนับสนุนจาก SCB เมื่อปีที่แล้ว   โดยปัจจุบัน AWC ได้ร่วมมือกับพันธมิตรสถาบันการเงินชั้นนำจัดวงเงินสินเชื่อระยะยาวที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืนกว่า 75% และตั้งเป้าที่จะเพิ่มสัดส่วนวงเงินสินเชื่อระยะยาวเชื่อมโยงความยั่งยืนเป็นร้อยละ 100% เพื่อมุ่งสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับประเทศ การลงนามสัญญาในครั้งนี้เป็นการตอกย้ำวิสัยทัศน์ร่วมกันในการดำเนินธุรกิจ โดย AWC จะยังคงดำเนินการตามกลยุทธ์ความยั่งยืนอย่างต่อเนื่องผ่านโครงการริเริ่มต่างๆ เพื่อร่วมสร้างคุณค่าในระยะยาวให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย ภายใต้พันธกิจ สร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่า  พร้อมเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก AWC ดำเนินงานภายใต้กรอบการพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อเนื่อง และได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในมาตรฐานสากลต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ อาทิ การได้รับการประเมินจาก MSCI ESG Rating ในระดับ "AA" ได้รับการคัดเลือกเข้าสู่รายชื่อหุ้นยั่งยืน Thailand Sustainability Investment (THSI) ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้ติดอันดับรายงานความยั่งยืน S&P CSA Yearbook 2023 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ซึ่งได้รับคัดเลือกเป็น “Top 1% S&P Global ESG Score 2022” ได้รับรางวัล “Industry Mover” ในฐานะบริษัทที่มีความยั่งยืนของกลุ่มอุตสาหกรรมโรงแรม รีสอร์ท และเรือสำราญ ได้รับการจัดอันดับรายงานการกำกับดูแลกิจการ ในระดับ “ดีเลิศ” (Excellence CG Scoring) ได้รับการรับรองให้เป็นแนวร่วมปฏิบัติของภาคเอกชนไทยในการต่อต้านการทุจริต (CAC) และได้รับการจัดอันดับในฐานะองค์กรที่มีการกำกับกิจการที่ดีของบริษัทจดทะเบียนในอาเซียนของปี 2564 (ASEAN CG Scorecard)   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -AWC จับมือ โนบุ ผุดโรงแรม Plaza Athenee สร้างแลนด์มาร์กในนิวยอร์ก-กรุงเทพฯ -AWC ประกาศ Q1/2566  กำไร 1,422 ล้าน ผลการใช้กลยุทธ์ GROWTH-LED
“ออริจิ้น” เปิดกลยุทธ์บุก ทำเลรถไฟฟ้า 6 สายส่งคอนโด 19,580 ล้าน ทั่วกทม.-ปริมณฑล

“ออริจิ้น” เปิดกลยุทธ์บุก ทำเลรถไฟฟ้า 6 สายส่งคอนโด 19,580 ล้าน ทั่วกทม.-ปริมณฑล

เปิดกลยุทธ์ “ออริจิ้น” บุก ทำเลรถไฟฟ้า 6 สาย ส่งคอนโด 19,580 ล้าน ทั่วกทม.-ปริมณฑล จากแผนเปิดคอนโดทั่วประเทศ 22 โปรเจ็กต์ กว่า 30,000 ล้าน   สานต่อความเป็น “เจ้าตลาดคอนโด” อย่างต่อเนื่อง สำหรับบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร ที่ปีนี้ประกาศแผน “Origin Infinity” เดินหน้าสร้างการเติบโตแบบไม่สิ้นสุด พร้อมแผนเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ทั่วประเทศ  22 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 30,370 ล้านบาท สูงที่สุดของการเปิดคอนโดในตลาดปี 2566 โดยมี นายอภิสิทธิ์ สุนทรชูเกียรติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น คอนโดมิเนียม จำกัด เป็นหนึ่งในผู้นำทัพฝั่งคอนโดมิเนียม   แม้กลยุทธ์หลักจะเน้นการยกทัพธุรกิจในเครือให้ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ (Nationwide Serve) ทำให้ปีนี้จะได้เห็นโครงการคอนโดในเครือออริจิ้น ออกสู่พื้นที่ต่างจังหวัดนอกเหนือเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เป็นครั้งแรก ขณะเดียวกัน ออริจิ้นก็ยังไม่ทิ้งทำเลยุทธ์ศาสตร์ “ใกล้รถไฟฟ้า” ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล อีกหนึ่ง Key Success ที่ทำให้คอนโดของออริจิ้น สามารถครองใจคนเมืองทุกเพศทุกวัย จนมียอดขายคอนโดในไตรมาสแรกของปี 2566 ถึง 9,459 ล้านบาท   “ปีนี้เรามีโครงการคอนโดทำเลกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ในไปป์ไลน์ทั้งหมด 12 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 19,580 ล้านบาท คิดเป็น 64% ของพอร์ตคอนโดทั้งหมดในเครือ ซึ่งปีนี้เรายังคงบุกทำเลใกล้รถไฟฟ้า 6 สายต่อเนื่องจากปีที่แล้ว ให้ครอบคลุมหลายสถานีมากยิ่งขึ้น" ปักหลักสายสีเขียว เจาะครบทุกเซ็กเมนต์ บริษัทยังคงยึดฐานที่มั่นตามแนวรถไฟฟ้า “สายสีเขียวอ่อน” โดยส่งแบรนด์คอนโดครอบคลุมแทบทุกเซ็กเมนต์และไลฟ์สไตล์ ตั้งแต่ระดับ Entry ไปจนถึงระดับ Luxury เริ่มจากย่าน CBD ใกล้สถานีทองหล่อ ซึ่งเป็นย่านที่มีนักธุรกิจและชาวต่างชาติอยู่อาศัยเยอะ จึงส่งแบรนด์ใหม่โครงการแกรนด์ แฮมป์ตัน ทองหล่อ (Grand Hampton Thonglor) แบรนด์คอนโดมิเนียมสุดหรูสไตล์ Hotel Serviced Residence จากเมกะโปรเจกต์ออริจิ้น ทองหล่อ เวิลด์ (ORIGIN THONGLOR WORLD) มารองรับดีมานด์กลุ่มนี้ พร้อม IP Program สร้างผลตอบแทนสำหรับนักลงทุน   ขณะที่ย่านคลาสสิกอย่างพระโขนง เป็นอีกทำเลที่มีชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่นมาอาศัยอยู่มากขึ้น ทำให้ย่านนี้คึกคัก รายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและแหล่งไลฟ์สไตล์มากมาย จึงได้เห็นการกลับมาอีกครั้งของแบรนด์โซโห แบงค็อก (SOHO Bangkok) คอนโดมิเนียมระดับ Luxury ในเครือพาร์ค ลักชัวรี่ ที่มีจุดเด่นตรงทำเลดี ใกล้สถานีพระโขนง จำนวนยูนิตน้อย มอบความเป็นส่วนตัวให้กับผู้อยู่อาศัย พร้อมเซอร์วิสระดับโรงแรม มาเป็นตัวบุกตลาด   ส่วนทำเลถนัดของออริจิ้น อย่าง บางนา-สมุทรปราการ บริษัทเตรียมส่งแบรนด์โซ ออริจิ้น (So Origin) คอนโดระดับ High End ห้อง Duo Space เพดานสูง 4.2 ม. พร้อม Excellent Services ใกล้สถานีแบริ่ง ขณะที่อีกฝั่งของส่วนต่อขยาย เลือกส่ง แบรนด์ออริจิ้น เพลส (Origin Place) คอนโดเจาะตลาด Upper Class ที่ดีไซน์ห้องพัก และส่วนกลางเจาะกลุ่มคนรักสัตว์โดยเฉพาะ บนทำเลดีใกล้สถานีพหลโยธิน 59 บุกสายสีน้ำเงิน-สีแดงต่อเนื่อง หลังประกาศบุกฝั่งธนบุรีในปีที่แล้ว ปีนี้ออริจิ้นยังเดินหน้าพัฒนาโครงการคอนโด  เจาะทำเลตามแนวรถไฟฟ้า “สายสีน้ำเงิน”  ถึง 4 โครงการรวด ไม่ว่าจะเป็นย่านศิริราช อีกหนึ่ง Medical Hub ที่ขึ้นชื่อของกรุงเทพฯ ทั้งยังเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยเก่าแก่ บริษัทจึงเตรียมส่งแบรนด์โซ ออริจิ้น คอนโดมิเนียมใกล้สถานีไฟฉาย พร้อมบริการเหนือระดับ อำนวยความสะดวกให้กับผู้อยู่อาศัย เจาะกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ พร้อมทั้งส่งแบรนด์ดิ ออริจิ้น เจาะโซนบางแค และ ออริจิ้น เพลส เจาะสถานีภาษีเจริญตรงข้ามซีคอน บางแค เอาใจผู้บริโภคทั้ง Gen Y Gen Z ที่กำลังมองหาคอนโดมิเนียมย่านฝั่งธนบุรี   ขณะเดียวกัน ออริจิ้นยังเตรียมมาเปิด ดิ ออริจิ้น อีกหนึ่งโครงการที่รถไฟฟ้าสายสีแดง สถานีบางบำหรุ คาดว่าจะได้เห็นปลายปีนี้ เจาะ Blue Ocean สายสีเหลือง-ชมพู-ส้ม ส่วนทำเล Blue Ocean ตามแนวรถไฟฟ้าสายใหม่ ที่เตรียมเปิดให้บริการเร็วๆ นี้ ไม่ว่าจะเป็น “สายสีเหลือง” ซึ่งเป็นย่านที่อยู่อาศัยและมีคอมมูนิตี้มอลล์ แหล่งไลฟ์สไตล์ครบครัน ทำเล “สายสีชมพู” สถานีศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ อีกหนึ่งแหล่งงานขนาดใหญ่ ที่มีข้าราชการและบุคลากรถึง 25,000 คน และรถไฟฟ้า “สายสีส้ม” สถานีน้อมเกล้า ที่สามารถเชื่อมได้ทั้งรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและสายสีชมพู บริษัทจะใช้ 2 แบรนด์หลัก อย่างออริจิ้น เพลส และออริจิ้น เพลย์ เป็นแบรนด์เรือธงในการบุกตลาด โดยมีทั้ง Duo Space ห้อง 2 ชั้น เพิ่มพื้นที่ใช้สอยให้กับผู้อยู่อาศัย และคอนโดเลี้ยงสัตว์ได้ เจาะกลุ่ม Pet Lover และคนรุ่นใหม่   “แม้จะเป็นเส้นรถไฟฟ้าสายสีเดียวกัน แต่แค่ต่างสถานี ความต้องการของผู้อยู่อาศัยก็ไม่เหมือนกัน ทีมงานออริจิ้นจึงทำการบ้านกันอย่างหนัก นอกจากมองศักยภาพของทำเลแล้ว เราพยายามศึกษาลงลึกเพื่อเข้าถึง Insight และเห็นภาพทุก Journey ของผู้บริโภคในทุกๆ ทำเลว่าคนย่านนี้ทำงานอะไรมีไลฟ์สไตล์แบบไหนต้องการอะไรบ้างในแต่ละวัน เพื่อให้เราออกแบบฟังก์ชันทั้งในห้องพักและพื้นที่ส่วนกลางได้ตรงใจผู้อยู่อาศัยให้มากที่สุด นี่จึงเป็น Key Success ที่ทำให้คอนโดมิเนียมของออริจิ้น ยังสามารถครองใจผู้บริโภคได้ทุกทำเล”     อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ร่วมพันธมิตรออก โทเคนดิจิทัล เรียลเอ็กซ์ ลงทุนแค่ 182 บาท -ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ วาง 3 แผนงานสร้างการโตไม่สิ้นสุด จับเมกะเทรนด์ลุยธุรกิจทั่วไทย
“KRONOS SATHORN” สำนักงานอัลตร้าลักซ์ชัวรี สไตล์แมนฮัตตัน  บนทำเลสาทร

“KRONOS SATHORN” สำนักงานอัลตร้าลักซ์ชัวรี สไตล์แมนฮัตตัน บนทำเลสาทร

KRONOS SATHORN เปิดให้ชม โครนอส สาทร (KRONOS SATHORN) โครงการที่คนสาทรผ่านไปผ่านมา นึกว่าเป็นโรงแรมหรู 5 ดาว แต่เป็นอาคารสำนักงานระดับอัลตร้าลักซ์ชัวรีแห่งใหม่ใจกลางสาทร ย่านธุรกิจหลักของกรุงเทพฯ ด้วยมูลค่าโครงการกว่า 4,000 ล้านบาท ลุกตลาดออฟฟิศบิลดิ้งเกรด A ด้วยคอนเซ็ปต์ “THE MANHATTAN ON SATHORN”   ทำยังไงให้ทำงานอยู่ในโรงแรมหรู 5 ดาว กับ 5 ความพิเศษ ในบนตึกสูง 28 ชั้น  ความต่างของโครงการโครนอส สาทร แตกต่างจากอาคารโดยทั่วไปในประเทศไทย     KRONOS SATHORN มาสเตอร์พีซแห่งใหม่ในไทยและเอเชีย การออกแบบสถาปัตยกรรมที่สวยงามทันสมัยแนวโมเดิร์นคลาสสิค ซึ่งยังไม่เคยมีมาก่อนในเมืองไทย โดดเด่นด้วยนาฬิกาสไตล์ Art Deco ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศและใหญ่เป็นอันดับ 8 ของโลก สื่อถึงภาพลักษณ์อันงามสง่าและหรูหราเหนือกาลเวลาที่จะคงอยู่ไปสู่คนรุ่นต่อ ๆ ไป     ทำเลซูเปอร์ไพร์ม บนถนนสาทร ย่าน Real CBD ทำเลที่ตั้งในย่านธุรกิจ Real CBD ช่วงถนนสาทรตัดกับถนนพระราม 4 แวดล้อมด้วยธุรกิจและหน่วยงานชั้นนำ บริษัทตัวแทนระดับโลก โรงแรมหรูระดับ 5 ดาว และโครงการมิกซ์ยูสแถวหน้าอีกมากมายที่กำลังจะเกิดขึ้น ตลอดจนการเดินทางเข้าถึงได้ง่ายเชื่อมต่อไปยังโซนต่างๆ ของเมือง ด้วยระบบขนส่งสาธารณะที่สะดวก รวดเร็ว ด้วยรถไฟฟ้า BTS สถานีศาลาแดง และรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT สถานีสีลม ประมาณ 750เมตร เดินเพียง 10 นาที และอยู่ห่างจากรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT สถานีลุมพินีเพียง 600 เมตร เดินเพียง 7 นาที ทางโครงการฯ มีบริการรถรับ-ส่งไปยังรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT สถานีสีลม และรถไฟฟ้า BTS สถานีศาลาแดง     มอบโซลูชั่น Best-In-Class ที่ตอบโจทย์การทำงานเหนือระดับ บนวิสัยทัศน์การนำเสนอ “อาคารสำนักงานที่ดีที่สุดในตลาดออฟฟิศเกรด A” ด้วยเทคนิคการวางผังแบบไร้เสากลางพื้นที่และมีเพดานสูงมากเป็นพิเศษตั้งแต่ 3-6 เมตร มีระเบียงสวยขนาดใหญ่บนชั้น 27 เพื่อเปิดรับทัศนียภาพเมืองและแม่น้ำเจ้าพระยาอันงดงามอย่างเต็มตา มอบความสะดวกบายด้วยลิฟต์โดยสารมากถึง 8 ตัว จึงไม่เกิดการแออัดแม้ในชั่วโมงการทำงานที่เร่งด่วน รวมถึงพื้นที่จอดรถที่มากพอต่อความต้องการ และบริการสำรองที่จอดรถแบบพิเศษและผู้พิการ   เทคโนโลยีล้ำสมัย มุ่งสู่ “'สมาร์ท บิลดิ้ง'” โครนอสมุ่งมั่นมอบประสบการณ์การใช้งานอาคารในรูปแบบ “อัจฉริยะ” ที่ติดตั้งเทคโนโลยีขั้นสูงและนวัตกรรมทันสมัยมากมาย อาทิ ระบบคัดกรองบุคคลเข้าอาคารด้วยการสแกนใบหน้า คีย์การ์ด และคิวอาร์โค้ด ระบบไร้สัมผัสเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตั้งแต่การควบคุมจุดหมายในการใช้ลิฟต์และระบบจดจำใบหน้าเพื่อการระบุชั้นที่ต้องการไปแบบไร้การสัมผัส ซึ่งระบบไร้สัมผัสนี้ยังครอบคลุมไปถึงนวัตกรรมห้องน้ำไร้สัมผัส ไม่ว่าจะเป็นส่วนประตู ก็อกน้ำ และฟลัชโถสุขภัณฑ์ แท่นชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า EV กว่า 11 จุด และระบบ Automate Car Parking system กล้องจับภาพทะเบียนรถยนต์ เพื่อเข้าจอดอัตโนมัติ และระบบชำระเงินอัตโนมัติ เป็นต้น   Well-being มอบสุขภาวะที่ดีของผู้ใช้อาคารระดับสากล ด้วยการติดตั้งเทคโนโลยีเพื่อสุขอนามัยและสวัสดิภาพความปลอดภัยขั้นสูงด้วยมาตรฐานระดับโลก อาทิ ส่วนระบบปรับอากาศยังติตตั้งฟิลเตอร์กรองฝุ่น PM2.5 และระบบพลาสม่าฆ่าเชื้อแบคทีเรีย รวมถึงระบบรังสียูวีเพื่อลดจำนวนเชื้อโควิดที่ผ่านฟิลเตอร์กรองอากาศ จึงมั่นใจได้ถึงความปลอดภัยในการใช้อาคาร โครนอส     โครนอส ภายใต้แนวคิด ‘The Manhattan on Sathorn’ ผ่านความร่วมมือกับ 3 พันธมิตรชั้นนำ ทั้ง Palmer & Turner, Thai Obayashi และ Project Asia ในการพัฒนาโครงการในปัจจุบัน โครนอสได้รับความสนใจจากกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพกว่า 50% โดยนำเสนอราคาเช่าเริ่มต้นต่อตารางเมตรที่ 900 บาท ในขณะที่ค่าเช่าออฟฟิศเกรด A ในทำเล CBD เฉลี่ยทั่วไปอยู่ที่ 1,178 บาท     อาคารสำนักงาน 28 ชั้นแห่งนี้ มีพื้นที่รวมกว่า 28,765 ตร.ม. ตอบโจทย์บริษัทที่ต้องการสำนักงานที่กว้างขวางและหรูหราไปจนถึงร้านค้าปลีกที่สะดวกสบาย โดยมีพื้นที่ให้เช่าต่อชั้น 1,150-1,270 ตร.ม. เหมาะกับองค์กรทุกขนาดรวมไปถึงบริษัทขนาดใหญ่ที่ต้องการพื้นที่ทั้งชั้นสำหรับการทำงานหลายแผนก พร้อมที่จอดรถมากถึง 321 คัน   Kronos sathorn ตอบโจทย์ สำนักงานเกรด A เพื่อขยายฐานการดำเนินธุรกิจทั้งในเมืองไทยและเอเชีย โดยใช้ทำเลนี้เป็นฮับด้านธุรกิจ รวมถึงบริษัทที่ต้องการสร้างภาพลักษณ์การเป็นบริษัทระดับนานาชาติ  เป็นอีกหนึ่งอาคารที่จะเป็นแลนด์มาร์คในย่านสาทร   บทความน่าสนใจ ไนท์แฟรงค์ เปิดข้อมูลตลาดออฟฟิศให้เช่า​ Q1/66 ซัพพลายเพิ่ม ดีมานด์เริ่มฟื้นตัว
[PR News] อัปเดต ยอดขาย ดุสิต เรสซิเดนเซส ทำได้แล้วกว่า 60%

[PR News] อัปเดต ยอดขาย ดุสิต เรสซิเดนเซส ทำได้แล้วกว่า 60%

ดุสิต เรสซิเดนเซส อัปเดต ยอดขาย ดุสิต เรสซิเดนเซส ทำได้กว่า 60% คาดสิ้นปีทะลุ 70-75% หวังต่างชาติซื้อ 35% รับเทรนด์การอยู่อาศัยคำนึงถึงสุขภาวะและสภาพแวดล้อมที่ดีอย่างยั่งยืน   นางสาวละเอียด โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการว่า ปัจจุบันมียอดขายเกินกว่า 60% และคาดการณ์ว่าภายในสิ้นปี 2566 จะมียอดขายราว 70-75% จากลูกค้าทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยยอดขายล่าสุด แบ่งเป็นสัดส่วนลูกค้าชาวไทย 85% ต่างชาติ 15% ซึ่งคาดว่าสัดส่วนลูกค้าต่างชาติจะขยับเพิ่มขึ้นตามคาดการณ์เดิมที่ 35% เมื่อทุกประเทศเปิดให้ท่องเที่ยวได้อย่างเต็มรูปแบบ   ทั้งนี้ กลุ่มดุสิตธานี ได้จับมือกับพาร์ทเนอร์และเอเจนท์ในหลายประเทศ รวมถึงได้มีการทำโรดโชว์สำหรับกลุ่มลูกค้าไฮเน็ตเวิร์ธในหลายประเทศ ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้ซื้อเป็นอย่างมาก โดยดุสิตฯ ยังวางแผนที่จะไปเจาะตลาดสิงคโปร์ ฮ่องกง จีน ไต้หวัน รวมถึงสหรัฐอเมริกาและยุโรป ภายในปีนี้อีกด้วย   สำหรับโครงการดุสิต เรสซิเดนเซส ประกอบด้วยสองลิฟวิ่งคอนเซ็ปต์ (living concept) ได้แก่ ดุสิต เรสซิเดนเซส และ ดุสิต พาร์คไซด์ ซึ่งแนวคิดการริเริ่มโครงการนี้ เริ่มต้นมาจากการที่บริษัทให้คุณค่ากับชุมชน ต้องการสร้างที่อยู่อาศัยที่เอื้อต่อไลฟ์สไตล์ในทุกรูปแบบ เพื่อบาลานซ์การใช้ชีวิตของคนเมืองที่มีทุกอย่างใกล้มือ ตัวใกล้ชิดธรรมชาติ รวมถึงมีที่อยู่อาศัยที่พร้อมด้วยการบริการแบบครบวงจร  ซึ่งเป็นโครงการแบรนด์เด็ดเรสซิเดนส์ (branded residence)   นางสาวละเอียด กล่าวถึงตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยว่า ยังเป็นที่ดึงดูดทั้งคนในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งดูจากสถิติแล้วแนวโน้มพฤติกรรมของต่างชาติเปลี่ยนไป จากแค่การลงทุนทำธุรกิจ มาเป็นการอยู่อาศัยระยะยาว ซึ่งประเทศไทยมีความพร้อมหลายด้าน อาทิ ด้านการศึกษาที่มีโรงเรียนนานาชาติหลากหลาย มีเทคโนโลยีการแพทย์ที่ก้าวหน้า บุคลากรทางการแพทย์ที่มีฝีมือ และสาธารณสุขอยู่ในลำดับแนวหน้าของเอเชีย อีกทั้งยังมีค่าใช้จ่ายและค่าครองชีพถูกกว่าหลายเท่าหากเทียบกับประเทศอื่น ๆ ทั้งหมดนี้จึงเป็นปัจจัยหลักที่สามารถโน้มน้าวให้ต่างชาติสนใจและเข้ามาอยู่อาศัย หลังจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ผู้ซื้อที่อยู่อาศัยค่อนข้างให้ความสำคัญถึงการอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่ดีต่อกายและใจ จนเกิดเป็นเทรนด์การพัฒนาที่อยู่อาศัยโดยคำนึงถึงสุขภาวะและสภาพแวดล้อมที่ดีในการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน  สำหรับโครงการมีโซน รูฟพาร์ค (Roof Park) ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่สีเขียวกว่า 7 ไร่ ที่สามารถตอบรับไลฟ์สไตล์ของการอยู่ในเมืองที่ห้อมล้อมด้วยธรรมชาติได้พร้อม ๆ กัน ยิ่งไปกว่านั้นในส่วนของที่พักอาศัยออกแบบที่อยู่อาศัยด้วยการคำนึงถึงสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี ตั้งแต่ช่วงการออกแบบก่อนการก่อสร้าง ที่ประกอบด้วยวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ เช่น การใช้คอนกรีตรีไซเคิล การใช้ปูนฉาบที่เป็นปูนขาว ที่จะช่วยเรื่องการดูดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในห้อง รวมถึงการทำระบบรีไซเคิลน้ำที่ใช้แล้วมารดน้ำต้นไม้และส่งต่อถึงสวนลุม เป็นต้น   ในส่วนโรงแรมดุสิตธานีโฉมใหม่ ระดับ 6 ดาว จะพร้อมเปิดให้บริการเป็นเฟสแรกในเดือนมิถุนายน ปี 2567 บนตึกความสูง 39 ชั้น ด้วยจำนวน 257 ห้องพัก ที่ออกแบบให้ทันสมัยและใหญ่ขึ้น แต่ยังคงไว้ซึ่งกลิ่นอายของความเป็น “ดุสิตธานี” แบบดั้งเดิม อย่างไรก็ดีการทำโรงแรมอย่างเดียวนั้นอาจไม่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายและผันเปลี่ยนของคนเมืองในปัจจุบัน จึงเป็นที่มาของการจับมือกับกลุ่มเซ็นทรัลพัฒนาร่วมพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสแห่งนี้ให้ครบครันยิ่งขึ้น โดยส่วนของออฟฟิศและศูนย์การค้าที่อาศัยความเชี่ยวชาญจากเซ็นทรัลพัฒนา จะเปิดให้บริการเป็นเฟสที่สองในช่วงปลายปี 2567 และโครงการที่พักอาศัยจะทยอยเริ่มโอนในช่วงปลายปี 2568 โครงการ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค เป็นโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ร่วมทุนระหว่างบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) และบริมจษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) มูลค่าโครงการรวม 46,000 ล้านบาท พัฒนาโครงการบนพื้นที่ 23 ไร่ บริเวณหัวมุมถนนสีลม ตรงข้ามสวนลุมพินี สุดยอดทำเลดีที่สุด ใจกลางย่านธุรกิจสำคัญของกรุงเทพมหานคร  ในโครงการประกอบด้วย โรงแรม อาคารที่พักอาศัย อาคารสำนักงานและศูนย์การค้า โดยมีรูฟพาร์ค – สวนสาธารณะบนชั้นดาดฟ้าเป็นพื้นที่สีเขียวพิเศษขนาดใหญ่ 7 ไร่ใช้เป็นพื้นที่สาธารณะ ปัจจุบันโครงการอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างโดยคาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการประมาณปี 2568   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -4 ประโยชน์อยู่บ้านใกล้ธรรมชาติ ลดโรค-ลดเครียด-เสริมพัฒนาการ-เพิ่มมูลค่า
[PR News] ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ รุกพัฒนาองค์กร พร้อมรับเทรนด์ ESG & Sustainable Living

[PR News] ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ รุกพัฒนาองค์กร พร้อมรับเทรนด์ ESG & Sustainable Living

ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ มุ่งสร้าง Mindset รักษ์โลกจากภายในองค์กรสู่ภายนอก ผ่านการพัฒนาโครงการและงานออกแบบที่อยู่อาศัยในปัจจุบัน เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนบนรากฐานของหลัก ESG และ Sustainable architecture   นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ LALIN  เปิดเผยว่า ตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้กำหนดแนวทางการบริหารงานเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนตามหลัก ESG (Environment-สิ่งแวดล้อม, Social-สังคม และ Governance-ธรรมาภิบาล) ควบคู่ไปกับการกำหนดเป้าหมายการพัฒนาโครงการบ้านภายใต้แนวคิด Sustainable architecture หรือสถาปัตยกรรมยั่งยืน เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สร้างคุณภาพชีวิตและสังคมที่ดีแก่ลูกบ้าน รวมถึงให้ความสำคัญต่อสังคม พนักงาน คู่ค้า และผู้ถือหุ้น ต่อยอดสู่เป้าหมายสูงสุดคือการเป็น National Property Company การสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ สู่ตลาด คือสิ่งที่ ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง โดยบริษัทฯได้ส่งเสริม Lalin Innovations Idea Award กับเหล่าพนักงานในองค์กร เพื่อให้คนรุ่นใหม่ได้มีส่วนร่วมในการคิดค้นและสร้างสรรค์ไอเดียที่จะสามารถช่วยต่อยอดในการทำงาน พร้อมยกระดับให้งานนั้นมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น นอกจากการให้ความสำคัญกับเรื่องนวัตกรรมแล้ว ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ยังให้ความสำคัญกับพื้นที่ส่วนกลางสีเขียว หรือ Green Space ที่ช่วยสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีภายในโครงการด้วยเช่นกัน “พื้นที่สีเขียวภายในโครงการที่เปรียบเสมือนปอดของชุมชนจะถูกตกแต่งด้วยพันธุ์ไม้ที่มีสีสันสดใสมองแล้วสบายตา ทำให้เกิดความรู้สึกสดชื่นผ่อนคลาย นอกจากนี้ยังได้เพิ่มจุดสันทนาการท่ามกลางสวนสวยเพื่อเพิ่มความสุขในวันหยุดพักผ่อน และเพิ่มความประทับใจในการอยู่อาศัยภายในโครงการ โดยสวนมีการออกแบบให้มีความงดงามในสไตล์โพรวองซ์ (Provence) ซึ่งจำลองมาจากประเทศฝรั่งเศส และประยุกต์ใช้ต้นไม้ที่มีในประเทศไทย    เน้นไม้ยืนต้นที่จะช่วยฟอกอากาศในบริเวณโดยรอบ   บริษัทฯ ยังกำหนดเป้าหมายเพื่อสร้างสังคมการอยู่ร่วมกันแบบ "ยั่งยืนและมีความสุข" ภายใต้แนวคิด 3Rs ประกอบด้วย Reduce (ลดการใช้)  ลดการใช้น้ำด้วยการใช้สุขภัณฑ์ประหยัดน้ำ 2 ระบบ ช่วยลดการใช้น้ำที่เกินความจำเป็น ลดการใช้ไฟโดยใช้หลอดไฟ LED และนำระบบ Solar Cell มาใช้ในพื้นที่ส่วนกลางเพื่อลดการใช้ไฟฟ้า อีกทั้งยังใช้หลังคาที่มีฉนวนกันความร้อน เพื่อช่วยลดอุณหภูมิภายในคลับเฮาส์ ทำให้เครื่องปรับอากาศทำงานน้อยลง และประหยัดไฟมากขึ้น ทั้งนี้ยังมีการใช้กระจกเขียวตัดแสงและสีสะท้อนความร้อน ซึ่งจะช่วยลดความร้อนเข้าสู่ตัวอาคาร และช่วยลดค่าไฟฟ้าเกินความจำเป็น Reuse (การใช้ซ้ำ)   ภายในโครงการได้มีการติดตั้งระบบหมุนเวียนน้ำ โดยนำน้ำที่ใช้แล้วกลับมาใช้ดูแลสวนส่วนกลาง พร้อมมีการตั้งเวลาเปิด-ปิด ในการรดน้ำต้นไม้ เพื่อควบคุมการใช้น้ำให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด และ Recycle (การนำกลับมาใช้ใหม่) มีการใช้วัสดุทดแทนวัสดุธรรมชาติ อาทิ การใช้กระเบื้องลายหินอ่อนที่เป็นหินสังเคราะห์ เพื่อให้ความรู้สึกที่ทดแทนวัสดุที่เป็นหินอ่อนแท้จากธรรมชาติ นายชูรัชฏ์ กล่าวเสริมว่า  ปัจจุบันปัจจัยด้านพลังงานถือเป็นประเด็นหลักที่ทุกคนในสังคมเริ่มให้ความใส่ใจอย่างเต็มที่ ซึ่งบริษัทฯ ได้ตระหนักถึงปัจจัยในด้านดังกล่าวเป็นอย่างดี และได้มีการเลือกสรรวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อาทิ การปรับมาใช้หลอดไฟแบบ LED  การใช้แผ่นฝ้าสะท้อนความร้อน  ใช้หลังคาที่มีฉนวนกันความร้อนเพื่อช่วยลดอุณหภูมิภายในบ้าน การเลือกสรรสุขภัณฑ์แบบประหยัดน้ำ ที่สำคัญจะพิจารณาเลือกผลิตภัณฑ์ฉลากเขียวเป็นหลัก เพราะใช้กระบวนการผลิตมีส่วนช่วยลดโลกร้อน และลดการใช้พลังงานต่างๆ   ด้านโครงสร้างมีการออกแบบให้บ้านมีหลังคาที่สูงโปร่ง มีการเพิ่มจุดติดตั้งระบบพัดลมระบายอากาศเพื่อช่วยระบายความร้อนภายในตัวบ้าน   นอกจากนี้ยังออกแบบให้มีช่องแสงที่บริเวณโถงบันได เพื่อให้แสงธรรมชาติสามารถลอดผ่านและกระจายแสงได้อย่างทั่วถึง ช่วยทำให้ลดการใช้ไฟฟ้าภายในบ้านได้เป็นอย่างดี  ซึ่งสิ่งต่างๆ ที่กล่าวมานี้ สามารถช่วยประหยัดพลังงานได้สูงถึง 20-30% นับป็นข้อดีที่ได้ประโยชน์ชัดเจนจากการออกแบบภายใต้แนวคิด Sustainable architecture หรือสถาปัตยกรรมยั่งยืน   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ วางเป้าขาย 8,600 ล้าน โต 10% เน้นธุรกิจทำกำไร-รักษาสภาพคล่อง
ส่องกำลังซื้อ ต่างชาติใน 5 เมืองท่องเที่ยว  ช่วงครึ่งแรกปี 66 ตลาดที่อยู่อาศัยฟื้นตัวแค่ไหน?

ส่องกำลังซื้อ ต่างชาติใน 5 เมืองท่องเที่ยว ช่วงครึ่งแรกปี 66 ตลาดที่อยู่อาศัยฟื้นตัวแค่ไหน?

ต่างชาติ ส่องตลาดที่อยู่อาศัยใน 5 เมืองท่องเที่ยวหลัก ทั้งกทม. เชียงใหม่ ภูเก็ต ชลบุรี​ และโคราช เติบโตแค่ไหน หลังททท.รายงานตัวเลขต่างชาติเข้าไทยแล้วกว่า 6 ล้านคน พบ จีนนำมาอันดับ 1 ตัวเลขกว่า 5 ล้านคน พร้อมลุ้นรัฐบาลใหม่ออกนโยบยกระตุ้นอสังหาฯ สำหรับต่างชาติ   แม้ภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศไทยจะคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น ประกอบกับปัจจัยบวกทั้งจากกำลังซื้อต่างชาติที่เริ่มกลับมา เห็นได้ชัดหลังจากจีนประกาศเปิดประเทศเมื่อต้นปี ส่งผลให้ภาคการท่องเที่ยวและธุรกิจต่าง ๆ มีแนวโน้มฟื้นตัวและกลับมาเติบโตอีกครั้ง และภาวะเงินเฟ้อที่ไม่ร้อนแรงเหมือนในปีที่ผ่านมา แต่กำลังซื้อผู้บริโภคไทยส่วนใหญ่ยังไม่กลับมา มีทั้งปัจจัยท้าทายหลัก ๆ จากอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น และความชัดเจนทางการเมืองหลังการเลือกตั้ง ทำให้กำลังซื้อต่างชาติกลายเป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญที่จะเข้ามาช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจไทยปีนี้ 3 เดือนจีนเข้าไทยกว่า 5 ล้านคน ข้อมูลล่าสุดจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่าในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2566 (1 มกราคม – 31 มีนาคม) มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยมากกว่า 6 ล้านคน สร้างรายได้ในประเทศมากกว่า 250,000 ล้านบาท โดยคาดการณ์ว่าจะมีนักท่องเที่ยวจีนมากเป็นอันดับ 1 ไม่น้อยกว่า 5 ล้านคน และมีแนวโน้มจะสูงถึง 7-8 ล้านคน   ล่าสุด กรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย ยังได้ออกกฎกระทรวงซึ่งเอื้อต่อการนำที่อยู่อาศัยมาให้บริการในรูปแบบของโรงแรมตามแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ เพื่อหารายได้ โดยได้รับการผ่อนผัน ยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติในเรื่องเกี่ยวกับที่ว่างของอาคาร, ช่องทางเดินในอาคาร, ความกว้างของบันได และระยะถอยร่นแนวอาคาร ฯลฯ แต่ทั้งนี้ อาคารที่จะเปลี่ยนการใช้ดังกล่าวต้องมีความมั่นคงแข็งแรง และมีระบบความปลอดภัยด้านอัคคีภัยเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนด ถือเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับนักท่องเที่ยว   ขณะที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง คาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 2566 จะขยายตัว 3.6% โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการบริโภคที่ปรับตัวดีขึ้นและภาคการท่องเที่ยวที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2566 น่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวน 29.5 ล้านคน และจะมีรายได้จากกลุ่มนี้ประมาณ 1.3 ล้านล้านบาท ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจในปีนี้ รวมไปถึงการเติบโตของภาคอสังหาริมทรัพย์   ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ รายงานสถานการณ์การโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของคนต่างชาติทั่วประเทศในไตรมาส 1 ปี 2566 พบว่า หน่วยโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของคนต่างชาติทั่วประเทศขยายตัว 79.2% ส่วนมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของคนต่างชาติทั่วประเทศเพิ่มขึ้น 67.6% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน สะท้อนให้เห็นทิศทางการฟื้นตัวที่ดีในตลาดอสังหาฯ หลังได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการเปิดประเทศ ทำให้ชาวต่างชาติสามารถเดินทางเข้ามาทำธุรกรรมและโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในไทยได้ดังเดิม คาด ต่างชาติ ซื้อคอนโดในกรุงเทพฯ 15% อย่างไรก็ดี ข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส คาดว่าในปี 2566 สัดส่วนชาวต่างชาติที่ซื้อห้องชุดในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลอาจจะกลับมาอยู่ที่ระดับ 15% ของมูลค่าทั้งหมด หลังจากที่ช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปี 2562 มีมูลค่าประมาณ 14.6% ดังนั้น กำลังซื้อชาวต่างชาติจึงอาจไม่ได้มีบทบาทสำคัญต่อการฟื้นตัวของตลาดอสังหาฯ ไทยอย่างที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้   นอกจากนี้ ผู้พัฒนาอสังหาฯ ยังคาดหวังว่ารัฐบาลใหม่จะออกมาตรการกระตุ้นตลาดที่เอื้อให้ชาวต่างชาติซื้อที่อยู่อาศัยในไทยอย่างถูกกฎหมายให้มีมากขึ้น โดยไม่ผ่านตัวแทนหรือนอมินี (Nominee) ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบและต้องติดตามความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด   ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เผยข้อมูลเชิงลึกจากผู้เข้าเยี่ยมชมในเว็บไซต์ www.DDproperty.com และแอปพลิเคชัน DDproperty ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2566 (เก็บข้อมูลระหว่างเดือนมกราคม - พฤษภาคม 2566) อัปเดตเทรนด์ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในหัวเมืองท่องเที่ยวหลักของประเทศ ได้แก่ กรุงเทพฯ, เชียงใหม่, ภูเก็ต, ชลบุรี และนครราชสีมา สะท้อนให้เห็นทิศทางการเติบโตของตลาดอสังหาฯ ไทย หลังกำลังซื้อต่างชาติกลับมาอีกครั้งหลังจากเปิดประเทศเต็มรูปแบบ กทม.ความต้องการซื้อคอนโดเพิ่ม 6% ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ ในเดือนพฤษภาคมเพิ่มขึ้นถึง 13% เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้า (MoM) ขณะที่ภาพรวมความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2566 ยังมีทิศทางเติบโตเป็นบวก โดยเพิ่มขึ้น 3% จากเดือนมกราคม   ทั้งนี้ เมื่อแบ่งตามประเภทที่อยู่อาศัยพบว่า คอนโดมีทิศทางการเติบโตอย่างน่าสนใจ โดยความต้องการซื้อเพิ่มขึ้น 6% จากเดือนมกราคม ขณะที่บ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ยังทรงตัว   เมื่อพิจารณาตามระดับราคาที่อยู่อาศัย พบว่า ผู้บริโภคส่วนใหญ่ให้ความต้องการซื้อคอนโด และทาวน์เฮ้าส์ในระดับราคา 1-3 ล้านบาทมากที่สุด (เพิ่มขึ้น 10% และ 4% จากเดือนมกราคม ตามลำดับ) ซึ่งสอดคล้องกับกำลังซื้อของผู้บริโภคที่มองหาที่อยู่อาศัยในราคาที่จับต้องได้ ขณะที่บ้านเดี่ยวระดับราคามากกว่า 10 ล้านบาทจะได้รับความนิยมมากที่สุด (ลดลง 3% จากเดือนมกราคม)   ในส่วนทำเลยอดนิยมที่มีความต้องการซื้อมากที่สุดในกรุงเทพฯ ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2566 หากเป็นคอนโด จะอยู่ในแขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง ส่วนทำเลยอดนิยมที่ผู้ซื้อบ้านเดี่ยวให้ความสนใจจะอยู่ในแขวงสะพานสูง เขตสะพานสูง ขณะที่แขวงสวนหลวง เขตสวนหลวงถือเป็นทำเลที่มีความต้องการซื้อทาวน์เฮ้าส์สูงที่สุด ปัญหาฝุ่น คนซื้อที่อยู่ลดลง 28% เชียงใหม่ เป็นอีกหนึ่งจังหวัดท่องเที่ยวสำคัญ ที่มีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในเดือนพฤษภาคมเพิ่มขึ้นถึง 14% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ​แต่ลดลงถึง 28% เมื่อเทียบกับเดือนมกราคม เนื่องจากปัจจัยลบที่มีอย่างต่อเนื่องของปัญหาฝุ่นควัน รวมถึงตลาดท่องเที่ยวที่เริ่มชะลอตัวลง ซึ่งอาจเป็นสาเหตุให้ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในระยะสั้นไม่เติบโตเท่าที่ควร และปรับลดลงในทุกประเภทที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะที่อยู่อาศัยแนวราบ โดยความต้องการซื้อบ้านเดี่ยวและคอนโด ปรับลดลงมากที่สุดในสัดส่วนเท่ากันที่ 35% จากเดือนมกราคม ตามมาด้วยทาวน์เฮ้าส์ (ลดลง 25% จากเดือนมกราคม)   เมื่อพิจารณาตามระดับราคา พบว่า ระดับราคาที่ได้รับความสนใจมากที่สุดในทุกประเภทที่อยู่อาศัยคือ 1-3 ล้านบาท โดยแต่ละประเภทมีอัตราการเปลี่ยนแปลง คือ คอนโด เพิ่มขึ้น 6%, ทาวน์เฮ้าส์ ลดลง 28% และบ้านเดี่ยว ลดลง 45% เมื่อเทียบกับเดือนมกราคม   สำหรับทำเลยอดนิยมที่มีความต้องการซื้อมากที่สุดในเชียงใหม่ ส่วนใหญ่จะอยู่ในตัวเมือง โดยทำเลที่ผู้บริโภคสนใจซื้อคอนโด มากที่สุด คือตำบลสุเทพ อำเภอเมืองเชียงใหม่ ส่วนทำเลฝั่งทาวน์เฮ้าส์ที่ได้รับความนิยมจะอยู่ในตำบลฟ้าฮ่าม อำเภอเมืองเชียงใหม่ ขณะที่ทำเลยอดนิยมของบ้านเดี่ยวจะอยู่ในตำบลสันผักหวาน อำเภอหางดง คนซื้อที่อยู่อาศัยในภูเก็ตลดลง 13% ตลาดที่อยู่อาศัยของภูเก็ตในเดือนพฤษภาคมยังคงทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า เมื่อพิจารณาภาพรวมความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2566 พบว่า ลดลง 13% จากเดือนมกราคม   โดยคอนโด เป็นที่อยู่อาศัยประเภทเดียวที่มีการเติบโตในช่วงที่ผ่านมา มีความต้องการซื้อเพิ่มขึ้น 10% สวนทางกับที่อยู่อาศัยแนวราบอย่างบ้านเดี่ยวที่ลดลงถึง 26% ส่วนทาวน์เฮ้าส์ลดลง 15% จากเดือนมกราคม   เมื่อพิจารณาตามระดับราคาที่อยู่อาศัยที่ได้รับความต้องการซื้อมากที่สุด พบว่า อยู่ในระดับราคา 1-3 ล้านบาท ในทุกประเภทที่อยู่อาศัย ทั้งคอนโด ทาวน์เฮ้าส์ และบ้านเดี่ยว (เพิ่มขึ้น 7%, ลดลง 4% และลดลงถึง 62% จากเดือนมกราคม ตามลำดับ)   ขณะที่ทำเลที่มีความต้องการซื้อมากที่สุด พบว่าความนิยมกระจายไปในพื้นที่อำเภอเมืองภูเก็ตเป็นหลัก โดยทำเลที่ได้รับความนิยมในการซื้อคอนโด อยู่ที่ตำบลราไวย์ อำเภอเมืองภูเก็ต ด้านบ้านเดี่ยวจะได้รับความนิยมในเขตตำบลฉลอง อำเภอเมืองภูเก็ต ส่วนทาวน์เฮ้าส์มีคนสนใจซื้อในตำบลวิชิต อำเภอเมืองภูเก็ตมากที่สุด ชลบุรี ทาวน์เฮ้าส์โต 21% ตลาดอสังหาฯ ในจังหวัดชลบุรีมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ด้วยระยะทางที่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ ประกอบกับมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากการพัฒนาโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) รวมไปถึงการพัฒนาระบบคมนาคมและนิคมอุตสาหกรรมต่าง ๆ จึงทำให้ชลบุรีโดดเด่นทั้งด้านท่องเที่ยวและด้านอุตสาหกรรม ส่งผลให้ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในเดือนพฤษภาคมเติบโต 9% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า   นอกจากนี้ ภาพรวมความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยยังเพิ่มขึ้น 3% จากเดือนมกราคม โดยทาวน์เฮ้าส์ได้รับความสนใจ มีการความต้องการซื้อเพิ่มถึง 21% ตามมาด้วยคอนโด เพิ่มขึ้น 9% โดยมีเพียงบ้านเดี่ยวเท่านั้นที่ความต้องการซื้อลดลง 4%   เมื่อพิจารณาตามระดับราคาที่อยู่อาศัยที่มีความต้องการซื้อมากที่สุด พบว่า อยู่ในระดับราคา 1-3 ล้านบาท ในทุกประเภทที่อยู่อาศัย ทั้งคอนโด มีความต้องการซื้อ เพิ่มขึ้น 11%, ทาวน์เฮ้าส์ มีความต้องการซื้อ เพิ่มขึ้น 20% และบ้านเดี่ยว มีความต้องการซื้อ ลดลง 6% จากเดือนมกราคม   สำหรับทำเลยอดนิยมในชลบุรีนั้น ส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่อำเภอศรีราชา และอำเภอบางละมุง ที่เป็นหนึ่งในจุดยุทธศาสตร์สำคัญของ EEC จึงทำให้มีความต้องการที่อยู่อาศัยเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย โดยบ้านเดี่ยวจะได้รับความต้องการซื้อมากที่สุดในตำบลสุรศักดิ์ อำเภอศรีราชา ทาวน์เฮ้าส์จะเป็นที่นิยมในตำบลบ่อวิน อำเภอศรีราชา ขณะที่ตำบลหนองปรือ อำเภอบางละมุงจะเป็นทำเลยอดนิยมในการซื้อคอนโด ที่อยู่อาศัย จ.นครราชสีมา ลดลง 27% นครราชสีมามีศักยภาพในการเป็นเมืองศูนย์กลาง ของระบบการคมนาคมขนส่งและโลจิสติกส์ที่สำคัญในอนาคต  โดยมีโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 6 สายบางปะอิน-นครราชสีมา หรือมอเตอร์เวย์ (M6) รวมทั้งแผนพัฒนารถไฟความเร็วสูง รถไฟทางคู่ และท่าเรือบกในอนาคต   แม้ว่าจะมีการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยใหม่อย่างต่อเนื่อง แต่การเติบโตทางเศรษฐกิจของเมืองยังต้องพึ่งพาความชัดเจนจากความคืบหน้าของโครงการคมนาคมต่าง ๆ ด้วย ส่งผลให้ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมายังทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า   ขณะที่ภาพรวมความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2566 นั้นลดลง 27% จากเดือนมกราคม และปรับตัวลดลงในทุกประเภทที่อยู่อาศัย โดยทาวน์เฮ้าส์ลดลงมากที่สุดถึง 55% จากเดือนมกราคม ตามมาด้วยบ้านเดี่ยว ลดลง 28% และคอนโด ลดลง 11% จากเดือนมกราคม   โดยระดับราคาที่อยู่อาศัยที่ได้รับความสนใจมากที่สุด พบว่า คอนโด อยู่ในระดับราคา 1-3 ล้านบาท ลดลง 19% จากเดือนมกราคม  และทาวน์เฮ้าส์ ลดลง 46% จากเดือนมกราคม สะท้อนให้เห็นถึงกำลังซื้อผู้บริโภคที่ส่วนใหญ่ต้องการที่อยู่อาศัยในราคาที่จับต้องได้ มากกว่าเน้นความหรูหราแบบบ้านพักตากอากาศ ส่วนบ้านเดี่ยวอยู่ในระดับราคามากกว่า 10 ล้านบาท ลดลง 45% จากเดือนมกราคม   ด้านทำเลที่อยู่อาศัยยอดนิยมนั้น อำเภอปากช่องยังคงเป็นทำเลยอดนิยมที่ผู้คนให้ความสนใจค้นหาที่อยู่อาศัยมากที่สุด โดยทำเลที่มีความต้องการซื้อคอนโด และบ้านเดี่ยวมากที่สุดอยู่ในตำบลหมูสี อำเภอปากช่อง ซึ่งเป็นเส้นทางขึ้นไปยังอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ขณะที่ทาวน์เฮ้าส์จะได้รับความนิยมซื้อในพื้นที่ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครราชสีมา   ทั้งหมดก็เป็นภาพรวมของตลาดที่อยู่อาศัยในเมืองท่องเที่ยวช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ ในกลุ่มชาวต่างชาติ ที่เป็นความหวังและเป็นกำลังซื้อสำคัญว่าจะเข้ามาช่วยทำให้ตลาดอสังหาฯ เติบโต แต่จะสามารถสร้างการเติบโตได้มากน้อยแค่ไหน คงต้องมีปัจจัยสนับสนุนจากภาครัฐด้วย ซึ่งต้องรอดูทิศทางรัฐบาลใหม่อีกครั้งต่อไป     *อ้างอิงจากข้อมูลของ SimilarWeb ช่วงระหว่าง ต.ค. 2565 - มี.ค. 2566 1 อ้างอิงจากข้อมูลจาก SimilarWeb ช่วงระหว่าง ต.ค. 2565 - มี.ค. 2566 2 อ้างอิงจากข้อมูลจาก Google Analytics ช่วงระหว่าง ต.ค. 2565 - มี.ค. 2566 3 ข้อมูลระหว่าง ม.ค. - มี.ค. 2566 4 ข้อมูลระหว่าง ต.ค. 2565 - มี.ค. 2566  
[PR News] เพอร์เฟค เปิดตัว “เพอร์เฟค พาร์ค แจ้งวัฒนะ – ราชพฤกษ์”

[PR News] เพอร์เฟค เปิดตัว “เพอร์เฟค พาร์ค แจ้งวัฒนะ – ราชพฤกษ์”

เพอร์เฟค พาร์ค พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค เปิด “เพอร์เฟค พาร์ค แจ้งวัฒนะ – ราชพฤกษ์ โครงการใหม่ ดีไซน์ใหม่ในสไตล์ยุโรป Modern Classic สเปซใหญ่ ฟังก์ชั่นใหม่ รองรับชีวิตเมืองบนทำเลถนนหอการค้าไทยเดินทางสะดวก 5 นาทีถึงถนนแจ้งวัฒนะ ราคาเริ่ม 5.29 ล้านบาท   นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทเปิดโครงการใหม่ เพอร์เฟค พาร์ค แจ้งวัฒนะ-ราชพฤกษ์ ภายใต้แนวคิด “Urban Life & Dream Ville” ชีวิตในเมืองที่เมืองในฝัน เน้นตอบโจทย์การเป็นบ้านหลังแรกของกลุ่มวัยเริ่มทำงานและครอบครัวรุ่นใหม่ในโซนแจ้งวัฒนะและราชพฤกษ์ พร้อมเติมเต็มไลฟ์สไตล์ของการใช้ชีวิตเมืองให้สะดวกสบายครบทุกความต้องการ   โครงการเพอร์เฟค พาร์ค แจ้งวัฒนะ-ราชพฤกษ์ มีมูลค่าโครงการ 1,150 ล้านบาท พื้นที่โครงการ 37 ไร่ จำนวน 204 ยูนิต โดยปรับเปลี่ยนสไตล์ใหม่หมดทั้งภายนอกและภายในให้เป็นแบบบ้านใหม่สไตล์ Modern Classic เน้นความหรูหราแบบยุโรปผสานกับความโมเดิร์นที่มีเอกลักษณ์สะท้อนตัวตนของผู้อยู่อาศัยได้เป็นอย่างดี และยังเพิ่มพื้นที่ใช้สอยให้กว้างมากขึ้น เริ่มต้นที่ 134-173 ตร.ม. รวมทั้งออกแบบฟังก์ชั่นใหม่ให้ตอบรับกับไลฟ์สไตล์ปัจจุบัน Lifestyle Connecting Area เชื่อมต่อพื้นที่ภายในบ้านรวมถึงพื้นที่สีเขียว Lifestyle Flexi Function เพิ่มห้องนอนที่ 4 ชั้นล่างรองรับการเป็นห้องนอนสำหรับผู้สูงอายุได้ Lifestyle Kitchen Studio ครัวขนาดใหญ่ Lifestyle Innovation Smart Airflow นวัตกรรมระบบระบายอากาศกรองฝุ่น PM2.5 ช่วยลดอุณหภูมิและความอับชื้นเพิ่มคุณภาพอากาศที่ดีให้แก่ผู้อยู่อาศัย ภายในโครงการพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบ ทั้งคลับเฮ้าส์ ฟิตเนส ห้องออกกำลังกาย สระว่ายน้ำสไตล์บีช Co-Working space สำหรับทำงานหรืออ่านหนังสือ Dream Park สวนสวยที่มี The Pavilion of Dreams เพื่อการพักผ่อน Dream Playground สนามเด็กเล่นเพื่อช่วงเวลาของครอบครัว และ Jogging Track ลู่วิ่งออกกำลังกลางแจ้งรอบสวน   สำหรับโครงการดังกล่าว​ตั้งอยู่บนถนนหอการค้าไทย ทำเลแห่งการอยู่อาศัย ซึ่งบริษัทยังมีการพัฒนาโครงการบนทำเลดังกล่าวแล้วถึง 6  โครงการ ตอกย้ำถึงความนิยมในทำเลแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี ยังใกล้ รร.นานาชาติ SISB นนทบุรี ใช้เวลาเดินทางเพียง 5 นาทีถึงถนนแจ้งวัฒนะ สะดวกด้วยสะพานพระราม 4 สู่ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ ท่าอากาศยานดอนเมือง และเมืองทองธานี ใกล้จุดขึ้นลงทางด่วนขั้นที่ 2 แจ้งวัฒนะ ใกล้รถไฟฟ้าสายสีชมพูที่มีกำหนดจะเปิดให้บริการเดือน มิ.ย.67 และที่สำคัญยังเชื่อมต่อกับถนนราชพฤกษ์ที่เต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก อาทิ โรบินสัน ราชพฤกษ์, โลตัส นอร์ธ ราชพฤกษ์, อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ ทำให้โครงการอยู่ในทำเลศักยภาพมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โครงการเพอร์เฟค พาร์ค แจ้งวัฒนะ-ราชพฤกษ์ เปิดให้จอง Pre-Sale ในวันที่ 1-2 ก.ค. นี้ พร้อมให้เลือกบ้านแปลงสวยและรับสิทธิพิเศษเฉพาะวันงานเท่านั้น ในราคาเริ่มต้น 5.29 ล้านบาท   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เพอร์เฟค เปิดแผนธุรกิจ 2566 พร้อมเปิด 14 โครงการใหม่ มูลค่า 17,700 ล้าน -เพอร์เฟค เปิดแผนธุรกิจ 2566 พร้อมเปิด 14 โครงการใหม่ มูลค่า 17,700 ล้าน
LWS วิสดอม  ชี้ “ราชพฤกษ์” แหล่งบ้านขายดีราคา 5.5-6 ล้าน  ได้ระบบคมนาคมหนุน ทั้งถนน-รถไฟฟ้า-ทางด่วน

LWS วิสดอม ชี้ “ราชพฤกษ์” แหล่งบ้านขายดีราคา 5.5-6 ล้าน ได้ระบบคมนาคมหนุน ทั้งถนน-รถไฟฟ้า-ทางด่วน

LWS วิสดอม เผยผลสำรวจ ​ทำเล “ราชพฤกษ์” แหล่งรวมบ้านขายดีระดับราคา 5.5-6 ล้าน ได้แรงหนุนจากโครงข่ายคมนาคม ทั้งถนน รถไฟฟ้า ทางด่วน พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบ   นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล ดับเบิลยู เอส วิสดอม แอนด์ โซลูชั่นส์ จำกัด หรือ LWS บริษัทวิจัยและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือบริษัท แอล.พี. เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากการสำรวจของของฝ่ายวิจัยอสังหาริมทรัพย์ LWS พบทำเล “ราชพฤกษ์” เป็นทำเลน่าสนใจสำหรับการหาที่อยู่อาศัยแนวราบ เนื่องจากมีการพัฒนาโครงข่ายการคมนาคม เส้นถนนหลักได้แก่ถนนราชพฤกษ์-กาญจนาภิเษก ความยาว 42 กิโลเมตร ถนนชัยพฤกษ์ ทางหลวง 345 และทางหลวง 346 ที่ตัดผ่าน 3 พื้นที่ ได้แก่ ราชพฤกษ์ตอนปลาย เชื่อมต่อจังหวัดปทุมธานี ราชพฤกษ์ตอนกลาง ในพื้นที่จังหวัดนนทบุรี และเชื่อมต่อไปยังราชพฤกษ์ตอนต้น เข้าสู่เขตติดต่อกรุงเทพฯและใจกลางเมือง สาธร-สีลม ได้อย่างสะดวกสบาย หรือการเลือกใช้ทางด่วนศรีรัช-วงแหวนรอบนอก เพื่อเลี่ยงการจราจรติดขัดได้   ในขณะที่เส้นทางรถไฟฟ้าที่มีรองรับในย่านราชพฤกษ์ 4 เส้นทาง ได้แก่เส้นทางสายสีเขียว ช่วงต้นทางของเส้นราชพฤกษ์ ช่วงสถานีบางหว้า เส้นทางสายสีน้ำเงินที่เชื่อมต่อกับสถานีบางหว้า ต่อขยายกับสถานีช่วงหัวลำโพง-บางแค และตัดกับเส้นถนนราชพฤกษ์ มีสายรถไฟฟ้าสำคัญได้แก่ MRT สายสีม่วง ช่วงระหว่างบางซื่อ-ท่าพระ สิ้นสุดสถานีที่คลองบางไผ่ เป็นรถไฟฟ้าสายที่อำนวยความสะดวกสบายให้กับผู้ที่อยู่อาศัยในย่านนี้ และยังเป็นเส้นที่ผ่านสถานที่สำคัญหลายที่ อาทิ ศูนย์ราชการจังหวัดนนทบุรี กระทรวงสาธารณะสุข หรือต่อไปยังสายสีน้ำเงินเพื่อเข้าสู่ใจกลางเมืองได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังสามารถเชื่อมกับ สายสีแดงอ่อน ที่เป็นรถไฟฟ้าชานเมืองที่เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีแดงเข้ม จากสถานีบางซื่อมายังสถานีบางซ่อน และมีส่วนต่อขยายไปยังพื้นที่ศาลายาได้   เมื่อดูจากเส้นทางการเชื่อมต่อของรถไฟฟ้าสายสีม่วงแล้ว ทำเลโซน “ราชพฤกษ์” เป็นทำเลยุทธศาสตร์ของเขตปริมณฑลฝั่งตะวันตก เพราะเป็นทำเลที่มีถนนที่เชื่อมต่อกับถนนสายหลักและสาย และสะดวกการเชื่อมต่อเมืองด้วยรถไฟฟ้าสายม่วงตลอดสาย เรียกได้ว่าครอบคลุมทุกความต้องการ ทำให้การเดินทางที่สะดวกอยู่แล้วยิ่งสะดวกมากกว่าเดิม   นอกจากการเดินทางที่สะดวกสบายแล้ว ย่านราชพฤกษ์ ยังเป็นย่านที่ประกอบด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก และรวมทั้งสถานบันเทิงที่ตอบโจทย์กับทุกรูปแบบการใช้ชีวิตในเมือง(Lifestyle)  ประกอบด้วย ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ เซ็นทรัล เวสต์เกต, อิเกีย บางใหญ่,เดอะ เซอร์เคิล ,เดอะ คริสตัล เอสบี ,เดอะ วอร์ค และ เทสโก โลตัส เป็นต้น รวมถึงในแง่ lifestyle อย่างร้านอาหารและคาเฟ่จำนวนมากอย่าง Chic Republic  บนถนนราชพฤกษ์ตลอดเส้นทาง และแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่น่าสนใจ เช่น เกาะเกร็ด และวัดบรมราชากาญจนาภิเษกอนุสรณ์ (วัดเล่งเน่ยยี่ 2)   ในขณะเดียวกันทำเลราชพฤกษ์ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการศึกษา และการสาธารณสุข ใกล้ โรงเรียนนานาชาติ, โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ รัตนาธิเบศน์, โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ International ,และ โรงพยาบาลพญาไท 3 ราชพฤกษ์ บ้านขายดีราคา 5.5-6 ล้าน จากการสำรวจพบว่า มี โครงการบ้านพักอาศัย ระดับราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาทที่น่าสนใจในทำเลรอบพื้นที่ศึกษาบริเวณราชพฤกษ์ตอนกลาง มีจำนวนทั้งหมด 7 โครงการ จำนวน 616 หน่วย ราคาขายเริ่มต้นที่ 5.5 ล้านบาท ขายไปแล้วทั้งสิ้น 166 หน่วยคิดเป็นสัดส่วน 27% ของจำนวนที่เปิดขายทั้งหมด โดยมีอัตราการขายเฉลี่ยอยู่ที่ 2 หน่วยต่อเดือนต่อโครงการ จากจำนวนหน่วยที่เหลือคาดว่าจะใช้ระยะเวลาในการขายไม่เกิน 2.5 ปี   ในส่วนของราคาที่ขายดีมีราคาอยู่ที่ 5.5 ล้านบาทและ ไม่เกิน 6 ล้านบาท รูปแบบของบ้านที่ได้รับความนิยมอันดับ 1 คือ บ้านแฝด ขนาดของที่ดินอยู่ที่ 37 ตร.ว. อันดับ 2 คือ บ้านเดี่ยว ขนาดที่ดินอยู่ที่ 60 ตร.ว. รูปแบบบ้านที่ขายดีคือ 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ และมีห้องอเนกประสงค์เพื่อปรับเปลี่ยนตามความต้องการของผู้อยู่อาศัยผู้ให้ความสนใจโครงการที่อยู่อาศัยอยู่ในกลุ่มคนทำงานที่ต้องการบ้านพักอาศัยติดรถไฟฟ้าที่สามารถเชื่อมต่อไปยังใจกลางเมืองได้ และกลุ่มผู้ทำงานอาชีพอิสระที่ต้องการบ้านที่สามารถทำงานที่บ้านได้   ในขณะที่การสำรวจตลาดบ้านมือสองในทำเล พบว่า มีราคาต่ำลงจากช่วงตอนเปิดตัวโครงการ อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนติดลบเฉลี่ยที่ 0.63% เนื่องจากมีโครงการที่อยู่อาศัยพัฒนาใหม่จำนวนมากและมีระดับราคาไม่แตกต่างกัน ทำให้ผู้ซื้อมีแนวโน้มเลือกซื้อโครงการเปิดตัวใหม่ โดยบ้านมือสองที่ได้รับความนิยมสูงสุดเป็นประเภทบ้านเดี่ยว ขนาดที่ดินเริ่มต้น 51 ตร.ว. รูปแบบมาตรฐาน 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ อัตราเช่าเฉลี่ยในทำเลที่ 10% โดยทำเลราชพฤกษ์ เป็นทำเลที่มีประชากรในพื้นที่เกือบ 600,000 คน เป็นประชากรในพื้นที่ประมาณ 415,000 คน และมีประชากรแฝงประมาณ 150,000 คน และเป็นกลุ่มประชากรที่มีรายได้เฉลี่ยอยู่ที่ 50,000-200,000 บาทต่อเดือนต่อครัวเรือน ซึ่งเป็นกลุ่มประชากรที่มีกำลังซื้อสูง โดยเป็นกลุ่มคนที่ทำงานในบริษัทและเจ้าของกิจการ  จึงเป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบการอสังหาฯ ในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยประเภทบ้านพักอาศัยทั้งทาวน์เฮ้าส์ บ้านแฝด และบ้านเดี่ยว ที่ระดับราคาไม่เกิน 5-10 ล้านบาท   สำหรับทำเลราชพฤกษ์ เป็นทำเลที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว  ทั้งการคมนาคม ศูนย์การค้า และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ อย่างครบครัน จึงเป็นทำเลที่ตอบโจทย์กับความต้องการของผู้ซื้อโดยเฉพาะกลุ่มผู้ซื้อที่เป็นคนทำงานที่ต้องการที่อยู่อาศัยแนวราบที่สามารถเชื่อมต่อไปยังกลางเมืองได้ ในขณะที่ระดับราคาบ้านพักอาศัยที่น่าสนใจในทำเลนี้ยังตอบรับกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง จึงเป็นโอกาสของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่จะเข้ามาลงทุนพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย โดยเน้นการพัฒนาที่ตอบรับการอยู่อาศัยในแบบ Next Normal ทั้งการทำงานที่บ้านได้ และนำนวัตกรรมเทคโนโลยีมาใช้ในการอยู่อาศัยในอนาคต        อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -5 ธุรกิจบริการ เสริมนวัตกรรมดิจิทัล ที่ตอบโจทย์วิถีชีวิตใหม่ หลังโควิด-19
พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น ต่อยอด Super Living Service เข้าถือหุ้น โปรเจคส์เอเชีย

พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น ต่อยอด Super Living Service เข้าถือหุ้น โปรเจคส์เอเชีย

พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น เร่งขยายอาณาจักร Super Living Service ส่งบริษัทย่อย “ยูไนเต็ด โปรเจคต์ แมเนจเมนท์” เข้าถือหุ้น “โปรเจคส์เอเชีย” บิ๊กที่ปรึกษาทางวิศวกรรม และจัดการงานพัฒนาอสังหาฯครบวงจร หวังเสริมแกร่งธุรกิจบริหารงานก่อสร้าง เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน ขยายฐานลูกค้าสู่การคุมงานโรงแรม ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ อาคารสำนักงานเกรด A พร้อมรับรู้รายได้ทันทีจากธุรกิจในมือ ดันธุรกิจโตแบบก้าวกระโดดและยั่งยืน   นางสาวจตุพร วิไลแก้ว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัท พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PRI เปิดเผยว่า บริษัทยังคงเดินหน้าสร้างการเติบโตในทุกมิติ ภายใต้แนวคิด “Super Living Service” ทั้งกลุ่มต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ อย่างต่อเนื่อง ล่าสุด ได้ดำเนินการให้ บริษัท ยูไนเต็ด โปรเจคต์ แมเนจเมนท์ จำกัด หรือ UPM บริษัทในเครือ ซึ่งให้บริการบริหารงานก่อสร้างโครงการ เข้าซื้อกิจการ บริษัท โปรเจคส์เอเชีย จำกัด ธุรกิจที่ปรึกษาทางวิศวกรรม รวมถึงงานบริหารและควบคุมงานก่อสร้างโครงการอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเคยมีผลงานดูแลงานขนาดใหญ่ระดับประเทศทั้งที่อยู่อาศัย โรงแรม อาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า อาทิ 185 ราชดำริ, โรงแรมดิ โอกุระ เพรสทีจ กรุงเทพฯ, โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัล ลาดพร้าว, อาคารปาร์ค เวนเชอร์ อีโคเพล็กซ์, อาคาร FYI Center, ไอคอนสยาม   การที่โปรเจคส์เอเชีย จะเข้ามาช่วยเติมฐานธุรกิจในกลุ่มต้นน้ำของเครือ PRI ใน 2 ด้าน ได้แก่ 1.ด้านการขยายฐานลูกค้า ช่วยให้ UPM เข้าถึงฐานลูกค้ารายใหญ่ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ เช่น โรงแรม อาคารสำนักงาน ห้างสรรพสินค้าได้มากขึ้น จากเดิมที่บริษัทมีฐานอยู่ในฝั่งที่อยู่อาศัยเป็นหลัก และ 2.ด้านองค์ความรู้และบุคลากร ช่วยให้บริษัทได้รับองค์ความรู้ ตลอดจนบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์เข้ามาร่วมงานเพิ่มเติมทันที ด้านผศ.ดร.อรุณ ศิริจานุสรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ของ UPM ผู้ให้บริการบริหารงานก่อสร้างโครงการ ในเครือ PRI กล่าวว่า บริษัทฯ ถือเป็นหนึ่งในกลุ่มธุรกิจต้นน้ำ - บริการก่อนเข้าอยู่อาศัย (Pre-Living Services) ที่มีอัตราการเติบโตสูงที่สุดในปี 2565 เมื่อเทียบกับกลุ่มธุรกิจอื่นของ PRI โดยมีอัตราการเติบโตถึง 3 เท่าจากปี 2564 ทำให้บริษัทมองหาโอกาสใหม่ๆ เพื่อให้สามารถเสริมแกร่งการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง   สำหรับการเข้าถือหุ้นครั้งนี้จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและขยายธุรกิจด้านที่ปรึกษาทางวิศวกรรม รวมถึงบริหารและควบคุมงานก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ รองรับลูกค้ากลุ่มใหม่ที่มีอัตราการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน ด้วยผลประกอบการที่แข็งแกร่งของโปรเจคส์เอเชีย จะทำให้เราสามารถรับรู้รายได้จากการให้บริการได้ทันที ช่วยผลักดันให้บริษัทก้าวสู่การเป็น Super Living Service ที่สามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ขณะที่นายไบรอัน จอห์น ซิมมอนด์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บริษัท โปรเจคส์เอเชีย จำกัด กล่าวว่า บริษัทมีความยินดีและภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งกับการได้ร่วมธุรกิจกันในครั้งนี้ ถือได้ว่าเป็นความร่วมมือครั้งสำคัญของวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยที่นำความแข็งแกร่งด้านงานที่ปรึกษาทางวิศวกรรม รวมถึงงานบริหารและควบคุมงานก่อสร้างโครงการของบริษัท มาผนวกรวมกับความโดดเด่นด้านงานบริการออกแบบสถาปัตยกรรม ของ UPM เข้าด้วยกัน เพื่อสร้างการเติบโตทางธุรกิจในอนาคต เพราะธุรกิจกลุ่มต้นน้ำเป็นกลุ่มธุรกิจที่ต้องการผู้ที่มีประสบการณ์และความชำนาญอย่างแท้จริง จากประสบการณ์อันยาวนานกว่า 33 ปีของโปรเจคส์เอเชีย ในธุรกิจที่ปรึกษา รวมถึงบริหารและควบคุมงานก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ระดับประเทศมากมาย จึงเชื่อมั่นได้ว่าบริษัทจะสามารถเป็นอีกหนึ่งพลังขับเคลื่อนให้ UPM และ PRI เติบโตได้อย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน สำหรับ PRI เป็นผู้ดำเนินธุรกิจให้บริการที่เกี่ยวเนื่องกับอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจรชั้นนำของประเทศ มีประสบการณ์กว่า 11 ปี ปัจจุบัน ดำเนินธุรกิจภายใต้ 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ 1.กลุ่มธุรกิจต้นน้ำ – บริการก่อนเข้าอยู่อาศัย (Pre-Living Services) อาทิ บริการที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้าง บริการออกแบบด้านสถาปัตยกรรม งานโครงสร้าง งานโยธา และงานระบบ บริการจัดฝึกอบรมและพัฒนาทักษะบุคลากร 2.กลุ่มกลางน้ำ – บริการการจัดการเพื่อการอยู่อาศัย (Living Services) อาทิ บริการบริหารนิติบุคคลอาคารชุด บ้านจัดสรร ห้างสรรพสินค้า อาคาร และสำนักงาน บริการอพาร์ตเมนท์แบบพรีเมียม บริการซื้อ-ขาย-ปล่อยเช่าอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร และ 3.กลุ่มปลายน้ำ - บริการหลังการขายที่อยู่อาศัย (Living & Earning Services) อาทิ บริการแม่บ้านและช่าง บริการออกแบบและตกแต่งภายใน   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -พรีโม ขาย IPO หุ้นละ 15 บาท 80 ล้านหุ้น วางเป้า Top 3 บริการด้านอสังหาฯ ​ -พรีโม เตรียม IPO ในปลายปีนี้ วางเป้าขึ้น Top3 ด้านบริการอสังหาฯ ​ครบวงจร
How to วางแผนการเงิน อย่างไร ให้กู้ซื้อบ้านหลังแรก ได้ตามความต้องการ​

How to วางแผนการเงิน อย่างไร ให้กู้ซื้อบ้านหลังแรก ได้ตามความต้องการ​

วางแผนการเงิน การวางแผนการเงิน เพื่อซื้อบ้านสักหลัง หรือคอนโดมิเนียมสักห้อง สำคัญพอ ๆ กับการหาข้อมูลบ้านและตัดสินใจว่าจะซื้อที่ไหน เพราะการจะได้ที่อยู่อาศัยตามที่เราต้องการ เราก็ต้องมีกำลังทรัพย์เพียงพอด้วย ซึ่งหากเราไม่ได้มีเงินก้อนสะสมที่เตรียมไว้ซื้อบ้านด้วยเงินสด เราคงต้องกู้เงินจากธนาคารและผ่อนชำระเป็นงวด ๆ ไป แต่การจะกู้เงินได้เราคงต้องมีคุณสมบัติครบถ้วน ตามหลักเกณฑ์ของธนาคารด้วย   วันนี้ Reviewyourliving มีเคล็ดลับ การวางแผนการเงิน สำหรับคนที่กำลังตั้งเป้าหมายว่าต้องการจะซื้อบ้านสักหลัง เพื่อใช้อยู่กับครอบครัวหรือคนที่เรารัก ลองมาดูกันว่า วิธีการเตรียมความพร้อมด้านการเงินมีเรื่องอะไรบ้าง 5 วิธี วางแผนการเงิน กู้ซื้อบ้าน 1.เช็คเครดิตบูโร เริ่มต้นเราคงต้องมาตรวจสอบคุณสมบัติของตัวเองก่อน โดยการเช็คเครดิตบูโร เพื่อดูว่าเรามีหนี้อยู่เท่าไร การผ่อนชำระที่ผ่านมาเป็นอย่างไร จ่ายตรงหรือจ่ายล่าช้าหรือไม่ เพราะพฤติกรรมการชำระหนี้ในอดีต จะเป็นตัวชี้วัดว่าเรามีคุณสมบัติเป็นลูกหนี้ที่ดีแค่ไหน ซึ่งบางทีเราก็อาจจะจำไม่ได้ว่าเรามีพฤติกรรมการจ่ายหนี้เป็นอย่างไร การเช็คเครดิตบูโร จึงควรทำก่อนเพื่อประเมินคุณสมบัติตัวเอง หรือบางคนอาจจะเคยติดเครดิตบูโรมาก่อน ก็จะได้รู้ว่าปัจจุบันเราหลุดจากการติดแบล็คลิสต์แล้วหรือยัง จะได้แก้ไขปัญหาเรื่องนี้ก่อนจะไปกู้ซื้อบ้าน ส่วนสถานที่เช็คเครดิตบูโร เราทำบทความเอาไว้ให้แล้ว ลองตามไปอ่านดูกันได้ กับ รวมแหล่งตรวจเครดิตบูโร เช็คความพร้อมก่อนสร้างหนี้ ​ 2.ประเมินความสามารถในการผ่อน-กู้ หากเราเป็นลูกหนี้ชั้นดี ไม่ได้ติดแบล็คลิสต์ ขั้นตอนต่อมาคงต้องประเมินความสามารถของตัวเอง ว่าปัจจุบันรายได้ที่มีอยู่ เมื่อหักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ทั้งหนี้สินและค่าใช้จ่ายประจำเดือนไปแล้ว เราเหลือเงินมากน้อยแค่ไหน จะสามารถกู้เงินได้เป็นจำนวนเท่าไร ซึ่งสูตรในการคิดคร่าว ๆ ก็มีประมาณนี้ คือ   เงินผ่อนต่อเดือน คิดจาก รายได้ หักค่าใช้จ่าย หัก 40% ของรายได้ต่อเดือนรวม เช่น มีรายได้ 20,000 บาท มีค่าใช้จ่าย 5,000 บาท จะสามารถผ่อนได้ = (20,000-5,000)-40%= 9,000 บาท ส่วนวงเงินกู้ที่คาดว่าจะกู้ได้สูงสุด จะเอาเงินผ่อนต่อเดือน คูณ 150 เช่น 9,000 x 150 = 1.35 ล้านบาท  จะเป็นวงเงินที่ธนาคารน่าจะปล่อยให้กับเราในการกู้ซื้อบ้าน หรือคอนโดได้ 3.เคลียร์หนี้ถ้ามีหนี้อยู่ กรณีที่คำนวณคร่าว ๆ แล้ว วงเงินกู้ที่ได้ ยังไม่เพียงพอต่อราคาบ้านหรือคอนโด ที่เราจะซื้อ สิ่งที่ต้องทำ ก็คือ การลดหนี้ที่มีอยู่ หรือทำได้ต้องเครียหนี้ให้เหลือน้อยที่สุด บัตรเครดิตไหนปิดบัญชีได้ต้องปิดบัญชี หรือมีหนี้สินที่เป็นชื่อของเราในระบบการเงินไว้ ต้องปิดบัญชีให้หมดเท่าที่จะทำได้ 4.สร้างเครดิตการเงิน​ด้วย เช่น สเตทเมนท์ธนาคาร, จ่ายหนี้ตรงเวลา ถ้าเรายังไม่สามารถปิดหนี้ที่มีอยู่ตามข้อ 3 ได้ เราจำเป็นต้องสร้างเครดิตของตัวเองไปสักระยะหนึ่ง เพื่อให้ธนาคารเห็นวินัยทางการเงินของเราว่าเราจ่ายหนี้ตรงเวลา ซึ่งความจริงแล้วการสร้างเครดิตทางการเงินนี้ ควรจะทำเป็นนิสัยตั้งแต่ก่อนหน้ามาแล้ว หรือหากใครที่ทำอาชีพอิสระ หรือเป็นพ่อค้าแม่ค้า สิ่งที่ต้องทำเพื่อสร้างเครดิตทางการเงิน คือ การเดินบัญชีธนาคารอย่างสม่ำเสมอ ทำสเตทเมนท์ธนาคารให้ดูมีเครดิต ว่าเรามีรายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เห็นสภาพคล่อง รายได้ และความสามารถในการบริหารเงินของเรา ควรมีสเตทเมนท์ธนาคารไม่ต่ำกว่า 6 เดือน ยิ่งนานยิ่งสร้างเครดิตได้ดี 5.วางแผนเก็บเงินออม​ ​ นอกจากสร้างเครดิตต่าง ๆ ทางด้านการเงินไปแล้ว การวางแผนเก็บออมก็จะทำให้ฝันของคนมีบ้านเป็นจริงมากขึ้น เพราะการซื้อบ้านไม่ใช่แค่เงินดาวน์บ้านก้อนแรกเท่านั้น ยังมีค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ตามมาอีกมากมาย เราได้ทำบทความ ....​สามารถติดตามอ่านเพิ่มเติมได้   ดังนั้น หากคิดจะซื้อบ้านหรือคอนโด จึงต้องเริ่มต้นเก็บเงินออมสักก่อนหนึ่งไว้ อย่างน้อยที่สุด คือ ไม่ต่ำกว่า 20% ของราคาบ้านที่จะซื้อ ส่วนวิธีการเก็บเงินออม แล้วแต่เทคนิคและวิธีการของแต่ละคนที่สะดวก แต่หัวใจสำคัญของการออม คือ เมื่อมีรายได้ให้แบ่งเงินออมออกมาก่อนเป็นก้อนแรก ไม่ใช่รอให้เงินเหลือก่อนค่อยออมเงิน​   ทั้งหมด ก็เป็นแนวทางการวางแผนการเงิน กู้ซื้อบ้านหลังแรก สำหรับคนที่มีความฝันว่าอยากมีบ้านสักหลัง หรือคอนโดสักห้อง เชื่อว่าหากทำตามแนวทางนี้ ไม่นานความฝันที่ต้องการเป็นจริงแน่นอน   ที่มา-ธอส.,ดีดีพร็อพเพอร์ตี้, moneybuffalo   อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง -3 วิธีซื้อคอนโด หลังแรก และ เทคนิคเก็บเงิน สำหรับเด็กจบใหม่ -7 ปัจจัยเลือกซื้อที่อยู่อาศัย ของคนยุคดิจิทัล
4 ประโยชน์อยู่บ้านใกล้ธรรมชาติ ลดโรค-ลดเครียด-เสริมพัฒนาการ-เพิ่มมูลค่า

4 ประโยชน์อยู่บ้านใกล้ธรรมชาติ ลดโรค-ลดเครียด-เสริมพัฒนาการ-เพิ่มมูลค่า

บ้านใกล้ธรรมชาติ การอยู่ บ้านใกล้ธรรมชาติ ให้ประโยชน์มากกว่าที่คิด อย่างน้อย 4 เรื่อง ทั้งลดเสี่ยงโรคร้าย เพิ่มความสุข ลดความเครียด ส่งเสริมพัฒนาการทุกเพศวัย และเพิ่มมูลค่าการลงทุน   การอยู่อาศัยในเมืองหลวง อย่างกรุงเทพฯ ทุกวันนี้ คนส่วนใหญ่ต้องเจอปัญหาสารพัด ทั้งรถติด ค่าครองชีพพุ่งสูง หรือแม้แต่ปัญหามลพิษสารพัดรูปแบบ แต่ปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของคนส่วนใหญ่ และคนก็กังวลใจมาก ก็คือ ปัญหามลพิษจากฝุ่น PM2.5  เพราะนับวันก็รุ่นแรงเพิ่มมากขึ้น   แนวทางที่พอช่วยบรรเทาปัญหามลพิษจากฝุ่นได้ นอกจากการลดสาเหตุของการเกิดฝุ่นควันต่าง ๆ แล้ว การปลูกต้นไม้ให้มากขึ้น การเพิ่มพื้นที่สีเขียว ก็ช่วยบรราเทามลพิษทางอากาศได้ดี ทำให้คนส่วนใหญ่นิยมปลูกต้นไม้ไว้ในบ้าน หรือรอบ ๆ บ้าน เพิ่มพื้นที่สีเขียว สร้างอากาศบริสุทธิ์  พื้นที่สีเขียว จึงถือเป็นหนึ่งปัจจัยสำคัญ ที่คนเลือกอยู่อาศัยคำนึงถึง หากโครงการไหนมีพื้นที่สีเขียวมาก ๆ หรือมีจุดขายที่มีวิวหรืออยู่ติดกับโครงการสวนสาธารณะ ก็จะได้รับความสนใจอย่างมากด้วย   การอยู่ในพื้นที่ใกล้ชิดธรรมชาติ หรือพื้นที่สีเขียว ไม่ได้ให้แค่วิวที่สบายตา หรืออากาศที่สดชื่นเท่านั้น แต่ยังพบว่าการอยู่บ้านที่ใกล้ธรรมชาติ ยังมีประโยชน์หลายอย่างด้วยกัน  โดยในต่างประเทศมีการศึกษาและวิจัยยืนยันข้อดีของการอยู่บ้านใกล้ธรรมชาติหลายอย่างด้วย ซึ่งพบว่าการอยู่บ้านใกล้ธรรมชาติ มีประโยชน์ด้วยกันอย่างน้อย 4  เรื่องด้วยกัน 4 ประโยชน์อยู่บ้านใกล้ธรรมชาติ 1.ลดเสี่ยงโรคร้าย การอาศัยอยู่ใกล้พื้นที่สีเขียว นอกจากจะมอบความรู้สึกร่มรื่นมีชีวิตชีวาแล้ว ยังเหมือนได้อยู่ใกล้เครื่องฟอกอากาศขนาดใหญ่ โดยเฉพาะในเมืองที่เต็มไปด้วยมลพิษทางอากาศ และฝุ่น PM 2.5 อย่างกรุงเทพฯ การมีบ้านหรือคอนโดมิเนียมที่ตั้งอยู่ท่ามกลางพื้นที่สีเขียวจึงเท่ากับเป็นการอนุญาตให้ร่างกายได้รับออกซิเจนอย่างเต็มที่   ผลการศึกษา[1] ของกลุ่มนักวิจัยจาก Nurses’ Health Study (NHS) ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้รวบรวมข้อมูลด้านสุขภาพทุก ๆ สองปีจากพยาบาลวิชาชีพหญิงมากกว่า 100,000 คนในสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ปี 1976 ระบุว่า ผู้คนที่อาศัยอยู่ในสถานที่ใกล้ชิดธรรมชาติ มีอัตราการเสียชีวิตโดยรวม ต่ำกว่า ผู้คนที่อาศัยอยู่ห่างไกลพื้นที่สีเขียว ถึง 12 เปอร์เซ็นต์ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อสำรวจสาเหตุการเสียชีวิตของผู้คนซึ่งไม่ได้อาศัยใกล้พื้นที่ธรรมชาติ ยังพบว่า มีอัตราการเสียชีวิตสูงสุดมาจากโรคระบบทางเดินหายใจ โรคมะเร็ง และโรคไต 2.เพิ่มความสุข ลดความเครียด การเข้าถึงธรรมชาติช่วยลดความเครียดและบรรเทาภาวะซึมเศร้าได้ เคยไหม ที่คุณตั้งคำถามกับตัวเองว่าทำไมเราจดจำอะไรได้น้อยลง และขาดสมาธิจนทำงานพลาด หรือหลงลืมนัดประชุมกับลูกค้าไปสนิท เรื่องนี้มีความเชื่อมโยงกับสิ่งแวดล้อมโดยตรง อ้างอิงจากการศึกษาวิจัยมากมายทั่วโลก หนึ่งในนั้นคือ งานวิจัย[2] ล่าสุดจาก Lise Meitner Group for Environmental Neuroscience ในประเทศเยอรมนี ซึ่งได้ทำการศึกษาการทำงานของสมองในกลุ่มตัวอย่างชาย-หญิงสุขภาพแข็งแรง 63 คนจากการสแกนลื่นสมองด้วยเครื่อง fMRI   โดยนักวิจัยค้นพบว่า การเดินเล่นในพื้นที่ชนบทซึ่งเต็มไปด้วยต้นไม้เป็นเวลา 60 นาที สามารถลดการทำงานของสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการประมวลผลความเครียดลงได้ ตรงกันข้ามกับกลุ่มตัวอย่างที่เดินเล่นในเมืองซึ่งเต็มไปด้วยผู้คนและมลภาวะ ที่ตรวจพบว่าสมองบริเวณดังกล่าวยังคงทำงานปกติหลังจากเดินเล่น 60 นาทีเท่ากัน ดังนั้น ต้นไม้และธรรมชาติเขียวขจีสามารถช่วยเบี่ยงเบนความคิดด้านลบจากกิจวัตรในชีวิตประจำวัน และช่วยฟื้นฟูจิตใจได้ 3.ส่งเสริมพัฒนาการสำหรับทุกวัย สำหรับเด็ก การปล่อยให้พวกเขาได้เล่นอย่างอิสระในธรรมชาติกับเพื่อน ๆ ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการและทักษะทางสังคมที่ดี มีความมั่นใจขึ้น สามารถจัดการอารมณ์ และเรียนรู้วิธีการโต้ตอบกับผู้อื่น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการพัฒนาบุคลิกภาพของพวกเขา นอกจากนี้ การปล่อยให้เด็กเรียนรู้และสังเกตธรรมชาติรอบตัวอย่างอิสระยังกระตุ้นจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ และสอนให้คิดอย่างมีเหตุผล ในทำนองเดียวกัน การให้ผู้สูงอายุได้ออกกำลังกายและพบปะทำกิจกรรมสันทนากับเพื่อนๆ หรือลูกหลานภายในสวนก็สามารถช่วยพัฒนาศักยภาพทางร่างกาย จิตใจ ทัศนคติ และคุณภาพชีวิตที่ดีแก่ผู้สูงอายุได้อย่างยอดเยี่ยม และมีผลให้ผู้สูงอายุใช้ชีวิตหลังเกษียณได้อย่างมีความสุข 4.เพิ่มมูลค่าในการลงทุน ตั้งแต่เกิดโรคระบาด ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ประชากรในเมืองใหญ่ทั่วโลกต่างแสวงหาที่อยู่อาศัยที่เปิดโอกาสให้พวกเขาได้ใกล้ชิดธรรมชาติมากขึ้น อาทิ ใกล้สวนสาธารณะ สนามเด็กเล่น สิ่งอำนวยความสะดวกด้านกีฬา และพื้นที่ทางศาสนา ผู้คนโหยหาต้นไม้ใบหญ้าและให้คุณค่ากับการมีสุขภาพแข็งแรงมากกว่าที่เคย   รายงาน[4] จากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ของสหราชอาณาจักร ได้เปิดเผยตัวเลขราคาบ้านที่อยู่ใกล้กับสวนสาธารณะ สวนหย่อม สนามเด็กเล่น และพื้นที่สีเขียวสาธารณะอื่นๆ ในเขตเมืองของอังกฤษและเวลส์ ซึ่งมีราคาแพงกว่าบ้านที่อยู่ไกลออกไปจากพื้นที่ดังกล่าว โดยเฉพาะบ้านที่สามารถเห็นวิวสวนสาธารณะ ป่า และแหล่งน้ำ จะยิ่งมีราคาแพงขึ้นไปอีก ดุสิต เรสซิเดนเซส ชูสวนรูฟฟาร์ค 7 ไร่ สำหรับโครงการ ดุสิต เรสซิเดนเซส  (Dusit Residences) อาคารที่พักอาศัย ซึ่งตั้งอยู่ใน ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค (Dusit Central Park) โครงการมิกซ์ยูสบนพื้นที่กว่า 23 ไร่ ตรงหัวมุมถนนสีลม-พระราม 4 ด้วยทำเลตรงข้ามสวนลุมพินีเพียงระยะข้ามถนนก็ถึง พร้อมพื้นที่สีเขียวใจกลางโครงการฯ อย่างสวนรูฟพาร์คขนาด 7 ไร่ ทำให้การอยู่อาศัยที่ ดุสิต เรสซิเดนเซส สามารถให้คุณได้มากกว่าแค่บ้านใจกลางเมืองที่มาพร้อมความสะดวกสบายครบครัน แต่ยังได้คุณประโยชน์จากการได้อยู่ใกล้ชิดธรรมชาติ   โครงการ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค เป็นโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ร่วมทุนระหว่างบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) และบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) มูลค่าโครงการรวม 46,000 ล้านบาท พัฒนาโครงการบนพื้นที่ 23 ไร่ บริเวณหัวมุมถนนสีลม ตรงข้ามสวนลุมพินี ในโครงการประกอบด้วย โรงแรม อาคารที่พักอาศัย  อาคารสำนักงานและศูนย์การค้า  โดยมีรูฟพาร์ค – สวนสาธารณะบนชั้นดาดฟ้าเป็นพื้นที่สีเขียวพิเศษขนาดใหญ่ 7 ไร่ใช้เป็นพื้นที่สาธารณะ ปัจจุบันโครงการอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างโดยคาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการประมาณปี 2568   นอกจากรูฟพาร์ค 7 ไร่ กลางโครงการที่เปรียบเหมือนปอดขนาดใหญ่ ซึ่งจะมีต้นไม้ยืนต้นราว 400 ต้น สามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 480 ตัน และปล่อยก๊าซออกซิเจนสู่ชั้นบรรยากาศได้ถึง 54,612 ตัน รองรับความต้องการของคนในการใช้ออกซิเจนได้จำนวน 73,800 คน ตลอดระยะเวลา 60 ปี ที่ดุสิต เรสซิเดนเซส ยังมีการติดตั้งระบบกรองอากาศระดับ HEPA ที่ได้รับการการันตีจากมาตรฐานระดับโลกว่าสามารถคัดกรองมลภาวะ ไวรัส แบคทีเรีย และฝุ่น PM 2.5 จากภายนอกก่อนที่อากาศจะเข้ามาสู่พื้นที่ภายใน คุณจึงสามารถสูดอากาศบริสุทธิ์ได้เต็มปอดตลอด 24 ชั่วโมง   นอกจากการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีและเพิ่มมูลค่าให้กับที่อยู่อาศัยแล้ว ความตั้งใจที่จะเพิ่มพื้นที่สีเขียวของโครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ยังสอดคล้องกับนโยบายของผู้ว่าฯ กทม. ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นนโยบายปลูกต้นไม้ล้านต้น กับสวน 15 นาที โดยสำนักสิ่งแวดล้อม อุทยานสวนจตุจักร[3] ระบุว่า ปัจจุบัน กรุงเทพฯ มีพื้นที่สีเขียว 6.99 ตารางเมตรต่อประชากร 1 คน ซึ่งตามเกณฑ์มาตรฐานขององค์การอนามัยโลกนั้น กำหนดให้แต่ละเมืองควรมีพื้นที่สีเขียวในอัตรา 9 ตารางเมตรต่อคน ซึ่งสื่อให้เห็นถึงความจำเป็นและความสำคัญของการเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับกรุงเทพฯ อย่างแท้จริง   หมายเหตุ [1] Karen Feldscher. (2017), Greenery Plays Key Role in Keeping Women Healthy, Happy,” Harvard Gazette, https://news.harvard.edu/gazette/story/2016/04/greenery-plays-key-role-in-keeping-women-healthy-happy/. [2] Beth JoJack. (2022), 1-hour walk through nature lowers stress, new research shows, Medical News Today, MediLexicon International, https://www.medicalnewstoday.com/articles/1-hour-walk-through-nature-lowers-stress-research-shows. [3] กทม.ตั้งเป้าเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้คนกรุงฯ 10 ตารางเมตรต่อคน ภายใต้โครงการ Green Bangkok 2030 (2020) อุทยานสวนจตุจักร. Available at: https://webportal.bangkok.go.th/chatuchakmetropark/page/main/ [4] Natural Capital team. (2019), Urban Green Spaces raise nearby house prices by an average of £2,500, Urban green spaces raise nearby house prices by an average of £2,500 - Office for National Statistics. Available at: https://www.ons.gov.uk/economy/environmentalaccounts/articles/urbangreenspacesraisenearbyhousepricesbyanaverageof2500/2019-10-14 (Accessed: 16 May 2023).   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -30 สวนสาธารณะ ลอยกระทง 62 -5 โซลูชั่น “S-E-N-S-E” การออกแบบการพัฒนาเมือง กับวิถีชีวิต The Next Normal
เมียนมา-อินเดีย มาแรงโอนคอนโดต่างชาติ  ขนาดห้องใหญ่-ราคาเฉลี่ยสูงสุด

เมียนมา-อินเดีย มาแรงโอนคอนโดต่างชาติ ขนาดห้องใหญ่-ราคาเฉลี่ยสูงสุด

โอนคอนโด ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ รายงานสถานการณ์การโอนคอนโด (คอนโดมิเนียม) ของคนต่างชาติในไตรมาส 1 ปี 2566 จำนวนหน่วยโอนฯ ขยายตัว 79.2% มูลค่าการโอนฯ ขยายตัว 67.6%  เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาการเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2565   จับตาพื้นที่ชลบุรี ขยับสัดส่วนการโอนฯ คอนโดของคนต่างชาติขึ้นเป็นอันดับ 1 ครั้งแรก โดยมีสัดส่วน 42.4% ขณะที่กรุงเทพมหานครขยับลงมาเป็นอันดับ 2 ที่สัดส่วน 37.7% หลังจากครองแชมป์ยาวตั้งแต่ปี 2561-2565 การโอนฯคอนโดของคนต่างชาติเพิ่มสัดส่วนเป็น 15.9% ของจำนวนหน่วย และ  24.3% ของมูลค่า และยังคงเกาะกลุ่มที่ระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท พบ “เมียนมา” ซื้อราคาเฉลี่ยต่อหน่วยสูงสุดที่ 6.5 ล้านบาท ขณะที่ “อินเดีย” ซื้อขนาดห้องเฉลี่ยใหญ่สุดที่ 77.7 ตร.ม. โอนคอนโดต่างชาติขยับเป็น15.9%    ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ หรือ REIC เปิดเผยถึงภาพรวมสถาณการณ์การโอนที่อยู่อาศัยของชาวต่างชาติไตรมาส 1 ปี 2566 ว่า จากการประมวลภาพของการโอนคอนโดให้คนต่างชาติทั้งหมด เห็นได้ว่าปริมาณทั้งในมิติของจำนวนหน่วย มูลค่า และพื้นที่ มีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องจากปีก่อน แต่ยังคงต่ำกว่าช่วงที่ก่อนเกิดการแพร่ระบาดของ COVID-19 โดยมีข้อสังเกตต่อว่า ตัวเลขการโอนที่สูงขึ้นในไตรมาสนี้ เกิดจากประเทศต่าง ๆ มีการเปิดให้ประชาชนของตนมีการเดินทางระหว่างกันได้ โดยเฉพาะประเทศจีน การเปิดประเทศและเริ่มดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจในด้านต่าง ๆ ระหว่างประเทศทั่วโลกเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในประเทศไทยฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นปัจจัยบวกที่สำคัญที่ช่วยทำให้จำนวนหน่วย มูลค่า และพื้นที่ ที่มีการขายและโอนคอนโดให้คนต่างชาติมีการปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในทุกกลุ่ม เช่น กลุ่มชาวยุโรป สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย รัสเซีย และ กลุ่มชาวเอเชีย แต่กลุ่มหลักยังคงเป็นชาวจีน ขณะเดียวกัน ยังส่งผลให้ผู้ซื้อที่อยู่อาศัยชาวต่างชาติที่มีการทำสัญญาซื้อขายก่อนหน้าสามารถกลับมารับโอนได้เพิ่มขึ้น และยังมีชาวต่างชาติอีกส่วนหนึ่ง ที่ซื้อคอนโดที่สร้างเสร็จเหลือขาย และคอนโดมือสองเพิ่มขึ้น ส่งผลให้สัดส่วนหน่วยโอนคอนโดต่างชาติปรับเพิ่มขึ้นเป็น 15.9% จากเพียง 10.6% ในปี 2565 และสัดส่วนมูลค่าโอนคอนโดต่างชาติก็เพิ่มขึ้นเป็น 24.3% จาก 19.5% ในปี 2565   ทั้งนี้ ภาพรวมสถานการณ์การ โอนคอนโด ของคนต่างชาติทั่วประเทศในไตรมาส 1 ปี 2566 พบว่าทั้งจำนวนหน่วยและมูลค่า เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก โดยหน่วยโอนคอนโดของคนต่างชาติทั่วประเทศมีจำนวน3,775 หน่วย ขยายตัว 79.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องนับตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2565   ส่วนมูลค่าการ โอนคอนโด ของคนต่างชาติทั่วประเทศมีจำนวน 17,128 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 67.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นมูลค่าที่สูงต่อเนื่องจากไตรมาส 3 ปี 2565 ขณะที่พื้นที่โอนคอนโดให้คนต่างชาติทั่วประเทศมีจำนวน 168,664 ตารางเมตร เพิ่มขึ้น 73.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY)   ต่างชาติแห่ซื้อคอนโดมือสอง การโอนคอนโดให้คนต่างชาติ มีสัดส่วนของจำนวนคอนโดใหม่ 59% คอนโดมือสอง 41% ส่วนมูลค่า มีการโอนคอนโดใหม่ สัดส่วน 70% คอนโดมือสอง สัดส่วน 30% และในด้านพื้นที่มีการโอนคอนโดใหม่ สัดส่วน​ 53% และคอนโดมือสองสัดส่วน 47%   โดยภาพรวมการโอนคอนโดมือสองมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นทั้งจำนวนหน่วย มูลค่า และขนาดพื้นที่ โดยมีข้อสังเกตว่า คนต่างชาติอาจมีความต้องการคอนโดมือสองในบางทำเล เช่น ทำเลพื้นที่ชั้นใน หรือ พื้นที่ใกล้ศูนย์กลางธุรกิจของเมือง ซึ่งในปัจจุบันมีอุปทานให้เลือกน้อยลง ประกอบกับราคาคอนโดมือสองในทำเลเหล่านี้มีราคาที่ต่ำกว่าโครงการเปิดใหม่ คนต่างชาติจึงให้ความสนใจในการซื้อคอนโดมือสอง และเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการซื้อคอนโดของคนต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ซื้อชาวจีน รัสเซีย สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และเยอรมัน ตามลำดับ ต่างชาตินิยมซื้อคอนโดไม่เกิน 3 ล้าน ในด้านของระดับราคาคอนโด พบว่า การโอนของคนต่างชาติในไตรมาส 1 ปี 2566 มีจำนวนหน่วยมากที่สุดในช่วงราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท โดยมีการโอนฯ จำนวน 1,900 หน่วย มีมูลค่า 3,431 ล้านบาท มีสัดส่วนของหน่วยโอนฯสูงสุดถึง 50.3% แต่มีสัดส่วนมูลค่าโอนฯ เพียง 20.0% เท่านั้น ทั้งนี้พบว่า คอนโดราคาไม่เกิน 3  ล้านบาท เป็นระดับราคาที่ชาวต่างชาติส่วนใหญ่นิยมซื้อตั้งแต่ปี 2561 ถึงปัจจุบัน   สำหรับคอนโดที่ได้รับความนิยมจากชาวต่างชาติน้อยสุดคือ ช่วงราคา 7.51 – 10​ ล้านบาท มีจำนวนน้อยที่สุดทั้งจำนวนหน่วยเพียง 203 หน่วย คิดเป็นสัดส่วน 5.4% และมีมูลค่า 1,729 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน10.1% แม้ว่า คอนโดที่ราคามากกว่า 10 ล้านบาทขึ้นไป จะมีจำนวน 303 หน่วย คิดเป็นสัดส่วน 8.0% แต่มีมูลค่าการโอนฯ สูงสุดถึง 5,475 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 32.0% จีน รัสเซีย สหรัฐอเมริกา รับโอนคอนโดสูงสุด สำหรับสัญชาติของผู้รับโอนคอนโดมากที่สุด จีน โอนคอนโด จำนวน 1,747 หน่วย คิดเป็นสัดส่วน 46.3% รัสเซีย โอนคอนโด จำนวน 387 หน่วย คิดเป็นสัดส่วน10.3% สหรัฐอเมริกา โอนคอนโด จำนวน 156 หน่วย คิดเป็นสัดส่วน 4.1% สหราชอาณาจักร โอนคอนโด จำนวน 146 หน่วย คิดเป็นสัดส่วน 3.9% เยอรมัน โอนคอนโด จำนวน 131 หน่วย คิดเป็นสัดส่วน 3.5% ในส่วนของมูลค่าการโอนคอนโดทั่วประเทศให้คนต่างชาติในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2566 (มกราคม - มีนาคม) จะพบว่า ชาวจีน โอนคอนโดเป็นมูลค่า จำนวน 8,191 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 47.8% รัสเซีย โอนคอนโดเป็นมูลค่า จำนวน 1,364 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 8.0% สหราชอาณาจักร โอนคอนโดเป็นมูลค่า จำนวน 703 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 4.1% สหรัฐอเมริกา โอนคอนโดเป็นมูลค่า จำนวน 653 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 3.8% เยอรมนี โอนคอนโดเป็นมูลค่า จำนวน 611 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 3.6% ทั้งนี้ หากดูยอดจำนวนหน่วยการโอนคอนโดสะสมในระหว่างปี 2561 ถึง ปี 2565 สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน รัสเซีย สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และ ฝรั่งเศส แต่ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2566 อันดับ 5 มีการเปลี่ยนแปลงจากสัญชาติฝรั่งเศส เป็น เยอรมนี เมียนมา โอนต่อหน่วยสูงสุด เฉลี่ย 6.5 ล้าน ในช่วงไตรมาส 1 ปี 2566 คอนโดที่ชาวต่างชาติโอนมีพื้นที่เฉลี่ย 44.7 ตารางเมตร/หน่วย มูลค่าเฉลี่ย 4.5 ล้านบาท/หน่วย หรือประมาณตารางเมตรละ 101,553 บาท สัญชาติที่มีจำนวนหน่วยโอนสูงสุด 10 ลำดับแรก พบว่า เมียนมาเป็นสัญชาติที่มีมูลค่าการโอนต่อหน่วยสูงสุด เฉลี่ย 6.5 ล้านบาทต่อหน่วย และอินเดีย เป็นสัญชาติที่โอนคอนโดขนาดใหญ่ที่สุดเฉลี่ย 77.7 ตารางเมตร โดยชาวจีนซึ่งเป็นสัญชาติที่มีสัดส่วนการโอนคอนโดมากที่สุด จะมีมูลค่าการโอนเฉลี่ย 4.7 ล้านบาท/หน่วย และพื้นที่คอนโดเฉลี่ย 38.8 ตารางเมตร/หน่วย   จังหวัดที่มีจำนวนหน่วยโอนคอนโดคนต่างชาติมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ชลบุรี กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ภูเก็ต และประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ใน 2 จังหวัดแรก คือ ชลบุรี มีจำนวน 1,601 หน่วย คิดเป็นสัดส่วน 42.4% และกรุงเทพฯ จำนวน 1,423 หน่วย คิดเป็นสัดส่วน 37.7%  ตามลำดับ โดยทั้ง 2 จังหวัดมีสัดส่วนจำนวนหน่วยรวมกันสูงถึง 80.1% ของทั่วประเทศ แต่เมื่อพิจารณาย้อนหลังไปถึงปี 2561 พบว่า ชลบุรีมีจำนวนหน่วยโอนคอนโดของคนต่างชาติมากกว่ากรุงเทพฯกรุงเทพฯเป็นครั้งแรกในไตรมาส 1 ปี 2566   ด้านจังหวัดที่มีจำนวนมูลค่าโอนคอนโดคนต่างชาติมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพฯ ชลบุรี ภูเก็ต เชียงใหม่ และประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ใน 2 จังหวัดแรก คือ กรุงเทพฯ มีมูลค่า 9,976 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 58.2% และชลบุรี มีมูลค่า 4,557 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 26.6%  ตามลำดับ โดยทั้ง 2 จังหวัดมีสัดส่วนมูลค่ารวมกันสูงถึง 84.8% ทั่วประเทศ เมื่อพิจารณาย้อนหลังไปถึงปี 2561 พบว่า กรุงเทพฯ และชลบุรี ยังคงเป็นจังหวัดที่มีจำนวนมูลค่าโอนคอนโดให้คนต่างชาติในสัดส่วนที่มากที่สุดเช่นเดียวกัน ส่วนอันดับรองลงมาเป็นจังหวัดที่เป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญ ได้แก่ ภูเก็ตและเชียงใหม่ เป็นต้น   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ส่องสถานการณ์โอนคอนโดต่างชาติ Q3 พร้อมลุ้นตลาดฟื้นตัวหลังจีนเปิดประเทศ 8 ม.ค.นี้ -Q2/65 ชาติไหนโอนคอนโดเยอะสุด  
ไนท์แฟรงค์ เปิดข้อมูลตลาดออฟฟิศให้เช่า​ Q1/66 ซัพพลายเพิ่ม ดีมานด์เริ่มฟื้นตัว

ไนท์แฟรงค์ เปิดข้อมูลตลาดออฟฟิศให้เช่า​ Q1/66 ซัพพลายเพิ่ม ดีมานด์เริ่มฟื้นตัว

ออฟฟิศให้เช่า ไนท์แฟรงค์ เปิดข้อมูลตลาดสำนักงาน Q1/66 ซัพพลายเพิ่ม 86,000 ตร.ม. ดีมานด์ฟื้นตัว หลังปัจจัยหนุน ทั้งภาพรวมเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว เทคโนโลยี สินค้าอุปโภคบริโภคกลับมาฟื้นตัว   หลังจากผ่านพ้นวิกฤติการแพร่ระบาดของไวรัสโควิ-19  จำนวนคนที่ทำงานจากที่บ้านก็ลดลง หันกลับมาทำงานที่ออฟฟิศเหมือนเดิม ซึ่งนี่คงเป็นหนึ่งในปัจจัยสนับสนุนให้ตลาดพื้นที่สำนักงานให้เช่า กลับมาเติบโตเข้าสู่ภาวะปกติอีดครั้ง และจากรายงานล่าสุดของไนท์แฟรงค์ ก็พบว่า ความต้องการพื้นที่สำนักงานในไตรมาสที่ 1 ปี 2566 มีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยหนุนจากผู้เช่าในกลุ่มอุตสาหกรรมภาคการท่องเที่ยว เทคโนโลยี และสินค้าอุปโภคบริโภค   ขณะเดียวกัน ยังพบว่า การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้เช่ารายย่อย ที่เปลี่ยนจากการเช่าโฮมออฟฟิศมาเป็นอาคารสำนักงานแทน เนื่องจากมีราคาค่าเช่าที่น่าดึงดูด และยังมีปัจจัยอื่น ๆ เป็นตัวกระตุ้น อาทิ ทำเลที่ตั้งสามารถเดินทางที่สะดวกกว่า การมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่หลากหลาย การมีพื้นที่ค้าปลีกในอาคารสำนักงานวย Q1 พื้นที่ ออฟฟิศให้เช่า เพิ่ม 86,000 ตร.ม. จำนวนพื้นที่รวมสำนักงานทั้งหมดในกรุงเทพฯ ไตรมาส 1 ปี 2566 เพิ่มขึ้น 86,000 ตร.ม. หรือ 1.7% จากไตรมาสที่แล้ว โดยมีอาคารใหม่ 2 อาคารที่สร้างแล้วเสร็จ คือ อาคารวัน ซิตี้ เซ็นเตอร์ (One City Centre) บนถนนเพลินจิต ตรงข้ามเซ็นทรัลเอ็มบาสซี อาคารเดอะไรซ์ (The Rice) ตรงหัวมุมแยกสะพานควาย นอกจากนี้ ยังมีอุปทานใหม่จากโครงการซัมเมอร์ ลาซาล (Summer Lasalle) ซึ่งมีการพัฒนาพื้นที่ใหม่ภายในโครงการเดิม เนื่องจากอาคารที่สร้างเสร็จส่วนใหญ่เป็นอาคารที่ได้การรับรองว่าเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (อาคารสีเขียว)   พื้นที่สำนักงานสีเขียวทั้งหมดที่ให้เช่า อยู่คิดเป็นสัดส่วน 21% ของอุปทานในตลาด หรือมีจำนวน​ 1,261,000 ตร.ม. เพิ่มขึ้น 27.3% จากไตรมาสที่แล้ว และเพิ่มขึ้น 6.8% จากไตรมาสก่อนหน้า โดยอาคารสีเขียวถือว่ามีอัตราการเติบโตสูงในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ด้วยอัตราการเติบโต 16.2% ขณะที่อาคารสำนักงานทั่วไปเติบโตเพียง 2.5% เท่านั้น 3 ปีพื้นที่เช่าเพิ่มอีก 1.62 ล้านตร.ม. ในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา มีผู้ประกอบการประกาศจะพัฒนาโครงการอาคารสำนักงานใหม่ในอนาคตออกมาอีก 2 โครงการ โดยอยู่นอกพื้นที่ศูนย์กลางธุรกิจ​ ได้แก่ คลาวด์ อีเลฟเว่น (Cloud 11) โดย เอ็มคิวดีซี (MQDC) แถวสุขุมวิทตอนปลาย และ โครงการสำนักงานแนวราบและพื้นที่ค้าปลีกโดย พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค กรุ๊ป (Property Perfect Group) บนถนนรัชดาภิเษก โดยจำนวนพื้นที่ออฟฟิศให้เช่า​ ที่จะเพิ่มเข้ามาอยู่ในช่วงปลายปี 2566 จำนวน 509,000 ตร.ม.  ปลายปี 2567 จำนวน 402,000 ตร.ม.  และช่วงปลายปี 2568 จำนวน 302,000 ตร.ม.  ขนาดของพื้นที่ให้เช่าในอนาคตรวมทั้งหมด 1.62 ล้าน ตร.ม.  คิดเป็น 27% ของระดับอุปทานปัจจุบัน  ในขณะที่ 67% ของอุปทานใหม่ตั้งอยู่ในย่านศูนย์กลางธุรกิจ ความต้องการเช่าฟื้นตัวรวม 4.53 ล้านตร.ม.   ในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่ามา พบว่ามีอัตราการเช่า (การดูดซับสุทธิ) เพิ่มขึ้นเป็น 39,500 ตร.ม. จากไตรมาสก่อนหน้าที่มีอัตราการเช่า 20,900 ตร.ม.  ขณะที่ปี 2565 ที่ผ่านมาการดูดซับสุทธิของตลาดอยู่ที่ 150,700 ตร.ม. สูงกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปี ที่ 78,400 ตร.ม. ค่าดูดซับเฉลี่ยสุทธิที่สูงขึ้นแสดงให้เห็นว่าความต้องการกำลังฟื้นตัว  ในแง่ของ ESG อาคารสีเขียวมีการดูดซับสุทธิที่ 31,600 ตร.ม. ซึ่งสูงกว่าอาคารที่ไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 7,900 ตร.ม. ในแง่ของทำเล ขนาดพื้นที่การเช่าในไตรมาสที่ 1 มีขนาดใกล้เคียงกันทั้งในและนอกเขตศูนย์กลางธุรกิจ   อย่างไรก็ตาม สังเกตว่ามีความต้องการใหม่  ๆเพิ่มขึ้นนอกเขตศูนย์กลางธุรกิจ ส่งผลให้การดูดซับสุทธิสูงขึ้นเป็น 26,000 ตร.ม. ในขณะที่เขตศูนย์กลางธุรกิจอยู่ที่ 13,500 ตร.ม. จำนวนพื้นที่ปล่อยเช่าแล้วทั้งหมดเพิ่มขึ้น 39,500 ตร.ม. รวมเป็น 4.53 ล้านตร.ม. ในไตรมาส 1 ปี 2566 และทุกกลุ่มมีการดูดซับสุทธิเป็นบวก  อาคารเกรด A เป็นกลุ่มที่มีการเติบโตมากที่สุด โดยมีการดูดซับสุทธิรายไตรมาสที่ 23,900 ตร.ม. เนื่องจากมีการเช่าพื้นที่ในอาคารที่เพิ่งก่อสร้างแล้วเสร็จ   ส่วนการดูดซับสุทธิของอาคารเกรด B ชะลอตัวลงในไตรมาสนี้ ถึงกระนั้นก็ยังคงเป็นกลุ่มที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปีที่ผ่านมา โดยมีการดูดซับสุทธิที่ 78,200 ตร.ม. ต่อปี  อัตราการครอบครองตลาดลดลง 0.8% จากไตรมาสที่แล้ว เหลือ 79% โดยมีแนวโน้มลดลงในทุกกลุ่ม อัตราการครอบครองของอาคารเกรด A ลดลง 2.7% จากไตรมาสที่แล้ว เหลือ 85% เนื่องจากแรงกดดันจากอุปทานใหม่ซึ่งแซงหน้าอุปสงค์ อัตราการครอบครองของอาคารเกรด B ลดลงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว แต่ในปีที่ผ่านมาลดลงมากกว่า 3% ต่อปี ถึงแม้จะมีอุปสงค์สูงสุดเมื่อเทียบกับกลุ่มอื่นๆ ในขณะเดียวกัน อัตราการครอบครองของอาคารเกรด C ยังคงที่อยู่ประมาณ 80% โดยผลประกอบการมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้วและปีที่แล้ว ค่าเช่าเริ่มปรับเพิ่มขึ้น ค่าเช่าเฉลี่ยของพื้นที่สำนักงานในกรุงเทพฯ เพิ่มขึ้นจากช่วงไตรมาสแรกของปีที่ผ่ามา 1.2%  และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า 0.8% ซึ่งมีค่าเช่าโดยเฉลี่ยราคา 808 บาท ต่อตร.ม.ต่อเดือน ค่าเช่าดังกล่าวปรับเพิ่มขึ้นในอาคารทุกเกรด เพราะในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเจ้าของอาคารไม่ได้ปรับขึ้นค่าเช่า อาคารเกรด A มีอัตราค่าเช่าเพิ่มขึ้นมากที่สุด โดยเพิ่มขึ้นเป็น 1,178 บาท หรือเพิ่มขึ้นอัตรา 1% จากไตรมาสก่อนหน้า และ 1.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากมีอัตราการครอบครองที่ค่อนข้างสูงและอุปทานใหม่มีส่วนสนับสนุนการเติบโตของอัตราค่าเช่า  ในขณะที่อาคารเกรด B มีราคาค่าเช่า 841 บาท เพิ่มขึ้นจากช่วงไตรมาสแรกของปีที่ผ่ามา 1.2% และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า 0.9%  อาคารเกรด C  มีราคาค่าเช่า 512 บาท เพิ่มขึ้นจากช่วงไตรมาสแรกของปีที่ผ่ามา 0.8% และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า 0.6% ค่าเช่าในและนอกพื้นที่ CBD พื้นที่ศูนย์กลางธุรกิจ มีราคาค่าเช่าโดยเฉลี่ย 923 บาทต่อตร.ม.ต่อเดือน เพิ่มขึ้น 2.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 1.1% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า โดยมีอัตราครอบครอง 83% เพิ่มขึ้น 0.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า แต่ลดลง 1.1% เมื่อเทียวกับไตรมาสก่อนหน้า   เพลินจิต-ชิดลม-วิทยุ มีราคาค่าเช่าโดยเฉลี่ย 1,053 บาทต่อตร.ม.ต่อเดือน เพิ่มขึ้น 4.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 3.4% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า โดยมีอัตราครอบครอง 79% ลดลง 6.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และลดลง4.4% เมื่อเทียวกับไตรมาสก่อนหน้า   บางนา-อโศก-พร้อมพงษ์ มีราคาค่าเช่าโดยเฉลี่ย 923 บาทต่อตร.ม.ต่อเดือน เพิ่มขึ้น 1.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 1.0% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า โดยมีอัตราครอบครอง 84% ลดลง 0.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และลดลง 1.7% เมื่อเทียวกับไตรมาสก่อนหน้า   สีลม-สาทร-พระราม 4 มีราคาค่าเช่าโดยเฉลี่ย 894 บาทต่อตร.ม.ต่อเดือน เพิ่มขึ้น 0.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 0.3% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า โดยมีอัตราครอบครอง 84% เพิ่มขึ้น  3.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า แต่ลดลง 0.1% เมื่อเทียวกับไตรมาสก่อนหน้า พื้นที่นอกศูนย์กลางธุรกิจ มีราคาค่าเช่าโดยเฉลี่ย 663 บาทต่อตร.ม.ต่อเดือน เพิ่มขึ้น 0.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า โดยมีอัตราครอบครอง 74% ลดลง 2.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และลดลง 2.1% เมื่อเทียวกับไตรมาสก่อนหน้า   เพชรบุรี-พระราม 9-รัชดา มีราคาค่าเช่าโดยเฉลี่ย 723 บาทต่อตร.ม.ต่อเดือน ไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า แต่ลดลง​ 1.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากอาคารบางแห่งมีการปรับกลยุทธ์ราคา โดยมีอัตราครอบครอง 80% ลดลง 0.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และลดลง 1.2% เมื่อเทียวกับไตรมาสก่อนหน้า   พหลโยธิน-วิภาวดี มีราคาค่าเช่าโดยเฉลี่ย 692 บาทต่อตร.ม.ต่อเดือน เพิ่มขึ้น 4.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น ​​ 1.0% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า โดยมีอัตราครอบครอง 72% ลดลง 7.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และลดลง 0.9% เมื่อเทียวกับไตรมาสก่อนหน้า   บางนา-ศรีนครินทร์มีราคาค่าเช่าโดยเฉลี่ย 616 บาทต่อตร.ม.ต่อเดือน เพิ่มขึ้น 3.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น ​​ 2.0% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากมีอาคารเหลืออยู่ไม่มากประกอบกับค่าเช่าที่สูงขึ้น โดยมีอัตราครอบครอง 64% ลดลง 9.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า แต่เพิ่มขึ้น 0.5% เมื่อเทียวกับไตรมาสก่อนหน้า แนวโน้มตลาดอนาคต ความต้องการเช่าพื้นที่อาคารสำนักงานในกรุงเทพฯ ไตรมาส 1 ปี 2566 มีแนวโน้มฟื้นตัว เช่นเดียวกับเศรษฐกิจในประเทศ  การดูดซับสุทธิเป็นบวกติดต่อกัน 4 ไตรมาส ทำให้อัตราดูดซับในช่วงปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 145,000 ตร.ม.  การเพิ่มขึ้นของจำนวนพื้นที่สำนักงานใหม่ จำนวน 86,000 ตร.ม.แซงหน้าความต้องการส่งผลให้อัตราการครอบครองของตลาดในไตรมาส 1 ปี 2566 ลดลงเหลือ 79% ส่วนราคาค่าเช่าเฉลี่ยของพื้นที่สำนักงานปรับสูงขึ้นอีกครั้งในปี 2566 โดยเพิ่มขึ้น 0.9% จากไตรมาสก่อนหน้า แลเพิ่มขึ้น 1.2% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา​ มาอยู่ในระดับราคา​ 808 บาทต่อตร.ม.ต่อเดือน ค่าเช่าสูงขึ้นเนื่องจากมีอาคารใหม่ที่ตั้งราคาค่าเช่าสูงขึ้น และอาคารที่มีอยู่เดิมขึ้นค่าเช่าหลังจากผ่านการระบาดของโควิด-19 กลับเข้าสู่สภาวะปกติ   การเกิดอาคารใหม่เข้าสู่ตลาด ส่งผลให้ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา อาคารเก่า (อาคารสำนักงานที่สร้างขึ้นก่อนและหลังปี 2543) เสียพื้นที่ครอบครองไป 390,000 ตร.ม. ในขณะที่อาคารใหม่มีพื้นที่ครอบครองที่ 401,000 ตร.ม. แต่ถ้าเป็นอาคารเก่าที่มีใบรับรองความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น LEED และ WELL สูญเสียพื้นที่ครอบครองไปเพียง 17,000 ตร.ม. เมื่อเทียบกับการเสียพื้นที่ครอบครอง 373,000 ตร.ม.ในอาคารเก่าที่ไม่มีใบรับรอง ผลลัพธ์ที่ได้สอดคล้องกับอาคารที่สร้างเสร็จหลังปี 2543  โดยอาคารใหม่ที่มีใบรับรองมีพื้นที่ครอบครองเพิ่มขึ้น 358,000 ตร.ม. ในขณะที่อาคารใหม่ที่ไม่มีใบรับรองมีพื้นที่ครอบครองเพียง 43,000 ตร.ม.   ผลการศึกษานี้ตอกย้ำให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างประสิทธิภาพของอาคารเก่าและอาคารใหม่ และความสำคัญของการอัพเกรดสิ่งอำนวยความสะดวกให้ตรงตามมาตรฐาน ESG อาคารที่ใช้มาตรการเชิงรุกเพื่อปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับมาตรฐานเหล่านี้จะประสบความสำเร็จในการรักษาผู้เช่ามากกว่าอาคารที่ไม่ได้ดำเนินการ ยิ่งไปกว่านั้น เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าอาคารเก่าที่มีการปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกให้ได้ตามมาตรฐานสามารถแข่งขันในตลาดได้     รายงานโดย นาย ปัญญา เจนกิจวัฒนาเลิศ กรรมการบริหารและหัวหน้าฝ่ายพื้นที่สำนักงาน บริษัท ไนท์แฟรงค์ จำกัด ​   อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง -IWG จับมือ รัตนากร แอสเซท บริหาร ออฟฟิศให้เช่า 40 แห่งทั่วไทย -มองตลาด ออฟฟิศให้เช่า Q2 หลัง COVID-19 จะไปทางไหน?  
เผย 7 สไตล์การแต่งบ้านยอดฮิต  คนไทยชื่นชอบแบบ Japandi มากที่สุด

เผย 7 สไตล์การแต่งบ้านยอดฮิต คนไทยชื่นชอบแบบ Japandi มากที่สุด

NocNoc เผย 7 สไตล์การแต่งบ้าน ที่คนไทยชื่นชอบมากที่สุด Japandi  ครองอันดับ 1 ตามด้วยสไตล์ Scandinavian พร้อมเผยสินค้าที่คนซื้อมากที่สุด คือ กลุ่ม Home and Living ด้านแบงก์กรุงศรี มองเทรนด์ตลาดอี-คอมเมิร์ซไทย อีก 2 ปีโต​ 19%   นายอนุพงศ์ ทะสดวก ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการค้าและพาณิชย์ บริษัท เบ็ตเตอร์บี มาร์เก็ตเพลส จำกัด หรือ NocNoc ศูนย์รวมสินค้าและบริการเรื่องบ้านออนไลน์ เปิดเผยว่า จากข้อมูลผู้ใช้บริการซื้อสินค้าออนไลน์บนแพลตฟอร์ม NovNoc ได้เห็นเทรนด์ความนิยมในการแต่งบ้านของผู้บริโภคคนไทย ที่พบว่า ชื่นชอบสไตล์การแต่งบ้าน และนิยมมากที่สุด คือ 1.สไตล์ Japandi ในสัดส่วน 25% 2.สไตล์ Scandinavian สัดส่วน 23% 3. สไตล์ Industrial  20% 4. สไตล์ Glam 15% 5.Transitional 10% 6.สไตล์ Shabby Chic 5% และ 7.สไตล์ Mid-Century Modern 2%   หนึ่งในพฤติกรรมของลูกค้าที่บริษัทให้ความสำคัญ คือเรื่องของ Personalize จะเห็นได้ว่าไลฟ์สไตล์การตกแต่งบ้านของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน โดย NocNoc ให้ลูกค้าเริ่มต้นการใช้งาน Application ด้วยการค้นหาสไตล์ที่ใช่แบบ Personalize ด้วยระบบ AI เพื่อให้แอปนำเสนอสินค้าแต่งบ้านได้ตรงตามสไตล์ของแต่ละบุคคล นอกจากนี้ บริษัทยังให้ความสำคัญการคัดสรรสินค้าที่หลากหลาย เพื่อให้เหมาะกับลูกค้าที่ชื่นชอบการตกแต่งบ้านในสไตล์ที่แตกต่างกัน โดยปัจจุบัน NocNoc แบ่งสินค้าออกเป็น 4 กลุ่มหลัก คือ 1. Home and Living กลุ่มสินค้าตกแต่งบ้านและเฟอร์นิเจอร์ 2. Home Appliances กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า 3. Home Improvement กลุ่มสินค้าปรับปรุงบ้าน และ 4. Home Service กลุ่มบริการงานช่างทุกเรื่องบ้าน ซึ่งในแต่ละกลุ่มยังแยกย่อยออกเป็นอีกหลายหมวดสินค้า ทำให้ NocNoc มีสินค้ารวมแล้วกว่า 500,000 ชิ้น จาก 3,000 ร้านค้า นับว่าตอบโจทย์ได้อย่างครอบคลุมสำหรับคนรักบ้าน   นายอนุพงศ์ กล่าวอีกว่า บริษัทยังพบข้อมูลจากพฤติกรรมการซื้อสินค้า ที่ผู้บริโภคซื้อซ้ำมากที่สุดใน  5 หมวดสินค้า ดังนี้ 1.โฮม เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ 2.โซฟาและเก้าอี้ 3.ชุดเครื่องนอน 4.ตู้และชั้นวางของ และ 5.เครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก โดยพฤติกรรมการกลับมาซื้อซ้ำนั้น จะเป็นสินค้าในหมวดเดียวกัน เช่น กลุ่มเครื่องนอน ลูกค้าซื้อที่นอนขนาด 6 ฟุต  และกลับมาซื้อผ้าปูที่นอน หมอน เพิ่มเติม หรือในกลุ่มโซฟาและเก้าอี้ ซื้อเก้าอี้ทำงานไปในครั้งแรกและกลับมาซื้อโต๊ะทำงานหรือโซฟาเพิ่มเติม แม้ว่าใน 5 หมวดสินค้าดังกล่าวจะเป็นกลุ่มสินค้าที่อาจจะต้องสัมผัสสินค้า หรือเห็นสินค้าจริงก่อนตัดสินใจซื้อเกือบทั้งสิ้น แต่กลับเป็นกลุ่มสินค้าที่ลูกค้า NocNoc กลับมาซื้อซ้ำอย่างสม่ำเสมอ สะท้อนให้เห็นว่าการจะซื้อสินค้ากลุ่มเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้าน ไม่จำเป็นต้องสัมผัสสินค้าจริงก่อนซื้อเสมอไป หรือ อาจจะมีประสบการณ์ทดลองสินค้าจากที่อื่นแล้ว   ให้ความสำคัญกับ DATA นายอนุพงศ์ ยังกล่าวอีกว่า Data-Driven Marketing นับว่ามีความสำคัญ แต่ต้องดูว่าจะนำมาใช้อย่างไรให้เกิดประโยชน์มากที่สุด  NocNoc ให้ความสำคัญกับ Data ของลูกค้า เพราะข้อมูลเหล่านี้สามารถบ่งบอกตัวตนของลูกค้าให้แบรนด์ได้เข้าใจความต้องการ และไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกันของลูกค้าแต่ละคนได้ โดยการนำเอาเทคโนโลยีทางการตลาด MarTech และ AdTech มาใช้ในการวางแผน ดำเนินการ และวัดผลแคมเปญเพื่อให้เข้าถึงลูกค้าแบบมีประสิทธิภาพและตรงกับความต้องการของลูกค้ามากที่สุด   ประกอบกับการทำ Story-Driven Communication ที่เข้าถึงทุก Journey ของลูกค้าตั้งแต่ Discovery , Inspired , Compare , Selection ไปจนถึง Complete Journey ซึ่งลูกค้าจะเห็นการสื่อสารผ่านเนื้อหาอย่างสม่ำเสมอช่วยให้พวกเขาได้รู้จัก NocNoc ว่าเรามีดีอะไร สินค้าที่กำลังมองหาตอบโจทย์พวกเขาอย่างไร ช่วยให้ง่ายต่อการตัดสินใจซื้อเรื่องบ้านมากขึ้น  และไม่ลืมสร้างประสบการณ์การช้อปในโลกออนไลน์สู่ออฟไลน์ เพื่อ ให้ลูกค้าได้เข้าถึง ใกล้ชิด ได้เห็น Visibility ของแบรนด์มากยิ่งขึ้น   อย่างไรก็ดี มองว่าการพัฒนา Feature บน Application  ให้ตอบโจทย์ Pain Point ของลูกค้า ทำให้ประสบการณ์ในการเข้ามาใช้งาน NocNoc ดีขึ้น และช่วยให้การตัดสินใจซื้อสินค้าแต่งบ้านเป็นเรื่องง่าย เช่น  Image Search หรือการค้นหาด้วยภาพ หากลูกค้าถูกใจโซฟาในคาเฟ่ แต่ไม่รู้รุ่นหรือยี่ห้อของโซฟา ก็สามารถถ่ายรูปและนำไปค้นหาใน NocNoc Application ได้เลย แม้ว่าพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบันจะมีทางเลือกที่หลากหลาย บางครั้งมักจะไปเดินดูของจากร้านค้าอื่นเพื่อนำมาเปรียบเทียบสินค้า ราคา รวมถึงหาไอเดียในการแต่งบ้าน ทั้งสินค้าที่หลากหลายไม่จำกัดที่ร้านใดร้านหนึ่ง แบรนด์ใดแบรนด์หนึ่ง NocNoc ให้บริการทางเลือกที่มากกว่า ทำให้ ผู้คนเข้ามาหาไอเดียและแรงบันดาลใจใน Community ทั้งยังสะดวกสบายอยู่ที่ไหนก็ช้อปได้ พร้อมบริการจัดส่งทั่วไทย นับว่าเป็นการแก้โจทย์ ไม่ได้สัมผัสสินค้า ก็ไม่ใช่ปัญหาในการซื้อสินค้าเกี่ยวกับบ้านออนไลน์คาด E-Commerce ไทยโต​ 19% สำหรับการช้อปปิ้งออนไลน์ ถือว่ามีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ​ โดยเฉพาะในกลุ่มเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้าน เห็นได้จากตัวเลขงานวิจัยของกรุงศรี คาดการณ์ว่าในปี 2025 ตลาด E-Commerce ไทยจะเติบโตขึ้นอีก 19% โดยผู้ประกอบการร้านค้าปลีกสมัยใหม่ มีแนวโน้มที่จะขยายธุรกิจ ควบคู่ไปกับการพัฒนาช่องทางการขายออนไลน์   นายอนุพงศ์ กล่าวอีกว่า แม้ว่าการเติบโตของการช้อปปิ้งออนไลน์จะเติบโตมากเพียงใด แต่ก็ต้องยอมรับว่า Pain point ของธุรกิจอี-คอมเมิร์ซในกลุ่มสินค้าและของตกแต่งบ้าน คือ ลูกค้าไม่สามารถเห็นและสัมผัสได้จริง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญอย่างมากในการตัดสินใจซื้อ โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มเฟอร์นิเจอร์ขนาดใหญ่ อาทิ โซฟา ตู้ โต๊ะ เตียง เป็นต้น โดยพฤติกรรมของลูกค้าคือจะมีความกังวลว่าอาจจะได้สินค้าจะไม่เป็นอย่างที่คิดเอาไว้ ทำให้มีผู้บริโภคมีการพิจารณาประเด็นดังกล่าวกันอย่างละเอียด   สำหรับในช่วงที่ผ่านมา NocNoc ก้าวขึ้นมาเป็น Home and Living Platform หรือศูนย์รวมสินค้าและบริการเรื่องบ้านออนไลน์ ที่รวบรวม เฟอร์นิเจอร์ ของแต่งบ้าน วัสดุปูพื้น-ผนัง เครื่องใช้ไฟฟ้า และบริการทุกเรื่องบ้านที่ครบที่สุดรายแรกในไทย และได้ผลักดันให้ข้อจำกัดเหล่านี้หมดไป คลายความกังวล ลดความลังเลในการซื้อสินค้าแต่งบ้านให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สะท้อนจากตัวเลขของลูกค้า 60% ที่มาช้อปสินค้าแต่งบ้านออนไลน์บนแพลตฟอร์ม NocNoc สร้าง ตกแต่ง ต่อเติมบ้านได้ทั้งหลัง เป็นการซื้อสินค้าและบริการครอบคลุมในหลากหลายกลุ่มสินค้าและบริการ เรียกได้ว่าสามารถ Complete Journey ครบ จบ ใน NocNoc ที่เดียว จากข้อมูลเชิงลึกของ NocNoc จะเห็นได้ว่าลูกค้าส่วนใหญ่ของ NocNoc เป็นกลุ่มสร้างบ้านและต่อเติมบ้าน (Home Building and Renovator) ประมาณ 60% นับว่าเป็นกลุ่มที่มองหาการซื้อสินค้าและบริการแบบ Complete journey ในการสร้าง ต่อเติม และตกแต่งบ้านทั้งหลัง ทั้งยังมีพฤติกรรมในการซื้อสินค้าหลากหลายหมวดบนแพลตฟอร์มของ NocNoc และกลับมาซื้อซ้ำกว่า 74% เพราะทยอยซื้อของตกแต่งบ้านให้ครบตามความต้องการ   ขณะที่ของตกแต่งบ้านและผู้ซื้อเฟอร์นิเจอร์ทั่วไป (Home Decoration and Furnishing Shoppers) คิดเป็นอีกประมาณ 40% จะเน้นการตกแต่งเป็นหลัก และมีพฤติกรรมการซื้อซ้ำบนแพลตฟอร์ม NocNoc มากถึง 26% เพราะลูกค้าจะมีไอเดียใน การตกแต่งบ้านอย่างต่อเนื่อง  จากการหาแรงบันดาลใจในการแต่งบ้านจากที่ต่าง ๆ รวมถึงใน NocNoc ที่มีไอเดียในการตกแต่งบ้านมากมาย   ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าจากการทำตลาดเพื่อให้ตอบโจทย์ลูกค้าในแบบ Complete journey รวมถึงการสร้างประสบการณ์ ช้อปปิ้งที่ดีแก่ผู้บริโภค และนำเสนอประสบการณ์มากกว่าที่ลูกค้าได้คาดหวังไว้ ทำให้ภาพรวมจำนวนผู้ใช้งานบนแพลตฟอร์ม NocNoc ทั้งเว็บไซต์และแอปพลิเคชันระหว่างเดือนมกราคม – เมษายน 2566 เพิ่มสูงขึ้น  64% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปี 2565 โดยจากแนวโน้มดังกล่าว คาดว่าในปี 2566 นี้ ยอดขายจะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้กว่า 170% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาอีกด้วย   นอกจากนี้ หนึ่งในพฤติกรรมของลูกค้าที่บริษัทให้ความสำคัญ คือเรื่องของ Personalize จะเห็นได้ว่าไลฟ์สไตล์การตกแต่งบ้านของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน โดย NocNoc ให้ลูกค้าเริ่มต้นการใช้งาน Application ด้วยการค้นหาสไตล์ที่ใช่แบบ Personalize ด้วยระบบ AI เพื่อให้แอปนำเสนอสินค้าแต่งบ้านได้ตรงตามสไตล์ของแต่ละบุคคล      
ธนาสิริ  จับมือ อนาบูกิ โคซัน บุกโซนกรุงเทพฯ​ ตะวันออก ปั้น “ธนาวิลเลจ บางนา-บางบ่อ” มูลค่ากว่า 1,000 ล้าน

ธนาสิริ จับมือ อนาบูกิ โคซัน บุกโซนกรุงเทพฯ​ ตะวันออก ปั้น “ธนาวิลเลจ บางนา-บางบ่อ” มูลค่ากว่า 1,000 ล้าน

ธนาสิริ จับมือ อนาบูกิ โคซัน บุกโซนบางนา-บางบ่อ  ปั้นโปรเจ็กต์  ธนาวิลเลจ บางนา-บางบ่อ มูลค่ากว่า 1,000 ล้าน ครั้งแรกที่ขยายทำเลพัฒนาออกนอกจ.นนทบุรี เตรียมเปิดขาย   17 มิถุนายนนี้ ในราคาเริ่ม 2 - 4 ล้าน   นายจรัญ เกษร ประธานเจ้าหน้าที่สายงานปฏิบัติการ (COO) บริษัท ธนาสิริ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (THANA) เปิดเผยว่า บริษัทพร้อมเปิดขายโครงการ “ธนาวิลเลจ บางนา-บางบ่อ” มูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท ในวันที่ 17 มิถุนายน นี้  ซึ่งโครงการดังกล่าวเป็นโครงการ่วมทุนกับ อนาบูกิ โคซัง พันธมิตรที่ร่วมพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์กันมาอย่างต่อเนื่อง โดยที่ผ่านมาพัฒนาโครงการประสบความสำเร็จแล้ว 2 โครงการในทำเลย่านราชพฤกษ์ และสะพานมหาเจษฎาบดินทรานุสรณ์ ซึ่ง​โครงการตั้งอยู่บนทำเลบางนา-บางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ มีเนื้อที่กว่า 36 ไร่ โดยพัฒนาเป็นบ้านแฝด และทาวน์โฮมสไตล์ New Design Japandi จำนวน 348 หลัง   โดยครั้งนี้ ได้ร่วมกันพัฒนาโครงการ ในพื้นที่ทำเลใหม่ ย่าน “บางนา-บางบ่อ”  ซึ่งเป็นทำเลที่มีความโดดเด่น และยังเป็นรอยต่อ EBD (Extension Business District) โซนตะวันออก ที่เชื่อมทุกพื้นที่กรุงเทพฯ รายล้อมด้วยแหล่งงานขนาดใหญ่ ทั้งนิคมอุตสาหกรรม​  สนามบินสุวรรณภูมิ สถานศึกษาระดับอุดมศึกษาหลายแห่ง รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวก และแหล่งชอปปิ้งที่มีหลากหลาย ทั้งยังมีเมกะโปรเจ็กต์ที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกหลายโครงการภายในปีนี้ โครงการจับกลุ่มเป้าหมายหลัก เป็น​คนรุ่นใหม่ วัยทำงานระดับกลาง-ล่าง ที่ต้องการอยู่อาศัยจริง และกำลังมองหาบ้านหลังแรกสำหรับครอบครัว ในราคาเริ่มต้นที่ 2 - 4 ล้านบาท โครงการธนาวิลเลจ บางนา-บางบ่อ เป็นการร่วมทุนกับ อนาบูกิ โคซัน  ซึ่งเป็นการขยายมาสู่ทำเลอื่นครั้งแรก จากเดิมเน้นการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในย่านนนทบุรี   สำหรับทำเลย่าน “บางนา-บางบ่อ”  เป็นทำเลทองของที่อยู่อาศัยในอนาคต ที่มีราคาที่ดินขยับเพิ่มขึ้นทุกปี เฉลี่ยไม่น้อยกว่า 10% แม้ในมุมผู้ประกอบการมองว่า ทำเลดังกล่าวทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นก็ตาม แต่เนื่องจากเป็นทำเลที่มีศักยภาพและคุ้มค่า เมื่อเทียบกับการเพิ่มมูลค่าในอนาคต ทั้งยังเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างรากฐานความมั่นคงด้านทรัพย์สิน และสังคมที่ดีให้กับผู้อยู่อาศัยในโครงการธนาวิลเลจ บางนา-บางบ่อ บริษัทมีความมั่นใจว่าโครงการธนาวิลเลจ บางนา-บางบ่อ จะเป็นหนึ่งในโครงการร่วมทุนที่ประสบความสำเร็จเหมือนทุกโครงการ ด้วยศักยภาพทำเลที่เหมาะกับการอยู่อาศัยและลงทุนเพื่ออนาคต ทั้งยังมีความต้องการอยู่อาศัยอีกเป็นจำนวนมาก นับว่าเป็นทำเลที่โดดเด่น ทั้งบริเวณรอบโครงการ และที่ตั้งโครงการ โดยด้านหน้าติดถนนที่เชื่อมกับถนนหลัก ด้านหลังติดแม่น้ำคลองด่านที่สะท้อนแนวคิดการออกแบบโครงการ “ที่สุดของการใช้ชีวิต …ชิดธรรมชาติและสายน้ำ”   สำหรับทุกโครงการของธนาสิริ เราพร้อมขับเคลื่อนการพัฒนาด้วยกลยุทธ์ THANA GREEN ในทุกกระบวนการ ตั้งแต่ Hardware - Software - People โดยให้ความสำคัญในทุกมิติของคุณภาพชีวิตที่ดีตลอดระยะเวลาการอยู่อาศัย ภายใต้พันธกิจ “Lifetime Total Living Solution” เพื่อสร้างจุดเริ่มต้นการอยู่อาศัยดี สิ่งแวดล้อมดี และสังคมน่าอยู่ ให้กับประชาคมธนาสิริในการอยู่อาศัยร่วมกัน ธนาสิริ ... เราดูแล” ปั้นโปรเจ็กต์ 1,000 ล้าน โครงการ “ธนาวิลเลจ บางนา-บางบ่อ” ตั้งอยู่บนทำเลบางนา-บางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ มีเนื้อที่กว่า 36 ไร่ โดยพัฒนาเป็นบ้านแฝด และทาวน์โฮมสไตล์ New Design Japandi มีจำนวน 348 หลัง ออกแบบภายใต้แนวคิด “ที่สุดของการใช้ชีวิต …ชิดธรรมชาติและสายน้ำ” เพื่อลดความตึงเครียดจากการใช้ชีวิตในเมืองปัจจุบันจากการทำงาน มลภาวะภายนอก การใช้ชีวิตที่เร่งรีบ สิ่งเดียวที่ช่วยเติมพลังคุณให้สดชื่นมีชีวิตชีวา กลับมาใช้ชีวิตได้อีกครั้ง คือ “บ้าน และ ครอบครัวที่อบอุ่น” โดยแต่ละหลังมีขนาดที่ดิน 17.88 - 58.27 ตารางวา ซึ่งการออกแบบโครงการยังให้ความสำคัญในรายละเอียดอื่นๆ อาทิ จัดแบ่งโซนอยู่อาศัยเป็นหลายโซนเพื่อความเป็นส่วนตัวและรองรับการอยู่อาศัยที่แตกต่างกันของแต่ละครอบครัว ถนนโครงการกว้าง 16 เมตร ถนนเมนกว้าง 16 เมตร ถนนซอยกว้าง 9 เมตร สามารถขับรถสวนกันได้อย่างสบาย แนวคิดโครงการเน้นธรรมชาติในการอยู่อาศัย มีต้นไม้ขนาดใหญ่ และสวนสาธารณะที่ร่มรื่น ให้เลือกพักผ่อนส่วนตัวได้ ระบบรักษาความปลอดภัย ประตูอัตโนมัติ Easy Pass แบ่งช่องทางเข้า-ออกโครงการเป็น 2 ช่อง แยกเป็นของเจ้าของบ้าน และผู้มาเยี่ยมเยือนอย่างชัดเจน เพื่อความปลอดภัยและความสะดวกของผู้อยู่อาศัย เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการครบครัน อาทิ Club House, Co-Working Space, Swimming Pool, Jacuzzi, Fitness, สวนส่วนกลาง, ลานบาสเก็ตบอล, ลานหินนวดเท้า, กล้อง CCTV, บัตรเข้าออก Easy Pass อัตโนมัติ, EV Charger พื้นที่ส่วนกลาง 1 จุดภายในโครงการ และระบบ SOLAR CELL ช่วยเรื่องประหยัดพลังงาน ภายในอาคารสโมสร และไฟส่องสว่างในพื้นที่สวนส่วนกลาง เป็นต้น   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ธนาสิริ เดินแผนปี 66 เปิดขายบ้าน 2-20 ล้าน พร้อมรับร่วมทุนปั้นที่ดิน100ไร่ในภูเก็ต -ธนาสิริ วางเป้า 3 ปี สร้างรายได้ 5,000 ล้าน พร้อมเปิด 3 โปรเจ็กต์ใหม่
AWC  จับมือ โนบุ ผุดโรงแรม Plaza Athenee สร้างแลนด์มาร์กในนิวยอร์ก-กรุงเทพฯ

AWC จับมือ โนบุ ผุดโรงแรม Plaza Athenee สร้างแลนด์มาร์กในนิวยอร์ก-กรุงเทพฯ

AWC เดินหน้าลงทุนหุ้นธุรกิจโรงแรม พลาซ่า แอทธินี นิวยอร์ก พร้อมจับมือแบบเอ็กซ์คลูซีฟกับ โนบุ ฮอสพิทาลิตี้  สร้างโรงแรมระดับไอคอนิก 2 แห่งภายใต้แบรนด์ Plaza Athenee "โรงแรม พลาซ่า แอทธินี โนบุ โฮเทล แอนด์ สปา นิวยอร์ก" และพัฒนาจากอาคาร EAC  เป็น "โรงแรม เดอะ พลาซ่า แอทธินี โนบุ โฮเทล แอนด์ สปา แบงคอก"   นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC เปิดเผยว่า ได้เดินหน้าขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องตามกลยุทธ์สร้างการเติบโต โดยจะเข้าลงทุนหุ้นธุรกิจโรงแรม พลาซ่า แอทธินี นิวยอร์ก และได้ขยายความร่วมมือเชิงกลยุทธ์แบบเอ็กซ์คลูซีฟกับ Nobu Hospitality แบรนด์ไลฟ์สไตล์สุดหรูที่มีการเติบโตรวดเร็วที่สุดในระดับโลก ผสานกับความเชี่ยวชาญของ AWC ด้านการพัฒนาโครงการ เพื่อร่วมสร้างโรงแรมระดับไอคอนิก 2 แห่งภายใต้แบรนด์ Plaza Athenee ได้แก่ 1.โรงแรม พลาซ่า แอทธินี โนบุ โฮเทล แอนด์ สปา นิวยอร์ก (Plaza Athenee Nobu Hotel and Spa New York) ที่จะพัฒนาจากอาคารของโรงแรมพลาซ่า แอทธินี นิวยอร์ก ที่ตั้งอยู่บนทำเลที่ดีที่สุดของแมนฮัตตัน และเป็นหนึ่งในโรงแรมที่ดีที่สุดของมหานครนิวยอร์กต่อเนื่องเกือบศตวรรษ โดยมีมูลค่าการลงทุนหุ้นในธุรกิจโรงแรม พลาซ่า แอทธินี นิวยอร์ก จำนวน 7,789 ล้านบาท   โดยการลงทุนหุ้นในธุรกิจโรงแรม พลาซ่า แอทธินี นิวยอร์กครั้งนี้ เป็นไปตามกลยุทธ์สร้างการเติบโต และสร้างกระแสเงินสดให้กับบริษัทอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน โดยได้รับการพิจารณาเห็นชอบจากคณะกรรมการของบริษัท และอยู่ในขั้นตอนการขออนุมัติจากผู้ถือหุ้น ซึ่ง AWC เชื่อมั่นว่าการลงทุนในโครงการแฟลกชิปครั้งนี้จะส่งเสริมการเติบโตให้กับองค์กรอย่างยั่งยืน พร้อมขยายกลยุทธ์การดำเนินงานการสร้างผลประกอบการ และฐานลูกค้าของทางบริษัทฯ ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น   2.โรงแรม เดอะ พลาซ่า แอทธินี โนบุ โฮเทล แอนด์ สปา แบงคอก (The Plaza Athenee Nobu Hotel and Spa Bangkok) ซึ่งจะพัฒนาจากอาคาร EAC (East Asiatique Company) อันทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์อายุกว่าศตวรรษ ตั้งอยู่ในทำเลที่ดีที่สุดริมแม่น้ำเจ้าพระยาในกรุงเทพฯ โดยเป็นการผนึกความพิเศษที่เป็นเอกลักษณ์ของโรงแรมทั้งสองแห่งซึ่งจะพัฒนาจากอาคารที่เปี่ยมไปด้วยคุณค่าทางประวัติศาสตร์ มีความสวยงาม และอยู่ในทำเลที่ตั้งที่ดีที่สุดของเมืองที่เป็นจุดหมายปลายทางของโลก   ทั้งนี้ การลงทุนหุ้นในธุรกิจโรงแรมพลาซ่า แอทธินี นิวยอร์ก ซึ่งเป็นอาคารที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และมีชื่อเสียงยาวนาน ตั้งอยู่ในทำเลที่ดีที่สุดของนิวยอร์ก ได้ให้การต้อนรับบุคคลสำคัญระดับโลกจากนานาประเทศ อีกทั้งยังได้รับรางวัลต่าง ๆ มากมายอย่างต่อเนื่อง จนได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในโรงแรมที่ดีที่สุดในนครนิวยอร์ก อีกทั้งยังเป็นทรัพย์สิน Freehold ที่ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพสุดพิเศษของเมือง ทำให้การลงทุนครั้งนี้เป็นโอกาสก้าวสำคัญของ AWC ในการนำศักยภาพด้านการพัฒนาโครงการระดับโลกของบริษัทไปสู่ตลาดที่มีความมั่นคงสูง เพื่อเสริมการเติบโตของบริษัทฯ อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน   นอกจากนี้ AWC ยังมีความร่วมมือในระยะยาวกับพันธมิตรอย่าง Nobu Hospitality ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ได้รับรางวัลแบรนด์ที่ดีที่สุดในสหรัฐอเมริกา มีฐานลูกค้าขนาดใหญ่ที่มีกำลังซื้อสูง และยังมีวิสัยทัศน์ด้านธุรกิจและการพัฒนาอย่างยั่งยืนร่วมกัน ที่จะร่วมสร้างคุณค่าให้กับโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับแฟลกชิปของ AWC ในกรุงเทพฯ และนครนิวยอร์กภายใต้แบรนด์ Plaza Athenee ซึ่งจะรวมเอาความพิเศษของแบรนด์ Plaza Athenee ที่มีความหรูหราแบบตะวันตกอย่างเป็นเอกลักษณ์ มาผสานกับการมอบประสบการณ์แบบโมเดิร์นลักซ์ชูรี่วัฒนธรรมมินิมอลตะวันออกของแบรนด์ไลฟ์สไตล์อย่าง Nobu ได้อย่างลงตัว AWC เชื่อมั่นว่าความร่วมมือครั้งนี้ จะสร้างมิติใหม่ให้กับอุตสาหกรรมโรงแรมและการบริการระดับลักซ์ชูรี่ โดยโรงแรมทั้งสองแห่งมีกำหนดเปิดให้บริการในปี 2569 AWC X โนบุ ผุด 2 โรงแรมนิวยอร์ก-กรุงเทพฯ ด้านนาย เทรเวอร์ ฮอร์เวลล์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Nobu Hospitality กล่าวว่า โรงแรม พลาซ่า แอทธินี โนบุ โฮเทล แอนด์ สปา นิวยอร์ก ได้รับการพัฒนามาจากโรงแรม Plaza Athenee ซึ่งเป็นอาคารอันทรงคุณค่าประวัติศาสตร์ที่มีอายุเกือบร้อยปี ตั้งอยู่ในย่าน Upper East Side บนถนน 64 ระหว่างถนนปาร์ค อเวนิว และถนนเมดิสัน อเวนิว ซึ่งเป็นย่านที่พักอาศัยระดับไฮเอนด์ ใกล้สวนสาธารณะ Central Park พิพิธภัณฑ์ สถานกงสุล และแหล่งช้อปปิ้งชั้นนำ โดยมีดีไซน์ที่เป็นการผสมผสานวัฒนธรรมความหรูหราของตะวันตกจากแบรนด์ Plaza Athenee เข้ากับสไตล์โมเดิร์นลักซ์ชูรี่ที่รวมความเรียบง่ายแบบญี่ปุ่นอย่างลงตัว   นอกจากนี้ โรงแรมยังตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ที่ได้รับการออกแบบมาโดยเฉพาะ รวมถึงงานศิลปะจากเหล่าศิลปินที่มีชื่อเสียง ประกอบไปด้วยห้องพักจำนวน 145 ห้อง พร้อมด้วยห้องอาหารสไตล์โอมากาเสะ และ Nobu Bar and Lounge ที่ออกแบบขึ้นเพื่อดึงดูดผู้ที่มีชื่อเสียง คนในพื้นที่ และแขกผู้มาเยือน รวมถึงมีรู๊ฟท็อปสำหรับจัดงานปาร์ตี้แบบส่วนตัวที่สามารถชมวิวแบบพาโนรามาของนิวยอร์กซิตี้ พร้อมทั้งออนเซ็นญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม สปา และศูนย์สุขภาพ นอกจากนี้ยังมีห้องสวีทที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวด้วยเฉลียงกระจกทั้งในส่วนพื้นที่ร่มและกลางแจ้ง รวมไปถึงเรสซิเดนท์ที่มีเอกลักษณ์พร้อมด้วยการบริการแบบเอ็กซ์คลูซีฟ โดยทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพิเศษให้มหานครนิวยอร์ก เพื่อต้อนรับนักเดินทางระดับชั้นนำจากทั่วทุกมุมโลก   ในขณะที่โรงแรม เดอะ พลาซ่า แอทธินี โนบุ โฮเทล แอนด์ สปา แบงคอก จะถูกพัฒนาจากอาคารที่สวยงาม มีเสน่ห์อายุกว่าศตวรรษของบริษัทอีสต์เอเชียติก (EAC) ตั้งอยู่ในทำเลที่ดีที่สุดริมแม่น้ำเจ้าพระยา ก่อตั้งขึ้นปี 2427 โดยกัปตัน Hans Niels Andersen นักเดินเรือชาวเดนมาร์ก โดยโรงแรมจะยังคงอนุรักษ์โครงสร้างและศิลปะดั้งเดิมของอาคาร เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวประวัติศาสตร์อันรุ่งโรจน์ให้ทุกคนสามารถเข้าถึงและภาคภูมิใจในพื้นที่ประวัติศาสตร์แห่งนี้ พร้อมทั้งสร้างคุณค่าในระยะยาวและยั่งยืนให้ชุมชนโดยรอบ   โดยโรงแรมแห่งนี้จะมีความคลาสสิกสไตล์ลักซ์ชูรี่ริมสายน้ำ นำเสนอความเชี่ยวชาญด้านอาหารและเครื่องดื่มและการบริการอันเป็นเลิศ พร้อมสร้างปรากกฎการณ์ที่ไม่เคยมีที่ไหนมาก่อนผ่านการเชื่อมต่อประสบการณ์รูปแบบใหม่ของประวัติศาสตร์จากอดีตสู่ปัจจุบัน ผ่านเรื่องราวของเมืองและอาคารอันทรงคุณค่า สู่ไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ พร้อมมีสายน้ำเจ้าพระยาเชื่อมต่อโครงการริมน้ำต่างๆ ของ AWC ที่มอบความประทับใจให้แก่ผู้เข้าพัก ภายใต้แนวคิด “The River Journey” ควบคู่การเชื่อมต่อวัฒนธรรมอันทรงคู่ค่าของตะวันตกและตะวันออก สร้างมิติใหม่ให้กับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว รวมถึงยังช่วยเสริมเสน่ห์ให้กับกรุงเทพฯ ในฐานะจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวระดับโลก   การลงนามสานต่อความร่วมมือเปิดตัวโรงแรมครั้งนี้ เป็นไปตามการลงนามแบบเอ็กซ์คลูซีฟเมื่อเดือนกรกฎาคมปี 2565 ที่ผ่านมาระหว่าง AWC และ Nobu Hospitality เพื่อพัฒนาโครงการในประเทศไทย พร้อมเปิดโรงแรมและร้านอาหารภายใต้แบรนด์ Nobu แห่งแรกในไทย ที่จะตั้งอยู่ชั้นบนสุดของอาคาร “เอ็มไพร์” อาคารสำนักงานแนวไลฟ์สไตล์แฟล็กชิพของ AWC ซึ่งตั้งอยู่ในย่านธุรกิจสำคัญใจกลางกรุงเทพฯ   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -AWC ประกาศ Q1/2566  กำไร 1,422 ล้าน ผลการใช้กลยุทธ์ GROWTH-LED -[PR News] AWC จับมือ Accor เตรียมขยายโรงแรมกว่า 1,000 ห้อง
[PR News] พฤกษา ลุย เปิด “เดอะแพลนท์ ซิตี้ ดอนเมือง-พหลโยธิน 2”   

[PR News] พฤกษา ลุย เปิด “เดอะแพลนท์ ซิตี้ ดอนเมือง-พหลโยธิน 2”   

เดอะแพลนท์ ซิตี้ ดอนเมือง-พหลโยธิน ยังเป็นสุดยอดทำเลที่น่าลงทุน พฤกษา ลุยเปิดโครงการ เดอะ แพลนท์ ซิตี้ ดอนเมือง-พหลโยธิน 2 เฟส 2 อาคารพาณิชย์หน้ากว้าง ตอบรับกำลังซื้อที่ร้อนแรง หลังจากยอดขายเฟสแรกถล่มทะลายหมดภายในวันเดียว มั่นใจทำเลดีและพื้นที่ใช้สอยที่มากกว่า จะทำให้เฟส 2 ขายหมดภายในวันพรีเซล   นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า ได้เปิดโครงการเดอะแพลนท์ ซิตี้ ดอนเมือง-พหลโยธิน 2 เนื่องจากกระแสตอบรับที่ดีของเฟส 1 โดยโครงการในเฟส 2 มีจำนวน 31 ยูนิต เป็นโครงการอาคารพาณิชย์ 3.5 ชั้น เริ่มต้น 25 ตารางวา มีพื้นที่ใช้สอยมากถึง 256 – 272 ตร.ม. รองรับเทรนด์การอยู่อาศัยด้วย Solar Rooftop และรองรับการติดตั้ง EV Charger ทุกหลัง เปิดตัวในราคาพิเศษเพียง 7.39 ล้านบาท เดอะแพลนท์ ซิตี้ ดอนเมือง-พหลโยธิน 2 เป็นเฟสสุดท้ายแล้ว จึงเป็นโอกาสอันดีสำหรับผู้ที่กำลังมองหาอาคารพาณิชย์ทำเลเยี่ยม พื้นที่ใช้สอยกว้างขวาง เหมาะสำหรับการลงทุน ทำออฟฟิศ หรือทำร้านค้า เรามั่นใจว่าเฟส 2 นี้จะสามารถปิดการขายได้ภายในวันพรีเซลวันที่ 24 มิถุนายน 2566     เดอะ แพลนท์ ซิตี้ ดอนเมือง-พหลโยธิน 2 ตั้งอยู่บนทำเลที่น่าลงทุน การเดินทางสะดวกสบาย ห่างจากถนนพหลโยธินเพียง 100 ม. ใกล้แหล่งอำนวยความสะดวกและย่านธุรกิจมากมาย รวมถึงพลัมคอนโด พหลโยธิน 89 คอนโดของพฤกษาซึ่งมีลูกค้าอาศัยอยู่กว่า 5,000 ยูนิต ถือเป็นชุมชนขนาดใหญ่ นอกจากนี้ โครงการยังมีพื้นที่ใช้สอยมากกว่าอาคารพาณิชย์ทั่วไป โดยมีหน้ากว้างถึง 5.9 เมตร รองรับการทำธุรกิจที่หลากหลาย ด้วยจุดเด่นเหล่านี้ ทำให้การเปิดตัวโครงการเฟส 1 ได้รับการตอบรับที่ดีมาก สามารถปิดการขายได้ภายในวันเดียว   สำหรับ เดอะแพลนท์ซิตี้ ดอนเมือง-พหลโยธิน 2 ทำเลเชื่อมต่อดอนเมือง โทลล์เวย์ ถนนวิภาวดี-รังสิต ใกล้รถไฟฟ้าสายสีแดง  แมคโครรังสิต ตลาดสี่มุมเมือง ตลาดรังสิต ไทวัสดุ  เซียร์รังสิต ฟิวเจอร์พาร์ครังสิต โรงพยาบาลแพทย์รังสิต มหาวิทยาลัยรังสิต   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -[PR News] พฤกษา โฮลดิ้งโชว์ปี 65 กำไรโต 18% เตรียมผุดศูนย์สุขภาพ -พฤกษา โชว์ Q3/65 ทำกำไรโต 87% เดินหน้าลุยธุรกิจเฮลท์เทค-โซเชียล คอมเมิร์ส 
เดอะ ฟอเรสเทียส์ เผยโฉม ‘แฮปปี้แทท’ จุดหมายแห่งใหม่ของความสุขเหนือจินตนาการ

เดอะ ฟอเรสเทียส์ เผยโฉม ‘แฮปปี้แทท’ จุดหมายแห่งใหม่ของความสุขเหนือจินตนาการ

เดอะ ฟอเรสเทียส์ เผยโฉม ‘แฮปปี้แทท’ – Themed Destination of Happiness จุดหมายแห่งใหม่ของความสุขเหนือจินตนาการ ตอบโจทย์หลายเจเนอเรชั่น ด้วยหลากหลายกิจกรรม เชื่อมประสบการณ์โลกจริง และโลกเสมือนเข้าด้วยกันในที่เดียว   “เรากำลังยกระดับการพัฒนาโครงการที่เป็นจุดหมายขึ้นไปอีกขั้น และกำลังสร้างสรรค์ประสบการณ์โลกจริงกับโลกเสมือนที่ไม่เคยมีที่ไหนมาก่อน”    “เราอยากให้แฮปปี้แทท ในเดอะ ฟอเรสเทียส์ เป็นที่ที่อยู่ในใจของผู้คน – เป็นที่ที่จะสร้างความทรงจำดีๆ ไม่รู้ลืมให้กับผู้คน และกลับมาเยือนเรื่อยๆ มากี่ครั้ง ก็ยังรู้สึกตื่นเต้นเหมือนกับครั้งแรกที่มา”    “แฮปปี้แททจะเป็นที่ที่มีมนต์เสน่ห์ เต็มไปด้วยช่วงเวลาเซอร์ไพรส์ เป็นที่ที่สร้างความสุขให้กับคนทุกวัย” นางสาวอรดา เกิดหงษ์ ประธานผู้อำนวยการ Storied Place, MQDC     MQDC (บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด) ผู้พัฒนาโครงการเมือง ‘เดอะ ฟอเรสเทียส์’ ซึ่งมีพื้นที่ 398 ไร่ เปิดเผยว่า เตรียมสร้างสรรค์ Themed Destination of Happiness ในเดอะ ฟอเรสเทียส์ เพื่อเป็นจุดหมายแห่งความสุขแห่งใหม่ โดยใช้ชื่อว่า ‘แฮปปี้แทท’ ซึ่งจะเป็นจุดหมายแห่งแรกที่เชื่อมประสบการณ์บนโลกจริงกับโลกเสมือนเข้าด้วยกัน ครอบคลุมพื้นที่ที่กว้างใหญ่ เพื่อให้ผู้คนได้สัมผัสกับมิติใหม่ของประสบการณ์ในเดอะ ฟอเรสเทียส์ นางสาวอรดา เกิดหงษ์ ประธานผู้อำนวยการ Storied Place, MQDC เปิดเผยว่า “เรากำลังสร้างปรากฏการณ์ใหม่ที่แฮปปี้แทท เป็นปรากฏการณ์ที่ยกระดับการพัฒนาจุดหมาย หรือ Destinationไปอีกขั้น แฮปปี้แททจะเป็นที่ที่ผู้คนอยากกลับมาเที่ยวอยู่เรื่อยๆ เพราะทุกครั้งที่มา จะได้เจอกับประสบการณ์ใหม่ๆ เสมอ จากกิจกรรมในร่มและกลางแจ้งที่มีตลอดทั้งปี และกิจกรรมรองรับไลฟ์สไตล์หลากหลาย ซึ่งในอนาคต หลายๆ มิติของแฮปปี้แททจะผสมผสานเชื่อมโยงกับโลกเสมือน โดยเป้าหมายของเราคือการทำให้ผู้คนรู้สึกตื่นเต้น มีความสุข กับทุกสิ่งอย่างที่ได้สัมผัส ในทุกครั้งที่มาเยือน เหมือนกับความรู้สึกครั้งแรกที่ได้มา ไม่ว่าจะมาทำกิจกรรมอะไร แต่ขณะเดียวกันก็มีความรู้สึกอบอุ่น สบายใจ และคุ้นเคยด้วย” “นั่นคือเหตุผลที่เราเรียกที่นี่ว่า แฮปปี้แทท ซึ่งมาจากคำว่า Habitat กับ Happiness ประกอบเข้าด้วยกัน” นางสาวอรดา กล่าว     ในพื้นที่เกือบ 60 ไร่ของแฮปปี้แทท ประกอบไปด้วยพื้นที่ป่า ที่อยู่ใจกลางเดอะ ฟอเรสเทียส์ พื้นที่สวนต่างๆ และโถงทางเดินสำหรับขบวนพาเหรด ร้านค้า ร้านขายอาหารและเครื่องดื่ม ร้านให้บริการต่างๆ สารพัดนับร้อยๆ ร้าน ศูนย์การเรียนรู้ ความบันเทิง สถานที่ทำกิจกรรมทางวัฒนธรรมและสังคม มาร์เก็ตต่างๆ และพิพิธภัณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ รวมถึงพื้นที่สำนักงาน โดยแฮปปี้แททประกอบไปด้วย 3 อาคาร พื้นที่ใช้สอยรวมกันประมาณ 211,000 ตารางเมตร นางสาวอรดากล่าวว่า MQDC ทำงานกับผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียงมากที่สุดระดับโลกในด้านการวางแผนพัฒนาโครงการที่เป็นจุดหมายแห่งความสุข และด้านความบันเทิง เพื่อร่วมกันทำมาสเตอร์แพลนของ แฮปปี้แทท “มาสเตอร์แพลนของแฮปปี้แทท จะนำพาผู้มาเยือนให้เคลื่อนจากถนนใหญ่ เข้าสู่ทางเข้าของเดอะ ฟอเรสเทียส์ จากภูมิทัศน์เมืองและวิถีชีวิตแบบในเมือง ค่อยๆ ผ่านเข้าไปพบกับความเงียบสงบของธรรมชาติ ณ ป่าขนาด 30 ไร่ เป็นการเดินทางที่เติมเต็มชีวิต จาก ‘เมืองใหญ่ที่พลุกพล่าน’ ไปสู่ ‘ธรรมชาติที่เหนือธรรมดา’”     นางสาวอรดากล่าวว่า การเดินเคลื่อนจากชีวิตในเมือง เข้าไปกลางผืนป่าใหญ่ จะผ่านเส้นทางที่มีประสบการณ์มหัศจรรย์มากมายรอรับตลอดเส้นทาง ผู้มาเยือนสามารถเลือกที่จะเพลิดเพลินแบบอิ่มเอมเดินรวดเดียวต้นจนจบ หรือจะปล่อยใจค่อยๆ แวะพัก เพลิดเพลินตามจุดต่างๆ ตลอดเส้นทางก็ทำได้  รวมทั้งสามารถเข้าออกจากการเดินแวะพักที่จุดต่างๆ จากจุดใดก็ได้ นอกจากนั้น ในอนาคตยังจะเสริมด้วยประสบการณ์อันหลากหลายของโลกเสมือน เพื่อทำให้การเดินทางนอกจากจะมีความสนุกสนานแล้ว ยังได้ความรู้ ตลอดจนสร้างโอกาสทางการค้าให้ผู้ร่วมรังสรรค์แฮปปี้แทท ให้สามารถเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ ด้วยผลิตภัณฑ์และบริการที่หลากหลายมากขึ้นด้วย”     หนึ่งในบทบาทสำคัญที่สุดของแฮปปี้แทท คือเป็นศูนย์กลางที่เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา ของเดอะ ฟอเรสเทียส์ เป็นพื้นที่เชื่อมโยงความสุขของคนทุกเจนเนอเรชั่น ทั้งผู้ที่อาศัยอยู่ในโครงการที่พักอาศัยหลากหลายที่อยู่ในพื้นที่เดอะ ฟอเรสเทียส์ รวมไปถึงผู้คนทั่วไปจากภายนอกโครงการที่มาเยือนที่นี่ มีพื้นที่ทำกิจกรรม 4,000 ตารางเมตรที่จัดสรรให้เป็นโรงละคร หรือพื้นที่กิจกรรมและการแสดง สำหรับสมาชิกหรือลูกบ้านของเดอะ ฟอเรสเทียส์ กลุ่มวัฒนธรรมและนักแสดงอาชีพ ทั้งหลายเหล่านี้มีจุดมุ่งหมายที่จะช่วยสร้างความรู้สึกผูกพันภายในชุมชนและช่วยเปลี่ยนสถานที่ที่ธรรมดาทั่วไป ให้กลายเป็นชุมชนที่คึกคักมีชีวิตชีวา   “เราอยากให้ครอบครัวได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน ซึ่งการจะทำเช่นนั้นได้ เราต้องทำให้สมาชิกทุกคนในครอบครัว ไม่ว่าจะเจเนอเรชั่นไหน สามารถค้นพบกิจกรรมที่ทำได้อย่างมีความสุข สร้างสรรค์และมีประโยชน์แบบไม่จำกัด ทั้งกิจกรรมที่ทำคนเดียว หรือทำด้วยกันกับคนอื่น รวมถึงกิจกรรมที่ทำกับสัตว์เลี้ยงของครอบครัวด้วย”   ไฮไลต์ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของแฮปปี้แทท คือ พื้นที่กิจกรรมที่สามารถรองรับขบวนพาเหรดและกิจกรรมได้ตลอดทั้งปี ซึ่งถือเป็นประสบการณ์เฉพาะตัวของแฮปปี้แทท ที่หาไม่ได้จากที่ไหน โดยหลายกิจกรรมในจำนวนนี้จะสร้างสรรค์ให้เด็กๆ ได้ตื่นตาตื่นใจไปกับมนต์เสน่ห์ของงาน จากการได้พบปะและมีปฏิสัมพันธ์กับตัวละครแฟนตาซีต่างๆ รวมทั้งการได้เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรม   นางสาวอรดากล่าวว่า แฮปปี้แททจะเป็นจุดหมายแห่งแรกในโลกที่รวม 3 องค์ประกอบสำคัญไว้ในที่เดียว เพื่อสร้างโครงการจุดหมายที่ล้ำที่สุด ซึ่ง 3 องค์ประกอบดังกล่าวคือ พื้นที่ อีเวนท์และกิจกรรม และโลกเสมือน “องค์ประกอบแรก คือการมีพื้นที่สวยๆ ให้คนทุกเจเนอเรชั่นและทั้งครอบครัวได้ทำสิ่งต่างๆ ร่วมกัน ทุกวัน ไม่ว่าจะทานอาหาร พักผ่อน ใช้ชีวิต ดูแลสุขภาพสุขภาวะ หรือทำกิจกรรมบันเทิง เรียนรู้ หรือกิจกรรมด้านวัฒนธรรม โดยที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและดีต่อสุขภาพ”   “เราผสานสิ่งต่างๆ เข้าไปในกิจกรรมที่จะจัดขึ้นอย่างต่อเนื่อง บ่อยครั้งและเป็นประจำ โชว์และขบวนพาเหรดต่างๆ ที่มุ่งให้คนทุกวัยรู้สึกทึ่ง ตื่นตาตื่นใจ โดยมีการจัดสิ่งอำนวยความสะดวก ตลอดจนสร้างโอกาสให้ผู้คน เป็นได้มากกว่าผู้ชมกิจกรรม แต่ไปเป็นผู้จัดกิจกรรมเองได้ด้วย หรือมีส่วนร่วมอย่างจริงจังในสิ่งที่คอมมูนิตี้ช่วยกันคิดสร้างสรรค์ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการแสดง เล่นดนตรี หรือกิจกรรมการโชว์สัตว์เลี้ยง เป็นต้น “และองค์ประกอบอย่างที่สามก็คือโลกเสมือน ที่คนทุกวัยสามารถสนุกและเรียนรู้จากประสบการณ์อันหลากหลายของโลกเสมือน หรือแม้กระทั่งการเข้าไปในโลกเสมือนแบบเต็มตัว เพื่อทำกิจกรรม เล่นเกมสันทนาการ ทั้งแบบทำคนเดียว ทำกับสมาชิกทั้งครอบครัว หรือกับสมาชิกคนอื่นๆ ทั้งในโลกจริงและโลกเสมือน ประสบการณ์ต่างๆ เหล่านี้ ซึ่งในอนาคตจะถูกผสมผสานเข้าไปกับหลายๆ จุดในแฮปปี้แทท รวมเข้าไปถึงในพื้นที่ป่า เพื่อให้คนได้เรียนรู้เกี่ยวกับธรรมชาติ และมีปฏิสัมพันธ์กับสรรพสัตว์ต่างๆ ได้ด้วย AR สิ่งเหล่านี้ไม่เคยมีใครทำในสเกลที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้มาก่อน ซึ่งเราลงทุนไม่น้อยเพื่อที่จะทำให้โครงการนี้เกิดขึ้น”   นายกิตติพันธุ์ อุยยามะพันธุ์ ประธานผู้อำนวยการโครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ โดย MQDC เปิดเผยว่า โครงการแฮปปี้แททเฟสแรก ใช้เงินลงทุนมากกว่า 20,000 ล้านบาท   “ที่เราลงทุนขนาดนี้ เพราะแฮปปี้แททเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้เดอะ ฟอเรสเทียส์ บรรลุเป้าหมายตามคำมั่นของการเป็นเมืองที่สร้างขึ้นอย่างมุ่งเน้นส่งเสริมการมีชีวิตที่มีความสุขและสุขภาพดี แฮปปี้แททถือเป็นองค์ประกอบหลักที่จะช่วยเชื่อมชุมชนเดอะ ฟอเรสเทียส์ และทำให้ครอบครัวใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น เป็นไปตามเป้าหมายของเราที่จะสร้างชุมชน ที่ไม่ใช่แค่สะอาด ร่มรื่น เป็นระเบียบเรียบร้อยเท่านั้น แต่ยังเป็นชุมชนที่มีความสุข สนุกสนานและเต็มไปด้วยชีวิตชีวา” นายกิตติพันธุ์กล่าวว่า การก่อสร้างและเตรียมการอื่นๆ สำหรับแฮปปี้แททคืบหน้าไปแล้วประมาณ 70% คาดว่าผู้เข้าอยู่อาศัยกลุ่มแรกของการเดอะ ฟอเรสเทียส์ จะสามารถย้ายเข้าไปอยู่อาศัยได้ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2567   โครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ ตั้งอยู่บนพื้นที่ 398 ไร่ บริเวณถนนบางนา-ตราด ก.ม.7 นอกจากพื้นที่แฮปปี้แทท ซึ่งเป็น Themed Destination of Happiness แล้ว เดอะ ฟอเรสเทียส์ ยังประกอบไปด้วยโครงการที่พักอาศัยหลากหลายโครงการ โรงแรม 2 แห่ง ศูนย์สุขภาพ และผืนป่าเนื้อที่ 30 ไร่ ณ ใจกลางโครงการ รังสรรค์ 56% ของโครงการให้เป็นพื้นที่สีเขียว โดยพื้นที่ประมาณ 70% ก็ร่มรื่นเต็มไปด้วยต้นไม้   สำหรับโครงการที่อยู่อาศัยอื่นๆ ในเดอะ ฟอเรสเทียส์ก็ประกอบไปด้วยโครงการซิกส์เซนส์ เรสซิเดนซ์ ซึ่งเป็นซิกส์เซนส์ เรสซิเดนซ์แห่งแรกที่สร้างในประเทศไทย, มัลเบอร์รี่ โกรฟ เดอะ ฟอเรสเทียส์ วิลล่า ซึ่งประกอบไปด้วยบ้านคลัสเตอร์โฮมเชื่อมต่อกัน ที่เปิดโอกาสให้คนต่างเจเนอเรชั่นของครอบครัวเดียวกันได้อาศัยอยู่ใกล้ชิดกัน ในบ้านคนละหลังอย่างเป็นส่วนตัว มัลเบอร์รี่ โกรฟ เดอะ ฟอเรสเทียส์ คอนโดมิเนียม ซึ่งการออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ที่คล้ายกันกับวิลล่า คอนโดมิเนียมแบรนด์ วิสซ์ดอม ที่ประกอบด้วยอาคารสูง 3 อาคาร ออกแบบให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคนวัยเริ่มทำงาน คู่ชีวิตที่สร้างครอบครัวใหม่ และมีหนึ่งอาคารที่ออกแบบสำหรับคนรักสัตว์โดยเฉพาะ ที่อยู่อาศัย ดิ แอสเพน ทรี คอนโดมิเนียมและสกายวิลล่า ซึ่งมีจุดเด่นอยู่ที่การส่งมอบบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อการดูแลผู้พักอาศัยอย่างครบวงจรตลอดชีวิต   เมื่อเร็วๆ นี้ เดอะ ฟอเรสเทียส์ได้เปิดตัวที่พักอาศัยใหม่ ชื่อ เดอะ ฟอเรสเทียส์ ซิกเนเจอร์ ซีรีส์ออกแบบสำหรับคนที่ชื่นชอบอยู่อาศัยในคอนโดที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ ในเมือง ขณะเดียวกันก็ต้องการอยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ โดยโครงการมีทั้งหมด 122 ยูนิต ทุกยูนิตสามารถมองเห็นวิวป่าได้แบบพาโนรามา   บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เดอะ ฟอเรสเทียส์ เปิดตัวโครงการใหม่ล่าสุด ‘ซิกเนเจอร์ ซีรีส์’ ที่อยู่อาศัยหรูใกล้ชิดธรรมชาติ คืบหน้า ‘ทาวน์ เซ็นเตอร์’ ในเดอะ ฟอเรสเทียส์ ตั้งเป้าเปิดส่วนแรกปลายปี พ.ศ. 2566 Mulberry Grove The Forestias Villas บ้านคลัสเตอร์ แนวคิดใหม่เพื่อความสุขที่เพิ่มขึ้นของทุกเจเนอเรชั่นในครอบครัว  
เอ็นริช  ลุยตลาดบ้านเดี่ยวซุปเปอร์ลักซ์ชัวรี่  เปิด ARCH Sukhumvit 39 ใจกลางสุขุมวิท

เอ็นริช ลุยตลาดบ้านเดี่ยวซุปเปอร์ลักซ์ชัวรี่ เปิด ARCH Sukhumvit 39 ใจกลางสุขุมวิท

เอ็นริช เดินหน้าพัฒนาโครงการบ้านระดับซุปเปอร์ลักซ์ชัวรี่ “ARCH Sukhumvit 39” มูลค่า 835 ล้านบาท บนทำเลหรู สุขุมวิท 39 ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยแบบลักชัวรี่ ภายใต้แนวคิด Guiding You to Practical Living  เพียง 12 หลัง   นางสาวสุพิชา ณัฐสุวรรณพล ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารธุรกิจ กลุ่มบริษัทเอ็นริช เปิดเผยว่า หลังจากกลุ่มบริษัทเอ็นริช ประสบความสำเร็จจากการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย ทั้งในกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตก อาทิ โครงการ THE MARQ Exquisite ราชพฤกษ์-จรัญสนิทวงศ์ บ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี่ ซึ่งเป็นการร่วมมือกันพัฒนาโครงการระหว่างกลุ่มบริษัทเอ็นริช กับบริษัท ไซบุแก๊ส โฮลดิ้ง จำกัด (Saibu Gas Holdings Co.,Ltd.) ยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งก่อตั้งมานานกว่า 90 ปี ที่เลือกลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับคุณภาพทั่วโลก   โดยโครงการมีการออกแบบพื้นที่ใช้สอยในบ้านผสานแนวคิดการจัดบ้านแบบ "คอนมาริ" ในสไตล์ มาริเอะ คอนโดะ ร่วมกับตัวแทนที่ปรึกษาระดับมาสเตอร์ ควบคู่กับการการออกแบบทางสถาปัตยกรรมที่สวยงาม ตอบรับกับการอยู่อาศัยของทุกคนในครอบครัว ส่งผลให้โครงการประสบความสำเร็จ และสามารถปิดโครงการได้ภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว และด้วยความสำเร็จจากโครงการ  THE MARQ Exquisite ราชพฤกษ์-จรัญสนิทวงศ์ ทางบริษัท ไซบุแก๊ส ก็ยังคงเชื่อมั่น และร่วมพัฒนาโปรเจกต์กับเอ็นริชในโครงการ ARCH Sukhumvit 39   นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทเอ็นริช ยังพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยรูปแบบต่างๆ อาทิ บ้านเดี่ยว ทาวน์โฮมคอนโดมิเนียม ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด อย่างเช่น ดุสิตดีทู เรสซิเดนเซส หัวหิน อีกทั้งยังกวาดรางวัลระดับนานาชาติมามากมาย อาทิ Asia Pacific Property Awards และ Thailand Property Award เป็นเครื่องยืนยันได้ถึงความมุ่งมั่นที่จะเป็นเลิศในการพัฒนาที่อยู่อาศัย ที่ตอบสนองทั้งรูปแบบสถาปัตยกรรม และฟังก์ชันการใช้งาน โดยการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ของกลุ่มบริษัทเอ็นริช มุ่งเน้นการสร้างความแตกต่างของการอยู่อาศัย ภายใต้แนวคิดหลัก คือ  Guiding You to Practical Living ที่เริ่มต้นจากการทำความเข้าใจรูปแบบการใช้ชีวิต รับฟังความต้องการจากผู้อยู่อาศัยจริง รวมทั้งนำไลฟ์สไตส์มาผสานกับนวัตกรรม ที่เอื้ออำนวยต่อวิถีชีวิตยุคใหม่ มาพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อส่งมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า รวมถึงการพัฒนาที่ให้ความสำคัญในเรื่องของความงามทางสถาปัตยกรรม และสุนทรียะในการใช้ชีวิต จึงทำให้โครงการมีความโดดเด่น และสอดรับกับเทรนด์การอยู่อาศัยในปัจจุบันสำหรับทุกคนในครอบครัว นางสาวสุพิชา กล่าวอีกว่า จากความสำเร็จของการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยระดับลักซ์ชัวรี่ต่าง ๆ ที่ผ่านมา รวมถึงแนวคิดการพัฒนาโครงการ ที่มุ่งเน้นการเติมเต็มทุกประสบการณ์การอยู่อาศัยให้เหมาะสม และลงตัวที่สุด บริษัทจึงเดินหน้าพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่อง โดยประกาศความพร้อมกับโครงการระดับซุปเปอร์ลักซ์ชัวรี่ บนทำเลที่ดีที่สุดของถนนสุขุมวิทภายใต้ชื่อ “ARCH Sukhumvit 39”   สำหรับโครงการ ARCH Sukhumvit 39 พัฒนาเป็นโครงการบ้านระดับซุปเปอร์ลักซ์ชัวรี่ ด้วยดีไซน์แบบ Modern Classic เน้นการออกแบบรูปทรง ARCH ทำให้โครงการโดดเด่น มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว บนที่ดิน 2 ไร่ จำนวน 12 หลัง พื้นที่ใช้สอย 535-839 ตร.ม. ขนาด 4-5 ห้องนอน และที่จอดรถ 4-6 คัน* พร้อมลิฟต์ส่วนตัว ในราคาเริ่มต้น 65 ล้านบาท* โดยมีกำหนดเปิดตัวอย่างเป็นทางการเดือนกรกฎาคม 2566 นี้ เราใส่ใจเรื่องทำเลของโครงการที่เราจะพัฒนาเป็นอันดับต้นๆ เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการเดินทาง และแวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ซึ่งโครงการ ARCH Sukhumvit 39 อยู่ในทำเลที่เป็น CBD  ของกรุงเทพฯ ที่นับวันยิ่งหายากขึ้นเรื่อย ๆ สำหรับพื้นที่โดยรอบโครงการ ได้รับการพัฒนาจนพรั่งพร้อมด้วยแหล่งอำนวยความสะดวก ที่ทำให้การใช้ชีวิตสะดวกและง่ายดาย อาทิ  บีทีเอสพร้อมพงษ์ ศูนย์การค้าเอ็มโพเรียม เอ็มควอเทียร์ ซึ่งเป็นแหล่งช้อปปิ้งและไลฟ์สไตล์ระดับโลก รวมถึงโครงการเอ็มสเฟียร์ที่กำลังจะเปิดให้บริการในช่วงปลายปี 2566 ซึ่งโครงการต่าง ๆ ดังกล่าวมีระยะห่างจากโครงการระยะเดินทางเพียง 10 นาทีเท่านั้น นอกจากนี้โครงการ ARCH Sukhumvit 39 ยังมีเส้นทางลัดเชื่อมต่อไปย่านทองหล่อ-เอกมัย ย่านไลฟสไตล์คนเมือง หรือย่านอโศก ย่านธุรกิจสำคัญได้อย่างง่ายดาย และยังตั้งอยู่ใกล้กับโรงพยาบาลชั้นนำ อย่าง โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท ใกล้โรงเรียนที่มีชื่อเสียงระดับประเทศและโรงเรียนนานาชาติอีกด้วย   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เอ็นริช ทุ่ม 1,500 ล้านบาท ผุดโครงการคอนโดมิเนียม-โรงแรม ใจกลางเมืองหัวหิน ภายใต้แบรนด์ “ดุสิตดีทู”
วัน ออริจิ้น เตรียมขายหุ้น IPO ระดมทุนกว่า 702 ล้านหุ้น ลุยธุรกิจโรงแรม-บริการ

วัน ออริจิ้น เตรียมขายหุ้น IPO ระดมทุนกว่า 702 ล้านหุ้น ลุยธุรกิจโรงแรม-บริการ

วัน ออริจิ้น หรือ ONEO ยื่นไฟลิ่ง ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เตรียมเสนอขายหุ้น IPO ไม่เกิน 702,800,000 หุ้น ชูโมเดลธุรกิจสร้างรายได้ประจำอย่างต่อเนื่อง และกระจายตัวจาก 4 กลุ่มธุรกิจหลัก ธุรกิจโรงแรมและบริการ​ ธุรกิจพื้นที่ค้าปลีกและอาคารสำนักงาน กลุ่มธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่ม และธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง    นายปิติ จารุกำจร ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด (มหาชน) (“ONEO”) เปิดเผยว่า ONEO บริษัทในกลุ่มบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร โดย ONEO มีธุรกิจครอบคลุม 4 กลุ่มหลัก ซึ่ง ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2566 ได้แก่ กลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ (Hospitality) ซึ่งรวมถึงโรงแรม และเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ (Serviced Apartment) ซึ่งได้เปิดดำเนินการแล้ว 7 โครงการ มีห้องพักรวมจำนวน 1,579 ห้อง และอยู่ระหว่างการพัฒนารอเปิดดำเนินการ 12 โครงการ มีห้องพักรวมประมาณ 4,343 ห้อง กลุ่มธุรกิจพื้นที่ค้าปลีกและอาคารสำนักงาน (Retail and Office Building) หรือกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ มีพื้นที่ค้าปลีก (Community Mall) เปิดดำเนินการแล้ว 1 โครงการ พื้นที่เช่าสุทธิรวม 2,053 ตารางเมตร และอยู่ระหว่างการพัฒนารอเปิดดำเนินการ 4 โครงการ พื้นที่เช่าสุทธิรวมประมาณ 16,720 ตารางเมตร นอกจากนี้ยังมีอาคารสำนักงานรอเปิดดำเนินการ 2 แห่ง พื้นที่เช่าสุทธิรวมประมาณ 59,869 ตารางเมตร กลุ่มธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่ม 5 ร้าน อยู่ระหว่างรอเปิดดำเนินการอีก 4 ร้าน และ ธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งรวมถึงการให้บริการด้านการบริหารโครงการในกลุ่มธุรกิจของ ONEO จำนวน 12 บริษัท และการบริหารจัดการโปรแกรมการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ (Investment Property) หรือโปรแกรมแฮมป์ตัน จำนวน 7 โครงการ โดยในส่วนของโปรแกรมแฮมป์ตันอยู่ระหว่างรอดำเนินการอีก 6 โครงการ ทั้งนี้ เพื่อยกระดับคุณภาพการใช้ชีวิตของผู้บริโภคแบบครบวงจร ทำให้ ONEO มีรายได้กระจายตัวจาก 4 กลุ่มธุรกิจหลักดังกล่าว และมีฐานลูกค้าที่หลากหลายพื้นที่ทั้งแหล่งท่องเที่ยวหลักในประเทศไทย อาทิ กรุงเทพฯ ภูเก็ต กระบี่ หัวหิน และในพื้นที่ใกล้นิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ Eastern Economic Corridor (“EEC”) ที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจค่อนข้างสูง ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร กล่าวอีกว่า บริษัทมีวิสัยทัศน์ที่จะเป็นผู้นำกลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และการบริการ ด้วยความมุ่งมั่นและสร้างสรรค์ เพื่อตอบสนองทุกความต้องการของลูกค้า ตลอดจนการสร้างผลตอบแทนที่เติบโตอย่างยั่งยืน ต่อผู้ลงทุน ควบคู่กับการดูแลพนักงาน พันธมิตร และรับผิดชอบต่อสังคม ล่าสุด ONEO ได้แต่งตั้งธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และได้ยื่นแบบคำขออนุญาตออกและเสนอขายหลักทรัพย์ และร่างแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (แบบไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน (IPO) จำนวน 702,800,000 หุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็นจำนวนไม่เกินร้อยละ 26.0 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของ ONEO   ภายหลังเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนครั้งนี้ แบ่งเป็น หุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 675,668,000 หุ้น หุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายแก่กรรมการ ผู้บริหาร และ/หรือพนักงานของ ORI และบริษัทย่อยของ ORI จำนวนไม่เกิน 22,701,000 หุ้น รวมทั้งหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 4,431,000 หุ้น ที่เสนอขายแก่กรรมการ ผู้บริหาร และ/หรือ พนักงานของ ONEO และบริษัทย่อยของ ONEO ตามโครงการ ESOP (Employee Stock Option Program) ที่ราคาเดียวกับการเสนอขายประชาชนทั่วไป นอกจากนี้ ONEO มีการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 4,600,000 หุ้น เพื่อรองรับการใช้สิทธิของใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุน (ESOP Warrant) ที่ออกและเสนอขายให้แก่กรรมการ ผู้บริหาร และ/หรือ พนักงานของ ONEO และบริษัทย่อยของ ONEO ตามโครงการ ESOP Warrant ทั้งนี้ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ และการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุน ภายใต้สมมติฐานว่ามีการจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนและการใช้ตามใบสำคัญแสดงสิทธิทั้งจำนวน จะส่งผลให้ ONEO มีทุนชำระแล้วเพิ่มเป็น 1,353,700,000 บาท คิดเป็นจำนวน 2,707,400,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท จากทุนจดทะเบียนที่เรียกชำระแล้ว 1,000,000,000 บาท   โดยวัตถุประสงค์ของการเสนอขายหุ้น IPO ครั้งนี้เพื่อนำไปใช้เป็นเงินทุนสำหรับการพัฒนาโครงการ และ/หรือการขยายธุรกิจ  และเพื่อชำระเงินกู้ยืม รวมทั้งใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับการดำเนินงานของ ONEO   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง  
i-Store กางแผนธุรกิจปี 2566 ขยายสาขาใหม่ พร้อมออกหุ้นกู้รองรับธุรกิจเติบโต

i-Store กางแผนธุรกิจปี 2566 ขยายสาขาใหม่ พร้อมออกหุ้นกู้รองรับธุรกิจเติบโต

i-Store Self Storage กางแผนธุรกิจปี 2566 มุ่งเน้นสร้างการเติบโตต่อเนื่อง เล็งเปิดสาขาเพิ่ม 2 แห่ง รับการขยายตัวอุตสาหกรรม Self-Storage ย่านธุรกิจใจกลางเมือง แก้ปัญหาคนพื้นที่น้อยแต่ของเยอะ เพิ่มบริการตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต ผนึกผู้ถือหุ้นและพันธมิตรธุรกิจ WHA, SME D Bank และ SC Asset ร่วมลงทุนเสริมศักยภาพ ดันรายได้โตตามเป้าหมาย พร้อมยื่นไฟลิ่งหุ้นกู้ อายุ 2 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 6.95% ต่อปี เสนอขายแก่ผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือ ผู้ลงทุนรายใหญ่ มูลค่าหุ้นกู้รวมไม่เกิน 150 ล้านบาท คาดจองซื้อวันที่ 19-21 มิ.ย. 2566 และคาดออกหุ้นกู้วันที่ 22 มิ.ย. 2566   นายภักดี อนิวรรตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สตอเรจ เอเชีย จำกัด (มหาชน) ผู้ดำเนินธุรกิจบริการให้เช่าห้องเก็บของหรือทรัพย์สินส่วนตัว (Self-Storage) ภายใต้เครื่องหมายการค้าแบรนด์ i-Store เปิดเผยว่า ปัจจุบันภาพรวมธุรกิจ Self-Storage ในประเทศไทยมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง สอดคล้องกับตลาดธุรกิจ Self-Storage ในทวีปเอเชียที่ยังมีโอกาสขยายตัว เมื่อเทียบกับตลาด Self-Storage ระดับโลก อาทิ สหรัฐอเมริกา และ ยุโรป ด้วยพฤติกรรมการเลือกที่พักอาศัยในเขตเมืองและมีแนวโน้มของพื้นที่อยู่อาศัยลดลง ประกอบกับตลาดธุรกิจออนไลน์ ส่งผลให้เกิดความต้องการพื้นที่การจัดเก็บสินค้าของกลุ่มลูกค้ามากขึ้น     จากแนวโน้มดังกล่าว บริษัทจึงมีแผนเปิดสาขาใหม่อีก 2 แห่ง ในช่วงครึ่งปีหลัง 2566 ได้แก่ สาขาอุดมสุข และ สาขาอ่อนนุช เพื่อตอบรับไลฟ์สไตล์และความต้องการพื้นที่จัดเก็บสินค้าของคนเมืองที่มีแนวโน้มการอยู่อาศัยของประชากรอย่างหนาแน่น โดยมีจำนวนอสังหาฯแนวสูงในพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของบริษัทประมาณ 150 โครงการ ปัจจุบันบริษัทมีการให้บริการทั้งหมด 4 สาขา ได้แก่ สาขาสีลม อัตราการเช่า 98%, สาขาสุขุมวิท 24 อัตราการเช่า 93%, สาขาสุขุมวิท 71 อัตราการเช่า 57% และ สาขาแห่งใหม่ สาทรวัน เปิดให้บริการเมื่อเดือนเมษายน 2566 อัตราการเช่า 6% และมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยจุดเด่นด้านพื้นที่ให้บริการตั้งอยู่ในย่านเขตเศรษฐกิจใจกลางเมือง (Central Business District หรือ CBD) ที่มีความต้องการพื้นที่เก็บสินค้าทั้งสำนักงานและที่อยู่อาศัยในละแวกสีลม และ สาทร   นอกเหนือจากธุรกิจให้บริการ Self-Storage ที่มีสัดส่วนรายได้ 67.21% บริษัทยังมีการเพิ่มบริการอื่นๆอาทิ i-Store Go Door to Door Storage บริการรับฝากสิ่งของส่วนตัวถึงบ้านผ่านระบบการจัดการแบบออนไลน์ โดยให้บริการทั้งการขนย้าย การบรรจุ (Packing) และจัดเก็บรักษาสิ่งของให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน พร้อมนำส่งคืนให้กับลูกค้าที่สามารถดำเนินการด้วยตนเอง, ธุรกิจออกแบบและติดตั้ง (Self-Storage Design & Construction), การรับจ้างบริหารจัดการพื้นที่ (Storage Management) และ การติดตั้งและจำหน่ายตู้จัดเก็บของ ภายใต้แบรนด์ i-Store ในพื้นที่โครงการคอนโดมิเนียมหรือนิติบุคคลอาคารชุด (License Unmanned Storage)     นอกจากนี้ บริษัทมุ่งเน้นความร่วมมือกับผู้ถือหุ้นและพันธมิตรทางธุรกิจ อาทิ บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) อีกทั้งบริษัทเป็นผู้ให้บริการ Self-Storage แห่งแรกที่กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Investment Trust : REIT) โดยบริษัท ดับบลิวเอชเอ เรียล เอสเตท แมเนจเม้นท์ จำกัด เข้าร่วมลงทุน และ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทยผ่าน “กองทุนร่วมลงทุนในกิจการ SMEs” ตอกย้ำศักยภาพการบริหารธุรกิจที่มีคุณภาพ ผ่านการขยายพื้นที่บริการให้ครอบคลุม และ เพิ่มบริการใหม่ให้ครบครันทุกความต้องการของกลุ่มลูกค้า   “อุตสาหกรรม Self-Storage ในประเทศไทยยังมีโอกาสขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยช่วงที่ผ่านมามีจำนวนธุรกิจให้เช่าพื้นที่เปิดให้บริการเพียง 32 แห่งทั่วประเทศ หรือเทียบเท่าประชากรทั้งประเทศเพียง 1% เท่านั้น บริษัทจึงมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจผ่านการเพิ่มสาขาการให้บริการให้ครอบคลุม ควบคู่ไปกับการสร้างบริการที่สะดวกสบาย มีคุณภาพและราคาเป็นมิตร เสมือนว่า i-Store เป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งในบ้านลูกค้า ตามวัตถุประสงค์ของบริษัทที่มุ่งเน้นการเพิ่มพื้นที่ใช้สอยให้กับคนที่อาศัยอยู่ในเมือง โดยสร้างการเติบโตไปพร้อมกับการขยายตัวของอสังหาฯในย่าน CBD และทำเลคุณภาพต่างๆ ส่งผลให้มีจำนวนอัตราการเช่าต่อสาขาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการมีพันธมิตรทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง จากความมั่นใจในศักยภาพที่ดีของบริษัท คาดว่าจะสามารถสร้างการเติบโตของรายได้ตรงตามเป้าหมาย” นายภักดี กล่าวเพิ่มเติม     ทั้งนี้ บริษัทเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจ โดยยื่นแบบแสดงรายการต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา สำหรับการเสนอขายหุ้นกู้ไม่มีประกันของ บริษัท สตอเรจ เอเชีย จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 1/2566 อายุ 2 ปี ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2568 ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และ มีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ อัตราดอกเบี้ย 6.95% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้ มูลค่าหุ้นกู้รวมไม่เกิน 150 ล้านบาท เสนอขายแก่ กลุ่มผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือ ผู้ลงทุนรายใหญ่ (PP-II&HNW) ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการขออนุมัติจาก ก.ล.ต. คาดว่าจะกำหนดวันจองซื้อในช่วงระหว่างวันที่ 19-21 มิถุนายน 2566 และคาดว่าสามารถออกหุ้นกู้ในวันที่ 22 มิถุนายน 2566         
เอสซี แอสเสท ลุยเปิดคอนโด 10,000 ล้าน ส่งแบรนด์ใหม่ COBEเจาะ 2 ทำเล

เอสซี แอสเสท ลุยเปิดคอนโด 10,000 ล้าน ส่งแบรนด์ใหม่ COBEเจาะ 2 ทำเล

เอสซี แอสเสท  ลุยเปิดคอนโด 3 โครงการ 10,000 ล้าน  พร้อมส่งแบรนด์ใหม่ COBEเจาะ 2 ทำเล และอีก 1 โครงการระดับ Ultra Luxury ที่บริหารโดย SCOPE พร้อม​สร้างแบรนด์ด้วยคุณค่า EVERYBODY’S HIGH-RISE ชูปรัชญาการสร้างคอนโดใส่ใจส่วนตัว-ส่วนกลาง เตรียมขึ้นแท่นแบรนด์คอนโด Top of Mind ในใจผู้บริโภค   นางกนกอร หลิมกำเนิด Chief Operating Officer - Property Development - High Rise บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC เปิดเผยว่า ในปีนี้ SC เตรียมเปิดตัวคอนโดมิเนียมรวม 3 โครงการ มูลค่ารวม 10,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นแบรนด์ใหม่ COBE ใน 2 ทำเล ซึ่งนอกจากดีไซน์การออกแบบที่ทันสมัย และฟังก์ชันการใช้งานที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคแล้ว ยังมีจุดเด่นเรื่องบริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยมและใส่ใจในทุกรายละเอียด การันตีรางวัลความสำเร็จและเสียงชื่นชมจากลูกค้า ภายใต้แนวคิด “คุณภาพต้องมาก่อนปริมาณ หรือ Quality over Quantity” และ อีก 1 โครงการระดับ Ultra Luxury ที่บริหารโดย SCOPE รวมมูลค่า 3 โครงการ 10,000 ล้านบาท” ปัจจุบันตลาดคอนโดส่งสัญญาณฟื้นตัวและมีแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเปิดประเทศของหลายประเทศที่ช่วยให้เศรษฐกิจกลับมาคึกคักอีกครั้ง ผู้บริโภคมีกำลังซื้อและมองหาพื้นที่ที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตให้ตรงความต้องการมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้ชีวิตในเมือง คอนโดเป็นโครงการที่ตอบโจทย์ครบทุกปัจจัยของความน่าอยู่อาศัยและทำเลที่ตั้งที่ผู้บริโภคมองหา SC จึงเตรียมรุกตลาดคอนโดอย่างเต็มตัว ภายใต้ปรัชญาแบรนด์คอนโด SC EVERYBODY’S HIGH-RISE ที่สะท้อนความเข้าใจ Insights ของผู้บริโภคอย่างแท้จริง   นอกเหนือจากนี้ SC Asset ยังวางเป้าหมายก้าวสู่การเป็น Top of Mind แบรนด์คอนโดในใจผู้บริโภคภายในปี 2568 ที่พร้อมส่งต่อคุณค่าสำคัญในการใช้ชีวิตและเติมเต็มไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคเพื่อใช้ชีวิตในแบบตัวเองที่ดีที่สุด EVERYBODY’S HIGH-RISE คือ ปรัชญา และหลักการที่ SC คอนโด ยึดมั่นในการส่งมอบคุณค่าให้ผู้บริโภค เริ่มต้นมาจากการที่ SC Asset เข้าใจถึงความแตกต่างของลูกค้าที่อยู่บ้านเดี่ยวกับคอนโด โดยเฉพาะผู้บริโภคที่มองหาพื้นที่ที่พวกเขาสามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างหลากหลายได้ในแบบตัวเอง และเติมเต็มความต้องการของพวกเขาที่จะก้าวไปสู่เป้าหมายความฝันอันสูงส่งหรือดียิ่งขึ้นกว่าที่เคย   นางสาวโฉมชฎา กุลดิลก หัวหน้าสายงาน กลยุทธ์แบรนด์ และสื่อสารองค์กร พูดถึงปรัชญาในการส่งมอบคุณค่าการอยู่อาศัยในคอนโด ในครั้งนี้ว่า นับจากนี้ คอนโดของ SC จะต้องมาเป็น Top of Mind ของผู้บริโภค เราพัฒนาคอนโดบนคุณค่าเดียวกับแบรนด์ SC Asset คือ ความจริงใจ (Sincere) ความใส่ใจ (Care) และความใหม่สดเสมอ (Fresh) ซึ่งหมายถึง ความจริงใจในการดูแลลูกค้าอย่างดีที่สุดด้วยหัวใจ ความใส่ใจในคุณภาพและดีไซน์เพื่อให้ลูกค้าได้สิ่งที่ดีที่สุดเสมอ และความใหม่สดเสมอในการออกแบบที่รู้ใจลูกค้าบนแนวคิด Human-Centric มุ่งมั่นในการพัฒนาสินค้าและบริการทันตามเทรนด์ผู้บริโภคตลอดเวลา ผู้บริโภคจะเห็นการสื่อสารของแบรนด์คอนโด SC อย่างต่อเนื่องมากขึ้น ที่ SC เรามีการทำ Research อยู่เป็นประจำ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่รู้ใจลูกค้ามากที่สุด ในการทำแบรนด์คอนโด SC ทำให้เราได้ Insights จากกลุ่มลูกค้าที่อาศัยในคอนโด จนตกผลึกมาเป็นปรัชญาการสร้างคอนโดของ SC ที่เรายึดเป็นหลักการ ภายใต้คุณค่า EVERYBODY’S HIGH-RISE เมื่อพูดถึง High-Rise ก็เป็นคำตรงตัวคือที่อยู่อาศัยแนวสูง คอนโดในบ้านเรานี่เอง นอกจากนี้ SC เห็นว่าชีวิตของคนในคอนโดแทบจะไม่เหมือนกันเลย สมมติว่าใน 1 ชั้นมี 10 ห้อง 10 คนนี้แทบจะมีตารางชีวิตไม่เหมือนกันเลย ตื่นคนละเวลา ทำงานไม่เหมือนกัน กินหรือนอนกันคนละเวลาหมด ซึ่งคนที่เลือกมาอยู่คอนโด คือคนที่อยากได้ความเป็นส่วนตัวในการอยู่กับตัวเอง แต่ก็ต้องการมีพื้นที่ส่วนกลางเพื่อรู้สึกเป็นส่วนของ Community และส่วนหนึ่งของการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเอง ดังนั้น การออกแบบ ส่วนตัว กับส่วนกลาง จึงเป็นสิ่งที่แบรนด์ให้ความสำคัญ ส่วนคำว่า Everybody ในที่นี้คือความ Inclusive หมายถึงทุกคนจริง ๆ ไม่ใช่เฉพาะลูกค้าที่อาศัยอยู่ในคอนโด SC แต่หมายถึงทุกคนในสังคมที่อยู่ใน Community ร่วมกัน มีจุดหมายต่างกัน แต่สามารถอยู่ร่วมกัน แบ่งปันกัน เพื่อเข้าถึงเป้าหมายของแต่ละคนได้   โดย SC Asset พร้อมจะเป็นพื้นที่เริ่มต้นชีวิตที่ดีให้กับผู้อยู่อาศัยทุกคน เพราะเชื่อว่าชีวิตที่ดีมาจากจุดเริ่มต้นที่ดี พร้อมต่อยอดประสบการณ์การใช้ชีวิตที่มีคุณภาพด้วยเทคโนโลยีรู้ใจ Living Solutions ที่ SC พัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้อยู่อาศัยแบบรู้ใจ และบริการหลังการขาย ที่เป็นจุดแข็งของแบรนด์   คอนโด SC สานต่อภารกิจในการสร้างเช้าที่ดีให้กับทุกคน หรือที่เรียกว่า “For Good Mornings” ตอกย้ำความเป็นผู้ให้บริการหลังการขายคุณภาพสูงอันดับ 1 ในใจผู้บริโภค SC Asset ได้สร้างสรรค์พัฒนาโครงการคอนโดที่มีชื่อเสียงโดดเด่นในด้านคุณภาพ ดีไซน์ และบริการมาอย่างต่อเนื่อง ครอบคลุมหลายเซกเมนต์และกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่หลากหลาย ยกตัวอย่างเช่น 28 Chidlom โครงการ Limited Luxury Condominium Collection บนทำเลแห่ง World Class Destination อย่างย่านชิดลม สร้างสรรค์ไลฟ์สไตล์สุดเอ็กซ์คลูซีฟท่ามกลางพื้นที่สีเขียว กับแนวคิด “An Urban Oasis” The Crest Park Residence ที่สุดแห่งที่พักอาศัยระดับ Luxury หนึ่งเดียวใจกลางห้าแยกลาดพร้าว มาพร้อมพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่ ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์เพื่อการใช้ชีวิตพรีเมี่ยมในระดับ 5 ดาว Reference สาทร-วงเวียนใหญ่ คอนโดที่ตอบโจทย์ Lifestyle คน Gen Y พร้อมสร้าง Inspiration ในการใช้ชีวิต-เติมพลังใจเพื่อชีวิตที่ออกแบบได้เอง COBE คอนโดในอุดมคติของผู้บริโภค กับคอนเซ็ปต์ “CO-BEING COMMUNITY” เพื่อสร้างพื้นที่ Community ผู้บริโภคอย่างสร้างสรรค์ เป็นตัวของตัวเองในทุก ๆ ด้าน พร้อมพื้นที่ส่วนกลางที่ให้คุณได้ Collab ไอเดียใหม่ ๆ เพื่อเปลี่ยนแปลงโลกไปด้วยกัน   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เอสซี แอสเสท ส่งบ้านหรูแบรนด์ใหม่ 95E1 ราคาเริ่มต้นหลังละ 100 ล้าน -เอสซี แอสเสท เปิดแผนรายได้รวม 150,000 ล้าน การเติบโตด้วย 2 ENGINE ใน 5 ปี
[PR News] PF เปิดตัวคอนโดโครงการใหม่ “ไอคอนโด แอคทีฟ พัฒนาการ”

[PR News] PF เปิดตัวคอนโดโครงการใหม่ “ไอคอนโด แอคทีฟ พัฒนาการ”

พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค เปิดตัวโครงการใหม่ “ไอคอนโด แอคทีฟ พัฒนาการ” ทำเลติดถนนพัฒนาการ  ติดโรงพยาบาลสินแพทย์แห่งใหม่ ภายใต้แนวคิด "Active" สะท้อนความไม่หยุดนิ่ง ชูจุดเด่นเน้นตอบโจทย์ด้านไลฟ์สไตล์ เอาใจสายแอคทีฟด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกรูปแบบใหม่ๆ ปรับภาพลักษณ์ให้ทันสมัยมากขึ้น   นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) หรือ PF เปิดเผยว่า บริษัทได้เปิดตัวคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ภายใต้แบรนด์ไอคอนโด ได้แก่ ไอคอนโด แอคทีฟ พัฒนาการ จับตลาดกลุ่มคนรุ่นใหม่วัยเริ่มต้นทำงาน รวมถึงกลุ่มนักศึกษา ด้วยการเลือกทำเลที่ตั้งบนถนนพัฒนาการที่เชื่อมต่อย่านธุรกิจเอกมัย ทองหล่อ และยังใกล้มหาวิทยาลัย โดยเปิดตัวด้วยภาพลักษณ์ใหม่ที่ทันสมัยมากขึ้น ภายใต้แนวคิด "Active" สะท้อนถึงความไม่หยุดนิ่ง เพื่อมอบประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่  และตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มผู้บริโภคในปัจจุบันได้อย่างตรงจุด ไอคอนโด แอททีฟ พัฒนาการ ตั้งอยู่บนทำเลถนนพัฒนาการ 37 โดยอยู่ติดกับโรงพยาบาลสินแพทย์แห่งใหม่ สามารถเดินถึงทั้งมหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิตและสถาบันเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่นในไม่กี่นาที  เดินทางสะดวกสบายใกล้รถไฟฟ้า 2 สาย ทั้งแอร์พอร์ตลิงค์และรถไฟฟ้าสายสีเหลือง และใกล้ทางด่วน 2 เส้นหลัก ได้แก่ ทางพิเศษศรีรัชและทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ ใกล้สิ่งอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน ทั้ง โลตัสพัฒนาการ เเม็กซ์แวลูพัฒนาการ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ โรงเรียนปาณยาพัฒนาการ แม็คโครสำนักงานใหญ่ เป็นทำเลเมืองที่เหมาะสำหรับการอยู่อาศัยที่สุดแห่งหนึ่งในวันนี้   โครงการมีพื้นที่ 5 ไร่ เป็นคอนโดมิเนียมในสไตล์โมเดิร์น 8 ชั้น 2 อาคาร จำนวนรวม 445 ยูนิต แบ่งเป็นอาคาร A จำนวน 231 ยูนิต และ อาคาร B จำนวน 214 ยูนิต  ออกแบบให้ตัวอาคารโอบล้อมสระว่ายน้ำและสวนพักผ่อน เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยได้ความเป็นส่วนตัว และสามารถออกมาใช้งานพื้นที่ส่วนกลางได้อย่างสะดวก รูปแบบห้องประกอบด้วย ห้อง 1 Bedroom ขนาด 24 –30 ตร.ม. และ ห้อง 2 Bedroom ขนาด 45.7 ตร.ม. ทุกห้องตกแต่งเฟอร์นิเจอร์ครบชุดแบบ Fully Furnished นอกเหนือจากความสะดวกสบายในชีวิตประจำวันแล้ว  โครงการยังมีจุดเด่นที่เน้นตอบโจทย์ด้านไลฟ์สไตล์ให้กับผู้อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็น การออกแบบให้มีพื้นที่รองรับทั้งจุดรับส่งอาหารและห้องจัดเก็บพัสดุ ฟิตเนสที่มีอุปกรณ์รูปแบบใหม่ๆ อาทิเช่น จักรยานออกกำลัง แบบ Virtual Cycling  กระจกออกกำลังกายอัจฉริยะ Fitness Mirror ที่เหมือนมีเทรนเนอร์ส่วนตัว ระบบรักษาความปลอดภัยแบบ Face Recognition ระบบสแกนทะเบียนรถเข้าออก ตลอดจนมีการนำนวัตกรรมมาใช้เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี ทั้ง ระบบไอออนกำจัดเชื้อโรคในอากาศ SCG Bi-ion ให้คุณภาพอากาศที่ดีทั้งในล็อบบี้ ฟิตเนส และ Co-working Space ทุกห้องพักติดตั้งเครื่องปรับอากาศที่สามารถกรองฝุ่น PM 2.5 และ ประตูห้องระบบ Digital Door Lock ที่สามารถควบคุมด้วยแอปพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟน ทั้งปลอดภัยและสะดวกสบาย    “ไอคอนโด แอคทีฟ พัฒนาการ” จะเปิดให้ชมห้องตัวอย่าง และเปิดจองในช่วงพรีเซล วันที่ 10-11 มิถุนายนนี้ ด้วยราคาเริ่มต้น 2.2 ล้านบาท   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เพอร์เฟค เปิดแผนธุรกิจ 2566 พร้อมเปิด 14 โครงการใหม่ มูลค่า 17,700 ล้าน -[PR News] เพอร์เฟค เดินหน้าเปิด 4 โครงการใหม่ในไตรมาส 2