Tag : living

432 ผลลัพธ์
จะก่อสร้างบ้านต้องรู้เรื่องระยะห่างระหว่างอาคารกรณีอยู่ในที่ดินเจ้าของเดียวกัน

จะก่อสร้างบ้านต้องรู้เรื่องระยะห่างระหว่างอาคารกรณีอยู่ในที่ดินเจ้าของเดียวกัน

หลายครอบครัวเมื่อลูกหลานโตพอ หรือมีการแต่งงานสร้างครอบครัวใหม่ บางครั้งก็วางแผนต่อเติม ปรับปรุงบ้าน หรือสร้างบ้านใหม่อีกหลังในที่ดินเดียวกับบ้านหลังเดิม เพื่อที่จะได้อยู่ใกล้ๆ กัน หรือบางท่านมีที่ดินผืนใหญ่ แล้ววางแผนจะสร้างบ้านหลายหลังบนที่ดินผืนนั้น เพื่อให้ลูกหลานอยู่รวมกันเป็นครอบครัวใหญ่ แต่ยังไม่ได้แยกกรรมสิทธิ์ที่ดินออกไป ถ้าท่านกำลังมีแผนเช่นที่ว่าอยู่พอดี หากได้ศึกษาเกี่ยวกับกฎหมายต่อเติม สร้างบ้าน ก็จะทราบว่า กฎหมายควบคุมอาคารมีข้อกำหนดเรื่องการก่อสร้างอาคารในที่ดินเจ้าของเดียวกันไว้  โดยอาคารแต่ละหลังจะต้องมีระยะห่างระหว่างกัน  ดังนั้น ไม่ว่าท่านกำลังจะก่อสร้างบ้านใหม่อีกหลังใกล้กับบ้านหลังเดิม หรือท่านกำลังสร้างบ้านใหม่หลายหลังพร้อมกัน ถ้าบ้านทั้งสองหลังหรือหลายหลังนั้นสร้างอยู่ในที่ดินเจ้าของเดียวกันจะต้องคำนึงถึงระยะห่างระหว่างอาคารด้วย บ้านแต่ละหลังจะต้องมีระยะห่างระหว่างกันไม่น้อยกว่าที่กฎหมายกำหนด ซึ่งกำหนดไว้ในข้อ 48 ของกฎกระทรวงฉบับที่ 55 (พ.ศ. 2543) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ระยะห่างระหว่างบ้านหรืออาคารในที่ดินเจ้าของเดียวกัน จะห่างเท่าใด กฎหมายกำหนดให้พิจารณาจาก 2 เงื่อนไข คือ 1) ความสูงของอาคารทั้งสองหลัง และ 2) ผนังของอาคารทั้งสองหลังด้านที่ใกล้กันนั้นเป็นผนังทึบหรือมีช่องเปิด-ช่องแสง-ระเบียง แยกเป็น 3 กรณี ดังนี้ กรณีที่ 1 เมื่อผนังอาคารด้านที่ใกล้กันเป็นผนังที่มีช่องเปิด-ช่องแสงหรือมีระเบียง ทั้งสองหลัง ผนังของอาคารด้านที่มี หน้าต่าง ประตู ช่องระบายอากาศหรือช่องแสงหรือระเบียงของอาคาร ต้องมีระยะห่างจากผนังของอาคารอื่นด้านที่มีหน้าต่าง ประตู ช่องระบายอากาศหรือช่องแสง หรือระเบียงของอาคาร ดังต่อไปนี้ (ก) อาคารที่มีความสูงไม่เกิน 9 เมตร ผนังหรือระเบียงของอาคารต้องอยู่ห่างจากผนังหรือระเบียงของอาคารอื่นที่มีความสูงไม่เกิน 9 เมตร ไม่น้อยกว่า 4 เมตร (ข) อาคารที่มีความสูงไม่เกิน 9 เมตร ผนังหรือระเบียงของอาคารต้องอยู่ห่างจากผนังหรือระเบียงของอาคารอื่นที่มีความสูงเกิน 9 เมตร แต่ไม่ถึง 23 เมตร ไม่น้อยกว่า 5 เมตร (ค) อาคารที่มีความสูงเกิน 9 เมตร แต่ไม่ถึง 23 เมตร ผนังหรือระเบียงของอาคารต้องอยู่ห่างจากผนังหรือระเบียงของอาคารอื่นที่มีความสูงเกิน 9 เมตร แต่ไม่ถึง 23 เมตร ไม่น้อยกว่า 6 เมตร กรณีที่ 2 เมื่อผนังอาคารด้านที่ใกล้กัน มีหลังหนึ่งเป็นผนังทึบ และอีกหลังเป็นผนังที่มีช่องเปิด-ช่องแสง หรือมีระเบียง ผนังของอาคารด้านที่เป็นผนังทึบต้องมีระยะห่างจากผนังของอาคารอื่นด้านที่มี หน้าต่าง ประตู ช่องระบายอากาศหรือช่องแสง หรือระเบียงของอาคาร ดังต่อไปนี้ (ก) อาคารที่มีความสูงไม่เกิน 15 เมตร ผนังของอาคารต้องอยู่ห่างจากผนังหรือระเบียงของอาคารอื่นที่มีความสูงไม่เกิน 9 เมตร ไม่น้อยกว่า 2 เมตร (ข) อาคารที่มีความสูงไม่เกิน 15 เมตร ผนังของอาคารต้องอยู่ห่างจากผนังหรือระเบียงของอาคารอื่นที่มีความสูงเกิน 9 เมตร แต่ไม่ถึง 23 เมตร ไม่น้อยกว่า 3 เมตร (ค) อาคารที่มีความสูงเกิน 15 เมตร แต่ไม่ถึง 23 เมตร ผนังของอาคารต้องอยู่ห่างจากผนังหรือระเบียงของอาคารอื่นที่มีความสูงไม่เกิน 9 เมตร ไม่น้อยกว่า 2.50 เมตร (ง) อาคารที่มีความสูงเกิน 15 เมตร แต่ไม่ถึง 23 เมตร ผนังของอาคารต้องอยู่ห่างจากผนังหรือระเบียงของอาคารอื่นที่มีความสูงเกิน 9 เมตร แต่ไม่ถึง 23 เมตร ไม่น้อยกว่า 3.50 เมตร กรณีที่ 3 เมื่อผนังอาคารด้านที่ใกล้กัน เป็นผนังทึบทั้งสองหลัง และทั้งสองหลังมีความสูงเกิน 15 เมตรแต่สูงไม่ถึง 23 เมตร ผนังของอาคารที่มีความสูงเกิน 15 เมตร แต่ไม่ถึง 23 เมตร ด้านที่เป็นผนังทึบต้องอยู่ห่างจากผนังของอาคารอื่นที่มีความสูงเกิน 15 เมตร แต่ไม่ถึง 23 เมตร ด้านที่เป็นผนังทึบไม่น้อยกว่า 1 เมตร กรณีที่ 3 นี้ ถ้าเป็นอาคารที่ก่อสร้างอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร ระยะห่างจะต้องไม่น้อยกว่า 2 เมตรนะครับ เนื่องจากมีข้อกำหนดเรื่องที่ว่างโดยรอบอาคารที่สูงเกิน 15 เมตรไว้ สำหรับกรณีที่ 2 และกรณีที่ 3 ถ้าหากมีอาคารหลังใดหลังหนึ่งหรือทั้งสองหลังชั้นบนสุดทำเป็นดาดฟ้าขึ้นไปใช้สอยได้ กฎหมายยังได้กำหนดอีกว่า ผนังของดาดฟ้าของอาคารด้านที่อยู่ใกล้กับอาคารอื่นต้องสร้างเป็นผนังทึบสูงจากพื้นดาดฟ้าไม่น้อยกว่า 1.80 เมตรอีกด้วย   ขอขอบคุณข้อมูลจาก  www.scgbuildingmaterials.com
6 วิธีเด็ดไล่ตุ๊กแก ให้รีบเผ่นหนีออกจากบ้าน

6 วิธีเด็ดไล่ตุ๊กแก ให้รีบเผ่นหนีออกจากบ้าน

หลายคนคงขยาดกับเจ้าสัตว์เลื้อยคลานอย่าง “ตุ๊กแก” อยู่ไม่น้อย ทั้งรูปร่าง  ลวดลาย เสียงร้อง และความเหนียวหนึบของมัน ยิ่งทำให้ความน่ากลัวของเจ้าตัวลายเพิ่มมากขึ้น เราจึงมีวิธีเด็ดๆ ในการไล่ตุ๊กแกออกจากบ้านมาฝากกันครับ ไล่ตุ๊กแกด้วย "ยาฉุน" กลิ่นฉุนแรงๆ ถือเป็นสิ่งที่เจ้าตุ๊กแกเกลียดเข้าไส้ ยาฉุน หรือ ยาเส้นที่คนแก่สูบจึงช่วยเราได้ โดยอาจนำไปผสมกับน้ำแล้วนำมาเทหรือฉีดให้ทั่วบริเวณที่ตุ๊กแกอยู่ นอกจากนี้ยังสามารถแบ่งยาฉุนเป็นก้อนๆ เท่าลูกปิงปอง มัดด้วยหนังยางแล้วนำไปวางบริเวณที่ตุ๊กแกอยู่ครับ "ยี่โถ" ก็ไล่ตุ๊กแกได้ หากมีต้นยี่โถปลูกติดสวน ให้ตัดกิ่งยี่โถแล้วนำมาวางบริเวณที่ตุ๊กแกชอบอยู่ หรือนำใบมาขยำให้กลิ่นออกแล้วนำไปวาง เพียงเท่านี้เจ้าตุ๊กแกตัวลายก็หนีไปไกลแล้วครับ ไล่ตุ๊กแกแบบง่ายแค่ใช้ "ผ้าห่อลูกเหม็น"  ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเหม็น เพราะฉะนั้นเรื่องกลิ่นนี่ถือว่ากำราบเจ้าตุ๊กแกได้แน่นอน เพียงนำผ้ามาห่อลูกเหม็นแล้วเอาไปวางตรงที่ตุ๊กแกชอบอยู่ แค่นี้เจ้าตุ๊กแกก็โบกมือบ๊ายบายลาจากบ้านแล้วล่ะ ปูนแดงผสมยาเส้น แหย่ไล่ตุ๊กแก ผสมปูนแดงเข้ากับยาเส้นแล้วนำมาพันที่ปลายไม้ จากนั้นแหย่ไม้ไปที่ตุ๊กแก ซึ่งตามสัญชาติญาณตุ๊กแกจะงับปลายไม้ทันที พองับแล้วก็จะเมายา บางตัวตกลงมาที่พื้น บางตัวงับติดอยู่กับปลายไม้ แล้วก็รีบนำเอาไปทิ้งได้เลย ไล่ตุ๊กแกด้วยกลิ่นฉุนจากใบน้อยหน่ากับใบสาบเสือ  นำใบน้อยหน่าและใบสาบเสือในจำนวนเท่ากันมาตำให้ละเอียดขนกลิ่นออก แล้วหาผ้าบางๆ มาห่อและนำไปวางที่ตุ๊กแกอยู่ รับรองว่ากลิ่นของมันจะไล่ตุ๊กแกให้วิ่งแจ้นไปไกลเลยล่ะ ใช้เชือกไล่ตุ๊กแก ด้วยการคล้อง   วิธีนี้ต้องลงแรงและอาศัยความกล้ากันสักหน่อยครับ ด้วยการนำเชือกเส้นเล็กๆ มาผูกเงื่อนเป็นบ่วงรูด แล้วนำไปผูกติดกับไม้ยาว คราวนี้ก็นำไปคล้องจับเจ้าตุ๊กแกไปปล่อยกันได้เลย แอบกระซิบนิดหน่อย ว่าอย่าให้เจ้าตุ๊กแกรู้ตัวเชียวนะ ไม่งั้นมันจะหนีเราไปไกล ตามจับกันแทบไม่ทันเลยล่ะ   6 วิธีนี้ สามารถทำได้ด้วยตัวเอง เพราะหาอุกปกรณ์ได้ง่าย ไร้สารเคมี จึงทำให้ปลอดภัยทั้งตัวเราและตุ๊กแกครับ แม้ว่าเราจะอยากไล่ตุ๊กแกให้ออกจากบ้านไป ก็ไม่ได้หมายความต้องไปลงมือฆ่าเจ้าตุ๊กแกใช่ไหมล่ะครับ ความรู้อื่นๆ ในการไล่ตุ๊กแก ตุ๊กแกบ้าน บทความที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ไล่จิ้งจกไปให้ไกลบ้าน ง่ายนิดเดียว วิธีไล่หนูบนเพดานบ้าน กำจัดปลวก ด้วยวิธีธรรมชาติ วิธีกำจัดมด ด้วยของใกล้ตัว
ท่อตัน ปัญหาไม่เล็ก ที่ป้องกันและแก้ไขได้

ท่อตัน ปัญหาไม่เล็ก ที่ป้องกันและแก้ไขได้

ปัญหา “ท่อตัน” สามารถเกิดขึ้นได้และอาจส่งผลกระทบกับส่วนอื่นๆ ของบ้านตามมา หากพบอาการเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นและคาดว่าน่าจะเป็นเพราะท่อตันแล้วละก็ ควรหาสาเหตุของปัญหาและรีบแก้ไขให้เร็วที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหานั้นใหญ่ลุกลามจนยากต่อการแก้ไข ท่อตัน มักมีสาเหตุหลักมาจากการสะสมของคราบ เศษสิ่งสกปรก มารวมตัวกันจนเป็นก้อนที่อุดตันทางเดินจนน้ำไม่สามารถระบายได้ดี โดยมักเกิดตามจุดต่างๆ ตั้งแต่ ท่อระบายน้ำฝน ท่อต่างๆ ในห้องน้ำ และท่อในห้องครัว ท่อระบายน้ำฝน มีหลายส่วนที่มีโอกาสเกิดการอุดตัน ตั้งแต่ รางน้ำฝนบนหลังคา พื้นดาดฟ้า และพื้นระเบียง ซึ่งมีสาเหตุมาจากการสะสมของเศษผง ใบไม้แห้ง รวมถึงรังนก ที่ถูกสะสมในรางมาสักระยะหนึ่ง และมีปริมาณมากพอที่จะทำให้เกิดการอุดตันได้ สำหรับรางน้ำฝน สามารถแก้ได้โดยขจัดเศษสิ่งสกปรกและเศษใบไม้บริเวณปากท่อและภายในท่อระบายน้ำออกให้หมด จากนั้น ควรป้องกันไม่ให้เศษสิ่งสกปรกตกลงไปได้ แล้วจึงติดตั้งตะแกรงครอบบนรางน้ำฝน ส่วนพื้นดาดฟ้าหรือพื้นระเบียง แก้ได้โดยขจัดสิ่งสกปรกบริเวณปากท่อและภายในท่อเช่นเดียวกับกรณีรางน้ำฝน และเลือกใช้ฝาครอบท่อระบายน้ำแบบ Roof Drain จุดที่สามารถเกิดการอุดตันได้ เช่น ท่อระบายน้ำของรางน้ำฝน พื้นดาดฟ้า และพื้นระเบียง ท่อต่างๆ ในห้องน้ำ ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของอ่างล้างหน้า อ่างอาบน้ำ ท่อระบายน้ำที่พื้น ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากเศษผม ไขสบู่ ยาสีฟัน เศษอาหาร และไขมัน สามารถแก้ไขเบื้องต้นได้โดยการใช้น้ำยาขจัดท่อระบายน้ำ อุดตันสูตรไม่กัดกร่อนท่อระบายน้ำ (ตามวิธีที่ผู้ผลิตกำหนด) แต่หากยังไม่ดีขึ้นจะต้องแก้ไขเฉพาะจุดที่ยังคงอุดตัน เช่น การใช้ลวดเหล็กเกี่ยวเศษสิ่งสกปรก หรืองูเหล็กทะลวงเอาสิ่งสกปรกที่ติดค้างให้หลุดออกมา หลังจากแก้ไขแล้ว ควรป้องกันโดยเลือกตะแกรงถี่ๆ มาติดตั้งบริเวณปากท่อเพิ่มเข้าไป (ในกรณีที่สามารถทำได้) รวมทั้งทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ นอกจากเรื่องท่อต่างๆ ในห้องน้ำแล้ว ยังมีเรื่อง “ส้วมตัน” ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากเศษขยะที่ย่อยสลายได้ยาก เช่น เศษกระดาษทิชชู่ ผ้าอนามัย หรือเศษขยะชิ้นใหญ่ติดค้างในท่อน้ำทิ้งจากโถสุขภัณฑ์ ปัญหานี้แก้ไขได้โดยการใช้ไม้ยางปั๊ม กดให้เกิดแรงดันเพื่อดันน้ำและสิ่งอุดตันให้เคลื่อนผ่านลงไป ทั้งนี้ สามารถป้องกันได้โดยการติดตั้ง Cleanout สำหรับใช้เปิดทำความสะอาดได้ในกรณีเกิดการอุดตันภายในท่อ นอกจากนี้ การทิ้งเศษขยะที่ย่อยสลายยากลงไปบ่อยๆ จะทำให้ถังบำบัดสำเร็จรูปหรือบ่อเกรอะ-บ่อซึม เต็ม ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาที่ยุ่งยากต่อการแก้ไขในอนาคต จึงควรระมัดระวังการทิ้งเศษขยะลงไป ท่อน้ำทิ้งอ่างล้างหน้าแบบ Bottle Trap และแบบ P-Trap ที่สามารถถอดออกมาล้างทำความสะอาดได้ การติดตั้ง Floor Cleanout จะช่วยให้ง่ายต่อการทำความสะอาดกรณีเกิดการอุดตัน ส่วนท่อในห้องครัว จะเกิดการอุดตันที่อ่างล้างจานซึ่งรองรับการล้างผักล้างอาหาร รวมถึงจานชามและอุปกรณ์ที่ใช้แล้ว จึงทำให้มีคราบไขมัน เศษอาหาร และสิ่งสกปรกสะสมที่บริเวณนี้มากกว่าส่วนอื่นๆ จนทำให้การระบายน้ำ เป็นไปได้ช้า หรือไม่สามารถระบายไปได้ ซึ่งมี 3 ส่วนที่จะต้องแก้ไขคือ ตะแกรงดักเศษอาหารที่ต้องเอาอาหารออกมาทิ้งและล้างทำความสะอาดให้เรียบร้อย กระปุกท่อน้ำทิ้งใต้อ่างล้างจานที่แก้ได้โดยหมุนเกลียวถอดออกมาล้างทำความสะอาด รวมถึงการใช้งูเหล็กช่วยในการกระทุ้งทะลวงท่อที่ติดอยู่กับผนังให้สิ่งอุดตันที่ตกค้างหลุดออกมา และบ่อดักไขมัน ที่ต้องเปิดฝาถังออกเพื่อตักไขมันใส่ถุงขยะโดยปิดอย่างมิดชิดมัดแน่นหนา และทิ้งให้ถูกที่โดยมีการแยกขยะอย่างเหมาะสม สะดือซิงค์ล้างจานแบบที่มีตะกร้ากรองหรือตะแกรงดักเศษอาหาร ซึ่งควรเคาะเศษอาหารทิ้งทุกวัน เพื่อไม่ให้เศษอาหารเกิดการบูดเน่า อันอาจเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค บ่อดักไขมัน ที่ทำหน้าที่ดักและแยกชั้นไขมันออกจากน้ำเสียจากซิงค์ครัว ซึ่งควรเปิดฝาถังออกเพื่อตักไขมันออกไปทิ้งเป็นประจำ แม้ว่าปัญหาการอุดตันเหล่านี้ จะสามารถแก้ไขได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็สามารถป้องกันไว้ก่อนได้ โดยการวางระบบท่อและติดตั้งอุปกรณ์ที่สามารถเปิดหรือถอดเพื่อทำความสะอาดได้ ที่สำคัญยังต้องอาศัยความร่วมมือของทุกคนในบ้าน ลดการทิ้งเศษสิ่งสกปรกต่างๆ ลงไป รวมถึงทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ ก็จะช่วยลดปัญหาการอุดตันและสามารถใช้งานได้อย่างยาวนาน   ขอขอบคุณข้อมูลจาก www.scgbuildingmaterials.com
สร้างบ้านใหม่เลือกแบบบ้านชั้นเดียวหรือแบบบ้านสองชั้นดี?

สร้างบ้านใหม่เลือกแบบบ้านชั้นเดียวหรือแบบบ้านสองชั้นดี?

สำหรับใครที่มีที่ดินอยู่แล้ว และอยู่ในขั้นตอนกำลังตัดสินใจจะสร้างบ้าน แต่ยังไม่รู้ว่าจะเลือกแบบบ้านชั้นเดียว หรือแบบบ้านสองชั้นดี  ลองพิจารณาจากปัจจัยและความเหมาะสมในด้านต่างๆ ต่อไปนี้เพื่อช่วยตัดสินใจ 1. ความต้องการ/ฟังก์ชั่น และขนาดพื้นที่ใช้สอย การกำหนดความต้องการใช้งานในบ้านหรือฟังก์ชั่นของบ้าน จะมีผลต่อขนาดพื้นที่ใช้สอย จำนวนชั้นและลักษณะของบ้าน ยกตัวอย่างเช่น ปลูกเรือนหอสามชั้นเพื่อเตรียมขยายครอบครัวซึ่งมีความต้องการพิเศษ เช่น ห้องอเนกประสงค์ ห้องทำงาน ฯลฯ,  สร้างบ้านใหม่สองชั้นโดยเตรียมพื้นที่สำหรับพ่อแม่อยู่อาศัย (ผู้สูงอายุ) ในชั้นล่าง, สร้างบ้านชั้นเดียวเพื่ออยู่อาศัยในวัยชรา, สร้างบ้าน 4 ชั้นเพื่อทำธุรกิจควบคู่ด้วย เช่น สำนักงาน ร้านกาแฟ ร้านอาหาร หรือปล่อยเช่าบางส่วน เป็นต้น ดังนั้น เจ้าของบ้านควรทำรายการความต้องการใช้สอยพื้นที่ของบ้านในส่วนต่างๆ เตรียมไว้ เพื่อปรึกษาสถาปนิกให้ออกแบบตรงตามความต้องการ หรือเลือกแบบบ้านที่ใกล้เคียงกับความต้องการมากที่สุด สำหรับครอบครัวที่มีสมาชิกในบ้านน้อยประมาณ 1-3 คน อาจเลือกแบบบ้านชั้นเดียวได้ หากไม่ได้มีความต้องการพื้นที่ใช้สอยมากนัก นอกจากนี้แบบบ้านชั้นเดียวยังเหมาะกับผู้สูงอายุ หรือผู้พิการ โดยทำเป็นพื้นระดับเดียวไม่มีขั้นบันได เพื่อช่วยลดความเสี่ยงที่อาจเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ ส่วนครอบครัวที่มีสมาชิกหลายคนหรือบ้านที่ทำธุรกิจควบคู่ไปด้วย แบบบ้านสองชั้นหรือหลายชั้นจะตอบโจทย์การใช้งานมากกว่า เพราะสามารถออกแบบและจัดสรรพื้นที่ใช้สอยให้เหมาะสม เพียงพอต่อการใช้งาน เช่น มีสวนภายนอกสำหรับเด็กหรือสัตว์เลี้ยง มีบ่อปลาคาร์พ มีพื้นที่จอดรถได้หลายคัน ออกแบบพื้นที่และห้องนอนและห้องน้ำสำหรับผู้สูงอายุโดยเฉพาะ หรือแบ่งพื้นที่ชั้นล่างเป็นส่วนที่คนนอกเข้าใช้งานได้เป็นร้านหรือสำนักงาน (Public Space) ส่วนชั้นบนทำเป็นพื้นที่อยู่อาศัยส่วนตัว (Private Space) เป็นต้น นอกจากนี้ ความชอบเรื่องสเปซ (Space) ก็เป็นอีกปัจจัยในการเลือกแบบบ้านเช่นกัน สำหรับบ้านชั้นเดียวสามารถออกแบบให้มีห้องโถงสูงทั้งหลัง (ฝ้าเพดานยกสูง) เพื่อช่วยทำให้ห้องดูโปร่งสบายได้ โดยยังกลมกลืนกับบ้านพักอาศัยโดยรอบ ส่วนบ้านสองชั้นสามารถเพิ่มลูกเล่นให้พื้นที่พิเศษได้ เช่น ทำห้องโถงหรือห้องรับแขกแบบดับเบิ้ลสเปซ (Double Space) หรือแม้แต่การเล่นระดับพื้นสูงต่ำภายในบ้านเพื่อแบ่งพื้นที่ส่วนต่างๆ ก็ได้เช่นกัน 2. ขนาดที่ดิน และทำเลที่ตั้ง ขนาดที่ดินก็นับว่าเป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจเลือกแบบบ้านชั้นเดียวหรือแบบบ้านสองชั้น เนื่องจากการสร้างบ้านก็มีกฎหมายควบคุมซึ่งต้องคำนึงถึงระยะร่นแนวอาคารดังนั้นเมื่อมีที่ดินพร้อมปลูกบ้านแล้ว เจ้าของบ้านจะทราบขนาดพื้นที่ที่สามารถสร้างบ้านได้เมื่อหักลบระยะร่นออกไป จากนั้นจึงพิจารณาความเหมาะสมในการสร้างบ้านให้เหมาะสมกับขนาดที่ดิน เช่น หากมีที่ดินขนาดใหญ่ จะสามารถสร้างบ้านชั้นเดียวหรือสองชั้นก็ได้ตามฟังก์ชั่นการใช้งาน แต่หากมีที่ดินขนาดเล็กซึ่งเมื่อหักลบระยะร่นออกแล้ว การสร้างบ้านสองชั้นหรือมากกว่าสองชั้นนั้นอาจเหมาะสมกว่า เพราะสามารถเพิ่มขนาดพื้นที่ใช้สอยในทางสูงได้ โดยไม่ควรสร้างบ้านที่มีความสูงเกินที่กฎหมายกำหนดตามแต่ละพื้นที่เช่นกัน ด้านทำเลที่ตั้ง ควรดูบริบทโดยรวมว่าที่ดินอยู่ในพื้นที่แบบใด เช่น ที่ดินอยู่ในเขตชุมชนเมืองที่มีตึกสูงรายล้อม อยู่ในหมู่บ้านจัดสรร อยู่ใกล้แหล่งน้ำ หรือมีที่ดินอยู่ในเขตที่เสี่ยงน้ำท่วม บริบทและสภาพ:แวดล้อมเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการออกแบบบ้าน ลักษณะของบ้านที่จะสร้างจึงต้องพิจารณาด้านทำเลที่ตั้งร่วมด้วยตามความเหมาะสม เช่น สร้างบ้านแบบอาคารสามชั้นในเขตชุมชนเมืองเนื่องจากพื้นที่ขนาดเล็ก สร้างบ้านเดี่ยวสองชั้นในหมู่บ้านจัดสรร หรือสร้างบ้านใต้ถุนสูงในเขตพื้นที่ที่มีความเสี่ยงน้ำท่วม เป็นต้น 3. งบประมาณการก่อสร้าง งบประมาณเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่เป็นตัวกำหนดการสร้างบ้าน  เพราะหากเปรียบเทียบระหว่างบ้านชั้นเดียวและบ้านสองชั้นที่มีพื้นที่ใช้สอยเท่ากันแล้ว บ้านสองชั้นจะมีราคาก่อสร้างที่ต่ำกว่า เพราะไม่ต้องลงเสาเข็มในพื้นที่บริเวณกว้าง และขนาดผืนหลังคาขนาดเล็กกว่าบ้านชั้นเดียว อย่างไรก็ตาม ราคาการก่อสร้างก็ขึ้นอยู่กับการเลือกใช้วัสดุก่อสร้างและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ร่วมด้วย ควรศึกษาข้อมูล หรือปรึกษาสถาปนิกก่อนตัดสินใจ 4. การดูแลรักษา นอกจากการอยู่อาศัยแล้ว การดูแลรักษาก็เป็นสิ่งที่ควรพิจารณา สำหรับบ้านชั้นเดียวจะเป็นบ้านที่ดูแลรักษาได้ง่าย เช่น การเช็ดกระจก ทำความสะอาดผนังและรางน้ำฝน การซ่อมแซมงานหลังคา ฯลฯ แต่สำหรับบ้านสองชั้นหรือมากกว่าสองชั้นนั้นจะดูแลรักษาลำบากกว่าเพราะระดับความสูง อาจต้องใช้บันได หรืออุปกรณ์เสริมอื่นๆ ในการทำความสะอาด หรือซ่อมแซมส่วนต่างๆ 5. การต่อเติมในอนาคต หากคิดไว้ว่าในอนาคตอาจมีการต่อเติม โดยเฉพาะการต่อเติมขยายพื้นโดยรอบ เช่น ปลูกบ้านอีกหลังเชื่อมกับบ้านเดิม ต่อเติมห้องครัว ต่อเติมห้องนอนชั้นล่าง ฯลฯ ซึ่งต้องมีพื้นที่เพียงพอสำหรับการก่อสร้าง การเลือกแบบบ้านสองชั้นที่ประหยัดการใช้ที่ดินมากกว่าก็อาจจะเหมาะกว่าการเลือกแบบบ้านชั้นเดียวที่มีพื้นที่ใช้สอยเท่ากัน หรือหากวางแผนต่อเติมเพิ่มจำนวนชั้นในอนาคต ซึ่งในช่วงแรกของการอยู่อาศัยจะเป็นบ้านชั้นเดียว โดยเตรียมทำแบบบ้านสองชั้นไว้ตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ ไม่ว่าจะเป็น รูปแบบหน้าตาบ้าน งานโครงสร้าง รวมถึงงานระบบต่างๆ เป็นต้น หลังจากพิจารณาปัจจัยต่างๆ ที่กล่าวมาเพื่อเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจเลือกแบบบ้านแล้ว ไม่ว่าจะตัดสินใจเลือกแบบบ้านชั้นเดียวหรือแบบบ้านสองชั้นก็ตาม สิ่งสำคัญของการสร้างบ้านขึ้นมาสักหลังคือ ควรตอบโจทย์การใช้งานของสมาชิกในบ้าน อยู่แล้วมีความสุขสบาย ปลอดภัย และไม่ขัดต่อกฎหมายควบคุมอาคาร   ขอขอบคุณข้อมูลจาก  www.scgbuildingmaterials.com
ทำความสะอาดโซฟาผ้า ไม่ยากอย่างที่คิด

ทำความสะอาดโซฟาผ้า ไม่ยากอย่างที่คิด

โซฟาเป็นเฟอร์นิเจอร์ดาวเด่นในบ้าน ที่ทุกคนใช้เป็นที่นั่งคุย เป็นที่รับแขก หรือเป็นมุมดูหนังสุดโปรด ด้วยเหตุนี้โซฟาจึงเป็นเฟอร์นิเจอร์อีกชิ้นในบ้านที่เป็นแหล่งรวมความสกปรก ทั้งเศษขนม และคราบสกปรกต่าง ๆ เพราะฉะนั้นก็ถึงเวลาที่ต้องทำความสะอาดโซฟากันบ้างแล้วล่ะ โดยเฉพาะโซฟาผ้า ที่ดูจะทำความสะอาดยาก ซึ่งจะใช้วิธีไหนได้บ้าง มาดูกันเลยครับ  วิธีทำความสะอาดโซฟาผ้า 1. สำหรับโซฟาชนิดผ้าที่ถอดซักทำความสะอาดได้ ขั้นแรกก็ถอดปลอกหมอนและปลอกโซฟาไปซักทำความสะอาดก่อน โดยหลีกเลี่ยงการซักด้วยเครื่องเพราะอาจจะทำให้เนื้อผ้าเสียรูปทรงหรือเป็นขุยได้ เพราะฉะนั้นซักด้วยมือจะปลอดภัยที่สุด แต่ถ้าเป็นโซฟาที่ถอดทำความสะอาดไม่ได้ ก็ให้ใช้เครื่องดูดฝุ่น ทำความสะอาดฝุ่นและเศษขนมต่าง ๆ ที่ตกค้างอยู่บนโซฟา โดยเฉพาะบริเวณที่พักแขนและพนักพิงซึ่งเป็นบริเวณที่มักจะมีฝุ่นเยอะกว่าบริเวณอื่น ๆ 2. บริเวณที่ไม่มีผ้าคลุม เช่น บริเวณขาโต๊ะ หรือบริเวณโครงโซฟา ก็ทำความความสะอาดง่าย ๆ ด้วยผ้าชุบน้ำ บิดพอหมาด แล้วนำมาเช็ดทำความสะอาดให้ทั่ว หรือจะฉีดน้ำยาฆ่าเชื้อผสมไปด้วยเพื่อฆ่าเชื้อโรคก็ไม่ว่ากัน 3. หมอนอิงก็ควรจะทำความสะอาดด้วยเช่นกัน โดยเริ่มจากการถอดปลอกหมอนออกไปซักก่อน เสร็จแล้วให้นำหมอนมาแช่ลงในน้ำอุ่นที่ผสมน้ำยาทำความสะอาดจนหมอนชุ่มน้ำยา ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที จากนั้นเทน้ำยาออก แล้วล้างด้วยน้ำสะอาด พร้อม ๆ กับใช้มือกดหมอนเพื่อบีบน้ำยาออกจากหมอนให้หมด หากน้ำในถังเต็มไปด้วยฟองจากน้ำยา ก็ให้เปลี่ยนน้ำใหม่ ทำซ้ำอย่างนี้จนแน่ใจว่าไม่มีน้ำยาตกค้างในหมอนอีกแล้ว จากนั้นนำไปตากในที่ที่ลมโกรกดี และแสงแดดส่องถึง โดยหลีกเลี่ยงการตากในมุมอับชื้น เพื่อป้องกันเชื้อราไม่ให้มาเจริญเติบโตในหมอนได้ครับ 4. คราวนี้ก็ถึงตาทำความสะอาดโซฟาชิ้นใหญ่ โดยผสมน้ำเย็นและน้ำอุ่นอย่างละครึ่ง กับน้ำยาทำความสะอาดโซฟาโดยเฉพาะ หรืออาจจะใช้น้ำยาทำความสะอาดเบาะรถยนต์ก็ได้เช่นกัน ปริมาณที่ใช้ก็ตามฉลากที่บอกไว้ ค่อย ๆ ใช้ผ้าชุบน้ำยาพอหมาด อย่าให้ชุ่มมาก (แนะนำให้ใช้ผ้าสีขาว เพื่อจะเห็นคราบสกปรกได้ชัด) แล้วเช็ดทำความสะอาดโซฟาให้ทั่ว โดยกดเน้นในจุดที่มีคราบสกปรกติดอยู่เป็นพิเศษ เพื่อกำจัดคราบให้จางลง หากผ้าเริ่มดำก็เปลี่ยนผ้าผืนใหม่ทันที คราบสกปรกจากผ้าจะได้ไม่ตกค้างบนโซฟาอีก จากนั้นให้ใช้ผ้าแห้งซับความชื้นในโซฟาอีกครั้ง จนแน่ใจว่าโซฟาเริ่มแห้ง และถ้าเป็นไปได้ก็ควรนำโซฟาไปตากแดดจัด ๆ เพื่อกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์และฆ่าเชื้อโรคไปด้วยในตัว หรือถ้ารีบจะใช้ไดร์เป่าผมมาเป่าอีกแรงก็ได้ครับ คำแนะนำเพิ่มเติม สำหรับคราบสกปรกที่เปื้อนบนโซฟา อาจจะใช้น้ำยาทำความสะอาดเฉพาะจุดกำจัดคราบเหล่านั้นให้จางหายไปได้ แต่เพื่อความแน่ใจอย่าลืมทดลองน้ำยากับหลังโซฟาทุกครั้งก่อนใช้งานด้วยนะครับ เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดกับโซฟาชิ้นโปรดของคุณ โดยเฉพาะผ้าขนแกะและผ้าคอตตอนที่มักจะเกิดรอยย่นได้ง่าย และไม่ควรใช้ผงซักฟอกทำความสะอาดเด็ดขาด เพราะกรดในผงซักฟอกอาจทำลายเนื้อผ้า ทำให้อายุการใช้งานโซฟาสั้นลงด้วย นอกจากนี้การใช้ผ้าคลุมโซฟาก่อนจะนั่งหรือนอน ก็จะช่วยป้องกันเหงื่อไคลและเชื้อโรคจากตัวเราไปฝังอยู่ในโซฟาได้ดีอีกวิธีหนึ่งเลยครับ ใช้ขั้นตอนที่เรานำมาฝากนี้ไปจัดการทำความสะอาดโซฟาตัวโปรดของคุณ ทีนี้ก็นั่งกันได้อย่างสบายใจไร้เชื้อโรคแล้วครับ
5 ความเสี่ยงจากการซื้อบ้านและคอนโด

5 ความเสี่ยงจากการซื้อบ้านและคอนโด

การจะซื้อบ้านหรือคอนโดแต่ละครั้ง เราก็รู้กันดีอยู่แล้วว่าต้องใช้เงินจำนวนไม่น้อย และก็ใช่ว่าบ้านหรือคอนโดที่เราซื้อมาแล้วนั้นจะได้คุณภาพดีเสมอไป ดังนั้นก่อนจะซื้อบ้านหรือคอนโด เราจึงควรต้องมีการวางแผนให้ดี และเตรียมพร้อมรับมือกับความเสี่ยงเหล่านี้ให้ดีด้วยครับ 1. สินค้าด้อยคุณภาพ ปัญหานี้ถือได้ว่าเป็นปัญหาที่เรามักพบเจอกันได้มากที่สุด โดยสาเหตุนั้นมาจากการที่โครงการใช้สินค้าไม่มีคุณภาพหรือใช้วัสดุเกรดต่ำกว่าที่โฆษณาไว้ จึงทำให้เกิดปัญหาบ้านทรุด , กำแพงร้าว , น้ำรั่ว , ท่อตัน ตามมา 2. ส่งมอบล่าช้า ปัญหานี้มักเกิดกับคอนโดเป็นส่วนใหญ่ ด้วยสาเหตุหลักๆที่ทำให้เกิดการส่งมอบล่าช้า คือ โครงการไม่ผ่านEIA , โครงการยังขายไม่ถึงเป้า ซึ่งปัญหาการส่งมอบล่าช้านั้นถ้าผู้ซื้อเห็นว่าโครงการช้าเกินกว่ากำหนดแน่นอน ผู้ซื้อสามารถยกเลิกสัญญาได้ทันที และเรียกเงินคืนทั้งหมดพร้อมดอกเบี้ยในอัตราเดียวกันกับที่โครงการเรียกเก็บเราเมื่อมีการจ่ายเงินดาวน์ช้า หรือถ้าไม่ยกเลิกสัญญาก็มีสิทธิ์เรียกค่าปรับเป็นรายวันได้ร้อยละ 0.1% ของราคาห้องชุด แต่รวมแล้วต้องไม่เกินร้อยละ 10 โดยที่ในความเป็นจริงแล้วเมื่อคอนโดมีการส่งมอบล่าช้ากว่ากำหนด ส่วนใหญ่จะชดเชยเป็นโปรโมชั่นในวันโอนแทน 3. ของจริงไม่เหมือนโฆษณา ปัญหานี้มักพบบ่อย เพราะตอนไปดูบ้านหรือห้องตัวอย่าง มีสวยงามตกแต่งเป็นอย่างดี แต่พอได้ของจริง กลับไม่มีคุณภาพ ปัญหาที่มักพบได้แก่ งานไม่เรียบร้อย ไม่สมราคา และไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งปัญหาเหล่านี้เราจะไม่รับโอนก็ได้ เพราะถือว่าสินค้นผิดจากในสัญญา 4. การบริการแย่ ปัญหานี้มักเกิดจากการบริการหลังการขาย เพราะเมื่อผู้ซื้อจ่ายเงินครบ และมีการโอนรับบ้านหรือห้องเมื่อไร ผู้ซื้อจะหมดความสำคัญทันที เพราะหลังจากมีการโอนรับบ้านหรือห้องแล้ว เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นจะตามมาแก้ไข มาเก็บงานก็เป็นได้ยากแล้ว แต่ปัญหานี้เหล่านี้เราสามารถแก้ไขได้โดยการต้องยอมจ้างบริษัทตรวจรับบ้านคอนโดมาตรวจงานให้ละเอียดเรียบร้อยก่อนมีการโอนรับบ้านคอนโด 5. ยื้อเวลา ปัดความรับผิดชอบ ถึงแม้ว่าปัญหานี้จะมีกฏหมายรองรับไว้แล้ว แต่ผู้ซื้อก็มักเสียเปรียบอยู่ดี เพราะเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นแล้ว การจะเรียกร้องเอาเงินคืน ก็เป็นไปได้ค่อนข้างยากแล้ว ดังนั้นก่อนทำสัญญา ต้องมีการตกลงกันให้ดีก่อน ว่าถ้ากู้ไม่ผ่านยินดีคืนเงินอย่างไร และต้องทำเป็นหนังสือแนบท้ายสัญญาไว้ทุกขั้นตอน ตั้งแต่เงื่อนไข และวิธีการชำระเงินคืน ทุกปัญหาถือว่ามีความเสี่ยงทั้งนั้น ดังนั้นก่อนจะซื้อบ้านหรือคอนโด เราจึงต้องมีการตรวจสอบให้ดีครับ ขอขอบคุณข้อมูลจาก home.co.th
10 ลำดับขั้นตอนการก่อสร้างบ้าน

10 ลำดับขั้นตอนการก่อสร้างบ้าน

การปลูกบ้าน หรือสร้างบ้านใหม่ จะเริ่มสร้างจากล่างขึ้นบน กล่าวคือต้องเริ่มจากโครงสร้างเสาเข็ม ฐานราก จากนั้นจะเริ่มงานโครงสร้างจากชั้นหนึ่ง และชั้นสองตามลำดับ แล้วจึงติดตั้งหลังคา ก่อผนัง เตรียมงานระบบ จนเมื่องานโครงสร้างเรียบร้อยก็จะตกแต่งงานสถาปัตย์ เก็บรายละเอียดงาน ทำความสะอาดจนพร้อมส่งมอบบ้านให้แก่เจ้าของบ้าน ทั้งนี้ แต่ละขั้นตอนต้องวางแผนการดำเนินงานเป็นอย่างดี เพราะมีผู้เกี่ยวข้องหลายฝ่าย และสำหรับตัวเจ้าของบ้านเองควรเข้าใจลำดับขั้นตอนเพื่อสามารถตรวจและควบคุมงานในเบื้องต้น รวมถึงจดบันทึกตำแหน่งหรือข้อมูลทั้งงานระบบท่อไฟฟ้า-ประปา ตำแหน่งระบบสุขาภิบาล เผื่อการบำรุงซ่อมแซมในอนาคต 10 ลำดับขั้นตอนการก่อสร้างบ้าน ที่เจ้าของบ้านทุกคนควรทราบ มีดังนี้ 1.เริ่มขั้นตอนสร้างบ้าน โดยการเตรียมพื้นที่ เมื่อมีแบบก่อสร้างบ้าน และทำสัญญากับผู้รับเหมาเรียบร้อยแล้ว ทางผู้รับเหมาจะเริ่มเข้าหน้างานเตรียมพื้นที่ กำหนดจุดวางและขนย้ายเครื่องมืออุปกรณ์ อาจมีสถานที่พักสำหรับคนงาน (ในกรณีที่คนงานพักในพื้นที่) หากมีบ้านเดิมจะต้องรื้อถอนออกก่อน หรือหากเป็นที่ดินเปล่าจะมีการขอน้ำและไฟฟ้าชั่วคราวสำหรับใช้งาน สำหรับงานเตรียมพื้นที่ จะครอบคลุมอยู่หลายเรื่อง ตั้งแต่ระดับพื้นบ้านที่ต้องพิจารณา อาจต้องถมที่ดินเพื่อปรับระดับ ให้เหมาะสม ซึ่งโดยทั่วไปจะถมให้สูงกว่าระดับถนน 50-80 ซม. และควรสูงกว่าท่อระบายน้ำสาธารณะ ส่วนระยะเวลาที่เหมาะสมสำหรับการถมดินอยู่ในช่วงหน้าแล้ง (ช่วงเดือนธันวาคม – พฤษภาคม) เพราะสามารถทำงานได้สะดวก ได้ดินที่แน่นและมีคุณภาพ เพราะหากถมในช่วงหน้าฝนอาจเกิดเหตุการณ์ดินไหลได้ ภาพ: การปรับระดับดินก่อนลงเสาเข็ม 2.งานวางผังอาคาร ขั้นตอนสร้างบ้านที่ต้องวางแผนให้ดี เมื่อเตรียมพื้นที่เรียบร้อย จะเริ่มวางผังแนวอาคารซึ่งเป็นการกำหนดตำแหน่งของเสาเข็มโดยอ้างอิงจากแบบ เพื่อให้ทุกฝ่ายทั้งเจ้าของบ้าน ผู้ออกแบบ วิศวกร บริษัทรับเหมาก่อสร้าง และบริษัทรับเหมางานเสาเข็มมีความเข้าใจที่ตรงกัน ในขั้นตอนนี้ อาจมีการเปลี่ยนแปลงหรือปรับระยะต่างๆ ให้เหมาะสมได้เนื่องจากอาจพบอุปสรรคที่หน้างาน เช่น แนวต้นไม้ใหญ่ แนวเสาเข็มโครงสร้างอาคารเดิม หรือตำแหน่งอาคารข้างเคียงที่มีผลต่อพื้นที่ใช้สอยอาคาร เป็นต้น โดยผู้รับเหมาจะนำเสนอแนวทางแก้ไขให้ผู้ออกแบบเซ็นชื่อรับรอง เพื่อดำเนินการก่อสร้างต่อไป ภาพ: ตรวจแบบก่อสร้างเพื่อเตรียมวางผังอาคาร (กำหนดจุดลงเสาเข็ม) 3.หนึ่งในขั้นตอนสร้างบ้านสำคัญ คือ งานเสาเข็ม สำหรับงานเสาเข็มมักจะจ้างบริษัทรับเหมางานเสาเข็มโดยเฉพาะ ซึ่งทางผู้ออกแบบจะสำรวจหน้างานและกำหนดมาแล้วว่าบ้านแต่ละหลังเหมาะจะใช้เสาเข็มประเภทใด ไม่ว่าจะเป็นเสาเข็มตอกหรือเสาเข็มเจาะ (อ่านรายละเอียด Material Guide ทรุดไม่ทรุด จุดเริ่มต้นอยู่ที่เสาเข็ม) การตรวจสอบคุณภาพเสาเข็มต้องทดสอบความแข็งแรง (Load Test) สามารถรับน้ำหนักได้ตามมาตรฐาน ไม่เยื้องศูนย์ แต่หากเกิดความผิดพลาดหรืออุปสรรคในการตอกหรือเจาะเสาเข็ม ผู้ออกแบบอาจต้องแก้ไขแบบเพื่อให้เสาเข็มและฐานรากดังกล่าวสามารถรับน้ำหนักได้ นอกจากนี้สำหรับการตัดหัวเสาเข็มเพื่อเตรียมหล่อฐานราก ผู้รับเหมางานเสาเข็ม และผู้รับเหมาหลักต้องยืนยันระดับฐานรากให้ตรงกันก่อนส่งต่องาน ภาพ: การทำเสาเข็มเจาะ 4.ขั้นตอนสร้างบ้านของงานฐานรากโครงสร้างชั้นล่าง เมื่อตัดหัวเสาเข็มแล้ว ผู้รับเหมาหลักจะเริ่มงานส่วนโครงสร้างฐานรากซึ่งประกอบด้วยฐานรากและเสาตอม่อจากนั้นจึงขึ้นโครงสร้างชั้น 1 ซึ่งประกอบด้วย คานคอดิน เสา คาน และพื้นชั้นล่าง โดยอาจอาจเลือกเป็นพื้นหล่อในที่ (พื้นห้องน้ำ) ร่วมกับพื้นคอนกรีตสำเร็จรูป หากโครงสร้างต่างๆ เป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก ควรมีขนาดและค่ากำลังอัด ตามที่วิศวกรได้คำนวณไว้ ซึ่งต้องใช้เวลาในการบ่มคอนกรีต และถอดแบบค้ำยัน ช่วงระยะเวลาหนึ่ง (ประมาณ 14-28 วัน ขึ้นอยู่กับลักษณะงานและประเภทปูน) เพื่อให้โครงสร้างมีความแข็งแรง พร้อมรับน้ำหนักโครงสร้างอื่นๆ ต่อไป แต่ในกรณีที่สร้างบ้านโครงสร้างเหล็ก ก็จะเริ่มนำชิ้นส่วนเหล็กในแต่ละส่วนมาเชื่อมกันทั้งในส่วน เสา คาน ตง เป็นต้น ในระหว่างขั้นตอนนี้ จะมีการขุดดินเพื่อวางระบบสุขาภิบาล เช่น บ่อพัก  Manhole ระบบท่อน้ำทิ้ง ท่อประปา เป็นต้น ซึ่งเจ้าของบ้านควรถ่ายรูปและจดบันทึกตำแหน่งและระยะงานระบบเอาไว้เพื่อเป็นข้อมูลอ้างอิงหากมีการซ่อมแซมในอนาคต ภาพ: งานเตรียมเหล็กเสริมโครงสร้างคานและเสาชั้นล่าง 5. งานโครงสร้างชั้นสอง โครงหลังคา และโครงสร้างงานระบบสุขาภิบาล งานโครงสร้างชั้นสองก็ทำเช่นเดียวกับโครงสร้างชั้นล่าง ทั้งเสา คานอะเส(คานหลังคา) และอาจมีงานหล่อชิ้นส่วนตกแต่ง เช่น บัว กันสาด ขอบปูน ซึ่งโครงสร้างแต่ละส่วนจะต้องใช้ระยะเวลาบ่มคอนกรีตเช่นเดียวกับโครงสร้างชั้นล่าง นอกจากนี้จะเริ่มขึ้นโครงหลังคา ซึ่งมีหลายประเภท เช่น โครงหลังคาเหล็ก หรือโครงหลังคาสำเร็จรูป เป็นต้น ในส่วนของงานระบบประปาและสุขาภิบาลทั้งถังเก็บน้ำใต้ดิน ท่อน้ำทิ้ง และถังบำบัดจะถูกติดตั้งในช่วงนี้โดยสมบูรณ์เพื่อเตรียมการเดินท่อเข้าภายในบ้าน ภาพ: ติดตั้งโครงหลังคาเหล็ก 6.ขั้นตอนสร้างบ้าน งานมุงหลังคา และโครงสร้างบันได เมื่องานโครงสร้างหลักเสร็จเรียบร้อย จะเริ่มติดตั้งวัสดุมุงหลังคาเพื่อให้ภายในบ้านมีร่มเงาและลดอุปสรรคจากลมฟ้าอากาศในการทำงาน ในช่วงนี้จะเริ่มหล่อโครงสร้างบันไดคอนกรีตเสริมเหล็ก หรือติดตั้งบันไดเหล็กตามที่แบบระบุ นอกจากนี้อาจเก็บงานโครงสร้างในส่วนอื่นๆ ให้พร้อมก่อนเริ่มงานก่อผนังและติดตั้งวัสดุปิดผิว ภาพ: (บน) มุงหลังคากันแดดและฝน  (ล่าง) ติดตั้งบันไดโครงสร้างเหล็ก 7.งานก่อผนัง ติดตั้งวงกบไม้ประตู-หน้าต่าง และงานระบบไฟฟ้า-ประปา เมื่อมุงหลังคาเรียบร้อย จะเข้าสู่ขั้นตอนการก่อผนังและหล่อเสาเอ็น-คานเอ็น ในขั้นตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับบ้านแต่ละหลังว่าเลือกใช้ผนังบ้านแบบใด เช่น ผนังก่ออิฐ หรือผนังเบา ซึ่งในช่วงนี้จะเดินท่องานระบบต่างๆ ที่ฝังในผนังไปด้วย ทั้งระบบไฟฟ้าและประปา รวมถึงติดตั้งวงกบไม้ประตูหน้าต่างตามตำแหน่งที่ระบุตามแบบ ภาพ: การก่อผนัง หล่อเสาเอ็น-คานเอ็น และฝังท่อไฟฟ้า-ประปาในผนัง 8.ขั้นตอนสร้างบ้าน งานฉาบผนัง และงานติดตั้งฝ้าเพดาน  ในงานฉาบผนังก่ออิฐ จะต้องจับปุ่มจับเซี้ยม หรืออาจขึงลวดกรงไก่ เพื่อฉาบผนังให้เรียบสม่ำเสมอ ส่วนผนังเบาจะต้องฉาบเก็บรอยต่อระหว่างแผ่นผนังให้เรียบเนียน เตรียมพร้อมก่อนขั้นตอนการปิดผิว ในขั้นตอนนี้ต้องอาศัยความชำนาญของช่างเพื่องานที่ละเอียดเรียบร้อย ผนังต้องได้ดิ่ง-ฉากทุกพื้นที่ สำหรับฝ้าเพดานจะมีการกำหนดระดับความสูงตามแบบทั้งภายในและภายนอกบ้าน โดยติดตั้งโครงฝ้าและปิดด้วยวัสดุฝ้าเพดาน เช่น แผ่นยิปซั่ม แผ่นไฟเบอร์ซีเมนต์ เป็นต้น ในขั้นตอนนี้จะมีการติดตั้งระบบไฟฟ้า โคมไฟ และช่องเซอร์วิสไปพร้อมกัน ภาพ: การฉาบผนัง และติดตั้งฝ้าเพดานทั้งภายนอกและภายใน 9. งานวัสดุตกแต่งพื้นผิว ขั้นตอนสร้างบ้าน ติดตั้งอุปกรณ์ ติดตั้งประตู-หน้าต่าง และงาน Build-In เป็นขั้นตอนที่ต้องอาศัยความประณีตของช่างอย่างมาก เพราะทำให้บ้านเนี้ยบสวยงาม ซึ่งในขั้นตอนนี้จะประกอบไปด้วย   9.1 วัสดุตกแต่งผนังและพื้น ขึ้นอยู่กับการออกแบบและความชอบของเจ้าของบ้าน โดยวัสดุพื้นผิวผนัง เช่น ทาสี ฉาบสกิมโค้ท ปูกระเบื้องเซรามิก ติดวอลล์เปเปอร์ ฯลฯ ส่วนวัสดุพื้น เช่น หินขัด กรวดล้าง/ทรายล้าง ปูกระเบื้องเซรามิก ไม้ปาร์เกต์ ไม้ลามิเนต เป็นต้น 9.2 ระบบแสงสว่างและติดตั้งดวงโคมการติดตั้งแสงสว่างและหลอดไฟจะเริ่มในช่วงนี้เพราะติดตั้งฝ้าเพดาน โคมไฟ และเดินงานระบบเรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ช่างจะเดินสายไฟเชื่อมกับสวิตช์ไฟ ปลั๊ก และติดตั้งเครื่องปรับอากาศ 9.3 ติดตั้งบานประตู หน้าต่างไม้ ชุดประตู-หน้าต่างไวนิล/อะลูมิเนียม ขั้นตอนนี้จะเป็นการติดตั้งบานประตู บานกระจก หน้าต่างเข้ากับวงกบไม้ที่ติดตั้งเอาไว้ก่อนหน้านี้ รวมถึงติดตั้งชุดประตู-หน้าต่างไวนิลหรืออะลูมิเนียมเข้ากับผนังที่เว้นช่องไว้ ซึ่งขอบผนังโดยรอบต้องเรียบสม่ำเสมอ ได้ระดับดิ่ง-ฉาก เพื่อให้ชุดประตู-หน้าต่างติดตั้งได้พอดี ลดความเสี่ยงการรั่วซึมในอนาคต 9.4 งาน Build-in ด้านงาน Build-in อาจมารวมอยู่ในช่วงนี้ได้ เช่น ตู้เสื้อผ้า ชั้นวางของ เคาน์เตอร์ครัว เป็นต้น 9.5 ติดตั้งวัสดุอุปกรณ์ สุขภัณฑ์ในห้องน้ำ และอุปกรณ์เครื่องครัว วัสดุอุปกรณ์ต่างๆ เมื่อติดตั้งแล้วควรคลุมด้วยพลาสติกเพื่อป้องกันฝุ่นละออง รอยขีดข่วน และสีที่อาจกระกระเด็นเปรอะเปื้อนในช่วงการเก็บงาน 9.6 สวนและทางเดินรอบบ้านอาจเริ่มทำในช่วงนี้ หรืออาจทำในช่วงที่บ้านสร้างเสร็จแล้วก็ได้ ภาพ: การตกแต่งภายใน ติดตั้งวัสดุปูพื้น-ผนัง ประตูหน้าต่าง (บานเฟี้ยม) และงานBuild-in 10. ทำความสะอาดและตรวจความเรียบร้อยในการเก็บงาน ขั้นตอนสร้างบ้านสุดท้าย ช่างจะเก็บรายละเอียดต่างๆ เช่น งานทาสี ตรวจสอบงานระบบต่างๆ ซึ่งในช่วงนี้เจ้าของบ้านควรเข้ามาตรวจสอบด้วยตัวเอง ซึ่งถ้าเจอข้อผิดพลาด ควรแจ้งให้ช่างแก้ไขให้เรียบร้อยก่อนจะส่งจะส่งมอบงาน จากนั้นจะเริ่มทำความสะอาด (โดยมากจะจ้างบริษัททำความสะอาดหลังงานก่อสร้างโดยตรง) แล้วเสร็จจนพร้อมส่งมอบงานให้เจ้าของบ้านขนย้ายเฟอร์นิเจอร์เข้าอยู่ ภาพ: บ้านที่อยู่ในช่วงการเก็บงาน การเรียงลำดับขั้นตอนตามที่กล่าวมาอาจมีการเปลี่ยนแปลงหรือซ้อนทับกันได้ในแต่ละงาน อาจมีเพิ่ม หรือแยกย่อยมากกว่า 10 ลำดับได้ขึ้นอยู่กับปลายปัจจัย เช่น วัสดุที่เข้าหน้างาน ความถนัดของช่าง/ผู้รับเหมา ปัจจัยสภาพคล่องทางการเงิน ปัญหาแรงงานช่าง และสภาพลมฟ้าอากาศที่ไม่อำนวย เป็นต้น Tip: เจ้าของบ้านควรตรวจสอบสัญญาการรับประกันผลงานของทั้งผู้รับเหมา และตัวผลิตภัณฑ์สินค้า รวมถึงการติดตั้งวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ตามที่ระบุในเอกสาร เพื่อรับรองคุณภาพการก่อสร้าง และตัวสินค้าให้ได้ตามมาตรฐาน ขอขอบคุณภาพและข้อมูลจาก www.scgbuildingmaterials.com เกี่ยวกับการสร้างบ้านอื่นๆ ซื้อบ้านจัดสรรกับสร้างบ้านเอง แบบไหนดีกว่ากัน สร้างบ้านใหม่เลือกแบบบ้านชั้นเดียวหรือแบบบ้านสองชั้นดี? จะก่อสร้างบ้านต้องรู้เรื่องระยะห่างระหว่างอาคารกรณีอยู่ในที่ดินเจ้าของเดียวกัน 7 ความผิดพลาดในการสร้างบ้าน ที่ควรใส่ใจ  
5 วิธีเด็ด ขจัดคราบมันในห้องครัว

5 วิธีเด็ด ขจัดคราบมันในห้องครัว

ปัญหาคราบน้ำมันที่เกิดจากการทำอาหาร ถือว่าเป็นปัญหาใหญ่ของ คุณพ่อบ้าน คุณแม่บ้านเลยนะครับ  อีกทั้งยังทำความสะอาดยากอีกด้วย วันนี้เราเลยของเอาใจ คุณพ่อบ้าน คุณแม่บ้านเป็นพิเศษ กับวิธีการขจัดคราบน้ำมันจากการทำอาหาร ด้วยวิธีง่ายแสนง่ายมาฝากกันครับ   1. บริเวณผนังห้องครัว   เรียกได้ว่าในส่วนนี้เป็นปัญหายอดฮิตกันเลยก็ว่า เพราะเวลาที่ทำอาหารทีไร  ไม่ว่าจะเป็นคราบน้ำมัน หรือ เศษอาหาร ก็ลอยไปติดกับผนังห้องครัวทุกที  โดย เฉพาะเมนูผัดต่างๆ จริงมั้ยครับ เพื่อนๆ ซึ่งหลังจากที่เพื่อนๆ ทำอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว ลองสังเกตุบริเวณผนังห้องครัวกันด้วยนะครับ ว่ามีคราบน้ำมันเหนียว ๆ  สีน้ำตาลเกาะอยู่บนผนังหรือไม่…ถ้ามีก็ควรรีบทำความสะอาดโดยด่วน ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้เพราะจะทำให้คราบน้ำมันสะสมและจะทำความสะอาดได้ยากขึ้นครับ วิธีทำความสะอาด : เพียงแค่เพื่อนๆ นำน้ำส้มสายชู  น้ำยาทำความสะอาดครัว และน้ำอุ่นมาผสมเข้าด้วยกัน  จากนั้นก็ใช้ฟองน้ำชุบส่วนผสม แล้วนำไปเช็ดบริเวณที่มีคราบน้ำมันครับ…แต่!! ขอย้ำว่าเป็นน้ำอุ่นนะครับ เพราะความร้อนและกรดที่ผสมกันนั้น จะช่วยไปละลายคราบที่เกิดขึ้น แถมยังทำความสะอาดได้ง่ายอีกด้วยนะครับ   2. อุปกรณ์เครื่องใช้ภายในครัว   ถือเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่พบเจอกันบ่อยมาก  อาทิ บริเวณเตาแก๊ส หรือ เคาน์เตอร์ในห้องครัว  เรียกได้ว่าหลังทำอาหารเสร็จ ต้องคอยเช็ดกันอยู่ตลอด  แล้วพลานทำให้หงุดหงิดเนื่องจากคราบน้ำมันนั้น ยิ่งเช็ดก็ยิ่งเลอะเทอะ!!! วิธีทำความสะอาด : สิ่งที่ควรทำอย่างแรกเลยคือ ล้างด้วยน้ำร้อนก่อน 1 รอบ เพื่อล้างพวกไขมันออกก่อน  จากนั้นนำน้ำส้มสายชู ผสมกับ น้ำเปล่า ในอัตรา 1 : 2 ส่วน  แล้วนำผ้าชุบส่วนผสม บิดพอหมาด นำไปเช็ดบริเวณที่เลอะคราบน้ำมัน  จากนั้นก็ทำความสะอาดด้วยน้ำสะอาดอีกหนึ่งครั้งครับ   3. พื้นภายในห้องครัว   ในส่วนของพื้นห้องนี้ มักจะไม่ค่อยมีปัญหาในเรื่องของคราบน้ำมันเท่าไร  นอกจากพวกเศษอาหารเล็กๆ น้อย ที่สามารถทำความสะอาดได้โดยง่าย แต่ก็ไม่ควรมองข้ามนะครับ เพราะบ้างทีอาจจะมีคราบน้ำมันกระเด็นลงมาติดที่พื้นห้องก็ได้ครับ วิธีทำความสะอาด : การทำความสะอากนั้น สามารถทำวิธีเดียวกับการทำความสะอาดผนังห้องได้เลยครับ โดยนำน้ำส้มสายชู  น้ำยาทำความสะอาดครัว และน้ำอุ่นมาผสมเข้าด้วยกัน  จากนั้นก็ใช้ผ้าชุบส่วนผสม บิดพอหมาด แล้วนำไปเช็ดบริเวณที่มีคราบน้ำมันครับ   4. พัดลมดูดควัน   เพื่อนๆ หลายคนอาจจะมองข้ามสิ่งนี้ไป  แต่พัดลมดูดควันนี่แหละครับ ที่ได้รับพวกคราบน้ำมันไปแบบเต็มๆ  เพราะควันที่ดูดเข้าไปนั้น จะมีคราบน้ำมันปะปนอยู่ด้วยนั้นเองครับ  ถึงแม้จะเป็นส่วนที่ทำความสะอาดได้ยาก  แต่เราก็มีวิธีที่ง่ายแสนง่ายในการทำความสะอาดครับ วิธีทำความสะอาด : นำโซดาไฟประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ ละลายเข้ากับน้ำสะอาดประมาณ 1 ลิตร คนจนผงละลาย จากนั้นใช้แปรงจุ่มลงไป แล้วนำไปขัดที่บริเวณใบพัด เมื่อสะอาดเรียบร้อยแล้ว ล้างด้วยน้ำสะอาดอีกหนึ่งครั้ง พร้อมกับเช็ดให้แห้งครับ   5. ท่อน้ำทิ้ง   ถึงจะเป็นสิ่งที่เรามองไม่เห็น แต่รับรองครับ ว่าต้องมีพวกเศษอาหารหรือคราบน้ำมันเกาะอยู่ภายในอย่างแน่นอน อีกทั้งยังเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหาท่ออุดตันอีกด้วย  ฉะนั้น  เพื่อนๆ อย่าละเลยในส่วนนี้นะครับ  เพราะถ้าเกิดปัญหาท่ออุดตันขึ้นมานั้น อาจจะยุ่งกว่าเดิมได้ครับ วิธีทำความสะอาด : นำเบกกิ้งโซดาใส่ลงไปในท่อประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ  ต่อด้วยเทน้ำส้มสายชูตามลงไปอีก 2 ช้อนโต๊ะ  จากนั้นปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วจึงราดน้ำร้อนตามลงไป เพียงเท่านี้พวกคราบน้ำมันหรือไขมัน ก็หายไปในพริบตาแล้วครับ   ขอขอบคุณข้อมูลจาก www.infinitydesign.in.th/
10 วิธีดับกลิ่นฉี่ในห้องน้ำ ฉุนแค่ไหนก็จัดการได้

10 วิธีดับกลิ่นฉี่ในห้องน้ำ ฉุนแค่ไหนก็จัดการได้

วิธีดับกลิ่นฉี่ในห้องน้ำ จบปัญหากลิ่นฉุน ๆ จนทำให้ไม่อยากเข้าห้องน้ำ ด้วย 10 วิธีดับกลิ่นฉี่ในห้องน้ำ พร้อมวิธีทำความสะอาดที่ทำให้ห้องน้ำของคุณไม่มีคราบสกปรกหลงเหลืออีกต่อไป ห้องน้ำจะเสียบรรยากาศสุด ๆ เมื่อเปิดประตูเข้าไปแล้วได้กลิ่นฉี่ตลบอบอวล โดยเฉพาะตอนที่มีแขกมาที่บ้าน แทบไม่อยากให้เขาเข้าห้องน้ำเลยใช่ไหมล่ะ วันนี้กระปุกดอทคอมเลยรวมวิธีดับกลิ่นฉี่ในห้องน้ำมาฝาก ใครถนัดวิธีไหนก็นำไปทำตามได้เลย เพราะอุปกรณ์ที่จะนำมาใช้ สามารถหาได้จากในบ้านทั้งนั้น ว่าแล้วก็ตามไปดูกันดีกว่าว่ามีวิธีไหนที่สามารถดับกลิ่นฉี่ในห้องน้ำได้ผลบ้าง 1.สเปรย์น้ำยาล้างจาน ใช้ดับกลิ่นฉี่ได้ วิธีนี้สามารถใช้ทำความสะอาดและดับกลิ่นห้องน้ำได้ในคราวเดียวกัน ผสมน้ำยาล้างจาน 1 ช้อนโต๊ะ กับน้ำเปล่า 6 ออนซ์ แล้วเทใส่ขวดสเปรย์ นำไปฉีดให้ทั่วชักโครก รวมถึงในแท็งก์น้ำของชักโครก แล้วใช้แปรงขัดตาม จากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาด กลิ่นก็จะหายไป 2.ดับกลิ่นฉี่ด้วย น้ำมะนาวผสมเบกกิ้งโซดา เป็นสูตรผสมที่สามารถหาได้จากในห้องครัว เพียงแค่ผสมน้ำมะนาวกับเบกกิ้งโซดาให้เป็นเนื้อสครับเข้มข้น แล้วนำไปถูให้ทั่วชักโครก รวมทั้งแท็งก์นี้และขอบยาแนว ทิ้งไว้ 15 นาที จากนั้นเปิดฝาแท็งก์น้ำด้านหลังโถออก จัดการเทน้ำส้มสายชู ½ ถ้วยตวงลงไป ทิ้งไว้ 15 นาที กดน้ำทิ้ง 2-3 ครั้ง เทน้ำส้มสายชูลงไปเพิ่มอีก ½ ถ้วยตวง ปล่อยทิ้งไว้สักพัก ระหว่างนั้นให้นำแปรงสีฟันที่ไม่ใช้แล้วมาขัดทำความสะอาดตามร่องเล็ก ๆ ที่ชักโครกให้สะอาด แล้วกดน้ำทิ้งซ้ำอีกครั้ง ให้น้ำและน้ำส้มสายชูชะล้างคราบและกลิ่นฉี่ออกไป 3.เทสารฟอกขาวลงในโถส้วม ดับกลิ่นฉี่ได้ บ้านไหนที่เจอปัญหากลิ่นฉี่ฉุนรุนแรงจนน่าเวียนหัว ให้นำสารฟอกขาว 1 ถ้วยตวง เทลงในโถส้วม แล้วทิ้งไว้สักพัก จากนั้นนำฟองน้ำหรือแปรงขัดมาชุบสารฟอกขาวเพียงเล็กน้อย เพื่อขัดไปรอบ ๆ โถให้ทั่ว กดน้ำในโถส้วมทิ้งไปหลาย ๆ รอบ ล้างโถให้สะอาดก็เป็นอันเสร็จ 4.ดับกลิ่นฉี่ด้วยการซักทำความสะอาดพรมในห้องน้ำ หากในห้องน้ำมีพรมเช็ดเท้า ก็อย่าลืมนำมาซักด้วยนะครับ เพราะอาจจะมีฉี่สะสมไว้เป็นเวลานานจนทำให้ส่งกลิ่นเหม็นไปทั่ว ฉะนั้นเมื่อไรที่ทำความสะอาดห้องน้ำก็อย่าลืมนำพรมไปซักด้วยเลยทีเดียว 5.ก้อนเบกกิ้งโซดาดับกลิ่นฉี่ ส่วนวิธีนี้เริ่มจากนำเบกกิ้งโซดามาผสมกับกรดมะนาว น้ำส้มสายชู ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ และน้ำมันหอมระเหย คนส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันดี จากนั้นตักใส่แม่พิมพ์ แล้วรอให้จับตัวเป็นก้อน ค่อยนำไปใส่ขวดโหลเพื่อใช้ในห้องน้ำ ได้กลิ่นเหม็นเมื่อไร ก็หยิบก้อนดับกลิ่นใส่โถส้วมไปเลยครับ 6.น้ำสบู่ผสมน้ำส้มสายชูช่วยดับกลิ่นฉี่ เป็นอีกสูตรที่สามารถดับกลิ่นได้ดีเยี่ยม โดยการนำเบกกิ้งโซดา ¼ ถ้วยตวง มาผสมกับน้ำส้มสายชู ¼ ถ้วยตวง เติมน้ำเปล่าลงไปอีก 2 แกลลอน และที่ขาดไม่ได้เลย นั่นก็คือ สบู่เหลว 30 มิลลิลิตร สำหรับบ้านไหนที่มีปัญหากลิ่นฉี่หนักหน่วงจนยากเกินจะแก้ไข แนะนำให้ผสมผงบอแร็กซ์ลงไปอีก ½ ถ้วยตวง แล้วคนให้เข้ากัน นำไปทำความสะอาดพื้นห้องน้ำ โดยเฉพาะบริเวณที่มีกลิ่นฉี่ก็เรียบร้อย 7.ใช้สเปรย์ดับกลิ่นฉี่ที่โถทุกครั้งหลังใช้งาน มาป้องกันและแก้ปัญหากลิ่นฉี่กันซะตั้งแต่เนิ่น ๆ ด้วยการ DIY สเปรย์ดับกลิ่นกันดีกว่า โดยผสมแอลกอฮอล์ 1 ช้อนชา น้ำมันหอมระเหยกลิ่นที่ชอบประมาณ 30-40 หยด และน้ำเปล่าอีกเล็กน้อยพอให้ไม่ข้นจนเกินไป แล้วเทใส่ขวดสเปรย์ ใช้ฉีดที่ชักโครกทุกครั้งหลังถ่ายเสร็จ 8.ใช้เกลือผสมน้ำส้มสายชูดับกลิ่นฉี่ นอกจากกลิ่นที่มาจากโถส้วมแล้ว ตามพื้นห้องน้ำก็มีคราบฉี่ที่คอยส่งกลิ่นฉุนอยู่เหมือนกัน ดังนั้นเราจึงต้องทำความสะอาดพื้นห้องน้ำด้วยส่วนผสมดังต่อไปนี้ เริ่มจากนำเกลือ 1 ถ้วยตวง มาผสมกับเบกกิ้งโซดา 1 ถ้วยตวง และตามด้วยน้ำส้มสายชูอีก 1 ถ้วยตวง คนให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันดี จากนั้นใช้แปรงเกลี่ยส่วนผสมให้ทั่วพื้นห้องน้ำและที่ชักโครก ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วเช็ดส่วนผสมออกให้หมดหรือล้างออกด้วยน้ำสะอาด กลิ่นก็จะหายไปเอง 9.ใช้สเปรย์แอมโมเนียดับกลิ่นฉี่ สเปรย์แอมโมเนียก็ช่วยดับกลิ่นฉี่ได้ เพียงแค่นำแอลกอฮอล์ขนาด 2 ถ้วยตวง มาผสมกับสบู่เหลว 1 ช้อนชา และแอมโมเนียธรรมดาหรือแอมโมเนียกลิ่นมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ ในระหว่างที่กำลังผสมอย่าคนจนเกิดฟองอากาศเด็ดขาด แล้วเทใส่ขวดสเปรย์เก็บไว้ หากเจอกลิ่นและคราบฉี่ตรงไหน ก็ฉีดสเปรย์ลงไปและราดน้ำให้เรียบร้อย 10.DIY เครื่องหอมช่วยดับกลิ่นฉี่  สำหรับคนที่ชอบกลิ่นหอม ๆ น่าจะชอบวิธีนี้ เริ่มจากฝานเลมอนแล้วนำไปใส่ในขวดโหลที่มีฝาปิด ตามด้วยโรสแมรี่ 2 ก้าน วานิลลาสกัด 1 ช้อนชา เติมน้ำให้เกือบเต็มขวดโหล นำไปแช่ในตู้เย็นประมาณ 2 สัปดาห์ แล้วค่อยนำเอาออกมาต้มด้วยไฟกลางให้พอเดือด เทใส่ขวดโหล จากนั้นก็นำไปวางในห้องน้ำได้เลย เห็นไหมครับว่า กลิ่นฉี่ฉุน ๆ ในห้องน้ำไม่ใช่เรื่องยากเกินแก้ไขอีกต่อไป เพราะแค่นำวิธีการและสูตรดับกลิ่นที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ไปลองทำและใช้ แล้วจะรู้ว่ามันง่ายและได้ผลดีจนต้องบอกต่อกันเลยทีเดียว นอกจากการดับกลิ่นฉี่แล้ว ยังมีเคล็ดลับอื่นๆ สำหรับบ้านเรา เทคนิคดีๆ 5 เคล็ดลับ จัดการกลิ่นในห้องครัว เคล็ดลับการรักษาพรม และเลือกซื้อให้ถูกวิธี ทางลัดลดค่าไฟ 15 วิธีจัดห้องนอนให้เย็นสบายโดยไม่เปิดแอร์
13 วิธีกำจัดมอด ปิดประตูตายแมลงร้ายในครัว!

13 วิธีกำจัดมอด ปิดประตูตายแมลงร้ายในครัว!

รวมวิธีกำจัดมอด ไม่ว่าจะอยู่ในข้าวสารหรือแป้งประกอบอาหาร ด้วยวิธีสุดง่ายแบบบ้านไหน ๆ ก็ทำเองได้ พอกันทีสำหรับการแบ่งปันที่อยู่อาศัยให้แมลงศัตรูคู่ครัว   เมื่อไรที่เปิดถังข้าวสารและถุงแป้งออกมาเจอมอดเดินกันยั้วเยี้ยเต็มไปหมด น่าขนลุกทุกที! ครั้นจะหยิบออกด้วยมือเปล่าก็ยากเย็น เพราะมอดตัวเล็กมากแถมเคลื่อนที่เร็ว หรือจะทิ้งอาหารเหล่านั้นไปทั้งหมดก็เสียดายเงินเปล่าๆ อย่ารอช้า! มากำจัดมอดแมลงร้ายให้หมดไปจากครัวได้อย่างง่ายดาย ถ้าไม่อยากโดนมอดบุกยึดครัวก็ตามไปดูกันเลย 1.ทำความสะอาดครัวในเบื้องต้น ช่วยกำจัดมอด จะจำกัดมอดแบบตรงจุดให้ได้ผล 100% ต้องอาศัยปัจจัยรอบข้างด้วย เช่น การรักษาความสะอาดภายในห้องครัว โดยการตรวจดูและซ่อมแซมจุดชำรุดเสียหายที่เป็นแหล่งทางเดินของมอด ความสะอาดตู้กับข้าว ชั้นวางของ และตู้เก็บของในครัวด้วยน้ำสบู่เพื่อฆ่าเชื้อโรค 2.แช่แข็งแป้งประกอบอาหาร ก็ช่วยกจักมอด สาว ๆ คนไหนที่ชอบทำขนมคงเข้าใจกันดี เวลาเปิดถุงแป้งออกมาแล้วเจอเจ้ามอดชอนไชทุกอณูแป้งก็รู้สึกหมดอารมณ์เข้าครัวไปตาม ๆ กัน แต่อย่าท้อไปครับ ให้นำถุงแป้งเหล่านั้นไปแช่แข็งไว้ในช่องฟรีซประมาณ 4 วัน ก็จะช่วยกำจัดตัวอ่อนและมอดตัวแม่ได้หมดเกลี้ยง 3.กำจัดมอดด้วยกลิ่นใบกระวาน  ปัญหามอดคุกคามห่อแป้งประกอบอาหารและถังข้าวสารนั้นจัดการได้ไม่ยาก แค่นำใบกระวานสัก 2-3 ใบ ใส่ลงไปในห่อแป้งและถังข้าวสาร กลิ่นฉุน ๆ ของใบกระวานก็จะส่งสัญญาณบอกมอดให้ถอยทัพออกไปซะ 4.เครื่องดูดฝุ่น กำจัดมอดถึงต้นตอ ถ้าไม่อยากเสียเวลาไปกับการรอในวิธีอื่น ๆ แนะนำให้ใช้เครื่องดูดฝุ่นมาทำความสะอาดตามตู้กับข้าวและซอกมุมต่าง ๆ ในครัว เพื่อกำจัดต้นตอแหล่งที่อยู่อาศัยของมอดให้หมดสิ้นไป แม้จะเป็นวิธีที่ดูง่ายแต่ก็ได้ผลเกินคาดระดับตัดไฟแต่ต้นลมและรวดเร็วทันใจ 5.กำจัดมอดจากต้นทางด้วยการเก็บแป้งและข้าวสารในบรรจุภัณฑ์ที่ปิดสนิท  เมื่อซื้อแป้งและข้าวสารมาแล้ว ก็อย่าลืมเก็บในบรรจุภัณฑ์ที่มีฝาปิดแน่นหนา แต่ถ้าเป็นถุงสุญญากาศด้วยก็จะยิ่งดีเข้าไปใหญ่ เพื่อป้องกันไม่ให้มอดถือโอกาสทองปีนป่ายเข้าไปนอนกองกันอยู่ข้างในยังไงล่ะครับ 6.หากจะกำจัดมอด ใช้แป้งให้หมดอย่าเก็บไว้ วิธีนี้น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับแป้งประกอบอาหาร หากเมื่อไรที่ต้องการจะใช้แป้งเพื่อทำอาหารหรือทำขนม แนะนำให้ซื้อมาใช้เท่าที่ต้องการ อย่าเหลือเก็บค้างไว้จะดีกว่า หรืออาจจะซื้อมาเก็บสำรองไว้ก็ได้แต่จะต้องไม่นานเกิน 1-2 เดือน และควรนำแป้งของเก่าออกมาใช้ก่อนเสมอ 7.กานพลู สมุนไพรกลิ่นหอมกำจัดมอด นอกจากใบกระวานจะช่วยส่งกลิ่นกำจัดมอดได้แล้ว กานพลูยังเป็นสมุนไพรอีกหนึ่งชนิดที่ควรนำเอาไปโรยไว้บริเวณตู้กับข้าว ชั้นวางของ และมุมต่าง ๆ ภายในห้องครัว เพราะมันจะมีกลิ่นที่ทำให้มอดไม่สามารถอยู่ในครัวร่วมกับเราได้ 8.กำจัดมอดตั้งแต่ต้นด้วยการตรวจเช็กวัถตุดิบอาหาร  อย่าชะล่าใจไป แม้วัตถุดิบอาหารต่าง ๆ ในครัวจะถูกจัดเก็บไว้เป็นอย่างดี แต่ถ้าหากไม่เคยตรวจเช็กดูเลยก็จะเสี่ยงหนักไปอีก เพราะถ้าเกิดวัตถุดิบบางอย่างเกิดหมดอายุหรือเน่าเสียขึ้นละก็คราวนี้มอดจะต้องหาทุกวิถีทางในการบุกเข้ามารบกวนวัตถุดิบอย่างแน่นอน ฉะนั้นควรจะตรวจเช็กอยู่บ่อย ๆ และทิ้งบรรดาของเน่าเสียไปให้หมดจะดีกว่า 9.ผ้าเปียก กับดักกำจัดมอดชั้นดี ในเมื่อมอดเป็นสัตว์ที่ชอบพื้นที่ชื้นแฉะและมืด เราจึงต้องวางกับดักเพื่อกำจัดมันซะ โดยการนำผ้าขนหนูผืนเล็กไปชุบน้ำแล้วบิดหมาด ๆ จากนั้นนำไปวางล่อตามมุมต่าง ๆ ในครัว เมื่อบรรดามอดพากันยกทัพมาที่ผ้า ก็ให้รีบนำผ้าเปียกเหล่านั้นลงไปแช่ในน้ำ เพื่อลดจำนวนมอดในครัวให้ลดลง 10.น้ำส้มสายชูกำจัดมอด  อีกหนึ่งวิธีทำความสะอาดครัวให้ปราศจากมอดได้ ด้วยการนำผ้าชุบน้ำส้มสายชูมาเช็ดตามมุมต่าง ๆ ภายในครัว เน้นตรงบริเวณตู้กับข้าวและที่เก็บวัตถุดิบอาหารให้สะอาด จากนั้นใช้ผ้าชุบน้ำเปล่าหรือน้ำสบู่เช็ดออกอีกครั้ง เพียงเท่านี้มอดก็อยู่ไม่ได้แล้ว 11.กล่องไม้ขีดไฟก็จำกัดมอดได้ นาทีนี้ของธรรมดา ๆ อย่างกล่องไม้ขีดไฟก็มีค่า เพราะที่กล่องไม้ขีดไฟมีซัลเฟอร์หรือที่คนทั่วไปเรียกว่ากำมะถันอยู่จำนวนหนึ่ง ซึ่งไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายมนุษย์ แต่กลับเป็นอาวุธเด็ดที่ทำให้มอดต้องถอยหนี เพียงแค่นำไปวางไว้ตามที่ต่าง ๆ ในครัวก็พอ 12.นำข้าวสารไปตากแดดไล่ความชื้น กำจัดมอด เราอาจจะเคยสงสัยว่าทำไมเขาต้องนำถาดข้าวสารออกมาวางตากแดดไว้หน้าบ้าน ซึ่งนั่นก็เป็นอีกหนึ่งวิธีในการกำจัดมอดข้าวสารที่นิยมทำกันมานาน อย่างที่บอกไปว่ามอดเป็นสัตว์ที่ชอบความชื้นและที่มืด ฉะนั้นเมื่อนำข้าวสารไปตากแดด แน่นอนว่ามอดก็ต้องร้อนรนขนสมาชิกหนีตายออกจากข้าวสาร 13.วางถุงพริกไทยดำให้ส่งกลิ่นกำจัดมอด บ้านไหนที่มีพริกไทยดำเหลืออยู่จำนวนมาก แนะนำให้นำไปใส่ในผ้าขาวบางแล้วผูกปากให้มิด หรือใส่ในถุงที่มีรูระบายอากาศ จากนั้นนำไปวางไว้ตามที่ต่าง ๆ ในครัว กลิ่นฉุน ๆ และความร้อนของพริกไทยดำก็จะทำให้มอดหายไปจากครัว   เห็นแล้วใช่ไหมครับว่าแต่ละวิธีนั้นไม่ได้ยากอย่างที่คิด หากบ้านใครกำลังเผชิญปัญหามอดบุกรุกคุกคามพื้นที่ครัวอยู่ละก็ อย่าลืมนำวิธีดี ๆ แบบนี้ไปใช้กันนะครับ แล้วจะรู้ว่ามันได้ผลจริง ๆ ความรู้อื่นๆ เกี่ยวการกำจัดมอด วิธีกำจัดมอด วิธีกำจัดปัญหากวนใจต่างๆ ในบ้าน วิธีแก้ปัญหาแอร์มีกลิ่นเหม็นสุดจะดม ก่อนคนในบ้านจะทนอยู่ไม่ไหว 4 วิธีกำจัดสิ่งสกปรกในเครื่องซักผ้า ไรฝุ่น ผู้ร้ายบนที่นอน
“Functional is Beautiful” บ้านที่สวยที่สุด..คือบ้านที่เข้าใจชีวิต

“Functional is Beautiful” บ้านที่สวยที่สุด..คือบ้านที่เข้าใจชีวิต

เมื่อคำนิยามของ “บ้าน” ไม่ได้เป็นแค่เพียงที่อยู่อาศัย และ “บ้าน” ไม่ใช่แค่สถานที่ที่ใช้หลบแดดหลบฝน แต่ “บ้าน คือ ชีวิต” เรื่องราวต่างๆ ในชีวิตเราเริ่มต้นและจบลงที่ “บ้าน” พื้นที่ที่สมาชิกทุกคนในครอบครัวได้แบ่งปัน เติบโต และมอบความอบอุ่นให้แก่กันและกัน   จุดเริ่มต้นของการเลือกบ้านซักหลัง อาจไม่ใช่บ้านหลังใหญ่ที่สุด หรูหราที่สุด หรือมีรูปลักษณ์ภายนอกที่สวยที่สุด แต่สิ่งสำคัญที่ทุกคนต้องการคือ การที่ได้เห็นทุกคนในบ้านได้ใช้ชีวิตร่วมกัน ได้ยินเสียงหัวเราะ ได้ทำกิจกรรมร่วมกัน หรือแม้กระทั่งการที่ได้ปลดปล่อยและเป็นตัวของตัวเอง   ที่เอพี พื้นที่ทุกตารางนิ้วของบ้านถูกออกแบบขึ้นมาเพื่อให้ใช้งานได้จริง และตอบโจทย์ชีวิตที่สุด ด้วยแนวคิด FUNCTIONAL IS BEAUTIFUL ด้วยฟังก์ชั่นภายในบ้านที่สัมพันธ์กับการใช้ชีวิตของสมาชิกทุกคนในครอบครัว ที่แม้จะมีความฝันและไลฟ์สไตล์ที่ต่างกัน แต่ทุกคนก็สามารถใช้ทุกพื้นที่ร่วมกันได้ ทำให้พื้นที่ภายในบ้านอัดแน่นและอบอวลไปด้วยเสียงหัวเราะ เกิดเป็นความอบอุ่นที่ช่วยเติมพลังให้กับทุกคน เป็นการสร้างความรู้สึกดีจากรุ่นสู่รุ่น เรียงร้อยเป็นความทรงจำใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นได้แบบไม่รู้จบ   2 KITCHEN IN 1CONCEPT   แม้การออกแบบครัวฝรั่งจะเป็นชื่นชอบในปัจจุบัน แต่คนไทย ยังไงต้องมีครัวไทย ซึ่งถ้ามองลึกไปถึงขั้นตอนกระบวนการทำอาหารไทย ย่อมต้องมีกลิ่นเครื่องแกงต่าง ๆ มากกว่าอาหารฝรั่ง เอพี จึงออกแบบให้มีทิศทางการระบายกลิ่นที่ดี ทิศทางของแสงเพื่อให้อาหารดูสวยงามน่ารับประทาน มีการคำนึงพื้นที่ทำอาหาร ให้ครอบครัวได้ทำอาหารพร้อมกัน และพิจารณาการเข้าถึงได้ง่ายตั้งแต่ที่จอดรถ โดยไม่ต้องผ่านส่วนที่เป็น LIVING AREA     EXTENDED FAMILY SPACE   เมื่อความสุขทุกรูปแบบมักเกินขึ้นที่โต๊ะอาหาร การรังสรรค์เมนูเด็ด การสร้างแรงบันดาลใจ บทสนทนา พื้นที่นี้จึงเป็นส่วนสำคัญหลักของบ้าน FAMILY SPACE จึงอถูกออกแบบให้เชื่อมโยงกับพฤติกรรมเจ้าของบ้าน พื้นที่ DINING จึงไม่เป็นเพียงโต๊ะทานอาหาร หากแต่เป็น FAMILY SPACE ที่เชื่อมต่อกับ FAMILY LIVING,PANTRY และ KICHEN  เข้าด้วยกัน พื้นที่ลักษณะสี่เหลี่ยมผื้นผ้าที่ง่ายต่อการจัดวางและการปรับเปลี่ยน ช่องแสงที่เปิดรับเป็นจังหวะและสัดส่วน ให้เกิดการระบายอากาศได้ดี และปรับขยายเพื่อรองรับกิจกรมของครอบครัว แค่พลิกการวางเฟอร์นิดจอร์ ความเป็นส่วนตัวที่ยังต้องการสัมพันธ์ของครอบครัวก็ยังเกิดขึ้นได้       COURTYARD GARDEN   สวนสีเขียวที่ไม่ได้มีแค่โชว์ สวนจึงถูกออกแบบให้โอบล้อมรอบบ้านทั้ง 3 ด้าน ที่สัมผัสธรรมชาติได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอน สามารถใช้งานได้หลากหลายทุกรูปแบบ แต่ยังคงไว้ด้วยความสงบด้วยกำแพงต้นไม้ทุกด้านที่โอบล้อม การจัดวางต้นไม้ที่คำนึงถึงทิศทางของแสงแดดที่ตกกระทบผ่านเข้ามาในตัวบ้าน ไม่เพียงแต่สร้างเงาที่สวยงาม แต่ยังให้ความร่มรื่น ออกมานั่นอ่านหนังสือในยามบ่ายแบบส่วนตัวแต่ยังคงมีปฎิสัมพันธ์กับครอบครัวได้อยู่     ความสวยงามในชีวิตจริงเหล่านี้เป็นเพียงบางส่วนที่เอพีให้ความสำคัญในการออกแบบ ซึ่งยังมีอีกหลากหลายฟังก์ชั่นกับแนวคิดที่ตอบโจทย์ทุกการใช้งานอย่างแท้จริง  เพราะทุกพื้นที่ทุกตารางนิ้วของที่นี่ คือการส่งต่อความรู้สึกที่ไม่มีวันสิ้นสุด พบ 7 โครงการบ้านเดี่ยวแนวคิดใหม่ THE CITY และ CENTRO จากเอพี  Grand Opening  18 - 19 พ.ย. นี้ พร้อมรับส่วนลดสูงสุดกว่า 2 ล้านบาท ที่ Sales Gallery ชมโครงการคุณภาพจากเอพี และอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://goo.gl/psh6v1    
สร้างรั้วบ้านอย่างไร ถูกทั้งกฎหมาย และไม่ทะเลาะกับเพื่อนบ้าน

สร้างรั้วบ้านอย่างไร ถูกทั้งกฎหมาย และไม่ทะเลาะกับเพื่อนบ้าน

"รั้วบ้าน" อาจไม่ใช่ส่วนหลักของบ้านที่เรานึกถึง แต่ในความเป็นจริงแล้ว รั้วบ้านกลับมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าส่วนประกอบอื่นๆ ของตัวบ้าน เนื่องจากโดยหน้าที่แล้วรั้วบ้านช่วยป้องกันอันตราย และยังเป็นเหมือนด่านแรกที่คนมองเห็นจากภายนอก หากแต่ก็มีปัญหาเรื่องบ้านส่วนหนึ่งเกิดขึ้นจากเรื่องของ "รั้ว" ซึ่งบางทีเลยเถิดจนกลายเป็นปัญหาระหว่างเจ้าของบ้าน เราจึงอยากแนะนำเรื่องการสร้างรั้วที่จะไม่สร้างปัญหาให้กับคุณมาฝาก 1.ด้านที่ติดกับทางสาธารณะ เราต้องสร้างรั้วไว้ในเขตพื้นที่บ้านของเรา 2.สำหรับรั้วที่ติดกับบ้านหลังข้างๆ ให้เราสร้างรั้วไว้ตรงกลางของเส้นแบ่งที่ดิน 3.รั้วที่สร้างติดกับทางสาธารณะต้องมีความสูงไม่เกิน 3 เมตร โดยนับจากระดับทางเท้าหรือถนนสาธารณะ ทั้งด้านหน้า ด้านข้างหรือด้านหลัง 4.เราไม่ควรสร้างรั้วบ้านแบบทึบ เพราะทำให้ลมไม่สามารถพัดผ่านได้ นอกจากนี้รั้วบ้านที่ทึบในทางกลับกันยังจะกลายเป็นที่ซ่อนตัวของโจรหลังปีนเข้ามาภายในบ้านอีกด้วย   ขอขอบคุณข้อมูลจาก  home.sanook.com
10 สิ่งในบ้านที่ทำให้คุณรู้สึกเหนื่อย

10 สิ่งในบ้านที่ทำให้คุณรู้สึกเหนื่อย

บ้านน่าจะเป็นสถานที่ๆ เมื่อเข้ามาแล้วรู้สึกสบาย ผ่อนคลาย ได้พักผ่อน แต่ทั้งนี้มีหลาย ๆ คนรู้สึกเหนื่อยล้า ไม่สดชื่น ไม่อยากจะตื่นขึ้นมาในตอนเช้าเลย นั่นเป็นเพราะมีบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้คุณรู้สึกเหนื่อยและสิ่งเหล่านั้นมีอะไรบ้างมาดูกัน   1. ความรก แน่นอนว่าถ้าคุณพักผ่อนอยู่ในที่ๆ ไม่สะอาด มันก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกดีขึ้น อาจจะรู้สึกเหนื่อยมากขึ้นด้วยซ้ำ มีการสำรวจพบว่าบรรยากาศที่รกรุงรังทำให้เกิดความเครียด และก็ทำให้รู้สึกเหนื่อยมากขึ้น   2. การทาผนังสีฟ้า จากการทำรวจห้องนอนสีต่าง ๆ จะนวน 2,000 ห้อง พบว่าบ้านที่ทาห้องนอนด้วยสีฟ้าช่วยให้อัตราการเต้นของหัวใจช้าลง ลดความดันโลหิต และทำให้รู้สึกง่วง ดังนั้นสีฟ้าจึงเป็นสีที่เหมาะกับการใช้ในห้องนอน แต่จะไม่เหมาะที่จะนำไปใช้ในห้องอื่น   3. โทรทัศน์และจอคอมพิวเตอร์ ทั้งสองอย่างนี้มีคลื่นสีฟ้า และมันจะส่งผ่านไปที่สมอง สมองก็จะผลิตเมลาทนิน ที่ทำให้รู้สึกเหนื่อย   4. เครื่องต้มกาแฟ แม้ว่ามันจะดีสำหรับในช่วงเช้า แต่ไม่ค่อยเหมาะสำหรับในช่วงบ่ายหรือค่ำ ถ้าคุณดื่มกาแฟในช่วงอาหารค่ำ คาเฟอีนก็จะไปกระตุ้นพลังงาน ซึ่งไม่ดีสำหรับการเตรียมตัวนอนหลับพักผ่อน   5. เซ็ทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บางคนเห็นว่าการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สักเล็กน้อยก่อนนอน จะช่วยให้หลับง่าย แต่คุณภาพการหลับของคุณจะไม่ดี และทำให้ไม่สดชื่นเมื่อตื่นขึ้นมาในตอนเช้า   6. เทียนหอมลาเวนเดอร์แม้ว่ากลิ่นจะช่วยทำให้รู้สึกผ่อนคลาย แต่ในบางกรณีก็ทำให้เหนื่อย ผู้เชี่ยวชาญจาก Wesleyan University ศึกษาพบว่า การดมกลิ่นลาเวนเดอร์ก่อนนอนมีแนวโน้มที่จะทำให้นอนหลับอุตตุ ดังนั้น ในช่วงกลางวัน ไม่ควรจุดเทียนหอมกลิ่นลาเวนเดอร์ ลองเปลี่ยนเป็นกลิ่นส้มแทน และกลิ่นลาเวนเดอร์ ก็ใช้เฉพาะตอนกลางคืน   7. อาหารขยะฝรั่งอบกรอบ อาหารที่มีน้ำตาลสูง คาร์โบไฮเดรตสูง จะทำให้คุณรู้สึกเหนื่อยอยู่ตลอดเวลา   8. การตั้งอุณภูมิในห้อง จากการศึกษาพบว่า อุณภูมิที่ค่อนข้างเย็น คือประมาณ 16-20 องศาเซลเซียส จะทำให้รู้สึกง่วง หากตั้งอุณภูมิในบ้านไว้ในระดับนี้ทั้งวัน จะทำให้รู้สึกอยากนอนกลางวัน   9. โทรศัพท์มือถือ แน่นอนว่าเป็นอุปกรณ์ที่ทุกคนจำเป็นต้องใช้ แต่มันทำให้เรารู้สึกเหนื่อยมากขึ้นในระหว่างวัน ร้อยละ20 ของคนหนุ่มสาว อายุ 19-29 ปี มักจะถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาในตอนกลางคืนเพราะการโทรศัพท์ การส่งข้อความ และอีเมล์ ซึ่งนั่นรบกวนการนอนหลับ ทั้ง ๆ ที่เราเหนื่อยกับการทำงานมาทั้งวันแล้ว   10. ม่านหน้าต่าง มีการสำรวจสถานที่ทำงานที่มีหน้าต่าง กับไม่มีหน้าต่าง พบว่า คนที่ได้รับแสงจากธรรมชาติในช่วงกลางวัน จะนอนหลับได้ดีกว่าคนที่ทำงาน ในที่ที่ไม่มีแสงธรรมชาติส่องผ่านเข้ามา ดังนั้นที่บ้านก็เช่นกัน เราควรเปิดรับแสงจากธรรมชาติ เพื่อให้สามารถนอนหลับพักผ่อนในช่วงกลางคืนได้อย่างเต็มที่     ขอบคุณข้อมูลจาก www.housebeautiful.co.uk home.sanook.com            
5 วิธีไล่แมลงวัน แบบธรรมชาติ ไม่กล้ามาวุ่นวายกวนใจอีก

5 วิธีไล่แมลงวัน แบบธรรมชาติ ไม่กล้ามาวุ่นวายกวนใจอีก

แมลงวันเป็นสัตว์ประเภทหนึ่งที่สร้างความน่ารำคาญ และทำให้รู้สึกถึงการขาดสุขอนามัยที่ดี เวลาบินมาใกล้แต่ละทีอยากจะหาไม้ตีแต่ก็เกรงว่าจะบาปติดตัว เราจึงมีวิธีไล่แมลงวันแบบธรรมชาติมาแนะนำ รับรองช่วยแก้ปัญหาแมลงวันได้เป็นอย่างดี 1.ไล่แมลงวันด้วยเปลือกมะนาว วิธีการคือให้ใช้ผ้าขาวบางห่อเปลือกมะนาวแล้วถูในบริเวณต่างๆ ที่มักมีแมลงวันบินรบกวน 2.กานพลูหรือน้ำมันกานพลู ใช้ไล่แมลงวันได้ กลิ่นของกานพลูเป็นกลิ่นที่แมลงวันไม่ชอบ 3.ลองปลูกกะเพราช่วยไล่แมลงวัน ลองเลือกกะเพรามาเป็นไม้กระถางตั้งตามมุมหรือบริเวณที่มักมีแมลงวันรบกวน กลิ่นของใบกะเพรากำราบแมลงวันได้แน่นอน 4.สะระแหน่ก็ช่วยไล่แมลงวัน จะปลูกหรือวางใบสะระแหน่ไว้ในบริเวณที่แมลงวันบินมากวนใจ ก็ไล่แมลงวันให้บินหนีไปไกลได้หมด 5.ใช้โรสแมรี่ไล่แมลงวัน ใช้ไล่แมลงวันได้ โดยคุณสามารถใช้ได้ทั้งแบบสดและแบบแห้ง ความรู้เกี่ยวกับแมลงวัน แมลงวัน (Diptera) เคล็ดลับไล่แมลงอื่นๆ วิธีใช้ของก้นครัวปราบ 7 แมลงร้าย ให้ตายยกรังยันตัวแม่ วิธีกำจัดแมลงสาบในบ้านง่ายๆ ได้ผลดีที่สุด 13 วิธีกำจัดมอด ปิดประตูตายแมลงร้ายในครัว
“โสสุโก้” เผยเคล็ด(ไม่)ลับดูแลพื้นผิวกระเบื้องรับหน้าฝน

“โสสุโก้” เผยเคล็ด(ไม่)ลับดูแลพื้นผิวกระเบื้องรับหน้าฝน

ในฤดูฝนแบบนี้ สายฝนที่เย็นชุ่มฉ่ำมักมาพร้อมกับการเกิดคราบสกปรกบนพื้นผิวกระเบื้องปูพื้นหรือบุผนังบริเวณภายนอกบ้านหรืออาคารที่โดนฝนหรือมีน้ำขัง รวมถึงคราบเกาะติดตามร่องยาแนวกระเบื้อง ซึ่งหากปล่อยไว้นาน คราบเหล่านี้จะยิ่งฝังแน่น ทำความสะอาดยาก และทำลายความสวยงามของกระเบื้องในที่สุด ดังนั้นวันนี้ บริษัท โสสุโก้ แอนด์ กรุ๊ป (2008) จำกัด ผู้ดำเนินการตลาดและการขายกระเบื้องเซรามิกปูพื้น และบุผนังตราโสสุโก้ มีเคล็ด(ไม่)ลับในการความสะอาดพื้นกระเบื้องเซรามิกที่เกิดคราบสกปรกจากน้ำฝนหรือน้ำขังสะสมมาฝากกัน ด้วย 3 วิธีง่ายๆ ดังนี้ ฟองน้ำหรือผ้าสะอาดชุบน้ำ สำหรับคราบน้ำฝนที่เกิดขึ้นใหม่ยังไม่ติดแน่นมากนัก สามารถรับมือได้ไม่ยาก เพียงใช้ฟองน้ำหรือผ้าสะอาดชุบน้ำแล้วเช็ดที่กระเบื้อง แต่ถ้าบนพื้นกระเบื้องมีคราบสกปรกฝั่งแน่นมาก แนะนำให้ใช้น้ำผสมน้ำยาทำความสะอาดเล็กน้อยเช็ดบริเวณที่เป็นคราบ และเพื่อป้องกันการเกิดคราบสกปรกต่างๆ ควรหมั่นทำความสะอาดทั้งพื้นและผนังกระเบื้องให้แห้งสะอาดอยู่เสมอ การดูแลรักษาอยู่เสมอไม่เพียงทำให้บ้านดูสวยงามน่าอยู่ แต่ยังทำให้บ้านปลอดภัยจากเชื้อโรคและสิ่งสกปรกสะสม เพื่อสุขอนามัยที่ดีของผู้อยู่อาศัยนั่นเอง อุปกรณ์ดีมีชัยไปกว่าครึ่ง การเลือกใช้อุปกรณ์ในการจัดการกับคราบสกปรกฝังลึกต่างๆ ที่ขจัดได้ยากไม่ว่าจะเป็นคราบจากตะไคร้น้ำ หรือคราบน้ำขลังจากฝน การขจัดคราบเหล่านี้ถือเป็นปัญหาสำคัญอย่างยิ่งสำหรับคุณแม่บ้านโดยเฉพาะพื้นกระเบื้องที่ต้องการอุปกรณ์ที่แข็งแรงพอจะจัดการคราบสกปรกทั้งแบบเปียก และแบบแห้งได้อยู่หมัด แต่ในขณะเดียวกันอุปกรณ์ก็ต้องมีความอ่อนโยนกับพื้นผิวกระเบื้องไม่ทำให้พื้นกระเบื้องเกิดรอยขูดขีดด้วยเช่นกัน ดังนั้นเราควรเลือกอุปกรณ์ที่เหมาะสมกับพื้นผิวกระเบื้อง เช่น ไม้ม็อป ควรเป็นไม้ม็อปที่สามารถถอดหัวเปลี่ยนได้ สะดวกต่อการทำความสะอาด มีเนื้อผ้าที่นุ่ม หรือใช้แปรงที่มีขนแปรงนุ่มแต่ทนทานพอที่จะขจัดคราบได้ เป็นต้น ผงสารพัดประโยชน์ ผงซักฟอกถือเป็นผงสารพัดประโยชน์จริงๆ ณ เวลานี้ เพราะนอกจากจะขจัดคราบบนเสื้อผ้าได้อย่างสะอาดเอี่ยมแล้ว ยังเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่สามารถขจัดคราบบนแผ่นกระเบื้องได้อย่างสะอาดหมดจดในเวลาอย่างรวดเร็วอีกด้วย กับวิธีง่ายๆ เพียงโรยผงซักฟอกเล็กน้อย และใช้อุปกรณ์ขจัดคราบขัดเบาๆ เท่านี้คราบสกปรกฝังแน่นบนกระเบื้องก็จะหลุดออกอย่างง่ายดายโดยไม่ต้องเหนื่อยแรงในการขัดแถมยังเป็นอุปกรณ์ที่มีติดอยู่ทุกบ้านอีกด้วย การดูแลบ้านในช่วงหน้าฝนไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด เพียงแต่ต้องเอาใจใส่ดูแลอย่างสม่ำเสมอไม่ปล่อยทิ้งไว้นาน เพียงเท่านี้บ้านก็จะคงความสวยงามและเป็นที่ที่ทุกคนในครอบครัวสามารถใช้เวลาพักผ่อนร่วมกันได้อย่างมีความสุข ติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวของ “กระเบื้องโสสุโก้” ได้ที่แฟนเพจ www.facebook.com/ sosuco2008 หรือสอบถามเพิ่มเติมที่ โทร. 0 2938 9833 และอีเมล callcenter@sosuco2008.co.th
7 วิธีเลือกคอนโดให้อยู่แล้วปลอดภัย

7 วิธีเลือกคอนโดให้อยู่แล้วปลอดภัย

คอนโดก็เปรียบเสมือนบ้านอีกหลังนึงของเรา นั่นก็หมายความว่า การจะซื้อคอนโดเพื่ออยู่อาศัย นอกจากจะเลือกจากทำเล ฟังก์ชั่น ส่วนกลาง และราคาแล้ว การดูเรื่องความปลอดภัยของคอนโดก็เป็นเรื่องที่สำคัญมากอีกเช่นกัน เราจึงรวบรวมสิ่งที่ต้องดูให้ดีว่าคอนโดที่ปลอดภัยต้องมีอะไรบ้าง ดังนี้ 1. กล้องวงจรปิดถือว่าเป็นสิ้งที่ป้องกันภัยได้ในระดับหนี่ง เพราะหากเกิดภัยขึ้นมาก็สามารถติดตามตัวได้ 2. ระบบคีย์การ์ดเข้าออกโครงการในส่วนนี้ถือเป็นการเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้พักอาศัยได้ในระดับนึง เพราะคนที่จะเข้าออกโครงการได้จะต้องเป็นผู้ที่พักอาศัยภายในคอนโดนั้นเพราะจะมีคีย์การ์ดเป็นของตัวเอง แต่ถ้าเป็นคนภายนอกต้องมีการแลกบัตร ซึ่งเมื่อมีเหตุเกิดขึ้น ก็สามารถติดตามได้จากบัตรที่แลกไว้ 3. ระบบคีย์การ์ดเข้าออกอาคารหรือล็อบบี้ถ้าโครงการไหนที่มีคีย์การ์ดบริเวณเข้าออกอาคารหรือล็อบบี้ด้วยนั้นถือว่าเป็นข้อดี เพราะจะช่วยให้มีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น และช่วยคัดคนนอกที่จะเข้ามาภายในด้วย 4. ระบบคีย์การ์ดเข้าโถงลิฟต์สำหรับโครงการไหนที่มีการสแกนคีย์การ์ดเข้าออกมาถึงบริเวณโถงลิฟต์ด้วย ก็ยิ่งช่วยเพิ่มความปลอดภัยมากขึ้นไปอีกด้วย 5. ลิฟต์ล็อคชั้นคอนโดที่มีการล็อคชั้นของลิฟต์ นั้นถือเป็นข้อดีในการเพิ่มความเป็นส่วนตัวให้กับผู้อยู่อาศัย และยังป้องกันการมั่วของคนพักอาศัยได้อีกด้วย 6. Digital Door Lock หรือ ประตูล็อคอัตโนมัติระบบนี้ถือว่ามีข้อดีเพราะเพียงแค่ปิดประตูห้อง ก็สามารถล็อคห้องได้โดยอัตโนมัติแล้ว โดยไม่ต้องห่วงว่าจะมีใครมางัดแงะประตูห้องได้ 7.ระเบียงห้องต้องไม่ติดกันการเลือกโครงการที่ระเบียงห้องไม่ติดกัน ก็ถือว่าช่วยในเรื่องความปลอดภัยได้อีกเหมือนกัน เพราะบางทีภัยอันตรายอาจจะมาจากห้องข้างๆก็เป็นได้   ที่มา นิตยสาร The Condominium เดือนพฤศจิกายน 2558
10 วิธีไล่นกพิราบ บนระเบียงและหลังคาบ้าน วิธีง่าย ๆ ที่ได้ผลจริง

10 วิธีไล่นกพิราบ บนระเบียงและหลังคาบ้าน วิธีง่าย ๆ ที่ได้ผลจริง

วิธีไล่นกพิราบ นกตัวน้อยแต่สร้างความรำคาญให้ไม่น้อยหน้าหนูและแมลง มาดูกันว่าเรามีวิธีไล่นกพิราบไม่ให้มาเกาะที่ระเบียง หลังคา หรือคอนโดได้อย่างไร โดยที่ไม่ต้องใช้ยาเบื่อและวิธีรุนแรง   นกพิราบ ศัตรูตัวฉกาจที่คอยสร้างความรำคาญไม่น้อยไปกว่าหนูและแมลง นอกจากจะชอบบินมาเกาะตามระเบียงและหลังคาแล้วยังปล่อยของเสียพร้อมส่งกลิ่นไม่พึงประสงค์ไปทั่ว แถมยังทำความสะอาดยาก และยิ่งไปกว่านั้นพวกมันอาจเห็นบ้านของคุณเป็นที่พึ่งแห่งใหม่ คาบเศษหญ้าเศษใบไม้มาทำรังอยู่ถาวร สำหรับใครที่กำลังมองหาวิธีไล่นกพิราบบนระเบียง หลังคา หรือคอนโด ก็นำ 10 วิธีไล่นกพิราบที่เรานำมาฝากกันนี้ไปใช้ได้เลยครับ 1.วิธีไล่นกพิราบ ด้วยการ DIY หนาม ใช้ลวดเส้นเล็กปักลงบนฟิวเจอร์บอร์ดในแนวตั้งความสูงประมาณ 3  นิ้ว ปักถี่ ๆ ให้ทั่วแผ่นแล้วนำไปวางไว้ที่ระเบียงหรือบนหลังคา เนื่องจากขาของนกพิราบสั้น ถ้าบินมาเกาะหนามกันนกที่ทำไว้แล้วจะทำให้ลวดทิ่มทั้งเท้าและลำตัวจนไม่กล้าบินลงมาเกาะอีก 2.ใช้เคเบิลไทร์ไล่นกพิราบ เคเบิลไทร์หรือเข็มขัดรัดสายไฟ มีลักษณะเป็นพลาสติกเส้นเล็ก ๆ สามารถไล่นกพิราบได้ โดยการนำไปรัดกับระเบียงโดยที่ไม่ต้องตัดส่วนที่เหลือ เพราะสายส่วนที่ชี้ออกมา จะทำหน้าที่เหมือนหนามแหลมตำเท้านกไม่ให้มาเกาะ แต่จะไม่คมและไม่เจ็บเมื่อคนสัมผัส แต่ควรต้องรัดถี่ ๆ เพื่อไม่ให้เหลือที่ว่างจนนกบินลงมาเกาะได้ 3.ตอกตะปูกับไม้อัด ก็ช่วยไล่นกพิราบ วิธีนี้ใช้หลักการเดียวกับข้อ 1 และข้อ 2 ซึ่งสามารถใช้ได้กับทั้งการไล่นกพิราบที่ระเบียงและไล่พิราบบนหลังคา เพราะไม้อัดและตะปูมีน้ำหนักพอสมควร ไม่ปลิวตามแรงลม สามารถนำไปตั้งไว้ได้ วิธีทำนั้นก็ง่ายมากโดยตอกตะปูลงไปบนแผ่นไม้อัดถี่ ๆ จากนั้นนำไม้อัดไปวางหงาย อาจจะทำตัวยึดช่วยยึดระหว่างพื้นระเบียงหรือหลังคากับแผ่นไม้อัดด้วยก็ได้ 4.ไล่นกพิราบด้วยการติดตาข่ายพีวีซี การติดตาข่ายเป็นอีกวิธีที่ช่วยป้องกันไม่ให้นกพิราบบินเข้ามาในระเบียง โดยนำตาข่ายพีวีซีขึงปิดช่องว่างระหว่างเพดานกับพื้นระเบียงให้มิดชิด แต่ถ้าไม่อยากให้ตาข่ายบดบังทัศนียภาพ อาจเปลี่ยนจากตาข่ายพีวีซีธรรมดาเป็นตาข่ายพีวีซีใส ที่มีความทนทาน แข็งแรง และยังสามารถมองเห็นวิวนอกระเบียงได้ดีกว่าด้วย 5.กำจัดรังนก วิธีไล่นกพิราบอีกทางหนึ่ง นอกจากนกพิราบจะชอบมาเกาะหลังคาหรือระเบียง แถมยังอึจนสร้างความสกปรกให้บ้านแล้ว มุมอับอย่างข้างกระถางต้นไม้หรือคอมเพรสเซอร์แอร์ก็เป็นอีกจุดที่นกพิราบชอบสร้างรัง วิธีกำจัดก็คือหยิบรังนกไปทิ้ง ไม่ให้เหลือเศษหญ้าหรือเศษไม้ที่นกนำมาทำรัง เมื่อนกพิราบเริ่มทำรังอีกรอบก็ให้รีบจัดการ ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ แล้วนกพิราบจะบินหนีไปทำรังที่อื่นโดยปริยาย 6.ใช้แผ่นซีดีสะท้อนแสงไล่นกพิราบ หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าแสงวิบวับจากแผ่นซีดีนี่แหละ ช่วยไล่นกพิราบได้เป็นอย่างดีเลยล่ะ โดยการนำแผ่นซีดีเก่ามาร้อยเข้าด้วยกัน จากนั้นนำไปแขวนตามระเบียงหรือหลังคา นอกจากนี้ในเวลาที่ลมพัดเสียงแผ่นซีดีที่กระทบกันยังช่วยไล่นกพิราบได้อีกทางหนึ่งด้วย 7.ไล่นกพิราบด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ ถ้าหากที่บ้านมีกองหนังสือพิมพ์ที่อ่านแล้วจำนวนมากรอวันกำจัด แทนที่จะนำไปทิ้งหรือชั่งกิโลขาย ก็นำกระดาษหนังสือพิมพ์เหล่านั้นไปปูบริเวณที่นกชอบมาเกาะหรือมาขี้ใส่ แล้วใช้เทปกาวติดขอบไว้กันหนังสือพิมพ์ปลิว เมื่อนกพิราบบินลงมาเหยียบก็จะเกิดเสียงที่เนื้อกระดาษ ทำให้นกพิราบตกใจไม่สามารถเดินต่อได้และจะไม่บินลงมาที่ระเบียงหรือหลังคาบ้านอีก 8.แขวนโมบาย สวยด้วย ไล่นกพิราบได้ด้วย ตามธรรมชาตินกพิราบจะตกใจเสียงและสิ่งของที่ขยับได้ เมื่อโมบายโดนลมพัดหรือโดนปีกนกพิราบที่บินมาใกล้ ก็จะเกิดเสียงและทำให้นกพิราบตกใจจนบินหนีไป โดยควรเลือกโมบายที่มีน้ำหนักเบา เมื่อโดนลมพัดแล้วมีเสียง ยิ่งมีแสงสะท้อนวิบวับด้วยยิ่งดี 9.ฉีดน้ำไล่นกพิราบ วิธีนี้ต้องอาศัยความขยันและอดทน เพราะการฉีดน้ำไล่ใช่ว่าจะได้ผลตั้งแต่ครั้งแรกหรือช่วงแรก ๆ ต้องหมั่นทำบ่อย ๆ ยิ่งฉีดน้ำไล่ทุกครั้งที่นกพิราบบินโฉบลงมาเกาะระเบียงหรือพื้นยิ่งดี ถ้าจะไล่แบบถาวรต้องอาศัยความอดทนทำไปเรื่อย ๆ ซึ่งก็อาจจะกินเวลายาวนานเป็นเดือนก็ได้ 10.เลี้ยงสัตว์ช่วยไล่นกพิราบ ให้เจ้าตูบและเจ้าเหมียวเป็นผู้อารักขาระเบียง ถึงแม้จะเป็นสัตว์เลี้ยงในบ้านแต่สัญชาตญาณการเป็นผู้ล่ายังคงมีในตัวอยู่ เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าพวกมันชอบวิ่งไล่จับนกแค่ไหน ไม่ต้องเสียเวลาออกคำสั่ง แค่เห็นนกพิราบบินลงมาพวกมันก็เต็มใจลุกขึ้นวิ่งไล่จับนกพิราบให้แล้ว   จากวิธีที่กล่าวมา อาจจะไม่ได้ช่วยไล่นกพิราบแบบถาวร เพียงแค่ช่วยบรรเทาและไล่ไม่ให้นกพิราบเข้าใกล้บ้าน แต่ที่สำคัญก็อย่าลืมทำความสะอาดสิ่งสกปรกที่นกพิราบทิ้งไว้ด้วยนะครับ เคล็ดลับอื่นๆ สำหรับบ้านคุณ  วิธีกำจัดแมลงสาบในบ้านง่ายๆ ได้ผลดีที่สุด 6 วิธีเด็ดไล่ตุ๊กแก ให้รีบเผ่นหนีออกจากบ้าน หมดกังวลเรื่องหยากไย่! 5 วิธีไล่แมงมุม แบบไม่ต้องฆ่า
วิธีไล่หนูบนเพดาน กำจัดโดยไม่ต้องฆ่าให้เปลืองแรง

วิธีไล่หนูบนเพดาน กำจัดโดยไม่ต้องฆ่าให้เปลืองแรง

วิธีไล่หนูบนเพดาน วิธีกำจัดหนูบนฝ้าโดยไม่ต้องลงมือฆ่า เพื่อให้หมดปัญหาเรื่องเสียงหนูวิ่งบนเพดาน หนูแทะฝ้า และสารพัดปัญหาที่เกิดจากสัตว์ตัวเล็ก ๆ ชนิดนี้  ศัตรูของบ้านอีกตัวที่คอยสร้างความรำคาญให้กับเรา คงจะหนีไม่พ้นเจ้าสัตว์ฟันแทะอย่าง หนู ทั้งยังสร้างความเสียหาย กัดสายไฟและของในบ้าน ที่ร้ายไปกว่านั้นคือ เจ้าหนูพวกนี้อาจจะนำโรคร้ายมาสู่คนในบ้านได้ พื้นที่อื่นของบ้านยังพอหาทางกำจัดได้ แต่บนเพดานและใต้หลังคาที่เจ้าหนูพวกนี้ชอบใช้กบดานมักจะกำจัดยากกว่าที่อื่น ๆ เนื่องจากเป็นพื้นที่ปิดและแคบ และวันนี้เราก็มีวิธีไล่หนูบนเพดานโดยไม่ต้องฆ่ามาบอกต่อครับ 1.ใช้กับดักหนู วิธีกำจัดหนูแบบนี้นั้นง่ายมาก ก็แค่นำกับดักหนูไปวางใต้เพดาน โดยวางในตำแหน่งที่ไม่ไกลจากแผ่นฝ้าที่แกะออก แล้วหมั่นตรวจดูกับดักทุกวัน ถ้ามีหนูติดให้รีบเอาออกและนำไปกำจัดทันที เพราะหากบังเอิญหนูตายในคากับดัก ก็จะส่งกลิ่นเหม็นเน่าไปทั่วบ้านนานหลายวัน 2.ใช้น้ำมันหอมระเหยสะระแหน่   ถึงแม้กลิ่นของน้ำมันหอมระเหยสะระแหน่จะเป็นที่ชื่นชอบของคน แต่เป็นกลิ่นที่หนูไม่อยากเข้าใกล้มากที่สุด เพราะกลิ่นของน้ำมันชนิดนี้ฉุนสุด ๆ สำหรับหนู วิธีใช้ก็คือนำสำลีก้อนชุบน้ำมันหอมระเหย จากนั้นนำแกะแผ่นฝ้าบนเพดานออก แล้วโยนก้อนสำลีเข้าไปให้ทั่วใต้เพดาน 3.ใช้กรงดัก ใช้กล้วยน้ำหว้าเป็นเหยื่อล่อ ตัดหัวตัดท้ายให้กลิ่นโชย หรือจะใช้หัวปลาทูทอดหรือปลาหมึกแห้งเสียบไว้ล่อหนูก็ได้ จากนั้นก็นำกรงดักมาตั้งบนเพดาน ผูกเชือกที่กรงเอาไว้ด้วย เวลาหนูติดกรงหนูจะดิ้นและพากรงไปไกลเกินกว่าจะเอื้อมถึง เมื่อมีหนูมาติดกรงให้นำไปปล่อยทิ้งในป่าไกลบ้าน เพื่อป้องกันไม่ให้กลับมาอีก แล้วกรงให้ล้างให้สะอาด กำจัดกลิ่นของหนูตัวเก่าออกให้หมด เพราะหนูตัวอื่นจะไม่เข้าใกล้ หากยังมีกลิ่นหนูตัวเก่าติดอยู่ 4.ใช้แผ่นปิดเชิงชายกระเบื้อง ชายคาบ้านเป็นอีกทางที่หนูใช้ไต่เข้ามาใต้หลังคา ฉะนั้นยิ่งปิดช่องทางที่นำมาสู้หลังคาไว้ใช้หมดยิ่งดี โดยเฉพาะหลังคาแบบลอน เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้หนูเข้ามาอาศัยและสร้างความรำคาญ ก็ควรติดแผ่นปิดเชิงชายกระเบื้องหรือแผ่นดักนกตามชายคาให้หมด 5.ใช้ทรายแมว กลิ่นของฉี่แมวอันลือเลื่อง ไม่ใช่แค่กับคนเท่านั้นที่ทนไม่ไหวกับกลิ่นฉี่แมว แม้แต่สัตว์ที่รักสกปรกอย่างหนูเองก็ไม่ชอบเช่นกัน วิธีใช้คือนำทรายแมวที่ใช้แล้วใส่ถุงผ้าแล้วโยนเข้าไปใต้เพดาน ให้เปิดช่องระบายอากาศไว้ด้วย แล้วหนูก็จะไม่เข้ามาใกล้เพดานอีกเลย   ทั้งนี้การกำจัดหนูให้สิ้นซาก ไม่ใช่ว่าจะได้ผลโดยการใช้วิธีใดวิธีหนึ่งหรือการทำเพียงแค่ครั้งเดียว ต้องอาศัยทั้งการไล่ กำจัด การป้องกัน รวมถึงวิธีการทำความสะอาดเพดานอย่างสม่ำเสมอควบคู่กันไปด้วยนะครับ ความรู้เกี่ยวกับหนู หนู  วิธีไล่หนูและสัตว์กวนใจอื่นๆ เพื่อความน่าอยู่ของบ้านเรา วิธีกำจัดมด ด้วยของใกล้ตัว กำจัดปลวก ด้วยวิธีธรรมชาติ วิธีเด็ดไล่ตุ๊กแก ให้รีบเผ่นหนีออกจากบ้าน
การเลือกซื้อที่ดิน การซื้อบ้านใหม่ให้ไกลจากน้ำ(ท่วม)ควรดูอะไรบ้าง?

การเลือกซื้อที่ดิน การซื้อบ้านใหม่ให้ไกลจากน้ำ(ท่วม)ควรดูอะไรบ้าง?

ตั้งแต่ช่วงน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 เวลาจะซื้อบ้านต้องไตร่ตรองและคิดให้รอบคอบมากขึ้นและอาจจะมีคําถามหลายๆประการตามมาว่า ควรจะซื้อบ้านหรือปลูกบ้านตรงไหน ที่ไหน แถวไหน ย่านไหน ควรต้องดูเรื่องอะไรบ้าง ถึงจะปลอดภัยจากน้ำท่วมจริงๆ เผื่อว่าเราอาจจะต้องเจอกับมวลน้ำแบบนี้อีกครั้งหรือหลายครั้งในอนาคต คำตอบง่ายๆ ในเมื่อเราเป็นห่วงว่า “น้ำ” จะท่วมบ้านเราอีกไหม เราก็ต้องพิจารณาปัจจัยและข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวกับ “น้ำ” เป็นหลัก บางคนอาจถามต่อไปว่า แล้วเราจะดู “น้ำ” กันอย่างไร จะไปดูตามท่อระบายน้ำ ตามคู คลองหรือแม่น้ำต่างๆ จะพอไหม จะรู้ไหมว่าน้ำท่วมหรือไม่อย่างไร หรือควรหาข้อมูลอะไร ที่ไหนประกอบหรือไม่อย่างไรก็ตาม หลังจากเหตุการณ์ครั้งนี้ คนไทยเราคงจะมีความรู้เพิ่มมากขึ้น จากข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับ “น้ำ” ที่สื่อมวลชน นักวิชาการและรัฐบาลนําเสนอผ่านสื่อออกมาทุกวัน ในอดีตเวลาที่เราจะเลือกซื้อหาบ้านจัดสรร หรือเลือกซื้อที่ดินปลูกบ้านใหม่คงเลือกจากการที่มีเอกสารจัดสรร และโฉนดที่ดินว่ามีหรือไม่ ด้านทําเลที่ตั้งใกล้กับแหล่งอำนวยความสะดวกมากน้อยแค่ไหน ไปจนถึงจากรูปแบบบ้าน ราคา และชื่อเสียงของบริษัท เป็นต้น แต่หลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งนี้แล้ว “ผู้ซื้อ” หรือ “ผู้บริโภค” ควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับ “น้ำ”เพิ่มเติมก่อนที่จะตัดสินใจเลือกแหล่งที่อยู่อาศัย ข้อควรพิจารณามีดังนี้ 1. โซนผังเมือง : โซนสีต่างๆ ที่ปรากฎในผังเมืองเป็นตัวบ่งชี้ว่า เมืองนั้นๆ กําหนดแนวทางการใช้พื้นที่ดินแต่ละเขตเป็นอย่างไร มีการใช้งานในลักษณะใดบ้าง เช่น พาณิชยกรรม ที่อยู่อาศัย หรือพื้นที่เกษตรกรรม เป็นต้น จากกรณีน้ำท่วมครั้งนี้ เราจึงเห็นได้ว่าพื้นที่ฝั่งตะวันออกของกรุงเทพฯ เช่น เขตหนองจอก มีนบุรี คลองสามวา ลาดกระบัง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่กําหนดเป็นโซนสีเขียวและเขียวทแยง ซึ่งเป็นพื้นที่ชนบทและเกษตรกรรม และพื้นที่ชนบทอนุรักษ์และเกษตรกรรม จึงได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมเป็นจํานวนมากเนื่องจากอยู่ในเส้นทางการระบายน้ำและรัฐมิได้กําหนดให้เป็นพื้นที่อยู่อาศัย 2. แนวคันกั้นน้ำ : ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลจะมีการวางตําแหน่งคันกั้นน้ำ เพื่อการบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพตามแนวพระราชดําริไว้ ตั้งแต่เหนือจรดใต้และครอบคลุมทั้งสองฝั่งตะวันออกและตะวันตก โดยแนวคันกั้นน้ำจะมีความสูงต่ำแตกต่างกันและมีลักษณะซ้อนกันเป็นชั้นๆ ที่สัมพันธ์กับตําแหน่งคู คลองธรรมชาติ เพื่อป้องกันน้ำจากทางตอนเหนือเข้าท่วมบริเวณพื้นที่กรุงเทพชั้นกลางและชั้นใน ดังนั้นการเลือกซื้อบ้านหรือที่ดินที่อยู่ภายในแนวคันกั้นน้ำก็จะช่วยลดความเสี่ยงเรื่องน้ำท่วมได้ระดับหนึ่ง 3. ตําแหน่งคู คลอง แหล่งน้ำธรรมชาติ : จากประสบการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ เราคงเห็นได้ชัดเจนว่า เส้นทางการเคลื่อนที่หลักๆ ของน้ำจะเอ่อล้นมาจากเส้นทางน้ำธรรมชาติคือ คู คลองต่างๆ ที่มีอยู่ทั่วเมืองและจากท่อระบายน้ำต่างๆตามถนนหนทางหน้าบ้านของเรา และการมาของน้ำทั้งสองทางนี้จะป้องกันได้ยากที่สุด ดังนั้นบ้านเรือนที่อยู่ริมน้ำคู คลองที่มีทัศนียภาพสวยงามก็จะมีความเสี่ยงจากน้ำมากเช่นกัน 4. ความสูงต่ำของที่ดิน/ที่ตั้ง (Topography) : ถ้าใครเคยเห็นแผนที่ในการวิเคราะห์ระดับน้ำท่วมกรุงเทพฯคราวนี้ จะพบว่าแต่ละพื้นที่จะมีการคาดการณ์ระดับน้ำท่วมที่สูงต่ำต่างกัน นั่นเป็นเพราะแต่ละพื้นที่มีระดับความสูงของแผ่นดินที่ต่างกันทําให้ระดับน้ำมีความลึกต่างกัน ถ้าเปรียบเทียบให้ง่ายขึ้นก็เหมือนกับสระว่ายน้ำเมื่อมองที่ผิวน้ำจะพบว่า มีผิวน้ำมีความเรียบเสมอกันแต่ก้นบ่อของสระว่ายน้ำมีระดับที่ไม่เท่ากันทําให้สระว่ายน้ำมีทั้งส่วนลึกและส่วนตื้น ดังนั้น หากเลือกที่ดินสําหรับปลูกบ้าน ในพื้นที่ที่มีระดับสูงกว่าจะมีความเสี่ยงจาก น้ำน้อยกว่า สําหรับข้อมูลส่วนนี้สามารถแสดงให้เข้าใจง่ายด้วยภาพตัดขวางแสดงระดับถนนภายนอกโครงการเข้าสู่ถนนซอยภายในจนถึงระดับความสูงของที่ดินแต่ละแปลง และระดับพื้นชั้นล่างของบ้านแต่ละหลัง 5. เส้นทางน้ำไหล : เมื่อฝนตกลงบนผิวดิน น้ำส่วนหนึ่งจะซึมลงไปในดินและอีกส่วนหนึ่งจะเป็นอยู่บนผิวดิน ส่วนที่เป็นน้ำบนผิวดินจะไหลลงสู่ที่ต่ำและไหลลงไปสู่แม่น้ำลําคลอง ฉะนั้นการเลือกตําแหน่งในการปลูกสร้างบ้านเรือนต้องไม่ขวางทางที่น้ำไหลผ่าน เพราะแรงของน้ำนั้นมหาศาลมากขนาดทําให้ถนนขาดได้ และไม่ว่าจะปลูกบ้านด้วยโครงสร้างแบบใด หากปลูกอยู่บนเส้นทางที่น้ำไหลผ่านก็คงยากที่จะทานแรงมหาศาลของมวลน้ำไหว ดังนั้น ก่อนจะสร้างบ้านหรือซื้อที่ดินต้องลองสังเกตว่าเมื่อฝนตกลงมาแล้ว เส้นทางการไหลของน้ำฝนได้ผ่านแนวที่ดินของเราหรือไม่ หากน้ำไหลผ่านให้ควรหลีกเลี่ยง 6. มาตรการป้องกันน้ำท่วม : ข้อมูลนี้เป็นประเด็นสําคัญที่ลูกค้าควรสอบถาม เพื่อความมั่นใจในยุคหลังน้ำท่วมครั้งนี้ว่า แต่ละโครงการได้มีการเตรียมการหรือมีแผนรองรับเหตุน้ำท่วมที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต ในเรื่องของตัวบ้านและตัวโครงการไว้อย่างไรบ้าง อาทิ การจัดเตรียมพื้นที่หน่วงน้ำ การจัดทําเขื่อนหรือคันกั้นน้ำในโครงการ รูปแบบการระบายน้ำในโครงการไปจนถึงการเตรียมความพร้อมเพื่อการอพยพหนีน้ำ ในกรณีวิกฤต ซึ่งแนวทางเหล่านี้จะมีระดับมากน้อยเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงกับระดับน้ำท่วมว่ามากเพียงใด จากประเด็นพิจารณาเหล่านี้ เป็นหน้าที่ของเราในฐานะผู้ซื้อบ้านหรือที่ดินใหม่ในอนาคต ควรศึกษาข้อมูลให้ถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจ เพราะประเด็นเหล่านี้จะบอกถึงความเสี่ยงในเรื่องของน้ำที่อาจจะต้องพบเจอในปีต่อๆ ไปได้ว่า บ้านเรือนของเรามีโอกาสน้ำท่วมหรือไม่ท่วม หรือท่วมมากแค่ไหน เพื่อรับมือได้อย่างถูกต้องรวมทั้งยังเป็นหน้าที่ของบริษัทบ้านจัดสรรและเจ้าของโครงการอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ที่จะต้องนําเสนอข้อมูลเหล่านี้ต่อลูกค้าเป็น ”A Must Information” ด้วยภาษาที่เข้าใจง่ายในลักษณะ Infographic ที่เราคุ้นๆ กันในช่วงน้ำท่วมที่ผ่านมา เพื่อแสดงความจริงใจต่อลูกค้าและอาจใช้เป็นแรงจูงใจทางการตลาด ได้อีกทางหนึ่งด้วย   ที่มา รัชด ชมภูนิช คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ม.เกษตรฯ /ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) home.co.th
เทคนิคแก้ไขปัญหาน้ำฝนรั่วซึมเข้าบ้าน

เทคนิคแก้ไขปัญหาน้ำฝนรั่วซึมเข้าบ้าน

เข้าสู่ช่วงหน้าฝนทีไร ก็มักมีปัญหามากวนใจคือ ปัญหาน้ำฝนรั่วซึมเข้าบ้าน เราจะมาแนะนำวิธีสังเกตและแก้ไขปัญหาน้ำรั่วซึมเข้าบ้านในแต่ละจุดกันครับ ใต้หลังคาสังเกตจากคราบน้ำบนฝ้า หรือลองขึ้นไปดูใต้หลังคาเพื่อตรวจดูว่าฝ้ามีคราบน้ำหรือเปล่า ซึ่งถ้าพบว่าน้ำรั่วใต้หลัง จะมีสาเหตุหลักๆ ดังนี้ 1.1 กระเบื้องใต้หลังคาชำรุด หรือแตก ทำให้มีน้ำรั่วซึมมาตามรอยแยก แก้ไขโดยการเปลี่ยนกระเบื้องใหม่ 1.2 ติดตั้งหลังคาไม่เหมาะสม เช่น ระยะซ้อนทับหลังคาน้อย แก้ไขโดยการติดตั้งหลังคาใหม่ ให้มีระยะซ้อนทับตามกำหนดของแต่ละยี่ห้อ 1.2 หลังคาลาดเอียงน้อยเกินไป ทำให้ฝนไหลย้อนเข้าใต้หลังคา แก้ไขโดยการติดตั้งหลังคาใหม่ ให้มีระยะซ้อนทับตามกำหนดของแต่ละยี่ห้อ พื้นหลังคาคอนกรีตแตกร้าวเช่น พื้นดาดฟ้าแตกร้าว พื้นเป็นแอ่ง น้ำขัง ทำให้เกิดน้ำรั่ว แก้ไขโดยการปรับความลาดเอียงของพื้นให้น้ำไหลออกได้สะดวก และซ่อมรอยร้าว ทำกันซึมพื้นให้เรียบร้อย ผนังบ้านมีรอยร้าวเวลาฝนตกจะเห็นคราบตามรอยผนัง ถ้าเมื่อไรที่ผนังบ้านร้าวก็จะมีน้ำซึมเข้ามา ดังนั้นควรตรวจรอยร้าวของบ้าน ถ้าพบให้เรียกช่างมาซ่อมแซมรอยร้าวทันที ขอบวงกบประตู-หน้าต่างรอยร้าวนี้มักพบเพราะเกิดจากการยืดขยายตัวของอุณหภูมิ ทำให้เกิดรอยร้าวที่มุม และทำให้น้ำฝนรั่วซึมเข้ามา แก้ไขโดยการตรวจสอบว่ามีเสาเอ็น ทับหลัง เหล็กกรงไก่หรือไม่ ถ้าหากมีครบให้เรียกช่างมาซ่อมรอยร้าวทันที ปัญหาทั้งหมดนี้เป็นเพียงปัญหาเบื้องต้น ซึ่งเราสามารถตรวจสอบและแก้ไขเองได้ แต่ถ้าพบว่าปัญหาใหญ่เกินแก้ไขเองให้เรียกช่างมาซ่อมทันที   ขอขอบคุณข้อมูลจาก นิตยสาร Home Buyers' Guide เดือนมิถุนายน 2559
ต่อรั้วบ้านเดิมเพิ่มความส่วนตัว

ต่อรั้วบ้านเดิมเพิ่มความส่วนตัว

เรื่อง :  อิษฎา แก้วประเสริฐ             SCG Experience Architect "เมื่อพื้นที่รอบบ้านมีการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นถนนสาธารณะ หรือตึกข้างเคียงที่สูงขึ้น รั้วบ้านเดิมจึงไม่สามารถปกป้องความเป็นส่วนตัวได้เท่าที่ควร การปรับปรุงรั้วบ้านให้สูงขึ้นพร้อมหาวิธีตกแต่งให้สวยงาม นับเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับเจ้าของบ้านซึ่งประสบปัญหาดังกล่าว" “รั้วบ้าน” เป็นปราการที่กั้นระหว่างตัวบ้านกับเพื่อนบ้านหรือพื้นที่สาธารณะภายนอก แต่ด้วยการเปลี่ยนแปลงของสภาพสังคมทุกวันนี้  สิ่งไม่พึงประสงค์ต่างๆ ทั้ง เสียง มลพิษ และภัยจากผู้คุกคาม อาจเข้ามาถึงตัวบ้านได้ง่ายขึ้น รั้วบ้านเดิมที่สร้างไว้เริ่มสูงไม่พอ เมื่อเทียบกับระดับถนน พื้นดินแวดล้อม และความสูงของอาคารสร้างใหม่ใกล้เคียง ทั้งหมดนี้นำมาซึ่งความกังวลใจจนเจ้าของบ้านจนต้องเริ่มนึกถึง “การปรับปรุงรั้วบ้านให้สูงขึ้น” ซึ่งมีเรื่องต่างๆ ต้องพิจารณา ได้แก่ ความสูง ความโปร่ง ความสวยงาม รวมถึงปัจจัยสำคัญคือ สภาพรั้วบ้านเดิม น้ำหนักวัสดุ และการติดตั้ง รั้วบ้านที่ทำการต่อเติมด้วยระแนงไม้เทียม รั้วบ้านที่เตี้ยเกินไปจนบุคคลภายนอกมองเข้ามาได้ ทำให้รู้สึกไม่เป็นส่วนตัว ต่อเติมรั้วบ้านสูงเท่าไหร่ดี ความสูงของรั้วบ้านจะต้องไม่ขัดกับกฎหมาย โดยจะสูงจากระดับถนนหรือทางเท้าได้ไม่เกิน 3.00 เมตร และควรคำนึงถึงความระดับความสูงของอาคารข้างเคียงรวมถึงช่องเปิดด้วย  ทั้งนี้ระดับรั้วบ้านยิ่งสูงจะยิ่งมีพื้นที่ปะทะแรงลมมากขึ้นจึงควรคำนึงเรื่องจุดยึดที่มั่นคงแข็งแรงเพียงพอ รั้วบ้านโปร่ง รั้วบ้านทึบ เจ้าของบ้านหลายคนอยากให้รั้วบ้านโปร่ง สามารถมองทะลุและระบายอากาศได้  เพื่อลดความอึดอัด โดยเฉพาะบ้านที่มีระยะร่นอาคารน้อย ระยะห่างระหว่างตัวบ้านกับรั้วค่อนข้างกระชั้น หรือกรณีที่มีความสูงของบ้านมากๆ หากทำรั้วบ้านทึบตันจะยิ่งอึดอัด ทั้งนี้การทำรั้วบ้านโปร่งอาจออกแบบเป็นจังหวะโปร่ง-ทึบ สลับกันไป ตามตำแหน่งระยะและมุมมองที่เหมาะสมในเรื่องความเป็นส่วนตัว อย่างไรก็ตาม การต่อเติมรั้วบ้านให้สูงเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะเรื่องความเป็นส่วนตัวด้านสายตาเท่านั้น ส่วนเรื่องการป้องกันเสียงรบกวนยังช่วยได้ไม่มาก ภาพเปรียบเทียบรั้วบ้านทึบ (ซ้าย) กับรั้วบ้านโปร่ง (ขวา) ซึ่งลมสามารถลอดผ่านซี่รั้วเข้ามาได้ ออกแบบส่วนต่อเติมรั้วบ้านให้สวยงาม รั้วบ้านเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลกับรูปลักษณ์ของบ้าน  การปรับปรุงรั้วบ้านควรเลือกใช้วัสดุ สีสัน และรูปแบบที่ไม่ขัดแย้งกับบ้าน โดยอาจลดทอนความแข็งกระด้างของวัสดุรั้วบ้านทรงสี่เหลี่ยมทื่อๆ ได้ด้วย พืชพรรณต้นไม้ สวนแขวน หรือสวนแนวตั้ง ซึ่งนอกจากจะเพิ่มพื้นที่สีเขียวเพื่อความสุขสบายตาแล้ว ยังช่วยลดแสงสะท้อนสำหรับรั้วบ้านสีอ่อน และลดทอนเสียงรวมถึงมลพิษจากภายนอกได้ด้วยเช่นกัน ตัวอย่างการตกแต่งรั้วบ้านด้วยวัสดุเบาต่างๆ สภาพรั้วบ้านเดิม นับเป็นเรื่องสำคัญที่สุดที่เจ้าของบ้านควรพิจารณา เนื่องจากโครงสร้างของรั้วบ้านทั่วไปมักจะรับน้ำหนักด้วยเสาเข็มแบบสั้น หากเป็นไปได้ควรนำแบบรั้วบ้านมาขอรับคำปรึกษาจากวิศวกรโครงสร้างจะดีที่สุด เพื่อช่วยประเมินว่าโครงสร้างรั้วบ้านยังอยู่ในสภาพดีหรือไม่ โดยรั้วบ้านจะที่ต่อเติมไม่ควรเกิดการทรุดตัวมาก คานทับหลังไม่แอ่นตกท้องช้าง ไม่มีการปริแตกของเสารั้วบ้าน วัสดุผนังที่ก่อไว้ไม่แตกทะลุหรือมีรอยแยกใหญ่ผิดปกติ รั้วบ้านที่มีลักษณะดังกล่าวนี้หากฝืนต่อเติมไปอาจยิ่งก่อให้เกิดปัญหามากขึ้น น้ำหนักของวัสดุที่ใช้ต่อเติมรั้วบ้าน หลีกเลี่ยงวัสดุประเภทผนังก่อ เพราะการต่อเติมจะสร้างน้ำหนักให้กับโครงสร้างรั้วบ้านเดิมเพิ่มขึ้น ควรเลือกใช้วัสดุเบา ยกตัวอย่างเช่น ไฟเบอร์ซีเมนต์ ซึ่งมีทั้งแบบแผ่นบอร์ด และแผ่นยาวที่ออกแบบหน้ากว้างมาสำหรับทำรั้วบ้านโดยเฉพาะ บางรุ่นมีสีและพื้นผิวเลียนแบบไม้ให้เลือกใช้ด้วย โดยติดตั้งกับโครงสร้างเบา เช่น โครงเหล็ก โครงไม้ ฯลฯ ตามระยะโครงคร่าวที่ผู้ผลิตกำหนด (ส่วนใหญ่มักมีระยะประมาณ 30-60 ซม.ขึ้นอยู่กับขนาดและความหนาของวัสดุ) โครงเหล็กสำหรับรั้วส่วนต่อเติม วิธีการติดตั้งเข้ากับรั้วบ้านเดิม รั้วบ้านส่วนต่อเติมควรติดตั้งโดยยึดเข้ากับโครงสร้างรั้วบ้านเดิมที่เป็นส่วนของคอนกรีตเสริมเหล็ก (คสล.) ได้แก่ คานคอดิน เสารั้วบ้าน หรือคานทับหลังรั้วบ้าน เพราะเป็นจุดที่เจาะยึด หรือฝังเหล็กเสียบเหล็กได้ดี โดยถ่ายน้ำหนักสู่ระบบฐานรากหรือโครงสร้างใต้ดินโดยตรง ส่วนวิธีการยึดนั้น จะยึดโครงรั้วบ้านใหม่เข้ากับด้านบนของคานทับหลังรั้วบ้านเดิม (ภาพซ้าย) หรือเลือกยึดด้านข้างโดยใช้สกรูยึดเพลทเหล็กเข้ากับโครงสร้าง แล้วเชื่อมโครงสร้างรั้วบ้านใหม่เข้ากับเพลทเหล็ก (ภาพขวา) อีกวิธีหนึ่งคือฝังเหล็กหนวดกุ้งเข้ากับเนื้อคอนกรีตด้วยกาวซีเมนต์หรือเคมีภัณฑ์ที่ใช้เสียบเหล็ก จากนั้นนำมาเชื่อมกับโครงสร้างรั้วบ้านต่อเติม วิธีหลังนี้ต้องอาศัยความแม่นยำในการต่อเชื่อมสูง จึงมักไม่เป็นที่นิยมนัก การติดตั้งรั้วส่วนต่อเติมด้วยโครงเหล็กและไม้เทียม จะเห็นได้ว่าการต่อเติมรั้วบ้านให้สูงขึ้นนั้น นอกจากความสวยงาม ความโปร่ง และความเป็นส่วนตัวแล้ว ยังมีเรื่องของความแข็งแรงซึ่งเป็นข้อสำคัญที่ควรคำนึง ทั้งสภาพโครงสร้าง การยึดติดตั้ง รวมถึงแรงลมปะทะที่เพิ่มขึ้น ทางที่ดีควรให้วิศวกรหรือผู้เชี่ยวชาญช่วยพิจารณา โดยเฉพาะการประเมินสภาพโครงสร้างรั้วบ้านเดิม ขนาดเหล็ก ระยะยึดทาบของโครงสร้าง เพื่อให้การปรับปรุงต่อเติมรั้วบ้านมีความมั่นคงแข็งแรง สามารถตอบโจทย์ความต้องการของเจ้าของบ้านได้อย่างแท้จริง หรือหากมีข้อสงสัย สามารถปรึกษาสถาปนิกจาก SCG ได้ก่อนการแก้ไขปรับปรุงดังกล่าว ขอขอบคุณภาพและข้อมูลจาก  www.scgbuildingmaterials.com
ติดฉนวนใยแก้วกันความร้อนแล้วทำไมบ้านยังร้อน ?

ติดฉนวนใยแก้วกันความร้อนแล้วทำไมบ้านยังร้อน ?

สำหรับเจ้าของบ้านที่ซื้อฉนวนใยแก้วกันความร้อนมาติดตั้งบริเวณหลังคาหรือฝ้าเพดาน แล้วพบว่าบ้านไม่ได้เย็นขึ้นอย่างที่คิด ให้ลองหันมาดูปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้เกิดความร้อนในบ้าน รวมถึงช่องทางระบายความร้อนออกไปนอกบ้าน ทั้งนี้ อาจลองพิจารณาวิธีอื่นๆ ที่ช่วยลดความร้อนในบ้านด้วยนะครับ ปัญหาบ้านร้อน นับเป็นเรื่องธรรมดาของผู้ที่อาศัยเขตเส้นศูนย์สูตรอย่างประเทศไทย วิธีแก้ปัญหาที่มักนึกถึงกันคือ การติดตั้ง “ฉนวนใยแก้วกันความร้อน” และเนื่องจากความร้อนที่เกิดขึ้นภายในบ้าน ประมาณ 70 % มักมาจากทางหลังคาบ้าน  เจ้าของบ้านจึงมักได้รับคำแนะนำให้ติดฉนวนกันความร้อนที่หลังคาหรือฝ้าเพดานชั้นบนสุด  แต่ทั้งนี้อาจมีบางกรณีที่ซื้อฉนวนมาติดตั้งตามคำแนะนำแล้ว แต่ความร้อนในบ้านก็ไม่ได้ลดลง ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ? ก่อนอื่น เจ้าของบ้านควรทำความเข้าใจถึงแหล่งกำเนิดของความร้อนภายในบ้านว่ามาจากส่วนใดได้บ้าง ความร้อนในบ้านมาจากไหน โดยทั่วไป ความร้อนภายในบ้านส่วนใหญ่มักมาจากแสงแดดที่ส่งผ่านความร้อนเข้ามาในบ้าน ผ่านทางหลังคาและ ฝ้าเพดานชั้นบน อีกทางที่เข้ามาได้ง่ายคือ ผนังกระจกและประตูหน้าต่างกระจก ทั้งนี้ แสงแดดยังส่งผ่านความร้อนบางส่วนผ่านผนังทึบได้ด้วย โดยจะมากน้อยเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับค่ากันความร้อน หรือที่เรียกว่า “ค่า R” ของระบบผนังซึ่งแตกต่างกันไปตามชนิดของวัสดุและการติดตั้ง   นอกจากนี้ การทำกิจกรรมประจำวันภายในบ้านก็ทำให้เกิดความร้อนได้  เช่น ความร้อนจากเครื่องใช้ไฟฟ้า ความร้อนจากร่างกายคน เป็นต้น แหล่งที่มาของความร้อนภายในบ้าน ตัวอย่าง ค่า R ของระบบผนังต่างๆ ตัวอย่าง ค่า R ของระบบหลังคาและฝ้าเพดาน ทำความรู้จักฉนวนใยแก้วกันความร้อน ฉนวนใยแก้วกันความร้อน ผลิตจากซิลิกาซึ่งเป็นวัตถุดิบจากแก้ว นำไปหลอมละลายแล้วปั่นเป็นเส้นใย มีคุณสมบัติทนและกันความร้อนได้ดีมาก สามารถติดไฟได้แต่ไม่ลามไฟ (ตรงข้ามกับวัสดุกันความร้อนหลายชนิดที่ลามไฟได้รวดเร็ว) วัสดุเส้นใยแก้วเมื่อแตกตัวจะมีอนุภาคใหญ่เกินกว่าจะเข้าสู่ทางเดินหายในของมนุษย์ได้ จึงไม่นับเป็นสารก่อมะเร็ง ซึ่งตรงกันข้ามกับใยหิน ผลิตภัณฑ์ฉนวนใยแก้วกันความร้อนที่ขายในท้องตลาด อาจมีลักษณะเป็นแผ่น หรือเป็นม้วน โดยจะมีทั้งรุ่นที่ผลิตมาสำหรับติดตั้งบนแปหลังคา ติดตั้งบนฝ้าเพดาน และติดตั้งที่ผนัง การใช้งานฉนวนใยแก้ว มีข้อควรระวังคือ ตัวฉนวนใยแก้วอาจทำให้ผิวหนังมีอาการระคายเคืองได้ โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการแพ้วัสดุชนิดนี้ ดังนั้น ในการติดตั้งจึงควรสวมถุงมือและเสื้อผ้ามิดชิด เพื่อเลี่ยงการสัมผัสฉนวนใยแก้วโดยตรง การติดตั้งฉนวนใยแก้วกันความร้อนบนหลังคาและฝ้าเพดาน หน้าที่ของฉนวนกันความร้อนใยแก้วคือ ช่วยป้องกันความร้อนไม่ให้ผ่านเข้ามาในบ้าน โดยคุณสมบัติของตัวฉนวนจะมีค่ากันความร้อนหรือ “ค่า R” สูง (ค่า R จะมากขึ้นตามความหนาฉนวนด้วย) การติดตั้งฉนวนกันความร้อนจะเป็นการเพิ่มค่า R ให้กับบริเวณที่ติดตั้ง ไม่ว่าจะเป็น ผืนหลังคา ฝ้าเพดาน หรือผนัง การติดตั้งฉนวนใยแก้วกันความร้อนเพื่อเพิ่มค่า R ให้ระบบผนัง ทำให้สามารถป้องกันความร้อนได้มากขึ้น ติดฉนวนแล้วทำไมยังร้อน ? การที่บ้านจะร้อนหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย สำหรับบ้านที่ติดตั้งฉนวนกันความร้อนที่หลังคาหรือฝ้าเพดานก็จะช่วยป้องกันความร้อนจากแสงแดดที่สองหลังคาไม่ให้เข้ามาในบ้านได้ แต่อย่าลืมว่า ความร้อนที่เกิดขึ้นในบ้านอาจมาจากส่วนอื่นได้ด้วย อย่างความร้อนจากแสงแดดที่ส่งผ่าน ผนัง ประตูหน้าต่าง หรือความร้อนจากการทำกิจกรรมในบ้าน ดังที่ได้กล่าวไปข้างต้น ทั้งนี้ ฉนวนกันความร้อนที่ติดตั้งนั้น นอกจากจะป้องกันไม่ให้ความร้อนจากนอกบ้านเข้าสู่ภายในบ้านแล้ว ความร้อนที่อยู่ภายในบ้านก็จะถูกฉนวนป้องกันไม่ให้ออกนอกบ้านด้วยเช่นกัน หรือพูดได้อีกอย่างว่า “ความร้อนไม่ได้ถูกระบายออกจากตัวบ้าน” จึงทำให้บ้านร้อนแทนที่จะเย็นนั่นเอง ติดฉนวนอย่างไรให้บ้านเย็น ? แม้การติดฉนวนกันความร้อนที่หลังคาจะช่วยป้องกันความร้อนจากบริเวณหลังคาได้ แต่ในขณะเดียวกัน ความร้อนจากส่วนอื่นๆ ก็ควรป้องกันด้วยวิธีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความร้อนจากผนัง  โดยเฉพาะด้านที่โดนแดดแรงควรทำเป็นผนังทึบด้วยวัสดุที่มีค่า R สูง ไม่อมความร้อน และอาจติดตั้งฉนวนกันความร้อนเพิ่มเติมด้วย สำหรับผนังส่วนที่จำเป็นต้องใช้กระจกใส อาจลดความร้อนโดยติดตั้งแผงบังแดดเพิ่ม ติดฟิล์มช่วยกันความร้อนบนกระจก นอกจากนี้ยังมีวิธีอื่นๆ ที่ช่วยลดความร้อนได้ อย่างการปลูกต้นไม้ให้ร่มเงาบังแดด การเลือกใช้วัสดุที่มีค่า R สูง และไม่อมความร้อน เป็นต้น อีกเรื่องสำคัญที่ลืมไม่ได้คือ การจะทำบ้านในเมืองร้อนให้เย็นได้นั้น “ควรมีการระบายอากาศที่ดี” เพื่อให้ความร้อนภายในบ้านสามารถระบายออกไปนอกบ้านได้ ไม่ว่าจะเป็นประตูหน้าต่างที่เพียงพอในตำแหน่งเหมาะสม การทำช่องทางระบายอากาศบริเวณหลังคา (ติดตั้งฝ้าชายคาแบบมีรูระบายอากาศหรือทำเป็นระแนงเพื่อระบายอากาศ) เป็นต้น  ทั้งนี้ หากบ้านติดตั้งอยู่ในบริเวณที่มีมลภาวะมาก อาจใช้อีกทางเลือกซึ่งต้องอาศัยอุปกรณ์ช่วย คือ การปิดบ้านให้มิดชิด โดยติดตั้งอุปกรณ์ที่ดึงเอาอากาศจากภายนอกมาใช้ในบ้านผ่านระบบกรอง จากนั้น อากาศที่ใช้แล้วพร้อมความร้อนจะถูกปล่อยทิ้งออกไปนอกบ้าน ฉนวนทำหน้าที่ป้องกันความร้อนจากภายนอกไม่ให้เข้ามาในบ้าน ขณะเดียวกัน ความร้อนภายในบ้านก็ไม่สามารถออกไปได้ด้วยเช่นกัน จะเห็นได้ว่า การแก้ปัญหาบ้านร้อนอาจไม่ใช่แค่การติดตั้งฉนวนกันความร้อนเพียงอย่างเดียว แต่ควรคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ ที่มีส่วนในการป้องกันความร้อนในบ้านให้ครอบคลุม รวมถึงระบบระบายอากาศที่ดีเพื่อให้ความร้อนระบายออกไปจากบ้านได้ ปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้อุณหภูมิในบ้านลดลง ทำให้สามารถอยู่อาศัยได้อย่างสบายมากขึ้น รวมถึงช่วยลดการใช้พลังงานจากเครื่องปรับอากาศได้ด้วย ขอขอบคุณภาพและข้อมูลจาก  www.scgbuildingmaterials.com
12 เคล็ดลับดูแลสวนในบ้านให้สวยชุ่มชื่นอยู่เสมอ

12 เคล็ดลับดูแลสวนในบ้านให้สวยชุ่มชื่นอยู่เสมอ

คนที่มีพื้นที่ในบ้านเพียงพอที่จะทำสวนสวย ๆ ไว้ชื่นชม อาจจะเป็นที่น่าอิจฉาของบ้านที่มีพื้นที่น้อย แต่การดูแลสวนให้สวยและสะอาดตาก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เพราะมีปัจจัยแวดล้อมอย่างสภาพอากาศ สัตว์ รวมทั้งเหล่าวัชพืชมาคอยป่วนสวนอยู่ตลอด ทำให้หลายคนเริ่มเหนื่อยและท้อกับการดูแลสวนไม่น้อย จนคิดอยากจะจ้างบริษัทรับดูแลสวนให้รู้แล้วรู้รอดกันไป แต่อย่าเพิ่งใจร้อนขนาดนั้นเลยครับ เพราะจริง ๆ แล้วเราก็สามารถดูแลสวนด้วยตัวเองได้ ตามเคล็ดลับดูแลสวนเหล่านี้ รับรองว่าไม่ยากเกินความสามารถด้วยนะครับ 1. เตรียมพร้อมอุปกรณ์ทำสวน อุปกรณ์ทำสวนมีหลายชนิด ซึ่งแบ่งหน้าที่ตามการใช้งาน ฉะนั้นสำหรับคนมีสวนอยู่ในบ้าน ก็ควรต้องเตรียมอุปกรณ์ทำสวนอย่าง คราด พลั่ว หัวฉีดน้ำสำหรับรดน้ำต้นไม้ ฝักบัว และกรรไกรตัดกิ่งไว้ให้พร้อม หากต้องการจะทำสวนขึ้นมาวันใด จะได้เลือกใช้อุปกรณ์ได้ถูกหลักการใช้งาน 2. รดน้ำต้นไม้ให้ถูกเวลา เวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการรดน้ำต้นไม้ควรจะเป็นช่วงเช้าตรู่ เนื่องจากในตอนกลางวันแสงแดดจะค่อนข้างแรง และอาจจะทำให้ต้นไม้คายน้ำมากขึ้นได้ ดังนั้นเราจึงต้องรดน้ำป้องกันต้นไม้ขาดน้ำไว้ก่อน ต้นไม้จะได้มีน้ำเพียงพอสำหรับกระบวนการเจริญเติบโต 3. ใส่ปุ๋ยให้ถูกสูตร ก่อนจะเลือกต้นไม้มาปลูกในสวน เราควรต้องศึกษาข้อมูลของต้นไม้แต่ละชนิดก่อนว่า ต้องการน้ำ แสงแดด หรือปุ๋ยในปริมาณเท่าไร เพื่อให้เราดูแลเขาให้เติบโตมาอย่างสมบูรณ์ที่สุด โดยเฉพาะกับเรื่องปุ๋ย ที่น่าจะต้องรู้สูตรปุ๋ยที่เหมาะสมกับต้นไม้แต่ละชนิดให้ดี จะได้ใส่ปุ๋ยบำรุงต้นไม้ได้ถูกต้อง 4. คลุมหน้าดิน การคลุมหน้าดินสามารถป้องกันได้ทั้งวัชพืช ลดการกัดเซาะของหน้าดิน รวมทั้งช่วยรักษาความชุ่มชื้นให้ดินได้อีกด้วย ข้อดีเป็นขบวนแบบนี้ เราก็คงต้องหาพืชมาคลุมหน้าดินบริเวณโคนต้นไม้กันแล้วล่ะเนอะ 5. ปลูกพืชล้มลุก พืชล้มลุกมีระยะเวลาการเจริญเติบโตเป็นของตัวเอง ซึ่งแต่ละชนิดก็จะแตกต่างเวลากันไป แต่ความแตกต่างตรงนี้ล่ะที่เป็นประโยชน์ดี ๆ กับสวนของเรา เพราะหากเราปลูกพืชล้มลุกถูกเวลา สวนก็จะดูเขียวชอุ่ม ชุ่มชื่นอยู่ตลอด แถมพอพืชล้มลุกหมดอายุแล้วจริง ๆ ซากพืชเหล่านี้ยังสามารถนำไปทำเป็นปุ๋ยได้ด้วยนะ 6. ปราบวัชพืช อย่างที่รู้กันดีว่า ศัตรูตัวฉกาจของสวนและสนามหญ้าก็คือวัชพืชตัวดีนั่นเอง และหากว่าในสวนของคุณมีวัชพืชอยู่ล่ะก็ ต้องรีบจัดการโดยด่วนเลยนะจ๊ะ จะถางออก หรือทำลายด้วยสูตรธรรมชาติก็ได้ ขอแค่ไม่ต้องให้วัชพืชมาอยู่กวนใจต้นไม้ต้นโปรดก็พอ 7. ปลูกไม้พุ่ม ไม้พุ่มมีส่วนช่วยให้สวนดูเขียวชอุ่มมีชีวิตชีวาไม่น้อยเลยทีเดียว ดังนั้นหากคุณต้องการให้มีบรรยากาศของความสดชื่นจากธรรมชาติ ก็ควรปลูกไม้พุ่มไว้รอบ ๆ สวน แบบนี้ไม่ว่าจะฤดูไหน สวนของคุณก็จะดูสวยงามอยู่เสมอเลยจ้า 8. เริ่มปลูกพืชต้นใหม่ หลังจากที่ไม้ล้มลุกหมดอายุและล้มลงไปแล้ว ให้เริ่มลงต้นไม้ชนิดใหม่ได้เลย เพราะช่วงเวลานั้นคือโอกาสที่วัชพืชจะเจริญเติบโต ดังนั้นเราก็ควรชิงปลูกไม้ล้มลุกชนิดใหม่ลงไปก่อน จะได้เป็นการป้องกันไม่ให้วัชพืชมาป่วนสวนเราได้ครับ 9. อย่ารดน้ำเกินขนาด ต้นไม้ต้องการน้ำเพื่อการเจริญเติบโต แต่ทั้งนี้ก็ต้องอยู่ในปริมาณที่เหมาะสม เพราะหากต้นไม้ได้รับน้ำเกินขนาดก็มีสิทธิ์รากเน่า ใบเหลือง เสียสุขภาพได้เช่นกันจ้า 10. หมั่นเติมปุ๋ยคอก ปุ๋ยคอกเป็นปุ๋ยที่ได้จากมูลสัตว์ และซากพืช ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นของจากธรรมชาติทั้งสิ้น และด้วยเหตุนี้จึงสามารถช่วยบำรุงแร่ธาตุในดินได้ แถมยังคอยเติมสารอาหารที่ดินขาดไปได้ด้วย ฉะนั้นเราก็ควรหมั่นใส่ปุ๋ยคอกบำรุงดิน และต้นพืชเสมออย่าให้ขาด 11. ตัดเล็มต้นไม้เท่าที่จำเป็น ต้นไม้บางชนิด เช่น ไม้พุ่ม ไม่จำเป็นต้องตัดเล็มบ่อยนักก็ได้ เพราะจะได้รักษาน้ำให้ต้นไม้ได้เยอะ ๆ แต่หากต้นไม้เสียรูปทรง ก็ทำแค่เพียงตัดแต่งกิ่งเท่าที่จำเป็นก็พอ เพราะการเล็มต้นไม้บ่อยเกินไป ก็อาจจะทำให้เสียเวลาและเปลืองแรงโดยไม่จำเป็น อีกทั้งยังเป็นการทำลายต้นไม้ทางอ้อมด้วย 12. วิเคราะห์สภาพดิน เพราะดินเป็นพื้นฐานสำคัญในการปลูกต้นไม้ ดังนั้นเราก็ควรรู้จักสภาพดินในสวนของเราให้ได้ดีที่สุด เพราะหากดินมีปัญหา หรือขาดแคลนสารอาหารตัวไหน เราจะได้แก้ปัญหาดินได้อย่างตรงจุด ไม่ว่าคุณจะมีทักษะในการปลูกต้นไม้หรือทำสวนหรือเปล่าก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ขอแค่เพียงมีใจรักในการปลูกต้นไม้ และมีความต้องการอยากให้บ้านมีสวนสวย ๆ ก็แค่พกเคล็ดลับดูแลสวนเหล่านี้เอาไว้ แล้วนำไปใช้ดูแลสวนของเราก็พอนะครับ   ขอขอบคุณข้อมูลจาก home.kapook.com