Tag : Design

48 ผลลัพธ์
ESTAR ลุยทำเลทอง  บ้านฉาง – ระยอง เปิดโครงการใหม่ รวมมูลค่ากว่า 1,200 ล้านบาท

ESTAR ลุยทำเลทอง บ้านฉาง – ระยอง เปิดโครงการใหม่ รวมมูลค่ากว่า 1,200 ล้านบาท

  บริษัท อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ ESTAR เปิดความสำเร็จ 5 โครงการฝั่งตะวันออก ทำนิวไฮ อัพเดท กวาดรายได้รวมแล้วกว่า 700 ล้านบาท พร้อมเร่งเครื่องท้ายปีเตรียมเปิดตัว โครงการน้องใหม่ ‘เวลาน่า ไฮด์’ บ้านเดี่ยว 2 ชั้น มูลค่าโครงการ 780 ล้านบาท ทำเลติดสนามกอล์ฟ ใกล้สนามบิน อู่ตะเภา   ESTAR นายไพโรจน์ วัฒนวโรดม กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ ESTAR เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทฯ สามารถคว้าความสำเร็จในการปิดยอดขายโครงการพื้นที่ฝั่งระยอง – บ้านฉาง อาทิ โครง การบ้านสินทวี การ์เด้นท์ 2 โครงการแฮมเล็ต 3 โครงการเวลาน่า กอล์ฟ เฮ้าส์ ที่ปัจจุบันปิดโครงการเป็นที่เรียบร้อย แล้ว เช่นเดียวกันกับโครงการ บรีซ แอท อีสเทอร์น สตาร์ ฟอเรสโต้ ที่ตอนนี้ยอดขายอยู่ที่ 99% ซึ่งคาดว่าจะปิดได้ สำเร็จภายในสิ้นปีนี้ สำหรับโครงการเวลาน่า อะโมด้า อู่ตะเภา - บ้านฉาง ยอดขายตอนนี้ขึ้นมาที่ 96% และในส่วน ของโครงการแกรนด์ เวลาน่า ยอดขายตอนนี้อยู่ที่ 80% นอกจากนี้ จากที่ทราบกันในปีนี้ บริษัทฯ ยังมีโครงการที่เปิด ใหม่ โครงการเธร่า พรีม่า บูรพาพัฒน์ – สุขุมวิท มูลค่าโครงการ 600 ล้านบาท ที่ตอนนี้ทำยอดขายได้แล้ว 75% ของ เฟสแรก เช่นเดียวกับโครงการบรีซ ชาเล่ต์ บูรพาพัฒน์ – สุขุมวิท มูลค่าโครงการ 600 ล้านบาท ที่ตอนนี้ยอดขายแตะ อยู่ที่ 80% ของเฟสแรก   จากการสำรวจพื้นที่ทำเลในบริเวณรัศมีรอบโครงการอีสเทอร์น สตาร์ พบว่า โซนระยอง - บ้านฉาง มีศักยภาพทำเลสูง เนื่องจากมีนิคมอุตสาหกรรมและประชากรอาศัยอยู่หนาแน่น อีกทั้งยังมีเส้นทางคมนาคมที่หลากหลาย โดย เฉพาะสนามบินนานาชาติอู่ตะเภาที่ตอนนี้กำลังจะมีโปรเจกต์ในการสร้างส่วนต่อขยาย อีกทั้งยังมีโครงการใน อนาคตที่เป็นเมกะโปรเจกต์ รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน เชื่อม กทม. สู่ EEC คาดว่าจะแล้วเสร็จทั้งหมดภายในปี 2029 การเดินทางที่สะดวก ทันสมัย จะดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น การจ้างงานในอุตสาหกรรมต่อเนื่องกว่า 1 แสนตำแหน่ง เกิดเมืองใหม่ที่เป็นเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ตามสองข้างทางที่ รถไฟความเร็วสูงวิ่งผ่าน หากมีเมกะโปรเจกต์เหล่านี้มาก็จะสร้างแหล่งงานมากในพื้นที่ ทำให้ความต้องการ อสังหาริมทรัพย์มีอย่างต่อเนื่อง     ในปีนี้ โครงการฝั่งระยอง - บ้านฉาง ยังคงได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าในพื้นที่ โดยให้ความสนใจเข้ามา เยี่ยมชมโครงการอีสเทอร์น สตาร์ เพิ่มขึ้น เห็นได้จากกระแสตอบรับสำหรับโครงการเปิดใหม่อย่าง โครงการบรีซ ชาเล่ต์ บูรพาพัฒน์ – สุขุมวิท บ้านเดี่ยว 2 ชั้น หน้ากว้าง พื้นที่โครงการ 27-0-66.3 ไร่ จำนวนบ้าน 134 หลัง สไตล์ Modern English Garden Home ในราคาเริ่มต้น 3.89 ล้านบาท ซึ่งกำลังเป็นที่น่าจับตามอง เนื่องจากสามารถทำ ยอดจองได้สูง พร้อมกับโครงการบ้านในสนามกอล์ฟที่เป็นไฮไลท์ โครงการอะโมด้า อู่ตะเภา - บ้านฉาง บ้านเดี่ยว พร้อมอยู่ 2 ชั้น จำนวน 104 ยูนิต บนที่ดินกว่า 27-1-55.80 ไร่ ในสนามกอล์ฟ สไตล์โมเดิร์นคลาสสิค รูปแบบ Timeless Design ราคาเริ่มต้น 5 ล้านบาท ที่ตอนนี้ยอดขายกระโดดมาสูงเกือบจะ 100% ภายในระยะเวลาเพียง ไม่กี่เดือน และใกล้ปิดการขายโครงการได้ในเร็วๆ นี้   ซึ่งจากปัจจัยบวกต่างๆ ตลอดปีที่ผ่านมา จึงเป็นเหตุผลให้ บริษัทฯ ลงทุนขยายโครงการใหม่เพิ่มในพื้นที่เดียวกัน เพื่อตอบรับความต้องการผู้อยู่อาศัย ในชื่อ โครงการเวลาน่า ไฮด์ บ้านเดี่ยว 2 ชั้น 128 ยูนิต มูลค่าโครงการ 780 ล้านบาท บนคอนเซ็ปต์ Modern Classic สะท้อนความงดงาม สมบูรณ์แบบของการใช้ชีวิต โดยการออกแบบตัวบ้านและโครงการได้รับแรงบันดาลใจจาก สถาปัตยกรรมยุโรป และยังคงเน้นกลุ่มเป้าหมาย เป็นกลุ่มผู้บริหาร บริษัทในนิคมฯ มาบตาพุด กลุ่มหมอ และพนักงานสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา ตั้งแต่ช่วงวัยทำงาน อายุ 30-55 ปี รายได้เดือนละ 7 หมื่น - 3 แสนบาท ซึ่งกลุ่มนี้ถือว่ามี กำลังซื้อศักยภาพสูง และโอกาสรีเจ็กต์เรตอยู่ในเปอร์เซ็นต์ที่น้อยมาก ทั้งนี้ปัจจุบัน โครงการเวลาน่า ไฮด์ อู่ตะเภา - บ้านฉาง อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ดำเนินการแล้วกว่า 60% โดยคาดว่า แล้วจะเสร็จพร้อมเปิดตัวในช่วงต้นปีหน้า ไตรมาส 1/2024     อย่างไรก็ตาม ภาพรวมสำหรับโครงการอีสตาร์ในพื้นที่ระยอง ปีนี้คาดว่าจะทำนิวไฮของบริษัทฯ กว่า 700 ล้านบาท นอกจากนี้ในปีหน้าบริษัทฯ ยังมีการลงทุนเพิ่มสำหรับขยายโครงการ เพื่อตอบรับผู้อยู่อาศัย ในทุกเซกเมนท์โดยมีจะการออกโปรดักส์ในราคาเริ่มตั้งแต่ 2 ล้านบาทต้นๆ ไปจนถึง 12 ล้านบาท ซึ่งตามคาดการณ์ จะสามารถรับรู้รายได้ อยู่ที่ประมาณ 700 ล้านบาท นายไพโรจน์ กล่าวทิ้งท้าย   บทความน่าสนใจ ESTAR  เปิดชม ควินทารา ภูม สุขุมวิท 39  ยอดนิยมในย่าน ขายแล้วกว่า 70% ESTAR เปิดตัวผู้บริหารคนใหม่ ไพโรจน์ วัฒนวโรดม ปรับใหญ่รุกตลาดบ้าน
RUARK AUDIO รุกตลาดซูเปอร์ลักซ์ชัวรี ส่งความบันเทิงสุดเอ็กซ์คลูซีฟ รับเทรนด์ตลาดบ้านหรู

RUARK AUDIO รุกตลาดซูเปอร์ลักซ์ชัวรี ส่งความบันเทิงสุดเอ็กซ์คลูซีฟ รับเทรนด์ตลาดบ้านหรู

RUARK AUDIO แบรนด์ดังจากอังกฤษ เปิดตัวลำโพงและวิทยุตั้งโต๊ะอัจฉริยะ 5 รุ่นใหม่ R1S, R2, R3S, MR1 และ R410 รุกตลาดเครื่องเสียงระดับลักซ์ชัวรี่เมืองไทย รับเทรนด์ตลาดบ้านหรูโตแรง เตรียมส่งนวัตกรรมแห่งพลังเสียง พร้อมสัมผัสประสบการณ์ความบันเทิงเหนือระดับ ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ครอบครัวยุคใหม่     RUARK AUDIO นายลักษณ์วัตร์ เหรียญเจริญสุข ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารและพัฒนาธรุกิจ บริษัท โคแอน จำกัด เปิดเผยว่า เทรนด์การเลือกที่อยู่อาศัยของครอบครัวยุคใหม่เน้นมองหาบ้านที่สะท้อนความสำเร็จของชีวิต และใส่ใจในการออกแบบที่หรูหรา เรียบง่าย และโดดเด่นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ส่งผลให้ดีมานด์ในตลาดบ้านหรูเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน โดยการขยายตัวดังกล่าวมา สะท้อนจากตัวเลขการเติบโตของตลาดบ้านหรู   RUARK AUDIO แบรนด์ลำโพงและเครื่องเสียงชั้นนำระดับโลกจากประเทศอังกฤษ ผู้นำนวัตกรรมและความบันเทิงภายในบ้านในครั้งนี้ นำโดยลำโพงและวิทยุตั้งโต๊ะอัจฉริยะรุ่นใหม่ R1S, R2,R3S, MR1 และ R410 ที่มาพร้อมสโลแกน Ruark Audio - A passion for sound ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ชูจุดเด่นด้วยความมินิมอล คลาสสิก เน้นโทนสีเรียบง่าย เรียบหรู ดูทันสมัย เหมาะกับทุกการออกแบบภายในบ้าน ให้ความรู้สึกลักซ์ชัวรีเป็นเสมือนเฟอร์นิเจอร์ชิ้นเด่นรับกับเทรนด์ตลาดบ้านหรูที่เติบโตอย่างมากในประเทศไทย   โดยในปีนี้ เราจะเน้นสื่อสารการตลาดให้มากขึ้น เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าใจสินค้า และเห็นความโดดเด่นของสินค้า อีกทั้งยังจะพัฒนาระบบการซื้อขายหรือบริการหลังการขายให้ดีขึ้น เพื่อให้ผู้บริโภครักที่ในเสียงเพลงได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่และเกิดความพึงพอใจมากที่สุด” นายลักษณ์วัตร์ กล่าว   สำหรับความพิเศษของ Ruark Audio แบรนด์ลำโพงชั้นนำจากประเทศอังกฤษ ที่เดินทางมายาวนานถึง 38 ปี นับตั้งแต่ปี ค.ศ.1985 โดยแบรนด์เกิดขึ้นจากความมุ่งมั่นของครอบครัว O’Rourke ที่มีใจรักต่อเสียงดนตรี จากนั้นในปี 2006 ได้เปิดตัว “the R1” ที่ถือได้ว่าเป็นลำโพงตั้งโต๊ะตัวแรก ซึ่งได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากผู้ที่ชื่นชอบการฟังเพลง และต่อมาได้มีการวิจัยและพัฒนาออกแบบผลิตภัณฑ์เพื่อให้ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายให้มากที่สุด   นายริชาร์ด แมคคินนีย์ Ruark Audio Sale Director กล่าวว่า แผนการตลาด RUARK AUDIO ในประเทศไทย ตั้งเป้าสร้างการรับรู้แบรนด์และภาพลักษณ์ผ่านการประชาสัมพันธ์ โดยชูจุดขายด้วยลำโพงและวิทยุตั้งโต๊ะรุ่นใหม่ R1S, R2, R3S, MR1 และ R410 ที่ได้รับการอัปเกรดฟังก์ชันการทำงานให้ตอบโจทย์การใช้งาน พร้อมกำหนดมาตรฐานคุณภาพของเสียงให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น อีกทั้งยังมีแผนที่จะทำคอนเทนต์และถ่ายทอดประสบการณ์การใช้งานสินค้าจริงผ่านทาง Social Media พร้อมชูกลยุทธ์ทำการตลาดทั้งออฟไลน์และออนไลน์   โดยร่วมกับพันธมิตรแบรนด์ชั้นนำมากมาย อาทิ dotlife, iStudio, Asavasopon, Central Department Store, Power Buy, Power Mall, Munkong Gadget และร้านค้าอื่น ๆ เพื่อทำให้แบรนด์ขยายตลาดสู่กลุ่มผู้บริโภคได้รวดเร็วขึ้น ทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักในวงกว้างและลูกค้าสามารถเข้าถึงสินค้าของ Ruark Audio ได้มากขึ้น  สำหรับไฮไลต์ผลิตภัณฑ์จาก Ruark Audio ที่เปิดตัวภายในงาน เป็นลำโพงและวิทยุตั้งโต๊ะอัจฉริยะ 5 รุ่นใหม่ ดังนี้   รุ่น R1S มาพร้อมการดีไซน์สุดคลาสสิก ออกแบบด้วยโทนสีไม้และเฉดสีเทาแบบใหม่เพื่อให้ความรู้สึกหรูหรา จึงทำให้กลมกลืนเข้ากับการตกแต่งของบ้านในทุกสไตล์ ผสานกับพลังเสียงสมจริงเหนือระดับ พร้อมรองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi และ Bluetooth ยังมีฟังก์ชันจดจำอุปกรณ์ได้สูงสุด 6 เครื่อง และอีกหนึ่งคุณสมบัติเด่นของ R1S คือจอแสดงผล TFT สีเต็มรูปแบบ ที่แสดงเวลา การเตือน และข้อมูลรายการอย่างชัดเจน พร้อมมีเซ็นเซอร์วัดแสงที่ช่วยปรับหน้าจอให้เหมาะกับระดับแสงแบบอัตโนมัติ ทำให้สามารถวางไว้ข้างเตียงได้โดยไม่รบกวนการพักผ่อน    รุ่น R2 มาพร้อมระบบเสียงสเตอริโอที่ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มประสิทธิภาพ ใช้งานง่าย ไม่ยุ่งยาก สามารถใช้งานผ่านตัวควบคุม RotoDial และหน้าจอ LCD รองรับการสตรีมเพลงผ่านแอปพลิเคชัน Spotify, Deezer และ Amazon Music พร้อมสามารถเชื่อมต่อ Bluetooth กับเครื่องรับวิทยุ DAB, FM และอินเทอร์เน็ตได้ ส่วนด้านการดีไซน์รุ่นนี้มีรูปทรงเพรียวบางหรูหรา ทำให้เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีเพื่อใช้สำหรับการตกแต่งพื้นที่ภายในบ้านของทุกคน    รุ่น R3S ด้านการดีไซน์ยังคงรักษามาตรฐานและเอกลักษณ์เฉพาะแบบดังเดิมไว้ เน้นความเรียบหรู ทันสมัย พร้อมมีการปรับปรุงคุณภาพของเสียงให้ดีขึ้น และยังเพิ่มการประมวลผลเสียง STEREO+  ซึ่งจะทำให้การถ่ายทอดทุกรายละเอียดเสียงมีความคมชัด นุ่มลึก และสมจริง นอกจากนี้ R3S ยังมีตัวรับสัญญาณ Bluetooth 5 รุ่นใหม่ที่ใช้เฟิร์มแวร์ 5.2 ล่าสุด ที่ช่วยให้การเชื่อมต่อมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตลอดจนฟังก์ชัน Bluetooth ยังสามารถทำงานร่วมกับการควบคุมระดับเสียงบนสมาร์ตโฟนและแท็บเล็ตได้อย่างราบรื่นอีกด้วย    รุ่น MR1 เป็นรุ่นที่เปิดตัวในปี 2013 โดยระบบลำโพงสเตอริโอ Bluetooth MR1 ได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางว่าเป็นระบบที่ดีที่สุด พร้อมชูจุดขายด้วยดีไซน์ที่กะทัดรัด ทำให้ดึงดูดลูกค้าที่ใส่ใจในการออกแบบมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสี Rich Walnut สุดคลาสสิกหรือสีเทา Soft Grey ที่ได้รับการออกแบบมาให้มีรูปลักษณ์ร่วมสมัยและเสียงที่ยอดเยี่ยมในการใช้งาน พร้อมเหมาะจะตั้งไว้ในหลากหลายสถานที่   รุ่น R410 มีหัวใจหลักเป็นโปรเซสเซอร์ที่ทรงพลัง สามารถรองรับไฟล์เสียงที่มีความละเอียดสูง รวมถึงการสตรีมมิ่งในตัวผ่าน Spotify, Tidal Connect, Apple Airplay 2 และ Chromecast สามารถเชื่อมต่อ aptX HD Bluetooth กับเครื่องรับวิทยุ DAB, DAB+, FM และอินเทอร์เน็ต ด้านการดีไซน์เน้นความมินิมอลเรียบง่าย ด้วยโทนสีสบายตา ทำให้รู้สึกถึงความผ่อนคลาย พร้อมออกแบบจัดวางหน้าจอแสดงผลในแนวตั้ง เพื่อเลียนแบบวิธีการดูรายการเพลงบนสมาร์ตโฟน จึงทำให้ใช้งานง่ายและสะดวกสบาย ผู้ที่สนใจสามารถเป็นเจ้าของลำโพงและเครื่องเสียงคุณภาพระดับพรีเมียมจาก RUARK AUDIO ได้แล้ววันนี้ โดยราคาเริ่มต้นที่รุ่น R1S ราคา 16,990 บาท, รุ่น R2 และ MR1 ราคา 20,990 บาท, รุ่น R3S ราคา 39,990 บาท และ รุ่น R410 ราคา 67,900 บาท (ยังไม่มีวางจำหน่าย) โดยทุกรุ่นจะมีการรับประกันทุกชิ้นส่วน นานสูงสุด 2 ปีเต็ม* มีจัดจำหน่ายที่ร้าน dotlife จำนวน 5 สาขา ได้แก่ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์, สยามพารากอน, ไอคอนสยาม, เมกาบางนา และเซ็นทรัล ภูเก็ต และที่ Showroom Asavasopon จำนวน 4 สาขา ได้แก่ สยามพารากอน, เซ็นทรัลปิ่นเกล้า, เซ็นทรัลอีสต์วิลล์ และรามคำแหง หรือสามารถสั่งซื้อได้ผ่านช่องทางออนไลน์ ได้ที่ www.dotlife.store หรือ www.asavasopon.co.th   บทความน่าสนใจ KEF เผยโฉม LS50 Meta และ LS50 Wireless II ลำโพงสองรุ่นแรกที่พ่วงเทคโนโลยีดูดซับเสียงสะท้อนแบบใหม่ล่าสุด เปิดตัวเฟอร์นิเจอร์หรูจากอิตาลีแบรนด์ Natuzzi Italia  
10 ปี AP Thailand – Mitsubishi Estate ผ่าแนวคิด Inclusive Living การออกแบบที่อยู่อาศัยเพื่อทุกคน

10 ปี AP Thailand – Mitsubishi Estate ผ่าแนวคิด Inclusive Living การออกแบบที่อยู่อาศัยเพื่อทุกคน

10 ปี AP Thailand - Mitsubishi Estate ผ่าแนวคิด Inclusive Living การออกแบบที่อยู่อาศัยเพื่อทุกคน 10 ปี AP Thailand - Mitsubishi Estate นับว่าเป็นการร่วมมือกันทางธุรกิจที่ยาวนานและแข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เคยมีมาในวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยเลยก็ว่าได้ ด้วยผลงานร่วมทุน ร่วมพัฒนาคอนโดมิเนียมแนวรถไฟฟ้า 24 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 116,300 ล้านบาท เพื่อตอบโจทย์ที่อยู่อาศัยที่ดีที่สุดของคนเมือง พร้อมประกาศเดินหน้าความร่วมมือภายใต้โรดแมป “From Strength to Strength”     ที่ผ่านมาเราคงเคยได้ยินการออกแบบเพื่อมวลชน หรือ Universal Design (UD) มาบ้าง ซึ่งแนวคิดการออกแบบสภาพแวดล้อมและสิ่งอำนวยความสะดวกให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียมกัน ที่ผ่านมาคนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าเจาะจงไปที่ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ด้อยโอกาสที่มีข้อจำกัดในการใช้เท่านั้น แต่ปัจจุบัน Universal Design (UD) ก็เริ่มมีบทบาทและถูกนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันมากขึ้น ล่าสุด เราได้รู้จักกับคำว่า “Inclusive Living” (การออกแบบพื้นที่เพื่อทุกคน) จาก AP Thailand ยิ่งประกอบกับการได้มีโอกาสเดินทางไปศึกษาดูงานที่ประเทศญี่ปุ่นในวาระฉลองครบรอบ 10 ปี แห่งการร่วมมือกันทางธุรกิจระหว่าง AP Thailand – Mitsubishi Estate จึงทำให้เข้าในแนวคิดของคำว่า Inclusive Living มากยิ่งขึ้นไปอีก     หนึ่งในความท้าทายของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ผ่านมาในช่วงหลายปีนี้ คือการออกแบบและพัฒนา “พื้นที่ที่เข้าถึงความต้องการของทุกคน” โดยเฉพาะการออกแบบคอนโดมิเนียมสำหรับคนเมืองที่ต้องการที่อยู่อาศัยเพื่อตอบโจทย์อย่างรอบด้าน ทั้งการเดินทางที่สะดวก ติดแนวรถไฟฟ้า มีพื้นที่ส่วนกลาง และสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมการไลฟ์สไตล์ ไปจนถึงสเปซของคนแต่ละช่วงวัย รวมถึงการปรับเปลี่ยนสเปซเพื่อการอาศัยอยู่ร่วมกันของผู้คนได้อย่างสะดวกสบาย ดังนั้นแนวคิด “การออกแบบพื้นที่เพื่อทุกคน” หรือ Inclusive Living ในคอนโดมิเนียมแต่ละโครงการ จึงมีความซับซ้อนในการออกแบบมากกว่าการพัฒนาโครงการทั่วๆ ไป เนื่องจาก “ทุกคนล้วนมีรูปแบบการใช้ชีวิตที่แตกต่างกัน” ทั้งช่วงวัย ไลฟ์สไตล์ ความพิเศษทางกายภาพ หรือแม้แต่วัฒนธรรมที่หลากหลาย จึงเป็นโจทย์ที่สำคัญในการออกแบบเพื่อทุกคนที่อาศัยอยู่ร่วมกันได้รับความสะดวกสบายครบครันมากที่สุด   และเมื่อการร่วมมือกันพัฒนาที่อยู่อาศัยของ AP Thailand กับ Mitsubishi Estate จากประเทศญี่ปุ่นไม่ได้จำกัดอยู่แค่การร่วมทุน แต่หมายรวมไปถึงการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยี นวัตกรรมร่วมกันชนิดที่มีทีมงานจากญี่ปุ่นที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านมานั่งทำงานประจำร่วมกับ AP ที่สำนักงานใหญ่ เราจึงมีโอกาสได้เห็นการออกแบบพื้นที่ในโครงการต่างๆ ที่ JV (Joint Venture) ร่วมกันต่างไปอย่างมีนัยสำคัญ   แล้ว Inclusive Living ต่างกับ Universal Design อย่างไร? ต้องยอมรับว่าญี่ปุ่น เป็นหนึ่งในประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องการใส่ใจในรายละเอียดมากๆ ยิ่งในเรื่องการออกแบบที่อยู่อาศัยด้วยแล้ว ยิ่งมีรายละเอียดที่เกินความคาดหมายไปมาก เราได้เห็นการออกแบบด้วยแนวคิด Inclusive Living ผ่านโครงการ The Parkhouse Nishi Shinjuku Tower 60 คอนโดมิเนียมพร้อมเข้าอยู่ใจกลางโตเกียว ภายใต้การพัฒนาโดย Mitsubishi Estate ตัวโครงการโดดเด่นด้วยการออกแบบพื้นที่ส่วนกลาง (Facilities) เพื่อให้ทุกคนได้มีสภาพแวดล้อม การใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบาย สามารถเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ได้โดยไม่เกิดอุปสรรคในการใช้ชีวิต ไม่ว่าคุณจะอยู่ในช่วงวัยใด หรือมาจากวัฒนธรรมที่แตกต่างกันก็ตาม   เริ่มตั้งแต่การเลือกวัสดุปูพื้นชนิดพิเศษซึ่งกันลื่นได้อย่างดีแม้กรณีพื้นเปียก, ทางเดินแบบไร้สเตปตั้งแต่บริเวณ Drop Off พร้อมติดตั้ง Braille Block ตลอดทาง, ราวจับแบบ 2 ระดับ เพื่ออำนวยความสะดวกทั้งเด็กและคนชรา พร้อมอักษรเบรลล์บริเวณมือจับเพื่อการสื่อสารให้ผู้พิการทางสายตาทราบได้ว่าเดินอยู่ในตำแหน่งไหนและกำลังนำทางไปสู่ที่ใด ซึ่งสิ่งที่กล่าวมานี้ คุณอาจจะคุ้นชินหรือเคยเห็นมาบ้างแล้วในแนวคิด Universal Design ในขณะที่แนวคิดแบบ Inclusive Living มีรายละเอียดที่ลงลึกมากไปอีก อย่างเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่อาจจะถูกมองข้ามหรือคิดไม่ถึง เช่น ระดับความสูงของปุ่มกดลิฟต์, ความหน่วงของการเปิดปิดประตูลิฟต์ สำหรับผู้ที่มีข้อจำกัดในการใช้งานแบบปกติ, การติดตั้งกระจกด้านในลิฟต์เพิ่ม เพื่อให้ผู้ที่ใช้รถเข็นมองเห็นพื้นที่ด้านหลังก่อนออกจากลิฟต์, รูปแบบของสัญลักษณ์ต่างๆ ที่เป็นสากล สามารถเข้าใจได้ง่ายแม้จะต่างชาติ ต่างภาษากัน รวมถึงตำแหน่งการติดตั้งสัญลักษณ์ต่างๆ เพื่อให้เห็นได้ชัดเจน     และรายละเอียดที่เหนือกว่าของแนวคิด Inclusive Living คือ การคิดออกแบบไปถึง “Bio Living” การคำนึงการอยู่ร่วมกันของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ภายในโครงการ ไม่ว่าจะเป็นพืชในสวน ความหลากหลายของพันธุ์พืชเพื่อเกื้อกูลกันในระบบนิเวศน์ รวมไปถึงการคิดคำนึงถึงคนและสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ที่อาศัยอยู่รอบๆ โครงการที่จะได้รับประโยชน์จากการอาศัยอยู่ร่วมกันในชุมชนไปพร้อมๆ กันอีกด้วย     อีกหนึ่งในฟังก์ชันที่น่าสนใจภายในโครงการคือ การนำแนวคิด ENGAWA – Multi Generation Facility มาออกแบบพื้นที่ส่วนกลาง เพื่อมุ่งเน้นการมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกันของลูกบ้านที่อาศัยอยู่ภายในโครงการขนาดใหญ่ เพื่อให้พื้นที่ส่วนนี้ในการทำกิจกรรมร่วมกัน สามารถรองรับได้ตั้งแต่เด็กเล็กไปจนถึงคุณพ่อคุณแม่ และคนสูงวัย ได้มีปฏิสัมพันธ์ร่วมกันได้อย่างราบรื่น AP Thailand ชีวิตดีๆ ที่เลือกเองได้ ตลอดระยะเวลา 10 ปีแห่งความร่วมมือทางธุรกิจในการพัฒนาคอนโดมิเนียมในประเทศไทย ผ่าน 24 โครงการที่ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยม ด้วยการนำหลากหลายแนวคิดจากพันธมิตรอย่าง Mitsubishi Estate มาพัฒนาโดยมุ่งเน้นถึง “การออกแบบโดยคำนึงถึงการใช้งานของคนทุกกลุ่ม” โดยเฉพาะการดีไซน์พื้นที่สาธารณะ สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ให้คนทุกกลุ่มเข้าถึงได้ง่ายอย่างเข้มข้นและจริงจัง เพื่อตอบโจทย์คุณภาพชีวิตในทุกมิติของการอยู่อาศัยอย่างแท้จริง     ซึ่งเร็วๆ นี้ AP Thailand – Mitsubishi Estate พร้อมส่ง 2 โครงการ Masterpiece ร่วมทุนที่เป็นความภาคภูมิใจแห่งปี บนที่ดินแลนด์มาร์คสำคัญของกรุงเทพฯ โดยมีไฮไลต์แรก “THE ADDRESS สยาม-ราชเทวี” โครงการระดับเพรสทีจ-ลักซ์ บนทำเลใจกลางมหานคร จาก BTS ราชเทวี เพียง 150 เมตร พร้อมเผยโฉมห้องชุด  1 ห้องนอน 35 ตารางเมตร PANORAMIC CITY VIEW ราคาเริ่มต้น 8.29 ล้านบาท และเตรียมเปิดโอนในวันที่ 26 - 27 สิงหาคมนี้   และอีกหนึ่งไฮไลต์คือ การเปิดแฟล็กชิปโครงการร่วมทุนใหม่ล่าสุด “RHYTHM เจริญนคร” บนที่ดินขนาด 4 ไร่ ตรงข้ามไอคอนสยาม เพียง 100 เมตรจากรถไฟฟ้าสายสีทอง สถานีเจริญนคร ตอบโจทย์ลูกค้าไฮเอนด์ และเป็นต้นแบบ Super Condominium ที่รวมความเป็นที่สุดไว้ในหนึ่งเดียว โดยมีแผนเตรียมเปิดขายในเดือนพฤศจิกายนนี้   #APxMEC10YearOfPartnership #APFromStrengthToStrength #APThai #ชีวิตดีๆที่เลือกเองได้ #RHYTHMCharoennakhonIconic #TheAddressSiamRatchathewi #APThaiUpdate2023 บทความที่เกี่ยวข้อง เอพี ไทยแลนด์ เปิดตัว “THE ADDRESS สยาม-ราชเทวี”  
“KRONOS SATHORN” สำนักงานอัลตร้าลักซ์ชัวรี สไตล์แมนฮัตตัน  บนทำเลสาทร

“KRONOS SATHORN” สำนักงานอัลตร้าลักซ์ชัวรี สไตล์แมนฮัตตัน บนทำเลสาทร

KRONOS SATHORN เปิดให้ชม โครนอส สาทร (KRONOS SATHORN) โครงการที่คนสาทรผ่านไปผ่านมา นึกว่าเป็นโรงแรมหรู 5 ดาว แต่เป็นอาคารสำนักงานระดับอัลตร้าลักซ์ชัวรีแห่งใหม่ใจกลางสาทร ย่านธุรกิจหลักของกรุงเทพฯ ด้วยมูลค่าโครงการกว่า 4,000 ล้านบาท ลุกตลาดออฟฟิศบิลดิ้งเกรด A ด้วยคอนเซ็ปต์ “THE MANHATTAN ON SATHORN”   ทำยังไงให้ทำงานอยู่ในโรงแรมหรู 5 ดาว กับ 5 ความพิเศษ ในบนตึกสูง 28 ชั้น  ความต่างของโครงการโครนอส สาทร แตกต่างจากอาคารโดยทั่วไปในประเทศไทย     KRONOS SATHORN มาสเตอร์พีซแห่งใหม่ในไทยและเอเชีย การออกแบบสถาปัตยกรรมที่สวยงามทันสมัยแนวโมเดิร์นคลาสสิค ซึ่งยังไม่เคยมีมาก่อนในเมืองไทย โดดเด่นด้วยนาฬิกาสไตล์ Art Deco ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศและใหญ่เป็นอันดับ 8 ของโลก สื่อถึงภาพลักษณ์อันงามสง่าและหรูหราเหนือกาลเวลาที่จะคงอยู่ไปสู่คนรุ่นต่อ ๆ ไป     ทำเลซูเปอร์ไพร์ม บนถนนสาทร ย่าน Real CBD ทำเลที่ตั้งในย่านธุรกิจ Real CBD ช่วงถนนสาทรตัดกับถนนพระราม 4 แวดล้อมด้วยธุรกิจและหน่วยงานชั้นนำ บริษัทตัวแทนระดับโลก โรงแรมหรูระดับ 5 ดาว และโครงการมิกซ์ยูสแถวหน้าอีกมากมายที่กำลังจะเกิดขึ้น ตลอดจนการเดินทางเข้าถึงได้ง่ายเชื่อมต่อไปยังโซนต่างๆ ของเมือง ด้วยระบบขนส่งสาธารณะที่สะดวก รวดเร็ว ด้วยรถไฟฟ้า BTS สถานีศาลาแดง และรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT สถานีสีลม ประมาณ 750เมตร เดินเพียง 10 นาที และอยู่ห่างจากรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT สถานีลุมพินีเพียง 600 เมตร เดินเพียง 7 นาที ทางโครงการฯ มีบริการรถรับ-ส่งไปยังรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT สถานีสีลม และรถไฟฟ้า BTS สถานีศาลาแดง     มอบโซลูชั่น Best-In-Class ที่ตอบโจทย์การทำงานเหนือระดับ บนวิสัยทัศน์การนำเสนอ “อาคารสำนักงานที่ดีที่สุดในตลาดออฟฟิศเกรด A” ด้วยเทคนิคการวางผังแบบไร้เสากลางพื้นที่และมีเพดานสูงมากเป็นพิเศษตั้งแต่ 3-6 เมตร มีระเบียงสวยขนาดใหญ่บนชั้น 27 เพื่อเปิดรับทัศนียภาพเมืองและแม่น้ำเจ้าพระยาอันงดงามอย่างเต็มตา มอบความสะดวกบายด้วยลิฟต์โดยสารมากถึง 8 ตัว จึงไม่เกิดการแออัดแม้ในชั่วโมงการทำงานที่เร่งด่วน รวมถึงพื้นที่จอดรถที่มากพอต่อความต้องการ และบริการสำรองที่จอดรถแบบพิเศษและผู้พิการ   เทคโนโลยีล้ำสมัย มุ่งสู่ “'สมาร์ท บิลดิ้ง'” โครนอสมุ่งมั่นมอบประสบการณ์การใช้งานอาคารในรูปแบบ “อัจฉริยะ” ที่ติดตั้งเทคโนโลยีขั้นสูงและนวัตกรรมทันสมัยมากมาย อาทิ ระบบคัดกรองบุคคลเข้าอาคารด้วยการสแกนใบหน้า คีย์การ์ด และคิวอาร์โค้ด ระบบไร้สัมผัสเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตั้งแต่การควบคุมจุดหมายในการใช้ลิฟต์และระบบจดจำใบหน้าเพื่อการระบุชั้นที่ต้องการไปแบบไร้การสัมผัส ซึ่งระบบไร้สัมผัสนี้ยังครอบคลุมไปถึงนวัตกรรมห้องน้ำไร้สัมผัส ไม่ว่าจะเป็นส่วนประตู ก็อกน้ำ และฟลัชโถสุขภัณฑ์ แท่นชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า EV กว่า 11 จุด และระบบ Automate Car Parking system กล้องจับภาพทะเบียนรถยนต์ เพื่อเข้าจอดอัตโนมัติ และระบบชำระเงินอัตโนมัติ เป็นต้น   Well-being มอบสุขภาวะที่ดีของผู้ใช้อาคารระดับสากล ด้วยการติดตั้งเทคโนโลยีเพื่อสุขอนามัยและสวัสดิภาพความปลอดภัยขั้นสูงด้วยมาตรฐานระดับโลก อาทิ ส่วนระบบปรับอากาศยังติตตั้งฟิลเตอร์กรองฝุ่น PM2.5 และระบบพลาสม่าฆ่าเชื้อแบคทีเรีย รวมถึงระบบรังสียูวีเพื่อลดจำนวนเชื้อโควิดที่ผ่านฟิลเตอร์กรองอากาศ จึงมั่นใจได้ถึงความปลอดภัยในการใช้อาคาร โครนอส     โครนอส ภายใต้แนวคิด ‘The Manhattan on Sathorn’ ผ่านความร่วมมือกับ 3 พันธมิตรชั้นนำ ทั้ง Palmer & Turner, Thai Obayashi และ Project Asia ในการพัฒนาโครงการในปัจจุบัน โครนอสได้รับความสนใจจากกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพกว่า 50% โดยนำเสนอราคาเช่าเริ่มต้นต่อตารางเมตรที่ 900 บาท ในขณะที่ค่าเช่าออฟฟิศเกรด A ในทำเล CBD เฉลี่ยทั่วไปอยู่ที่ 1,178 บาท     อาคารสำนักงาน 28 ชั้นแห่งนี้ มีพื้นที่รวมกว่า 28,765 ตร.ม. ตอบโจทย์บริษัทที่ต้องการสำนักงานที่กว้างขวางและหรูหราไปจนถึงร้านค้าปลีกที่สะดวกสบาย โดยมีพื้นที่ให้เช่าต่อชั้น 1,150-1,270 ตร.ม. เหมาะกับองค์กรทุกขนาดรวมไปถึงบริษัทขนาดใหญ่ที่ต้องการพื้นที่ทั้งชั้นสำหรับการทำงานหลายแผนก พร้อมที่จอดรถมากถึง 321 คัน   Kronos sathorn ตอบโจทย์ สำนักงานเกรด A เพื่อขยายฐานการดำเนินธุรกิจทั้งในเมืองไทยและเอเชีย โดยใช้ทำเลนี้เป็นฮับด้านธุรกิจ รวมถึงบริษัทที่ต้องการสร้างภาพลักษณ์การเป็นบริษัทระดับนานาชาติ  เป็นอีกหนึ่งอาคารที่จะเป็นแลนด์มาร์คในย่านสาทร   บทความน่าสนใจ ไนท์แฟรงค์ เปิดข้อมูลตลาดออฟฟิศให้เช่า​ Q1/66 ซัพพลายเพิ่ม ดีมานด์เริ่มฟื้นตัว
10 เรื่องอินไซต์อาคาร OCC  ตึกสูงสุดในไทย 317.95 เมตรของ RML

10 เรื่องอินไซต์อาคาร OCC ตึกสูงสุดในไทย 317.95 เมตรของ RML

10 เรื่องอินไซต์อาคาร OCC ตึกสูงสุดในไทย 317.95 เมตรของ RML ที่เบียดอาคารแมกโนเลียส์ วอเตอร์ฟร้อนท์ เรสซิเดนซ์ แอท ไอคอนสยามตกไปเป็นที่ 2   ถ้าวัดระดับความสูงของอาคารที่สูงที่สุดในไทยตอนนี้ คงต้องยกให้เป็นอาคารแมกโนเลียส์ วอเตอร์ฟร้อนท์ เรสซิเดนซ์ แอท ไอคอนสยาม ของบริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดิเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) อาคารประเภทคอนโดมิเนียม ด้วยความสูงอาคาร 317.95 เมตร   แต่อีกไม่นาน จะมีอาคารแห่งใหม่ที่มาทำลายสถิติของแมกโนเลียส์ฯ และก้าวขึ้นเป็นอาคารสูงที่สุดในประเทศไทยแทน นั่นคื อาคาร OCC  (One City Centre) อาคารสำนักงานเกรดเอระดับลักชัวรี่แห่งใหม่ ในทำเลใจกลางเพลินจิต ซึ่งพัฒนาโดยบริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ RML ร่วมทุนกับ มิตซูบิชิ เอสเตท หนึ่งในผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ และมีชื่อเสียงยาวนานที่สุดของญี่ปุ่น   นายกรณ์ ณรงค์เดช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร RML เปิดเผยว่า อาคาร OCC เกิดขึ้นจากความมุ่งหวังที่จะสร้างสุดยอดสถาปัตยกรรมแห่งใหม่ขึ้นในกรุงเทพฯ โดยจะเป็นแลนด์มาร์คใหม่ของเอเชีย ทั้งในฐานะที่ตั้งขององค์กรธุรกิจชั้นนำทั้งไทยและระดับโลก และยังเป็นจุดหมายปลายทางที่ทั้งคนไทยและนักเดินทางจากทั่วโลกอยากแวะเวียนมาเยือน การพัฒนาโครงการนี้ก้าวข้ามทุกขีดจำกัดแห่งจินตนาการ สู่การสร้างสรรค์โลกใบใหม่ภายใต้แนวคิด REIMAGINE YOUR WORLD โดยเป็นการผสานความร่วมมือกัน ระหว่างบริษัทออกแบบชั้นนำระดับโลกและบริษัทสถาปนิกที่มีชื่อเสียงของไทย ตั้งแต่การออกแบบสถาปัตยกรรม ตกแต่งภายใน ตลอดจนภูมิทัศน์ เพื่อให้ที่นี่เป็นหนึ่งในอาคารสำนักงานที่เป็นสุดยอดในประเทศไทย ซึ่งผนวกพื้นที่สำนักงานระดับลักชัวรี่และศูนย์กลางไลฟ์สไตล์เหนือระดับเข้าไว้ด้วยกัน   โดยบริเวณด้านหน้าอาคารเป็นพื้นที่สาธารณะ ที่เปิดให้ทุกคนมาพักผ่อนกับพื้นที่สีเขียวแห่งใหม่ ยาวตลอดด้านหน้าอาคาร รวมทั้งเสพงานศิลป์จากผลงานศิลปะหลายชิ้นของคุณโด่ง-พงษธัช อ่วยกลาง ศิลปินเเถวหน้าของเมืองไทย ที่มีรูปปั้นผลงานชิ้นเอกตั้งเรียงรายอยู่ด้านหน้า และด้านในอาคาร ภายในอาคารออกแบบฟังก์ชั่นเสริมสร้างแรงบันดาลใจในการทำงาน โดยมาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกที่ล้ำสมัยและครบครัน นอกจากนี้ ยังมีร้านค้าในพื้นที่รีเทล คาเฟ่ บาร์ และร้านอาหารชั้นนำที่   โดยมีที่ปรึกษาในการวางแนวคิดการออกแบบอาคาร คือ สกิดมอร์, โอวิงส์ และเมอร์ริล ไทยแลนด์ (Skidmore, Owings & Merrill (Thailand) หรือ SOM (Thailand) บริษัทดีไซน์ชั้นนำระดับโลก ซึ่งทำงานร่วมกับ ดีไซน์ 103 อินเตอร์เนชั่นแนล (Design 103 International) บริษัทออกแบบสถาปัตยกรรมชั้นนำของไทยที่มีประวัติยาวนาน และมีผลงานอาคารระดับมาซเตอร์พีซมากมาย และแทนเดม อาร์คิเท็ค (2001) (Tandem Architects) บริษัทสถาปนิกแถวหน้าของไทยที่มีความเชี่ยวชาญด้านอาคารสูง โดยมี ฉมา (Shma) บริษัทภูมิสถาปัตย์ชั้นนำที่เชี่ยวชาญด้านภูมิทัศน์ ระบบนิเวศ และสิ่งแวดล้อมเป็นที่ปรึกษาด้านภูมิทัศน์ ดีดับเบิ้ลยูพี (ประเทศไทย) (DWP (Thailand)) บริษัทออกแบบและตกแต่งภายในชั้นนำ  เป็นที่ปรึกษาด้านการตกแต่งภายใน   นอกจากนี้ ยังมีออเรคอน คอนซัลติ้ง (ประเทศไทย) (Aurecon Consulting (Thailand)) ผู้นำด้านบริการงานออกแบบ ให้คำปรึกษาและบริหารงานทางวิศวกร เป็นที่ปรึกษาด้านงานระบบไฟฟ้า และงานระบบเครื่องกล ด้วยจุดมุ่งหมาย ในการสร้างอาคารสำนักงานลักชัวรี่ที่มีดีไซน์สุดล้ำ ผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมระดับโลกและศิลปะวัฒนธรรมไทยเข้าด้วยกัน เห็นได้จากแผงแนวเฉียงที่พาดอยู่บนส่วนหน้าของอาคาร (façade) ซึ่งเป็นดีไซน์ที่มีความสอดคล้องลงตัวกับสภาพอากาศเมืองไทย โดยทำหน้าที่ลดความร้อนจากแสงอาทิตย์เข้าสู่อาคาร ด้านนายนพดล ตันพิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ดีไซน์ 103 อินเตอร์เนชั่นแนล (D103i) บริษัทออกแบบชั้นนำของประเทศไทย กล่าวถึงการต่อยอดแนวคิดการออกแบบ OCC ว่า ได้วางภาพของ OCC ให้เป็นระบบนิเวศแบบสมาร์ทลิฟวิ่ง ที่ผสานเทคโนโลยีอาคารอันล้ำสมัย เพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพของระบบบริหารจัดการอาคาร ให้สามารถประหยัดพลังงานได้สูงสุด รวมทั้งส่งเสริมการบรรลุเป้าหมายในด้านความยั่งยืนด้วย แนวคิด REIMAGINE YOUR WORLD ของ OCC ประกอบด้วย: Reimagined Daily Work Rhythm – พื้นที่สำนักงานที่ OCC ได้รับการออกแบบอย่างพิถีพิถันเพื่อหล่อเลี้ยงพลังชีวิตของคนทำงาน สร้างความสุขให้กับช่วงเวลาทำงานโดยมีนวัตกรรมที่ทันสมัย Reimagined Daily Green Intake - ด้วยเป้าหมายที่จะนำต้นไม้และธรรมชาติกลับมาสู่วิถีคนเมืองในกรุงเทพฯ OCC เป็นศูนย์กลางการใช้ชีวิตใจกลางเมืองที่เขียวชอุ่มที่สุดในย่านเพลินจิต ด้วยพื้นที่สีเขียวกว่า 5,000 ตร.ม. Reimagined Office Space Possibilities - ด้วยโครงสร้างอาคารที่ไม่มีเสาคั่นกลาง ผู้เช่าจึงสามารถออกแบบ เลย์เอาต์สำนักงานได้อย่างอิสระตามความต้องการ สร้างสรรค์พื้นที่สำนักงานที่ดีที่สุดได้อย่างใจ Reimagined Retail and Food Selection - OCC มาพร้อมกับพื้นที่รีเทล คาเฟ่ บาร์ และร้านอาหารที่คัดสรรมาอย่างมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร รวมถึงบาร์และภัตตาคารหรูบนชั้นดาดฟ้าที่จะกลายเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์และเป็นหนึ่งในรูฟท็อปเดสทิเนชั่นที่ดีที่สุดในเอเชีย Reimagined Journey In and Out – สุดท้ายนี้ การเดินทางเข้าและออกจากอาคาร OCC ง่ายและสะดวกสบายติดสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสเพลินจิต โดยใช้เวลาเดินเพียง 2 นาทีจากบีทีเอส และสามารถเดินเชื่อมต่อเข้าไปในอาคารผ่าน Sky Bridge ได้เลย หรือถ้าขับรถมาก็อยู่ห่างจากทางด่วนเพลินจิต เพียง 200 เมตร 10 เรื่อง OCC ตึกสูงสุดในไทย นอกจากนั้น 10 อินไซต์ต่อไปนี้จะช่วยขยายความแนวคิดของ OCC ให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้นในการเปิดมิติใหม่สู่โลกของอาคารออฟฟิศและสุดยอดศูนย์กลางไลฟ์สไตล์แห่งอนาคต 1.แลนด์มาร์คใหม่เหนือเส้นขอบฟ้ากรุงเทพฯ OCC คืออาคารสำนักงานที่สูงที่สุดในไทยในปัจจุบัน ด้วยความสูง 275.76 เมตร และจะกลายเป็นแลนด์มาร์กใหม่อันโดดเด่น รวมทั้งไฮไลต์คือรูฟท็อปเดสทิเนชั่นบนชั้นดาดฟ้า ที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดแห่งหนึ่ง พร้อมทัศนียภาพที่สวยเหนือคำบรรยายของกรุงเทพฯ 2.สถาปัตยกรรมชิ้นเอกของโลก ตัวอาคารแบ่งออกเป็นสองส่วนหลักที่มีลักษณะตรงกันข้าม คือส่วนแกนกลางเป็นแท่งทึบรูปทรงที่เพรียวบางหันสู่ทิศตะวันตก และส่วนผนังกระจกใสตลอดความยาวตึกซึ่งเป็นพื้นที่ออฟฟิศหันสู่ทิศตะวันออก รวมทั้งพื้นที่สีเขียวตามจุดต่าง ๆ ทั้งพื้นที่โถงใหญ่กลางอาคาร (Atrium) ระเบียง และสวนหย่อมกระจายอยู่ทั่วอาคาร 3.ความยั่งยืน + สุขภาวะของผู้ใช้อาคาร เริ่มต้นที่จากถนนหน้าอาคาร พื้นที่สีเขียวอันกว้างขวางซึ่งส่งผลให้พื้นที่ส่วนกลางของโครงการมีบรรยากาศที่เย็นสบาย เป็นประโยชน์ทั้งสำหรับผู้ใช้อาคารและตัวเมืองกรุงเทพฯ เมื่อเข้ามาสู่ภายในอาคาร การออกแบบเพดานสูงเปิดรับทั้งแสงธรรมชาติให้ส่องเข้ามาได้อย่างเต็มที่ รวมทั้งทิวทัศน์กรุงเทพฯ แบบพาโนรามาอันน่าหลงใหล เป็นการลดทั้งการใช้พลังงานและช่วยสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่สบายและผ่อนคลาย และงานระบบอาคารต่าง ๆ อันล้ำสมัย ทั้งเครื่องกล ไฟฟ้า และประปา (MEP) ช่วยให้อากาศภายในสะอาดบริสุทธิ์ 4.การออกแบบและก่อสร้างที่อาศัยเทคโนโลยีดาต้า การพัฒนาโครงการ OCC มีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลที่ล้ำสมัยที่สุด เช่น การสร้างแบบจำลองข้อมูลอาคาร (BIM) โดยใช้ข้อมูลอาคารเพื่อช่วยให้การออกแบบ การก่อสร้าง       และการดำเนินงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลดีต่อโครงการทั้งด้านการประหยัดต้นทุน ความยั่งยืน รวมทั้งก่อสร้างได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย 5.โซลูชั่นออฟฟิศสุดเหนือระดับ พื้นที่ทำงานภายใน OCC ได้รับการออกแบบให้มีความยืดหยุ่นและสามารถปรับเปลี่ยนได้ในอนาคตเพื่อรองรับความต้องการในการทำงานที่แตกต่างกันและเปลี่ยนแปลงไป โดยมีระเบียงบนชั้น 14 และ 61 เป็นพื้นที่พักผ่อนอีกหนึ่งจุด รวมทั้งพบปะสังสรรค์ในโอกาสต่างๆ ระบบกรองอากาศในอาคารใช้แผ่นกรองประสิทธิภาพสูง MERV14 ช่วยให้อากาศภายสะอาดและสดชื่นตลอดเวลา 6.ประสบการณ์อัจฉริยะเพื่อผู้เช่า OCC ติดตั้งเทคโนโลยีอัจฉริยะเพื่อสร้างประสบการณ์ที่เหนือระดับแก่ผู้เช่า เช่น แอปพลิเคชั่นมือถือสำหรับผู้เช่าอาคาร ระบบจดจำใบหน้า และระบบจดจำป้ายทะเบียนรถอัตโนมัติ มอบความสะดวกสบายด้วยระบบไร้สัมผัส ตั้งแต่การเข้า-ออกที่จอดรถ ลิฟต์ และอาคารสำนักงาน รวมทั้งการจองใช้บริการสิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลางและร้านอาหารผ่านโมบายแอป 7.รางวัลและการรับรองมาตรฐานระดับนานาชาติ OCC ได้รับรางวัลการพัฒนาอาคารสำนักงานแห่งปี (Office Development of the Year) จากเวที Real Estate Asia Awards 2021 และยังเป็นอาคารสำนักงานแห่งแรกในประเทศไทยที่ได้รับการรับรอง Fitwel ในระดับ 2 ดาวจาก Center for Active Design (CfAD ) ในหมวด Multi-Tenant Building ในฐานะอาคารที่มีคุณภาพการบริหารจัดการอันโดดเด่นและสร้างสุขภาวะที่ดีเยี่ยมให้กับผู้ใช้อาคาร และอยู่ในระหว่างการยื่นขอการรับรองมาตรฐาน LEED Gold สำหรับการออกแบบ การก่อสร้าง และการดำเนินงานของอาคารที่มีความยั่งยืน 8.สุดยอดรูฟท็อปเดสทิเนชั่นใจกลางกรุง บนชั้น 58 และ 61 ของอาคารคือสเปซแห่งการดื่มด่ำกับมื้ออาหารสุดพิเศษ ด้วยบาร์และภัตตาคารสุดหรู ดีไซน์และตกแต่งทุกรายละเอียดอย่างเหนือระดับพร้อมทิวทัศน์กรุงเทพฯ แบบ            พาโนรามา 360 องศา รวมทั้งภาพโค้งน้ำเจ้าพระยาที่สะกดทุกสายตาอย่างไม่มีอะไรมาขวางกั้น ซึ่งแน่นอนว่าจะเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับผู้มีไลฟ์สไตล์แห่งการกินดื่มอันละเมียดทุกคน ทั้งชาวไทยและนานาชาติ 9.ผสานกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับชุมชน ที่ตั้งโครงการแต่เดิมเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่สีเขียวที่ประวัติความเป็นมายาวนาน ซึ่งได้รับการอนุรักษ์ให้คงเดิมมากที่สุด โดยออกแบบด้วยการเพิ่มพื้นที่เปิดโล่งหันหน้าสู่ถนนด้านหน้าได้เต็มที่ และยกพื้นที่กลางแจ้งทั้งหมดนี้ให้เป็นสวนสาธารณะที่ทุกคนสามารถใช้ประโยชน์ได้ 10.สุดยอดทำเลใจกลางเมือง บนพื้นที่ 6 ไร่ ตรงข้ามศูนย์การค้าเซ็นทรัล เอ็มบาสซี ใช้เวลาเดินเพียง 2 นาทีจากสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสเพลินจิต และมีทางเชื่อมลอยฟ้าจากอาคารเข้าสู่สถานีโดยตรง รวมทั้งอยู่ห่างจากจุดขึ้น-ลงทางด่วนเพลินจิตเพียง 200 เมตร   ทั้งหมดนี้ คือ 10 เรื่องอินไซต์อาคาร OCC ตึกสูงสุดในไทย 317.95 เมตรของ RML ที่เบียดอาคารแมกโนเลียส์ วอเตอร์ฟร้อนท์ เรสซิเดนซ์ แอท ไอคอนสยามตกไปเป็นที่ 2   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ไรมอนแลนด์ ปั้น แบรนด์เด็ดเรสซิเดนซ์ ขายวิลล่าหลังละ 1,000 ล้าน พร้อมสู่ธุรกิจ New Economy สร้างรายได้ประจำ
“จระเข้” ส่งสินค้านวัตกรรม บุกตลาดงานรัฐ เตรียมกวาดยอดขาย 3,800 ล้านบาท

“จระเข้” ส่งสินค้านวัตกรรม บุกตลาดงานรัฐ เตรียมกวาดยอดขาย 3,800 ล้านบาท

“จระเข้” ส่งสินค้านวัตกรรม บุกตลาดงานเมกะโปรเจ็กต์และงานภาครัฐ รับแนวโน้มการเติบโตของตลาด ​ ตั้งเป้าปี’66 ทำยอดขายรวม 3,800 ล้าน และผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเคมีก่อสร้างเติบโตไม่น้อยกว่า 30% โชว์ศักยภาพผ่าน 4 นวัตกรรมหลัก​ในงานสถาปนิก’66      นายศุภพงษ์ เพชรสุทธิ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้นำในการผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าตรา “จระเข้” นวัตกรรมเพื่องานก่อสร้าง ซ่อมแซม และตกแต่ง ครบวงจรตั้งแต่ฐานรากจนถึงหลังคามากว่า 30 ปี เปิดเผยว่า สำหรับแนวทางการดำเนินธุรกิจในปี 2566 นี้ บริษัทฯ มุ่งเน้นการเติบโตในผลิตภัณฑ์กลุ่มเคมีก่อสร้าง โดยเฉพาะงานโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพและเติบโตสูง  โดยจระเข้ได้เริ่มขยายตลาดในกลุ่มดังกล่าวตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้มียอดขายผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับ Infrastructure สูงขึ้นจากปีก่อน ทำให้ตั้งเป้าว่าในปีนี้จะสามารถทำยอดขายรวมทั้งบริษัทอยู่ที่ 3,800 ล้านบาท และผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเคมีก่อสร้างจะเติบโตไม่น้อยกว่า 30% สอดรับกับความสามารถในการทำตลาดเจาะกลุ่มโครงการต่าง ๆ ได้มากขึ้น   ส่วนภาพรวมธุรกิจของบริษัท ฯ ในปี 2565 ที่ผ่านมา จระเข้มีอัตราการเติบโต 20% จากปีก่อน โดยผลิตภัณฑ์ที่เติบโตอยู่ในกลุ่มนวัตกรรม ไม่ว่าจะเป็น ผลิตภัณฑ์ปูกระเบื้อง ผลิตภัณฑ์เคมีก่อสร้าง ผลิตภัณฑ์สีจระเข้  ซึ่งปัจจัยการเติบโตมาจากการขายที่เป็นระบบ และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในคุณภาพงานก่อสร้างที่ได้มาตรฐานสูง ควบคู่ไปกับการเพิ่มประสิทธิภาพและต่อยอดจากความเชี่ยวชาญเรื่องบ้านไปสู่อาคารและงานระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน (Infrastructure) รวมไปถึงการเข้าร่วมงานสถาปนิกสยาม ทำให้ได้เปิดตลาดใหม่ในวงการก่อสร้างและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นายวิกิจ กันฉาย  ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานขายในประเทศ กล่าวว่า สำหรับแนวทางการขายในประเทศจะเน้นคุณสมบัติ Speed & Sustainable โดยจะให้ความสำคัญกับการพัฒนานวัตกรรมเพื่องานระบบสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ (Infrastructure) โดยเฉพาะงานก่อสร้างซ่อมแซมที่เกี่ยวข้องกับการคมนาคม เช่น ถนน สะพาน ทางด่วน ทางรถไฟฟ้า ท่าเรือ ซึ่งเป็นงานที่ต้องใช้ระยะเวลาการเซ็ทตัวที่เร็วขึ้นและมีความคงทนแข็งแรงเท่าเดิม หรือการซ่อมแซมแบบเร่งด่วน สามารถส่งมอบงานตรงเวลา นับว่าเป็นงานที่ใช้งบประมาณลงทุนค่อนข้างสูงรวมถึงใช้ทรัพยากรสูง หากสามารถเสริมความคงทนยืดอายุการใช้งานได้เพิ่มขึ้น จะลดการใช้ทรัพยากรใหม่และลดปัญหาการซ่อมแซมในภายหลัง นำมาซึ่งการลดการเกิดขยะจากการก่อสร้างได้มากขึ้น   โดยในปีที่ผ่านมาจระเข้เป็นหนึ่งในไม่กี่แบรนด์ที่ได้รับเลือกเป็นส่วนหนึ่งในโครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงที่กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง นอกจากนี้ยังมีโครงการท่าเรือและสะพาน  โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์ Infrastructure ของจระเข้มีหลากหลาย เช่น ผลิตภัณฑ์งานโครงสร้าง ซีเมนต์กันซึมชนิดตกผลึก น้ำยาเคลือบและปกป้องพื้นผิวคอนกรีต รองรับงานสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ โดยเฉพาะโครงการที่มีการกำหนดคุณสมบัติพิเศษต้องการสินค้าประสิทธิภาพสูงได้เป็นอย่างดี   สำหรับนวัตกรรมจระเข้ซ่อมพื้นคอนกรีตบางเป็นมิตรกับธรรมชาติ นับเป็นนวัตกรรมใหม่และเป็นหนึ่งในไฮไลต์ที่จระเข้นำเสนอในงานสถาปนิก’66  มุ่งตอบโจทย์ Speed & Sustainable  ด้วยคุณสมบัติพิเศษในการซ่อมพื้นบางที่สุดเพียง 2 มม. ซึ่งเท่ากับช่วยลดการใช้ทรัพยากรและลดการเกิด CO2 ลงถึง 96% ท้าทายงานก่อสร้างที่ความบางมาพร้อมความแกร่ง ลดเวลาทำงานจาก 7 วันเหลือเพียง 2 วัน ก็สามารถเปิดพื้นที่รองรับการสัญจรหนักได้ โดยบริษัท ฯ ตั้งเป้าขยายสัดส่วนสินค้าในกลุ่ม Infrastructure จากยอดขาย 5% ในปีที่ผ่านมา  คาดว่าจะเติบโตเป็น 10% ของมูลค่ารวมทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์จระเข้ในปีนี้ นายวรพจน์ ตั้งมนัสวงศ์  ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด กล่าวว่า แนวทางในการทำตลาดของจระเข้ การพัฒนา “นวัตกรรม” ยังคงเป็นหัวใจหลัก หลังจากนี้จระเข้ยังคงคิดค้นนวัตกรรมใหม่เพื่อสร้างความสุขให้กับผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง โดยที่ผ่านมาจระเข้เป็นผู้นำตลาดกาวซีเมนต์และกาวยาแนวปูกระเบื้องมายาวนาน โดยกาวซีเมนต์จระเข้เขียวซึ่งมียอดขายอันดับหนึ่งในตลาดได้ครองใจช่างและเจ้าของบ้านมานาน 30 ปี  โดยผลิตภัณฑ์นวัตกรรมที่สร้างชื่อเสียงและจุดเปลี่ยนให้กับตลาดวัสดุปูกระเบื้องได้แก่ จระเข้ พรีเมียม พลัส กาวยาแนวป้องกันราดำ โดดเด่นด้วยเทคโนโลยีไมโครแบน รายแรกของโลกซึ่งยังคงเป็นผู้นำตลาดมาอย่างต่อเนื่อง   ปัจจุบัน จระเข้มีนวัตกรรมสินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค โดยในปีนี้ได้นำหลายผลิตภัณฑ์นวัตกรรมมาออกบูธในงานสถาปนิก’66 ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Expert Solutions, Expert Results” สะท้อนความเป็นผู้นำและความเชี่ยวชาญในงานก่อสร้างยุคใหม่ ผ่าน 5 โซนจัดแสดง ได้แก่ WELL BEING FIRST: Living Green, Living Better ผลิตภัณฑ์ก่อสร้างเพื่อความยั่งยืน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และผู้อยู่อาศัย ตอบ Trend การก่อสร้างยุคใหม่ CHEMICAL EXPERTISE: Sustainable Infrastructure Solutions ใส่ใจทุกงานโครงสร้าง พัฒนานวัตกรรมสินค้าอย่างยั่งยืน ลดปัญหาการซ่อมแซม ยืดอายุการใช้งานให้ยาวนาน TILING EXPERTS: The Ultimate of BIG SLAB Solution นวัตกรรมการติดตั้งกระเบื้องใหญ่พิเศษครบวงจร พร้อมชมการติดตั้งโดยผู้เชี่ยวชาญ SEE JORAKAY: Sense of Specialized Colors สีสร้างลาย สร้างสไตล์ที่แตกต่างเฉพาะตัว พบกับการสร้างสรรค์ลวดลายโดยทีมช่างมืออาชีพที่พร้อมให้บริการสร้างผนังสวยระดับ Masterpiece ให้กับบ้านคุณ HOME CLINIC: Expert Consulting for Home Repairs จุดบริการให้คำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญจากจระเข้ นอกจากนี้จระเข้ยังเชิญสถาปนิกชั้นนำที่มีส่วนร่วมในโครงการ Green building ที่มีชื่อเสียงในประเทศ มาร่วมแบ่งปันแนวคิดและมุมมองเกี่ยวกับเทรนด์การออกแบบก่อสร้างที่สอดคล้องกับแนวทางขององค์กร ในการมุ่งพัฒนานวัตกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยจัด Exclusive Talk ในหัวข้อ Green Living Trends with Expert Solutions, Expert Results เพื่อร่วมกันคิด สร้างสรรค์ผลงานก่อสร้างที่ดีกับผู้อยู่อาศัยและสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน   จระเข้ยังสานต่อแนวทางด้านความยั่งยืนโดยประสานกับ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) นำวัสดุก่อสร้างจากบูธนี้ไปใช้ประโยชน์ในการฝึกทักษะของเยาวชนสร้างสรรค์ประโยชน์ใช้สอยใหม่ๆ ด้านสังคมเพิ่มเติ  พบกับนวัตกรรมตอบโจทย์การก่อสร้างยุคใหม่และรูปลักษณ์ใหม่ของแบรนด์จระเข้ที่แตกต่าง ได้ที่บูธจระเข้ หมายเลข S214 ณ ชาเลนเจอร์ฮอลล์ อิมแพค เมืองทองธานี  ในวันที่ 25-30 เมษายน 2566 เวลา 10.00-20.00 น.   อ่านข่าวเพิ่มเติม -จระเข้ เดินหน้าโตอย่างยั่งยืน สู่ทศวรรษที่ 4 วางเป้าหมายรายได้ 5,000 ล้าน
[PR News] TOTO จับมือ ASA จัดงานใหญ่เพื่อสังคม สร้างแรงบันดาลใจให้วงการออกแบบไทย

[PR News] TOTO จับมือ ASA จัดงานใหญ่เพื่อสังคม สร้างแรงบันดาลใจให้วงการออกแบบไทย

TOTO จับมือ ASA จัดงาน TOMOHIKO YAMANASHI LECTURE BREAKING THE NORM โตโต้ ร่วมกับสมาคมสถาปนิกสยามฯ ตอบสนองพันธกิจในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คนในสังคม ผ่านการจัดกิจกรรมบรรยาย “TOMOHIKO YAMANASHI LECTURE: BREAKING THE NORM” โดย คุณ โทโมฮิโกะ ยามานาชิ สถาปนิกชื่อดังชาวญี่ปุ่น ผู้ได้รับรางวัลในแวดวงสถาปนิกมากมาย หวังจุดประกายแรงบันดาลใจให้วงการออกแบบของประเทศไทย TOTO จับมือ ASA จัดงาน TOMOHIKO YAMANASHI LECTURE: BREAKING THE NORM บริษัท โตโต้ (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมมือกับ สมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดกิจกรรมบรรยาย “TOMOHIKO YAMANASHI LECTURE: BREAKING THE NORM” โดยได้รับเกียรติจาก คุณ โทโมฮิโกะ ยามานาชิ (Mr. Tomohiko Yamanashi) สถาปนิกชื่อดังจากประเทศญี่ปุ่น ผู้ได้รับรางวัลในแวดวงสถาปนิกมากมาย มาร่วมแลกเปลี่ยนความรู้ แง่มุม และแนวความคิดในการออกแบบโครงการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอาคาร NBF OSAKI BUILDING (2011) ที่ได้รับรางวัล AIJ prizes (2014) สำหรับการนำเทคโนโลยี “BIOSKIN” ระบบช่วยระบายความร้อนของอาคารมาใช้ในการออกแบบ อากาศโดยรอบอาคารจะเย็นลงโดยใช้ความร้อนจากการระเหยกลายเป็นไอของน้ำฝน ที่หมุนเวียนสะสมอยู่ในท่อเซรามิก ช่วยลดภาระเครื่องปรับอากาศในการทำความเย็นภายในอาคารได้อย่างมีประสิทธิภาพ นับว่าเป็นการออกแบบเพื่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังคงไว้ซึ่งความสวยงามที่มองเห็นได้จากภายนอกโดยคำนึงถึงผู้คนในสังคมเป็นสำคัญ   TOTO จับมือ ASA จัดงาน TOMOHIKO YAMANASHI LECTURE BREAKING THE NORM “ส่วนตัวแล้ว ในด้านการออกแบบผมจะให้ความสำคัญกับ 3 สิ่งด้วยกัน” คุณ โทโมฮิโกะ ยามานาชิ กล่าว “อันดับแรกคือ การคำนึงถึงลูกค้า เนื่องจากว่าสถาปนิกเป็นผู้ได้รับการขอร้องจากลูกค้า อันดับที่ 2 คือคิดถึงบริษัท Nikken Sekkei แต่อย่างไรก็ตามผลงานที่เราสร้างนั้นจะดำรงอยู่ในสังคม ดังนั้นสถาปนิกจำเป็นต้องคำนึงถึงสังคมด้วย สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการที่ได้สร้างความหมายใหม่ พร้อมกับการแก้ปัญหาให้กับสังคม” นอกจากโครงการดังกล่าวแล้ว คุณ โทโมฮิโกะ ยามานาชิ ยังพูดถึงโครงการที่โดดเด่นและได้รับรางวัลด้านการออกแบบหลายรางวัลด้วยเช่นกัน อย่าง โครงการ HOKI MUSEUM (2010) ที่ได้รับรางวัล JIA Grand Prix (2011) ผลงานดังกล่าวเป็นเอกลักษณ์ และสร้างความรู้สึกน่าสนใจให้กับผู้ที่พบเห็น     “ในตอนที่พิพิธภัณฑ์ HOKI เปิดใช้งานแล้ว ผมรู้สึกถึงความสำเร็จมากกว่าตอนที่เพิ่งสร้างเสร็จ ราวกับว่าผมเป็นผู้ที่ถ่ายทอดผลงานภาพเสมือนจริงที่จัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์เหล่านั้นด้วย ผมมีโอกาสได้อ่านบทความในหนังสือพิมพ์ที่กล่าวว่า มูลค่าของภาพวาดเสมือนจริงเหล่านั้น เพิ่มขึ้นตั้งแต่ที่พิพิธภัณฑ์ HOKI สร้างเสร็จ อย่างที่ได้กล่าวไป ผมมีความสุขกับสถาปัตยกรรมที่เราได้สร้างความหมายใหม่ให้สังคม สำหรับผลงานด้านสถาปัตยกรรมแล้ว แม้คนที่ไม่อยากมองก็ยังต้องเห็นอยู่ดี แม้คนที่ไม่อยากดูก็ยังต้องใช้งานอยู่ดี ดังนั้นผมเชื่อว่าการออกแบบที่ดีจะเป็นสิ่งที่สามารถให้ความหมายและคุณค่าใหม่ๆ แก่สังคมได้”   นอกจากนี้ ภายในงานบรรยายยังมีการกล่าวถึงผลงานของคุณ โทโมฮิโกะ ยามานาชิ อีกหลายโครงการ อาทิ JIMBOCHO THEATER (2007), MOKUZAI KAIKAN (2009), TOHO GAKUEN SCHOOL OF MUSIC (2014), ON THE WATER (2015) ฯลฯ ซึ่งได้รับกระแสตอบรับจากผู้เข้าร่วมงานเป็นอย่างดี     นาย ทาคายะสุ ชิมาดะ ประธานบริษัท โตโต้ (ประเทศไทย) จำกัด หนึ่งในหัวเรือใหญ่ของการจัดงานในครั้งนี้ เปิดเผยว่า บริษัท โตโต้ เชื่อมั่นว่าการออกแบบสถาปัตยกรรมนั้น เป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คนในสังคมให้ดียิ่งขึ้นตามปรัชญาของบริษัทฯ และเป็นหนึ่งสิ่งที่สะท้อนถึงวัฒนธรรม วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในแต่ละประเทศได้ การที่บริษัท โตโต้ มุ่งมั่นที่จะส่งเสริมวัฒนธรรมในประเทศที่เข้าไปดำเนินธุรกิจ ทำให้ TOTO เข้าใจและเรียนรู้วิถีชีวิตของคนในประเทศนั้นๆ ได้อย่างลึกซึ้ง รวมถึงในประเทศไทยด้วยเช่นเดียวกัน   TOTO จับมือ ASA จัดงาน TOMOHIKO YAMANASHI LECTURE: BREAKING THE NORM “นอกจากนี้บริษัท โตโต้ เชื่อว่าคุณค่าและความหลากหลายของผลงานที่ได้จากสถาปัตยกรรมจะมีบทบาทที่สำคัญมากยิ่งขึ้นในอนาคต บริษัทฯ จึงมุ่งหวังที่จะเป็นสะพานเชื่อมเพื่อถ่ายทอดและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ตลอดจนแนวคิดของสถาปนิกและนักออกแบบ ระหว่างสถาปนิกในประเทศไทย และสถาปนิกชาวญี่ปุ่น รวมถึงบทบาทของสถาปนิกที่มีต่อผู้คนในสังคม” นาย ทาคายะสุ ชิมาดะ เปิดเผยกับสื่อมวลชน   ทั้งนี้ เพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมายดังกล่าวในการเป็นสะพานเชื่อมระหว่างสถาปนิกชาวญี่ปุ่น และวงการออกแบบในประเทศไทย บริษัท โตโต้ (ประเทศไทย) จำกัด จึงได้ร่วมมือกับทางสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดกิจกรรมที่มีประโยชน์ต่อวงการออกแบบภายในประเทศอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นงานด้านความบันเทิงอย่างการสนับสนุนกิจกรรม งานวิ่ง ASA Run ซึ่งทางบริษัท โตโต้ เองก็สนับสนุนและให้ความร่วมมือในการจัดงานทั้งในปี 2018 และ 2019   ตลอดจนกิจกรรมที่เต็มไปด้วยองค์ความรู้ที่มีประโยชน์ เช่น การพาชมโรงงานผลิตภัณฑ์ของทาง TOTO การจัดงานประกวดออกแบบห้องน้ำ “TRANSIT CENTER DEVELOPMENT 2019”  และ “THE BANGKOK TOILET DESIGN 2022” ที่เปิดโอกาสให้สถาปนิกและนักศึกษาซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ ได้มีโอกาสแสดงฝีมือในด้านการออกแบบห้องน้ำสาธารณะ งานสัมมนาวิชาการเกี่ยวกับ Universal Design หรือการออกแบบเพื่อทุกคน รวมถึงก่อนหน้านี้ยังเคยร่วมกันจัดงาน Shigeru Ban Lecture 2019 ซึ่งได้รับความสนใจและได้รับผลตอบรับจากผู้คนในแวดวงสถาปัตยกรรมและการออกแบบเป็นอย่างดี จนทำให้เกิดการจัด Architect Talk ขึ้นอีกครั้งในปีนี้ นั่นคือกิจกรรมงานบรรยาย “TOMOHIKO YAMANASHI LECTURE: BREAKING THE NORM” ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2565 ที่ผ่านมา   “กิจกรรมดังกล่าวถือว่าเป็นคุณประโยชน์ต่อวงการวิชาชีพเป็นอย่างมาก ผมอยากขอขอบคุณทาง TOTO มา ณ ที่นี้ เนื่องจากว่าโอกาสดังกล่าวไม่ได้มีขึ้นบ่อยๆ” นาย ชนะ สัมพลัง นายกสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าว “การเชิญสถาปนิกชื่อดังจากต่างประเทศมาร่วมแลกเปลี่ยนความรู้ สร้างโอกาสให้สถาปนิกไทยได้พบปะกับสถาปนิกระดับโลกที่เปี่ยมไปด้วยความสามารถมากมาย น่าจะเป็นประโยชน์และสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ที่เข้าฟังได้เป็นอย่างดี และไม่ใช่เพียงแค่มีประโยชน์ต่อวงการออกแบบเท่านั้น แต่ยังมีคุณูประการที่สำคัญต่อผู้คนในสังคม ช่วยสร้างแรงบันดาลใจ และผลักดันให้เกิดสิ่งใหม่ๆ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของทุกคน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็คือพันธกิจของทางสมาคมสถาปนิกสยามฯ และทางบริษัท โตโต้ ยึดถือในการดำเนินงานมาโดยตลอด”   นอกเหนือจากการจัดกิจกรรมอย่างงานบรรยายของสถาปนิกชื่อดังแล้วนั้น นาย ทาคายะสุ ชิมาดะ ประธานบริษัท โตโต้ (ประเทศไทย) จำกัด และ นาย ชนะ สัมพลัง ในนามของสมาคมสถาปนิกสยามฯ เล็งเห็นถึงความสำคัญของการสร้างองค์ความรู้เป็นวงกว้าง พร้อมมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนกิจกรรมที่สร้างคุณประโยชน์ และมีส่วนร่วมในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คนต่อไปในอนาคต โดยงาน“TOMOHIKO YAMANASHI LECTURE: BREAKING THE NORM”  จัดขึ้นในวันที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565 ที่ผ่านมา ณ โรงละครเคแบงก์สยามพิฆเนศ สยามสแควร์วัน ชั้น 7   บทความที่น่าสนใจ [PR News] เลอ เมอริเดียน จับมือ โตโต้ พลิกโฉมโรงแรมใหม่ “โตโต้” เดินเครื่องโรงงานผลิตแห่งที่ 2 ในไทย โชว์เทคโนโลยีตอกย้ำผู้นำสุขภัณฑ์ระดับไฮเอนด์ เมื่อสุขภัณฑ์เป็นมากกว่าส้วม        
4 โซนไฮไลท์ ใน “เกษรอัมรินทร์”   ชื่อใหม่ของ อัมรินทร์พลาซ่า

4 โซนไฮไลท์ ใน “เกษรอัมรินทร์”  ชื่อใหม่ของ อัมรินทร์พลาซ่า

เกษร พร็อพเพอร์ตี้ กรุ๊ป ทุ่ม 1,000 ล้าน พลิกโฉม อัมรินทร์พลาซ่า ศูนย์การค้าเก่ากว่า 40 ปี สู่ “เกษรอัมรินทร์” ต่อยอดโปรเจ็กต์มิกซ์ยูส สร้างความสมบูรณ์แบบให้ย่านราชประสงค์ กับ 4 โซนไฮไลท์ที่พร้อมให้บริการปี 66 นี้   หลังจากเกษร พร็อพเพอร์ตี้ กรุ๊ป ได้ปรับโฉมศูนย์การค้าเกษรและพื้นที่สำนักงานใหม่ กลายเป็น เกสรวิลเลจ ต่อยอดการเป็นจุดไฮไลท์สำคัญของย่านราชประสงค์แล้ว ตอนนี้ก็เดินหน้าปรับโฉม อัมรินทร์พลาซ่า ศูนย์การค้าเก่าแก่อีกแห่งหนึ่งในพื้นที่ย่านราชประสงค์ กับรูปโฉมใหม่ ที่จะมาเติมเต็มให้แยกราชประสงค์แลนด์มาร์คและพื้นที่ใจกลางธุรกิจสำคัญของกรุงเทพฯ ให้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้   สำหรับเกษรอัมรินทร์ เดิมเป็นที่รู้จักในชื่อ “อัมรินทร์พลาซ่า” ที่มีตำนานอันยาวนานกว่า 40 ปีของประเทศไทยในย่านราชประสงค์ กำลังเข้าสู่มิติใหม่ของความเป็นศูนย์กลางแห่งไลฟ์สไตล์อินเทรนด์ในแนวคิด Immersive Experience สร้างสีสันและประสบการณ์ใหม่ที่เจิดจรัสบนย่านที่เปี่ยมไปด้วยคุณค่าและความงดงามที่สั่งสมจากหลายมิติ ทั้งประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ความคิดสร้างสรรค์ การผสมผสานของความล้ำสมัย ในฐานะศูนย์กลางเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทยและระดับโลก 4 โซนไฮไลท์ ใน “เกษรอัมรินทร์” โดยเกษรวิลเลจ ยกระดับจากโครงการมิกซ์ยูสสู่การพัฒนา “Placemaking” อย่างเต็มรูปแบบแห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทย เริ่มปรับโฉมครั้งใหญ่ของ “เกษรอัมรินทร์”  ให้เป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยการสร้างแรงบันดาลใจ ความคิดสร้างสรรค์ และพื้นที่ให้กลุ่ม like-minded community พบปะและมีปฏิสัมพันธ์กันได้อย่างลงตัว  ซึ่งเตรียมเปิดบริการอย่างเป็นทางการใน ไตรมาส 4 ปี 2566   โฉมใหม่ของ เกษรอัมรินทร์ จะเป็นการขยายพื้นที่ของแต่ละองค์ประกอบ (Component) พร้อมกับการรังสรรค์พัฒนาควบคู่กับแบรนด์ บริษัทชั้นนำทั้งระดับโลก และชั้นนำของประเทศไทย เพื่อสร้างประสบการณ์ให้กับกลุ่มผู้ใช้บริการและลูกค้า ซึ่งจะมี 4 โซนไฮไลท์ที่สำคัญ  ได้แก่ 1.Fashion Style Component ต่อยอดจาก Designer Lane พื้นที่รวบรวมแบรนด์แฟชั่นระดับโลก เพิ่มเติมแบรนด์แอคทีฟแฟชั่นสปอร์ตเข้ามาในพื้นที่ให้ลูกค้าและดีไซเนอร์ได้มาเจอกั   สำหรับพื้นที่โซน Fashion Style Component ต่อยอดจาก Designer Lane  จะมีแบรนด์แฟชั่นระดับโลก อาทิ Club 21, Comme des Garçons, Diane Von Furstenberg, Boss by Hugo Boss, Boyy, Max Mara และอีกมากมาย ขยายเพิ่มเติมแบรนด์แอคทีฟแฟชั่นสปอร์ตเข้ามาในพื้นที่ พร้อมจัดกิจกรรมให้เป็นพื้นที่ที่ให้เหล่าดีไซเนอร์ชั้นนำของโลกและประเทศไทยได้จัดแสดงผลงาน art & culture แชร์ประสบการณ์ และเรื่องราวของผลงานให้กับลูกค้าที่ชื่นชอบในตัวดีไซเนอร์ 2.Food Style Component ขยายส่วนของ Gaysorn Food Village จากปัจจุบันที่รวบรวมร้านอาหารระดับมิชลินสตาร์ เติมเต็มด้วยร้านอาหารที่เป็น specialty ที่ร่วมรังสรรค์ใหม่กับเชฟ และมิกโซโลจิตส์ระดับรางวัล   พื้นที่ Food Style Component จะมีร้านอาหารชั้นนำ ตั้งแต่ร้านอาหารระดับมิชลินสตาร์ ได้แก่ Ginza Sushi Ichi, Paste ร้านโอมากาเสะ ร้าน One & Only และ First to Thailand (new to market) ได้แก่ Hei Yin, Burger & Lobster, Isola เติมเต็มประสบการณ์ให้ผู้คนได้สังสรรค์ในพื้นที่ Hanging Garden เกษรอัมรินทร์ นำเสนอ Specialty Food & Beverage เช่น ร้าน Izakaya ร้าน Thai Grill และร้านอาหารคอนเซ็ปต์ใหม่ ๆ จากเชฟระดับรางวัล รวมไปถึงพื้นที่บาร์ รังสรรค์โดยมิกโซโลจิสต์ระดับประเทศ ที่จะเป็นศูนย์กลางของแหล่งแฮงเอาท์ที่ใหม่ในย่านราชประสงค์ 3.Life & Wellness style  ให้ตรงตามความต้องการของลูกค้าคนเมือง คำนึงไปถึงการใช้ชีวิตที่มีสุขภาพที่ดี การออกกำลังกาย และพัฒนาความสวยความงามของแต่ละบุคคล รวมไปถึงไลฟ์สไตล์แบบลักชัวรี และผู้ที่ชื่นชอบกิจกรรม outdoor sport   โซน Life & Wellness style Component curate concept Gaysorn Urbanist Retreat ได้ถูกพัฒนาพื้นที่ให้ตรงตามความต้องการของลูกค้าคนเมือง โดยคำนึงถึงการใช้ชีวิตที่มีสุขภาพที่ดี การออกกำลังกาย และพัฒนาความสวยความงามของแต่ละบุคคล และผู้ใช้ชีวิตในเมืองให้บาลานซ์ชีวิตในการทำงานและการดูแลตนเอง รวมไปถึงการรวบรวมแบรนด์ไลฟ์สไตล์แบบลักชัวรีจากแบรนด์ระดับโลก อาทิ Steinway & Sons, Bang & Olufsen, Leica, Rimowa ฯลฯ ไปจนถึงผู้ที่ชื่นชอบใช้ชีวิตแบบแอคทีฟ และกิจกรรม outdoor sport ต่าง ๆ เช่น Camping ปีนเขา และเล่นเซิร์ฟ ฯลฯ 4.Workstyle Component ด้วยคำนึงถึงการใช้ชีวิตของคนทำงานในเกษรวิลเลจ และในย่านราชประสงค์ให้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพของการทำงานได้อย่างสะดวกสบาย และสนุกไปกับการใช้ชีวิตอย่างลงตัว   โซน Workstyle Component ที่คำนึงถึงการใช้ชีวิตของคนทำงานในเกษรวิลเลจและในย่านราชประสงค์ให้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพของการทำงาน เพิ่มพื้นที่ที่ให้คนกลุ่ม workstyle สามารถใช้ความคิดสร้างสรรค์ และมีการทำงานร่วมกับเพื่อนร่วมงาน รวมถึงพันธมิตรในธุรกิจ ได้อย่างสะดวกสบาย และสนุกไปกับการใช้ชีวิตอย่างลงตัว ทุ่ม 1,000 ล้านพลิกโฉม เกษรอัมรินทร์ โฉมใหม่ของ “เกษรอัมรินทร์” ครั้งนี้ มีบริษัท CL3 สถาปนิกชื่อดังที่มาสร้างสรรค์ และออกแบบให้เกษรวิลเลจมีประสบการณ์ต่อเนื่องอย่างไร้รอยต่อ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Old-New Spirit” กับการสืบสานคุณค่าที่มีมาจากในอดีตพร้อมก้าวสู่อนาคตเบื้องหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืน   นายชาญ ศรีวิกรม์ ประธานบริหารกลุ่มเกษร พร๊อพเพอร์ตี้ กรุ๊ป เล่าว่า เส้นทางการพัฒนาเกษรวิลเลจในวันนี้และในอนาคตจะเหนือกว่าการเป็นห้างสรรพสินค้าที่พร้อมให้ทุกคนเข้ามาพบกับประสบการณ์การช้อปปิ้ง หรือเป็นอาคารมิกซ์ยูสที่รวม 3 อาคาร ได้แก่ เกษรทาวเวอร์ เกษรเซ็นเตอร์ และเกษรอัมรินทร์ ที่ไม่เพียงแต่มอบความหลากหลายของการใช้ประโยชน์ในพื้นที่เท่านั้น แต่ยังจะมีบทบาทใหม่ของการเป็นผู้พัฒนา Placemaking สร้างพื้นที่ที่ทุกคนสามารถดื่มด่ำหรือร่วมสร้างแรงบันดาลใจ และความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างมีเอกลักษณ์ในแบบฉบับของแต่ละบุคคล เกษรวิลเลจจะทำให้ทุกคนได้สัมผัสกับวิถีการใช้ชีวิตที่เพิ่มคุณค่า สร้างความผูกผัน และใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ในเออร์บันวิลเลจที่โดดเด่นและแตกต่าง หลอมรวมกันได้จาก 4 Component ที่เราจัดเตรียมไว้ หนึ่งในความสำเร็จของเกษรวิลเลจกับการเป็นผู้พัฒนา Placemaking ในรูปแบบ “วิลเลจ” คือการสร้างการเชื่อมโยงอย่างไร้รอยต่อของผู้คนที่เข้ามาใช้บริการในพื้นที่ จากการเริ่มพัฒนาเฟสแรกทางฝั่งเหนือคือ เกษรเซ็นเตอร์ และเกษรทาวเวอร์ ในปี 2560 โดยมี Ratchaprasong Walk (R Walk) ให้เข้าถึงอาคารได้สะดวกสบายหลายจุด โดยรูปลักษณ์ใหม่ของเกษรอัมรินทร์สัมผัสได้จากการดีไซน์มุมมองใหม่ด้านหน้าอาคาร (Façade) เป็นแนวคิดสถาปัตยกรรมที่เรียกว่า “เกษร โคคูน” (Gaysorn Cocoon) ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากรังไหม อันเป็นสัญลักษณ์ของการเจริญเติบโตงอกงามอย่างสวยงาม พร้อมการผสมผสานไปกับเสาโรมัน ที่เป็นสัญลักษณ์ของความรอบรู้ และภูมิปัญญาอย่างยั่งยืน การออกแบบยังได้คำนึงถึงลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer Centric) โดยจะมีประสบการณ์จากทั้งภายนอกเชื่อมโยงสู่ภายในอาคาร เติมเต็มพื้นที่สีเขียว และสร้างสถานที่ตอบโจทย์ผู้คนให้ได้มาพบปะสังสรรค์ในพื้นที่ Hanging Garden อีกด้วย ขณะเดียวกัน ยังมีพื้นที่ลานอเนกประสงค์ Piazza ที่กว้างขวางเปิดรับผู้คน สอดประสานกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับพื้นที่นอกอาคารจรดถนน สร้างสรรค์บรรยากาศอันสดใสเหมาะสำหรับการจัดอีเวนต์ต่าง ๆ ตลอดจนพื้นที่ Forum ด้านใน เป็นพื้นที่อีเวนต์สเปซ เพื่อมอบประสบการณ์แห่งไลฟ์สไตล์ที่เปี่ยมด้วยบรรยากาศอันคึกคัก สนุกสนาน และเพลิดเพลินยิ่งกว่าเดิม   นอกจากนี้ การปรับโฉมอัมรินทร์พลาซ่าสู่การเป็น “เกษรอัมรินทร์” ที่จะเปิดตัวเต็มรูปแบบปลายปี 2566 จะส่งเสริมการท่องเที่ยวและสร้างชีวิตชีวาทางธุรกิจให้ย่านราชประสงค์เป็นศูนย์กลางไลฟ์สไตล์ (Bangkok’s Capital of Lifestyle District) ใจกลางเมืองแห่งแรกหนึ่งเดียวของกรุงเทพฯ ย่านราชประสงค์จะครบครันที่สุดด้วยทุกองค์ประกอบ ทั้งอาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า เอ็นเตอเทนเมนต์ โรงแรม ที่พักอาศัย และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ หลากหลายรูปแบบ ตลอดจนพื้นที่สีเขียว และสวนสาธารณะที่เชื่อมโยงถึงกันหมดภายในระยะเดินเพียงไม่กี่ก้าว เติมเต็มการใช้ชีวิตในทุกช่วงเวลาของทุกวันให้กับลูกค้า นักท่องเที่ยว ตลอดจนพันธมิตร ผู้เช่า และผู้อยู่อาศัย การก้าวสู่การเป็นผู้พัฒนา Placemaking ของเกษรวิลเลจในครั้งนี้ ใช้งบลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาท  โดยเกษรวิลเลจพร้อมให้พื้นที่ทั้ง 3 ส่วนเป็นจุดเชื่อมโยงประสบการณ์การใช้ชีวิต การทำงาน และช้อปปิ้งที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังและความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างเต็มที่ อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เกษร พร็อพเพอร์ตี้ เปิดตัว “GAYSORN VILLAGE – เกษรวิลเลจ -เกษร วิลเลจ เปิดอาณาจักรเกษร ทาวเวอร์ ดันยอดเช่าพื้นที่กว่า 60% โชว์กลยุทธ์ “Workplace Strategy”
ไวด์เฮ้าส์ลุยตลาดรับสร้างบ้าน 2 แสนล้านประเดิมปีแรกทำรายได้ 60 ล้าน

ไวด์เฮ้าส์ลุยตลาดรับสร้างบ้าน 2 แสนล้านประเดิมปีแรกทำรายได้ 60 ล้าน

ไวด์เฮ้าส์ ดีไซน์ แอนด์ บิลด์ ลุยธุรกิจรับสร้างบ้าน 200,000 ล้าน ​ชูจุดเด่นด้านงานดีไซน์ พร้อมตอบสนองความต้องการของลูกค้า มั่นใจเปิดตัวปีแรกทำรายได้ 60 ล้าน ก่อนทะยานโต 300% ในปี 66 เล็งขยายสาขาเพิ่มในต่างจังหวัดรับดีมานด์โตต่อเนื่อง ​   นายธนัชพงศ์ จิระชาติชัยวงษ์ กรรมการบริหาร บริษัท ไวด์เฮ้าส์ ดีไซน์ แอนด์ บิลด์ จำกัด หรือ WIDE HOUSE เปิดเผยว่า ได้มองเห็นโอกาสทางการตลาดของธุรกิจรับสร้างบ้านที่มีมูลค่ารวมกว่า 200,000 ล้านบาท ซึ่งมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และความต้องการของกลุ่มผู้บริโภคระดับกลางถึงสูง ที่ต้องการปลูกสร้างบ้านด้วยตนเอง ตามรูปแบบงานดีไซน์ ไลฟ์สไตล์ และพฤติกรรมการอยู่อาศัยเป็นของตนเอง ทีมผู้บริหารจึงได้จัดตั้งบริษัทขึ้นเมื่อช่วงเดือนเมษายน 2565 ที่ผ่านมา เพื่อดำเนินธุรกิจรับสร้างบ้าน   โดยทีมผู้บริหารที่รวมตัวจัดตั้งบริษัทครั้งนี้ เป็นทีมบริหารจากบริษัท ศ.ศิวะ การช่าง จำกัด เอสดับเบิ้ล ยู สตูดิโอ (SW STUDIO) และ SWA and Associate Co.,ltd. ซึ่งผู้ที่ดำเนินธุรกิจด้านงานก่อสร้าง งานออกแบบ และดีไซน์มานานกว่า 20 ปี มีกลุ่มลูกค้าสำคัญเป็นกลุ่มธุรกิจรีสอร์ท โรงแรม และบ้านพักอาศัยที่มีระดับมูลค่างานกว่า 50 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งบริษัทจะนำเอาประสบการณ์และความชำนาญดังกล่าว มาปรับใช้และตอบสนองกลุ่มลูกค้าที่ต้องการสร้างบ้านในสไตล์ และฟังก์ชั่นการใช้งานของบ้านในแบบของตนเอง โดยจับกลุ่มลูกค้าระดับกลางขึ้นไป   ทั้งนี้ ไวด์เฮ้าส์ จะทำงานร่วมกันกับสถาปนิกและวิศวกรมืออาชีพมากประสบการณ์ ซึ่งผ่านประสบการณ์ออกแบบให้กับโรงแรม รีสอร์ตระดับสากลมาแล้วกว่า 10 ปี จากบริษัทชั้นนำในเครือ เอสดับเบิ้ล ยู สตูดิโอ (SW STUDIO) รวมพื้นที่ก่อสร้าง 561,026 ตารางเมตร จากกว่า 80 โครงการ  ครอบคลุมบริการด้านงานออกแบบและปรับแบบ, บริการให้คำปรึกษาในการสร้างบ้านอย่างครบวงจร ดำเนินงานก่อสร้างและควบคุมโดยวิศวกรจาก บริษัท ศ.ศิวะ การช่าง จำกัด  ผู้นำด้านงานรับเหมาก่อสร้างแบบครบวงจร นายธนัชพงศ์  กล่าวว่า บริษัทได้เริ่มทำการตลาดเปิดตัวครั้งแรกในงานสถาปนิก 65 ครั้งที่ผ่านมา ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีเกินกว่าที่คาดไว้ โดยมีลูกค้าเซ็นต์สัญญาจ้างงานแล้ว 5 ราย มีผู้สนใจลงทะเบียนให้ข้อมูลไว้กว่า 500 ราย และปัจจุบันยังมีลูกค้าอีก 20 รายที่อยู่ระหว่างการออกแบบบ้าน จึงทำให้มั่นใจว่าภายในสิ้นปีนี้จะมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 60 ล้านบาท ส่วนในปีหน้าคาดว่าจะสร้างยอดขายเติบโตได้ 300% โดยวางแผนขยายสาขาเพิ่มอีก 1 แห่ง ในต่างจังหวัดด้วย   ความแตกต่างที่ผู้บริโภคจะได้รับเมื่อใช้บริการของ ไวด์เฮ้าส์ คือ การเปิดกว้างและอิสระทางความคิดในการดีไซน์บ้านตามสไตล์ที่ตนเองชอบ ไม่ตีกรอบลูกค้าให้เลือกใช้เฉพาะแบบบ้านที่มี ลูกค้าสามารถครีเอทฟังก์ชันตามไลฟ์สไตล์ได้อย่างเต็มที่ร่วมกับทีมสถาปนิกมืออาชีพของ WIDE HOUSE พร้อมด้วยทีมนักออกแบบภายในจากบริษัทพาร์ทเนอร์ SW STUDIO       สำหรับการรับสร้างบ้านบริษัทมีแบบให้ลูกค้าเลือกเป็นมาตรฐานด้วยกัน 4 แบบ ประกอบด้วย บ้านสไตล์มินิมอล ที่เน้นความเรียบง่ายแต่ดูทันสมัย บ้านสไตล์โมเดิร์น ลอฟท์ ที่เน้นผนังปูนเปลือย เหล็ก และกระจก บ้านสไตล์ทรอปิคอล เน้นการออกแบบให้มีสเปซขนาดใหญ่ และความโปร่งโล่ง และบ้านสไตล์คลาสสิค คอนเทมโพรารี ที่ผสมผสานความเป็นโมเดิร์นและคลาสสิคเข้าด้วยกัน แน้นพื้นที่เปิดโล่ง โดยราคาขายเริ่มต้นตารางเมตรละ 25,000 บาท หรือราคาเริ่มต้นหลังละ 5 ล้านบาท ซึ่งแม้ว่าจะมีแบบมาตรฐาน แต่กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่จะมีการปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่น การใช้งานของบ้าน ให้สอดคล้องกับรูปแบบที่ดิน   ปัจจุบัน WIDE HOUSE มีกลุ่มเป้าหมายทางธุรกิจแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ๆ ทั้งครอบครัวขยายที่รวมสมาชิกภายในบ้านไม่เกิน 2 เจนเนอเรชัน และครอบครัวเดี่ยว ครอบครัวขนาดใหญ่ที่มีสมาชิกภายในบ้านมากกว่า 3 เจนเนเรชันขึ้นไป ประกอบด้วยบ้านหลายหลังที่อยู่ในบริเวณเดียวกัน โดยลูกค้าส่วนใหญ่ของ WIDE HOUSE จะมีที่ดินเดิมอยู่แล้ว โดยเป็นที่ดินมรดกตกทอดจากรุ่นสู่รุ่น และต้องการสร้างบ้านหลังใหม่ทดแทนหลังเดิมที่ปลูกสร้างมาตั้งแต่รุ่นคุณปู่คุณย่าหรือรุ่นพ่อแม่ โดยฟังก์ชันบ้านของลูกค้ากลุ่มนี้มักจะเป็นการขยับขยายครอบครัว ซึ่งส่วนใหญ่จะมีผู้สูงอายุอาศัยอยู่ร่วมด้วย 1-2 เจนเนอเรชันขึ้นไป ส่วนอีกกลุ่มที่เป็นครอบครัวคนรุ่นใหม่ที่แยกตัวออกมาเป็นครอบครัวขยาย มีกำลังซื้อค่อนข้างสูง มักจะมองหาที่ดินในเมือง อาจมีพื้นที่ไม่มากนัก อยู่ในซอย แต่ไม่ต้องออกไปถึงแถบชานเมือง และมีสไตล์บ้านที่ตนเองชื่นชอบอยู่แล้ว มีฟังก์ชันการใช้งานที่ต้องการเป็นพิเศษอย่างชัดเจน สิ่งที่สัมผัสได้คือโจทย์ความต้องการที่มีความแตกต่างกันออกไป แต่ละครอบครัวมีความต้องการที่ชัดเจนก่อนจะเดินเข้ามาหาเรา เมื่อมีการมานั่งพูดคุยกันกับทีมสถาปนิก WIDE HOUSE จึงออกมาในรูปแบบการระดมและแลกเปลี่ยนมุมมองความคิด  เพื่อใช้เป็นโจทย์ตั้งต้นให้เราสร้างสรรค์บ้านดีไซน์ใหม่ให้แก่ลูกค้าแต่ละครอบครัวโดยเฉพาะ   อย่างไรก็ตาม แม้ช่วงการสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ผ่านมาจะส่งผลให้ธุรกิจรับสร้างบ้านของไทยต้องเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ ทำให้เกิดการชะลอการตัดสินใจในระยะสั้นโดยเฉพาะกลุ่มบ้านราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาท ซึ่งได้รับผลกระทบจากดอกเบี้ยสถาบันการเงินและปัญหาสภาพคล่อง แต่ปัจจุบันสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย จึงเชื่อว่าความต้องการสร้างบ้านในกลุ่มนี้จะกลับมาดีขึ้นกว่าช่วง 2 ปีที่ผ่านมา แต่ที่น่าจับตาคือ  กลุ่มบ้านราคา 10 ล้านบาทขึ้นไปที่ไม่ได้รับผลกระทบใดๆ  เพราะเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีความพร้อมด้านงบประมาณอยู่แล้ว และเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพทางการเงินสูง   อ่านข่าวเพิ่มเติม -รับสร้างบ้านปี 63 ยังทรงตัว 5G จะเข้ามาเปลี่ยนโฉมธุรกิจ -[PR News] ปิดฉากงานรับสร้างบ้าน ยอดขายต่ำเป้า สมาคมหวังโค้งท้ายฟื้นตัวจบปีตลาดโต 5-8%
เรื่องสไตล์ไม่มีถูกผิด NocNoc แรงบันดาลจริงให้บ้านคุณ

เรื่องสไตล์ไม่มีถูกผิด NocNoc แรงบันดาลจริงให้บ้านคุณ

เรื่องสไตล์ไม่มีถูกผิด NocNoc แรงบันดาลจริงให้บ้านคุณ ด้วยสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ทำให้หลายคนต้องปรับเปลี่ยนวิถีการทำงานมาเป็นรูปแบบ Work From Home ทำให้เวลาเกือบทั้งหมดถูกใช้ไปในมุมต่างๆ ภายในบ้าน แน่นอนว่าพอต้องอยู่บ้านนานๆ ก็ต้องนึกอยากเปลี่ยนบรรยากาศการทำงาน อยากจะตกแต่งซ่อมแซมบ้าน หรือจัดมุมทำงานใหม่ ในขณะที่หลายคนเริ่มขยับขยาย หาบ้านใหม่ คอนโดใหม่ เพื่อให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไป    ถ้าเป็นคนรักบ้านและชื่นชอบการตกแต่งบ้านด้วยแล้ว คงไม่มีใครไม่รู้จัก NocNoc.com แพลตฟอร์มตลาดออนไลน์ที่รวบรวมสินค้า เฟอร์นิเจอร์ วัสดุตกแต่งบ้านพร้อมบริการที่ครบวงจรที่สุดแห่งหนึ่ง ตรงกับสโลแกนที่ว่า “NocNoc เคาะจบทุกเรื่องบ้าน” เพราะแค่เข้าไปที่เว็บไซต์ก็สามารถเลือกหาวัสดุและสินค้าตกแต่งบ้านได้ตามหมวดหมู่ต่างๆ ที่ต้องการ ตั้งแต่หมวด “Home Improvement” ที่รวบรวมสินค้ากลุ่มวัสดุก่อสร้าง วัสดุปูพื้น งานต่อเติมหนักๆ ทั้งหลาย หรือจะเป็นหมวด “Home and Living” ที่เป็นกลุ่มสินค้าเฟอร์นิเจอร์ ของตกแต่งหลากหลายรูปแบบ และหมวด “Home Appliance” ซึ่งรวบรวมสินค้ากลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านไว้เพียบ ซึ่งปัจจุบัน NocNoc.com เป็น marketplace ที่มีสินค้ามากกว่า 200,000 รายการ จากผู้ขายกว่า 2,000 รายเลยทีเดียว แถมยังสามารถเปรียบเทียบราคาพร้อมรับดีลพิเศษจากร้านค้าอีกด้วย      จากแพลตฟอร์มบนเว็บไซต์ที่หลายคนคุ้นชินและเรียกชื่อ NocNoc.com กันจนติดปากมาแล้วกว่า 3 ปี ล่าสุดทางเว็บไซต์ได้มีการ Rebranding ชื่อเรียกมาเป็น “NocNoc” เพื่อให้กระชับมากขึ้น พร้อมเปิดตัว Application บนมือถือในชื่อเดียวกัน ด้วยประสบการณ์ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา NocNoc เล็งเห็นความต้องการและปัญหาที่ผู้บริโภคพบเจอเวลาที่อยากหาสไตล์การตกแต่งบ้านที่ตรงใจ แต่อาจจะจับต้นชนปลายไม่ถูก หรือนึกไม่ออกว่าจะหาเฟอร์นิเจอร์ที่ต้องการได้จากที่ไหน และถ้าต้องหาช่างมาซ่อมแซมบ้านด้วยแล้วยิ่งเป็นเรื่องยากที่จะหาช่างที่ถูกใจ    NocNoc จึงมุ่งมันที่จะเป็น Complete Journey ด้านการตกแต่งบ้าน โดยมีการพัฒนาและปรับปรุงแพลตฟอร์มให้ใช้งานได้ง่าย ให้ผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อสินค้าตกแต่งบ้าน วัสดุก่อสร้าง รวมถึงหาช่างผู้มีความเชี่ยวชาญในสายงานได้ครบจบทุกขั้นตอนในที่เดียว และยังมุ่งเน้นให้ NocNoc เป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างแรงบันดาลใจ ให้ทุกคนได้สนุกสนานกับการตกแต่งบ้านได้อย่างลื่นไหลมากยิ่งขึ้น และค้นหาทุกสไตล์ที่เป็นตัวเองได้ง่ายแค่ปลายนิ้วสัมผัส ทั้งบนเว็บไซต์ NocNoc และ NocNoc Application ซึ่งเราจะพาไปดูกันว่าทำไม NocNoc Application ถึงสะดวกกว่า สบายกว่าเดิม และจะช่วยแก้ปัญหาการตกแต่งบ้านได้ดีขึ้นกว่าเดิมจริงมั้ย? เพราะสไตล์เป็นเรื่องส่วนตัว ไม่มีถูกผิด ทุกคนมีความต้องการอยากให้บ้านน่าอยู่และตกแต่งในสไตล์ที่ตรงใจ แสดงความเป็นตัวเองได้มากที่สุด แต่บางครั้งการเลือกหาของตกแต่งบ้านก็ทำให้เราจับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะหาสิ่งที่ต้องการได้จากที่ไหน หรืออาจจะอธิบายไม่ถูกด้วยซ้ำว่าสไตล์ที่ชอบที่เรากำลังค้นหาเรียกว่าสไตล์อะไรกันแน่ พอเราไปเลือกดูภาพสวยๆ ตามอินเตอร์เน็ต บางทีไอเดียในหัวก็พรั่งพรูมาเรื่อยๆ เฟอร์นิเจอร์ชิ้นนั้นก็ดี ผนังสีนี้ก็สวย แล้วโซฟาในห้องนั่งเล่นต้องสไตล์ไหนดี? เชื่อว่าเหตุการณ์เหล่านี้จะต้องเคยเกิดขึ้นกับทุกคนแน่นอน และถึงแม้ว่าสิ่งที่เราชอบจะไม่ตรงกับสไตล์มาตรฐาน ก็ไม่ใช่เรื่องผิด เพราะทุกคนมีความชอบที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้นสไตล์การตกแต่งบ้านของเราก็ไม่จำเป็นต้องซ้ำแบบกับใคร..ใช่มั้ยล่ะ?   ถ้าเราลองสมัครเข้ามาที่ NocNoc Application แค่ขั้นตอนแรกก็ช่วยให้เรา “ค้นพบแรงบันดาลใจที่จะสร้างสไตล์แบบเวรี่คุณ” ได้แล้ว แค่ลองไปเลือกภาพสไตล์ที่โดนใจบน NocNoc Application จากนั้น AI ก็จะคำนวณให้เรียบร้อยแล้วว่า ความชอบของเรามีส่วนผสมของสไตล์อะไรบ้าง แต่ละสไตล์คิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเรารู้สึกว้าวมากกับฟังก์ชั่นนี้ เพราะจากที่เราคิดว่าเราเป็นคนที่ชอบสไตล์ Minimal, Japandi หรือ Industrial แต่สไตล์ในชีวิตจริงเกิดจากการผสมผสานสไตล์ต่างๆ เอาไว้ด้วยกัน ซึ่งทั้งหมดเกิดจากความชื่นชอบส่วนตัว เมื่อเรารู้จักสไตล์ของตัวเองแล้ว การตกแต่งบ้านของเราก็สามารถทำได้อย่างลื่นไหลมากยิ่งขึ้น แถมยังทำให้ “แรงบันดาลใจ” ที่เราเห็นมีความชัดเจนและกลายเป็น “แรงบันดาลจริง” ได้ที่บ้านของเรา   พอเราค้นพบตัวตนและสไตล์ที่แท้จริงของเราแล้ว ไม่ว่าเราอยากจะเลือกตกแต่งห้องไหนในบ้าน ก็แสนจะง่ายดาย เพราะใน NocNoc Application มีตั้งแต่ภาพตัวอย่างบ้านมากมายให้ดูเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ ช่วยทำให้เราเห็นภาพห้องที่อยากได้มากขึ้น ว่าอยากจะตกแต่งแบบไหน  และด้วยความที่ NocNoc เป็นศูนย์รวมสินค้า วัสดุ เฟอร์นิเจอร์ ของแต่งบ้านไว้มากมาย แต่การจะหาสินค้าสไตล์ที่ใช่ในราคาโดนใจ ไม่ใช่เรื่องยาก เพราะ NocNoc จัดแบ่งประเภทสินค้าไว้เป็นหมวดหมู่ที่ชัดเจน รวมถึงการเลือกช้อปปิ้งตามประเภทห้องที่ต้องการได้เลย ไม่ว่าจะเป็นห้องนั่งเล่น, ห้องกินข้าว, ห้องทำงาน, ห้องนอน, ห้องครัว, ห้องน้ำ ฯลฯ หรือ เลือกจากสไตล์ภาพตัวอย่างที่ชอบก็ได้เช่นกัน แค่คลิกเข้าไปในภาพ ก็จะมี tag แจ้งชื่อรุ่น และขนาดไว้เรียบร้อย อีกทั้งยังสามารถคลิกต่อไปที่หน้าสั่งซื้อ พร้อมรับคูปองส่วนลดเพิ่มจาก NocNoc ได้เลยทันที      ส่วนถ้าใครยัง No Idea และกำลังต้องการหา “Your Home Inspirealtion แรงบันดาลจริงให้บ้านคุณ” จาก NocNoc เราอยากแนะนำให้ Download NocNoc Application ใส่มือถือเอาไว้เลย ซึ่งสามารถติดตั้งได้ทั้งระบบ Android และ iOS จากนั้นค่อยๆ หาแรงบันดาลใจของคุณผ่านทางภาพตัวอย่างหลากหลายสไตล์ที่คุณสามารถเซฟแบบที่ใช่ สไตล์ที่ชอบไว้เป็นคอลเล็คชั่นส่วนตัวได้ตลอดเวลา พร้อมเมื่อไหร่ก็แค่กดสั่งซื้อ แล้วรอรับสินค้าที่บ้านได้เลย สะดวกสบาย ไม่ต้องเดินเข้าห้างให้เสี่ยงโควิด-19 แถมยังได้สินค้าราคาคุ้มค่าสุดๆ อีกด้วย   Download NocNoc Application ได้แล้ววันนี้ App Store / Google Play : https://bit.ly/3ahhAxb      
10 ไอเดีย เปลี่ยนผนังห้องธรรมดาด้วยเทปกาวง่ายๆ ทำได้เอง

10 ไอเดีย เปลี่ยนผนังห้องธรรมดาด้วยเทปกาวง่ายๆ ทำได้เอง

10 ไอเดีย เปลี่ยนผนังห้องธรรมดาด้วยเทปกาวง่ายๆ ทำได้เอง ในช่วงที่ต้องทำงานแบบ work from home นี้ การอยู่ในห้องทั้งวันหลายคนคงจะเกิดอาการเบื่อ อาจจะต้องมีการปรับเปลี่ยนบรรยากาศภายในห้อง หรือลองตกแต่งสิ่งรอบๆ ข้างบ้าง เพื่อเป็นการเพิ่มความน่าสนใจให้กับห้องเดิมที่เราเห็นอยู่ทุกวันจนชินตา ครั้งนี้เรามีไอเดียมานำเสนอ ใช้อุปกรณ์ไม่เยอะ และสามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยตัวเอง ที่สำคัญใช้งบประมาณไม่มาก ก็สามารถเปลี่ยนบรรยากาศจากห้องเดิมให้เหมือนได้ห้องใหม่กันไปเลย   ครั้งนี้เราเลือกวิธีการอย่างง่าย ที่เชื่อว่าทุกคนสามารถทำได้ด้วยตัวเอง อย่างการทาสีผนัง บางคนอาจจะรู้สึกว่าเป็นงานที่ยากเพราะไม่เคยทำ แต่จริงๆ แล้วเราสามารถทำได้ด้วยตัวเองเพียงแค่ใช้เทปกาวเป็นตัวช่วยสร้างแพทเทิร์นลวดลายต่างๆ เพื่อเปลี่ยนสีผนังห้อง และปรับบรรยากาศให้ห้องของเราน่าอยู่มากยิ่งขึ้น แล้วจะมีแพทเทิร์นลวดลายอะไรบ้างไปดูพร้อมๆ กันเลยดีกว่า   10 ไอเดีย เปลี่ยนผนังห้องธรรมดาด้วยเทปกาวง่ายๆ ทำได้เอง   1.Color blocking การทาสีบล็อกแบบนี้เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการทาผนังโดยใช้เทปกาว เนื่องจากส่วนใหญ่แล้วผนังจะมีสีเดียวกัน และยังเป็นลายที่มีการใช้เทปกาวก็จำนวนน้อยกว่าเทคนิคอื่นๆ เหมาะสำหรับห้องที่เปิดกว้างและมีพื้นที่ผนังโล่งกว้าง การทาสีบล็อกแบบนี้เป็นวิธีที่ดีอีกรูปแบบนึงในการไม่ทำให้พื่นที่ดูว่างโล่งจนเกินไป     2.Triangle pattern หากว่าคุณกำลังมองหาการออกแบบลวดลายฝาผนังที่เรียบง่าย สบายตา แต่ในขณะเดียวกันก็ยังดูมีดีไซน์เก๋ไม่น่าเบื่อจนเกินไป ลายสามเหลี่ยมนี้ก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดี ซึ่งแพทเทิร์นนี้อาจจะใช้เวลาทาสีนานมากขึ้นอีกหน่อย เนื่องจากต้องรอให้สีแต่ละส่วนแห้งก่อนจึงจะทาสีในส่วนถัดไปได้ แต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็น่าประทับใจไม่น้อยเลยทีเดียว ลองเลือกชุดสีที่ใกล้เคียงกัน หรือเลือกใช้สีที่เป็นคู่ตรงข้ามกันหากคุณต้องการความฉูดฉาดโดดเด่นไม่ซ้ำใคร รับรองว่าจากผนังบานเรียบๆ จะป๊อปขึ้นทันตา     3.Vertical stripes ลายทางแนวตั้งก็เป็นอีกหนึ่งลายที่นิยมใช้กันมาก เนื่องจากมีความดึงดูดสายตา และสามารถช่วยให้ห้องที่มีเพดานต่ำดูสูงขึ้นได้ ส่วนใหญ่เรามักจะเลือกใช้เทปกาวให้มีขนาดเท่าๆ กัน หรือกะระยะแบ่งความกว้างให้สม่ำเสมอ แต่ถ้าอยากจะลองเปลี่ยนความกว้างของแถบสีแต่ละแถบให้กว้างขึ้น หรือเป็นแพทเทิร์นแบบไม่เท่ากันเพื่อเพิ่มความน่าสนใจให้กับผนังก็น่าสนใจไม่น้อย แม้กระทั่งการเลือกทาแถบสีไปจนถึงบนเพดานเลยก็สวยไปอีกแบบ     4.Horizontal stripes เทคนิคการทาสีเป็นแถบแนวนอนนั้นเหมือนกับการใช้กระดาษกาวแบ่งแถบสีเส้นแนวตั้งเลย แค่เปลี่ยนจากการใช้เทปกาวแปะขึ้นลงก็สลับเป็นซ้ายขวาแทน ลวดลายแพทเทิร์นแนวนอนนี้เป็นอีกรูปแบบที่ดีในการช่วยให้ห้องแคบรู้สึกกว้างขึ้น นอกจากนี้การใช้ลายทางกว้างเท่ากันก็ช่วยให้ความรู้สึกสว่างและโปร่ง สบายตามากขึ้นด้วย ซึ่งเราอาจจะเพิ่มลูกเล่นของสีเข้าไปโดยใช้เฉดสีต่างๆ ของสีเดียวกันก็จะสร้างเอฟเฟกต์แบบ Ombre หรือการไล่สีให้กับผนังธรรมดาสวยขึ้นได้ โดยให้เริ่มด้วยสีที่เข้มที่สุดอยู่ด้านล่างแล้วค่อยๆ ไล่เฉดสีขึ้นไป และใช้สีที่สว่างที่สุดทาด้านบน     5.Geometric blocks หากคุณเบื่อกับแพทเทิร์นง่ายๆ ลายเดิมๆ แล้ว ลองเลือกใช้รูปแบบของรูปทรงเรขาคณิตมาช่วยให้ผนังดูสดใส และมีลวดลายที่ซับซ้อนมากยิ่งขึ้นได้ ทั้งรูปทรงสี่เหลี่ยมขนาดต่างๆ วางทับซ้อนกัน หรือรูปสามเหลี่ยมที่หลากหลายมาใช้ หรือแม้แต่การนำรูปทรงในแบบต่างๆ มามิกซ์แอนด์แมทช์เข้าด้วยกัน และลองใช้สีโทนตรงข้ามกัน ทั้งโทนร้อนหรือโทนเย็นมาสร้างลูกเล่นเพิ่มเข้าไปให้กับผนังขาวๆ มีรูปแบบที่ดูน่าสนใจยิ่งขึ้น     6.Paint a trellis วิธีการของลวดลายแบบตาข่ายนี้ เป็นการทาสีให้เป็นช่องบนผนัง ซึ่งเป็นวิธีที่ดีในการสร้างความรู้สึกให้เหมือนกับมีสวนอยู่ในห้อง โดยเราจะใช้เทปกาวสร้างลวดลายตาข่ายเพื่อหลอกตา เพียงแค่กะระยะห่างให้เท่าๆ กัน แล้วเลือกทาสีเฉพาะช่องที่เว้นไว้ จากนั้นเราสามารถลองวาดเถาวัลย์ พวกไม้เลื้อยอย่าง Wisteria หรือแม้แต่เลือกหาไม้ประดับทั้งของไม้จริง และไม้ประดิษฐ์มาประดับเพิ่ม ก็เป็นทางเลือกที่ทำให้ห้องดูร่มรื่มและสบายตาได้อีก     7.Herringbone pattern ลวดลายกางปลานี้คนส่วนใหญ่มักจะนำไปเป็นลายสำหรับปูพื้นห้อง เพราะเป็นลายที่เพิ่มความหรูหรา และเป็นแพทเทิร์นที่สวยงาม เพียงแค่ใช้วัสดุจากไม้เข้ามา ก็ทำให้บรรยากาศของห้องดูคลาสสิค อีกทั้งยังเป็นรูปแบบที่นิยมกันมาอย่างยาวนาน ครั้งนี้เราลองเปลี่ยนจากลวดลายบนพื้นมาเป็นลวดลายกางปลาบนผนังดูบ้าง โดยเราสามารถวาดได้ด้วยตัวเอง เป็นเส้นทะแยงไปมาอย่างเป็นระเบียบ แต่ถ้าอยากได้เส้นของลายกางปลาเท่าๆ กัน ก็แค่ใช้เทปกาวแปะเป็นแนวเฉียงสลับกัน ทั้งนี้อาจจะใช้สีที่คล้ายกับไม้ด้วยก็ได้ หรือลองเลือกเป็นสีโทนอ่อนไม่เข้มจนเกินไป ก็จะเพิ่มความน่าสนใจได้เช่นกัน     8.Diamond pattern ลวดลายเพชรนี้ก็เป็นแพทเทิร์นอีกรูปแบบหนึ่งที่สามารถใช้เทปกาวในการสร้างสรรค์งานศิลปะลงบนผนังได้ไม่ยาก และเป็นอีกลายที่คลาสสิค เพียงแค่ใช้เทปกาวแปะเป็นแนวเฉียงสลับซ้ายขวาในแนวทะแยงมุมในมุมที่เท่าๆ กัน แล้วทางสีในช่องที่ต้องการได้เลย แค่นี้ก็เป็นอีกทางเลือกที่ดีสำหรับห้องที่เปิดโล่งและมีพื้นที่เยอะที่จะทำให้ห้องสดใสขึ้นมาได้ทันที     9.Argyle ลวดลายนี้เป็นการเพิ่มความยากและเลเวลอัพการทาผนังให้ดูมืออาชีพมายิ่งขึ้น เพราะเป็นแพทเทิร์นที่กินเวลากว่ารูปแบบของ Diamond pattern ในขั้นเริ่มต้นอาจจะมีความคล้ายกัน แต่อาจจะใช้เทปกาวเยอะกว่า และมีความซับซ้อนมากกว่าในการเลือกสี และการเลือกเว้นระยะของแถบสีให้มีเส้นเล็กหรือใหญ่เพื่อสร้างลวดลายที่ซับซ้อนมากขึ้น รวมถึงการเลือกทาสีในเฉดเดียวกันแต่มีความเข้มอ่อนไม่เท่ากันในแต่ละช่อง ซึ่งต้องอาศัยการวางแผนที่ดี แต่เมื่อเสร็จแล้ว แพทเทิร์นนี้จะช่วยให้ห้องดูโมเดิร์นขึ้นมาได้     10.Gingham ผนังลายตารางถือเป็นแพทเทิร์นยอดฮิตสุดคลาสสิคอีกอันนึงที่น่ารัก สดใส และนิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยมักจะเลือกใช้สีอ่อนไม่ว่าจะเป็นสีโทนร้อนหรือโทนเย็นก็ได้หมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเลือกสีพาสเทลมาใช้กับลายตารางก็จะเพิ่มความหวานให้กับห้องได้ เนื่องจากเรามักจะเลือกสีที่มาใช้ตัดกับพื้นสีขาวเดิมของผนัง แค่นี้ก็จะช่วยให้ไม่ดูทึบและหนักเกินไป เราสามารถทาได้ทั้งผนังในบางผนังของห้อง หรือจะทาแค่ครึ่งเดียวของผนังก็น่าสนใจเช่นกัน ซึ่งเป็นอีกแพทเทิร์นยอดนิยมที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับในทุกๆ งานศิลปะจริงๆ   เป็นอย่างไรบ้างกับไอเดียการออกแบบเพ้นท์ผนังด้วยเทปกาวที่เรานำมาฝากในครั้งนี้ ใครที่กำลังเบื่อกับสีผนังห้องเรียบๆ แบบเดิม ก็สามารถนำไปปรับใช้ให้เข้ากับผนังที่มีหรือส่วนอื่นๆ ในบ้านได้ ไม่ว่าจะเป็นห้องนั่งเล่น ห้องโถง ห้องนอน หรือแม้แต่ห้องครัว ไม่ต้องกลัวว่าจะทำเองไม่ได้ ลองเลือกลวดลายง่ายๆ เป็นการเริ่มต้นก่อน เราเชื่อว่าทุกคนสามารถทำตามได้อย่างแน่นอน และจะยิ่งเพิ่มความภาคภูมิใจได้เมื่อเสร็จแล้ว เพราะทุกอย่างเราได้ทำด้วยสองมือของตัวเอง   cr. fromhousetohome   บทความที่น่าสนใจ แต่งห้องนอน 12 ราศี ให้ถูกโฉลก  เฮง ๆ ปัง ๆ กับ  “หมอช้าง” ของแต่งบ้านเสริมฮวงจุ้ย ความรัก หาคู่แท้  
Bangkok Design Week 2022 กรุงเทพฯ เมืองสร้างสรรค์

Bangkok Design Week 2022 กรุงเทพฯ เมืองสร้างสรรค์

เริ่มแล้ว Bangkok Design Week 2022 เรียกง่ายๆภาษาชาวบ้าน งานออกแบบกรุงเทพฯ 2565 งานแทรกตัวอยู่ใน 5 ย่านเศรษฐกิจของกรุงเทพฯ ในธีม “Co With Creation คิด สร้าง ทางรอด” อยู่ยังไงในยุค โควิด-19 Bangkok Design Week 2022  งานจัด 9 วันโปรแกรมสุดแน่นกว่า 200 โปรแกรม ที่ชวนศิลปิน นักออกแบบ ร่วมกับชุมชม มาช่วยกันแบ่งปันไอเดียว่าเราจะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับโรคระบาดได้อย่างไร แบบมีทางรอด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพื้นที่ จิตใจ สิ่งแวดล้อม หรือวัฒนธรรม ใส่แสงสีเสียง ปลุกสีสันของเมืองกรุงเทพฯ งานถูกจัดวางกระจายตัวไปตามย่านต่างๆทั่วเมือง ผ่านการนำเสนอ 5 เรื่อง Co with Space การออกแบบพื้นที่ Co with Mental Health งานออกแบบเพื่อดูแลจิตใจในยุคโควิด Co with Eco ออกแบบเพื่อสิ่งแวดล้อม Co with Culture งานออกแบบวัฒนธรรม และ Co with Future การออกแบบเพื่ออนาคต งานแทรกตัวอยู่ใน 5 ย่าน เจริญกรุง ตลาดน้อย, สามย่าน, อารีย์-ประดิพัทธ์, ทองหล่อ-เอกมัย และ พระนคร บางลำพู เด่นๆ ที่ ห้างนิวเวิลด์ ที่ได้รับความร่วมมือ จาก ม.ศิลปากรในการสร้างสีสรรค์ในตัวอาคารเก่าให้กลับมามีชีวิต อีกส่วนที่บริเวณเสาชิงช้า ที่โรงพิมพ์บำรุงนุกูลกิจ เป็นโรงพิมพ์แห่งแรกในใประเทศไทย อาคารอนุลักษณ์สร้างขึ้นในสมัย รัชกาลที่ 5 เทศกาลงานออกแบบกรุงเทพฯ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 5 - 13 กุมภาพันธ์ 2565 ด้วยมาตรการป้องกันโรค ก่อนเข้าชมอาจต้องมีการจอง ตามรอบเพื่อจำกัดจำนวนคน สำหรับนิทรรศการทั่วไปสามารถเข้าชมได้ตามเวลาของสถานที่นั้นๆ อาจยุ่งยากช้าหน่อยแต่ปลอดภัยไว้ก่อน แผนที่จัดแสดงงานในย่านต่างๆ :https://linktr.ee/BKKDW บทความที่เกี่ยวข้อง ชมออฟฟิศใหม่ “เจียไต๋” ก้าวสู่ปีที่ 100 กับแนวคิด  Work – Life Balance6 สูตรลับ ปรับกลยุทธ์ธุรกิจอาหารต้องรอดในยุคโควิด-19 “Dr.PRINC คุณหมอใจดี” บริการปรึกษาแพทย์ฟรี !! ช่วงโควิด-19
5 ทริคปรับคอนโดไซส์เล็กให้ดูกว้าง รับวิถี W​FH

5 ทริคปรับคอนโดไซส์เล็กให้ดูกว้าง รับวิถี W​FH

จากความก้าวหน้าของเทคโนโลยี ที่เข้ามาเชื่อมต่อคนในยุคปัจจุบัน ให้สามารถทำงานได้ทุกที่ทุกเวลา แถมภายใต้ภาวะเกิดโรคระบาดโควิด-19 ส่งผลให้หลายองค์กรต้องปรับเปลี่ยนวิธีดำเนินงานของคนในองค์กร  ด้วยรูปแบบการทำงานจากที่บ้าน หรือ  Work From Home มากขึ้น นิยามของ Workplace จึงไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในออฟฟิศเพียงอย่างเดียวเท่านั้น  บ้านหรือที่อยู่อาศัย จึงถูกใช้ประโยชน์มากกว่าการเป็นที่พักหรืออยู่อาศัย  แต่เป็นพื้นที่สำหรับการทำงานและการใช้ทำธุรกิจได้ด้วย   แต่ด้วยการเติบโตของตลาดคอนโดมิเนียม ซึ่งตอบโจทย์วิถีชีวิตของคนเมือง เนื่องจากอยู่ในทำเลใกล้สถานที่ทำงาน หรือการคมนาคมคนส่ง รวมถึงระดับราคาที่คนส่วนใหญ่หาซื้อได้  จึงทำให้คนทำงานในเมืองส่วนใหญ่ เลือกที่จะพักอาศัยในคอนโด แต่ด้วยข้อจำกัดเรื่องของระดับราคาคอนโด ที่คนส่วนใหญ่จะเลือกซื้อได้ ห้องพักที่ตรงโจทย์การใช้ชีวิตของคนเมือง จึงมักจะเป็นห้องขนาดไม่ใหญ่มาก โดยเฉลี่ยก็ระดับพื้นที่ 30 ตารางเมตรบวกลบไม่มากนัก เพราะส่วนใหญ่ก็มักจะอยู่อาศัยกันเพียง 1-2 คนเท่านั้น   ด้วยดีไซน์ให้คอนโดมีขนาดห้องที่พอเหมาะกับการอยู่อาศัย แต่อาจจะไม่เหมาะสมกับการทำกิจกรรมอื่น ๆ มากนัก จึงทำให้พื้นที่ห้อง หากจะต้องถูกนำมาใช้เพื่อการทำงาน อาจจะต้องมีการปรับเปลี่ยน ปรับรูปแบบหรือเติมฟังก์ชั่นอื่น ๆเข้าไปเสริมด้วย ซึ่งวันนี้ บริษัท เอ็มดีพีซี จำกัด MDPC Expertise Meets Excellence ได้นำเสนอเทคนิคการตกแต่งที่อยู่อาศัยให้เหมาะกับวิถีชีวิต Work From Home ในปัจจุบัน โดยเฉพาะห้องพักในโครงการคอนโดที่ส่วนใหญ่จะมีพื้นที่ใช้สอยกะทัดรัดประมาณ 29 ตร.ม. ให้รองรับทั้งชีวิตการทำงานและพักผ่อนได้อย่างลงตัวด้วย 5 เทคนิคสำคัญ ดังนี้ 1.ตกแต่งผนังห้องด้วยสีเอิร์ทโทน การแต่งห้องด้วยการใช้สีเอิร์ทโทน หรือ Earth Tone นอกจากช่วยให้บรรยากาศผ่อนคลายและรู้สึกสบายตาแล้ว การเลือกใช้วอลเปเปอร์สีโทนธรรมชาติ ลักษณะเอิร์ทโทน โดยเฉพาะสีเบจ (Beige) และสีเบจอมเทา (Greige) จะช่วยให้ห้องแลดูมีพื้นที่กว้างขวาง และสว่างมีชีวิตชีวาโดยไม่สะท้อนแสงไฟจนรบกวนสายตาเกินไป เหมาะกับช่วงเวลาที่ต้องใช้สมาธิและความสร้างสรรค์  ขณะเดียวกัน สีโทนนี้ยังเข้ากันได้กับอีกหลายโทนจึงง่ายต่อการตกแต่ง ช่วยขับให้เฟอร์นิเจอร์ชิ้นอื่นภายในห้องพักดูโดดเด่น และยังสะดวกต่อการหามุมสำหรับ Video Conference 2.วางเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่ชิดผนัง การจัดวางเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่ให้ชิดผนังหรือเข้ามุม แล้วเปิดพื้นที่กลางห้องให้โล่ง มีทางเดิน จะช่วยให้ห้องดูโปร่ง เช่น วางโต๊ะทำงานชิดผนังห้อง เพื่อให้มีพื้นที่โล่งด้านหลัง ช่วยลดความรู้สึกอึดอัดขณะนั่งทำงาน และสะดวกต่อการถอยเก้าอี้  ทั้งนี้ ควรเลือกเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่ที่มีดีไซน์เรียบง่าย มีทรงเหลี่ยมจะจัดวางได้ง่ายกว่าทรงอื่น รวมถึงการใช้เฟอร์นิเจอร์แนวสูงอย่างชั้นเก็บของแบบเข้ามุม จะช่วยประหยัดพื้นที่ในการจัดเก็บของได้มากขึ้น 3.เลือกใช้เฟอร์นิเจอร์แบบ Dual-purpose โครงการคอนโด ส่วนใหญ่มักติดตั้งเฟอร์นิเจอร์ Built-in ที่ออกแบบมาให้เหมาะกับขนาดห้องพัก อย่างตู้เสื้อผ้า เคาน์เตอร์ครัว หรือชั้นวางแบบติดผนัง แต่เฟอร์นิเจอร์อื่น ๆ เช่น เตียง โต๊ะรับประทานอาหาร โต๊ะกลางหน้าโซฟา และโซฟา จะเป็นเฟอร์นิเจอร์ลอยตัวซึ่งใช้พื้นที่ใช้สอยมากกว่า จึงควรเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์แบบ Dual-purpose หรือเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้งานได้มากกว่า 1 ฟังก์ชัน และเฟอร์นิเจอร์พับเก็บได้ อย่างเตียงที่มีลิ้นชักเก็บของ โซฟาเบด และเก้าอี้ที่สามารถเก็บของได้จะช่วยลดจำนวนเฟอร์นิเจอร์ในห้องและประหยัดพื้นที่ใช้สอย 4.กั้นห้องด้วยฉากโปร่งใส แม้พื้นที่ในห้องพักจะไม่เหมาะกับการแบ่งห้อง แต่หากต้องการจัดพื้นที่พักผ่อนในห้องนอนกับพื้นที่ทำงานแยกออกจากกัน ควรใช้ฉากกั้นแบบโปร่งใส ประตูกระจกบานเลื่อน ติดตั้งม่านที่สามารถเลื่อนเก็บได้ หรืออาจจะใช้เฟอร์นิเจอร์ที่มีลักษณะโปร่ง เช่น ชั้นวางของที่ไม่มีผนังทึบ ซึ่งยังสามารถมองเห็นบริเวณอื่นของห้องได้ ช่วยไม่ให้ห้องดูคับแคบจนเกินไป มอบความรู้สึกโล่งสบายขณะพักอาศัย 5.ติดกระจกเงาบานใหญ่ การนำกระจกเงาบานใหญ่ติดตั้งบนผนังห้องในมุมทำงานหรือมุมนั่งเล่น และเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์อย่างตู้เสื้อผ้าที่มีกระจกเงาตรงประตู และตู้เก็บอุปกรณ์ในห้องน้ำที่เป็นบานกระจก นอกจากจะใช้งานได้แบบ Dual-purpose แล้ว ยังช่วยสะท้อนภาพให้ห้องพักดูกว้างขึ้น   ถือเป็น 5 เทคนิคที่เชื่อว่าหากนำไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับแต่ละห้อง ก็น่าจะช่วยทำให้ห้องที่เล็กมีพื้นที่จำกัด ดูกว้างขวางมากขึ้น และทำให้การทำงานจากที่บ้านเต็มไปด้วยแรงบันดาลใจ ได้ทั้งงานได้ทั้งความสุขกันทุกคน
The Forestias – เมืองต้นแบบกลางป่าใหญ่ในกรุงเทพฯ

The Forestias – เมืองต้นแบบกลางป่าใหญ่ในกรุงเทพฯ

The Forestias - เมืองต้นแบบกลางป่าใหญ่ในกรุงเทพฯ เมื่อ trend การเลือกที่อยู่อาศัยของคนปัจจุบันมีความโหยหาธรรมชาติมากขึ้น บางคนเลือกที่จะเพิ่มพื้นที่สีเขียวภายในบ้าน ในขณะที่บางคนกลับเลือกที่ย้ายตัวเองเข้าไปอาศัยอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ จะได้สัมผัสวิถีอันเรียบง่ายอย่างใกล้ชิด จะดีแค่ไหน ถ้ามีการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยอย่างยั่งยืน และสร้างระบบนิเวศอย่างเข้าใจ ที่ไม่ใช่แค่การปลูกต้นไม้      “The Forestias” เมืองต้นแบบโครงการแรกของโลก ที่จะนำมนุษย์กลับมาอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างกลมกลืน บนผืนป่าขนาด 30 ไร่ โอเอซิสแห่งเดียวในกรุงเทพ ผ่านการศึกษาและออกแบบจากผู้เชี่ยวชาญระดับโลก นับจากการปรับปรุงดิน สร้าง Landscape ไปจนถึงการจัดสรรแหล่งน้ำอย่างเหมาะสม เพื่อให้เมล็ดทุกเมล็ดเติบโต พึ่งพาอาศัยกันได้อย่างแท้จริง ดึงดูดสัตว์น้อยใหญ่ให้กลับเข้ามาอาศัยในป่า จนเกิดระบบนิเวศที่สมบูรณ์ ให้ทุกชีวิตอาศัยร่วมกันอย่างเป็นธรรมชาติ นอกจากนี้ “The Forestias” ยังต้องการให้ที่ดินขนาด 398 ไร่แห่งนี้ เป็นโครงการเมืองแห่งแรกของโลก ที่ออกแบบทุกมิติเพื่อการใช้ชีวิต ที่จะมอบความสุขและสุขภาพที่ดีได้อย่างรอบด้าน     โดยการจัดวางที่อยู่อาศัยในรูปแบบต่างๆ บนพื้นที่ที่เหมาะสมและกลมกลืนไปกับผืนป่า เพื่อสร้างสังคมเมืองที่มีสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมกับความต้องการของผู้อาศัยอย่างแท้จริง ผ่านแบบบ้านหลากหลายแบรนด์ อาทิ “Whizdom” คอนโดมิเนียมเพื่อตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ในทุก passion ทั้งวันนี้และอนาคต “Mulberry Grove” Low-Rise Condo ที่ออกแบบเพื่อไลฟ์สไตล์ที่เหนือระดับ ใกล้ชิดธรรมชาติ “Mulberry Grove Villa” บ้านเดี่ยวระดับ Super Luxury ที่มุ่งตอบโจทย์ครอบครัวใหญ่หลากหลายgenerations “Six Senses” อีกรูปแบบของที่อยู่อาศัยบริหารโดยซิกส์เซนส์ แบรนด์เซอร์วิสระดับโลก และ “The Aspen Tree”  Wellness Condominium สังคมแห่งการใช้ชีวิตที่มีคุณภาพสำหรับผู้สูงอายุ ที่ครบวงจรที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และพื้นที่ทั้งหมดในโครงการ จะถูกเชื่อมต่อเข้าด้วยกันผ่าน “ทางเดินยกระดับความยาวกว่า 1.6 กิโลเมตร” ซึ่งทอดตัวเหนือผืนป่า ท่ามกลางธรรมชาติที่สมบูรณ์   “Forest Pavilion” อาคารศูนย์การเรียนรู้สุดอลังการ มิติใหม่ของการจัดแสดงห้องตัวอย่างของโครงการต่างๆ ใน The Forestias  ที่คุณจะได้สัมผัสประสบการณ์ในทุกมิติเสมือนการอยู่อาศัยจริง ผ่านการผสมผสานเทคโนโลยีสุดล้ำ ซึ่งคุณจะได้เห็นถึงวิสัยทัศน์ และแนวคิดสำคัญในการพัฒนาโครงการอย่างครบถ้วน  เตรียมเปิดให้เข้าชม และพร้อมเปิดการขายอย่างเป็นทางการ 8 พฤษภาคมนี้  ลงทะเบียนได้ที่ Call Center 1265 หรือ www.MQDC.com   บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง MQDC เตรียมเปิด “เดอะ ฟอเรสเทียร์” เมกะโปรเจกต์ 2.5 แสนล้าน ต้นปี 2564 MQDC x THE FORESTIAS ช่วยชีวิตต้นไม้กว่า 500 ต้น สร้างกำแพงธรรมชาติดักฝุ่น PM 2.5 ครั้งแรกของโลกที่ป่าธรรมชาติและสังคมอยู่รวมกันในเมือง THE FORESTIA  
“ปรับบ้านรับทรัพย์ ตามหลักฮวงจุ้ย” รับปีใหม่ 2564 กับหมอช้าง

“ปรับบ้านรับทรัพย์ ตามหลักฮวงจุ้ย” รับปีใหม่ 2564 กับหมอช้าง

ช่วงวันหยุดเทศกาลส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ 2564 หลายคนอาจจะใช้เวลาในการเฉลิมฉลองอยู่กับครอบครัว หรือเดินทางไปสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ภายใต้รูปแบบของการใช้ชีวิตแบบ New Normal แต่เชื่อว่าก็มีหลายคนที่ใช้เวลาพักผ่อนอยู่กับบ้าน  และใช้ช่วงเวลานี้ทำความสะอาดบ้าน จัดเก็บบ้าน หรือจัดบ้านใหม่รับปีใหม่ เพื่อให้การอยู่อาศัยตลอดปี 2564 มีแต่ความโชคดี และมีความสุขสบาย   นอกเหนือจากเรื่องของความสะอาดแล้ว การจัดบ้านให้ถูกหลักฮวงจุ้ย ก็เป็นเคล็ดลับของการอยู่อาศัยที่ทำให้ผู้อยู่อาศัยสบายใจ และเป็นไปตามหลักการของฮวงจุ้ย ที่หลายคนมีความเชื่อว่าจะทำให้ได้โชคลาภ เงินทอง สุขภาพดี และมีความสุขกับการอยู่อาศัยในบ้านที่ถูกจัดไว้อย่างถูกต้อง ตามหลักของ “ฮวงจุ้ย” เพราะ “บ้าน” คือ ศูนย์รวมความสุขของสมาชิกทุกคนในบ้าน และหากว่าบ้านมีการจัดฮวงจุ้ยที่ดี จะยิ่งเสริมให้ผู้อยู่ร่ำรวยมั่งมีได้อีกด้วย วันนี้เรามีเคล็ดลับและไอเดียปรับฮวงจุ้ยบ้านให้รับทรัพย์ ของหมอช้าง-ทศพร ศรีตุลา จากงาน “SCG HOME & Living Fair” ซึ่งจัดขึ้นที่ เอสซีจี เอ็กซพีเรียนซ์ โครงการ CDC เลียบด่วนรามอินทรา ในช่วงที่ผ่านมา มาแนะนำให้ทุกคนทำตาม เพื่อรับโชคเฮง ๆ ตลอดปี 2564 นี้ ฮวงจุ้ย เรื่องของ “ลม” และ “น้ำ” “ฮวงจุ้ย” หรือในภาษาจีนกลางคือ Feng Shui (เฟิงสุ่ย) มาจากคำสองคำคือ “เฟิง” แปลว่า “ลม” และ “สุ่ย” แปลว่า “น้ำ” ดังนั้น ทฤษฎีของฮวงจุ้ยที่ดี จึงว่ากันด้วยทิศทางการหมุนเวียนของลมและการไหลเวียนของน้ำนั่นเอง   “ลม” ของฮวงจุ้ยจะพัดพาพลังชี่ (Shi) เข้ามาภายในบ้าน ฉะนั้น การจัดฮวงจุ้ยก็คือ การจัดพลังชี่ในบ้านให้ลมเกิดการหมุนเวียนในทิศทางที่ดีตามองศาของประตูและหน้าต่าง ถ้าจัดฮวงจุ้ยได้ถูกต้อง ตามตำราบอกว่า อยู่ 1 ปีก็รวย 10 เท่า ในทางกลับกันถ้าพลังชี่ไม่ดี อยู่ 1 ปีก็อาจจะจน 10 เท่าก็เป็นได้ สิ่งต้องห้ามของ “ฮวงจุ้ย” สิ่งที่ต้องระวังเวลาจัดฮวงจุ้ยบ้านคือ “มุมของทางสามแพร่ง” หรือ “เหลี่ยมของเสาหน้าบ้าน” ห้ามมีมุมแหลมๆ พุ่งเข้ามาในบ้านเด็ดขาด และต้องระวังประตูที่เปิดเข้าตัวบ้าน (ไม่ใช่ประตูรั้ว เพราะประตูรั้วมีผลกับฮวงจุ้ยน้อยมาก) แนะนำว่าในวันที่อากาศดี ควรเปิดประตูตัวบ้านทิ้งไว้ให้ลมหมุนเวียนเข้ามา หรือเปิดหน้าต่างให้แสงแดดเข้ามาก็จะได้รับพลังชี่ที่ดี บ้านไหนที่มีประตูเข้าบ้าน 2 ประตู ควรใช้ประตูหลักที่ใหญ่กว่าให้บ่อย ๆ เพราะตามหลักฮวงจุ้ยแล้วถือว่าประตูใหญ่เป็นทางเข้าของมังกร   หากทางสามแพร่งหรือเสาไฟฟ้าเกิดอยู่ตรงกับประตูหลักที่เข้าตัวบ้าน อันนี้ ถือว่าเป็นเรื่องไม่ดี เพราะทำให้พลังชี่เข้ามาได้น้อย สามารถแก้ไขได้โดยนำต้นไม้ขนาดเล็กที่กำลังนิยมมาตั้งไว้ หรืออาจแขวนโมบายที่มีเสียงกรุ๊งกริ๊ง ก็จะช่วยลดพลังที่ไม่ดีลงได้ ส่วน “เลขที่บ้าน” นั้น ตามหลักฮวงจุ้ยแล้ว เลขที่บ้านมีผลต่อฮวงจุ้ยน้อยมาก การจัดฮวงจุ้ยนั้นเป็นศาสตร์ที่ต้องควบคุมพลังชี่ที่อยู่รอบตัวเราเป็นหลัก ฉะนั้นสิ่งที่ทุกคนต้องทำก็คือ จัดการกับพลังชี่ในบ้านของเราให้ได้ก่อน ห้ามประตูหน้าบ้านตรงกับประตูหลังบ้าน อันนี้ไม่ดี เพราะเมื่อพลังชี่เข้ามาในบ้านมันก็จะพุ่งออกไปเลย จึงเป็นบ้านที่เก็บเงินไม่ได้ แม้หาเงินได้เยอะ นั่นคือ พลังชี่อาจจะเข้ามาเยอะ แต่มันพุ่งออกไปเร็วมาก เปรียบดั่งหาเงินได้ แต่รายจ่ายก็เยอะ วิธีแก้คือ หาตู้โชว์ พาร์ทิชั่น หรือเฟอร์นิเจอร์ มาตั้งตรงกลางระหว่างประตูหน้าและประตูหลัง เมื่อพลังชี่เข้ามาก็จะถูกกักให้หมุน เวียนอยู่ในบ้าน ประตูเข้าตัวบ้านต้องเปิด-ปิดง่าย ปิดแล้วเสียงต้องไม่ดัง จะทำให้มีโชคลาภเงินทองไหลเข้ามา ห้องนั่งเล่น (Living Room) ห้องนั่งเล่นถ้าใช้งานบ่อยพลังงานที่ดีก็จะเข้ามาในบ้าน พูดง่ายๆ ว่าบ้านเปรียบเสมือนอวัยวะในร่างกาย ฉะนั้น ถ้ามีห้องไหนที่ทิ้งไว้ไม่ได้ใช้งานนาน ๆ ก็เหมือนเราไม่ได้ขยับอวัยะส่วนต่าง ๆ ในร่างกายเลย พลังชี่จะไม่เข้ามา สิ่งที่อยากให้มีในห้องนั่งเล่น ถ้าชอบของมงคลแนวจีน แนะนำให้ตั้งรูปปั้นฮกลกซิ่ว จะช่วยให้พบกับความสำเร็จ 3 ประการคือ ครอบครัวดี หน้าที่การงานดี และสุขภาพดี แต่หากชอบของแต่งบ้านสมัยใหม่ ให้เลือกโคมไฟคริสตัล หรือคริสตัลสวย ๆ ตั้งในตู้โชว์ เพราะจะช่วยกระจายพลังชี่ได้ อีกอย่างที่ห้องนั่งเล่นไม่ควรมีคือ โต๊ะสำหรับทานข้าว ห้องครัวคือหัวใจของบ้าน ครัวคือโชคชะตาของผู้หญิงในบ้าน ถ้าครัวทรุดผู้หญิงที่อยู่ในบ้านจะมีปัญหาสุขภาพ ถ้าหลังคาครัวรั่วหมายถึงทรัพย์รั่ว ถ้าพื้นครัวมีโพรง ผู้หญิงบ้านนี้จะเจ็บป่วยได้ สิ่งสำคัญอีกอย่างคือ ตำแหน่งของเตาไฟ คนจีนเชื่อว่าเตาไฟเป็นตัวแทนของหญิงผู้ให้กำเนิด จึงห้ามตั้งเตาไฟในทิศตรงข้ามกับอ่างล้างจาน หรือไม่ควรตั้งเตาไฟติดกับอ่างล้านจาน และ ห้ามตั้งเตาไฟโดยใช้ผนังร่วมกับห้องน้ำ เพราะจะทำให้ผู้หญิงในบ้านป่วย แถมโชคลาภก็จะไม่เข้ามาในบ้านด้วย หากมีเตาไฟในบ้านควรใช้บ่อย ๆ เพื่อหมุนเวียนพลังหยาง (ความร้อน) ซึ่งจะต้องบาลานซ์กับพลังหยิน (ความเย็น) ของน้ำในบ้านที่มีการเคลื่อน ไหวด้วย ห้องนอนก็สำคัญเช่นกัน ห้องนอนที่เก็บของเยอะเกินไปจนดูรก ก็เหมือนเป็นการสะสมพลังลบไว้ ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ดังนั้น ควรมีของให้น้อยที่สุด ข้อควรระวังอีกอย่าง อย่าให้ประตูห้องน้ำเปิดมาแล้วเจอเตียงเลย เพราะจะทำให้ป่วย สำหรับหัวเตียงไม่จำเป็นต้องหันไปทางทิศตะวันออกเสมอไป ถ้าในห้องนอนมีกระจก ไม่ควรให้กระจกหันหรือสะท้อนมาที่เตียงนอน เพราะจะสะท้อนพลังดี ๆ ออกไปหมด และถ้าห้องอยู่ชั้นล่างของบ้าน ห้ามนอนหันปลายเท้าไปทางประตูเข้าตัวบ้าน เพราะจะเหมือนการหามคนเจ็บคนตาย 5 องค์ประกอบ “ฮวงจุ้ย” ที่ดี ฮวงจุ้ยของบ้านที่ดีควรมีองค์ประกอบครบทั้ง 5 ธาตุ ดังนี้ ธาตุน้ำ ในบ้านควรมีสีฟ้า สีน้ำเงิน ซึ่งเป็นตัวแทนของธาตุน้ำ หรือตั้งน้ำพุเล็ก ๆ ที่มีความเคลื่อนไหว ก็จะช่วยเสริมฮวงจุ้ยที่ดี ธาตุไม้ ควรหาต้นไม้ประดับเล็ก ๆ ที่มีใบสีเขียวมาไว้ในบ้าน หรือ หากบ้านไหนมีพื้นบ้านที่เป็นพื้นไม้ก็ถือว่าใช้ได้ ธาตุไฟ สีส้ม สีแดง และสีชมพู คือตัวแทนของธาตุไฟ อาจจะใช้หมอนอิง โคมไฟ หรือสิ่งของอื่น ๆ ที่มีสีเหล่านี้มาประดับไว้ ธาตุดิน อาจเลือกใช้พรมเช็ดเท้าที่มีสีน้ำตาล หรือสิ่งของที่อยู่ในหมวดสีเอิร์ธโทนนำมาตกแต่งในบ้านก็ช่วยเสริมธาตุดินได้ ธาตุโลหะ อาจเป็นสิ่งของที่ทำจากโลหะทั้งหลาย เช่น โต๊ะที่มีขาสเตนเลส หรือแจกันสีทองแววาวก็ได้ ถ้าบ้านไหนมีสิ่งของหรือการตกแต่งครบทั้ง 5 ธาตุแล้ว ก็ถือว่าบ้านนั้นมีฮวงจุ้ยที่ดีแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องเสริมฮวงจุ้ยด้านอื่น ๆ ก็ได้ ลองนำเอาเคล็ดลับต่าง ๆ เหล่านี้ไปปรับใช้ ให้เหมาะสมกันแต่ละบ้าน หรือหากใครสะดวกแบบไหน ก็เลือกเอาตามใจชอบได้เลย  
3 Mega Trends การอยู่อาศัยหลังผ่านวิกฤตโควิด-19

3 Mega Trends การอยู่อาศัยหลังผ่านวิกฤตโควิด-19

LPN Wisdom เผย  3 Mega Trends พลิกโฉมการออกแบบและพัฒนา โครงการอสังหาริมทรัพย์ไทย หลังการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ต้องมุ่งเน้นใน 3 ประเด็นหลัก  Wellness, Work-Life Balance และ  Virtual Livable Connect แต่มากกว่านั้น ต้องสร้างความยั่งยืนให้กับสังคม   การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิตคนในยุคปัจจุบัน ให้มุ่งเน้นในการคำนึงถึงสุขภาพและความปลอดภัยของการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เพิ่มมากขึ้น ทุก ๆ ส่วนของสังคม ต้องมุ่งเน้นความปลอดภัย และการอยู่ภายใต้มาตรฐานด้านการสาธารณสุข ทำให้ไม่ว่าชีวิตส่วนตัวหรือชีวิตการทำงาน ต้องปรับเปลี่ยนกันใหม่  ไปสู่วิถีชีวิตแบบ New Normal หรือ วิถีชีวิตปกติใหม่   สำหรับธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการอยู่อาศัยของคน อย่างธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ นับว่าเป็นธุรกิจที่ต้องปรับตัวอย่างมาก ไม่เพียงแค่ผลกระทบโดยตรงจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ทำให้การดำเนินธุรกิจต้องปรับเปลี่ยนเท่านั้น แต่กลุ่มลูกค้าหลัก คือ ประชาชนทั่วไป ได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบวิถีชีวิต หรือไลฟ์สไตล์ของการอยู่อาศัยไปด้วย เช่น การทำงานจากที่บ้าน หรือ Work From Home เพราะต้องเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) หรือ การหันมาซื้อสินค้าทางออนไลน์มากขึ้น เพราะลดความเสี่ยงจากการได้รับเชื้อไวรัสโควิด-19 เป็นต้น   การเปลี่ยนแปลงรูปแบบวิชีวิต หรือไลฟ์สไตล์ของคนยุคปัจจุบัน จึงส่งผลให้นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์  ต้องกลับมาตีโจทย์ธุรกิจใหม่ กับการออกแบบและพัฒนาโครงการ เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ซึ่ง LPN Wisdom หรือ บริษัท ลุมพีนี วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด ได้มองว่า การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หลังการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะถูกให้ความสำคัญใน 3 ประเด็นหลัก หรือ 3 Mega Trends ดังนี้ คือ 1.เรื่องสุขภาพ (Wellness) 2.การออกแบบที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตอย่างสมดุล (Work-Life Balance) และ 3.การใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมในการใช้ชีวิต (Virtual Livable Connect) นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ LPN Wisdom  บริษัทด้านการวิจัยและที่ปรึกษาในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ระบุว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา ทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะการอยู่อาศัยที่ให้ความสำคัญในเรื่องของสุขอนามัย (Wellness) และรูปแบบการทำงาน ที่ต้องการความสมดุลในการใช้ชีวิต (Work-Life Balance) ปรับเปลี่ยนจากการทำงานที่สำนักงาน ไปสู่การทำงานที่บ้าน (Work From Home)  หรือการทำงานในที่อื่น ๆ ในแบบ Anytime Anywhere   ในขณะที่รูปแบบการทำงาน และการใช้ชีวิตในปัจจุบัน  ผู้บริโภคสามารถใช้เทคโนโลยีดิจิทัล (Virtual Livable Connect) มาตอบโจทย์การใช้ชีวิตได้มากขึ้นผ่านแอปพลิเคชั่นต่าง ๆ  ที่พัฒนาขึ้นมาเพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิตให้กับผู้บริโภค จนกลายเป็นวิถีปกติใหม่ (New Normal) ในการใช้ชีวิตของผู้คนในปัจจุบัน 3 Mega Trends ในการพัฒนาที่อยู่อาศัย สำหรับรูปแบบการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป ทำให้ความต้องการที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปด้วย  โดยคำนึงถึง 3 ปัจจัยสำคัญที่เราเรียกว่า 3 Mega Trends ในการพัฒนาที่อยู่อาศัย  ซึ่งประกอบด้วย 1.Wellness หรือ การให้ความสำคัญในเรื่องสุขอนามัย การให้ความสำคัญในเรื่องของสุขอนามัย  ซึ่งเป็นเรื่องที่มาพร้อม ๆ กับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 การออกแบบที่อยู่อาศัยและการเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์ ต้องคำนึงถึงเรื่องของสภาพแวดล้อมและสุขอนามัยที่ดีต่อผู้อยู่อาศัย ลดการสัมผัส (Touchless) ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ทั้งในพื้นที่โครงการที่พักอาศัยและเชิงพาณิชย์ เป็นโจทย์ใหม่ในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันและในอนาคต 2.Work-Life Balance หรือ การสร้างสมดุลให้กับการใช้ชีวิต นอกจากเรื่องของสุขอนามัยที่เป็นโจทย์หลักของผู้บริโภคในปัจจุบันแล้ว การออกแบบที่คำนึงถึงประโยชน์ใช้สอยที่สร้างสมดุลให้กับการใช้ชีวิต ในรูปของการทำงานและการใช้ชีวิตที่ต้องดำเนินไปอย่างสมดุล ทำให้การออกแบบที่อยู่อาศัยต้องคำนึงถึงการจัดสรรพื้นที่ที่ลงตัว  ตอบทุกโจทย์ของการใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นที่อยู่อาศัยในแนวราบ หรืออาคารชุดที่มีขนาดเล็ก ต้องมีการจัดฟังก์ชั่นการใช้งานที่มีความหลากหลาย และสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้งาน (Multi-Function) เพื่อรองรับกับรูปแบบการใช้ชีวิตและการทำงานที่บ้านได้   การเว้นระยะห่างในพื้นที่ส่วนกลาง การปรับเปลี่ยนแนวคิดจากสังคมแบ่งปันในรูปแบบของ Co-Working Space มาสู่แนวคิดการใช้พื้นที่ส่วนกลางในรูปแบบของ Co-Separate Space เป็นการใช้พื้นที่ร่วมกันแบบมีระยะห่าง ทำให้การออกแบบการใช้พื้นที่ส่วนกลาง ในโครงการทั้งแนวราบและอาคารชุด ต้องเปลี่ยนแนวคิดในการออกแบบเช่นเดียวกัน 3.Virtual Livable Connect หรือ การนำเอาเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการออกแบบโครงการ การนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการออกแบบโครงการ มีเป้าหมายสำคัญเพื่ออำนวยความสะดวกสบายในการใช้ชีวิต ของผู้อยู่อาศัยในโครงการ  และตอบโจทย์กับแนวคิดการใช้ชีวิตวิถีปกติใหม่ ภายหลังการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เพราะเทคโนโลยีต่างๆ ที่ถูกนำมาใช้ไม่เพียงแต่อำนวยความสะดวกเท่านั้น แต่ยังมีความปลอดภัยจากการต้องติดต่อหรือสัมผัสกันระหว่างมนุษย์ด้วย มากกว่า Mega Trend ต้องสร้างความยั่งยืน นอกเหนือนจากการออกแบบภายใต้วิถีชีวิตปกติใหม่ ภายหลังไวรัสโควิด-19 ที่อาจจะหยุดการแพร่ระบาด หรือเราสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ แต่ไวรัสโควิด-19 ยังคงอยู่กับมนุษย์โดยไม่ได้หายไปไหน แนวทางการออกแบบและพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์  นอกจากจะมีแนวทางที่ต้องตอบโจทย์ Mega Trend ดังกล่าวแล้ว สิ่งสำคัญที่ต้องคิดถึงและจำเป็นต้องนำมาใช้ด้วย คือ แนวคิดในการออกแบบที่เรียกว่า การออกแบบเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Development  Design) แนวคิดดังกล่าว เป็นแนวคิดของการออกแบบ โดยคำนึงถึงการใช้งานอาคารอย่างยั่งยืน ด้วยการออกแบบโดยคำนึงถึงการเลือกใช้วัสดุ การใช้พลังงานและทรัพยากรของอาคารที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมทั้งสร้างสุขอนามัยที่ดีให้กับผู้อยู่อาศัย ลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก หรือ คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2)ในอากาศ   รวมถึงเรื่องของการประหยัดพลังงาน การใช้ทรัพยากรน้ำและทรัพยากรธรรมชาติอื่น ๆ อย่างประหยัด เพื่อตอบโจทย์กับการสร้างสุขอนามัยที่ดีในการอยู่อาศัยทั้งในรูปแบบของ LEED (Leadership in Energy and Environmental Design) เกณฑ์อาคารเขียวของ US Green Building Council และ TREES (Thai’s Rating of Energy and Environmental Sustainability ) ของสถาบันอาคารเขียวไทย   ข้อมูล ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2563 ประเทศไทยมีอาคารที่ได้รับ LEED Certification จาก US Green Building Council ทั้งสิ้น 171 อาคาร และอยู่ระหว่างการพิจารณาอีก 85 อาคาร ในขณะเดียวกันมีอาคารที่ได้รับ TREES Certification จาก สถาบันอาคารเขียวไทย ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2563 ทั้งสิ้น 63 อาคาร และอยู่ระหว่างการพิจารณาอีก 55 อาคาร
งานสถาปนิก’63 โดนพิษโควิด-19 เลื่อนจัดงานเป็นวันที่ 7-12 กรกฎาคมนี้

งานสถาปนิก’63 โดนพิษโควิด-19 เลื่อนจัดงานเป็นวันที่ 7-12 กรกฎาคมนี้

งานสถาปนิก’63 เจอวิกฤตไวรัสโควิด-19 เลื่อนจัดงานไปวันที่ 7-12 กรกฎาคมนี้ พร้อมเตรียม 8 มาตรการเสริมสร้างความปลอดภัยในการเข้าจัดแสดงและเข้าชมงาน ยังมั่นใจผู้ประกอบการในวงการเข้าร่วมงาน 700 บริษัท   นายอัชชพล ดุสิตนานนท์ นายกสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดเผยว่า เนื่องด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างไปทั่วโลก และยังส่งผลต่อการจัดงานสถาปนิกในปี 2363 ด้วย ซึ่งปกติจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในช่วงเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม แต่จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้คณะผู้จัดงานได้ตระหนักถึงความปลอดภัยและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ร่วมแสดงสินค้า ผู้ชมงาน ผู้เกี่ยวข้อง จึงมีมติให้เลื่อนการจัดงานออกไปเป็นวันที่ 7-12 กรกฎาคมนี้ จากกำหนดเดิมจะจัดวันที่ 28 เมษายน – 3 พฤษภาคม 2563   สำหรับงานสถาปนิก’63 ซึ่ถือเป็นงานจัดแสดงสินค้านวัตกรรมด้านสถาปัตยกรรม และวัสดุก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน ในปี 2563 เตรียมจัดในธีม “มองเก่า ให้ใหม่ : Refocus Heritage” ซึ่งเป็นการปรับมุมมองในการมองและการอนุรักษ์มรดกทางสถาปัตยกรรมใหม่ เป็นการปรับจูนความคิดให้มองสิ่งเดิมๆ แตกต่างออกไป   ดร. วสุ โปษยะนันทน์ ประธานการจัดงานสถาปนิก’63 กล่าวว่า ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง สถานการณ์ไวรัสในครั้งนี้ก็เป็นอีกหนึ่งเครื่องยืนยันว่าการปรับตัว ปรับทัศนคติเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตเสมอ และเราหวังว่าการเลื่อนกำหนดการจัดงานสถาปนิก’63 ในครั้งนี้จะช่วยเสริมสร้างความมั่นใจ ทั้งในส่วนของผู้มาจัดแสดงสินค้า รวมถึงผู้เข้าชมงานเอง สามารถมางานสถาปนิกและเดินชมนวัตกรรมและนิทรรศการต่างๆ ได้อย่างอุ่นใจเช่นเคย สำหรับการจัดงานสถาปนิกเป็นเวทีสำคัญของวงการสถาปัตยกรรมและการก่อสร้าง ที่จัดขึ้นเพียงปีละหนึ่งครั้ง เพื่อตอบโจทย์ทางธุรกิจสำหรับกลุ่มผู้ประกอบการที่ต้องการมาร่วมจัดแสดงเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่างๆ เพื่อแสดงศักยภาพ โดยคาดว่าการจัดงานในครั้งนี้จะมีผู้ประกอบการพร้อมร่วมจัดแสดงงานและสนับสนุนอุตสาหกรรมกว่า 700 บริษัท จากทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ   ในส่วนของกลุ่มผู้ซื้อได้รับการตอบรับที่ดี จากบริษัทชั้นนำที่เกี่ยวข้องกับวงการสถาปนิก ผู้ประกอบการด้านอาคารและการก่อสร้าง การออกแบบตกแต่งภายใน บริษัทในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นสมาชิกของสมาคมต่างๆ จากกลุ่มประเทศ CLMV ที่กำลังมีการพัฒนาโครงการก่อสร้างมากมายภายในกลุ่มประเทศนั้น นายศักดิ์ชัย ภัทรปรีชากุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี.ซี. เอ็กซิบิชั่น ออกาไนเซอร์ จำกัด หรือ นีโอ ผู้บริหารงานสถาปนิก’63 กล่าวว่า การจัดงานแสดงสินค้าและนิทรรศการ (Exhibition) เป็นอีกหนึ่งเวทีสำคัญที่จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการพบปะเพื่อให้เกิดแลกเปลี่ยนความร่วมมือภายในอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นการสนับสนุนเศรษฐกิจและผลักดันให้อุตสาหกรรมเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน   ทั้งนี้ ทางสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ มีนโยบายในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมงานแสดงสินค้าของประเทศไทย และมุ่งมั่นในการยกระดับมาตรฐานการจัดงานแสดงสินค้าของไทยสู่ระดับสากล โดยการออกแคมเปญ Exhibiz in Market และ ASEAN+6 Privilege Campaign สนับสนุนค่าใช่จ่ายเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการและผู้ที่สนใจร่วมชมงานจากต่างประเทศ เตรียม 8 มาตรการป้องกัน “ไวรัสโควิด-19” เพื่อเป็นการดูแลความปลอดภัยและสุขภาพของผู้เข้าร่วมงานอย่างสูงสุด ทางคณะผู้จัดงานได้ร่วมกับศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี ในการวางมาตรการเฝ้าระวังเเละป้องกันโรคระบาดภายใต้การควบคุมของระบบการจัดการด้านการรักษาความปลอดภัยสำหรับการจัดประชุมสัมมนา เเละนิทรรศการ มอก.22300 เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้เข้าร่วมงานทุกท่าน ดังนี้   1.เตรียมแอลกอฮอล์บริการลูกค้า ณ ทางเข้าอาคารหลัก ห้องประชุมย่อยรวมถึงห้องน้ำ เพื่อใช้ทำความสะอาด   2.ติดตั้งเครื่องเทอร์มัลสแกน (Thermo scan) บริเวณทางเข้าอาคารหลักและหน้างาน สำหรับคัดกรองอุณหภูมิร่างกาย และผู้ป่วยที่เข้าข่ายต้องคัดแยกเพื่อเฝ้าระวังติดตามอาการ   3.จัดเตรียมอุปกรณ์เทอร์มัลสแกน (Thermo Gun) สำหรับตรวจวัดอุณหภูมิ คัดกรองผู้ป่วย โดยมีการติดสติกเกอร์ต่างสีในแต่ละวัน เพื่อให้มั่นใจว่าบุคคลที่เข้าร่วมงานได้รับการตรวจคัดกรองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว   4.เตรียมห้องปฐมพยาบาลเพื่อคัดกรองผู้ป่วยโดยมีเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ประจำการ   5.ประสานทีมแพทย์และพยาบาล จากสถาบันบำราศนราดูรให้การช่วยเหลือสนับสนุนทางการแพทย์   6.จัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ ให้ความรู้สร้างความเข้าใจ เกี่ยวกับโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัส โคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 พร้อมขอความร่วมมือผู้เข้ามาใช้บริการปฏิบัติตามข้อแนะนำในการป้องกันการแพร่ระบาด   7.เพิ่มความถี่ในการทำความสะอาดอาคาร สถานที่ บริเวณห้องจัดงาน จุดบริการอาหารเครื่องดื่ม ห้องน้ำ และอื่นๆ ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อโรคทุกวัน ตลอดจนฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อในพื้นที่จัดแสดงงานทั้งการก่อสร้างและหลังจากการรื้นถอน   8.จัดเตรียมถังขยะสำหรับทิ้งหน้ากากอนามัยโดยเฉพาะ เพื่อการนำไปกำจัดอย่างถูกวิธี   งานสถาปนิก’63 “มองเก่า ให้ใหม่: Refocus Heritage” จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 7-12 กรกฎาคม 2563 ระหว่างเวลา 10.00 – 20.00 น. ณ อาคารชาเลนเจอร์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ www.architectexpoasia.com  
ชมออฟฟิศใหม่ “เจียไต๋” ก้าวสู่ปีที่ 100  กับแนวคิด  Work – Life Balance

ชมออฟฟิศใหม่ “เจียไต๋” ก้าวสู่ปีที่ 100 กับแนวคิด  Work – Life Balance

คนส่วนใหญ่ที่เป็นเกษตรกร หรือสนใจในเรื่องการเกษตร การปลูกต้นไม้ เชื่อว่าจะต้องรู้จักชื่อของ “เจียไต๋” บริษัทที่ทำธุรกิจด้านการเกษตรครบวงจรของประเทศไทย ในเครือซีพี หรือเจริญโภคภัณฑ์  เป็นอย่างดี ออฟฟิศ เจียไต๋ เพราะธุรกิจมีหลากหลายที่เกี่ยวกับการเกษตร ไม่ว่าจะเป็นการจำหน่ายเม็ดพันธ์ หรือสารเคมี และบริการด้านการเกษตร ที่สำคัญเป็นบริษัทที่ก่อตั้งมาอย่างยาวนาน นับอายุก็จะครบ 100 ปีแล้ว นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมาตั้งแต่ปี 2463 ออฟฟิศ เจียไต๋ จุดเริ่มต้นของ “เจียไต๋”  เริ่มต้นขึ้นจากห้องแถวเล็กๆ บนถนนทรงสวัสดิ์ ย่านเยาวราช ก่อนกิจการจะขยายใหญ่ขึ้น จนพื้นที่ของสำนักงานแห่งเก่ามีไม่เพียงพอที่จะรองรับพนักงานที่มีจำนวนมากขึ้น ทำให้ผู้บริหารมีแนวความคิดในการมองหาสำนักงานแห่งใหม่ที่ใหญ่ขึ้น และรองรับจำนวนพนักงานได้มากขึ้น ที่สำคัญต้องเป็นสถานที่ทำงาน ซึ่งสร้างแรงบันดาลใจ ปลุกไฟให้กับพนักงาน และเป็นสถานที่ดึงดูดกลุ่มรุ่นใหม่  กลุ่มมิลเลนเนียม ให้อยากเข้ามาทำงาน ตอบสนองความต้องการกลุ่มคนเหล่านั้นได้ "เจียไต๋" ทุ่ม 900 ล้านขึ้นออฟฟิศใหม่ “เจียไต๋” จึงได้ทำการย้ายออฟฟิศแห่ง  ด้วยการลงทุนก่อสร้างอาคารสำนักงานใหญ่แห่งใหม่  มูลค่า 900 ล้านบาท ตั้งอยู่บริเวณริมถนนสุขุมวิท ซอยสุขุมวิท 60 ใกล้รถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีบางจาก เป็นอาคารขนาดความสูง 15 ชั้น มีพื้นที่ใช้สอยรวม 18,000 ตารางเมตร  โดยชั้น 1-6 เป็นพื้นที่จอดรถ และชั้น 7-15 เป็นพื้นที่ทำงาน   นายมนัส เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจียไต๋ จำกัด เล่าว่า  “เจียไต๋กำลังจะฉลองครบรอบ 100 ปี จึงตัดสินใจย้ายสำนักงานมาที่ใหม่ เพื่อให้พนักงานทุกคนได้ทำงานอยู่ในพื้นที่เดียวกัน เน้นการออกแบบเพื่อตอบสนองความต้องการของพนักงาน สำนักงานใหญ่แห่งใหม่นี้จึงเป็นการแสดงให้เห็นถึงความพร้อม และความแข็งแกร่งของเจียไต๋ในการเดินเข้าสู่ปีที่ 100 อย่างมั่นคง” ดีไซน์ด้วยแนวคิด “เหนือกาลเวลา” สำหรับสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ของเจียไต๋ ได้รับการออกแบบและตกแต่งโดย บริษัท สถาปนิก 49 จำกัดและ บริษัท พี ไอ เอ อินทีเรีย จำกัด  ด้วยการดีไซน์ตัวอาคารให้เป็นลักษณะโมเดิร์น ร่วมสมัย และเรียบง่าย สะท้อนความเป็นตัวตนของ “เจียไต๋” ที่อยู่เคียงคู่สังคมไทยมาทุกยุคทุกสมัยเป็นเวลาเกือบ 100 ปี  ตัวอาคารล้อมรอบด้วยพื้นที่สีเขียว บริเวณด้านหน้ามีการปลูกพืชผักและดอกไม้ตามฤดูกาล เพื่อสะท้อนสายสัมพันธ์อันลึกซึ้งของ “เจียไต๋” กับวิถีการเกษตร และยังเป็นพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจของพนักงาน “คอนเซ็ปต์การออกแบบอยากได้อาคารเหนือกาลเวลา ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน ยังได้ความสวยงาม และสถาปัตยกรรมที่ดี ต้องตอบโจทย์ผู้ใช้งานด้วย จังออกแบบให้มีเส้นแนวตั้งภายนอกอาคาร ใช้ประโยช์ได้ทั้งการกันแสงแดด และประหยัดพลังงาน” ส่วนบริเวณด้านหน้าอาคาร ได้ถูกออกแบบให้เป็นสวนเกษตร หลากหลายชนิด ภายใต้แนวคิด Urban Green Area ซึ่งสามารถใช้ประโยชน์จากพืชได้จริง และยังใช้เป็นแนวรั้ว ที่กั้นแนวเขตฟุตบาทกับพื้นที่สำนักงาน แต่ทำให้รู้สึกถึงความโปร่งสบาย เพราะไม่ได้ถูกกั้นเหมือนรั้วหรือกำแพงทั่วไป “เราพยายามรักษาทั้งเรื่องความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว ให้คนเห็นแปลงผัก ดอกไม้ได้ มองจากริมถนนได้ แต่เข้าไม่ได้ เป็นคอนเซ็ปต์รั้วโล่ง ปีก่อนหน้านี้ก็ได้มีการปลูกข้าวจริงๆ ถึง 2 ครั้ง” ดึงแนวคิด 4ฤดู ออกแบบภายใน ส่วนอาคารภายใน ออกแบบให้สะท้อนค่านิยม One Chia Tai ส่งเสริมการทำงานร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวที่ "เจียไต๋" พนักงานทุกคนได้รับการปลูกฝังให้ทำงานร่วมกันเป็นทีมที่เรียกว่า One Chia Tai เพื่อเดินไปสู่จุดหมายหลักเดียวกันขององค์กร นั่นคือการส่งมอบนวัตกรรมการเกษตรเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าอย่างยั่งยืนของผู้คนทั่วทั้งภูมิภาค ภายในอาคาร จึงออกแบบด้วยแนวคิด “Growing as One – เติบโตไปด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว”  ผ่านการจัดองค์ประกอบในแนวคิด “สวนหลังบ้าน” ซึ่งใช้เป็นแนวคิดหลักในการออกแบบพื้นที่ของแต่ละหน่วยงาน เช่น สนามเด็กเล่น  สวนเรือนกระจก สวนพฤกษา และบ้านต้นไม้ โดยทุกชั้นภายในอาคารจะมีส่วนที่เป็นสวน หรือการปลูกต้นไม้อยู่ทุกชั้น “คนเราถ้าอยู่ในสวนหรือธรรมชาติ 1 ชั่วโมง จะมีประสิทธิภาพการทำงานเพิ่มขึ้น 20% การออกแบบตกแต่งภายในแต่ละชั้น ยังได้นำเอาแนวคิดของ 4 ฤดูกาล เข้ามาเป็นแนวทางในการออกแบบและตกแต่งภายในด้วย -ชั้น 9 ที่ทำงานของหน่วยธุรกิจเมล็ดพันธุ์ ซึ่งออกแบบและตกแต่งภายใต้ธีม ฤดูฝน โดยใช้สีเขียวเป็นโทนสีหลัก -ชั้น 11 เป็นที่ทำงานของหน่วยธุรกิจสนับสนุน ออกแบบและตกแต่ง ภายใต้ธีมของฤดูใบไม้เปลี่ยนสี -ชั้น 12 ที่ทำงานของหน่วยธุรกิจปุ๋ย ถูกออกแบบและตกแต่งภายใต้ธีม ฤดูร้อน โดยใช้สีเหลืองเป็นโทนสีหลัก -ชั้น 12A  สถานที่ทำงานของหน่วยธุรกิจอารักขาพืช ออกแบบและตกแต่งภายใต้ธีม ฤดูหนาว ด้วยโทนสีฟ้าเป็นโทนสีหลัก   แม้ว่าจะมีการแบ่งพื้นที่การทำงาน ในแต่ละชั้นแต่ละหน่วยธุรกิจ แต่ทุกมีการสร้างพื้นที่ให้เชื่อมต่อถึงกันได้ เดินขึ้น-ลงระหว่างชั้นได้  โดยชั้น 7 เชื่อมต่อกับชั้น 8 ชั้น 9 เชื่อมต่อกับชั้น 10 ชั้น 11-12A เชื่อมต่อถึงกันได้ และชั้น 14-15  ซึ่งเป็นส่วนสำนักงานซีอีโอและห้องทำงานของซีอีโอ ก็เชื่อมต่อระหว่างกันด้วย เป็นการออกแบบเพื่อส่งเสริมการทำงานร่วมกัน มุ่งสู่การสร้างวัฒนธรรมในการคิดค้นสิ่งใหม่ๆ การทำงานร่วมกันเป็นทีม นอกจากการเชื่อมต่อระหว่างชั้นแล้ว ทุกพื้นที่ในสำนักงานใหม่ยังจัดทำในรูปแบบ Co-Working Space ที่พนักงานจากหลากหลายแผนกสามารถใช้ทำงานร่วมกันได้ด้วย สร้าง Work – Life Balance ดึงคนรุ่นใหม่ การสร้างสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว Work-Life Balance เป็นสิ่งที่สำคัญต่อความคิดสร้างสรรค์และการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ "เจียไต๋" ให้ความสำคัญกับพนักงานเป็นลำดับต้นๆ สำนักงานใหญ่แห่งนี้จึงออกแบบพื้นที่เพื่อส่งเสริมการสร้างสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวให้พนักงานได้มีความสุข สนุกกับการทำงานในทุกๆ วัน   โดยมีพื้นที่ให้พนักงานสามารถผ่อนคลายความเหนื่อยล้าจากการทำงาน เช่น ฟิตเนส ห้อง Golf Simulator ซึ่งไม่ได้มีเพียงอุปกรณ์ออกกำลังกายอย่างครบถ้วนเท่านั้น แต่ยังมีโค้ชประจำ และมีคลาสออกกำลังกายต่างๆ เช่น คลาสโยคะ หรือเต้นซุมบ้า เพื่อส่งเสริมสุขภาพพนักงานอย่างจริงจัง นอกจากนี้ ยังมีห้องสมุด ห้องอาหาร และยังคิดเผื่อไปถึงครอบครัวของพนักงาน จึงได้สร้างพื้นที่ Kid Room เพื่อรองรับบุตรหลานของพนักงานอีกด้วย   "เจียไต๋" ให้ความสำคัญกับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมและการประหยัดพลังงาน โดยนอกจากอาคารจะใช้วัสดุเช่น กระจก และมีเพดานที่สูงเพื่อเปิดช่องให้แสงธรรมชาติผ่านเข้าได้มากที่สุด เพื่อลดการใช้พลังงานแล้ว ยังมีการติดตั้งระบบเปิด-ปิดไฟฟ้าอัตโนมัติสำหรับควบคุมไฟฟ้าภายในอาคาร ติดตั้งระบบจับความเคลื่อนไหวภายในห้องน้ำที่จะสั่งการเปิด-ปิดไฟฟ้าอัตโนมัติเมื่อมีคนใช้ ทำให้ไม่ต้องเปิดไฟทิ้งไว้ทั้งวัน และยังติดตั้งมาตรวัดปริมาณน้ำและไฟที่ใช้ในแต่ละชั้นเพื่อนำข้อมูลไปสร้างแนวทางในการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่า สำหรับด้านสิ่งแวดล้อม เจียไต๋สนับสนุนให้พนักงานแยกขยะ โดยจัดวางถังขยะแบบแยกประเภทเพื่อสร้างความตระหนักถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และรณรงค์เรื่องการแยกขยะในกลุ่มพนักงานอีกด้วย   “เรามุ่งหวังให้สำนักงานใหญ่แห่งใหม่นี้เป็นที่ทำงานที่ทันสมัย ดึงดูดพนักงานรุ่นใหม่ๆ เป็นสถานที่ในการจุดประกายความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ ให้กับพนักงาน เพื่อให้ทุกคนแสดงศักยภาพของตัวเองออกมาได้อย่างเต็มที่ เจียไต๋จะฉลองครบรอบ 100 ปี ใน 2564 สำนักงานใหญ่แห่งใหม่นี้เป็นการแสดงให้เห็นถึงความพร้อมและความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจของเจียไต๋ ในการก้าวเดินสู่ศตวรรษใหม่อย่างแข็งแกร่งและมั่นคง” ปัจจุบันสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ มีพนักงานเข้าทำงานเพียง 320 คนเท่านั้น จากจำนวนพนักงานทั้งกลุ่มบริษัท 1,300 คน บางส่วนกระจายอยู่ในโรงงานบ้าง สำนักงานสาขาบ้าง และส่วนงานวิจัยในพื้นที่ต่างจังหวัดบ้าง  สำนักงานใหญ่แห่งใหม่จึงยังสามารถรองรับพนักงานได้อีกมาก โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่  ที่ถือเป็นกำลังสำคัญ จะมาสานต่อให้ “เจียไต๋” ก้าวไปเป็นองค์กรที่เติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต   โดยผู้บริหารคาดหวังว่า การออกแบบสำนักงานให้สอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มคนรุ่นใหม่ กลุ่มมิลเลนเนียม จะเป็นตัวช่วยดึงให้พวกเขาเข้ามาเป็นกำลังสำคัญของ “เจียไต๋” ในอนาคต เพราะปัจจุบันยังมีพนักงานกลุ่มนี้ไม่มากนัก อายุเฉลี่ยของพนักงาน “เจียไต๋” จะอยู่ที่ 35 ปี มีอายุงานประมาณ 9 ปีเท่านั้น ซึ่งพนักงานส่วนใหญ่สัดส่วนถึง 65% เป็นกลุ่มคน Gen Y  
ทำความรู้จัก Hybrid Living นวัตกรรมที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิต

ทำความรู้จัก Hybrid Living นวัตกรรมที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิต

  แน่นอนว่า “บ้าน” คือ 1 ในปัจจัย 4 ที่จำเป็นในการใช้ชีวิต หน้าที่หลักของบ้าน คือ สถานที่พักอาศัย เป็นสถานที่ “กิน-อยู่-หลับนอน” แต่บ้านที่ดีไม่ได้มีคุณค่าแค่ทำให้การพักอาศัยมีความสะดวกสบาย และความปลอดภัยเท่านั้น แต่บ้านที่ดีต้องสามารถสร้างคุณค่าของความเป็นอยู่โดยรวม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความสุข ความอบอุ่น ความสบายใจ และเป็นสถานที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับชีวิต ไปจนถึงการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีของการอยู่อาศัยด้วย   แนวคิดในการพัฒนาที่อยู่อาศัยในปัจจุบัน จึงไม่ได้มุ่งตอบโจทย์แค่เรื่อง “ฟังก์ชั่น” การใช้งาน เพื่อการอยู่อาศัยเท่านั้น แต่มุ่งตอบสนองความต้องการใช้ชีวิต ที่มีคุณภาพของผู้อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นการอยู่ภายในบ้าน หรือภายในชุมชนรอบข้าง ด้วยการยึดเอาไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัยเป็นหัวใจสำคัญ โดยเฉพาะคนในยุคปัจจุบัน ซึ่งมีไลฟ์สไตล์หลากหลาย ไม่ได้มีบทบาทและหน้าที่เพียงอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น แต่มีบทบาทและหน้าที่หลากหลายในคนๆ เดียว บ้านที่ดีจึงต้องตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของผู้อยู่อาศัย     การพัฒนาที่อยู่อาศัย ผู้ประกอบการจึงต้องตอบสนองความต้องการเหล่านั้นให้ครบ และยังต้องมีคุณภาพที่ดีด้วย โดยเฉพาะกับการอยู่อาศัยในโครงการบ้านเดี่ยว เพราะเป็นการอยู่อาศัยกับคนหลายเจเนอเรชั่น คนแต่ละช่วงอายุ มีความต้องการหลากหลาย และไลฟ์สไตล์ที่แตกต่าง แต่ทุกคนต้องอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข และมีคุณภาพชีวิตที่ดี   AP หรือ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย ได้เห็นถึงความต้องการของคนในยุคปัจจุบัน ซึ่งมุ่งหวังการใช้ชีวิตภายในบ้าน ที่สามารถเติมเต็มคุณภาพชีวิตได้ในทุกไลฟ์สไตล์ของทุกคน จึงได้พัฒนาบ้านเดี่ยวภายใต้แนวคิด Hybrid Living นวัตกรรมบ้านเดี่ยวที่เข้าใจชีวิต จากการศึกษาค้นคว้าข้อมูลของคนยุคปัจจุบัน ซึ่งพบว่า มีความต้องการที่หลากหลาย ต้องการความสะดวกสบาย โดยเฉพาะความสะดวกสบายจากเทคโนโลยี   Hybrid Living นวัตกรรมบ้านเดี่ยวที่เข้าใจชีวิต คือ การนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ใช้ กับโครงการบ้านเดี่ยวของ AP ทั้งภายในตัวบ้านและภายนอกบ้าน ทำให้ทุกฟังก์ชั่นของบ้าน สร้างสรรค์ประโยชน์สูงสุดให้กับผู้อยู่อาศัย มีการผสมผสานฟังก์ชั่นบ้าน ให้เข้ากับเทคโนโลยีพลังงานทดแทน และระบบสมาร์ทโฮม ถือเป็นนวัตกรรมของการใช้ชีวิตในรูปแบบ Hybrid Living อย่างแท้จริง     Hybrid Living ตอบโจทย์การใช้ชีวิตได้อย่างไร?   หากมองไปในท้องตลาดตอนนี้ใครๆ ก็พูดถึงระบบสมาร์ทโฮม หรือ โฮมออโตเมชั่น ด้วยการนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาทำให้การอยู่อาศัยสะดวกสบาย กับเทคโนโลยีสารพัด เป็นจุดขายของโครงการอสังหาริมทรัพย์ แต่สำหรับ AP แนวคิด Hybrid Living นวัตกรรมบ้านเดี่ยวที่เข้าใจชีวิต พัฒนาโครงการบนแนวคิดที่เชื่อว่า ตัวตนคุณไม่ได้มีแค่หนึ่งคำจำกัดความ ความต้องการของการอยู่อาศัยจึงไม่ได้มีเพียงด้านเดียว บางคนอยากทำงาน แต่ก็อยากเที่ยว บางคนอยากหลีกหนีความวุ่นวาย แต่ก็อยากเชื่อมต่อกับโลกออนไลน์ บางคนอยากอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ แต่ก็ชอบความสะดวกสบายของเมือง และบางคนอยากพักผ่อนที่บ้าน แต่ก็อยากสังสรรค์กับเพื่อนๆ เป็นต้น     เมื่อโจทย์ความต้องการของคนยุคปัจจุบันมีความหลากหลายเช่นนี้ แนวคิดของ Hybrid Living นวัตกรรมบ้านเดี่ยวที่เข้าใจชีวิต จึงถูกพัฒนาบน 4 องค์ประกอบหลักสำคัญ เพื่อให้ทุกความต้องการได้รับการตอบสนอง   1. Cost-saving-ค่าใช้จ่ายส่วนกลางถูกลงด้วยเทคโนโลยี ในยุคที่คนเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้ง่าย ทำให้คนยุคปัจจุบันมุ่งเน้นเรื่องของ “ความคุ้มค่า” โดยเฉพาะการใช้จ่าย ผู้บริโภคยุคปัจจุบันมีทางเลือกมากมาย ในการซื้อสินค้าหรือบริการ ทำให้ทุกการใช้จ่ายยืนอยู่บนเหตุผลมากกว่าอารมณ์ ซึ่ง AP เข้าใจในเรื่องความคุ้มค่านี้ดี จึงเลือกพัฒนาสาธารณูปโภคภายในโครงการบ้านเดี่ยว ด้วยนวัตกรรมที่ช่วยให้ลูกบ้านประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากที่สุด อาทิ นวัตกรรมพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Power system) และระบบกำจัดน้ำเสีย (Greywater Recycle system) ซึ่งนำน้ำมาบำบัดเพื่อใช้รดต้นไม่ในโครงการ เป็นต้น ทำให้ค่าใช้จ่ายส่วนกลางลดลง เมื่อเทียบกับโครงการที่ไม่ได้ติดตั้งระบบนี้   2. Security-ความปลอดภัยในทุกไลฟ์สไตล์ บ้านแค่อยู่อาศัยแล้วสบายคงไม่เพียงพอ แต่ต้องมีความปลอดภัย ทั้งทรัพย์สินและชีวิตของผู้อยู่อาศัยภายในบ้าน นอกจากระบบรักษาความของโครงการ ไม่ว่าจะเป็น รปภ. กล้องวงจรปิด ระบบคีย์การ์ด ฯลฯ สิ่งเหล่านี้มีเป็นเรื่องพื้นฐานจำเป็นอยู่แล้ว แต่แนวคิดของ Hybrid Living ของ AP ต้องตอบโจทย์การดูแลความปลอดภัยได้มากกว่า ไม่ว่าจะเป็น   ระบบเซ็นเซอร์ประตู หน้าต่าง และเซ็นเซอร์ตรวจจับ ความเคลื่อนไหว ให้เจ้าของบ้านได้มั่นใจ แม้ว่าจะออกไปทำงานหรือเดินทางท่องเที่ยว เพราะจะมีระบบจะแจ้งเตือนผ่าน Application พร้อมส่งเสียงเตือนเมื่ออยู่ในโหมด “Alarm” ช่วยแจ้งเตือนเมื่อตรวจพบการเปิด-ปิดของประตูหรือหน้าต่าง หรือตรวจเจอการเคลื่อนไหวในบ้าน หรือจะดูความเป็นไปของคนภายในบ้าน สามารถทำได้ด้วยการดูผ่านกล้อง IP Camera จาก Application ได้แบบ Live Stream     แม้แต่ปัญหาประจำที่ทุกคนจะต้องเจอ เช่น การลืมกุญแจบ้าน ก็ไม่ใช่ปัญหาต้องจ้างช่างมาไขประตูเข้าบ้านอีกต่อไป เพราะระบบ Digital Door Lock ช่วยแก้ปัญหาได้ สามารถสั่งงานผ่าน Application ได้ หรือจะสั่งเปิดประตูให้กับแม่บ้านเพื่อเข้ามาทำความสะอาด ระบบก็มี Pin Code ชั่วคราวที่ใช้ได้ครั้งเดียวให้ เจ้าของบ้านอยู่ที่ไหนก็ใช้งานได้สะดวก เหมาะกับการวิถีชีวิตคนยุค 4.0   ที่สำคัญการพักอาศัยอยู่กับคนหลายเจเนอเรชั่น โดยเฉพาะผู้สูงอายุ บางครั้งลูกหลานออกไปทำงาน หรือเดินทางท่องเที่ยว ต้องให้ผู้สูงอายุอยู่โดยลำพัง ก็หมดห่วงกับสิ่งที่ AP คิดมาให้ เพื่อดูแลผู้สูงอายุ กับปุ่มเรียกฉุกเฉินในยามคับขัน พร้อมทั้งมีเซนเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหวที่เตียงนอน เพื่อเปิดไฟทางเดินสู่ห้องน้ำแบบอัตโนมัติในตอนกลางคืน หรือการดูแลที่ดีขึ้นไปอีก กับการส่งสัญญาณเตือนและภาพ Live Stream จาก IP Camera ไปยัง Application ในโทรศัพท์มือถือ หากไม่พบการเคลื่อนไหวของผู้อยู่อาศัยในห้อง เพื่อขอความช่วยเหลือในกรณีที่ผู้สูงอายุเกิดล้ม ถือเป็นแนวทางการพัฒนาที่สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนได้ทุกเจเนอเรชั่นจริงๆ   3. Comfort-ความสบายแค่ปลายนิ้วสั่งงาน เรื่องความสะดวกสบายในการอยู่อาศัย แม้จะเป็นเรื่องพื้นฐานที่บ้านต้องตอบโจทย์ แต่เพราะปัจจุบันเป็นยุคที่มีเทคโนโลยีดิจิทัล ทำให้ความสะดวกสบายต้องเป็นเรื่องที่พัฒนามากขึ้น โดยเฉพาะการนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาผสมผสานการดูแลบ้าน และให้ผู้อยู่อาศัยสั่งงานผ่านสมาร์ทโฟนได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้าน ที่ AP นำระบบควบคุมอุปกรณ์ ไฟฟ้าอัจฉริยะในบ้าน Smart Home Gateway and Security Module มาดูแลความสบายของคุณและครอบครัว   การใช้ระบบควบคุมไฟแสงสว่าง Lighting Control ที่สามารถเปิด-ปิด ผ่านสวิตช์ และ Application ทำงานคู่กับระบบ Motion Sensor ช่วยตรวจจับความเคลื่อนไหว และความสว่างในบ้าน และระบบพัดลม Air Flow ระบบควบคุมเครื่องกรองอากาศอัจฉริยะ แม้แต่ชีวิตนอกบ้าน เทคโนโลยีก็ยังเข้ามาทำให้มีความสะดวกสบาย อาทิ ระบบตั้งเวลา Sprinkle รดน้ำต้นไม้ ผ่านสวิตช์ และ Application ระบบ Gate Controller ควบคุมเปิด-ปิด มอเตอร์ประตูรั้วบ้าน ผ่าน Application ระบบ Digital Door Lock เป็นต้น   4. Community-ดูแลชุมชนปลอดภัย 24 ชั่วโมง การอยู่อาศัยภายในบ้าน แม้ว่าจะได้รับความสะดวกสบาย และความปลอดภัย ด้วยเทคโนโลยีซึ่งเติมเต็มให้กับการอยู่อาศัย สิ่งที่ละเลยไม่ได้กับการอยู่อาศัยภายในโครงการบ้านเดี่ยว AP คือ การสร้างสรรค์ให้เกิดสังคมแห่งความสงบสุข จากการอยู่ร่วมกันของผู้อยู่อาศัยในโครงการ เพราะ AP เชื่อว่า “เพื่อนบ้านที่ดี” คือ ปัจจัยสำคัญของการอยู่ร่วมกันในชุมชน จึงได้สร้างสรรค์ Katsan Application เพื่อสื่อสารกับพนักงานรักษาความปลอดภัยหน้าโครงการ เมื่อมีแขกมาเยือน ระบบจะส่งการแจ้งเตือนไปยังมือถือของคุณ   นอกจากนี้ ยังช่วยคัดแยกรถต้องสงสัย และแจ้งเตือนพนักงานรักษาความปลอดภัย เมื่อมีรถสาธารณะอยู่เกินเวลา ในกรณีฉุกเฉินยังสามารถใช้กดเรียกพนักงานรักษาความปลอดภัย ตำรวจ หรือรถพยาบาลได้แค่ปลายสัมผัส ทำให้การอยู่ร่วมกันของคนในชุมชนได้รับความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง เป็นชุมชนที่น่าอยู่อาศัย และสามารถสร้างคุณภาพชีวิตให้กับทุกคนในโครงการบ้านเดี่ยวของ AP     องค์ประกอบทั้งหมดที่ AP นำมาใช้พัฒนาโครงการบ้านเดี่ยว ภายใต้แนวคิด Hybrid Living นวัตกรรมบ้านเดี่ยวที่เข้าใจชีวิต จึงเป็นคำตอบของการอยู่อาศัยในยุคดิจิทัล 4.0 ที่ไม่ได้ต้องการแค่ความสะดวกสบายเมื่ออยู่ในบ้านเท่านั้น แต่หมายถึงการเติมเต็มคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้กับผู้อยู่อาศัยในทุกเจเนอเรชั่นด้วย   อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.apthai.com/HybridLiving/  
เปิด Fresh Taiwan สินค้าไลฟ์สไตล์ สุดล้ำจากไต้หวัน

เปิด Fresh Taiwan สินค้าไลฟ์สไตล์ สุดล้ำจากไต้หวัน

ช่วงปลายปีแบบนี้เชื่อว่าหลายคนจะต้องหาซื้อของขวัญกันเอาไว้บ้างแล้วใช่ไหมคะ แต่ถ้าใครอยากจะหาของขวัญหรือสินค้าที่เป็นนวัตกรรม ดีไซน์สวย ไม่ต้องกลัวว่าจะซื้อไปซ้ำกับใครแล้วล่ะก็ ต้องไม่พลาดที่จะไปเดินงาน Style Bangkok Fair 2019 ซึ่งหนึ่งในไฮไลท์ของงานนั่นคือการนำเอาสินค้าจากต่างประเทศมาไว้ในงานด้วย โดยครั้งนี้เราจะพาไปทำความรู้จักสินค้า Fresh Taiwan จากไต้หวัน ที่เห็นแล้วจะต้องรู้สึกอยากจะได้เป็นเจ้าของสักชิ้นแน่นอนค่ะ   Fresh Taiwan คือโครงการที่กระทรวงวัฒนธรรมไต้หวัน จัดขึ้นเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมการออกแบบผลิตภัณฑ์และการสร้างแบรนด์ของ Designer ชาวไต้หวัน แล้วผลักดันไปไกลระดับโลก ซึ่งการมาร่วมจัดพาวิลเลี่ยนภายในงาน Style Bangkok Fair 2019 ถือเป็นครั้งที่ 6 แล้ว โดยในแต่ละปีก็มีหลากหลายแบรนด์ใหม่ๆ มาโชว์ผลงานที่สามารถซื้อกลับไปเป็นของขวัญแบบไม่ซ้ำใคร หรือจะเจรจาธุรกิจก็น่าสนใจไม่น้อยเลยนะคะ   สำหรับปีนี้ไต้หวันพาวิลเลี่ยนจะมาในธีม “ไฮไลท์” (HIGHTLIGHT) เน้นสินค้าที่เป็นนวัตกรรมคุณภาพ ความสร้างสรรค์ และฟังก์ชันที่ล้ำสมัย สะท้อนไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ ทั้งหมด 10 แบรนด์ ซึ่ง 8 ใน 10 แบรนด์จะเป็นครั้งแรกที่มาร่วมงานนี้ ได้แก่ 49101 Electronics, Vinaera, Eye Candle, Singular Concept, Conquer Casa, Hands, Dilio, และ CLARECHEN รวมถึงแบรนด์ที่กลับมาอีกครั้งอย่าง bi.du.haev และ Fyber Forma จะมีสินค้าตัวไหนน่าสนใจบ้าง เรานำมาฝากกันค่ะ   Dilio สินค้าตกแต่งบ้านที่ไม่ใช่แค่วางประดับไว้เท่านั้น แต่ยังเป็นที่รองน้ำมันหอมระเหย ด้วยส่วนผสมเฉพาะจากวัสดุหลักที่เป็นซีเมนต์พิเศษ จะช่วยให้กลิ่นของน้ำมันหอมระเหยฟุ้งกระจายและคงทนอยู่ได้นานขึ้นด้วย   bi.du.haev (Biduhaev cold brew system) ใครที่ชื่นชอบกาแฟสกัดเย็น หรือที่เรียกกันว่า cold brew จะต้องอยากมีเครื่องนี้ไว้ครองครองค่ะ ด้วยวัสดุของทั้งตัวเครื่องทำมาจากแก้ว ทำให้การแฟ cold brew แก้วโปรดได้รสชาติกลมกล่อมยิ่งขึ้น   Vinaera เครื่องเติมอากาศในไวน์ สำหรับคอไวน์โดยเฉพาะจะต้องสะดุดตากับเจ้าเครื่องเติมอากาศในไวน์ครั้งแรกของโลก สินค้าตัวนี้จะมีอยู่ 2 รุ่นด้วยกันค่ะ Vinaera Classic กังหันน้ำไวน์ไฟฟ้า และ Vinaera Pro เครื่องเติมอากาศไฟฟ้าแบบปรับได้   49101 Electronics หูฟังบลูทูธ คนรักเสียงเพลงก็ย่อมจะต้องหาหูฟังดีๆ ไว้สักอันใช่ไหมคะ โดยหูฟังแบรนด์ 49101 มีความโดดเด่นตรงที่เป็นหูฟังบลูทูธสามารถเปลี่ยนเป็นสายชาร์จความเร็วสูงได้ และยังสามารถเปลี่ยนแบตเตอรี่ในตัวได้ด้วย   Fyber Forma กระเป๋ากันน้ำ กระเป๋าหลากหลายดีไซน์ มีคุณสมบัติพิเศษด้านนอกกันน้ำ ผิวสัมผัสนุ่มละเอียดคล้ายหนัง น้ำหนักเบา ด้านในกรุด้วยผ้าอ่อนนุ่ม เพิ่มความทนทาน     หากใครอยากจะสัมผัสของจริง แล้วซื้อเก็บไว้เป็นของขวัญในช่วงสิ้นปีก็แนะนำให้รีบมาในงาน Style Bangkok Fair 2019 ในวันที่ 17-21 ตุลาคม 2562 นี้เท่านั้นนะคะ รับรองว่าไม่เหมือนใครแน่นอน    
รวมอีเว้นท์ประจำเดือนกันยายน-ตุลาคม 2562 

รวมอีเว้นท์ประจำเดือนกันยายน-ตุลาคม 2562 

สัปดาห์นี้มีหลากหลายอีเว้นท์ที่น่าสนใจทีเดียวค่ะ โดยเฉพาะสายกิน สายช้อป ห้ามพลาดเลยทีเดียว เพราะในบางงานก็จัดขึ้นเพียงปีละครั้งเท่านั้น มาวางแผนออกไปเที่ยวกันค่ะ   เทศกาลประเพณีกินเจเยาวราช ประจำปี 2562 เทศกาลงานประจำปี 10 วัน 10 คืน สุดยิ่งใหญ่บนถนนเยาวราช มีการออกร้านจำหน่ายอาหารเจจากร้านอาหารชื่อดังทั่วทั้งกรุงเทพฯ รวมมากกว่า 100 ร้านค้า และร่วมพิธีสักการบูชาพระพุทธเจ้าในอดีตกาลทั้ง 7 พระองค์ และพระโพธิสัตว์อีก 2 พระองค์ พร้อมอัญเชิญกระถางธูปผงจาก 22 ศาลเจ้า 7 โรงเจในเยาวราชทั้งหมด ซึ่งทุก ๆ วันจะมีการสวดมนต์ถวายกิ้วอ๊วงฮุกโจ้ว และขอพรจากเทพเจ้า   วัน เวลา : 29 ก.ย.-7 ต.ค. 62 สถานที่ : ถนนเยาวราช ซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติ 6 ไปจนถึงแยกเฉลิมบุรี   Fair of the Year @Bitec งานสำหรับคนรักบ้านโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นเฟอร์นิเจอร์ ของตกแต่งบ้านมากมาย อาทิ โซฟา เตียง เก้าอี้ ตู้เสื้อผ้า ม่าน กันสาด ฯลฯ คุณภาพระดับส่งออก ส่งตรงจากโรงงาน ครบทุกสิ่งในบ้าน ยกกันมาลดราคาพิเศษ ร่วมกับโปรโมชั่นเด็ด ของแถมอีกเพียบ นอกจากนี้ยังมี Electronics Fair of the Year รวมเครื่องใช้ไฟฟ้า มาให้ผ่อนยาว 0% กันอีกด้วย   วัน เวลา : 25-29 ก.ย. 62 11.00-21.00 น. สถานที่ : ไบเทค บางนา EH106   ร้านเด็ดแฟร์ครั้งที่ 3 รวมร้านเด็ด ร้านดังจากทั่วประเทศ ยกมาไว้ที่อิมแพค สำหรับที่คิดว่ากินเก่ง กินไว ก็ลองสมัครแข่งขันกิน เช่น แข่งกินก๋วยเตี๋ยวเรือ By โกฮับ, แข่งกินบิงซู By Malee, แข่งกินเกี๊ยวซ่า By KINZA GYOZA ฯลฯ และไม่ได้มีแค่ของอร่อยเท่านั้น แต่ยังรวมสินค้าแฟชั่น ของตกแต่งบ้านมาให้เลือกช้อปกันเต็มฮอลล์ พร้อมพบปะศิลปินดังมากมายภายในงานได้ทุกวัน รับรองมางานเดียวครบ!   วัน เวลา : 26-29 ก.ย. 62 10.00-21.00 น. สถานที่ : IMPACT เมืองทองธานี Hall 11-12 TFIC Furniture 2019 (Outlet) งานแสดงสินค้าเฟอร์นิเจอร์ส่งออก 2019 โดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โดยได้นำบริษัทผู้ส่งออกและผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์มาจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์คุณภาพส่งออก ในราคาสุดพิเศษ ลดราคาสูงสุด 80% จัดขึ้นปีละครั้งเท่านั้น   วัน เวลา : 25-29 ก.ย. 62 10.30-21.00 น. สถานที่ : IMPACT เมืองทองธานี Hall 6-8   The Sound of Silence นิทรรศการภาพถ่ายสัตว์เลี้ยงแสนรัก จาก ดารา ศิลปิน และ เหล่าผู้รักสัตว์ทั้งหลาย ณ มุมสามเหลี่ยม ชั้น 1 โดยมีช่างภาพชั้นแนวหน้าของเมืองไทย อาทิ ธนากร เตลาน ช่างภาพผู้สร้างสรรค์ศิลปะด้านไฟน์อาร์ต, สุทธิศักดิ์ สุจริตตานนท์ นักสร้างสรรค์โฆษณาชาวไทย มือหนึ่งแห่งเอเชีย ฯลฯ   วัน เวลา : 26-29 ก.ย. 62 10.00-21.00 น. สถานที่ : หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (BACC) มุมสามเหลี่ยม ชั้น 1   ZAAP ON SALE ครั้งที่ 18 Ready, Sale, Go! ZAAP On Sale สินค้าแฟชั่นสุดชิค กว่า 500 แบรนด์ ที่ลดสูงสุด 50% ทั้งงาน ยกมาไว้ที่นี่ที่เดียว   วัน เวลา : 28-29 ก.ย. 62  11.00 - 22.00 น. สถานที่ : รอยัล พารากอน ฮอลล์ 1-3   IMMORTALS DAY การรวมตัวของเหล่าไบค์เกอร์รุ่นใหญ่ ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน (HARLEY-DAVIDSON) และไทรอัมพ์ (TRIUMPH) พบกับ Harley Davidson Show Case จากสำนักแต่งรถชื่อดัง, คอนเสิร์ตสุดมันส์จากศิลปินชาวร๊อค Silly Fools, Dak Rock Raider, DJ Ka-Toy, Harley Band และสินค้าแบรนด์ชั้นนำมากมาย   วัน เวลา : 27-29 ก.ย. 62  18.00 น. เป็นต้นไป สถานที่ : Crystal Arena และ Oval Plaza ซีดีซี คริสตัล ดีไซน์ เซ็นเตอร์      
เปิดห้องสมุดใหม่ สถาปัตย์ จุฬาฯ โดดเด่นทั้งดีไซน์และแนวคิด

เปิดห้องสมุดใหม่ สถาปัตย์ จุฬาฯ โดดเด่นทั้งดีไซน์และแนวคิด

คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดตัวห้องสมุดใหม่ ที่มีแนวคิดและดีไซน์เพื่อคนออกแบบ ที่รวมด้วย โคเวิร์กกิ้งสเปซ ที่อ่านหนังสือ ที่จัดแสดงนิทรรศการ และที่ฉายภาพยนตร์ เพื่อเป็นพื้นที่สร้างแรงบันดาลใจ พัฒนาความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ ให้กับนิสิต ห้องสมุดใหม่ สถาปัตย์ จุฬาฯ ตั้งอยู่ที่อาคารสถาปัตยกรรม 1 คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีความโดดเด่นทั้งด้านการออกแบบและฟังก์ชั่นการใช้งานที่ไม่เหมือนห้องสมุดทั่วไป  ซึ่งเกิดจากการมองหาไอเดียความเป็นไปได้ใหม่ๆ ว่าห้องสมุดในโลกพัฒนาเป็นอย่างไรได้บ้าง นอกจากการค้นคว้าในโลกออนไลน์   ห้องสมุดเริ่มที่ชั้น 2 ของอาคาร ชั้นนี้จะเป็นส่วนเปิดโล่งขนาดใหญ่ เน้นการเข้ามานั่งทำงานเหมือนเป็น Co-Working and Thinking Space พร้อมส่วนจัดแสดงนิทรรศการที่ถูกออกแบบให้อยู่บนผนังรอบพื้นที่ห้อง   ชั้น 3 ผ่านบันไดที่ออกแบบให้เป็นจุดสนใจอยู่กลางห้อง สร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้คนที่เดินผ่านเห็นมิติต่างๆ ของโครงสร้าง พร้อมทั้งเห็นนิตยสารใหม่ๆ ที่จัดวางไว้อย่างเด่นชัด บนชั้นนี้่จะเป็นพื้นที่ที่มีหนังสือใหม่ๆ ให้เลือกอ่านหลากหลายประเภท มีโต๊ะขนาดใหญ่ไว้ใช้ทำงาน และมีมุมไว้จัดแสดงผลงานต่างๆ อีกด้วย   ชั้นที่ 4 จะแบ่งเป็น 2 โซนหลักๆ คือ Quiet Zone ห้องอ่านหนังสือแบบไม่ใช้เสียง และอีกโซนจะมีจอฉายภาพยนตร์ขนาดใหญ่และที่นั่งชมแบบไล่ระดับ พร้อมฝ้าเพดานที่มีการออกแบบโดยนำโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในหลวงรัชกาลที่ 9 ในกรุงเทพฯ มาสร้างสรรค์เป็นแผนที่ขนาดใหญ่ เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและพระอัจฉริยภาพทางด้านผังเมือง ด้านการคมนาคม ด้านการบริหารจัดการน้ำ และด้านสิ่งแวดล้อม   ทั้งนี้นิสิตจุฬาฯ ทุกคณะสามารถเข้ามาใช้งานห้องสมุดใหม่ สถาปัตย์ จุฬาฯ ได้ทุกวันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 8.30 - 18.00 น. วันเสาร์ เวลา 10.00 - 16.00 น. และสำหรับนิสิต นักศึกษา หรือคณาจารย์ต่างสถาบันที่มีความสนใจด้านสถาปัตยกรรม สามารถเข้าใช้ได้เฉพาะวันพุธระหว่างเวลา 8.30 - 18.00 น.      
เปิด 5 เรื่อง (ไม่) ลับ ของแคตตาล็อกอิเกีย 2020 เพื่อแรงบันดาลใจในการอยู่อาศัย

เปิด 5 เรื่อง (ไม่) ลับ ของแคตตาล็อกอิเกีย 2020 เพื่อแรงบันดาลใจในการอยู่อาศัย

แม้ว่าปัจจุบันจะเป็นยุคดิจิทัล ที่ข้อมูลข่าวสารถูกจัดเก็บไว้บนโลกออนไลน์ สามารถเรียกดูข้อมูลได้บน “สมาร์ทโฟน” หรืออุปกรณ์ไอทีต่างๆ แต่ดูเหมือนว่า “แคตตาล็อก” ในรูปแบบหนังสือเล่ม ซึ่งรวบรวมข้อมูลสินค้า ยังเป็นหัวใจสำคัญและเป็นสิ่งที่ “อิเกีย” ศูนย์จำหน่ายเฟอร์นิเจอร์สัญชาติ สวีเดน ยังคงให้ความสำคัญ และผลิตออกมาใช้เป็นเครื่องทางการตลาด สร้างแรงบันดาลใจในการเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านอยู่ทุกปี   แคตตาล็อกอิเกีย สำหรับปี 2020  ได้เปิดตัวออกมาแล้ว เพื่อให้ลูกค้าได้หยิบไปใช้ สำหรับเป็นคู่มือและสร้างแรงบันดาลใจในการเลือกซื้อสินค้าของ “อิเกีย” ซึ่งในปีนี้มาในธีม “Easy Renewal For Better Sleep” กับการมุ่งเน้นนำเสนอสินค้าด้วยการเน้นสินค้าห้องนอน เนื่องจากมองว่ากลุ่มสินค้าห้องนอน เป็นสินค้าที่ลูกค้าให้ความสำคัญและเลือกซื้อเป็นอันดับแรกๆ  ปัจจุบันกลุ่มสินค้าห้องนอนมีสัดส่วน 12-13% ของยอดขายทั้งหมด   นายทอม ซูเทอร์ ผู้จัดการสโตร์ อิเกีย บางใหญ่ เปิดเผยว่า การนอนมีผลต่อทุกอย่างกับชีวิต อิเกีย จึงโฟกัสสินค้ากลุ่มห้องนอน เป็นแนวทางการทำตลาดทั่วโลก แต่รูปแบบและสไตล์การนำเสนอของห้องนอน  จะแตกต่างกันในแต่ละประเทศ  ซึ่งสินค้ากลุ่มห้องนอนได้รับความนิยมซื้อ จากกลุ่มลูกค้าคนไทยเป็นลำดับต้นๆ แตคตาล็อกปีนี้จึงเน้นสินค้ากลุ่มดังกล่าว  แตกต่างจากปีที่ผ่านมาที่เน้นกลุ่มสินค้าห้องนั่งเล่น (Living room)     แคตตาล็อกอิเกียเล่มใหม่ จึงได้รวบรวมเทคนิค การปรับแต่งบ้านเพื่อให้ทุกคนในบ้านพักผ่อนได้อย่างเต็มที่ โดยทุกไอเดียที่คัดสรรมาล้วนทำตามได้ง่าย เพียงแค่เปลี่ยนปลอกหมอน ผ้าปูที่นอน เติมผ้าม่าน มู่ลี่ โคมไฟ ต้นไม้ หรือแม้กระทั่งแก้วน้ำสักใบเข้ามา เป็นตัวช่วยเปลี่ยนบรรยากาศภายในห้องให้มีความสงบ ผ่อนคลาย ช่วยให้นอนหลับฝันดีได้ตลอดทั้งคืน   เปิด 5 ความต้องการที่คนเรียกว่า “บ้าน”     ทุกๆ ปี ดีไซน์เนอร์อิเกียจากทั่วโลก จะทำงานร่วมกัน  เพื่อศึกษาข้อมูลเชิงลึกต่างๆ ของผู้บริโภคซึ่งเก็บรวบรวมจากการพูดคุย ทำวิจัย และออกไปเยี่ยมบ้านลูกค้า เพื่อทำความเข้าใจและหาแนวทางพัฒนาแรงบันดาลใจ  รวมถึงพัฒนาสินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการ  และการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไปของผู้คนทั่วโลก พร้อมจัดทำเป็นรายงาน Life at Home ข้อมูลที่ได้กลายเป็นหัวใจสำคัญของการจัดทำเนื้อหา แคตตาล็อกอิเกียในแต่ละปี   ปีนี้เป็นครั้งแรกที่อิเกีย  ได้ศึกษา ข้อมูลเชิงลึกของคนยุคปัจจุบัน ต่อการตัดสินใจเรียกที่ใดที่หนึ่งว่าเป็น “บ้าน”  ซึ่งได้ถอดรหัสความต้องการด้านอารมณ์ 5 ด้าน ได้แก่ การเป็นส่วนหนึ่ง (Belonging) ความเป็นเจ้าของ (Ownership) ความปลอดภัยมั่งคง (Security)  ความสบาย (Comfort) และ ความเป็นส่วนตัว (Privacy) ซึ่งปัจจัยด้านอารมณ์ทั้ง 5 นี้ เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความรู้สึกถึงความเป็น “บ้าน” นิยามคำว่าบ้านจากรายงานฉบับนี้จึงไม่ได้หมายถึงแค่ “ที่พักอาศัย” แต่ยังรวมไปถึงสถานที่อื่นๆ ที่ทำให้เกิดความรู้สึกทั้ง 5 ด้านนี้ได้     ความต้องการด้านอารมณ์ทั้ง 5 ด้านที่ทำให้บ้านเป็น “บ้าน” มีดังนี้   1.การเป็นส่วนหนึ่ง (Belonging) ความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มที่ยอมรับตัวตนที่แท้จริงของเรา รวมถึงสถานที่ที่สะท้อนตัวตนของเรา อิเกียนำเสนอเฟอร์นิเจอร์สำหรับบ้านหรือห้องที่ใช้งานร่วมกันที่ทำให้ทุกคนมีพื้นที่แห่งความสุข และเป็นตัวของตัวเองได้อย่างเต็มที่   2.ความเป็นเจ้าของ (Ownership) ไม่ใช่แค่เรื่องของสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของเท่านั้น แต่หมายถึงความรู้สึกว่าเรามีอำนาจในการควบคุมพื้นที่หรือสถานที่นั้นๆ เรามีอิสระที่จะทำอะไรก็ได้ ความรู้สึกว่าเราเป็นเจ้าของบ้านนั้น (ถึงแม้ว่าจะเป็นบ้านเช่าก็ตาม) เช่น โซลูชันอุปกรณ์จัดเก็บของอิเกีย ที่ช่วยให้คุณสามารถจัดสรรพื้นที่ในบ้านในอย่างลงตัว   3.ความปลอดภัยมั่นคง (Security) ความปลอดภัยในที่นี้ไม่ได้หมายถึงบ้านที่มี การป้องกันอย่างแน่นหนา แต่เป็นสถานที่ที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น มั่นคง วิธีง่ายๆ ในการเติมความอบอุ่นให้กับบ้าน คือการเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากวัสดุธรรมชาติ เช่น ไม้ เหล็ก และกระจก   4.ความสบาย (COMFORT) หมายถึงความรู้สึกสบายใจและมีความสุขกับบรรยากาศรอบข้าง นั่นคือการถ่ายทอดตัวตน หรือใส่ความเป็นเราลงไปในที่ที่เราอาศัยอยู่   5.ความเป็นส่วนตัว (PRIVACY) ความเป็นส่วนตัวไม่ใช่ว่าเราจะต้องอยู่คนเดียวในห้องเท่านั้น แต่หมายถึงการสร้างความสมดุลในบ้านที่เราอาศัยอยู่ร่วมกับผู้อื่น หรือบ้านที่มีพื้นที่จำกัด แต่ก็ยังมีพื้นที่ที่เราสามารถพักผ่อน นอนหลับ หรือตัดขาดจากความวุ่นวายต่างๆ ได้ ด้วยการเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ที่มีฟังก์ชั่นช่วยแบ่งพื้นที่ในบ้านได้อย่าง ชาญฉลาด   ทำความรู้จัก แคตตาล็อก “อิเกีย” 2020     1.เปลี่ยนฟอนต์ใหม่ทั้งหมด แคตตาล็อกเล่มใหม่นี้จะเป็นเล่มแรกที่เปลี่ยนฟอนต์ใหม่ทั้งหมด จากฟอนต์ Verdana ที่ใช้มาต่อเนื่องถึง 11 ปี เป็นฟอนต์ Noto ที่ได้รับการพัฒนาโดย Google อิเกียเลือกใช้ฟอนต์นี้เพราะสะท้อนตัวตนของแบรนด์ที่มองผ่านสายตาของคนยุคปัจจุบันได้ดี มีความชัดเจน อ่านง่ายและครบสมบูรณ์ เหมาะกับการอ่านบนจอดิจิทัลเล็กๆ ทั้งยังมีตัวอักษรเกือบครบทุกภาษาในโลก โดยแคตตาล็อกเล่มนี้จะแปลเป็นภาษาต่างๆ ถึง 38 ภาษา ซึ่งฉบับภาษาฟินแลนด์จะมีความยาวมากที่สุด   2.หน้าปก 50 ปี นับจากวันที่จอห์น เลนนอน และโยโกะ โอโนะ ภรรยาของเขา พากันนอนประท้วงเพื่อเรียกร้องสันติภาพในช่วงต้นสงครามเวียดนามที่โรงแรมอัมสเตอร์ดัม ฮิลตัน เมื่อเดือนมีนาคม ปี 1969 วันนี้ Bed-In for Peace อันโด่งดังของทั้งคู่จะกลับมามีชีวิตอีกครั้ง บนภาพปกแคตตาล็อกอิเกียเล่มล่าสุด   3.เรื่องราวภายในแคตตาล็อก ธีมของแคตตาล็อกอิเกียในปีนี้คือ “การพักผ่อนนอนหลับ” เน้นการเปลี่ยนโฉมห้องนอนให้ ตอบโจทย์ทั้งเรื่องความสวยงามและความสบาย รวมไปถึงแนะวิธีต่างๆ ที่จะช่วยเพิ่มคุณภาพ การพักผ่อนของคุณ เช่น การจัดท่านอนและเลือกหมอนที่เหมาะกับอิริยาบถการนอน การทำสมาธิ กิจวัตรตอนนอน และเคล็ดลับหลับสบายด้วยน้ำมันลาเวนเดอร์ เป็นต้น   ระหว่างจัดทำเนื้อหาในแคตตาล็อก มีการเปลี่ยนเตียงทั้งหมดถึง 7 แบบเพื่อให้ครอบคลุมการจัดเตียงทุกแบบในตลาด และถ่ายภาพไปทั้งหมด 1,651 ภาพ มากกว่าปีที่แล้วถึง 400 ภาพเลยทีเดียว   4.กระบวนการผลิตแคตตาล็อก แคตตาล็อกเล่มนี้ใช้ใช้เวลาสร้างสรรค์นานถึง 12 เดือน ตั้งแต่การระดมความคิด ไปจนถึงการพิมพ์ และจัดส่งไปยังสโตร์อิเกียทั่วโลก นับจากจุดเริ่มต้นจนสิ้นสุดกระบวนการผลิตต้องอาศัย ความร่วมมือของทีมงานจากหลากหลายประเทศ ทั้งอเมริกา อิตาลี ออสเตรเลีย เวลส์ เยอรมัน สวีเดน รัสเซีย สเปน อังกฤษ เปอร์โตริโก แอฟริกาใต้ เดนมาร์ก โปแลนด์ ฟินแลนด์ และ จีน   5.ข้อมูลของแคตตาล็อกเล่มใหม่   มีจำนวนหน้าทั้งหมด 280 หน้า + หน้าปก 4 หน้า โดยมียอดตีพิมพ์รวม 124,000,000 เล่ม ใน 54 ประเทศที่อิเกียเปิดให้บริการ กับภาษาที่ตีพิมพ์ถึง 38 ภาษา รวม 80 เวอร์ชัน ที่มีการจัดพิมพ์ในครั้งนี้        
COTTO LIFE โลกของกระเบื้องที่ไม่ใช่แค่เรื่องพื้นๆ

COTTO LIFE โลกของกระเบื้องที่ไม่ใช่แค่เรื่องพื้นๆ

สร้างบ้านสักหลังว่ายากแล้ว การตกแต่งภายในนั้นยากและเสียเวลายิ่งกว่า ว่ากันแค่เรื่องของกระเบื้อง ก็คิดกันหนักแล้วว่าควรจะเลือกชนิดไหนให้เข้ากับห้อง ใช้ลวดลายอะไร มีคุณสมบัติอะไรบ้าง แค่นี้ก็ปวดหัวแล้ว นี่ยังไม่นับ การติดต่อช่างผู้รับเหมาฝีมือดี ไม่ทิ้งงานอีก สิ่งเหล่านี้จะไม่เป็นปัญหาเลยคะ ถ้าได้รู้จักกับโลกของกระเบื้องอย่าง COTTO LIFE  ซึ่งตั้งอยู่บริเวณชั้น 2 ของอาคาร SCG Experience ที่ Crystal Design Center เลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา   ทีมงาน Reviewyourliving ได้มีโอกาสไปเดินชม COTTO LIFE บนพื้นที่ 1,300 ตารางเมตร ที่เพิ่งจะปรับปรุง กันไปเมื่อช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมาคะ ที่นี่มีหลากหลายเรื่องราวของกระเบื้องที่สร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อนักออกแบบ สถาปนิก ไปจนถึงกลุ่มคนรักบ้านจะต้องเดินชมกันเพลินแน่นอนคะ โดยที่ชั้น 2 ของ SCG Experience แห่งนี้จะเป็น COTTO LIFE ทั้งชั้น ซึ่งจะมีทั้ง กระเบื้องทั้งนำเข้า และผลิตในประเทศ รวมถึงสุขภัณฑ์ ก๊อกน้ำหลากหลายชนิด แต่ครั้งนี้เราจะโฟกัสกันที่เรื่องของ กระเบื้องคะ เริ่มกันที่ฝั่งของกระเบื้องนำเข้า Italia Collection ถือเป็นจุดเริ่มต้นของความเป็น Exclusive Products ของ COTTO ด้วยความร่วมมือกันระหว่าง COTTO กับ บริษัท ฟลอริม เซรามิเช่ เอส.พี.เอ. จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายกระเบื้องชั้นนำ จากประเทศอิตาลี ร่วมกันออกแบบ วิจัยและพัฒนาสินค้าพร้อมอาศัยเทคโนโลยีและฐาน การผลิต เพื่อออกมาเป็น กระเบื้องพอร์ซเลน (Porcelain) อิตาลีแท้ 100% โดยมุ่งจับกลุ่มลูกค้าระดับไฮเอนด์ ไม่ว่าจะเป็นสถาปนิก นักออกแบบ ซึ่งเรามักจะเห็น เข้าไปอยู่ในโปรเจคใหญ่ๆ อย่างห้างสรรพสินค้า โรงแรม สปา ร้านอาหาร หรือแม้แต่ ในบ้านของคุณเองในจุดที่อยากให้เป็นไฮไลท์พิเศษของบ้าน     ด้วยความที่ Italia Collection ได้แรงบันดาลใจจากเรื่องราวของธรรมชาติจริง เน้นลวดลายตามแบบธรรมชาติไม้ จากต่างประเทศ รวมถึงลายหิน หินอ่อน ลายไม้ อย่างกระเบื้องลายไม้โอ๊ค ก็จะมีมีความเป็นโอ๊คที่แตกต่างกัน ในแต่ละลักษณะของป่า ช่วงฤดูการเติบโต และไม่ใช่แค่เรื่องของลวดลาย แต่จะได้ผิวสัมผัสที่เลียนแบบลายไม้จริงด้วยเช่นกัน เพื่อให้ได้อารมณ์เหมือนอยู่กับธรรมชาติมากที่สุด   กระเบื้องลายหินอ่อน Grande Collection เป็นผลิตภัณฑ์ที่ค่อนข้างมีความเป็น Exclusive ที่แทบจะเรียกได้ว่าเป็น Limited Collection ลายหินอ่อน เพราะการออกแบบได้แรงบันดาลใจจากธรรมชาติจริง ซึ่งหาได้ยากแล้ว โดยลวดลายที่เห็นจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ไม่ตายตัว โดยพัฒนาจากอิตาลี ด้วยเทคโนโลยี Continue af plus ที่ทำให้ลายหินร้อยเรียงต่อกันอย่าง Smooth ที่สุด เหมาะสำหรับใครที่อยากได้ผนังสักด้านที่เป็นไฮไลท์ ดูโดดเด่นขึ้นมา หรือจะทำเป็น Top เคาน์เตอร์ แม้กระทั่งกรุฟาซาดภายนอก   คุณสมบัติ น้ำหนักเบา แผ่นใหญ่พิเศษ โดยมีไซส์ใหญ่ที่สุด 1.6*3.2 สามารถปูได้อย่างไร้รอยต่อ ดูดซึมน้ำค่อนข้างต่ำมาก ทำให้ไม่สะสมคราบ ไม่เกิดเชื้อรา ทำความสะอาดง่าย ทนต่อการกัดกร่อน ทนความร้อนได้ดีเยี่ยม ที่สำคัญคือ มีความทนทานมากกว่าหินจากธรรมชาติ     Texture ไม่เหมือนใครด้วย Espanya Collection ดีไซน์และผลิตจากสเปน จะได้เบจแบบ Earth Tone แต่จะมีความแตกต่างด้วยการเน้น Texture มีให้เลือก 6-8 ลาย เน้นการใช้งาน Outdoor   GEOLUXE เมื่อหินจากธรรมชาติเริ่มหาได้ยากเต็มที ประกอบกับการหันมาใส่ใจดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น จึงเกิดเป็นหิน Pyrolytic Stone ที่พัฒนามาจากการวิจัยใน Lab ซึ่ง Built มาทั้งชิ้น เนื้อเดียวกันทั้งหมด ทำให้ได้หินแผ่นใหญ่ มีความหนา 10-12 มม. น้ำหนักมาก ทนการถูกกระแทกหนักๆได้ดี และทนความร้อนสูง จึงนิยมนำมาเป็น Top ครัว แต่ต้องวางอยู่บนเคาน์เตอร์ที่มีฐานแข็งแรง แน่นหนาตามไปด้วย และทั้งแผ่นจะโชว์ให้เห็นลวดลายเส้นสาย ของแร่หินที่สั่งสมกว่าพันปี จนกลายเป็นหินแผ่นใหญ่ แต่สามารถสั่งตามขนาดที่ต้องการได้   โซน Italia Collection นี้ เหมาะกับงานสไตล์โมเดิร์น เรียบง่าย แต่โดดเด่น ล้ำสมัย ซึ่งก็ตรงตามความต้องการของ COTTO เอง ที่ตั้งใจเจาะกลุ่มไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่มากขึ้น   COTTO Collection มาถึงโซนของ COTTO ที่ผลิตเองในประเทศ ราคาก็จับต้องได้ง่ายขึ้น แต่คุณภาพยังคงไม่ลดน้อยลงไปกว่ากันเท่าไรนัก เพราะยังคงเน้นคุณสมบัติดูดซึมน้ำต่ำ แข็งแรง รองรับน้ำหนักได้ดี ทนทานต่อการเสียดสีและขูดขีด เนื้อสีขาว เนื้อเดียวกันตลอดทั้งแผ่น รองรับการทุกใช้งานพื้น ผนัง ทั้งนอกบ้านและในบ้าน มีให้เลือกมากกว่า 80 ซีรี่ย์ ในเรื่องของลวดลายกระเบื้อง พยายามตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมืองที่โหยหายความเป็นธรรมชาติย่งขึ้น ซึ่งเทรนด์ ลายตามธรรมชาติได้รับความนิยมขึ้นเรื่อยๆ โดยจะเลียนแบบลายไม้ ลายหินพื้นถิ่นในบ้านเรา ให้สัมผัสต่างกันออกไป   กระเบื้องโมเสก  ระยะหลังมานี้กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งคะ ส่วนใหญ่เราจะเห็นการใช้ตกแต่ง ในร้านคาเฟ่กันเยอะขึ้น ด้วยความที่เป็นกระเบื้องชิ้นเล็กจึงสามารถเข้าไปอยู่ได้ในทุกพื้นที่ เน้นไปที่การตกแต่งเพิ่มสีสัน แต่เนื้อกระเบื้องจะเหมือนกับกระเบื้องแผ่นใหญ่ รวมถึงคุณสมบัติในการใช้งานได้ทั้งภายนอกและภายในเช่นกัน   นอกเหนือจากผลิตภัณฑ์สวยงาม ดูทันสมัยแล้ว เรื่องการบริการก็สำคัญไม่แพ้กันคะ เพราะ COTTO LIFE มีผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำทั้งเรื่องการออกแบบด้วยโปรแกรม 3D ของทีม Creative Designer ให้เห็นภาพจริงก่อนตัดสินใจ บริการติดตั้ง Tile Installation Service ไปจนถึงการรับประกันยาวนาน ด้วยตัวผลิตภัณฑ์เอง ที่มีความโดนเด่นเฉพาะตัว แตกต่างจากท้องตลาดทั่วไป จึงจำเป็นต้องใช้ช่าง ที่มีความชำนาญเฉพาะ รวมถึงอุปกรณ์พิเศษในการติดตั้ง เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดกับบ้านของคุณ   แม้ว่าที่ COTTO LIFE แห่งนี้จะเปิดให้ผู้ที่สนใจเข้ามาสัมผัสสินค้าจริง แต่ถ้าไม่สะดวกเดินทางมาล่ะก็ เขามีบริการ ซื้อผ่านออนไลน์ได้ และยังบริการส่งฟรีถึงบ้านอีกด้วยคะ