Tag : Co-working Space

48 ผลลัพธ์
เปิดแผนธุรกิจ “คิวบ์ เรียล พร็อพเพอร์ตี้” ก่อนสู่มหาชน

เปิดแผนธุรกิจ “คิวบ์ เรียล พร็อพเพอร์ตี้” ก่อนสู่มหาชน

เปิดแผยธุรกิจ "คิวบ์ เรียล พร็อพเพอร์ตี้" เดินหน้าปั้นโปรเจ็กต์คอนโดฯ ปีละ 2,000-2,500 ล้าน ก่อนนำบริษัทสู่ตลาดหลักทรัพย์  ระดมทุนพัฒนาโครงการทั้งแนวราบ-แนวสูง   บริษัท คิวบ์ เรียล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เริ่มต้นธุรกิจมาตั้งแต่ช่วงปี 2533 เดิมใช้ชื่อบริษัท ธันยธร จำกัด  โดย 2 นักธุรกิจ อย่างนายภูมินทร์ ปิยะวานิชย์ และนายวิชิต อำนวยรักษ์สกุล ที่มองเห็นการขยายตัวของตลาดที่อยู่อาศัย สำหรับคนเมือง โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมซึ่งมีความต้องการสูงอย่างต่อเนื่อง  ประกอบกับมีที่ดินถืออยู่ในมือหลายแปลง และแต่ละแปลงก็มีศักยภาพในการพัฒนาโครงการ   แต่ในช่วงปี 2540 ได้หยุดดำเนินธุรกิจไประยะหนึ่ง เนื่องจากเกิดปัญหาวิกฤษเศรษฐกิจทำ จนกระทั่งปี 2554 ได้กลับมาพัฒนาโครงการใหม่อีกครั้ง ภายใต้ชื่อ The Cube Condominium (เดอะ คิวบ์ คอนโดมิเนียม) ซึ่งจดทะเบียนบริษัทใหม่เป็น “คิวป์ เรียล พร็อพเพอร์ตี้” จนปัจจุบันมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว 11 โครงการและยังมีอีกหลายโครงการ ที่กำลังจะเปิดตัวอีกในอนาคตอันใกล้     ปัจจุบันบริษัทมีทุนจดทะเบียน 165 ล้านบาท ต้นปี 2563 มีแผนเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 225 ล้านบาท หลังจากนั้น จะนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แปลงสภาพจากบริษัทจำกัด สู่การเป็นบริษัทมหาชน  โดยวางแผนเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 300 ล้านบาท เป้าหมายสำคัญในการระดมทุน คือ การนำเงินมาต่อยอดและพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่อง   The Cube ปั้นโปรเจ็กต์ปีละ2,500ล้าน   นายวิชิต  อำนวยรักษ์สกุล  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัท คิวบ์ เรียล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด  แนวทางการพัฒนาโครงการในแต่ละปีนั้น บริษัทกำหนดกรอบการพัฒนาไว้ 4-6 โครงการมูลค่าประมาณ​2,000-2,500 ล้านบาท แต่ละโครงการจะมีจำนวนยูนิตเฉลี่ย 300 ยูนิต มีมูลค่าโครงการประมาณ 600-700 ล้านบาท บริษัทไม่เน้นการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่หลัก 1,000-2,000 ล้านบาท เนื่องจากเน้นกระจายความเสี่ยง และไม่ให้ธุรกิจมีความเสี่ยงมากเกินไป  โดยมุ่งเน้นการพัฒนาโครงการคอนโดฯ เป็นหลักด้วยสัดส่วน 80-85%   สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจในปีนี้ ได้เปิดตัวโครงการคอนโดฯ 4 โครงการรวมมูลค่า 2,500 ล้านบาท ได้แก่ โครงการ The Cube North แจ้งวัฒนะ 12 The Cube South แจ้งวัฒนะ 15/1  โครงการล่าสุดThe Cube Loft ศรีนครินทร์-เทพารักษ์ บนเนื้อที่กว่า 2 ไร่ มูลค่าโครงการ 600 ล้านบาท  ส่วนโครงการสุดท้ายของปีนี้ จะเปิดโครงการรูปแบบโฮมออฟฟิศ  ภายใต้แบรด์ “เดย์ส รามอินทรา-วัชรพล” ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 9 ไร่  จำนวน 76 ยูนิต ราคา 7-9 ล้านบาท  มูลค่าโครงการ  700 ล้านบาท   The Cube เตรียมปั้นโครงการไฮไลท์   สำหรับแผนธุรกิจในปี 2563 บริษัทเตรียมนำเอาที่ดินซึ่งมีอยู่ 3 แปลง  ซึ่งเป็นทำเลตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้า มาพัฒนาโครงการคอนโดฯ​ อย่างต่อเนื่อง เป็นโครงการโลว์ไรซ์ ประมาณ 300 ยูนิต มูลค่าโครงการละ 600-700 ล้านบาท  ขณะเดียวกันยังมองหาที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการแนวราบด้วย  ซึ่งจะพัฒนาโครงการทาวน์โฮมระดับราคาประมาณ 3 ล้านบาท     ในปีหน้าบริษัทคาดว่าจะมียอดรับรู้รายได้ 1,600-1,700 ล้านบาท มียอดขาย ซึ่งมีโครงการอยู่ระหว่างการก่อสร้างและกำหนดแล้วเสร็จในปีหน้า ได้แก่ The Cube Loft นวลจันทร์ The Cube Loft ลาดพร้าว 107 The Cube North แจ้งวัฒนะ 12 และ The Cube  สาทร-จันทร์ 56   ส่วนในปี 2562 บริษัทน่าจะทำยอดขายได้ 1,800 ล้านบาท ต่ำกว่าที่วางป้าหมายว่าจะทำยอดขายได้ 2,000 ล้านบาท เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโดยรวม และภาวะตลาดคอนโดฯ ที่ชะลอตัว ปัจจุบันรับรู้รายได้แล้ว 1,200 ล้านบาท   โดยในปีหน้าหากสามารถนำบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์  ได้ตามแผนที่วางไว้ บริษัทจะพัฒนาโครงการแนวสูง หรือไฮไลท์เข้ามาในพอร์ต จากที่ผ่านมาไม่เคยพัฒนามาก่อน เพื่อขยายตลาดไปยังกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ และเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้มากขึ้น
5 เรื่องน่ารู้ของ AWC บิ๊กอสังหาฯ ตระกูล “สิริวัฒนภักดี” น้องใหม่ในตลาดหุ้นไทย

5 เรื่องน่ารู้ของ AWC บิ๊กอสังหาฯ ตระกูล “สิริวัฒนภักดี” น้องใหม่ในตลาดหุ้นไทย

ในวันที่ 10 ตุลาคม 2562 หุ้นของ  AWC  หรือ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด(มหาชน) จะเริ่มเปิดการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เป็นวันแรก ซึ่ง AWC ถือได้ว่าเป็นหุ้นไอพีโอมีมูลค่าสูงสุด หากคิดจากมูลค่าหลักทรัพย์ หรือ มาร์เก็ตแคป ตามราคาตลาด จากราคาไอพีโอ เท่ากับว่า AWC จะมีมูลค่ามาร์เก็ตแคปถึง 192,000 ล้านบาท    โดยการระดมทุนของ AWC ครั้งนี้ มีหุ้นจำนวน 8,000 ล้านหุ้น สัดส่วนไม่เกิน 25% ราคาหุ้นละ 6.00 บาท จึงเท่ากับว่ามีการระดมทุนรวมมูลค่า 48,000 ล้านบาท ซึ่งวัตถุประสงค์หลักของการระดมทุน จะนำเอาเงินไปในใช้เป็นเงินทุนในการเข้าซื้อกิจการ ใช้ในการลงทุนพัฒนา ปรับปรุงทรัพย์สินของบริษัท และนำเงินไปชำระหนี้เงินกู้ธนาคาร   AWC หลายคนอาจจะรู้จักว่าเป็นบริษัทในเครือทีซีซี (TCC Group) ของนายเจริญ สิริวัฒนภักดี เจ้าพ่อเบียร์ช้างและธุรกิจในมืออีกสารพัด  ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีทั่วประเทศ  สำหรับ AWC บริหารงานโดยลูกสาวของเสี่ยเจริญ คือ นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ ซึ่ง AWC ถือเป็นหนึ่งบริษัทของกลุ่มทีซีซี ที่มีความน่าสนใจ จากธุรกิจในมือและการเติบโตมาอย่างต่อเนื่อง  และนี่ คือ 5 ข้อมูลที่น่าสนใจและทำความรู้จักกับบริษัท ก่อนจะเทรดหุ้นตัวนี้เข้าพอร์ต     1.จุดเริ่มต้นของบริษัท เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2519 ที่นายเจริญ และคุณหญิงวรรณา สิริวัฒนภักดี ได้ก่อตั้งกลุ่มบริษัททีซีซีขึ้น ก่อนจะจัดตั้งบริษัท เฟิร์สท์ เดสทิเนชั่น จำกัด ในปี 2552 ซึ่งเป็นหนึ่งบริษัทสำคัญของกลุ่มทีซีซี ก่อนจะเปลี่ยนชื่อบริษัทมาเป็น บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด ในช่วงเดือนตุลาคม 2559 หลังจากก่อนหน้าได้สะสมอสังหาริมทรัพย์เข้ามาไว้ในมือหลายโครงการ ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม อาคารสำนักงาน และอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์   2.AWC ถือเป็นหนึ่งใน 4 กลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ ด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในเครือทีซีซี ที่มุ่งเน้นการพัฒนาและบริหารโครงการอสังหาริมทรัพย์ ประเภทโรงแรม อาคารสำนักงาน และพื้นที่เชิงพาณิชย์ โดยจะไม่พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัย ซึ่งนอกจากการพัฒนาโครงการต่างๆ บนที่ดินทำเลศักยภาพแล้ว ยังมีแผนนำเอาอสังหาริมทรัพย์ในเครือทีซีซีเข้ามาเติมพอร์ตด้วย ปัจจุบันมีโครงการอสังหาริมทรัพย์มากกว่า 20 แห่งที่สามารถนำเอามาเข้ามาบริหารได้   3.AWC เป็นเจ้าของอาคารสำนักงานรายใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ โดยมีพื้นที่เช่าสุทธิที่บริษัทเป็นเจ้าของรวมมากที่สุดถึง 270,594 ตารางเมตร (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2561) จากอาคาสำนักงานรวม 4 อาคาร ได้แก่ อาคาร 208 วายเลสโร้ด อาคารแอทธินี ทาวเวอร์ อาคารเอ็มไพร์ ทาวเวอน์​  และอาคารอินเตอร์ลิงค์ทาวเวอร์ รองลงมาเป็นกลุ่มเฟรเซอร์ ยูวี และโกลเด้นแลนด์ ที่มีรวมกัน 217,189 ตารางเมตร และอันดับ 3 เป็นของกลุ่มเซ็นทรัลที่มีพื้นที่รวม 211,999 ตารางเมตร   4.ปัจจุบัน AWC มีแบรนด์โรงแรมชั้นนำ อาทิ แมริออท,  อะ ลักซ์ชูรี คอลเล็คชั่น โฮเทล, โอกุระ, บันยันทรี, ฮิลตัน และเชอราตัน รวม 15 แห่ง โดยมีจำนวนห้องพัก 4,960 ห้อง แบ่งเป็นโรงแรมที่เปิดดำเนินการแล้วจำนวน 10 แห่ง มีจำนวนห้องพัก 3,432 ห้อง และโรงแรมที่อยู่ระหว่างการพัฒนาหรือมีแผนการในการพัฒนาจำนวน 5 แห่ง มีจำนวนห้องพัก 1,528 ห้อง ตามแผนธุรกิจในระยะ 5 ปีข้างหน้า จะซื้อและพัฒนาโรงแรมเข้ามาเติมพอร์ต ทำให้บริษัทมีห้องพักรวม 8,506 ห้อง ทำให้กลายเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีจำนวนห้องพักโรงแรมในประเทศสูงสุด   โดยอสังหาริมทรัพย์ในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ ที่ทำสัญญาซื้อขายกับกลุ่มทีซีซีแล้ว และจะนำเข้ามาในอีก  6 เดือนข้างหน้า จำนวน  12 โครงการ เป็นโรงแรมที่เปิดดำเนินการในกรุงเทพฯ จำนวน 2 แห่ง ได้แก่ โรงแรม ฮอลิเดย์ อินน์ เอ็กซ์เพรส กรุงเทพ สาทร และ Bangkok Marriott Hotel The Surawongse  โรงแรมที่เปิดดำเนินการนอกกรุงเทพฯ จำนวน 2 แห่ง ได้แก่ Phuket Marriott Resort & Spa, Naiyang Beach และ Hua Hin Marriott Resort & Spa และโรงแรมที่อยู่ระหว่างการปรับปรุงหรือพัฒนา จำนวน 6 แห่ง นอกจากนี้ยังอสังหาริมทรัพย์มิกซ์ยูส (Mixed-Use Properties) ที่อยู่ระหว่างการปรับปรุงหรือพัฒนา จำนวน 2 แห่งด้วย     5.สำหรับกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์  บริษัทมีพื้นที่ให้เช่าสุทธิ 198,781 ตารางเมตรในเดือนมีนาคม 2562 ที่ผ่านมา จากโครงการที่เปิดดำเนินการแล้ว 9 แห่ง ได้แก่  1.เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ 2.เกทเวย์ แอท บางซื่อ 3.พันธุ์ทิพย์ พลาซ่า ประตูน้ำ 4.พันธุ์ทิพย์ พลาซ่า งามวงศ์วาน 5.พันธุ์ทิพย์ พลาซ่า เชียงใหม่ 6.โอ.พี.เพลส แบงค็อก 7.ลาซาล อเวนิว 8.ตะวันนา บางกะปิ และ 9.เกทเวย์ เอกมัย ซึ่งเป็นโครงการภายใต้สัญญาบริหารโครงการ และบันทึกข้อตกลงปี 2562 เพื่อการข้าลงทุนในโครงการดังกล่าว (โดยมีพื้นที่เช่าสุทธิ 33,153 ตารางเมตร) และมีโครงการที่กำลังพัฒนาอยู่อีก 2 แห่ง   สำหรับผลประกอบการโดยรวมของ AWC ถือว่ามีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2559 มีรายได้รวม 9,411 ล้านบาท ปี 2560 มีรายได้รวม 11,208 ล้านบาท ปี 2561 มีรายได้รวม 12,416 ล้านบาท ส่วนช่วง 6 เดือนแรกของปี 2562 มีรายได้รวม 5,840.12 ล้านบาท   ถือเป็นหุ้นที่เข้ามาสร้างความคึกคักใหักับตลาดหุ้นไทยไม่น้อย แต่ในผลสุดท้ายราคาหุ้นจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางใด  คงต้องติดตามดู แต่ที่แน่ๆ AWC จะเป็นอีกหนึ่งบิ๊กดีเวลลอปเปอร์ของไทย ที่พัฒนาโครงการออกมามากมาย เพราะทรัพย์สินของตระกูล "สิริวัฒนภักดี" มีอยู่ทั่วทุกมุมเมืองประเทศไทย   อ่านข่าวเกี่ยวข้องเพิ่มเติม -“เสี่ยเจริญ” จัดพอร์ตธุรกิจอสังหาฯ ส่ง AWC เข้าตลาด ลบภาพธุรกิจครอบครัวสู่มาตรฐานมืออาชีพ -AWC ไปต่ออย่างไร กับพอร์ต อสังหาฯ​ เพื่อการพาณิชย์ในมือ? -เคาะราคา IPO หุ้น AWC ของลูกสาวเสี่ยเจริญ เปิดขาย 6 บาท ทุบสถิติระดมทุนสูงสุด    
“สามย่านมิตรทาวน์” มิกซ์ยูส 9,000 ล้าน โปรเจ็กต์แรกที่เปิดบนถนนพระราม 4

“สามย่านมิตรทาวน์” มิกซ์ยูส 9,000 ล้าน โปรเจ็กต์แรกที่เปิดบนถนนพระราม 4

เปิดให้บริการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่วันที่ 20 กันยายน 2562 ซึ่งถือฤกษ์งามยามดีเป็นวันแรก  สำหรับโปรเจ็กต์มิกซ์ยูส “สามย่านมิตรทาวน์” บนถนนพระราม 4 และนับเป็นโปรเจ็กต์แรกของถนนเส้นนี้ ที่พร้อมให้บริการกับประชาชน นิสิต และนักศึกษา บริเวณสามย่าน  หลังพัฒนาโครงการมาเป็นระยะเวลา 3 ปี โครงการ  “สามย่านมิตรทาวน์” ภายใต้การดำเนินงานของ โกลเด้นแลนด์ หรือ บริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กับมูลค่าการลงทุนกว่า 9,000 ล้านบาท ประกอบด้วยพื้นที่ค้าปลีก โรงแรม อาคารสำนักงานและที่อยู่อาศัย บนเนื้อที่กว่า 14 ไร่ รวมพื้นที่ใช้สอย 222,000 ตารางเมตร ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Urban Life Library – คลังแห่งอาหารและการเรียนรู้”   4 องค์ประกอบตอบทุกไลฟ์สไตล์ นายธนพล ศิริธนชัย ประธานอำนวยการ โกลเด้นแลนด์ เปิดเผยว่า จุดเด่นของโครงการสามย่านมิตรทาวน์ ถือเป็นมิกซ์ยูสแห่งแรกบนหัวมุมถนนพญาไท - พระราม 4 ที่มีความสมบูรณ์แบบ เนื่องจากภายในโครงการประกอบด้วย ที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียม “ทริปเปิ้ล วาย เรสซิเด้นซ์” โรงแรม “ทริปเปิ้ล วาย โฮเทล” อาคารสำนักงาน “มิตรทาวน์ ออฟฟิศ ทาวเวอร์” และพื้นที่ค้าปลีก “ศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์”  ปัจจุบันถือว่าโครงการประสบความสำเร็จเนอย่างดี เนื่องจากมีพันธมิตรเข้ามาเช่าพื้นที่ต่างๆ ค่อนข้างมาก อาทิ โซนพลาซ่า ปล่อยเช่ากว่า 85% คอนโดมิเนียมยอดจองซื้อกว่า 60% และอาคารสำนักงานมียอดเช่าพื้นที่กว่า 60%     โดยมี 4 องค์ประกอบสำคัญที่ช่วยทำให้มีความแตกต่างจากโครงการอื่น 1.การเชื่อมต่อระบบ MRT ที่มีอุโมงค์ระหว่างรถไฟฟ้าใต้ดินมายังโครงการ ภายใต้ชื่อ “เชื่อมมิตร” (MITR DIRECT LINK) ด้วยงบประมาณกว่า 300 ล้านบาท ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในไฮไลต์ของพื้นที่ถ่ายรูปของนักท่องเที่ยวและขาช้อปปิ้ง 2.การเป็นโครงการมิกซ์ยูส  ที่ประกอบด้วยพื้นที่ทั้งสำนักงาน ที่พักอาศัย และพื้นที่ค้าปลีก ซึ่งนับเป็นโครงการแรกที่เปิดให้บริการบนถนนพระราม 4 3.โครงการที่มีคอนเซ็ปต์แตกต่าง และสร้างการจดจำ โดยไม่ได้มุ่งเน้นการพัฒนาโครงการให้สวยงามที่สุดเป็นหลัก แต่เน้นสร้างการจดจำ ภายใต้ 2 คีย์เวิร์ดสำคัญ คือ “ความรู้” (Knowledge)  และ “อาหาร” (Food) เนื่องจากสร้างโครงการบนพื้นที่ของสำนักทรัพย์สิน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และที่ดินเดิม คือ ตลาดสามย่าน แหล่งรวมร้านอาหารที่ขึ้นชื่อและอร่อย  การพัฒนาจึงมุ่งเน้นการตอบสนองใน 2 เรื่องดังกล่าว ไม่ได้มุ่งเน้นในเรื่องความหรูหรา แต่เน้นไปสู่ในเรื่องของ Smart & Friendly 4.การใช้ชีวิตที่สะดวกสบายของผู้อยู่อาศัย จากการมีพื้นที่ของที่พักอาศัย และโรงแรม ที่ทำให้ผู้พักอาศัยใช้บริการในส่วนต่างๆ ของโครงการได้ตลอด 24 ชั่วโมง “เรามุ่งมั่นพัฒนาโครงการสามย่านมิตรทาวน์ให้เป็นคลังแห่งอาหารและการเรียนรู้ เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคใหม่อย่างแท้จริง"   ภายในโครงการมีร้านค้าและบริการจากแบรนด์ดังต่างๆ เราจะไม่ทำเหมือนเดิม แต่จะมีการสร้างสรรค์คอนเซ็ปต์ใหม่เป็นแห่งแรก มาให้บริการแก่ผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายซึ่งมีพฤติกรรม   การบริโภคเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างมาก จากอิทธิพลของเทคโนโลยีและโลกดิจิทัล ไม่เพียงแค่ร้านค้าของพาร์ตเนอร์เราที่เนรมิตคอนเซ็ปต์ใหม่ เพราะโกลเด้นแลนด์เองได้มีการพัฒนาร้านสินค้าและบริการ  คอนเซ็ปต์ใหม่ๆ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้โครงการด้วย อาทิ ร้านมีเดียม แอนด์ มอร์ (Medium & More), เอพรอน วอร์ค (Apron Walk) ทั้งหมดจะช่วยตอกย้ำให้โครงการมิกซ์ยูสเป็นจุดหมายปลายทางของพนักงานออฟฟิศ นิสิตนักศึกษา ฟรีแลนซ์ สตาร์ทอัพ นักท่องเที่ยว ผู้พักอาศัยในคอนโดฯ โรงแรม รวมถึงคนในพื้นที่สามย่านเอง ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงให้เข้ามาเติมเต็มทุกไลฟ์สไตล์ได้  
เคาะราคา IPO หุ้น AWC ของลูกสาวเสี่ยเจริญ เปิดขาย 6 บาท ทุบสถิติระดมทุนสูงสุด

เคาะราคา IPO หุ้น AWC ของลูกสาวเสี่ยเจริญ เปิดขาย 6 บาท ทุบสถิติระดมทุนสูงสุด

หลังจากบริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AWC เตรียมตัวเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มาสักพักหนึ่ง  ถึงวันนี้ (11 กันยายน 2562) หุ้นของ AWC ก็พร้อมเปิดราคา IPO ออกมาแล้ว ว่าจะเปิดขายที่ 6.00 บาท โดยมีจำนวนหุ้นที่ออกขายจำนวนไม่เกิน 8,000 ล้านหุ้น โดยแบ่งเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนประมาณ 6,957 ล้านหุ้น และอาจมีการจัดสรรหุ้นส่วนเกินไม่เกิน 1,043 ล้านหุ้น   คำนวณราคาและมูลค่าดูแล้ว AWC จะมีมูลค่าการระดมทุนมากสุด นับตั้งแต่ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์​ จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอส ได้เสนอขายหน่วยลงทุน กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งมวลชนทางราง บีทีเอสโกรท หรือ BTSGIF เมื่อปี 2556  ซึ่งครั้งนั้นระดมทุนไปมูลค่า 62,510.4 ล้านบาท ถือเป็นหนึ่งใน IPO ที่มีมูลค่าการเสนอขายสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย และเป็น IPO ที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลกในเวลานั้น   แต่หาก AWC เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะกลายเป็นบริษัทที่มี Market Cap. หรือ มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดสูงสุด ทะลุไปถึง 200,000 ล้านบาทได้ เพราะทุบสถิติทุกบริษัทที่จดทะเบียน ซึ่งปัจจุบันถ้าคิดมูลค่าสินทรัพย์ของ AWC ปัจจุบันมีอยู่ถึง 92,000 ล้านบาท และจะเพิ่มขึ้นเป็น 115,000 ล้านบาท เมื่อมีโรงแรมที่อยู่ระหว่างนำเข้ามาอยู่ภายใต้การบริหารงานของบริษัทอีก 12 โรงแรม ปัจจุบันมีทุนจดทะเบียน  24,000  ล้านบาท จะเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 32,000 ล้านบาท ภายหลังจากขายหุ้น IPO แล้ว     นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า AWC ได้รับการพิจารณาอนุมัติการเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก หรือ IPO จากสำนักงาน ก.ล.ต. โดย AWC พร้อมเดินหน้าเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 6,957 ล้านหุ้น คิดเป็นไม่เกิน 22.47% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังจากการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ (ไม่รวมการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน)   นอกจากนี้ อาจมีการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน (Overallotment Option หรือ Greenshoe) จำนวนไม่เกิน 1,043 ล้านหุ้น โดยนำเงินที่ได้รับจากการจัดสรรหุ้นส่วนเกินไปใช้ในกลไกการรักษาระดับราคาหุ้น (Stabilization) เสริมสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนเกี่ยวกับเสถียรภาพของราคาหุ้นในช่วง 30 วันแรกหลังเข้าจดทะเบียนซื้อขาย   ทั้งนี้ AWC ได้ร่วมกับผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย ซึ่งประกอบด้วย บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญในครั้งนี้ ที่ราคา 6.00 บาทต่อหุ้น     โดยได้มีนักลงทุนสถาบันชั้นนำทั้งในประเทศและในต่างประเทศประเภท Cornerstone Investor จำนวน 13 ราย ได้แก่ บลจ.บัวหลวง บลจ.กรุงไทย บลจ.กสิกรไทย บลจ.ทิสโก้ บลจ.ไทยพาณิชย์ บลจ.ธนชาต บลจ.เอ็มเอฟซี บลจ.วรรณ บลจ.อเบอร์ดีน สแตนดาร์ด (ประเทศไทย) บมจ.เอฟดับบลิวดี ประกันชีวิต Affin Hwang Asset Management Berhad, Maitri Asset Management และ GIC Private Limited ได้ตกลงจองซื้อหุ้นสามัญของบริษัทฯ ที่เสนอขายครั้งนี้ เป็นจำนวนรวม 3,454 ล้านหุ้น หรือประมาณ 50% ของจำนวนหุ้นที่เสนอขายในครั้งนี้ (ไม่รวมการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน) ที่ราคา 6.00 บาทต่อหุ้น   โดย AWC ประกอบธุรกิจพัฒนาและบริหารโครงการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำที่มุ่งตอบไลฟ์สไตล์แบบครบวงจร  ในประเทศไทย บนทำเลที่ดี แบ่งเป็น 1. กลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ (Hospitality) ซึ่งมีเครือข่ายพันธมิตรผู้บริหารโรงแรมภายใต้แบรนด์ชั้นนำถึง 6 กลุ่ม  มีฐานลูกค้าทั่วโลกกว่า 300 ล้านราย 2. กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ (Retail & Commercial Building) ซึ่งครอบคลุมทั้งในส่วนกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อประกอบกิจการการค้า  คอมมูนิตี้ชอปปิงมอลล์และคอมมูนิตี้มาร์เก็ต ภายใต้แบรนด์เกทเวย์ พันธุ์ทิพย์ และตะวันนา   นอกจากนี้ ยังเป็นเจ้าของอาคารสำนักงานใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ ได้แก่ อาคารเอ็มไพร์ ทาวเวอร์ อาคารสำนักงานแบบมิกซ์ยูส (Mixed-Use) ระดับเกรดเอ เมื่อพิจารณาจากพื้นที่เช่าสุทธิ  AWC ยังมีแผนพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง  ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก Ecosystem ของ TCC Group ที่จะช่วยสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต และเพิ่มมูลค่าของเงินทุนในระยะยาว   ในอนาคต AWC มีแผนจะเข้าลงทุนในกิจการเจ้าของทรัพย์สินรวม ทั้งสิ้น 14 โครงการ โดยใช้เงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้เพื่อซื้อและพัฒนากิจการ โดยมีโครงการเด่น ๆ อาทิ โครงการที่เปิดดำเนินการแล้วอย่าง โรงแรมแบงค็อกแมริออท เดอะ สุรวงศ์  โรงแรมหัวหิน แมริออท รีสอร์ท แอนด์สปา  โรงแรมภูเก็ต แมริออท รีสอร์ทแอนด์สปา ในยางบีช  และโรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ เอ็กซ์เพรสส์ กรุงเทพ สาทร     นอกจากนี้ ยังรวมถึงโครงการที่จะมีการเปลี่ยนแปลงเป็นแบรนด์สากล อาทิ โรงแรมอิมพีเรียล แม่ปิง  โรงแรมแกรนด์ โซเล่ โรงแรมพรพิงค์ ทาวเวอร์  ซึ่งจะมีการเปลี่ยนเป็นแบรนด์ Melia อีกทั้งยังมีโครงการโรงแรมที่จะพัฒนาใหม่ อาทิ โรงแรมเจริญกรุง 93 โรงแรมอีสต์ เอเชีย โรงแรมบันยันทรี จอมเทียน พัทยา โครงการในพัทยา ประเภทมิกซ์ยูส ที่ครอบคลุมทั้งในส่วนโรงแรม ค้าปลีก และกิจกรรมนันทนาการอีกมากมาย รวมพื้นที่จัดประชุมและงานอีเวนท์ขนาดใหญ่บนหาดพัทยา ซึ่งโครงการทั้งหมดนี้จะทยอยเปิดให้ดำเนินการระหว่างปี 2564 – 2567   ในส่วนของกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อประกอบกิจการการค้า บริษัทฯ มีแผนพัฒนาและปรับปรุงโครงการต่าง ๆ อาทิ โครงการอสังหาริมทรัพย์มิกซ์ยูส อันประกอบด้วย โครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ ส่วนต่อขยาย (เฟส 2) โรงแรมแบงค็อกแมริออท ดิ เอเชียทีค และโรงแรมเจริญกรุง 93  บริษัทฯ ยังอยู่ในระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการปรับปรุงโครงการพันธุ์ทิพย์ พลาซ่า ประตูน้ำ เป็นรูปแบบอสังหาริมทรัพย์แบบมิกซ์ยูส หรือรูปแบบอื่นๆ และมีแผนเพิ่มทางเลือกด้านความบันเทิงและสันทนาการรูปแบบใหม่ให้กับอสังหาริมทรัพย์เพื่อประกอบกิจการการค้าต่างๆ เพื่อพัฒนาศักยภาพในการใช้พื้นที่ของโครงการให้เกิดประโยชน์สูงสุด   “ภายหลังการเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้ว AWC จะมีโครงการในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการรวม 27 โครงการ จากปัจจุบันมี 14 แห่ง แบ่งเป็นโรงแรมที่เปิดดำเนินการแล้ว 10 แห่ง และอีก 4 แห่ง ตามสัญญาซื้อขายหุ้นปี 2562 และโรงแรมที่อยู่ระหว่างการพัฒนาหรือมีแผนการพัฒนาจำนวน 13 แห่ง ป็นโรงแรมที่อยู่ระหว่างการพัฒนาหรือแผนในการพัฒนา 11 แห่ง และ โครงการอสังหาริมทรัพย์ Mixed-use อีก 2 แห่ง”   โดยภายใน 5 ปีข้างหน้า AWC จะมีห้องพักโรงแรมรวม  8,506 ห้อง ส่วนกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อประกอบกิจการการค้า  บริษัทฯ จะมีพื้นที่เช่าสุทธิรวม 415,481 ตารางเมตร จากโครงการทั้งหมด 11 โครงการ โดยมีโครงการที่เปิดดำเนินการแล้ว 9 โครงการ รวม 1 โครงการ ที่บริษัทฯ ได้ทำข้อบันทึกตกลงสัญญาว่าจ้างบริหารเกทเวย์ เอกมัย และเพื่อพิจารณาเข้าลงทุนในโครงการเกทเวย์ เอกมัย ปี 2562 และอีก 2 โครงการซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนาและปรับปรุง และที่อยู่ระหว่างการพัฒนาและทดสอบความพร้อมต่าง ๆ  พร้อมกับเป็นเจ้าของอาคารสำนักงานอีก 4 แห่ง ด้วยพื้นที่เช่าสุทธิรวม 270,594 ตารางเมตร   สำหรับผลประกอบการหกเดือนแรกของปี 2562  บริษัทมีรายได้ 6,442 ล้านบาท และกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน 3,114 ล้านบาท  
[PR News] สามย่านมิตรทาวน์ ผนึก เคแบงก์ เปิดพื้นที่  “สามย่าน โค-ออป” โค เลิร์นนิ่ง สเปซ  บริการฟรี 24 ชั่วโมง

[PR News] สามย่านมิตรทาวน์ ผนึก เคแบงก์ เปิดพื้นที่ “สามย่าน โค-ออป” โค เลิร์นนิ่ง สเปซ บริการฟรี 24 ชั่วโมง

สามย่านมิตรทาวน์ ร่วมกับเคแบงก์ สร้างสรรค์พื้นที่กว่า 1,400 ตารางเมตร ให้เป็น   “สามย่าน โค-ออป” ให้ใช้บริการฟรีตลอด 24 ชม. ตอบโจทย์คนวัยทำงาน นิสิตนักศึกษา คนรุ่นใหม่   นางสาวปิยะวัลย์ สร้อยน้อย ผู้อำนวยการสามย่านโค- ออป บริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลล็อปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือโกลเด้นแลนด์ ผู้บริหารโครงการสามย่าน โค-ออป เปิดเผยว่า สามย่านมิตรทาวน์ได้ร่วมกับธนาคารกสิกรไทยหรือเคแบงก์ เตรียมเปิดให้บริการ “สามย่าน โค-ออป” (Samyan CO-OP) โค เลิร์นนิ่ง สเปซ รูปแบบใหม่  ที่สามารถเข้าใช้บริการฟรีตลอด 24 ชม. ด้วยพื้นที่ขนาดกว่า 1,400 ตารางเมตร บนชั้น 2 และชั้น 3  หรือคิดเป็น 30% ของพื้นที่โซนรีเทล 24 ชั่วโมง ที่มีพื้นที่รวม 5,000 ตารางเมตร   ทั้งนี้ “สามย่าน โค-ออป” จะมีสิ่งอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้มาใช้งานได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ส่วนกลาง ห้องประชุม ห้องจัดกิจกรรมต่าง ๆ มีจำนวนที่นั่งรวมกันมากถึง 500 ที่นั่ง จำนวนปลั๊กไฟ และสัญญาณ Wi-Fi เพียงพอต่อการใช้งาน  รวมถึงระบบรักษาความปลอดภัยของผู้ใช้งาน ที่ต้องผ่านการยืนยันตัวตนเพื่อเป็นฐานข้อมูลบนแอพพลิเคชั่นหรือเว็บไซต์ การเข้าออกต้องใช้ระบบสแกนคิวอาร์โค้ด และกล้อง CCTV คอยดูแลตลอด 24 ชม.     “การออกแบบพื้นที่สามย่าน โค-ออป เกิดจากการสำรวจความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งต้องการตอบโจทย์ความหลากหลายทุกลักษณะในการใช้งาน และสามารถเข้าใช้บริการได้ตลอด 24 ชั่วโมง ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่ผู้ที่ประสงค์จะเข้ามาใช้บริการที่สามย่านโค-ออป ซึ่งไม่ได้จำกัดแค่ นิสิตนักศึกษา แต่คนทำงานก็มาใช้งานได้ จึงอยากทำพื้นที่สามย่าน โค-ออปตรงนี้ ให้เป็นคอมมิวนิตี้ด้านการเรียนรู้ขึ้นมา”   นอกจากนี้ สามย่าน โค-ออป ยังให้ความสำคัญต่อเนื่องเกี่ยวกับการเรียนรู้ และกิจกรรมต่าง ๆ โดยจับมือพันธมิตรด้านคอนเทนต์และการจัดกิจกรรมในพื้นที่ร่วมกัน อาทิ บริษัท ลูกคิด จำกัด และสถาบัน แฮกเกอร์เฮาส์  โดยคาดว่า สามย่าน โค-ออป จะมีผู้มาใช้บริการเฉลี่ยวันละ 2,500 คน หรือคิดเป็น 10% ของผู้ที่เข้ามาใช้บริการในโครงการสามย่าน มิตรทาวน์ ทั้งหมด ที่คาดว่าจะมีประมาณวันละ 25,000 คน     ด้านนางสาวฐิติภร สิริศรีสกุลชัย ผู้อำนวยการฝ่าย Innovative Business Management Department ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ด้วยแนวคิดของโครงการฯ ที่ต้องการสร้างศูนย์การค้าที่มุ่งสร้างประสบการณ์ใหม่และแตกต่างมากกว่าการให้บริการเชิงพาณิชย์เพียงอย่างเดียว รวมทั้งธนาคารมีความเชื่อมั่นในการบริหารงานของโกลเด้นแลนด์ ผู้สร้างสรรค์โครงการที่ดีและเป็นประโยชน์ต่อสังคมและชุมชนมาโดยตลอด   ธนาคารได้ร่วมมือเป็นพันธมิตรกับทางโครงการฯ สร้างสรรค์สามย่านโค-ออป โคเลิร์นนิ่งสเปซ ซึ่งเป็นพื้นที่การเรียนรู้รูปแบบใหม่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองกรุงเทพฯ และใกล้กับสถานศึกษา เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทัลคนรุ่นใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะนักเรียน นิสิต นักศึกษา และคนทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการอ่านหนังสือการติวเตรียมตัวสอบ การพูดคุยแลกเปลี่ยน แชร์ไอเดีย หรือประชุมงาน รวมถึงการสร้างกิจกรรมร่วมกันในพื้นที่แห่งนี้ และยังมี KBank the Office Space ซึ่งเป็นที่ทำงานสำหรับพนักงานของธนาคารเพื่ออำนวยความสะดวกและเพิ่มความยืดหยุ่นในการทำงานอีกด้วย  
สรุปข่าวรอบสัปดาห์ 15-21 กรกฎาคม 2562

สรุปข่าวรอบสัปดาห์ 15-21 กรกฎาคม 2562

เอช เอสเตท เปิดโปรเจ็กต์ Arti Sukhumvit 71 นายณัฐพล จินตนา กรรมการบริหาร บริษัท เอซ เอสเตท กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า ได้เปิดขายโครงการ ‘Arti Sukhumvit 71’ เป็นคอนโดมิเนียมแบบ High rise ติดถนนสุขุมวิท 71 ความสูง 21 ชั้น จำนวนเพียง 115 ยูนิต   มีขนาดห้อง Studio, ห้อง 1 bedroom และ Loft ที่ให้พื้นที่ใช้สอยที่มากขึ้น รวมถึงแบบ 2 ห้องนอน และ Penthouse ขนาดกว่า 100 ตร.ม. รองรับลูกค้ากลุ่มคนรุ่นใหม่ เป็นคอนโดที่เหมาะกับคนอายุ 28-40 ปี หรือกลุ่ม Young Adult ราคาเริ่ม 2.69  ล้านบาท รวมมูลค่าโครงการ 525 ล้านบาท เริ่มก่อสร้างในไตรมาสที่ 4 ปี 2562 และมีกำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จในปี ไตรมาสที่ 4 ปี 2564 โดยมีบริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เป็นที่ปรึกษาด้านการตลาดและการขาย   ออริจิ้น จับมือวิทยาลัยดุสิต เพิ่มทักษะแม่บ้าน นายธนา ต่อสหะกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด ผู้ให้บริการด้านอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร ในเครือบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI เปิดเผยว่า  ได้ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญจากวิทยาลัยดุสิตธานี จัดการอบรมหลักสูตร “ทักษะการทำความสะอาด และการบริการมาตรฐานโรงแรม 5 ดาว” เพื่อพัฒนาทักษะ ความรู้และเพิ่มศักยภาพให้กับทีมพนักงานทำความสะอาดหรือทีมแม่บ้าน ให้สามารถปฏิบัติงานเป็นไปตามมาตรฐานโรงแรมระดับ 5 ดาว  ซึ่งบริษัทยังมีแผนงานฝึกอบรมในหลักสูตรด้านการสื่อสารและการสร้างความพึงพอใจแก่ลูกค้า ให้กับพนักงานในส่วนงานที่เกี่ยวข้องกับงานดูแลและบริการลูกค้าตลอดปี 2562  เพื่อนำร่องเพื่อนำไปสู่ความเป็นเลิศในด้านงานบริการอย่างครบวงจร  (Service Excellence) ของบริษัทต่อไป   เคาะราคา IPO อินเด็กซ์ฯ 22 บาท นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน บริษัท อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ ILM เปิดเผยว่า หลังจากสำรวจความต้องการซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุน (IPO)  จากนักลงทุนสถาบัน (Bookbuilding) เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคมที่ผ่านมาพบว่า ได้รับการตอบรับที่ดีเยี่ยม โดยนักลงทุนสถาบันแสดงความต้องการจองซื้อหุ้น IPO ของ ILM มากกว่าจำนวนหุ้นที่จัดสรรไว้ให้แก่นักลงทุนสถาบันถึง 8 เท่า ที่ราคาสูงสุดหุ้นละ 22 บาท ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นในพื้นฐานธุรกิจและโอกาสการเติบโตที่ดีในอนาคต ดังนั้นจึงกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO ที่ราคาหุ้นละ 22 บาท ซึ่งเป็นราคาสูงสุดของช่วงราคาเสนอขาย เตรียมเปิดให้นักลงทุนจองซื้อหุ้น IPO ในวันที่ 17 – 19 กรกฎาคมนี้ และคาดว่าจะนำหุ้น ILM เข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในวันที่ 26 กรกฎาคมนี้   รีจัส เปิดขายแฟรนไชส์ co-working space นาย แมทธิว เจมส์ เคนลีย์ หัวหน้าฝ่ายพัฒนาธุรกิจสัมพันธ์ของ IWG เปิดเผยว่า รีจัส (Regus) ผู้ให้บริการพื้นที่สำนักงาน หรือ เวิร์คสเปซ ระดับโลก ประกาศเปิดธุรกิจแฟรนไชส์ในประเทศไทย ในงาน Thailand Franchise & Business Opportunities 2019 (TFBO) ที่ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทคที่ผ่านมา โดยงานนี้เป็นครั้งแรกที่ รีจัส เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการธุรกิจแฟรนไชส์ สามารถเข้าถึงโมเดลการทำธุรกิจการให้บริการเวิร์คสเปซ ที่กำลังเติบโตอยู่ในปัจจุบันได้เป็นครั้งแรก และธุรกิจนี้จะเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยในการขยายเครือข่ายรีจัสในระดับโลกอีกด้วย   โฮมโปรจัดงานแฟร์ พร้อมโปรสูงสุด 70% นางสาวสิริวรรณ เสริมชีพ ผู้จัดการทั่วไปสายสื่อสารการตลาด บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ “โฮมโปร” เปิดเผยว่า ได้จัดงานโฮมโปรแฟร์ ขึ้เป็นครั้งที่ 4 ภายใต้คอนเซปต์ ช้อป ชิม ชิลล์ ตั้งแต่วันที่ 19 กรกฎาคม 2562 -29 กรกฎาคม 2562 ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยมีโปรโมชั่นสุดโดน ลดราคาสูงสุด 70% และมีการจัดพื้นที่ไลฟ์สไตล์โซน ‘ช้อป กิน ถิ่นสยาม’ ที่ขนขบวนสุดยอดอาหารร้านดังมามากกว่า 150 ร้านค้าทั่วไทย โดยตั้งเป้ายอดขายกว่า 550 ล้านบาท ตลอดระยะเวลา 11 วันของการจัดงาน   สเปซเซส จับมือ ฟิตเนส 24 เซเว่น ให้สิทธิพิเศษสมาชิก นายธารนที อัญญโพธิ์, ผู้ประสานงานฝ่ายขาย สเปซเซส เปิดเผยว่า ได้ร่วมมือกับ “ฟิตเนส 24 เซเว่น” (Fitness24Seven)  เพื่อมอบสิทธิพิเศษให้กับสมาชิก สเปซเซส  โดยสามารถเข้าคลาสเรียนออกกำลังกายฟรี พร้อมได้รับส่วนลดพิเศษสำหรับสมาชิกเข้าใช้บริการที่ ฟิตเนส 24 เซเว่นได้ทุกสาขา 7 วันต่อสัปดาห์ ตลอด 24 ชั่วโมง สำหรับฟิตเนส 24 เซเว่น หนึ่งในผู้นำด้านฟิตเนสจากประเทศสวีเดน  ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2546 ที่ประเทศสวีเดนเป็นที่แรก ปัจจุบันมีสาขากว่า 230 แห่งทั่วโลกที่เปิดให้บริการ ไม่วาจะเป็นประเทศฟินแลนด์ นอร์เวย์ โปแลนด์ โคลอมเบีย และไทย และมีแผนขยายไปยังประเทศอื่น ๆ อีกในอนาคต  
“เสี่ยเจริญ” จัดพอร์ตธุรกิจอสังหาฯ ส่ง AWC เข้าตลาด ลบภาพธุรกิจครอบครัวสู่มาตรฐานมืออาชีพ

“เสี่ยเจริญ” จัดพอร์ตธุรกิจอสังหาฯ ส่ง AWC เข้าตลาด ลบภาพธุรกิจครอบครัวสู่มาตรฐานมืออาชีพ

“เสี่ยเจริญ สิริวัฒนภักดี” มีธุรกิจในมือมากมายที่สร้างความร่ำรวย และมีมูลค่ามหาศาล  หนึ่งในนั้น คือ กลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม  ซึ่งมีทั้งกลุ่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และนอนแอลกอฮอล์  แต่อีกหนึ่งจิ๊กซอร์สำคัญขนาดใหญ่  ที่มาต่อเติมความมั่งคั่งของตระกูล  คือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่เรียกได้ว่ามีอยู่ในมือครบทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม สำนักงานให้เช่า ศูนย์การค้า นิคมอุตสาหกรรม ศูนย์ประชุม สนามกอล์ฟ และโครงการที่อยู่อาศัยทุกรูปแบบ  ซึ่งกระจายอยู่ทุกมุมเมืองทั่วประเทศ นี่ยังไม่นับที่ดินเปล่าในพอร์ตอีกมหาศาลไม่รู้กี่แสนไร่   ทั้งขนาดความใหญ่และจำนวนธุรกิจที่มีมากมายมหาศาลของตระกูลสิริวัฒนภักดี  การสร้างการเติบโตและความยั่งยืน โจทย์สำคัญที่ “เสี่ยเจริญ” มอบหมายให้ทายาทที่ดูแลธุรกิจอสังหาฯ  คือ การสร้างมาตรฐานการบริหารงานแบบมืออาชีพ และไม่ยึดติดกับความเป็นธุรกิจครอบครัว นอกจากนี้ ยังต้องการให้ทายาทแต่ละคนดูแลรับผิดชอบธุรกิจอสังหาฯ ในแต่ละประเภทอย่างชัดเจน โดยไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนกัน  แนวทางหนึ่งที่ถูกหยิบมาใช้ คือ การนำเอาบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์  และการจัดกลุ่มธุรกิจอสังหาฯ แต่ละประเภท ให้อยู่ภายใต้การบริหารงานของแต่ละบริษัทอย่างชัดเจน   นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ  AWC บุตรสาวคนที่ 2 ของเสี่ยเจริญ  เปิดเผยว่า ได้นำบริษัทยื่นแบบไฟลิ่งแก่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ตั้งแต่วันที่ 11 มิถุนายน 2562 ที่ผ่านมา เพื่อนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เนื่องจากต้องการระดมทุน นำเงินมาใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการขยายธุรกิจ สร้างการเติบโตให้กับบริษัท  ชำระหนี้ การสร้างคุณค่าให้กับองค์กรและชุมชน   “การเข้าตลาดฯ เป็นการสร้างมาตรฐานและความยั่งยืน  ผู้บริหารและพนักงานจะอยู่ในระบบธรรมาภิบาล  ซึ่งดีกว่าอยู่ในระบบครอบครัว เป็นการสร้างมาตรฐานความเป็นมืออาชีพ”   สำหรับ AWC จะมุ่งเน้นการพัฒนาและลงทุนในอสังหาฯ ในประเทศไทย เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์แบบครบวงจรแบ่งเป็น 2 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ กลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ (Hospitality) ซึ่งบริหารงานโดยผู้บริหารโรงแรมที่มีชื่อเสียงภายใต้แบรนด์ชั้นนำที่มีคุณภาพและเป็นที่รู้จักระดับสากล อาทิ แมริออท, อะ ลักซ์ชูรี คอลเล็คชั่น โฮเทล, โอกุระ, บันยันทรี, ฮิลตัน และเชอราตัน และกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ (Retail and Commercial Building)   “คุณเจริญ อยากทำให้ธุรกิจครอบครัวสู่ระบบมาตรฐาน ไม่อยากให้ลูกหลานไปยึดติดกับธุรกิจครอบครัว”   นางวัลลภา ยังกล่าวย้ำอีกว่า การยื่นไฟลิ่งของบริษัทครั้งนี้  ถือเป็นการจัดพอร์ตและภาพธุรกิจอสังหาฯ ของ AWC ให้มีความชัดเจน โดยจะเน้นเฉพาะธุรกิจโรงแรมและบริการ  กับธุรกิจอสังหาฯ เพื่อการพาณิชย์​  โดยไม่มีธุรกิจอสังหาฯ เพื่ออยู่อาศัย (Residential) ส่วนบริษัทอสังหาฯ ในกลุ่มทีซีซี ใครมีความรับผิดชอบในส่วนไหนก็ดูแลธุรกิจนั้นไป ถือเป็นการสร้างความชัดเจนในพอร์ตธุรกิจอสังหาฯ   ขนอสังหาฯ ทำเงินเข้าพอร์ต โครงการอสังหาฯ ที่อยู่ภายใต้การบริหารงานของ AWC ถูกคัดสรรและพิจารณาว่าเป็นโครงการคุณภาพ สามารถสร้างรายได้เติบโตอย่างต่อเนื่องทั้งปัจจุบันและในอนาคต โดยกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ มีแบรนด์ที่บริหารอยู่ 15 แบรนด์  อาทิ แมริออท,อะ ลักซ์ชูรี คอลเล็คชั่น โฮเทล, โอกุระ, บันยันทรี, ฮิลตัน และเชอราตัน ซึ่งมีโรงแรมดำเนินการอยู่ปัจจุบัน 10 แห่ง จำนวน 3,432 ห้อง อยู่ระหว่างการปรับปรุงและพัฒนาอีก 5 แห่ง จำนวน 1,528 ห้อง นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างการทำสัญญาซื้อกิจการโรงแรมใหม่อีก 12 แห่ง เป็นโรงแรมที่เปิดดำเนินการแล้ว 4 แห่ง และอยู่ระหว่างการพัฒนาหรือมีแผนพัฒนาอีก 8 แห่ง ซึ่งจะทำให้ภายในระยะ 5 ปี AWC จะมีโรงแรมบริหารรวม 8,000 ห้อง จากปัจจุบันมีอยู่ 4,960 ห้อง   ส่วนโรงแรมทั้ง 12 แห่งที่คาดว่าจะเข้ามาอยู่ในพอร์ตธุรกิจ ได้แก่ โรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ เอ็กซ์เพรส กรุงเทพ สาทร, โรงแรม แบงค็อกแมริออท เดอะ สุรวงศ์, โรงแรม ภูเก็ต แมริออท รีสอร์ท แอนด์ สปา, ในยางบีช, แกรนด์โซเล่, โครงการหัวหิน บีชฟรอนท์, อิมพีเรียลแม่ปิง, โรงแรมบันยันทรี จอมเทียน พัทยา, พัทยา มิกซ์ยูส รีเทล แอนด์ โฮเทล ดีเวลล็อปเมนต์, โรงแรมเจริญกรุง 93, โรงแรม อีสต์ เอเชีย และ พรพิงค์ ทาวเวอร์   สำหรับกลุ่มเป้าหมายหลักของธุรกิจโรงแรมที่ AWC จะมีด้วยกัน 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มตลาด MICE กลุ่มพักผ่อน กลุ่มครอบครัว และกลุ่มนักธุรกิจ โดยมีกลยุทธ์สำคัญ คือ การใช้เครือข่ายพันธมิตรโรงแรมภายใต้แบรนด์โรงแรมชั้นนำ ที่ช่วยทำให้ AWC   ออกแบบและพัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ และการมีเครือข่ายสมาชิกกว่า 300 ล้านคนทั่วโลก   ส่วนกลุ่มธุรกิจอสังหาฯ เพื่อการพาณิชย์ มี 2 กลุ่มบริหารงานอยู่ ได้แก่ 1.อสังหาฯ เพื่อประกอบกิจการการค้า (Retail and Wholesale) ได้แก่ สถานที่ท่องเที่ยวแนวไลฟ์สไตล์ คอมมูนิตี้ชอปปิงมอลล์ คอมมูนิตี้ มาร์เก็ต และอสังหาฯ เพื่อประกอบกิจการการค้าส่ง โดยอสังหาฯ เพื่อประกอบกิจการการค้ามีโครงการที่มีชื่อเสียงคือ โครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ โครงการเกทเวย์ แอท บางซื่อ โครงการพันธุ์ทิพย์ พลาซ่า ประตูน้ำ และโครงการตะวันนา บางกะปิ   ปัจจุบันบริษัทมีโครงการเปิดำเนินการแล้ว 8 แห่ง และอยู่ระหว่างการพัฒนาอีก 2 แห่ง ได้แก่ โครงการคอมมูนิตี้มาร์เก็ตบางกะปิ และโครงการเออีซี เทรด เซ็นเตอร์ ซึ่งโครงการทั้งหมดมีพื้นที่เช่ารวมกว่า 3.4 แสนตารางเมตร 2.อาคารสำนักงาน (Office) ที่บริษัทเป็นเจ้าของอยู่อีก 4 แห่ง ได้แก่ อาคารเอ็มไพร์ ทาวเวอร์ อาคารแอทธินี ทาวเวอร์ อาคาร 208 วายเลสโร้ด  และอาคารอินเตอร์ลิงค์ ทาวเวอร์  โดยมีพื้นที่เช่ารวมกว่า 2.7 แสนตารางเมตร   3ปี รายได้โตเฉลี่ย 15% สำหรับผลประกอบการของ  AWC มีรายได้รวมในปี 2561 มูลค่า 12,415.64 ล้านบาท (เฉพาะธุรกิจหลักมีรายได้กว่า 10,998.64 ล้านบาท)  โดยสัดส่วน 60% รายได้จากธุรกิจโรงแรมและบริการ ส่วนอีก 40% เป็นรายได้จากกลุ่มธุรกิจอสังหาฯ เพื่อการพาณิชย์ มีกำไรสุทธิเท่ากับ 489.04 ล้านบาท   ส่วนปี 2560 มีรายได้รวม 11,207.55 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 1,372.07 ล้านบาท และปี 2559 มีรายได้รวม 9,411.25 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 2,890.73 ล้านบาท ซึ่งหากมองย้อนหลังกลับไปในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา รายได้ของ AWC มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องเฉลี่ย 15%   ขณะที่แนวทางสร้างการเติบโตของ AWC จะใช้กลยุทธ์หลัก ได้แก่ -การขยายความเป็นผู้นำในโครงการหลักที่ดำเนินการอยู่ ด้วยการจับตลาดกลุ่มกลางถึงบนเป็นทั้งในและต่างประเทศ -การสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน ด้วยโครงการไพร์มโลเกชั่น และโครงการในลักษณะฟรีโฮล์ -โครงการที่พัฒนาต้องสามารถแข่งขันได้ระดับโลกได้ -การสร้างทีมงานและบุคลากรให้แข็งแกร่ง   ส่วนแผนการลงทุนภายหลังเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นั้น  บริษัทยังไม่มีแผนที่ชัดเจน แต่ยังคงวางนโยบายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง  โดยเฉพาะโครงการขนาดใหญ่เหมือนกับที่ผ่านมา ขณะเดียวกันยังเตรียมคัดโครงการอสังหาฯ ในตระกูลสิริวัฒนภักดี ที่อยู่ภายใต้การบริหารงานของบริษัทอื่นๆ ในกลุ่มทีซีซี โดยจะเลือกโครงการมีคุณภาพและสามารถสร้างการเติบโตได้เข้ามาในพอร์ตเพิ่มมากขึ้น และเป็นโครงการประเภทโรงแรมหรืออสังหาฯ เพื่อการพาณิชย์   “เราลงทุนขนาดใหญ่และจะลงทุนขนาดใหญ่ต่อเนื่อง  เพราะประเทศไทยยังมีโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ภาคการท่องเที่ยวยังคงเติบโต  ในอนาคตจะคัดอสังหาฯ ที่อยู่ในไพร์มโลเกชั่นเข้ามา หรือโครงการในกลุ่มทีซีซีที่พร้อมให้ผลตอบแทนเข้ามาในพอร์ต”  
ทำอสังหาฯ ต้องแตกต่าง MQDC เปิด Whizdom Club พื้นที่สร้างแบรนด์หนีคู่แข่ง

ทำอสังหาฯ ต้องแตกต่าง MQDC เปิด Whizdom Club พื้นที่สร้างแบรนด์หนีคู่แข่ง

ท่ามกลางการแข่งขันของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โจทย์ใหญ่ คือ ทำอย่างไรให้ครองใจลูกค้าไว้ได้ นอกเหนือไปจาก เรื่องทำเลที่ตั้ง คุณภาพสินค้า และราคาที่คุ้มค่า การนำเรื่องบริการเข้ามาใส่ หรือการดูแลค้าที่ทำให้รู้สึกได้ถึง “ความคุ้มค่า” และมี “มูลค่าเพิ่ม” มากกว่า จึงเป็นสิ่งจำเป็นและไม่อาจละเลยได้ กลยุทธ์เรื่องของการบริหารลูกค้าสัมพันธ์ หรือ CRM จึงเป็นเรื่องพื้นฐานที่ขาดไม่ได้เช่นกัน หรือแม้แต่การเข้าไปมีส่วนร่วมในการดูแลสังคมรอบข้าง หรือการแบ่งปันให้กับผู้อยู่ร่วมกับสังคมโดยทั่วไปที่มักถูกเรียกว่ากิจกรรมเพื่อสังคม หรือ CSR ผู้ประกอบการก็ต้องทำควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจด้วยเหมือนกัน   MQDC หรือ บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ก็เป็นหนึ่งบริษัทที่ให้ความสำคัญกับกิจกรรมเพื่อสังคม และการดูแลลูกบ้านให้ได้รับการบริการด้านต่างๆ ที่ดี ขณะเดียวกันยังต้องหาจุดขายของโครงการที่สามารถสร้างความแตกต่าง ไม่เหมือนกับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่สงครามการค้าเดียวกัน เพื่อเป้าหมายสุดท้ายให้ผู้บริโภคเกิดความรักในแบรนด์นั่นเอง ล่าสุด MQDC จึงได้ทุ่มงบประมาณ​กว่า 40 ล้านบาท เปิด Whizdom Club เพื่อสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้และแบ่งปัน ขึ้นภายในโครงการ 101 True Digital Park   นายอัษฎา แก้วเขียว ประธานผู้อำนวยการ-วิสซ์ดอม MQDC เปิดเผยว่า แนวคิดในการพัฒนาโครงการภายใต้แบรนด์วิสซ์ดอม (Whizdom) ไม่เป็นการพัฒนาเพียงแค่ที่อยู่อาศัยเท่านั้น แต่เป็นการพัฒนาภายใต้ 3 แนวคิดหลัก คือ 1.Living Place การสร้างที่อยู่อาศัยด้วยการนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาพัฒนาให้มีคุณภาพ 2.Community HUB การสร้างสังคมของการให้และแบ่งปัน และ 3.Cloud การนำเทคโนโลยีมาเชื่อมต่อการบริการต่างๆ   จากแนวคิดดังกล่าวทำให้บริษัท ได้พัฒนา Whizdom Society ขึ้นมาให้กับลูกบ้าน เพื่อเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้และแบ่งปัน ภายใต้แนวคิด Knowledge Sharing Society ซึ่งมีการจัดกิจกรรมต่างๆ ให้กับลูกบ้านได้เข้าร่วมตลอดทั้งปี แต่การพัฒนา Whizdom Club ถือเป็นพื้นที่ของการแบ่งปันและสร้างสรรค์ให้กับคนชุมชนโดยรอบโครงการ ไม่ได้จำกัดเฉพาะผู้ที่เป็นลูกบ้านของ Whizdom เท่านั้น จึงถือเป็นแนวคิดของการทำกิจกรรมมากกว่า CRM และ CSR ปกติทั่วไป เพราะครอบคลุมทุกเรื่องเพื่อการแบ่งปันและการให้กับสังคม   เปิดพื้นที่ Whizdom Society Whizdom Club ตั้งอยู่ในชั้น 4 ของโครงการ 101 True Digital Park สุขุมวิท 101 มีขนาดพื้นที่รวม 900 ตารางเมตร สามารถรองรับได้ 300 ที่นั่ง ตามแผนจะเปิดให้บริการทุกวันตลอดบริการ 24 ชั่วโมง แต่เบื้องต้นเปิดให้บริการถึงเวลา 22.00 น. ซึ่งให้บริการฟรีสำหรับนักเรียน-นักศึกษาจนถึงสิ้นปีนี้ ส่วนลูกบ้านของโครงการ MQDC เป็นสมาชิกของ Whizdom Society ก็ใช้บริการฟรีเช่นกัน สำหรับพื้นที่ Whizdom Society ประกอบด้วย   1.โซน Workspace Station พื้นที่กว่า 255 ตารางเมตร สำหรับใช้นั่งทำงาน ทำการบ้าน มีโต๊ะ เก้าอี้ อินเตอร์เน็ตไว้คอยบริการ ที่สามารถจัดเป็นกลุ่มการประชุมกลุ่มเล็กเพื่อระดมไอเดีย หรือโซน Focus Area สำหรับคนที่ต้องการความเป็นส่วนตัว   2.โซน Whiz Ground พื้นที่สำหรับการจัดประชุม สัมมนา หรือกิจกรรมได้หลากหลายประเภท ด้วยพื้นที่ห้องขนาดใหญ่ รองรับผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้สูงสุด 160 คน หรือจะแบ่งพื้นที่ออกเป็นห้องขนาดเล็กได้ถึง 3 ห้อง   3.โซน Whiz Studio พื้นที่จุดประกายเสริมสร้างไอเดียใหม่ เหมาะสำหรับกลุ่มคนรุ่นใหม่วัยเรียน หรือเริ่มต้นธุรกิจของตัวเอง โดยพื้นที่นี้มีอุปกรณ์ต่างๆ อาทิ “FitMe” Table โต๊ะเก้าอี้จับกลุ่มได้หลากหลายรูปแบบ อุปกรณ์เพื่ออำนวยความสะดวก ได้แก่ Wheeled Flip Chart & Stationery Box, Personal Movable Locker, Dedicated Wi- Fi Connection, 3D Printers + Filament, Restricted Zone เป็นต้น   4.โซน Exhibition Room พื้นที่แสดงงานนิทรรศการ โดยสิ่งที่นำมาแสดงนั้นจะมีทั้งนวัตกรรม เทคโนโลยี เรื่องราวที่ส่งเสริมการเรียนรู้ใหม่ๆ หมุนเวียนกันไปตาม Trend ในแต่ละช่วงเวลา   สำหรับกลุ่มเป้าหมายที่จะเข้าใช้บริการ เบื้องต้นคงเป็นคนอยู่ในชุมชนรอบๆ โครงการ ซึ่งในรัศมี 5 กิโลเมตร เป็นที่ตั้งของโรงเรียนมากถึง 40 แห่ง มีจำนวนนักเรียน มีคนอยู่อาศัยกว่า 40,000 คน รวมถึงกลุ่มลูกบ้านของโครงการ 4,000-5,000 คน เฉพาะในพื้นที่โครงการมีจำนวนกว่า 2,000 ยูนิต ซึ่งปีนี้บริษัทยังมีแผนเปิดโครงการอีกกว่า 20,000 ล้านบาท อาทิ โครงการอโศก 500 ยูนิต ฟอเรสเทียอีก 3 อาคาร รวม 1,000 ยูนิต โดยหากเป็นลูกบ้านของ Whizdom ก็จะสามารถใช้บริการของ Whizdom Club ได้ฟรี นอกเหนือจากกิจกรรมอื่นๆ ที่จัดต่อเนื่องตลอดทั้งปีด้วย   “เหตุผลสำคัญที่เปิดพื้นที่ Whizdom Club ก็เพื่อสร้างความชัดเจนของแบรนด์ และยังต้องการตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ การทำคอนโดฯ ให้กับคนรุ่นใหม่ หากทำแบบเดิมก็ไม่ตอบโจทย์"      
เน็กซัสชี้ ปี 2019 คือ ปีแห่งการก้าวกระโดดของธุรกิจ Co- Working Office

เน็กซัสชี้ ปี 2019 คือ ปีแห่งการก้าวกระโดดของธุรกิจ Co- Working Office

เมื่อคนรุ่นใหม่เข้ามาเป็นส่วนสำคัญขององค์กรต่างๆ จึงทำให้รูปแบบของการทำงานในปัจจุบันเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เห็นได้จากการที่ธุรกิจให้เช่าพื้นที่ทำงานร่วม หรือ Co-working Office เริ่มเป็นที่นิยม และขยายตัวอย่างรวดเร็วในหลายประเทศทั่วโลก สำหรับในประเทศไทยนั้น ธุรกิจให้เช่า Co-working Office เป็นเทรนด์ที่กำลังมาแรงซึ่งเมื่อผนวกกับการขยายตัวอย่างรวดเร็วของบริษัทสตาร์ทอัพในปัจจุบันที่มีมากกว่า 10,000 ราย คิดเป็นมูลค่ากว่า 30,000 ล้านบาท ยิ่งส่งผลให้ธุรกิจให้เช่า Co-working Office ยิ่งเป็นที่ต้องการเพิ่มมากขึ้น   นายธีระวิทย์ ลิ้มทองสกุล กรรมการผู้จัดการบริษัท เน็กซัส เรียลเอสเตท แอ็ดไวเซอรี่ เผยว่า “ปัจจุบันธุรกิจให้เช่า Co-working Office กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก พบว่าในปี 2018 ตลาด Co-working Office มีการเปิดให้บริการเพิ่มมากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา (2017) ถึง 51% บนพื้นที่กว่า 100,000 ตารางเมตร หรือคิดเป็น 2.6% ของพื้นที่เช่าอาคารสำนักงานแบบดั้งเดิม คาดว่าในปี 2019 จะมีผู้ประกอบการหลายรายที่ พร้อมขยายพื้นที่ให้บริการอีกกว่า 30,000 ตารางเมตร หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 40% โดยปัจจุบัน มีบริษัทที่เซ็นสัญญาการเช่าพื้นที่แห่งใหม่แล้วอย่างน้อย 3 ราย บนขนาดพื้นที่ประมาณ 4,000 – 8,000 ตารางเมตร   ด้านราคาค่าเช่า จากการสำรวจของเน็กซัสพบว่า อัตราค่าบริการรายเดือนของ Co-working Office อยู่ที่ประมาณ 10,000 บาทต่อคนต่อเดือน โดยปัจจุบันมี Co-working Office มากถึง 70 แห่งทั่วกรุงเทพ จากผู้ประกอบการประมาณ 30 ราย ส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการชาวต่างชาติ โดยผู้ประกอบการรายใหญ่ คือ รีจัส (Regus) นอกจากนี้ยังมีแบรนด์ต่างชาติที่พร้อมจะขยายพื้นที่ให้บริการ Co-working Office เพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก เช่น วีเวิร์ค จัสโค และสเปสเซส เป็นต้น ซึ่งผู้ประกอบการกลุ่มนี้มักจะมองหาพื้นที่เช่าในอาคารสำนักงานเกรดเอ บนทำเลศักยภาพ เดินทางเข้าถึงสะดวก ตามแนวรถไฟฟ้าบนดิน และรถไฟฟ้าใต้ดิน โดยขนาดพื้นที่ที่ต้องการ คือ ประมาณ 2,000-4,000 ตร.ม. หรืออาจมากถึง 8,000 ตร.ม. ในบางอาคาร “อาคารสำนักงานให้เช่าตามแนวรถไฟฟ้าและรถไฟฟ้าใต้ดินได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการธุรกิจให้เช่าพื้นที่ทำงานร่วมเป็นอย่างมาก โดยมีการขอเช่าพื้นที่ในอาคารเดียวกว่า 7,000-8,000 ตร.ม.” นายธีระวิทย์ ลิ้มทองสกุล กรรมการผู้จัดการบริษัท เน็กซัส เรียลเอสเตท แอ็ดไวเซอรี่ กล่าว   จากการวิจัยของเน็กซัส พบว่าเหตุที่ Co-working Office เป็นที่นิยมมากขึ้นเนื่องจาก เป็นรูปแบบบริการที่ทันสมัยเข้าใจไลฟ์สไตล์ของพนักงานในยุคมิลเลนเนียมที่ต้องการความคล่องตัว มีบรรยากาศการทำงานที่ผ่อนคลาย ทั้งยังสามารถทำสัญญาเช่าระยะสั้นได้ ซึ่งเหมาะกับบริษัทสตาร์ทอัพที่ต้องการปรับเปลี่ยนขนาดของพื้นที่ หรือจำนวนพนักงานอย่างรวดเร็ว ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้เช่าที่เคยเกิดขึ้นจากการเช่าสำนักงานแบบเดิม เช่น ค่าตกแต่งสำนักงาน ค่าเฟอร์นิเจอร์ ค่าบริหารจัดการ ค่าส่วนกลาง ค่าทำความสะอาด เป็นต้น ซึ่งข้อดีที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ Co-working Office มักจะมีอยู่หลายสาขาไว้ให้บริการ ดังนั้น สมาชิกจึงมีความสะดวกสบายต่อการเลือกใช้บริการในสาขาที่ตนเองต้องการ เป็นเหตุให้ Co-working Office จึงกลายเป็นตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจของผู้เช่า   “ในอนาคตอันใกล้คาดว่ามีผู้ประกอบการอีกจำนวนไม่น้อยที่ต้องการพัฒนาโครงการในรูปแบบของ Co-working Office โดยอาจเป็นในรูปแบบของการร่วมมือกันระหว่างเจ้าของอาคารกับผู้ประกอบการ Co-working Office หรือ เจ้าของอาคารที่หันมาเป็นผู้ประกอบการเอง และด้วยการทำ Co-working Office นั้น ต้องการพื้นที่ขนาดใหญ่ ซึ่งข้อดี คือ Co-working Office จะช่วยเข้ามาช่วยลดอัตราว่างของพื้นที่ในอาคารให้น้อยลงนอกจากนี้ ยังสามารถสร้างจุดแข็งและภาพลักษณ์ที่ดีให้กับผู้เช่า รวมไปถึงเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับโครงการอีกด้วย โดยในอนาคตมีแนวโน้มว่าอาคารสำนักงานให้เช่าเกรดเอในกรุงเทพฯ จะมีพื้นที่สำหรับรองรับ Co-working Office ประมาณ 10% ในทุกๆอาคาร” นายธีระวิทย์ ลิ้มทองสกุล กล่าวสรุป    
รีจัส เดินหน้าขยายความสำเร็จเปิดสาขาที่ 21 ณ สิงห์ คอมเพล็กซ์

รีจัส เดินหน้าขยายความสำเร็จเปิดสาขาที่ 21 ณ สิงห์ คอมเพล็กซ์

รีจัส เดินหน้าขยายความสำเร็จเปิดสาขาที่ 21 ณ สิงห์ คอมเพล็กซ์ ใจกลางเมืองย่านธุรกิจแห่งใหม่ ตอกย้ำตำแหน่งผู้นำด้านการให้บริการพื้นที่ทำงานอันยืดหยุ่นและเปี่ยมด้วยนวัตกรรม   รีจัส (Regus) ผู้นำด้านการให้บริการพื้นที่สำนักงานระดับโลก ประกาศเปิดตัวสาขาใหม่ล่าสุดบนพื้นที่ชั้น 30 อาคารสิงห์ คอมเพล็กซ์ สำนักงานเกรดเอสุดทันสมัยแห่งใหม่ โดยสาขาใหม่แห่งนี้นับเป็นสาขาที่ 21 ในประเทศไทยที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ใจกลางเมืองห่างจากรถไฟฟ้าใต้ดินสถานีเพชรบุรีและรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์สถานีมักกะสันเพียงไม่กี่ก้าว     รีจัส สาขาใหม่ตั้งอยู่บนชั้น 30 อาคารสิงห์ คอมเพล็กซ์ที่มีพื้นที่บริการครอบคลุมกว่า 1,134 ตารางฟุต โดยแบ่งเป็นพื้นที่สำนักงานทั้งหมด 73 ห้อง พื้นที่ทำงานกว่า 200 ที่นั่ง และห้องประชุม 2 ห้อง เพื่อรองรับความต้องการขององค์กรธุรกิจและบุคคลทั่วไปที่มองหาพื้นที่ทำงานที่ยืดหยุ่นได้อย่างไม่มีที่ใดให้บริการมาก่อน พร้อมดื่มด่ำกับวิวถนนอโศกมนตรีและถนนเพชรบุรีใจกลางกรุงเทพฯ อีกทั้งยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับออฟฟิศพร้อมใช้งาน ระบบอินเตอร์เน็ตรองรับการใช้งานทางธุรกิจและบริการโทรศัพท์ รวมถึงห้องครัว บริการทำความสะอาดและพนักงานต้อนรับตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งช่วยลดความยุ่งยากในการทำงาน และสร้างบรรยากาศที่ดีในการทำงานมากยิ่งขึ้น   นอกจากนี้ รีจัสยังนำเสนอบริการเหนือระดับมากกว่าการเป็นเพียงพื้นที่การทำงานแบบเดิมๆ เช่น บริการออฟฟิศเสมือนจริง พร้อมที่อยู่สำหรับส่งเอกสารบนทำเลย่านธุรกิจใจกลางเมือง ตลอดจนบริการให้ความช่วยเหลือผู้ใช้บริการที่ต้องการโยกย้ายพื้นที่ทำงานจากสาขาหนึ่งมายังอีกสาขาหนึ่งของรีจัสที่มีสาขาให้บริการทั่วกรุงเทพฯ รีจัสมีเครือข่ายสำนักงานให้เช่า พื้นที่การทำงานและพื้นที่จัดประชุมสำหรับให้บริการจำนวนถึง 3,300 แห่ง ใน 110 ประเทศทั่วโลก     คุณโนเอล โค้ก ผู้อำนวยการใหญ่ รีจัส ประจำประเทศไทย ไต้หวัน และเกาหลี เผยว่า “การเปิดตัวรีจัสสาขาที่ 21 ณ อาคารสิงห์ คอมเพล็กซ์ เพื่อตอกย้ำว่าย่านศูนย์กลางธุรกิจแห่งใหม่นี้ยังคงเป็นทำเลธุรกิจที่ดึงดูดความสนใจทั้งคนไทยและคนต่างชาติ พื้นที่ย่านอโศก-เพชรบุรีเป็นที่รู้จักกันดีในกลุ่มวิชาชีพสายงานต่างๆ และคนทำงานยุคดิจิทัลแบบไร้ออฟฟิศที่ต้องการความก้าวหน้าในหน้าที่การงานในเมืองที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว สาขาใหม่นี้สะดวกมากสำหรับเหล่าสตาร์ทอัพ บริษัทขนาดเล็กและกลาง รวมถึงองค์กรขนาดใหญ่และฟรีแลนซ์ต่างๆ ด้วยพื้นที่ทำงานที่ยืดหยุ่นได้ สะดวกสบาย ตลอดจนรองรับการทำงานยุคดิจิทัลเป็นอย่างดี”   “การเปิดสาขาใหม่นี้เป็นส่วนหนึ่งของพันธกิจของรีจัสในการขยายสาขาอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ที่มีศักยภาพ รวมทั้งตอบสนองความต้องการพื้นที่ทำงานที่ยืดหยุ่นได้ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทั่วประเทศไทย ดังนั้น เราจึงพยายามอย่างต่อเนื่องเพื่อปรับปรุงและมอบประสบการณ์การทำงานที่สะดวกสบายและยืดหยุ่นได้ดีที่สุด ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้บริการเกิดความคิดสร้างสรรค์มากยิ่งขึ้นในการทำงาน” คุณโนเอล โค้ก กล่าวเสริม     สิงห์ คอมเพล็กซ์ คือ อาคารมิกซ์ยูสชั้นนำแห่งใหม่เกรดเอ สูง 42 ชั้น ที่รายล้อมไปด้วยสถานที่ที่มีชื่อเสียงมากมายด้วยทำเลที่ตั้งนำเสนอที่สุดแห่งความสะดวกสบายสำหรับผู้เช่าและผู้มาเยือนไล่เรียงตั้งแต่โรงแรมระดับห้าดาวไปจนถึงศูนย์การประชุมระดับโลก ศูนย์การค้าระดับพรีเมี่ยมไปจนถึงตลาดนัด และร้านค้าชุมชน อาคารแห่งนี้จึงสะท้อนการใช้ชีวิตแบบคนเมืองในเมืองที่มีพลวัตสูงได้เป็นอย่างดี   สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ รีจัส ณ สิงห์ คอมเพล็กซ์หรือสนใจเยี่ยมชมพื้นที่สำนักงานให้เช่า สามารถเข้าไปเยี่ยมชมได้ที่ www.regus.co.th          
HQ เปิดตัวพื้นที่ทำงานสำหรับคนยุคใหม่แห่งแรกในไทย ณ อาคาร เอสพีอี ทาวเวอร์ พหลโยธิน

HQ เปิดตัวพื้นที่ทำงานสำหรับคนยุคใหม่แห่งแรกในไทย ณ อาคาร เอสพีอี ทาวเวอร์ พหลโยธิน

HQ เปิดตัวครั้งแรกเพื่อตอบโจทย์พื้นที่การทำงานที่ยืดหยุ่นได้และมีความสำคัญสำหรับเหล่าคนทำงาน ฟรีแลนซ์ และธุรกิจขนาดเล็กในประเทศไทย   HQ ผู้ให้บริการเช่าพื้นที่สำนักงานชั้นนำภายใต้เครือ IWG ผู้นำธุรกิจให้บริการเช่าพื้นที่สำนักงานระดับโลกและผู้ดำเนินการบริหารบริษัทพื้นที่ทำงานชั้นนำทั่วโลก ได้แก่ รีจัส และสเปซเซส เปิดตัวสาขาแรกในประเทศไทย ณ อาคาร เอสพีอี ทาวเวอร์ ถนนพหลโยธิน พื้นที่ทำงานแห่งใหม่นี้อยู่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าสนามเป้าและห่างจากสถานีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ พญาไท เพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น   HQ มีเป้าหมายในการนำเสนอพื้นที่ทำงานสำหรับมืออาชีพและฟรีแลนซ์ในกรุงเทพฯ ด้วยสถานที่ที่เอื้ออำนวยต่อการทำงานและส่งมอบคุณค่าที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินธุรกิจ โดยสาขาแรกนี้ตั้งอยู่บนชั้น 10 ของอาคารเอสพีอี ทาวเวอร์ แบ่งเป็นพื้นที่สำนักงาน 910 ตารางเมตร ประกอบไปด้วยห้องทำงาน 60 ห้อง พื้นที่ทำงาน 188 ที่นั่ง และห้องประชุม 2 ห้อง มาพร้อมกับทางออกของการทำงานที่ปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการการใช้พื้นที่ทำงานทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็นโคเวิร์คกิ้ง เลานจ์ ออฟฟิศส่วนตัว และห้องประชุม   คุณโนเอล โค้ก ผู้อำนวยการใหญ่ HQ ประจำประเทศไทย กล่าวว่า “เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ความสำเร็จของสเปซเซสและรีจัสในประเทศไทยได้ปูทางให้เราเปิดตัว HQ สาขาแรกในกรุงเทพฯ สาขาใหม่นี้ซึ่งตอบโจทย์พื้นที่ทำงานที่ยืดหยุ่นได้และมีความสำคัญสำหรับเหล่าคนทำงาน ฟรีแลนซ์ และธุรกิจขนาดเล็กในประเทศไทยเรามั่นใจว่า แบรนด์ HQ จะเป็นอีกหนึ่งแบรนด์เวิร์คสเปซระดับโลกที่ตอบสนองความต้องการพื้นที่ทำงานในกรุงเทพฯได้เป็นอย่างดี”   เอชคิวนำเสนอคอนเซ็ปต์หลัก 3 คอนเซ็ปต์ ได้แก่ ออกแบบมาเพื่อการทำงานที่มีประสิทธิภาพ – HQ ช่วยอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าในการดำเนินธุรกิจและทำงานชิ้นสำคัญ โดยปราศจากการรบกวน ความยุ่งยาก ปัญหาเรื่องเทคโนโลยี และราคาที่ไม่แพงเกินไป พื้นที่ทำงานสำหรับทุกคน – HQ ออกแบบมาเพื่อให้เหมาะกับทุกคนตั้งแต่องค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ไปจนถึงฟรีแลนซ์ต่างๆ แม้ว่าลูกค้าจะต้องการพื้นที่ทำงานสำหรับ 1 คน หรือ 1,000 คน เวิร์คสเปซแห่งนี้นำเสนอเงื่อนไขการใช้งานต่างๆ ที่สามารถปรับเปลี่ยนได้และมีราคาที่เหมาะสมเพื่อให้ทุกคนมาใช้บริการได้ ง่ายต่อการใช้งาน – HQ มีแอพพลิเคชั่นที่ลูกค้าสามารถจองห้องประชุมหรือจองพื้นที่ทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทุกวัน ง่ายๆ เพียงปลายนิ้ว   “HQ เล็งเห็นว่าประเทศไทยเป็นตลาดที่กำลังขยายตัวด้วยจำนวนที่เพิ่มขึ้นของคนทำงานยุคใหม่แบบไร้ออฟฟิศขณะเดียวกันบริษัทเองก็ได้รับผลดีจากความยืดหยุ่นที่เพิ่มขึ้น ลดค่าใช้จ่ายการเช่าสถานที่ ตลอดจนเพิ่มความสุขในการทำงานให้แก่พนักงาน HQ มีวิสัยทัศน์ที่จะนำข้อดีเหล่านี้มาใช้เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจทุกขนาดและทุกขั้นตอน ยกตัวอย่างเช่น ฟรีแลนซ์และเจ้าของธุรกิจเอสเอ็มอีที่ต้องการย้ายที่นั่งทำงานจากห้องนั่งเล่นหรือร้านกาแฟแถวบ้านมาเป็นสถานที่ทำงานที่สะท้อนความเป็นมืออาชีพ HQ นำเสนอความต้องการพื้นฐานที่ช่วยสนับสนุนให้การทำงานประสบผลสำเร็จและได้ผลงานที่มีคุณภาพ ตลอดจนส่งมอบคุณค่าที่ช่วยผลักดันให้ธุรกิจเติบโตมากยิ่งขึ้น” คุณโนเอล กล่าวเพิ่มเติม          
SINGHA COMPLEX ครบทุกไลฟ์สไตล์คนเมือง

SINGHA COMPLEX ครบทุกไลฟ์สไตล์คนเมือง

เมื่อไม่นานมานี้ SINGHA COMPLEX  จัดงานเปิดตัวอย่างเป็นทางการอย่างยิ่งใหญ่อลังการสมกับเป็น Luxury Mixed Use Complex ใจกลางอโศก ซึ่ง SINGHA COMPLEX แห่งนี้ได้เปิดให้ใช้บริการอย่างเต็มรูปแบบในส่วนของ Office Building กับ Retail 4 ชั้น ที่เราจะพาไปเดินเล่นชมบรรยากาศกันในบทความนี้ค่ะ อย่ารอช้า นั่ง MRT ไปลงที่สถานีเพชรบุรี ทางออกที่ 2 แล้วไปเดินเล่นกันค่ะ   SINGHA COMPLEX จะประกอบไปด้วย Office Building 42 ชั้น, Retail 4 ชั้น ที่เราจะพาไปเดินเล่นกันในครั้งนี้ และอาคารสูงด้านหลังที่ยังก่อสร้างกันอยู่จะเป็นคอนโดมิเนียมที่ชื่อว่า THE ESSE @SINGHA COMPLEX รวมทั้งหมดแล้วมีพื้นที่ประมาณ 11 ไร่ และด้วยเหตุที่ตั้งอยู่ตรงหัวมุมสี่แยกพอดี(เดิมคือสถาณฑูตญี่ปุ่น) จึงมีทางเข้า-ออก อยู่ 2 ทางค่ะ คือฝั่งถ.เพชรบุรี กับถ.อโศกมนตรี ซึ่งการออกแบบทางสถาปัตยกรรมนั้นได้แรงบันดาลใจมาจากสีสัน เส้นสายตามธรรมชาติของรวงข้าวบาเล่ย์สีทอง กลายเป็นอาคารที่ดูทันสมัย สง่างาม โอ่งโถ่งสมกับเป็นอาคารออฟฟิศเกรดพรีเมี่ยมอย่างที่ทางสิงห์เองตั้งใจเอาไว้     ฝั่งอาคารที่เป็น Retail เราจะเห็นต้นจามจุรี 3 ต้นใหญ่วางตัวเรียงกันอยู่ริมสี่แยกอโศก-เพชรบุรี แบบที่เห็นนี้มีมาตั้งแต่ยังเป็นสถาณฑูตญี่ปุ่น ซึ่งทางสิงห์ตั้งใจเก็บรักษาเอาไว้ เพื่อให้อยู่คู่กับสถานที่แห่งนี้ต่อไป   The Bistro @SINGHACOMPLEX ลานเบียร์เป็นของคู่กันกับฤดูหนาว ซึ่งตรงนี้จะมีไปจนถึงวันที่ 13 ม.ค. 62 เวลา 17.00-24.00 น.   เรามาเริ่มเข้าไปสำรวจด้านในกันค่ะ ที่นี่เปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่ 9.00-23.00 น. ก้าวแรกที่เข้าไปเลยก็จะพบกับ Top Daily ที่มีทั้งของสด ขนม ผลไม้ เครื่องดื่ม เบเกอร์รี่ เวชภัณฑ์ ฯลฯ เรียกได้ว่าครบครันใช้ได้ทีเดียวค่ะ นอกจากนี้ในบริเวณชั้น G ก็จะมีทั้งร้านกาแฟ ขนม อาหารแบบเบาๆ และธนาคารค่ะ   ขึ้นไปกันที่ชั้น L1 ค่ะ ก็จะมีทั้งธนาคาร ร้านอาหารญี่ปุ่น ร้านขนม และโซน Beauty&Health Care เช่น Kazan By Sushi Yanma, Gyu Kaku, King Kong Sweets, ปั้นคำหอม, Cut&Curl, SCB ฯลฯ   L2 เป็นร้านอาหารไทย อาหารฟิวชั่น เช่น bangkok bold kitchen, กล่องชา 24, คาเฟ่อเมซอน ฯลฯ  และยังเป็นโซนเริ่มต้นของ Amphitheatre สถานที่สำหรับนั่งพักผ่อน หรือหลบมุมทำงาน ซึ่งเป็นไฮไลท์ของ SINGHA COMPLEX แห่งนี้ค่ะ   สุดท้ายที่ชั้น L3 ค่ะ จะขาดไปไม่ได้เลยคือร้าน EST.33 จากสิงห์ทางเอง ร้านซาลาเปาโกอ้วนเจ้าดังจากหาดใหญ่ และโซน Amphitheatre ที่เป็น Co-Working Space ในบรรยากาศร่มรื่นสบายตาแบบที่แทบไม่น่าเชื่อเลยว่ากำลังนั่งอยู่ท่ามกลางเมืองใหญ่อันแสนจะวุ่นวายภายนอก มาพร้อม Free Super Wifi ชาวฟรีแลนซ์เห็นแล้วจะต้องชอบค่ะ     SINGHA COMPLEX แม้จะมีพื้นที่ในส่วนของ Retail ไม่มากเหมือนห้างสรรพิสินค้าใหญ่ๆ แต่ข้อดีก็คือความไม่วุ่นวายนี่แหละค่ะ ทำให้เป็นอีกหนึ่งใน Co-Working Space ที่น่าสนใจ(ฟรีด้วยนะ) ได้เปลี่ยนบรรยากาศนั่งทำงาน เดินทางสะดวกไม่ว่าจะด้วยรถไฟฟ้าหรือรถยนต์ส่วนตัว ถ้าหิวก็มีอะไรให้เลือกทานหลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละชั้นสามารถจัดโซนได้ดีทีเดียวค่ะ เรียกได้ว่าครบทุกไลฟ์สไตล์คนเมืองจริงๆ              
รีจัส เดินหน้าสนับสนุนการเติบโตกลุ่มธุรกิจไมซ์  เปิดสาขาออฟฟิศพร้อมใช้ทำเลใหม่ที่ เชียงใหม่ไอคอนปาร์ค

รีจัส เดินหน้าสนับสนุนการเติบโตกลุ่มธุรกิจไมซ์ เปิดสาขาออฟฟิศพร้อมใช้ทำเลใหม่ที่ เชียงใหม่ไอคอนปาร์ค

Regus (รีจัส) ผู้นำด้านการให้บริการพื้นที่สำนักงานระดับโลก เปิดตัวสาขาใหม่ล่าสุดสาขาที่ 20 ในประเทศไทย ณ ชั้น 2 โรงแรมไอคอนปาร์ค ใจกลางเมืองเชียงใหม่ โดย รีจัส ยังคงเดินหน้าเพิ่มเครือข่ายสำนักงานออฟฟิศ โคเวิร์คกิ้งสเปซและห้องประชุมที่มีเอกลักษณ์ บนทำเลที่ใกล้กับศูนย์การค้าคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี “ไอคอนสแควร์” ห่างจากสนามบินนานาชาติเชียงใหม่เพียง 15 นาที   สถานที่ตั้งของสำนักงานพร้อมใช้แห่งนี้เป็นศูนย์รวมสิ่งอำนวยความสะดวกแบบครบวงจร ประกอบไปด้วย บริการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตมาตรฐานธุรกิจ บริการทางโทรศัพท์ พื้นที่ครัว พนักงานต้อนรับและบริการทำความสะอาด เพื่อช่วยลดภาระการบริหารจัดการด้านสำนักงานให้กับทุกธุรกิจ     เชียงใหม่ไอคอนปาร์คเป็นโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบมิกซ์ยูสที่ประกอบไปด้วยโรงแรม 6 ชั้น, ร้านอาหารและร้านค้าปลีกบนถนนมณีนพรัตน์ใจกลางเมืองเชียงใหม่ ซึ่งห่างจากถนนนิมมานเหมินท์แหล่งรวมคาเฟ่ และร้านอาหารที่มีชื่อเสียงของเชียงใหม่เพียงไม่กี่นาที   การเปิดตัวรีจัสสาขาใหม่ในครั้งนี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นที่จะขยายธุรกิจออกไปสู่สถานที่ซึ่งสะดวกต่อการเข้าถึงการบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบวงจรได้อย่างรวดเร็ว เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของเครือข่ายพื้นที่การทำงานที่ยืดหยุ่นและมีสาขาครอบคลุมทั่วโลกที่มีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งเชียงใหม่ยังเป็นเมืองที่มีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็วเป็นอันดับต้นๆ และยังเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับการจัดงานนิทรรศการและประชุมธุรกิจในระดับนานาชาติ เห็นได้จากในพ.ศ. 2555 เชียงใหม่ได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพจัดงานไมซ์มากถึง 500 งาน และมีโอกาสได้ต้อนรับนักธุรกิจต่างชาติจำนวนกว่า 47,000 ราย     คุณโนเอล โค้ก ผู้อำนวยการใหญ่ รีจัส ประจำประเทศไทย ไต้หวัน และเกาหลี เผยว่า เราเล็งเห็นว่าเชียงใหม่เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมเป็นอย่างมากในกลุ่มธุรกิจไมซ์ และด้วยทำเลที่ตั้งของ ไอคอนปาร์คนั้นใกล้กับสนามบินและย่านธุรกิจการค้า เราจึงเห็นโอกาสในการเสริมสร้างเครือข่ายของพื้นที่ทำงานทั่วโลกของเราให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น รีจัสมีพื้นที่ที่สามารถมอบพื้นที่การทำงานที่ยืดหยุ่นได้ในรูปแบบต่างๆ ด้วย ห้องรับรองทางธุรกิจ (Business lounge) และห้องประชุมที่พร้อมให้บริการแบบครบวงจร ซึ่งการเป็นศูนย์บริการธุรกิจนี้ถือเป็นโซลูชั่นที่ดีอย่างยิ่งสำหรับบริษัททั้งในประเทศและต่างประเทศที่กำลังมองหาสำนักงานที่มีความยืดหยุ่นและมีอุปกรณ์ครบครันที่สุดแห่งหนึ่งในเชียงใหม่   รีจัส สาขาใหม่ล่าสุดนี้ ตั้งอยู่ ณ ไอคอนปาร์ค ในใจกลางเมืองเชียงใหม่ ที่มีพื้นที่ให้บริการกว่า 644.2 ตารางเมตร ประกอบไปด้วยจำนวนสำนักงานทั้งหมด 44 ห้อง, มีพื้นที่การทำงานกว่า 133 ที่นั่ง และห้องประชุมจำนวน 1 ห้อง     รีจัส ผู้นำด้านการให้บริการพื้นที่สำนักงานระดับโลก มอบโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับธุรกิจทั่วโลก นับเป็นเครือข่ายกว้างใหญ่ที่จะช่วยให้ธุรกิจสามารถทำงานได้อย่างยืดหยุ่นจากทุกพื้นที่ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายหรือลงทุนในการจัดตั้งสำนักงาน อีกทั้งผลประโยชน์ที่องค์กรจะได้รับไม่ได้มีเพียงแต่การจ่ายเงินสำหรับพื้นที่ทำงานที่พวกเขาต้องการเท่านั้น แต่ลูกค้าสามารถที่จะเพิ่มหรือลดพื้นที่ทำงานตามความจำเป็นและความต้องการได้ ไม่ว่าจะต้องการพื้นที่เพียงแค่ 2-3 ชั่วโมงหรือเป็นเวลาหลายปี และยิ่งไปกว่านั้นยังมีสิทธิประโยชน์ที่เพิ่มขึ้นจากบริการดูแลและจัดการสำนักงานของคุณได้อย่างเต็มรูปแบบด้วยสัญญาเพียงฉบับเดียว ทั้งการสรุปรายงานความคืบหน้าต่างๆ รวมถึงบริการดูแลและบริการลูกค้าสัมพันธ์ทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง     รีจัส ณ ไอคอนปาร์ค ในใจกลางเมืองเชียงใหม่นี้ ตั้งอยู่ในทำเลที่ยอดเยี่ยม โดยห่างจากสนามบินนานาชาติเชียงใหม่เพียงไม่กี่นาทีและยังมอบสิทธิผลประโยชน์แก่ลูกค้าได้อย่างคุ้มค่าอีกด้วย สำหรับการเปิดตัวสาขาใหม่ในครั้งนี้ รีจัสมองว่าเป็นโอกาสที่ดีสำหรับนักธุรกิจที่ต้องการการบริการสำนักงานพร้อมใช้ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกแบบครบวงวรในไทย” คุณโนเอล โค้ก กล่าวเสริม     รีจัส พื้นที่บริการสำนักงานให้เช่านั้นมีเครือข่ายศูนย์รวมที่ครอบคลุมกว่า 21 สาขาทั่วไทย ทั้งในกรุงเทพ ภูเก็ต เชียงใหม่ และศรีราชา ซึ่งในปีนี้ได้ตั้งเป้าที่จะเปิดตัวสาขาใหม่ ณ เชียงใหม่ไอคอนปาร์ค เป็นสาขาที่ 20 และสาขาที่ 21 ณ สิงห์ คอมเพล็กซ์ตามลำดับ   สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Regus ณ เชียงใหม่ไอคอนปาร์ค สามารถเข้าไปเยี่ยมชมได้ที่ www.regus.co.th
GAYSORN VILLAGE เปิดประสบการณ์ LIFE & WORK Styles รูปแบบใหม่ เหนือระดับ กับ “GAYSORN URBAN RESORT” A CO-SHARING EXPERIENCE

GAYSORN VILLAGE เปิดประสบการณ์ LIFE & WORK Styles รูปแบบใหม่ เหนือระดับ กับ “GAYSORN URBAN RESORT” A CO-SHARING EXPERIENCE

GAYSORN VILLAGE เปิดประสบการณ์ LIFE & WORK Styles รูปแบบใหม่ เหนือระดับ กับ “GAYSORN URBAN RESORT” A CO-SHARING EXPERIENCE แห่งแรกในไทยใจกลางกรุงเทพฯ คอมมูนิตี้ที่ดีที่สุดของคนยุคใหม่     เกษร พร็อพเพอร์ตี้ (Gaysorn Property) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับ Luxury แนวหน้าของประเทศไทยเดินหน้าขยายอาณาจักร “เกษร วิลเลจ” (Gaysorn Village) ย่านราชประสงค์ ใจกลางกรุงเทพมหานคร กับ Integrated Design Mixed-Use Project ที่ประกอบไปด้วย เกษรวิลเลจ (Gaysorn Village) อาณาจักรธุรกิจไลฟ์และสไตล์ ในรูปแบบเออร์เบินวิลเลจแห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทย   ชาญ ศรีวิกรม์ ประธาน บริษัท เกษร พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด   โครงการเกษร ทาวเวอร์ (Gaysorn Tower) อาคารและสำนักงานสุดทันสมัย มูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท เหนือระดับด้วยไลฟ์สไตล์ที่แปลกใหม่และแตกต่างเหนือใคร ตอกย้ำกับคอนเซ็ปต์ "Work – Live – Play – Grow" ศูนย์รวมออฟฟิศและคอมมูนิตี้ศูนย์กลางของการแลกเปลี่ยนความคิดสร้างสรรค์ที่ดีที่สุดในประเทศไทย พร้อมเปิดตัว เกษร เออร์เบิน รีสอร์ท (Gaysorn Urban Resort) แล้ววันนี้! โดยเนรมิตพื้นที่กว่า 2,300 ตารางเมตร บนชั้น19-20 ของอาคาร เกษร ทาวเวอร์ ให้กลายเป็น เกษร เออร์เบิน รีสอร์ท แลนด์มาร์ค CO-SHARING SPACE แห่งใหม่ใจกลางเมือง พื้นที่อำนวยความสะดวกรูปแบบใหม่ ที่ออกแบบในสไตล์รีสอร์ทสุดหรูกลางใจเมืองกรุงเทพมหานคร (Resort Style In The City) นำเสนอเอกลักษณ์ในการออกแบบพื้นที่ด้วยวิธีการ "นอกกรอบ" (Outside Of The Box) ที่ผสมผสานระหว่าง “ธรรมชาติ” และ “เมือง” เข้าด้วยกันอย่างลงตัว เพื่อเปิดประสบการณ์ผ่านสัมผัสทั้ง 5” สร้างสรรค์บรรยากาศด้วยองค์ประกอบธรรมชาติ กระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ แรงบันดาลใจและไอเดียใหม่ๆ สร้างอิสระในการเชื่อมต่อ การมีส่วนร่วมและปฏิสัมพันธ์เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ ความคิดและรสนิยม ต่อยอดระหว่างธุรกิจสู่ธุรกิจ และคนสู่คน   เกษร เออร์เบิน รีสอร์ท เป็น CO-SHARING SPACE แห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทย ที่นำเอาทั้งการทำงานและกิจกรรมไลฟ์สไตล์หลากหลายรูปแบบมาไว้ด้วยกันในแห่งเดียว เนรมิตให้ทุกช่วงเวลาสำคัญของชีวิตและธุรกิจเป็นช่วงเวลาสุดพิเศษแสนประทับใจด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกทางธุรกิจระดับเวิลด์คลาส (World Class Business Facilities) ที่ครบครันตอบสนองทุกฟังก์ชันการใช้งาน เพื่อมอบประสบการณ์การใช้ชีวิตอย่างสมบูรณ์แบบ เกษร เออร์เบิน รีสอร์ท แลนด์มาร์ค CO-SHARING SPACE แห่งใหม่ระดับโลก ที่ให้คุณสามารถสัมผัสได้ถึง Working Space Sharing และ Event Space Sharing ที่ไร้ขีดจำกัด ก้าวข้ามทุกอุปสรรคของการเชื่อมต่อ นำเสนอประสบการณ์และมิติใหม่ของการทำงานและไลฟ์สไตล์ที่เหนือระดับ ด้วยการออกแบบพื้นที่และสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับกิจกรรมประเภทต่างๆ และสามารถปรับเปลี่ยนได้หลากหลายรูปแบบ ให้คุณสามารถเลือกใช้พื้นที่ได้อย่างอิสระ   Working Space Sharing – เกษร เออร์เบิน รีสอร์ท ยกระดับและสร้างสรรค์ประสบการณ์ไลฟ์สไตล์ของการทำงานรูปแบบใหม่ ในพื้นที่อิสระที่คุณสามารถสร้างสรรค์ไอเดีย ออกแบบธุรกิจ หรือคิดกลยุทธ์ใหม่ๆ และพบปะเพื่อพูดคุยสร้างการเชื่อมต่อทางธุรกิจและสังคม ตลอดจนการจัดประชุม การสัมมนา ทุกรูปแบบ ที่ตอบสนองสนองและรองรับทุกความต้องการด้วยพื้นที่ห้องประชุมทั้งขนาดเล็กและใหญ่ที่มีพร้อมให้บริการอย่างหลากหลาย อาทิ The Lawn, The Peak, The Oak ไปจนถึง Private Office ที่เรียกว่า “Cocoon Office” และสำหรับผู้ที่ต้องการสถานที่ทำงาน (Focus Area) ที่ต่างไปจากออฟฟิศแบบเดิมๆ ก็สามารถมานั่งทำงานชิลล์ๆในโซน Hot Desk Area ได้ที่ The Horizon รวมไปถึงการออกแบบสถาปัตยกรรมกรรมทั้งภายนอกและภายใน ที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจในการทำงาน ด้วยการดึงความเป็นธรรมชาติมาประกอบเข้ากับ เกษร เออร์เบิน รีสอร์ท   Event Space Sharing – เปิดประสบการณ์ไลฟ์สไตล์อย่างเหนือระดับเพื่อสร้างภาพลักษณ์และช่างเวลาที่สมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะเป็นจะเป็นการเฉลิมฉลองความสำเร็จ การจัดกิจกรรมเปิดตัวสินค้า จัดกิจกรรมเวิร์กช็อปหรือเทรนนิ่ง ได้อย่างอิสระด้วยในทุกพื้นที่ เกษร เออร์เบิน รีสอร์ท ที่นำเสนอด้วยคอนเซ็ปต์“Food Theater” สำหรับเอ็กซ์คลูซีฟดินเนอร์ และการจัดรับประทานอาหารทุกรูปแบบ ด้วยศักยภาพของครัวระดับมาตรฐานโรงแรมและภัตตาคารที่เพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกถึง 2 แห่ง เปิดพร้อมสำหรับเชฟที่ต้องการจะจัด Chef’s Table ของตนเอง รวมไปถึงร้านอาหารภายนอกที่ต้องการจะจัดเลี้ยง ก็สามารถเข้ามาใช้พื้นที่ของห้องครัวเพื่อประกอบอาหารมื้อพิเศษและเตรียมพร้อมให้บริการกับลูกค้าในสไตล์เกษร เออร์เบิน รีสอร์ท ตอบโจทย์ความต้องการทุกช่วงเวลาของชีวิต เกษร เออร์เบิน รีสอร์ท ครบครันไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกระดับเวิลด์คลาส (World Class Facilities) ตอบโจทย์ทุกความต้องการของไลฟ์สไตล์แบบเหนือระดับ   นอกจากนี้ เกษร เออร์เบิน รีสอร์ท ยังมี คริสตัล บ็อกซ์ (Crystal Box) ซึ่งมีโดดเด่นด้วยกระจกใสแบบรอบด้าน ทำให้สามารถมองเห็นและรับชมวิวทิวทัศน์ จากบริบทโดยรอบของกรุงเทพมหานครได้ในทุกช่วงเวลาอย่างกว้างขวางถึง 270 องศา เติมเต็มทุกกิจกรรมได้อย่างมีลงตัว โดยเน้นการออกแบบโปร่ง โล่ง สบาย ด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกระดับเวิลด์คลาส (World Class Facilities) ที่ครบครัน รองรับการจัดประชุม การสัมมนา งานแถลงข่าว และงานเลี้ยงในรูปแบบต่างๆที่หลากหลายทั้งบรรยากาศ Indoor และ Outdoor ได้ถึง 200 ที่นั่ง เชื่อมต่อกับ “Sky Terrace” พื้นที่เอาท์ดอร์ด้วย Seamless Design ที่สร้างสรรค์พื้นที่ให้กลายเป็นสวนหย่อมลอยฟ้าขนาดใหญ่บนชั้น 19 ของอาคารสไตล์ทรอปิคอลรีสอร์ท ให้คุณได้อิ่มเอมกับสัมผัสธรรมชาติพร้อมสูดอากาศบริสุทธิ์ แม้อยู่ใจกลางเมือง ท่ามกลางความสดชื่นจากธรรมชาติ ท้องฟ้า และพระอาทิตย์ตกดิน(New Sunset Spot In The City) พื้นที่สำหรับการจัดกิจกรรม เอาท์ดอร์ที่พิเศษเหมือนใคร ไม่ว่าจะเป็นการสนุกสนานกับงาน After Party,การเฉลิมฉลองสำเร็จอันยิ่งใหญ่ ดื่มด่ำบรรยากาศอันสวยงามโดยรอบพร้อมกับแชมเปญชั้นดี หรือแม้แต่การพบปะกับพันธมิตรทางธุรกิจระดับเวิลด์คลาสต่างๆ ใช้เวลากับการช่วงเวลาแห่งความสำเร็จ พร้อมชื่นชมพระอาทิตย์ตกดินจากโซน Sky Terrace ของเกษร เออร์เบิน รีสอร์ท ก็สามารถทำได้อย่างลงตัว ให้ความรู้สึกสดชื่นมีชีวิตชีวา สบาย และบริสุทธิ์ ช่วยปลุกแรงบันดาลใจ สร้างสรรค์ความคิดนอกกรอบและไอเดียใหม่ๆได้อย่างอิสระ   ยิ่งไปกว่านั้นที่ขาดไม่ได้สำหรับศูนย์ของ Gaysorn Community คือ Cocoona Lounge – A Sky Lounge ด้วยพื้นที่สวยงามและมีความยืดหยุ่น พื้นที่ของผู้ที่มี Passion และความชื่นชอบหรือรสนิยมในแบบเดียวกัน ที่จะเข้ามาร่วมมีปฏิสัมพันธ์ในการแสดงออกอย่างอิสระและสร้างสรรค์ พร้อมทั้งโอกาสในการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และรสนิยมที่แตกต่างกันเพื่อบ่มเพาะแรงบันดาลใจและเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ร่วมกัน (Like-Minded Community) พร้อมที่จะต้อนรับผู้ที่ต้องการหาเส้นทางแห่งความสำเร็จแบบเหนือระดับ - เกษร เออร์เบิน รีสอร์ท คอมมูนิตี้ที่ดีที่สุดของคนยุคใหม่ ตั้งอยู่ชั้น L19 อาคาร เกษร ทาวเวอร์ เปิดพื้นที่ให้ Co-Sharing Experience แล้ววันนี้!   ฮอไรซอนบาร์ (The Horizon) พื้ที่นั่งทำงานแบบไม่ประจำ พร้อมทั้บริการสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อ สนับสนุนฟังก์ชัน รวมทั้งความช่วยเหลือในการจัดเตรียมเอกสารสำหรับการนำเสนอธุรกิจ คริสตัล บ็อกซ์ (Crystal Box) ซึ่งมีความโดดเด่นด้วยกระจกใสแบบรอบด้าน บันไดยาวที่เชื่อมต่อสมาชิกทั้งสองชั้น ฮอไรซอนบาร์ และบริการสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อสนับสนุนฟังก์ชัน รวมทั้งความช่วยเหลือในการ จัดเตรียมเอกสารสำหรับการนำเสนอธุรกิจ ล็อบบี้ต้อนรับ พื้นที่อำนวยความสะดวกและให้ข้อมูลแก่สมาชิก พื้นที่ห้องนั่งเล่นส่วนกลาง เชื่อมโยงสมาชิก ให้ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์และรสนิยมที่แตกต่างกัน เพื่อบ่มเพาะแรงบันดาลใจและเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ร่วมกัน (Like-Minded Community) ห้องประชุมขนาดเล็กล้อมรอบด้วยกระจกใส เปิดรับแสงธรรมชาติ และชมทัศนียภาพของเมือง    
Spaces ผู้บุกเบิกโคเวิร์คกิ้งและพื้นที่สำนักงานพร้อมใช้สุดสร้างสรรค์  ร่วมลงนามในสัญญาเป็นผู้เช่ารายใหม่ล่าสุดของเอ็มไพร์ ทาวเวอร์

Spaces ผู้บุกเบิกโคเวิร์คกิ้งและพื้นที่สำนักงานพร้อมใช้สุดสร้างสรรค์ ร่วมลงนามในสัญญาเป็นผู้เช่ารายใหม่ล่าสุดของเอ็มไพร์ ทาวเวอร์

Spaces (สเปซเซส) ผู้บุกเบิกพื้นที่สำนักงานสุดสร้างสรรค์จากอัมสเตอร์ดัม ร่วมเซ็นสัญญาเป็นผู้เช่ารายใหม่กับเอ็มไพร์ ทาวเวอร์ มุ่งขยายสาขาที่สามในประเทศไทยในย่านธุรกิจใจกลางเมืองบนถนนสาทร เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า โดยคาดว่าจะพร้อมเปิดให้บริการอย่างเต็มรูปแบบในไตรมาสที่สี่บนพื้นที่ชั้น M และชั้น 27 ณ เอ็มไพร์ ทาวเวอร์ ด้วยพื้นที่การทำงานที่มากถึง 2,974 ตารางเมตรและจำนวนที่นั่งสำหรับการทำงานกว่า 373 ที่นั่ง อีกทั้งรองรับการประชุมด้วย 3 ห้องประชุม พร้อมมอบสภาพแวดล้อมการทำงานที่ยืดหยุ่นแก่กลุ่มคนทำงานที่มีอาชีพอิสระ ผู้ประกอบการ และกลุ่มสตาร์อัพ รวมถึงบริษัทที่ต้องการพื้นที่ๆ สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงของบริษัทได้ในอนาคต คุณโนเอล โค้ก ผู้อำนวยการใหญ่ สเปซเซส ประจำประเทศไทย ไต้หวัน และเกาหลี กล่าวว่า เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมลงนามในสัญญาเช่าพื้นที่กับเอ็มไพร์ ทาวเวอร์ ในครั้งนี้ สำหรับการผลตอบรับที่ดีของ Spaces ทั้งสองสาขา ได้แก่ โครงการซัมเมอร์ฮิลล์ และจัตุรัสจามจุรี ถือได้ว่าเป็นสัญญาณที่ยืนยันได้ว่าเราได้ก้าวสู่ยุคแห่งการทำงานนอกสถานที่อย่างแท้จริง นอกจากนี้เหล่านักธุรกิจและผู้ประกอบการจำนวนมากยังเล็งเห็นถึงความสำคัญของการนำธุรกิจตนเองไปสู่ศูนย์กลางของคอมมิวนิตี้ธุรกิจ Spaces ณ เอ็มไพร์ ทาวเวอร์ แห่งนี้ จึงได้จัดสรรพื้นที่ทำงานแบบโคเวิร์คกิ้งและออฟฟิศแบบส่วนตัวให้เลือกตามความต้องการ พร้อมบรรยากาศที่สร้างสรรค์และเหมาะแก่การสร้างเครือข่ายทางธุรกิจ รวมถึงความสะดวกต่อการเข้าถึงศูนย์กลางธุรกิจของกรุงเทพฯ ผลการสำรวจล่าสุดที่ได้รวบรวมข้อมูลจากนักธุรกิจจำนวนกว่า 18,000 คน จาก 96 บริษัท พบว่า ร้อยละ 80 ของผู้ตอบแบบสอบถามรู้สึกว่าการทำงานในรูปแบบที่ให้ความยืดหยุ่นได้ สามารถช่วยให้ธุรกิจรวมถึงการสรรหาและรักษาพนักงานมีประสิทธิผลที่ดียิ่งขึ้น ทั้งยังช่วยสร้างความพึงพอใจให้กับการทำงาน เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและผลการดำเนินงานอีกด้วย คุณวัลลภา ไตรโสรัส กรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มแอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า เอ็มไพร์ ทาวเวอร์ เป็นอาคารสำนักงานที่สูงที่สุดในประเทศไทยและสูงที่สุดเป็นอันดับที่ 6 ของกรุงเทพฯ จึงถือว่าเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คที่สำคัญ ด้วยสถานที่ตั้งในย่านใจกลางเขตเศรษฐกิจของกรุงเทพฯ จึงมอบความสะดวกในการเชื่อมต่อด้านการคมนาคมผ่านสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสช่องนนทรีและรถโดยสารด่วนพิเศษ สถานีสาทร รวมถึง Em Space ศูนย์รวมบริการแบบครบวงจรที่ช่วยเติมเต็มไลฟ์สไตล์ของทุกวันทำงานด้วยร้านค้า ร้านอาหาร ฟิตเนสและอื่นๆ อีกมากมาย ได้แก่ เวอร์จิ้น แอ็คทีฟ, ท็อปส์ มาร์เก็ต และ เอเชียบุ๊คส์ ด้านคุณโสมพัฒน์ ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มแอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น เผยว่า เรามีความยินดีที่ Spaces ได้เลือกเอ็มไพร์ ทาวเวอร์ เป็นสาขาที่สามในประเทศไทย ซึ่งเราคาดว่าการมอบพื้นที่การทำงานที่ยืดหยุ่นนี้จะช่วยเติมเต็มบรรยากาศที่ดีให้แก่ออฟฟิศทำงานในย่านสาทรต่อไป Spaces ณ เอ็มไพร์ ทาวเวอร์ จะพร้อมเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในไตรมาสที่ 4 นอกจากนี้ Spaces สาขาแรก ณ ชั้น 3 ของซัมเมอร์ฮิลล์ และสาขาที่สองบนชั้น 24 อาคารจัสตุรัสจามจุรี ได้พร้อมเปิดให้บริการแล้ว สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Spaces ณ เอ็มไพร์ ทาวเวอร์ สามารถเข้าไปเยี่ยมชมได้ที่ www.spacesworks.com
“JUSTCO” เปิดตัว CO-WORKING SPACE ที่ใหญ่ที่สุดในไทย  เผยโฉมสาขาแรกใจกลางกรุงเทพฯ เอไอเอ สาทรทาวเวอร์

“JUSTCO” เปิดตัว CO-WORKING SPACE ที่ใหญ่ที่สุดในไทย เผยโฉมสาขาแรกใจกลางกรุงเทพฯ เอไอเอ สาทรทาวเวอร์

หลังจากประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง และก้าวเข้าสู่การเป็นผู้ให้บริการโคเวิร์คกิ้งสเปซ (Co-Working Space) ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ล่าสุด จัสท์โค (JustCo) พร้อมเปิดตัวโคเวิร์คกิ้งสเปซสาขาแรกในประเทศไทย ณ เอไอเอ สาทร ทาวเวอร์ ภายใต้แนวคิด Let’s Make Work Better ซึ่งให้มากกว่าการเป็นโคเวิร์คกิ้งสเปซพื้นที่การทำงานที่ทันสมัย แต่จะเน้นการสร้างคอมมูนิตี้ (Community) ให้เกิดเป็นเครือข่ายที่แข็งแกร่ง สร้างความสัมพันธ์และแสวงการเชื่อมต่อใหม่ๆ พร้อมทั้งสำรวจโอกาสทางธุรกิจเพื่อเชื่อมโยงสมาชิก พาร์ทเนอร์ (Partner) และผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆจากทั่วโลกเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว สำหรับการเปิดตัว จัสท์โค เอไอเอ สาทร ทาวเวอร์ ในครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะเป็นการเปิดตัวจัสท์โค โคเวิร์คกิ้งสเปซ สาขาแรกในประเทศไทยเท่านั้น แต่จัสท์โค เอไอเอ สาทร ทาวเวอร์ ยังเป็นโคเวิร์คกิ้งสเปซที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยอีกด้วย โดยมีพื้นที่กว่า 3,200 ตารางเมตร ให้ความรู้สึกโปร่งสบาย เปิดกว้าง และเต็มเปี่ยมไปด้วยความกระตือรือร้นในการทำงาน ซึ่งมาพร้อมกับความยืดหยุ่น โดยตั้งอยู่ใจกลางเมืองกรุงเทพมหานคร ศูนย์กลางแห่งธุรกิจ ตัวอาคารอยู่ในระยะที่เดินถึงจากสถานีรถไฟฟ้าสุรศักดิ์ และจะมีทางเดินเชื่อมต่อกับสถานีศึกษาวิทยาในเร็วๆ นี้ โดย Mr. Kong Wan Sing ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของของจัสท์โคได้เปิดเผยว่า “เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ประกาศเปิดตัวในกรุงเทพฯซึ่งเป็นก้าวแรกของจัสท์โคในการขยายสาขาไปทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางธุรกิจที่สำคัญแห่งหนึ่งของภูมิภาคและยังคงแสดงให้เห็นถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ทำเลที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่ดีควบคู่กับโครงการริเริ่มโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาลทำให้กรุงเทพฯเป็นตลาดสำคัญสำหรับจัสท์โค ทั้งในประเทศและต่างประเทศและ บริษัทต่างๆจะได้รับประโยชน์จากพื้นที่โคเวิร์คกิ้งสเปซของจัสท์โค เอไอเอ สาทร ทาวเวอร์ ในกรุงเทพฯ ทำให้เราสามารถให้บริการเครือข่ายและการเชื่อมต่อกับชุมชนที่กำลังเติบโตของเราได้อย่างต่อเนื่อง” ทั้งนี้ จัสท์โค เอไอเอ สาทร ทาวเวอร์ ยังได้รับเกียรติจากนักวาดภาพประกอบสาวชาวไทยผู้ฝากผลงานการออกแบบร่วมกับแบรนด์ดังระดับโลกมาแล้วนับไม่ถ้วนอย่าง “Pomme Chan” (ปอม ชาน) มาร่วมถ่ายทอดผลงานอันสร้างสรรค์ผ่าน Wall Painting ผสมผสานกับการออกแบบในสไตล์ของจัสท์โคที่มีเอกลักษณ์ และการตกแต่งภายในที่มีสีสันสดใสและมีชีวิตชีวา ให้ความรู้สึกที่ผ่อนคลาย สบาย สดชื่น และเป็นกันเอง เน้นการใช้วัสดุที่เป็นไม้พร้อมทั้งกำแพงอิฐและใช้แสงนีออนที่ออกแบบและติดตั้งอย่างมีเอกลักษณ์เฉพาะ โดดเด่นด้วยบันไดสีฟ้าสดสวยงามที่อยู่บริเวณศูนย์กลางของโคเวิร์คกิ้งสเปซแห่งนี้ซึ่งเชื่อมโยงสมาชิกทั้งสองชั้นเข้าด้วยกันอย่างลงตัว นอกจากนี้จัสท์โคยังมีการจัดพื้นที่เปิดโล่งอย่างสมดุลระหว่างการเป็นพื้นที่เพื่อการทำงานอย่างมืออาชีพและการสร้างความเป็นชุมชนที่เต็มเปี่ยมด้วยมิตรภาพ โดยมีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับสำนักงานครบครัน พร้อมกับลูกเล่นและองค์ประกอบที่ให้ความสนุกสนานเพื่อความผ่อนคลายของสมาชิกก็มีให้อย่างครบครันไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะเล่นปิงปอง ฟุตบอลโต๊ะ หรือเกมอาร์เคด นอกจากนี้ยังได้ผู้ผลิตกาแฟคุณภาพชื่อดังอย่าง คอฟฟีโอโลจี (Coffeeology) ที่มีความเชี่ยวชาญในศาสตร์ของกาแฟเข้ามาดูแลในพื้นที่เสิร์ฟเครื่องดื่มที่ผ่านการชงอย่างสุดฝีมือโดยบาริสต้าผู้มีความชำนาญ ควบคู่ไปกับขนม และของว่างอื่นๆ เพื่อปลุกความสดชื่นให้แก่สมาชิกก่อนจะเริ่มลุยงานต่อ ตลอดจน Quiet Pods ที่ออกแบบพื้นที่ให้สมาชิกสามารถใช้ได้เมื่อต้องการความเป็นส่วนตัว เช่น การคุยโทรศัพท์ หรืองานที่ต้องใช้ช่วงเวลาที่เงียบสงบในการทำงาน รวมถึง โต๊ะทำงานแบบไม่ประจำ(Hot-Desking), ห้องประชุม(Meeting Studios),พื้นที่สำหรับการจัดกิจกรรมที่หลากหลาย(Event Spaces) แสงสว่างจากธรรมชาติและองค์ประกอบอื่นๆ ที่จะสร้างบรรยากาศที่ดีในการทำงาน ช่วยเสริมสร้างแรงบันดาลใจ กระตุ้นให้เกิดการพูดคุย แลกเปลี่ยนความเห็นซึ่งกันและกันระหว่างสมาชิก พร้อมทั้งเปิดโอกาสในการที่จะเชื่อมต่อกับกลุ่มคนผู้มีพรสวรรค์คนอื่นๆ ทั้งจากธุรกิจในประเทศ ต่างประเทศ และทุกรูปแบบ โดยสมาชิกสามารถขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญทั่วโลก และเข้าถึงฐานข้อมูลต่างๆได้จากเครือข่ายที่แข็งแกร่งของพันธมิตรระยะยาวของจัสท์โค อาทิ Venture Hub โดย PwC, Dropbox และ Salesforce ที่ช่วยให้สมาชิกสามารถใช้ประโยชน์ได้ เชื่อมต่อไปสู่ตลาดในระดับภูมิภาค เข้าถึงข้อมูลเชิงลึกทางธุรกิจ เรียกได้ว่า จัสท์โค เอไอเอ สาทร ทาวเวอร์ จะเป็น โคเวิร์คกิ้งสเปซที่จะสามารถตอบโจทย์การทำธุรกิจในยุค อีคอมเมิร์ช (E-Commerce) ได้อย่างมีประสิทธิภาพและพร้อมที่จะรองรับทุกความต้องการของเหล่าสมาชิกได้อย่างครบครัน โดยพร้อมเปิดให้เข้าใช้บริการอย่างเป็นทางการแล้ววันนี้!
“จัสท์โค” (JustCo) จับมือแสนสิริ ท้าชิงธุรกิจโคเวิร์คกิ้งสเปซ  ปักธงเปิดสาขาแรกใหญ่ที่สุดในประเทศไทย  พร้อมวางเป้าเปิด 100 สาขาทั่วเอเชียในปี 2563

“จัสท์โค” (JustCo) จับมือแสนสิริ ท้าชิงธุรกิจโคเวิร์คกิ้งสเปซ ปักธงเปิดสาขาแรกใหญ่ที่สุดในประเทศไทย พร้อมวางเป้าเปิด 100 สาขาทั่วเอเชียในปี 2563

JustCo ผู้ให้บริการโคเวิร์คกิ้งสเปซสุดสร้างสรรค์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เดินหน้าสานต่อความเป็นพันธมิตรกับแสนสิริ ฉลองเปิด JustCo สาขาแรกในประเทศไทยอย่างเป็นทางการที่อาคารเอไอเอ สาทร ทาวเวอร์ พร้อมเปิดประสบการณ์ใหม่ให้กลุ่มคนทำงาน นักท่องเที่ยวเชิงธุรกิจ และองค์กรธุรกิจทุกขนาดในประเทศไทย ได้สัมผัสกับบรรยากาศการทำงานแบบใช้พื้นที่ร่วมกัน ที่แฝงความสนุกสนาน มีชีวิตชีวาเปิดโอกาสให้ทุกคนได้รู้จัก มีปฏิสัมพันธ์กัน และกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ การเปิดตัว JustCo แห่งแรกในกรุงเทพฯ คือก้าวแรกในการขยายธุรกิจสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และตลาดอื่นๆ ในเอเชีย อีกทั้งยังเป็นความสำเร็จบทแรกจากการดำเนินวิสัยทัศน์ Everyday Visionaries ของแสนสิริเพื่อสร้างการเติบโตครั้งใหม่ด้วยจุดมุ่งหมายที่จะกำหนดการใช้ชีวิตในอนาคต ครอบคลุมทั้งแนวทางการดำเนินชีวิต การทำงาน การพักผ่อนหย่อนใจ และการเรียนรู้ ทั้งยังสอดคล้องกับแนวคิดของ แสนสิริที่มุ่งเติมเต็มประสบการณ์การใช้ชีวิตให้แก่ลูกบ้านทุกคนอย่างต่อเนื่องอีกด้วย โดยลูกบ้านแสนสิริจะสามารถใช้บริการได้ฟรีถึงสิ้นปีนี้   มร.คง วัน ซิง ผู้ก่อตั้งและประธานอำนวยการ JustCo กล่าวว่า “ในช่วงหลายปีมานี้ โคเวิร์คกิ้งสเปซถือเป็นธุรกิจที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดและเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายทั้งในหมู่คนรุ่นใหม่ สตาร์ทอัพ ไปจนถึงบริษัทใหญ่ๆ โดยโคเวิร์คกิ้งสเปซ ไม่ได้เป็นเพียงพื้นที่สำนักงานให้เช่าเท่านั้น แต่เป็นคอมมูนิตี้ที่สมาชิกสามารถมาพูดคุยสร้างปฎิสัมพันธ์ แลกเปลี่ยนวิธีการทำงานและแนวความคิดเพื่อต่อยอดธุรกิจให้ก้าวไกลไปกว่าเดิมได้ ซึ่งปัจจุบัน JustCo ถือเป็นผู้ให้บริการพื้นที่ในลักษณะโคเวิร์คกิ้งสเปซระดับพรีเมี่ยมที่ใหญ่ที่สุดและประสบความสำเร็จมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สิ่งที่ทำให้เราแตกต่างจากโคเวิร์คกิ้งสเปซอื่นๆ คือ เราไม่ได้เป็นแค่ผู้ให้บริการเช่าพื้นที่ แต่เราสร้างคอมมูนิตี้ขนาดใหญ่ที่ช่วยให้สมาชิกของ JustCo สามารถสร้างคอนเนคชั่นใหม่ ๆ พร้อมทั้งมองหาโอกาสต่อยอดทางธุรกิจอื่นๆ นอกจากนี้ JustCo ยังมีเครือข่ายที่แข็งแกร่งกับพันธมิตรระยะยาวที่จะเชื่อมต่อสมาชิก JustCo ไปสู่ตลาดในระดับภูมิภาคและพวกเขายังสามารถเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกทางธุรกิจที่น่าสนใจได้อีกด้วย” มร.คง วัน ซิง กล่าวเพิ่มเติมว่า “ในวันนี้ เรามีความยินดีอย่างยิ่งกับการเปิดตัวเซ็นเตอร์แห่งแรกของ JustCo ในประเทศไทย การร่วมเป็นพันธมิตรกับแสนสิริซึ่งเป็นผู้นำด้านอสังหาริมทรัพย์ของไทยคือแรงผลักดันสำคัญที่เบิกทางให้เราสามารถสร้างการเติบโตอย่างรวดเร็วในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียโดยอาศัยความเชี่ยวชาญและประสบการณ์อันยาวนานของแสนสิริในตลาดเอเชียและยังเป็นการเชื่อมโยง JustCo สู่ลูกบ้านแสนสิริที่มีอยู่จำนวนมากอีกด้วย ประเทศไทยนับเป็นหนึ่งในศูนย์กลางธุรกิจที่โดดเด่นของภูมิภาค ด้วยยุทธศาสตร์ด้านทำเลที่ตั้งที่ดี และความพร้อมในด้านระบบสาธารณูปโภค เราจึงเห็นว่าไทยคือตลาดที่สำคัญของ JustCo และเป็นประตูเชื่อมโยงให้เราขยายธุรกิจไปสู่ตลาดอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ความมุ่งมั่นของ JustCo คือการสร้างระบบนิเวศใหม่ในการทำงานซึ่งเอื้อให้คนทำงานและธุรกิจทุกขนาดได้รับประโยชน์จากพลังของเครือข่าย ผ่านการสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกันการมีส่วนร่วม และการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจระหว่างสมาชิก ซึ่งนำไปสู่โอกาสใหม่ๆ และความสำเร็จที่ดีเยี่ยมทางธุรกิจ” นายอภิชาติ จูตระกูล ประธานอำนวยการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “การเปิดตัว โคเวิร์คกิ้งสเปซ JustCo แห่งแรกในประเทศไทยคือความสำเร็จก้าวแรกของการดำเนินกลยุทธ์ Everyday Visionaries เพื่อสร้างการเติบโตครั้งใหม่ซึ่งเราริเริ่มเมื่อปี 2560 โดยการร่วมลงทุนใน 6 ธุรกิจเทคโนโลยีและไลฟ์สไตล์ระดับโลก ซึ่งต่างมีวิสัยทัศน์ร่วมกันในการร่วมกันสรรสร้างวิถีแห่งการใช้ชีวิต การทำงาน การเรียนรู้ และการพักผ่อนหย่อนใจเพื่อวันข้างหน้าที่ดีขึ้น เป็นทื่ทราบกันดีว่า ปัจจุบันรูปแบบการทำงานไม่ได้จำกัดอยู่ในออฟฟิศแบบเดิมๆ อีกแล้ว กระแสการเติบโตอย่างสูงของธุรกิจ ขนาดเล็กและสตาร์ทอัพใหม่ ๆ ทำให้เกิดความต้องการสถานที่ทำงานรูปแบบใหม่ ที่ให้ความยืดหยุ่นสูง และส่งเสริมให้ทำงานร่วมกัน นอกจากนั้น องค์กรธุรกิจใหญ่ๆ หลายแห่งก็เริ่มให้ความสนใจกับโคเวิร์คกิ้งสเปซเพื่อสร้างพลังและประสิทธิภาพในการทำงานให้พนักงานด้วยบรรยากาศการทำงานที่สร้างสรรค์และร่วมมือกัน JustCo จึงเกิดขึ้นในช่วงจังหวะที่ลงตัวเพื่อตอบสนองการเติบโตอย่างมีศักยภาพของปรากฏการณ์โคเวิร์คกิ้งสเปซในประเทศไทย ”   “แสนสิริเล็งเห็นว่า JustCo คือพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ทั้งในฐานะผู้ให้บริการโคเวิร์คกิ้งสเปซและผู้สร้างพื้นที่การใช้ชีวิตใหม่ๆ ให้กับโครงการแสนสิริและพันธมิตรอื่นๆ ของเราในอนาคต ซึ่งภายใต้การจับมือกันครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายสามารถแบ่งปันทรัพยากร ความรู้ความเชี่ยวชาญ เทคโนโลยี และฐานลูกค้าร่วมกัน นอกจากนั้น ลูกค้าและลูกบ้านของแสนสิริจะได้รับสิทธิประโยชน์ใหม่ๆ ในการเข้าถึงเครือข่าย     โคเวิร์คกิ้งสเปซของ JustCo โดยลูกบ้านแสนสิริสามารถเข้าใช้บริการ Hot-desking ได้ฟรีถึงสิ้นปี รวมถึงในปีหน้าจะได้รับส่วนลด 20% เมื่อสมัครแพ็คเกจสมาชิกอีกด้วย ” นายอภิชาติกล่าว   JustCo ที่เอไอเอ สาทร ทาวเวอร์ มีพื้นที่ 2 ชั้น รวมกว่า 3,200 ตารางเมตรนับเป็น co-working space ที่มีพื้นที่มากที่สุดในประเทศไทย มีการตกแต่งที่สดใส มีชีวิตชีวา ด้วยองค์ประกอบที่สนุกสนาน แนวการออกแบบเน้นการใช้เฟอร์นิเจอร์และวัสดุสไตล์อินดัสเทรียล โต๊ะทำงานที่ใช้ร่วมกัน และเก้าอี้ชิงช้า เพิ่มเติมลูกเล่นด้วยการใช้โทนสีสดในมุมต่างๆ พรั่งพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ทั้งพื้นที่ทำงานแบบฮ็อตเดสก์ พื้นที่ทำงานส่วนตัวที่เงียบสงบ ห้องประชุม พื้นที่จัดอีเวนท์ คาเฟ่ มุมเตะฟุตบอลและตีกอล์ฟ พร้อมแนวคิดที่ส่งเสริมให้เกิดชุมชนแห่งการทำงานโดยการจัดอีเวนท์และกิจกรรมร่วมกันเพื่อเชื่อมโยงธุรกิจทุกรูปแบบ และทุกขนาดเข้าด้วยกัน   ด้วยทำเลที่ตั้งใจกลางธุรกิจของสาทร ผู้ใช้บริการสามารถเดินทางสู่ JustCo เซ็นเตอร์ที่เอไอเอ สาทรทาวเวอร์ ได้สะดวกสบายด้วยรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีสุรศักดิ์ และจะเชื่อมต่อผ่านสกายวอล์คสู่สถานีศึกษาวิทยา ซึ่งคาดว่าจะเปิดให้บริการในไตรมาส 1 ปี 2562 JustCo มีแผนจะเปิดสาขาที่สองที่แคปิตอลทาวเวอร์ ออลซีซั่นเพลส ในเดือนกรกฎาคม 2561 JustCo ยังได้พัฒนาแอพพลิเคชั่น J App ซึ่งสามารถเข้าใช้ได้ผ่านทั้งสมาร์ทโฟนและเว็บไซต์ ทำให้สมาชิกเข้าถึงแพล็ตฟอร์มโคเวิร์คกิ้งได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยสามารถจองห้องประชุมล่วงหน้าได้จากทุกที่ทั่วโลก แลกเปลี่ยนไอเดียกับสมาชิกคนอื่นทั้งในฐานะบุคคลหรือบริษัทและแสวงหาโอกาสทางธุรกิจภายในเครือข่ายขนาดใหญ่ที่ประกอบด้วยสมาชิกระดับคุณภาพกว่า 12,000 คน ปัจจุบันสมาชิกสามารถเข้าใช้ J App ผ่านเว็บไซต์ได้แล้วและภายในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้จะพร้อมเปิดให้ใช้บริการผ่านสมาร์ทโฟน “วันนี้ JustCo กำลังก้าวสู่มิติใหม่ในการขยายธุรกิจสู่ประเทศไทย เราเชื่อว่าด้วยการประสานพลังระหว่างพันธมิตรกับแสนสิริ จะสามารถเติมเต็มประสบการณ์การใช้ชีวิต (Complete Your Living Experience) ให้แก่ลูกบ้านของเราอย่างไร้รอยต่อ นอกจากนั้น พันธมิตรเชิงกลยุทธ์เหล่านี้ยังเสริมความแกร่งให้แบรนด์แสนสิริบนเวทีระดับโลก เช่นเดียวกับสร้างแหล่งรายได้ใหม่ซึ่งจะเป็นมูลค่าเพิ่มให้กับลูกบ้านแสนสิริและธุรกิจหลักของเรา” นายอภิชาติกล่าว
SPACES ออฟฟิศพร้อมใช้งานจากอัมสเตอร์ดัม ฉลองเปิดตัวครั้งยิ่งใหญ่

SPACES ออฟฟิศพร้อมใช้งานจากอัมสเตอร์ดัม ฉลองเปิดตัวครั้งยิ่งใหญ่

นางโนเอล โค้ก (ซ้ายสุด), ผู้อำนวยการใหญ่ สเปซเซส ประจำประเทศไทย ไต้หวัน และเกาหลี พร้อมด้วยทีมผู้บริหารสเปซเซส ประจำประเทศไทย ร่วมจัดงานปาร์ตี้สุดเอ็กคลูซีฟฉลองการเปิดตัวครั้งยิ่งใหญ่ SPACES (สเปซเซส) ออฟฟิศพร้อมใช้งานและโคเวิร์กกิ้งแบบครบวงจรสุดสร้างสรรค์จากอัมสเตอร์ดัม สาขาแรกในประเทศไทย ณ ชั้น 3 โครงการซัมเมอร์ฮิลล์ (Summer Hill) ติดบีทีเอสพระโขนง ด้วยคอนเซปต์อันโดดเด่นในสไตล์ดัตช์ ที่พร้อมเปิดมิติใหม่เพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการทำงาน พร้อมให้ลูกค้าและแขกผู้มีเกียรติเข้าเยียมชมพื้นที่อย่างเต็มรูปแบบ เมื่อเร็วๆ นี้   สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Spaces ณ โครงการซัมเมอร์ฮิลล์ กรุณาโทร 02-026-0635 หรือดูรายละเอียดจาก www.spacesworks.com/bangkok.
IWG พร้อมให้บริการพื้นที่สำนักงานออฟฟิศกว่า 50 ล้านตารางฟุต  ลุยปฏิวัติพื้นที่การทำงานแนวใหม่

IWG พร้อมให้บริการพื้นที่สำนักงานออฟฟิศกว่า 50 ล้านตารางฟุต ลุยปฏิวัติพื้นที่การทำงานแนวใหม่

IWG ผู้นำให้บริการพื้นที่สำนักงานระดับโลก เดินหน้าขยายพื้นที่จำนวนกว่า 50 ล้านตารางฟุต สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการพื้นที่สำนักงานในตลาดที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มขององค์กรที่อ้าแขนรับเทรนด์การเร่งปฏิวัติพื้นที่การทำงานแนวใหม่   ในช่วงปี พ.ศ. 2560 ที่ผ่านมา IWG ได้ขยายพื้นที่ทำงานไปยังอาคารสำนักงานกว่า 314 แห่ง จากพื้นที่เดิมที่มีอยู่ทั้งหมด 5.5 ล้านตารางฟุต ถือเป็นอัตราที่เพิ่มขึ้นถึง 36% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ทำให้ปัจจุบัน IWG มีพื้นที่สำนักงานทั่วโลกรวมแล้วกว่า 50 ล้านตารางฟุต เทียบได้กับขนาดของ สนามกีฬาเวมบลีย์รวมกัน 116 สนาม หรือซิดนีย์โอเปร่าเฮาส์ 261 หลัง หรือสระว่ายน้ำโอลิมปิกจำนวน 3,718 สระ   ปัจจุบันความต้องการพื้นที่ทำงานแบบยืดหยุ่นนั้นได้แผ่ขยายไปทั่วโลกอย่างแท้จริง ซึ่ง IWG ก็ขยายสาขาไปสู่ภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก ได้แก่ อเมริกา ยุโรป ตะวันออกกลาง แอฟริกา และเอเชียแปซิฟิก ในปีที่ผ่านมา IWG ยังขยายไปเปิดพื้นที่สำนักงานครั้งแรกในประเทศแองโกลา อาเซอร์ไบจาน จอร์เจีย ไอซ์แลนด์ อิหร่าน คาซัคสถาน ทรินิแดด โตเบโก รวมถึงการมุ่งขยายสาขาเพิ่มเติมในประเทศต่างๆ อีกด้วย เพื่อช่วยสนับสนุนให้คนทำงานกว่า 2.5 ล้านคนได้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น   IWG เป็นบริษัทผู้ดูแลและบริหารแบรนด์พื้นที่สำนักงานชั้นนำอย่าง Regus, Spaces, No18, Basepoint, Open Office และ Signature ซึ่งพร้อมให้บริการมากกว่า 3,300 แห่ง ใน 1,000 เมืองและกว่า 110 ประเทศ ทั้งยังคงมีแนวโน้มจะเติบโตตลอดปี พ.ศ. 2561 ด้วยแผนการเพิ่มพื้นที่สำนักงานทั่วโลก     นาย มาร์ค ดิกซัน กรรมการผู้จัดการและ ผู้ก่อตั้ง IWG กล่าวว่า ความต้องการพื้นที่สำนักงานแบบยืดหยุ่นที่เพิ่มสูงขึ้นในปัจจุบัน สะท้อนให้เห็นว่าธุรกิจต่างๆ เล็งเห็นถึงผลประโยชน์ที่เรามุ่งนำเสนอ และในปีนี้ยังถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของกระแสและทัศนคติของคนทั่วโลกที่มีต่อพื้นที่การทำงาน   "ธุรกิจทั่วโลกต่างเริ่มตระหนักว่าพื้นที่สำนักงานที่มีความยืดหยุ่นมีข้อได้เปรียบสูง ช่วยลดค่าใช้จ่าย เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และช่วยดึงดูดหรือรักษาพนักงานได้เป็นอย่างดี เรากำลังมาถึงจุดเปลี่ยนที่จะสร้างประสบการณ์การทำงานใหม่ให้แก่คนทำงานนับล้าน"   “การเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ขับเคลื่อนโดยเทคโนโลยีและความสามารถของคนที่ทำงานจากที่ไหนก็ โดยพื้นที่ทำงานที่ยืดหยุ่นยังช่วยให้บริษัทต่างๆ ได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง เริ่มตั้งแต่ธุรกิจสตาร์ทอัพไปจนถึงบริษัทข้ามชาติไม่ว่าจะเป็นกำไรที่มากขึ้น เพิ่มความยืดหยุ่นในกระบวนการทำงานเชิงกลยุทธ์และคล่องตัวมากขึ้นด้วยโลกแห่งดิจิทัลที่มีการเคลื่อนไหวและแข่งขันกันอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน” นายมาร์ค กล่าวเพิ่มเติม     “IWG มุ่งถ่ายทอดวัฒนธรรมการทำงานใหม่ๆ ผ่านแบรนด์ชั้นนำในเครือของบริษัททั่วโลก รวมถึงการพัฒนาและเสริมสร้างวัฒนธรรมการทำงานที่ยืดหยุ่นตามแบบฉบับของ IWG พร้อมให้ธุรกิจต่างๆ สามารถเข้าถึงสำนักงานในรูปแบบที่หลากหลายมากขึ้นทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก สำหรับกรุงเทพฯ มีแบรนด์ชั้นนำอย่าง Regus และ Spaces ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ IWG ได้ร่วมสร้างการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่การทำงานครั้งสำคัญ โดยปัจจุบัน Regus ผู้ให้บริการพื้นที่สำนักงานชั้นนำระดับโลก มีสาขาพร้อมให้บริการสำนักงานให้เช่าครบวงจรถึง 19 สาขาทั่วประเทศไทยและหนึ่งสาขาสำหรับ Spaces นอกจากนี้ Regus มีแผนจะเปิดสาขาใหม่ทั้งหมด 3 สาขาภายในปีนี้ เพื่อรองรับความต้องการพื้นที่ใช้งานที่มีความยืดหยุ่นของผู้บริโภคให้มากขึ้น ได้แก่ สาขาเชียงใหม่ไอคอนปาร์ค โครงการสิงห์ คอมเพล็กซ์ และอีกหนึ่งสาขาบนชั้น 23 อาคาร ภิรัชทาวเวอร์ แอท ไบเทค (ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค) ในขณะที่ Spaces ยังคงเดินหน้าขยายสาขาที่สอง ณ จัตุรัสจามจุรี ด้วยเช่นกัน ซึ่งคาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการอย่างเป็นทางในเดือนหน้านี้" นางโนเอล โค้ก ผู้อำนวยการใหญ่ประจำประเทศไทย เกาหลี ไต้หวัน กล่าวเสริม
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เผยตลาดอาคารสำนักงาน โซนสีลม-สาทร ฮอต

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เผยตลาดอาคารสำนักงาน โซนสีลม-สาทร ฮอต

  พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เผยทำเลสีลม-สาทรติดลมบนโซนยอดนิยมของคนทำงาน ครองอันดับหนึ่งพื้นที่สำนักงานสูงสุด 2.1 ล้านตารางเมตร ล่าสุด  co–working space มาแรงโตถึง 35% เริ่มมีผู้ให้บริการต่างชาติเข้ามาเจาะตลาดโซนสีลม-สาทร รองรับกลุ่มคนทำงาน สตาร์ทอัพ ฟรีแลนซ์ และ expat ส่วนตลาดที่อยู่อาศัยพบพื้นที่พัฒนาโครงการใหม่จำกัด ส่งผลให้ตลาดรีเซลและปล่อยเช่าน่าสนใจ ผลตอบแทนขายต่อ-ปล่อยเช่าอยู่ที่ 4-5%   นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยว่า จากผลสำรวจของพลัส พร็อพเพอร์ตี้ ในตลาดอาคารสำนักงานในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลพบว่ามีพื้นที่สำนักงานรวมทั้งสิ้น 8.6 ล้านตารางเมตร โดยโซนสีลม-สาทร เป็นโซนยอดนิยมของคนทำงาน มีพื้นที่สำนักงานสูงสุดเป็นอันดับหนึ่ง ประมาณ 2.1 ล้านตารางเมตร คิดเป็น 24% ของพื้นที่สำนักงานทั้งหมด รองลงมาคือโซนสุขุมวิท 1.7 ล้านตารางเมตร คิดเป็น 20% และ โซนรัชดาภิเษก 1.2 ล้านตารางเมตร คิดเป็น 14% ซึ่งนอกจากโซนสีลม-สาทร จะเป็นย่านสำนักงานที่ใหญ่ที่สุดของกรุงเทพฯ ยังเพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ตอบสนองการใช้ชีวิตของคนวัยทำงานมากมาย อาทิ การเดินทางโดยระบบขนส่งมวลชนที่สะดวกมีรถไฟฟ้าหลายสถานีล้อมรอบเกือบทุกมุมถนน มีสถานีเชื่อมต่อ BTS และ MRT จึงเป็นทำเลกลางเมืองที่สามารถเดินทางเชื่อมต่อไปยังสถานที่สำคัญๆ ได้ง่าย นอกจากนี้โซนสีลม-สาทร ยังเริ่มเป็นทำเลที่มีพื้นที่สำนักงานร่วม (co-working space) ที่เติบโตตามกระแสเศรษฐกิจแบ่งปัน ที่กำลังมาแรงในกลุ่มคนทำงาน ซึ่ง co-working space ยังมีแนวโน้มเติบโตทั่วโลกและในไทยเองก็มีแนวโน้มการเติบโตไปในทิศทางเดียวกัน โดยล่าสุดในปี 2560 พบว่ามีผู้ใช้บริการทั่วโลก จำนวน 1.74 ล้านราย เติบโตจากปี 2558 เฉลี่ย 83%     จากข้อมูลของ Global Co-Working Space Unconference Conference ได้วิเคราะห์ว่าภายในปี 2565 จำนวนผู้ใช้บริการ co-working space ทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นถึง 5.1 ล้านราย ด้วยเหตุนี้จึงส่งผลให้จำนวนพื้นที่สำนักงานร่วมมีการขยายตัวเพื่อรองรับความต้องการที่มากขึ้น จากปัจจุบันในปี 2561 ที่น่าจะมีจำนวนพื้นที่สำนักงานร่วมอยู่ที่ 17,725 แห่งและเติบโตเฉลี่ยราว 16% ต่อปีนั้น เพิ่มเป็น 30,432 แห่งทั่วโลกในปี 2565   สำหรับประเทศไทยเริ่มมีความต้องการหลังจากผ่านเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่เมื่อปี 2554 เนื่องจากหลายๆ คนไม่สามารถเดินทางไปยังสำนักงานได้ ซึ่งปัจจุบันพบว่ามีพื้นที่ co-working space ทั้งหมด 91 แห่งทั่วประเทศ โดย 70% เป็นพื้นที่ที่ให้บริการในกรุงเทพฯ และ 30% ไปกระจายอยู่ตามหัวเมืองต่างจังหวัด เช่น เชียงใหม่ ภูเก็ต พัทยา หาดใหญ่ เป็นต้น โดยมีอัตราค่าใช้บริการแบบรายวันประมาณ 180 - 500 บาท หรืออาจคิดค่าบริการแบบเหมารายเดือนประมาณ 3,000 - 7,450 บาท ด้วยรูปแบบที่ยืดหยุ่นและตอบโจทย์การทำงานของคนรุ่นใหม่ จึงทำให้ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาธุรกิจมีการขยายสาขาเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 35% ซึ่งล่าสุดพบว่ามีผู้ให้บริการต่างชาติรายใหญ่ เช่น JustCo ได้เข้ามาเปิดให้บริการในทำเล สีลม-สาทร ซึ่งถือเป็นทำเลยอดนิยมของกลุ่มคนทำงาน ตอบโจทย์ความต้องการของพนักงานออฟฟิศและสตาร์ทอัพในย่านนี้   “อย่างไรก็ตามในส่วนของตลาดที่อยู่อาศัยในย่านสีลม-สาทรนั้น พบว่าเหลือพื้นที่ในการพัฒนาโครงการจำกัด ส่งผลให้มีความต้องการด้านที่อยู่อาศัยสูง ทั้งความต้องการในการซื้อต่อและความต้องการเช่า ทำให้คอนโดมิเนียมในทำเลนี้มีราคาปรับตัวขึ้นมาอย่างน่าสนใจโดยราคานำกลับมาขายใหม่ (resale) และผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าอยู่ในระดับที่น่าสนใจทั้งคู่ โดยในส่วนของตลาดรีเซลมีผลตอบแทนการขายต่อ (capital gain) ประมาณ 4-5% ต่อปี ราคาขายต่อเฉลี่ยประมาณ 230,000 บาท/ ตารางเมตร ขณะที่ผลตอบแทนจากการปล่อยเช่า (rental yield) อยู่ที่ประมาณ 4-5% ต่อปีเช่นกัน โดยราคาปล่อยเช่าอยู่ที่ 800-1,000 บาท/ตารางเมตร สาเหตุที่ทำเลสีลม-สาทรได้รับความนิยมทั้งพื้นที่สำนักงาน co-working space และที่อยู่อาศัยนั้น เนื่องจากไม่เพียงตอบสนองความต้องการของกลุ่มคนทำงานทั่วไป สตาร์ทอัพ และฟรีแลนซ์ ยังพบว่ามีความต้องการจากกลุ่มต่างชาติที่ทำงานอยู่ในประเทศไทย (expat) และอยู่อาศัยในย่านธุรกิจอีกเป็นจำนวนมาก โดยข้อมูลปี 2560 พบว่ามีจำนวน expat ในกรุงเทพฯ รวมประมาณ 1.2 ล้านคน” นายอนุกูล กล่าว
เตรียมเปิดแล้วจ้า! ออฟฟิศพร้อมใช้งานแห่งแรกในไทย ” Spaces ซัมเมอร์ฮิลล์” จาก สเปซเซส ใกล้บีทีเอสพระโขนง

เตรียมเปิดแล้วจ้า! ออฟฟิศพร้อมใช้งานแห่งแรกในไทย ” Spaces ซัมเมอร์ฮิลล์” จาก สเปซเซส ใกล้บีทีเอสพระโขนง

สเปซเซส ออฟฟิศพร้อมใช้งานอัมสเตอร์ดัม ประกาศเปิดสาขาแรกในประเทศไทยที่ ซัมเมอร์ฮิลล์ (Summer Hill)  ศูนย์รวมการค้าเชิงไลฟ์สไตล์ใกล้สถานีรถไฟฟ้าพระโขนง บนพื้นที่กว่า 1,260 ตารางเมตร พร้อมสร้างแรงบับดาลในการทำงานอย่างเต็ม คุณโนเอล โค้ก ผู้อำนวยการใหญ่ สเปซเซส ประจำประเทศไทย ไต้หวัน และเกาหลี กล่าวว่า ปัจจุบันความต้องการของพื้นที่การทำงานมีความเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งมีปัจจัยสำคัญหลากหลายที่ช่วยขับเคลื่อนเทรนด์นี้อีกเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ทำให้เราทำงานได้ง่ายขึ้นผ่านระบบมือถือ แม้ว่าจะอยู่ต่างสถานที่ ในระยะทางที่ไกล แต่ก็ยังสามารถดำเนินธุรกิจได้ทันเวลาอยู่เสมอ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยการเปลี่ยนแปลงอันมาจากธรรมชาติของโลกธุรกิจ ซึ่งจะเห็นว่าเหล่าสตาร์ทอัพต่างมองหาสถานที่ทำงานที่มีความยืดหยุ่นที่ช่วยให้พวกเขาสามารถปรับลดหรือขยายองค์กรได้อย่างง่ายดายโดยที่ไม่ต้องเซ็นสัญญาเป็นระยะเวลาหลายปี ขณะที่บริษัทข้ามชาติก็ยังคงมองหาสถานที่ทำงานที่มีความยืดหยุ่นที่จะช่วยลดค่าใช้จ่าย แต่ยังคงให้บริการต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมไปถึงอีกปัจจัยสำคัญคือกลุ่มคนยุคมิลเลนเนียลต่างเริ่มคาดหวังให้เหล่านายจ้างมอบพื้นที่การทำงานที่มีทั้งพื้นที่แห่งการพบปะสรรสรรค์และสร้างแรงบัลดาลใจในการคิดค้นสุดยอดไอเดียให้มากยิ่งขึ้น บนพื้นที่ซึ่งได้รับการออกแบบให้มีความกว้างขวางได้ช่วยเสริมให้ Spaces กลายเป็นพื้นที่การทำงานที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจในการคิดค้นได้มากขึ้น ทั้งยังโดดเด่นด้วยหนึ่งในคาเฟ่ชื่อดังของกรุงเทพฯ อย่าง Rocket X ที่ได้มีการร่วมมือกับSpaces เปิดคาเฟ่สาขาแรกภายในพื้นที่การทำงาน เพื่อเติมพลังงานในการเริ่มต้นวันใหม่ไปพร้อมไอเดียใหม่ๆ ต่อไป ทั้งนี้คาเฟ่ยังคงพร้อมมอบบริการอาหารและเครื่องดื่มสำหรับการประชุมหรืออีเว้นท์ต่างๆ ได้เช่นกัน นอกจากนี้ Spaces ยังเดินหน้าขยายสาขาที่สอง ณ จัตุรัสจามจุรี ซึ่งคาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการอย่างเป็นทางในเดือนพฤษภาคม 2561 จากคอนเซปต์อันโดดเด่นในการทำงานสไตล์ดัตช์ได้เริ่มต้นสู่การเปลี่ยนแปลงในภาพรวมของการทำงาน ซึ่งจากข้อมูลเชิงสถิติของผลสำรวจ “Global Coworking Survey” ในปี 2017 โดย SocialWorkplaces.co พบว่า ตัวเลขการเติบโตของสถานที่ทำงานที่ยืดหยุ่นทั่วโลกได้เพิ่มสูงขึ้นถึงร้อยละ 20 ในระยะเวลา 12 เดือนที่ผ่านมา และประชากรจำนวนกว่า 1.2 ล้านคนทั่วโลกต่างทำงานในพื้นที่โคเวิร์กกิ้ง นอกจากนี้ยังคงมีข้อมูลสนับสนุนจากผลสำรวจของ Spaces ที่น่าสนใจ ได้แก่ ร้อยละ 69 ของกลุ่มมิลเลนเนียล มีแนวโน้มต้องการแลกเปลี่ยนสิทธิประโยชน์ด้านการทำงานสู่การได้รับพื้นที่สำหรับการทำงานที่ดีมากยิ่งขึ้น , ร้อยละ 53 ของกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ ต้องทำงานนอกสถานที่อย่างน้อยครึ่งหนึ่งของสัปดาห์แห่งการทำงาน , ร้อยละ 58 ของกลุ่มนักธุรกิจ ต้องการพื้นที่การทำงานที่มอบความยืดหยุ่นในการทำงานได้อย่างเต็มที่ , ร้อยละ 84 เชื่อว่าสถานที่ทำงานที่ให้ความยืดหยุ่นมีส่วนช่วยในการปรับปรุงด้านประสิทธิภาพในการทำงาน , ร้อยละ 66 เชื่อว่าสถานที่ทำงานที่ให้ความยืดหยุ่นมีช่วยพัฒนาการสร้างสมดุลให้กับชีวิตและการทำงานได้ และ ร้อยละ 55 เชื่อว่าสถานที่ทำงานที่ให้ความยืดหยุ่นทำให้การจัดตารางการเดินทางสะดวกสบายมากขึ้น สำหรับเทรนด์โคเวิร์กกิ้งที่เติบโตอย่างรวดเร็วนี้ได้ส่งผลให้ Spaces เดินหน้าสร้างสรรค์คอมมิวนิตี้เพื่อเหล่าผู้ประกอบการอย่างแท้จริง พร้อมนำเสนอโซลูชั่นในสถานที่ทำงานให้ความยืดหยุ่นอันหลากหลาย ได้แก่ “Business Club” พื้นที่แห่งการพบปะสังสรรค์กับผู้คนใหม่ๆ เพื่อสร้างโอกาสในการร่วมคิดค้น แบ่งปันไอเดียและขยายเครือข่ายทางธุรกิจ , พื้นที่สำหรับการทำงาน ซึ่งสามารถปรับขนาดและการออกแบบให้ได้ตรงตามความต้องการขององค์กรนั้นๆ , การร่วมเป็นสมาชิก (Membership) ซึ่งได้รับสิทธิในการเข้าใช้พื้นที่การทำงานในทุกสาขาทั่วโลกของ Spaces ในราคาเริ่มต้นเพียง 4,620 บาทต่อเดือน และห้องประชุม ซึ่งเป็นพื้นที่ๆ เปิดให้สามารถเช่าเพื่อประชุมได้ Spaces ได้สร้างสรรค์แบรนด์ขึ้นในสไตล์ดัตช์ได้ให้ความลงตัวอย่างดีกับประเทศไทย ด้วยบรรยากาศอีกทั้งสไตล์แห่งความชิคเก๋ เน้นความเป็นธรรมชาติ เปรียบดั่งอยู่ใจกลางธรรมชาติที่มีต้นไม้ล้อมรอบ ก็ถือเป็นมิติใหม่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจเพื่อส่งเสริมบรรยากาศที่ดีเยี่ยมต่อการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ การพบปะเพื่อการทำงานร่วมกันใน Spaces อีกด้วย  Spaces ณ โครงการซัมเมอร์ฮิลล์ ตั้งอยู่บนชั้น 3 ของศูนย์รวมการค้าเชิงไลฟ์สไตล์แห่งใหม่ในกรุงเทพฯ ประกอบไปด้วยพื้นที่การทำงานที่หลากหลายจึงช่วยสร้างสมดุลระหว่างชีวิตกับการทำงานได้เป็นอย่างดี อีกทั้งที่ตั้งอันแสนสะดวกสบายซึ่งห่างจากสถานีรถไฟฟ้าพระโขนงเพียงไม่มีกี่ก้าว แวดล้อมด้วยโครงการที่พักอาศัยและอาคารสำนักงาน พร้อมการออกแบบที่เปิดโล่งจึงทำให้ซัมเมอร์ฮิลล์มีบรรยากาศที่สมบูรณ์แบบและเหมาะแก่การสร้างสรรค์แรงบันดาลใจใหม่ๆ ในการทำงาน สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Spaces ณ โครงการซัมเมอร์ฮิลล์ และการจองพื้นที่ สามารถเข้าไปเยี่ยมชมได้ที่ www.spacesworks.com
‘เอพี ไทยแลนด์’ จับมือ ‘TCDC’ จัดเสวนาในหัวข้อ ‘เปลี่ยนจังหวะให้ทันโลก’ในงาน‘Bangkok Design Week 2018’

‘เอพี ไทยแลนด์’ จับมือ ‘TCDC’ จัดเสวนาในหัวข้อ ‘เปลี่ยนจังหวะให้ทันโลก’ในงาน‘Bangkok Design Week 2018’

บริษัท เอพี(ไทยแลนด์) จำกัด(มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์สำหรับคนเมืองที่เชี่ยวชาญในการสร้างสรรค์นวัตกรรมการดีไซน์ เพื่อพื้นที่ใช้สอยที่ไม่จำกัด ผนึกกำลังกับศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (TCDC) ดึง Sam Baron นักสร้างสรรค์งานดีไซน์ที่มีชื่อเสียงระดับโลกจาก FABRICA Design Studio และ Kaave Pour นักออกแบบมือทองจาก SPACE10 ร่วมเสนอไอเดียสร้างสรรค์บนเวทีสนทนาระดับประเทศ (International Symposium) ในงาน Bangkok Design Week 2018 ภายใต้หัวข้อ PULSE เปลี่ยนให้ทันจังหวะโลก เพื่อนำเสนอแนวคิด ‘เทรนด์การออกแบบของที่อยู่อาศัยสำหรับพื้นที่แห่งอนาคต (Co-Living Generation)’ เพื่อก้าวเข้าสู่บริบทใหม่ของการใช้ชีวิตในวันที่พื้นที่ชีวิตเหลือน้อยลง นายสรรพสิทธิ์ ฟุ้งเฟื่องเชวง ผู้อำนวยการคอร์ปอเรทมาร์เก็ตติ้ง และเอพี ดีไซน์ แล็บ บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) กล่าวว่า ภายใต้การเปลี่ยนผ่านอย่างรวดเร็วจากผลกระทบของเทคโนโลยีที่ถาโถมเข้ามา เป็นเรื่องไม่ง่ายที่จะกล่าวถึงที่อยู่อาศัยในอนาคตว่าจะเป็นอย่างไร เนื่องจากความต้องการของลูกค้ามีการเปลี่ยนแปลงทุกวัน ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้เหมือนเดิมหรือไม่ในอนาคต และปัจจัยสำคัญอีกหนึ่งข้อที่ทำให้การพัฒนาที่อยู่อาศัยในปัจจุบันเกิดความท้าทาย คือ ความจำกัดของพื้นที่ เอพีในฐานะผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ของไทยมีความมุ่งมั่นและท้าทายขีดความสามารถที่มีอยู่อย่างต่อเนื่อง  ปีนี้เอพีตั้งโจทย์ที่ยากขึ้นและดึงผู้เชี่ยวชาญในหลากหลายด้านเข้าร่วมงาน เพื่อที่จะพัฒนาที่อยู่อาศัยในทุกโครงการให้เหนือความต้องการของผู้อยู่อาศัย และครอบคลุมทุกฟังก์ชั่นการใช้งานพื้นฐาน “เนื่องจากทิศทางของที่อยู่อาศัยพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด เพื่อให้สอดรับกับการใช้ชีวิตในอนาคตของคนรุ่นใหม่ เอพี เปิดรับการเปลี่ยนแปลงในทุกด้าน เพื่อมอบโครงการคุณภาพพร้อมด้วยคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับลูกบ้านเอพี โดยเฉพาะการพัฒนาของเทคโนโลยีที่เข้ามาเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตของผู้อยู่อาศัยให้ต่างจากอดีต เช่น เวทีสนทนา ‘International Symposium’ ในงาน Bangkok Design Week 2018 นิทรรศการรวบรวมนักออกแบบและนักสร้างสรรค์ทั้งชาวไทย และต่างประเทศ เพื่อแบ่งปันวิสัยทัศน์ด้านการออกแบบที่แปลกใหม่ ไม่ว่าจะเป็น Kaave Pour (โคเวอร์ พัว) Creative Director ของ SPACE10 ศูนย์วิจัยด้านการใช้ชีวิตในอนาคตของ IKEA ที่มุ่งออกแบบวิถีชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน ผ่านการค้นหาความเป็นไปได้ใหม่ๆ ในเทรนด์ระดับโลก เช่น ความมั่งคงด้านอาหาร การขยายตัวของความเป็นเมือง สุขภาพและสุขภาวะ หรือการออกแบบพื้นที่ใช้สอยที่มีอยู่อย่างจำกัดให้คุ้มค่าการใช้งานในโปรเจกต์ ‘AP SPACE SCHOLARSHIP’ ที่เกิดจากความร่วมมือระหว่าง Sam Baron และเอพี ไทยแลนด์ มุ่งนำเสนอการออกแบบพื้นที่อยู่อาศัยแห่งอนาคตผ่านนวัตกรรมพื้นที่แห่งอนาคตในมุมมองของ FABRICA Design Studio และ เอพี ไทยแลนด์” นายสรรพสิทธิ์กล่าว มร. แซม บารอง ผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบของ FABRICA Design Studio กล่าวว่า โครงการนี้จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของเยาวชนในสังคมไทยผ่านความเชี่ยวชาญของ FABRICA และเอพี ในด้านความเชี่ยวชาญการออกแบบพื้นที่อยู่อาศัย และงานออกแบบที่โดนใจคนที่มาจากต่างถิ่นและถูกสร้างสรรค์ให้เป็นพื้นที่อาศัยที่สามารถแบ่งปันกันได้อย่างลงตัว หรือที่เอพีมักเรียกว่า ‘Co-working Space’ ผมหวังว่าจะได้ร่วมงานกับเอพีในโปรเจกต์ที่ท้าทายเช่นนี้อีกในอนาคต มร. โคเวอร์ พัว ผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบของ SPACE10 กล่าวในงาน International Symposium ว่า “SPACE10 มีการทำวิจัยและทดลองว่ามนุษย์เราจะใช้ชีวิตอย่างไรในอีก 2-3 ทศวรรษข้างหน้า จะเจาะลึกถึงความเป็นไปได้จริงใน 3 แนวคิดหลัก คือ สังคมหมุนเวียน (Circular Societies) การอยู่ร่วมกัน (Co-Existence) และการใช้เทคโนโลยีเสริมสร้างคนและสังคม (Digital Empowerment) มนุษย์ ถือเป็นผู้ผลักดันให้เกิดนวัตกรรม เมื่อประชากร 1,200 ล้านคนต้องอยู่ใกล้ชิดกันมากขึ้น มีการแบ่งปันกันมากขึ้น ทุกคนพร้อมที่จะแบ่งปันใช้ของร่วมกับคนอื่น นี่คือตัวอย่างที่เราคิดถึงอนาคตข้างหน้า ซึ่งคนที่เริ่มจินตนาการถึงอนาคต ก็จะเป็นคนที่เริ่มสร้างอนาคตจริงขึ้นมาได้ ปี 2030 เราจะอยู่กันอย่างไรเป็นคำถามที่เราต้องร่วมกันหาคำตอบ
Spaces ผู้บุกเบิกโคเวิร์กกิ้งและพื้นที่ทำงานพร้อมใช้จากอัมเสตอร์ดัม ชี้ความยืดหยุ่นเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างสมดุลให้กับชีวิตการทำงาน

Spaces ผู้บุกเบิกโคเวิร์กกิ้งและพื้นที่ทำงานพร้อมใช้จากอัมเสตอร์ดัม ชี้ความยืดหยุ่นเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างสมดุลให้กับชีวิตการทำงาน

ปัจจุบันคนไทยวัยทำงานเริ่มมองหาสถานที่ทำงานที่มอบความยืดหยุ่นให้แก่ชีวิตมากขึ้น เพื่อสร้างสมดุลในชีวิตและการทำงาน ซึ่งสอดคล้องกับผลการสำรวจล่าสุดจาก Spaces (สเปซเซส) ผู้บุกเบิกโคเวิร์กกิ้งและพื้นที่ทำงานพร้อมใช้จากอัมเสตอร์ดัม การสำรวจดังกล่าวได้รวบรวมข้อมูลจากการสัมภาษณ์นักธุรกิจกว่า 100 คนทั่วประเทศไทย เพื่อทำความเข้าใจถึงกลุ่มคนที่ผลักดันให้เกิดความต้องการสถานที่ทำงานที่ให้ความยืดหยุ่นแก่ชีวิตมากยิ่งขึ้น โดยพบว่าจำนวนมากกว่าครึ่งหนึ่ง (ร้อยละ 58) ของผู้ให้สัมภาษณ์คาดว่าความต้องการการทำงานที่ยืดหยุ่นยังคงมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตลอดปี 2561 นอกจากนี้ยังพบว่าอาชีพบางกลุ่มมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นด้วย ได้แก่ อาชีพที่ปรึกษา คิดเป็นร้อยละ 27 และอาชีพอิสระ ร้อยละ 31 ซึ่งต่างทำงานอยู่ในอุตสาหกรรมอันหลากหลาย โดย 1 ใน 5 ของผู้ให้สัมภาษณ์ยังระบุว่า ในปีที่ผ่านมามีกลุ่มคนที่ทำงานนอกเวลาหรือพาร์ทไทม์เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน เหตุผลหลักๆ ที่ผลักดันให้คนวัยทำงานต้องการการทำงานที่ยืดหยุ่นมากขึ้นนั้น ล้วนมาจากความต้องการขั้นพื้นฐานเพื่อสร้างสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานให้ดียิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการได้ใช้เวลามากขึ้นกับคนรักหรืองานอดิเรก รวมถึงการได้พักผ่อนกับครอบครัวหลังเลิกงานของกลุ่มคุณแม่ที่จำเป็นต้องกลับมาทำงาน ทั้งนี้ยังพบว่าร้อยละ 7 ของผู้ให้สัมภาษณ์วางแผนจะทำงานต่อไปจนถึงช่วงอายุเกินวัยเกษียณ นางโนเอล โค้ก ผู้อำนวยการใหญ่ สเปซเซส ประจำประเทศไทย ไต้หวัน และเกาหลี กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดของคนวัยทำงานชาวไทยได้กลายเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงด้านความต้องการของกลุ่มคนทำงานทั่วโลก โดยนักธุรกิจจำนวนมากต่างคาดหวังว่าจะได้รับอิสระและความยืดหยุ่นทางอาชีพที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดความนิยมในการทำงานที่มีความยืดหยุ่นสูงอย่างแพร่หลาย “กลุ่มคนในทุกรุ่นและทุกยุคสมัยต่างแสวงหาความสมดุลในชีวิตกับการทำงาน โดยเฉพาะคนไทยยุคมิลเลนเนียลซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มที่มีความต้องการในการสร้างความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานจากนายจ้างมากที่สุด โดยตลาดแรงงานในปัจจุบันมีความพยายามในการให้ความสำคัญต่อการสร้างสมดุลในชีวิตและการทำงานมากขึ้น เพื่อเพิ่มความได้เปรียบในแง่ของการแข่งขันทางธุรกิจในตลาด ส่งผลให้บริษัทต่างๆ ยิ่งมีความต้องการพื้นที่ทำงานแบบโคเวิร์กกิ้งอย่าง Spaces ณ โครงการซัมเมอร์ฮิลล์ (Summer Hill) เพิ่มสูงขึ้น” คุณโนเอล กล่าวเพิ่มเติม ทั้งนี้ Spaces พร้อมเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในเดือนมีนาคมนี้ โดยตั้งอยู่บริเวณชั้น 3 ณ โครงการซัมเมอร์ฮิลล์ (Summer Hill) ศูนย์รวมการค้าเชิงไลฟ์สไตล์แห่งใหม่ในกรุงเทพฯ ซึ่งมีพื้นที่สำหรับการทำงานหลากหลายรูปแบบตั้งแต่ออฟฟิศส่วนตัว ไปจนถึงพื้นที่โคเวิร์กกิ้ง และห้องประชุมสำหรับการนำเสนองาน หรือการเวิร์คช้อป จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มองหาการสร้างความสมดุลชีวิตกับการทำงานที่ดีที่สุด ด้วยที่ตั้งของซัมเมอร์ฮิลล์ซึ่งห่างจากสถานีรถไฟฟ้าพระโขนงเพียงไม่มีกี่ก้าว แวดล้อมด้วยโครงการที่พักอาศัยและอาคารสำนักงานในพื้นที่อันแสนสะดวก อีกทั้งการออกแบบที่เปิดโล่งก็ทำให้ซัมเมอร์ฮิลล์มีบรรยากาศที่สมบูรณ์แบบต่อการสร้างสรรค์แรงบันดาลใจใหม่ๆ ในการทำงาน “คนยุคมิลเลนเนียลจำเป็นต้องมีการติดต่อสื่อสารในการทำงานตลอดเวลา จึงไม่ใช่เรื่องแปลกในการมองหาสถานที่ที่จะช่วยสร้างสรรค์แรงบันดาลใจใหม่ๆ ในระหว่างการทำงาน เช่น ห้องรับรองธุรกิจ พื้นที่โคเวิร์กกิ้ง ออฟฟิศให้เช่าระยะสั้นๆ หรือพื้นที่ที่สามารถแวะเข้ามานั่งทำงานได้ตลอด แต่เมื่อความต้องการของคนทำงานนั้นได้เปลี่ยนแปลงไป ธุรกิจต่างๆ ในไทยจึงจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนไปตามการเทรนด์การทำงานแบบใหม่นี้เช่นกัน” โนแอล กล่าว อย่างไรก็ตาม Spaces ไม่ได้เป็นเพียงผู้ขับเคลื่อนสภาพแวดล้อมเพื่อการทำงานอันเป็นมืออาชีพเท่านั้น แต่ยังมีสาขาที่พร้อมให้บริการอย่างครอบคลุมทั่วโลก ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญและสอดคล้องกับหลักความต้องการของคนยุคมิลเลนเนียล โดยเมื่อเร็วๆ นี้ Spaces เพิ่งฉลองเปิดตัวสาขาที่ 100 ของโลกในฮ่องกง ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงกลางปี พ. ศ. 2561 สเปซเซส ณ โครงการซัมเมอร์ฮิลล์ (Summer Hill) พร้อมเปิดให้บริการแล้ว สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมสามารถเข้าไปเยี่ยมชมได้ที่ www.spacesworks.com
ภิรัชทาวเวอร์ แอท ไบเทค เปิดตัวครั้งแรกพร้อมแนวคิด ‘Defining your workplace’ ชวนผู้เช่าออกแบบออฟฟิศได้ดั่งใจ

ภิรัชทาวเวอร์ แอท ไบเทค เปิดตัวครั้งแรกพร้อมแนวคิด ‘Defining your workplace’ ชวนผู้เช่าออกแบบออฟฟิศได้ดั่งใจ

กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – กลุ่มบริษัทภิรัชบุรี ผู้นำด้านการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์คุณภาพสูง เผยวิสัยทัศน์ใหม่ล่าสุดกับโครงการอาคารสำนักงานออฟฟิศเกรดเอแห่งใหม่ อาคารภิรัชทาวเวอร์ แอท ไบเทค ที่มาพร้อมแนวคิด Defining your workplaceที่เปิดโอกาสให้ผู้เช่าได้สามารถออกแบบออฟฟิศได้ดั่งใจ   ตลาดสำนักงานในกรุงเทพฯ มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมถึงอัตราการเช่าพื้นที่สูง และมีอัตราการอยู่อาศัยที่หนาแน่นในเขตเมืองชั้นใน ส่งผลให้ความต้องการของผู้เช่าอาคารสำนักงานอยู่ในระดับที่สูงอยู่ตลอด ดังนั้นทำเลที่ตั้งและการเดินทางที่สะดวกเข้าถึงได้ง่าย จึงเป็นปัจจัยสำคัญของการเลือกเช่าพื้นที่ของผู้เช่าในปัจจุบัน ในขณะเดียวกันประสิทธิภาพการใช้งานของพื้นที่ และความสมเหตุสมผลของราคาค่าเช่า ก็ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจ อาคารภิรัชทาวเวอร์ แอท ไบเทค เพิ่งได้รับรางวัลอันทรงเกียรติ สุดยอดผู้พัฒนาอาคารสำนักงานแห่งประเทศไทยประจำปี 2560 (Office Development Thailand) จากเวทีเอเชีย แปซิฟิก พร็อพเพอร์ตี้ อวอร์ดส์ 2560 (Asia Pacific Property Awards 2017 - 2018)นอกจากนี้ สิ่งที่สามารถยืนยันถึงผลงานคุณภาพได้เป็นอย่างดี คือจำนวนการจองพื้นที่โดยผู้ประกอบการรายใหญ่หลายราย ไม่ว่าจะเป็น ผู้พัฒนาด้านอสังหาริมทรัพย์ ผู้ผลิตรายใหญ่ รวมถึง บริษัท อีคอมเมิร์ซ   “อาคารสำนักงานแห่งนี้ได้ถูกออกแบบมาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ตอบโจทย์ความต้องการของผู้เช่าทั้งปัจจุบันและในอนาคต พร้อมด้วยมาตรฐานการก่อสร้างสูงสุด ตัวอาคารมุ่งเน้นด้านนวัตกรรมที่ล้ำสมัย การออกแบบทางวิศวกรรมที่ใช้งานได้จริง และ ดีไซน์ที่สวยงามมีสไตล์ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อการสร้างความยั่งยืนทางธุรกิจ มอบสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ดี เพื่อคุณภาพชีวิตที่สมดุล” กล่าวโดย นายปิติภัทร บุรี กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทภิรัชบุรี รังสรรค์โดยคำนึงถึง ดีไซน์ รูปทรง และ การใช้งาน ในแต่ละชั้นของ อาคารภิรัชทาวเวอร์ แอท ไบเทค ถูกออกแบบมาในลักษณะไร้เสากั้น หรือ Column-free design เพื่อเปิดกว้างให้ผู้เช่าสามารถปรับแต่งสถานที่ทำงานได้อย่างอิสระ โดยบ่งบอกถึงคาแรคเตอร์ของแบรนด์ผ่านสถานที่ทำงาน นอกจากนี้อาคารสำนักงานเกรดเอแห่งนี้ยังถูกออกแบบมาเพื่อเสริมสร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ดีสำหรับพนักงานด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่น อาทิ พื้นที่ส่วนกลางสีเขียวภายในอาคารขนาด 2,200 ตารางเมตร  และ เส้นทางวิ่ง (Jogging track) ระยะทาง 200 เมตร บนชั้น 29 เพื่อให้พนักงานมีโอกาสได้ทำกิจกรรม และมีส่วนร่วมกับที่ทำงานมากขึ้น สามารถผ่อนคลายกับเพื่อนร่วมงาน จัดสรรพื้นที่ทำกิจกรรมสำหรับพนักงาน เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์สภาพแวดล้อมการทำงานที่ดียิ่งขึ้น มอบมนต์เสน่ห์อันน่าดึงดูดและทันสมัย หนึ่งในภารกิจของ กลุ่มบริษัทภิรัชบุรี คือ การสร้างสิ่งที่พัฒนาได้อย่างยั่งยืน และอาคารภิรัชทาวเวอร์ แอท ไบเทค ก็ดำเนินงานภายใต้ภารกิจนี้เช่นกัน โดยตัวอาคารถูกสร้างขึ้นด้วยนวัตกรรมที่ทันสมัยที่สุด พร้อมด้วยสถาปัตยกรรมที่ใส่ใจในรายละเอียดและความสมดุลระหว่างองค์ประกอบภายในต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการตกแต่ง การจัดแสง และวิศวกรรม สุขุมวิท-บางนา แลนด์มาร์คแห่งใหม่ในอนาคต อาคารภิรัชทาวเวอร์ แอท ไบเทค เป็นอาคารสำนักงานแห่งเดียวในย่านสุขุมวิท – บางนาที่เชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้าบางนา นอกจากนี้ยังเป็นทำเลยุทธศาสตร์ เพียง 30 นาทีสู่ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ และเป็นประตูสู่ย่านอุตสาหกรรมและการผลิตในภาคตะวันออก อาทิ ย่านสมุทรปราการ บางนา-ตราด บางปู และบางปะกง จึงเป็นสถานที่ที่สมบูรณ์พร้อมเหมาะสำหรับธุรกิจที่หลากหลาย นอกจากนี้แล้วอาคารภิรัชทาวเวอร์ แอท ไบเทค ยังตั้งอยู่ใกล้กับสถานีขนส่งสายตะวันออกแห่งใหม่ รวมถึงห้างสรรพสินค้าแบงค็อกมอลล์ ในเครือของกลุ่มเดอะมอลล์กรุ๊ป อีกทั้งทางกทม.ยังได้ผลักดันให้มีรถไฟฟ้ารางเบาที่จะเชื่อมต่อระหว่างสี่แยกบางนา และสนามบินสุวรรณภูมิเพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวในอนาคตอันใกล้ นายนิธิพัฒน์ ทองพันธุ์ กรรมการบริหาร หัวหน้าแผนกพื้นที่สำนักงานซีบีอาร์อี ประเทศไทย (CBRE) กล่าวว่า “เรายังคงเห็นความต้องการพื้นที่ให้เช่าของอาคารสำนักงานบริเวณสุขุมวิท-บางนา เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากมีนักลงทุนสร้างสถานประกอบการเชิงพาณิชย์ในบริเวณนี้เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้แล้ว พนักงานออฟฟิศและผู้เข้าเยี่ยมชมต่างๆ สามารถเข้าถึงรถไฟฟ้าบีทีเอสได้โดยง่าย รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ จากโครงการต่างๆ ในพื้นที่ ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยที่เอื้อต่อการเลือกสถานที่ทำงานอีกด้วย อาคารภิรัช ทาวเวอร์ แอท ไบเทค อาคารสำนักงานพรีเมียมแห่งเดียวในย่านบางนา ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อรองรับความต้องการที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคตในบริเวณสุขุมวิทบางนานี้” นายปิติภัทร บุรี กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทภิรัชบุรี กล่าวว่า “วิสัยทัศน์ของเราคือการสร้างอาคารที่ทำให้พนักงานมีความภาคภูมิใจในการมาทำงาน ในสถานที่ที่สะดวก ไม่ว่าจะเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัว หรือขนส่งมวลชน อาทิ รถเมล์ หรือ รถไฟฟ้าบีทีเอส นอกจากนี้แรงบันดาลใจสำคัญสำหรับการออกแบบอาคารนี้ คือ ผมคำนึงถึงความสะดวกสบาย โครงสร้างพื้นฐานที่มีคุณภาพสูง และสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน ทั้งยังเป็นส่วนหนี่งที่ช่วยดึงดูดพนักงานที่มีความสามารถเข้ามาทำงานได้อีกด้วย  โดยแนวคิด Mixed-use นี้ได้นำไปประยุกต์ใช้กับอาคารภิรัชทาวเวอร์ แอท เอ็มควอเทียร์ และประสบความสำเร็จอย่างมาก และผมคิดว่าทางเชื่อมระหว่าง อาคารภิรัช       ทาวเวอร์ แอท ไบเทค และศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทคนั้นจะช่วยให้ผู้เช่าสามารถหาแรงบันดาลใจจากงานแสดงสินค้า และงานแสดงมายมายที่จัดขึ้นอีกด้วย”   อาคารภิรัชทาวเวอร์ แอท ไบเทค เป็นอาคารสำนักงานเกรดเอสูง 29 ชั้น ตั้งอยู่ภายในอาณาบริเวณของศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค (BITEC) มี ขนาดพื้นที่สำนักงานให้เช่า 32,000 ตารางเมตร โดยมีพื้นที่สีเขียวส่วนกลาง (Roof Garden) และเส้นทางวิ่ง (Jogging Track) ขนาด 2,200 ตารางเมตร ที่ชั้น 29 นอกจากนี้ยังสามารถมองเห็นทัศนียภาพของกรุงเทพมหานครจากมุมสูง ทั้งแม่น้ำเจ้าพระยา และ บางกระเจ้า ซึ่งถือเป็นพื้นที่ปอดสีเขียวของกรุงเทพมหานคร โดยอาคารสำนักงานแห่งนี้จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Mixed-use ที่สมบูรณ์พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบครัน เพื่อตอบโจทย์การพัฒนาทางธุรกิจแบบยั่งยืน