Tag : Townhome

720 ผลลัพธ์
เสนาดีเวลลอปเม้นท์ เปิด 7 โปรเจ็กต์ใหม่ Q2 หนุนเป้ายอดขายกว่า 1.8 หมื่นล.

เสนาดีเวลลอปเม้นท์ เปิด 7 โปรเจ็กต์ใหม่ Q2 หนุนเป้ายอดขายกว่า 1.8 หมื่นล.

เสนาดีเวลลอปเม้นท์ โชว์ผลงาน Q 1/2566 โกยรายได้รวม 1,959 ล้าน รับทิศทางตลาดอสังหาฯ ฟื้นตัว พร้อมเดินหน้าเปิดใหม่ 7 โครงการใหม่ในไตรมาส 2  รวมมูลค่า 6,400 ล้าน  มั่นใจผลงานตลดทั้งปีทำตามเป้าทั้งยอดขายและรายได้ หลังแบ็คล็อกหนุนรายได้อีกกว่า  7,356 ล้าน   นางสาวอธิกา บุญรอดชู  ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดสรรเงินทุนและการลงทุน บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำทั้งแนวราบและแนวสูงและในฐานะดีเวลลอปเปอร์รายแรกพัฒนาหมู่บ้านโซลาร์เต็มรูปแบบ เปิดเผยว่า หลังจากทิศทางอสังหาริมทรัพย์ที่เริ่มฟื้นตัว ตามทิศทางเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มเติบโตจากภาคการท่องเที่ยว และการลงทุนที่ปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้การดำเนินงานไตรมาส 1/2566 ของแต่ละดีเวลลอปเปอร์เริ่มสดใสขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป   โดยไตรมาสแรกที่ผ่านมา ทางเสนาสามารถสร้างรายได้รวมจากธุรกิจอสังหาฯ อยู่ที่ 1,959 ล้านบาท มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 90.87 ล้านบาท และมียอดขายรวมอยู่ที่ 2,694 ล้านบาท ส่วนธุรกิจเช่าบริการมีรายได้ 289.88  ล้านบาท และธุรกิจโซลาร์มีรายได้ ​118.23 ล้านบาท สำหรับธุรกิจอสังหาฯ มีการรับรู้รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์โครงการต่าง ๆ  ประกอบด้วย โครงการคอนโดมิเนียม เสนาคิทท์ บางแค เอ็มอาร์ที เฟส2 โครงการเฟล็กซี่ รัตนาธิเบศร์ ,เสนาคิทท์ เอ็มอาร์ที บางแค เฟส 1 ,เดอะคิทท์ ลำลูกกา คลองสอง  ,นิชโมโน สุขุมวิท-ปู่เจ้า ,เสนาคิทท์ เพชรเกษม-พุทธมณฑลสาย 7 ,นิช ไพร์ด เตาปูน อินเตอร์เชนจ์ ,นิช โมโน สุขุมวิทแบริ่ง  ,นิชโมโน รามคำแหง  ,เสนาคิทท์ เวสเกตต์ บางบัวทอง และโครงการเฟล็กซี่ สาทร – เจริญนคร รวมถึงยังรับรู้รายได้ จากการโอนกรรมสิทธิ์ โครงการกลุ่ม SENAJ  ประกอบด้วยโครงการ เจคอนโด  สาทร- กัลพฤกษ์  และโครงการไมอามี่ บางปู   ส่วนโครงการแนวราบ รับรู้รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์จากโครงการหลักประกอบด้วย เสนา อเวนิว 1 และ 2 รังสิตคลอง 1 , เสนาวิลเลจ ติวานนท์ – บางกระดี , เสนา เวล่า  รังสิต คลอง 1 ,  เสนา วิลเลจ วงแหวน- บางบัวทอง และเสนา วิลเลจ  สุขุมวิท -แพรกษา เสนา เวล่า เทพารักษ์ บางบ่อ 2 และโครงการเสนา วีว่า ลาดกระบัง  เป็นต้น นอกจากนี้ บริษัทยังมียอดขายรอรับรู้รายได้ (แบ็คล็อก) ณ วันที่ 31 มีนาคม 2566 คิดคิดเป็นมูลค่า 7,356 ล้านบาท   สำหรับช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา บริษัทได้เปิดตัวโครงการใหม่  3 โครงการ  รวมมูลค่า 2,041 ล้านบาท ประกอบด้วย  1. เสนา วิลล์ รามอินทรา เฟส 3 มูลค่า 59 ล้านบาท 2.เสนาคิทท์ รัตนาธิเบศร์ – บางบัวทอง มูลค่า 1,021 ล้านบาท และ 3. เสนาวิลล์ วงแหวน -บางบัวทอง มูลค่า 961 ล้านบาท  ซึ่งมั่นใจว่าจะส่งผลให้การดำเนินงานในปี 2566 เป็นไปได้ตามเป้าหมายที่วางไว้  โดยมียอดขาย 18,243 ล้านบาท และยอดโอนรวมมูลค่า 16,539 ล้านบาท ส่วนแผนงานในช่วงไตรมาส 2/2566 บริษัทวางแผนเปิดโครงการใหม่เพิ่มทั้งหมด 7 โครงการ รวมมูลค่า 6,477 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการ เฟล็กซี่ สาทร - เจริญนคร เฟส 2 โครงการ เสนาคิทท์ สาทร-กัลปพฤกษ์ เฟส1 โครงการ เสนา เวล่า สุขุมวิท - บางปู  โครงการ เสนาพาร์ค วิลล์ รามอินทรา วงแหวน เฟส 2 โครงการ เสนา วีว่า เทพารักษ์ – บางบ่อโครงการ เฟล็กซี่ บางนา 2  และโครงการ เสนา เวล่า รัตนาธิเบศร์ – บางบัวทอง   อย่างไรก็ตาม เสนายังคงมุ่งมั่นในการพัฒนาโครงการและบริหารธุรกิจเพื่อต่อยอดให้เกิดความหลากหลาย สร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจหลัก พร้อมการพัฒนานวัตกรรมด้านสินค้าและการบริการ สานต่อจุดยืนขององค์กรที่เป็นมากกว่าคนพัฒนาอสังหาฯ ด้วยการเป็น “THE ESSENTIAL LIFELONG TRUSTED PARTNER” เพื่อสร้างความสุขและคุณภาพชีวิตที่ดีในทุกช่วงชีวิต เพื่อธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ ไม่ขายบ้าน-คอนโดอย่างเดียวแล้ว เปิด 10 ธุรกิจใหม่ 3กลุ่ม โฮลดิ้ง
AWC ประกาศ Q1/2566  กำไร 1,422 ล้าน ผลการใช้กลยุทธ์ GROWTH-LED

AWC ประกาศ Q1/2566  กำไร 1,422 ล้าน ผลการใช้กลยุทธ์ GROWTH-LED

AWC ประกาศผลประกอบการไตรมาส 1/2566 เติบโตแข็งแกร่ง กำไรสุทธิ 1,422 ล้านบาท เพิ่มมากกว่าเท่าตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเติบโตนำปี 2562 เทียบก่อนสถานการณ์โควิด-19 ขณะที่ทำ​รายได้ไตรมาสแรกรวม 4,785 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 65.5% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) สะท้อนการดำเนินงานตามกลยุทธ์ GROWTH-LED เพื่อสร้างการเติบโตของกระแสเงินสดอย่างมีประสิทธิภาพ   นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC เผยผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2566 ตามงบการเงินรวมมูลค่ายุติธรรม มีรายได้รวมกว่า 4,785 ล้านบาท เพิ่มขึ้นก้าวกระโดด 65.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยมีกำไรจากการดำเนินงาน (EBITDA) ในไตรมาส 1/2566 กว่า 2,572 ล้านบาท เพิ่มขึ้น  67.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นผลจากการเติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อเนื่องของกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการในทุกเซ็กเมนต์ ซึ่งสามารถสร้างรายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก (RevPAR) ที่ 4,152 บาท สูงกว่าปี 2562 ก่อนสถานการณ์โควิด-19 อัตรา 17%   โดยเฉพาะโรงแรมนอกกรุงเทพฯ และรีสอร์ท ระดับลักซ์ซูรี ที่มีอัตราการเข้าพักสูงโดดเด่น สอดรับการเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ รวมถึงมีจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติที่เข้ามาใช้บริการในกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ ของบริษัทเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในช่วงฤดูกาลการท่องเที่ยวอย่างเทศกาลปีใหม่ ส่งผลให้บริษัทฯ มีศักยภาพในการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง พร้อมสร้างผลกำไรเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด โดยมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,422 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 100.5% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และยังสูงกว่าปี 2562 ก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19 อีกด้วย AWC ยังคงมุ่งพัฒนาทรัพย์สินคุณภาพให้เป็นทรัพย์สินดำเนินงานเพื่อเพิ่มศักยภาพในการสร้างกำไรจากการดำเนินงาน (อิบิทดากลุ่มธุรกิจ) อย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาส 1/2566 บริษัทมีมูลค่าทรัพย์สินดำเนินงานรวมกว่า 119,859 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36,548 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2562 คิดเป็น 43.9% นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนพัฒนาโครงการต่าง ๆ เพื่อสร้างกระแสเงินสดในระยะกลางอย่างแข็งแกร่ง พร้อมเข้าลงทุนทรัพย์สินในสัญญาให้สิทธิ (ROFR) จากกลุ่มทีซีซี และโอกาสการลงทุนทรัพย์สินคุณภาพอื่น ๆ ในระยะยาว และด้วยขนาดของทรัพย์สินคุณภาพที่เติบโตต่อเนื่อง บริษัทเชื่อมั่นว่าจะสามารถสร้างกระแสเงินสดได้อย่างก้าวกระโดดและมั่นคง   จากผลประกอบการที่แข็งแกร่งของ AWC ในไตรมาส 1/2566 ซึ่งเติบโตสูงขึ้นกว่าไตรมาส 4/2565 และก่อนช่วงสถานการณ์โควิด-19 ปี 2562 ถือเป็นสัญญาณบวกของการเริ่มต้นปี โดยผลประกอบการที่เติบโตก้าวกระโดดนี้ มาจากการการดำเนินงานตามกลยุทธ์ GROWTH-LED ผ่านการพัฒนาโครงการทรัพย์สินคุณภาพให้เป็นทรัพย์สินดำเนินงาน โดยมีมูลค่าเพิ่มขึ้นกว่า 36,548 ล้านบาท เมื่อเทียบกับก่อนสถานการณ์โควิด-19 ทั้งสร้างกระแสเงินสดเติบโต พร้อมเร่งสร้างการเติบโตของอัตราผลตอบแทนด้วยการพัฒนาทรัพย์สินเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่หลากหลาย อาทิ ผลดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ ที่มีค่า Revenue Generation Index (RGI) ในภาพรวมสูงกว่าค่าเฉลี่ยเมื่อเทียบกับโรงแรมในกลุ่มเดียวกันที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียง อาทิ โรงแรม แบงค็อก แมริออท เดอะ สุรวงศ์ มีค่า RGI เท่ากับ 201 และโรงแรม คอร์ทยาร์ด แมริออท ภูเก็ต ทาวน์ มีค่า RGI เท่ากับ 195 เป็นต้น และอัตรารายได้เฉลี่ยต่อห้องพักในภาพรวม (RevPAR) สูงถึง 4,152 บาท รวมถึงการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนกำไรจากการดำเนินงานต่อรายได้ ซึ่งไม่รวมมูลค่ายุติธรรม (EBITDA MARGIN) ในไตรมาส 1/2566 ของทั้งกลุ่มบริษัทสูงถึง 45% แข็งแกร่งกว่าไตรมาส 1/2565 อัตรา 14% ธุรกิจโรงแรมและการบริการโต 17% บริษัทเติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อเนื่องในทุกเซ็กเมนต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มรีสอร์ท ระดับลักซ์ซูรี และโรงแรมอื่น ๆ นอกกรุงเทพฯ ซึ่งสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่มีศักยภาพ (High-to-Luxury) สอดรับกับมาตรการการเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ ทำให้มีดีมานด์การท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลปีใหม่สูงขึ้นอย่างเด่นชัด ส่งผลให้รายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก (RevPAR) อยู่ที่ 4,152 บาท ซึ่งสูงกว่าช่วงก่อนสถานการณ์โควิด-19 ในปี 2562 ที่เท่ากับ 3,549 บาท โตขึ้น 17%  โดยในไตรมาส 1/2566 กลุ่มธุรกิจโรงแรมมีรายได้ 2,743 ล้านบาท คิดเป็นกำไรจากการดำเนินงาน (EBITDA) 1,091 ล้านบาท ซึ่งเติบโตก้าวกระโดดเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) หรือเพิ่มขึ้น 28.7% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) AWC มุ่งพัฒนาทรัพย์สินคุณภาพให้เป็นทรัพย์สินดำเนินงานเพื่อเพิ่มมูลค่าอย่างต่อเนื่อง โดยมีจำนวนห้องพักในปัจจุบันรวม 5,588 ห้อง เพิ่มขึ้น 63% เทียบกับก่อนสถานการณ์โควิด-19 รวมทั้งภายในปีนี้ ยังมีแผนเดินหน้าเพิ่มพอร์ตคุณภาพในกลุ่มโรงแรมและการรีแบรนด์โรงแรม ได้แก่ โรงแรม อินน์ไซด์ บาย มีเลีย กรุงเทพ สุขุมวิท และโรงแรม อินเตอร์คอนติเนนตัล เชียงใหม่ แม่ปิง รวมทั้งการรีแบรนด์โรงแรม เลอ เมอริเดียน เชียงใหม่ เป็น โรงแรม แมริออท เชียงใหม่   โดยบริษัทตั้งเป้าเพิ่มจำนวนโรงแรมที่เปิดดำเนินการจาก 20 โรงแรมในปี 2565 เป็น 22 โรงแรม ในปี 2566 รวม 6,036 ห้อง ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพบริษัทให้สามารถตอบสนองความต้องการนักท่องเที่ยวและกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้มากขึ้น นอกจากนี้ บริษัทยังร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลกเสริมความแข็งแกร่งของทรัพย์สินคุณภาพในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ (Assets Enhancement) อาทิ การร่วมมือกับ Accor ในการรีแบรนด์จากโรงแรมแกรนด์ เมอร์เคียว แบงค็อก วินด์เซอร์ เป็นโรงแรม แฟร์มอนท์ แบงคอก สุขุมวิท แห่งแรกในประเทศไทย อสังหาฯ เพื่อการพาณิชย์โต 114% กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อประกอบกิจการค้า (Retail and Wholesale) มีการเติบโตต่อเนื่องของผู้เช่า ซึ่งได้แรงสนับสนุนจากผู้บริโภคและนักท่องเที่ยวออกมาจับจ่ายใช้สอยกันมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มศูนย์การค้าเพื่อการท่องเที่ยว ส่งผลให้รายได้เติบโตมากกว่า 114% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา   นอกจากนี้ บริษัทยังมุ่งพัฒนาโครงการต่าง ๆ เพื่อให้สอดรับกับความต้องการและไลฟ์สไตล์ของกลุ่มผู้บริโภคที่หลากหลาย อาทิ โครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น ผ่านประสบการณ์ “ALL DAY EVERYDAY HAPPINESS” พร้อมการร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลกเปิด “Disney100 Village at Asiatique” การเปิดตัวห้องอาหาร “เดอะ คริสตัลล์ กริลล์ เฮาส์” และ “เดอะ สยาม ที รูมท์” เพื่อยกระดับโครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ สู่การเป็นจุดหมายปลายทางด้านอาหารและเครื่องดื่มระดับโลก ส่งผลให้โครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น มีอัตราการเช่าพื้นที่และอัตราค่าเช่าที่สูงขึ้นสอดรับกับจำนวนลูกค้าที่เข้าใช้บริการที่เพิ่มขึ้นมากกว่า  250% เทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน   บริษัทยังได้มีการเปิดตัว THE PANTIP LIFESTYLE HUB ที่เชียงใหม่ ภายใต้แนวคิด “EVERY HAPPINESS FOR EVERYONE” มุ่งสร้างแลนด์มาร์คไลฟ์สไตล์สำหรับครอบครัวใจกลางเมืองเชียงใหม่ และในเดือนเมษายนที่ผ่านมา AWC ร่วมมือกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ขับเคลื่อนประเทศไทย เป็น “ศูนย์กลางค้าส่งอาหารของภูมิภาค” โดยได้เปิดโมเดลค้าส่งอาหารรูปแบบใหม่ของโครงการ AEC FOOD WHOLESALE PRATUNAM ที่จะตอบโจทย์การค้าส่งอาหารครบวงจร พร้อมเชื่อมผู้ค้าส่งอาหารทั่วโลกกับผู้ซื้อในเขตเศรษฐกิจอาเซียน สำหรับธุรกิจอาคารสำนักงาน (Commercial) ยังคงสร้างกระแสเงินสดให้แก่บริษัทอย่างต่อเนื่อง มาจากความต้องการเช่าพื้นที่สำนักงานเกรด A ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ตอบรับเทรนด์อนาคตที่ผสมผสานการทำงานและไลฟ์สไตล์เข้าด้วยกัน อีกทั้งเป็นสำนักงานที่ได้รับการรับรองมาตรฐานอาคารสีเขียว (Green Building) โดยในไตรมาสที่ผ่านมา AWC ได้เปิดตัว “Co-Living Collective: Empower Future” ที่อาคาร “เอ็มไพร์” เป็นครั้งแรก นำ Co-Living Space กว่า 1,500 ตร.ม. ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทยมาสร้างประสบการณ์พิเศษให้กับผู้เช่าอาคาร ตอบโจทย์ทั้งด้านการทำงานและไลฟ์สไตล์ในที่เดียว AWC ยังคงมุ่งเน้นความสามารถในการทำกำไร และควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ ควบคู่กับการดำเนินการพัฒนาโครงการคุณภาพอย่างต่อเนื่อง”  AWC มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจตามแผนกลยุทธ์เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมสร้างคุณค่าให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วน โดยล่าสุดบริษัทฯ ได้รับรางวัลที่สะท้อนถึงศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ และความโดดเด่นของแบรนด์องค์กร ได้แก่  รางวัล “Thailand’s Top Corporate Brands 2022” ในฐานะองค์กรที่มีมูลค่าแบรนด์องค์กรสูงสุดของประเทศไทย ประจำปี 2565 ในหมวดธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่จัดขึ้นโดยหลักสูตรปริญญาโท สาขาการจัดการแบรนด์และการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ “Asia's Greatest Brand 2023” รางวัลระดับภูมิภาคเอเชีย ในกลุ่มธุรกิจบริการจากงาน Edition of Asian Business & Social Forum - Asia’s Greatest Brands and Leaders 2023 ที่จัดโดย Asia One Magazine นิตยสารธุรกิจชั้นนำของประเทศอินเดีย เพื่อยกย่องผู้นำทางธุรกิจและแบรนด์ที่มีความโดดเด่นในปี 2566   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -หมดยุคห้างสินค้าไอที พันธุ์ทิพย์ ประตูน้ำ AWC ปรับสู่ศูนย์กลางค้าส่งด้านอาหาร ใหญ่สุดในไทย -AWC เดินแผนขยายธุรกิจแสนล้าน เตรียมเปิดโรงแรมใหม่เพิ่มอีก 9 แห่ง
[PR News] เสนา ตั้ง “สุพินท์ มีชูชีพ” ขึ้นแท่นซีอีโอบริษัท SEN X คนใหม่

[PR News] เสนา ตั้ง “สุพินท์ มีชูชีพ” ขึ้นแท่นซีอีโอบริษัท SEN X คนใหม่

บอร์ด SEN X ไฟเขียวแต่งตั้ง “สุพินท์ มีชูชีพ” CEO คนใหม่ ขึ้นแท่นขับเคลื่อนขยายทุกโอกาส ทางธุรกิจใหม่เจาะไลฟ์สไตล์ชีวิตที่เปลี่ยนตามเมกะเทรนด์โลก นำทัพเสริมความแข็งแกร่งสู่การเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนในอนาคต พร้อมชูจุดยืนบริษัท Real Estate Integrated Service Solution  มุ่งมั่นสร้างสรรค์พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และบริการมาตรฐานระดับโลก พร้อมสานต่อเจตนารมย์องค์กรใหญ่ “THE ESSENTIAL LIFELONG TRUSTED PARTNER” เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีในทุกช่วงชีวิตของลูกค้า   หลังจากบอร์ด บริษัท เสนา เจ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ SENAJ ได้มีมติจากคณะกรรมการบริษัทฯ ประกาศแต่งตั้ง คุณสุพินท์ มีชูชีพ ขึ้นเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่ และเมื่อวันที่ 17 พ.ค.2566 ที่ผ่านมา ทางคณะกรรมการบริษัท เสนา เจ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ได้แจ้งตลาดหลักทรัพย์ เปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท เซ็น เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SEN X อย่างเป็นทางการ ขณะที่ ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ ยังดำรงตำแหน่งกรรมการบริษัทและประธานคณะกรรมการบริหาร   โดยคุณสุพินท์ มีชูชีพ เข้าดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท เซ็น เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SEN X  ซึ่งมีผลตั้งแต่ วันที่ 12 พฤษภาคมที่ผ่านมาพร้อมเดินหน้าสานต่อวิสัยทัศน์องค์กรใหญ่เสนาดีเวลลอปเม้นท์ “THE ESSENTIAL LIFELONG TRUSTED PARTNER” เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีในทุกช่วงชีวิตของลูกค้า รวมถึงมุ่งสู่การดำเนินธุรกิจที่เติบโตอย่างยั่งยืน   ขณะเดียวกัน ภายใต้การบริหารงานโครงสร้างองค์กรใหม่โดย คุณสุพินท์ มีชูชีพ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัท เซ็น เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SEN X ได้วางวิชั่นองค์กรบนกรอบแนวคิด Real Estate Integrated Service Solution มุ่งมั่นสร้างสรรค์พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และบริการมาตรฐานระดับโลก เสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจหลักของ บมจ.เสนาดีเวลลอปเม้นท์ รวมถึงต่อยอดการสร้างโอกาสใหม่ทางธุรกิจเน้นสร้างDecarbonization Lifestyle เพื่อช่วยกันลดการปล่อยคาร์บอนให้กับโลก ธุรกิจที่ตอบโจทย์กับไลฟ์สไตล์ใหม่ในการใช้ชีวิตของคนยุคปัจจุบัน และการนำเทคโนโลยีเข้ามาเพิ่มความสะดวกสบายให้กับทุกคนตามเมกะเทรนด์ (Mega Trends) ของโลก เพื่อสร้างการเติบโตอย่างมั่งคงและยั่งยืนต่อไป สำหรับคุณสุพินท์ มีชูชีพ คร่ำหวอดในอสังหาริมทรัพย์มากว่า 30 ปี เคยดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร บริษัท โจนส์ แลง ลาซาลล์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ JLL บริษัทที่ปรึกษาและบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ระหว่างประเทศชั้นนำของโลกและรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีหน้าที่ดูแลการขับเคลื่อนกลยุทธ์หลักทางธุรกิจ นับตั้งแต่ตัวแทนซื้อขาย -ให้เช่า เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าในการลงทุนอย่างครบวงจร   ด้วยผลงานอันโดดเด่นบวกกับประสบการณ์ที่มีความเชี่ยวชาญในการบริหารและการขยายธุรกิจ คุณสุพินท์ยังเป็นที่ปรึกษาให้ความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับนวัตกรรมเพื่ออาคารประหยัดพลังงานตามหลักมาตรฐานอาคารเขียว (LEED & Green building) และนวัตกรรมด้านอสังหาริมทรัพย์และเทคโนโลยีต่าง ๆ มาปรับใช้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในธุรกิจต่างๆ รองรับการเปลี่ยนแปลงของโลกในปัจจุบัน และธุรกิจที่จะเกิดขึ้นในอนาคต อาทิ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัย (RESIDENTIAL PROPERTY) ธุรกิจเชิงพาณิชย์อื่น ๆ ทั้งอาคารสานักงานให้เช่า (Office Building),โรงแรม (Hotel),เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์,คลังสินค้า (Warehouse),อุตสาหกรรมโลจิสติกส์ รวมถึงศูนย์วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกเพื่อซัพพอร์ตลูกค้า เป็นต้น ด้วยประสบการณ์ที่ผ่านมาถือเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนให้การดำเนินธุรกิจใหม่ของ บริษัท เซ็น เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SEN X ให้เติบโตและแข็งแกร่งได้อย่างแน่นอน   นอกจากนี้ คุณสุพินท์ได้รับเชิญเป็นผู้บรรยายในงานสัมมนาและเสวนาเกี่ยวกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์บ่อยครั้งจากองค์กรชั้นนาต่างๆและสถาบันการศึกษา เคยได้รับหน้าที่เป็นประธานคณะกรรมการพิจารณาตัดสินรางวัล PropertyGuru Thailand Property Awards ในปี 2559 จนถึงปี 2565  และได้รับการคัดเลือกให้เข้ารับรางวัลบุคคลคุณภาพแห่งปี 2561 สาขาภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จัดโดยมูลนิธิสภาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย   ด้านวิชาการคุณสุพินท์ เคยได้รับหน้าที่เป็นกรรมการฝ่ายวิชาการให้กับสมาคมบริหารทรัพย์สินแห่งประเทศไทยในการจัดทำมาตรฐานอาชีพและคุณวุฒิวิชาชีพสาขาบริหารทรัพย์สินนับตั้งแต่ปี 2558 รวมถึงเป็นกรรมการที่ปรึกษาสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ไทย (TREBA) ในการประเมินสมรรถนะบุคคลในสาขาอาชีพนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ในปี 2561 เป็นต้น   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ ไม่ขายบ้าน-คอนโดอย่างเดียวแล้ว เปิด 10 ธุรกิจใหม่ 3กลุ่ม โฮลดิ้ง -[PR News] เสนาเจ จับมือ NEC พลิกโฉม “Smart Living Community”
[PR News] แอสเซท ไฟว์ กรุ๊ป โชว์งบไตรมาส 1/66 ทำกำไรเฉียด 87 ล้าน

[PR News] แอสเซท ไฟว์ กรุ๊ป โชว์งบไตรมาส 1/66 ทำกำไรเฉียด 87 ล้าน

แอสเซท ไฟว์ กรุ๊ป โชว์งบไตรมาส 1/66 ทำกำไร New High เฉียด 87 ลบ. โตกว่า 66% หลังโอนบ้านเฟสแรกโครงการ CINQ ROYAL Krungthep Kreetha นายศุภโชค ปัญจทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท ไฟว์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ A5 เปิดเผยว่า บริษัทฯประสบความสำเร็จในการดำเนินงานในไตรมาสแรกของปี 2566 จากภาพรวมของดัชนีความเชื่อผู้บริโภคที่ฟื้นตัวกลับมา หลังจากสถานการณ์ของโรคระบาดคลี่คลาย โดยบริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 86.79 ล้านบาท เติบโต 66.75% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 52.05 ล้านบาท  มีรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์จำนวน 337.01 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.41% จากไตรมาสที่ 1 ปี 2565 โดยมีรายได้มาจากการขายและโอนกรรมสิทธิ์โครงการพร้อมอยู่ทั้งหมด 4 โครงการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกิดจากการโอนกรรมสิทธิ์บ้านเฟสแรกของโครงการแซงค์ รอยัล กรุงเทพกรีฑา ที่เพิ่งเปิดตัวไปในช่วงต้นปี 2566 ซึ่งเป็นโครงการที่บริษัทได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดี อีกทั้ง ไตรมาสที่ 2 ปีนี้บริษัท เตรียมรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากโครงการ Tonson One Residence (ต้นสน วัน เรสซิเดนซ์) คอนโดมิเนียมระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ สูง 29 ชั้น ห้องพักอาศัยเพียง 80 ยูนิต บนทำเลที่ดีที่สุดใจกลางกรุงเทพมหานคร ในซอยต้นสน ย่านเพลินจิต และชิดลม ซึ่งปัจจุบันมียอดจองซื้อแล้วกว่า 87% ล่าสุดเตรียมพร้อมเปิดให้เข้าชมตึกจริง และโอนกรรมสิทธิ์รับรู้รายได้ในเร็วๆ นี้ โครงการ Tonson One Residence  เป็นคอนโด High Rise สูง 29 ชั้น ห้องพักอาศัยเพียง 80 ยูนิต พร้อมลิฟต์ส่วนตัวทุกห้อง บนที่ดินในซอยต้นสน ขนาดประมาณ 1 ไร่ เป็นที่ดินแบบ Freehold มีห้องพักอาศัย 4 รูปแบบ ตั้งแต่แบบ 1 ห้องนอน 2 ห้องนอน  3 ห้องนอน แบบ Penthouse และ Duplex Penthouse จัดเต็ม Facilities อาทิ ห้องรับรองและห้องประชุม, ห้องจัดเลี้ยงและครัวอเนกประสงค์, สระว่ายน้ำระบบน้ำอุ่น, Jacuzzi, ฟิตเนส, ที่จอดรถอัตโนมัติ ทั้งยังโดดเด่นด้านทำเลใกล้ศูนย์การค้าชั้นนำ โรงเรียน มหาวิทยาลัย โรงพยาบาล สวนสาธารณะ เป็นต้น นายศุภโชค กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการฟื้นตัวของภาพรวมเศรษฐกิจ ในปี 2566 บริษัทฯวางกลยุทธ์เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้พอร์ตโฟลิโอ (Portfolio) โดยมีแผนเปิดโครงการใหม่ 4 โครงการ ภายในปี 2567 มูลค่าโครงการรวม 8,400 ล้านบาท  ซึ่งล่าสุดบริษัทฯ ได้รับการสนับสนุนสินเชื่อโครงการจาก ธนาคารเกียรตินาคินภัทร วงเงิน 923 ล้านบาท สำหรับใช้ในการก่อสร้างบ้านเดี่ยวโครงการใหม่ย่านราชพฤกษ์ มูลค่าโครงการ 1,700 ล้านบาท คาดเตรียมเปิดตัวปลายปี 2566 นี้   โครงการดังกล่าวจะถูกพัฒนาภายใต้แบรนด์ "วนา" ต่อยอดความสำเร็จของการพัฒนาโครงการ วนา เรสซิเดนซ์ พระราม9 - ศรีนครินทร์ บ้านเดี่ยว 3 ชั้นระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ ที่ปิดโครงการไปในปีที่ผ่านมา ซึ่งปัจจุบันที่ดินดังกล่าวอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว การที่บริษัทฯได้รับอนุมัติสินเชื่อโครงการครั้งนี้สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพของบริษัทฯ จากสถาบันการเงินดังกล่าว ซึ่งบริษัทฯจะนำมาใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนเพื่อรองรับการพัฒนาโครงการใหม่ต่อไป ต่อเนื่องในปี 2567 เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่อีก 3 โครงการ มูลค่าโครงการ 6,700 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการแบรนด์ "วนา" เป็นโครงการที่ 3 มูลค่าโครงการ 3,400 ล้านบาท โครงการแบรนด์ "แซงค์ รอยัล" โครงการที่ 2 มูลค่าโครงการ 1,600 ล้านบาท และโครงการ "รธานี" ซึ่งเป็นการสร้างแบรนด์ใหม่ขึ้นมา ตั้งอยู่อำเภอบ้านช้าง จังหวัดอุดรธานี มูลค่าโครงการ 1,700 ล้านบาท ทำให้ในปี 2566-2567 บริษัทฯ จะมีโครงการใหม่รวมมูลค่ากว่า 8,400 ล้านบาท โดยทั้ง 3 โครงการมีที่ดินเตรียมพร้อมพัฒนาแล้วทั้งหมด   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -แอสเซท ไฟว์ เปิดบ้านตัวอย่าง โครงการ วนา เรสซิเดนซ์ บ้านเดี่ยวสุดลักซ์ชัวรี่ ตอกย้ำกลุ่มนิชมาร์เก็ตระดับบน โกยยอดขายรวมกว่า 500 ล้านบาท
ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ ประเมินที่อยู่อาศัยปี 66 เจอ 3 ปัจจัยลบกดดันติดลบทุกด้าน​

ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ ประเมินที่อยู่อาศัยปี 66 เจอ 3 ปัจจัยลบกดดันติดลบทุกด้าน​

ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ สรุปอสังหาฯ ไทย ไตรมาสแรก ​ มูลค่าโครงการเปิดใหม่ชะลอตัว ลบไป 38.7%  แนวโน้มทั้งปีน่าจะลดลงในทุกด้าน เหตุปัจจัยลบกดดันทั้งจำนวนและความต้องการ  ประเมิน​ยูนิตโอนฯ ลบ 2% มูลค่าโอนฯ ลบ 4.5% และสินเชื่อปล่อยใหม่ ลบ 6.8%   ดร.วิชัย  วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูล อสังหาริมทรัพย์ (REIC) ได้ติดตามสถานการณ์ปี 2566 อย่างใกล้ชิด พร้อมประเมินว่า ในปีนี้เป็นปีที่มีปัจจัยลบหลายด้าน ซึ่งปัจจัยหลักมีด้วยกัน 3 เรื่อง คือ การยกเลิกการผ่อนคลายมาตรการ LTV ของ ธปท. ที่กระทบต่อคนที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเป็นบ้านสัญญาที่ 2 และ 3 ภาวะหนี้ครัวเรือนที่ยังคงมีอัตราส่วนที่ยังสูงถึงเกือบ 90% ของ GDP ภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น ซึ่งอาจทำให้อัตราดอกเบี้ยปรับสูงขึ้นได้ถึง 1.0% ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่จะทำให้ผู้ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยมีภาระค่าใช้จ่ายมากขึ้น และความสามารถในการผ่อนชำระลดลง ซึ่งจะกระทบต่อยอดขาย ยอดโอนกรรมสิทธิ์ และยอดการปล่อยสินเชื่อของปี 2566 ได้ สรุปสถานการณ์อสังหาฯ Q1 REIC ประเมินสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัย ผ่านข้อมูลจำนวน (อุปทาน) และความต้องการ (อุปสงค์) ประจำไตรมาส 1 ปี 2566 โดยในส่วนของจำนวนการออกใบอนุญาตจัดสรรทั่วประเทศมีจำนวน 15,267 ยูนิต (หน่วย) ลดลง 13.6% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2565 โดยพบว่า ทาวน์เฮ้าส์ ยังคงเป็นประเภทที่มีจำนวนการออกใบอนุญาตจัดสรรมากที่สุดจำนวน 6,290 ยูนิต (41.2%) รองลงมาเป็นบ้านเดี่ยวจำนวน 4,992 ยูนิต (7%) และบ้านแฝดจำนวน 3,233 ยูนิต (21.2%) มีเพียงบ้านแฝดที่ขยายตัว 2.9% แต่บ้านเดี่ยวลดลง 8% และทาวน์เฮ้าส์ลดลง 10.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แสดงให้เห็นการปรับตัวของผู้ประกอบการที่เสนอขายบ้านแฝดในตลาดมากขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับกำลังซื้อที่เพิ่มไม่ทันกับการเพิ่มของต้นทุนในการพัฒนาที่อยู่อาศัย ภาพรวมยูนิตที่อยู่อาศัยแนวราบที่เปิดตัวใหม่ ในไตรมาส 1 ปี 2566 พบว่า บ้านเดี่ยว ลดลง 38.4% แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าบ้านเดี่ยวในระดับราคาตั้งแต่ 15 ล้านบาทขึ้นไป มียูนิตเปิดตัวใหม่เพิ่มขึ้น 180.9% และในระดับราคา 2.51 – 3.00 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 112.5% บ้านแฝด ลดลง 47.2% โดยลดลงในทุกระดับราคา ทาวน์เฮ้าส์ ลดลงสูงสุดถึง 62.9% แต่กลับพบว่า ทาวน์เฮ้าส์ในระดับราคา 5.01 – 20.00 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 56.8% และระดับราคา 1.25 – 1.50 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.8% อาคารพาณิชย์ ลดลง 86.5% โดยเป็นที่สังเกตว่า ระดับราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาท ไม่มียูนิตเปิดตัวใหม่ในไตรมาสนี้ แต่พบยูนิตเปิดตัวใหม่ในระดับราคา 15.01 – 20.00 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40.0% และระดับราคา 10.01 – 15.00 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.8% สำหรับยูนิตเปิดตัวใหม่ของโครงการอาคารชุด ช่วงไตรมาส 1 ปี 2566 พบว่ามีจำนวน 7,260 ยูนิต ลดลงถึง 61.5% หากแยกตามประเภท พบว่า ประเภทห้องสตูดิโอ ลดลง 68.3% แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าระดับราคา 1.51 – 1.75 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 233.3% ระดับราคา 1.751 – 2.00 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 91.6% ระดับราคา 1.251 – 1.50 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34.1% ประเภท 1 ห้องนอน ลดลง -54.4% แต่กลุ่มระดับราคา 1.01 – 1.25 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 160.9% ประเภท 2 ห้องนอน ภาพรวมลดลง 83.0% โดยลดลงในทุกระดับราคา Q1 อสังหาฯ โอนคอนโดเพิ่ม 18.7%  สำหรับด้านความต้องการ ​ไตรมาส 1 ปี 2566 REIC พบว่า มียูนิตโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศจำนวน  84,619 ยูนิต ลดลง ​0.8% และมีมูลค่าโอนกรรมสิทธิ์มีจำนวน 241,167 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.9% ประกอบด้วย การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยแนวราบจำนวน 60,950  ยูนิต ลดลง ​6.8% และมีมูลค่า 170,686  ล้านบาท ลดลง ​0.3% ในขณะที่การโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุด (คอนโดมิเนียม) มีจำนวน  23,669 ยูนิต เพิ่มขึ้น 18.7% และมีมูลค่า 70,481  ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34.7% ทั้งนี้ พบว่า ระดับราคา 01 – 5.00 ล้านบาท (สัดส่วน 15.0%) มีจำนวนเพิ่มขึ้น 12.1% ระดับราคา 01 – 7.50 ล้านบาท (สัดส่วน 5.9%) มีจำนวนเพิ่มขึ้น 17.5% ระดับราคา 51 – 10.00 ล้านบาท (สัดส่วน 2.1%) มีจำนวนเพิ่มขึ้น 34.1% ระดับราคามากกว่า 10 ล้านบาทขึ้นไป (สัดส่วน 0%) เพิ่มขึ้น 22.6% ส่วนระดับราคาที่มีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์เพิ่มขึ้นสูงสุด ได้แก่ ระดับราคา 01 – 3.00 ล้านบาท (สัดส่วน 21.1%) มีจำนวนเพิ่มขึ้น 0.4% ระดับราคา 01 – 5.00 ล้านบาท (สัดส่วน 20.4%) มีจำนวนเพิ่มขึ้น 12.2% ระดับราคา 01 – 7.50 ล้านบาท (สัดส่วน 12.5%) มีจำนวนเพิ่มขึ้น 17.6% ระดับราคา 51 – 10.00 ล้านบาท (สัดส่วน 6.5%) มีจำนวนเพิ่มขึ้น 34.8% ระดับราคามากกว่า 10 ล้านบาทขึ้นไป (สัดส่วน 0%) มีจำนวนเพิ่มขึ้น 15.9% นอกจากนี้ยังพบว่าในช่วงไตรมาส 1 ปี 2566 ยูนิตการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของชาวต่างชาติมีจำนวน  3,775 ยูนิต มีมูลค่า  17,128  ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้นทั้งจำนวนยูนิตและมูลค่า เพิ่มขึ้น 79.2% และ 67.6% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 2565 ซึ่งมีจำนวน  2,107 มีมูลค่า 10,217 ล้านบาท  โดยประเทศจีนยังคงเป็นประเทศที่มีการโอนกรรมสิทธิ์สูงสุด จำนวน 1,747 ยูนิต คิดเป็น 46% มูลค่า 8,191 ล้านบาท คิดเป็น 48% ของมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์คนต่างชาติทั้งหมด   ในด้านข้อมูลสินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลทั่วไปปล่อยใหม่ทั่วประเทศพบว่าไตรมาส 1 ปี 2566 มีมูลค่าสินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลปล่อยใหม่ทั่วประเทศจำนวน 152,817 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.4% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2565 ที่มีจำนวน  143,571 ล้านบาท ขณะที่มีมูลค่าสินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลคงค้างทั่วประเทศจำนวน  4,775,515  ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.2% เมื่อเทียบกับปีก่อน ที่มีจำนวน  4,539,391  ล้านบาท ส่องทิศทางดีมานด์-ซัพพลายที่อยู่อาศัย ปี​ 66 ทั้งนี้จากปัจจัยบวก และปัจจัยลบที่กล่าวมา REIC คาดการณ์ว่าจะมีจำนวน ​และความต้องการที่อยู่อาศัยในปี 2566 ประกอบด้วย จำนวนที่อยู่อาศัย ปี 2566 การออกใบอนุญาตจัดสรรทั่วประเทศ จะมีจำนวนประมาณ 78,269 ยูนิต ลดลง 9.3% หรืออยู่ในช่วง -18.4% ถึง -0.2% เมื่อเทียบกับปี  2565 ที่มีการออกใบอนุญาตจัดสรรทั่วประเทศจำนวน  86,275 ยูนิต  และอุปทานที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่พื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล คาดการณ์ว่าจะมีจำนวน 98,132 ยูนิต ลดลง 10.5% หรืออยู่ในช่วง -19.4% ถึง -1.5% มีมูลค่าประมาณ 505,235 ล้านบาท ลดลง 8.2% หรืออยู่ในช่วง -22.0% ถึง 0.9% เมื่อเทียบกับปี 2565 ซึ่งมีที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่จำนวน 109,591 ยูนิต มูลค่าประมาณ 550,552 ล้านบาท จำนวนที่อยู่อาศัย ปี 2566 REIC คาดการณ์อุปสงค์ที่อยู่อาศัยว่าในปี 2566 จะมียูนิตโอนกรรมสิทธิ์ทั่วประเทศ จำนวน 352,761 ยูนิต ลดลง 10.2% มูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ 1,016,838 ล้านบาท ลดลง 4.5% เมื่อเทียบกับปี 2565 ซึ่งมียูนิตโอนกรรมสิทธิ์จำนวน  392,858  ยูนิต มูลค่า 1,065,008  ล้านบาท แบ่งเป็นการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยแนวราบจำนวน  264,571  ยูนิต ลดลง 7.4%  มูลค่า 753,628 ล้านบาท ลดลง 2.9% เมื่อเทียบกับปี 2565 ซึ่งมีจำนวน 285,731  ยูนิต มูลค่า 776,523  ล้านบาท และที่อยู่อาศัยประเภทอาคารชุดคาดการณ์ว่าจะมียูนิตการโอนกรรมสิทธิ์จำนวน  88,190  ยูนิต ลดลง 17.7% จากปี 2565 ซึ่งมีจำนวน 107,127 ยูนิต มูลค่า 288,485 ล้านบาท   ด้านภาพรวมสินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลปล่อยใหม่ทั่วประเทศ คาดการณ์ว่าปี 2566 จะมีมูลค่าจำนวน 650,764 ล้านบาท ลดลง 6.8% หรืออยู่ในช่วง -16.1% ถึง 2.5% เมื่อเทียบกับปี 2565 ซึ่งมีมูลค่าสินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลปล่อยใหม่ทั่วประเทศจำนวน 698,072 ล้านบาท โดยคาดว่า ปี 2566 จะมีสินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลคงค้างทั่วประเทศจำนวน 4,955,985 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.5% หรืออยู่ในช่วง -5.9% ถึง 9.8% เมื่อเทียบกับปี 2565 ซึ่งมีสินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลคงค้างทั่วประเทศจำนวน  4,741,215 ล้านบาท 3 ปัจจัยเสี่ยงปี 66 สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญในปี 2566 ที่ทาง REIC ประเมินไว้นั้น จะมีด้วยกัน 3 เรื่องหลัก คือ 1ภาวะหนี้ครัวเรือนยังคงอยู่ในระดับที่สูงถึงเกือบ 90% ของ GDP ทำให้สถาบันการเงินยังคงพิจารณาให้สินเชื่อตามเกณฑ์ที่เข้มงวด และกลุ่มผู้มีรายได้น้อย-ปานกลางยังเข้าถึงได้ยาก  ขณะที่ตลาดระดับบนมีจำนวนความต้องการน้อยกว่ามาก   2.ทิศทางดอกเบี้ยยังเป็นขาขึ้น ปี 2566 อาจจะสูงขึ้น 0.75-1.0% ซึ่งต้องติดตามดูการปรับขึ้นดอกเบี้ยของ FED (ล่าสุด CPI ขึ้นมากกว่าคาด) และ ธปท. ประกอบกับ ราคาที่อยู่อาศัยที่มีการปรับตัวขึ้น และไม่มีผ่อนปรน LTV แต่รายได้ของประชาชนยังปรับตัวดีขึ้นไม่แข็งแรงนัก จะทำให้ความสามารถการซื้อและ การกู้ลดลงและจะกระทบต่อยอดขายและยอดโอนกรรมสิทธิ์   3.เศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวไม่เต็มที่และยังไม่แข็งแรง ซึ่งต้องพึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวเป็นหลัก ถ้าปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ขยายตัว อาจทำให้การเกิดเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก และส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อภาคการส่งออกและท่องเที่ยว ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญของไทย อาจเกิดการชะลอตัวเศรษฐกิจได้   ทิศทางอสังหาฯ นับจากนี้ จะเป็นอย่างไร คงต้องเฝ้าจับตาดู เพราะยังมีปัจจัยเรื่องการเมือง ที่ปัจจุบันยังไม่ชัดเจนว่าจะเป็นอย่างไร ซึ่งหากทุกอย่างเรียบร้อยดี ภาวะอสังหาฯ ก็น่าจะได้ผลบวกจากเรื่องนี้ด้วย    อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง -REIC เผย ยอดโอนคอนโดต่างชาติ Q1/65 ลดทั้งจำนวน-มูลค่า เหตุลูกค้าจีนยังปิดประเทศ   -ศูนย์ข้อมูลฯ เปิดอินไซด์ตลาดอสังหาฯ EEC พร้อมส่องทำเลบ้าน-คอนโด ขายดี
ดูโฮม เดินแผนธุรกิจ 3 ปี  ขยายสาขาครบ 36 แห่ง พร้อมกลยุทธ์ “ครบ ถูก ดี”

ดูโฮม เดินแผนธุรกิจ 3 ปี ขยายสาขาครบ 36 แห่ง พร้อมกลยุทธ์ “ครบ ถูก ดี”

ดูโฮม ร้านวัสดุก่อสร้างจากอุบลราชธานี เดินหน้าตามแผนธุรกิจ 3 ปี ขยายสาขาให้ครบ 36 แห่ง เตรียมงบลงทุนกว่า 2,400 ล้าน ขยายเพิ่มอีก 3 สาขาในจ.เชียงราย อยุธยา และปทุมธานี  พร้อมกลยุทธ์ "ถูก ครบ ดี"   นางสาวอริยา ตั้งมิตรประชา รองกรรมการผู้จัดการ สายงานปฏิบัติการและจัดซื้อ บริษัท ดูโฮม จำกัด (มหาชน) หรือ DOHOME เปิดเผยว่า ทิศทางการดำเนินธุรกิจบริษัทตั้งเป้าหมายขยายสาขาให้ครบ 30 แห่งภายใน 3 ปี ซึ่งปัจจุบันมีสาขาขนาดใหญ่แล้ว 21 แห่ง โดยในปีนี้จะเพิ่มสาขาอีก 3 แห่ง ที่จังหวัดเชียงราย อยุธยา และปทุมธานี ขณะเดียวกันยังได้ขยายสาขาขนาดเล็กในชื่อ ToGo อีก 6 แห่งในปีนี้ จากปัจจุบันมีแล้ว 8 แห่ง เพื่อกระจายไปยังชุมชนต่าง ๆ   สำหรับงบประมา​ณการลงทุน คาดว่าจะใช้กว่า 2,400 ล้านบาท แบ่งเป็นสาขาขนาดใหญ่ แห่งละ 800 ล้านบาท ซึ่งใช้เป็นงบลงทุนก่อสร้าง 500 ล้านบาท งบสต็อกสินค้าอีก 300 ล้านบาท ส่วนสาขา ToGo จะใช้งบลงทุนสาขาละประมาณ 10 ล้านบาท   ปัจจุบันดูโฮม ถือเป็นผู้ประกอบการในธุรกิจค้าวัสดุก่อสร้าง ของตกแต่ง และของใช้ในบ้าน ใหญ่เป็นอันดับ 4 เมื่อเทียบกับบริษัทที่ดำเนินธุรกิจและจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และเป็นหนึ่งใน 10 ผู้ดำเนินธุรกิจดังกล่าวในรูปแบบค้าปลีกสมัยใหม่ หรือโมเดิร์นเทรด ที่ปัจจุบันน่าจะมีมูลค่าตลาดของธุรกิจกว่า 400,000-500,000 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่จะเป็นผู้ประกอบการในรูปแบบร้านค้าดั้งเดิมเป็นหลัก   นางสาวอริยา กล่าวว่า หากนับรวมผู้ประกอบการรายใหญ่ในปัจจุบัน 4-5 ราย น่าจะมีส่วนแบ่งการตลาดรวมกันไม่เกิน 20% ของมูลค่าตลาดรวม ขณะที่ดูโฮมน่าจะมีส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 3% ขณะที่ผู้นำตลาดอันดับ 1 น่าจะมีส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 10% ทำให้ธุรกิจนี้ยังมีโอกาสทางการตลาด สามารถสร้างการเติบโตได้อีกมากมาย โดยผลประกอบการในปีที่ผ่านมา ดูโฮมสามารถทำรายได้ 31,530 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 774 ล้านบาทส่วนไตรมาสแรกที่ผ่านมา สามารถทำรายได้ 8,515 ล้านบาท กำไรสุทธิ 258 ล้านบาท ดูโฮม เดินกลยุทธ์ ครบ ถูก ดี ด้านนายอดิศักดิ์ ตั้งมิตรประชา ประธานกรรมการบริหาร กล่าวว่า  ตั้งแต่ช่วง ปี 2562 – 2565 รายได้เติบโตกว่า 75% โดยคาดว่ารายได้ของปี 2566 จะยังสามารถเติบโตได้ ด้วยกลยุทธ์ต่าง ๆ ที่เร่งผลักดันการขายในทุกช่องทาง อีกทั้งยังมีบริการโฮมเซอร์วิสที่พัฒนาให้ตอบโจทย์ลูกค้าและครบวงจรมากขึ้น   เพื่อตอกย้ำความ “ ครบ ถูก ดี ” ให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น พร้อมฉลองครบรอบ 40 ปี Better Together ครบ ถูก ดี ตลอดไป   โดยกลยุทธ์หลักของบริษัทฯ จะดำเนินการภายใต้แนวคิด Better Together ที่ให้ความสำคัญใน 4 เรื่องหลัก      เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่ม ทั้ง กลุ่มผู้ใช้ทั่วไป กลุ่มผู้รับเหมา/ช่าง และกลุ่มร้านค้าช่วง ดังนี้ ครบรุ่น :  ตอบโจทย์ลูกค้าด้วยสินค้าที่หลากหลายหมวดผลิตภัณฑ์และหลากหลายรุ่นสินค้า เช่น เหล็กมีทุกขนาด เครื่องมือช่างมีทุกไซส์ ทุกแบบ เคยมีลูกค้าบอกว่า “ฮาร์ดแวร์ที่หายากดูโฮมมีขาย” อีกทั้งยังมีตัวช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าได้ง่ายขึ้นด้วย ห้องตัวอย่างภายในสโตร์ที่สามารถช่วยสร้างอินสไปรเรชั่นได้ ครบกลุ่ม :  ตอบโจทย์ลูกค้าครบทุกกลุ่ม เช่น ลูกค้าผู้ใช้ทั่วไป, ลูกค้าช่าง, ลูกค้าผู้รับเหมา, ร้านค้าช่วง เรียกว่ามีให้ครบตั้งแต่ลูกค้ารายใหญ่ไปจนรายย่อย และปัจจุบันมีช่องทางการช้อป  ที่หลากหลาย ทั้งสาขาขนาดใหญ่ สาขาขนาดเล็ก (Dohome ToGo) และอีคอมเมิร์ซอีกด้วย ครบเกรด :  ดูโฮม ตอบสนองความต้องการของลูกค้า ด้วยสินค้าเกรดคุณภาพ ที่พร้อมตอบโจทย์ความลูกค้าหลายกลุ่ม เช่น สินค้าเกรดพรีเมียม สินค้าเกรดมาตรฐาน รวมทั้งเกรดพิเศษที่สามารถสั่งพิเศษได้ ครบบริการ :  ดูโฮม ตอบสนองความต้องการด้วยการส่งมอบการบริการด้านต่างๆ อาทิ การบริการด้านการเงินให้ลูกค้าปลีก  เช่น ผ่อน 0%, ลูกค้าโครงการและรับเหมา เช่น วงเงินเครดิตต่อยอดธุรกิจ รวมไปถึงบริการขนส่งสินค้า บริการออกแบบ 3D และยังมีบริการโฮมเซอร์วิส “นายช่าง” ที่พร้อมจะตอบโจทย์คนทำบ้าน นอกจากนี้บริษัทได้พัฒนาระบบการช้อปปิ้งออนไลน์บนเว็บไซต์ www.dohome.co.th  รวมถึงโซเชียลมีเดียช่องทางต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Marketplace Facebook, Line OA, Lazada, Shopee เพื่อเพิ่มความสะดวกและตอบโจทย์ลูกค้าได้มากขึ้น อาทิ การเลือกซื้อสินค้าออนไลน์ บริการจัดส่งถึงบ้าน หรือนัดรับที่สาขา โดยปัจจุบันสินค้าที่จัดจำหน่ายบนเว็บไซต์มีทั้งกลุ่มสินค้าวัสดุก่อสร้าง กลุ่มสินค้าซ่อมแซม และกลุ่มสินค้าตกแต่งบ้าน   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ค้นหาไอเดียสุดว้าว การใช้วัสดุก่อสร้างใน งานสถาปนิก’66 -ใครท็อปฟอร์มสุด ในธุรกิจ ร้านวัสดุ-เฟอร์นิเจอร์ Q3/65
อยากปล่อยเช่าอสังหาฯ ต้องรู้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง  จะได้ไม่มีปัญหาภายหลัง

อยากปล่อยเช่าอสังหาฯ ต้องรู้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง จะได้ไม่มีปัญหาภายหลัง

ปล่อยเช่าอสังหาฯ การปล่อยเช่าอสังหาฯ หรือคอนโดมิเนียม อาจจะดูเหมือนไม่ได้มีอะไรยุ่งยาก ใครเป็นเจ้าของห้องคอนโด บ้าน หรืออาคารพาณิชย์ก็สามารถปล่อยเช่าได้ง่าย ๆ ไม่ยุ่งยากอะไร แต่สำหรับมือใหม่ที่อาจจะยังไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนก็คงต้องหาความรู้ ศึกษาข้อมูล ขั้นตอนและวิธีการเพื่อให้สามารถปล่อยเช่าได้ค่าเช่าตามที่ต้องการ และถูกต้องตามกฎหมายด้วย ​   โดยเรื่องสำคัญ ที่เจ้าของห้องจะต้องดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมาย ในการปล่อยเช่าอสังหาฯ เพื่อผลประโยชน์และความเป็นธรรมของทั้ง 2 ฝ่าย  นั่นก็คือ การทำสัญญาเช่า ที่จะต้องมีรายละเอียดที่ครอบคลุม ชัดเจน และยอมรับด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย ตามที่ระบุไว้ในหนังสือสัญญา เพราะหนังสือสัญญาเช่า จะนำมาใช้เป็นข้อบังคับทางกฎหมาย หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ทำตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในหนังสือสัญญานั่นเอง หากไม่ทำก็ไม่สามารถฟ้องร้องกันได้ วันนี้ Reviewyourliving จึงจะมาเล่าให้ฟังว่า หนังสือสัญญาเช่ามีรูปแบบอย่างไรบ้าง ​ การ ปล่อยเช่าอสังหาฯ      การทำสัญญาเช่า จะมีรายละเอียด และข้อปฏิบัติที่แตกต่างกันไป ตามระยะเวลาเช่าที่ได้ตกลงกันไว้ ซึ่งมี 2 รูปแบบ ดังนี้ คือ ​​ 1.สัญญาเช่าแบบไม่เกิน 3 ปี การทำสัญญาเช่าที่มีระยะเวลาไม่เกิน 3 ปี โดยอาจเป็นได้ทั้งสัญญาเช่าคอนโด 1 ปี สัญญาเช่าคอนโด 6 เดือน หรือแบบอื่น ๆ ที่ไม่เกิน 3 ปี กฎหมายระบุว่า กรณีเช่าแบบนี้ต้องมีการลงลายมือชื่อ ทั้งผู้เช่าและผู้ให้เช่า และหากไม่มีหนังสือสัญญาเช่า หากเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทำผิดสัญญา ก็ไม่สามารถฟ้องร้องกันตามกฎหมายได้ 2.สัญญาเช่าแบบเกิน 3 ปี  กฎหมายไทยให้ทำสัญญาเช่าได้สูงสุดไม่เกิน 30 ปี  ซึ่งกรณีที่มีการทำสัญญาเช่ากินกว่า 3 ปี ขึ้นไป หรือตลอดอายุของผู้เช่า/ผู้ให้เช่า กฎหมายกำหนดไว้ว่า ต้องทำสัญญาเช่าเป็นหนังสือ และยังต้องไป “จดทะเบียนการเช่า” และต้องเสียค่าธรรมเนียมการจดทะเบียน ในอัตรา 1% โดยติดตามค่าเช่าตลอดเวลาที่เช่าหรือเงินกินเปล่า หรือทั้งสองอย่างรวมกัน   โดยมีกฎหมายที่มาบังคับใช้ คือ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 538  ที่ระบุไว้ว่า การทำเป็นหนังสือ คือ เอกสารที่มีลายมือชื่อของคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายเป็นหลัก ต่างจากหลักฐานเป็นหนังสือ ซึ่งมีลายมือชื่อของผู้รับผิดเพียงคนเดียวเท่านั้น และที่สำคัญต้องไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ด้วย จึงจะมีผลบังคับใช้ได้ตามกฎหมายตั้งแต่ปีที่ 3 เป็นต้นไป แต่ถ้าหากว่าไม่ได้ไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ดิน แต่มีสัญญาเช่าก็จะมีผลบังคับทางกฎหมายได้เพียง 3 ปี เท่านั้น ในหนังสือสัญญาจะต้องมีการระบุรายละเอียดต่าง ๆ ดังนี้ ค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคที่ผู้เช่าแยกจ่ายเองตามจริง ต้องระบุให้ชัดเจนว่าผู้เช่าต้องจ่ายอะไรบ้าง ข้อกำหนดของคอนโดแห่งนั้น เช่น ห้ามเลี้ยงสัตว์ ห้ามสูบบุหรี่ รายการเฟอร์นิเจอร์ และสิ่งของทั้งหมดที่เรา นำมาไว้ให้ผู้เช่าได้ใช้  หากสูญหาย หรือชำรุด เวลาคืนห้องตอนหมดสัญญาเช่าด้วย จะต้องหาซื้อมาคืน หรือชำระเป็นเงินตามมูลค่า​ เงื่อนไขอื่น ๆ เช่น ห้ามต่อเติม เปลี่ยนแปลงห้องพัก การซ่อมแซมบำรุง​​เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในห้อง ใครจะเป็นคนรับผิดชอบ อย่างเช่นการล้างแอร์ประจำทุก 6 เดือน อีกเรื่องที่มีกฎหมายเข้ามาเกี่ยวข้องกับการปล่อยเช่า คือ เจ้าของห้องไม่สามารถ ปล่อยเช่า​คอนโดแบบรายวันได้ เพราะถือว่าผิดกฎหมาย ที่เป็นกฎข้อบังคับเกี่ยวกับโรงแรม ที่ระบุว่า อาคารหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของอาคารที่ปล่อยเช่าเพื่อพักอาศัยเป็นรายวัน เข้าข่ายโรงแรม ต้องขอจดทะเบียนเป็นโรงแรม ซึ่งกรณีที่เป็นโครงการคอนโดจะจดทะเบียนเป็นโรงแรมไม่ได้  นอกจากนี้ ยังขัดกับกฎหมายเกี่ยวกับอาคารชุดที่ระบุว่า ห้ามนำห้องชุดไปจดทะเบียนเป็นโรงแรม เนื่องจากไม่ใช่เจ้าของคนเดียว และถือเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของผู้อื่น เป็นต้น     หมายเหตุ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเช่า -ประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่อง ให้ธุรกิจการให้เช่าอาคารเพื่ออยู่อาศัยเป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ. 2562 -กฎกระทรวงกำหนดประเภทและหลักเกณฑ์การประกอบธุรกิจโรงแรม พ.ศ. 2551   ที่มา- ราชกิจจานุเบกษา, thebkkresidence.com​   อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง -สูตรคำนวณผลตอบแทน ก่อนปล่อยเช่าคอนโด  
จับตา สัญญา พรรคก้าวไกล  บ้านตั้งตัว ช่วยคนไทยผ่อนบ้าน 3.5 แสนหลัง

จับตา สัญญา พรรคก้าวไกล บ้านตั้งตัว ช่วยคนไทยผ่อนบ้าน 3.5 แสนหลัง

บ้านตั้งตัว จับตานโยบาย บ้านตั้งตัว ของพรรคก้าวไกล เล็งช่วยคนไทยที่ซื้อบ้าน 1.5 ล้าน จำนวน 350,000 หลัง ผ่อนเดือนละ 2,500 บาท นาน 30 ปี   ข้อมูลตอนนี้ (วันที่ 15 พฤษภาคม เวลา 12.36 น.) จากเว็บไซต์ของกกต. พรรคก้าวไกล มาเป็นอันดับ 1 คาดว่าจะได้เก้าอี้ส.ส.รวม 151 ที่นั่ง กลายเป็นพรรคใหญ่ที่จัดตั้งรัฐบาล และนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ คงได้นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ซึ่งนายพิธา ก็ได้ออกมาประกาศพร้อมจะเป็นนายกรัฐมนตรี และจะทำตามนโยบายที่ได้ประกาศเอาไว้ก่อนหน้านี้   เมื่อได้ยินคำมั่นสัญญาแบบนี้แล้ว เราเลยอยากจะมีพาย้อนไปดู นโยบายที่เกี่ยวข้องกับ​ด้านที่อยู่อาศัย ที่พรรคก้าวไกลประกาศเอาไว้ มีอะไรบ้างและเราคงต้องจับตาดูกันว่า นโยบายดังกล่าวจะเป็นไปตามสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชนคนไทยหรือไม่ บ้านตั้งตัว นโยบายของพรรคก้าวไกล มีนโยบายด้านที่อยู่อาศัย ดังนี้ -บ้านตั้งตัว 350,000 หลัง โดยรัฐบาลจะช่วยค่าผ่อนบ้าน สำหรับผู้ซื้อบ้าน-ที่พักอาศัยใหม่เป็นหลังแรกราคาต่ำกว่า 1.5 ล้านบาท จำนวน 100,000 ราย  ในอัตรา 2,500 บาท/เดือน เป็นระยะเวลา 30 ปี และ   -ช่วยค่าเช่าบ้าน-ห้องพัก สำหรับผู้เช่าบ้าน-หอพักจำนวน 250,000 ราย ในอัตรา 1,000 บาท/เดือน สำหรับบ้านเช่า-ห้องเช่าที่มีราคาไม่เกิน 4,000 บาท/เดือน   สำหรับรายละเอียด ที่เกี่ยวกับโครงการบ้านตั้งตัว ยังไม่ได้ระบุออกมาว่าผู้ที่จะได้รับสิทธิ์ดังกล่าว ต้องมีคุณสมบัติอย่างไร และมีเงื่อนไขในรายละเอียดอย่างไรบ้าง แต่หากพิจารณาถึงเงื่อนไข การซื้อบ้านในระดับราคาต่ำกว่า 1.5 ล้านบาท ปัจจุบันค่อนข้างมีน้อย ดีเวลลอปเปอร์ไม่สามารถพัฒนาโครงการออกมาทำตลาดได้มากนัก เพราะปัจจุบันต้นทุนการพัฒนาค่อนข้างสูง โดยเฉพาะราคาที่ดินปรับตัวสูง ที่อยู่อาศัยที่ทำออกมาขายก็จะเป็นคอนโดมิเนียม และจะอยู่ตามชานเมือง หรือปริมณฑลเป็นหลัก โดยผู้ประกอบการหลักที่พัฒนาโครงการออกมาทำตลาด ในระดับราคาต่ำกว่า 1.5 ล้านบาท จะมี 2 บริษัท หลัก ได้แก่ 1.บริษัท เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ภายใต้แบรนด์เสนา คิทท์ เป็นคอนโด ระดับราคาเริ่มต้น 790,000 บาท หรือแบรนด์ไมอามี คอนโดระดับราคาเริ่มต้น 890,000 บาท และ 2.บริษัท รีเจ้นท์ กรีน เพาเวอร์ จำกัด บริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ที่พัฒนาโครงการภายใต้แบรนด์ รีเจ้นท์ โฮม ที่ทำตลาดคอนโดระดับราคาต่ำกว่า 1.5 ล้านบาท ออกมาจำนวนมาก ซึ่งจะเป็นอีกบริษัทที่ได้รับประโยชน์จากนโยบายบ้านตั้งตัวนี้   แต่นอกจากเสนาฯ ก็ยังพอมีผู้ประกอบการรายอื่น ที่พัฒนาบ้านและคอนโดระดับราคาต่ำกว่า 1.5 ล้านบาทออกมาบ้าง อาทิ พฤกษา, ออริจิ้น, โนเบิล เป็นต้น แต่อาจจะมีจำนวนไม่มาก และส่วนใหญ่จะแทรกอยู่ในโครงการที่มีระดับราคาสูงกว่า 1.5 ล้านบาท   ส่วนนโยบายช่วยค่าเช่าบ้าน-ห้องพัก สำหรับผู้เช่าบ้าน-หอพักจำนวน 250,000 ราย ในอัตรา 1,000 บาท/เดือน สำหรับบ้านเช่า-ห้องเช่าที่มีราคาไม่เกิน 4,000 บาท/เดือนนั้น โดยส่วนใหญ่ก็จะเป็นกลุ่มบ้านเช่าหรือห้องพัก ที่กระจายอยู่ตามแหล่งงาน หรือชานเมือง เป็นหลัก เพราะหากเป็นห้องเช่าในพื้นที่ในเมืองอาจจะมีระดับราคาสูงกว่านี้ ทำให้กลุ่มที่ได้ประโยชน์จะเป็นกลุ่มคนชั้นกลางลงมา ที่ทำงานตามแหล่งงานสำคัญ ๆ เช่น นิคมอุตสาหกรรม เป็นต้น   อย่างไรก็ตาม เพื่อความชัดเจนคงต้องดูรายละเอียดของนโยบาย ที่จะประกาศออกมาใช้จริงอีกครั้ง     อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -บ้านและคอนโดราคาไม่เกิน 3 ล้าน มีโครงการเปิดใหม่ที่ไหนบ้าง?                  
ออเนอร์ กรุ๊ป เดินหน้าเปิด 5 โปรเจ็กต์ในพัทยา ก่อนบุกภูเก็ต-สมุย-กระบี่

ออเนอร์ กรุ๊ป เดินหน้าเปิด 5 โปรเจ็กต์ในพัทยา ก่อนบุกภูเก็ต-สมุย-กระบี่

ออเนอร์ กรุ๊ป วางแผนเปิด 5 โปรเจ็กต์ ไม่ต่ำกว่า 6,000 ล้าน ทั้งคอนโดและโรงแรม เดินหน้าลุยพัฒนาโครงการอสังหาฯ ในเมืองพัทยา ขณะที่โครงการ วันส์ พัทยา กวาดยอดขายแล้ว 90% คาดในไตรมาส 2 เตรียมปิดโครงการ พร้อมโอนสร้างรายได้ เล็งลุยตลาดภูเก็ต สมุย กระบี่    นายคริส เชิดสุริยา ที่ปรึกษาคณะกรรมการบริหาร บริษัท ออเนอร์ กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทวางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ในปีนี้ 5 โครงการ ประกอบด้วย โครงการโรงแรม ฮิลตัน การ์เด้น อินน์ พัทยา ซิตี้ (HILTON GARDEN INN PATTAYA CITY) มูลค่า 1,500 ล้านบาท ตั้งอยู่บนเนื้อที่ดิน 2 ไร่ จากทั้งหมด 4.5 ไร่ ติดถนนพัทยาสาย 3 เป็นอาคารสูง 29 ชั้น ขนาด 300 ห้อง พร้อมร้านค้าปลีก 6 ร้าน ขนาดพื้นที่รวม 2,000 ตารางเมตร กำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2568 โครงการบ้านแนวราบ พูลวิลล่า มูลค่า 600 ล้านบาท บนทำเลนาจอมเทียน ซอย 2 (ซอยร้านอาหารปูเป็น) บนพื้นที่ 8 ไร่ จำนวน 30 ยูนิต ราคาขายประมาณ 30-40 ล้านบาท โครงการบ้านแนวราบ “ระดับลักชัวรี่” บนพื้นที่ 32 ไร่ จำนวน 110 ยูนิต รวมมูลค่า 700-800 ล้านบาท ราคาประมาณ 8-10 ล้านบาท ตั้งอยู่บริเวณรอบอ่างเก็บน้ำมาบประชัน โครงการโรงแรม ยังอยู่ระหว่างการวางแผนงาน โครงการคอนโด มูลค่าไม่ต่ำกว่า 2,200 ล้านบาท ยังอยู่ระหว่างการวางแผนงาน   ปัจจุบันบริษัทมีแลนด์แบงก์สะสมอยู่ 7 แปลง เพื่อใช้ในการพัฒนาโครงการปัจจุบันและอนาคต ซึ่งยังคงมองหาซื้อที่ดินใหม่เข้ามาเพิ่มอย่างต่อเนื่อง แต่ที่ดินพัทยาค่อนข้าหายาก และมีราคาสูงจนไม่สามารถซื้อมาพัฒนาโครงการได้ ซึ่งบริษัทมีการศึกษาและมองหาโอกาสในการพัฒนาโครงการในพื้นที่เมืองท่องเที่ยวอื่น นอกเหนือจากพัทยาด้วย อาทิ สมุย ภูเก็ต และกระบี่ แต่ปัจจุบันยังโฟกัสตลาดพัทยาเป็นหลัก พัทยาหาที่ดินยาก เป็นอุปสรรคอันดับหนึ่งในการพัฒนา และมีราคาสูงจนไม่สามารถพัฒนาโครงการได้ ราคาที่ดินตอนนี้ระดับวาละ 3-4 แสนบาท ถ้าติดทะเลก็หลักวาละล้านบาท ด้านนางสาวธิดา เชิดสุริยา ประธานกรรมการบริหาร บริษัทในเครือออเนอร์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า สำหรับ​โครงการ คอนโด “วันส์ พัทยา” (ONCE PATTAYA) ปัจจุบันได้เสร็จสมบูรณ์ 100% ซึ่งเป็นหนึ่งโครงการมิกซ์ยูส ที่รวม 3 โครงการเข้าด้วยกัน ได้แก่ 1. วันส์ พัทยา (ONCE PATTAYA) คอนโด 2.โรงแรมฮิลตัน การ์เด้น อินน์ พัทยา ซิตี้ (HILTON GARDEN INN PATTAYA CITY) และ 3.ศูนย์รวมร้านค้า โดยโครงการวันส์ พัทยา​ เป็นอาคารสูง 32 ชั้น จำนวนห้องพักอาศัยรวม 427 ยูนิต ขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่  28.4-201 ตารางเมตร ราคาขายเฉลี่ย 140,000 บาทต่อตารางเมตร มูลค่าโครงการกว่า 2,200 ล้านบาท  ปัจจุบันมียอดขายแล้วกว่า 90% โดยโครงการยังได้มอบบัตรสมาชิก “ไทยแลนด์ อีลิท” ของบริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด (ทีพีซี) เพื่อรับสิทธิพิเศษ Privilege Elite Visa สามารถอยู่อาศัยระยะยาวแบบ Long Stay Visa ในเมืองไทยได้นานถึง 20 ปี   ปัจจุบันมีเริ่มรับรู้รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ โดยมีมูลค่าประมาณ 300-400 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 20% คาดว่าภายในปีนี้จะทำการปิดโครงการได้ภายในไตรมาส 2 หรืออย่างช้าในช่วงต้นไตรมาส 3 และคาดว่าจะทำการโอนกรรมสิทธิ์ได้ทั้งหมดภายในปีนี้ หรืออย่าช้าภายในต้นปีหน้า ส่วนความคืบหน้าการพัฒนาโรงแรมฮิลตัน การ์เด้น อินน์ พัทยา ซิตี้ (HILTON GARDEN INN PATTAYA CITY) เป็นไปตามแผนงานของบริษัทฯ เดินหน้าพัฒนาอย่างเต็มที่ภายหลังจากที่ได้รับสินเชื่อจากธนาคารยูโอบี ซึ่งการได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากธนาคารขนาดใหญ่   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -“ออเนอร์ กรุ๊ป” ทุ่ม 2,000 ล้าน ปั้นโปรเจ็กต์ ONCE PATTAYA มั่นใจทำเลพัทยาไปได้อีกไกล 
สิวารมณ์ วิลเลจ (วงแหวน-ชัยพฤกษ์) บ้านสไตล์เบอร์เกน นอร์เวย์

สิวารมณ์ วิลเลจ (วงแหวน-ชัยพฤกษ์) บ้านสไตล์เบอร์เกน นอร์เวย์

สิวารมณ์ วิลเลจ (วงแหวน-ชัยพฤกษ์) บ้านสไตล์เบอร์เกน นอร์เวย์ สิวารมณ์ วิลเลจ (วงแหวน-ชัยพฤกษ์) บ้านสไตล์เบอร์เกน นอร์เวย์ (Bergen Norway) แห่งแรก บนถนนไทรน้อย - ชัยพฤกษ์ แบบบ้านซีรีย์ใหม่ล่าสุด สไตล์เบอร์เกน นอร์เวย์ (Bergen Norway) แห่งแรก บนถนนไทรน้อย - ชัยพฤกษ์ จากบริษัท สิวารมณ์ เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) ที่มาพร้อมนวัตกรรม Smart Green Inovation  รองรับ EV CHARGER และคลับเฮ้าส์อลังการ ทั้งสระว่ายน้ำระบบน้ำเกลือ, ฟิตเนส, สวนสวยขนาดใหญ่ และระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง ในราคาเริ่มต้น 1.99 – 4.00 ล้านบาท*   โครงการ สิวารมณ์ วิลเลจ (วงแหวน-ชัยพฤกษ์) ปักหมุดบนทำเลดีติดถนนบางกรวยไทรน้อย เดินทางสะดวกและแวดล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ครบครัน เช่น สถานีรถไฟฟ้า MRT สายสีม่วง เต็มไปด้วยร้านค้า ตลาด ซูเปอร์มาร์เก็ต ใกล้แหล่งช้อปปิ้งและห้างสรรพสินค้าชั้นนำมากมาย เช่น Central Westgate, IKEA บางใหญ่, ตลาดสดไทรน้อย มาร์เก็ต, Lotus’s บางกรวย-ไทรน้อย, Makro บางบัวทอง ฯลฯ รวมไปถึงโรงเรียนชั้นนำอีกหลายแห่ง     โครงการ สิวารมณ์ วิลเลจ (วงแหวน-ชัยพฤกษ์) มีแบบบ้านให้เลือกทั้ง บ้านทาวน์โฮม, บ้านแฝด และอาคารพาณิชย์ รวม 242 ยูนิต ตัวอย่างบ้านแบบต่างๆ มีดังนี้   แบบบ้าน (Oslo) ทาวน์โฮม หน้ากว้าง 5.0 เมตร ขนาด 2 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ มีพื้นที่ใช้สอย 115 ตร.ม. บนที่ดินขนาด 17.50 ตร.ว. ทาวน์โฮม (Lofoten) หน้ากว้าง 5.4 เมตร ขนาด 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ มีพื้นที่ใช้สอย 125 ตร.ม. บนที่ดินขนาด 18.9 ตร.ว.   บ้านแฝด (Flamsbana)  ขนาด 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ + 1 ห้องอเนกประสงค์ มีพื้นที่ใช้สอย 135.6 ตร.ม. บนที่ดินขนาด 35.7 ตร.ว. อาคารพาณิชย์ ขนาด 2 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ มีพื้นที่ใช้สอย 182 ตร.ม. บนที่ดินขนาด 17 ตร.ว.    ข้อมูลโครงการ  ชื่อโครงการ  :   สิวารมณ์ วิลเลจ ( วงแหวน-ชัยพฤกษ์ ) เจ้าของโครงการ   :  บริษัท สิวารมณ์  เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) ที่ตั้งโครงการ      :  ถนนบางกรวย-ไทรน้อย ต.ไทรน้อย อ.ไทรน้อย จ.นนทบุรี ลักษณะโครงการ  :  ทาวน์โฮม 196, บ้านแฝด 38 ยูนิต, อาคารพาณิชย์ 8 ยูนิต พื้นที่โครงการ  :  24-8-5 ไร่ จำนวนยูนิต  :  242 ยูนิต พื้นที่ใช้สอย  :  115 - 135 ตร.ม. เนื้อที่  :  17.50 – 37.3  ตร.ว. ที่จอดรถ    :  2  คัน ขนส่งสาธารณะ  :  รถเมย์ ปอ170, ปอ18, รถสองแถว 1003, 6162, ใกล้ MRT สายสีม่วง สถานีตลาดบางใหญ่และคลองบางไผ่ กำหนดการเปิด  :  ก.ค. 66 สิ่งอำนวยความสะดวก  :  สวนสวยขนาดใหญ่, สระว่ายน้ำระบบเกลือ, เข้า-ออกระบบ Auto Access Card, กล้องวงจรปิด, รปภ. 24 ชม. (Smart home) จุดเด่นโครงการ  :  โครงการติด ถ. บางกรวยไทรน้อย ทำเลที่ตั้งเต็มไปด้วยร้านค้า ตลาด ซูเปอร์มาร์เก็ต เช่น  Big C ไทรน้อย, ตลาดไทรน้อย มาร์เก็ต, Makro บางบัวทอง, Lotus’s บางกรวย-ไทรน้อย หรือ Central Westgate นอกจากนี้ยังใกล้ รร.สารสาสน์วิเทศไทรน้อยพิทยาคาร, โรงเรียนพระแม่สกลสงเคราะห์ ราคา  :   เริ่มต้น 1.99 – 4.00 ลบ.   บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง M Life สุขุมวิท–บางปู 87 บ้านแฝดหรูดีไซน์ใหม่ สิวารมณ์ เนเจอร์พลัส 2 (สุขุมวิท-บางปู) สิวารมณ์ วาง 5 กลยุทธ์เติบโตต่อเนื่อง  
โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ โชว์รายได้-กำไรไตรมาสแรกโต รับเศรษฐกิจ-ยอดต่างชาติฟื้น 

โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ โชว์รายได้-กำไรไตรมาสแรกโต รับเศรษฐกิจ-ยอดต่างชาติฟื้น 

โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ โนเบิล ประกาศผลงานไตรมาสแรก รับรู้รายได้รวม 2,135 ล้าน เติบโต 43% และกำไรสุทธิแตะ 73 ล้าน พุ่ง 1,195% ขณะที่ยอดขายแตะ 4,402 ล้านบาท หนุน Backlog ในมือเพิ่มเป็น 22,396 ล้านบาท รับอานิสงส์ความมั่นใจฟื้น-ต่างชาติกลับมา ประกาศตอกย้ำรายได้รวมปีนี้ส่อแววแตะ 15,000 ล้าน และยอดขายแตะ 23,000 ล้านตามเป้าหมายที่วางไว้   นายธงชัย บุศราพันธ์ รองประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในไตรมาสแรกที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้รวมที่ 2,135 ล้านบาท เติบโต 43% เมื่อเที่ยบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ​และกำไรสุทธิอยู่ที่ 73 ล้านบาท เติบโต 1,195% โดยมีสาเหตุหลักมาจาก การรับรู้รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ โครงการคอนโดมิเนียม ที่ก่อสร้างแล้วเสร็จต่อเนื่องจากไตรมาส 4/2565 ที่ผ่านมา เช่น โครงการโนเบิล สเตท สุขุมวิท 39 โครงการนิว ศรีนครินทร์–ลาซาล โครงการโนเบิล อราวน์ อารีย์ โครงการนิว งามวงศ์วาน และโครงการนิว เซ็นเตอร์ บางนา เป็นต้น   นอกจากนี้ บริษัทยังมีรายได้จากการให้บริการและบริหารงานก่อสร้าง และมีรายได้อื่นจากการยกเลิกสัญญาและรายได้จากการบริหารโครงการ (Management Fee) ที่เพิ่มมากขึ้นจากโครงการร่วมทุน  ช่วงไตรมาส 1/2566 บริษัทยังมียอดขายรวม (Pre-sale) แตะ 4,402 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นยอดขายจากสินค้าพร้อมขาย (Inventory) จำนวน 1,060 ล้านบาท และเป็นยอดขายจากสินค้าที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและโครงการใหม่จำนวน 3,342 ล้านบาท บริษัทประสบความสำเร็จ จากภาพรวมของความมั่นใจที่ฟื้นตัวกลับมา หลังจากสถานการณ์ของโรคระบาดคลี่คลาย ภาพรวมของเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวและกำลังซื้อของผู้บริโภคกลับมา ส่งผลดีต่อ Sentiment ทั้งลูกค้าในกลุ่มที่เป็นซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง (Real demand) และลูกค้าที่ซื้อเพื่อลงทุน   ขณะเดียวกันในช่วงที่ผ่านมา บริษัทได้เปิดตัวโครงการใหม่ไปแล้วจำนวน 2 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 3,800 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการนิว คอร์ คูคต สเตชัน มูลค่าโครงการ 2,200 ล้านบาท เป็นคอนโดมิเนียม Low-Rise 8 ชั้น จำนวน 6 อาคาร ซึ่งตั้งอยู่ติดถนนใหญ่ลำลูกกาและติดสถานีรถไฟฟ้า โครงการนิว ไฮบ์ สุขสวัสดิ์ มูลค่าโครงการ 1,600 ล้านบาท เป็นทาวน์โฮมและอาคารพาณิชย์ รวมจำนวนยูนิต 156 ยูนิต   ทั้ง 2 โครงการดังกล่าวได้รับผลตอบรับที่ดีจากลูกค้า เนื่องจากรูปแบบโครงการรวมถึงทำเลที่ตั้งสามารถดึงดูดให้ลูกค้าเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้บริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) ณ สิ้นไตรมาส 1/2566 ในมือรวมมูลค่า 22,396 ล้านบาท และคาดว่าจะทยอยรับรู้ภายใน 2-3 ปี   สำหรับในปี 2566 บริษัทเชื่อว่า Sentiment จะยังคงฟื้นตัวดีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหลังจากที่บริษัทได้มีการปรับพอร์ตกระจายฐานลูกค้าต่างชาติให้มีความหลากหลายมากขึ้น เช่น ใต้หวัน สิงคโปร์ และเมียร์มาร์ เป็นต้น เพื่อรองรับการเปิดประเทศโดยเฉพาะปัจจัยการเปิดประเทศของจีนทำให้ความต้องการจากลูกค้าชาวจีนเพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจุบันกลุ่มลูกค้าต่างชาติได้กลับมาคึกคักสู่ภาวะปกติ และนักท่องเที่ยวชาวจีนเริ่มทยอยเข้ามาประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ส่งผลบวกต่อภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยตรงทำให้ยอดขายของลูกค้าชาวต่างชาติเพิ่มสูงขึ้น เช่น โครงการนิว ดิสทริค อาร์ 9 ซึ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียมแนวสูง ติดเซ็นทรัลพระรามเก้า และ MRT เพียง 180 เมตร เชื่อมทุกไลฟ์สไตล์ ใจกลาง New CBD คอนโดฯ คุณภาพ ซึ่งปัจจุบันโครงการมียอดขายแล้วกว่า 81% และมีสัดส่วนยอดขายจากลูกค้าต่างชาติแล้วกว่า 38% จากการฟื้นตัวของภาพรวมเศรษฐกิจ ประกอบกับ Backlog ที่มีในมือ รวมถึงโครงการแนวราบที่จะทยอยเปิดตัว เชื่อว่าจะส่งผลบวกต่อทิศทางการ ดำเนินงานในปีนี้อย่างมีนัยสำคัญ จะเห็นการเติบโตของรายได้รวมที่ระดับ 15,000 ล้านบาท และยอดขายที่ระดับ 23,000 ล้านบาทตามเป้าที่วางไว้ อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จ่ายปันผลเพิ่มหุ้นละ 0.08 บาท พร้อมแผนปี 65 เปิดโครงการใหม่ 47,700 ล้าน
เอพี ไทยแลนด์  4 เดือนแรก ตุนยอดกว่า 14,264 ล้าน เปิด 16 โปรเจ็กต์ใหม่ Q2

เอพี ไทยแลนด์ 4 เดือนแรก ตุนยอดกว่า 14,264 ล้าน เปิด 16 โปรเจ็กต์ใหม่ Q2

เอพี ไทยแลนด์ เผยตัวเลขไตรมาสแรกปี 66 ยังคงเติบโตแข็งแกร่งด้วยแรงส่งจากสินค้าบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม สร้างรายได้รวม 11,805 ล้าน​ พร้อมกำไรสุทธิ 1,478 ล้าน  ขณะที่ยอดขายรวม 4 แรกของปีตุนแล้วกว่า 14,264 ล้าน ขณะเดียวกัน​ เดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่อีก​ 16 โครงการ รวม 21,030 ล้าน​ ในไตรมาส 2   นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ไตรมาส 1 ที่ผ่านมาบริษัทสามารถสร้างรายได้รวมจากสินค้าแนวราบ กลุ่มคอนโดมิเนียม (100% JV) และธุรกิจอื่น ๆ ได้สูงถึง 11,805 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 1,478 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่มีกำไรสุทธิรวม 1,154 ล้านบาท และมีสัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน 0.66 เท่า ซึ่งเป็นไปตามนโยบายในการบริหารจัดการสัดส่วนหนี้สินสุทธิในระดับที่ไม่เกิน 1 เท่า ทั้งนี้ ในไตรมาสที่ผ่านมา สินค้าทาวน์โฮม และบ้านเดี่ยว ยังเป็นคีย์ไดรฟ์สำคัญสร้างการสร้างเติบโตด้านรายได้และกำไร ​โดยรายได้ที่เกิดขึ้นมาจากสินค้าแนวราบมีมูลค่า 8,657 ล้านบาท หรือคิดเป็น 73% ของรายได้รวมทั้งหมด ซึ่งมีบ้านเดี่ยวแบรนด์ THE CITY เป็นกำลังหลักหนุนสร้างรายได้รวมในกลุ่มแนวราบ   สำหรับสินค้ากลุ่มคอนโดมิเนียม ภาพรวมธุรกิจเริ่มมีแนวโน้มเป็นบวก ประกอบกับสัญญาณการโอนกรรมสิทธิ์เริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น โดยไตรมาสที่ผ่านมานอกจากบริษัท จะโอนกรรมสิทธิ์ปิดโครงการ ASPIRE สุขุมวิท-อ่อนนุช เฟส 1 ได้ทั้งโครงการแล้ว  บริษัทยังสร้างรายได้จากการโอนคอนโด ASPIRE รัตนาธิเบศร์ เวสต์ตัน และ ASPIRE เอราวัณ ไพร์ม ได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงคอนโดร่วมทุนอย่าง RHYTHM เจริญกรุง พาวิลเลี่ยน คอนโดโครงการล่าสุดที่เริ่มทยอยรับรู้รายได้ในไตรมาสที่ผ่านมา   ส่วนไตรมาส 2 เอพีเตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งสิ้น 16 โครงการ มูลค่า 21,030 ล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยว 7 โครงการ มูลค่า 9,380 ล้านบาท ทาวน์โฮม 8 โครงการ มูลค่า 8,150 ล้านบาท และคอนโด 1 โครงการ มูลค่า 3,500 ล้านบาท  ขณะที่ข้อมูล ณ วันที่ 30 เมษายน 2566 บริษัทสามารถสร้างยอดขายรวมได้ทั้งสิ้น 14,264 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายสินค้าแนวราบ 10,601 ล้านบาท และคอนโด 3,663 ล้านบาท และมียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) 33,000 ล้านบาท โดยปีนี้บริษัทฯ ยังคงตั้งเป้าการทำงานที่ท้าทายตัวเองมากยิ่งขึ้น ด้วยแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ที่มีมูลค่ามากที่สุดในตลาด จำนวน 58 โครงการ มูลค่ากว่า 77,000 ล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยว 22 โครงการ มูลค่า 34,800 ล้านบาท ทาวน์โฮมจำนวน 27 โครงการ มูลค่า 26,400 ล้านบาท คอนโดมิเนียม 4 โครงการ มูลค่า 11,800 ล้านบาท และโครงการในต่างจังหวัด 5 โครงการ มูลค่า 4,000 ล้านบาท ซึ่งส่งผลให้ทั้งปีเอพีจะมีโครงการพร้อมขายทั้ง กทม. และต่างจังหวัดมากกว่าถึง 192 โครงการ มูลค่ากว่า 165,600 ล้านบาท โดยตั้งเป้ายอดขาย 58,000 ล้านบาท เป้ารายได้รวม 100% JV  ที่ 57,500 ล้านบาท อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เอพี ไทยแลนด์ เผยผลงานปี 65 ทำรายได้ 49,388 ล้าน พร้อมกวาดกำไรเติบโตกว่า 2 -เอพี ไทยแลนด์ ขนบ้าน-คอนโด ขายกว่า 1.65 แสนล้าน ลุยตลาดด้วยแผน INCLUSIVE GROWTH ​​​
เปิด ราคาที่อยู่อาศัย 7 โซน  เขตปทุมวันขึ้นมา 2.5 แสนต่อตร.ม.

เปิด ราคาที่อยู่อาศัย 7 โซน เขตปทุมวันขึ้นมา 2.5 แสนต่อตร.ม.

เปิดราคาที่อยู่อาศัย ในไตรมาสแรกที่ผ่านมา กับ 7 โซนที่ขยับสูง 3-6% พื้นที่ CBD ในเขตปทุมวัน ราคาขยับขึ้น 250,000 บ.ต่อตร.ม. ขณะที่ค่าเช่าในทำเลแนวรถไฟฟ้าสายปัจจุบัน และแหล่งงานขนาดใหญ่ ค่าเช่าขยับสูงสุด 8% ในเขต​​ธนบุรี ด้วยราคาค่าเช่า 390 บ./ตร.ม./ด.   ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ ช่วงครึ่งปีแรก​ที่ผ่านมา เติบโตไม่หวือหวา เพราะยังเผชิญปัจจัยท้าทายรอบด้าน แม้ทิศทางเงินเฟ้อเริ่มชะลอตัวแต่กำลังซื้อผู้บริโภคยังไม่แข็งแรงเพียงพอ ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นยังคงเป็นอุปสรรคในการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัย ส่งผลให้ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในไตรมาสที่ผ่านมาลดลง 2%   ขณะที่แนวโน้มราคายังไม่ฟื้นตัว ดัชนีราคาที่อยู่อาศัยก็ปรับลดลงทุกประเภท หลังจากผู้ประกอบการรวมถึงผู้บริโภคที่มีสินค้าอยู่ในมือ ตรึงราคาสินค้าต้นทุนเดิม เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อ ด้านตลาดเช่ามีแนวโน้มเติบโตอย่างน่าสนใจ หลังผู้บริโภคชะลอแผนการซื้อ ส่งผลดัชนีค่าเช่าปรับเพิ่มขึ้น 3%   แม้ภาพรวมความต้องการเช่าจะลดลงจากไตรมาสก่อนเล็กน้อย แต่เพิ่มขึ้น 17% ในรอบปี คาดการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย​ ยังเป็นตัวแปรสำคัญ​ในการตัดสินใจซื้อที่อยู่​อาศัยของผู้บริโภคระดับกลางและล่างในปีนี้ หวังความชัดเจนแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ จะเป็นตัวช่วยสำคัญพลิกฟื้น​เศรษฐกิจพร้อมกระตุ้นกำลังซื้อผู้บริโภค ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกช่วยสร้างการเติบโตแก่ตลาดอสังหาฯ ให้กลับมาคึกคัก​อีกครั้งในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ราคาที่อยู่อาศัยปรับตัวลดลง 18% ข้อมูลล่าสุด จากรายงาน DDproperty Thailand Property Market Report Q2 2566 ซึ่งวิเคราะห์จากข้อมูลประกาศขาย-เช่าอสังหาฯ บนเว็บไซต์ DDproperty พบว่า ภาพรวมดัชนีราคาที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ ปรับตัวลดลง 10% จากไตรมาสก่อน (QoQ) หรือลดลง 18% จากปีก่อนหน้า (YoY) โดยมีการปรับลดลงถึง 31% จากช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดฯ (ไตรมาส 4 ปี 2562) สะท้อนให้เห็นว่าแนวโน้มราคาที่อยู่อาศัยยังชะลอตัวต่อเนื่อง   ทั้งนี้ ดัชนีราคาที่อยู่อาศัยมีการปรับตัวลดลงทุกประเภท ซึ่งเป็นผลจากกำลังซื้อผู้บริโภคที่ยังไม่ฟื้นตัว  ผู้ประกอบการ รวมถึงผู้บริโภคที่มีสินค้าอยู่ในมือ ตรึงราคาขายของสินค้าต้นทุนเดิมไว้ และจัดโปรโมชั่นส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มีเพียงทาวน์เฮ้าส์ที่มีดัชนีราคาทรงตัวจากไตรมาสก่อน ขณะที่ดัชนีราคาบ้านเดี่ยวและคอนโดมิเนียมลดลงในสัดส่วนเท่ากันที่ 4% QoQ สะท้อนให้เห็นว่าความนิยมของที่อยู่อาศัยแนวราบในปีนี้เริ่มชะลอตัวพอสมควร  หากเทียบกับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดฯ พบว่า บ้านเดี่ยวยังมีการเติบโตอย่างน่าสนใจ โดยถือเป็นที่อยู่อาศัยประเภทเดียวที่มีดัชนีราคาเพิ่มขึ้น 6% ขณะที่ทาวน์เฮ้าส์ลดลง 5% และคอนโดฯ ลดลงมากที่สุดถึง 20%   นายวิทยา อภิรักษ์วิริยะ ผู้จัดการทั่วไป Think of Living และ ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (ฝั่งดีเวลลอปเปอร์) กล่าวว่า ปัจจัยบวกที่ช่วยกระตุ้นตลาดอสังหาฯ ในช่วงครึ่งปีแรกที่หลายฝ่ายจับตามอง คือ การที่จีนเปิดประเทศ ซึ่งส่งผลให้ตลาดท่องเที่ยวและตลาดอสังหาฯ มีแนวโน้มเติบโตตามไปด้วย เนื่องจากจีนเป็นกลุ่มลูกค้าหลักที่เข้ามาซื้ออสังหาฯ ไทยมากที่สุด   อย่างไรก็ตาม แม้จะมีปัจจัยบวกจากกำลังซื้อต่างชาติที่เพิ่มขึ้น แต่ตลาดอสังหาฯ ยังคงเผชิญความท้าทายจากกำลังซื้อในประเทศเช่นกัน แม้ภาวะเงินเฟ้อจะชะลอตัวลง แต่ปัจจัยท้าทายสำคัญมาจากอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้น หลังจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายติดต่อกัน ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบันอยู่ที่ 1.75% ต่อปี และยังมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต ส่งผลให้ธนาคารและสถาบันการเงินต่าง ๆ ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ทุกประเภทตามไปด้วย กระทบกับผู้ที่วางแผนซื้อที่อยู่อาศัยและผู้ที่กำลังผ่อนบ้านอยู่อย่างเลี่ยงไม่ได้”   จากแนวโน้มเศรษฐกิจที่ยังไม่แน่นอนและอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น รวมถึงค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการซื้ออสังหาฯ ที่เพิ่มสูงขึ้น อาจส่งผลให้ความสนใจซื้อของผู้บริโภคในประเทศชะลอตัวลง  โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง (Real Demand) ระดับกลางและล่าง ซึ่งต้องพึ่งพาสินเชื่อจากสถาบันการเงินในการกู้ซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง   โดยอาจต้องทบทวนความพร้อมทางการเงินและวางแผนรับมือหากต้องผ่อนบ้านในยุคดอกเบี้ยขาขึ้น ซึ่งจะมีภาระผ่อนชำระเพิ่มขึ้นตามไปด้วย นอกจากนี้ สถาบันการเงินยังมีเกณฑ์การพิจารณาอนุมัติสินเชื่อที่เข้มงวด ซึ่งจะส่งผลให้โอกาสเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยในกลุ่ม Real Demand โดยเฉพาะกลุ่มที่รายได้ยังคงอ่อนแอจะมีความท้าทายยิ่งขึ้น   อย่างไรก็ตาม โครงการรีเซลหรือตลาดบ้านมือสองซึ่งมีต้นทุนราคาเดิมที่ถูกกว่า จึงอาจกลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยในเวลานี้ สำหรับความท้าทายด้านการเงินและกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ยังไม่กลับมา อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ตลาดเช่ามีแนวโน้มเติบโตมากขึ้น โดยเฉพาะในทำเลแหล่งงานและแนวรถไฟฟ้าสายปัจจุบัน เห็นได้ชัดจากความต้องการเช่าที่เพิ่มขึ้น 118% จากช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดฯ และอาจกลายเป็นเทรนด์สำหรับคนยุคปัจจุบันที่ต้องการความยืดหยุ่นในการอยู่อาศัยโดยไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของ และไม่ต้องการมีภาระหนี้ระยะยาว จึงนับเป็นโอกาสของผู้ที่ต้องการซื้ออสังหาฯ เพื่อลงทุนปล่อยเช่าเช่นกัน   อย่างไรก็ตาม แน่นอนว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังคงเป็นหัวใจสำคัญที่ภาคธุรกิจและผู้บริโภคเฝ้ารอ สิ่งที่หลายฝ่ายจับตามองต่อจากนี้ คือ ความชัดเจนของแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ามาขับเคลื่อนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง แก้ปัญหาค่าครองชีพที่สูงขึ้น รวมทั้งช่วยกระตุ้นกำลังซื้อของผู้บริโภคให้กลับมาดีดังเดิม   ขณะเดียวกันผู้พัฒนาอสังหาฯ และผู้บริโภคต่างคาดหวังนโยบายที่เกี่ยวข้องกับภาคอสังหาฯ ที่จะเข้ามาเพิ่มโอกาสให้คนไทยเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยได้ง่ายขึ้นในยุคดอกเบี้ยขาขึ้น รวมทั้งช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของตลาดอสังหาฯ ช่วงครึ่งหลังของปี 2566 ให้ฟื้นตัวดีดังเดิมเช่นกัน เกาะติดทิศทางตลาดที่อยู่อาศัย ส่วนรายงาน DDproperty Thailand Property Market Report Q2 2566 ซึ่งวิเคราะห์จากข้อมูลประกาศขาย-เช่าอสังหาฯ บนเว็บไซต์ DDproperty เผยข้อมูลเชิงลึกของตลาดอสังหาฯ ไทยในไตรมาสล่าสุด พร้อมสรุปภาพรวมดัชนีราคา และความต้องการที่อยู่อาศัยที่น่าจับตามองในตลาดซื้อและเช่า รวมทั้งอัปเดตทำเลศักยภาพที่ดัชนีราคามีแนวโน้มเติบโตอย่างน่าสนใจ ดีมานด์คนซื้อยังไม่ฟื้น ภาพรวมอุปทานหรือจำนวนที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ ไตรมาสที่ผ่านมา พบว่าที่อยู่อาศัยแนวราบยังคงมีสัดส่วนเติบโตต่อเนื่อง โดยบ้านเดี่ยวมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 15% และทาวน์เฮ้าส์มีสัดส่วนที่ 11% ของจำนวนที่อยู่อาศัยทั้งหมดในกรุงเทพฯ (เพิ่มขึ้นในสัดส่วนเท่ากันที่ 3% QoQ) ด้านคอนโดฯ แม้จะครองสัดส่วนมากที่สุดในตลาดถึง 74% แต่มีสัดส่วนลดลง 6% QoQ สะท้อนให้เห็นเทรนด์ที่อยู่อาศัยในช่วงที่ผ่านมาอย่างชัดเจน หลังผู้พัฒนาอสังหาฯ ได้มุ่งเน้นไปที่การเปิดตัวโครงการแนบราบอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับผู้ขายที่มีสินค้าแนวราบต่างนำสินค้าออกมาขายมากขึ้น เพื่อรองรับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ต้องการที่อยู่อาศัยที่มีพื้นที่ใช้สอยเพิ่มขึ้น   ขณะที่ภาพรวมที่อยู่อาศัยส่วนใหญ่มีราคาขายอยู่ที่ 1-3 ล้านบาท ด้วยสัดส่วนถึง 29% ของที่อยู่อาศัยทั้งหมดในกรุงเทพฯ เมื่อพิจารณาตามประเภทอสังหาฯ พบว่า คอนโดฯ (31%) และทาวน์เฮ้าส์ (44%) ส่วนใหญ่มีราคาอยู่ที่ 1-3 ล้านบาท ด้านบ้านเดี่ยวส่วนใหญ่ (41%) มีราคามากกว่า 15 ล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มบ้านระดับพรีเมียมและบ้านหรูที่ตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคระดับบนที่มีกำลังซื้อสูงและมีความพร้อมทางการเงิน ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายที่ผู้พัฒนาอสังหาฯ หันมาทำตลาดทดแทนกำลังซื้อระดับกลางและล่างที่ชะลอตัวลง   อย่างไรก็ดี ภาพรวมความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ ในระยะสั้นมีการปรับตัวลดลง 2% QoQ และลดลง 15% YoY ซึ่งเมื่อพิจารณาตามประเภทที่อยู่อาศัยพบว่าปรับลดลงใกล้เคียงกัน โดยบ้านเดี่ยวลดลงมากที่สุด 3% QoQ และคอนโดฯ ลดลง 2% QoQ มีเพียงทาวน์เฮ้าส์ที่ถือเป็นที่อยู่อาศัยประเภทเดียวที่มีดัชนีความต้องการซื้อเพิ่มขึ้น 1% QoQ หากเปรียบเทียบกับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดฯ จะพบว่าภาพรวมความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นถึง 44% และมีความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างมากในทุกประเภทที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะแนวราบที่มีการเติบโตอย่างเห็นได้ชัด โดยบ้านเดี่ยวมีความต้องการซื้อเพิ่มขึ้นมากถึง 60% ตามมาด้วยทาวน์เฮ้าส์ และคอนโดฯ (เพิ่มขึ้น 47% และ 38% ตามลำดับ) ดังนั้น แม้ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยจะชะลอตัวลงในระยะสั้นในรอบไตรมาส แต่หากมองในระยะยาวยังมีสัญญาณที่ดี 7 ทำเลราคาที่อยู่อาศัยปรับขึ้นสูง สำหรับทำเลที่มีดัชนีราคาที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบไตรมาส ปัจจุบันเริ่มกลับมาอยู่ในย่านใจกลางเมือง และพื้นที่นอกเขตศูนย์กลางธุรกิจแล้ว ต่างจากรอบก่อนหน้าที่ทำเลส่วนใหญ่เป็นพื้นที่กรุงเทพฯ รอบนอก โดยทำเลที่น่าจับตามองในไตรมาสนี้ส่วนใหญ่จะอยู่ในทำเลแนวรถไฟฟ้าสายปัจจุบัน ได้แก่ 1.เขตปทุมวัน เขตปทุมวัน ถือเป็นทำเล CBD ที่มีดัชนีราคาเพิ่มขึ้นมากที่สุด โดยเพิ่มขึ้น 6% QoQ (เพิ่มขึ้น 4% YoY) หรือมีราคาเฉลี่ย 250,000 บ./ตร.อานิสงส์จากการเป็นทำเลใจกลางเมืองหลวงที่มีศูนย์การค้าขนาดใหญ่ และเป็นแหล่งงาน รวมทั้งใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียว สายสุขุมวิท 2.เขตสัมพันธวงศ์ เขตสัมพันธวงศ์ ทำเลนอก CBD ถือเป็นทำเลแหล่งการค้าขนาดใหญ่ เดินทางสะดวกด้วยรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน หัวลำโพง-หลักสอง มีราคาเฉลี่ย 105,000 บ./ตร.ม. มีดัชนีราคาเพิ่มขึ้น 4% QoQ (เพิ่มขึ้น 4% YoY) 3.เขตบางคอแหลม เขตบางคอแหลม ทำเลนอก CBD มีดัชนีราคาเฉลี่ย 110,000 บ./ตร.ม. เพิ่มขึ้น 4% QoQ (ลดลง 7% YoY) ทำเลแหล่งงานย่านพระราม 3 ใกล้สาทร-สีลม ความน่าสนใจอยู่ที่ปัจจุบันยังมีโครงการพัฒนาต่อเนื่อง เช่น ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ 4.เขตคลองสาน เขตคลองสาน ทำเลนอก CBD ราคาเฉลี่ย 134,000 บ./ตร.ม. มีดัชนีราคาเพิ่มขึ้น 3% QoQ (เพิ่มขึ้น 5% YoY) อีกหนึ่งทำเลศูนย์การค้าขนาดใหญ่ ใกล้รถไฟฟ้าสายสีทอง กรุงธนบุรี-คลองสาน 5.เขตคลองสามวา เขตคลองสามวา มีราคาเฉลี่ย 23,000 บ./ตร.ม. หรือมีค่าดัชนีราคาเพิ่มขึ้น 3% QoQ (เพิ่มขึ้น 3% YoY) เป็นทำเลพื้นที่กรุงเทพฯ รอบนอก ที่มีที่อยู่อาศัยส่วนใหญ่เป็นสินค้าแนวราบ ซึ่งตอบโจทย์กลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง (Real Demand) 6.เขตวัฒนา ​ เขตวัฒนา มีดัชนีราคาเพิ่มขึ้น 3% QoQ (ลดลง 2% YoY) หรือมีราคาเฉลี่ย 152,000 บ./ตร.ม. เนื่องจากเป็นทำเลธุรกิจสำคัญของกรุงเทพฯ เป็นแหล่งงานขนาดใหญ่ และใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียว สายสุขุมวิท 7.เขตหลักสี่    เขตหลักสี่ มีดัชนีราคาเพิ่มขึ้น 3% QoQ (ลดลง 25% YoY) มีราคาเฉลี่ย 48,000 บ./ตร.ม. เติบโตจากอานิสงส์ของรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยาย หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต ที่เชื่อมต่อการเดินทางไปยังใจกลางเมืองให้ง่ายขึ้น ที่อยู่แนวรถไฟฟ้าค่าเช่าขยับสูงสุด 8% ภาพรวมดัชนีค่าเช่าในกรุงเทพฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3% QoQ หรือเพิ่มขึ้น 3% YoY แต่ยังต่ำกว่าช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดฯ อยู่ถึง 10% โดยเมื่อแบ่งตามประเภทที่อยู่อาศัยพบว่า มีเพียงทาวน์เฮ้าส์เท่านั้นที่มีดัชนีค่าเช่าเพิ่มขึ้น 2% QoQ (ทรงตัวจากปีก่อนหน้า) ขณะที่บ้านเดี่ยวลดลง 6% QoQ (ลดลง 18% YoY) ด้านคอนโดฯ ยังทรงตัวจากไตรมาสก่อน (เพิ่มขึ้น 2% YoY)   อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาเทียบกับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดฯ พบว่า ดัชนีค่าเช่าของที่อยู่อาศัยแนวราบยังมีทิศทางเติบโต โดยบ้านเดี่ยวมีดัชนีค่าเช่าเพิ่มขึ้น 8% และทาวน์เฮ้าส์ เพิ่มขึ้น 4% สวนทางกับคอนโดฯ ที่ดัชนีค่าเช่าปรับลดลงถึง 12% จากช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดฯ สะท้อนให้เห็นว่าตลาดเช่าคอนโดฯ ยังมีการแข่งขันสูง ผู้ให้เช่าบางส่วนจึงใช้กลยุทธ์ปรับลดราคาให้สอดคล้องกับกำลังซื้อของผู้บริโภคเพื่อดึงดูดการตัดสินใจเช่า   ด้านจำนวนที่อยู่อาศัยสำหรับเช่านั้น แม้คอนโดฯ จะครองสัดส่วนมากที่สุดถึง 93% ของจำนวนที่อยู่อาศัยสำหรับเช่าทั้งหมดในกรุงเทพฯ แต่มีสัดส่วนลดลง 2% QoQ ต่างจากจำนวนที่อยู่อาศัยแนวราบที่มีการปรับเพิ่มในรอบไตรมาส ส่งผลให้บ้านเดี่ยวมีสัดส่วนเพิ่มมาอยู่ที่ 4% และทาวน์เฮ้าส์มีสัดส่วนอยู่ที่ 3% (เพิ่มขึ้นในสัดส่วนเท่ากันที่ 1% QoQ) ทำให้ตลาดเช่ามีตัวเลือกที่อยู่อาศัยแนวราบที่หลากหลายและตอบโจทย์ความต้องการของผู้เช่าที่มีครอบครัวมากขึ้น   สำหรับภาพรวมดัชนีความต้องการเช่าที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ แม้จะปรับลดลง 3% QoQ แต่เพิ่มขึ้น 17% YoY เมื่อพิจารณาตามประเภทที่อยู่อาศัยพบว่า มีเพียงทาวน์เฮ้าส์ที่ดัชนีความต้องการเช่าเพิ่มขึ้น 7% QoQ ขณะที่บ้านเดี่ยวลดลง 8% QoQ และคอนโดฯ ลดลง 3% QoQ   ทั้งนี้ ดีมานด์ในตลาดเช่ายังมีทิศทางเติบโตน่าสนใจ โดยเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดฯ พบว่าดัชนีความต้องการเช่าที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ เพิ่มขึ้นถึง 118% และปรับเพิ่มขึ้นทุกประเภทที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยแนวดิ่งอย่างคอนโดฯ ที่ยังคงครองความนิยมในตลาดเช่า โดยมีดัชนีความต้องการเช่าเพิ่มขึ้น 143% จากช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดฯ ตามมาด้วยบ้านเดี่ยว และทาวน์เฮ้าส์ (เพิ่มขึ้น 36% และ 24% ตามลำดับ) 5 ทำเล ค่าเช่าที่อยู่เพิ่มขึ้นมากสุด ทำเลที่มีดัชนีค่าเช่าเพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบไตรมาส ส่วนใหญ่อยู่ในทำเลแนวรถไฟฟ้าสายปัจจุบัน และเป็นทำเลแหล่งงานขนาดใหญ่ซึ่งมีความต้องการที่อยู่อาศัยสูงตามไปด้วย โดย 5 ทำเล ค่าเช่าที่อยู่เพิ่มขึ้นมากสุด ได้แก่ 1.เขตธนบุรี เขตธนบุรี ดัชนีค่าเช่าเพิ่มขึ้นถึง 8% QoQ (เพิ่มขึ้น 8% YoY) มีค่าเช่า 390 บ./ตร.ม./ด. ความน่าสนใจอยู่ที่เป็นทำเลใกล้ย่านธุรกิจ และสามารถเดินทางสะดวกด้วยรถไฟฟ้าสายสีเขียว สายสีลม 2.เขตสัมพันธวงศ์ เขตสัมพันธวงศ์ ดัชนีค่าเช่าเพิ่มขึ้น 8% QoQ (ทรงตัวจากปีก่อนหน้า) ด้วยค่าเช่า 360 บ./ตร.ม./ด. ซึ่งถือ เป็นทำเลแหล่งการค้าขนาดใหญ่ ได้อานิสงส์จากโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน หัวลำโพง-หลักสอง 3.เขตดินแดง เขตดินแดง ดัชนีค่าเช่าเพิ่มขึ้น 7% QoQ (เพิ่มขึ้น 8% YoY) ด้วยค่าเช่า 460 บ./ตรม./ด. ซึ่งเป็นทำเลศูนย์กลางธุรกิจของกรุงเทพฯ (CBD) แห่งใหม่ ใกล้รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน หัวลำโพง-บางซื่อ 4.เขตสายไหม เขตสายใหม ในทำเลกทม.รอบนอก มีดัชนีราคาค่าเช่า 280 บ./ตรม./ด. เพิ่มขึ้น 5% ​QoQ (เพิ่มขึ้น 5% YoY) ทำเลใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยาย หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต 5.เขตประเวศ เขตประเวศ ดัชนีค่าเช่าเพิ่มขึ้น 5% QoQ (เพิ่มขึ้น 2% YoY) ค่าเช่า 270 บ./ตรม./ด. ถือเป็นทำเลกทม.รอบนอก ที่เดินทางสะดวกทั้งจากรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ พญาไท-สนามบินสุวรรณภูมิ และรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ลาดพร้าว-สำโรง     อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ไนท์แฟรงค์ มองตลาดอสังหาฯ ปี 66   “ท่องเที่ยว-ไมซ์-บ้านหรู” ตัวเร่งกำลังซื้อ -ส่องตลาดอสังหาฯ 66 ท่ามกลางปัจจัยบวก-ลบ มีดีมานด์บ้าน-คอนโด 1.2 แสนยูนิต
เปิดแอร์พร้อมพัดลม ช่วยประหยัดไฟจริงมั๊ย?

เปิดแอร์พร้อมพัดลม ช่วยประหยัดไฟจริงมั๊ย?

เปิดแอร์พร้อมพัดลม ช่วยประหยัดไฟจริงมั๊ย?  มาไขคำตอบกัน เพราะแม้ว่าเดือนเมษายน ซึ่งเป็นเดือนที่ประเทศไทยร้อนที่สุดแห่งปี ได้ผ่านพ้นไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเมืองไทยจะมีอากาศเย็น เมืองไทยยังคงร้อนเป็นปกติ ซึ่งนั่นหมายความว่า เรายังคงต้องพึ่งพาการเปิดเครื่องปรับอากาศ หรือพัดลม เพื่อช่วยทำให้ห้องเย็น ทำให้เรายังต้องเสียเงินค่าไฟฟ้าที่สูงอยู่ดี   แต่ก็ยังนับว่าเรายังโชคดี ที่ช่วงระยะเวลา 4 เดือนนี้ คือ พฤษภาคม-สิงหาคม รัฐบาลออกมาตรการมาช่วยลดภาระค่าไฟ จากราคาค่าไฟที่ปรับขึ้นมาแล้ว ดังนั้น แนวทางสำคัญที่จะช่วยลดภาระให้กับเงินในกระเป๋าเราได้ คือ การใช้ไฟอย่างคุ้มค่า หากสามารถประหยัดไฟได้ก็ต้องทำ โดยเฉพาะการเลือกแอร์ที่ประหยัดไฟได้ตั้งแต่ต้น รวมถึงการเลือกติดแอร์ให้เหมาะสมกับขนาดของห้องด้วย เปิดแอร์ 1 ชั่วโมง เสียค่าไฟเท่าไร แล้วรู้หรือไม่ว่า แอร์ที่มี BTU แตกต่างกัน เราต้องเสียค่าไฟชั่วโมงละกี่บาท หากคิดตามราคาค่าไฟที่หน่วยละ 2.3488 บาท (อัตราค่าไฟ 1-15 หน่วยแรก) แอร์ 12000 BTU เสียค่าไฟ ชั่วโมงละ 1.37 บาท แอร์ 18000 BTU เสียค่าไฟ ชั่วโมงละ 1.88 บาท ดังนั้น ถ้าจะหาว่าเดือนหนึ่งเราเสียค่าไฟกี่บาท ก็ให้คูณจำนวนชั่วโมงที่เปิด คูณจำนวนวันที่เปิดใช้ และในบ้านมีแอร์กี่เครื่องก็นับรวมกัน จะเป็นค่าไฟที่ต้องเสียแต่ละเดือน แต่ทั้งนี้ ราคาที่เราคำนวณมาให้เป็นค่าไฟโดยประมาณ อาจจะต้องพิจารณาจากปัจจัยอื่น ๆ เช่น การดูแลรักษาแอร์ เทคโนโลยีของแอร์ ระบบแอร์รุ่นใหม่หรือเก่า เป็นต้น   (หมายเหตุ -ค่าไฟดังกล่าว คำนวณจากแอร์ระบบอินเวอร์เตอร์, ราคายังไม่รวมค่าบริการ 8.19 บาท ค่า Ft หน่วยละ 0.9827 บาท และค่า Vat 7%) เปิดแอร์พร้อมพัดลม ช่วยประหยัดไฟจริงมั๊ย? ตามคำแนะนำของการไฟฟ้าที่ออกมาระบุว่า หากต้องการประหยัดไฟ ให้เปิดแอร์ที่ระดับ 27 องศา ควบคู่กับการเปิดพัดลม จะช่วยประหยัดไฟได้ ซึ่งก็ถือว่าเป็นความจริง เนื่องจากมีงานวิจัย จากดร.มานพ แจ่มกระจ่าง จากมหาวิทยาลัยบูรพา ทำการศึกษาทางเลือกการตั้งอุณหภูมิเคลื่องปรับอากาศที่เหมาะสมเพื่อการประหยัดพลังงาน ด้วยการเปิดแอร์ในระดับอุณหภูมิ 25-27 องศา กับแอร์ที่มีขนาด BTU 9000-18000 พบว่าถ้าตั้งอุณหภูมิเพิ่มขึ้น 1 องศา จะประหยัดไฟเฉลี่ย 20%   ดังนั้น ถ้าหากใครต้องการประหยัดค่าไฟ จากการเปิดแอร์ให้ลดลง ก็อาจจะต้องเปิดพัดลมช่วยด้วยอีกทางหนึ่ง แต่ทางที่ดี เราควรเลือกแอร์ที่มีประสิทธิภาพประหยัดไฟได้สูงสุดเป็นอันดับแรก ก่อนที่จะทำการติดตั้งแอร์ แม้ว่าจะมีราคาสูงกว่ารุ่นทั่วไปก็ตาม รวมถึง หากติดตั้งแอร์ระบบอินเวอร์เตอร์ ก็พบว่าสามารถประหยัดไฟได้ดีกว่าแอร์ปกติถึง 30-35% ด้วย และเราคงต้องดูแลรักษาแอร์ให้อยู่ในสภาพที่ดี ล้างแอร์เป็นประจำตลอดอายุการใช้งาน   ที่มา- การไฟฟ้านครหลวง, การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค, ช่างสามัญประจำบ้าน   อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง -แอร์ส่งกลิ่นเหม็นอับ ทำไงดี  
แสนสิริ ตุนยอดโอน 4 เดือนแรก โต 28% กวาดรายได้แล้ว 9,200 ล้าน 

แสนสิริ ตุนยอดโอน 4 เดือนแรก โต 28% กวาดรายได้แล้ว 9,200 ล้าน 

แสนสิริ เผยยอดโอน 4 เดือน พุ่ง 9,200 ล้านบาท โตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 28% เดินหน้าเปิดตัวแคมเปญไตรมาส 2 ดีลดี …โอนลี่ ยู! บ้าน ลดสูงสุด 3 ล้าน*  พร้อมลุ้นกำไรไตรมาสแรกเติบโตโดดเด่น พร้อมได้แรงหนุนกำไรพิเศษจากการขายกิจการโรงเรียน   นายอุทัย  อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยว่า ช่วง 4 เดือนแรกของปี บริษัทมียอดโอนโครงการที่อยู่อาศัยทุกประเภท ที่สร้างเสร็จและส่งมอบให้กับลูกค้าแล้วถึง 9,200 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 28% แบ่งเป็นยอดโอนจากคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ 3,900 ล้านบาท จากโครงการ อาทิ XT พญาไท และ XT ห้วยขวาง ขณะที่โครงการแนวราบมียอดโอน 5,300 ล้านบาท จากโครงการ นาราสิริ กรุงเทพกรีฑา และ บุราสิริ กรุงเทพกรีฑา     ในช่วงไตรมาสที่ 2 แสนสิริจึงรุกต่อยอดเปิดตัวแคมเปญ “ดีลดี …โอนลี่ ยู!” บ้านลดสูงสุด 3 ล้านบาท* คอนโดรับรถทุกยูนิต* ทาวน์โฮม รับคืนสูงสุด 3 แสน อาทิ โครงการบุราสิริ วัชรพล ใกล้ทางด่วนรามอินทรา - อาจณรงค์ รับเพิ่ม 1 ล้านบาท*, โครงการเศรษฐสิริ กรุงเทพ – ปทุมธานี บ้านวิวสนามกอล์ฟ ในเฟสส่วนตัว รับโปรสูงสุด 2 ล้านบาท* ทาวน์โฮม สิริ เพลส พัฒนาการ ทาวน์โฮมพร้อมอยู่สไตล์ปารีส ราคา 3.39 – 5 ล้านบาท* พร้อมรับคืนสูงสุด 2 แสนบาท*ฟรีทุกค่าใช้จ่ายวันโอน คอนโด เดอะ เบส เพชรบุรี - ทองหล่อ ใกล้ทองหล่อเพียง 2 นาที* เริ่ม 3.79 ล้านบาท* รับ ORA Good Cat 500 UL* โอกะ เฮาส์ สุขุมวิท 36 ใกล้ BTS ทองหล่อ เริ่ม 4.39 ล้านบาท* รับคืนสูงสุด 7 แสนบาท* และ XT พญาไท คอนโดพร้อมอยู่ ใกล้ BTS พญาไท เริ่ม 4.99 ล้านบาท* รับ ORA Good Cat 500 UL*  เมื่อจองและโอนภายใน 30 มิถุนายนนี้เท่านั้น ที่ทุกโครงการจากแสนสิริ   ขณะที่แนวโน้มกำไรไตรมาสแรกของแสนสิริ คาดว่าจะเติบโตสูงขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการโอนต่อเนื่องของโครงการ อาทิ นาราสิริ กรุงเทพกรีฑา และ บุราสิริ กรุงเทพกรีฑา ที่มีมาร์จิ้นสูง รวมถึงคอนโด อย่าง XT พญาไท นอกจากนี้ยังมีแรงหนุนจากการขายกิจการโรงเรียนสาธิตพัฒนา ทำให้รับรู้กำไรพิเศษ (หลังภาษี) ประมาณ 400 – 500 ล้านบาท รวมกับแผนรุกธุรกิจในการเปิดตัวโครงการใหม่ในปีนี้ ทำให้คาดว่าจะผลักดันกำไรสุทธิปี 2566 นี้ให้ทำ New High ต่อเนื่องได้แน่นอน   สำหรับแผนธุรกิจในไตรมาส 2 แสนสิริรุกเดินหน้าต่อ ด้วยแผนเปิดตัวโครงการใหม่อีกประมาณ 8 โครงการ มูลค่ารวม 13,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบที่ครอบคลุมทุกระดับราคา ทั้งทาวน์โฮมแบรนด์ สิริ เพลส ที่เตรียมเปิดตัว สิริ เพลส ลาดพร้าว101 ยืนหนึ่งทาวน์โฮมใหม่ใจกลางเมือง บนทำเลลาดพร้าว – เลียบด่วนฯ ราคาเริ่มต้น 4.5 ล้านบาท* ใจกลางทำเลบ้านระดับ Luxury ตั้งแต่ 20 – 350 ล้านบาท เตรียมเปิดให้ชมโครงการครั้งแรก 20 - 21 พฤษภาคมนี้ นอกจากนี้ ยังเตรียมเปิดตัว อณาสิริ มิกซ์โปรดักส์ บ้านและทาวน์โฮมในโครงการเดียว ตอบรับความต้องการที่หลากหลาย ภายใต้แนวคิดการอยู่อาศัย Feel Just Right  ความพอดีที่ลงตัว 3 โครงการใหม่ และบ้านเดี่ยวแบรนด์ฮาบิเทีย ไพร์ม 2 ติดถนนใหญ่ บนทำเลราชพฤกษ์ ต่อยอดความสำเร็จจากโครงการแรก เตรียมเปิดตัวบ้านเดี่ยวหลังแรกของครอบครัว ซีรีส์ Modern Farmhouse แบรนด์สราญสิริ และแบรนด์บ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี “เศรษฐสิริ” ที่ในปีนี้ จะมีความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ของแบรนด์บ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี ระดับราคา 12 – 40 ล้านบาท* ที่เจาะกลุ่ม Target อายุน้อยลง ประสบความสำเร็จเร็ว ด้วยการเปิดตัว New Design Series ภายใต้แนวคิด Portrait of Success กับ 4 ดีไซน์ใหม่   เปิดตัวด้วยโครงการแรก “เศรษฐสิริ ดอนเมือง” ในดีไซน์ใหม่ล่าสุด สไตล์ “Georgian” จอร์เจียน แรงบันดาลใจจากบ้านของเหล่าเศรษฐีอเมริกัน ที่หรูหราสง่างาม แต่ยังคงความคลาสสิกไว้ ในแบบฉบับของแบรนด์เศรษฐสิริ บนทำเลดอนเมือง เพียง 2 นาที จากรถไฟฟ้าสายสีแดงสถานีดอนเมือง และ 5 นาทีจากสนามบินดอนเมือง ราคาเริ่มต้น 20 - 40 ล้านบาท* เตรียมเปิดขายในเดือนพฤษภาคมนี้  ขณะที่ไฮไลท์การเปิดตัวคอนโดมิเนียมในช่วงไตรมาส 2  แสนสิริ  เตรียมเปิดตัว “dcondo hype rangsit” (ดีคอนโด ไฮป์ รังสิต) เริ่มเพียง 1.3x ลบ.* ปักหมุด 250 เมตร จากมหาวิทยาลัยกรุงเทพ* ติดถนนใหญ่พหลโยธิน ภาพรวมตลาดอสังหาฯ ไตรมาส 2 มีแรงหนุนจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวดีขึ้นตามลำดับ รวมทั้งความคึกคักของตลาดการท่องเที่ยว ที่ส่งผลต่อเนื่องถึงความต้องการที่อยู่อาศัย ขณะที่ภาคเอกชนรายใหญ่ต่างเริ่มมีความมั่นใจในการช่วยกันขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้วยการเปิดตัวโครงการใหม่และมอบแคมเปญการตลาดสู่กลุ่มลูกค้าอย่างต่อเนื่อง       อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -แสนสิริ เปิดทำเลโครงการใหม่ปี 66 บักหมุดพื้นที่กรุงเทพฯ​ และอีก 6 จังหวัด
บริทาเนีย  ผนึกเจ้าของ  ม.เกษมบัณฑิต  ปั้นโปรเจ็กต์ 34 ไร่ บนถนนร่มเกล้า

บริทาเนีย ผนึกเจ้าของ ม.เกษมบัณฑิต ปั้นโปรเจ็กต์ 34 ไร่ บนถนนร่มเกล้า

เกษมบัณฑิต บริทาเนีย จับมือตระกูล สุวรรณดี เจ้าของ ผู้ก่อตั้ง “มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต” ปั้นโครงการบ้านเดี่ยว “แกรนด์ บริทาเนีย กรุงเทพกรีฑา-ร่มเกล้า” มูลค่าโครงการกว่า 1,500 ล้าน บนที่ดินกว่า 34 ไร่     นายสุรินทร์ สหชาติโภคานันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่บริษัทได้ประกาศโมเดลธุรกิจ “Your Land to New Business” เปิดโอกาสให้เจ้าของที่ดินในทำเลศักยภาพทั่วประเทศ ได้ร่วมทุน (Joint Venture) พัฒนาโครงการบ้านจัดสรรร่วมกัน เพื่อสร้างโอกาสการเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน ล่าสุด บริษัทได้บรรลุข้อตกลงกับบริษัท เกษมบัณฑิต จำกัด ของตระกูล “สุวรรณดี” เจ้าของที่ดินผืนศักยภาพฝั่งกรุงเทพฯ ตะวันออก ผู้ริเริ่มและก่อตั้งมหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต เพื่อร่วมกันพัฒนาโครงการบ้านจัดสรร “แกรนด์ บริทาเนีย กรุงเทพกรีฑา-ร่มเกล้า” (Grand Britania Krungthep Kreetha – Romklao) โครงการดังกล่าวออกแบบเป็นโครงการบ้านเดี่ยว และบ้านซีรีส์ใหม่ 2 ชั้น ระดับ High-End ด้วยขนาดพื้นที่ใช้สอย 205 – 285 ตารางเมตร จำนวน 128 ยูนิต โดยมีพื้นที่ตั้งอยู่ในทำเลศักยภาพ บนถนนร่มเกล้า สามารถเลือกเดินทางได้หลากหลายเส้นทาง เชื่อมกับถนนศรีนครินทร์-ร่มเกล้า และถนนมอเตอร์เวย์ เดินทางไปสนามบินสุวรรณภูมิเพียง 8.5 กม. รถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงก์เพียง 10 กม. ใกล้โรงพยาบาลสิรินธร โรงเรียนสารสาสน์ วิเทศน์ร่มเกล้า โรงเรียนเทพศิรินทร์ร่มเกล้า สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าคุณทหารลาดกระบัง มีแหล่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งบิ๊กซี The Paseo Mall โรบินสัน โดยโครงการมีจุดเด่นที่ดีไซน์และการออกแบบให้เป็นบ้านของคนยุคใหม่ ที่มีนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัย พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตให้สะดวกและปลอดภัยมากขึ้น   นายสุรินทร์ กล่าวว่า การร่วมทุนกับกลุ่มเกษมบัณฑิตในครั้งนี้ เป็นการตอกย้ำถึงความเชื่อมั่นของพันธมิตรในศักยภาพของ BRI กับการเป็นผู้พัฒนาอสังหาฯ ชั้นนำของประเทศที่มุ่งเน้นการยกระดับคุณภาพชีวิตและสร้างความสุขให้แก่ผู้อยู่อาศัย และวิสัยทัศน์ในการดำเนินธุรกิจของบริษัทที่มีความชำนาญ เข้าใจดีมานด์ของตลาด มุ่งมั่นในการปรับและพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อตอบสนองความความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปในยุคปัจจุบัน ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่จะสร้างโอกาสการเติบโตทางธุรกิจอย่างก้าวกระโดด และช่วยผลักดันให้บริษัทก้าวขึ้นเป็นผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศ ด้านดร. สุวัฒน์ สุวรรณดี ผู้บริหารใหญ่กลุ่มเกษมบัณฑิต กล่าวเปิดเผยว่า บริษัทมองหาพันธมิตรที่มีความแข็งแกร่ง มีความสามารถเพื่อร่วมกันสร้างโอกาสในการเติบโตร่วมกันในอนาคต โดยบริทาเนีย เป็นบริษัทมหาชนที่มีความมั่นคง มีศักยภาพ และเชื่อมั่นในประสบการณ์ที่มีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาโครงการบ้านจัดสรรในทุก          เซ็กเมนท์ ที่จะมาช่วยยกระดับที่อยู่อาศัยของคนไทย ผ่านการออกแบบ ดีไซน์ ฟังก์ชัน นวัตกรรมที่ตรงใจ และยังเล็งเห็นถึงความแข็งแกร่งของแบรนด์ “แกรนด์ บริทาเนีย” ซึ่งเป็นแบรนด์ที่มีศักยภาพสูง ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง บริษัทจึงมั่นใจและตัดสินใจร่วมทุนพัฒนาโครงการประเภทที่อยู่อาศัยแนวราบเป็นครั้งแรก   ส่วนดร.เสนีย์ สุวรรณดี ผู้บริหารใหญ่กลุ่มเกษมบัณฑิต กล่าวเสริมว่า ในอดีตที่ผ่านมาเราเคยอยู่ในธุรกิจการพัฒนาอสังหาฯ มาก่อน และได้ผันตัวเองเข้าสู่วงการด้านการศึกษา  ด้วยการจัดการศึกษาภาคเอกชนตั้งแต่ระดับอนุบาล ประถมศึกษา มัธยมศึกษา อาชีวศึกษา จนถึงระดับมหาวิทยาลัย ความร่วมมือกับ บมจ.บริทาเนีย ครั้งนี้ ​นับเป็นครั้งแรกที่เราก้าวกระโดดมาเข้าร่วมทำธุรกิจอสังหาฯ ที่เป็นโครงการขนาดใหญ่ เรามองว่าธุรกิจด้านอสังหาฯ ยังมีทิศทางการเติบโต และผู้บริโภคยังมีความต้องการที่พักอาศัยอย่างต่อเนื่อง เพราะที่อยู่อาศัยเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ที่จำเป็นในการดำรงชีวิต การร่วมทุนในครั้งนี้ จะเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับทรัพย์สินที่ถือครองอยู่ให้สูงขึ้น และยังเป็นโอกาสอันดีในการเรียนรู้ประสบการณ์และองค์ความรู้ในด้านการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่จากบริทาเนีย บริษัท เกษมบัณฑิต จำกัด เป็นบริษัทที่รับใบอนุญาตในการจัดตั้งมหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ที่เปิดสอนในระดับปริญญาตรี-โท-เอกกว่า 50 หลักสูตร มีนักศึกษาทั้งไทยและต่างชาติกว่า 10,000 คน ปัจจุบันมหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิตมี 2 วิทยาเขตคือวิทยาเขตพัฒนาการ และวิทยาเขตร่มเกล้า   อ่านข่าวเพิ่มเติม -บริทาเนีย วางเป้า 3 ปี ติดTop 5 ตลาดบ้าน พร้อมลุยต่างจังหวัดจับคนระดับท็อป
เอสซีจี ตั้งเป้าโต 200% ลุยตลาดโซลาร์รูฟ ส่ง SCG Solar Expert Station รุกตลาด ตั้งเป้าโต 200% รับค่าไฟพุ่ง

เอสซีจี ตั้งเป้าโต 200% ลุยตลาดโซลาร์รูฟ ส่ง SCG Solar Expert Station รุกตลาด ตั้งเป้าโต 200% รับค่าไฟพุ่ง

โซลาร์รูฟ เอสซีจี  ส่งเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อที่อยู่อาศัย เอสซีจี โซลาร์รูฟ โซลูชัน ตั้งเป้ายอดขายเติบโต 200% ภายในปี 2566 ชูกลยุทธ์ด้วย SCG Solar Expert Station สร้างจุดเชื่อมระหว่างลูกค้าและผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านโซลาร์ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้า      นายวชิระชัย คูนำวัฒนา Head of Smart System Solution Business ในธุรกิจซีเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เอสซีจี เปิดเผยว่า จากปัญหาค่าไฟที่ปรับสูงขึ้น และพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้า ในเวลากลางวันของผู้อยู่อาศัยมากขึ้น  ส่งผลให้ค่าไฟสูงขึ้นเฉลี่ย 30-50% และผู้บริโภคส่วนใหญ่หันมาใช้พลังงานทดแทนเพิ่มมากขึ้นถึง 12-15% และคาดการณ์ว่าภายในปี 2050 สัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนของโลกจะสูงขึ้นถึง 85% ซึ่งสามารถชี้วัดได้ว่าการใช้พลังงานแสงอาทิตย์มีแนวโน้มเพิ่มสูงตามลำดับ อาทิ การใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว รวมไปถึงปัจจัยร่วมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น อัตราค่าไฟฟ้าที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นตลอดในช่วงที่ผ่านมา ภาครัฐมีมาตรการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (Ft) ประกอบกับด้านเทคโนโลยีในการติดตั้งและต้นทุนวัสดุอุปกรณ์ที่ถูกลง ไปจนถึงผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์นำระบบโซลาร์รูฟเข้ามาใช้เป็นอุปกรณ์พื้นฐานสำหรับโครงการที่อยู่อาศัย ตลอดจน Solar Energy Trading การซื้อขายพลังงานไฟฟ้าระหว่างครัวเรือน ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต ล้วนแล้วแต่มีส่วนช่วยเร่งให้พลังงานทางเลือกเพิ่มระดับความนิยมที่เข้มข้น รวมถึงผลักดันให้ตลาดโซลาร์รููฟเติบโตได้ดียิ่งขึ้น   เอสซีจี โซลาร์ รูฟ โซลูชัน ในฐานะผู้นำและผู้เชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมระบบหลังคาโซลาร์ พร้อมโซลูชันครบวงจร ได้เล็งเห็นเทรนด์และแนวโน้มความนิยมด้านพลังงานสะอาด หรือพลังงานทดแทน จึงได้พัฒนานวัตกรรมหลังคาโซลาร์รูฟมาไม่น้อยกว่า 10 ปี โดยให้บริการติดตั้งระบบหลังคาโซลาร์แบบครบวงจร พัฒนาสินค้านวัตกรรมให้มีคุณภาพ โดยเฉพาะระบบการยึดติดแผงโซลาร์โดยไม่ต้องเจาะหลังคา เพื่อลดความเสี่ยงเรื่องหลังคารั่วด้วย Solar FIX ตลอดจนพัฒนาสินค้าและบริการให้เข้ากับทุกไลฟ์สไตล์การใช้ไฟฟ้าในบ้านอย่างครอบคลุมและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด   ทั้งนี้  เพื่อขับเคลื่อนและผลักดันให้พลังงานสะอาดสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายยิ่งขึ้น ซึ่งยอมรับว่าเป็นความท้าทายอย่างมากในการทำการตลาดระบบหลังคาโซลาร์ในไทย ที่นับได้ว่าเป็นเรื่องใหม่และกำลังเป็นที่พูดถึงอยู่ในปัจจุบัน แต่ส่วนใหญ่ยังต้องการความรู้และความเข้าใจอย่างถูกต้อง โดยกลยุทธ์ที่ต้องมุ่งเน้นไปพร้อม ๆ กันคือการสื่อสารเกี่ยวกับระบบหลังคาโซลาร์แก่ผู้บริโภค เริ่มตั้งแต่ความจำเป็น การติดตั้ง การใช้งาน รวมถึงความคุ้มค่าระยะยาว   จากเทรนด์และเทคโนโลยีโซลาร์รูฟที่กำลังได้รับความนิยมในวงกว้าง โดยเฉพาะภาคครัวเรือนที่มีโอกาสเข้าถึงได้มากยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้ เอสซีจีจึงได้ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมหลังคาโซลาร์ เดินหน้าด้วยกลยุทธ์ SCG Solar Expert Station โมเดลธุรกิจที่ถูกพัฒนาขึ้นจาก Insight ของผู้อยู่อาศัยยุคใหม่ โดยสร้างจุดเชื่อมระหว่างลูกค้าและผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านระบบหลังคาโซลาร์โดยตรง   เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้า สามารถติดต่อและเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้องได้รวดเร็วขึ้น ทำให้การติดตั้งหลังคาโซลาร์ รูฟ เป็นไปได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น ผ่านช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ ครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วประเทศ โดย SCG Solar Expert หรือผู้เชี่ยวชาญด้านโซลาร์จะให้คำปรึกษาฟรี แนะนำขั้นตอนและระบบการทำงาน, ออกแบบระบบหลังคาโซลาร์ เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งาน พร้อมประเมินราคา โดยมีแผนขยายไปที่ SCG Home, SCG Home Experience และ SCG Authorized Dealer ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ มีสาขานำร่อง อาทิ กรุงเทพฯ และปริมณฑล ชลบุรี อุบลราชธานี เชียงใหม่ และหาดใหญ่ พร้อมขยายไปยังหัวเมืองหลักเพื่อครอบคลุมทั่วประเทศ ภายในปี 2566 โดยในช่วงปีที่ผ่านมา เอสซีจี โซลาร์ รูฟ โซลูชัน เติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่อง พร้อมรุกขยายไปยังตลาดบ้านพักอาศัยที่มีศักยภาพสูง ตอกย้ำการเป็นผู้นำด้านระบบหลังคาโซลาร์ในตลาด Residential ประเทศไทย โดยคาดการณ์จากตัวเลขภายในปี 2566 จะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 200% ซึ่งถือว่าได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่มีความแตกต่างและโดดเด่นจากคู่แข่งในตลาด ผ่าน 3 จุดแข็ง คือ EXPERT เอสซีจีมีวิศวกรที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน Solar & Home Energy management และมีความเชี่ยวชาญด้านหลังคาซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการติดตั้งโซลาร์ โดยมีบริการตรวจสุขภาพหลังคาก่อนการติดตั้ง พร้อมนวัตกรรม Solar FIX ที่ติดตั้งหลังคาโซลาร์โดยไม่ต้องเจาะหลังคา ทำให้หลังคาไม่เสี่ยงต่อการรั่วซึม ONE STOP SERVICE การให้บริการแบบครบวงจร โดยออกแบบระบบโซลาร์ให้เหมาะสมกับพฤติกรรมการใช้ไฟของบ้านลูกค้า รวมถึงดำเนินการ ขออนุญาตกับทางภาครัฐ ทำให้การติดตั้งระบบหลังคาโซลาร์กับเอสซีจีถูกต้องตามกฎหมาย 100% AFTER SALES SERVICE การรับประกันตลอด 25 ปีโดยเอสซีจี   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -[PR News] เอสซีจี X เอสซี แอสเสท​ ติด Active AIR Quality บ้าน 1,000 ยูนิต​ -เอสซีจี ลุย 2 ธุรกิจ “ให้คำปรึกษา-งานระบบอาคารแบบครบวงจร” รับเทรนด์ Well-being
บีไอดับบลิว รุกตลาดม่านไฮเอนด์ 5,000 ล้าน  จับมือแบรนด์จากยุโรป เปิดตัวสินค้าใหม่​ 

บีไอดับบลิว รุกตลาดม่านไฮเอนด์ 5,000 ล้าน จับมือแบรนด์จากยุโรป เปิดตัวสินค้าใหม่​ 

บีไอดับบลิว เปิดตัวผ้าม่านนวัตกรรมจาก 2 แบรนด์ดังจากยุโรป คูลิส และ เซิร์จ เฟอรารี่ ตอบโจทย์เทรนด์และไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้งานยุคใหม่ ​รุกตลาดม่านระดับไฮเอนด์มูลค่ารวมกว่า 5,000 ล้าน  ชูผลิตภัณฑ์ภายใต้แนวคิด ยกระดับคุณภาพชีวิต และ ปกป้องชีวิต   นายสิริชัย ฤทธิปัญญาวงศ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท บีไอดับบลิว โพรดัคส์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายม่านเพื่อการตกแต่งภายในและภายนอกอาคารระดับไฮเอนด์ เปิดเผยว่า เทรนด์ม่านในตลาดโลกในปัจจุบันให้ความสำคัญ 4 ด้าน คือ คุณภาพ (Quality) ความฉลาด (Smart) การจัดการพื้นที่ (Space Management) และความยั่งยืน (Sustainability) บีไอดับบลิว ในฐานะที่เป็นผู้นำเทรนด์ม่านใหม่ ๆ เข้ามาในประเทศไทย จึงได้รุกตลาดด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตอบรับกับเทรนด์ที่เกิดขึ้น ภายใต้ 2 แนวคิด คือ “การยกระดับคุณภาพชีวิต และการปกป้องชีวิต” เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้ใช้งาน โดยจับมือกับแบรนด์ คูลิส (Coulisse) ประเทศเนเธอร์แลนด์ และแบรนด์ เซิร์จ เฟอรารี่ (Serge Ferrari) ประเทศฝรั่งเศส   สำหรับม่านในกลุ่มที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต ที่บีไอดับบลิวเน้นในปีนี้ คือ การสร้างพื้นที่ใหม่ ๆ ให้ที่อยู่อาศัยผ่านผลิตภัณฑ์ของแบรนด์คูลิส และเซิร์จ เฟอรารี่ และการทำให้ผู้ใช้งานใช้ชีวิตสะดวกสบาย มีไลฟ์สไตล์ที่ดีขึ้น เช่น ม่านอัจริยะ Eve Motion จากแบรนด์คูลิส รายแรกของโลกที่ไม่ใช้สายและรีโมตคอนโทรล เพียงกระตุกโซ่เบา ๆ ให้ม่านขึ้น-ลง หรือสั่งงานผ่านมือถือ รายแรกและรายเดียวที่เชื่อมกับ Apple Home Kit โดยไม่ต้องมีอุปกรณ์เชื่อมต่อ และยังเชื่อมกับค่ายอื่น ๆ เช่น กูเกิลโฮม ซัมซุง ได้บนแอปพลิเคชันเดียว ซึ่งมีทั้งม่านที่ใช้ระบบโฮมออโตเมชันในราคาที่เข้าถึงง่าย ไม่ยุ่งยากในการเซ็ตระบบ และม่านที่ปรับตามไลฟ์สไตล์ที่ทำให้ชีวิตสะดวกสบายขึ้น เช่น ทำให้ตื่นนอนได้อย่าง  สดชื่นด้วยการตั้งเวลาและรูปแบบการเปิดของม่านด้วยวิธีง่าย ๆ ในกลุ่มเดียวกันนี้ บีไอดับบลิว ยังเปิดตลาดกลุ่ม ม่านระบบ Zip จากแบรนด์เซิร์จ เฟอรารี่ นวัตกรรมที่ทำให้ผู้ใช้งานใช้พื้นที่ได้ประโยชน์สูงสุด โดยใช้ม่านเป็นฉากที่เปิด-ปิดได้ตามต้องการ เช่น แบ่งโซนภายในห้อง เชื่อมต่อภายในบ้านกับสวนด้านนอก หรือการทำโรงรถที่เปิด-ปิดได้โดยไม่เสียพื้นที่ใช้สอย และยังได้เพิ่มไลน์ ผ้าม่านและผ้าใบคุณภาพสูงสำหรับงานโครงสร้างน้ำหนักเบากลางแจ้ง ที่ใช้เทคโนโลยีลิขสิทธิ์เฉพาะของเซิร์จ เฟอรารี่ ทำให้ผ้ามีความแข็งแรง ตึงตัวเป็นพิเศษ หนา นุ่ม ดูเป็นธรรมชาติ ป้องกันเชื้อรา คงทน และคงรูปได้นาน   สำหรับ ม่านในกลุ่มที่ช่วยปกป้องชีวิต จะมุ่งเน้นเรื่องการสร้างความเป็นอยู่ที่ยั่งยืน และคุณภาพผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐานระดับสูง โดยม่านในกลุ่มที่ช่วยปกป้องชีวิตที่นำมาเปิดตัว ได้แก่ ม่านม้วน Eco Luxury จากแบรนด์คูลิส ด้วยเทรนด์ที่สวยกลมกลืนเป็นธรรมชาติควบคู่กับการเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยเป็นแบรนด์เดียวในประเทศไทยที่มีกระบวนการผลิตที่ยั่งยืน คำนึงถึงการปล่อยมลพิษให้น้อยที่สุด และนำวัสดุมารีไซเคิลแล้วผ่านกระบวนการผลิตที่มีคุณภาพให้กลายเป็นผ้าม่านคุณภาพ   นายสิริชัย กล่าวอีกว่า ในเรื่องของคุณภาพมาตรฐานนั้น ทุกแบรนด์ที่บีไอดับบลิวนำมาทำตลาด จะมุ่งเน้นความปลอดภัย โดยได้รับการรับรองว่าปราศจากสารก่อมะเร็ง เช่น ปรอท ฟอร์มาดีไฮน์ และ VOC นอกจากนี้ ผ้ากันแสงแดดจากคูลิสยังผ่านการทดสอบมาตรฐานระดับสูงจาก Greenguard Gold ซึ่งเป็นระดับที่เหมาะสำหรับใช้กับเด็ก หรือผู้ที่แพ้ง่าย ตลาดม่านระดับไฮเอ็นด์ในประเทศไทยมีมูลค่าประมาณ 5,000 ล้านบาท และยังมีโอกาสที่จะเติบโตได้อีกมาก โดย บีไอดับบลิวครองส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 15% ของตลาดม่านม้วน ติดอันดับ 1 ใน 3 ผู้นำตลาด เรามั่นใจว่าการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ในแนวคิดใหม่ครั้งนี้จะทำให้เราเติบโตขึ้น 50% ภายในปีนี้   ด้านนางแสงสุรีย์ อินทเดช ผู้จัดการทั่วไป บริษัท บีไอดับบลิว โพรดัคส์ จำกัด กล่าวเสริมว่า “บีไอดับบลิวได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี เพราะสามารถตอบโจทย์ลูกค้าด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ โดยเป็นแบรนด์เดียวในประเทศไทยที่มีใบรับรองมาตรฐานมากที่สุด ทั้งมาตรฐานด้านความปลอดภัย มาตรฐานด้านประหยัดไฟ และมาตรฐานเรื่องความยั่งยืน  รวมทั้งมีฟังก์ชันที่หลากหลาย ทำให้เจ้าของบ้านและดีไซเนอร์มีทางเลือกมากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีบริการหลังการขายที่สร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า ปัจจุบันมีร้านค้าที่มีแค็ตตาล็อกของบีไอดับบลิวกว่า 1,000 ร้านทั่วประเทศ สำหรับแผนงานในปีนี้จะมีการขยายดีลเลอร์ในจังหวัดใหญ่เพิ่มขึ้น รวมทั้งขยายกำลังการผลิตด้วยการตั้งโรงงานใหม่ ขยายไลน์สินค้า และขยายกลุ่มเป้าหมายใหม่โดยเน้นกลุ่มโปรเจ็กใหญ่ และผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์”   ขณะที่นายไบรอัน โบ อัน ชาง ผู้บริหารจากคูลิส เนเธอร์แลนด์ กล่าวว่า คูลิสมีแนวคิดในการผลิตม่านที่คำนึงถึงการยกระดับคุณภาพชีวิต และปกป้องชีวิต ซึ่งเป็นไปตามความต้องการของเจ้าของบ้านและดีไซเนอร์ยุคใหม่ หนึ่งในตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจของคูลิสที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ช่วยปกป้องชีวิตผู้ใช้งาน คือ การที่คูลิสเลือกที่จะทดสอบมาตรฐานผลิตภัณฑ์ในระดับสูงจาก Greenguard นอกจากนี้ คูลิสยังมุ่งที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ไม่ส่งผลกระทบต่อโลก รวมทั้งผลิตภัณฑ์ที่มีฟังก์ชันอัจริยะที่จะสร้างความสุข และทำให้ผู้ใช้งานมีชีวิตที่ดีขึ้น   การที่บีไอดับบลิวเป็นผู้นำในตลาด มีแผนการตลาดที่น่าสนใจ ประกอบกับความโดดเด่นของคูลิสที่เป็นอันดับ 1 ของโลกเรื่องดีไซน์และแฟชั่น รวมถึงการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภค ทำให้เราเชื่อมั่นว่าม่านของคูลิสที่นำมาทำตลาดครั้งนี้ทั้ง Eve Motion และ Eco Luxury จะได้รับการตอบรับจากกลุ่มเป้าหมายเป็นอย่างดีเช่นเดียวกับหลายประเทศทั่วโลกที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้ ในส่วนของเซิร์จ เฟอรารี่ นับเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านผ้าม่านกลางแจ้งอันดับ 1 ของโลก ผ้าของเซิร์จ เฟอรารี่ มีความโดดเด่นแตกต่างจากผ้าทั่วไป โดยได้รับความไว้ใจจากโครงการระดับโลกมากมาย ทั้งหลังคาสนามฟุตบอลโลกที่การ์ตา รวมถึงสนามฟุตบอลและเรือยอชต์ที่สำคัญทั่วโลก และยังมีผลิตภัณฑ์หลายรูปแบบให้เลือก ทั้งที่เป็นโครงสร้างถาวร และโครงสร้างเบา โดยมุ่งเน้นด้านเทคโนโลยี เพื่อยกระดับความเป็นอยู่ที่ดีให้ผู้ใช้งาน และใส่ใจสิ่งแวดล้อมควบคู่กัน   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เปิดแผน “บีไอดับบลิว” รุกตลาดผ้าม่านม้วน 2,000 ล้าน
ทอสเท็ม ฉลอง 100 ปี ตั้งเป้าโต 20%  เดินหน้าขยายโชว์รูมบุกตลาดคอนซูเมอร์

ทอสเท็ม ฉลอง 100 ปี ตั้งเป้าโต 20% เดินหน้าขยายโชว์รูมบุกตลาดคอนซูเมอร์

ทอสเท็ม (TOSTEM) ฉลองครบรอบ 100 ปี การผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ประตู-หน้าต่างอะลูมิเนียมสำเร็จรูป  รุกตลาดปี 2566 เปิดตัวนวัตกรรมสีใหม่ “DUSK GRAY” ชูจุดเด่นด้วยเทคโนโลยีหนึ่งเดียวในอุตสาหกรรมการชุบสีอะลูมิเนียมด้วยกระแสไฟฟ้าระบบอะโนไดซ์และเคลือบผิวด้วยระบบ TEXGUARD พร้อมขนทัพนวัตกรรมเรือธงและผลิตภัณฑ์ใหม่ที่สามารถตอบโจทย์ลูกค้าทุกเซกเมนต์ พร้อมเดินหน้าขยายโชว์รูมครอบคลุมทั่วประเทศ จับตลาดคอนซูเมอร์ ตั้งเป้ายอดขายปีนี้โต 20%   นายวิชา วรสายัณห์ ลีดเดอร์ กลุ่มธุรกิจเฮาส์ซิ่งเทคโนโลยี บริษัท แอล เอช ที เอเซีย เซลส์ แอนด์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ผู้ผลิตประตูหน้าต่างอะลูมิเนียมแบรนด์ ทอสเท็ม (TOSTEM)  เปิดเผยถึงแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2566 ว่า หลังจากเดินหน้าพัฒนานวัตกรรมที่ตอบโจทย์ลูกค้ามาอย่างยาวนานถึง 100 ปีในประเทศญี่ปุ่น และครบ 40 ปีในการตั้งโรงงานประเทศไทย ถึงเวลาก้าวเข้าสู่ศตวรรษใหม่ในปีนี้พร้อมตอกย้ำความเป็นผู้นำ ในงานสถาปนิก’66 (Architect Expo 2023) งานแสดงเทคโนโลยีสถาปัตยกรรม และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างใหญ่ที่สุดในอาเซียน ด้วยการเปิดตัวนวัตกรรมสีใหม่ “DUSK GRAY” ซึ่งเป็นนวัตกรรมล่าสุดและหนึ่งเดียวในอุตสาหกรรมการชุบสีอะลูมิเนียมด้วยกระแสไฟฟ้าระบบอะโนไดซ์และเคลือบผิวด้วยระบบ TEXGUARD   นอกจากนี้ บริษัทได้ขนทัพนวัตกรรมเรือธงและผลิตภัณฑ์ใหม่ อาทิ GRANTS ดีไซน์ใหม่ เพื่อเปิดมุมมองให้ลูกค้าได้มีความสุขกับทิวทัศน์ภายนอกได้อย่างเต็มสายตา GRANTS Corner Sliding Doors นวัตกรรมโซลูชั่นที่มอบทิวทัศน์แบบพาโนรามาที่ไร้สิ่งกีดขวาง ขยายขนาดพื้นที่พักผ่อนด้วยบานเลื่อนเข้ามุมที่เลื่อนเปิดบานออกโดยไม่เหลือเสามุมบดบังสายตา ผลิตภัณฑ์ประตูบานเลื่อนเข้ามุมบนรางเรียบ ดีไซน์เพื่อเชื่อมต่อสเปซภายในและภายนอกตัวบ้านด้วยดีไซน์แบบเข้ามุมที่เลื่อนเปิดออกได้โล่ง เหมาะสำหรับพื้นที่พักผ่อน ที่ได้ใช้ประโยชน์จากพื้นที่ และรับแสงสว่างธรรมชาติได้สูงสุด กลุ่มผลิตภัณฑ์ ATIS กับ Streamline Design ดีไซน์ไร้รอยต่อที่มาพร้อมกับ อุปกรณ์อันสวยงาม เส้นกรอบ พื้นผิวกรอบประตูหน้าต่างและการใช้งานทำงานร่วมกันอย่างนุ่มนวล และบานหน้าต่างรูปแบบใหม่ที่สามารถใช้งานได้สะดวกมากขึ้น รวมถึง Smart Insect Screen นวัตกรรมมุ้งลวดล่องหน ที่ช่วยป้องกันแมลงและมลพิษจากภายนอกมุ้งลวดที่สามารถเพิ่มการมองเห็น เชื่อมต่อพื้นที่ภายในและภายนอกได้มากขึ้น โดยทอสเท็มพร้อมจัดโปรโมชั่นพิเศษและกิจกรรมทางการตลาดมาร่วมในงานสถาปนิก’66 ครั้งนี้กับส่วนลด 10% สำหรับทุกผลิตภัณฑ์ของทอสเท็มและลุ้นรับตั๋วเครื่องบิน (ไป-กลับ) ประเทศญี่ปุ่น จำนวน 5  รางวัล / รางวัลละ 2 ที่นั่ง   นายวิชา กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า สำหรับภาพรวมการดำเนินธุรกิจในปี 2566 ได้ตั้งเป้าหมายยอดขายรวมเพิ่มขึ้น 20% จากปีที่แล้ว โดยในช่วงสถานการณ์ก่อนโควิด-19 ระบาด รายได้ส่วนใหญ่ของทอสเท็มประมาณ 80% มาจากตลาดอสังหาริมทรัพย์แบบโครงการหรืออสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ แต่หลังวิกฤตโควิด-19 เริ่มมีสัดส่วนรายได้จากตลาดลูกค้าที่อยู่อาศัยรายย่อยเพิ่มมากขึ้น จาก 20% เป็น 30% ของยอดขายทั้งหมด   ทั้งนี้ ทางทอสเท็มวางแผนที่จะขยายตลาดไปยังกลุ่มลูกค้าอยู่อาศัย (Retails) มากขึ้น พร้อมขยายส่วนแบ่งการตลาดกลุ่มรายได้สูง  Upper mass – Luxury segment เพราะพฤติกรรมของลูกค้าที่เปลี่ยนไป คืออยู่บ้านมากขึ้นจึงเลือกมองหาอุปกรณ์ในบ้านเอง ได้เลือกซื้อ สัมผัส ทดลอง และเห็นสินค้าจริงเพื่อนำไปปรับปรุงบ้านให้อยู่อาศัยอย่างสะดวกสบายมากขึ้น  ซึ่งทอสเท็มได้วางแผนกลยุทธ์การตลาดที่จะขยายสัดส่วนลูกค้ารายย่อยกลุ่มนี้ต่อไป   ทอสเท็มได้เพิ่มช่องทางการเข้าถึงให้ผู้บริโภคได้เลือกซื้อ สัมผัส ทดลอง และเห็นสินค้าจริงผ่าน TOSTEM Flagship Showroom โดยปัจจุบันทอสเท็มมีโชว์รูมและเดโม่รูมอยู่ในกรุงเทพฯ และตามหัวเมืองทั้งหมด 4 แห่ง ได้แก่ ทอสเท็มแฟลกชิปโชว์รูม (TOSTEM Flagship Showroom) ที่คริสตัล ดีไซน์ เซ็นเตอร์, ทอสเท็มโชว์รูม ในบุญถาวร สาขาราชพฤกษ์,  ทอสเท็ม เดโม่รูมในจังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดภูเก็ต รวมถึงยังผนึกกำลังกับพันธมิตรทางธุรกิจขยาย TOSTEM Studio ที่บริหารโดยตัวแทนจำหน่าย ขยายโชว์รูมในพื้นที่จริงให้ครอบคลุมในต่างจังหวัดโดยเน้นหัวเมืองใหญ่และเมืองท่องเที่ยว เพื่อหวังขยายตลาดลูกค้ากลุ่มที่อยู่อาศัย, รีสอร์ท และบริษัทรับสร้างบ้านในพื้นที่ดังกล่าว โดยขณะนี้ได้ทำการเปิด TOSTEM Studio ไปแล้ว 4  แห่ง ในจังหวัดปทุมธานี พิษณุโลก อุดรธานี และขอนแก่น และมีแผนจะเปิดเพิ่มอีก 10 แห่ง ได้แก่ จังหวัดเชียงราย อุบลราชธานี นครราชสีมา กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ ชลบุรี ระยอง กาญจนบุรี เพชรบุรี สงขลา โดยคาดภายในสิ้นปี 2566 ทอสเท็ม จะสามารถขยายโชว์รูมครอบคลุมได้ครบทั่วทุกภูมิภาคทั่วประเทศ   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -[PR News] ทอสเท็มเปิดตัว “ATIS” นวัตกรรมประตูหน้าต่างรวม 2 ฟังก์ชั่นในหนึ่งบาน
“จระเข้” ส่งสินค้านวัตกรรม บุกตลาดงานรัฐ เตรียมกวาดยอดขาย 3,800 ล้านบาท

“จระเข้” ส่งสินค้านวัตกรรม บุกตลาดงานรัฐ เตรียมกวาดยอดขาย 3,800 ล้านบาท

“จระเข้” ส่งสินค้านวัตกรรม บุกตลาดงานเมกะโปรเจ็กต์และงานภาครัฐ รับแนวโน้มการเติบโตของตลาด ​ ตั้งเป้าปี’66 ทำยอดขายรวม 3,800 ล้าน และผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเคมีก่อสร้างเติบโตไม่น้อยกว่า 30% โชว์ศักยภาพผ่าน 4 นวัตกรรมหลัก​ในงานสถาปนิก’66      นายศุภพงษ์ เพชรสุทธิ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้นำในการผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าตรา “จระเข้” นวัตกรรมเพื่องานก่อสร้าง ซ่อมแซม และตกแต่ง ครบวงจรตั้งแต่ฐานรากจนถึงหลังคามากว่า 30 ปี เปิดเผยว่า สำหรับแนวทางการดำเนินธุรกิจในปี 2566 นี้ บริษัทฯ มุ่งเน้นการเติบโตในผลิตภัณฑ์กลุ่มเคมีก่อสร้าง โดยเฉพาะงานโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพและเติบโตสูง  โดยจระเข้ได้เริ่มขยายตลาดในกลุ่มดังกล่าวตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้มียอดขายผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับ Infrastructure สูงขึ้นจากปีก่อน ทำให้ตั้งเป้าว่าในปีนี้จะสามารถทำยอดขายรวมทั้งบริษัทอยู่ที่ 3,800 ล้านบาท และผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเคมีก่อสร้างจะเติบโตไม่น้อยกว่า 30% สอดรับกับความสามารถในการทำตลาดเจาะกลุ่มโครงการต่าง ๆ ได้มากขึ้น   ส่วนภาพรวมธุรกิจของบริษัท ฯ ในปี 2565 ที่ผ่านมา จระเข้มีอัตราการเติบโต 20% จากปีก่อน โดยผลิตภัณฑ์ที่เติบโตอยู่ในกลุ่มนวัตกรรม ไม่ว่าจะเป็น ผลิตภัณฑ์ปูกระเบื้อง ผลิตภัณฑ์เคมีก่อสร้าง ผลิตภัณฑ์สีจระเข้  ซึ่งปัจจัยการเติบโตมาจากการขายที่เป็นระบบ และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในคุณภาพงานก่อสร้างที่ได้มาตรฐานสูง ควบคู่ไปกับการเพิ่มประสิทธิภาพและต่อยอดจากความเชี่ยวชาญเรื่องบ้านไปสู่อาคารและงานระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน (Infrastructure) รวมไปถึงการเข้าร่วมงานสถาปนิกสยาม ทำให้ได้เปิดตลาดใหม่ในวงการก่อสร้างและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นายวิกิจ กันฉาย  ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานขายในประเทศ กล่าวว่า สำหรับแนวทางการขายในประเทศจะเน้นคุณสมบัติ Speed & Sustainable โดยจะให้ความสำคัญกับการพัฒนานวัตกรรมเพื่องานระบบสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ (Infrastructure) โดยเฉพาะงานก่อสร้างซ่อมแซมที่เกี่ยวข้องกับการคมนาคม เช่น ถนน สะพาน ทางด่วน ทางรถไฟฟ้า ท่าเรือ ซึ่งเป็นงานที่ต้องใช้ระยะเวลาการเซ็ทตัวที่เร็วขึ้นและมีความคงทนแข็งแรงเท่าเดิม หรือการซ่อมแซมแบบเร่งด่วน สามารถส่งมอบงานตรงเวลา นับว่าเป็นงานที่ใช้งบประมาณลงทุนค่อนข้างสูงรวมถึงใช้ทรัพยากรสูง หากสามารถเสริมความคงทนยืดอายุการใช้งานได้เพิ่มขึ้น จะลดการใช้ทรัพยากรใหม่และลดปัญหาการซ่อมแซมในภายหลัง นำมาซึ่งการลดการเกิดขยะจากการก่อสร้างได้มากขึ้น   โดยในปีที่ผ่านมาจระเข้เป็นหนึ่งในไม่กี่แบรนด์ที่ได้รับเลือกเป็นส่วนหนึ่งในโครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงที่กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง นอกจากนี้ยังมีโครงการท่าเรือและสะพาน  โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์ Infrastructure ของจระเข้มีหลากหลาย เช่น ผลิตภัณฑ์งานโครงสร้าง ซีเมนต์กันซึมชนิดตกผลึก น้ำยาเคลือบและปกป้องพื้นผิวคอนกรีต รองรับงานสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ โดยเฉพาะโครงการที่มีการกำหนดคุณสมบัติพิเศษต้องการสินค้าประสิทธิภาพสูงได้เป็นอย่างดี   สำหรับนวัตกรรมจระเข้ซ่อมพื้นคอนกรีตบางเป็นมิตรกับธรรมชาติ นับเป็นนวัตกรรมใหม่และเป็นหนึ่งในไฮไลต์ที่จระเข้นำเสนอในงานสถาปนิก’66  มุ่งตอบโจทย์ Speed & Sustainable  ด้วยคุณสมบัติพิเศษในการซ่อมพื้นบางที่สุดเพียง 2 มม. ซึ่งเท่ากับช่วยลดการใช้ทรัพยากรและลดการเกิด CO2 ลงถึง 96% ท้าทายงานก่อสร้างที่ความบางมาพร้อมความแกร่ง ลดเวลาทำงานจาก 7 วันเหลือเพียง 2 วัน ก็สามารถเปิดพื้นที่รองรับการสัญจรหนักได้ โดยบริษัท ฯ ตั้งเป้าขยายสัดส่วนสินค้าในกลุ่ม Infrastructure จากยอดขาย 5% ในปีที่ผ่านมา  คาดว่าจะเติบโตเป็น 10% ของมูลค่ารวมทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์จระเข้ในปีนี้ นายวรพจน์ ตั้งมนัสวงศ์  ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด กล่าวว่า แนวทางในการทำตลาดของจระเข้ การพัฒนา “นวัตกรรม” ยังคงเป็นหัวใจหลัก หลังจากนี้จระเข้ยังคงคิดค้นนวัตกรรมใหม่เพื่อสร้างความสุขให้กับผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง โดยที่ผ่านมาจระเข้เป็นผู้นำตลาดกาวซีเมนต์และกาวยาแนวปูกระเบื้องมายาวนาน โดยกาวซีเมนต์จระเข้เขียวซึ่งมียอดขายอันดับหนึ่งในตลาดได้ครองใจช่างและเจ้าของบ้านมานาน 30 ปี  โดยผลิตภัณฑ์นวัตกรรมที่สร้างชื่อเสียงและจุดเปลี่ยนให้กับตลาดวัสดุปูกระเบื้องได้แก่ จระเข้ พรีเมียม พลัส กาวยาแนวป้องกันราดำ โดดเด่นด้วยเทคโนโลยีไมโครแบน รายแรกของโลกซึ่งยังคงเป็นผู้นำตลาดมาอย่างต่อเนื่อง   ปัจจุบัน จระเข้มีนวัตกรรมสินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค โดยในปีนี้ได้นำหลายผลิตภัณฑ์นวัตกรรมมาออกบูธในงานสถาปนิก’66 ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Expert Solutions, Expert Results” สะท้อนความเป็นผู้นำและความเชี่ยวชาญในงานก่อสร้างยุคใหม่ ผ่าน 5 โซนจัดแสดง ได้แก่ WELL BEING FIRST: Living Green, Living Better ผลิตภัณฑ์ก่อสร้างเพื่อความยั่งยืน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และผู้อยู่อาศัย ตอบ Trend การก่อสร้างยุคใหม่ CHEMICAL EXPERTISE: Sustainable Infrastructure Solutions ใส่ใจทุกงานโครงสร้าง พัฒนานวัตกรรมสินค้าอย่างยั่งยืน ลดปัญหาการซ่อมแซม ยืดอายุการใช้งานให้ยาวนาน TILING EXPERTS: The Ultimate of BIG SLAB Solution นวัตกรรมการติดตั้งกระเบื้องใหญ่พิเศษครบวงจร พร้อมชมการติดตั้งโดยผู้เชี่ยวชาญ SEE JORAKAY: Sense of Specialized Colors สีสร้างลาย สร้างสไตล์ที่แตกต่างเฉพาะตัว พบกับการสร้างสรรค์ลวดลายโดยทีมช่างมืออาชีพที่พร้อมให้บริการสร้างผนังสวยระดับ Masterpiece ให้กับบ้านคุณ HOME CLINIC: Expert Consulting for Home Repairs จุดบริการให้คำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญจากจระเข้ นอกจากนี้จระเข้ยังเชิญสถาปนิกชั้นนำที่มีส่วนร่วมในโครงการ Green building ที่มีชื่อเสียงในประเทศ มาร่วมแบ่งปันแนวคิดและมุมมองเกี่ยวกับเทรนด์การออกแบบก่อสร้างที่สอดคล้องกับแนวทางขององค์กร ในการมุ่งพัฒนานวัตกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยจัด Exclusive Talk ในหัวข้อ Green Living Trends with Expert Solutions, Expert Results เพื่อร่วมกันคิด สร้างสรรค์ผลงานก่อสร้างที่ดีกับผู้อยู่อาศัยและสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน   จระเข้ยังสานต่อแนวทางด้านความยั่งยืนโดยประสานกับ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) นำวัสดุก่อสร้างจากบูธนี้ไปใช้ประโยชน์ในการฝึกทักษะของเยาวชนสร้างสรรค์ประโยชน์ใช้สอยใหม่ๆ ด้านสังคมเพิ่มเติ  พบกับนวัตกรรมตอบโจทย์การก่อสร้างยุคใหม่และรูปลักษณ์ใหม่ของแบรนด์จระเข้ที่แตกต่าง ได้ที่บูธจระเข้ หมายเลข S214 ณ ชาเลนเจอร์ฮอลล์ อิมแพค เมืองทองธานี  ในวันที่ 25-30 เมษายน 2566 เวลา 10.00-20.00 น.   อ่านข่าวเพิ่มเติม -จระเข้ เดินหน้าโตอย่างยั่งยืน สู่ทศวรรษที่ 4 วางเป้าหมายรายได้ 5,000 ล้าน
[PR News] NVD กลับมาใช้ชื่อ “เนอวานา ดีเวลลอปเม้นท์” พร้อมเปิด 9 โครงการใหม่

[PR News] NVD กลับมาใช้ชื่อ “เนอวานา ดีเวลลอปเม้นท์” พร้อมเปิด 9 โครงการใหม่

เนอวานา ดีเวลลอปเม้นท์ ถือหุ้น เนอวานา ไดอิ (NVD) เห็นชอบ เปลี่ยนชื่อบริษัท กลับมาใช้ชื่อเดิม  “เนอวานา ดีเวลลอปเม้นท์” ก่อนเข้าตลาด พร้อมอนุมัติจ่ายเงินปันผลงวดปี 2565 เป็นเงินสดในอัตราหุ้นละ 0.06 บาทต่อหุ้น รวมมูลค่าทั้งสิ้น 93.19 ล้าน ดีเดย์วันที่ 9 พฤษภาคมนี้  เดินหน้ารุกขยายธุรกิจเต็มพิกัด เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ 9 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 21,100 ล้าน ตั้งเป้ายอดขายรวม 8,500 ล้าน ดันรายได้รวมแตะ 4,500 ล้าน โต 75%จากปีก่อน   นายศรศักดิ์ สมวัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เนอวานา ไดอิ จำกัด (มหาชน) (NVD) เปิดเผยว่า ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 มีมติอนุมัติให้เปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น บริษัท เนอวานา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ “Nirvana Development Public Company Limited” รวมทั้งอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลจากกำไรสุทธิของการดำเนินงานปี 2565 ระหว่างวันที่ 1 มกราคม ถึง 31 ธันวาคม 2565 และจากกำไรสะสมในอัตราหุ้นละ 0.06 บาท รวมมูลค่าทั้งสิ้น 93.19 ล้านบาท  บริษัทฯ กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date) วันที่ 10 มีนาคม 2566 และกำหนดจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 9 พฤษภาคม 2566 ภาพรวมการดำเนินธุรกิจใน ปี 2566 จะเป็นปีแห่งการรุกขยายธุรกิจเต็มกำลัง โดยเชื่อว่าตลาดที่อยู่อาศัยระดับบนยังคงมีความต้องการอย่างต่อเนื่องและมีศักยภาพในการเติบโตหลังวิกฤติโควิด-19 บริษัท มีความพร้อมเปิดตัวโครงการใหม่รวม 9 โครงการ ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียม มูลค่ารวมกว่า 21,100 ล้านบาท  โดยตั้งเป้ายอดขายรวม 8,500 ล้านบาท ซึ่งเติบโตอย่างก้าวกระโดดกว่า 160% จากปีก่อน และตั้งเป้ารายได้อยู่ที่ 4,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 75%   โครงการที่อยู่อาศัยที่จะเปิดตัวใหม่ทั้ง 9 แห่งนี้ เป็นโครงการในระดับลักชัวรี (Luxury Segment) มีแบรนด์ตอบสนองความต้องการของผู้ซื้อบ้านในหลากหลายเซกเม้นท์ ตั้งแต่ อัลตร้าลักชัวรี (Ultra-luxury) ซุปเปอร์ ลักชัวรี (Super Luxury) โมเดิร์น ลักชัวรี (Modern Luxury) โมเดิร์น ไฮเอนด์ (Modern High-end) ไปจนถึง โมเดิร์น ไฮเอนด์ ในราคาที่จับต้องได้ (Affordable Modern High-end)   เนอวานา ดีเวลลอปเม้นท์ ยังคงมุ่งเน้นพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในย่านกรุงเทพกรีฑาเป็นหลัก เนื่องจากเป็นทำเลที่อยู่อาศัยในระดับบนที่มีการเติบโตอย่างสูง ซึ่งถือเป็นทำเลศักยภาพของการอยู่อาศัย สามารถเชื่อมต่อกับถนนหลักเข้าสู่พื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นในได้หลายเส้นทาง นอกจากนี้ยังอยู่ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ โรงเรียนนานาชาติ โรงพยาบาล ห้างสรรพสินค้าชั้นนำและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ   โดยไตรมาส 2 นี้ เนอวานา ดีเวลลอปเม้นท์ เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่อีก 4 โครงการ คือ  โครงการเนอวานา คอลเลคชั่น กรุงเทพกรีฑา (Nirvana Collection Krungthep Kreetha) บ้านเดี่ยวระดับ ultra luxury ราคา 80-150 ล้านบาท บนทำเล prime ติดถนนกรุงเทพกรีฑา โครงการเนอวานา แอปโซลูท กรุงเทพกรีฑา (Nirvana Absolute Krungthep Kreetha) บ้านเดี่ยวระดับ value luxury ราคา 15-25 ล้านบาท คอนโดมิเนียม THE MOST รัตนาธิเบศร์ คอนโดดับเบิ้ลสเปซ ใกล้ห้างเซ็นทรัลและรถไฟ้ฟ้า เริ่ม 1.79 ล้าน และสุดท้ายกับโครงการเนอวานา ดีไฟน์ กรุงเทพกรีฑา (Nirvana Define Krungthep Kreetha)    พร้อมเผยแลนด์มาร์คแห่งใหม่ เนอวานา ทาวน์ชิพ (Nirvana Township) เมืองแห่งสังคมคุณภาพบนถนนกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ พร้อมกับไลฟ์สไตล์คอมมูนิตี้ มอลล์ โดยใช้ชื่อว่า เนอวานา พอร์ช (Nirvana PORCH) จากคอนเซ็ปต์การพัฒนาโครงการที่จะถูกรังสรรค์ให้เป็นจุดศูนย์รวมความสะดวกสบายอย่างครบครัน ไลฟ์สไตล์คอมมูนิตี้มอลล์แห่งนี้จะช่วยเติมเต็มในเรื่องความสะดวกสบายสำหรับการอยู่อาศัยได้อย่างครบวงจร   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เนอวานา กลับมาลุยตลาดบ้าน-คอนโดลักชัวรี่ งัดแลนด์แบงก์ปั้นโปรเจ็กต์ 40,000 ล้าน
เรื่องต้องคิด  เลือกซื้อบ้าน สำหรับมือใหม่

เรื่องต้องคิด เลือกซื้อบ้าน สำหรับมือใหม่

เลือกซื้อบ้าน  เรื่องของ "ที่อยู่อาศัย" นอกจากจะเป็นความจำเป็นของชีวิต ตามปัจจัย 4 แล้ว ที่อยู่อาศัย หรือ บ้าน ยังเป็นความฝันของคนส่วนใหญ่ ที่ในชีวิตหนึ่ง ก็อยากจะเป็นเจ้าของ ใครที่ยังไม่มีบ้าน จึงอยากจะมีบ้านเป็นของตนเองสักหลังหนึ่ง หรืออย่างน้อย คอนโดมิเนียมสักห้อง การซื้อบ้านอาจจะไม่ใช่เรื่องยาก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะบ้านมีมูลค่าสูงมาก อาจจะเป็นสินค้าชิ้นเดียวในชีวิตของคน ๆ หนึ่งที่มีมูลค่าสูงที่สุดก็ได้  แถมมีรายละเอียดให้คิดเยอะด้วย   วันนี้ Reviewyourliving จึงมีบทความ เรื่องต้องคิด เลือกซื้อบ้าน สำหรับมือใหม่ มาเป็นคำแนะนำ สำหรับคนที่อยากจะซื้อบ้านหลังแรกมาฝากกัน เรื่องต้องคิด เลือกซื้อบ้าน สำหรับมือใหม่ 1.เลือกซื้อบ้านแบบไหน? สำหรับคนที่อยากซื้อบ้าน ซึ่งไม่ใช่คอนโดมิเนียม อาจจะต้องมาตอบคำถามตัวเองก่อนอันดับแรกว่า อยากซื้อบ้านแบบไหน เพราะรูปแบบบ้านที่มีขายกันในปัจจุบัน จะแบ่งเป็น 4 รูปแบบด้วยกัน คือ บ้านเดี่ยว คือ บ้านที่ไม่มีผนังด้านใดติดกับบ้านอีกหลังหนึ่งเลย มักจะมีพื้นที่บริเวณโดยรอบตัวบ้าน ซึ่งบ้านเดี่ยวมีทั้งแบบชั้นเดียวและสองชั้น แต่ระยะหลังด้วยที่ดินแพงขึ้น ทำให้มีการพัฒนาเป็นบ้านเดี่ยวแบบสามชั้นขึ้นไปมากขึ้น   บ้านเดี่ยวเหมาะสำหรับคนที่ต้องการความเป็นส่วนตัวสูง และต้องการมีพื้นที่รอบ ๆ บ้านเพื่อใช้ประโยชน์ตามที่ต้องการ และสามารถอยู่อาศัยกันหลายเจเนอเรชั่นได้ตามขนาดบ้าน บ้านแฝด คือ บ้านที่มีลักษณะคล้ายบ้านเดี่ยวสองหลังอยู่ติดกัน โดยมีส่วนใดส่วนหนึ่งที่ทำติดกัน เช่น ผนังบ้านด้านข้าง คาน แต่ปัจจุบันมีการออกแบบให้คานใต้ดินติดกัน ทำให้บางครั้งก็ดูเหมือนไม่ใช่บ้านแฝด นอกจากนี้ กฎหมายยังกำหนดในเรื่องของขนาดที่ดินด้วย บ้านแฝดต้องมีที่ดินไม่ต่ำกว่า 35 ตารางวา ความหว้างที่ดินไม่ต่ำกว่า 16 เมตรแบ่งเป็นข้างละ 8 เมตร และมีระยะร่นด้านหน้าไม่ต่ำกว่า 3 เมตร กรณีที่บ้านไม่ได้ติดถนนหลัก ต้องเพิ่มระยะร่นด้านหน้าเป็น 6 เมตรด้วย และระยะร่นด้านด้านข้างและด้านหลังเว้นไม่ต่ำกว่า 2 เมตร ปัจจุบันบ้านแฝดเริ่มพัฒนามากกว่า 2 ชั้น เป็นบ้านแฝด 3 ชั้นให้เห็นบ้างแล้ว   บ้านแฝด เหมาะสำหรับคนที่ต้องการความเป็นส่วนตัว แต่มีงบประมาณน้อยกว่าการไปซื้อบ้านเดี่ยว เพราะราคาบ้านแฝดมักถูกกว่าบ้านเดี่ยว บ้านแฝดสามารถอยู่อาศัยได้หลายเจเนเรชั่น เหมือนกับบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ หรือทาวน์โฮม สำหรับทาวน์เฮ้าส์กับทาวน์โฮม จริง ๆ มีลักษณะคล้ายกัน คือ เป็นรูปแบบของบ้านที่ปลูกติดกันเป็นแถวเรียงกัน ทำให้ทาวน์เฮ้าส์หรือทาวน์โฮมจะต้องมีผนังติดกับบ้านด้านข้างทั้งสองด้าน ยกเว้นหลังแรกและหลังสุดท้าย ที่มักจะมีพื้นที่บริเวณด้านข้างบ้าน   แม้ทาวน์เฮ้าส์ และทาวน์โฮม จะมีลักษณะคล้ายกัน แต่ก็มีความแตกต่างกันที่ชัดเจนอย่างหนึ่ง คือ ​ทาวน์เฮ้าส์ มักจะก่อสร้างขนาดความสูงไม่เกิน 2 ชั้น มีพื้นที่ขนาดเล็กทั้งที่ดินและตัวบ้าน และสิ่งอำนวยความสะดวกในโครงการมักไม่ค่อยมีอะไรพิเศษ   ส่วนทาวน์โฮมเป็นรูปแบบบ้านที่ต่อยอดมาจากทาวน์เฮ้าส์ (บางโครงการก็เรียกทาวน์เฮ้าส์ เป็นทาวน์โฮม เพื่อยกระดับโครงการให้ดีขึ้น ตามสิ่งอำนวยความสะดวกที่โครงการนั้นมี) ปัจจุบันมักจะก่อสร้างให้มีขนาดความสูงตั้งแต่ 3-5 ชั้น   ทาวน์เฮ้าส์ เหมาะสำหรับครอบครัวขนาดเล็ก เพราะพื้นที่บ้านค่อนข้างจำกัด และคนที่มีงบประมาณจำกัด แต่ยังต้องการพื้นที่ใช้สอยมากกว่าการอยู่ในคอนโดมิเนียม   ทาวน์โฮม เหมาะสำหรับครอบครัวที่อยู่กันหลายเจเนอเรชั่น เพราะมักจะมีพื้นที่มาก โฮมออฟฟิศ เป็นบ้านอีกรูปแบบหนึ่ง ที่ผู้อยู่อาศัยมีการใช้พื้นที่ของบ้านเพื่อทำธุรกิจ หรือทำเป็นสำนักงาน โดยรูปแบบบ้านเป็นการพัฒนามาจากตึกแถว หรืออาคารพาณิชย์ และผสมผสานกับรูปแบบของทาวน์โฮม ทำให้หน้าตาทันสมัย สวยงาม มีพื้นที่ด้านข้าง ภายในบ้านมีฟังก์ชั่นการใช้งานที่เหมาะกับการทำเป็นสำนักงาน ราคาค่อนข้างสูง เพราะมักจะเป็นโครงการในทำเลที่ดี   โฮมออฟฟิศ เหมาะสำหรับคนที่ประกอบอาชีพอิสระ ต้องการทำงานและพักอาศัยอยู่ในสถานที่เดียว ราคาโฮมออฟฟิศค่อนข้างสูง เพราะอยู่ในทำเลที่ดีเหมาะสำหรับการค้าขาย หรือทำธุรกิจ มากกว่าการอยู่อาศัยเพียงอย่างเดียว 2.เลือกทำเลที่ต้องการ เมื่อได้รูปแบบบ้านที่ต้องการแล้ว ก็มาเลือกกันว่าต้องการอยู่ในทำเลไหน ซึ่งแต่ละทำเลก็จะมีการพัฒนาบ้านแตกต่างกันไป ทั้งรูปแบบ และระดับราคา นอกจากนี้ยังมีเรื่องต้องพิจารณาที่สำคัญเกี่ยวกับทำเล อาทิ ความสะดวกในการเดินทาง ดูสิ่งอำนวยความสะดวก มลภาวะทางอากาศและเสียง และเป็นพื้นที่เสี่ยงต่อภัยธรรมชาติ พวกน้ำท่วม หรือไม่​ 3.วางงบประมาณที่ต้องการซื้อ วางงบประมาณที่ต้องการซื้อบ้าน ซึ่งงบประมาณก็จะเป็นตัวคัดกรองว่าเราจะหารูปแบบบ้าน ในทำเลที่ต้องการได้หรือไม่ นอกจากราคาบ้านแล้ว เรายังต้องวางงบประมาณที่เป็นค่าใช้จ่ายอื่น ๆ จะตามมาด้วย ซึ่งปกติเราควรมีเงินเก็บหรือเงินออมไว้ก่อนสัก 20% สำหรับผ่อนดาวน์ หรือเป็นค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ซึ่งใครอยากรู้ว่า ถ้าจะซื้อบ้านจะมีค่าใช้จ่ายอะไรอีกบ้างที่ต้องเตรียมเอาไว้ ต้องไปอ่านบทความ อัปเดต ค่าใช้จ่ายซื้อบ้าน และคอนโด 2566 มีอะไรบ้าง?  ที่ได้นำเสนอไว้ก่อนหน้านี้แล้ว เพื่อนำมาทำเช็คลิสต์กันดูก่อน 4.หาข้อมูลบ้าน-สำรวจทำเล-ดูบ้านตัวอย่าง หลังจากตอบคำถามตัวเองตั้งแต่ข้อ 1-3 เรียบร้อยแล้ว เราก็มาหาข้อมูลบ้านที่ต้องการกัน ซึ่งเดี๋ยวนี้ทำได้ง่าย ๆ มีข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตให้รวบรวมก่อนที่บ้าน หลังจากรวบรวมได้ข้อมูล และนำเอาข้อมูลของแต่ละโครงการมาเปรียบเทียบกันแล้ว ก็ถึงเวลาลงพื้นที่สำรวจโครงการ เพื่อดูสภาพแวดล้อม และการเข้าไปชมบ้านตัวอย่างจริง รวมถึงสภาพแวดล้อม สิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่ทางโครงการมีเอาไว้ให้ต่อไป   ทั้งหมดนี้ ก็เป็นหลักเกณฑ์เริ่มต้นในการพิจารณา การเลือกซื้อบ้านสำหรับมือใหม่ ซึ่งใช้ได้กับทุกคนที่อยากจะมีบ้านในฝันสักหลัง เพื่อสร้างความสุขให้กับตัวเอง และคนที่คุณรัก  แต่ยังมีรายละเอียดอื่น ๆ ที่ควรพิจารณาประกอบด้วย เพื่อให้เราได้บ้านที่ดี ตรงใจ และไม่เกิดปัญหาตามมาภายหลัง   ที่มา – ธอส., แลนด์แอนด์เฮ้าส์   อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง -4 เทรนด์การเลือกซื้อบ้าน หลังหมดโควิด-19 ยุควิถีชีวิต Nex normal -ไขความลับ “คนสูงวัย” เลือกซื้อบ้านยังไง ตอบโจทย์ชีวิตเกษียณ  
ไขความลับ “คนสูงวัย” เลือกซื้อบ้านยังไง ตอบโจทย์ชีวิตเกษียณ 

ไขความลับ “คนสูงวัย” เลือกซื้อบ้านยังไง ตอบโจทย์ชีวิตเกษียณ 

เลือกซื้อบ้าน 3 ปัจจัยสำคัญของ “คนสูงวัย” เลือกซื้อบ้าน จากปัจจัยภายใน ยังคงเน้นความคุ้มค่า  ขนาด และสิ่งอำนวยความสะดวก ขณะที่ปัจจัยภายนอก เน้นทำเลที่ตั้ง การเดินทางด้วยระบบสาธารณะ และความปลอดภัย พร้อมเลือกโครงการตอบโจทย์ชีวิตพร้อมอยู่ และใกล้ชิดธรรมชาติ   แม้ว่าอีก 10 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยระดับสุดยอด (Super-Aged Society) ที่มีจำนวนผู้สูงอายุถึง 28% ของประชากรในประเทศ ตามข้อมูลของ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) แต่ปัจจุบันเราไม่ต้องรอถึงตอนนั้น ประเทศไทยก็เข้า​สู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ (Complete Aged Society) เรียบร้อยแล้ว ทำให้หลายธุรกิจหันมาให้ความสำคัญ และทำตลาดกับกลุ่มลูกค้ากลุ่มนี้   สำหรับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ที่ขายบ้านหรือที่อยู่อาศัย ก็ให้ความสำคัญกับลูกค้ากลุ่มนี้ เพราะบ้านคือปัจจัย 4 สำคัญที่ต้องมี และแม้ว่าก่อนหน้านี้คนสูงวัยอาจจะมีบ้านอยู่แล้ว แต่ก็อาจจะไม่ได้สอดคล้องกับวิถีชีวิตที่เป็นคนสูงอายุ ในวัยเกษียณ จึงทำให้คนกลุ่มนี้ยังมีความต้องการซื้อบ้าน หรือเปลี่ยนบ้านหลังใหม่ให้เหมาะสมกับช่วงวัยของตนเอง โดยเฉพาะโครงการที่มีบริการเพิ่มทางด้านการแพทย์ร่วมด้วย​ 3 ปัจจัยภายใน เลือกซื้อบ้าน​ ของคนสูงวัย 1.เน้นความคุ้มค่า   ผู้สูงอายุ มากกว่าครึ่ง (51%) ให้ความสำคัญกับการเลือกบ้านที่ให้ความคุ้มค่ามาเป็นอันดับแรก โดย พิจารณาจากราคาขายเฉลี่ยต่อตารางเมตรเป็นหลัก   2.ขนาดที่อยู่อาศัย   3.สิ่งอำนวยความสะดวกภายใน   ผู้สูงวัยสัดส่วน​ 45% เลือกบ้านที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกภายใน ซึ่งจะต้องตอบโจทย์การอยู่อาศัยและสอดคล้องกับวิถีชีวิตในช่วงวัยเกษียณด้วย 3 ปัจจัยภายนอกเลือกซื้อโครงการ 1.ที่ตั้งโครงการ   ที่ตั้งโครงการยังเป็นปัจจัยแรก ของผู้สูงอายุ ในการเลือกซื้อหรือเช่าที่อยู่อาศัย ซึ่งผู้ตอบแบบสอบถามมากถึง 66% ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องทำเลที่ตั้งโครงการมากที่สุด   2.เดินทางสะดวกด้วยระบบขนส่งสาธารณะ   การเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะ เป็นเรื่องสำคัญของผู้สูงวัย เพราะยังมีความจำเป็นในการออกไปใช้ชีวิต โดยสัดส่วน 55% ของผู้สูงอายุ ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้   3.ความปลอดภัยของทำเล   เนื่องจากผู้สูงอายุคำนึงถึงการใช้ชีวิตในระยะยาว นอกจากต้องการโครงการที่ตั้งอยู่ในทำเลที่เดินทางสะดวก รองรับการใช้ชีวิตประจำวันด้วยตนเองได้อย่างสบายใจแล้ว ยังจะต้องมีความปลอดภัยด้วย อินไซต์การเลือกบ้านอยู่อาศัย ของคนสูงวัย ถ้าพูดถึงตัวบ้านเป็นหลัก การเลือกซื้อของคนสูงวัย ก็มีเกณฑ์ที่ใช้การพิจารณาเลือกโครงการดังนี้ เลือกห้องตกแต่งครบ พร้อมเข้าอยู่ เมื่อต้องเลือกซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง ผู้สูงอายุเกือบครึ่ง (46%) จะเลือกโครงการที่ตกแต่งให้ครบแบบพร้อมเข้าอยู่ (Fully Furnished) มากที่สุด โดยมีเหตุผลสำคัญมาจาก ช่วยประหยัดเวลาในการตกแต่ง และไม่ยุ่งยาก สามารถย้ายเข้าอยู่ได้ทันที   ขณะเดียวกันก็มีผู้สูงอายุอีกจำนวนหนึ่ง ที่สนใจโครงการที่ตกแต่งห้องให้บางส่วน (Fully Fitted)  และไม่มีการตกแต่งใด ๆ เพราะผู้สูงอายุส่วนใหญ่ถึง 70% ชื่นชอบการตกแต่งห้องในสไตล์ของตัวเองมากกว่า และมีผู้สูงอายุอีกจำนวนหนึ่ง สัดส่วน 37% คิดว่าสามารถใช้ประโยชน์จากพื้นที่ที่มีอยู่ได้ดีกว่า บ้านที่ดีต้องใกล้ชิดธรรมชาติ ผู้สูงอายุส่วนใหญ่จะใช้ชีวิตที่บ้านเป็นหลัก จึงเห็นความสำคัญของบทบาทที่อยู่อาศัยในการเสริมสร้างสุขภาพกายควบคู่กับสุขภาพจิตที่ดี เมื่อพิจารณาคุณลักษณะภายในและบริเวณรอบบ้านที่จะช่วยให้มีสุขภาพจิตและความเป็นอยู่ดีขึ้น   โดยผู้สูงอายุกว่า 2 ใน 3 (70%) ต้องการที่อยู่อาศัยที่อยู่ใกล้สวนสาธารณะและใกล้ชิดธรรมชาติมากที่สุด เนื่องจากการมีพื้นที่สีเขียวไว้พักผ่อนหย่อนใจนั้นจะช่วยผ่อนคลายความเครียดได้ดี และมีผลทางจิตวิทยาทำให้รู้สึกสดชื่นมากขึ้น รวมทั้งต้องการพื้นที่เปิดโล่งมากขึ้นภายในละแวกบ้าน 68% ตามมาด้วยยูนิตที่มีระยะห่างมากขึ้น 64% เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวและต้องการความสงบ   นอกจากนี้ ผู้สูงอายุยังเข้าใจและให้ความสำคัญกับที่อยู่อาศัยที่มาพร้อมแนวคิดรักษ์โลก เกือบ 2 ใน 3 (65%) คาดหวังว่าโครงการที่พัฒนาใหม่ทั้งหมดควรจะมาพร้อมกับหลังคาโซล่าเซลล์ (Solar Rooftop) เพื่อช่วยประหยัดรายจ่ายและลดการใช้พลังงานไฟฟ้า สะท้อนให้เห็นว่าผู้สูงอายุมีความตระหนักถึงความสำคัญของการใช้พลังงานทางเลือก   ที่มา : ข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัย DDproperty Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุด     อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง -7 วิธีปรับปรุงบ้านเพื่อผู้สูงอายุ ด้วยตัวเอง
ค้นหาไอเดียสุดว้าว การใช้วัสดุก่อสร้างใน งานสถาปนิก’66

ค้นหาไอเดียสุดว้าว การใช้วัสดุก่อสร้างใน งานสถาปนิก’66

งานสถาปนิก’66 งานสถาปนิก’66 เป็นอีกงานหนึ่ง ที่คนในอุตสาหกรรมก่อสร้าง และการออกแบบทางสถาปัตยกรรม ต่างตั้งตารอคอย เพื่อเช้าชมงาน ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่จะมาโชว์ผลงาน และผู้ที่มามองหาแรงบันดาลใจในการออกแบบ และการใช้วัสดุเพื่อการก่อสร้าง ซึ่งผู้เข้าร่วมงาน จะได้พบกับนวัตกรรมวัสดุก่อสร้างที่ทันสมัย แปลกใหม่  ที่ถูกออกแบบและพัฒนา แล้วนำมาแสดงภายในงาน เพื่อให้คนในแวดวงได้อัปเดต และนำเอาวัสดุต่าง ๆ เหล่านั้น ไปใช้ในงานก่อสร้าง และงานออกแบบต่าง ๆ ของตนเองหรือลูกค้า   งานสถาปนิก’66 งานแสดงเทคโนโลยีสถาปัตยกรรม และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างใหญ่ที่สุดในอาเซียน ปีนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 25-30 เมษายน 2566 ที่อาคารชาเลนเจอร์ ฮอลล์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี  มาด้วยการจัดงานภายใต้แนวคิด "ตำถาด : Time of Togetherness”   ภายในงาน นอกจากจะยกขบวนนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง จากผู้ประกอบการระดับแนวหน้า ทั้งไทยและต่างประเทศ ที่ร่วมแสดงสินค้ากว่า 800 ราย ยังมีการเนรมิตพื้นที่ไฮไลท์ อย่าง Thematic Pavilion โชว์ศักยภาพของวัสดุผ่านการใช้งานในรูปแบบใหม่ ๆ ที่หลายคนอาจจะยังไม่เคยพบเห็นมาก่อน ซึ่งจะเป็นประโยชน์สำหรับการนำเอาไปใช้ ในการต่อยอดของผู้ประกอบการ สถาปนิก และนักออกแบบ 4 พื้นที่ Thematic Pavilion ใน งานสถาปนิก’66 สำหรับพื้นที่โชว์ศักยภาพของวัสดุ ผ่านการใช้งานในรูปแบบต่าง ๆ มีด้วยกัน 4 พื้นที่ ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันของแบรนด์ซัพพลายเออร์วัสดุก่อสร้างและสถาปนิก ดังนี้ 1.VG & TOA x Hypothesis  ครั้งแรกกับการร่วมกันระหว่าง VG เจ้าของรางน้ำฝนและหลังคาไวนิลคุณภาพสูง และผู้นำด้านนวัตกรรมสีทาบ้านภายใต้แบรนด์ TOA จับมือ สถาปนิกจาก Hypothesis เนรมิตพื้นที่ให้มีความสมมาตร ตรงกลางมีการติดตั้งพีระมิดกระจกรูปแบบน้ำผุด โดยสามารถเดินเข้ามาได้จากทุกทิศทาง สามารถมองความต่างของวัสดุที่แขวนติดตั้งจากแต่ละแบรนด์อย่างชัดเจน และดูกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกันเมื่อมองจากภายนอก ซึ่งถือเป็นการออกแบบที่โดดเด่นและลงตัวเป็นอย่างมาก 2.WOODDEN x PAVA architects  หยิบอัตลักษณ์อย่างไม้ เปลี่ยนมุมมองใหม่ให้เข้าถึงได้ โดยเฉพาะ "ไม้สัก" ซึ่งเป็นวัสดุที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้สัมผัส บอกเล่าเรื่องราวด้วยการสร้างสรรค์ผ่านมุมมองสถาปนิกให้ได้สัมผัสกันอย่างใกล้ชิด ในรูปแบบ enclosed space ที่จะช่วยให้ผู้เข้าชมสัมผัสความสงบจากป่าไม้สักคอนทราสต์กับบรรยากาศภายนอกทันทีที่ก้าวเข้ามา อีกทั้ง ยังสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับวงจรชีวิตของไม้สักตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ บอกได้เลยว่าผู้ที่หลงใหลวัสดุที่ทำจาก “ไม้” ต้องไม่พลาด 3.THAI KOON STEEL & THAI PREMIUM PIPE x Context Studio  ฉีกกฎเดิมๆ ของงานเหล็ก สู่การสร้างสรรค์ให้พลิ้วไหวจาก Context Studio โดยการนำวัสดุอย่างท่อและโซ่มาออกแบบได้อย่างกลมกลืนและน่าสนใจ สร้างรูปลักษณ์ใหม่ในพื้นที่จำกัด ด้วยวิธีการปรับองศาการติดตั้งท่อเหล็ก เปลี่ยนเส้นตรงให้อยู่ในรูปทรงเกลียว (spiral) สอดประสานกันเพื่อให้ความรู้สึกที่พลิ้วไหวแต่ยังได้ฟังก์ชันที่สอดรับกันเพื่อสร้างความแข็งแรง และโครงสร้างทุกชิ้นสามารถนำกลับไปใช้ใหม่ได้  แบบนี้บอกได้เลยว่าเป็นการออกแบบที่คิดถึงการใช้งานและสิ่งแวดล้อมด้วย 4.EMPOWER STEEL x ACa Architects  ผลงานการถอดรหัสเหล็กที่แข็งแรงสู่โมเลกุลในยูนิตที่เล็กลงทรงเรขาคณิต สื่อถึงความเป็นธาตุโลหะซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติที่มีความพลิ้วไหว สร้างจินตนาการใหม่ๆ โดยใช้เหล็กจาก EMPOWER STEEL ที่มีนวัตกรรมทำสีและพิมพ์ลวดลายมาตัดเป็นชิ้นนับหมื่นแผ่น บากร่องเพื่อต่อขึ้นเป็นโครงสร้าง (Modular Structure) โชว์พื้นผิว สี ฉีกกฎเหล็กจากอุตสาหกรรมทั่วไป สู่งานดีไซน์ที่หลากหลายตามจินตนาการ สำหรับผู้สนใจ สามารถเข้ามาสัมผัส และเรียนรู้แนวคิด การออกแบบสถาปัตยกรรม บนพื้นที่ Thematic Pavilion  ได้ภายในงานสถาปนิก’66 นี้ พร้อมพบกับ นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง และการออกแบบ รวมถึงแรงบันดาลใจอีกมากมาย ภายในงานสถาปนิก’66    อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -[PR News] เริ่มแล้ว! “สถาปนิก’65”  กระตุ้นเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลัง – หนุนเม็ดเงินสะพัดกว่า 2 หมื่นล้าน