“สัมมากร” ครึ่งแรกกวาดรายได้กว่า 716 ล้าน ขณะที่ไตรมาส 3 ยอดขายโต 20% หลังปรับกลยุทธ์สู้โควิด-19 ล่าสุดจับมือ “แอสเซท โปร” ขยายตลาดลักชัวรี่ ปั้นโปรเจ็กต์ “โพรวิเดนซ์ เลน เอกมัย-รามอินทรา” บ้านเดี่ยวเริ่มต้น 30 ล้าน เล็งเปิดอีก 2 โครงการปลายปี 350 ล้าน
นายณพน เจนธรรมนุกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท สัมมากร จำกัด (มหาชน) หรือ SAMCO เปิดเผยว่า ช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 716.39 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 6.52% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2563 ที่มีรายได้รวมจำนวน 672.52 ล้านบาท และตลอดปี 2563 มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,701.50 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาส 3 สามารถสร้างยอดขายเติบโต 28% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้ว่าตลอดทั้งปีนี้จะมีสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
เหตุผลสำคัญที่ส่งผลให้การดำเนินงานของบริษัทในช่วงที่ผ่านมายังเติบโตได้ เป็นเพราะบริษัทได้ติดตามและประเมินผลกระทบต่าง ๆ เพื่อปรับแผนการดำเนินงานให้ทันต่อสถานการณ์ดังกล่าวเสมอ ไม่ว่าจะเป็นภาพรวมขององค์กรและสินค้า ที่มีการปรับเปลี่ยนทั้งภาพลักษณ์ ฟังก์ชั่น ดีไซน์ ให้มีความทันสมัย สามารถตอบโจทย์ความต้องการแต่ละเซกเมนต์ ของตลาด และตลาดยังมีกลุ่มลูกค้าเรียลดีมานด์
ตอนนี้ตลาดมีการแข่งขันค่อนข้างมาก โดยเฉพาะช่วงสถานการณ์ที่มีปัจจัยลบเข้ามาส่งผลกระทบ ทำให้กลุ่มผู้ประกอบการต่างต้องหาวิธีเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจของตนเองให้ยังดำเนินต่อไป ซึ่งที่ผ่านมาเรามีการปรับตัวอยู่เสมอ โดยเฉพาะเรื่องการพัฒนาระบบภายในเพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพและเท่าทันต่อความต้องการของลูกค้า ทั้งในด้านการพัฒนาโครงการและการทำแคมเปญตลาด
สำหรับแผนธุรกิจในไตรมาสสุดท้าย บริษัทได้เริ่มจัดทำแคมเปญการตลาด ขณะเดียวกันได้วางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ในช่วงปลายปีอีก 2 โครงการ รวมมูลค่า 350 ล้านบาท ในย่านเอกมัยและรามอินทรา ซึ่งปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอรับรู้รายได้ 200-300 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้ปีนี้มีรายได้รวมเติบโตกว่าปีที่ผ่านมา 20%
ล่าสุด บริษัทได้ขยายฐานลูกค้าไปสู่กลุ่มลูกค้าระดับบน ด้วยการลงทุนสัดส่วน 51% กับ บริษัท แอสเซท โปร กรุ๊ป จำกัด ในสัดส่วน 49% พัฒนาโครงการโพรวิเดนซ์ เลน เอกมัย-รามอินทรา (PROVIDENCE LANE Ekkamai-Ramintra) บ้านเดี่ยวระดับลักชัวรี่ 3 ชั้น จำนวน 12 ยูนิต มีขนาดตั้งแต่ 64.5 – 100.4 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 428 – 712 ตารางเมตร พร้อมลิฟท์และสระว่ายน้ำส่วนตัว บนทำเลเอกมัย-รามอินทรา ขนาดพื้นที่โครงการกว่า 3 ไร่ มูลค่าโครงการกว่า 500 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นการขยายตลาดบ้านหรูครั้งแรกของบริษัทในรอบ 50 ปี โดยมีราคาราคาขายเริ่มต้น 30 ล้านบาท เตรียมเปิดพรีเซลในวันที่ 9 -10 ตุลาคมนี้
สำหรับโครงการ PROVIDENCE LANE Ekkamai-Ramintra ถูกพัฒนาภายใต้คอนเซ็ปต์ “Defining Me” เพื่อตอบโจทย์ผู้ที่ใส่ใจและให้ความสำคัญกับความเป็นตัวเอง สนุกสนานกับทุกสิ่งที่ทำ เปรียบเหมือนจิตรกรที่กำลังแต่งแต้มผลงานมาสเตอร์พีซบนผืนผ้าใบ ด้วยรูปแบบดีไซน์ Bauhaus (บาวเฮ้าส์) ผสมผสานระหว่างฟังก์ชั่นที่ทันสมัยกับความสวยงามของศิลปะ สะท้อนให้เห็นถึงรสนิยมของผู้พักอาศัยที่ต้องการความต่างอย่างลงตัว เน้นเจาะกลุ่มนิชมาร์เก็ตคนรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นคนโสดหรือกำลังเริ่มสร้างครอบครัว
ด้าน นางสาวอลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) จำกัด (CBRE) ที่ปรึกษาด้านงานขาย กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ได้ส่งผลต่อสภาวะเศรษฐกิจและมีผลกระทบต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยรวมที่ชะลอตัว ทั้งนี้ตลาดบ้านเดี่ยวถือว่าเป็นตลาดที่ได้รับผลกระทบน้อยกว่าตลาดคอนโดมิเนียมเพราะเป็นตลาดของผู้อยู่อาศัยเอง (End User) เป็นหลัก
ตลาดบ้านเดี่ยวโดยเฉพาะระดับลักชัวรี่ที่มีราคาตั้งแต่ 30 ล้านบาทขึ้นไป ยังค่อนข้างคึกคัก มีการเปิดตัวสูงถึง 439 หลังในปี 2563 และมียอดขายอยู่ในเกณฑ์คงที่ประมาณ 60–68% ปัจจัยสำคัญเพราะเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง ประกอบกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้คนเห็นความสำคัญของบ้านมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องพื้นที่และฟังก์ชั่นการใช้งาน ทำเลที่ได้รับความนิยมมากอันดับต้น คือ กรุงเทพฯ ชั้นในฝั่งตะวันออกและตอนเหนือ โดยทำเลกรุงเทพฯ ชั้นในฝั่งตะวันออกมีโครงการมากสุดถึง 1,073 หลัง ส่วนฝั่งเหนือ มีซัพพลายน้อยกว่าด้วยข้อจำกัดของที่ดิน ทำให้มีอัตราการดูดซับดีที่สุดและมียอดขายไปแล้ว 87%
ในด้านพฤติกรรมของผู้บริโภคเนื่องด้วยสถานการณ์ปัจจุบันส่งผลลูกค้ากลุ่มนี้ให้ความสำคัญเรื่องพื้นที่ใช้สอยและฟังก์ชั่นต่างๆ ที่ต้องสามารถปรับเปลี่ยนเพื่อรองรับกิจกรรมที่หลากหลาย มีพื้นที่สีเขียวที่เชื่อมต่อกับพื้นที่ภายในบ้าน มีการนำเอานวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาช่วยอำนวยความสะดวก อาทิ ERV (Energy Recovery Ventilator) เครื่องแลกเปลี่ยนอากาศ ที่ช่วยดูดความร้อนออกจากบ้านและเติมความเย็นเข้าไปในตัวบ้านทำให้บ้านเย็น เป็นต้น และอีกสิ่งที่ขาดไม่ได้คือเรื่องทำเล ลูกค้ากลุ่มนี้จะให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมรอบโซนที่อยู่อาศัย เน้นใกล้เมืองที่สามารถเดินทางเข้าออกได้ หลายทาง เชื่อมต่อไปยังโซนต่างๆ ได้ง่าย และมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน