Tag : Townhome

792 ผลลัพธ์
เอพี ไทยแลนด์ ปี68 พร้อมต่อยอดครองความเป็นหนึ่ง สร้างที่สุด…ให้ชีวิตดีที่สุด

เอพี ไทยแลนด์ ปี68 พร้อมต่อยอดครองความเป็นหนึ่ง สร้างที่สุด…ให้ชีวิตดีที่สุด

เอพี ไทยแลนด์ ปี68 พร้อมต่อยอดครองความเป็นหนึ่ง สร้างที่สุด...ให้ชีวิตดีที่สุด เปิดโครงการใหม่มูลค่า 65,000 ล้านบาท ที่สุดทุกมิติในอุตสาหกรรม    บมจ. เอพี ไทยแลนด์ ตั้งเป้าปี 2568 ขยายพอร์ตสินค้าในเครือเอพีพร้อมขายกระจายทั่วประเทศไทย รวมทั้งสิ้น 226 โครงการ โดยเป็นโครงการพัฒนาใหม่ จำนวน 42 โครงการ มูลค่าประมาณ 65,000 ล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 15 โครงการ มูลค่า 26,500 ล้านบาท ทาวน์โฮม และบ้านแฝด 18 โครงการ มูลค่า 15,000 ล้านบาท คอนโดมิเนียม 6 โครงการ มูลค่า 20,200 ล้านบาท และโครงการในต่างจังหวัด 3 โครงการ มูลค่า 3,300 ล้านบาท โดยตั้งเป้ายอดขาย 55,000 ล้านบาท เป้ารายได้รวม 100% JV ที่ 52,900 ล้านบาท   ผลการดำเนินงานปีที่ผ่านมา (2567) บริษัทฯ มียอดขายสุทธิสูงสุดในอุตสาหกรรมถึง 46,752 ล้านบาท มีรายได้รวมจากสินค้ากลุ่มแนวราบ กลุ่มคอนโดมิเนียม (100% JV) และธุรกิจอื่นๆ ได้สูงถึง 47,125 ล้านบาท กำไรสุทธิเท่ากับ 5,020 ล้านบาท และมีสัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน 0.70 เท่า ซึ่งเป็นไปตามนโยบายในการบริหารจัดการสัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนในระดับที่ไม่เกิน 1 เท่า ณ 23 กุมภาพันธ์ 2568 บริษัทฯ มีสินค้ารอรับรู้รายได้มูลค่า 41,621 ล้านบาท     เจาะกลยุทธ์ เอพี “สร้างที่สุด...ให้ชีวิตดีที่สุด”   นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บมจ. เอพี ไทยแลนด์ กล่าวว่า บริษัทฯ​ ยังคงดำเนินธุรกิจภายใต้วิสัยทัศน์ใหญ่ “ชีวิตดีๆ ที่เลือกเองได้” และในปี 2568 นี้ถือเป็นอีกหนึ่งปีของความท้าทายด้วยปัจจัยต่างๆ รอบด้าน แต่อย่างไรก็ตามเพื่อคงความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ในปีนี้ทุกกลุ่มธุรกิจในเครือเอพี ไทยแลนด์ พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจไปด้วยกัน ภายใต้แผนกลยุทธ์ “สร้างที่สุด...ให้ชีวิตดีที่สุด” ด้วยการสร้างที่สุดในทุกๆ มิติ ทั้งผ่านสินค้าหลักอย่างบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม บ้านแฝด และคอนโดมิเนียม หรือผ่านประสบการณ์การอยู่อาศัยด้วยเซอร์วิสต่างๆ ที่บริษัทฯ พัฒนาขึ้น เพื่อส่งมอบชีวิตดีๆ ที่เลือกเองได้ให้กับทุกคน   ทั้งนี้ปี 2568 บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายอสังหาริมทรัพย์ไว้ที่ 55,000 ล้านบาท เป้ารายได้รวม 100% JV ที่ 52,900 ล้านบาท กับที่สุดแรกด้วยแผนการเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 42 โครงการ มูลค่า 65,000 ล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยว 15 โครงการ มูลค่า 26,500 ล้านบาท ทาวน์โฮมและบ้านแฝด จำนวน 18 โครงการ มูลค่า 15,000 ล้านบาท คอนโดมิเนียม 6 โครงการ มูลค่า 20,200 ล้านบาท และโครงการในต่างจังหวัด 3 โครงการ มูลค่า 3,300 ล้านบาท และเมื่อรวมกับโครงการที่อยู่ระหว่างการขาย (ongoing projects) จะทำให้ เอพี ไทยแลนด์เป็นที่สุดด้วยจำนวนโครงการมากที่สุดรวม 226 โครงการ ทั่วกรุงเทพฯ ปริมณฑล และทุกภูมิภาคทั่วประเทศไทย   ด้วยเทรนด์การใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้เอพีเราไม่เคยหยุดนิ่งที่จะพัฒนาที่อยู่อาศัย ตลอดจนเซอร์วิสต่างๆ ให้สอดรับกับวิถีชีวิตและความต้องการที่เปลี่ยนไป ซึ่งภายใต้กลยุทธ์ “สร้างที่สุด...ให้ชีวิตดีที่สุด” นั้น บริษัทฯ ได้ทำงานร่วมกับทุกกลุ่มธุรกิจในเครือ เพื่อนำพาเอพีครองความเป็นหนึ่ง ตลอดจนสร้างที่สุดให้เกิดขึ้นในทุกๆ Touch Point ของการอยู่อาศัยในอสังหาริมทรัพย์เครือเอพี โดยมี 3 DNA สำคัญในการส่งมอบความเป็นที่สุดที่ลูกค้าจะสัมผัสได้จากโครงการใหม่ที่เตรียมเปิดตัวในปีนี้ ได้แก่     Diversity & Desires สร้างที่สุด...ให้ทุกพื้นที่สะท้อนตัวตน บนความเข้าใจในความแตกต่างและความชอบส่วนตัว เพื่อให้สิ่งที่เป็นที่สุดในชีวิต อยู่กับคุณตลอดไป ครอบคลุมทุกมิติของการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ตั้งแต่การให้ความสำคัญในการพัฒนาแบบบ้านโมเดลใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทุกพื้นที่รองรับกับไลฟ์สไตล์ที่เฉพาะเจาะจงยิ่งขึ้น รวมถึงการเลือกทำเลศักยภาพ ซึ่งเป็นจุดแข็งของเอพี เพื่อให้บ้านที่คุณเลือก เป็นที่สุดในชีวิตที่อยู่กับคุณตลอดไป   Craft Space & Design สร้างที่สุด...ในทุกรายละเอียดของการออกแบบ ด้วยการออกแบบที่พิถีพิถันในทุกรายละเอียด เพื่อการอยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบ ด้วยการออกแบบที่ใส่ใจในทุกรายละเอียดด้วยแนวคิด Empathy Design ที่นอกเหนือจากการสร้างพื้นที่ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์แล้ว แต่ยังเติมเต็มสุนทรียศาสตร์ในการอยู่อาศัย สร้างเสน่ห์ให้ทุกประสบการณ์พิเศษและแตกต่าง ด้วยดีไซน์ที่งดงามเหนือกาลเวลา   Elevation & Intuitive Living สร้างที่สุด...ให้ทุกสิ่งรอบตัวเป็นเรื่องง่าย เพื่อชีวิตดีๆ ที่ไม่ต้องคิด ด้วย Service ที่ทำให้ทุกเรื่องง่าย ตอบโจทย์ชีวิตอย่างลงตัว ด้วยความตั้งใจในการออกแบบประสบการณ์ที่ทำให้การอยู่อาศัยเป็นเรื่องง่าย สบาย และสมบูรณ์แบบ โดยไม่ต้องคิดหรือจัดการให้ยุ่งยาก เพราะทุกอย่างถูกคิดและเตรียมไว้ให้แล้ว ด้วยบริการต่างๆ ในเครือเอพี ไทยแลนด์ ที่ครอบคลุมทุกเรื่องการอยู่อาศัย   เบอร์ 1 ผู้นำตลาดทาวน์โฮมและบ้านแฝดที่ไม่หยุดนิ่ง  นายเมธา รักธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาธุรกิจกลุ่มสินค้าทาวน์โฮมและบ้านแฝด บมจ. เอพี ไทยแลนด์ กล่าวว่า ในปี 2567 ที่ผ่านมากลุ่มธุรกิจทาวน์โฮมเอพีมีอัตราการเติบโตด้านยอดขายที่เพิ่มขึ้นกว่า 30% ในปีที่ผ่านมา จนทำให้วันนี้เรายังคงครองอันดับ 1 ด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดในกลุ่มสินค้าทาวน์โฮมและบ้านแฝดมากที่สุด สำหรับในปีนี้กลุ่มธุรกิจทาวน์โฮมและบ้านแฝดยังคงเดินหน้าอย่างไม่หยุดนิ่งในทุกมิติ โดยตั้งเป้าสร้างการเติบโตอย่างก้าวกระโดด พร้อมสานต่อกลยุทธ์หลักขององค์กร ในการ “สร้างที่สุด...ให้เกิดขึ้นในทุกมิติ เพื่อให้ลูกค้าก้าวไปสู่ที่สุดของชีวิต” โดยในปีนี้เรามีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งสิ้น 18 โครงการ มูลค่า 15,000 ล้านบาท ครอบคลุมครบทั้ง 6 Sub-Brand ตั้งแต่ระดับราคา 1.49 - 25 ล้านบาท   ทั้งนี้ สร้างที่สุดแรกคือ การเป็นอันดับ 1 ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่มีโครงการทาวน์โฮมและบ้านแฝดครอบคลุมทุกโซนของกรุงเทพฯ มากที่สุด ภายใต้กลยุทธ์ Zoning Expansion Strategy ถือเป็น key สำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ โดยให้ความสำคัญในการพัฒนาโครงการที่ครอบคลุมทั้งในแง่ของจำนวน รูปแบบโครงการ และแพ็กเกจราคาที่หลากหลาย ที่สอดรับกับความต้องการของลูกค้าในแต่ละพื้นที่ ปัจจุบันกลุ่มธุรกิจมีจำนวนโครงการที่กระจายครอบคลุมพื้นที่มากถึง 11 โซน กับจำนวนโครงการพร้อมอยู่มากที่สุดกว่า 70 โครงการ ซึ่งมั่นใจว่าสินค้าทาวน์โฮมและบ้านแฝดเอพีมีสินค้าที่พร้อมขาย พร้อมโอนมากที่สุดในอุตสาหกรรม   ที่ผ่านมาการพัฒนาโครงการของเอพีประสบความสำเร็จอย่างมาก สร้าง AP Community ให้เกิดขึ้นในหลายทำเลใหญ่ ซึ่งถ้านับ AP Community ที่เอพีลงทุนพัฒนาไปแล้วรวมได้กว่า 1,000 ไร่ ซึ่งในปีนี้มีแผนขยายความสำเร็จในการสร้าง AP Community ไปยังทำเล เมืองเอก วิภาวดี-รังสิต ด้วยขนาดที่ดินรวมกว่า 120 ไร่ ด้วยศักยภาพของทำเลที่ใกล้รถไฟฟ้าสายสีแดง ฟิวเจอร์พาร์ครังสิต เชื่อมต่อทางด่วนบางพูน และ ติดถนน 345 เชื่อมไปยังโซนราชพฤกษ์ เพื่อเข้าสาทร หรือ ถนนกาญจนาภิเษก-วงแหวน ไปยังนนทบุรี พระราม 5 ได้หลากหลายเส้นทาง โดยเตรียมเปิดตัวทาวน์โฮมและบ้านแฝดใหม่ในทำเล เมืองเอก วิภาวดี-รังสิต จำนวน 3 โครงการ ซึ่งพร้อมจะเปิดขายโครงการแรก คือ Grande Pleno วิภาวดี-รังสิต บ้านแฝดไซส์ใหญ่ เริ่มต้น 5.49 ล้านบาท ในช่วงเดือนพฤษภาคมนี้     สร้างที่สุดในมิติที่ 2 กับที่สุดของแบบบ้านที่มากที่สุดเป็นอันดับ 1 ตอบทุกไลฟ์สไตล์ของลูกค้าในทุกเซกเมนต์  ซึ่ง ณ ปัจจุบันเรามีแบบบ้านกว่า 100 โมเดล และในปีนี้มีการพัฒนาแบบบ้านใหม่ เพิ่มขึ้นอีก 13 โมเดล ด้วยทาวน์โฮมและบ้านแฝดในคอนเซ็ปต์ใหม่ เช่น CoLive Model ทาวน์โฮมแรกที่ลูกค้าสามารถปล่อยเช่าแยกชั้นได้ ตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่ม Solo Living ที่ชอบใช้ชีวิตคนเดียว Mirth Model ทาวน์โฮม 2 ชั้นที่มาพร้อมกับ Duplex Space พื้นที่พิเศษที่เพิ่มมากขึ้น Xavier Model ทาวน์โฮม 3 ชั้นที่มากับคอนเซ็ปต์บ้านเล่นระดับ หรือ Asher Model บ้านแฝดหน้ากว้างสุด 16.4 เมตร เป็นต้น     สร้างที่สุดที่ 3 กับการสร้างมาตรฐานใหม่ของพื้นที่ส่วนกลางที่ดีที่สุดในทาวน์โฮมและบ้านแฝด เพื่อให้พื้นที่ส่วนกลางไม่ได้เป็นเพียงจุดพักผ่อน แต่คือการออกแบบส่วนกลางที่ผสานแนวคิดความยั่งยืน โดยไม่ลดทอนความสะดวกสบายในชีวิตประจำวัน พร้อมยังทำให้สภาพแวดล้อมภายในโครงการร่มรื่นสวยงามน่าอยู่ ด้วยการให้ความสำคัญกับการใช้นวัตกรรมมาช่วยในการประหยัดพลังงาน เช่น 24Fitness ฟิตเนสที่พร้อมเปิด 24 ชั่วโมง เพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ที่ต่างกันในแต่ละช่วงเวลา และมีการออกแบบระบบเปิด-ปิดไฟแยกตามโซนการใช้งานเพื่อประหยัดพลังงาน การออกแบบ Eco Waste Station สถานีจัดการขยะอย่างเป็นระบบเพื่อความสะอาดและความยั่งยืน โดยในทาวน์โฮมและบ้านแฝดทุกโครงการจะมีการออกแบบตัวอาคารที่เป็นจุดจัดการขยะไว้อย่างเป็นสัดส่วนตามมาตรฐานการแยกขยะที่ทางภาครัฐกำหนดขึ้น พร้อมรณรงค์ผ่านแคมเปญ แยก.เท.ได้ เพื่อเชิญชวนลูกบ้านร่วมกันแยกขยะก่อนทิ้ง โดยในปีนี้มีการตั้งเป้า recycle ขยะให้ได้ที่ 100 ตัน จากทุกโครงการทาวน์โฮมและบ้านแฝด เทียบเท่าการปลูกต้นไม้กว่า 20,000 ต้น หรือการใช้ระบบ Solar Roof เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการพื้นที่ส่วนกลาง โดยจะติดตั้งเพิ่มเติมในส่วนของ Main Gate นอกเหนือจากติดตั้งไปแล้วในส่วนของพื้นที่ Club House     The Greatest Home ที่สุดของบ้านที่เข้าใจชีวิต นายรัชต์ชยุตม์ นันทโชติโสภณ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาธุรกิจกลุ่มสินค้าบ้านเดี่ยว บมจ. เอพี ไทยแลนด์ กล่าวว่า บ้านเดี่ยวเอพีเรายังคงพัฒนาสินค้าภายใต้จุดยืน FUNCTIONAL IS BEAUTIFUL บ้านที่สวยที่สุด คือบ้านที่เข้าใจชีวิต ที่ที่ทุกตารางนิ้วถูกออกแบบขึ้นมาเพื่อให้ใช้งานได้จริง และเข้าใจทุกชีวิตในบ้านมากที่สุด โดยในปีนี้กลุ่มธุรกิจบ้านเดี่ยวมีแผนเปิดตัวบ้านเดี่ยวโครงการใหม่ทั้งสิ้น 15 โครงการ มูลค่า 26,500 ล้านบาท โดยในปีนี้กลุ่มธุรกิจบ้านเดี่ยวพร้อมจะสร้างที่สุดภายใต้แนวคิด The Greatest Home เพื่อสร้างที่สุดของที่อยู่อาศัย ที่เติมเต็มทุกพื้นที่ชีวิตของทุกเจเนอเรชัน ซึ่งนอกเหนือจากการ Maintain ความสำเร็จในตลาดบ้านเดี่ยวระดับราคา 7-20 ล้านบาท ปีนี้นับเป็นครั้งแรกที่บ้านเดี่ยวเอพีมีการเปิดตัวแบบบ้านใหม่ครบทุกแบรนด์พร้อมกัน การเปิดตัวโปรดักต์ใหม่ทั้งหมดนี้เพื่อให้เติมเต็มความต้องการพื้นที่ชีวิตที่แตกต่าง และครอบคลุมทุกเซกเมนต์ นอกจากนี้เพื่อสร้างการเติบโตที่มากยิ่งขึ้น เราจึงมาพร้อมที่สุดแรกกับการ เปิดตัว ‘Majestic Collection’ คอลเลกชันบ้านเดี่ยวระดับอัลตร้าลักซ์ชัวรี แบรนด์ The Palazzo และบ้านกลางกรุง ในเซกเมนต์ราคาประมาณ 50-100 ล้านบาทขึ้นไป โดย ‘Majestic Collection’ สะท้อนนิยามของความสง่างามเหนือกาลเวลา ด้วยการออกแบบที่งดงามเหนือกาลเวลา ที่ไม่เพียงแต่เป็นบ้าน แต่คือผลงานระดับมาสเตอร์พีซ ที่ผสานความประณีตในทุกรายละเอียดเข้ากับความหรูหราสง่างาม ตอบโจทย์ผู้ที่มองหาที่สุดของการอยู่อาศัยอย่างแท้จริง     3 ที่สุดของโครงการกับ ‘Majestic Collection’ 1) The Palazzo กรุงเทพกรีฑา ราคา 75-120 ล้านบาท 2) The Palazzo ปิ่นเกล้า-บรมฯ ราคา 50-85 ล้านบาท 2 ที่สุดของบ้านเดี่ยวระดับ Flagship ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมระดับ World-Class ผสานงานดีไซน์ที่พิถีพิถันในทุกรายละเอียด สร้างสรรค์พื้นที่อยู่อาศัยให้เป็นเสมือน ‘Masterpiece’ ที่หลอมรวมทั้งความโอ่อ่าของพื้นที่ ฟังก์ชันที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ระดับสูง และงานออกแบบที่สะท้อนรสนิยมเหนือระดับ กับจุดเด่นคฤหาสน์หรูที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ขนาดพื้นที่ใช้สอยสูงสุดกว่า 1,000 ตร.ม. พิเศษด้วยการออกแบบพื้นที่พิเศษเฉพาะในแต่ละเจเนอเรชัน และส่วนกลางที่ไม่ได้เป็นเพียง Facilities แต่เป็นแลนด์มาร์กแห่งการใช้ชีวิตระดับ Majestic Living อย่างแท้จริง ซึ่งพร้อมเปิดให้เข้าชมแบบ Private Preview ในวันที่ 29-30 มีนาคมนี้ และ 3) บ้านกลางกรุง สาธุประดิษฐ์ 57 The Rarest of Rarity ที่สุดของดีไซน์และโลเคชันสุดยูนีคใจกลางเมือง กับบ้านแนวคิดใหม่สูง 4-5 ชั้น พร้อมชั้นดาดฟ้า เพียงแค่ 9 หลัง มูลค่าโครงการ 550 ล้านบาท ที่ให้ทั้งความเป็นส่วนตัว ความโอ่อ่า และความสะดวกสบาย ในพื้นที่แนวตั้ง ซึ่งพร้อมเปิดขายในช่วงไตรมาส 2     อีกหนึ่งไฮไลต์ที่น่าสนใจในปีนี้กลุ่มธุรกิจบ้านเดี่ยว มีแผนเปิดตัวแบรนด์ใหม่ ภายใต้ชื่อ BEON [บีร์ออน] เพื่อยกระดับที่อยู่อาศัยให้เปลี่ยนแปลงไปพร้อมกับการใช้ชีวิต กับที่สุดของบ้านเดี่ยวสุดโมเดิร์นสูง 3 ชั้น พื้นที่ใช้สอย 614- 814 ตารางเมตร ดีไซน์ใหม่สุด Exclusive พิเศษในเรื่องของการออกแบบสเปซให้มี Ultra Volume เชื่อมต่อพื้นที่ทุกชั้นภายในเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อรองรับความต้องการของกลุ่มลูกค้าครอบครัวขนาดใหญ่ที่มีไลฟ์สไตล์ Unique และมองหาบ้านเดี่ยวในสไตล์โมเดิร์นคลาสสิก โดยมีแผนเปิดตัวโครงการภายใต้แบรนด์ “BEON” ในทำเลแรกแถวนวลจันทร์ ซึ่งพร้อมเปิดตัวในช่วงครึ่งปีหลัง     LIFE Condo ให้ความสำเร็จได้ใช้ชีวิต  นางสาวกมลทิพย์ บำรุงชาติอุดม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาธุรกิจกลุ่มสินค้าคอนโดมิเนียม บมจ. เอพี ไทยแลนด์ กล่าวว่า ในปีนี้กลุ่มธุรกิจคอนโดมิเนียม พร้อมสร้างที่สุด...เพื่อให้คุณเริ่มชีวิตที่อยากใช้ ไปกับคอนโดใหม่จากเอพี โดยในปีนี้มีแผนเปิดโครงการใหม่ทั้งสิ้น 6 โครงการ มูลค่า 20,200 ล้านบาท ด้วยการสร้างเมจิกให้เกิดขึ้นผ่านวิธีคิดในการออกแบบพื้นที่ส่วนกลางและสเปซภายในห้องชุด ทลายข้อจำกัดเดิมๆ ในการใช้ชีวิตแนวตั้ง เพื่อสร้างความรู้สึกใหม่ให้ทุกพื้นที่สะท้อนตัวตน โดยคีย์ไฮไลต์ของปีกับ LIFE CONDO ที่มาพร้อมคอนเซ็ปต์ Version 2025: Success Like no Others - ให้ความสำเร็จได้ใช้ชีวิต ซึ่ง LIFE CONDO Version 2025 พร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จที่เกิดขึ้นในทุก Moment ของชีวิต ด้วย 5 นวัตกรรมพื้นที่ขอบคุณชีวิต ได้แก่     Modular Flow Design แนวคิดในการออกแบบเพื่อสร้างพื้นที่ใช้สอยใหม่ ค้นหาพื้นที่ที่ซ่อนอยู่ ด้วยวิธีคิดใหม่ในการจัดสรรสเปซ ทั้งในมิติแนวตั้ง (Vertical) และแนวนอน (Horizontal) จนเกิดเป็นสเปซใหม่ที่ให้ความรู้สึกใหม่ ทั้งยังให้ทุกพื้นที่เชื่อมโยงถึงกันอย่างกลมกลืนและลงตัว ตลอดจนการให้ความสำคัญกับแสงและการไหลเวียนของอากาศ Openness to Biodiversity เชื่อมต่อชีวิตเมืองเข้ากับธรรมชาติ ด้วยการสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อสุขภาพกายและใจ ให้รู้สึกและเข้าถึงความเป็นธรรมชาติได้ในทุกสัมผัส ด้วยแนวคิด Stand-alone facilities พื้นที่ส่วนกลางที่ทำให้ธรรมชาติเป็นส่วนหนึ่งของฟังก์ชันการใช้งานในชีวิตประจำวัน เช่น Botanical Gym ที่ทำให้การออกกำลังกาย แวดล้อมเหมือนอยู่ในสวน หรือ ‘Biodiverse Co-Working Forest’ ที่ช่วยสร้างพื้นที่ทำงานในบรรยากาศของป่าในเมือง New Feel-Safe Design แนวคิดในการออกแบบที่มุ่งสร้างพื้นที่ปลอดภัยทางอารมณ์ที่เป็นมิตรกับทุกชีวิตที่อยู่อาศัยภายในโครงการ ครอบคลุมไปถึงการออกแบบที่อยู่อาศัยร่วมกันระหว่างมนุษย์และสัตว์เลี้ยง ด้วยความใส่ใจในการออกแบบอาคารอยู่อาศัยที่มี function พิเศษให้ความอุ่นใจเกิดขึ้นทั้งกับเจ้าของสัตว์เลี้ยงและตัวสัตว์เลี้ยงเอง A Building That Gives Back สะท้อนถึงความรับผิดชอบที่เรามีต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยไม่เพิ่มภาระหรือค่าใช้จ่ายให้กับลูกค้า เช่น การเลือกใช้พรรณไม้ช่วยฟอกอากาศ เพื่อร่วมสร้างอากาศที่ดีให้กับลูกค้า และคืนอากาศที่ดีกลับให้ชุมชนข้างเคียง การติดตั้งระบบ EV Charger การติดตั้งหลอดไฟที่มีเซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหว หรือการติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์ ในพื้นที่ส่วนกลาง เพื่อช่วยประหยัดพลังงาน เป็นต้น Choose the Persona of Your City คอนเซ็ปต์ในการพัฒนา LIFE CONDO ที่มอบทางเลือกให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์คนเมือง Micro-Village in Inner City Concept เป็น Low-Rise Rare Collection ถึงทำเลจะตั้งอยู่ในเมือง แต่ยังคงบรรยากาศที่สงบและส่วนตัว และ Metropolis-Within City Concept เป็น High-Rise Super Facilities โครงการที่ตั้งอยู่ในทำเลใจกลางเมืองอย่างแท้จริง ที่ไม่เพียงแต่สะดวกในการเข้าถึงชีวิตเมืองที่เต็มไปด้วยกิจกรรม แต่ยังมาพร้อมกับ ‘Super Facilities’ ที่ครบและจัดเต็มในแบบเอพี     โดย LIFE สาทร-นราธิวาส 22 คือ LIFE CONDO ในคอนเซ็ปต์ใหม่ที่เตรียมเปิดตัวเป็นโครงการแรก ซึ่งมาในรูปแบบ Micro-Village in Inner City Concept สูง 8 ชั้น 2 อาคาร มูลค่าโครงการ 1,800 ล้านบาท จำนวน 416 ยูนิต ทำเลที่ตั้งอยู่ในซอยนราธิวาส 22 ตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการความเงียบสงบในบรรยากาศรีทรีต โดยเตรียมเปิดจองรอบ VVIP Day ในวันที่ 22 - 23 มีนาคมนี้ ด้วยราคาเริ่มต้น 3.6 ล้านบาท ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษเพิ่มเติมได้ที่ https://apth.ly/oj6r   ข่าวอื่นที่น่าสนใจ ซีคอน เปิดตัวโครงการบ้าน Your Home: Your Family ซีรีส์ 2 เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทยเดินเครื่องธุรกิจฝ่าทุกความผันผวนปี 68 AWC ลงเสาเอก “เวิ้งนครเกษม เยาวราช” โครงการมิกซ์ยูสใหญ่ที่สุดในไชน่าทาวน์  
[Preview] The Holmes สาทร-กัลปพฤกษ์ พรีเมี่ยมทาวน์โฮม 3 ชั้น

[Preview] The Holmes สาทร-กัลปพฤกษ์ พรีเมี่ยมทาวน์โฮม 3 ชั้น

The Holmes สาทร-กัลปพฤกษ์ พรีเมี่ยมทาวน์โฮม 3 ชั้น โครงการ "เดอะโฮมส์ (สาทร-กัลปพฤกษ์)" พรีเมี่ยมทาวน์โฮมใหม่ล่าสุดจาก บริษัท เบญญารัตน์ จำกัด ปักหมุดบนทำเลถนนเทอดไท เดินทางสะดวกด้วยถนนสายหลักอย่างถนนเทอดไท, ถนนบางแค, ถนนเพชรเกษม และถนนกัลปพฤกษ์ สามารถเชื่อมต่อเข้าสู่ใจกลางเมืองอย่าง สาทร-สีลม ได้ไม่ยาก ใกล้รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน MRT สถานีบางแค และ รถไฟฟ้าสายสีเขียว BTS สถานีบางหว้า และสถานีวุฒากาศ อีกทั้งยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่พร้อมสำหรับการอยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวคู่แต่งงานใหม่ หรือครอบครัวขยาย และอยากได้พื้นที่ใช้สอยเพิ่มเติมสำหรับสมาชิกในบ้าน     "เดอะโฮมส์ (สาทร-กัลปพฤกษ์)"  ออกแบบบ้านในสไตล์ Modern Classic Retro Futuristic สื่อถึงคาแรกเตอร์ของผู้อยู่อาศัย ที่มีความต้องการที่ชัดเจน บ่งบอกถึงรสนิยมของตัวเองผ่านงานสถาปัตยกรรม และ Facade's ที่ผสานความโมเดิร์นและคลาสสิคไว้ด้วยกันอย่างลงตัว   Make Your Dream Fresh Start จุดเริ่มต้นใหม่ของชีวิต กับพรีเมี่ยมทาวน์โฮม 3 ชั้น ที่ออกแบบพื้นที่ใช้สอยภายในบ้านมาเพื่อตอบสนองทุกความต้องการของผู้อยู่อาศัยให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างลงตัว และพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนฟังก์ชันภายในบ้านได้อย่างอิสระ โดดเด่นด้วยห้องนอนใหญ่รูปแบบ Penthouse เต็มพื้นที่ชั้น 3 พร้อมฟังก์ชันของแต่ละส่วนที่ชัดเจน ส่วนของที่นอน ส่วนของที่พักผ่อน Walk-in Closet และห้องน้ำที่มีขนาดใหญ่     "เดอะโฮมส์ (สาทร-กัลปพฤกษ์)" หนึ่งเดียวบนถนนเทอดไท ให้คุณเริ่มต้นชีวิตบนทำเลศักยภาพ ตอบโจทย์ Life Style ชีวิตคนเมืองรุ่นใหม่ พร้อมคลับเฮ้าส์หรู สระว่ายน้ำ พื้นที่สวนส่วนกลางในบรรยากาศร่มรื่น พร้อมความอุ่นใจของการอยู่อาศัยด้วยการรักษาความปลอดภัยได้มาตรฐาน ทั้งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยดูแลตลอด 24 ชม. ติดตั้งกล้อง CCTV การเข้าออกโครงการด้วยระบบ Easy Pass     Hyde แบบบ้าน พรีเมี่ยมทาวน์โฮม 3 ชั้น หน้ากว้าง 5 เมตร บนที่ดินขนาดเริ่มต้น 18.1 ตร.วา พร้อมรองรับการจอดรถได้มากถึง 2 คัน ในขณะที่ภายในบ้านมีพื้นที่ใช้สอย 170.40 ตร.ม. แบ่งฟังก์ชันเป็น 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ พิเศษด้วย Master Bedroom รูปแบบ Penthouse เต็มพื้นที่ชั้น 3 ในราคาเริ่มต้น 4.99 ล้านบาท* เพียง 58 ยูนิตเท่านั้น  
[PR] สิวารมณ์ประกาศความแข็งแกร่ง ปูพรมจาก บางปู – บางแค

[PR] สิวารมณ์ประกาศความแข็งแกร่ง ปูพรมจาก บางปู – บางแค

สิวารมณ์ประกาศความแข็งแกร่ง ปูพรมจาก บางปู - บางแค สิวารมณ์ประกาศความแข็งแกร่ง ปูพรมจาก บางปู - บางแค 𝐍𝐄𝐖 𝐏𝐑𝐎𝐉𝐄𝐂𝐓 𝟐𝟎𝟐𝟒 | 𝐒𝐈𝐕𝐀𝐑𝐎𝐌 𝐇𝐘𝐃𝐄 บริษัท สิวารมณ์ เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) ทุ่มเปิดโครงการใหม่ รวมมูลค่ากว่า 850 ล้านบาท ในย่านที่อยู่อาศัย 2 ทำเลฝั่งกรุงเทพตะวันตก #ก้าวอย่างมั่นคง ประกาศความแข็งแกร่ง ปูพรมจาก บางปู - บางแค  ส่งบ้านหรูระดับ UPPER CLASS ที่มาพร้อมกับความเป็นส่วนตัว ส่งมอบความเชี่ยวชาญของการอยู่อาศัย 15-16 มิ.ย.นี้ ก้าวสู่ความสำเร็จใหม่ เปิดจองครั้งแรกสิวารมณ์ ไฮด์ สาทร-บางแค | เริ่มเพียง 16 ล้านบาท*     ภายใต้ CONCEPT ' NERVER HIDE YOUR SUCCESS ' เริ่มต้นแห่งแรก ทำเลแห่งการใช้ชีวิต NEW LIVING COMMUNITY ZONE บางแค ด้วยบ้านเดี่ยวหรูโครงการใหม่ 5 ห้องนอน บนที่ดินเริ่ม 100 ตร.ว. พร้อมพื้นที้ใช้สอยกว่า 500 ตร.ว. เอกสิทธิ์เพียง 29 ครอบครัว ทำเลเชื่อมต่อ CORE CBD สาทร - วงแหวนกาญนาภิเษกฯ ตะวันตก   ‘ 𝐍𝐄𝐕𝐄𝐑 𝐇𝐈𝐃𝐄 𝐘𝐎𝐔𝐑 𝐒𝐔𝐂𝐂𝐄𝐒𝐒 ’ บ้านหรู 5 ห้องนอน พร้อมพื้นที่ใช้สอยกว่า 500 ตร.ม. #NEWBRAND #NEWCOLLECTION     📍ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษก่อนใคร https://sivarom-hyde.com/register.php ☎️ ติดต่อสอบถาม 0632215858 ❇️ Add LINE : https://lin.ee/XX2Pi7K ▪️ Google Location | https://shorturl.at/gksx4 ▪️ ใกล้ MRT หลักสอง ▪️ THE MALL บางแค & THE EXPLACE MALL ▪️ BEST SMART LIVING ▪️ มาตรฐานความปลอดภัยเหนือระดับ ▪️ รปภ. & CCTV 24 ชั่วโมง *เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ และธนาคารกำหนด   #SivaromRealEstate #สิวารมณ์ #SivaromHyde #newprojects #SVR #บ้านเดี่ยวสาทร #บ้านบางแค #บ้านกัลปพฤกษ์ #คฤหาสน์ #กาญจนาภิเษก #Homeandliving #land #housing #บ้านโครงการใหม่ #บางแค #บ้านใกล้ห้าง #บ้านใกล้รถไฟฟ้า #บ้านติดถนนใหญ่ #บ้านใกล้ทางด่วน #บ้าน   ข่าวที่เกี่ยวข้อง สิวารมณ์ ปาร์ค วงแหวน – ประชาอุทิศ 76 “เมซัน”ประกาศลุยบ้านหรู “มอร์เกน บางขุนเทียน-พระราม2”  
[PR] “เมซัน”ประกาศลุยบ้านหรู “มอร์เกน บางขุนเทียน-พระราม2” รับไตรมาส 2/67

[PR] “เมซัน”ประกาศลุยบ้านหรู “มอร์เกน บางขุนเทียน-พระราม2” รับไตรมาส 2/67

“เมซัน”ประกาศลุยบ้านหรู “มอร์เกน บางขุนเทียน-พระราม2” รับไตรมาส 2/67 มั่นใจสินค้าตอบโจทย์ดีมานด์ย่านฝั่งธนฯ-พื้นที่ใกล้เคียง เมซัน ดีเวลลอปเม้นท์ฯ เผยศักยภาพทำเลพระราม 2 ดีมานด์ยังมีความต้องการบ้านแนวราบระดับลักชัวรี ประกาศเดินหน้ารับไตรมาส 2/67 ผุดบ้านหรู โครงการ “มอร์เกน บางขุนเทียน-พระราม2”ราคาเริ่มต้นที่ 7-14 ล้านบาท มูลค่า 1,   060 ล้านบาท พร้อมเปิดพรีเซลวันที่ 25-26 พ.ค.67 มั่นใจสินค้าตอบโจทย์ดีมานด์ย่านฝั่งธนฯและพื้นที่ใกล้เคียง   นายพงศ์ศักดิ์ สวาทยานนท์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เพลินพัฒน์ แอสเสท จำกัด ผู้พัฒนาโครงการอสังหาฯแนวราบภายใต้แบรนด์ “Maison Development”(เมซัน ดีเวลลอปเม้นท์) เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในย่านพระราม 2 ว่า ถือว่าเป็นทำเลที่มีศักยภาพ ดีมานด์ส่วนใหญ่มีความต้องการที่อยู่อาศัยแนวราบในระดับลักชัวรีสูง เนื่องจากอยู่ไม่ไกลจากย่านเศรษฐกิจใจกลางเมือง การคมนาคมเดินทางสะดวกสบาย เมื่อเทียบกับทำเลชานเมืองในโซนอื่นๆของกรุงเทพฯ   ส่งผลให้แผนการดำเนินงานของบริษัทฯในไตรมาส 2/2567 เปิดตัวโครงการ “มอร์เกน บางขุนเทียน-พระราม2” (Morgen Bangkhunthian-Rama2) พัฒนาโดยบริษัท เมซัน ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือเพลินพัฒน์ แอสเสทฯ ตั้งอยู่บริเวณย่านบางขุนเทียน บนพื้นที่ 30 ไร่เศษ พัฒนาในรูปแบบบ้านเดี่ยว 2 ชั้น สไตล์เฟรสช์โคโลเนียล (French Colonial) ภายใต้คอนเซ็ปต์ "MAGNIFICENT MORNINGS, FINEST URBAN LIVING IN FRENCH COLONIAL"ขนาด 501-74.6 ตารางวา พื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 216-350 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้นที่ 7-14 ล้านบาท จำนวน 103 ยูนิต มูลค่า 1,060 ล้านบาท โดยกำหนดเปิดพรีเซลในวันที่ 25-26 พฤษภาคม 2567 ซึ่งมั่นใจสินค้าจะตอบโจทย์ดีมานด์ย่านฝั่งธนฯและพื้นที่ใกล้เคียงได้เป็นอย่างดี     โดยโครงการดังกล่าวมีบ้านให้เลือก 3 แบบ คือ 1.แบบซาโลเม่ (Salomé) จำนวน 46 ยูนิต ขนาดที่ดินเริ่มต้น 51 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 216.1 ตารางเมตร ฟังก์ชั่นบ้าน 4 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ 1 ห้องครัว 1 ห้องรับแขก+รับประทานอาหาร 1 นั่งเล่น 2 จอดรถ 2.แบบบ้านมาเอล(Maël) จำนวน 40 ยูนิต  ขนาดที่ดินเริ่มต้น 60.8 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 275.7 ตารางเมตร ฟังก์ชั่นบ้าน 4 ห้องนอน 6 ห้องน้ำ 1 ห้องครัว 1 แม่บ้าน 1 ห้องรับแขก+รับประทานอาหาร 1 นั่งเล่น 3 จอดรถ 3.แบบบ้านเลออน (Léon) จำนวน 17 ยูนิต ขนาดที่ดินเริ่มต้น 74.6 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 335.2 ตารางเมตร ฟังก์ชั่นบ้าน 5 ห้องนอน 7 ห้องน้ำ 1 ห้องครัว 1 ห้องแม่บ้าน 1 ห้องรับแขก+รับประทานอาหาร 1 นั่งเล่น 1 ซักรีด 4 ที่จอดรถ     ภายในโครงการมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย อาทิ -สวนสาธารณะโครงการขนาดใหญ่ 1-0-05.6 ไร่ ( 405.6 ตารางวา ) -สวนหย่อม จำนวน 7 แห่ง พื้นที่ 461.8 ตารางวา -ClubHouse ประกอบด้วย  ห้องโถงพักผ่อนส่วนกลาง Double Space สระว่ายน้ำระบบเกลือ Jacuzzi และ ห้องออกกำลังกาย -ควบคุมการเข้าออกด้วยระบบ LPR ระบบอ่านป้ายทะเบียนรถอัตโนมัติ -กล้องวงจรปิดรปภ. 24 ชั่วโมง (Smart home)   สำหรับจุดเด่นโครงการ  เป็นโครงการบ้านใกล้เมือง บนทำเลศักยภาพใจกลางพระราม 2 เชื่อมต่อทุกการเดินทาง ใกล้จุดขึ้น-ลงทางด่วน, 5 นาทีถึงเซ็นทรัลพระราม  2, 15 นาทีถึง พระราม3-สาทร , แบบบ้าน สโมสร สระว่ายน้ำสไตล์ เฟรนช์โคโลเนียล (French Colonial) อีกทั้งอยู่ใกล้ห้างสรรพสินค้ามากมาย อาทิ เซ็นทรัล พลาซา พระราม 2, โลตัส พระราม 2,บิ๊กซี พระราม2,เดอะไบรท์ พระราม 2 รวมไปถึงใกล้สถานศึกษา อาทิ โรงเรียนรุ่งอรุณ ,รร.สวนกุหลาบวิทยาลัย ธนบุรี,โรงเรียนนานาชาติ เบซิส กรุงเทพฯ ,โรงเรียนทวีธาภิเศก บางขุนเทียน  ,โรงเรียนเลิศหล้า กาญจนาภิเษ ,มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี  นอกจากนี้ยังอยู่ใกล้ โรงพยาบาลผู้สูงอายุบางขุนเทียน,โรงพยาบาลนครธน และ โรงพยาบาล บางปะกอก 9 อินเตอร์เนชั่นแนล  เป็นต้น   บทความที่เกี่ยวข้อง Maison Hill สุขุมวิท-ศรีราชา บ้าน French Colonial สิวารมณ์ ปาร์ค วงแหวน – ประชาอุทิศ 7 บ้านเดี่ยวดีไซน์ใหม่สไตล์นอร์ดิก M Life สุขุมวิท–บางปู 87 บ้านแฝดหรูดีไซน์ใหม่
Maison Hill สุขุมวิท-ศรีราชา บ้าน French Colonial ทำเลดี ติด ม. เกษตร

Maison Hill สุขุมวิท-ศรีราชา บ้าน French Colonial ทำเลดี ติด ม. เกษตร

Maison Hill สุขุมวิท-ศรีราชา บ้าน French Colonial ทำเลดี ติด ม. เกษตร ช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ พื้นที่ในแถบตะวันออก โดยเฉพาะในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เป็นอย่างมาก หลายพื้นที่มีการขยายตัวของเขตเมืองอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในแถบศรีราชา จังหวัดชลบุรี ที่อยู่ห่างจากกรุงเทพไม่มาก มีการเดินทางที่สะดวก และมีแหล่งงานรองรับมากมาย ทั้งนิคมอุตสาหกรรมใหญ่ๆ หรืองานภาคการท่องเที่ยวการโรงแรม จึงทำให้ความต้องการในที่อยู่อาศัยเพิ่มมากขึ้น ตลาดอสังหาฯในแถบศรีราชาเองก็คึกคัก เพราะมีผู้พัฒนาเจ้าใหญ่ๆ จากกรุงเทพฯ เข้าไปเปิดโครงการอย่างต่อเนื่องและได้รับการตอบรับอย่างดีเช่นกัน   ครั้งนี้เราเลยจะพามาเยี่ยมชมบ้านตัวอย่างไกลถึง “ศรีราชา” ณ โครงการ “Maison Hill สุขุมวิท-ศรีราชา” ซึ่งเป็นโครงการใหม่ล่าสุดจาก บริษัท เพลินพัฒน์ แอสเสท จำกัด อีกหนึ่งโครงการบ้านที่น่าสนใจบนทำเลศักยภาพใจกลางเมืองศรีราชา ด้วยคอนเซ็ปต์บ้านใกล้ชิดธรรมชาติ โอบล้อมด้วยภูเขาและทะเล พร้อมวิว sunset ในบรรยากาศที่เหมาะกับการพักผ่อน   พูดถึงเรื่องทำเลที่ตั้งของโครงการกันก่อน ตัวโครงการอยู่ห่างจากถนนสุขุมวิทเพียง 100 เมตรโดยประมาณ ซึ่งเป็นทำเลที่เชื่อมต่อไปยังถนนสายสำคัญ เช่น ถนนสุขุมวิท, ถนนมอเตอร์เวย์ (ชลบุรี-พัทยา) อยู่ไม่ไกลจากรถไฟฟ้าความเร็วสูง ทำให้การเดินทางสะดวกมาก ไม่ว่าจะไปพัทยา ระยอง หรือเข้ากรุงเทพฯ ก็ไม่ใช่เรื่องยาก     นอกจากนี้ตัวโครงการยังแวดล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ทั้งแหล่งงานอย่าง นิคมแหลมฉบัง, นิคมไทยออยล์, นิคมปิ่นทอง ฯลฯ อีกทั้งยังเพียบพร้อมไปด้วย สถานศึกษา สถานพยาบาล ห้างสรรพสินค้า คอมมิวนิตี้มอลล์ แหล่งท่องเที่ยวไลฟ์สไตล์มากมาย เช่น เซ็นทรัล ศรีราชา, โรบินสัน ศรีราชา, J-Park, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา, โรงเรียนอัสสัมชัญศรีราชา, โรงเรียนดาราสมุทร, โรงพยาบาลสมิติเวชศรีราชา, โรงพยาบาลพญาไท ศรีราชา, โรงพยาบาลวิภาราม แหลมฉบัง ฯลฯ พร้อมรองรับทุกไลฟ์สไตล์ ตอบโจทย์คนทำงาน และเหมาะสมกับการอยู่อาศัยเลยทีเดียว   โครงการ Maison Hill สุขุมวิท-ศรีราชา เป็นโครงการบ้านแนวราบที่รวมทั้ง ทาวน์โฮม บ้านแฝด และบ้านเดี่ยวไว้ด้วยกัน รวม 176 ยูนิต แบบบ้านสวยในสไตล์ French Colonial เน้นบรรยากาศใกล้ชิดธรรมชาติ ทำให้ภายในโครงการร่มรื่นด้วยพื้นที่สีเขียวของสวนขนาดใหญ่ พร้อมสนามเด็กเล่น และคลับเฮาส์ขนาดใหญ่ ที่รวมทั้ง สระว่ายน้ำระบบน้ำเกลือ ฟิตเนส Co-working Space รวมถึงระบบรักษาความปลอดภัยทันสมัย เช่น เข้า-ออกหมู่บ้านด้วยการสแกนป้ายทะเบียน, CCTV และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่ง Facility ทั้งหมดที่ทางโครงการเตรียมพร้อมไว้ ก็เพื่อรองรับทุกความต้องการของลูกบ้านในหลากหลายเจเนอเรชั่น     บ้านตัวอย่าง Maison Hill สุขุมวิท-ศรีราชา มีแบบบ้านที่สามารถรองรับการใช้งานที่หลากหลาย สามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชันการใช้งานได้ตามต้องการ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวขยายที่มีลูกเพิ่ม หรือครอบครัวใหญ่ที่อยู่พร้อมหน้ากันหลายเจเนอเรชั่น ด้วยพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 100-143 ตร.ม. และมีมากถึง 4 ห้องนอน เชื่อว่าแบบบ้านในโครงการจะถูกใจหลายๆ คนได้ไม่ยาก   บ้านตัวอย่างเราจะพาไปชมในครั้งนี้ มีด้วยกัน 3 หลัง บ้านในโครงการเตรียมพร้อมรองรับการติดตั้ง EV Charger มาไว้เรียบร้อย แบบบ้านทั้ง 3 หลังมีความแตกต่างกันที่พื้นที่ใช้สอยภาพในตัวบ้าน และการจัดฟังก์ชันการใช้งานซึ่งจะมาตอบโจทย์รูปแบบการอยู่อาศัย และขนาดครอบครัวที่ต่างกัน   บ้านหลังแรกเป็นทาวน์โฮมขนาดเล็กสุด ชื่อ Mona พื้นที่ใช้สอย 100 ตร.ม. มี 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ     พอเข้ามาในตัวบ้านแล้ว จะพบกับโถงห้องนั่งเล่น ซึ่งเปิดโล่งเชื่อมต่อพื้นที่ภายในไว้ด้วยกัน ทำให้บรรยากาศภายในบ้านโอ่งโถงดูกว้างขวางขึ้น     ในบ้านตัวอย่างทางโครงการต่อเติมพื้นที่ด้านหลังออกไป ทำให้พื้นที่ใช้สอยเพิ่มมากขึ้น และต่อเติมหลังคาโปร่งแสงช่วยทำให้บ้านสว่างมากขึ้น และน่าอยู่มากๆ   พื้นที่ท่ีเปิดกว้างและติดกับโซนที่ต่อเติม ทางโครงการจัดเป็นมุมซักรีดเพื่อเป็นอีกไอเดียในการตกแต่งบ้านให้สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างสูงสุด และพื้นที่ใต้บันไดของชั้นล่างจะเป็นห้องน้ำ ซึ่งอยู่ถัดจากโถงบันไดขึ้นชั้น 2 นั่นเอง     ขึ้นมาที่บริเวณชั้น 2 จะเป็นแบ่งเป็นห้องนอน 3 ห้อง ห้อง Master Bedroom มีห้องน้ำในตัว พร้อมพื้นที่เล็กๆ หน้าห้องน้ำสำหรับจัดเป็น Walk-in Closet ได้ด้วย       อีก 2 ห้องนอนเล็ก จะใช้ห้องน้ำแชร์ร่วมกันที่บริเวณโถงด้านหน้า ส่วนภายในห้องนอน สามารถจัดตกแต่งใช้สอยตามความต้องการได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นห้องนอนเล็ก ห้องทำงาน หรือห้องพักผ่อนสำหรับสมาชิกภายในบ้าน        หลังต่อมาเป็นทาวน์โฮมอิสระ ชื่อ บ้าน Marine พื้นที่ใช้สอย 130 ตร.ม. หน้ากว้าง 7.5 เมตร แบ่งเป็น4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ จุดเด่นของแบบบ้านทาวน์โฮมอิสสระ คือ ผนังด้านข้างตัวบ้านด้านบนไม่ติดกัน จะมีเพียงผนังบางส่วนเท่านั้นที่ใช้ร่วมกันกับบ้านข้างๆ จึงช่วยเพิ่มความเป็นส่วนตัวให้กับบ้านในรูปแบบทาวน์โฮมมากขึ้น     เข้ามาภายในตัวบ้าน Marine ซึ่งมีขนาดพื้นที่ใช้สอยที่มากขึ้น พื้นที่บริเวณชั้นล่างของตัวบ้านที่นอกจากจะดูกว้างขวางมากขึ้นกว่าบ้านแบบแรกแล้ว ยังมีห้องนอนเล็กในบริเวณชั้นล่างเพิ่มมาอีกห้อง ซึ่งเราสามารถเลือกใช้เป็นห้องนอนสำหรับผู้สูงอายุ หรือใช้เป็นห้องทำงานก็ได้ตามต้องการ และไอเดียในการตกแต่งบ้านของโครงการที่เลือกจะต่อเติมบริเวณหลังบ้านออกไป เป็นพื้นที่ครัว และมุมซักรีดที่เป็นสัดส่วน จึงทำให้บริเวณโถงรับแขกมีพื้นที่กว้างมากยิ่งขึ้น                ขึ้นมาที่บริเวณชั้น 2 พื้นที่ด้านบนก็แบ่งออกเป็นห้องนอน 3 ห้องเช่นกัน โดยที่ Master Bedroom จะอยู่บริเวณโซนด้านหน้าของตัวบ้าน พร้อมห้องน้ำในตัว ซึ่งพื้นที่ใช้สอยภายในห้องกว้างขวางมากพอที่จะมีมุมพักผ่อนภายในห้อง และมีมุมแต่งตัวเสมือน Walk-in Closet บริเวณหน้าห้องน้ำด้วย ที่สำคัญห้องนอนโอ่โถงเปิดรับแสงธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ ทำให้บรรยากาศภายในห้องเหมาะกับการพักผ่อนมากๆ   ในขณะที่อีก 2 ห้องนอนเล็กซึ่งอยู่ในโซนด้านหลังของตัวบ้าน จะถูกแบ่งพื้นที่ใช้สอยออกมาในขนาดพอๆ กัน ซึ่งเราสามารถเลือกตกแต่งได้หลากหลายรูปแบบ โดยที่ห้องนอนเล็กในบ้านตัวอย่าง เลือกใช้เป็นห้องนอนเด็กทั้ง 2 ห้องในสไตล์ที่แตกต่างกัน ซึ่งทำให้เห็นว่าภายในห้องนอนเล็กมีพื้นที่กว้างมากพอในการใช้ประโยชน์ได้อย่างมากมาย          ส่วนหลังสุดท้าย เป็นบ้านแฝดที่มีขนาดพื้นที่ใช้สอยใหญ่ที่สุด ชื่อ Monix มีพื้นที่ใช้สอย 143 ตร.ม. แบ่งเป็น 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ     ด้วยความที่เป็นแบบบ้านที่มีขนาดใหญ่สุด ทำให้พื้นที่ใช้สอยขนาด 143 ตร.ม. ดูโอ่อ่า กว้างขวางกว่าบ้านทุกหลัง ซึ่งหากใครกำลังมองหาบ้านหลังใหญ่หน่อย ที่มีสไตล์เหมือนบ้านเดี่ยว บ้าน Monix น่าจะตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี บริเวณชั้นล่างถูกตกแต่งเป็นพื้นที่เปิดโล่งถึงกัน ทำให้ฟังก์ชันการใช้งานดูสมูธมากขึ้น โถงรับแขกกับพื้นที่รับประทานอาหารอยู่ใกล้กัน ในขณะที่ pantry ครัวก็อยู่ใกล้ๆ อีกด้าน ที่สำคัญครัวของบ้านหลังนี้ เป็นแบบครัวปิด มีประตูกั้นเป็นสัดส่วนชัดเจน เหมาะกับครอบครัวที่ชอบทำครัวหนัก ซึ่งช่วยป้องกันเรื่องกลิ่นรบกวนภายในบ้านได้มากขึ้น  นอกจากนี้ ด้วยลักษณะตัวบ้านแฝดที่ไม่ต้องใช้ผนังร่วมกัน ทำให้มีมุมที่เปิดโล่ง เป็นประตูกระจกบานเลื่อนเปิดรับแสงและวิวสวนจากบริเวณด้านข้าง และด้านหลังของตัวบ้าน ทำให้ภายในบ้านดูโปร่งโล่งมากขึ้น   นอกจากนี้บริเวณชั้นล่างยังมีห้องนอนเล็กอีกหนึ่งห้องบริเวณโซนด้านหน้า ที่เหมาะจะเป็นห้องพักผ่อน, ห้องทำงาน หรือห้องผู้สูงอายุ แต่ในบ้านตัวอย่าง ทางโครงการเลือกตกแต่งเป็นห้องสำหรับน้องแมว ซึ่งถือเป็นอีกไอเดียที่เอาใจทาสแมวได้เป็นอย่างดี         ขึ้นมาที่ชั้น 2 ห้อง Master Bedroom ขนาดใหญ่ เต็มโซนด้านหน้าของบ้าน ทำให้ได้หน้าต่างบ้านใหญ่ที่เปิดรับแสงธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ ประกอบกับพื้นที่บริเวณหน้าห้องน้ำก็จัดเป็น Walk-in Closet ขนาดใหญ่ และยังเหลือพื้นที่ใช้สอยในห้องอีกมากมาย  ในขณะที่ห้องนอนเล็กอีก 2 ห้อง ถูกตกแต่งเป็นห้องนอนเล็กทั้ง 2 ห้อง ในสไตล์ที่ไม่ซ้ำกัน ทำให้เราสามารถเห็นฟังก์ชันการใช้งานที่หลากหลาย และสามารถเก็บเป็นไอเดียไว้ใช้ได้ในอนาคต ซึ่งบริเวณชั้น 2 จะมีห้องน้ำส่วนกลางอีกหนึ่งห้อง ซึ่งจะใช้แชร์กันระหว่างห้องนอนเล็กทั้ง 2 ห้อง           *ส่วนบ้านเดี่ยวของโครงการ จะใช้แบบบ้าน Monix เหมือนกัน แต่ต่างกันตรงที่ขนาดของที่ดิน และบ้านเดี่ยวจะไม่มีการใช้ผนังร่วมกันแบบบ้านแฝดนั่นเอง     Maison Hill สุขุมวิท-ศรีราชา เป็นอีกหนึ่งโครงการบ้านแนวราบที่จะมาตอบโจทย์คนที่กำลังมองหาบ้านหลากหลายกลุ่ม ด้วยขนาดและแบบบ้านที่มีให้เลือกหลายแบบ จึงเหมาะกับครอบครัวตั้งแต่ขนาดเล็ก ไปจนถึงครอบครัวใหญ่ที่มีสมาชิกหลายวัย ประกอบกับทำเลที่ตั้งก็เดินทางสะดวก ใกล้แหล่งงาน ใกล้แหล่งชุมชน ไม่ไกลจากใจกลางเมืองศรีราชา มีความอุดมสมบูรณ์ เพียบพร้อมสำหรับการอยู่อาศัยมากๆ   เหมาะกับกลุ่มคนทำงานในนิคมที่กำลังมองหาบ้านมากกว่าคอนโด เพราะมีพื้นที่ใช้สอยที่มากกว่า แถมยังสามารถปรับฟังก์ชันในตัวบ้านให้ตอบโจทย์การใช้งานส่วนตัวได้ดีกว่า ในราคาเริ่ม 2-4 ล้านบาท* ซึ่งราคาเริ่มแทบไม่หนีจากการซื้อคอนโดบางโครงการในศรีราชาเลยก็ว่าได้ แต่ได้พื้นที่มากกว่า   สำหรับคนที่สนใจ สามารถเข้าชมบ้านตัวอย่างที่โครงการได้ทุกวัน หรือลงทะเบียนล่วงหน้าได้ที่ https://bit.ly/3xpIKOc   บทความอื่นที่เกี่ยวข้อง สิวารมณ์ ปาร์ค วงแหวน – ประชาอุทิศ 76 M Life สุขุมวิท–บางปู 87 บ้านแฝดหรูดีไซน์ใหม่ M Life สุขุมวิท–บางปู 87    
[Preview] ไมซัน ฮิลล์ สุขุมวิท-ศรีราชา บ้านที่เชื่อมทุกไลฟ์สไตล์ แบบ French Colonial

[Preview] ไมซัน ฮิลล์ สุขุมวิท-ศรีราชา บ้านที่เชื่อมทุกไลฟ์สไตล์ แบบ French Colonial

ไมซัน ฮิลล์ สุขุมวิท-ศรีราชา บ้านไมสัน ฮิลล์ บ้านที่เชื่อมทุกไลฟ์สไตล์ บนแบบบ้าน French Colonial   เจ้าของโครงการ   : บริษัท เพลินพัฒน์ แอสเสท จำกัด ที่ตั้งโครงการ      : ซ.เขาน้ำซับ ตำบล ทุ่งสุขรา  อ.ศรีราชา ลักษณะโครงการ  : ทาวน์โฮม ทาวน์โฮมอิสระ บ้านแฝด บ้านเดียว พื้นที่โครงการ  : 22-3-20.1 ไร่ จำนวนยูนิต  : 176 ยูนิต ที่จอดรถ  : 2  คัน ขนส่งสาธารณะ  : รถตู้สาย กรุงเทพ-พัทยา // รถสองแถม // วินมอเตอร์ไซต์ กำหนดการเปิด  : 17-18 ก.พ. 67 สิ่งอำนวยความสะดวก  : สวนสวยขนาดใหญ่, สระว่ายน้ำระบบเกลือ , เข้า-ออกโครงการด้วยระบบสแกนทะเบียน  Auto Access, กล้องวงจรปิดรปภ. 24 ชม. (Smart home) รองรับ EV Ready จุดเด่นโครงการ  : เป็นโครงการบ้านใกล้เมือง บนทำเลศักยภาพใจกลางเมืองศรีราชา ใกล้มหาลัยเกษตรศาสตร์ ศรีราชา และนิคมฯ แหลมฉบัง เพียง 1 นาที ถึงมหาลัยเกษตรศาสตร์ และ 5 นาที ถึงนิคมฯ แหลมฉบัง , ในแบบบ้านสไตล์ เฟรนช์โคโลเนียล (French Colonial) สโมสร สระว่ายน้ำ ราคา  :  เริ่มต้น 2-4 ลบ.    
สิวารมณ์ วิลเลจ (วงแหวน-ชัยพฤกษ์) บ้านแฝด-ทาวน์โฮมพร้อมรองรับ EV ทุกหลัง

สิวารมณ์ วิลเลจ (วงแหวน-ชัยพฤกษ์) บ้านแฝด-ทาวน์โฮมพร้อมรองรับ EV ทุกหลัง

สิวารมณ์ วิลเลจ (วงแหวน-ชัยพฤกษ์) บ้านแฝด-ทาวน์โฮมพร้อมรองรับ EV ทุกหลัง รีวิวฉบับนี้ เราจะพาไปเยี่ยมชมแบบบ้านซีรีส์ใหม่ล่าสุด สไตล์เบอร์เกน นอร์เวย์ ที่โครงการ “สิวารมณ์ วิลเลจ (วงแหวน-ชัยพฤกษ์)” จาก บริษัท สิวารมณ์ เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) หนึ่งในโครงการที่มีแบบบ้านสวย น่ารัก บนทำเลติดถนนบางกรวย-ไทรน้อย ที่จะมาตอบโจทย์ครอบครัวที่กำลังตามหาบ้านหลังใหม่เพื่อการขยับขยาย หรือคนที่ต้องการบ้านหลังแรกสำหรับการเริ่มต้นครอบครัวใหม่ เพราะที่โครงการ “สิวารมณ์ วิลเลจ (วงแหวน-ชัยพฤกษ์)” มีแบบบ้านใหม่เลือกทั้งบ้านแฝดและทาวน์โฮม พร้อมรองรับทุกสไตล์ของการใช้ชีวิตที่สมบูรณ์   ด้วยแรงบันดาลใจที่ได้มาจากเมืองเบอร์เกน ประเทศนอร์เวย์ ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวชื่อดังแห่งหนึ่งของยุโรป ทางโครงการจึงนำมาใช้เป็นคอนเซปต์หลักในการออกแบบตัวบ้านที่เน้นการใช้โทนสีที่สดใส และมีเอกลักษณ์ด้วยหลังคาทรงจั่ว พร้อมคิ้วหน้าต่างทรงยุโรป ทำให้ได้บรรยากาศมีชีวิตชีวาเหมือนอยู่ในชุมชนเล็กๆ ของยุโรปอย่างไรอย่างนั้น ด้วยดีไซน์ที่โดดเด่นตั้งแต่ซุ้มประตูทางเข้าที่มีรูปทรงคล้ายประภาคารสูง พร้อมป้อมรักษาความปลอดภัย เข้าออกด้วยระบบ Easy Pass และ CCTV ที่บริเวณประตูทางเข้าซึ่งจะช่วยเสริมความปลอดภัยให้ลูกบ้านอุ่นใจได้อย่างเต็มที่     ถัดเข้ามาจากซุ้มประตูเราก็จะเห็นพื้นที่สวนและคลับเฮาส์ส่วนกลางที่ตกแต่งสไตล์สวนยุโรป เด่นด้วยประติมากรรมหัวเรือไวกิ้งขนาดใหญ่ พร้อมดอกไม้มากมายซึ่งทำให้บรรยากาศภายในโครงการมีชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก พื้นที่ของคลับเฮ้าส์รวบรวมทั้ง สระว่ายน้ำ ฟิตเนส ห้องเด็กเล่น และ Co-working Space ไว้อย่างครบครัน นอกจากนี้พื้นที่สวนส่วนกลางขนาดใหญ่กว่า 2 ไร่ ทางโครงการยังให้ความสำคัญกับการส่งเสริมพัฒนาการของเด็กๆ ด้วยเครื่องเล่นสำหรับเด็กสีสันสดใสมากมาย และยังส่งเสริมให้ลูกบ้านมีสุขภาพที่ดีด้วยอุปกรณ์ออกกำลังกายกลางแจ้ง สนามบาสเก็ตบอล และลู่จ็อกกิ้งรอบๆ บ่อน้ำพุขนาดใหญ่ ซึ่งพื้นที่ส่วนกลางทั้งหมดนี้สามารถตอบโจทย์ได้ทุกความต้องการของทุกคนในครอบครัวได้อย่างเต็มที่แน่นอน   แบบบ้านใหม่สดใสในสไตล์เบอร์เกน โครงการ “สิวารมณ์ วิลเลจ (วงแหวน-ชัยพฤกษ์)” มีแบบบ้านให้เลือกทั้ง ทาวน์โฮม, บ้านแฝด และอาคารพาณิชย์ รวม 242 ยูนิต ซึ่งแบบบ้านตัวอย่างที่เราจะพาไปชมในครั้งนี้ มีด้วยกัน 2 หลัง นั่นคือ บ้านแฝด Flamsbana และ บ้านทาวน์โฮม Lofoten ความพิเศษของบ้านในโครงการนี้จะเป็นที่แรกของสิวารมณ์ที่พร้อมรองรับ EV Charger ทุกหลัง และ มีทั้ง Smart Security พร้อมสัญญาณกันขโมย และ IP Camera ติดตั้งให้เสร็จเพื่อความปลอดภัยของลูกบ้าน   บ้านตัวอย่างหลังแรกเราเริ่มต้นกันด้วย บ้าน Flamsbana บ้านแฝด 2 ชั้น พื้นที่ใช้สอย 135 ตารางเมตร หน้ากว้าง 10.2 เมตร พร้อมฟังก์ชัน 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 1 ห้องครัว 2 ที่จอดรถ บ้านเดี่ยวหลังคาทรงจั่วสีสันสดใสนี้ เชื่อมติดกันด้วยคานบริเวณโรงจอดรถ ทำให้ไม่ต้องใช้กำแพงบ้านร่วมกัน และทางโครงการได้ออกแบบพื้นที่ระหว่างกำแพงทั้งสองหลังตกแต่งต่อเติมเป็นห้องซักรีดให้เราได้เห็นภาพการใช้สอยประโยชน์จากพื้นที่ได้มากขึ้นด้วย   มาดูพื้นที่ภายในบ้านบริเวณชั้น 1 กันก่อน ตั้งแต่บริเวณด้านหน้าที่สามารถจอดรถได้ 2 คัน และยังมีพื้นที่สวนล้อมตัวบ้านไว้ถึง 3 ด้าน ช่วยเพิ่มวิวสวนให้กับตัวบ้านได้มากขึ้น พื้นที่ภายในตัวบ้าน ต้อนรับด้วยมุมรับแขกที่โอ่โถง เชื่อมต่อกับบริเวณรับประทานอาหารในสไตล์ Open Plan ที่เราสามารถจัดสรรการใช้พื้นที่ได้ตามใจ ด้วยลักษณะของบ้านแฝดที่ไม่ต้องใช้ผนังร่วมกับใคร บริเวณรับประทานอาหาร และพื้นที่นั่งเล่น จึงมีหน้าต่างและประตูเชื่อมต่อกับสวนบริเวณด้านข้างของบ้านและทำให้ภายในบ้านสว่างด้วยแสงธรรมชาติได้อย่างเต็มที่   ครัวในบ้านเป็นครัวปิดให้ความเป็นสัดส่วน ซึ่งมีประตูเชื่อมต่อไปยังพื้นที่ซักล้างด้านข้างของบ้าน ซึ่งทางโครงการกั้นเป็นห้องซักรีดให้ความเป็นสัดส่วนน่าใช้งานมากๆ   ในขณะที่ห้องโซนด้านหลังของชั้น 1 เป็นห้องเอนกประสงค์ที่เราสามารถเลือกตกแต่งเป็นห้องนอน ห้องทำงาน หรือห้องอื่นๆ ก็ได้ตามความต้องการ ด้วยขนาดของห้องที่กำลังพอดี และมีหน้าต่างเปิดรับแสงได้ดีทั้ง 2 ด้าน จึงเป็นพื้นที่ที่เราสามารถเลือกปรับเปลี่ยนฟังก์ชันได้มากมาย ขึ้นมาที่บริเวณชั้น 2 จากโถงกลางจะแบ่งพื้นที่ด้านบนออกเป็น 3 ห้องนอน และ 1 ห้องน้ำแยก โดยที่ห้องนอนเล็กทั้ง 2 ห้องจะใช้ห้องน้ำร่วมกัน ในขณะที่ห้อง Master Bedroom จะมีห้องน้ำในตัว   ห้อง Master Bedroom เป็นห้องโซนด้านหน้าของตัวบ้าน ดังนั้นจะได้ห้องที่มีขนาดหน้ากว้างเต็มพื้นที่ และเปิดรับแสงธรรมชาติได้เต็มที่ พื้นที่ภายในห้องกว้างขวางมาก เราสามารถวางเตียง 6 ฟุตได้สบายๆ และสามารถ Built-in พวกตู้เสื้อผ้า ตู้เก็บของเพิ่มเติมได้อีก ซึ่งฟังก์ชันในบ้านตัวอย่างทางโครงการเพิ่มฉากกั้นห้องให้มีพื้นที่สำหรับ Walk-in Closet บริเวณหน้าห้องน้ำได้เป็นสัดส่วน เหมาะกับการใช้งานในชีวิตประจำวันได้อย่างลงตัว ขยับมาทางโซนด้านหลังแบ่งเป็น 2 ห้องนอนเล็กที่มีขนาดเท่าๆ กัน โดยสามารถตกแต่งให้เป็นห้องนอนสำหรับเด็ก ก็สามารถวางเตียงขนาด 3.5 ฟุตได้กำลังดี หรือจะเพิ่มฟังก์ชันด้วยการ Built-in โต๊ะ ตู้ ได้ตามการใช้งาน ในขณะเดียวกันเราก็สามารถปรับพื้นที่การใช้งานให้เป็นห้องทำงาน ห้องแต่งตัวเพิ่มเติม หรือห้องออกกำลังกายก็ยังได้ ด้วยความที่ภายในห้องมีเพดานสูงถึง 2.9 เมตร และมีหน้าต่างบ้านใหญ่ ทำให้บรรยากาศภายในห้องไม่อึดอัดเลย   บ้านตัวอย่างหลังต่อไป บ้าน Lofoten ทาวน์โฮม 2 ชั้น พื้นที่ใช้สอย 125 ตารางเมตร หน้ากว้าง 5.4 เมตร ขนาด 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ บริเวณชั้น 1 มีพื้นที่นั่งเล่นหรือมุมรับแขกเชื่อมต่อยาว ลึกเข้าไปถึงด้านหลัง ซึ่งกั้นลานซักล้างด้านหลังบ้านด้วยประตูกระจกบานเลื่อน ลานซักล้างด้านหลังทางโครงการลงเสาเข็มไว้พร้อมรองรับการต่อเติมทั้งหลังคา หรือต่อเติมเป็นห้องครัวเพิ่มเติมแล้ว       ห้องนอนบริเวณชั้น 1 เป็นห้องที่อยู่ในโซนด้านหลังของตัวบ้าน มีหน้าต่างเปิดรับแสงและระบายอากาศได้ และอีกเช่นกันที่เราสามารถปรับการใช้พื้นที่ของห้องนี้ให้เป็นห้องทำงาน ห้องเกม หรือห้องอื่นๆ ได้ตามไลฟ์สไตล์ของเจ้าของบ้านได้เลย   ขึ้นมาที่ชั้น 2 การแบ่งพื้นที่ยังคงให้ Master Bedroom อยู่โซนด้านหน้าของบ้าน และแบ่งอีก 2 ห้องนอนเล็กไว้ที่โซนด้านหลัง Master Bedroom ยังคงดีไซน์ให้มีห้องน้ำในตัว และสามารถจัดฟังก์ชั่นการใช้งานได้เป็นสัดส่วน ทั้งการวางเตียงนอนขนาดใหญ่ 6 ฟุต แล้วก็ยังคงมีพื้นที่เพียงพอสำหรับตู้เสื้อผ้า ชั้นเก็บของ และโต๊ะเครื่องแป้งได้สบายๆ ส่วนห้องน้ำภายในห้องนอน ก็แบ่งพื้นที่ส่วนแห้งส่วนเปียกไว้ให้แล้ว รองรับการติดตั้งกระจกฉากกั้นอาบน้ำเพิ่มเติมได้   ส่วนห้องนอนเล็กอีก 2 ห้องมีขนาดพอๆ กัน และแชร์ห้องน้ำที่อยู่ด้านหน้าด้วยกัน ในห้องนอนเล็กทางโครงการให้ไอเดียวการตกแต่งเป็นห้องนอนทั้ง 2 ห้องในสไตล์ที่แตกต่างกัน ห้องแรกน่ารักๆ แบบห้องนอนเด็กเล็ก และอีกห้องมีสไตล์ที่โตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาหน่อย แต่ทั้งนี้ เราก็สามารถเลือกใช้ประโยชน์ของพื้นที่ในห้องได้ตามจำนวนสมาชิกในครอบครัว หรือตามความต้องการอื่นๆ ได้เช่นกัน   ทำเลดี ติดถนนใหญ่ เดินทางสะดวก โครงการ “สิวารมณ์ วิลเลจ (วงแหวน-ชัยพฤกษ์)” ปักหมุดอยู่ในทำเลที่ดี ติดถนนใหญ่ บางกรวย-ไทรน้อย ซึ่งเชื่อมต่อกับถนนสายสำคัญหลายสาย เช่น ถนนวงแหวนรอบนอกฝั่งตะวันตก (ถนนกาญจนาภิเษก), ถนนชัยพฤกษ์, ถนนรัตนาธิเบศร์, ถนนราชพฤกษ์ และยังอยู่ไม่ไกลจากระบบขนส่งมวลชนอย่างรถไฟฟ้าสายสีม่วง สถานีคลองบางไผ่ ทำให้การเดินทางไปสู่แหล่งงานมีความสะดวก และง่ายมากยิ่งขึ้น   นอกจากนี้พื้นที่รอบๆ โครงการยังเพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก เหมาะสำหรับการอยู่อาศัย ด้วยความเป็นแหล่งชุมชนที่อยู่อาศัย ใกล้ๆ โครงการจึงมีทั้ง ร้านค้า ร้านอาหาร ร้านสะดวกซื้อมากมาย รวมถึงตลาดสด, คลินิก, ร้านขายยา ก็พร้อมรองรับทุกความต้องการ ในขณะเดียวกันห้างสรรพสินค้าชั้นนำอย่าง Central West Gate, IKEA บางใหญ่, Lotus, Makro ก็มีครบทุกแบรนด์ เช่นเดียวกับ สถานศึกษาและสถานพยาบาลก็มีอยู่ในบริเวณใกล้ๆ พร้อมสำหรับการดูแลสุขภาพของทุกคน ด้วยดีไซน์ของตัวบ้าน บนทำเลศักยภาพ ในราคาเริ่มต้นเพียง 2.45-3.99 ล้านบาท*  โครงการสิวารมณ์ วิลเลจ (วงแหวน-ชัยพฤกษ์) จึงเหมาะสำหรับคนที่กำลังมองหาบ้านเพื่อสร้างครอบครัว หรือขยายบ้านใหม่ เพราะสามารถตอบโจทย์ของสมาชิกครอบครัวได้อย่างรอบด้าน และมีแบบบ้านหลายขนาดให้เลือก ใครที่สนใจสามารถเข้าเยี่ยมชมโครงการได้แล้ว พร้อมข้อเสนอพิเศษที่ทางโครงการจัดเตรียมไว้ให้ ลงทะเบียนรับส่วนลดพิเศษ คลิกเลย http://sivaromvillagewongwaen-chaiyapruek.com/ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ โทร. 063 212 2323 บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง พรีวิวโครงการ สิวารมณ์ วิลเลจ (วงแหวน-ชัยพฤกษ์) M Life สุขุมวิท–บางปู 87 บ้านแฝดหรูดีไซน์ใหม่ สิวารมณ์ เนเจอร์พลัส 2 (สุขุมวิท-บางปู)
อรสิรินโฮลดิ้ง เตรียมขาย IPO 406.5 ล้านหุ้นใน SET หลังก.ล.ต. นับหนึ่งไฟลิ่ง

อรสิรินโฮลดิ้ง เตรียมขาย IPO 406.5 ล้านหุ้นใน SET หลังก.ล.ต. นับหนึ่งไฟลิ่ง

ก.ล.ต. นับหนึ่งไฟลิ่ง อรสิริน โฮลดิ้ง ดีเวลลอปเปอร์จากเชียงใหม่ เตรียมขายไอพีโอ 406.5 ล้านหุ้น เข้า SET ผนึก APM ที่ปรึกษาการเงิน เดินสายโรดโชว์นำเสนอข้อมูลแก่กองทุน นักลงทุนสถาบันต่างประเทศสิงคโปร์ ฮ่องกง พร้อมพบนักลงทุนรายย่อย 15 จังหวัดทั่วประเทศ มั่นใจพื้นฐานแกร่ง นักลงทุนตอบรับดี   ดร.สมภพ ศักดิ์พันธ์พนม ประธานกรรมการ บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด หรือ APM ในฐานะที่ปรึกษาการเงิน บริษัท อรสิริน โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ ORN เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) ได้เริ่มนับหนึ่งแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ หรือ ไฟลิ่ง เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (ไอพีโอ) ของ ORN ในวันที่ 23 สิงหาคม 2566  เป็นที่เรียบร้อยแล้ว   โดยบริษัทจะเดินหน้านำเสนอข้อมูล (โรดโชว์) ให้กับกองทุน นักลงทุนสถาบัน ต่างประเทศ ได้แก่ สิงคโปร์ เขตบริหารพิเศษฮ่องกง ในวันที่ 23-25 สิงหาคม 2566 สำหรับการนำเสนอข้อมูลในครั้งนี้คาดว่าจะได้รับความสนใจจากกองทุนต่างประเทศเป็นอย่างดี  เนื่องจาก ORN เป็นบริษัทที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์แนวราบและแนวสูงในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่มายาวนานกว่า 17 ปี และมีศักยภาพในการเติบโตอย่างมั่นคง ด้านนายสมศักดิ์ ศิริชัยนฤมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร APM กล่าวว่า ปัจจุบัน อรสิริน  หรือ ORN มีทุนจดทะเบียน 1,500 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 1,500 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาทและมีทุนที่เรียกชำระแล้ว 1,093.50 ล้านบาท โดยจะเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 406.50 ล้านหุ้น หรือ 27.10% ของทุนชำระแล้วหลัง IPO และจะนำหุ้นสามัญทั้งหมดเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)   โดยหลังจากนี้ เตรียมเดินหน้านำเสนอข้อมูลธุรกิจของบริษัท พร้อมสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนกลุ่มต่างๆ และผู้ที่สนใจ โดยจะทำการโรดโชว์ในประเทศทั้งหมด 15 จังหวัดในเดือนกันยายน-ตุลาคม 2566  รวมถึงนำเสนอข้อมูลรายละเอียดหลักทรัพย์ แก่เจ้าหน้าที่นักวิเคราะห์ เจ้าหน้าที่การตลาด ณ ห้องค้าบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำ และคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ หมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ภายในปีนี้   ขณะที่นายปรีดิกร บูรณุปกรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อรสิริน โฮลดิ้ง จํากัด (มหาชน) หรือ ORN กล่าวว่า การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ถือเป็นก้าวสำคัญในการขยายธุรกิจของบริษัทให้มีความแข็งแกร่ง เสริมสร้างศักยภาพทางการเงิน เพื่อรองรับการพัฒนาโครงการใหม่ในอนาคต   ปัจจุบัน ORN ประกอบธุรกิจการลงทุนถือหุ้นบริษัทอื่น (Holding Company) มีกลุ่มธุรกิจหลักคือ การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์โครงการแนวราบ แนวสูง ประเภทที่อยู่อาศัยเพื่อขาย บนทำเลคุณภาพจังหวัดเชียงใหม่ โดยมีโครงการที่อยู่ระหว่างการขายและการพัฒนา ณ วันที่ 31 มี.ค. 2566 จำนวนรวม 18 โครงการ ภายใต้แบรนด์สินค้า ได้แก่ THE ESCAPE , HABITAT , BELIVE , ORNSIRIN , ORNSIRIN VILLE , URBAN MYX , THE ASTRA , ARISE และ THE NEXT มูลค่าขายโครงการรวมประมาณ 15,533 ล้านบาท มีมูลค่าคงเหลือขายรวมประมาณ 2,329 ล้านบาท เป็นที่อยู่อาศัยที่สร้างเสร็จแล้วหรือที่อยู่ระหว่างก่อสร้างที่เปิดขายแล้ว แบ่งเป็นมูลค่าคงเหลือขายโครงการแนวราบประมาณ 712 ล้านบาท และโครงการแนวสูงประมาณ 1,617 ล้านบาท รวมถึงมีที่ดินรอการพัฒนาหรืออยู่ระหว่างก่อสร้างที่ยังไม่เปิดขายรวมประมาณ 3,850 ล้านบาท บริษัทยังคงมุ่งเน้นเดินหน้าสร้างการเติบโตต่อเนื่อง เตรียมแผนขยายโครงการบนทำเลคุณภาพ ชูกลยุทธ์พัฒนาที่อยู่อาศัย ด้วยการออกแบบฟังก์ชันและนวัตกรรมการอยู่อาศัยส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ลูกบ้านทุกโครงการ ตอบโจทย์ความต้องการกลุ่มลูกค้าระดับกลาง-บน พร้อมก้าวสู่การเป็นผู้นำ ผู้พัฒนาอสังหาฯภูมิภาคอย่างแข็งแกร่ง   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -อรสิริน ดีเวลลอปเปอร์รายแรกของภาคเหนือ เตรียม IPO ใน SET  ปี 66
[PR News] “ณ วีรา รามอินทรา” พร้อมเปิดชมห้องตัวอย่างจริงครั้งแรก แถมโปรส่วนลด 200,000 บาท

[PR News] “ณ วีรา รามอินทรา” พร้อมเปิดชมห้องตัวอย่างจริงครั้งแรก แถมโปรส่วนลด 200,000 บาท

ณวรางค์ แอสเซท ได้ฤกษ์เปิดตัวโครงการ ณ วีรา รามอินทรา มูลค่า 550 ล้าน ภายใต้แนวคิด “ให้คุณเลือกใช้ชีวิตในแบบที่ใช่ได้ทุกวัน ..CRAFT YOUR EVERYDAY” คอนโดฯ ใหม่ให้ครบเกินคุ้ม ย่านลาดปลาเค้าใกล้สถานีรถไฟฟ้าสายสีชมพู แค่ 3 นาที พร้อมเปิดชมห้องตัวอย่างครั้งแรก ด้วยราคาเริ่มต้น 1.49 ล้าน แถมส่วนลดสูงสุด 200,000 บาท ชูจุดเด่นทำเลทองเพื่อการอยู่อาศัย ตอบโจทย์ทั้งการอยู่อาศัยจริง และลงทุนปล่อยเช่า   นายอภิภู พรหมโยธี  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ณวรางค์ แอสเซท จำกัด  เปิดเผยว่า ได้เตรียมเปิดตัวโครงการ ณ วีรา รามอินทรา คอนโดมิเนียมโครงการใหม่ล่าสุดของบริษัทพร้อมให้ชมห้องตัวอย่างครั้งแรกในวันที่ 26 -27 ส.ค.นี้ โดยเปิดขายห้องชุดในราคาเริ่มต้นเพียง 1.49 ล้านบาท และยังจัดโปรโมชั่นต้อนรับการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ด้วยส่วนลดสูงสุด 200,000 บาท สำหรับผู้ลงทะเบียนผ่านทางเว็บไซต์​ https://navarangasset.com/projects/naveera-ramintra/   สำหรับโครงการ  ณ วีรา รามอินทรา ตั้งอยู่บริเวณซอยลาดปลาเค้า 72 ใกล้สถานีรถไฟฟ้าสายสีชมพู สถานีลาดปลาเค้า เพียง 3 นาที บนเนื้อที่กว่า 1 ไร่ มูลค่า 550 ล้านบาท มีจำนวน 218 ยูนิต พัฒนาภายใต้แนวคิด “ให้คุณเลือกใช้ชีวิตในแบบที่ใช่ได้ทุกวัน ..CRAFT YOUR EVERYDAY” คอนโดฯ ใหม่ให้ครบเกินคุ้ม ด้วยการดีไซน์ห้องที่ลงตัวเพื่อการอยู่อาศัยอย่างมีความสุข พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยยุคใหม่ อาทิ คลับเฮ้าส์สองชั้นที่มี Co-working space ฟิตเนสวิวธรรมชาติ รูฟท้อป สระว่ายน้ำกลางแจ้ง ลานบาร์บีคิว   นายอภิภู กล่าวว่า โครงการ ณ วีรา รามอินทรา ตั้งอยู่บนทำเลทองย่านลาดปลาเค้า เพราะนอกจากจะอยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้าสายสีชมพู สถานีลาดปลาเค้า ซึ่งสามารถเดินทางเชื่อมต่อไปยังรถไฟฟ้าสายสีเขียว เพื่อมุ่งสู่ทุกจุดหมายในกรุงเทพฯ ได้อย่างสะดวกสบายแล้ว ยังใกล้กับแหล่งการศึกษาชั้นนำ อาทิ มหาวิทยาลัยศรีปทุมและมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ซึ่งใช้เวลาเดินทางเพียงแปดถึงสิบห้านาทีเท่านั้น ใกล้แหล่งช้อปปิ้งชั้นนำ ทั้งศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า คอมมูนิตี้มอลล์ ที่ใช้ระยะเวลาเดินทางเพียงไม่กี่นาที ใกล้กับสถานีราชการและแหล่งงานต่าง ๆ มากมายด้วย ความต้องการอยู่อาศัยของคนยุคปัจจุบัน ยังคงคำนึงถึงเรื่องทำเลที่ตั้ง ซึ่งต้องเดินทางสะดวก สามารถเชื่อมต่อกับบริการรถสาธารณะอย่างรถไฟฟ้าสายปัจจุบัน    สำหรับโครงการ  ณ วีรา รามอินทรา นับว่าเป็นโครงการที่ตอบโจทย์ความต้องการดังกล่าว เพราะใกล้รถไฟฟ้าสายสีชมพู ที่เชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีเขียว หรือรถไฟฟ้าบีทีเอส ในอนาคตยังจะเชื่อมต่อสายสีน้ำตาลและสีม่วงด้วย ซึ่งบริษัทตั้งใจพัฒนาดังกล่าวเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยคุณภาพ ตอบโจทย์ความต้องการอยู่อาศัยของกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งเป็นผู้เริ่มต้นชีวิตใหม่ นักศึกษา ผู้ที่อยู่ย่านลาดปลาเค้าและต้องการขยับขยายจากบ้านเดิมแต่ยังรักในทำเลที่คุ้นเคย รวมทั้งกลุ่มนักลงทุนที่มองหาความคุ้มค่าสมราคา เพราะสามารถซื้อและปล่อยเช่าให้กับกลุ่มเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มนักเรียน นักศึกษา หรือกลุ่มคนทำงานในบริเวณใกล้เคียงได้ด้วย โครงการมีห้องทั้งหมด 218 ห้อง โดยมีห้องทั้งหมด 5 แบบ ได้แก่ TYPE A  :  1 BEDROOM              22.07 -22.87 SQ.M. TYPE B  :  1 BEDROOM              26.42-27.34  SQ.M. TYPE C  :  1 BEDROOM PLUS   35.13-35.74   SQ.M. TYPE D1  :  2 BEDROOM            41.04            SQ.M. TYPE D2  :  2 BEDROOM            41.72            SQ.M.   โดยทุกห้องจะออกแบบในสไตล์โมเดิร์นมาพร้อมกับเฟอร์นิเจอร์แบบครบครัน ภายในวันงานโครงการมีโปรโมชั่น จองพร้อมทำสัญญาในงานรับ Voucher Central มูลค่า 5,000 – 10,000 บาท พิเศษเฉพาะในงานวันที่ 26 -27 ส.ค.นี้ เท่านั้น   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ณวรางค์ แอสเซท ได้แรงหนุนสายสีชมพูสร้างใกล้เสร็จ ส่ง “ณ รีวา รามอินทรา” รับลูกค้าย่านลาดปลาเค้า -“ณวรางค์ แอสเซท” กางแผน 3 ปี ผุดโปรเจ็คต์ใหม่กว่า 5,000 ล้าน พร้อมเปิดตัว “ณ วีรา พหลฯ-อารีย์” คอนโดฯ เพื่อคนรุ่นใหม่ วัยทำงาน
เอพี ไทยแลนด์ เปิดตัว “THE ADDRESS สยาม-ราชเทวี” โปรเจ็กต์ร่วมทุน เพรสทีจ-ลักซ์ คอนโด กับ มิตซูบิชิ เอสเตท

เอพี ไทยแลนด์ เปิดตัว “THE ADDRESS สยาม-ราชเทวี” โปรเจ็กต์ร่วมทุน เพรสทีจ-ลักซ์ คอนโด กับ มิตซูบิชิ เอสเตท

เอพี ไทยแลนด์ พร้อมเผยโฉม THE ADDRESS สยาม-ราชเทวี เพรสทีจ-ลักซ์ คอนโดมิหนึ่งเดียว ภายใต้การร่วมทุนกับ มิตซูบิชิ เอสเตท ชูจุดเด่น เพียง 150 เมตร จากสถานีรถไฟฟ้า BTS ราชเทวี กับคอนเซ็ปต์ Create Your Own Etiquette - วิถีแห่งที่สุดของชีวิตสุนทรียะในแบบคุณ กับ 3 วิธีคิดในการออกแบบที่รังสรรค์จากความเข้าใจชีวิตเหนือระดับใจกลางเมือง   นางสาวกมลทิพย์ บำรุงชาติอุดม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานธุรกิจคอนโดมิเนียม บริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ได้เปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ “THE ADDRESS สยาม-ราชเทวี” เพรสทีจ-ลักซ์ ซึ่งเป็นคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ THE ADDRESS โครงการเดียวที่พัฒนา ภายใต้การร่วมทุนกับทางบริษัท มิตซูบิชิ เอสเตท จำกัด (มหาชน) (บริษัทในเครือมิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป)  มูลค่าโครงการ 8,600 ล้านบาท  อยู่ห่างเพียง 150 เมตรจากสถานีรถไฟฟ้า BTS ราชเทวี THE ADDRESS สยาม-ราชเทวี ถือเป็นคอนโดมิเนียมที่อยู่ในพอร์ตสินค้าระดับเพรสทีจ–ลักซ์ที่บริษัทฯ ไม่ได้เปิดตัวมาเป็นเวลายาวนาน ซึ่งการเฟ้นหาที่ดินใจกลางเมือง ที่ตอบโจทย์ทั้งคุณค่าและมูลค่าถือเป็นคีย์สำคัญในการพัฒนาคอนโดมิเนียมแบรนด์ THE ADDRESS โดยโครงการ THE ADDRESS สยาม–ราชเทวี พัฒนาขึ้นจากความเข้าใจถึงการใช้ชีวิตคุณภาพทุกองค์ประกอบ พร้อมส่งมอบการพักอาศัยที่สมบูรณ์ หนึ่งเดียวบนทำเลมากมูลค่า ในย่านสยามเชื่อมต่อราชเทวี ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Create Your Own Etiquette - วิถีแห่งที่สุดของชีวิตสุนทรียะในแบบคุณ” กับ 3 วิธีคิดในการออกแบบที่รังสรรค์จากความเข้าใจชีวิตเหนือระดับใจกลางเมือง ได้แก่ 3 วิธีคิดปั้น “THE ADDRESS สยาม-ราชเทวี” 1.SOPHISTICATION DESIGN ตั้งใจออกแบบตั้งแต่ภายนอก จนถึงพื้นที่ภายในทุกมิติ ด้วยการออกแบบพื้นที่ภายในห้องพักแบบพิเศษให้มีส่วน Cantilever ที่ยื่นออกมาเพื่อเปิดมุมมองได้กว้างกว่าเดิม รวมถึงพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่กว่า 4 ไร่ สู่การรับวิวสวยของทัศนียภาพใจกลางทำเลราชเทวีได้ถึง 360 องศาจาก The Sky Facilities ชั้น 50 เพิ่มสุนทรียะแห่งการใช้ชีวิตในอาคารที่สูงที่สุดในราชเทวี ที่ให้ความรู้สึกที่พิเศษ 2.BEST QUALITY & FINEST MATERIALS วัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ใช้ในโครงการ ได้รับการเลือกเฟ้นจากผู้ผลิต และแหล่งที่ดีที่สุดจากทั่วโลก สะท้อนความประณีตในการใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็น หินอ่อน Palissandro Bluette และ หินอ่อน Venice Grey ที่มีลวดลายสวยงามหรูหรา เพิ่มความพิเศษอันเป็นเอกลักษณ์ในพื้นที่ส่วนกลางแต่ละแห่ง  รวมถึงหิน Limestone  หินสีขาวที่มีความพิเศษ โดยนำมากรุส่วน Façade ด้านหน้าของตึก   นอกจากนี้ ยังมีหินอ่อน Statuario (สตาตูอาริโอ้) เนื้อหินสีขาวแทรกด้วยเส้นแร่หนาบางสีเทาอ่อน ซึ่งเป็นหินที่โปรดปรานของเหล่าประติมากร ที่ถูกนำมาต่อเป็นลวดลายบุ๊คแมกซ์ขนาดใหญ่ในส่วนของ The Grande Chamber ล็อบบี้ต้อนรับ การเลือกใช้ผ้าบุจากแบรนด์ระดับโลก Hermès Furnishing Fabrics and Wallpapers สะท้อนความลักชัวรีที่มีเอกลักษณ์ นำมาใช้ในงานตกแต่งพื้นที่ส่วนกลางในส่วน The Sky Chamber อาทิ ชุดเฟอร์นิเจอร์ Signature Arm Chair และผนังหลักของห้อง ที่พร้อมเติมเต็มไลฟ์สไตล์ที่หรูหราเฉพาะตัวของผู้เป็นเจ้าของได้อย่างชัดเจน 3.PRECIOUS LOCATION ตั้งอยู่ในโลเคชันมากคุณค่าและมูลค่าใจกลางเมือง บนตำแหน่งที่ดินที่ดีที่สุดในย่านสยามเชื่อมต่อราชเทวี เพียง 150 เมตร จากสถานีรถไฟฟ้า BTS ราชเทวี และไม่ไกลจากรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ สถานีพญาไท ใกล้ศูนย์กลางธุรกิจสำคัญ ใจกลางย่านชอปปิง ไลฟ์สไตล์ และศูนย์กลางย่านสถานศึกษา โดยโครงการพร้อมเปิดให้ชมทุกพื้นที่อย่างเป็นทางการในวันที่ 26 - 27 สิงหาคมนี้  ดีไซน์เพื่อชีวิตระดับเพรสทีจ - ลักซ์ ลงทะเบียนนัดหมายล่วงหน้า รับส่วนลดสูงสุด 1,000,000 บาท 1 ห้องนอน 35 ตารางเมตร พร้อมพาโนรามิควิว ราคาเริ่มต้น 8.29 ล้านบาท   สำหรับข้อมูลโครงการ THE ADDRESS สยาม–ราชเทวี ตั้งอยู่บนที่ดินขนาด 3-1-55 ไร่  มูลค่าโครงการ 8,600 ล้านบาท ที่พักอาศัยสูง 50 ชั้น จำนวนเรสซิเดนส์ทั้งสิ้น 880 ยูนิต ประกอบด้วยห้องทั้งหมด 5 รูปแบบ ได้แก่ 1.ห้องชุด 1 ห้องนอน ขนาด 31 - 35 ตารางเมตร 2.ห้องชุด 1 ห้องนอน (ดูเพล็กซ์) ขนาด 50 ตารางเมตร 3.ห้องชุด 2 ห้องนอน ขนาด 51.5 - 69.5 ตารางเมตร 4.ห้องชุด 2 ห้องนอน (ดูเพล็กซ์) ขนาด 65 ตารางเมตร 5.ห้องชุด 3 ห้องนอน ขนาด 86 ตารางเมตร   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เอพี ไทยแลนด์ มิตซูบิชิ เอสเตท 10 ปีกับผลงานชิ้นโบว์แดง 24 โครงการร่วมทุน มูลค่ากว่า 1 แสนล้านบาท
เสนา นำร่องแนวคิดบ้านพลังงานเป็นศูนย์ เปิดตัว “เสนา เวล่า สุขุมวิท – บางปู”

เสนา นำร่องแนวคิดบ้านพลังงานเป็นศูนย์ เปิดตัว “เสนา เวล่า สุขุมวิท – บางปู”

เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ เดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่ชูแนวคิดบ้านพลังงานเป็นศูนย์ เตรียมส่ง “เสนา เวล่า สุขุมวิท - บางปู” ทาวน์โฮม ฟังก์ชันใหม่ ติดตั้งโซลาร์เซลล์ ช่วยประหยัดค่าไฟสูงสุด 25 ปี พร้อมแนวคิด geo fit+ จากญี่ปุ่นที่นำมาปรับใช้ให้เหมาะกับการอยู่อาศัยของคนไทย และนวัตกรรมประหยัดพลังงาน มุ่งสู่การสร้างบ้านพลังงานเป็นศูนย์ ลดค่าไฟ ลดคาร์บอน     ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวคิดบ้านพลังงานเป็น 0 รายแรกของประเทศไทย เปิดเผยว่า เสนามุ่งมั่นในการนำพัฒนาที่อยู่อาศัยตามแนวคิด “The Essential Lifelong Trusted Partner” เพื่อสร้างความสุขและคุณภาพชีวิตที่ดีให้ลูกค้าในทุกช่วงชีวิต ควบคู่ไปกับการดูแลสังคม และสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน ส่วนหนึ่งของแนวคิดนี้สะท้อนผ่านการเดินหน้าพัฒนาโครงการใหม่ ๆ ในช่วงครึ่งปีหลัง ที่จะมุ่งสู่การสร้างสังคมแบบ Decarbonized Lifestyle   โดยในส่วนโครงการแนบราบ เสนาพัฒนาบนแนวคิด “บ้านพลังงานเป็น 0” ที่คิดละเอียดและใส่ใจทุกขั้นตอนตั้งแต่การออกแบบ การเลือกใช้วัสดุก่อสร้าง และสุขภัณฑ์ต่างๆ รวมถึงการติดตั้งโซลาร์รูฟ เพื่อผลิตพลังงานสะอาดใช้เอง และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ที่ผ่านมามีงานวิจัยร่วมกับ Chula Unisearch เพื่อทำการศึกษาทดลองบ้านพลังงานเป็น 0 ที่เหมาะสำหรับประเทศไทย และผลการวิจัยพบว่าบ้านขนาดใหญ่ของเสนา สามารถลดการใช้พลังงานได้สูงสุดถึง 38% ล่าสุดเตรียมเปิดโครงการ “เสนา เวล่า สุขุมวิท - บางปู” พัฒนาบนแนวคิด “บ้านพลังงานเป็น 0” พร้อมนำแนวคิด “SMART CITY” ไม่ว่าจะเป็น Smart Energy, Smart Mobility, Smart Living ,Smart Environment เป็นต้น มาปรับใช้ในโครงการเพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงไลฟ์สไตล์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมได้ง่าย ๆ ผ่านการอยู่อาศัยภายในบ้าน   โครงการประกอบด้วย ทาวน์โฮมอิสระ 2 ชั้น และบ้านแฝด 2 ชั้น จำนวน 170 ยูนิต แบ่งเป็น ทาวน์โฮมอิสระ จำนวน 156 ยูนิต ที่ดินเริ่มต้น 27 ตร.วา 4 ห้องนอน 1 ห้องอเนกประสงค์ 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ และบ้านแฝด จำนวน 14 ยูนิต ที่ดินเริ่มต้น 36 ตร.วา 4 ห้องนอน 1 ห้องครัว 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ ออกแบบพื้นที่ใช้สอยให้กว้างเทียบเท่าบ้านเดี่ยว และมีพื้นที่สีเขียว  พร้อมด้วยนวัตกรรมโซลาร์เซลล์บนหลังคาบ้าน ช่วยประหยัดค่าไฟสูงสุดตลอดอายุการใช้งาน 25 ปี พื้นที่ส่วนกลาง สระว่ายน้ำระบบเกลือ คลับเฮ้าส์บริเวณกลางโครงการ ฟิสเนต สวนย่อมส่วนกลาง ระบบกล้อง CCTV พร้อมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง ราคาเริ่มต้นที่ 4.59 ล้านบาท   นอกจากนี้ โครงการยังถูก​ออกแบบด้วยแนวคิด geo fit+ (จีโอฟิต พลัส) จากพาร์ทเนอร์ญี่ปุ่น เน้นการออกแบบและตอบสนองความต้องการของผู้อยู่อาศัย 3 ด้าน ได้แก่ geo fit+ itsumo เปลี่ยนช่วงเวลาธรรมดาให้แสนพิเศษ geo fit+ tsunagu การสร้างความยั่งยืนในอนาคต และ geo fit+ mamoru ใส่ใจคนที่คุณรักในทุกมิติของการใช้ชีวิต ที่มุ่งเน้นการใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด #ที่เยอะจะทำอะไรก็ได้ ใส่ใจต่อผู้อยู่อาศัย สะท้อนความคิดเห็นของผู้อยู่อาศัย เพื่อนำมาปรับปรุง ออกแบบพัฒนาในทุกมิติ รองรับครอบครัวใหญ่ ครอบครัวขยาย ด้วยราคาที่คุ้มค่า โครงการตั้งอยู่บนทำเล ต.บางปูใหม่ อ.เมืองสมุทรปราการ จ.สมุทรปราการ เดินทางสะดวก มีรถสาธารณะผ่าน ติดถนนสุขุมวิท-บางปู อยู่ใกล้แหล่งชุมชนและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ทั้งโรงเรียน โรงพยาบาล และห้างสรรพสินค้าต่างๆ ที่อำนวยความสะดวกสบาย และความปลอดภัยให้กับคุณและทุกคนในครอบครัว ซึ่งบริษัทได้เตรียมจัดงานพรีเซลล์ครั้งแรก วันที่ 26 – 27 กรกฎาคม 2566  นี้   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เสนาฯ เปิดโมเดล​ บ้านพลังงานเป็นศูนย์ เดินหน้าสู่บริษัท ด้านความยั่งยืน
เพอร์เฟค สรุปผลงานครึ่งปีแรกปรับตัวดีทุกพอร์ต ลุยเปิด 9 โครงการใหม่ ดันรายปีกลุ่มบริษัท​ 13,000 ล้าน​   

เพอร์เฟค สรุปผลงานครึ่งปีแรกปรับตัวดีทุกพอร์ต ลุยเปิด 9 โครงการใหม่ ดันรายปีกลุ่มบริษัท​ 13,000 ล้าน​  

พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค สรุปผลงานครึ่งปีแรก ปรับตัวดีขึ้นทุกพอร์ต รายได้เติบโต 17.2% กำไรขั้นต้นปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 35.7% ครึ่งปีหลังแนวโน้มเติบโตกว่าครึ่งปีแรก ลุยเปิด 9 โครงการใหม่ มูลค่า 13,250 ล้านบาท หนุนรายได้รวมทั้งปีให้อยู่ที่ 13,000 ล้านบาท ด้านธุรกิจโรงแรมยอดจองคึกคักจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะโรงแรมในกรุงเทพ ช่วง 6 เดือนแรกมีอัตราเข้าพักสูง 70%   นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทในครึ่งปี 2566 ปรับตัวดีขึ้น มีการฟื้นตัวในทุกหมวดธุรกิจ ส่งผลให้ครึ่งปีแรกบริษัทมีรายได้จากการดำเนินงาน 4,958 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน  โดยเป็นผลจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เติบโต 0.3% ธุรกิจโรงแรมซึ่งเติบโต 125.2%  จากธุรกิจให้เช่าและบริการอีก 56.0% ในส่วนของอัตรากำไรขั้นต้น ปรับตัวแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 35.7% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 25.5% โดยครึ่งปีแรกธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีกำไรขั้นต้น 33.3% เทียบกับปีก่อนที่ 29.4%  ธุรกิจโรงแรมฟื้นตัวอย่างชัดเจนที่ระดับ 48.2% เทียบกับครึ่งปีแรกของปีก่อนที่ 6.3% และธุรกิจให้เช่าและบริการ ทำได้ 9.7% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ติดลบ 1.1% อีกทั้งยังมีส่วนแบ่งกำไรจากโครงการร่วมทุนเข้ามาอย่างมีนัยยะ เป็นจำนวน 116 ล้านบาท เป็นบวกเมื่อเทียบกับครึ่งแรกของปี 2565 ที่มีผลขาดทุนที่ 42 ล้านบาท   สำหรับรายได้จากการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทในปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 13,000 ล้านบาท โดยเป็นรายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 9,600 ล้านบาท ธุรกิจโรงแรม 2,850 ล้านบาท และธุรกิจเช่าและบริการ 550 ล้านบาท นอกจากนี้ยังจะมีรายได้จากโครงการร่วมทุนอีก 5,000 ล้านบาท ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทยังมีความพร้อมในการเปิดโครงการใหม่ได้อย่างเต็มที่ โดยจะเดินหน้าเปิด 9 โครงการ มูลค่ารวม 13,250 ล้านบาท ซึ่งยังคงเน้นตลาดแนวราบและกระจายในทุกเซกเม้นต์ ขณะเดียวกัน ยังเน้นทำการตลาดสินค้ากลุ่มลักซ์ชัวรี่ที่อยู่ใกล้โรงเรียนนานาชาติชั้นนำ ซึ่งบริษัทมีโครงการบ้านหรู 6 โครงการในแบรนด์ “เพอร์เฟค มาสเตอร์พีซ” และ “เลค เลเจนด์” ที่สามารถรองรับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการที่อยู่อาศัยในทำเลใกล้โรงเรียนนานาชาติ ซึ่งมีดีมานด์เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน  พร้อมกันนี้ยังมีการพัฒนาแบบบ้านรุ่นใหม่ในโครงการเดิม รวมทั้งมีแผนการตลาดและส่งเสริมการขายอย่างเข้มข้น   สำหรับธุรกิจโรงแรมของกลุ่มบริษัทมีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโรงแรมในกรุงเทพ ซึ่งมีอัตราเข้าพักเพิ่มสูงขึ้น โดย 6 เดือนแรกของปีนี้อัตราเข้าพักเฉลี่ยอยู่ที่ 70% เทียบกับปีก่อนที่อยู่ในระดับ 35% ขณะที่โรงแรมในต่างจังหวัดยังคงได้รับความนิยมจากคนไทยที่ท่องเที่ยวในประเทศ โดยอัตราเข้าพักเฉลี่ย 6 เดือนแรกของปีอยู่ที่ 50% อย่างไรก็ตาม คาดการณ์ว่ารายได้จากธุรกิจโรงแรมทั้งปีนี้ จะมากกว่าปีก่อนถึง 57% โดยเป็นผลพวงมาจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในครึ่งปีหลังซึ่งเป็นฤดูกาลท่องเที่ยว ส่วนหนึ่งของโครงการใหม่ ที่กำหนดเปิดตัวอย่างเป็นทางการในครึ่งปีหลัง     อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เพอร์เฟคลุยพัฒนา 6 โครงการบ้านหรู จับตลาดใกล้โรงเรียนนานาชาติ
[PR News] กลุ่มบริษัทรีโว่ เปิด “ไอเจ้นท์ พระราม 9” พรีเมียมทาวน์โฮมสมาร์ทฟังก์ชั่น 3 ชั้น

[PR News] กลุ่มบริษัทรีโว่ เปิด “ไอเจ้นท์ พระราม 9” พรีเมียมทาวน์โฮมสมาร์ทฟังก์ชั่น 3 ชั้น

กลุ่มบริษัทรีโว่ เปิด “ไอเจ้นท์ พระราม 9” พรีเมียมทาวน์โฮมสมาร์ทฟังก์ชั่น 3 ชั้น  เริ่ม 4.99 ล้าน ต่อยอดความสำเร็จ โครงการ ไอเจ้นท์ พรีเมี่ยมทาวน์โฮม พัฒนาการ   นางสาวสุทธิสินี อยู่สวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท รีโว ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด กลุ่มบริษัท รีโว  ที่ร่วมทุนระหว่าง รีโวกรุ๊ป, บริษัท พรีบิลท์ จำกัด (มหาชน) หรือ PREB และ เค.อาร์.ซี. เอ็นจิเนียริ่ง เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทประสบความสำเร็จอย่างดี จากการพัฒนาโครงการ ไอเจ้นท์ พรีเมี่ยมทาวน์โฮม พัฒนาการ จึงได้เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ “ไอเจ้นท์ พรีเมียมทาวน์โฮม พระราม 9” ทาวน์โฮมสมาร์ทฟังก์ชั่น 3 ชั้น จำนวน 72 ยูนิต เรามีนโยบายที่จะทำให้ลูกค้าเกิดความพึงพอใจมากที่สุด จึงมีความมุ่งมั่นพัฒนาที่อยู่อาศัย โดยให้ความสำคัญในเรื่องของนวัตกรรม และสิ่งแวดล้อมของที่อยู่อาศัยสำหรับชีวิตเมืองในปัจจุบัน นอกจากนี้ จากความต้องการของตลาดบ้านแนวราบ มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นจากกลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง เป็นกลุ่มลูกค้าในตลาดระดับกลางถึงระดับบนที่มีกำลังซื้อ ประกอบกับพฤติกรรมการเลือกที่อยู่อาศัยที่เปลี่ยนไปหลังเกิดการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 อาทิ การทำงานที่บ้าน (Work from home) ทำให้มีความต้องการบ้านแนวราบมากกว่า บริษัทจึงเล็งเห็นถึงโอกาสในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบ เพราะมีพื้นที่ใช้สอยที่มา และมีฟังก์ชั่นที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิต   สำหรับโครงการ ไอเจ้นท์ พรีเมียมทาวน์โฮม พระราม 9  พรีเมียมทาวน์โฮม 3 ชั้น โครงการใหม่ บนทำเลใหม่ ย่านพระรามเก้า กับแบบบ้านที่ขายดีที่สุดเพียง 72 หลัง โดยมีจุดเด่นห้อง Master Bedroom ขนาดใหญ่ 3 ห้อง พร้อมห้องน้ำในตัวทุกห้อง และห้องอเนกประสงค์ที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัย ด้วยฟังก์ชันและดีไซน์ที่ได้รับการออกแบบมาอย่างดี มีความเป็นส่วนทุกพื้นที่ พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ส่วนกลางที่ออกแบบในสไตล์ Mid Century ที่มีทั้งคลับเฮ้าส์, ลานนวดเท้าเพื่อสุขภาพ, ฟิตเนส, Co-Working Hall พร้อม Library Room และพื้นที่สีเขียว รองรับกิจกรรมการอยู่อาศัย นอกจากนี้ ทางโครงการยังมีระบบ Smart Life Security สร้างความอุ่นใจด้วยระบบแจ้งเตือน Triple Active Alert เพื่อความสุขและอุ่นใจของทุกคนในครอบครัว โครงการตั้งอยู่ในทำเลที่เดินทางสะดวก ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ ใกล้รถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์สถานีบ้านทับช้าง ใกล้รถไฟฟ้า MRT สายสีเหลืองสถานีหัวหมาก อีกทั้งยังสามารถเชื่อมต่อถนนหลักได้หลายเส้นทาง ทั้งถนนอ่อนนุช ถนนพัฒนาการ ถนนมอเตอร์เวย์ เชื่อมเข้าถนนพระราม 9 และทางด่วนศรีรัช   โครงการ​ไอเจ้นท์ พระราม 9 พร้อมเปิดจองทาวน์โฮมสมาร์ทฟังก์ชั่น รอบพิเศษสำหรับคนพิเศษ VIPday วันที่ 19-20 สิงหาคมนี้  ด้วยบ้านโซนพิเศษในราคาเริ่มต้นที่ 4.99 ล้านบาท จองวันนี้ กู้ 100% พร้อมรับโปรโมชั่นฟรี เฟอร์นิเจอร์บิ้วอิน เครื่องปรับอากาศ  Smart Home Gadget ค่าใช้จ่าย ณ วันโอน และพิเศษยิ่งขึ้น เมื่อลงทะเบียนออนไลน์รับส่วนลด 50,000 บาท อีกด้วย ลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิ์พร้อมส่วนลดพิเศษได้ที่ https://www.eigen-rama9.com/ (เงื่อนไขต่าง ๆ เป็นไปตามที่บริษัทกำหนด)   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -พรีบิลท์ ปั้นแบรนด์ “พรรณนา” ลุยตลาดบ้านลักชัวรี่ราคา 15 ล้านอัพ !!
บริทาเนีย ใช้กลยุทธ์การร่วมทุนพันธมิตร ปั้นโปรเจ็กต์ 5 จังหวัด กว่า 8,700 ล้าน

บริทาเนีย ใช้กลยุทธ์การร่วมทุนพันธมิตร ปั้นโปรเจ็กต์ 5 จังหวัด กว่า 8,700 ล้าน

บริทาเนีย เสริมแกร่งธุรกิจเดินหน้ากลยุทธ์ร่วมทุนพันธมิตร ทั้งด้านการเงินและเจ้าของที่ดิน  พัฒนาบ้านจัดสรร 10 โครงการ กระจายตัวใน 5 จังหวัด มูลค่ากว่า 8,700 ล้าน ในไตรมาส 2 ทำรายได้ 1,554 ล้าน พร้อมกำไรสุทธิ 348 ล้าน ขณะที่บอร์ดเคาะจ่ายปันผลระหว่างกาลหุ้นละ 0.115 บาท  ส่วนครึ่งปีหลังโหมเปิด 16 โครงการใหม่ รวม 17,500 ล้าน  ช่วยหนุนยอดขาย-ยอดโอนกรรมสิทธิ์ต่อเนื่อง   นายสุรินทร์ สหชาติโภคานันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI ผู้พัฒนาบ้านจัดสรรภายใต้แนวคิด “CRAFT a life you love” ดีที่สุดคือใช้ชีวิตในแบบที่รัก เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาส 2/2566 ที่ผ่านมาบริษัทได้เดินหน้าร่วมทุน (Joint Venture หรือ JV) กับพันธมิตรด้านการเงินการลงทุน (Financial Partner) และพันธมิตรเจ้าของที่ดิน (Landlord) เพื่อพัฒนาโครงการบ้านจัดสรรทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม จำนวน 10 โครงการ กระจายตัวใน 5 จังหวัด อาทิ นนทบุรี นครปฐม ชลบุรี นครราชสีมา และอุบลราชธานี คิดเป็นมูลค่าโครงการรวมกว่า 8,700 ล้านบาท ครึ่งปีแรกของปี 2566 เป็นช่วงเวลาที่เราให้ความสำคัญกับการสร้างรากฐานเพื่อการเติบโตสู่อนาคต การจับมือกับเหล่าพันธมิตรหลากหลายกลุ่มพัฒนาโครงการ จะเป็นบันไดก้าวสำคัญให้เรามีที่ดินแปลงศักยภาพเข้ามาอยู่ในพอร์ตฟอลิโออย่างรวดเร็ว พร้อมที่จะเปิดตัวโครงการใหม่อย่างก้าวกระโดดในช่วงหลังจากนี้ สำหรับช่วงไตรมาส 2/2566 บริษัทมีรายได้อยู่ที่ 1,554 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 348 ล้านบาท มีอัตรากำไรสุทธิ​ (Net Profit Margin หรือ NPM) อยู่ที่ราว 22% โดยโครงการสำคัญที่มีส่วนหนุนยอดโอนกรรมสิทธิ์ รายได้ และกำไรสุทธิในไตรมาสดังกล่าว ได้แก่ แกรนด์บริทาเนีย ราชพฤกษ์-พระราม 5 (Grand Britania Ratchaphruek-Rama 5) เบลกราเวีย เอ็กซ์คลูซีฟ พูลวิลล่า บางนา-พระราม 9 (Belgravia Exclusive Pool Villa Bangna-Rama 9) แกรนด์บริทาเนีย วงแหวน-รามอินทรา (Grand Britania Wongwaen Ramintra) แกรนด์บริทาเนีย พระราม 9-กรุงเทพกรีฑา (Grand Britania Rama 9-Krungthep Kreetha) และบริทาเนีย บางนา-สุวรรณภูมิ (Britania Bangna-Suvarnabhumi) ขณะเดียวกัน สามารถปิดการขาย (Sold Out) โครงการบริทาเนีย คูคต สเตชั่น (Britania Khukhot Station) ได้ ซึ่งถือเป็นอีกเครื่องตอกย้ำการได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง จนสามารถปิดการขายได้อย่างรวดเร็ว   นายสุรินทร์ กล่าวอีกว่า จากผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566 ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท มีมติเห็นชอบให้เสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นสามัญจ่ายปันผลสำหรับกำไรสะสมและผลการดำเนินงานของบริษัทงวด 1 ม.ค.-30 มิ.ย.66 ในอัตรา 0.115 บาทต่อหุ้น คิดเป็นเงินปันผลจ่ายเป็นเงินสดทั้งสิ้นไม่เกิน 98.1 ล้านบาท โดยขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 24 สิงหาคม 2566 กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่  25 สิงหาคม 2566 และกำหนดจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นภายในวันที่ 11 กันยายน 2566   สำหรับแผนการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2566 บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งสิ้น 16 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 17,500 ล้านบาท กระจายตัวอยู่ใน 5 จังหวัด ทั้งกรุงเทพฯ ปริมณฑล และเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ครอบคลุมทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม 4 แบรนด์ แบ่งเป็น เบลกราเวีย (Belgravia) 2 โครงการ แกรนด์ บริทาเนีย (Grand Britania) 4 โครงการบริทาเนีย (Britania) 8 โครงการ และไบรตัน (Brighton) 2 โครงการ โดยถือเป็นการเปิดโครงการเพิ่มอย่างก้าวกระโดดในช่วงครึ่งปีหลังเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกที่เปิดตัวเพียง 4 โครงการ   นอกจากนี้ เป็นเพราะช่วงครึ่งปีหลังถือเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และปัจจัยภายนอกด้านการเมืองและเศรษฐกิจน่าจะมีความชัดเจนขึ้น ซึ่งจะช่วยส่งผลผลักดันทั้งยอดขาย ยอดโอนกรรมสิทธิ์ และรายได้รวมของบริษัทให้สูงขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง โดยจะนำร่องเปิดตัวในช่วงไตรมาส 3/2566 ก่อนจำนวน 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 5,900 ล้านบาท ได้แก่ แกรนด์บริทาเนีย วงแหวน – ประชาอุทิศ (Grand Britania Wongwaen-Parchauthit) แกรนด์บริทาเนีย ทวีวัฒนา (Grand Britania Thawi Watthana) บริทาเนีย บางนา-เทพารักษ์ (Britania Bangna Thepharak)   ทั้งนี้ บริษัทมียอดขายรอรับรู้รายได้ (แบ็คล็อก) ณ สิ้นไตรมาส 2/2566 อยู่ที่ 2,260 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะทยอยรับรู้รายได้ภายในปี 2566 นี้ เมื่อประกอบกับการเปิดโครงการใหม่อย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลัง และแผนการตลาด การจัดแคมเปญเจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเพิ่มเติม เชื่อว่าจะช่วยสร้างยอดขายและยอดโอนกรรมสิทธิ์ใหม่ และรักษาระดับการเติบโตของบริษัทอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนได้ สำหรับ BRI เป็นผู้พัฒนาบ้านจัดสรรภายใต้คอนเซปต์ CRAFT a life you love ดีที่สุดคือใช้ชีวิตในแบบที่รัก พัฒนาทั้งบ้านเดี่ยว บ้านซีรีส์ใหม่ ทาวน์โฮม ครอบคลุมผู้บริโภคทุกเซ็กเมนท์ ภายใต้ 4 แบรนด์หลัก ได้แก่ 1.เบลกราเวีย (Belgravia) บ้านเดี่ยวลักชัวรี ระดับราคา 20-50 ล้านบาท 2.แกรนด์ บริทาเนีย (Grand Britania) บ้านเดี่ยวและบ้านแฝดระดับ High-End ราคา 8-20 ล้านบาท 3.บริทาเนีย (Britania) บ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม ระดับ Mid-end ราคา 4-8 ล้านบาท และ 4.ไบรตัน (Brighton) บ้านแฝด และทาวน์โฮม ระดับเริ่มต้น (Entry) ราคา 2.5-4 ล้านบาท โดย ณ สิ้นไตรมาส 2/2566 พัฒนาโครงการมาแล้วทั้งสิ้น 34 โครงการ คิดเป็นมูลค่าโครงการสะสม 41,456 ล้านบาท   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -บริทาเนีย ผนึกเจ้าของ ม.เกษมบัณฑิต ปั้นโปรเจ็กต์ 34 ไร่ บนถนนร่มเกล้า -บริทาเนีย วางเป้า 3 ปี ติดTop 5 ตลาดบ้าน พร้อมลุยต่างจังหวัดจับคนระดับท็อป
แสนสิริ โชว์กำไรครึ่งปี 66 โตก้าวกระโดด 162%  ครึ่งปีหลัง เปิดโครงการใหม่ กว่า 56,700 ล้าน

แสนสิริ โชว์กำไรครึ่งปี 66 โตก้าวกระโดด 162% ครึ่งปีหลัง เปิดโครงการใหม่ กว่า 56,700 ล้าน

แสนสิริ ย้ำความแข็งแกร่งผู้นำอสังหาฯ โชว์ผลประกอบการครึ่งปีแรก 66 ด้วยกำไรสุทธิ 3,203 ล้าน โตก้าวกระโดดถึง 162% ขณะที่กวาดรายได้รวมครึ่งปี 18,493 ล้านบาท โต 42% และรายได้รวมไตรมาสที่ 2 อยู่ที่ 9,988 ล้านบาท โต 27% เผยผลงานมาจากแนวราบเติบโตทุกเซกเมนต์ และคอนโดพร้อมอยู่ได้รับการตอบรับดีและ นับเป็นสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีของตลาดคอนโด รุกต่อครึ่งปีหลัง เปิด 39 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 56,700 ล้าน     นายวิชาญ วิริยะภูษิต ประธานผู้บริหารสายงานการเงิน บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยว่า ผลประกอบการรอบ 6 เดือน ปี 2566 แสนสิริมีกำไรสุทธิ 3,203 ล้านบาท เติบโต 162% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรสุทธิ เฉพาะไตรมาสที่ 2/2566 อยู่ที่ 1,621 ล้านบาท เติบโตขึ้น 77% จากไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา อัตรากำไรสุทธิรอบ 6 เดือนสูงถึง 17.3% ของรายได้รวม ปรับเพิ่มขึ้นอย่างมากจากอัตรากำไรสุทธิ 9.3% ของรายได้รวมจากช่วงเดียวกันของปีก่อน   ขณะที่รายได้รวมรอบ 6 เดือน อยู่ที่ 18,493 ล้านบาท เติบโต 42% จากรอบ 6 เดือนของปีก่อน แบ่งเป็นรายได้รวมในช่วงไตรมาสแรก 8,505 ล้านบาท และรายได้รวมไตรมาสที่ 2 อยู่ที่ 9,988 ล้านบาท เติบโต 27% เป็นผลมาจากรายได้จากการขายโครงการที่เติบโตในทุกกลุ่มที่อยู่อาศัย อาทิ นาราสิริ พหล – วัชรพล บ้านเดี่ยวระดับซุปเปอร์ลักซ์ชัวรี และ เศรษฐสิริ ดอนเมือง โดยแบรนด์ “เศรษฐสิริ” ในปีนี้มีการพัฒนา 10 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 21,900 ล้านบาท  รวมถึงแบรนด์สราญสิริ โครงการสราญสิริ ราชพฤกษ์ – 345 ระดับราคา 5 – 10 ล้านบาท ที่กลุ่มลูกค้าให้การตอบรับที่ดีเช่นกัน นอกจากนี้ ผลการดำเนินงานที่โดดเด่นในรอบครึ่งปี ยังมาจากโครงการคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ ที่ได้รับการตอบรับที่ดี และเป็นสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีของตลาดคอนโด โดยคอนโดพร้อมอยู่ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าในทุกเซกเมนต์เช่นเดียวกัน อาทิ โครงการเอ็กซ์ที พญาไท, เอ็กซ์ที ห้วยขวาง, โอกะ เฮาส์, เดอะ เบส เพชรบุรี – ทองหล่อ, ดีคอนโด พนา และ เดอะ มูฟ บางนา เป็นต้น   แสนสิริยังสร้างยอดขายรวมไปได้ถึง 27,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นเกือบ 50% จากเป้าหมายยอดขาย 55,000 ล้านบาท โดยในครึ่งปีหลัง แสนสิริยังมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่อีก 39 โครงการ มูลค่ารวม 56,700 ล้านบาท ไฮไลท์โครงการที่เตรียมเปิดตัวในไตรมาส 3 อาทิ “บูก้าน พัฒนาการ” บ้านเดี่ยวรูปแบบ Luxury Private Villa จำนวน 17 ยูนิต ราคา 65 - 115 ล้านบาท* เตรียมเปิดตัวในช่วงปลายเดือนกันยายน และการเปิดตัว New Luxury Condominium หนึ่งในโครงการไฮไลท์ของแสนสิริในปีนี้ ทำเล “ราชเทวี” เตรียมเปิดตัวเดือนสิงหาคมนี้ แสนสิริยังมุ่งเดินหน้าสร้างรายได้และผลกำไร เพื่อผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกส่วนรวมถึงผู้ถือหุ้น โดยที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล (Interim dividend) จากผลการดำเนินงานงวดวันที่ 1 มกราคม – 30 มิถุนายน 2566 ให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตรา 0.10 บาทต่อหุ้น ขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 28 สิงหาคม 2566 และกำหนดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลแก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 12 กันยายน 2566 นี้   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -แสนสิริ ตุนยอดโอน 4 เดือนแรก โต 28% กวาดรายได้แล้ว 9,200 ล้าน  -แสนสิริ เปิดทำเลโครงการใหม่ปี 66 บักหมุดพื้นที่กรุงเทพฯ​ และอีก 6 จังหวัด
โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ โชว์ครึ่งปีแรกโกยกำไร 990% ครึ่งปีหลังลุยเปิด 6 โครงการ

โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ โชว์ครึ่งปีแรกโกยกำไร 990% ครึ่งปีหลังลุยเปิด 6 โครงการ

โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์  ประกาศผลงานครึ่งปีแรกของปี 66 กวาดรายได้รวม 4,478 ล้านบาท เติบโต 76% และกำไรสุทธิทะยาน 184 ล้านบาท เติบโต 990%  ประกาศเดินหน้าลุยเปิดตัว 6 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 17,900 ล้านบาทในครึ่งปีหลังนี้ พร้อมแจกข่าวดีจ่อปันผลระหว่างกาล 0.081 บาทต่อหุ้น เตรียม XD 24 สิงหาคม 2566 นี้ ส่งซิก Q3/66 นี้ จ่อบุ๊กกำไรพิเศษขายเงินลงทุนใน 2 โครงการร่วมทุนให้กับ PROUD   นายธงชัย บุศราพันธ์ รองประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทประสบความสำเร็จในการเดินหน้าธุรกิจในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566 สวนกระแสความท้าทายจากการฟื้นตัว ของสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศ ที่ทยอยฟื้นตัวตามลำดับ โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 มีรายได้รวมที่ 4,478 ล้านบาท เติบโต 76% และกำไรสุทธิอยู่ที่ 184 ล้านบาท เติบโต 990% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน   แม้ว่าบริษัทจะไม่มีโครงการคอนโดมิเนียม ที่สร้างเสร็จพร้อมโอนในครึ่งปีแรกของปี 2566 แต่บริษัทยังคงรักษาการเติบโตของผลประกอบการไว้ได้ดี  โดยโครงการที่รับรู้รายได้ในช่วงครึ่งปีแรก ที่มีการเติบโตเพิ่มขึ้นหลัก ๆ มาจากการส่งมอบโครงการสร้างเสร็จพร้อมอยู่ (Inventory) อาทิ โครงการโนเบิล บี19 สุขุมวิท โครงการโนเบิล สเตท สุขุมวิท 39 โครงการนิว โนเบิล ศรีนครินทร์–ลาซาล โครงการโนเบิล อราวน์ อารีย์ โครงการนิว โนเบิล งามวงศ์วาน และโครงการนิว โคฟ นอร์ธ ราชพฤกษ์ เป็นต้น สำหรับยอดขาย (Pre-sale) ในไตรมาส 2/2566 อยู่ที่ 4,040 ล้านบาท และยอดขายช่วง 7 เดือนแรกที่ผ่านมา อยู่ที่ 9,706 ล้านบาท  (รวมโครงการ นิว ดิสทริค อาร์ 9 และโครงการ นิว ครอส คูคต สเตชัน ซึ่งทางบริษัทยังคงเป็นผู้บริหารโครงการในบทบาทเดิม) โดยยอดขาย 7 เดือนแรกของปี 2566 มาจากโครงการที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่เป็นจำนวน 2,808 ล้านบาท และโครงการเปิดใหม่และอยู่ระหว่างการก่อสร้างเป็นจำนวน 6,898 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2566  รวมมูลค่า 17,940 ล้านบาท (ไม่รวมโครงการนิว ดิสทริค อาร์ 9 และโครงการนิว ครอส คูคต สเตชัน ) ซึ่งจะทยอยรับรู้ใน 2-3 ปีข้างหน้า   ช่วงไตรมาส 2​ บริษัทเริ่มมีการรับรู้รายได้จากธุรกิจบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงธุรกิจตัวแทนและนายหน้าและบริการหลังการขายภายใต้บริษัท เซิร์ฟ โซลูชั่น จำกัด ซึ่งธุรกิจดังกล่าวถือเป็นการต่อยอดจากธุรกิจหลัก และเป็นผู้ให้บริการหลังการขายครบวงจรเต็มรูปแบบ ทั้งบริการการฝากขาย-ปล่อยเช่า บริหารนิติบุคคล บริการจัดหาเฟอร์นิเจอร์ ทำให้มีการรับรู้รายได้ประจำอย่างต่อและเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้     นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2566 ที่ผ่านมาได้มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลงวดผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกประจำปี 2566 จำนวน 0.081 บาทต่อหุ้น รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 111 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผล (Dividend Payout Ratio) ที่ 60.1% โดยกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) ในวันที่ 24 สิงหาคม 2566 และคาดว่าจะทำการจ่ายเงินปันผลภายในต้นกันยายนนี้   สำหรับสถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทมองเชิงบวก อย่างต่อเนื่องจากการฟื้นตัวของตลาดทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ซึ่งเห็นการฟื้นตัวของตลาดอย่างชัดเจน ตั้งแต่ครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าลูกค้าต่างชาติจากประเทศจีนจะยังเข้ามาได้ไม่เต็มที่ก็ตาม แต่บริษัทได้มีการปรับพอร์ตกระจายฐานลูกค้าต่างชาติให้มีความหลากหลายมากขึ้น เช่น ไต้หวัน สิงคโปร์ ฮ่องกง และเมียนมาร์ เป็นต้น และยอมรับว่าพฤติกรรมการซื้อของลูกค้าชาวต่างชาติในปัจจุบันเปลี่ยนไป โดยจะเน้นซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองมากขึ้น แต่ก็ยังมีกลุ่มลูกค้าที่ซื้อเพื่อลงทุนเพิ่มมากขึ้นเช่นเดียวกัน   โดยปี 2566 บริษัทได้มีการปรับแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ลดลงเหลือ  9 โครงการ มูลค่ารวมกว่า22,200 ล้านบาท จากแผนเดิมที่จะเปิดตัวจำนวน 10 โครงการ มูลค่ารวม 23,300 ล้านบาท ซึ่งในครึ่งปีหลังนี้เตรียมเปิดตัว 6 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 17,900 ล้านบาท โดยเริ่มจากโครงการโนเบิล เทอร์รา พระราม 9-เอกมัย เป็นโครงการบ้านเดี่ยวระดับ High-End  และโครงการ โนเบิล เอควา ริเวอร์ฟร้อนท์ ราษฎร์บูรณะ เป็นโครงการทาวน์โฮมระดับ High-End ติดแม่น้ำเจ้าพระยา คาดว่าจะเปิดขายอย่างเป็นทางการในเดือนกันยายนนี้ นอกจากนี้ ยังมีโครงการคอนโดมิเนียนมขนาดใหญ่ที่ร่วมทุนกับฮ่องกงแลนด์ บนถนนวิทยุ อีก 1 โครงการด้วย   นายธงชัย ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทได้บรรลุข้อตกลงกระบวนการขายเงินลงทุนและโอนหุ้นดีล 2 โครงการนิว ดิสทริค อาร์ 9 และโครงการนิว ครอส คูคต สเตชัน ให้กับ PROUD เป็นอันเสร็จสิ้นเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2566 ที่ผ่านมา โดยได้รับกระแสเงินสดกว่า 1,400 ล้านบาทเข้าบริษัททันที พร้อมบันทึกเป็นกําไรพิเศษในไตรมาส 3/2566 นี้ ช่วยเสริมผลการดำเนินงานทางการเงินของบริษัทให้แข็งแกร่งขึ้น   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -บอร์ด โนเบิล ขาย 2 เงินลงทุนใน 2 โครงการ 867.57 ล้าน ให้ พราว เรียล เอสเตท
DRT โชว์ผลงานไตรมาส 2/66 สูงกว่าเป้า  มีรายได้รวม 1,519.43 ล้าน โต 10.78%

DRT โชว์ผลงานไตรมาส 2/66 สูงกว่าเป้า มีรายได้รวม 1,519.43 ล้าน โต 10.78%

DRT เผยผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2566 ทำรายได้รวม 1,519.43 ล้าน เติบโต 10.78% สูงกว่าเป้าหมาย เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 166.87 ล้าน​ ตอกย้ำขีดความสามารถการแข่งขัน ภายใต้แบรนด์ “ตราเพชร” ที่แข็งแกร่ง พร้อมบริหารจัดการความเสี่ยงด้านต้นทุน ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น หนุนอัตราการทำกำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้ครึ่งปีแรกทำกำไรสุทธิ 344.22 ล้าน​ พร้อมเร่งเครื่องครึ่งปีหลัง วางแผนเชิงรุกดันยอดขายเติบโตตามแผน   นายสาธิต สุดบรรทัด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน) หรือ DRT เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2566 ว่า  บริษัททำรายได้รวม 1,519.43 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.78% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และสูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ โดยมีกำไรสุทธิ 166.87 ล้านบาท ซึ่งมาจากขีดความสามารถการแข่งขันของบริษัท ที่มีความแข็งแกร่งของแบรนด์สินค้า และความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ ภายใต้แบรนด์ “ตราเพชร” รวมถึงช่องทางจัดจำหน่าย ที่ครอบคลุมความต้องการลูกค้าได้ดี ทั้งร้านค้าตัวแทนจำหน่ายรายย่อย ห้างค้าปลีกวัสดุก่อสร้างสมัยใหม่ ลูกค้าโครงการผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ และการส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ รวมถึงการบริหารจัดการ ด้านการผลิตที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และรักษาอัตราการเดินเครื่องจักรเฉลี่ย 80-90% สามารถบริหารจัดการความเสี่ยง จากปัจจัยต้นทุนวัตถุดิบได้ดีขึ้น เป็นผลให้อัตราการทำกำไรขั้นต้นในไตรมาส 2 เพิ่มเป็น 25.16% ดีขึ้นจากไตรมาสแรกของปีนี้อยู่ที่ 24.70% ตอกย้ำถึงศักยภาพการดำเนินธุรกิจของบริษัท​ ที่แข็งแกร่งเอาชนะความท้าทาย และความเสี่ยงที่เกิดขึ้น ส่งผลให้ภาพรวมผลการดำเนินงาน ในช่วงครึ่งปีแรก (มกราคม-มิถุนายน) ของปีนี้ มีรายได้รวม 3,071.90 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.55% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 344.22 ล้านบาท ผลงานในไตรมาส 2 สะท้อนถึงศักยภาพการดำเนินงานของบริษัท และการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เป็นผลให้มีอัตราการทำกำไรขั้นต้นในไตรมาสนี้ปรับตัวดีขึ้น และขับเคลื่อนการเติบโตของผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกสูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้เช่นกัน   สำหรับแผนงานครึ่งปีหลัง บริษัทจะมุ่งทำงานเชิงรุกโดยมีแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เพื่อส่งเสริมขีดความสามารถการแข่งขัน การทำตลาดภายใต้แบรนด์ "ตราเพชร"​ และตอกย้ำจุดแข็งด้านความหลากหลายผลิตภัณฑ์ ที่สามารถนำไปก่อสร้างบ้านได้ทั้งหลัง รองรับความต้องการสินค้าวัสดุก่อสร้างของลูกค้าในทุกช่องทางการจัดจำหน่าย ควบคู่กับการบริหารจัดการด้านการผลิต ให้มีประสิทธิภาพที่ดีอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักดันเป้ายอดขายเติบโต 5% และรักษาอัตราการทำกำไรขั้นต้นเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 25-27% ได้ตามแผน   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -DRTโชว์ผลงาน Q1 ยังทำกำไร แม้รายได้ลดลงกว่า 7%
เอพี ไทยแลนด์ ประกาศรายได้ครึ่งปีแรก 23,856 ล้าน เตรียมเปิดตัว 40 โครงการใหม่ทั่วไทย

เอพี ไทยแลนด์ ประกาศรายได้ครึ่งปีแรก 23,856 ล้าน เตรียมเปิดตัว 40 โครงการใหม่ทั่วไทย

เอพี ไทยแลนด์ เผยผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก 66 เติบโตอย่างแข็งแกร่งด้วยแรงส่งจากสินค้าทุกเซกเมนต์ในเครือ ดันครึ่งปีแรกรายได้รวมมากถึง 23,856 ล้าน กำไรสุทธิ 3,023 ล้าน ผลจากสินค้าแนวราบที่ยังคงรักษาสถานะการเติบโตได้อย่างคงที่ ประกอบกับรายได้จากสินค้ากลุ่มคอนโดที่ปรับตัวกลับคืน ครึ่งปีหลังเตรียมเปิดตัว 40 โครงการใหม่ มูลค่ารวมประมาณ 55,940 ล้าน  ​   นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก บริษัทฯ มีอัตราการเติบโตเป็นที่น่าพอใจ โดยมีรายได้รวมจากสินค้าแนวราบ กลุ่มคอนโดมิเนียม (100% JV) และธุรกิจอื่นๆ ได้สูงถึง 23,856 ล้านบาท กำไรสุทธิเท่ากับ 3,023 ล้านบาท   ทั้งนี้ ณ ไตรมาส 2 ที่ผ่านมาบริษัทฯ สามารถสร้างรายได้รวมจากสินค้าแนวราบ กลุ่มคอนโดมิเนียม (100% JV) และธุรกิจอื่นๆ ได้สูงถึง 12,051 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่มีรายได้รวมเท่ากับ 11,805 ล้านบาท ด้านกำไรสุทธิ 1,544 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่มีกำไรสุทธิรวมเท่ากับ 1,478 ล้านบาท เท่ากับ 4.5% โดยในครึ่งปีแรกที่ผ่านมา สินค้ากลุ่มแนวราบอย่างทาวน์โฮมและบ้านเดี่ยวยังถือเป็นคีย์ไดรฟ์สำคัญในการเติบโตทางรายได้และกำไรอย่างแข็งแกร่ง โดยรายได้ที่เกิดขึ้นมาจากสินค้าแนวราบคิดเป็นมูลค่า 17,358 ล้านบาท หรือคิดเป็น 73% ของสัดส่วนรายได้รวมทั้งหมด ซึ่งมีบ้านเดี่ยวแบรนด์ THE CITY, CENTRO และบ้านกลางเมือง เป็นกำลังหลักหนุนสร้างรายได้รวมในกลุ่มแนวราบ   สำหรับสินค้ากลุ่มคอนโดมิเนียม ภาพรวมธุรกิจเริ่มมีแนวโน้มเป็นบวก ประกอบกับสัญญาณการโอนกรรมสิทธิ์เริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้นตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา โดยบริษัทฯ รับรู้รายได้จาก ASPIRE รัตนาธิเบศร์ เวสต์ตัน, ASPIRE เอราวัณ ไพร์ม และคอนโดมิเนียมร่วมทุนอย่าง RHYTHM เจริญกรุง พาวิลเลี่ยน ที่ทยอยรับรู้รายได้ต่อเนื่องในไตรมาสที่ผ่านมา ณ 31 กรกฎาคม บริษัทฯ มียอดขายรวมกว่า 46,819 ล้านบาท และในครึ่งปีหลังบริษัทฯ เตรียมเปิดตัว 40 โครงการใหม่ มูลค่ารวมประมาณ 55,940 ล้านบาท โดยเป็นทาวน์โฮม 19 โครงการ มูลค่า 19,550 ล้านบาท บ้านเดี่ยว 14 โครงการ มูลค่า 24,750 ล้านบาท คอนโดมิเนียม 3 โครงการ มูลค่า 8,300 ล้านบาท และต่างจังหวัด 4 โครงการ มูลค่า 3,340 ล้านบาท ส่งผลให้ตลอดครึ่งปีหลังเอพีจะมีโครงการพร้อมขายทั้ง กทม. และต่างจังหวัดมากกว่า 179 โครงการ มูลค่ากว่า 143,367 ล้านบาท   ทั้งนี้ ในกลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ บริษัทฯ ยังคงดำเนินธุรกิจภายใต้กลยุทธ์ DIVE DEEPER IN PROPERTY BUSINESS ด้วยการทำงานแบบเจาะลึก เข้มข้นยิ่งขึ้น เพื่อครองความเป็นผู้นำในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย ผ่าน 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ กลุ่มธุรกิจพัฒนาคอนโดมิเนียม กลุ่มธุรกิจพัฒนาบ้านเดี่ยว และกลุ่มธุรกิจพัฒนาทาวน์โฮม   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เอพี ไทยแลนด์ จบครึ่งปีแรกทำยอดกว่า 39,500 ล้าน เดินหน้าเปิดโปรเจ็กต์ครึ่งหลังอีก 40 โครงการ -เอพี ไทยแลนด์ 4 เดือนแรก ตุนยอดกว่า 14,264 ล้าน เปิด 16 โปรเจ็กต์ใหม่ Q2
ศุภาลัย โชว์ครึ่งปีแรกกวาดรายได้ 14,346 ล้าน  ลุยเปิดใหม่ครึ่งปีหลัง 27 โครงการ

ศุภาลัย โชว์ครึ่งปีแรกกวาดรายได้ 14,346 ล้าน ลุยเปิดใหม่ครึ่งปีหลัง 27 โครงการ

ศุภาลัย เผยผลประกอบการครึ่งปีแรก ​สถานะทางการเงินแข็งแกร่ง โกยรายได้รวม 14,346 ล้าน​ กำไรสุทธิ 2,781 ล้าน​ เดินหน้าลุยตลาดอสังหาฯ เต็มกำลัง ครึ่งปีหลังเปิดโครงการใหม่อีก 27 โครงการ มูลค่ารวม 28,610 ล้าน ขยายโปรดักส์ใหม่ทุกเซกเมนต์ มุ่งสู่เป้าหมายรายได้ 36,000 ล้าน   นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า ผลประกอบการในช่วงครึ่งปีแรก 2566 บริษัทฯ ยังคงรักษาการเติบโตที่มั่นคงต่อเนื่องและอยู่ในระดับที่น่าพอใจ โดยสามารถสร้างรายได้รวม 14,346 ล้านบาท โดยรายได้หลักมาจากการโอนกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์ทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และภูมิภาค โดยแบ่งเป็นรายได้กลุ่มสินค้าแนวราบ 65% ซึ่งถือเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการสร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ และรายได้กลุ่มคอนโดมิเนียม 35% โดยตลาดคอนโดเริ่มกลับมามีส่วนแบ่งในตลาดมากขึ้น และลูกค้าให้ความสนใจซื้ออย่างต่อเนื่อง โดยครึ่งปีแรกมีโครงการศุภาลัย ลอฟท์ สาทร - ราชพฤกษ์ มูลค่า 1,465  ล้านบาท ซึ่งเป็นคอนโดที่สร้างเสร็จส่งมอบโครงการให้ลูกค้าไปเรียบร้อยแล้ว ขณะที่บริษัทฯ สามารถทำยอดขายรวม 6 เดือน อยู่ที่ 17,285 ล้านบาท มาจากการตอบรับที่ดีของลูกค้าในทุกทำเลโครงการที่มีสินค้าสร้างเสร็จพร้อมอยู่ รวมถึงเปิดตัวโครงการใหม่แล้ว 10 โครงการ ในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และภูมิภาค   สำหรับด้านกำไรสุทธิเท่ากับ 2,781 ล้านบาท และอัตราหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ระดับ 50% ส่วนต้นทุนการเงินที่อัตราเฉลี่ย 2.30% ต่อปี ณ วันที่ 30 มิ.ย. 66 โดยมียอดขายที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) ประมาณ 19,804 ล้านบาท  ณ วันที่ 30 มิ.ย. 66 โดยคาดว่าจะสามารถทยอยโอนกรรมสิทธิ์ให้ลูกค้าและรับรู้เป็นรายได้ในปี 2566 อีกจำนวน 11,606  ล้านบาท พร้อมกันนี้บริษัทฯ ยังเดินหน้าสรรหาที่ดินในทุกทำเล สำหรับรองรับการพัฒนาโครงการใหม่ๆ เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของกลุ่มลูกค้าให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ และยังเตรียมส่งมอบคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทฯ เชื่อมั่นว่าสามารถทำผลงานถึงเป้ายอดขายและรายได้ที่ตั้งไว้เช่นเดิม   ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับผลประกอบการงวดครึ่งปีแรกให้แก่ผู้ถือหุ้น ในอัตราหุ้นละ 0.70 บาท โดยกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิเงินปันผล (XD) 22 ส.ค. 66 และจ่ายเงินปันผล วันที่  6 ก.ย. 66   อย่างไรก็ดี บริษัทฯ มั่นใจครึ่งปีหลัง 2566 ภาพรวมตลาดอสังหาฯ มีแนวโน้มเริ่มปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากปัจจัยบวกโดยเฉพาะการเติบโตของสภาพเศรษฐกิจและการขยายตัวของโครงสร้างพื้นฐาน ทำให้บริษัทฯ เตรียมเดินหน้าพัฒนาโครงการใหม่ รวม 27 โครงการ มูลค่ารวม 28,610 ล้านบาท เพื่อรองรับความต้องการของกลุ่มลูกค้า พร้อมนำเสนอสินค้าสร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่ทั้งโครงการแนวราบและคอนโดมิเนียมในทุกทำเล ด้วยการบริหารจัดการอย่างครบวงจร เพื่อให้ลูกค้าได้รับสินค้าที่ดีมีคุณภาพ ทำเลที่ดีที่สุด ในราคาที่เหมาะสม และสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้ามากที่สุด สามารถดำเนินธุรกิจให้เติบโตอย่างมั่นคง ยั่งยืนในระยะยาว เปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส ปรับธุรกิจและเตรียมพร้อมรับมือกับทุกการเปลี่ยนแปลง   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ศุภาลัย กวาดยอดขายครึ่งปี 17,285 ล้าน ลุยเปิด 27 โครงการใหม่
PROUD  โชว์งบครึ่งปีแรก โต 984%  กวาดยอดขาย 1,192 ล้าน

PROUD โชว์งบครึ่งปีแรก โต 984% กวาดยอดขาย 1,192 ล้าน

PROUD โชว์ผลประกอบการครึ่งปีแรก 2566 รายได้ 1,192 ล้าน โต 984% กำไรสุทธิ 147 ล้าน  แนวโน้มธุรกิจครึ่งปีหลัง เร่งโอนกรรมสิทธิ์ เตรียมปิดโครงการอินเตอร์คอนติเนนตัล เรสซิเดนเซส หัวหิน อัดโปรฯ กระตุ้นยอดขายโครงการคอนโดมิเนียมเวหา หัวหิน โครงการรมย์คอนแวนต์ คาดยอดขายทั้งปีตามเป้าหมาย 1,705 ล้าน เล็งขยายธุรกิจต่อ เตรียมลงทุนที่ดินเพิ่ม   นายภูมิพัฒน์ สินาเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ PROUD เปิดเผยว่า ผลประกอบการครึ่งปีแรก 2566 รายได้รวม 1,192 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,082 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 110  ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 984% และมีกำไรสุทธิ 147 ล้านบาท เพิ่มจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีขาดทุนสุทธิ 58 ล้านบาท ขณะที่ ผลประกอบการไตรมาส 2/66 มีรายได้รวม 288 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 178 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 110  ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 162% และมีกำไรสุทธิ 9 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีขาดทุนสุทธิ 20  ล้านบาท   ทั้งนี้ ผลประกอบการในส่วนของรายได้และกำไรปรับตัวเพิ่มขึ้น เป็นผลมาจากการขายและทยอยส่งมอบโครงการอินเตอร์คอนติเนนตัล เรสซิเดนเซส หัวหิน อีกทั้ง บริษัทฯ เร่งโอนกรรมสิทธิ์เตรียมปิด (Sold Out) โครงการอินเตอร์คอนติเนนตัล เรสซิเดนเซส หัวหิน มูลค่า 3.84 พันล้านบาท จำนวน 238 ยูนิต ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 92% หรือมูลค่ารวม 3,515 ล้านบาท มียอดขายรอโอน (Backlog) 229 ล้านบาท  คาดการโอนเสร็จสิ้นภายในไตรมาส 3/2566   อีกทั้ง บริษัทเดินหน้าจัดโปรโมชั่นกระตุ้นยอดขาย โครงการคอนโดมิเนียม ‘เวหา หัวหิน’(VEHHA)  คอนโดมิเนียมลักชัวรี่ที่สูงที่สุดบนทำเลศักยภาพในหัวหิน มูลค่าโครงการ 2,290 พันล้านบาท จำนวน 364 ยูนิต ปัจจุบัน มียอดขาย (Pre-Sale) แล้ว 33% โครงการ ‘รมย์ คอนแวนต์’ (ROMM Convent) คอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี ใจกลางเมือง บนทำเลศักยภาพที่หาได้ยากที่สุดแห่งหนึ่งบนถนนคอนแวนต์ -สาทร มูลค่าโครงการรวม 4,150 ล้านบาท  ปัจจุบัน มียอดขาย (Pre-Sale) แล้ว 32%  ภาพรวมยอดขายของบริษัทฯ ยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง จากการเดินหน้าขยายธุรกิจตามแผนการดำเนินงานที่วางไว้ คาดยอดขายทั้งปีเป็นไปตามเป้าหมาย 1,705 ล้านบาท สำหรับ ทิศทางธุรกิจในช่วงครึ่งหลังปี 2566 มีทิศทางที่ดี บริษัทฯ มองหาโอกาสในการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อขยายฐานการสร้างรายได้ให้กว้างขึ้น วางแผนซื้อที่ดินแปลงใหม่เพิ่ม รวมถึง มุ่งเน้นการพัฒนาโครงการตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย สามารถตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าให้ครอบคลุม   ทั้งนี้ การเข้าซื้อ 2 โครงการจาก บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จํากัด (มหาชน) หรือ NOBLE และ บริษัท ทีเอ็นแอล อัลไลแอนซ์ จำกัด ได้แก่ นิว ดิสทริค อาร์ 9 (NUE District R9 ) มูลค่าโครงการ 6,519 ล้านบาท และ "นิว ครอส คูคต สเตชัน (NUE Cross Khu Khot)" มูลค่าโครงการ 2,104 ล้านบาท ซึ่งมียอดขายแล้ว 100% คาดว่าเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดได้ในต้นปี 2567 เป็นต้นไป ปัจจุบันบริษัทฯ มียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) 9,800 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ตอนนี้จนถึงปี 2569   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -VI ARI บ้านเดี่ยวระดับ Ultra Luxury เริ่ม 82 ล้าน หนึ่งเดียวในย่านอารีย์      -บอร์ด โนเบิล ขาย 2 เงินลงทุนใน 2 โครงการ 867.57 ล้าน ให้ พราว เรียล เอสเตท  
ณวรางค์ แอสเซท ได้แรงหนุนสายสีชมพูสร้างใกล้เสร็จ  ส่ง “ณ รีวา รามอินทรา” รับลูกค้าย่านลาดปลาเค้า

ณวรางค์ แอสเซท ได้แรงหนุนสายสีชมพูสร้างใกล้เสร็จ ส่ง “ณ รีวา รามอินทรา” รับลูกค้าย่านลาดปลาเค้า

ณวรางค์ แอสเซท ชี้โซนลาดปลาเค้า กลายเป็นทำเลทองการอยู่อาศัย ดีมานด์พุ่งทั้งกลุ่มคนทำงาน-นักเรียนนักศึกษา รับอานิสงส์แผนเปิดใช้รถไฟฟ้า สายสีชมพู สายแคราย-มีนบุรี หลังการก่อสร้างคืบหน้ากว่า 97% เตรียมส่งโครงการ ณ รีวา รามอินทรา รองรับเทรนด์การเลือกซื้อที่อยู่อาศัยคนยุคปัจจุบัน เลือก “ทำเล” มาเป็นอันดับ 1 ชูจุดเด่นโครงการ เพียง 10 นาทีถึง ม.ศรีปทุม 18 นาทีถึง ม.เกษตรศาสตร์   นายอภิภู พรหมโยธี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ณวรางค์ แอสเซท จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ออกแบบโครงการเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้อยู่อาศัย เปิดเผยว่า ปัจจัยสำคัญของการเลือกที่อยู่อาศัยของคนยุคปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นคนเจเนอเรชั่นไหน ยังคงให้ความสำคัญกับทำเลที่ตั้งมาเป็นอันดับแรก เพราะต้องการใช้ชีวิตอยู่ในโครงการที่สามารถเดินทางไปยังจุดต่าง ๆ ได้สะดวก ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางไปทำงาน  เรียนหนังสือ การจับจ่ายใช้สอย หรือการพักผ่อน ซึ่งปัจจัยการเลือกอยู่อาศัยดังกล่าว ทำให้ผู้บริโภคจะเลือกโครงการที่อยู่ใกล้กับระบบการคมนาคมขนส่งที่สะดวกสบายมากที่สุด โดยเฉพาะอยู่ใกล้เส้นทางรถไฟฟ้า ทั้งเส้นทางรถไฟฟ้าเดิมที่เปิดให้บริการแล้ว เส้นทางรถไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง และมีแผนการเปิดให้บริการในเร็ว ๆ นี้   สำหรับรถไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง มีความคืบหน้าไปมาก และพร้อมจะเปิดให้บริการในเร็ว ๆ นี้ คือ รถไฟฟ้า สายสีชมพู เส้นทางแคราย-มีนบุรี ซึ่งเป็นระบบรถไฟฟ้ารางเดี่ยว หรือโมโนเรล ที่มีระยะทางยาว 34.5 กิโลเมตร จำนวน 30 สถานีหลัก โดยความคืบหน้าล่าสุดในเดือนมิถุนายน 2566 มีการก่อสร้างงานโยธา อยู่ที่ 96.97% งานระบบไฟฟ้า อยู่ที่ 97.34% มีความก้าวหน้าโดยรวมอยู่ที่ 97.15% มีการวางแผนเตรียมทดสอบเดินรถเสมือนจริงช่วงปลายปี 2566 และมีแผนเปิดให้บริการเป็นระยะ ๆ รวมถึงการเปิดให้บริการเต็มรูปแบบเชิงพาณิชย์ภายในเดือนมิถุนายน 2567 นายอภิภู กล่าวว่า จากแผนการพัฒนาและเปิดใช้บริการ เส้นทางรถไฟฟ้าสายสีชมพูที่มีความคืบหน้าและชัดเจน ส่งผลให้ตลอดเส้นทางรถไฟฟ้ากลายเป็นทำเลทองสำคัญของการอยู่อาศัย เกิดความต้องการเข้ามาอยู่อาศัยตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีชมพูอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในทำเลลาดปลาเค้า เนื่องจากเป็นถนนที่สามารถเชื่อมต่อไปยังจุดสำคัญ ๆ ของกรุงเทพมหานคร และพื้นที่ใกล้เคียงได้สะดวก เป็นทำเลที่ตั้งของสถานที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็น มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม สถานที่ราชการทางทหาร การเชื่อมต่อไปยังถนนสำคัญ อาทิ ถนนลาดพร้าว ถนนรามอินทรา ถนนเลียบทางด่วน-รามอินทรา ถนนเกษตร-นวมินทร์ และถนนพหลโยธิน   "ย่านลาดปลาเค้า เป็นจุดศูนย์กลางสำคัญแห่งใหม่ในกรุงเทพฯ ที่สามารถเชื่อมต่อไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลซีจีเอช สถานศึกษา หน่วยงานราชการมากมาย ศูนย์กีฬาต่าง ๆ ของกองทัพบก แหล่งช้อปปิ้ง ร้านอาหาร การใช้ชีวิตไลฟ์สไตล์กลางคืน เพื่อการกิน ดื่ม หรือแม้แต่การทำบุญหรือปฏิบัติธรรม อาทิ วัดพระศรีมหาธาตุวรวิหาร เรียกได้ว่ามีครบทุกความต้องการ และทุกไลฟ์สไตล์ของคนกรุงเทพฯ เลยก็ว่าได้​"  จากเทรนด์การเลือกที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคที่มุ่งเน้นในเรื่องทำเลที่ตั้งมาเป็นอันดับแรก บริษัทจึงวางนโยบายการดำเนินธุรกิจ ด้วยการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่ให้ความสำคัญกับเรื่องทำเลที่ตั้ง และออกแบบโครงการเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้อยู่อาศัยในทุกเจเนอเรชั่น ซึ่งที่ผ่านมามีโครงการต่าง ๆ มากมายที่พัฒนาออกมาและได้รับการยอมรับด้วยดีจากกลุ่มลูกค้า อาทิ โครงการคอนโดมิเนียมหรูบนถนนหลังสวน ใกล้เซ็นทรัลชิดลม และคอนโดมิเนียมวิวแม่น้ำเจ้าพระยา ณ รีวา เจริญนคร ซึ่งเป็นโครงการที่มีคุณภาพ ที่สำคัญตอบโจทย์ความต้องการอยู่อาศัยของลูกค้าที่ต้องการในทำเลนั้น ๆ ด้วย   นายอภิภู กล่าวอีกว่า จากการศึกษาและวิจัยตลาด ประกอบกับศักยภาพทำเลลาดปลาเค้า ที่ตั้งอยู่ใกล้เส้นทางรถไฟฟ้าสายสีชมพู จึงได้เตรียมเปิดตัวโครงการ ณ วีรา รามอินทรา เป็นโครงการคอนโดมิเนียมเพื่อการอยู่อาศัย ที่จับกลุ่มเป้าหมายทั้งกลุ่มผู้เริ่มต้นวัยทำงาน กลุ่มนักเรียนนักศึกษา และกลุ่มนักลงทุน ที่ต้องการซื้อเพื่อปล่อยเช่า ด้วยจุดเด่นของทำเลที่ตั้งอยู่ในซอยลาดปลาเค้า 72 ถนนลาดปลาเค้า ใช้เวลาเดินทางเพียง 3 นาทีถึงรถไฟฟ้าสายสีชมพู สถานีลาดปลาเค้า ใช้เวลาเพียง 10 นาทีถึงมหาวิทยาลัยศรีปทุม และ 18 นาทีถึงมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ นอกจากนี้ ยังใกล้ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลรามอินทรา The Jas รามอินทรา โดยบริษัทกำหนดเปิดการขายโครงการ ณ วีรา รามอินทรา ในช่วงปลายเดือนสิงหาคมนี้   โครงการ ณ วีรา รามอินทรา มีแนวคิดการออกแบบในสไตล์ Modern Minimal ห้องสไตล์โมเดิร์น กว้าง โปร่งสบาย แบ่งสัดส่วนอย่างลงตัวระหว่างห้องนอนกับ Living Area ภายในโครงการยังมีสิ่งอำนวยความสะดวก เพื่อการอยู่อาศัย อาทิ คลับเฮ้าส์ส่วนกลาง 2 ชั้น Co-working space เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการ Work from home สระว่ายน้ำ และห้องฟิตเนสที่มาพร้อมกับวิวธรรมชาติ ทำให้การออกกำลังกายได้อย่างเต็มที่ Rooftop เพื่อการชมบรรยากาศที่สวยงามของวิวกรุงเทพฯ ซึ่งชมวิวได้ทั้งช่วงเวลากลางวันและกลางคืน เพิ่มความอุ่นใจในการอยู่อาศัย ด้วยระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งระบบ CCTV & Security Guard   นายอภิภู กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทตั้งใจและมุ่งมั่นในการพัฒนา โครงการ ณ วีรา รามอินทรา เพื่อให้การอยู่อาศัยของลูกค้าสะดวกสบาย มีคุณภาพชีวิตที่ดี จึงเลือกทำเลลาดปลาเค้า เพราะมีศักยภาพการเติบโตทั้งในปัจจุบัน และอนาคต เนื่องจากกรุงเทพฯ มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และอนาคตอันใกล้รถไฟฟ้าสายสีชมพูจะเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ จะเข้ามาช่วยเสริมศักยภาพให้ทำเลลาดปลาเค้าน่าสนใจมากยิ่งขึ้น ซึ่งโครงการ ณ วีรา รามอินทราเหมาะสำหรับผู้ต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง หรือกลุ่มนักลงทุนที่มองหาโอกาสสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนด้วยการปล่อยเช่า เพราะเป็นทำเลที่เดินทางไปยังสถานศึกษา และแหล่งงานสำคัญต่าง ๆ ได้อย่างมากมาย สามารถปล่อยเช่าให้กับนักเรียน นักศึกษา และกลุ่มคนทำงานได้มหาศาล   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -[PR News] ณวรางค์ แอสเซท ปั้น “ณ รีวา เจริญนคร” รับเทรนด์ Well-being -ณวรางค์ แอสเซท เปิดคอนโด “ณ วรา พหลโยธิน 8” 300 ล้าน ลุยตลาดอสังหาฯ ไตรมาสสุดท้าย
ตลาดอสังหาฯ  ปี 66 เจอปัจจัยลบรอบด้าน  แอล ดับเบิลยู เอส ปรับลดคาดการณ์โตไม่เกิน 5%

ตลาดอสังหาฯ  ปี 66 เจอปัจจัยลบรอบด้าน แอล ดับเบิลยู เอส ปรับลดคาดการณ์โตไม่เกิน 5%

แอล ดับเบิลยู เอส ปรับลดการคาดการณ์ตลาดอสังหาฯ กรุงเทพ-ปริมณฑล ปี 2566 ลงมาอยู่ที่ 0-5% จากเดิม 10-15% เป็นผลจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยเติบโตต่ำกว่าที่คิด ภาระหนี้ครัวเรือน และอัตราดอกเบี้ยสูง รวมทั้งการยกเลิก LTV ที่กระทบโดยตรงต่อกำลังซื้อ   นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล ดับเบิลยู เอส วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด บริษัทวิจัยและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือบริษัท แอล. พี. เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล ในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 ว่า ถึงแม้เศรษฐกิจไทยในปีนี้จะเติบโตต่อเนื่องจากปี 2565 ที่ผ่านมา แต่อัตราการเติบโตมีแนวโน้มชะลอตัวกว่าที่คาดไว้ เนื่องจากเป็นการเติบโตกระจุกอยู่ในภาคธุรกิจบริการและการท่องเที่ยว ในขณะที่ภาคการส่งออกติดลบต่อเนื่องในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 ผนวกกับภาระหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้นมาแตะระดับ 90.6% อัตราดอกเบี้ยที่ยังคงมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่อง   คาดว่าสิ้นปี 2566 อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะอยู่ที่ไม่น้อยกว่า 2.25-2.5% ประกอบกับธนาคารแห่งประเทศไทยได้ยกเลิกมาตรการผ่อนคลายอัตราส่วนการอนุมัติสินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน(Loan-to-Value: LTV) โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 ผนวกกับความไม่แน่นอนทางการเมืองภายหลังการเลือกตั้ง ส่งผลให้กำลังซื้อที่อยู่อาศัยมีแนวโน้มชะลอตัวในช่วงครึ่งหลังของปี 2566   โดย “แอล ดับเบิลยู เอส” คาดว่าตลาดอสังหาฯ ในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑลปี 2566 จะใกล้เคียงกับปี 2566 หรือเติบโตไม่เกิน 5% โดยคาดว่าจะมีจำนวนหน่วยเปิดตัวใหม่ 105,000-108,000 หน่วย คิดเป็นมูลค่าประมาณ 474,000-488,000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2565 ที่มีจำนวนการเปิดตัว 103,000 หน่วยคิดเป็นมูลค่า 457,000 ล้านบาท 6 เดือนแรกปี 66 เปิดตัว 179 โครงการ   ขณะที่จากการสำรวจการเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ช่วงครึ่งแรกของปี 2566 ของ “แอล ดับเบิลยู เอส” พบว่า  ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์การเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ทั้งสิ้น 179 โครงการ เพิ่มขึ้น 9.81% จากระยะเดียวกันของปี 2565 คิดเป็นจำนวนหน่วยเปิดตัวรวมทั้งสิ้น 45,162 หน่วยในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 ลดลงจาก 13% จากจำนวนหน่วยเปิดตัวรวมที่ 51,946 หน่วย ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 ในขณะที่มูลค่าการเปิดตัวโครงการรวมในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 อยู่ที่ 203,016 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% จากมูลค่าการเปิดตัวที่ 188,373 ล้านบาท ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 โดยมีอัตราการขายเฉลี่ย ณ วันเปิดตัวโครงการอยู่ที่ 18% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 ลดลงจาก 25% ในระยะเดียวกันของปี 2565   จำนวนโครงการที่เปิดตัวเพิ่มขึ้นแต่จำนวนหน่วยเปิดตัวลดลงส่วนมูลค่าสูงขึ้น สะท้อนให้เห็นว่าผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์มีการเปิดตัวโครงการเพิ่มขึ้นโดยที่แต่ละโครงการมีจำนวนหน่วยการเปิดตัวลดลงและมีราคาขายที่สูงขึ้น โดยเฉพาะการเปิดตัวโครงการบ้านพักอาศัยที่เน้นตลาดบ้านราคาสูงมากขึ้นเพื่อตอบโจทย์กับความต้องการของผู้ซื้อ ในขณะที่การเปิดตัวอาคารชุดพักอาศัยมีการเปิดตัวจำนวนโครงการ หน่วยเปิดตัว และราคาลดลง จากการสำรวจของ “แอล ดับเบิลยู เอส” พบว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 จากจำนวนการเปิดตัวโครงการทั้งหมด 179 โครงการ แบ่งเป็น 1.โครงการอาคารชุดพักอาศัย (คอนโดมิเนียม) มีโครงการเปิดตัวจำนวน 45 โครงการ ลดลง 6.2% (YoY) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่เปิดตัวจำนวน 48 โครงการ มีจำนวนหน่วยเปิดตัวทั้งสิ้น 24,167 หน่วย ลดลง 21%(YoY) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีจำนวน 30,579 หน่วย มีมูลค่าเปิดตัว 68,561 ล้านบาท ลดลง 12% (YoY) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีมูลค่าเปิดตัว 78,078 ล้านบาท   โดยที่เดือนมิถุนายน 2566 มีจำนวนและมูลค่าการเปิดตัวโครงการสูงสุด มีจำนวนหน่วยเปิดตัวทั้งสิ้น 6,372 หน่วย เพิ่มขึ้น 58.9% คิดเป็นมูลค่า 18,504 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.77% เมื่อเทียบกับเดือนพฤษภาคม 2566  ในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 มีอัตราการขาย ณ วันเปิดตัวเฉลี่ยอยู่ที่ 28% ลดลงจาก 33% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่   3 ทำเลที่มีการเปิดตัวโครงการมากที่สุด ได้แก่ บางขันใกล้มหาวิทยาลัยกรุงเทพฯ รัชดา-ห้วยขวาง พัฒนาการ โดยราคาขายที่ได้รับความสนใจเป็นอาคารชุดที่ระดับราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท ที่ผู้ซื้อมีทั้งซื้อเพื่ออยู่อาศัยและเพื่อการลงทุน 2.โครงการบ้านพักอาศัย -มีการเปิดตัวทั้งสิ้น 134 โครงการ แบ่งเป็น โครงการบ้านพักอาศัยที่ระดับราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาท มีจำนวน 92 โครงการ เพิ่มขึ้น 2.22% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2565 ที่มีจำนวนการเปิดตัว 90 โครงการ มีจำนวนหน่วยเปิดตัวทั้งสิ้น 18,467 หน่วย ลดลง 4.52% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีจำนวน 19,343 หน่วย มีมูลค่า 75,203 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.18% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปี 2565 ที่มีมูลค่าการเปิดตัวอยู่ที่ 73,597 ล้านบาท ในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 มีราคาบ้านขายเฉลี่ยอยู่ที่ 4.07 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.1% จากราคาเฉลี่ยที่ 3.8 ล้านบาทต่อหน่วยในช่วงครึ่งแรกของปี 2565   3 ทำเลที่มีการเปิดตัวโครงการบ้านพักอาศัยราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาท สูงสุด  ได้แก่ รังสิต-นครนายก ประชาอุทิศ-พุทธบูชา นวนคร โดยมีราคาขายเฉลี่ยไม่เกิน 5 ล้านบาท โครงการบ้านพักอาศัยระดับราคาเกิน 10 ล้านบาท มีการเปิดตัวจำนวน 42 โครงการ เพิ่มขึ้น 68% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 25 โครงการ จำนวน 2,528 หน่วย เพิ่มขึ้น 24.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนจำนวน 2,024 หน่วย มูลค่ารวม 59,252 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 61.45% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีมูลค่ารวม 36,698 ล้านบาท ในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 มีอัตราการขายเฉลี่ย ณ วันเปิดตัวที่ 12% ลดลง15% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน  ราคาขายเฉลี่ยของบ้านพักอาศัยระดับราคาเกิน 10 ล้านบาทอยู่ที่ 23.43 ล้านบาทต่อหน่วย เพิ่มขึ้น 29.23% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 18.13 ล้านบาทต่อหน่วย เนื่องจากจำนวนและมูลค่าโครงการที่เพิ่มขึ้น 3 ทำเลที่มีการเปิดตัวโครงการบ้านราคาเกิน 10 ล้านบาทสูงสุดได้แก่ สรงประภา-ดอนเมือง พหลโยธิน-รังสิต และ วัชรพล โดย มีอัตราการขายเฉลี่ยสูงสุดที่ 19% นายประพันธ์ศักดิ์ กล่าวว่า จากข้อมูลการเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 จะเห็นได้ว่าผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ได้มีการปรับกลยุทธ์เปิดตัวโครงการบ้านพักอาศัยที่มีระดับราคาสูงเพิ่มขึ้นเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของกำลังซื้อที่มีอยู่ในตลาดนี้ ในขณะเดียวกันตลาดที่อยู่อาศัยราคาเกิน 10 ล้านบาทเป็นตลาดที่มีอัตราการปฏิเสธสินเชื่อ หรือ Rejection Rate ต่ำสุดเมื่อเทียบกับตลาดที่อยู่อาศัยในกลุ่มที่ระดับราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาท   ทั้งนี้ จากสถานการณ์ในช่วงครึ่งแรกของปีที่ผู้ประกอบการอสังหาฯ ชะลอแผนการเปิดตัวโครงการใหม่โดยเฉพาะในกลุ่มอาคารชุดพักอาศัย ทำให้ แอล ดับเบิลยู เอส คาดการณ์ว่าการเปิดตัวโครงการใหม่ในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 จะยังคงมีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่องจากครึ่งแรกของปี โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 3 ที่ทิศทางการเมืองยังมีความไม่แน่นอนสูง ทำให้ผู้ประกอบการอสังหาฯ น่าที่จะชะลอการเปิดตัวโครงการใหม่ในช่วงไตรมาส 3 โดยเฉพาะโครงการอาคารชุดพักอาศัย แต่จะไปเร่งเปิดตัวในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ถ้าทิศทางการเมืองมีความแน่นอนมากยิ่งขึ้น จากสถานการณ์ดังกล่าว ทำให้เราคาดการณ์ว่าตลาดอสังหาฯ ในปี 2566 ทั้งปีจะมีอัตราการเติบโตใกล้เคียงกับปี 2565 หรือไม่ก็เติบโตไม่เกิน 5% ซึ่งปรับลดจากที่เราคาดการณ์ไว้ก่อนหน้าว่าจะเติบโตที่ 10-15% อย่างไรก็ตาม  ผู้ประกอบการอสังหาฯ ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีแนวโน้มที่จะขยายการเปิดตัวโครงการไปในทำเลต่างจังหวัดมากขึ้น เพื่อขยายฐานลูกค้าและเพิ่มยอดขาย หลังจากที่เผชิญกับสถานการณ์ที่กำลังซื้อในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑลชะลตัว เราจะเห็นผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาด มีการเปิดตัวโครงการในต่างจังหวัด ที่ไกลกว่าทำเลปริมณฑลมากขึ้น ทั้งพื้นที่ EEC และพื้นที่ท่องเที่ยวอย่างภูเก็ต เพื่อสร้างยอดขายและสร้างฐานรายได้ใหม่     อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -LWS วิสดอม ชี้ “ราชพฤกษ์” แหล่งบ้านขายดีราคา 5.5-6 ล้าน ได้ระบบคมนาคมหนุน ทั้งถนน-รถไฟฟ้า-ทางด่วน -5 ธุรกิจบริการ เสริมนวัตกรรมดิจิทัล ที่ตอบโจทย์วิถีชีวิตใหม่ หลังโควิด-19
เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้  โชว์ผลงานรายได้-กำไร Q3/66  พร้อมรายได้ 9 เดือนกว่า 11,598 ล้าน

เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โชว์ผลงานรายได้-กำไร Q3/66 พร้อมรายได้ 9 เดือนกว่า 11,598 ล้าน

เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โชว์ผลงานไตรมาส 3 ทำรายได้ 4,468 ล้าน พร้อมกำไรสุทธิ 396 ล้าน​ หลังธุรกิจที่อยู่อาศัยได้รับแรงตอบรับดี ได้บ้านเดี่ยวเซกเมนต์ระดับบนหนุน ขณะที่ธุรกิจอุตสาหกรรม – พาณิชยกรรมสร้างรายได้จากค่าเช่าและค่าบริการเติบโตสูง รับอานิสงส์การย้ายและขยายฐานการลงทุนมาไทย รวมถึงการท่องเที่ยวที่ขยายตัวเต็มที่ ส่วนผลประกอบการ 9 เดือนตุนรายได้ 11,598 ล้านบาท     นายธนพล ศิริธนชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ช่วงไตรมาส 3 ปีงบประมาณ 2566 (เมษายน – มิถุนายน 2566) บริษัทสามารถสร้างรายได้รายได้รวม 4,468 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% จากไตรมาส 2 ของปีงบประมาณ 2566 (มกราคม – มีนาคม 2566) มี จาก 3,424 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 396 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25% จากไตรมาสก่อนหน้าที่มีกำไร 318 ล้านบาท   บริษัทยังคงเดินหน้าตามแผนธุรกิจอย่างรอบคอบ โดยให้ความสำคัญในการบริหารจัดการเงินทุน เพื่อรักษาเสถียรภาพและคงสภาพคล่องทางการเงิน รองรับโอกาสการฟื้นตัวของตลาด ภายใต้กลยุทธ์ที่ยืดหยุ่นในการรับมือสภาวะเศรษฐกิจ รวมถึงเสริมความพร้อมเข้าลงทุนธุรกิจที่มีศักยภาพในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับกิจการควบคู่กับการบริหารจัดการองค์กร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานตามเป้าหมาย สำหรับไตรมาส 3 กลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัยสร้างรายได้ 2,708 ล้านบาท เป็นผลมาจากการออกแคมเปญการตลาดอย่างต่อเนื่อง และสามารถสื่อสารถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงสามารถกวาดยอดขายได้ 6,134 ล้านบาท โดยเฉพาะบ้านเดี่ยวราคา 10 ล้านบาทขึ้นไปได้รับการตอบรับดี ซึ่งไตรมาส 3 ได้เปิดโครงการอัลพีน่า พระราม 2 บ้านเดี่ยวระดับลักชัวรี่ ราคา 20 – 35 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 2,200 ล้านบาท   ขณะที่สิ้นไตรมาสบริษัทมีโครงการดำเนินการอยู่ 78 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 108,700 ล้านบาท  ส่วนในไตรมาส 4 ของปีงบประมาณ 2566 (กรกฎาคม - กันยายน 2566) บริษัทเตรียมเปิดตัวบ้านและทาวน์โฮมเพิ่มอีก 2 โครงการ รวมมูลค่า 2,830 ล้านบาท  ปัจจุบันบริษัทมีแบ็กล็อกอีกกว่า 1,000 ล้านบาทที่จะช่วยผลักดันผลการดำเนินงานเติบโตต่อเนื่อง   ส่วนกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมและอสังหาริมทรัพย์เพื่อพาณิชยกรรมสามารถทำรายได้จากค่าเช่าและค่าบริการได้ถึง 710 ล้านบาท แรงหนุนมาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมที่ได้รับอานิสงส์จากยุทธศาสตร์ China Plus One และภูมิศาสตร์การเมืองโลกที่เปลี่ยนแปลง ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติย้ายฐานและขยายการลงทุนมายังประเทศไทย ซึ่งมีที่ตั้งบนทำเลยุทธศาสตร์พร้อมด้วยศักยภาพที่เหมาะกับการเป็นฐานการผลิต ทำให้โรงงานและคลังสินค้าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้เช่า โดยบริษัทได้ส่งมอบอาคารคลังสินค้าแบบสร้างตามความต้องการ (Built-to-Suit) ให้กับผู้ให้บริการโลจิสติกส์รายใหญ่อันดับต้นของเอเชียแปซิฟิก มีพื้นที่ใช้สอยรวม 20,000 ตร.ม. ในโครงการเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ (บางพลี 7) เฟส 2 จังหวัดสมุทรปราการ และสามารถรักษาอัตราการเช่าของพอร์ตโฟลิโอได้สูงถึง 86%   ด้านกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อพาณิชยกรรม พอร์ตโฟลิโอของอาคารสำนักงานให้เช่าเกรดเอในพื้นที่ CBD และโครงการมิกซ์ยูสมีอัตราการเช่าสูงถึง 93% ด้วยความสามารถในการบริหารจัดการที่รองรับการใช้งานของผู้เช่า ผู้ใช้อาคาร และลูกค้าได้อย่างครอบคลุม   ล่าสุด อาคารที่อยู่ภายใต้การบริหารจัดการทั้งปาร์คเวนเชอร์ เอฟวายไอ เซนเตอร์ และสามย่านมิตรทาวน์ผ่านการรับรองจาก WiredScore มาตรฐานระดับโลกการันตีความสามารถด้านการเชื่อมต่อและโครงสร้างด้านสาธารณูปโภคดิจิทัลของอาคารเทียบเท่าในระดับสากล ส่วนศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์และสีลมเอจมีทราฟฟิกสูงต่อเนื่อง เป็นผลจากการฟื้นตัวของการบริโภคภายในประเทศ และนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาในไทยมากขึ้น ซึ่งจากการขยายตัวของภาคท่องเที่ยวได้ส่งผลบวกต่อธุรกิจโรงแรมด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ จากรายได้ของธุรกิจโรงแรมที่เติบโตขึ้น รวมถึงรายได้ค่าบริหารจัดการ การขายที่ดิน และการจำหน่ายเงินลงทุนในบริษัท ย่อยที่ดำเนินธุรกิจด้านดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นไปตามกลยุทธ์ของ FPT ที่ปรับการใช้เงินลงทุนในอนาคตเพื่อมุ่งเน้นการลงทุนในกลุ่มธุรกิจหลัก ส่งผลให้ในไตรมาสนี้ บริษัทรับรู้รายได้อื่น ๆ รวม 1,050 ล้านบาท สำหรับโครงการในอนาคต FPT มีแผนพัฒนาสินทรัพย์โครงการเมย์แฟร์ แมริออท เอ็กเซกคิวทีฟ อพาร์ตเมนต์ (Mayfair Marriott Executive Apartment)  เป็นโครงการคอนโดมิเนียมระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ เพื่อเป็นการต่อยอดทางธุรกิจ และเพิ่มผลตอบแทนให้กับบริษัทในระยะยาว   สำหรับผลประกอบการรอบระยะเวลา 9 เดือนของปีงบประมาณ 2566 (ตุลาคม 2565 – มิถุนายน 2566) FPT มีรายได้รวม 11,598 ล้านบาท เป็นรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ 7,691 ล้านบาท รายได้ค่าเช่าและค่าบริการ 2,061 ล้านบาท และรายได้อื่น ๆ 1,846 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,031 ล้านบาท   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม ปรับแผนธุรกิจปี 65 เพิ่มพอร์ต บ้านหรู ปูทางโตอย่างยั่งยืน เล็งรายได้คอนโด 20% -เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ​โชว์กำไร 6 เดือน เฉียดพันล้าน หลังใช้ธุรกิจเชิงรุก -ผลดีการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
เปิด 5 ทำเล ราคาที่ดินปรับสูงใน Q2/66  บางพลี-บางบ่อ-บางเสาธง ขยับมากสุด 54.9%

เปิด 5 ทำเล ราคาที่ดินปรับสูงใน Q2/66 บางพลี-บางบ่อ-บางเสาธง ขยับมากสุด 54.9%

ราคาที่ดิน REIC เผย ราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนา ในกรุงเทพฯ - ปริมณฑล ไตรมาส 2 ปี 2566​ ชะลอตัวลง​มีค่าดัชนีเท่ากับ 376.5 จุด เพิ่มขึ้น​ 6.2% จากปีก่อน​ แต่ลดลง​ 2.4%​ จากไตรมาสก่อนหน้า ​เหตุเริ่มมีการชะลอตัวของตลาดจากปัจจัยลบต่าง ๆ     ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ รักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC) เปิดเผยว่าดัชนีราคาที่ดิน เปล่าก่อนการพัฒนา ในกรุงเทพฯ - ปริมณฑล ไตรมาส 2 ปี 2566 มีค่าดัชนีเท่ากับ 376.5 จุด เพิ่มขึ้น 6.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) ลดลง 2.4% ซึ่งแสดงให้เห็นว่าราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนายังคงมีทิศทางที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่มีการชะลอตัวจากไตรมาสแรก   โดยอัตราการเพิ่มของดัชนีราคาที่ดินในไตรมาสนี้ ยังเป็นการเพิ่มที่ไม่สูงเมื่อเปรียบเทียบกับการปรับเพิ่มขึ้นของอัตราค่าเฉลี่ย 5 ปี ในช่วงก่อนเกิดวิกฤต COVID-19 (ปี 2558 – 2562) ซึ่งมีอัตราเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 14.8% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2565 (YoY) อีกทั้งยังมีอัตราเฉลี่ยของอัตราการเปลี่ยนแปลงจากไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) ที่เพิ่มขึ้นถึง 4.1% แสดงให้เห็นอัตราเร่งของดัชนีราคาที่ดินในช่วงดังกล่าวที่สูงกว่าปัจจุบัน ปัจจัยที่ทำให้ราคาที่ดินเปล่ามีการเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวลง เนื่องจากการที่เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปี 2566 มีการขยายตัวลดลงกว่าที่คาดการณ์ไว้ รวมทั้งการยกเลิกการผ่อนคลายมาตรการ LTV ของ ธปท. และภาวะหนี้ครัวเรือนที่ยังคงมีอัตราส่วนที่สูงถึง 90% ของ GDP  อีกทั้งเป็นช่วงภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยที่จะทำให้ความสามารถในการซื้อและการผ่อนชำระที่อยู่อาศัยของประชาชนลดลง ส่งผลให้กำลังซื้อที่อยู่อาศัยชะลอตัว ผู้ประกอบการจึงชะลอแผนในการเปิดขายโครงการใหม่ในปีนี้ถึงปี 2567 มีผลให้เกิดการชะลอการซื้อที่ดินเปล่าเพื่อรองรับการพัฒนาลงบ้างในหลายทำเล ประกอบกับรัฐบาลได้ประกาศจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเต็มอัตราในปี 2566 จึงทำให้ผู้ประกอบการต้องปรับแผนการซื้อที่ดินสะสมเพื่อรองรับการพัฒนาโครงการในอนาคต  ส่งผลให้ความต้องการซื้อที่ดินสะสมในตลาดเพื่อเป็น Land Bank ลดลง เพื่อควบคุมภาระต้นทุนจากการถือครองที่ดิน โดยภาระภาษีที่ดินฯ ซึ่งเป็นต้นทุนในการพัฒนาโครงการในระยะต่อไป 5 ทำเล ราคาที่ดินเพิ่มสูงสุด ในไตรมาส 2 ปี 2566 REIC พบว่าโซนที่มีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นสูงสุด 5 อันดับแรก เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน (YoY) มีดังนี้ อันดับ 1 ได้แก่ ที่ดินในโซนบางพลี-บางบ่อ-บางเสาธง มีอัตราการเปลี่ยนราคามากถึง 54.9% อันดับ 2 ได้แก่ ที่ดินในโซนสมุทรสาคร มีอัตราการเปลี่ยนราคา  26.1% อันดับ 3 ได้แก่ ที่ดินในโซนเมืองปทุมธานี-ลาดหลุมแก้ว-สามโคก มีอัตราการเปลี่ยนราคาราคา 17.6% อันดับ 4 ได้แก่ ที่ดินในโซนราษฎร์บูรณะ-บางขุนเทียน-ทุ่งครุ-บางบอน-จอมทอง มีอัตราการเปลี่ยนราคาราคา 17.5% อันดับ 5 ได้แก่ ที่ดินในโซนเมืองสมุทรปราการ-พระประแดง-พระสมุทรเจดีย์ มีอัตราการเปลี่ยนราคาราคา 11.4% จากภาวะราคาที่ดินที่มีการเปลี่ยนแปลงข้างต้น สะท้อนให้เห็นว่าที่ดินที่อยู่บริเวณพื้นที่ชานเมืองของกรุงเทพฯและปริมณฑลมีการเปลี่ยนแปลงของราคามาก เนื่องจากที่ดินที่อยู่บริเวณพื้นที่ชานเมืองมีราคาไม่แพงและยังสามารถนำไปใช้ในการพัฒนาเป็นที่อยู่อาศัยแนวราบได้ ซึ่งทำให้สามารถควบคุมต้นทุนของราคาที่อยู่อาศัยให้สอดคล้องกับความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยได้ ทั้งนี้ โซนเหล่านี้เป็นโซนที่มีการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเป็นจำนวนมาก และที่สำคัญเป็นโซนที่มียอดขายในระดับต้น ๆ อีกด้วย 5 ทำเลรถไฟฟ้ารถไฟฟ้าราคาเพิ่มสูง สำหรับราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาในแนวเส้นทางที่มีรถไฟฟ้าผ่านในไตรมาสนี้ พบว่าเส้นทางรถไฟฟ้า 5 อันดับแรกที่มีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นสูงสุดเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน (YoY)  ส่วนใหญ่เป็นที่ดินที่มีโครงการรถไฟฟ้าเปิดให้บริการแล้ว และเป็นโครงการในอนาคตที่มีการเชื่อมต่อกับพื้นที่สำคัญด้านพาณิชยกรรมและเป็นพื้นที่ที่มีการพัฒนาโครงการอยู่ในปัจจุบัน โดยมีรายละเอียด ดังนี้ อันดับ 1 ได้แก่ สายสีเขียว (สมุทรปราการ-บางปู) และ สายสีเขียว (แบริ่ง-สมุทรปราการ) เป็นโครงการในอนาคตและโครงการที่เปิดให้บริการแล้ว ซึ่งมีค่าดัชนีเท่ากับ 256.6 จุด และ 252.8 จุด ตามลำดับ และอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้น 11.4% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยราคาที่ดินในเขตเมืองสมุทรปราการและพระสมุทรเจดีย์ เป็นบริเวณที่มีราคาปรับเพิ่มขึ้นมาก อันดับ 2 ได้แก่ สายสีม่วง (บางใหญ่-เตาปูน) เป็นโครงการในอนาคต ซึ่งมีค่าดัชนีเท่ากับ 415.1 จุด และอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้น 4.5% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยราคาที่ดินในเขตเมืองนนทบุรี บางใหญ่ และบางบัวทอง เป็นบริเวณที่มีราคาปรับเพิ่มขึ้นมาก อันดับ 3 ได้แก่ MRT และสายสีแดงเข้ม (บางซื่อ-หัวลำโพง) เป็นโครงการที่เปิดให้บริการแล้วและโครงการในอนาคต ซึ่งมีค่าดัชนีเท่ากับ 474.4 จุด และ 467.0 จุด ตามลำดับ และอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้น  3.8% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยราคาที่ดินในเขตจตุจักร ห้วยขวาง และพญาไท เป็นบริเวณที่มีราคาปรับเพิ่มขึ้นมาก อันดับ 4 ได้แก่ สายสีเขียว (หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต) และ สายสีแดงเข้ม (บางซื่อ-มธ.รังสิต)  ซึ่งเป็นโครงการที่เปิดให้บริการแล้ว ซึ่งมีค่าดัชนีเท่ากับ 443.4 และ 436.6 จุด ตามลำดับ และอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้น 3.3% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยราคาที่ดินในเขตบางเขน หลักสี่ ดอนเมือง และคลองหลวง เป็นบริเวณที่มีราคาปรับเพิ่มขึ้นมาก อันดับ 5 ได้แก่ สายสีแดงเข้ม (หัวลำโพง-มหาชัย) เป็นโครงการในอนาคต ซึ่งมีค่าดัชนีเท่ากับ 440.4 จุด และอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้น 2.4% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยราคาที่ดินในเขตจอมทอง บางบอน และบางขุนเทียน เป็นบริเวณที่มีราคาปรับเพิ่มขึ้นมาก อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -REIC เปิด 5 ทำเลราคาที่ดินยังพุ่งสูง​​ ท่ามกลางโควิด-19 ระรอกใหม่ -ทำเลส่วนต่อขยายรถไฟฟ้า ราคาที่ดินก่อนการพัฒนาเพิ่มกว่า 21%