Tag : News

2376 ผลลัพธ์
[PR News] “เสนาคิทท์ เวสต์เกต – บางบัวทอง”  เนรมิตคลับเฮ้าส์ใหม่รองรับลูกบ้าน

[PR News] “เสนาคิทท์ เวสต์เกต – บางบัวทอง” เนรมิตคลับเฮ้าส์ใหม่รองรับลูกบ้าน

เสนา ฮันคิว ฮันชิน เนรมิตคลับเฮ้าส์ใหม่ในโครงการ “เสนาคิทท์ เวสต์เกต – บางบัวทอง” พร้อมเปิดให้บริการลูกบ้านครั้งแรก พบกันในงาน Open House Party 24 มิ.ย.นี้ ชมห้องจริง บรรยากาศจริง ลุ้นรับทอง 1 บาท* ระบุเดินหน้าเปิดเฟส 2 ต่อ จ่อรับดีมานด์ย่านบางบัวทอง ผ่อนเบาๆแค่ 4,100 บาท/เดือน* ด้วยราคาเริ่มเพียง 956,000 บาท ไม่ถึงล้านก็เป็นเจ้าของได้    ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาคอนโดฯ Affordable Segment แบรนด์ เสนาคิทท์ ราคาเริ่มไม่ถึงล้านได้รับการตอบรับดี สามารถปิดการขายและมียอดจองสิทธิ์ได้ตามเป้าหมายทุกโครงการ โดยเฉพาะย่านบางบัวทอง คอนโดมิเนียมโลว์ไรซ์ “เสนาคิทท์ เวสต์เกต – บางบัวทอง”  มีลูกค้าให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก หลังจากสร้างเสร็จและมีลูกค้าโอนเข้าอยู่แล้วเฟส 1 แล้ว ปัจจุบันทางบริษัทเดินหน้าเปิด“เสนาคิทท์ เวสต์เกต – บางบัวทอง” เฟส 2  ต่อทันที สตาร์ทชีวิตทำไมต้อง “คิทท์” เพราะเสนาเราเข้าใจความต้องการของลูกค้า ทุกโครงการของเสนา โดยเฉพาะ เสนาคิทท์ ทางบริษัทเข้าใจลูกค้าที่ต้องการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง แต่มีงบน้อย กลัวผ่อนไม่ไหวด้วยสภาวะเศรษฐกิจที่หลายคนมีความกังวลในการซื้อสินทรัพย์ชิ้นใหญ่และใช้เวลาในการผ่อนระยะยาว คอนโดเสนาคิทท์ เวสต์เกต – บางบัวทอง เข้าร่วมแคมเปญธอส. บ้านล้านหลัง เงินเดือน 15,000 บาทสามารถยื่นกู้ได้  ดอกเบี้ยต่ำ 3% นาน 5 ปี ผ่อนถูกกว่าเช่าแถมได้เป็นเจ้าของ เพียง 4,100 บาท*/เดือน   สตาร์ทชีวิตทำไมต้อง “คิทท์” เพราะที่นี่ เสนาคิทท์ คิดให้ครบ คอนโดเสนาคิทท์ เวสต์เกต – บางบัวทอง (เฟส 2) คอนโด Low Rise สูง 5 ชั้น 6 อาคาร  รวม 474 ยูนิต  แบ่งเป็น 1 ห้องนอน ขนาดพื้นที่ใช้สอย 25 ตร.ม. และ 2 ห้องนอน ขนาดพื้นที่ใช้สอย 38 ตร.ม. แปลนห้องลงตัวเป็นสัดส่วน โซนแรกเป็นห้องนั่งเล่นรวมพื้นที่กับโต๊ะทานอาหาร โซนติดหน้าต่างห้องเป็นห้องนอนที่กั้นจากห้องนั่งเล่นด้วยประตูบานเลื่อน อีกฝั่งจะเป็นห้องน้ำ ส่วนเตรียมอาหารอยู่ติดกับระเบียงห้อง ที่สำคัญซื้อโครงการที่นี่ ไม่ต้องซื้อเฟอร์นิเจอร์ เพราะคอนโดถูกออกแบบให้ตกแต่งพร้อม หิ้วกระเป๋าใบเดียวลากเข้าอยู่ได้เลย    สตาร์ทชีวิตทำไมต้อง “คิทท์” พื้นที่ส่วนกลางครบ คลับเฮ้าส์พร้อมให้บริการ คอนโดมิเนียมที่ได้มากกว่าที่คิดในระดับราคาไม่ถึงล้าน ถือว่าคุ้มค่ากับคุณภาพชีวิตที่ดี โดยภายในโครงการมีสาธารณูปโภครองรับลูกบ้าน พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ พื้นที่พักผ่อนในโซนคลับเฮ้าส์ สระว่ายน้ำ ฟิตเนส พื้นที่ทำงาน Co-Working Space และมีลิฟท์อำนวยความสะดวกทุกอาคาร   สตาร์ทชีวิตทำไมต้อง “คิทท์” เดินทางสะดวก ใกล้แหล่งงาน และสิ่งอำนวยความสะดวกมาครบ ที่ผ่านมา ต้องยอมรับย่านบางบัวทองเป็นเส้นทางหนึ่งที่การเดินทางสะดวกสบายมากขึ้น ผู้คนสัญจรเข้า – ออกเมืองง่าย ทั้งถนนสายหลักและสายรองหลายเส้นทาง  รวมถึงการพัฒนาด้านคมนาคม ระบบขนส่งสาธารณะ ครบลูป และรถไฟฟ้าสายสีม่วง (เตาปูน-คลองบางไผ่) ขณะเดียวกันพื้นที่โดยรอบแวดล้อมด้วยแหล่งงาน ร้านค้าต่าง ๆ สถานที่เที่ยวตอบรับไลฟ์สไตล์ทุกรูปแบบ แหล่งช้อปปิ้ง สถานศึกษา โรงพยาบาล ที่เป็นสีสันทำให้ผู้คนที่อยู่อาศัยละแวกนี้มีครบพร้อมรองรับการขยายตัวของเมืองและตลาดที่อยู่อาศัย ซึ่งทยอยเปิดตัวเพิ่มขึ้นทั้งบ้านเดี่ยว – บ้านแฝด ทาวน์เฮ้าส์ – ทาวน์โฮม คอนโดมิเนียม ค่อนข้างมีให้เลือกหลากหลายตามงบประมาณและรายได้   สัมผัสการใช้ชีวิตพร้อมเติมเต็มทุกความสมบูรณ์แบบ พบกันในงาน Open House Party 24 มิ.ย. นี้ ชมห้องจริง บรรยากาศจริง คลับเฮ้าส์ใหม่เอี่ยม พร้อมกับโปรโมชั่นสุดพิเศษวันงาน ลุ้นรับทอง มูลค่า 1 บาท* มาร่วมสตาร์ทชีวิตที่ดี “เสนาคิทท์ เวสต์เกต – บางบัวทอง” คอนโดที่เหมาะสำหรับคนที่มองหาที่อยู่อาศัยหรือคนที่กำลังมองหาการลงทุนเพื่อปล่อยเช่าในอนาคต คอนโดที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของทุกคน สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.sena.co.th/project/sena-kith-westgate-bangbuathong หรือสอบถามได้ call Center: 1775 กด 25 ส่วนท่านใดสนใจโครงการอื่น ๆ แบรนด์ เสนาคิทท์ หรือโครงการอื่นๆของเสนาและในเครือคลิ๊กเข้าไปดูได้ที่ https://www.sena.co.th/   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เสนาดีเวลลอปเม้นท์ เปิด 7 โปรเจ็กต์ใหม่ Q2 หนุนเป้ายอดขายกว่า 1.8 หมื่นล.
5 ธุรกิจบริการ เสริมนวัตกรรมดิจิทัล  ที่ตอบโจทย์วิถีชีวิตใหม่ หลังโควิด-19

5 ธุรกิจบริการ เสริมนวัตกรรมดิจิทัล ที่ตอบโจทย์วิถีชีวิตใหม่ หลังโควิด-19

LWS แนะ 5 ธุรกิจบริการ ที่มาพร้อมกับนวัตกรรมดิจิทัลที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตเพื่อคนทุกวัยที่พัฒนาขึ้นมาที่เติบโตพร้อมกับการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัล   นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล. ดับเบิลยู. เอส. วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด บริษัทวิจัยและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือบริษัท แอล. พี. เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) แนะนำ 5 ธุรกิจบริการที่ตอบโจทย์กับการใช้ชีวิตเพื่อคนทุกวัยในยุคหลังการแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัสสายพันธ์ใหม่ 2019 (COVID-19) ได้แก่ ธุรกิจบริการเพื่อผู้สูงอายุ, สุขภาพ, สิ่งแวดล้อม, ที่อยู่อาศัย และความบันเทิง   หลังจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ตั้งแต่ปี 2563 ถึงปัจจุบัน เทคโนโลยี่ดิจิทัล เข้ามามีบทบาทในการพัฒนางานบริการอย่างหลากหลาย โดยเฉพาะการพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อสร้างการเข้าถึงข้อมูลและเชื่อมต่อระหว่างผู้คน ไปพร้อมๆ กับการสร้างโอกาสในการทำธุรกิจใหม่ๆ ทั้งภาคการผลิตและการบริการ โดยเฉพาะงานบริการ เทคโนโลยี่เข้ามามีบทบาทในการเชื่อมต่องานบริการต่างๆ ที่ตอบสนองกับความต้องการของผู้คนในสังคมมากขึ้น และเป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบธุรกิจที่จะพัฒนาต่อยอดและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้มากขึ้น 5 ธุรกิจบริการ เสริมนวัตกรรมดิจิทัล จากการศึกษาของฝ่ายวิจัยและพัฒนางานบริการของ LWS พบว่า ตลอดระยะเวลากว่า 3 ปี ของการแพร่ระบาดของ COVID-19 งานบริการที่มีการพัฒนาและได้รับการตอบรับที่ดีจากประชาชนตั้งแต่การแพร่ระบาดของ COVID-19 และยังคงได้รับความนิยมมาถึงปัจจุบันที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 คลี่คลาย แล้ว ประกอบด้วย 5 ธุรกิจที่น่าสนใจและมีศัยกภาพในการเติบโตและสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ ได้แก่ ธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุ, สุขภาพ, สิ่งแวดล้อม, ที่อยู่อาศัย, และงานบริการที่เกี่ยวข้องกับความบันเทิงของคนรุ่นใหม่ บริการที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุ เมื่อปี 2565 ที่ผ่านมาประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแบบเต็มรูปแบบ หนึ่งในธุรกิจที่มีอัตราการเติบโตสูง คือ ธุรกิจดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีการเติบโตอย่างมากในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา เนิร์สซิ่งโฮมที่ได้มาตรฐาน และขึ้นทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเพิ่มขึ้นจาก 200 กว่าแห่งในปี 2563 เป็น 450 ยังไม่รวม เนิร์สซิ่งโฮมที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนอีกนับ 1,000 – 2,000 แห่งทั่วประเทศ   นอกจากงานดูแลด้านสุขภาพของผู้สูงอายุที่เนิร์สซิ่งโฮมแล้ว ยังมีพัฒนางานบริการพาผู้สูงอายุไปโรงพยาบาล ท่องเที่ยว ทำบุญ และกิจกรรมต่างๆ โดยมีแพลตฟอร์มที่น่าสนใจอย่าง Joy Ride กับบริการพาผู้สูงอายุไปหาหมอ เป็นงานบริการที่ให้บริการในประเทศไทย และคิดค้นโดยคนไทย ที่มีรูปแบบการให้บริการผู้ดูแลพาผู้สูงวัยและผู้ป่วยไปโรงพยาบาล จากบ้านไปโรงพยาบาล และอยู่เป็นเพื่อนตลอดระยะเวลาของการพบแพทย์ และพากลับมาส่งกลับถึงบ้าน โดยมีการให้บริการในรูปแบบที่หลากหลาย เช่น บริการพาไปรับวัคซีนป้องกันโควิด, บริการ Welcome Home พาเธอกลับบ้าน ,Joy Go Round พาเที่ยว ทำบุญ ทำธุระ ฯ ล ฯ มีค่าบริการเริ่มต้นเพียง 280 บาทเท่านั้น ซึ่งกลุ่มผู้ใช้บริการไม่มีเพียงแต่ผู้สูงอายุเท่านั้น ยังมีกลุ่มของสตรีมีครรภ์ ที่ไม่สะดวกในการขับรถเองใช้บริการอีกด้วย   นอกจากนี้ ยังมี Senior Move ธุรกิจบริการรถลีมูซีนสำหรับผู้ใหญ่โดยเฉพาะ ให้บริการเป็นรายชั่วโมง โดยผู้ใช้บริการสามารถกำหนดเส้นทาง หรือปรับเปลี่ยนเส้นทางได้ตลอดเวลา ทั้งยังสามารถแวะทำธุระระหว่างทางได้ตามสะดวก เสมือนมีรถและพนักงานขับรถส่วนตัว สามารถจองคิวการใช้บริการผ่าน Line ได้ โดยมีอัตราค่าบริการเริ่มต้นที่ 500 บาทต่อชั่วโมง ได้ถือเป็นธุรกิจงานบริการที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์กับสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปและเป็นโอกาสสำหรับการสร้างธุรกิจใหม่ๆ หลังยุค COVID-19 บริการที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ จากรายงานของกรมพัฒนาธุรกิจพบว่า การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2565 เป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพถึง 353 ราย เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปี 2564 ที่มีจำนวน 167 รายถึง 90% สะทัอนให้เห็นถึงการเติบโตของธุรกิจบริการในหมวดนี้ที่สูงขึ้นตามความต้องการของประชาชนที่ให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพมากขึ้นหลังการแพร่ระบาดของ COVID-19   โดยธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพนอกเหนือจากการดูแลสุขภาพแล้ว งานบริการที่เกี่ยวกับสินค้าในหมวดหมู่ที่เกี่ยวกับสุขภาพมีทั้งเรื่องของอาหาร การออกกำลังกาย รวมไปถึงการให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ เป็นต้น โดยเฉพาะอาหาร ปัจจุบันประชาชนให้ความสนใจกับการเลือกบริโภคอาหารที่ปลอดสารพิษ ทำให้มีการพัฒนางานบริการจัดส่งผัก-ผลไม้ออร์แกนิค จากสวนส่งตรงถึงบ้าน โดยการพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อเชื่อมต่อความต้องการของผู้ซื้อไปยังผู้ผลิต และบริการจัดหา อย่าง  Happy Grocers บริการจัดส่งผัก และผลไม้ออร์แกนิค ถึงบ้าน   เป็นธุรกิจที่เกิดจากการพัฒนาของนักศึกษาจากวิทยาลัยโลกคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากในช่วงของการระบาดใหญ่ของ COVID-19 ที่ทำให้สินค้าทางการเกษตรไม่สามารถเข้าสู่ตลาดกลางได้ ทำให้นักศึกษากลุ่มนี้เกิดความคิดที่จะเป็นตัวกลางให้ผู้บริโภคและเกษตรกรได้พบกันโดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลางอีกหลายทอด ช่วยแก้ปัญหาให้เกษตรกรรายย่อยได้มีตลาดระบายสินค้าในราคาที่สมเหตุสมผล และผู้บริโภคได้รับสินค้าคุณภาพจากเกษตรกรโดยตรง มีการนำรถ Grocers Truck นำฟาร์มขนาดย่อมมาให้ลูกค้าถึงหน้าคอนโดมิเนียม โดยมีความพิเศษคือ ลูกค้าเป็นคนส่งคำขอกับทางนิติคอนโดฯให้ทาง Happy Grocers ไปลงพื้นที่เองอีกด้วย โครงการนี้ประสบความสำเร็จและคว้ารางวัลจากเวที Startup Thailand League 2020   อีกหนึ่งในบริการที่มีการเติบโตค่อนข้างสูง และยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่องหลังจากการระบาดของโควิด-19 คือ บริการหาหมอออนไลน์ โดยรายงานปี 2563 จากบริษัทวิจัย แกรนด์ วิว รีเสิร์ช มีระบุว่า ตลาดเทเลเมดิซีนมีอัตราการเติบโตค่อนข้างสูง โดยปี 2563 มีมูลค่าราว 55,900 ดอลล่าสหรัฐ และคาดว่าในช่วงปี 2564-2571 จะมีการขยายตัวต่อปีที่ 22.4% ซึ่งทำให้คาดว่าทำให้ตลาดเทเลเมดิซีนจะยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง บริการที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม เป็นกลุ่มงานบริการที่ได้รับความนิยมมากขึ้นจากแนวคิดเกี่ยวกับ สิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล หรือ  ESG (Environment, Social, Governance) ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก ภาวะโลกร้อน ปริมาณฝุ่น PM 2.5 ที่เพิ่มขึ้น รวมไปถึง การพบไมโครพลาสติกในสัตว์ทะเล และปัญหาน้ำสะอาดที่ใช้ดื่มที่ใช้บริโภคในชีวิตประจำวัน ปัญหาต่างๆด้านสิ่งแวดล้อม ทำให้เกิดธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการผลิตวัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การนำขยะมาใช้ในการผลิตเป็นเฟอร์นิเจอร์ และของใช้ต่างๆ   รวมไปถึงการให้บริการเปลี่ยนขยะให้เป็นประโยชน์อย่างบริษัท รีไซเคิล เดย์ จำกัด ซึ่งเป็นธุรกิจบริการที่เกิดขึ้นภายใต้แนวคิดในการเปลี่ยนขยะให้เป็นประโยชน์ โดยการให้ความรู้ในการแยกขยะไปจนถึงการบริหารจัดการ ผ่านแอพพลิเคชั่น โดยแอพพลิเคชั่น จะบันทึกการจัดเก็บและแยกขยะของแต่ละบ้าน เพื่อให้สามารถแลกเป็นคะแนนไว้ใช้สำหรับแลกของรางวัลหรือเงินคืนได้จำนวนเท่าไหร่ เพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจในการบริหารจัดการขยะ และ   อีกหนึ่งในบริการที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมที่น่าสนใจ และมีการเติบโตขึ้นเรื่อยๆคือ บริการที่เกี่ยวข้องกับการติดตั้งอุปกรณ์พลังงานทดแทน เช่น Pavegen slab ซึ่งเป็นแผ่นพื้นที่สามารถเปลี่ยนแรงกดให้เป็นพลังงานไฟฟ้าได้ โดยบริการนี้เริ่มต้นที่ประเทศอังกฤษ มีการติดตั้งตามเมืองสำคัญหลายจุด เช่น ถนนอ๊อคฟอร์ด กับถนนบาเรท ซึ่งในประเทศไทยเองก็มีการติดตั้งที่ True Digital park และ 101 The Third place อีกด้วย บริการที่เกี่ยวข้องกับบ้าน ธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องกับบ้าน เป็นอีกหนึ่งในงานบริการที่ถูกพัฒนารูปแบบบริการต่างๆให้ครอบคลุมกับความต้องการมากขึ้น โดยเฉพาะการให้บริการดูแลบ้าน ทั้งงานทำความสะอาดไปจนถึงงานช่างและงานซ่อมแซมต่างๆ โดยปัจจุบันมีหลายบริษัทที่พัฒนาแพลตฟอร์มขึ้นมา เพื่อให้ลูกค้าสามารถเลือกใช้และเรียกใช้บริการได้ตามความต้องการ เช่น Q-Chang คิวช่าง แพลตฟอร์มรวมช่างคุณภาพเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ ที่ให้บริการเกี่ยวกับบ้าน เช่น บริการดูแลรักษาบ้าน ,บริการติดตั้งเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ภายในบ้าน ,บริการปรับปรุงและซ่อมแซมบ้าน ฯลฯ   โดย Q-Chang เป็นธุรกิจบริการ ที่มีอัตราการเติบโตจากช่วง 3 ปีได้อย่างชัดเจน ในปี 2565 ที่ผ่านมา มีผู้เข้าใช้บริการผ่านช่องทางเว็ปไซต์เพิ่มขึ้นถึง 6.5 เท่า เมื่อเทียบกับปี 2564 และมียอดผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าตัว มีมูลค่าการจองใช้บริการสูงสุดถึง 610,000 บาท/คน/ปี ซึ่งท้อนได้ถึงความต้องการในการใช้บริการงานที่เกี่ยวข้องกับบ้านได้อย่างชัดเจน ซึ่งทาง Q-Chang เองก็ได้ขยายบริการจากเว็ปไซต์ เพิ่มขึ้นเป็น Line Official : @q-chang รวมถึงมีการให้บริการรวมกับพาร์ทเนอร์ เช่น SCG, Shopee, Lazada NocNoc เป็นต้น   โดยบริการยอดนิยมจะอยู่ในกลุ่มงานบริการล้างแอร์ ซ่อมแซมหลังคารั่ว บริการล้างเครื่องซักผ้า ฯ ล ฯ นอกจากนี้ผู้ให้บริการรายใหญ่อย่าง SCG ก็ยังมีบริการที่เกี่ยวข้องกับบ้านด้วยเช่นกัน เช่น บริการจาก SCG Heim ซึ่งให้บริการงานต่อเติม ตรวจสอบและซ่อมแซมสภาพบ้าน ตกแต่งภายใน บิ้วอิน เป็นต้น บริการที่เกี่ยวข้องกับไลฟ์สไตล์ ปัจจุบันผู้คนเริ่มมีความคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตในที่อยู่อาศัยมากขึ้น ทั้งการทำงานและกิจกรรมเพื่อความบันเทิง โดยเฉพาะการเล่นเกมส์ ที่ปัจจุบันกลายเป็นกีฬาชนิดหนึ่งที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก ถูกบรรจุเป็นกีฬาในระดับภูมิภาค และระดับโลก ในประเทศไทยก็เริ่มมีการเรียนการสอนในโรงเรียนวิชา E-Sport ตั้งแต่ระดับมัธยมในประเทศไทย เช่น โรงเรียนสิรินธร จ.สุรินทร์ ,โรงเรียนสระบุรีวิทยาคม ที่ได้มีการสร้างห้อง E-Sport Room เพื่อรองรับการส่งเสริมนักเรียนในทุกด้าน และในระดับมหาวิทยาลัยนั้น ภาคเอกชนก็เริ่มนำคอร์สการเรียนที่เกี่ยวข้องกับ E-Sport มาเป็นทางเลือกให้ผู้ที่สนใจในด้านนี้โดยเฉพาะด้วยเช่นกัน   การเติบโตของ E-Sport ทำให้การพัฒนาห้อง E-Sport ภายในที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะในอาคารชุดพักอาศัยเริ่มกลายเป็นที่นิยมมากขึ้นนอกเหนือจาก Co-Working และ Co-Kitchen space โดยปัจจุบันมีโครงการอาคารชุดพักอาศัย อย่าง โครงการ เพลส 168 ปิ่นเกล้า ที่พัฒนาโดยบริษัท แอล. พี. เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) และโครงการอัลติจูด ยูนิคอร์น สาทร ที่พัฒนาโครงการโดย อัลติจูด ดีเวลลอปเมนท์ ที่ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์กับความต้องการของคนรุ่นใหม่ ที่ใช้ชีวิตในที่อยู่อาศัยมากขึ้น   นอกจากนี้ยังพบว่าธุรกิจโรงแรมในต่างประเทศก็มีการนำห้อง E-Sport Room เข้ามาใช้เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน เช่นโรงแรม iHotel — Taoyuan City ประเทศไต้หวัน , โรงแรม The Arcade Hotel ในประเทศเนเธอแลนด์ และ โรงแรม eZONe Cyber Space Hotel ในประเทศญี่ปุ่น เป็นต้น โดยการให้บริการจะมีเครื่องคอมพิวเตอร์สำหรับเล่นเกมส์ในห้องพักโดยเฉพาะ มีที่นอนภายในห้อง โดยที่พักจะมีเริ่มต้นตั้งแต่ 2 คน ไปจนถึงห้องใหญ่ที่รองรับผู้เข้าพักได้ถึง 5 คน มีค่าบริการเริ่มต้นตั้งแต่ 1,500 เป็นต้นไป   “วิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้คนจากวิถีชีวิตปกติใหม่ (New Normal) มาสู่วิถีชีวิตปกติถัดไป (Next Normal) ภายหลังการแพร่ระบาดของ COVID-19 งานบริการไม่ใช่งานที่ผู้คนต้องออกจากบ้านเพื่อไปรับบริการแล้ว แต่งานบริการกลายเป็นงานที่ผู้คนสามารถใช้บริการได้จากที่บ้านของพวกเขาเอง ผ่านการเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มต่างๆ ที่เชื่อมต่อทุกงานบริการเข้าด้วยกัน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้คน จึงเป็นมิติใหม่ของการสร้างโอกาสในการสร้างธุรกิจบริการเพื่อที่จะเข้าถึงผู้คนและสร้างรายได้เพิ่มขึ้น เทคโนโลยี่ดิจิทัล เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างโอกาสทั้งทางธุรกิจและเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตของผู้คนในปัจจุบัน”    อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -โควิดทุบ SMEs ธุรกิจบริการ-ท่องเที่ยว รายได้หาย 27,000 ล้าน
เอสซี แอสเสท ส่งบ้านหรูแบรนด์ใหม่ 95E1  ราคาเริ่มต้นหลังละ 100 ล้าน

เอสซี แอสเสท ส่งบ้านหรูแบรนด์ใหม่ 95E1 ราคาเริ่มต้นหลังละ 100 ล้าน

เอสซี แอสเสท เอสซี เปิดขายบ้าน หลังละ 100 ล้าน แบรนด์ใหม่ “95E1”  รับดีมานด์กลุ่มลูกค้าระดับลักชัวรี่ มั่นใจกำลังซื้อกลุ่มบ้านแนวราบยังสูงต่อเนื่อง หลังที่ผ่านมาปิดโปรเจ็กต์แล้ว 4 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 6,900 ล้าน   นายอรรถพล สฤษฎิพันธาวาทย์ ประธานเจ้าหน้าที่ด้านสนับสนุนองค์กร บริษัท เอสซี แอสเสท  คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC เปิดเผยว่า ในเดือนมิถุนายนนี้ บริษัทวางแผนเปิด 5 โครงการใหม่ เป็นบ้านหรู New Series และ คอนโดมิเนียมแบรนด์ใหม่ รวมมูลค่าโครงการ 12,290 ล้านบาท แบ่งเป็น แนวราบ จำนวน 4 โครงการ มูลค่ารวม 6,290 ล้านบาท และ แนวสูง 1 โครงการ มูลค่า 6,000 ล้านบาท   โดยในโครงการทั้งหมด มีโครงการที่ขายบ้านระดับราคาเริ่มต้นหลังละ 100 ล้านบาท ได้แก่ โครงการ “95E1” (ไนน์-ตี้-ไฟว์-อีสต์-วัน) แบนด์ใหม่บ้านเดี่ยวสุดหรูในเซกเมนต์ Ultimate Luxury ด้วยแนวคิด “Exquisite Craftsmanship” มีจำนวน 10 ยูนิต ตั้งบนพื้นที่ 4-2-50 ไร่ ขนาดพื้นที่ใช้สอย 842-846 ตารางเมตร รวมมูลค่าโครงการ 1,010 ล้านบาท โครงการตั้งอยู่บริเวณเลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา นอกจากนี้ ยังมีโครงการแนวราบอีก 3 โครงการ ได้แก่ โครงการแกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด พระราม 9 - กรุงเทพกรีฑา บ้านหรู 3 ชั้น ได้แนวคิดจากสถาปัตยกรรม อาสนวิหาร ในประเทศอิตาลี ตั้งบนพื้นที่ 23-1-28.1 ไร่ ขนาดพื้นที่ใช้สอย 593-776 ตารางเมตร จำนวน 35 ยูนิต ราคาเริ่ม 45-80 ล้านบาท  มูลค่าโครงการ 2,070 ล้านบาท โครงการแกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด สเตท บางนา บ้านหรู แรงบันดาลใจจาก American timeless ตั้งบนพื้นที่ 15-2-21.7 ไร่ ขนาดพื้นที่ใช้สอย 439-591 ตารางเมตร จำนวน 34 ยูนิต ราคาเริ่ม 30-60 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 1,300 ล้านบาท โครงการเวนิว ไอดี รามอินทรา มีนบุรี บ้านเดี่ยวและบ้านแฝด ซีรี่ส์ใหม่สไตล์ Modern Simplicity ตั้งบนพื้นที่ 44-2-54 ไร่ ขนาดพื้นที่ใช้สอย 167-229 ตารางเมตร จำนวน 212 ยูนิต ราคาเริ่ม 7.59-16 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 1,910 ล้านบาท ส่วนโครงการคอนโด เตรียมเปิดแบรนด์ใหม่ “COBE” บนทำเลใจกลางรัชดา - พระราม 9 ใกล้ MRT ศูนย์วัฒนธรรม มูลค่าโครงการ 6,000 ล้านบาท ราคาเริ่มเพียง 2.39 ล้านบาท นอกจาก SC เดินหน้าเปิดโครงการใหม่ตามแผนที่วางไว้แล้ว เรายังพร้อมเปิดรับการร่วมลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง นายอรรถพล กล่าวว่า ภาพรวมของตลาดแนวราบยังมีดีมานด์ที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งแต่ต้นปี 2566 บริษัทสามารถปิดโครงการได้ถึง 4 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 6,900 ล้านบาท ซึ่งไตรมาสแรก SC สามารถกวาดรายได้รวม 4,930 ล้านบาท กำไร 535 ล้านบาท เติบโต 38% ทำให้มั่นใจว่า SC จะสามารถทำยอดทะลุตามเป้าหมายยอดขายและรายได้ตามที่ตั้งไว้อย่างแน่นอน   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เอสซี แอสเสท เปิดแผนรายได้รวม 150,000 ล้าน การเติบโตด้วย 2 ENGINE ใน 5 ปี -[PR News] เอสซีจี X เอสซี แอสเสท​ ติด Active AIR Quality บ้าน 1,000 ยูนิต​
10 เรื่องอินไซต์อาคาร OCC  ตึกสูงสุดในไทย 317.95 เมตรของ RML

10 เรื่องอินไซต์อาคาร OCC ตึกสูงสุดในไทย 317.95 เมตรของ RML

10 เรื่องอินไซต์อาคาร OCC ตึกสูงสุดในไทย 317.95 เมตรของ RML ที่เบียดอาคารแมกโนเลียส์ วอเตอร์ฟร้อนท์ เรสซิเดนซ์ แอท ไอคอนสยามตกไปเป็นที่ 2   ถ้าวัดระดับความสูงของอาคารที่สูงที่สุดในไทยตอนนี้ คงต้องยกให้เป็นอาคารแมกโนเลียส์ วอเตอร์ฟร้อนท์ เรสซิเดนซ์ แอท ไอคอนสยาม ของบริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดิเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) อาคารประเภทคอนโดมิเนียม ด้วยความสูงอาคาร 317.95 เมตร   แต่อีกไม่นาน จะมีอาคารแห่งใหม่ที่มาทำลายสถิติของแมกโนเลียส์ฯ และก้าวขึ้นเป็นอาคารสูงที่สุดในประเทศไทยแทน นั่นคื อาคาร OCC  (One City Centre) อาคารสำนักงานเกรดเอระดับลักชัวรี่แห่งใหม่ ในทำเลใจกลางเพลินจิต ซึ่งพัฒนาโดยบริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ RML ร่วมทุนกับ มิตซูบิชิ เอสเตท หนึ่งในผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ และมีชื่อเสียงยาวนานที่สุดของญี่ปุ่น   นายกรณ์ ณรงค์เดช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร RML เปิดเผยว่า อาคาร OCC เกิดขึ้นจากความมุ่งหวังที่จะสร้างสุดยอดสถาปัตยกรรมแห่งใหม่ขึ้นในกรุงเทพฯ โดยจะเป็นแลนด์มาร์คใหม่ของเอเชีย ทั้งในฐานะที่ตั้งขององค์กรธุรกิจชั้นนำทั้งไทยและระดับโลก และยังเป็นจุดหมายปลายทางที่ทั้งคนไทยและนักเดินทางจากทั่วโลกอยากแวะเวียนมาเยือน การพัฒนาโครงการนี้ก้าวข้ามทุกขีดจำกัดแห่งจินตนาการ สู่การสร้างสรรค์โลกใบใหม่ภายใต้แนวคิด REIMAGINE YOUR WORLD โดยเป็นการผสานความร่วมมือกัน ระหว่างบริษัทออกแบบชั้นนำระดับโลกและบริษัทสถาปนิกที่มีชื่อเสียงของไทย ตั้งแต่การออกแบบสถาปัตยกรรม ตกแต่งภายใน ตลอดจนภูมิทัศน์ เพื่อให้ที่นี่เป็นหนึ่งในอาคารสำนักงานที่เป็นสุดยอดในประเทศไทย ซึ่งผนวกพื้นที่สำนักงานระดับลักชัวรี่และศูนย์กลางไลฟ์สไตล์เหนือระดับเข้าไว้ด้วยกัน   โดยบริเวณด้านหน้าอาคารเป็นพื้นที่สาธารณะ ที่เปิดให้ทุกคนมาพักผ่อนกับพื้นที่สีเขียวแห่งใหม่ ยาวตลอดด้านหน้าอาคาร รวมทั้งเสพงานศิลป์จากผลงานศิลปะหลายชิ้นของคุณโด่ง-พงษธัช อ่วยกลาง ศิลปินเเถวหน้าของเมืองไทย ที่มีรูปปั้นผลงานชิ้นเอกตั้งเรียงรายอยู่ด้านหน้า และด้านในอาคาร ภายในอาคารออกแบบฟังก์ชั่นเสริมสร้างแรงบันดาลใจในการทำงาน โดยมาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกที่ล้ำสมัยและครบครัน นอกจากนี้ ยังมีร้านค้าในพื้นที่รีเทล คาเฟ่ บาร์ และร้านอาหารชั้นนำที่   โดยมีที่ปรึกษาในการวางแนวคิดการออกแบบอาคาร คือ สกิดมอร์, โอวิงส์ และเมอร์ริล ไทยแลนด์ (Skidmore, Owings & Merrill (Thailand) หรือ SOM (Thailand) บริษัทดีไซน์ชั้นนำระดับโลก ซึ่งทำงานร่วมกับ ดีไซน์ 103 อินเตอร์เนชั่นแนล (Design 103 International) บริษัทออกแบบสถาปัตยกรรมชั้นนำของไทยที่มีประวัติยาวนาน และมีผลงานอาคารระดับมาซเตอร์พีซมากมาย และแทนเดม อาร์คิเท็ค (2001) (Tandem Architects) บริษัทสถาปนิกแถวหน้าของไทยที่มีความเชี่ยวชาญด้านอาคารสูง โดยมี ฉมา (Shma) บริษัทภูมิสถาปัตย์ชั้นนำที่เชี่ยวชาญด้านภูมิทัศน์ ระบบนิเวศ และสิ่งแวดล้อมเป็นที่ปรึกษาด้านภูมิทัศน์ ดีดับเบิ้ลยูพี (ประเทศไทย) (DWP (Thailand)) บริษัทออกแบบและตกแต่งภายในชั้นนำ  เป็นที่ปรึกษาด้านการตกแต่งภายใน   นอกจากนี้ ยังมีออเรคอน คอนซัลติ้ง (ประเทศไทย) (Aurecon Consulting (Thailand)) ผู้นำด้านบริการงานออกแบบ ให้คำปรึกษาและบริหารงานทางวิศวกร เป็นที่ปรึกษาด้านงานระบบไฟฟ้า และงานระบบเครื่องกล ด้วยจุดมุ่งหมาย ในการสร้างอาคารสำนักงานลักชัวรี่ที่มีดีไซน์สุดล้ำ ผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมระดับโลกและศิลปะวัฒนธรรมไทยเข้าด้วยกัน เห็นได้จากแผงแนวเฉียงที่พาดอยู่บนส่วนหน้าของอาคาร (façade) ซึ่งเป็นดีไซน์ที่มีความสอดคล้องลงตัวกับสภาพอากาศเมืองไทย โดยทำหน้าที่ลดความร้อนจากแสงอาทิตย์เข้าสู่อาคาร ด้านนายนพดล ตันพิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ดีไซน์ 103 อินเตอร์เนชั่นแนล (D103i) บริษัทออกแบบชั้นนำของประเทศไทย กล่าวถึงการต่อยอดแนวคิดการออกแบบ OCC ว่า ได้วางภาพของ OCC ให้เป็นระบบนิเวศแบบสมาร์ทลิฟวิ่ง ที่ผสานเทคโนโลยีอาคารอันล้ำสมัย เพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพของระบบบริหารจัดการอาคาร ให้สามารถประหยัดพลังงานได้สูงสุด รวมทั้งส่งเสริมการบรรลุเป้าหมายในด้านความยั่งยืนด้วย แนวคิด REIMAGINE YOUR WORLD ของ OCC ประกอบด้วย: Reimagined Daily Work Rhythm – พื้นที่สำนักงานที่ OCC ได้รับการออกแบบอย่างพิถีพิถันเพื่อหล่อเลี้ยงพลังชีวิตของคนทำงาน สร้างความสุขให้กับช่วงเวลาทำงานโดยมีนวัตกรรมที่ทันสมัย Reimagined Daily Green Intake - ด้วยเป้าหมายที่จะนำต้นไม้และธรรมชาติกลับมาสู่วิถีคนเมืองในกรุงเทพฯ OCC เป็นศูนย์กลางการใช้ชีวิตใจกลางเมืองที่เขียวชอุ่มที่สุดในย่านเพลินจิต ด้วยพื้นที่สีเขียวกว่า 5,000 ตร.ม. Reimagined Office Space Possibilities - ด้วยโครงสร้างอาคารที่ไม่มีเสาคั่นกลาง ผู้เช่าจึงสามารถออกแบบ เลย์เอาต์สำนักงานได้อย่างอิสระตามความต้องการ สร้างสรรค์พื้นที่สำนักงานที่ดีที่สุดได้อย่างใจ Reimagined Retail and Food Selection - OCC มาพร้อมกับพื้นที่รีเทล คาเฟ่ บาร์ และร้านอาหารที่คัดสรรมาอย่างมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร รวมถึงบาร์และภัตตาคารหรูบนชั้นดาดฟ้าที่จะกลายเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์และเป็นหนึ่งในรูฟท็อปเดสทิเนชั่นที่ดีที่สุดในเอเชีย Reimagined Journey In and Out – สุดท้ายนี้ การเดินทางเข้าและออกจากอาคาร OCC ง่ายและสะดวกสบายติดสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสเพลินจิต โดยใช้เวลาเดินเพียง 2 นาทีจากบีทีเอส และสามารถเดินเชื่อมต่อเข้าไปในอาคารผ่าน Sky Bridge ได้เลย หรือถ้าขับรถมาก็อยู่ห่างจากทางด่วนเพลินจิต เพียง 200 เมตร 10 เรื่อง OCC ตึกสูงสุดในไทย นอกจากนั้น 10 อินไซต์ต่อไปนี้จะช่วยขยายความแนวคิดของ OCC ให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้นในการเปิดมิติใหม่สู่โลกของอาคารออฟฟิศและสุดยอดศูนย์กลางไลฟ์สไตล์แห่งอนาคต 1.แลนด์มาร์คใหม่เหนือเส้นขอบฟ้ากรุงเทพฯ OCC คืออาคารสำนักงานที่สูงที่สุดในไทยในปัจจุบัน ด้วยความสูง 275.76 เมตร และจะกลายเป็นแลนด์มาร์กใหม่อันโดดเด่น รวมทั้งไฮไลต์คือรูฟท็อปเดสทิเนชั่นบนชั้นดาดฟ้า ที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดแห่งหนึ่ง พร้อมทัศนียภาพที่สวยเหนือคำบรรยายของกรุงเทพฯ 2.สถาปัตยกรรมชิ้นเอกของโลก ตัวอาคารแบ่งออกเป็นสองส่วนหลักที่มีลักษณะตรงกันข้าม คือส่วนแกนกลางเป็นแท่งทึบรูปทรงที่เพรียวบางหันสู่ทิศตะวันตก และส่วนผนังกระจกใสตลอดความยาวตึกซึ่งเป็นพื้นที่ออฟฟิศหันสู่ทิศตะวันออก รวมทั้งพื้นที่สีเขียวตามจุดต่าง ๆ ทั้งพื้นที่โถงใหญ่กลางอาคาร (Atrium) ระเบียง และสวนหย่อมกระจายอยู่ทั่วอาคาร 3.ความยั่งยืน + สุขภาวะของผู้ใช้อาคาร เริ่มต้นที่จากถนนหน้าอาคาร พื้นที่สีเขียวอันกว้างขวางซึ่งส่งผลให้พื้นที่ส่วนกลางของโครงการมีบรรยากาศที่เย็นสบาย เป็นประโยชน์ทั้งสำหรับผู้ใช้อาคารและตัวเมืองกรุงเทพฯ เมื่อเข้ามาสู่ภายในอาคาร การออกแบบเพดานสูงเปิดรับทั้งแสงธรรมชาติให้ส่องเข้ามาได้อย่างเต็มที่ รวมทั้งทิวทัศน์กรุงเทพฯ แบบพาโนรามาอันน่าหลงใหล เป็นการลดทั้งการใช้พลังงานและช่วยสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่สบายและผ่อนคลาย และงานระบบอาคารต่าง ๆ อันล้ำสมัย ทั้งเครื่องกล ไฟฟ้า และประปา (MEP) ช่วยให้อากาศภายในสะอาดบริสุทธิ์ 4.การออกแบบและก่อสร้างที่อาศัยเทคโนโลยีดาต้า การพัฒนาโครงการ OCC มีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลที่ล้ำสมัยที่สุด เช่น การสร้างแบบจำลองข้อมูลอาคาร (BIM) โดยใช้ข้อมูลอาคารเพื่อช่วยให้การออกแบบ การก่อสร้าง       และการดำเนินงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลดีต่อโครงการทั้งด้านการประหยัดต้นทุน ความยั่งยืน รวมทั้งก่อสร้างได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย 5.โซลูชั่นออฟฟิศสุดเหนือระดับ พื้นที่ทำงานภายใน OCC ได้รับการออกแบบให้มีความยืดหยุ่นและสามารถปรับเปลี่ยนได้ในอนาคตเพื่อรองรับความต้องการในการทำงานที่แตกต่างกันและเปลี่ยนแปลงไป โดยมีระเบียงบนชั้น 14 และ 61 เป็นพื้นที่พักผ่อนอีกหนึ่งจุด รวมทั้งพบปะสังสรรค์ในโอกาสต่างๆ ระบบกรองอากาศในอาคารใช้แผ่นกรองประสิทธิภาพสูง MERV14 ช่วยให้อากาศภายสะอาดและสดชื่นตลอดเวลา 6.ประสบการณ์อัจฉริยะเพื่อผู้เช่า OCC ติดตั้งเทคโนโลยีอัจฉริยะเพื่อสร้างประสบการณ์ที่เหนือระดับแก่ผู้เช่า เช่น แอปพลิเคชั่นมือถือสำหรับผู้เช่าอาคาร ระบบจดจำใบหน้า และระบบจดจำป้ายทะเบียนรถอัตโนมัติ มอบความสะดวกสบายด้วยระบบไร้สัมผัส ตั้งแต่การเข้า-ออกที่จอดรถ ลิฟต์ และอาคารสำนักงาน รวมทั้งการจองใช้บริการสิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลางและร้านอาหารผ่านโมบายแอป 7.รางวัลและการรับรองมาตรฐานระดับนานาชาติ OCC ได้รับรางวัลการพัฒนาอาคารสำนักงานแห่งปี (Office Development of the Year) จากเวที Real Estate Asia Awards 2021 และยังเป็นอาคารสำนักงานแห่งแรกในประเทศไทยที่ได้รับการรับรอง Fitwel ในระดับ 2 ดาวจาก Center for Active Design (CfAD ) ในหมวด Multi-Tenant Building ในฐานะอาคารที่มีคุณภาพการบริหารจัดการอันโดดเด่นและสร้างสุขภาวะที่ดีเยี่ยมให้กับผู้ใช้อาคาร และอยู่ในระหว่างการยื่นขอการรับรองมาตรฐาน LEED Gold สำหรับการออกแบบ การก่อสร้าง และการดำเนินงานของอาคารที่มีความยั่งยืน 8.สุดยอดรูฟท็อปเดสทิเนชั่นใจกลางกรุง บนชั้น 58 และ 61 ของอาคารคือสเปซแห่งการดื่มด่ำกับมื้ออาหารสุดพิเศษ ด้วยบาร์และภัตตาคารสุดหรู ดีไซน์และตกแต่งทุกรายละเอียดอย่างเหนือระดับพร้อมทิวทัศน์กรุงเทพฯ แบบ            พาโนรามา 360 องศา รวมทั้งภาพโค้งน้ำเจ้าพระยาที่สะกดทุกสายตาอย่างไม่มีอะไรมาขวางกั้น ซึ่งแน่นอนว่าจะเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับผู้มีไลฟ์สไตล์แห่งการกินดื่มอันละเมียดทุกคน ทั้งชาวไทยและนานาชาติ 9.ผสานกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับชุมชน ที่ตั้งโครงการแต่เดิมเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่สีเขียวที่ประวัติความเป็นมายาวนาน ซึ่งได้รับการอนุรักษ์ให้คงเดิมมากที่สุด โดยออกแบบด้วยการเพิ่มพื้นที่เปิดโล่งหันหน้าสู่ถนนด้านหน้าได้เต็มที่ และยกพื้นที่กลางแจ้งทั้งหมดนี้ให้เป็นสวนสาธารณะที่ทุกคนสามารถใช้ประโยชน์ได้ 10.สุดยอดทำเลใจกลางเมือง บนพื้นที่ 6 ไร่ ตรงข้ามศูนย์การค้าเซ็นทรัล เอ็มบาสซี ใช้เวลาเดินเพียง 2 นาทีจากสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสเพลินจิต และมีทางเชื่อมลอยฟ้าจากอาคารเข้าสู่สถานีโดยตรง รวมทั้งอยู่ห่างจากจุดขึ้น-ลงทางด่วนเพลินจิตเพียง 200 เมตร   ทั้งหมดนี้ คือ 10 เรื่องอินไซต์อาคาร OCC ตึกสูงสุดในไทย 317.95 เมตรของ RML ที่เบียดอาคารแมกโนเลียส์ วอเตอร์ฟร้อนท์ เรสซิเดนซ์ แอท ไอคอนสยามตกไปเป็นที่ 2   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ไรมอนแลนด์ ปั้น แบรนด์เด็ดเรสซิเดนซ์ ขายวิลล่าหลังละ 1,000 ล้าน พร้อมสู่ธุรกิจ New Economy สร้างรายได้ประจำ
[PR News] สมาร์ท อัปเกรด Smart World แอปเพื่อการอยู่อาศัย หวังยอดทะลุ 2 แสนราย

[PR News] สมาร์ท อัปเกรด Smart World แอปเพื่อการอยู่อาศัย หวังยอดทะลุ 2 แสนราย

สมาร์ท  อัปเกรด SMART WORLD โมบาย แอปพลิเคชัน ที่ครบ จบ ในแอปเดียว ภายใต้คอนเซ็ปต์ใหม่ Ultimate Digital Living เพิ่มลูกเล่นและฟังก์ชันการให้บริการที่มากขึ้น   นายสุวัฒน์ กุลไพจิตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท สมาร์ท เซอร์วิส แอนด์ แมเนจเม้นท์ จำกัด (SMART) เปิดเผยว่า บริษัทได้อัปเกรดแอปพลิเคชันสมาร์ท เวิล์ด "SMART WORLD" เวอร์ชันใหม่ ให้เป็นสุดยอดแอปเพื่อการอยู่อาศัย ในคอนเซปต์ SMART WORLD Ultimate Digital Living  เรียกได้ว่าดูแลกันตั้งแต่เริ่มต้นวันแรกของการซื้อบ้าน จนถึงวันโอน และดูแลต่อเนื่องไปตลอดของการพักอาศัย โดยสมาร์ทดำเนินธุรกิจการบริหารจัดการโครงการอสังหาริมทรัพย์มานานกว่า 26ปี ดูแลมากกว่า 390 โครงการ   สำหรับแอปพลิเคชันดังกล่าวจะช่วยอำนวยความสะดวก ตั้งแต่เรื่องการให้ข้อมูลสินเชื่อธนาคาร รวมถึงสามารถเข้าดูรายละเอียดความคืบหน้าของโครงการได้ด้วยตนเอง ผ่านหน้าแอปฯ และยังทำธุรกรรมการผ่อนดาวน์ , Refund , ยื่นขอเอกสารออนไลน์, ฝากขาย-เช่า ได้ง่ายๆ แค่ปลายนิ้ว หลังจากการโอนบ้านแล้ว แอปฯ นี้ยังคงดูแลอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การใช้ชีวิตในบ้านหลังใหม่เป็นไปอย่างสะดวก ง่ายดาย เป็นตัวเชื่อมติดต่อกับนิติบุคคลของ SMART หรือเพื่อนบ้านในโครงการได้สะดวกผ่านแชท และมีข่าวสารที่คอยอัปเดตเพื่อไม่พลาดทุกการเคลื่อนไหวในโครงการ แจ้งเตือนรับพัสดุ , จ่ายบิล , ประทับตรารถเข้า-ออกโครงการผ่านแอปฯ รวมทั้งสามารถดูกล้องวงจรปิดในพื้นที่ส่วนกลางของโครงการได้ในกรณีที่เราไม่อยู่บ้าน   นอกจากนี้ ยังช่วยจัดการเรื่องบ้านให้สมาร์ทมากขึ้นด้วยฟีเจอร์ Home Service หรือบริการเรื่องบ้าน ทั้งตกแต่งต่อเติมก่อนเข้าอยู่ รีโนเวต รวมถึงบริการต่าง ๆ ที่ช่วยให้บ้านดูสวย ใหม่ และ ดูแลรักษาตลอดเวลา เช่น บริการเรื่องบ้าน ทั้งล้างแอร์ ล้างบ่อดักไขมัน ล้างแทงค์น้ำ ติดตั้งโครงหลังคาจอดรถ ติดตั้งรางน้ำฝน และอื่น ๆ อีกมากมายจากพาร์ทเนอร์มืออาชีพ และยังมีสิทธิพิเศษ ส่วนลดต่างๆ ที่ SMART รวบรวมมาครบทุกแกน ทั้ง ร้านอาหาร กีฬา อุปกรณ์เครื่องใช้ สัตว์เลี้ยง และความงาม เพื่อลูกบ้านโดยเฉพาะ เรียกได้ว่าแค่มีแอปพลิเคชันอยู่ในมือ ก็ตอบโจทย์ตั้งแต่ต้น จนเข้าพักอาศัยแบบครบ จบในแอปเดียว เพียงปลายนิ้วสัมผัส บริษัทคาดว่า แอปพลิเคชั่น สมาร์ท เวิล์ดจะมียอดดาวน์โหลด 200,000 user หรือเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวภายในสิ้นปี      อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เทอร์ร่า เผยเทรนด์การอยู่อาศัยในปี 65 ต้องตอบโจทย์ Well-Being & ความปลอดภัย -[PR News]แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์  เปิดให้ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “iDesign” โฉมใหม่แล้ววันนี้
บอร์ด โนเบิล  ขาย 2 เงินลงทุนใน 2 โครงการ 867.57 ล้าน ให้ พราว เรียล เอสเตท

บอร์ด โนเบิล ขาย 2 เงินลงทุนใน 2 โครงการ 867.57 ล้าน ให้ พราว เรียล เอสเตท

โนเบิล บอร์ด โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ ไฟเขียวขายเงินลงทุนใน 2 โครงการร่วมทุน ได้แก่ โครงการ นิว ดิสทริค อาร์ 9 และโครงการนิว ครอส คูคต สเตชัน ให้ พราว เรียว เอสเตท  คิดเป็นมูลค่า 867.57 ล้าน  ตามสัดส่วนที่โนเบิลถือหุ้น 50%    นายธงชัย บุศราพันธ์ รองประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOBLE ​ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา ได้มีมติอนุมัติให้บริษัทฯ จำหน่ายหุ้นสามัญทั้งหมดที่บริษัทฯ ถืออยู่ในบริษัทร่วมทุน 2 แห่ง ได้แก่  บริษัท พระราม 9 อัลไลแอนซ์ จำกัด (“PA9”) เป็นผู้พัฒนาโครงการนิว ดิสทริค อาร์ 9 (Nue District R9) บริษัท คูคต สเตชัน อัลไลแอนซ์ จำกัด (“KK”) เป็นผู้พัฒนาโครงการนิว ครอส คูคต สเตชัน (Nue Cross Khu Khot Station ) พร้อมโอนสิทธิเรียกร้องของบริษัทฯ ในหนี้เงินกู้ยืมบางส่วนที่บริษัทร่วมทุนมีอยู่ต่อบริษัทฯ ให้แก่บริษัท พราว เรียล เอสเตล จำกัด (มหาชน) (“PROUD”) โดยคิดเป็นมูลค่า 867.57 ล้านบาทตามสัดส่วนที่ NOBLE ถือหุ้น 50% สาเหตุที่บริษัทฯ ทำรายการขายในโครงการดังกล่าว เป็นไปตามกลยุทธ์ในการดำเนินการ ที่มีความต้องการสร้างอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นและผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูงที่สุด จากการลดระยะเวลาการถือครองและรับรู้กำไรที่สมเหตุสมผล โครงการร่วมทุนทั้ง 2 โครงการเป็นโครงการที่ประสบความสำเร็จในการขายอย่างสูง โดยโครงการนิว ครอส คูคต สเตชัน ซึ่งปัจจุบันได้ sold out ไปที่เรียบร้อย ส่วนโครงการนิว ดิสทริค อาร์ 9 ปัจจุบันมียอดขายแล้วกว่า 83% อีกทั้งมูลค่าการขายของทั้ง 2 โครงการยังถือเป็นการขายในมูลค่าที่สร้างผลตอบแทนที่ดีทั้งในแง่ของกำไรที่รับรู้ได้และกระแสเงินสดที่ได้กลับมา   รวมถึงค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ที่จะได้รับในฐานะเป็นผู้บริหารโครงการร่วมทุน ดังนั้น บริษัทฯ จึงมองว่าการขายทั้ง 2 โครงการในช่วงจังหวะนี้เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม และสามารถนำเงินสดมาหมุนเวียนเพื่อนำไปลงทุนในโครงการใหม่ ๆ ที่ได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้น รวมถึงยังเป็นการปรับปรุงโครงสร้างเงินทุนของบริษัทฯ อีกด้วย นอกจากนี้ การขายโครงการดังกล่าวยังเป็นการปรับ Portfolio ของโครงการร่วมทุนเพื่อที่จะเพิ่มโครงการร่วมทุนใหม่ ๆในอนาคต ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ มีโครงการร่วมทุนกับบริษัท ทีเอ็นแอล อัลไลแอนซ์ จำกัด (“TNLA”)  ที่เปิดโครงการทั้งหมดแล้ว 9 โครงการ มูลค่ารวม 28,400 ล้านบาท   บริษัทฯ ยังทำหน้าที่เป็นผู้บริหารโครงการในบทบาทเดิม ซึ่งโครงการจะถูกบริหารภายใต้ บริษัทฯ เช่นเดิมทุกประการ รวมถึงชื่อโครงการ การก่อสร้างตามข้อผูกพันเดิมกับลูกค้าตามรายละเอียดที่ได้กำหนดไว้ในสัญญาจะซื้อจะขายรวมไปถึงการบริหารโครงการหลังการขายและการรับประกันผลงานการก่อสร้าง เพื่อให้ไม่มีผลกระทบใดๆ กับลูกค้า   สำหรับกระบวนการขายเงินลงทุนและโอนหุ้นใน PA9 และ KK รวมถึงเงินกู้ยืมผู้ถือหุ้นบางส่วนจะเกิดขึ้นภายหลังจากที่คู่สัญญาแต่ละฝ่ายได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขบังคับก่อนที่กำหนดไว้ในสัญญาซื้อขายหุ้นครบถ้วนแล้ว ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นภายในสิ้นเดือนกรกฎาคม 2566  ส่งผลให้บริษัทฯ จะสามารถบันทึกกำไรพิเศษในไตรมาส 3 ปี 2566   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ โชว์รายได้-กำไรไตรมาสแรกโต รับเศรษฐกิจ-ยอดต่างชาติฟื้น  -[PR News]โนเบิลเปิดตัว Noble Curate “ตัวคุณกำหนดทุกสิ่ง” ร่วมกับ 6 ไอคอนสถาปนิกไทย -เปิดเหตุผล พราว เรียลเอสเตท บุกตลาดกทม. กับวิธีทางสร้างรายได้ 15,000 ล้าน -พราว เรียลเอสเตท ปั้นโปรเจ็กต์ “เวหา” 2,290 ล้าน ชู 6 ไฮไลท์คอนโดลักชัวรี่สูงสุดในหัวหิน
อมรินทร์กรุ๊ป ทรานส์ฟอร์มจากธุรกิจสิ่งพิมพ์  สู่ Omni Media – Omni Chanel

อมรินทร์กรุ๊ป ทรานส์ฟอร์มจากธุรกิจสิ่งพิมพ์ สู่ Omni Media – Omni Chanel

อมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง ประกาศเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น อมรินทร์ คอร์เปอเรชั่นส์ อย่างเป็นทางการ ตอกย้ำการเป็นธุรกิจที่เป็นมากกว่า พริ้นติ้ง หรือ พับลิชชิ่ง สู่ภาพลักษณ์ใหม่ Omni Media - Omni Chanel เป็นธุรกิจที่มีความหลากหลายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจด้านออนไลน์ ธุรกิจด้านอีเวนต์  ธุรกิจด้านดิจิทัล ตั้งเป้าพร้อมขยายโอกาสสู่กิจการด้านอื่นในอนาคต     นางระริน  อุทกะพันธุ์ ปัญจรุ่งโรจน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัทอมรินทร์ คอร์เปอเรชั่นส์ จำกัด(มหาชน)  กล่าวว่า อมรินทร์กรุ๊ป เป็นองค์กรอันดับ 1 ด้านการสื่อสารแบบครบวงจร ผ่านโมเดลธุรกิจที่เป็นกลยุทธ์หลัก Omni Media - Omni Channel  ครอบคลุมสื่อมากที่สุดในประเทศ ผนึกรวมทุกภาคส่วนในเครือ ทั้ง On Print, Online, On Ground, On Air และ On Shop เราผสานรวมกันเพื่อให้บริการแก่ลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ด้วยความครอบคลุมนี้ถือเป็นจุดแข็งและกลยุทธ์สำคัญในการเดินหน้าทำธุรกิจของอมรินทร์กรุ๊ป ซึ่งแบ่งธุรกิจออกเป็น 5 กลุ่มธุรกิจหลัก และ 2 ธุรกิจที่ร่วมทุน ประกอบด้วย 5 กลุ่มธุรกิจอมรินทร์ 1.ธุรกิจมีเดียแอนด์อีเวนต์   ธุรกิจที่ประสานกับสื่อ นิตยสาร สื่อออนไลน์ ไปจนถึงธุรกิจจัดงานแฟร์และอีเวนต์  ที่จะช่วยให้ลูกค้าของอมรินทร์สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2.ธุรกิจสำนักพิมพ์  เป้าหมายเพิ่มจำนวนการผลิตหนังสือเล่มประมาณ 500 ปก และหนังสือดิจิทัลประมาณ  770 เรื่องต่อปี อำนวยความสะดวกให้ลูกค้าโดยสามารถเลือกรูปแบบการอ่านได้มากมายทั้งการอ่านหนังสืออ่านแบบดิจิทัล หรือจะออดิโอ Multi-platformในรูปแบบที่ให้ประสบการณ์ที่ดีที่สุด และมุ่งขยายความหลากหลายของคอนเทนต์เพื่อเข้าถึงคนทุกเพศทุกวัย สร้างสังคมแห่งการอ่านให้ประเทศไทย 3.ธุรกิจสิ่งพิมพ์และบรรจุภัณฑ์   ธุรกิจการพิมพ์ที่ให้บริการได้ตั้งแต่การพิมพ์หนังสือเล่มเดียวไปจนถึงหลักล้านเล่ม นอกจากนี้ยังมุ่งพัฒนาไปที่ธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมภายใต้สัญลักษณ์ AM GREEN 4.ธุรกิจจัดจำหน่ายสื่อสิ่งพิมพ์ และ Digital Content  โดยบริษัทอมรินทร์ บุ๊ค เซ็นเตอร์ จำกัด ที่มีเครือข่ายร้านพันธมิตรมากกว่า 700 แห่งทั่วประเทศ และธุรกิจค้าปลีกอย่างร้านนายอินทร์ และแพลตฟอร์มดิจิทัล ปัจจุบันมีลูกค้ากว่า 26 ล้านรายต่อปี และมีแพลตฟอร์มใหม่อย่าง Mareads ที่สามารถอ่านนิยายเป็นตอนๆ มาให้บริการ ซึ่งเป็นธุรกิจที่ช่วยในการขยายฐานการอ่านและรองรับกลุ่มลูกค้าทั้งในไทยและต่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ 5.ธุรกิจทีวีดิจิทัล  โดยบริษัทอมรินทร์เทเลวิชั่น จำกัด ช่อง AMARIN TV 34HD  เป็นสื่อทีวีดิจิทัลที่ยังรักษาความนิยมของผู้ชมทั่วประเทศอยู่ใน TOP 7 ที่มีครบทุกแพลตฟอร์ม มีรายการที่มีคุณภาพครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายและเข้าถึงผู้ชมทั่วประเทศ ด้วยการเชื่อมต่อประสบการณ์อันหลากหลายผ่านทั้งช่องทาง On Air และ Online ในทุกแพลตฟอร์ม รวมถึงผ่าน 34HD App ที่จะสามารถรับชมรายการผ่านอุปกรณ์ หรือ Device ต่างๆ ได้เข้าถึงง่ายยิ่งขึ้น ทำให้ปัจจุบัน Amarin TV 34HD สามารถเข้าถึงผู้ชมทั่วประเทศเฉลี่ย 10 ล้านคนต่อวัน และมีผู้ติดตามในสื่ออนไลน์ทุกแพลตฟอร์มมากกว่า 42 ล้านคน   ส่วนใน 2 บริษัทที่อมรินทร์ถือหุ้นร่วม คือ บริษัทคาโดคาวะ อมรินทร์ จำกัด เป็นผู้นำในเรื่องของ Light NOVEL และ MANGA และบริษัทเด็กดี อินเตอร์ แอคทีฟ จำกัด ผู้นำตลาดนิยายและ Education Platform ปี 65 ผลประกอบการนิวไฮด์ สำหรับผลประกอบการในปี 2565 ของบริษัทอมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อยมีรายได้รวม 4,274.45 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปีก่อนเป็นจำนวนเงิน 1,313.84 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้นถึง 44.4 % ซึ่งมีเหตุผลหลักมาจาก รายได้จากธุรกิจผลิตงานพิมพ์และจำหน่ายหนังสือมีการเติบโตถึงร้อยละ 91.5 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2564 โดยมาจากการขยายตัวของธุรกิจบรรจุภัณฑ์ และการเติบโตของธุรกิจการจัดจำหน่ายหนังสือเล่มผ่านหน้าร้านหนังสือต่าง ๆ และโดยเฉพาะผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งมีการอัตราการเติบโตถึงร้อยละ 83.4 รายได้จากธุรกิจมีเดียและอีเวนต์ รวมการให้บริการโฆษณาผ่านสื่อสิ่งพิมพ์และสื่อออนไลน์ และการจัดงานแสดงสินค้าและอีเวนต์ต่าง ๆ ซึ่งในปี 2565 มีอัตราการเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 72.9 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2564 โดยเฉพาะรายได้จากการจัดงานแสดงสินค้าที่เติบโตถึงร้อยละ 147.6 โดยบริษัทสามารถดำเนินการจัดงานแสดงสินค้าได้ใกล้เคียงกับแผนงานที่วางไว้ทั้งงานบ้านและสวนแฟร์ที่มีการจัดงานถึง 3 ครั้ง งานอมรินทร์ เบบี้แอนด์ คิดส์ แฟร์ ที่มีการจัดงานในระหว่างปีถึง 4 ครั้ง รวมทั้งงานอื่น ๆ รายได้จากธุรกิจสื่อทีวีดิจิทัล ที่ยังคงรักษาระดับรายได้ไว้ได้ แม้ว่ายอดในการซื้อสื่อทีวีดิจิทัลในอุตสาหกรรมจะมีมูลค่ารวมที่ลดลง แต่บริษัทยังมีรายได้ 1,287.33 ล้านบาท ใกล้เคียงกับรายได้ในปี 2564 ที่มีรายได้ 1,282.36 ล้านบาท 3 ปีเตรียมลงทุนกว่า 2,100 ล้าน         ปี 2566-2568 ตั้งงบลงทุนกว่า 2,100 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น 800 ล้านบาท โอกาสการลงทุนในธุรกิจใหม่ และจากการร่วมมือกับคู่ค้า 600 ล้านบาท คอนเทนต์หนังสือ, ดิจิทัล, โทรทัศน์ ทั้งรูปแบบการซื้อลิขสิทธิ์ต่างประเทศ และสร้าง Local Content เพื่อพัฒนา Soft Power ให้กับประเทศไทย 250 ล้านบาท Infrastructure เช่น การสร้างสตูดิโอใหม่, การพัฒนาพื้นที่ที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์ 250 ล้านบาท Technology เช่น AI, ML เพื่อต่อยอดธุรกิจให้มีประสิทธิภาพ 250 ล้านบาท Packaging เครื่องจักรและเทคโนโลยีการพิมพ์รองรับธุรกิจบรรจุภัณฑ์   นอกจากการดำเนินกิจการต่าง ๆ แล้ว  สิ่งที่เราทำควบคู่มาตลอดเกือบครึ่งศตวรรษ ภายใต้พันธกิจหลัก “เราทำงานเพื่อความสุข และความรุ่งโรจน์ของสังคม” ภายในงาน AMARIN EXPO 2023 จะมีการเปิดตัวโครงการ “อมรินทร์ อาสา” 2 โครงการสำคัญในปีนี้ คือ โครงการ “หนึ่งหัวใจ สู่ชีวิตใหม่” ซึ่งเป็นความร่วมมือกับมูลนิธิโรงพยาบาลเด็ก โดยสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี, บริษัท ซีเจเวิร์ค จำกัด (CJ WORK) และค่ายเพลง   WHAT THE DUCK ในโครงการ “หนึ่งหัวใจ สู่ชีวิตใหม่” ระดมทุน 50 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือเด็กที่ป่วยด้วยโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดขั้นวิกฤต ผ่านรูปแบบมิวสิคแคมเปญ และโครงการ “อ่านพลิกชีวิต” ร่วมบริจาคหนังสือจำนวน 150,000 เล่ม  ให้ห้องสมุดโรงเรียนกว่า 1,000 แห่งทั่วประเทศ   ด้านนายศิริ  บุญพิทักษ์เกศ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทอมรินทร์ เทเลวิชั่น จำกัด ยังเสริมว่า  Amarin TV 34HD เป็นสื่อที่จะช่วยเชื่อมโยงในทุกภาคส่วนเพื่อสร้างสังคม (Community) แห่งการแบ่งปัน และมอบสิ่งดีๆ กลับคืนสู่สังคม เหมือนที่เราได้ทำมาตลอดโดยเฉพาะในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ด้วยการเป็นสื่อกลางช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด - 19  การระดมทุนจากผู้ชมของเราที่มีจิตศรัทธาเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย การนำเสนอคอนเทนต์ที่มีส่วนช่วยคนในสังคมและชุมชน เพื่อที่เราจะเติบโตไปด้วยกัน บนเส้นทางหรือสังคมที่ยั่งยืน ภายใต้สโลแกนและทิศทางการทำงานของเรา “Sustainable Route” เติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนไปกับรายการต่างๆ ของช่องในแบบ “Real Life Entertainment สนุก เข้มข้น บนความจริง” ซึ่งเป็นแนวคิดและจุดยืนหลักของช่อง (Concept & Positioning)  และเป็นเอกลักษณ์ของ Amarin TV 34HD นั่นเอง   ขณะที่นายเจรมัย  พิทักษ์วงศ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจ Media & Event  ยังเสริมว่า ธุรกิจ Media&Event ของเรามีทีมงานที่ทำสื่อหลากหลายในมือ และมีความชำนาญด้านการจัดงานแฟร์และอีเว้นต์  จนได้รับความไว้วางใจจากลูกค้า ทั้งภาครัฐและเอกชน ในการให้จัดแคมเปญ วางแผนการตลาด และจัดงานอีเว้นต์อย่างมากมาย และสำหรับงาน AMARIN EXPO 2023 ที่เรากำลังจัดอยู่ เป็นงานแฟร์ล่าสุดที่ตั้งใจรวบรวมเนื้อหา กิจกรรม และสินค้าหลากหลายแบรนด์จากทั้งเครืออมรินทร์ รวมความสุขให้แก่ทุกครอบครัว สร้างประสบการณ์ใหม่กับ 5 โซน ช็อปสนุกกว่า 1,100 บูธ ได้แก่ บ้านและสวน, Amarin Baby&Kids, กินดีอยู่ดี, Explorers และร้านนายอินทร์   พร้อมกิจกรรมสุดพิเศษ ไม่ว่าจะเป็น  Mini Concert จากศิลปินชื่อดัง, Meet & Greet ศิลปินดารา, พิธีกร และผู้ประกาศข่าวจาก Amarin TV รวมถึงกิจกรรมเสวนาที่น่าสนใจ พร้อม Workshop อีกมากมาย  โดยเราจะใช้ข้อมูลเชิงพฤติกรรมของผู้อ่านจากสื่อออนไลน์ และผู้ชมงาน อีเวนต์ที่จัดในแต่ละปี มาวิเคราะห์อย่างมืออาชีพ และถูกต้องตามหลักการเป็นฐานข้อมูลอ้างอิง เพื่อพัฒนาธุรกิจ  Media & Event ให้เป็นผู้จัดงานที่เข้าถึงผู้บริโภคมากที่สุด และเป็นสื่อออนไลน์ที่ทำได้มากกว่าการเข้าถึง Reach  แต่สามารถให้คำตอบ และทางเลือกที่ดี รวมถึงสร้างความมั่นใจ และสร้างโอกาสให้ธุรกิจต่าง ๆ ให้ลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ   นอกจากงานแฟร์ที่เราจัดเป็นประจำอยู่แล้ว ในปีถัดไป  เราได้เตรียมขยายงานแฟร์ใหม่ๆ เช่น งาน AMARIN EXPO ที่จะไปจัดตามส่วนภูมิภาค เช่น เชียงใหม่ ขอนแก่น หาดใหญ่, งานบ้านและสวน Pets Fair, งาน   บ้านและสวน Garden & Farm Festival, งานกินดี อยู่ดี   และจากการร่วมทุนกับ Dek-D ก็จะมีการขยายงาน  T-CAS ของ Dek-D ร่วมกับ National Geographic Thailand เพื่อให้รองรับผู้มาร่วมงานมากยิ่งขึ้น   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -Review Your Living พาเดินงาน บ้านและสวนแฟร์ 2018
4 ประสบการณ์ใหม่ เกษรอัมรินทร์ การพลิกโฉม อาคารอมรินทร์พลาซ่าอายุ 38 ปี 

4 ประสบการณ์ใหม่ เกษรอัมรินทร์ การพลิกโฉม อาคารอมรินทร์พลาซ่าอายุ 38 ปี 

เกษรวิลเลจ เดินหน้าแผนยกระดับโครงการมิกซ์ยูสเต็มพิกัดสู่การพัฒนา “Placemaking Destination” แห่งแรกและแห่งเดียวใจกลางกรุงเทพฯ เตรียมเผยภาพลักษณ์ใหม่ของ เกษรอัมรินทร์ กับ 4 ไฮไลต์สำคัญ จากการพลิกโฉม อาคารอมรินทร์พลาซ่าอายุ 38 ปี สู่​นิยามใหม่ของพื้นที่ “ที่มีความหมาย”  พร้อมเปิดบริการอย่างเป็นทางการในปลายปี 2566 นี้     นายชาญ ศรีวิกรม์ ประธานบริหารกลุ่มเกษร พร๊อพเพอร์ตี้ กรุ๊ป เปิดเผยว่า​ การยกระดับเกษรวิลเลจสู่ความเป็น Placemaking Destination หรือ พื้นที่ที่มีความหมาย มีความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากการพัฒนาศูนย์กลางไลฟ์สไตล์อื่น ๆ ของกรุงเทพฯ ในปัจจุบัน เราไม่ได้สร้างอาคารขึ้นใหม่ แต่เราเล็งเห็นถึงคุณค่าจากอาคารเก่าที่บ่มเพาะเรื่องราวความเป็นมาและความทรงจำอันรุ่งเรืองในอดีต การรีแบรนด์ “เกษรอัมรินทร์” ครั้งใหญ่ ภายใต้แนวคิด Live your own Legacy   โดยเป็นการนำอาคารอัมรินทร์พลาซ่า ศูนย์การค้าที่เป็นตำนานของกรุงเทพฯ และอยู่คู่ย่านราชประสงค์มานานกว่า 38 ปี มาต่อยอดด้วยดีไซน์และองค์ประกอบใหม่ ๆ ที่สอดประสานไปกับบริบทของโลกปัจจุบันและอนาคต ซึ่งจะสามารถเชื่อมโยงความผูกพันกับผู้คนและชุมชนที่มีความเชื่อในคุณค่าร่วมกัน จุดมุ่งหมายของเราจึงเป็นการสร้างสรรค์สถานที่  "เดิม" ให้กลายเป็นจุดหมายใหม่ของกรุงเทพฯ สำหรับให้ผู้คนได้มาใช้ชีวิตอย่างสุนทรีย์ ไม่ซ้ำใครในแบบฉบับของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการมาสร้างแรงบันดาลใจใหม่ ๆ มองหาทางเลือกของสีสันและกิจกรรมต่าง ๆ ตลอดจนการเติมเต็มประสบการณ์ชีวิตในหลากหลายรูปแบบอย่างที่ใจต้องการอย่างแท้จริง”   ทั้งหมดนี้พร้อมจะพลิกโฉมย่านราชประสงค์สู่ปรากฏการณ์ใหม่ของศูนย์กลางไลฟ์สไตล์ (Bangkok’s Capital of Lifestyle District) ใจกลางเมืองแห่งแรกหนึ่งเดียวของกรุงเทพฯ ผ่านนิยามใหม่ของวิถีการใช้ชีวิตคนเมืองอย่างสุนทรีย์ ด้วยประสบการณ์ที่แตกต่างกัน 4 รูปแบบ 4 ประสบการณ์ใหม่ เกษรอมรินทร์ 1.#MINGLE – Place for Tasteful Moments  โซนอาหารเลิศรส  ด้วยไฮไลต์สำคัญ Hanging Garden พื้นที่อินดอร์กึ่งเอาท์ดอร์ใหม่ด้านหน้าอาคาร โดยมีดีไซน์ฟีเจอร์ของ Gaysorn Cocoon ที่เต็มไปด้วยพืชพันธุ์ไม้ต่าง ๆ โอบล้อมเสาโรมันงามสง่าอันเป็นเอกลักษณ์คู่ตึกเกษรอัมรินทร์ สัมผัสกลิ่นอายของสถานที่อันเป็นตำนานในบรรยากาศร่วมสมัย ซึ่งถือเป็นโหนด (Node) สำคัญหนึ่งเดียวใจกลางย่านราชประสงค์ที่ให้ผู้คนในพื้นที่ได้มารวมตัวพบปะกันในแบบฉบับของตัวเอง ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ พร้อมดื่มด่ำกับอาหารและเครื่องดื่มในคอนเซปต์ใหม่ ๆ ที่รังสรรค์โดยเชฟและมิกโซโลจิสต์มือรางวัล   ตลอดจนอีเวนต์และเอนเตอร์เทนเมนท์สุดพิเศษที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนไปตามโอกาสต่าง ๆ หรืออิ่มเอมกับมื้ออร่อยง่าย ๆ ได้ในทุกวันกับ The COOK ศูนย์รวมความอร่อยจากร้านอาหารสตรีทฟู้ดชื่อดังใจกลางกรุงเทพฯ ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงมายาวนาน  ทั้งนี้เกษรวิลเลจ ยังจัดงานและกิจกรรมต่างๆ ที่รวมเหล่ากูรูด้านอาหารและเครื่องดื่ม หรือผู้ที่สนใจ ได้พบปะสังสรรค์หรือเฉลิมฉลอง อย่างเช่นงาน “เกษร เล วองดองช์″ (Gaysorn Les Vendanges) เทศกาลไวน์ระดับตำนานที่เปิดโอกาสให้คอไวน์ได้สัมผัสสุนทรียรสของไวน์อันเปี่ยมรสนิยมจากทั่วทุกมุมโลก ซึ่งจัดขึ้นในเดือนกันยายนของทุกปี เป็นต้น 2.#ADORE – Place Where Artisans and Admirers Meet  พื้นที่งานศิลป์ในพื้นที่ที่เป็นมากกว่าแหล่งช็อปปิ้งชื่นชมผลงานและเรื่องราวหลากสไตล์จากนักออกแบบ นักสร้างสรรค์ และช่างฝีมือจากไทยและต่างประเทศ ประกอบด้วยพื้นที่ 3 ส่วน เริ่มตั้งแต่ Piazza ซึ่งเป็นลานเอนกประสงค์ด้านหน้าอาคารที่ออกแบบให้เป็นพื้นที่โล่ง กว้างขวาง ไปจนจรดแนวถนนหน้าตึก เพื่อเปิดรับผู้คน และสามารถรองรับการจัดกิจกรรมและอีเวนต์ในรูปแบบใหม่ ๆ Forum โถงด้านในที่อยู่ภายใต้สกายไลท์ หรือหลังคากระจกฉลุลวดลายดอกไม้อันวิจิตรที่ยังรักษาไว้เป็นเอกลักษณ์สำคัญ เป็นพื้นที่อีเวนต์สเปซ สำหรับการแสดงหรือโชว์เคสโปรดักส์ใหม่ หรือผลงานศิลปะอันหลากหลาย เช่นเดียวกับพื้นที่ Atrium และ Cocoon ที่เกษรเซ็นเตอร์และเกษรทาวเวอร์ ที่ได้ร่วมรังสรรค์ผลงานกับศิลปินและนักออกแบบต่างประเทศ อาทิเช่น Biyan หรือ Dries Van Noten และศิลปินและนักออกแบบไทยอย่าง คุณณอน-ชวนล ไคสิริ หรือ คุณยูน-ปัณพัท เตชเมธากุล Infinity Escalator อีกหนึ่งโซนใหม่ซึ่งเป็นพื้นที่รวมร้านค้าสินค้าแฟชั่นไลฟ์สไตล์ ที่มีเรื่องราวอันโดดเด่นไม่ซ้ำใคร ทั้งแบรนด์ไทยและต่างประเทศ พร้อมรังสรรค์โดยคิวเรเตอร์ซึ่งเป็นอินฟลูเอนเซอร์ที่คร่ำหวอดในแวดวงและมีไลฟ์สไตล์เฉพาะตัวอันโดดเด่นหลากหลายรูปแบบ นับเป็นการต่อยอดจาก Designer Lane พื้นที่แห่งสุดยอดประสบการณ์แฟชั่น เครื่องประดับ อุปกรณ์พิเศษที่เหมาะกับแต่ละไลฟ์สไตล์ รวบรวมทั้งแบรนด์ไทยและระดับโลก ไม่ซ้ำใคร สู่การเป็นพื้นที่สำหรับกลุ่มผู้คนที่เป็น like-minded community ได้พบปะ มีปฏิสัมพันธ์ เพื่อเติมพลังการใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า 3.#BOOST – Place for Urbanist Wellness  เสริมสุขภาวะในแบบฉบับคนเมืองไปกับ Gaysorn Urban Wellness รังสรรค์พื้นที่เพื่อให้คนเมืองได้ดูแล และฟื้นฟูตนเองไปกับ 3 องค์ประกอบ ด้านความงาม (Beauty & Aesthetics) ของร่างกายผิวพรรณใบหน้าและเส้นผม ด้านการดูแลสุขภาพกาย (Health & Wellness) คัดสรรประสบการณ์และบริการทางด้านการชะลอวัย การเสริมภูมิคุ้มกัน และฟื้นฟูให้กับร่างกาย หรือการรับประทานอาหารและอาหารเสริมให้ตรงกับแต่ละบุคคล และด้านสุขภาพใจ (Mental Wellbeing) พื้นที่ที่ให้คนเมืองได้หลบหลีกจากความวุ่นวายเพื่อรีแลกซ์และทำให้ร่างกายและจิตใจสงบ ฟื้นฟูสุขภาพใจจากการทำงานและการใช้ชีวิต ทุกการดูแลจะพรั่งพร้อมด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัย พร้อมกับโปรแกรมแบบ Personalized ควบคู่ไปกับการดูแลรักษาที่มีประสิทธิภาพกับผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียง เพื่อสร้างประสบการณ์แห่งการสร้างเสริมสุขภาวะคนเมืองในแบบเฉพาะแต่ละบุคคล 4.#THRIVE – Place to Collaborate & Grow Creatively  สร้างสรรค์ สำเร็จ ในวิถีทำงานคุณภาพ ด้วยสถานที่ทำงานและสังคมที่สร้างแรงบันดาลใจ บนทำเลแยกราชประสงค์ ศูนย์กลางธุรกิจใจกลางเมือง หมุดหมายสำหรับที่ตั้งสำนักงานขององค์กรระดับนานาชาติชั้นนำ ดึงดูดคนทำงานรุ่นใหม่ที่มีความสามารถ ไปกับการเดินทางที่สะดวกสบายด้วยทางเชื่อมสู่บีทีเอส และพรั่งพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์อันหลากหลาย บนพื้นที่สำนักงานเกรดเอในอาคารสถาปัตยกรรมโพสต์โมเดิร์น Gaysorn Amarin Tower ซึ่งมีการออกแบบตกแต่งและปรับปรุงพื้นที่ใหม่เพื่อมอบความสะดวกสบายและสุขภาวะที่ดีแก่คนทำงาน   พื้นที่ Co-Working Space พร้อมโซลูชันการทำงานแบบครบวงจร ตลอดจน Working Pods รองรับรูปแบบการทำงานแบบไฮบริดในโลกธุรกิจยุคใหม่ กระจายอยู่ในจุดต่าง ๆ ทั่วอาคาร เพื่อเพิ่มพื้นที่ภายนอกออฟฟิศให้ผู้ที่ต้องการความยืดหยุ่นและสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมให้เกิดไอเดียสร้างสรรค์ใหม่ ๆ ภายในเกษร วิลเลจ จึงมีพื้นที่อันหลากหลายให้ทุกคนสามารถทำงาน และพบปะหรือประชุมกับพันธมิตรทางธุรกิจ   นอกจากนั้น ยังมี Gaysorn Urban Resort ศูนย์กลางแห่งการแลกเปลี่ยนความรู้สำหรับคนทำงาน ด้วยโปรแกรมกิจกรรมและอีเวนต์สำหรับสายธุรกิจอันหลากหลาย เช่นสายเทค สตาร์ทอัพ และผู้ประกอบการในด้านต่าง ๆ ให้ได้รับรู้ทิศทางธุรกิจของตลาดโลกตลอดทั้งปี ด้วยองค์ประกอบที่ส่งเสริมให้เกิดชุมชนแห่งการทำงานร่วมกัน ทั้งหมดนี้จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจ บ่มเพาะความคิดสร้างสรรค์ ผลักดันนวัตกรรมใหม่ ๆ และสนับสนุนการให้ทุกคนสร้างเรื่องราวแห่งความสำเร็จให้กับตนเอง “การลงทุนรีแบรนด์เกษรอัมรินทร์และพลิกโฉมเกษรวิลเลจด้วยเงินลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาทครั้งนี้ เราเชื่อมั่นว่าจะมีส่วนช่วยในการกระตุ้นเศรษฐกิจและย่านราชประสงค์ให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง ต้อนรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าในปี 66 นี้จะมีจำนวนนักท่องเที่ยงต่างชาติเดินทางเข้ามาเพิ่มสูงขึ้นจากปี 65 ถึงหนึ่งเท่าตัว”      อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -4 โซนไฮไลท์ ใน “เกษรอัมรินทร์”  ชื่อใหม่ของ อัมรินทร์พลาซ่า
เสนาดีเวลลอปเม้นท์ เปิด 7 โปรเจ็กต์ใหม่ Q2 หนุนเป้ายอดขายกว่า 1.8 หมื่นล.

เสนาดีเวลลอปเม้นท์ เปิด 7 โปรเจ็กต์ใหม่ Q2 หนุนเป้ายอดขายกว่า 1.8 หมื่นล.

เสนาดีเวลลอปเม้นท์ โชว์ผลงาน Q 1/2566 โกยรายได้รวม 1,959 ล้าน รับทิศทางตลาดอสังหาฯ ฟื้นตัว พร้อมเดินหน้าเปิดใหม่ 7 โครงการใหม่ในไตรมาส 2  รวมมูลค่า 6,400 ล้าน  มั่นใจผลงานตลดทั้งปีทำตามเป้าทั้งยอดขายและรายได้ หลังแบ็คล็อกหนุนรายได้อีกกว่า  7,356 ล้าน   นางสาวอธิกา บุญรอดชู  ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดสรรเงินทุนและการลงทุน บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำทั้งแนวราบและแนวสูงและในฐานะดีเวลลอปเปอร์รายแรกพัฒนาหมู่บ้านโซลาร์เต็มรูปแบบ เปิดเผยว่า หลังจากทิศทางอสังหาริมทรัพย์ที่เริ่มฟื้นตัว ตามทิศทางเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มเติบโตจากภาคการท่องเที่ยว และการลงทุนที่ปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้การดำเนินงานไตรมาส 1/2566 ของแต่ละดีเวลลอปเปอร์เริ่มสดใสขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป   โดยไตรมาสแรกที่ผ่านมา ทางเสนาสามารถสร้างรายได้รวมจากธุรกิจอสังหาฯ อยู่ที่ 1,959 ล้านบาท มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 90.87 ล้านบาท และมียอดขายรวมอยู่ที่ 2,694 ล้านบาท ส่วนธุรกิจเช่าบริการมีรายได้ 289.88  ล้านบาท และธุรกิจโซลาร์มีรายได้ ​118.23 ล้านบาท สำหรับธุรกิจอสังหาฯ มีการรับรู้รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์โครงการต่าง ๆ  ประกอบด้วย โครงการคอนโดมิเนียม เสนาคิทท์ บางแค เอ็มอาร์ที เฟส2 โครงการเฟล็กซี่ รัตนาธิเบศร์ ,เสนาคิทท์ เอ็มอาร์ที บางแค เฟส 1 ,เดอะคิทท์ ลำลูกกา คลองสอง  ,นิชโมโน สุขุมวิท-ปู่เจ้า ,เสนาคิทท์ เพชรเกษม-พุทธมณฑลสาย 7 ,นิช ไพร์ด เตาปูน อินเตอร์เชนจ์ ,นิช โมโน สุขุมวิทแบริ่ง  ,นิชโมโน รามคำแหง  ,เสนาคิทท์ เวสเกตต์ บางบัวทอง และโครงการเฟล็กซี่ สาทร – เจริญนคร รวมถึงยังรับรู้รายได้ จากการโอนกรรมสิทธิ์ โครงการกลุ่ม SENAJ  ประกอบด้วยโครงการ เจคอนโด  สาทร- กัลพฤกษ์  และโครงการไมอามี่ บางปู   ส่วนโครงการแนวราบ รับรู้รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์จากโครงการหลักประกอบด้วย เสนา อเวนิว 1 และ 2 รังสิตคลอง 1 , เสนาวิลเลจ ติวานนท์ – บางกระดี , เสนา เวล่า  รังสิต คลอง 1 ,  เสนา วิลเลจ วงแหวน- บางบัวทอง และเสนา วิลเลจ  สุขุมวิท -แพรกษา เสนา เวล่า เทพารักษ์ บางบ่อ 2 และโครงการเสนา วีว่า ลาดกระบัง  เป็นต้น นอกจากนี้ บริษัทยังมียอดขายรอรับรู้รายได้ (แบ็คล็อก) ณ วันที่ 31 มีนาคม 2566 คิดคิดเป็นมูลค่า 7,356 ล้านบาท   สำหรับช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา บริษัทได้เปิดตัวโครงการใหม่  3 โครงการ  รวมมูลค่า 2,041 ล้านบาท ประกอบด้วย  1. เสนา วิลล์ รามอินทรา เฟส 3 มูลค่า 59 ล้านบาท 2.เสนาคิทท์ รัตนาธิเบศร์ – บางบัวทอง มูลค่า 1,021 ล้านบาท และ 3. เสนาวิลล์ วงแหวน -บางบัวทอง มูลค่า 961 ล้านบาท  ซึ่งมั่นใจว่าจะส่งผลให้การดำเนินงานในปี 2566 เป็นไปได้ตามเป้าหมายที่วางไว้  โดยมียอดขาย 18,243 ล้านบาท และยอดโอนรวมมูลค่า 16,539 ล้านบาท ส่วนแผนงานในช่วงไตรมาส 2/2566 บริษัทวางแผนเปิดโครงการใหม่เพิ่มทั้งหมด 7 โครงการ รวมมูลค่า 6,477 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการ เฟล็กซี่ สาทร - เจริญนคร เฟส 2 โครงการ เสนาคิทท์ สาทร-กัลปพฤกษ์ เฟส1 โครงการ เสนา เวล่า สุขุมวิท - บางปู  โครงการ เสนาพาร์ค วิลล์ รามอินทรา วงแหวน เฟส 2 โครงการ เสนา วีว่า เทพารักษ์ – บางบ่อโครงการ เฟล็กซี่ บางนา 2  และโครงการ เสนา เวล่า รัตนาธิเบศร์ – บางบัวทอง   อย่างไรก็ตาม เสนายังคงมุ่งมั่นในการพัฒนาโครงการและบริหารธุรกิจเพื่อต่อยอดให้เกิดความหลากหลาย สร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจหลัก พร้อมการพัฒนานวัตกรรมด้านสินค้าและการบริการ สานต่อจุดยืนขององค์กรที่เป็นมากกว่าคนพัฒนาอสังหาฯ ด้วยการเป็น “THE ESSENTIAL LIFELONG TRUSTED PARTNER” เพื่อสร้างความสุขและคุณภาพชีวิตที่ดีในทุกช่วงชีวิต เพื่อธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ ไม่ขายบ้าน-คอนโดอย่างเดียวแล้ว เปิด 10 ธุรกิจใหม่ 3กลุ่ม โฮลดิ้ง
AWC ประกาศ Q1/2566  กำไร 1,422 ล้าน ผลการใช้กลยุทธ์ GROWTH-LED

AWC ประกาศ Q1/2566  กำไร 1,422 ล้าน ผลการใช้กลยุทธ์ GROWTH-LED

AWC ประกาศผลประกอบการไตรมาส 1/2566 เติบโตแข็งแกร่ง กำไรสุทธิ 1,422 ล้านบาท เพิ่มมากกว่าเท่าตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเติบโตนำปี 2562 เทียบก่อนสถานการณ์โควิด-19 ขณะที่ทำ​รายได้ไตรมาสแรกรวม 4,785 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 65.5% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) สะท้อนการดำเนินงานตามกลยุทธ์ GROWTH-LED เพื่อสร้างการเติบโตของกระแสเงินสดอย่างมีประสิทธิภาพ   นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC เผยผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2566 ตามงบการเงินรวมมูลค่ายุติธรรม มีรายได้รวมกว่า 4,785 ล้านบาท เพิ่มขึ้นก้าวกระโดด 65.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยมีกำไรจากการดำเนินงาน (EBITDA) ในไตรมาส 1/2566 กว่า 2,572 ล้านบาท เพิ่มขึ้น  67.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นผลจากการเติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อเนื่องของกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการในทุกเซ็กเมนต์ ซึ่งสามารถสร้างรายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก (RevPAR) ที่ 4,152 บาท สูงกว่าปี 2562 ก่อนสถานการณ์โควิด-19 อัตรา 17%   โดยเฉพาะโรงแรมนอกกรุงเทพฯ และรีสอร์ท ระดับลักซ์ซูรี ที่มีอัตราการเข้าพักสูงโดดเด่น สอดรับการเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ รวมถึงมีจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติที่เข้ามาใช้บริการในกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ ของบริษัทเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในช่วงฤดูกาลการท่องเที่ยวอย่างเทศกาลปีใหม่ ส่งผลให้บริษัทฯ มีศักยภาพในการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง พร้อมสร้างผลกำไรเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด โดยมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,422 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 100.5% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และยังสูงกว่าปี 2562 ก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19 อีกด้วย AWC ยังคงมุ่งพัฒนาทรัพย์สินคุณภาพให้เป็นทรัพย์สินดำเนินงานเพื่อเพิ่มศักยภาพในการสร้างกำไรจากการดำเนินงาน (อิบิทดากลุ่มธุรกิจ) อย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาส 1/2566 บริษัทมีมูลค่าทรัพย์สินดำเนินงานรวมกว่า 119,859 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36,548 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2562 คิดเป็น 43.9% นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนพัฒนาโครงการต่าง ๆ เพื่อสร้างกระแสเงินสดในระยะกลางอย่างแข็งแกร่ง พร้อมเข้าลงทุนทรัพย์สินในสัญญาให้สิทธิ (ROFR) จากกลุ่มทีซีซี และโอกาสการลงทุนทรัพย์สินคุณภาพอื่น ๆ ในระยะยาว และด้วยขนาดของทรัพย์สินคุณภาพที่เติบโตต่อเนื่อง บริษัทเชื่อมั่นว่าจะสามารถสร้างกระแสเงินสดได้อย่างก้าวกระโดดและมั่นคง   จากผลประกอบการที่แข็งแกร่งของ AWC ในไตรมาส 1/2566 ซึ่งเติบโตสูงขึ้นกว่าไตรมาส 4/2565 และก่อนช่วงสถานการณ์โควิด-19 ปี 2562 ถือเป็นสัญญาณบวกของการเริ่มต้นปี โดยผลประกอบการที่เติบโตก้าวกระโดดนี้ มาจากการการดำเนินงานตามกลยุทธ์ GROWTH-LED ผ่านการพัฒนาโครงการทรัพย์สินคุณภาพให้เป็นทรัพย์สินดำเนินงาน โดยมีมูลค่าเพิ่มขึ้นกว่า 36,548 ล้านบาท เมื่อเทียบกับก่อนสถานการณ์โควิด-19 ทั้งสร้างกระแสเงินสดเติบโต พร้อมเร่งสร้างการเติบโตของอัตราผลตอบแทนด้วยการพัฒนาทรัพย์สินเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่หลากหลาย อาทิ ผลดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ ที่มีค่า Revenue Generation Index (RGI) ในภาพรวมสูงกว่าค่าเฉลี่ยเมื่อเทียบกับโรงแรมในกลุ่มเดียวกันที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียง อาทิ โรงแรม แบงค็อก แมริออท เดอะ สุรวงศ์ มีค่า RGI เท่ากับ 201 และโรงแรม คอร์ทยาร์ด แมริออท ภูเก็ต ทาวน์ มีค่า RGI เท่ากับ 195 เป็นต้น และอัตรารายได้เฉลี่ยต่อห้องพักในภาพรวม (RevPAR) สูงถึง 4,152 บาท รวมถึงการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนกำไรจากการดำเนินงานต่อรายได้ ซึ่งไม่รวมมูลค่ายุติธรรม (EBITDA MARGIN) ในไตรมาส 1/2566 ของทั้งกลุ่มบริษัทสูงถึง 45% แข็งแกร่งกว่าไตรมาส 1/2565 อัตรา 14% ธุรกิจโรงแรมและการบริการโต 17% บริษัทเติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อเนื่องในทุกเซ็กเมนต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มรีสอร์ท ระดับลักซ์ซูรี และโรงแรมอื่น ๆ นอกกรุงเทพฯ ซึ่งสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่มีศักยภาพ (High-to-Luxury) สอดรับกับมาตรการการเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ ทำให้มีดีมานด์การท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลปีใหม่สูงขึ้นอย่างเด่นชัด ส่งผลให้รายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก (RevPAR) อยู่ที่ 4,152 บาท ซึ่งสูงกว่าช่วงก่อนสถานการณ์โควิด-19 ในปี 2562 ที่เท่ากับ 3,549 บาท โตขึ้น 17%  โดยในไตรมาส 1/2566 กลุ่มธุรกิจโรงแรมมีรายได้ 2,743 ล้านบาท คิดเป็นกำไรจากการดำเนินงาน (EBITDA) 1,091 ล้านบาท ซึ่งเติบโตก้าวกระโดดเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) หรือเพิ่มขึ้น 28.7% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) AWC มุ่งพัฒนาทรัพย์สินคุณภาพให้เป็นทรัพย์สินดำเนินงานเพื่อเพิ่มมูลค่าอย่างต่อเนื่อง โดยมีจำนวนห้องพักในปัจจุบันรวม 5,588 ห้อง เพิ่มขึ้น 63% เทียบกับก่อนสถานการณ์โควิด-19 รวมทั้งภายในปีนี้ ยังมีแผนเดินหน้าเพิ่มพอร์ตคุณภาพในกลุ่มโรงแรมและการรีแบรนด์โรงแรม ได้แก่ โรงแรม อินน์ไซด์ บาย มีเลีย กรุงเทพ สุขุมวิท และโรงแรม อินเตอร์คอนติเนนตัล เชียงใหม่ แม่ปิง รวมทั้งการรีแบรนด์โรงแรม เลอ เมอริเดียน เชียงใหม่ เป็น โรงแรม แมริออท เชียงใหม่   โดยบริษัทตั้งเป้าเพิ่มจำนวนโรงแรมที่เปิดดำเนินการจาก 20 โรงแรมในปี 2565 เป็น 22 โรงแรม ในปี 2566 รวม 6,036 ห้อง ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพบริษัทให้สามารถตอบสนองความต้องการนักท่องเที่ยวและกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้มากขึ้น นอกจากนี้ บริษัทยังร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลกเสริมความแข็งแกร่งของทรัพย์สินคุณภาพในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ (Assets Enhancement) อาทิ การร่วมมือกับ Accor ในการรีแบรนด์จากโรงแรมแกรนด์ เมอร์เคียว แบงค็อก วินด์เซอร์ เป็นโรงแรม แฟร์มอนท์ แบงคอก สุขุมวิท แห่งแรกในประเทศไทย อสังหาฯ เพื่อการพาณิชย์โต 114% กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อประกอบกิจการค้า (Retail and Wholesale) มีการเติบโตต่อเนื่องของผู้เช่า ซึ่งได้แรงสนับสนุนจากผู้บริโภคและนักท่องเที่ยวออกมาจับจ่ายใช้สอยกันมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มศูนย์การค้าเพื่อการท่องเที่ยว ส่งผลให้รายได้เติบโตมากกว่า 114% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา   นอกจากนี้ บริษัทยังมุ่งพัฒนาโครงการต่าง ๆ เพื่อให้สอดรับกับความต้องการและไลฟ์สไตล์ของกลุ่มผู้บริโภคที่หลากหลาย อาทิ โครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น ผ่านประสบการณ์ “ALL DAY EVERYDAY HAPPINESS” พร้อมการร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลกเปิด “Disney100 Village at Asiatique” การเปิดตัวห้องอาหาร “เดอะ คริสตัลล์ กริลล์ เฮาส์” และ “เดอะ สยาม ที รูมท์” เพื่อยกระดับโครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ สู่การเป็นจุดหมายปลายทางด้านอาหารและเครื่องดื่มระดับโลก ส่งผลให้โครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น มีอัตราการเช่าพื้นที่และอัตราค่าเช่าที่สูงขึ้นสอดรับกับจำนวนลูกค้าที่เข้าใช้บริการที่เพิ่มขึ้นมากกว่า  250% เทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน   บริษัทยังได้มีการเปิดตัว THE PANTIP LIFESTYLE HUB ที่เชียงใหม่ ภายใต้แนวคิด “EVERY HAPPINESS FOR EVERYONE” มุ่งสร้างแลนด์มาร์คไลฟ์สไตล์สำหรับครอบครัวใจกลางเมืองเชียงใหม่ และในเดือนเมษายนที่ผ่านมา AWC ร่วมมือกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ขับเคลื่อนประเทศไทย เป็น “ศูนย์กลางค้าส่งอาหารของภูมิภาค” โดยได้เปิดโมเดลค้าส่งอาหารรูปแบบใหม่ของโครงการ AEC FOOD WHOLESALE PRATUNAM ที่จะตอบโจทย์การค้าส่งอาหารครบวงจร พร้อมเชื่อมผู้ค้าส่งอาหารทั่วโลกกับผู้ซื้อในเขตเศรษฐกิจอาเซียน สำหรับธุรกิจอาคารสำนักงาน (Commercial) ยังคงสร้างกระแสเงินสดให้แก่บริษัทอย่างต่อเนื่อง มาจากความต้องการเช่าพื้นที่สำนักงานเกรด A ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ตอบรับเทรนด์อนาคตที่ผสมผสานการทำงานและไลฟ์สไตล์เข้าด้วยกัน อีกทั้งเป็นสำนักงานที่ได้รับการรับรองมาตรฐานอาคารสีเขียว (Green Building) โดยในไตรมาสที่ผ่านมา AWC ได้เปิดตัว “Co-Living Collective: Empower Future” ที่อาคาร “เอ็มไพร์” เป็นครั้งแรก นำ Co-Living Space กว่า 1,500 ตร.ม. ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทยมาสร้างประสบการณ์พิเศษให้กับผู้เช่าอาคาร ตอบโจทย์ทั้งด้านการทำงานและไลฟ์สไตล์ในที่เดียว AWC ยังคงมุ่งเน้นความสามารถในการทำกำไร และควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ ควบคู่กับการดำเนินการพัฒนาโครงการคุณภาพอย่างต่อเนื่อง”  AWC มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจตามแผนกลยุทธ์เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมสร้างคุณค่าให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วน โดยล่าสุดบริษัทฯ ได้รับรางวัลที่สะท้อนถึงศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ และความโดดเด่นของแบรนด์องค์กร ได้แก่  รางวัล “Thailand’s Top Corporate Brands 2022” ในฐานะองค์กรที่มีมูลค่าแบรนด์องค์กรสูงสุดของประเทศไทย ประจำปี 2565 ในหมวดธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่จัดขึ้นโดยหลักสูตรปริญญาโท สาขาการจัดการแบรนด์และการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ “Asia's Greatest Brand 2023” รางวัลระดับภูมิภาคเอเชีย ในกลุ่มธุรกิจบริการจากงาน Edition of Asian Business & Social Forum - Asia’s Greatest Brands and Leaders 2023 ที่จัดโดย Asia One Magazine นิตยสารธุรกิจชั้นนำของประเทศอินเดีย เพื่อยกย่องผู้นำทางธุรกิจและแบรนด์ที่มีความโดดเด่นในปี 2566   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -หมดยุคห้างสินค้าไอที พันธุ์ทิพย์ ประตูน้ำ AWC ปรับสู่ศูนย์กลางค้าส่งด้านอาหาร ใหญ่สุดในไทย -AWC เดินแผนขยายธุรกิจแสนล้าน เตรียมเปิดโรงแรมใหม่เพิ่มอีก 9 แห่ง
[PR News] แอสเซท ไฟว์ กรุ๊ป โชว์งบไตรมาส 1/66 ทำกำไรเฉียด 87 ล้าน

[PR News] แอสเซท ไฟว์ กรุ๊ป โชว์งบไตรมาส 1/66 ทำกำไรเฉียด 87 ล้าน

แอสเซท ไฟว์ กรุ๊ป โชว์งบไตรมาส 1/66 ทำกำไร New High เฉียด 87 ลบ. โตกว่า 66% หลังโอนบ้านเฟสแรกโครงการ CINQ ROYAL Krungthep Kreetha นายศุภโชค ปัญจทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท ไฟว์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ A5 เปิดเผยว่า บริษัทฯประสบความสำเร็จในการดำเนินงานในไตรมาสแรกของปี 2566 จากภาพรวมของดัชนีความเชื่อผู้บริโภคที่ฟื้นตัวกลับมา หลังจากสถานการณ์ของโรคระบาดคลี่คลาย โดยบริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 86.79 ล้านบาท เติบโต 66.75% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 52.05 ล้านบาท  มีรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์จำนวน 337.01 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.41% จากไตรมาสที่ 1 ปี 2565 โดยมีรายได้มาจากการขายและโอนกรรมสิทธิ์โครงการพร้อมอยู่ทั้งหมด 4 โครงการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกิดจากการโอนกรรมสิทธิ์บ้านเฟสแรกของโครงการแซงค์ รอยัล กรุงเทพกรีฑา ที่เพิ่งเปิดตัวไปในช่วงต้นปี 2566 ซึ่งเป็นโครงการที่บริษัทได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดี อีกทั้ง ไตรมาสที่ 2 ปีนี้บริษัท เตรียมรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากโครงการ Tonson One Residence (ต้นสน วัน เรสซิเดนซ์) คอนโดมิเนียมระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ สูง 29 ชั้น ห้องพักอาศัยเพียง 80 ยูนิต บนทำเลที่ดีที่สุดใจกลางกรุงเทพมหานคร ในซอยต้นสน ย่านเพลินจิต และชิดลม ซึ่งปัจจุบันมียอดจองซื้อแล้วกว่า 87% ล่าสุดเตรียมพร้อมเปิดให้เข้าชมตึกจริง และโอนกรรมสิทธิ์รับรู้รายได้ในเร็วๆ นี้ โครงการ Tonson One Residence  เป็นคอนโด High Rise สูง 29 ชั้น ห้องพักอาศัยเพียง 80 ยูนิต พร้อมลิฟต์ส่วนตัวทุกห้อง บนที่ดินในซอยต้นสน ขนาดประมาณ 1 ไร่ เป็นที่ดินแบบ Freehold มีห้องพักอาศัย 4 รูปแบบ ตั้งแต่แบบ 1 ห้องนอน 2 ห้องนอน  3 ห้องนอน แบบ Penthouse และ Duplex Penthouse จัดเต็ม Facilities อาทิ ห้องรับรองและห้องประชุม, ห้องจัดเลี้ยงและครัวอเนกประสงค์, สระว่ายน้ำระบบน้ำอุ่น, Jacuzzi, ฟิตเนส, ที่จอดรถอัตโนมัติ ทั้งยังโดดเด่นด้านทำเลใกล้ศูนย์การค้าชั้นนำ โรงเรียน มหาวิทยาลัย โรงพยาบาล สวนสาธารณะ เป็นต้น นายศุภโชค กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการฟื้นตัวของภาพรวมเศรษฐกิจ ในปี 2566 บริษัทฯวางกลยุทธ์เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้พอร์ตโฟลิโอ (Portfolio) โดยมีแผนเปิดโครงการใหม่ 4 โครงการ ภายในปี 2567 มูลค่าโครงการรวม 8,400 ล้านบาท  ซึ่งล่าสุดบริษัทฯ ได้รับการสนับสนุนสินเชื่อโครงการจาก ธนาคารเกียรตินาคินภัทร วงเงิน 923 ล้านบาท สำหรับใช้ในการก่อสร้างบ้านเดี่ยวโครงการใหม่ย่านราชพฤกษ์ มูลค่าโครงการ 1,700 ล้านบาท คาดเตรียมเปิดตัวปลายปี 2566 นี้   โครงการดังกล่าวจะถูกพัฒนาภายใต้แบรนด์ "วนา" ต่อยอดความสำเร็จของการพัฒนาโครงการ วนา เรสซิเดนซ์ พระราม9 - ศรีนครินทร์ บ้านเดี่ยว 3 ชั้นระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ ที่ปิดโครงการไปในปีที่ผ่านมา ซึ่งปัจจุบันที่ดินดังกล่าวอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว การที่บริษัทฯได้รับอนุมัติสินเชื่อโครงการครั้งนี้สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพของบริษัทฯ จากสถาบันการเงินดังกล่าว ซึ่งบริษัทฯจะนำมาใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนเพื่อรองรับการพัฒนาโครงการใหม่ต่อไป ต่อเนื่องในปี 2567 เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่อีก 3 โครงการ มูลค่าโครงการ 6,700 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการแบรนด์ "วนา" เป็นโครงการที่ 3 มูลค่าโครงการ 3,400 ล้านบาท โครงการแบรนด์ "แซงค์ รอยัล" โครงการที่ 2 มูลค่าโครงการ 1,600 ล้านบาท และโครงการ "รธานี" ซึ่งเป็นการสร้างแบรนด์ใหม่ขึ้นมา ตั้งอยู่อำเภอบ้านช้าง จังหวัดอุดรธานี มูลค่าโครงการ 1,700 ล้านบาท ทำให้ในปี 2566-2567 บริษัทฯ จะมีโครงการใหม่รวมมูลค่ากว่า 8,400 ล้านบาท โดยทั้ง 3 โครงการมีที่ดินเตรียมพร้อมพัฒนาแล้วทั้งหมด   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -แอสเซท ไฟว์ เปิดบ้านตัวอย่าง โครงการ วนา เรสซิเดนซ์ บ้านเดี่ยวสุดลักซ์ชัวรี่ ตอกย้ำกลุ่มนิชมาร์เก็ตระดับบน โกยยอดขายรวมกว่า 500 ล้านบาท
ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ ประเมินที่อยู่อาศัยปี 66 เจอ 3 ปัจจัยลบกดดันติดลบทุกด้าน​

ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ ประเมินที่อยู่อาศัยปี 66 เจอ 3 ปัจจัยลบกดดันติดลบทุกด้าน​

ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ สรุปอสังหาฯ ไทย ไตรมาสแรก ​ มูลค่าโครงการเปิดใหม่ชะลอตัว ลบไป 38.7%  แนวโน้มทั้งปีน่าจะลดลงในทุกด้าน เหตุปัจจัยลบกดดันทั้งจำนวนและความต้องการ  ประเมิน​ยูนิตโอนฯ ลบ 2% มูลค่าโอนฯ ลบ 4.5% และสินเชื่อปล่อยใหม่ ลบ 6.8%   ดร.วิชัย  วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูล อสังหาริมทรัพย์ (REIC) ได้ติดตามสถานการณ์ปี 2566 อย่างใกล้ชิด พร้อมประเมินว่า ในปีนี้เป็นปีที่มีปัจจัยลบหลายด้าน ซึ่งปัจจัยหลักมีด้วยกัน 3 เรื่อง คือ การยกเลิกการผ่อนคลายมาตรการ LTV ของ ธปท. ที่กระทบต่อคนที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเป็นบ้านสัญญาที่ 2 และ 3 ภาวะหนี้ครัวเรือนที่ยังคงมีอัตราส่วนที่ยังสูงถึงเกือบ 90% ของ GDP ภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น ซึ่งอาจทำให้อัตราดอกเบี้ยปรับสูงขึ้นได้ถึง 1.0% ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่จะทำให้ผู้ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยมีภาระค่าใช้จ่ายมากขึ้น และความสามารถในการผ่อนชำระลดลง ซึ่งจะกระทบต่อยอดขาย ยอดโอนกรรมสิทธิ์ และยอดการปล่อยสินเชื่อของปี 2566 ได้ สรุปสถานการณ์อสังหาฯ Q1 REIC ประเมินสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัย ผ่านข้อมูลจำนวน (อุปทาน) และความต้องการ (อุปสงค์) ประจำไตรมาส 1 ปี 2566 โดยในส่วนของจำนวนการออกใบอนุญาตจัดสรรทั่วประเทศมีจำนวน 15,267 ยูนิต (หน่วย) ลดลง 13.6% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2565 โดยพบว่า ทาวน์เฮ้าส์ ยังคงเป็นประเภทที่มีจำนวนการออกใบอนุญาตจัดสรรมากที่สุดจำนวน 6,290 ยูนิต (41.2%) รองลงมาเป็นบ้านเดี่ยวจำนวน 4,992 ยูนิต (7%) และบ้านแฝดจำนวน 3,233 ยูนิต (21.2%) มีเพียงบ้านแฝดที่ขยายตัว 2.9% แต่บ้านเดี่ยวลดลง 8% และทาวน์เฮ้าส์ลดลง 10.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แสดงให้เห็นการปรับตัวของผู้ประกอบการที่เสนอขายบ้านแฝดในตลาดมากขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับกำลังซื้อที่เพิ่มไม่ทันกับการเพิ่มของต้นทุนในการพัฒนาที่อยู่อาศัย ภาพรวมยูนิตที่อยู่อาศัยแนวราบที่เปิดตัวใหม่ ในไตรมาส 1 ปี 2566 พบว่า บ้านเดี่ยว ลดลง 38.4% แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าบ้านเดี่ยวในระดับราคาตั้งแต่ 15 ล้านบาทขึ้นไป มียูนิตเปิดตัวใหม่เพิ่มขึ้น 180.9% และในระดับราคา 2.51 – 3.00 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 112.5% บ้านแฝด ลดลง 47.2% โดยลดลงในทุกระดับราคา ทาวน์เฮ้าส์ ลดลงสูงสุดถึง 62.9% แต่กลับพบว่า ทาวน์เฮ้าส์ในระดับราคา 5.01 – 20.00 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 56.8% และระดับราคา 1.25 – 1.50 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.8% อาคารพาณิชย์ ลดลง 86.5% โดยเป็นที่สังเกตว่า ระดับราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาท ไม่มียูนิตเปิดตัวใหม่ในไตรมาสนี้ แต่พบยูนิตเปิดตัวใหม่ในระดับราคา 15.01 – 20.00 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40.0% และระดับราคา 10.01 – 15.00 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.8% สำหรับยูนิตเปิดตัวใหม่ของโครงการอาคารชุด ช่วงไตรมาส 1 ปี 2566 พบว่ามีจำนวน 7,260 ยูนิต ลดลงถึง 61.5% หากแยกตามประเภท พบว่า ประเภทห้องสตูดิโอ ลดลง 68.3% แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าระดับราคา 1.51 – 1.75 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 233.3% ระดับราคา 1.751 – 2.00 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 91.6% ระดับราคา 1.251 – 1.50 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34.1% ประเภท 1 ห้องนอน ลดลง -54.4% แต่กลุ่มระดับราคา 1.01 – 1.25 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 160.9% ประเภท 2 ห้องนอน ภาพรวมลดลง 83.0% โดยลดลงในทุกระดับราคา Q1 อสังหาฯ โอนคอนโดเพิ่ม 18.7%  สำหรับด้านความต้องการ ​ไตรมาส 1 ปี 2566 REIC พบว่า มียูนิตโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศจำนวน  84,619 ยูนิต ลดลง ​0.8% และมีมูลค่าโอนกรรมสิทธิ์มีจำนวน 241,167 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.9% ประกอบด้วย การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยแนวราบจำนวน 60,950  ยูนิต ลดลง ​6.8% และมีมูลค่า 170,686  ล้านบาท ลดลง ​0.3% ในขณะที่การโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุด (คอนโดมิเนียม) มีจำนวน  23,669 ยูนิต เพิ่มขึ้น 18.7% และมีมูลค่า 70,481  ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34.7% ทั้งนี้ พบว่า ระดับราคา 01 – 5.00 ล้านบาท (สัดส่วน 15.0%) มีจำนวนเพิ่มขึ้น 12.1% ระดับราคา 01 – 7.50 ล้านบาท (สัดส่วน 5.9%) มีจำนวนเพิ่มขึ้น 17.5% ระดับราคา 51 – 10.00 ล้านบาท (สัดส่วน 2.1%) มีจำนวนเพิ่มขึ้น 34.1% ระดับราคามากกว่า 10 ล้านบาทขึ้นไป (สัดส่วน 0%) เพิ่มขึ้น 22.6% ส่วนระดับราคาที่มีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์เพิ่มขึ้นสูงสุด ได้แก่ ระดับราคา 01 – 3.00 ล้านบาท (สัดส่วน 21.1%) มีจำนวนเพิ่มขึ้น 0.4% ระดับราคา 01 – 5.00 ล้านบาท (สัดส่วน 20.4%) มีจำนวนเพิ่มขึ้น 12.2% ระดับราคา 01 – 7.50 ล้านบาท (สัดส่วน 12.5%) มีจำนวนเพิ่มขึ้น 17.6% ระดับราคา 51 – 10.00 ล้านบาท (สัดส่วน 6.5%) มีจำนวนเพิ่มขึ้น 34.8% ระดับราคามากกว่า 10 ล้านบาทขึ้นไป (สัดส่วน 0%) มีจำนวนเพิ่มขึ้น 15.9% นอกจากนี้ยังพบว่าในช่วงไตรมาส 1 ปี 2566 ยูนิตการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของชาวต่างชาติมีจำนวน  3,775 ยูนิต มีมูลค่า  17,128  ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้นทั้งจำนวนยูนิตและมูลค่า เพิ่มขึ้น 79.2% และ 67.6% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 2565 ซึ่งมีจำนวน  2,107 มีมูลค่า 10,217 ล้านบาท  โดยประเทศจีนยังคงเป็นประเทศที่มีการโอนกรรมสิทธิ์สูงสุด จำนวน 1,747 ยูนิต คิดเป็น 46% มูลค่า 8,191 ล้านบาท คิดเป็น 48% ของมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์คนต่างชาติทั้งหมด   ในด้านข้อมูลสินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลทั่วไปปล่อยใหม่ทั่วประเทศพบว่าไตรมาส 1 ปี 2566 มีมูลค่าสินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลปล่อยใหม่ทั่วประเทศจำนวน 152,817 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.4% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2565 ที่มีจำนวน  143,571 ล้านบาท ขณะที่มีมูลค่าสินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลคงค้างทั่วประเทศจำนวน  4,775,515  ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.2% เมื่อเทียบกับปีก่อน ที่มีจำนวน  4,539,391  ล้านบาท ส่องทิศทางดีมานด์-ซัพพลายที่อยู่อาศัย ปี​ 66 ทั้งนี้จากปัจจัยบวก และปัจจัยลบที่กล่าวมา REIC คาดการณ์ว่าจะมีจำนวน ​และความต้องการที่อยู่อาศัยในปี 2566 ประกอบด้วย จำนวนที่อยู่อาศัย ปี 2566 การออกใบอนุญาตจัดสรรทั่วประเทศ จะมีจำนวนประมาณ 78,269 ยูนิต ลดลง 9.3% หรืออยู่ในช่วง -18.4% ถึง -0.2% เมื่อเทียบกับปี  2565 ที่มีการออกใบอนุญาตจัดสรรทั่วประเทศจำนวน  86,275 ยูนิต  และอุปทานที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่พื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล คาดการณ์ว่าจะมีจำนวน 98,132 ยูนิต ลดลง 10.5% หรืออยู่ในช่วง -19.4% ถึง -1.5% มีมูลค่าประมาณ 505,235 ล้านบาท ลดลง 8.2% หรืออยู่ในช่วง -22.0% ถึง 0.9% เมื่อเทียบกับปี 2565 ซึ่งมีที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่จำนวน 109,591 ยูนิต มูลค่าประมาณ 550,552 ล้านบาท จำนวนที่อยู่อาศัย ปี 2566 REIC คาดการณ์อุปสงค์ที่อยู่อาศัยว่าในปี 2566 จะมียูนิตโอนกรรมสิทธิ์ทั่วประเทศ จำนวน 352,761 ยูนิต ลดลง 10.2% มูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ 1,016,838 ล้านบาท ลดลง 4.5% เมื่อเทียบกับปี 2565 ซึ่งมียูนิตโอนกรรมสิทธิ์จำนวน  392,858  ยูนิต มูลค่า 1,065,008  ล้านบาท แบ่งเป็นการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยแนวราบจำนวน  264,571  ยูนิต ลดลง 7.4%  มูลค่า 753,628 ล้านบาท ลดลง 2.9% เมื่อเทียบกับปี 2565 ซึ่งมีจำนวน 285,731  ยูนิต มูลค่า 776,523  ล้านบาท และที่อยู่อาศัยประเภทอาคารชุดคาดการณ์ว่าจะมียูนิตการโอนกรรมสิทธิ์จำนวน  88,190  ยูนิต ลดลง 17.7% จากปี 2565 ซึ่งมีจำนวน 107,127 ยูนิต มูลค่า 288,485 ล้านบาท   ด้านภาพรวมสินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลปล่อยใหม่ทั่วประเทศ คาดการณ์ว่าปี 2566 จะมีมูลค่าจำนวน 650,764 ล้านบาท ลดลง 6.8% หรืออยู่ในช่วง -16.1% ถึง 2.5% เมื่อเทียบกับปี 2565 ซึ่งมีมูลค่าสินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลปล่อยใหม่ทั่วประเทศจำนวน 698,072 ล้านบาท โดยคาดว่า ปี 2566 จะมีสินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลคงค้างทั่วประเทศจำนวน 4,955,985 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.5% หรืออยู่ในช่วง -5.9% ถึง 9.8% เมื่อเทียบกับปี 2565 ซึ่งมีสินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลคงค้างทั่วประเทศจำนวน  4,741,215 ล้านบาท 3 ปัจจัยเสี่ยงปี 66 สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญในปี 2566 ที่ทาง REIC ประเมินไว้นั้น จะมีด้วยกัน 3 เรื่องหลัก คือ 1ภาวะหนี้ครัวเรือนยังคงอยู่ในระดับที่สูงถึงเกือบ 90% ของ GDP ทำให้สถาบันการเงินยังคงพิจารณาให้สินเชื่อตามเกณฑ์ที่เข้มงวด และกลุ่มผู้มีรายได้น้อย-ปานกลางยังเข้าถึงได้ยาก  ขณะที่ตลาดระดับบนมีจำนวนความต้องการน้อยกว่ามาก   2.ทิศทางดอกเบี้ยยังเป็นขาขึ้น ปี 2566 อาจจะสูงขึ้น 0.75-1.0% ซึ่งต้องติดตามดูการปรับขึ้นดอกเบี้ยของ FED (ล่าสุด CPI ขึ้นมากกว่าคาด) และ ธปท. ประกอบกับ ราคาที่อยู่อาศัยที่มีการปรับตัวขึ้น และไม่มีผ่อนปรน LTV แต่รายได้ของประชาชนยังปรับตัวดีขึ้นไม่แข็งแรงนัก จะทำให้ความสามารถการซื้อและ การกู้ลดลงและจะกระทบต่อยอดขายและยอดโอนกรรมสิทธิ์   3.เศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวไม่เต็มที่และยังไม่แข็งแรง ซึ่งต้องพึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวเป็นหลัก ถ้าปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ขยายตัว อาจทำให้การเกิดเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก และส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อภาคการส่งออกและท่องเที่ยว ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญของไทย อาจเกิดการชะลอตัวเศรษฐกิจได้   ทิศทางอสังหาฯ นับจากนี้ จะเป็นอย่างไร คงต้องเฝ้าจับตาดู เพราะยังมีปัจจัยเรื่องการเมือง ที่ปัจจุบันยังไม่ชัดเจนว่าจะเป็นอย่างไร ซึ่งหากทุกอย่างเรียบร้อยดี ภาวะอสังหาฯ ก็น่าจะได้ผลบวกจากเรื่องนี้ด้วย    อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง -REIC เผย ยอดโอนคอนโดต่างชาติ Q1/65 ลดทั้งจำนวน-มูลค่า เหตุลูกค้าจีนยังปิดประเทศ   -ศูนย์ข้อมูลฯ เปิดอินไซด์ตลาดอสังหาฯ EEC พร้อมส่องทำเลบ้าน-คอนโด ขายดี
ดูโฮม เดินแผนธุรกิจ 3 ปี  ขยายสาขาครบ 36 แห่ง พร้อมกลยุทธ์ “ครบ ถูก ดี”

ดูโฮม เดินแผนธุรกิจ 3 ปี ขยายสาขาครบ 36 แห่ง พร้อมกลยุทธ์ “ครบ ถูก ดี”

ดูโฮม ร้านวัสดุก่อสร้างจากอุบลราชธานี เดินหน้าตามแผนธุรกิจ 3 ปี ขยายสาขาให้ครบ 36 แห่ง เตรียมงบลงทุนกว่า 2,400 ล้าน ขยายเพิ่มอีก 3 สาขาในจ.เชียงราย อยุธยา และปทุมธานี  พร้อมกลยุทธ์ "ถูก ครบ ดี"   นางสาวอริยา ตั้งมิตรประชา รองกรรมการผู้จัดการ สายงานปฏิบัติการและจัดซื้อ บริษัท ดูโฮม จำกัด (มหาชน) หรือ DOHOME เปิดเผยว่า ทิศทางการดำเนินธุรกิจบริษัทตั้งเป้าหมายขยายสาขาให้ครบ 30 แห่งภายใน 3 ปี ซึ่งปัจจุบันมีสาขาขนาดใหญ่แล้ว 21 แห่ง โดยในปีนี้จะเพิ่มสาขาอีก 3 แห่ง ที่จังหวัดเชียงราย อยุธยา และปทุมธานี ขณะเดียวกันยังได้ขยายสาขาขนาดเล็กในชื่อ ToGo อีก 6 แห่งในปีนี้ จากปัจจุบันมีแล้ว 8 แห่ง เพื่อกระจายไปยังชุมชนต่าง ๆ   สำหรับงบประมา​ณการลงทุน คาดว่าจะใช้กว่า 2,400 ล้านบาท แบ่งเป็นสาขาขนาดใหญ่ แห่งละ 800 ล้านบาท ซึ่งใช้เป็นงบลงทุนก่อสร้าง 500 ล้านบาท งบสต็อกสินค้าอีก 300 ล้านบาท ส่วนสาขา ToGo จะใช้งบลงทุนสาขาละประมาณ 10 ล้านบาท   ปัจจุบันดูโฮม ถือเป็นผู้ประกอบการในธุรกิจค้าวัสดุก่อสร้าง ของตกแต่ง และของใช้ในบ้าน ใหญ่เป็นอันดับ 4 เมื่อเทียบกับบริษัทที่ดำเนินธุรกิจและจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และเป็นหนึ่งใน 10 ผู้ดำเนินธุรกิจดังกล่าวในรูปแบบค้าปลีกสมัยใหม่ หรือโมเดิร์นเทรด ที่ปัจจุบันน่าจะมีมูลค่าตลาดของธุรกิจกว่า 400,000-500,000 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่จะเป็นผู้ประกอบการในรูปแบบร้านค้าดั้งเดิมเป็นหลัก   นางสาวอริยา กล่าวว่า หากนับรวมผู้ประกอบการรายใหญ่ในปัจจุบัน 4-5 ราย น่าจะมีส่วนแบ่งการตลาดรวมกันไม่เกิน 20% ของมูลค่าตลาดรวม ขณะที่ดูโฮมน่าจะมีส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 3% ขณะที่ผู้นำตลาดอันดับ 1 น่าจะมีส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 10% ทำให้ธุรกิจนี้ยังมีโอกาสทางการตลาด สามารถสร้างการเติบโตได้อีกมากมาย โดยผลประกอบการในปีที่ผ่านมา ดูโฮมสามารถทำรายได้ 31,530 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 774 ล้านบาทส่วนไตรมาสแรกที่ผ่านมา สามารถทำรายได้ 8,515 ล้านบาท กำไรสุทธิ 258 ล้านบาท ดูโฮม เดินกลยุทธ์ ครบ ถูก ดี ด้านนายอดิศักดิ์ ตั้งมิตรประชา ประธานกรรมการบริหาร กล่าวว่า  ตั้งแต่ช่วง ปี 2562 – 2565 รายได้เติบโตกว่า 75% โดยคาดว่ารายได้ของปี 2566 จะยังสามารถเติบโตได้ ด้วยกลยุทธ์ต่าง ๆ ที่เร่งผลักดันการขายในทุกช่องทาง อีกทั้งยังมีบริการโฮมเซอร์วิสที่พัฒนาให้ตอบโจทย์ลูกค้าและครบวงจรมากขึ้น   เพื่อตอกย้ำความ “ ครบ ถูก ดี ” ให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น พร้อมฉลองครบรอบ 40 ปี Better Together ครบ ถูก ดี ตลอดไป   โดยกลยุทธ์หลักของบริษัทฯ จะดำเนินการภายใต้แนวคิด Better Together ที่ให้ความสำคัญใน 4 เรื่องหลัก      เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่ม ทั้ง กลุ่มผู้ใช้ทั่วไป กลุ่มผู้รับเหมา/ช่าง และกลุ่มร้านค้าช่วง ดังนี้ ครบรุ่น :  ตอบโจทย์ลูกค้าด้วยสินค้าที่หลากหลายหมวดผลิตภัณฑ์และหลากหลายรุ่นสินค้า เช่น เหล็กมีทุกขนาด เครื่องมือช่างมีทุกไซส์ ทุกแบบ เคยมีลูกค้าบอกว่า “ฮาร์ดแวร์ที่หายากดูโฮมมีขาย” อีกทั้งยังมีตัวช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าได้ง่ายขึ้นด้วย ห้องตัวอย่างภายในสโตร์ที่สามารถช่วยสร้างอินสไปรเรชั่นได้ ครบกลุ่ม :  ตอบโจทย์ลูกค้าครบทุกกลุ่ม เช่น ลูกค้าผู้ใช้ทั่วไป, ลูกค้าช่าง, ลูกค้าผู้รับเหมา, ร้านค้าช่วง เรียกว่ามีให้ครบตั้งแต่ลูกค้ารายใหญ่ไปจนรายย่อย และปัจจุบันมีช่องทางการช้อป  ที่หลากหลาย ทั้งสาขาขนาดใหญ่ สาขาขนาดเล็ก (Dohome ToGo) และอีคอมเมิร์ซอีกด้วย ครบเกรด :  ดูโฮม ตอบสนองความต้องการของลูกค้า ด้วยสินค้าเกรดคุณภาพ ที่พร้อมตอบโจทย์ความลูกค้าหลายกลุ่ม เช่น สินค้าเกรดพรีเมียม สินค้าเกรดมาตรฐาน รวมทั้งเกรดพิเศษที่สามารถสั่งพิเศษได้ ครบบริการ :  ดูโฮม ตอบสนองความต้องการด้วยการส่งมอบการบริการด้านต่างๆ อาทิ การบริการด้านการเงินให้ลูกค้าปลีก  เช่น ผ่อน 0%, ลูกค้าโครงการและรับเหมา เช่น วงเงินเครดิตต่อยอดธุรกิจ รวมไปถึงบริการขนส่งสินค้า บริการออกแบบ 3D และยังมีบริการโฮมเซอร์วิส “นายช่าง” ที่พร้อมจะตอบโจทย์คนทำบ้าน นอกจากนี้บริษัทได้พัฒนาระบบการช้อปปิ้งออนไลน์บนเว็บไซต์ www.dohome.co.th  รวมถึงโซเชียลมีเดียช่องทางต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Marketplace Facebook, Line OA, Lazada, Shopee เพื่อเพิ่มความสะดวกและตอบโจทย์ลูกค้าได้มากขึ้น อาทิ การเลือกซื้อสินค้าออนไลน์ บริการจัดส่งถึงบ้าน หรือนัดรับที่สาขา โดยปัจจุบันสินค้าที่จัดจำหน่ายบนเว็บไซต์มีทั้งกลุ่มสินค้าวัสดุก่อสร้าง กลุ่มสินค้าซ่อมแซม และกลุ่มสินค้าตกแต่งบ้าน   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ค้นหาไอเดียสุดว้าว การใช้วัสดุก่อสร้างใน งานสถาปนิก’66 -ใครท็อปฟอร์มสุด ในธุรกิจ ร้านวัสดุ-เฟอร์นิเจอร์ Q3/65
อยากปล่อยเช่าอสังหาฯ ต้องรู้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง  จะได้ไม่มีปัญหาภายหลัง

อยากปล่อยเช่าอสังหาฯ ต้องรู้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง จะได้ไม่มีปัญหาภายหลัง

ปล่อยเช่าอสังหาฯ การปล่อยเช่าอสังหาฯ หรือคอนโดมิเนียม อาจจะดูเหมือนไม่ได้มีอะไรยุ่งยาก ใครเป็นเจ้าของห้องคอนโด บ้าน หรืออาคารพาณิชย์ก็สามารถปล่อยเช่าได้ง่าย ๆ ไม่ยุ่งยากอะไร แต่สำหรับมือใหม่ที่อาจจะยังไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนก็คงต้องหาความรู้ ศึกษาข้อมูล ขั้นตอนและวิธีการเพื่อให้สามารถปล่อยเช่าได้ค่าเช่าตามที่ต้องการ และถูกต้องตามกฎหมายด้วย ​   โดยเรื่องสำคัญ ที่เจ้าของห้องจะต้องดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมาย ในการปล่อยเช่าอสังหาฯ เพื่อผลประโยชน์และความเป็นธรรมของทั้ง 2 ฝ่าย  นั่นก็คือ การทำสัญญาเช่า ที่จะต้องมีรายละเอียดที่ครอบคลุม ชัดเจน และยอมรับด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย ตามที่ระบุไว้ในหนังสือสัญญา เพราะหนังสือสัญญาเช่า จะนำมาใช้เป็นข้อบังคับทางกฎหมาย หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ทำตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในหนังสือสัญญานั่นเอง หากไม่ทำก็ไม่สามารถฟ้องร้องกันได้ วันนี้ Reviewyourliving จึงจะมาเล่าให้ฟังว่า หนังสือสัญญาเช่ามีรูปแบบอย่างไรบ้าง ​ การ ปล่อยเช่าอสังหาฯ      การทำสัญญาเช่า จะมีรายละเอียด และข้อปฏิบัติที่แตกต่างกันไป ตามระยะเวลาเช่าที่ได้ตกลงกันไว้ ซึ่งมี 2 รูปแบบ ดังนี้ คือ ​​ 1.สัญญาเช่าแบบไม่เกิน 3 ปี การทำสัญญาเช่าที่มีระยะเวลาไม่เกิน 3 ปี โดยอาจเป็นได้ทั้งสัญญาเช่าคอนโด 1 ปี สัญญาเช่าคอนโด 6 เดือน หรือแบบอื่น ๆ ที่ไม่เกิน 3 ปี กฎหมายระบุว่า กรณีเช่าแบบนี้ต้องมีการลงลายมือชื่อ ทั้งผู้เช่าและผู้ให้เช่า และหากไม่มีหนังสือสัญญาเช่า หากเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทำผิดสัญญา ก็ไม่สามารถฟ้องร้องกันตามกฎหมายได้ 2.สัญญาเช่าแบบเกิน 3 ปี  กฎหมายไทยให้ทำสัญญาเช่าได้สูงสุดไม่เกิน 30 ปี  ซึ่งกรณีที่มีการทำสัญญาเช่ากินกว่า 3 ปี ขึ้นไป หรือตลอดอายุของผู้เช่า/ผู้ให้เช่า กฎหมายกำหนดไว้ว่า ต้องทำสัญญาเช่าเป็นหนังสือ และยังต้องไป “จดทะเบียนการเช่า” และต้องเสียค่าธรรมเนียมการจดทะเบียน ในอัตรา 1% โดยติดตามค่าเช่าตลอดเวลาที่เช่าหรือเงินกินเปล่า หรือทั้งสองอย่างรวมกัน   โดยมีกฎหมายที่มาบังคับใช้ คือ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 538  ที่ระบุไว้ว่า การทำเป็นหนังสือ คือ เอกสารที่มีลายมือชื่อของคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายเป็นหลัก ต่างจากหลักฐานเป็นหนังสือ ซึ่งมีลายมือชื่อของผู้รับผิดเพียงคนเดียวเท่านั้น และที่สำคัญต้องไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ด้วย จึงจะมีผลบังคับใช้ได้ตามกฎหมายตั้งแต่ปีที่ 3 เป็นต้นไป แต่ถ้าหากว่าไม่ได้ไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ดิน แต่มีสัญญาเช่าก็จะมีผลบังคับทางกฎหมายได้เพียง 3 ปี เท่านั้น ในหนังสือสัญญาจะต้องมีการระบุรายละเอียดต่าง ๆ ดังนี้ ค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคที่ผู้เช่าแยกจ่ายเองตามจริง ต้องระบุให้ชัดเจนว่าผู้เช่าต้องจ่ายอะไรบ้าง ข้อกำหนดของคอนโดแห่งนั้น เช่น ห้ามเลี้ยงสัตว์ ห้ามสูบบุหรี่ รายการเฟอร์นิเจอร์ และสิ่งของทั้งหมดที่เรา นำมาไว้ให้ผู้เช่าได้ใช้  หากสูญหาย หรือชำรุด เวลาคืนห้องตอนหมดสัญญาเช่าด้วย จะต้องหาซื้อมาคืน หรือชำระเป็นเงินตามมูลค่า​ เงื่อนไขอื่น ๆ เช่น ห้ามต่อเติม เปลี่ยนแปลงห้องพัก การซ่อมแซมบำรุง​​เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในห้อง ใครจะเป็นคนรับผิดชอบ อย่างเช่นการล้างแอร์ประจำทุก 6 เดือน อีกเรื่องที่มีกฎหมายเข้ามาเกี่ยวข้องกับการปล่อยเช่า คือ เจ้าของห้องไม่สามารถ ปล่อยเช่า​คอนโดแบบรายวันได้ เพราะถือว่าผิดกฎหมาย ที่เป็นกฎข้อบังคับเกี่ยวกับโรงแรม ที่ระบุว่า อาคารหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของอาคารที่ปล่อยเช่าเพื่อพักอาศัยเป็นรายวัน เข้าข่ายโรงแรม ต้องขอจดทะเบียนเป็นโรงแรม ซึ่งกรณีที่เป็นโครงการคอนโดจะจดทะเบียนเป็นโรงแรมไม่ได้  นอกจากนี้ ยังขัดกับกฎหมายเกี่ยวกับอาคารชุดที่ระบุว่า ห้ามนำห้องชุดไปจดทะเบียนเป็นโรงแรม เนื่องจากไม่ใช่เจ้าของคนเดียว และถือเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของผู้อื่น เป็นต้น     หมายเหตุ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเช่า -ประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่อง ให้ธุรกิจการให้เช่าอาคารเพื่ออยู่อาศัยเป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ. 2562 -กฎกระทรวงกำหนดประเภทและหลักเกณฑ์การประกอบธุรกิจโรงแรม พ.ศ. 2551   ที่มา- ราชกิจจานุเบกษา, thebkkresidence.com​   อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง -สูตรคำนวณผลตอบแทน ก่อนปล่อยเช่าคอนโด  
ออเนอร์ กรุ๊ป เดินหน้าเปิด 5 โปรเจ็กต์ในพัทยา ก่อนบุกภูเก็ต-สมุย-กระบี่

ออเนอร์ กรุ๊ป เดินหน้าเปิด 5 โปรเจ็กต์ในพัทยา ก่อนบุกภูเก็ต-สมุย-กระบี่

ออเนอร์ กรุ๊ป วางแผนเปิด 5 โปรเจ็กต์ ไม่ต่ำกว่า 6,000 ล้าน ทั้งคอนโดและโรงแรม เดินหน้าลุยพัฒนาโครงการอสังหาฯ ในเมืองพัทยา ขณะที่โครงการ วันส์ พัทยา กวาดยอดขายแล้ว 90% คาดในไตรมาส 2 เตรียมปิดโครงการ พร้อมโอนสร้างรายได้ เล็งลุยตลาดภูเก็ต สมุย กระบี่    นายคริส เชิดสุริยา ที่ปรึกษาคณะกรรมการบริหาร บริษัท ออเนอร์ กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทวางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ในปีนี้ 5 โครงการ ประกอบด้วย โครงการโรงแรม ฮิลตัน การ์เด้น อินน์ พัทยา ซิตี้ (HILTON GARDEN INN PATTAYA CITY) มูลค่า 1,500 ล้านบาท ตั้งอยู่บนเนื้อที่ดิน 2 ไร่ จากทั้งหมด 4.5 ไร่ ติดถนนพัทยาสาย 3 เป็นอาคารสูง 29 ชั้น ขนาด 300 ห้อง พร้อมร้านค้าปลีก 6 ร้าน ขนาดพื้นที่รวม 2,000 ตารางเมตร กำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2568 โครงการบ้านแนวราบ พูลวิลล่า มูลค่า 600 ล้านบาท บนทำเลนาจอมเทียน ซอย 2 (ซอยร้านอาหารปูเป็น) บนพื้นที่ 8 ไร่ จำนวน 30 ยูนิต ราคาขายประมาณ 30-40 ล้านบาท โครงการบ้านแนวราบ “ระดับลักชัวรี่” บนพื้นที่ 32 ไร่ จำนวน 110 ยูนิต รวมมูลค่า 700-800 ล้านบาท ราคาประมาณ 8-10 ล้านบาท ตั้งอยู่บริเวณรอบอ่างเก็บน้ำมาบประชัน โครงการโรงแรม ยังอยู่ระหว่างการวางแผนงาน โครงการคอนโด มูลค่าไม่ต่ำกว่า 2,200 ล้านบาท ยังอยู่ระหว่างการวางแผนงาน   ปัจจุบันบริษัทมีแลนด์แบงก์สะสมอยู่ 7 แปลง เพื่อใช้ในการพัฒนาโครงการปัจจุบันและอนาคต ซึ่งยังคงมองหาซื้อที่ดินใหม่เข้ามาเพิ่มอย่างต่อเนื่อง แต่ที่ดินพัทยาค่อนข้าหายาก และมีราคาสูงจนไม่สามารถซื้อมาพัฒนาโครงการได้ ซึ่งบริษัทมีการศึกษาและมองหาโอกาสในการพัฒนาโครงการในพื้นที่เมืองท่องเที่ยวอื่น นอกเหนือจากพัทยาด้วย อาทิ สมุย ภูเก็ต และกระบี่ แต่ปัจจุบันยังโฟกัสตลาดพัทยาเป็นหลัก พัทยาหาที่ดินยาก เป็นอุปสรรคอันดับหนึ่งในการพัฒนา และมีราคาสูงจนไม่สามารถพัฒนาโครงการได้ ราคาที่ดินตอนนี้ระดับวาละ 3-4 แสนบาท ถ้าติดทะเลก็หลักวาละล้านบาท ด้านนางสาวธิดา เชิดสุริยา ประธานกรรมการบริหาร บริษัทในเครือออเนอร์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า สำหรับ​โครงการ คอนโด “วันส์ พัทยา” (ONCE PATTAYA) ปัจจุบันได้เสร็จสมบูรณ์ 100% ซึ่งเป็นหนึ่งโครงการมิกซ์ยูส ที่รวม 3 โครงการเข้าด้วยกัน ได้แก่ 1. วันส์ พัทยา (ONCE PATTAYA) คอนโด 2.โรงแรมฮิลตัน การ์เด้น อินน์ พัทยา ซิตี้ (HILTON GARDEN INN PATTAYA CITY) และ 3.ศูนย์รวมร้านค้า โดยโครงการวันส์ พัทยา​ เป็นอาคารสูง 32 ชั้น จำนวนห้องพักอาศัยรวม 427 ยูนิต ขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่  28.4-201 ตารางเมตร ราคาขายเฉลี่ย 140,000 บาทต่อตารางเมตร มูลค่าโครงการกว่า 2,200 ล้านบาท  ปัจจุบันมียอดขายแล้วกว่า 90% โดยโครงการยังได้มอบบัตรสมาชิก “ไทยแลนด์ อีลิท” ของบริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด (ทีพีซี) เพื่อรับสิทธิพิเศษ Privilege Elite Visa สามารถอยู่อาศัยระยะยาวแบบ Long Stay Visa ในเมืองไทยได้นานถึง 20 ปี   ปัจจุบันมีเริ่มรับรู้รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ โดยมีมูลค่าประมาณ 300-400 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 20% คาดว่าภายในปีนี้จะทำการปิดโครงการได้ภายในไตรมาส 2 หรืออย่างช้าในช่วงต้นไตรมาส 3 และคาดว่าจะทำการโอนกรรมสิทธิ์ได้ทั้งหมดภายในปีนี้ หรืออย่าช้าภายในต้นปีหน้า ส่วนความคืบหน้าการพัฒนาโรงแรมฮิลตัน การ์เด้น อินน์ พัทยา ซิตี้ (HILTON GARDEN INN PATTAYA CITY) เป็นไปตามแผนงานของบริษัทฯ เดินหน้าพัฒนาอย่างเต็มที่ภายหลังจากที่ได้รับสินเชื่อจากธนาคารยูโอบี ซึ่งการได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากธนาคารขนาดใหญ่   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -“ออเนอร์ กรุ๊ป” ทุ่ม 2,000 ล้าน ปั้นโปรเจ็กต์ ONCE PATTAYA มั่นใจทำเลพัทยาไปได้อีกไกล 
บางกอกแลนด์ ลุยธุรกิจโรงเรียนสอนอาหาร ปั้น​ เลอโนท ประเทศไทย ​เจาะตลาดเอเซีย

บางกอกแลนด์ ลุยธุรกิจโรงเรียนสอนอาหาร ปั้น​ เลอโนท ประเทศไทย ​เจาะตลาดเอเซีย

บางกอกแลนด์  ลุยธุรกิจโรงเรียนสอนอาหาร รับเทรนด์อุตสาหกรรมและไมซ์เติบโต ปั้น​ เลอโนท ประเทศไทย ​เสริมทักษะอาชีพ พร้อมตั้งเอเจนต์ขยายฐานนักเรียนกลุ่มต่างชาติทั่วเอเซีย คาดปี 2567 จำนวนนักเรียนเพิ่มเป็น 80% ของหลักสูตรที่เปิดสอน   นายพอลล์ กาญจนพาสน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บางกอกแลนด์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารโรงเรียนสอนประกอบอาหาร เลอโนท ประเทศไทย เปิดเผยว่า ​ปัจจุบันอุตสาหกรรมอาหารและอุตสาหกรรมไมซ์ ถือเป็นส่วนสำคัญของธุรกิจท่องเที่ยวและสร้างรายได้อันดับต้น ๆ ให้แก่ประเทศ สะท้อนจากจำนวนร้านอาหารทั้งกลุ่ม Fine Dining สตรีทฟู้ด ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่จำนวนโรงเรียนสอนประกอบอาหารในไทยกลับมีจำนวนไม่มาก ด้วยแนวโน้มดังกล่าว บริษัทจึงได้เปิดตัวโรงเรียนสอนประกอบอาหาร เลอโนท ประเทศไทย (Lenôtre Culinary Arts School Thailand) อย่างเป็นทางการเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา  ถือเป็นสาขาแรกนอกประเทศฝรั่งเศส และสาขาเดียวในภูมิภาคเอเซีย โดยหลักสูตรของโรงเรียนสอนประกอบอาหาร เลอโนท ประเทศไทย แบ่งเป็น 2 ระดับ ได้แก่ หลักสูตรประกาศนียบัตร แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ การประกอบอาหารคาว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเป็นเชฟมืออาชีพ หรือต้องการเปลี่ยนอาชีพมาสู่การเป็นเชฟผู้เชี่ยวชาญในการผลิตและการจัดการอาหารประเภทอาหารคาวโดยเฉพาะ ใช้ระยะเวลาในการเรียนจำนวน 840 ชั่วโมง การทำขนมอบ  เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเป็นเชฟมืออาชีพในการผลิตขนมอบหรือการจัดการอาหารประเภทขนมอบโดยเฉพาะ ใช้ระยะเวลาในการเรียนจำนวน 840 ชั่วโมง การทำขนมปัง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเป็นเชฟมืออาชีพในการผลิตหรือการจัดการอาหารประเภทขนมปังโดยเฉพาะใช้ระยะเวลาในการเรียนจำนวน 520 ชั่วโมง หลักสูตรระยะสั้น เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีพื้นฐานในด้านการประกอบอาหารหรือขนมมาก่อน ไปจนถึงผู้เรียนระดับมืออาชีพที่ต้องการเสริมทักษะเพื่อนำไปใช้ต่อยอดธุรกิจ ทั้งยังมีการฝึกอบรมในหัวข้อพิเศษตามฤดูกาลและเทศกาลต่างๆ ที่ใช้ระยะเวลาในการเรียนจำนวน 4 ชั่วโมงขึ้นไป เช่น การทำเมนูพาสต้า Multicolor Tagliatelle Fresh Pasta ,Langoustine Ravioli with Bisque เมนูจากเนื้อสัตว์และสัตว์ปีก(On the ground) เมนูจากเนื้อปลา หอย กุ้งและปู (Under the sea) เมนูตับห่าน (Foie gras) เค้กขอนไม้สำหรับวันคริสมาสต์ (Bûche de Noël) การทำมาการอง ศิลปะการทำช็อกโกแลตและขนมเค้ก เค้กและเค้กเนื้อนิ่ม (Soft Cake and Moelleux) การทำทาร์ตช็อกโกแลตและทาร์ตเลมอน ศิลปะการทำอ็องเทรอแม(Entremet) เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีคอร์สวีไอพี และ Chef Table ด้วย ล่าสุดโรงเรียสอนประกอบอาหารเลอโนท ประเทศไทย ได้รับใบอนุญาตจัดตั้งเป็นโรงเรียนนอกระบบ ประเภทวิชาชีพ จากกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถนำไปประกอบอาชีพหรือเพิ่มเติมทักษะในการประกอบอาชีพได้ ขณะเดียวกันได้แต่งตั้งตัวแทน (Agent) เพื่อทำหน้าที่ให้คำแนะนำ ประสานงาน จัดหานักเรียนหรือผู้สนใจจากทั่วเอเซียเข้ามาเรียนที่โรงเรียนสอนประกอบอาหาร เลอโนท ประเทศไทย โดยเฉพาะกลุ่มตลาดจีน เนื่องจากมีความสนใจเรียนประกอบอาหารเพิ่มขึ้น   โดยโรงเรียนสอนประกอบอาหารเลอโนท ปารีส ประเทศฝรั่งเศส ถือเป็นโรงเรียนสอนประกอบอาหารอันดับต้นๆ ที่ได้รับความนิยมจากชาวจีน ซึ่งถือเป็นโอกาสของเลอโนท ประเทศไทย เพราะเดินทางใกล้ ค่าใช้จ่ายถูก ที่สำคัญรูปแบบการเรียนการสอนเป็นไปตามแนวทางที่เลอโนท ปารีส ประเทศฝรั่งเศสกำหนด ด้วยทีมสอนมืออาชีพจากประเทศฝรั่งเศส โดยเปิดรับนักเรียนห้องละ 12 ท่าน เพื่อประสิทธิภาพในการสอน จึงมั่นใจได้ว่ามาเรียนที่เลอโนท ประเทศไทย เสมือนได้บินไปเรียนที่เลอโนท ปารีส ประเทศฝรั่งเศส   สำหรับเดือนพฤษภาคมนี้ได้เปิดหลักสูตรระยะสั้นครอบคลุมทั้งเมนูสำหรับเด็ก อาหารเพื่อสุขภาพ ศิลปะการปั้นน้ำตาล เพื่อพัฒนาทักษะ การทำอาหาร อาทิ KID’S MENU จำนวน 4 ชั่วโมง ราคา 9,000 บาท จะเปิดสอนวันที่ 17 พฤษภาคม 2566 หลักสูตร CHOUX PASTRY จำนวน 6 ชั่วโมง ราคา 12,000 บาท เปิดสอนวันที่ 11 พฤษภาคม 2566 และวันที่ 18 พฤษภาคม 2566 หลักสูตร BEEF  DAY จำนวน 7 ชั่วโมง ราคา 15,000 บาท จะเปิดสอนวันที่ 13 พฤษภาคม 2566 และวันที่ 21 พฤษภาคม 2566 เป็นต้น การมาเรียนที่เลอโนท ไม่ใช่แค่การเข้าเรียนในห้อง รับสูตรอาหารคาวหวานกลับไปเท่านั้น แต่เรามุ่งมั่นออกแบบหลักสูตร เพื่อให้คุณได้ความรู้ ทักษะ และประสบการณ์จากการลงมือปฏิบัติจริง จากทีมเชฟผู้ฝึกสอนที่มากด้วยประสบการณ์ที่จะถ่ายทอดความรู้ทุกขั้นตอนด้วยความเอาใจใส่ และสนับสนุนนักเรียนทุกคนอย่างเต็มที่ เพื่อให้คุณประสบความสำเร็จ โดยเดือนกรกฎาคมนี้เลอโนท ประเทศไทย เตรียมจะเปิดรับสมัครนักเรียนรอบใหม่ เพื่อเข้าเรียนคอร์สระดับเริ่มต้นและระดับสูง ทั้งอาหารคาว ขนมปัง ขนมอบ ทั้งอาหารคาว ขนมปัง ขนมอบ  ทั้งนี้ตั้งเป้าหมายว่าภายในปี 2567 จะมีจำนวนนักเรียนเพิ่มเป็น 80% ของหลักสูตรที่เปิดสอน   นายพอลล์ กล่าวว่า เลอโนท ประเทศไทย ถือเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันให้ ประเทศไทยก้าวสู่การท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ อย่างการท่องเที่ยวเชิงอุตสาหกรรมอาหาร (Food Tourism) เพื่อสร้างหมุดหมายใหม่ที่นักท่องเที่ยวต้องมาเยือน ซึ่งเร็วๆ นี้ มีแผนจะเพิ่มหลักสูตรระยะสั้นเพิ่มขึ้น เพื่อรองรับกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ต้องการเข้ามาเรียนประกอบอาหาร รวมถึงกลุ่มนักธุรกิจต่างชาติที่เดินทางมาร่วมประชุม สัมมนาที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี และต้องการใช้เวลาว่างในการทำกิจกรรมพิเศษ   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -บางกอกแลนด์ เตรียมเปิดใช้รถไฟฟ้าสายสีชมพู 2 สถานีเข้าเมืองทองธานี ปี 68
โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ โชว์รายได้-กำไรไตรมาสแรกโต รับเศรษฐกิจ-ยอดต่างชาติฟื้น 

โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ โชว์รายได้-กำไรไตรมาสแรกโต รับเศรษฐกิจ-ยอดต่างชาติฟื้น 

โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ โนเบิล ประกาศผลงานไตรมาสแรก รับรู้รายได้รวม 2,135 ล้าน เติบโต 43% และกำไรสุทธิแตะ 73 ล้าน พุ่ง 1,195% ขณะที่ยอดขายแตะ 4,402 ล้านบาท หนุน Backlog ในมือเพิ่มเป็น 22,396 ล้านบาท รับอานิสงส์ความมั่นใจฟื้น-ต่างชาติกลับมา ประกาศตอกย้ำรายได้รวมปีนี้ส่อแววแตะ 15,000 ล้าน และยอดขายแตะ 23,000 ล้านตามเป้าหมายที่วางไว้   นายธงชัย บุศราพันธ์ รองประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในไตรมาสแรกที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้รวมที่ 2,135 ล้านบาท เติบโต 43% เมื่อเที่ยบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ​และกำไรสุทธิอยู่ที่ 73 ล้านบาท เติบโต 1,195% โดยมีสาเหตุหลักมาจาก การรับรู้รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ โครงการคอนโดมิเนียม ที่ก่อสร้างแล้วเสร็จต่อเนื่องจากไตรมาส 4/2565 ที่ผ่านมา เช่น โครงการโนเบิล สเตท สุขุมวิท 39 โครงการนิว ศรีนครินทร์–ลาซาล โครงการโนเบิล อราวน์ อารีย์ โครงการนิว งามวงศ์วาน และโครงการนิว เซ็นเตอร์ บางนา เป็นต้น   นอกจากนี้ บริษัทยังมีรายได้จากการให้บริการและบริหารงานก่อสร้าง และมีรายได้อื่นจากการยกเลิกสัญญาและรายได้จากการบริหารโครงการ (Management Fee) ที่เพิ่มมากขึ้นจากโครงการร่วมทุน  ช่วงไตรมาส 1/2566 บริษัทยังมียอดขายรวม (Pre-sale) แตะ 4,402 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นยอดขายจากสินค้าพร้อมขาย (Inventory) จำนวน 1,060 ล้านบาท และเป็นยอดขายจากสินค้าที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและโครงการใหม่จำนวน 3,342 ล้านบาท บริษัทประสบความสำเร็จ จากภาพรวมของความมั่นใจที่ฟื้นตัวกลับมา หลังจากสถานการณ์ของโรคระบาดคลี่คลาย ภาพรวมของเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวและกำลังซื้อของผู้บริโภคกลับมา ส่งผลดีต่อ Sentiment ทั้งลูกค้าในกลุ่มที่เป็นซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง (Real demand) และลูกค้าที่ซื้อเพื่อลงทุน   ขณะเดียวกันในช่วงที่ผ่านมา บริษัทได้เปิดตัวโครงการใหม่ไปแล้วจำนวน 2 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 3,800 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการนิว คอร์ คูคต สเตชัน มูลค่าโครงการ 2,200 ล้านบาท เป็นคอนโดมิเนียม Low-Rise 8 ชั้น จำนวน 6 อาคาร ซึ่งตั้งอยู่ติดถนนใหญ่ลำลูกกาและติดสถานีรถไฟฟ้า โครงการนิว ไฮบ์ สุขสวัสดิ์ มูลค่าโครงการ 1,600 ล้านบาท เป็นทาวน์โฮมและอาคารพาณิชย์ รวมจำนวนยูนิต 156 ยูนิต   ทั้ง 2 โครงการดังกล่าวได้รับผลตอบรับที่ดีจากลูกค้า เนื่องจากรูปแบบโครงการรวมถึงทำเลที่ตั้งสามารถดึงดูดให้ลูกค้าเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้บริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) ณ สิ้นไตรมาส 1/2566 ในมือรวมมูลค่า 22,396 ล้านบาท และคาดว่าจะทยอยรับรู้ภายใน 2-3 ปี   สำหรับในปี 2566 บริษัทเชื่อว่า Sentiment จะยังคงฟื้นตัวดีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหลังจากที่บริษัทได้มีการปรับพอร์ตกระจายฐานลูกค้าต่างชาติให้มีความหลากหลายมากขึ้น เช่น ใต้หวัน สิงคโปร์ และเมียร์มาร์ เป็นต้น เพื่อรองรับการเปิดประเทศโดยเฉพาะปัจจัยการเปิดประเทศของจีนทำให้ความต้องการจากลูกค้าชาวจีนเพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจุบันกลุ่มลูกค้าต่างชาติได้กลับมาคึกคักสู่ภาวะปกติ และนักท่องเที่ยวชาวจีนเริ่มทยอยเข้ามาประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ส่งผลบวกต่อภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยตรงทำให้ยอดขายของลูกค้าชาวต่างชาติเพิ่มสูงขึ้น เช่น โครงการนิว ดิสทริค อาร์ 9 ซึ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียมแนวสูง ติดเซ็นทรัลพระรามเก้า และ MRT เพียง 180 เมตร เชื่อมทุกไลฟ์สไตล์ ใจกลาง New CBD คอนโดฯ คุณภาพ ซึ่งปัจจุบันโครงการมียอดขายแล้วกว่า 81% และมีสัดส่วนยอดขายจากลูกค้าต่างชาติแล้วกว่า 38% จากการฟื้นตัวของภาพรวมเศรษฐกิจ ประกอบกับ Backlog ที่มีในมือ รวมถึงโครงการแนวราบที่จะทยอยเปิดตัว เชื่อว่าจะส่งผลบวกต่อทิศทางการ ดำเนินงานในปีนี้อย่างมีนัยสำคัญ จะเห็นการเติบโตของรายได้รวมที่ระดับ 15,000 ล้านบาท และยอดขายที่ระดับ 23,000 ล้านบาทตามเป้าที่วางไว้ อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จ่ายปันผลเพิ่มหุ้นละ 0.08 บาท พร้อมแผนปี 65 เปิดโครงการใหม่ 47,700 ล้าน
เอพี ไทยแลนด์  4 เดือนแรก ตุนยอดกว่า 14,264 ล้าน เปิด 16 โปรเจ็กต์ใหม่ Q2

เอพี ไทยแลนด์ 4 เดือนแรก ตุนยอดกว่า 14,264 ล้าน เปิด 16 โปรเจ็กต์ใหม่ Q2

เอพี ไทยแลนด์ เผยตัวเลขไตรมาสแรกปี 66 ยังคงเติบโตแข็งแกร่งด้วยแรงส่งจากสินค้าบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม สร้างรายได้รวม 11,805 ล้าน​ พร้อมกำไรสุทธิ 1,478 ล้าน  ขณะที่ยอดขายรวม 4 แรกของปีตุนแล้วกว่า 14,264 ล้าน ขณะเดียวกัน​ เดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่อีก​ 16 โครงการ รวม 21,030 ล้าน​ ในไตรมาส 2   นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ไตรมาส 1 ที่ผ่านมาบริษัทสามารถสร้างรายได้รวมจากสินค้าแนวราบ กลุ่มคอนโดมิเนียม (100% JV) และธุรกิจอื่น ๆ ได้สูงถึง 11,805 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 1,478 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่มีกำไรสุทธิรวม 1,154 ล้านบาท และมีสัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน 0.66 เท่า ซึ่งเป็นไปตามนโยบายในการบริหารจัดการสัดส่วนหนี้สินสุทธิในระดับที่ไม่เกิน 1 เท่า ทั้งนี้ ในไตรมาสที่ผ่านมา สินค้าทาวน์โฮม และบ้านเดี่ยว ยังเป็นคีย์ไดรฟ์สำคัญสร้างการสร้างเติบโตด้านรายได้และกำไร ​โดยรายได้ที่เกิดขึ้นมาจากสินค้าแนวราบมีมูลค่า 8,657 ล้านบาท หรือคิดเป็น 73% ของรายได้รวมทั้งหมด ซึ่งมีบ้านเดี่ยวแบรนด์ THE CITY เป็นกำลังหลักหนุนสร้างรายได้รวมในกลุ่มแนวราบ   สำหรับสินค้ากลุ่มคอนโดมิเนียม ภาพรวมธุรกิจเริ่มมีแนวโน้มเป็นบวก ประกอบกับสัญญาณการโอนกรรมสิทธิ์เริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น โดยไตรมาสที่ผ่านมานอกจากบริษัท จะโอนกรรมสิทธิ์ปิดโครงการ ASPIRE สุขุมวิท-อ่อนนุช เฟส 1 ได้ทั้งโครงการแล้ว  บริษัทยังสร้างรายได้จากการโอนคอนโด ASPIRE รัตนาธิเบศร์ เวสต์ตัน และ ASPIRE เอราวัณ ไพร์ม ได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงคอนโดร่วมทุนอย่าง RHYTHM เจริญกรุง พาวิลเลี่ยน คอนโดโครงการล่าสุดที่เริ่มทยอยรับรู้รายได้ในไตรมาสที่ผ่านมา   ส่วนไตรมาส 2 เอพีเตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งสิ้น 16 โครงการ มูลค่า 21,030 ล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยว 7 โครงการ มูลค่า 9,380 ล้านบาท ทาวน์โฮม 8 โครงการ มูลค่า 8,150 ล้านบาท และคอนโด 1 โครงการ มูลค่า 3,500 ล้านบาท  ขณะที่ข้อมูล ณ วันที่ 30 เมษายน 2566 บริษัทสามารถสร้างยอดขายรวมได้ทั้งสิ้น 14,264 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายสินค้าแนวราบ 10,601 ล้านบาท และคอนโด 3,663 ล้านบาท และมียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) 33,000 ล้านบาท โดยปีนี้บริษัทฯ ยังคงตั้งเป้าการทำงานที่ท้าทายตัวเองมากยิ่งขึ้น ด้วยแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ที่มีมูลค่ามากที่สุดในตลาด จำนวน 58 โครงการ มูลค่ากว่า 77,000 ล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยว 22 โครงการ มูลค่า 34,800 ล้านบาท ทาวน์โฮมจำนวน 27 โครงการ มูลค่า 26,400 ล้านบาท คอนโดมิเนียม 4 โครงการ มูลค่า 11,800 ล้านบาท และโครงการในต่างจังหวัด 5 โครงการ มูลค่า 4,000 ล้านบาท ซึ่งส่งผลให้ทั้งปีเอพีจะมีโครงการพร้อมขายทั้ง กทม. และต่างจังหวัดมากกว่าถึง 192 โครงการ มูลค่ากว่า 165,600 ล้านบาท โดยตั้งเป้ายอดขาย 58,000 ล้านบาท เป้ารายได้รวม 100% JV  ที่ 57,500 ล้านบาท อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เอพี ไทยแลนด์ เผยผลงานปี 65 ทำรายได้ 49,388 ล้าน พร้อมกวาดกำไรเติบโตกว่า 2 -เอพี ไทยแลนด์ ขนบ้าน-คอนโด ขายกว่า 1.65 แสนล้าน ลุยตลาดด้วยแผน INCLUSIVE GROWTH ​​​
เปิด ราคาที่อยู่อาศัย 7 โซน  เขตปทุมวันขึ้นมา 2.5 แสนต่อตร.ม.

เปิด ราคาที่อยู่อาศัย 7 โซน เขตปทุมวันขึ้นมา 2.5 แสนต่อตร.ม.

เปิดราคาที่อยู่อาศัย ในไตรมาสแรกที่ผ่านมา กับ 7 โซนที่ขยับสูง 3-6% พื้นที่ CBD ในเขตปทุมวัน ราคาขยับขึ้น 250,000 บ.ต่อตร.ม. ขณะที่ค่าเช่าในทำเลแนวรถไฟฟ้าสายปัจจุบัน และแหล่งงานขนาดใหญ่ ค่าเช่าขยับสูงสุด 8% ในเขต​​ธนบุรี ด้วยราคาค่าเช่า 390 บ./ตร.ม./ด.   ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ ช่วงครึ่งปีแรก​ที่ผ่านมา เติบโตไม่หวือหวา เพราะยังเผชิญปัจจัยท้าทายรอบด้าน แม้ทิศทางเงินเฟ้อเริ่มชะลอตัวแต่กำลังซื้อผู้บริโภคยังไม่แข็งแรงเพียงพอ ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นยังคงเป็นอุปสรรคในการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัย ส่งผลให้ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในไตรมาสที่ผ่านมาลดลง 2%   ขณะที่แนวโน้มราคายังไม่ฟื้นตัว ดัชนีราคาที่อยู่อาศัยก็ปรับลดลงทุกประเภท หลังจากผู้ประกอบการรวมถึงผู้บริโภคที่มีสินค้าอยู่ในมือ ตรึงราคาสินค้าต้นทุนเดิม เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อ ด้านตลาดเช่ามีแนวโน้มเติบโตอย่างน่าสนใจ หลังผู้บริโภคชะลอแผนการซื้อ ส่งผลดัชนีค่าเช่าปรับเพิ่มขึ้น 3%   แม้ภาพรวมความต้องการเช่าจะลดลงจากไตรมาสก่อนเล็กน้อย แต่เพิ่มขึ้น 17% ในรอบปี คาดการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย​ ยังเป็นตัวแปรสำคัญ​ในการตัดสินใจซื้อที่อยู่​อาศัยของผู้บริโภคระดับกลางและล่างในปีนี้ หวังความชัดเจนแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ จะเป็นตัวช่วยสำคัญพลิกฟื้น​เศรษฐกิจพร้อมกระตุ้นกำลังซื้อผู้บริโภค ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกช่วยสร้างการเติบโตแก่ตลาดอสังหาฯ ให้กลับมาคึกคัก​อีกครั้งในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ราคาที่อยู่อาศัยปรับตัวลดลง 18% ข้อมูลล่าสุด จากรายงาน DDproperty Thailand Property Market Report Q2 2566 ซึ่งวิเคราะห์จากข้อมูลประกาศขาย-เช่าอสังหาฯ บนเว็บไซต์ DDproperty พบว่า ภาพรวมดัชนีราคาที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ ปรับตัวลดลง 10% จากไตรมาสก่อน (QoQ) หรือลดลง 18% จากปีก่อนหน้า (YoY) โดยมีการปรับลดลงถึง 31% จากช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดฯ (ไตรมาส 4 ปี 2562) สะท้อนให้เห็นว่าแนวโน้มราคาที่อยู่อาศัยยังชะลอตัวต่อเนื่อง   ทั้งนี้ ดัชนีราคาที่อยู่อาศัยมีการปรับตัวลดลงทุกประเภท ซึ่งเป็นผลจากกำลังซื้อผู้บริโภคที่ยังไม่ฟื้นตัว  ผู้ประกอบการ รวมถึงผู้บริโภคที่มีสินค้าอยู่ในมือ ตรึงราคาขายของสินค้าต้นทุนเดิมไว้ และจัดโปรโมชั่นส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มีเพียงทาวน์เฮ้าส์ที่มีดัชนีราคาทรงตัวจากไตรมาสก่อน ขณะที่ดัชนีราคาบ้านเดี่ยวและคอนโดมิเนียมลดลงในสัดส่วนเท่ากันที่ 4% QoQ สะท้อนให้เห็นว่าความนิยมของที่อยู่อาศัยแนวราบในปีนี้เริ่มชะลอตัวพอสมควร  หากเทียบกับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดฯ พบว่า บ้านเดี่ยวยังมีการเติบโตอย่างน่าสนใจ โดยถือเป็นที่อยู่อาศัยประเภทเดียวที่มีดัชนีราคาเพิ่มขึ้น 6% ขณะที่ทาวน์เฮ้าส์ลดลง 5% และคอนโดฯ ลดลงมากที่สุดถึง 20%   นายวิทยา อภิรักษ์วิริยะ ผู้จัดการทั่วไป Think of Living และ ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (ฝั่งดีเวลลอปเปอร์) กล่าวว่า ปัจจัยบวกที่ช่วยกระตุ้นตลาดอสังหาฯ ในช่วงครึ่งปีแรกที่หลายฝ่ายจับตามอง คือ การที่จีนเปิดประเทศ ซึ่งส่งผลให้ตลาดท่องเที่ยวและตลาดอสังหาฯ มีแนวโน้มเติบโตตามไปด้วย เนื่องจากจีนเป็นกลุ่มลูกค้าหลักที่เข้ามาซื้ออสังหาฯ ไทยมากที่สุด   อย่างไรก็ตาม แม้จะมีปัจจัยบวกจากกำลังซื้อต่างชาติที่เพิ่มขึ้น แต่ตลาดอสังหาฯ ยังคงเผชิญความท้าทายจากกำลังซื้อในประเทศเช่นกัน แม้ภาวะเงินเฟ้อจะชะลอตัวลง แต่ปัจจัยท้าทายสำคัญมาจากอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้น หลังจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายติดต่อกัน ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบันอยู่ที่ 1.75% ต่อปี และยังมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต ส่งผลให้ธนาคารและสถาบันการเงินต่าง ๆ ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ทุกประเภทตามไปด้วย กระทบกับผู้ที่วางแผนซื้อที่อยู่อาศัยและผู้ที่กำลังผ่อนบ้านอยู่อย่างเลี่ยงไม่ได้”   จากแนวโน้มเศรษฐกิจที่ยังไม่แน่นอนและอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น รวมถึงค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการซื้ออสังหาฯ ที่เพิ่มสูงขึ้น อาจส่งผลให้ความสนใจซื้อของผู้บริโภคในประเทศชะลอตัวลง  โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง (Real Demand) ระดับกลางและล่าง ซึ่งต้องพึ่งพาสินเชื่อจากสถาบันการเงินในการกู้ซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง   โดยอาจต้องทบทวนความพร้อมทางการเงินและวางแผนรับมือหากต้องผ่อนบ้านในยุคดอกเบี้ยขาขึ้น ซึ่งจะมีภาระผ่อนชำระเพิ่มขึ้นตามไปด้วย นอกจากนี้ สถาบันการเงินยังมีเกณฑ์การพิจารณาอนุมัติสินเชื่อที่เข้มงวด ซึ่งจะส่งผลให้โอกาสเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยในกลุ่ม Real Demand โดยเฉพาะกลุ่มที่รายได้ยังคงอ่อนแอจะมีความท้าทายยิ่งขึ้น   อย่างไรก็ตาม โครงการรีเซลหรือตลาดบ้านมือสองซึ่งมีต้นทุนราคาเดิมที่ถูกกว่า จึงอาจกลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยในเวลานี้ สำหรับความท้าทายด้านการเงินและกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ยังไม่กลับมา อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ตลาดเช่ามีแนวโน้มเติบโตมากขึ้น โดยเฉพาะในทำเลแหล่งงานและแนวรถไฟฟ้าสายปัจจุบัน เห็นได้ชัดจากความต้องการเช่าที่เพิ่มขึ้น 118% จากช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดฯ และอาจกลายเป็นเทรนด์สำหรับคนยุคปัจจุบันที่ต้องการความยืดหยุ่นในการอยู่อาศัยโดยไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของ และไม่ต้องการมีภาระหนี้ระยะยาว จึงนับเป็นโอกาสของผู้ที่ต้องการซื้ออสังหาฯ เพื่อลงทุนปล่อยเช่าเช่นกัน   อย่างไรก็ตาม แน่นอนว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังคงเป็นหัวใจสำคัญที่ภาคธุรกิจและผู้บริโภคเฝ้ารอ สิ่งที่หลายฝ่ายจับตามองต่อจากนี้ คือ ความชัดเจนของแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ามาขับเคลื่อนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง แก้ปัญหาค่าครองชีพที่สูงขึ้น รวมทั้งช่วยกระตุ้นกำลังซื้อของผู้บริโภคให้กลับมาดีดังเดิม   ขณะเดียวกันผู้พัฒนาอสังหาฯ และผู้บริโภคต่างคาดหวังนโยบายที่เกี่ยวข้องกับภาคอสังหาฯ ที่จะเข้ามาเพิ่มโอกาสให้คนไทยเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยได้ง่ายขึ้นในยุคดอกเบี้ยขาขึ้น รวมทั้งช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของตลาดอสังหาฯ ช่วงครึ่งหลังของปี 2566 ให้ฟื้นตัวดีดังเดิมเช่นกัน เกาะติดทิศทางตลาดที่อยู่อาศัย ส่วนรายงาน DDproperty Thailand Property Market Report Q2 2566 ซึ่งวิเคราะห์จากข้อมูลประกาศขาย-เช่าอสังหาฯ บนเว็บไซต์ DDproperty เผยข้อมูลเชิงลึกของตลาดอสังหาฯ ไทยในไตรมาสล่าสุด พร้อมสรุปภาพรวมดัชนีราคา และความต้องการที่อยู่อาศัยที่น่าจับตามองในตลาดซื้อและเช่า รวมทั้งอัปเดตทำเลศักยภาพที่ดัชนีราคามีแนวโน้มเติบโตอย่างน่าสนใจ ดีมานด์คนซื้อยังไม่ฟื้น ภาพรวมอุปทานหรือจำนวนที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ ไตรมาสที่ผ่านมา พบว่าที่อยู่อาศัยแนวราบยังคงมีสัดส่วนเติบโตต่อเนื่อง โดยบ้านเดี่ยวมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 15% และทาวน์เฮ้าส์มีสัดส่วนที่ 11% ของจำนวนที่อยู่อาศัยทั้งหมดในกรุงเทพฯ (เพิ่มขึ้นในสัดส่วนเท่ากันที่ 3% QoQ) ด้านคอนโดฯ แม้จะครองสัดส่วนมากที่สุดในตลาดถึง 74% แต่มีสัดส่วนลดลง 6% QoQ สะท้อนให้เห็นเทรนด์ที่อยู่อาศัยในช่วงที่ผ่านมาอย่างชัดเจน หลังผู้พัฒนาอสังหาฯ ได้มุ่งเน้นไปที่การเปิดตัวโครงการแนบราบอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับผู้ขายที่มีสินค้าแนวราบต่างนำสินค้าออกมาขายมากขึ้น เพื่อรองรับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ต้องการที่อยู่อาศัยที่มีพื้นที่ใช้สอยเพิ่มขึ้น   ขณะที่ภาพรวมที่อยู่อาศัยส่วนใหญ่มีราคาขายอยู่ที่ 1-3 ล้านบาท ด้วยสัดส่วนถึง 29% ของที่อยู่อาศัยทั้งหมดในกรุงเทพฯ เมื่อพิจารณาตามประเภทอสังหาฯ พบว่า คอนโดฯ (31%) และทาวน์เฮ้าส์ (44%) ส่วนใหญ่มีราคาอยู่ที่ 1-3 ล้านบาท ด้านบ้านเดี่ยวส่วนใหญ่ (41%) มีราคามากกว่า 15 ล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มบ้านระดับพรีเมียมและบ้านหรูที่ตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคระดับบนที่มีกำลังซื้อสูงและมีความพร้อมทางการเงิน ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายที่ผู้พัฒนาอสังหาฯ หันมาทำตลาดทดแทนกำลังซื้อระดับกลางและล่างที่ชะลอตัวลง   อย่างไรก็ดี ภาพรวมความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ ในระยะสั้นมีการปรับตัวลดลง 2% QoQ และลดลง 15% YoY ซึ่งเมื่อพิจารณาตามประเภทที่อยู่อาศัยพบว่าปรับลดลงใกล้เคียงกัน โดยบ้านเดี่ยวลดลงมากที่สุด 3% QoQ และคอนโดฯ ลดลง 2% QoQ มีเพียงทาวน์เฮ้าส์ที่ถือเป็นที่อยู่อาศัยประเภทเดียวที่มีดัชนีความต้องการซื้อเพิ่มขึ้น 1% QoQ หากเปรียบเทียบกับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดฯ จะพบว่าภาพรวมความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นถึง 44% และมีความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างมากในทุกประเภทที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะแนวราบที่มีการเติบโตอย่างเห็นได้ชัด โดยบ้านเดี่ยวมีความต้องการซื้อเพิ่มขึ้นมากถึง 60% ตามมาด้วยทาวน์เฮ้าส์ และคอนโดฯ (เพิ่มขึ้น 47% และ 38% ตามลำดับ) ดังนั้น แม้ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยจะชะลอตัวลงในระยะสั้นในรอบไตรมาส แต่หากมองในระยะยาวยังมีสัญญาณที่ดี 7 ทำเลราคาที่อยู่อาศัยปรับขึ้นสูง สำหรับทำเลที่มีดัชนีราคาที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบไตรมาส ปัจจุบันเริ่มกลับมาอยู่ในย่านใจกลางเมือง และพื้นที่นอกเขตศูนย์กลางธุรกิจแล้ว ต่างจากรอบก่อนหน้าที่ทำเลส่วนใหญ่เป็นพื้นที่กรุงเทพฯ รอบนอก โดยทำเลที่น่าจับตามองในไตรมาสนี้ส่วนใหญ่จะอยู่ในทำเลแนวรถไฟฟ้าสายปัจจุบัน ได้แก่ 1.เขตปทุมวัน เขตปทุมวัน ถือเป็นทำเล CBD ที่มีดัชนีราคาเพิ่มขึ้นมากที่สุด โดยเพิ่มขึ้น 6% QoQ (เพิ่มขึ้น 4% YoY) หรือมีราคาเฉลี่ย 250,000 บ./ตร.อานิสงส์จากการเป็นทำเลใจกลางเมืองหลวงที่มีศูนย์การค้าขนาดใหญ่ และเป็นแหล่งงาน รวมทั้งใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียว สายสุขุมวิท 2.เขตสัมพันธวงศ์ เขตสัมพันธวงศ์ ทำเลนอก CBD ถือเป็นทำเลแหล่งการค้าขนาดใหญ่ เดินทางสะดวกด้วยรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน หัวลำโพง-หลักสอง มีราคาเฉลี่ย 105,000 บ./ตร.ม. มีดัชนีราคาเพิ่มขึ้น 4% QoQ (เพิ่มขึ้น 4% YoY) 3.เขตบางคอแหลม เขตบางคอแหลม ทำเลนอก CBD มีดัชนีราคาเฉลี่ย 110,000 บ./ตร.ม. เพิ่มขึ้น 4% QoQ (ลดลง 7% YoY) ทำเลแหล่งงานย่านพระราม 3 ใกล้สาทร-สีลม ความน่าสนใจอยู่ที่ปัจจุบันยังมีโครงการพัฒนาต่อเนื่อง เช่น ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ 4.เขตคลองสาน เขตคลองสาน ทำเลนอก CBD ราคาเฉลี่ย 134,000 บ./ตร.ม. มีดัชนีราคาเพิ่มขึ้น 3% QoQ (เพิ่มขึ้น 5% YoY) อีกหนึ่งทำเลศูนย์การค้าขนาดใหญ่ ใกล้รถไฟฟ้าสายสีทอง กรุงธนบุรี-คลองสาน 5.เขตคลองสามวา เขตคลองสามวา มีราคาเฉลี่ย 23,000 บ./ตร.ม. หรือมีค่าดัชนีราคาเพิ่มขึ้น 3% QoQ (เพิ่มขึ้น 3% YoY) เป็นทำเลพื้นที่กรุงเทพฯ รอบนอก ที่มีที่อยู่อาศัยส่วนใหญ่เป็นสินค้าแนวราบ ซึ่งตอบโจทย์กลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง (Real Demand) 6.เขตวัฒนา ​ เขตวัฒนา มีดัชนีราคาเพิ่มขึ้น 3% QoQ (ลดลง 2% YoY) หรือมีราคาเฉลี่ย 152,000 บ./ตร.ม. เนื่องจากเป็นทำเลธุรกิจสำคัญของกรุงเทพฯ เป็นแหล่งงานขนาดใหญ่ และใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียว สายสุขุมวิท 7.เขตหลักสี่    เขตหลักสี่ มีดัชนีราคาเพิ่มขึ้น 3% QoQ (ลดลง 25% YoY) มีราคาเฉลี่ย 48,000 บ./ตร.ม. เติบโตจากอานิสงส์ของรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยาย หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต ที่เชื่อมต่อการเดินทางไปยังใจกลางเมืองให้ง่ายขึ้น ที่อยู่แนวรถไฟฟ้าค่าเช่าขยับสูงสุด 8% ภาพรวมดัชนีค่าเช่าในกรุงเทพฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3% QoQ หรือเพิ่มขึ้น 3% YoY แต่ยังต่ำกว่าช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดฯ อยู่ถึง 10% โดยเมื่อแบ่งตามประเภทที่อยู่อาศัยพบว่า มีเพียงทาวน์เฮ้าส์เท่านั้นที่มีดัชนีค่าเช่าเพิ่มขึ้น 2% QoQ (ทรงตัวจากปีก่อนหน้า) ขณะที่บ้านเดี่ยวลดลง 6% QoQ (ลดลง 18% YoY) ด้านคอนโดฯ ยังทรงตัวจากไตรมาสก่อน (เพิ่มขึ้น 2% YoY)   อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาเทียบกับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดฯ พบว่า ดัชนีค่าเช่าของที่อยู่อาศัยแนวราบยังมีทิศทางเติบโต โดยบ้านเดี่ยวมีดัชนีค่าเช่าเพิ่มขึ้น 8% และทาวน์เฮ้าส์ เพิ่มขึ้น 4% สวนทางกับคอนโดฯ ที่ดัชนีค่าเช่าปรับลดลงถึง 12% จากช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดฯ สะท้อนให้เห็นว่าตลาดเช่าคอนโดฯ ยังมีการแข่งขันสูง ผู้ให้เช่าบางส่วนจึงใช้กลยุทธ์ปรับลดราคาให้สอดคล้องกับกำลังซื้อของผู้บริโภคเพื่อดึงดูดการตัดสินใจเช่า   ด้านจำนวนที่อยู่อาศัยสำหรับเช่านั้น แม้คอนโดฯ จะครองสัดส่วนมากที่สุดถึง 93% ของจำนวนที่อยู่อาศัยสำหรับเช่าทั้งหมดในกรุงเทพฯ แต่มีสัดส่วนลดลง 2% QoQ ต่างจากจำนวนที่อยู่อาศัยแนวราบที่มีการปรับเพิ่มในรอบไตรมาส ส่งผลให้บ้านเดี่ยวมีสัดส่วนเพิ่มมาอยู่ที่ 4% และทาวน์เฮ้าส์มีสัดส่วนอยู่ที่ 3% (เพิ่มขึ้นในสัดส่วนเท่ากันที่ 1% QoQ) ทำให้ตลาดเช่ามีตัวเลือกที่อยู่อาศัยแนวราบที่หลากหลายและตอบโจทย์ความต้องการของผู้เช่าที่มีครอบครัวมากขึ้น   สำหรับภาพรวมดัชนีความต้องการเช่าที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ แม้จะปรับลดลง 3% QoQ แต่เพิ่มขึ้น 17% YoY เมื่อพิจารณาตามประเภทที่อยู่อาศัยพบว่า มีเพียงทาวน์เฮ้าส์ที่ดัชนีความต้องการเช่าเพิ่มขึ้น 7% QoQ ขณะที่บ้านเดี่ยวลดลง 8% QoQ และคอนโดฯ ลดลง 3% QoQ   ทั้งนี้ ดีมานด์ในตลาดเช่ายังมีทิศทางเติบโตน่าสนใจ โดยเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดฯ พบว่าดัชนีความต้องการเช่าที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ เพิ่มขึ้นถึง 118% และปรับเพิ่มขึ้นทุกประเภทที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยแนวดิ่งอย่างคอนโดฯ ที่ยังคงครองความนิยมในตลาดเช่า โดยมีดัชนีความต้องการเช่าเพิ่มขึ้น 143% จากช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดฯ ตามมาด้วยบ้านเดี่ยว และทาวน์เฮ้าส์ (เพิ่มขึ้น 36% และ 24% ตามลำดับ) 5 ทำเล ค่าเช่าที่อยู่เพิ่มขึ้นมากสุด ทำเลที่มีดัชนีค่าเช่าเพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบไตรมาส ส่วนใหญ่อยู่ในทำเลแนวรถไฟฟ้าสายปัจจุบัน และเป็นทำเลแหล่งงานขนาดใหญ่ซึ่งมีความต้องการที่อยู่อาศัยสูงตามไปด้วย โดย 5 ทำเล ค่าเช่าที่อยู่เพิ่มขึ้นมากสุด ได้แก่ 1.เขตธนบุรี เขตธนบุรี ดัชนีค่าเช่าเพิ่มขึ้นถึง 8% QoQ (เพิ่มขึ้น 8% YoY) มีค่าเช่า 390 บ./ตร.ม./ด. ความน่าสนใจอยู่ที่เป็นทำเลใกล้ย่านธุรกิจ และสามารถเดินทางสะดวกด้วยรถไฟฟ้าสายสีเขียว สายสีลม 2.เขตสัมพันธวงศ์ เขตสัมพันธวงศ์ ดัชนีค่าเช่าเพิ่มขึ้น 8% QoQ (ทรงตัวจากปีก่อนหน้า) ด้วยค่าเช่า 360 บ./ตร.ม./ด. ซึ่งถือ เป็นทำเลแหล่งการค้าขนาดใหญ่ ได้อานิสงส์จากโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน หัวลำโพง-หลักสอง 3.เขตดินแดง เขตดินแดง ดัชนีค่าเช่าเพิ่มขึ้น 7% QoQ (เพิ่มขึ้น 8% YoY) ด้วยค่าเช่า 460 บ./ตรม./ด. ซึ่งเป็นทำเลศูนย์กลางธุรกิจของกรุงเทพฯ (CBD) แห่งใหม่ ใกล้รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน หัวลำโพง-บางซื่อ 4.เขตสายไหม เขตสายใหม ในทำเลกทม.รอบนอก มีดัชนีราคาค่าเช่า 280 บ./ตรม./ด. เพิ่มขึ้น 5% ​QoQ (เพิ่มขึ้น 5% YoY) ทำเลใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยาย หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต 5.เขตประเวศ เขตประเวศ ดัชนีค่าเช่าเพิ่มขึ้น 5% QoQ (เพิ่มขึ้น 2% YoY) ค่าเช่า 270 บ./ตรม./ด. ถือเป็นทำเลกทม.รอบนอก ที่เดินทางสะดวกทั้งจากรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ พญาไท-สนามบินสุวรรณภูมิ และรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ลาดพร้าว-สำโรง     อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ไนท์แฟรงค์ มองตลาดอสังหาฯ ปี 66   “ท่องเที่ยว-ไมซ์-บ้านหรู” ตัวเร่งกำลังซื้อ -ส่องตลาดอสังหาฯ 66 ท่ามกลางปัจจัยบวก-ลบ มีดีมานด์บ้าน-คอนโด 1.2 แสนยูนิต
แสนสิริ ตุนยอดโอน 4 เดือนแรก โต 28% กวาดรายได้แล้ว 9,200 ล้าน 

แสนสิริ ตุนยอดโอน 4 เดือนแรก โต 28% กวาดรายได้แล้ว 9,200 ล้าน 

แสนสิริ เผยยอดโอน 4 เดือน พุ่ง 9,200 ล้านบาท โตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 28% เดินหน้าเปิดตัวแคมเปญไตรมาส 2 ดีลดี …โอนลี่ ยู! บ้าน ลดสูงสุด 3 ล้าน*  พร้อมลุ้นกำไรไตรมาสแรกเติบโตโดดเด่น พร้อมได้แรงหนุนกำไรพิเศษจากการขายกิจการโรงเรียน   นายอุทัย  อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยว่า ช่วง 4 เดือนแรกของปี บริษัทมียอดโอนโครงการที่อยู่อาศัยทุกประเภท ที่สร้างเสร็จและส่งมอบให้กับลูกค้าแล้วถึง 9,200 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 28% แบ่งเป็นยอดโอนจากคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ 3,900 ล้านบาท จากโครงการ อาทิ XT พญาไท และ XT ห้วยขวาง ขณะที่โครงการแนวราบมียอดโอน 5,300 ล้านบาท จากโครงการ นาราสิริ กรุงเทพกรีฑา และ บุราสิริ กรุงเทพกรีฑา     ในช่วงไตรมาสที่ 2 แสนสิริจึงรุกต่อยอดเปิดตัวแคมเปญ “ดีลดี …โอนลี่ ยู!” บ้านลดสูงสุด 3 ล้านบาท* คอนโดรับรถทุกยูนิต* ทาวน์โฮม รับคืนสูงสุด 3 แสน อาทิ โครงการบุราสิริ วัชรพล ใกล้ทางด่วนรามอินทรา - อาจณรงค์ รับเพิ่ม 1 ล้านบาท*, โครงการเศรษฐสิริ กรุงเทพ – ปทุมธานี บ้านวิวสนามกอล์ฟ ในเฟสส่วนตัว รับโปรสูงสุด 2 ล้านบาท* ทาวน์โฮม สิริ เพลส พัฒนาการ ทาวน์โฮมพร้อมอยู่สไตล์ปารีส ราคา 3.39 – 5 ล้านบาท* พร้อมรับคืนสูงสุด 2 แสนบาท*ฟรีทุกค่าใช้จ่ายวันโอน คอนโด เดอะ เบส เพชรบุรี - ทองหล่อ ใกล้ทองหล่อเพียง 2 นาที* เริ่ม 3.79 ล้านบาท* รับ ORA Good Cat 500 UL* โอกะ เฮาส์ สุขุมวิท 36 ใกล้ BTS ทองหล่อ เริ่ม 4.39 ล้านบาท* รับคืนสูงสุด 7 แสนบาท* และ XT พญาไท คอนโดพร้อมอยู่ ใกล้ BTS พญาไท เริ่ม 4.99 ล้านบาท* รับ ORA Good Cat 500 UL*  เมื่อจองและโอนภายใน 30 มิถุนายนนี้เท่านั้น ที่ทุกโครงการจากแสนสิริ   ขณะที่แนวโน้มกำไรไตรมาสแรกของแสนสิริ คาดว่าจะเติบโตสูงขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการโอนต่อเนื่องของโครงการ อาทิ นาราสิริ กรุงเทพกรีฑา และ บุราสิริ กรุงเทพกรีฑา ที่มีมาร์จิ้นสูง รวมถึงคอนโด อย่าง XT พญาไท นอกจากนี้ยังมีแรงหนุนจากการขายกิจการโรงเรียนสาธิตพัฒนา ทำให้รับรู้กำไรพิเศษ (หลังภาษี) ประมาณ 400 – 500 ล้านบาท รวมกับแผนรุกธุรกิจในการเปิดตัวโครงการใหม่ในปีนี้ ทำให้คาดว่าจะผลักดันกำไรสุทธิปี 2566 นี้ให้ทำ New High ต่อเนื่องได้แน่นอน   สำหรับแผนธุรกิจในไตรมาส 2 แสนสิริรุกเดินหน้าต่อ ด้วยแผนเปิดตัวโครงการใหม่อีกประมาณ 8 โครงการ มูลค่ารวม 13,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบที่ครอบคลุมทุกระดับราคา ทั้งทาวน์โฮมแบรนด์ สิริ เพลส ที่เตรียมเปิดตัว สิริ เพลส ลาดพร้าว101 ยืนหนึ่งทาวน์โฮมใหม่ใจกลางเมือง บนทำเลลาดพร้าว – เลียบด่วนฯ ราคาเริ่มต้น 4.5 ล้านบาท* ใจกลางทำเลบ้านระดับ Luxury ตั้งแต่ 20 – 350 ล้านบาท เตรียมเปิดให้ชมโครงการครั้งแรก 20 - 21 พฤษภาคมนี้ นอกจากนี้ ยังเตรียมเปิดตัว อณาสิริ มิกซ์โปรดักส์ บ้านและทาวน์โฮมในโครงการเดียว ตอบรับความต้องการที่หลากหลาย ภายใต้แนวคิดการอยู่อาศัย Feel Just Right  ความพอดีที่ลงตัว 3 โครงการใหม่ และบ้านเดี่ยวแบรนด์ฮาบิเทีย ไพร์ม 2 ติดถนนใหญ่ บนทำเลราชพฤกษ์ ต่อยอดความสำเร็จจากโครงการแรก เตรียมเปิดตัวบ้านเดี่ยวหลังแรกของครอบครัว ซีรีส์ Modern Farmhouse แบรนด์สราญสิริ และแบรนด์บ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี “เศรษฐสิริ” ที่ในปีนี้ จะมีความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ของแบรนด์บ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี ระดับราคา 12 – 40 ล้านบาท* ที่เจาะกลุ่ม Target อายุน้อยลง ประสบความสำเร็จเร็ว ด้วยการเปิดตัว New Design Series ภายใต้แนวคิด Portrait of Success กับ 4 ดีไซน์ใหม่   เปิดตัวด้วยโครงการแรก “เศรษฐสิริ ดอนเมือง” ในดีไซน์ใหม่ล่าสุด สไตล์ “Georgian” จอร์เจียน แรงบันดาลใจจากบ้านของเหล่าเศรษฐีอเมริกัน ที่หรูหราสง่างาม แต่ยังคงความคลาสสิกไว้ ในแบบฉบับของแบรนด์เศรษฐสิริ บนทำเลดอนเมือง เพียง 2 นาที จากรถไฟฟ้าสายสีแดงสถานีดอนเมือง และ 5 นาทีจากสนามบินดอนเมือง ราคาเริ่มต้น 20 - 40 ล้านบาท* เตรียมเปิดขายในเดือนพฤษภาคมนี้  ขณะที่ไฮไลท์การเปิดตัวคอนโดมิเนียมในช่วงไตรมาส 2  แสนสิริ  เตรียมเปิดตัว “dcondo hype rangsit” (ดีคอนโด ไฮป์ รังสิต) เริ่มเพียง 1.3x ลบ.* ปักหมุด 250 เมตร จากมหาวิทยาลัยกรุงเทพ* ติดถนนใหญ่พหลโยธิน ภาพรวมตลาดอสังหาฯ ไตรมาส 2 มีแรงหนุนจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวดีขึ้นตามลำดับ รวมทั้งความคึกคักของตลาดการท่องเที่ยว ที่ส่งผลต่อเนื่องถึงความต้องการที่อยู่อาศัย ขณะที่ภาคเอกชนรายใหญ่ต่างเริ่มมีความมั่นใจในการช่วยกันขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้วยการเปิดตัวโครงการใหม่และมอบแคมเปญการตลาดสู่กลุ่มลูกค้าอย่างต่อเนื่อง       อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -แสนสิริ เปิดทำเลโครงการใหม่ปี 66 บักหมุดพื้นที่กรุงเทพฯ​ และอีก 6 จังหวัด
บริทาเนีย  ผนึกเจ้าของ  ม.เกษมบัณฑิต  ปั้นโปรเจ็กต์ 34 ไร่ บนถนนร่มเกล้า

บริทาเนีย ผนึกเจ้าของ ม.เกษมบัณฑิต ปั้นโปรเจ็กต์ 34 ไร่ บนถนนร่มเกล้า

เกษมบัณฑิต บริทาเนีย จับมือตระกูล สุวรรณดี เจ้าของ ผู้ก่อตั้ง “มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต” ปั้นโครงการบ้านเดี่ยว “แกรนด์ บริทาเนีย กรุงเทพกรีฑา-ร่มเกล้า” มูลค่าโครงการกว่า 1,500 ล้าน บนที่ดินกว่า 34 ไร่     นายสุรินทร์ สหชาติโภคานันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่บริษัทได้ประกาศโมเดลธุรกิจ “Your Land to New Business” เปิดโอกาสให้เจ้าของที่ดินในทำเลศักยภาพทั่วประเทศ ได้ร่วมทุน (Joint Venture) พัฒนาโครงการบ้านจัดสรรร่วมกัน เพื่อสร้างโอกาสการเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน ล่าสุด บริษัทได้บรรลุข้อตกลงกับบริษัท เกษมบัณฑิต จำกัด ของตระกูล “สุวรรณดี” เจ้าของที่ดินผืนศักยภาพฝั่งกรุงเทพฯ ตะวันออก ผู้ริเริ่มและก่อตั้งมหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต เพื่อร่วมกันพัฒนาโครงการบ้านจัดสรร “แกรนด์ บริทาเนีย กรุงเทพกรีฑา-ร่มเกล้า” (Grand Britania Krungthep Kreetha – Romklao) โครงการดังกล่าวออกแบบเป็นโครงการบ้านเดี่ยว และบ้านซีรีส์ใหม่ 2 ชั้น ระดับ High-End ด้วยขนาดพื้นที่ใช้สอย 205 – 285 ตารางเมตร จำนวน 128 ยูนิต โดยมีพื้นที่ตั้งอยู่ในทำเลศักยภาพ บนถนนร่มเกล้า สามารถเลือกเดินทางได้หลากหลายเส้นทาง เชื่อมกับถนนศรีนครินทร์-ร่มเกล้า และถนนมอเตอร์เวย์ เดินทางไปสนามบินสุวรรณภูมิเพียง 8.5 กม. รถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงก์เพียง 10 กม. ใกล้โรงพยาบาลสิรินธร โรงเรียนสารสาสน์ วิเทศน์ร่มเกล้า โรงเรียนเทพศิรินทร์ร่มเกล้า สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าคุณทหารลาดกระบัง มีแหล่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งบิ๊กซี The Paseo Mall โรบินสัน โดยโครงการมีจุดเด่นที่ดีไซน์และการออกแบบให้เป็นบ้านของคนยุคใหม่ ที่มีนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัย พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตให้สะดวกและปลอดภัยมากขึ้น   นายสุรินทร์ กล่าวว่า การร่วมทุนกับกลุ่มเกษมบัณฑิตในครั้งนี้ เป็นการตอกย้ำถึงความเชื่อมั่นของพันธมิตรในศักยภาพของ BRI กับการเป็นผู้พัฒนาอสังหาฯ ชั้นนำของประเทศที่มุ่งเน้นการยกระดับคุณภาพชีวิตและสร้างความสุขให้แก่ผู้อยู่อาศัย และวิสัยทัศน์ในการดำเนินธุรกิจของบริษัทที่มีความชำนาญ เข้าใจดีมานด์ของตลาด มุ่งมั่นในการปรับและพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อตอบสนองความความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปในยุคปัจจุบัน ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่จะสร้างโอกาสการเติบโตทางธุรกิจอย่างก้าวกระโดด และช่วยผลักดันให้บริษัทก้าวขึ้นเป็นผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศ ด้านดร. สุวัฒน์ สุวรรณดี ผู้บริหารใหญ่กลุ่มเกษมบัณฑิต กล่าวเปิดเผยว่า บริษัทมองหาพันธมิตรที่มีความแข็งแกร่ง มีความสามารถเพื่อร่วมกันสร้างโอกาสในการเติบโตร่วมกันในอนาคต โดยบริทาเนีย เป็นบริษัทมหาชนที่มีความมั่นคง มีศักยภาพ และเชื่อมั่นในประสบการณ์ที่มีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาโครงการบ้านจัดสรรในทุก          เซ็กเมนท์ ที่จะมาช่วยยกระดับที่อยู่อาศัยของคนไทย ผ่านการออกแบบ ดีไซน์ ฟังก์ชัน นวัตกรรมที่ตรงใจ และยังเล็งเห็นถึงความแข็งแกร่งของแบรนด์ “แกรนด์ บริทาเนีย” ซึ่งเป็นแบรนด์ที่มีศักยภาพสูง ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง บริษัทจึงมั่นใจและตัดสินใจร่วมทุนพัฒนาโครงการประเภทที่อยู่อาศัยแนวราบเป็นครั้งแรก   ส่วนดร.เสนีย์ สุวรรณดี ผู้บริหารใหญ่กลุ่มเกษมบัณฑิต กล่าวเสริมว่า ในอดีตที่ผ่านมาเราเคยอยู่ในธุรกิจการพัฒนาอสังหาฯ มาก่อน และได้ผันตัวเองเข้าสู่วงการด้านการศึกษา  ด้วยการจัดการศึกษาภาคเอกชนตั้งแต่ระดับอนุบาล ประถมศึกษา มัธยมศึกษา อาชีวศึกษา จนถึงระดับมหาวิทยาลัย ความร่วมมือกับ บมจ.บริทาเนีย ครั้งนี้ ​นับเป็นครั้งแรกที่เราก้าวกระโดดมาเข้าร่วมทำธุรกิจอสังหาฯ ที่เป็นโครงการขนาดใหญ่ เรามองว่าธุรกิจด้านอสังหาฯ ยังมีทิศทางการเติบโต และผู้บริโภคยังมีความต้องการที่พักอาศัยอย่างต่อเนื่อง เพราะที่อยู่อาศัยเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ที่จำเป็นในการดำรงชีวิต การร่วมทุนในครั้งนี้ จะเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับทรัพย์สินที่ถือครองอยู่ให้สูงขึ้น และยังเป็นโอกาสอันดีในการเรียนรู้ประสบการณ์และองค์ความรู้ในด้านการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่จากบริทาเนีย บริษัท เกษมบัณฑิต จำกัด เป็นบริษัทที่รับใบอนุญาตในการจัดตั้งมหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ที่เปิดสอนในระดับปริญญาตรี-โท-เอกกว่า 50 หลักสูตร มีนักศึกษาทั้งไทยและต่างชาติกว่า 10,000 คน ปัจจุบันมหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิตมี 2 วิทยาเขตคือวิทยาเขตพัฒนาการ และวิทยาเขตร่มเกล้า   อ่านข่าวเพิ่มเติม -บริทาเนีย วางเป้า 3 ปี ติดTop 5 ตลาดบ้าน พร้อมลุยต่างจังหวัดจับคนระดับท็อป
เอสซีจี ตั้งเป้าโต 200% ลุยตลาดโซลาร์รูฟ ส่ง SCG Solar Expert Station รุกตลาด ตั้งเป้าโต 200% รับค่าไฟพุ่ง

เอสซีจี ตั้งเป้าโต 200% ลุยตลาดโซลาร์รูฟ ส่ง SCG Solar Expert Station รุกตลาด ตั้งเป้าโต 200% รับค่าไฟพุ่ง

โซลาร์รูฟ เอสซีจี  ส่งเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อที่อยู่อาศัย เอสซีจี โซลาร์รูฟ โซลูชัน ตั้งเป้ายอดขายเติบโต 200% ภายในปี 2566 ชูกลยุทธ์ด้วย SCG Solar Expert Station สร้างจุดเชื่อมระหว่างลูกค้าและผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านโซลาร์ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้า      นายวชิระชัย คูนำวัฒนา Head of Smart System Solution Business ในธุรกิจซีเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เอสซีจี เปิดเผยว่า จากปัญหาค่าไฟที่ปรับสูงขึ้น และพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้า ในเวลากลางวันของผู้อยู่อาศัยมากขึ้น  ส่งผลให้ค่าไฟสูงขึ้นเฉลี่ย 30-50% และผู้บริโภคส่วนใหญ่หันมาใช้พลังงานทดแทนเพิ่มมากขึ้นถึง 12-15% และคาดการณ์ว่าภายในปี 2050 สัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนของโลกจะสูงขึ้นถึง 85% ซึ่งสามารถชี้วัดได้ว่าการใช้พลังงานแสงอาทิตย์มีแนวโน้มเพิ่มสูงตามลำดับ อาทิ การใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว รวมไปถึงปัจจัยร่วมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น อัตราค่าไฟฟ้าที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นตลอดในช่วงที่ผ่านมา ภาครัฐมีมาตรการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (Ft) ประกอบกับด้านเทคโนโลยีในการติดตั้งและต้นทุนวัสดุอุปกรณ์ที่ถูกลง ไปจนถึงผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์นำระบบโซลาร์รูฟเข้ามาใช้เป็นอุปกรณ์พื้นฐานสำหรับโครงการที่อยู่อาศัย ตลอดจน Solar Energy Trading การซื้อขายพลังงานไฟฟ้าระหว่างครัวเรือน ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต ล้วนแล้วแต่มีส่วนช่วยเร่งให้พลังงานทางเลือกเพิ่มระดับความนิยมที่เข้มข้น รวมถึงผลักดันให้ตลาดโซลาร์รููฟเติบโตได้ดียิ่งขึ้น   เอสซีจี โซลาร์ รูฟ โซลูชัน ในฐานะผู้นำและผู้เชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมระบบหลังคาโซลาร์ พร้อมโซลูชันครบวงจร ได้เล็งเห็นเทรนด์และแนวโน้มความนิยมด้านพลังงานสะอาด หรือพลังงานทดแทน จึงได้พัฒนานวัตกรรมหลังคาโซลาร์รูฟมาไม่น้อยกว่า 10 ปี โดยให้บริการติดตั้งระบบหลังคาโซลาร์แบบครบวงจร พัฒนาสินค้านวัตกรรมให้มีคุณภาพ โดยเฉพาะระบบการยึดติดแผงโซลาร์โดยไม่ต้องเจาะหลังคา เพื่อลดความเสี่ยงเรื่องหลังคารั่วด้วย Solar FIX ตลอดจนพัฒนาสินค้าและบริการให้เข้ากับทุกไลฟ์สไตล์การใช้ไฟฟ้าในบ้านอย่างครอบคลุมและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด   ทั้งนี้  เพื่อขับเคลื่อนและผลักดันให้พลังงานสะอาดสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายยิ่งขึ้น ซึ่งยอมรับว่าเป็นความท้าทายอย่างมากในการทำการตลาดระบบหลังคาโซลาร์ในไทย ที่นับได้ว่าเป็นเรื่องใหม่และกำลังเป็นที่พูดถึงอยู่ในปัจจุบัน แต่ส่วนใหญ่ยังต้องการความรู้และความเข้าใจอย่างถูกต้อง โดยกลยุทธ์ที่ต้องมุ่งเน้นไปพร้อม ๆ กันคือการสื่อสารเกี่ยวกับระบบหลังคาโซลาร์แก่ผู้บริโภค เริ่มตั้งแต่ความจำเป็น การติดตั้ง การใช้งาน รวมถึงความคุ้มค่าระยะยาว   จากเทรนด์และเทคโนโลยีโซลาร์รูฟที่กำลังได้รับความนิยมในวงกว้าง โดยเฉพาะภาคครัวเรือนที่มีโอกาสเข้าถึงได้มากยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้ เอสซีจีจึงได้ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมหลังคาโซลาร์ เดินหน้าด้วยกลยุทธ์ SCG Solar Expert Station โมเดลธุรกิจที่ถูกพัฒนาขึ้นจาก Insight ของผู้อยู่อาศัยยุคใหม่ โดยสร้างจุดเชื่อมระหว่างลูกค้าและผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านระบบหลังคาโซลาร์โดยตรง   เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้า สามารถติดต่อและเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้องได้รวดเร็วขึ้น ทำให้การติดตั้งหลังคาโซลาร์ รูฟ เป็นไปได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น ผ่านช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ ครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วประเทศ โดย SCG Solar Expert หรือผู้เชี่ยวชาญด้านโซลาร์จะให้คำปรึกษาฟรี แนะนำขั้นตอนและระบบการทำงาน, ออกแบบระบบหลังคาโซลาร์ เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งาน พร้อมประเมินราคา โดยมีแผนขยายไปที่ SCG Home, SCG Home Experience และ SCG Authorized Dealer ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ มีสาขานำร่อง อาทิ กรุงเทพฯ และปริมณฑล ชลบุรี อุบลราชธานี เชียงใหม่ และหาดใหญ่ พร้อมขยายไปยังหัวเมืองหลักเพื่อครอบคลุมทั่วประเทศ ภายในปี 2566 โดยในช่วงปีที่ผ่านมา เอสซีจี โซลาร์ รูฟ โซลูชัน เติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่อง พร้อมรุกขยายไปยังตลาดบ้านพักอาศัยที่มีศักยภาพสูง ตอกย้ำการเป็นผู้นำด้านระบบหลังคาโซลาร์ในตลาด Residential ประเทศไทย โดยคาดการณ์จากตัวเลขภายในปี 2566 จะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 200% ซึ่งถือว่าได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่มีความแตกต่างและโดดเด่นจากคู่แข่งในตลาด ผ่าน 3 จุดแข็ง คือ EXPERT เอสซีจีมีวิศวกรที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน Solar & Home Energy management และมีความเชี่ยวชาญด้านหลังคาซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการติดตั้งโซลาร์ โดยมีบริการตรวจสุขภาพหลังคาก่อนการติดตั้ง พร้อมนวัตกรรม Solar FIX ที่ติดตั้งหลังคาโซลาร์โดยไม่ต้องเจาะหลังคา ทำให้หลังคาไม่เสี่ยงต่อการรั่วซึม ONE STOP SERVICE การให้บริการแบบครบวงจร โดยออกแบบระบบโซลาร์ให้เหมาะสมกับพฤติกรรมการใช้ไฟของบ้านลูกค้า รวมถึงดำเนินการ ขออนุญาตกับทางภาครัฐ ทำให้การติดตั้งระบบหลังคาโซลาร์กับเอสซีจีถูกต้องตามกฎหมาย 100% AFTER SALES SERVICE การรับประกันตลอด 25 ปีโดยเอสซีจี   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -[PR News] เอสซีจี X เอสซี แอสเสท​ ติด Active AIR Quality บ้าน 1,000 ยูนิต​ -เอสซีจี ลุย 2 ธุรกิจ “ให้คำปรึกษา-งานระบบอาคารแบบครบวงจร” รับเทรนด์ Well-being
[PR News] ซีทรูวอลล์  ปลุกอุณหภูมิสถาปนิก’66  นวัตกรรมสระว่ายน้ำแนวอควาเรียม

[PR News] ซีทรูวอลล์ ปลุกอุณหภูมิสถาปนิก’66 นวัตกรรมสระว่ายน้ำแนวอควาเรียม

ซีทรูวอลล์ เจ.ดี.พูลส์สร้างความร้อนแรงงานสถาปนิก’66 โชว์ ซีทรูวอลล์ นวัตกรรมสระว่ายน้ำสร้างประสบการณ์ใหม่แนวอควาเลียม  มั่นใจช่วยยกระดับคุณค่าและมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ทุกประเภท   นายธนูศักดิ์ พึ่งเดช  ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการบริษัท เจ.ดี.พูลส์ จำกัด  ผู้ผลิตและจำหน่ายสระว่ายน้ำคุณภาพเจ.ดี.พูลส์ (J.D.Pools) เปิดเผยว่า ​ งานสถาปนิก’66 ว่า  บรรยากาศในงานดูคึกคักกว่า 2 ปีที่ผ่านมา  เพราะปีนี้มีผู้ประกอบการจากต่างประเทศนำผลิตภัณฑ์มาร่วมออกบูธจำนวนมาก  ขณะที่ผู้ที่เข้ามาชมงานหรือสนใจมาศึกษาตลาดก็พบว่ามีชาวต่างประเทศจำนวนมากเช่นกันโดยเฉพาะชาวจีน  จึงถือเป็นข้อดีเพราะงานสถาปนิกเป็นงานที่รวบรวมวัสดุก่อสร้าง ตกแต่ง จากทั่วประเทศและทั่วโลกเข้ามาไว้ในจุดเดียวกัน  สมกับสโลแกนที่ว่า “ตำถาด รสนัว”   ขณะนี้บรรยากาศเริ่มเข้าสู่โหมดของการก่อสร้างหลังจากที่โควิดทำให้การก่อสร้างชะลอตัวไประยะหนึ่ง  ตอนนี้การก่อสร้างกลับมาแล้วทั่วประเทศโดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว  รวมถึงชาวต่างชาติที่มองหาบ้านหลังที่สอง  และแหล่งลงทุนใหม่ที่ปลอดภัยจากสงครามหรือเป็นทางเลือกใหม่ที่เหมาะสมมีความมั่นคงสำหรับการทำธุรกิจในระยะยาว   ประธานเจ.ดี.พูลส์ กล่าวต่อว่า  งานสถาปนิกคือการบอกเล่านวัตกรรมใหม่ซึ่งเจ.ดี.พูลส์ได้ทำมาตลอด25ปี  มีเรื่องราวของเทคโนโลยีใหม่ๆมานำเสนอจึงประสบความสำเร็จมากกับการใช้เวทีของงานสถาปนิก  ในปีนี้เจ.ดี.พูลส์ได้สร้างนวัตกรรมใหม่ที่ตอบโจทย์บรรยากาศของบ้านพักอาศัยราคาแพงหรือบ้านที่มีความหรูหรา  รวมไปถึงบ้านที่ต้องการวิวพันล้านด้วยซีทรูวอลล์ ( C2Wall : See Through Wall ) นวัตกรรมสระว่ายน้ำรุ่นใหม่ของเจ.ดี.พูลส์ ที่ทำให้สระว่ายน้ำเป็นเหมือนอควาเรียมในบ้าน   ซีทรูวอลล์เป็นการออกแบบที่สมบูรณ์แบบ  เป็นการพัฒนาร่วมกันระหว่างทีมงานของเจ.ดี.พูลส์กับมืออาชีพด้านอคาเรียม  สร้างประสบการณ์ใหม่ด้วยผนังอะคริลิคคุณภาพสูงที่มีความแข็งแรง ทนทานต่อแรงงานดันน้ำ  สามารถมองเห็นในตัวสระ เพิ่มความโดดเด่น ทันสมัย สวยงาม  มีประโยชน์ในการเฝ้าระวังเพื่อความปลอดภัย  สามารถประยุกต์ใช้ได้กับสระทุกรูปแบบทั้งไอพาแนลไลเนอร์และคอมโพสิตพูลส์  ออกแบบและติดตั้งโดยวิศวกรผู้เชี่ยวชาญ   เรามีความตั้งใจในการสร้างมิติใหม่ของสระว่ายน้ำ  เปิดมุมมองใหม่  เปิดความมั่นใจใหม่  นวัตกรรมซีทรูวอลล์จะเป็นการยกระดับสระว่ายน้ำให้เป็นตัวช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับที่อสังหาริมทรัพย์ทุกประเภททั้งบ้านอยู่อาศัย วิลล่า รีสอร์ท คอนโดมิเนียมและโรงแรม  เพราะเป็นการยกระดับมาตรฐานใหม่ ทั้งด้านคุณค่า และมูลค่า    สำหรับเรื่องที่เจ.ดี.พูลส์ให้ความสำคัญและไม่เคยละเลยคือคุณภาพของน้ำในสระของเจ.ดี.พูลส์   เจ.ดี.พูลส์เริ่มพัฒนาจากการใช้คลอรีนฆ่าเชื้อโรค  ต่อมาได้เป็นผู้นำในการนำระบบเกลือเข้ามาเป็นรายแรกและจำหน่ายมายาวนานหลายปี   ถึงปัจจุบันได้เลิกใช้เกลือโดยเปลี่ยนมาใช้แร่ธาตุจากทะเลเดดซี ประเทศจอร์แดนและอิสราเอล  นำมาพัฒนาร่วมกับเครื่องมือให้เป็นน้ำแร่คุณภาพดี  ช่วยบำรุงผิวพรรณให้กับผู้ใช้สระว่ายน้ำให้นุ่มเนียนขึ้นด้วยออยล์ที่ออกมาจากแร่ธาตุ   ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ  บำบัดความตึงเครียด  ทำให้สดชื่นมีความสุขในขณะว่ายน้ำ   งานสถาปนิก’66 มีกำหนดจัดตั้งแต่วันที่ 25 -30 เมษายน 2566 ที่ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี เวลา 10.00 – 20.00 น. ผู้สนใจสามารถแวะชมสระเจ.ดี.พูลส์ ได้ที่โซน Q39 พร้อมโปรโมชั่น J.D.Pools 6 Days Summer Sale  จองสระในงานทุกรุ่น รับฟรีเครื่องทำน้ำแร่  J.D.Mineral Chlorinator และ แร่บริสุทธิ์จากทะเลสาปเดดซีในการบำบัดน้ำครั้งแรก พร้อมแร่เดดซีราคาพิเศษเป็นเวลา 1 ปี   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เจ.ดี.พูลส์ ชู 3 กลยุทธ์สู้โควิด-19 ปั้นรายได้ 1,000 ล้าน
ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้  ร่วมพันธมิตรออก โทเคนดิจิทัล เรียลเอ็กซ์ ลงทุนแค่ 182 บาท

ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ร่วมพันธมิตรออก โทเคนดิจิทัล เรียลเอ็กซ์ ลงทุนแค่ 182 บาท

ออริจิ้น  ผนึกพันธมิตร ด้านการเงิน-ดิจิทัล ร่วมสร้าง โทเคนดิจิทัล เรียลเอ็กซ์ ให้คนรุ่นใหม่ลงทุนอสังหาฯ ปล่อยเช่า ใน 3 โปรเจ็กต์คอนโดใจกลางเมือง เริ่มต้นแค่ 182 บาทต่อโทเคน รับผลตอบแทนสูงสุด 5%   การลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ปัจจุบันมีด้วยกันหลากหลายวิธี อย่างพื้นฐานเลยก็ซื้อมาแล้วรอเวลาให้ราคาปรับสูงขึ้น จึงขายออกไปทำกำไร หรือการปล่อยเช่า เพื่อให้ได้ค่าเช่ากลับมา ซึ่งรูปแบบและวิธีการ ไม่ได้สลับซับซ้อนอะไรมากนัก เพียงแต่ต้องบริหารจัดการ อสังหาฯ ที่มีอยู่และหาผู้มาเช่า อาจจะหาเองหรือให้เอเยนซี่ช่วยก็ได้เช่นกัน   ตลาดสังหาฯ จึงมีฐานลูกค้าทั้งที่เป็นผู้อยู่อาศัยเอง และผู้ที่ซื้อมาเพื่อทำธุรกิจ ทำให้ดีเวลลอปเปอร์ต้องทำตลาด และหาลูกเล่นออกมาจับกลุ่มเป้าหมายทั้งสองไว้ โดยเฉพาะตลาดคอนโดมิเนียม จะมีกลุ่มลูกค้านักลงทุนและเก็งกำไรชัดเจน หลัง ๆ เราจึงเห็นดีเวลลอปเปอร์ที่พัฒนาโครงการออกมา มีการีนตีผลตอบแทนเป็นรายปี 4-5% บางรายก็ทำทั้งโครงการ บางรายก็แบ่งสัดส่วนของห้องออกมาจำนวนหนึ่ง แต่ปัจจุบันซึ่งเป็นโลกยุคดิจิทัล ที่ตลาดทางการเงิน ไม่ได้มีเฉพาะตัวเงินที่พิมพ์ออกมาใช้เพียงอย่างเดียว แต่มีการใช้เงินดิจิทัลมาเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยน หรือซื้อสินค้าด้วย ทำให้เงินดิจิทัลได้ก้าวเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อหลายธุรกิจ รวมถึงธุรกิจอสังหาฯ เพราะสอดคล้องกับพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่ ที่เป็นฐานลูกค้าสำคัญต่อไปในอนาคตของตลาดอสังหาฯ 182 บาทก็ลงทุนได้ ล่าสุด บริษัท โทเคน เอกซ์ จำกัด (Token X) บริษัทภายใต้กลุ่มเอสซีบี เอกซ์ (SCBX Group) ในฐานะผู้ให้บริการระบบเสนอขายโทเคนดิจิทัลในประเทศไทย (ICO Portal) ที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ร่วมกับบริษัท เรียล เอสเตท เอกซ์โพเนนเชียล จำกัด ในฐานะ ผู้ออกโทเคนดิจิทัล ​พัฒนาโทเคนดิจิทัลที่มีคอนโดเป็นสินทรัพย์อ้างอิง (Condo-Backed Token) ขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ให้แก่นักลงทุน คนรุ่นใหม่ ใช้เป็นสื่อกลางในการลงทุนคอนโด ภายใต้ชื่อ “เรียลเอ็กซ์” (RealX Investment Token)   โดยนักลงทุนจะต้องทำการซื้อเหรียญ เรียลเอ็กซ์ ตามความต้องการ ที่มีการเสนอขายที่ราคา 182 บาทต่อโทเคน ซึ่งเงินดังกล่าวจะถูกนำไปลงทุนในสัญญา RSTA (Revenue Sale and Transfer Agreement)  ของบริษัท เรียล เอสเตท อินทิเกรชั่น จำกัด ในฐานะเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์คอนโดฯ 3 แห่งของ​บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI จำนวน  3 โครงการ ได้แก่ โครงการพาร์ค ออริจิ้น พร้อมพงษ์    โครงการพาร์ค ออริจิ้น พญาไท  และโครงการพาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ ขณะที่ ออริจิ้น จะมีบริษัทในเครือ คือ บริษัท แฮมตัน โฮเทล แอนด์ เรสซิเดนซ์ แมเนจเม้นท์ จำกัด บริหารคอนโดทั้ง 3 แห่งดังกล่าว ทั้งด้านการจัดหาผู้เช่า โดยเฉพาะชาวต่างชาติที่เข้ามาอยู่อาศัยระยะยาว การบริหารด้านบริการต่าง ๆ เพื่อสร้างผลตอบแทนจากการลทุนดังกล่าว ซึ่งผู้ถือโทเคนดิจิทัล เรียลเอ็กซ์ จะได้รับผลตอบแทนการลงทุน 2 ส่วน ได้แก่ 1.ผลตอบแทนจากค่าเช่า นักลงทุนจะได้ผลตอบแทนจากค่าเช่า เป็นรายไตรมาสจากค่าเช่าสุทธิของคอนโด ทั้ง 3 โครงการที่เป็นสินทรัพย์อ้างอิง เป็นระยะเวลา 10 ปีนับจากเริ่มต้นโครงการ โดยในปีที่ 1-5 บริษัท พาร์ค ลักชัวรี่ จำกัด ในเครือ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI จะรับประกันรายรับสุทธิของโครงการที่ 4% 4.25% 4.50% 4.75% และ 5% ต่อปีของมูลค่าเสนอขายโทเคนดิจิทัลฯ ตามลำดับ 2.ผลตอบแทนจากการขายคอนโด นักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนเป็นรายไตรมาสจากการทยอยจำหน่ายคอนโด ทั้ง 3 โครงการในปีที่ 6-10 (รวมกรณีขยายอายุโครงการ) รวมกับผลตอบแทนรายไตรมาสจากค่าเช่าสุทธิ โดยคอนโดทั้ง 3 โครงการ ได้รับการพิจารณาแล้วว่าเป็นโครงการระดับลักชัวรีที่น่าเชื่อถือ ตั้งอยู่ในทำเลศักยภาพ และมีความเหมาะสมสำหรับการลงทุนระยะยาว เปิดขาย 19 ล้านโทเคน สำหรับโทเคนดิจิทัล เรียลเอ็กซ์ หลังจากได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุน และร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อขอเสนอขายโทเคนดิจิทัล เรียลเอ็กซ์ ต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (ICO) ปัจจุบันได้รับการพิจารณาอนุมัติจากสำนักงาน ก.ล.ต. แล้ว   ล่าสุด อยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมเสนอขายโทเคนดิจิทัล เรียลเอ็กซ์ จำนวนไม่เกิน 19,230,769 โทเคน ที่ราคา 182 บาทต่อโทเคน รวมมูลค่าทั้งสิ้นไม่เกิน 3,500 ล้านบาท โดยมีอายุโครงการ 10 ปี  ซึ่งนักลงทุนสามารถซื้อได้ตั้งแต่ 1 เหรียญขึ้นไป ในราคาเหรียญละ 182 บาท ต่อตารางนิ้ว สำหรับ​คอนโด 3 โครงการของออริจิ้น นั้น แต่ละโครงการจะมีจำนวนที่ขายเพื่อการลงทุนเพียงบางส่วน คือ ​​ โครงการพาร์ค ออริจิ้น พร้อมพงษ์  จำนวนไม่เกิน 138 ยูนิต​  ตัวโครงารตั้งอยู่บนเนื้อที่ 12 ไร่ ระหว่างซอยสุขุมวิท 22-24 มีพื้นที่ส่วนกลางและพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ จึงมีดีมานด์จากผู้เช่าที่เป็นคนทำงานในย่าน CBD และชาวต่างชาติที่เข้ามาพักอาศัยระยะยาวในประเทศไทย โครงการพาร์ค ออริจิ้น พญาไท  จำนวนไม่เกิน 123 ยูนิต​ ตัวโครงการตั้งอยู่บนเนื้อที่ 2 ไร่ติดถนนพญาไทขาเข้า มีจุดเด่นด้านทำเลที่อยู่ใกล้รถไฟฟ้าบีทีเอสและแอร์พอร์ตเรลลิงก์ โรงพยาบาลและสถาบันการศึกษา โครงการพาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ จำนวนไม่เกิน 100 ยูนิต ตั้งบนเนื้อที่ 5 ไร่ในซอยทองหล่อ 10 ซึ่งไม่เหลือที่ดินแปลงใหญ่อีกแล้ว และเป็นแหล่งรวมไลฟ์สไตล์รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวก อาทิ ห้างสรรพสินค้า คอมมูนิตี้มอลล์ โรงเรียนนานาชาติ โรงพยาบาล ฯลฯ จึงเป็นนิยมจากผู้เช่าโดยเฉพาะชาวต่างชาติที่เข้ามาอยู่อาศัยระยะยาว นายพีระพงษ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้นฯ เปิดเผยว่า ปัจจุบันตลาดอสังหาฯ ไทยมีปัญหาคนไทยมีจำนวนที่ลดน้อยลง ทำให้ดีมานด์มีจำกัด การพัฒนาโครงการคอนโดในใจกลางเมืองก็จำกัด แต่ขณะเดียวกันจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ เดินทางเข้ามาในประเทศเพิ่มมากขึ้น คาดว่าอีก 10 ปีข้างหน้า จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเข้ามาเมืองไทย มีจำนวนมากเท่ากับจำนวนประชากรของไทยทั้งประเทศ ระดับ 60 ล้านคน ทำให้ตลาดอสังหาฯ มีโอกาสในการรองรับกลุ่มลูกค้าต่างชาติ ที่จะเข้ามาเป็นผู้เช่าสำคัญ คอนโดในพื้นที่ใจกลางเมือง มีกลุ่มผู้ซื้อสัดส่วนเพียง 10% ของประชากร หากการออกเหรียญโทเคนดิจิทัล เรียลเอ็กซ์ สำเร็จ คนไทยทั้งประเทศสามารถลงทุนได้หมด ต่อไปอสังหาฯ ไม่จำเป็นต้องมีเงินเยอะ ก็ซื้อได้ คนต่างชาติก็ซื้อได้ด้วย เป็นการสร้างอนาคตให้กับธุรกิจอสังหาฯ ไทย อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ วาง 3 แผนงานสร้างการโตไม่สิ้นสุด จับเมกะเทรนด์ลุยธุรกิจทั่วไทย -อสังหาฯ ลุยต่อ “ดิจิทัลแอสเซท” ปี 65 ขน NFT- คริปโทฯ เจาะไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่