Tag : living

432 ผลลัพธ์
7 ลักษณะบ้านอยู่แล้ว “จน”

7 ลักษณะบ้านอยู่แล้ว “จน”

คงไม่มีใครอยาก “จน” ทุกคนก็คงอยากรวย มีอิสระทางการเงินกันทั้งนั้น บางคนอาจสงสัยว่าทำไมตั้งใจทำงาน ขยัน อดออม แต่ทำไมไม่เคยมีเงินมีทอง หรือมั่งมีเหมือนคนอื่น ถ้าคุณพยายามทำทุกอย่างเต็มความสามารถแล้ว เราอยากให้คุณลองสังเกตหรือพิจารณาฮวงจุ้ย หรือตำแหน่งที่ตั้งของบ้านคุณดูว่าบ้านคุณเข้าข่ายอยู่แล้วจนหรือเปล่า   1.บ้านในสภาพแวดล้อมสกปรก จะยิ่งทำให้บ้านขาดพลังชี่ สังเกตดูก็ได้ว่าไม่ว่าคุณจะทำงานหนักแค่ไหนเหมือนเหนื่อยฟรี ดังนั้นคุณควรดูแลทำความสะอาดบ้านให้เรียบร้อย โปร่ง โล่ง สะอาด 2.บ้านต่ำกว่าถนน หรือสูงกว่าถนน สำหรับบ้านที่ต่ำหรือสูงกว่าถนนเกินไปนั้นไม่ดีเพราะทำให้โชคลาภและสิ่งดีงามไม่ไหลเข้าบ้าน หรือไล่เข้าบ้านได้ไม่ถนัดนัก วิธีแก้ไขสำหรับบ้านที่อยู่ต่ำกว่าถนนคือการทำลานหน้าบ้านเปิดรับพลังเหล่านั้นให้ไหลเข้าบ้าน 3.บ้านโดนสะพานตัดผ่าน ส่งผลให้มองไม่เห็นบริเวณหน้าบ้าน ซึ่งตามหลักฮวงจุ้ยแล้วถือว่าไม่เหมาะสม 4.ประตูและหน้าต่างมีจำนวนมากจนเกินไป หากพิจารณาตามหลักฮวงจุ้ยแล้วถือว่าการมีประตูและหน้าต่างมากจนเกินไปนั้นจะยิ่งเป็นช่องทางให้เงินไหลออกจากบ้าน วิธีแก้ไขคือการเปิดหน้าต่างบางบานหรือใช้ผ้าม่านช่วย 5.รั้วบ้านเตี้ย บ้านที่เน้นการโชว์ความสวยงามของบ้าน อาจจะเลือกทำรั้วเตี้ยๆ เป็นไม้ระแนง ทำให้ไม่สามารถเก็บเงินทองไว้ได้ 6.เปิดประตูแล้วเจอบันได บ้านแบบนี้ยิ่งทำงานหนัก เงินยิ่งรั่วไหล ไม่เข้ากระเป๋า 7.ประตูทางเข้าบ้านแคบ และรก ประตูเป็นทางเข้าของโชคลาภก็จริง แต่คุณควรเคลียร์พื้นที่บริเวณประตูให้สะดวกสำหรับสิ่งดีๆ จะวิ่งเข้ามาด้วย     ขอขอบคุณข้อมูลจาก home.sanook.com        
5 จุดเหมาะติดกล้องวงจรปิด ก่อนทิ้งบ้านยาวช่วงวันหยุดยาว

5 จุดเหมาะติดกล้องวงจรปิด ก่อนทิ้งบ้านยาวช่วงวันหยุดยาว

5 จุดสำคัญที่แนะนำให้ติดกล้องวงจรปิด ไว้สอดส่องดูแลบ้านในยามที่ไม่มีคนดูแล โดยเฉพาะวันหยุดยาวในเทศกาลต่าง ๆ จะได้ไปเที่ยวแบบหมดห่วง  เดี๋ยวนี้ขโมยเยอะเสียจนน่ากลัว ทิ้งบ้านแป๊บเดียวเหล่าโจรก็สามารถบุกเอาทรัพย์สินมีค่าของเราไปได้ นับประสาอะไรกับวันหยุดยาวช่วงสงกรานต์ สัปดาห์ที่ทุกคนต่างพาครอบครัวกลับภูมิลำเนาหรือไปเที่ยวต่างจังหวัด หากอยากไปเที่ยวอย่างสบายใจหายห่วง แนะนำให้ติดกล้องวงจรปิดทั้ง 5 จุดนี้เอาไว้เลย เพราะเป็นจุดที่เสี่ยงต่อการงัดแงะมากที่สุด อีกทั้งยังเป็น 5 จุดสำคัญที่เหมาะกับการใช้สอดส่องดูแลบ้านในวันปกติหรือยามวิกาลอีกด้วย 1. ประตูหน้า          ตำแหน่งที่ขโมยใช้เข้ามาในบ้านมากที่สุด การติดกล้องวงจรปิดในตำแหน่งนี้ ให้ติดไว้บนประตูหน้าในตำแหน่งที่เอื้อมไม่ถึง แล้วติดตาข่ายลวดคลุมไว้อีกชั้น เพื่อป้องกันก้อนหินที่ขโมยอาจขว้างใส่กล้อง 2. หน้าต่างบ้านชั้นแรก  จุดเสี่ยงอันตรายลำดับต่อมา เพราะเป็นจุดที่คนร้ายไม่ต้องปีน อีกทั้งยังง่ายต่อการงัดแงะและทุบ โดยเฉพาะหน้าต่างกระจกใส ส่วนการติดกล้องตำแหน่งนี้ควรหันกล้องมาจากประตูหน้าไปตามแนวหน้าต่างชั้นแรก หรือติดกล้องเพิ่มที่มุมบ้านอีกตัว แล้วหันหน้ากล้องเข้าหาประตูหน้าบ้าน 3. หน้าต่างในมุมอับ หน้าต่างหลังบ้านหรือหน้าต่างที่มีต้นไม้หรือกำแพงบัง ก็เป็นอีกหนึ่งตำแหน่งที่ถูกหัวขโมยงัดแงะบ่อย เนื่องจากปลอดจากสายตาคนภายนอก การติดกล้องตำแหน่งนี้ควรติดไว้ตำแหน่งสูงที่สุดในระนาบเดียวกับมุมทแยงของหน้าต่าง 4. ประตูหลังบ้าน ประตูหลังบ้านเป็นจุดที่ปลอดสายตาจากคนภายนอกเช่นกัน อีกทั้งถ้าทำเสียงดังเสียงก็จะเล็ดลอดเข้าไปในบ้านได้น้อยมาก การติดกล้องในตำแหน่งนี้ให้ติดเหมือนกับประตูหน้าบ้าน คือติดให้สูงที่สุด เอื้อมไม่ถึง และติดตาข่ายลวดป้องกันไว้อีกชั้นด้วย 5. สวนหลังบ้าน สวนหลังบ้านเป็นตำแหน่งที่มักจะถูกละเลยเนื่องจากอยู่ด้านในสุด ในขณะที่บ้านบางหลังก็ปล่อยหลังบ้านโล่ง ไม่มีกำแพงล้อมรอบ อีกทั้งมีอุปกรณ์ทำสวนที่สามารถนำมางัดบ้านได้ การติดกล้องตำแหน่งนี้ให้หันกล้องไปยังกำแพงบ้าน หรือติดตั้งในองศาที่เห็นสวนในมุมที่กว้างและไกลที่สุด หากไม่อยากเที่ยวสงกรานต์ไป แล้วต้องรู้สึกพะว้าพะวงกลัวคนมางัดแงะบ้านของเรา ก็ลองหากล้องวงจรปิดดี ๆ สักเครื่องมาติดตั้งตามมุมสำคัญที่บอกไปนี้ เพื่อใช้สอดส่องดูแลบ้านขณะที่คุณไม่อยู่หรือในวันที่ต้องทิ้งบ้านยาว ๆ นะครับ   ขอขอบคุณข้อมูลจาก home.co.th
เลือกวัสดุปูพื้นอย่างไร ให้ตอบโจทย์การใช้งาน

เลือกวัสดุปูพื้นอย่างไร ให้ตอบโจทย์การใช้งาน

คุณแน่ใจแล้วหรือยังว่าวัสดุปูพื้นที่คุณเลือกใช้นั้นสามารถตอบโจทย์การใช้งานได้เป็นอย่างดี เพราะห้องแต่ละห้องมีการใช้งานที่แตกต่างกัน วัสดุปูพื้นที่จะนำมาใช้จึงควรผ่านการพิจารณาก่อนนำมาติดตั้งเพื่อรองรับการใช้งานได้อย่างเต็มที่ การเลือกวัสดุปูพื้นที่เหมาะสมจะช่วยยืดอายุการใช้งานให้ยาวนาน ง่ายต่อการดูแลรักษา และปลอดภัยสำหรับสมาชิกในบ้าน 1. ห้องโถงและทางเดิน - เป็นบริเวณที่ใช้สัญจรเข้าออกตั้งแต่เช้าจรดเย็นตลอดเวลา และยังเป็นพื้นที่ที่ต้องการโชว์ความสวยงามสำหรับแขกผู้มาเยือน  ดังนั้น นอกจากความสวยงามที่แสดงออกถึงสไตล์การตกแต่งแล้ว พื้นที่ส่วนนี้จึงควรมีความทนทานแข็งแรง ไม่ลื่นจนเกินไป และทนต่อการขีดข่วนโดยเฉพาะเจ้าของบ้านที่มีสัตว์เลี้ยงในบ้าน วัสดุปูพื้นสามารถเลือกใช้เป็นหินแกรนิต หินขัด (Terrazzo) ที่มีทั้งความสวยงาม ความแข็งแกร่ง และความทนทานสูง หรือหากไม่ชอบอะไรที่จำเจ สามารถเลือกเป็นกระเบื้องเซรามิกที่มีความหลากหลายทั้งโทนสี และผิวสัมผัสก็ได้ หรือหากต้องการให้บ้านดูอบอุ่นขึ้นมาหน่อยอาจเลือกใช้ไม้ลามิเนตแทนการใช้ไม้จริง เนื่องจากทนต่อการขีดข่วนได้ดี และยังดูเป็นธรรมชาติ ภาพ: ห้องโถง (ซ้าย) ปูด้วยกระเบื้อง Cotto Italia / (ขวา)พื้นไม้ลามิเนต 2. ห้องรับแขก และห้องนั่งเล่น - นับเป็นอีกห้องที่ใช้งานหนัก ไหนจะมีเครื่องเรือนทั้งโต๊ะ โซฟา เคาน์เตอร์วางทีวี ตู้โชว์ ตู้ปลา หรือตู้หนังสือจัดวาง วัสดุปูพื้นสำหรับห้องนี้คล้ายห้องโถงและทางเดิน คือควรมีลักษณะทนทาน ไม่เป็นรอยง่ายอย่าง หินแกรนิต ไม้ลามิเนต หินขัด หรือกระเบื้องเซรามิก นอกจากนี้ การปูพรมเสริมภายในห้อง ก็ช่วยให้ห้องดูอบอุ่นสบายตายิ่งขึ้น ภาพ: ห้องรับแขกปูด้วยกระเบื้อง Cotto Italia 3. ห้องครัว และห้องทานอาหาร - ห้องครัว หรือห้องทานอาหารมักอยู่บริเวณใกล้เคียงกัน เป็นห้องที่บางบ้านอาจใช้งานบ่อย หรือบางบ้านอาจใช้ไม่บ่อยนัก แต่ด้วยการใช้งานมีไว้สำหรับไว้ทำอาหาร จึงมีโอกาสเกิดคราบสกปรกที่พื้นและผนังได้ง่าย ทั้งเศษอาหาร ไขมัน น้ำ และกลิ่น ทั้งนี้ วัสดุปูพื้นจึงควรเลือกเป็นวัสดุที่ทำความสะอาดง่าย ไม่สะสมเศษสกปรกหรือกลิ่น เช่น กระเบื้องเซรามิก กระเบื้อง PVC เป็นต้น ทั้งนี้ควรหลีกเลี่ยงพื้นหินอ่อน ไม้จริง กระเบื้องดินเผา และพรม เพราะจะสกปรกง่าย และทำความสะอาดยาก   ภาพ: ห้องทานอาหารพื้นด้วยกระเบื้องเซรามิก 4. ห้องน้ำ - เป็นพื้นที่ต้องรองรับความเปียกชื้น รวมถึงน้ำยา และสารเคมีต่างๆ เช่น สบู่ แชมพู และน้ำยาล้างห้องน้ำ ซึ่งส่งผลต่อพื้นผิววัสดุปูพื้นโดยตรง ดังนั้นควรเลือกวัสดุปูพื้นที่มีคุณสมบัติกันน้ำ กันลื่น ไม่ขึ้นรา ทำความสะอาดง่ายอย่างกระเบื้องเซรามิก โดยเลือกเป็นประเภทที่มีค่าดูดซึมน้ำต่ำ รวมถึงควรมีค่า R (ค่ากันลื่น) ที่ 10 ขึ้นไป หรือหากต้องการตกแต่งห้องน้ำสไตล์ธรรมชาติ สามารถใช้กรวดล้างทรายล้าง หรือใช้พื้นไม้สังเคราะห์ประเภทไฟเบอร์ซีเมนต์ หรือไวนิลสลับกับการโรยด้วยกรวดหินก็เป็นอีกวิธีที่นิยม นอกจากนี้ ต้องยาแนวกระเบื้องอย่างถูกวิธี และอย่าลืมทำระบบกันซึมบนพื้นคอนกรีตโครงสร้าง เพื่อป้องกันน้ำรั่วซึม ภาพ: ห้องน้ำปูกระเบื้องเซรามิก 5. ห้องนอน - เป็นพื้นที่พักผ่อนส่วนตัวที่ควรมีบรรยากาศผ่อนคลาย สามารถเลือกวัสดุปูพื้นได้หลายประเภทตามแต่เจ้าของห้องต้องการ เพราะเป็นบริเวณที่ไม่ได้ใช้งานหนัก โดยมากจะเลือกเป็นพื้นไม้ ไม่ว่าจะเป็นไม้จริงหรือไม้เทียมต่าง ๆ เพราะให้ความรู้สึกอบอุ่น ไม่เย็นเท้า หรือสามารถเลือกเป็นกระเบื้องเซรามิก หินขัด และปูพรมบางส่วน โดยเฉพาะบริเวณรอบเตียง เพื่อช่วยเพิ่มความนุ่มนวล และลดความแข็งกระด้าง ภาพ: ห้องนอนปูด้วยพื้นไม้ 6. ชาน และระเบียงบ้าน - ชาน และพื้นระเบียงที่อยู่ชั้นบนหรือชั้นล่าง มีโอกาสเจอทั้งแดดและฝน ดังนั้น ควรพิจารณาเลือกใช้วัสดุที่แข็งแรง อายุการใช้งานยาวนานอย่างไม้สังเคราะห์ไฟเบอร์ซีเมนต์ หรือไวนิล สำหรับเจ้าของบ้านที่ชอบสไตล์ธรรมชาติ หรือเลือกใช้เป็นกระเบื้องเซรามิกที่ทำความสะอาดง่าย ทนทานต่อสภาพแวดล้อม ภาพ: ระเบียงนอกบ้านปูด้วยไม้สมาร์ทวูด Floor Plank 7. บันได - สำหรับบ้านพักอาศัยส่วนใหญ่จะเลือกใช้วัสดุประเภทเดียวกันหรือใกล้เคียงกับวัสดุปูพื้นชั้นล่าง หรือวัสดุปูพื้นชั้นบน อย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อให้กลมกลืนต่อเนื่องกัน และควรมีจมูกบันไดที่เป็นวัสดุกันลื่น เพื่อความปลอดภัย นอกจากนี้ หากมีงบประมาณสามารถปูพรมเพื่อความปลอดภัย และลดเสียงเวลาใช้งานได้ด้วย ภาพ: (ซ้าย) บันไดปูไม้บันไดสมาร์ทวูด/ (ขวา) บันไดปูกระเบื้องเซรามิกลายหินอ่อน อย่างไรก็ตาม การเลือกวัสดุปูพื้นในแต่ละห้องต้องไม่ลืมนึกถึงสมาชิกในบ้านด้วย เช่น หากมีเด็กเล็ก หรือผู้สูงอายุ ควรเลือกวัสดุปูพื้นที่มีคุณสมบัติกันลื่น หรือเลือกใช้สีพื้นต่างกันในพื้นที่ต่างระดับ เป็นต้น ทราบอย่างนี้แล้ว อย่าลืมศึกษาทั้งคุณสมบัติและการติดตั้งก่อนตัดสินใจ และหมั่นทำความสะอาด บำรุงรักษาวัสดุปูพื้นเพื่อยืดอายุการใช้งานให้สวยงามอยู่เสมอ ขอขอบคุณภาพประกอบและข้อมูลจาก  www.scgbuildingmaterials.com
วิธีลดความร้อนที่เข้ามาทางผนัง เพื่อบ้านเย็นอยู่สบาย

วิธีลดความร้อนที่เข้ามาทางผนัง เพื่อบ้านเย็นอยู่สบาย

เรื่อง: SCG Experience ความร้อนจากภายนอกที่ผ่านเข้ามาภายในบ้าน นอกจากจะผ่านเข้ามาทางหลังคาแล้ว ‘ผนัง’ ถือเป็นส่วนสำคัญที่ควรป้องกันเช่นกัน โดยเฉพาะผนังห้องที่อยู่ทางทิศตะวันตก และทิศใต้ซึ่งต้องโดนแดดตลอดช่วงบ่าย จึงมีการสะสมความร้อนจนทำให้อุณหภูมิสูงกว่าส่วนอื่นๆ โดยถึงแม้จะเป็นช่วงกลางคืน ก็ยังรู้สึกร้อนเนื่องจากผนังคายความร้อนที่สะสมในระหว่างวันออกมา ส่งผลให้เครื่องปรับอากาศต้องทำงานหนักมากขึ้นกว่าอุณหภูมิจะลดลงตามที่ต้องการ และทำให้ต้องจ่ายค่าไฟมากกว่าที่ควร จึงขอแนะนำวิธีต่างๆ ที่สามารถช่วยป้องกันความร้อนที่เข้ามาทางผนังบ้านได้ ทั้งการลดความร้อนที่ผนังและช่องเปิด รวมถึงการสร้างร่มเงาให้แก่บ้าน ลดการความร้อนที่ผนัง สำหรับบ้านสร้างใหม่ควรเลือกใช้วัสดุก่อผนังที่มีค่าการสะสมความร้อนต่ำอย่างอิฐมวลเบา โดยที่ผนังภายนอกบ้านควรทาสีโทนอ่อนหรือโทนสว่าง เช่น สีขาว สีครีม สีพาสเทล หรือเลือกใช้สีสะท้อนความร้อน แต่หากเป็นบ้านเก่าสามารถแก้ไขได้โดยการทำผนัง 2 ชั้น (ระบบผนังโครงเบา) เพื่อเพิ่มช่องว่างอากาศในผนังซึ่งจะช่วยลดความร้อนเข้าสู่ภายในห้องได้ดีขึ้น หรือติดตั้งฉนวนกันความร้อนเพิ่มเติมที่ผนังด้านที่โดนแดดจัด เพื่อการป้องกันความร้อนที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ภาพ: การทาสีผนังบ้านภายนอกด้วยสีโทนอ่อนช่วยลดการอมความร้อนได้ดีกว่าสีโทนเข้ม สถานที่: บ้านคุณวิสันต์ กรัณฑรัตน ลดความร้อนที่กระจก กระจกที่ช่องเปิดต่างๆ เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ความร้อนจากแสงแดดผ่านเข้ามาได้ง่าย ทั้งทางหน้าต่าง ประตู หรือบ้านที่ออกแบบสไตล์โมเดิร์นซึ่งมักใช้กระจกแทนผนัง การเลือกใช้กระจกสองชั้น กระจกลามิเนต กระจก Low-E  หรือติดฟิล์มกันรังสี UV เพิ่มเติมบนกระจกเดิม จะช่วยลดความร้อนที่ผ่านเข้ามาได้มากพอสมควร รวมถึงการใช้ม่านกัน/กรองแสงยังช่วยป้องกันความร้อนได้อีกชั้นหนึ่ง ภาพ: ติดม่านกรองแสง สถานที่: บ้านสวนมุก หัวหิน สร้างร่มเงาให้ผนัง การติดตั้งระแนงหรือกันสาดรูปแบบต่างๆ ให้เหมาะสมตามทิศทางแสงแดดในแต่ละด้านเพื่อช่วยกรองแสงแดดที่ส่องกระทบผนังและช่องเปิดจะช่วยลดความร้อนที่สะสมในผนังได้ โดยสำหรับบ้านที่ยังไม่ได้สร้าง ควรออกแบบให้มีชายคายื่นออกมา 1.5 – 2 เมตร จะช่วยกันแดดได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้หากมีพื้นที่โดยรอบบ้านพอสมควร ควรปลูกต้นไม้เพื่อให้ร่มเงา  โดยหากเป็นต้นไม้ใหญ่ควรปลูกให้ห่างจากตัวบ้านอย่างน้อย 2-3 เมตร เพื่อป้องกันต้นไม้บังทิศทางลม ภาพ: ติดตั้งระแนงกันสาดตามแนวทางเดินรอบบ้านเพื่อกันแดดและฝน สถานที่: บ้านคุณเกด-เจษฎ์สุภา พิพัฒนสุภรณ์ และคุณจี๊ป-ปริญญา ณรงค์ธนรัฐ  ภาพ: การติดตั้งระแนงกันแดด สถานที่: Muay House, บ้านคุณอิษฎา แก้วประเสริฐ, AREE HOUSE ภาพ: ลักษณะชายคาที่ยื่นออกมาเพื่อการป้องกันแสงแดดได้ดียิ่งขึ้น สถานที่: Coffee Hill Resort นอกจากนี้ การออกแบบทิศทางช่องเปิด และลักษณะการวางตัวบ้านหรืออาคารก็ส่งผลต่ออุณหภูมิภายในบ้านเช่นกัน โดยการออกแบบที่ดีควรหลีกเลี่ยงการทำประตู หน้าต่าง หรือช่องเปิดต่างๆ ในทิศตะวันตก โดยควรทำเป็นผนังทึบหรือจัดพื้นที่เป็นห้องเก็บของ/ห้องน้ำ เพื่อป้องกันแดดส่องเข้าบ้านโดยตรง และควรมีช่องเปิดที่ผนังทิศเหนือและทิศใต้เพื่อรับกับทิศทางลมตลอดปี ส่งผลให้บ้านหรืออาคารหลังนั้นมีการถ่ายเทอากาศที่เหมาะสม รวมถึงในทิศตะวันออก อาจมีระแนง หรือม่านเพื่อช่วยกรองแสงในช่วงสาย นอกจากนี้พื้นรอบบ้านยังสามารถช่วยลดอุณหภูมิลงได้โดยการปูหญ้า หรือบล็อกปูพื้น เอสซีจี รุ่น Cool Plus แทนการเทพื้นคอนกรีตที่มีค่าการอมความร้อนสูง โดยสามารถสอบถามสถาปนิกจาก SCG ได้ก่อนการตัดสินใจ ภาพ: (บน) ทำผนังทึบในทิศตะวันตกเพื่อป้องกันแสงแดด, (ล่าง) ออกแบบหลังคาเพื่อป้องกันแดดร่วมไปกับการติดม่าน และการปลูกต้นไม้ สถานที่: บ้านสวนมุก หัวหิน ขอขอบคุณภาพประกอบและข้อมูลจาก  www.scgbuildingmaterials.com
ห้องน้ำผู้สูงอายุ

ห้องน้ำผู้สูงอายุ

เรื่อง พีระพงษ์ บุญรังษี SCG Experience Architect “คนส่วนใหญ่มักตัดสินใจสร้างบ้านของตัวเองในช่วงวัยหนุ่มสาวถึงวัยกลางคน ซึ่งร่างกายยังสมบูรณ์แข็งแรง จึงมักมุ่งความสนใจไปกับพื้นที่ใช้สอย ความสวยงามตามสมัยนิยม วัสดุที่คงทนคุ้มค่า จนลืมนึกไปว่าเมื่อเวลาผ่านไป ร่างกายของผู้อาศัยก็เสื่อมโทรมไปพร้อมกับบ้านด้วย” เมื่อการเคลื่อนไหวทำได้ช้าลง  กล้ามเนื้ออ่อนแรง ลุกนั่งลำบาก สายตาฝ้าฟาง หูไม่ค่อยได้ยินเสียง และเมื่อได้รับบาดเจ็บจะต้องรักษาตัวพักฟื้นนาน ดังนั้นการใช้งานในบ้านหลังเดิมจึงเริ่มไม่ตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนพื้นที่ที่นับว่าค่อนข้างยากลำบากสำหรับผู้สูงอายุ นั่นคือ “ห้องน้ำ” ห้องน้ำตั้งแต่เริ่มแรกสร้างบ้านมักถูกออกแบบให้มีขนาดเล็ก แบ่งพื้นที่ใช้งานส่วนแห้งและส่วนเปียกออกจากกันด้วยพื้นต่างระดับ ประตูเปิดเข้าด้านในทำให้เวลาปิดจะต้องเบี่ยงเบียดตัวไปด้านข้าง มือจับเป็นลูกบิด เวลาเปิดจะต้องบิดหมุนข้อมือ ที่นั่งโถสุขภัณฑ์ตามปกติจะเตี้ยกว่าที่นั่งเก้าอี้เล็กน้อยทำให้เวลาลุกต้องออกแรงดันตัวมาก ฝักบัวแขวนไว้สูงเหมาะกับการยืนอาบ มีดวงโคมส่องสว่างเฉพาะส่วนอาบน้ำกับกระจกอ่างล้างหน้าเท่านั้น  รายละเอียดเหล่านี้เป็นสิ่งที่ควรได้รับการปรับเปลี่ยนเพื่อช่วยให้ผู้กำลังจะสูงวัยที่ยังพอช่วยเหลือตัวเองได้ (คือไม่ถึงขั้นอ่อนแรงล้มหมอนนอนฟูก) สามารถใช้งานห้องน้ำเดิมภายในบ้านได้สะดวกยิ่งขึ้น วิธีการปรับเปลี่ยนง่ายๆ เริ่มจาก การเปลี่ยนมือจับลูกบิดประตูห้องน้ำเป็นแบบคันโยก และติดราวจับช่วยทรงตัวด้านข้าง หรือจะถอดประตูบานเปิดออกแล้วติดตั้งประตูบานเลื่อนแบบรางแขวน ไม่มีรางบนพื้นขวางทางเข้าให้เดินสะดุด ควรเลือกใช้บานประตูที่มีน้ำหนักไม่มาก ไม่ควรติดกลอนล็อกบาน อาจมีการเจาะช่องกระจกสำหรับมองเข้าไปในห้องเผื่อเกิดอุบัติเหตุจะเข้าช่วยเหลือได้ทันท่วงที ในส่วนของพื้น ควรปรับพื้นส่วนแห้งและส่วนเปียกให้มีระดับเดียวกับพื้นภายในบ้าน โดยรื้อกระเบื้องพื้นและโถสุขภัณฑ์เดิมออก สกัดปูนผิวหน้าให้ลดต่ำลง ทาน้ำยาประสานคอนกรีต และเทปูนทรายปรับระดับพื้นห้องน้ำให้ลาดเอียงไปทางท่อระบายน้ำ ทิ้งไว้ให้แห้งแล้วทำความสะอาดฝุ่นผง จากนั้นทาน้ำยากันซึมเคลือบทับผิวพื้นปูนและที่ขอบล่างของผนัง ก่อนจะปูกระเบื้องพื้นด้วยปูนกาว ทิ้งไว้ให้แห้งสนิทก่อนจะยาแนวร่องรอยต่อ ทั้งนี้ ควรเลือกกระเบื้องปูพื้นที่มีค่าความฝืดผิวกระเบื้องตั้งแต่ R 10 ขึ้นไป เพื่อลดการลื่นล้มเมื่อพื้นเปียกน้ำ นอกจากนี้สีขององค์ประกอบและวัตถุต่างๆ ที่ใช้ในห้องน้ำควรให้ดูแตกต่างกันชัดเจน โดยเฉพาะวัตถุที่อยู่ใกล้กัน เช่น สีของกระเบื้องพื้นและผนังควรให้ดูต่างกัน และตัดกับสีของสุขภัณฑ์อย่างเห็นได้ชัด เป็นต้น นอกจากนี้ ควรติดตั้งราวจับเพื่อช่วยในการพยุงตัวทั้งสองข้างของอ่างล้างหน้าและโถสุขภัณฑ์ โดยสามารถเลือกใช้ราวทรงตัวรูปตัวแอลหรือราวทรงตัวแขนพับแบบสวิง ตามความเหมาะสม และควรมีราวจับที่ผนังนำทางไปจนถึงส่วนอาบน้ำ ติดตั้งสูงจากพื้น 60-75cm ทั้งนี้ สีของราวจับควรดูแตกต่างจากสีของกระเบื้องผนังอย่างชัดเจน สำหรับโถสุขภัณฑ์ภายในห้องน้ำ ควรเปลี่ยนมาเลือกใช้รุ่นที่มีที่นั่งสูงจากพื้น 43-45 cm ซึ่งเป็นระดับที่ผู้สูงอายุลุกนั่งได้อย่างสะดวกเมื่อใช้งานร่วมกับราวทรงตัว (ที่นั่งของโถสุขภัณฑ์ปกติจะสูงจากพื้น 38-40 cm ทำให้ต้องออกแรงมากขณะดันตัวลุกขึ้นยืน) ที่กดชำระน้ำควรเลือกใช้เป็นแบบคันโยก ส่วนสายชำระควรติดตั้งไว้ด้านข้างให้มือเอื้อมหยิบใช้ได้ง่ายโดยไม่ต้องเอี้ยวตัวไปด้านหลัง และควรมีเก้าอี้สำหรับนั่งอาบน้ำ ทั้งนี้ ฝักบัวอาบจ้ำควรยึดกับก้านจับเลื่อนขึ้นลงปรับระดับในการใช้งานได้ ส่วนหัววาล์วเปิดปิดน้ำควรเลือกแบบก้านปัด รวมถึงก็อกน้ำที่อ่างล้างหน้าด้วย เนื่องจากหัววาล์วแบบนี้ใช้งานและดูแลรักษาง่าย อีกเรื่องหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม คือ ควรเพิ่มแสงสว่างด้วยการติดหลอดไฟให้มากขึ้น โดยแสงที่เหมาะสมควรจะเป็นแสงสีขาว ซึ่งช่วยให้มองเห็นรายละเอียดของสิ่งต่างๆ ที่จะหยิบจับใช้งานในห้องน้ำ รวมไปถึงข้อความระบุวิธีใช้งานด้านข้างขวดน้ำยาต่างๆ ได้อย่างง่ายดายชัดเจน เพียงเท่านี้ก็จะได้ห้องน้ำที่เหมาะสมกับการใช้งานของเจ้าของบ้านที่มีอายุเพิ่มขึ้นไปพร้อมๆ กับบ้าน ในส่วนนี้นับเป็นเรื่องสำคัญที่ควรใส่ใจ เพราะมิใช่แค่ความสะดวกสบายเท่านั้น แต่รวมถึงเรื่องความปลอดภัยและการลดโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุกับผู้สูงอายุอีกด้วย   ขอขอบคุณภาพและข้อมูลจาก www.scgbuildingmaterials.com  
DIY Renovate “ห้องนอน” ถ้าทำแล้วมีความสุขขึ้นขนาดนี้ รู้งี้ทำไปตั้งนานแล้ว

DIY Renovate “ห้องนอน” ถ้าทำแล้วมีความสุขขึ้นขนาดนี้ รู้งี้ทำไปตั้งนานแล้ว

วันนี้เรามีไอเดียการ Renovate ห้องนอนเก๋ๆ น่ารักๆ จาก สมาชิกพันทิป คุณ PuY~isme มาฝากทุกท่านอีกหนึ่งกระทู้ครับ เราลองไปดูกันดีกว่าครับ ว่าจะออกมาสวยงามขนาดไหน สวัสดีค่ะ วันนี้กลับอีกครั้ง จะมาพูดถึงการตกแต่งห้อง สไตล์ DIY กันต่อ หลังจากที่ได้รีวิวไปแล้ว 4 ห้อง (ห้องนอนเด็ก ห้องเก็บของ ห้องทำงาน และมุมบิวตี้โถงทางเดิน) สำหรับห้องนี้ปุ้ยตั้งใจจะรีโนเวททำให้เป็นของขวัญวันเกิดของสามีและของขวัญวันครบรอบแต่งงาน 2 ปี ของเราค่ะ ห้องนอน ขนาด 3.5x4 m (มีบันไดในห้อง) ห้องน้ีเป็นห้องนอนหลัก (แต่ขนาดเล็ก) เพราะเน้นฟังก์ชั่น คือ ไว้นอน และเอาไว้เก็บเสื้อผ้าของสามี (ใต้บันได) ไม่ดูทีวี ไม่ทำงานในห้องค่ะ ส่วนบันไดที่เห็นนั้นจะเดินไปสู่ห้องแต่งตัวของปุ้ยอยู่ชั้นบน มีคนถามเยอะมากว่า บันไดในห้องนอนทำไปทำไม ? ตอนแรกเดิมที ปุ้ยออกแบบให้มีบันได เพราะว่าชอบอารมณ์ห้อง Duplex ในคอนโดหรือโรงแรม รู้สึกว่าเจ๋งดี แล้วก็ตอนออกแบบบ้าน ปุ้ยเอามาปรับใช้ เพราะว่าสามีนอนกรน ช่วงแต่งงานแรกๆ ปุ้ยนอนไม่หลับเลย (แรกๆ เช่าคอนโดอยู่กันก่อนจะมีบ้านค่ะ) ปุ้ยเลยคิดขึ้นมาได้ว่า เอาไอเดียห้อง Duplex มาใช้ แล้วกะว่าแยกกันนอนคนละชั้น แต่ยังมีบันไดเชื่อมกัน จะได้ไม่โดนครหาว่าแยกห้องนอน (คือ ยังเป็นห้องเดียวกันอยู่) แต่ว่า เอาเข้าจริง ตอนหลัง ปุ้ยไปฝังเข็ม รักษาคลายเครียด คลายกล้ามเนื้อ แล้วก็ทำให้ไม่ได้ยินเสียงกรนอีกเลย เพราะว่าช่วยให้ปุ้ยก็หลับง่ายขึ้น เลยสรุปไม่ได้แยกกันนอนค่ะ Inspiration ที่ปุ้ยคิดไว้ตอนที่ออกแบบห้องนี้ ประมาณว่ามีเตียงกับตู้เสื้อผ้าใต้บันได คือ เห็นจากเว็บ pinterest แล้วหลงรักไอเดียของตู้เสื้อผ้าใต้บันได เพราะดูเหมือนการใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์คุ้มค่า ดีไซน์ในห้องนี้ เน้นเอาใจคุณผู้ชาย ดังนั้นการแม็ทสีและดีไซน์ ปุ้ยจึงเลือกใช้สีดำ ทอง น้ำตาล และเงินหรือไอเท็มที่แวววาว ทุกอย่างดูเข้าเหลี่ยมเข้ามุม (ไม่มีลายโค้งมนหรือหวานช้อย) และมิกซ์เข้ากับเฟอร์นิเจอร์โทนสีเข้ม ให้ออกมาดูหรู แต่ทุกอย่างอยู่ภายใต้งบท่ีไม่แพงจนเกินไป ซึ่งห้องนี้เกิดขึ้นจากน้ำพักน้ำแรงของปุ้ยเอง ภูมิใจและเรียกได้ว่าเป็นของขวัญชิ้นโตให้กับเค้าเลย ปุ้ยตั้งงบกับห้องนี้ไว้ ที่ 55,000 บาทค่ะ ก่อนที่จะเล่าถึงที่มาที่ไป และไอเดียในการแต่งห้องนี้ มาดูรูปผลงานที่สำเร็จแล้ว ยั่วน้ำลายกันก่อน ภาพหลัง รีโนเวทเสร็จแล้ว ภาพจริง บรรยากาศจริง ค่ะ [ถ่ายรูปในวันที่แดดออก แสงเข้ามาทำให้ห้องที่ใช้เฟอร์นิเจอร์สีเข้ม ดูสว่างสดใสขึ้นเยอะเลย] สำหรับกระทู้นี้ อาจจะรีวิวไปพร้อมกับการเล่าเนื้อหาแนวไลฟ์สไตล์ไปด้วยนะคะ เพราะห้องนี้มีเรื่องราวของเค้าค่ะ อย่างที่เกริ่นตอนต้น โดยใช้คำว่า “รีโนเวท” เพราะว่าห้องนี้เป็นห้องนอนที่เราใช้ซุกหัวนอนกันมาตั้งแต่บ้านยังสร้างไม่เสร็จค่ะ แล้วก็ทนๆ อยู่กันไปแบบนี้ เพราะว่าไม่มีงบมาตกแต่งซะที ถ้าใครได้ติดตามเรื่องราวการสร้างบ้านของปุ้ยจะรู้ว่า กว่าจะมาเป็นห้องๆ นี้ในวันนี้ มันผ่านอะไรมามากมายค่ะ มีปัญหาตั้งแต่คราวที่ผู้รับเหมาทิ้งงาน เราต้องมารับชะตากรรมจากช่างทาสี ที่รู้สึกว่าชีวิตความเป็นอยู่ เลวร้ายสุดๆ คือ เราย้ายเข้ามาอยู่มานอนแล้ว สีก็ยังทาไม่เสร็จ แต่จำเป็นต้องย้ายเพราะว่า สัญญาเช่าคอนโดหมด (เป็นภาพที่ไม่น่าดู เลยต้องทำสีเป็น Sepia ค่ะ 555) ภาพที่เห็นเราต้องใช้เตียงเก่าของสามี (ที่เค้าบอกว่านอนมาตั้งแต่เด็ก) ขนมาจากบ้านแม่ ส่วนของที่แพ็คมาจากคอนโดก็ต้องเอาถุงพลาสติกคลุมไว้ เพราะกลัวฝุ่นและสีหกใส่ อีกทั้งยัง Unpack ไม่ได้ จะทำอะไรก็ลำบากมากค่ะ อยู่กันสภาพนี้ 2 สัปดาห์กว่าช่างทาสีจะยอมมาทาสีต่อ แล้วก็พอทาสีเสร็จ ออกมาย่ำแย่กว่าที่คิดไว้เยอะ จนหมดกำลังใจจะทำอะไรต่อ เพราะเงินก็หมด แต่ก็อดทนค่ะ ต่อมาพอบ้านเสร็จ ช่างทุกอย่างออกจากบ้านไป เราก็ไปซื้อราวแขวนผ้าราคาถูกๆ อันละ 100 - 200 กว่าบาท มาติดผนัง เพื่อให้อยู่ได้  แล้วก็มีเฟอร์นิเจอร์จากคอนโดนิดหน่อยที่ขนมาใช้ต่อที่บ้าน สภาพเป็นแบบนี้ก็อยู่กันมา 1 ปีเต็มๆ เวลาใครไปใครมา ก็ไม่ค่อยอยากให้เข้ามาดูห้องนอน เพราะว่า “อาย” ค่ะ (ห้องนอนเป็นห้องที่อยู่ชั้นล่าง ใครๆ ก็ชอบถามว่าห้องอะไร จะขอดู) สามีเป็นคนง่ายๆ อะไรก็ได้ค่ะ เค้าอยู่ได้ (เราก็ต้องอยู่กับเค้า แบบจำยอม) แต่ปุ้ยฝันมาตลอดว่าอยากทำห้องนี้ให้มันออกมาดี มันควรเป็นห้องที่เราอยากอยู่ที่สุดในบ้าน มันคือ ห้องของเรา โอเค ขอจบดราม่าแค่ตรงนี้ ต่อไปจะเล่าถึงการรีโนเวทห้องให้ฟังค่ะ --------------  ภาพก่อน การรีโนเวท -------------- ภาพ Before ทุกๆ มุมของห้องก่อนทำการ Renovate การรีโนเวทครั้งนี้ ไม่ใช่แค่การตกแต่งเฟอร์นิเจอร์ให้สวยงามเท่านั้นค่ะ แต่เป็นการรีโนเวทพฤติกรรมที่ควรปรับเปลี่ยนให้ไปในทางที่ช่วยให้ชีวิตดีขึ้นด้วย ได้แก่ - การหันเตียงนอนให้ถูกต้อง (อยากเปลี่ยนมานานแล้ว แต่ว่าไม่มีใครช่วยย้ายเตียง) - การทิ้งข้าวของที่ไม่จำเป็น - การจัดระเบียบเสื้อผ้าและสิ่งของ - การจัดให้เป็นหมวดหมู่และให้หยิบใช้สะดวก - การตกแต่งบรรยากาศห้องให้ดูสวยงาม น่าพักผ่อน - และผลลัพธ์ คือ การเปลี่ยนแปลงชีวิตแบบที่ปุ้ยคาดไม่ถึง อันดับแรกเลย คือ ปุ้ยซื้อตู้เสื้อผ้าเผื่อมาจัดระเบียบข้าวของในห้องค่ะ ฝันมานานแล้วอยากทำตู้เสื้อผ้าใต้บันได (ก็เลยเป็นหนึ่งเหตุผลที่ออกแบบให้มีบันไดในห้อง) ซึ่งปุ้ยตั้งใจจะให้เป็นตู้เสื้อผ้าแบบเปิดโล่ง (Open Closet) ซึ่งคนไทยมักจะเรียกว่า ตู้เสื้อผ้าวอร์คอิน (Walk-in Closet) จากการเดินสำรวจตลาดเฟอร์นิเจอร์หลายๆ ที่ ปุ้ยก็ตกลงปลงใจกับดีไซน์รุ่น ILLUSION SERIES เป็นโครงอลูมิเนียมพ่นสีดำ บานไม้อัด หน้าบานพ่นไฮกลอส และชั้นวางสีไม้ ปุ้ยคิดว่าดีไซน์นี้มันดูเหมาะกับผู้ชายมากค่ะ (จริงๆ เค้ามีสีขาวด้วย) ตู้นี้ปุ้ยได้มาจากอินเด็กซ์ (Index Living Mall) ก่อนจะคำนวณราคา เค้าจะมาวัดพื้นที่จริง แล้วก็ออกแบบก่อนว่าต้องใช้เสาสูงเท่าไหร่ จะแต่งส่วนได้กี่ล็อก แล้วจะใช้ฟังก์ชั่นอะไรใส่ลงไปได้บ้าง สำหรับพื้นที่เล็กๆ ใต้บันไดนี้ พื้นที่ใช้งานจริงที่สามารถติดตั้งได้ คือ 1.8 เมตร ความสูงไล่ระดับด้วย เค้าต้องมาวัดอย่างละเอียดเลยค่ะ เสร็จแล้วก็ออกแบบสามมิติ แล้วก็ตีราคาออกมาตามชิ้นอุปกรณ์ที่ใช้ ราคาคิดแยกเป็นชิ้นๆ เลย ส่วนการติดตั้งก็ง่ายมาก ทั้งชุดนี้ช่างจากอินเด็กซ์มาติดตั้ง 3 คน ใช้เวลาประมาณ 1 ชม. เองค่ะ - เสาอลูมิเนียม+ชุดปรับขา 4x1,995 = 7,980 บาท - ชุดข้อต่อเข้าผนัง 4x590 = 2,360 บาท - แผ่นชั้นไม้ 80x40 cm = 600 บาท
- ชุดราวแขวนเสื้อสแตนเลส 40 cm 2x490 = 980 บาท - ชุดราวแขวนเสื้อสแตนเลส 60 cm = 690 บาท - กล่องบนบานเปิดขึ้น 60 cm = 5,090 บาท - ลิ้นชัก 3 ชั้น 60 cm =10,900 บาท
- ลิ้นชักแขวนกางเกง 80 cm = 4,290 บาท - ตัวรับชั้น 6x690 = 4,140 บาท - ตัวยึดโครงตู้กับเสาอลูมิเนียม 3x590 = 1,770 บาท - แผ่นชั้นราวแขวน 40x40 cm  2x310 = 620 บาท รวมทั้งสิ้น 39,420 บาท เดิมทีแล้วตั้งงบกับตู้ไว้แค่ 15,000 บาท เกินมา 2 เท่านิดๆ 
สำหรับใครที่อยากได้ตู้แบบนี้ ถ้าไม่เอากล่องบานปิด หรือลิ้นชัก ก็น่าจะใช้งบประมาณ 20,000 
แต่ปุ้ยอยากให้มีลิ้นชักเพราะอยากให้ดูเป็นระเบียบ และให้มีส่วนที่เก็บของกันฝุ่นด้วย
ถ้าใครไปซื้อ เค้าจะเคาะราคามา แล้วถ้าเราไม่อยากได้ชิ้นไหน ก็ตัดออกได้ค่ะ เค้าก็จะไปทำราคามาให้ใหม่อีกรอบ โครงสร้างของตู้เสื้อผ้านี้ เป็นแบบปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นได้เอง (Flexible) ดังนั้นเราอาจจะตั้งงบเพื่อซื้อโครงและฟังก์ชั่นจำเป็นมาติดตั้งก่อน และข้อดีคือ ในอานาคต ถ้าเราอยากเพิ่มชั้นวาง ก็ซื้อมาเพิ่มเองได้ ส่วนชั้นวางที่ติดตั้งแล้ว สามารถถอดและ เปลี่ยนระดับความสูงได้เองค่ะ ปุ้ยลองทำดูแล้วไม่ยากนะ ไหนๆ จะจัดทั้งที่ก็ถือโอกาสทำทีเดียวเลย เฟอร์นิเจอร์ย้ายออก แล้วก็ติดวอลเปเปอร์ ด้วยค่ะ (แต่ปุ้ยติดวอลเปเปอร์หลังติดตั้งเฟอร์นิเจอร์ ก็ทำได้ไม่ยากค่ะ เพราะว่าตู้ไม่ได้เป็นบิวท์อิน แค่ยึดติดผนังไว้แบบ เคลื่อนย้ายได้) การติดวอลเปเปอร์ เพื่อช่วยแก้ปัญหาที่ช่างทาสีแสนห่วย (ที่เกริ่นไว้ตอนแรก) ทาสีไม่เรียบทำให้ห้องนอนของเราเป็นสไตล์ลอฟท์ ดูไม่เรียบร้อย ส่งผลให้เวลานอน รู้สึกไม่ผ่อนคลายอย่างเต็มที่ 
หลังติดวอลเปเปอร์ แล้วช่วยให้ห้องดูสะอาดตาขึ้น แสงในห้องและเทคเจอร์จะดูดีขึ้น เรียบร้อยและดูมีฟิลลิ่งมากขึ้นเยอะเลยค่ะ รูปตู้เสื้อผ้า ก่อนติดตั้งวอลเปเปอร์ รูปตู้เสื้อผ้า หลังติดตั้งวอลเปเปอร์ มุมใต้บันได ดูดีขึ้นหลังจากติดตั้งตู้เสื้อผ้าแบบ Open Closet และติดวอลเปเปอร์ลาย Dandy Check (จาก Zaran Wallpaper) ส่วนผนังที่เหลือเป็นลายเรียบๆ เพื่อส่งเสริมให้ลายหลักของเรา ดูดโดดเด่น ผนังส่วนอื่นๆ จึงเป็นสีเบจอ่อนๆ ที่มีเทคเจอร์วิ้งๆ รับกับแสงไฟ สวยงามมาก ช่วยให้ห้องดูแพงขึ้น ดูหรูขึ้นได้จริงค่ะ 
แอบแต่งแสง ด้วยโคมไฟเส้น LED เพิ่ม (ขอรีวิวท้ายกระทู้) ทำให้มุมนี้ดูหรูหรา น่าสนใจขึ้นเยอะเลย ทีนี้มาพูดถึงฟังก์ชั่นการจัดเก็บที่ปุ้ยออกแบบไว้ให้สามี กันค่ะ เทคนิคการจัดระเบียบ ที่ได้ไอเดียสรุปมาจาก ทฤษฎีของ KonMari method (นักจัดระเบียบชื่อดังของญี่ปุ่น) และ Kyoko Ikeda (จากหนังสือชื่อ ทำไงดี! อยากจัดห้องให้เนี้ยบๆ) ดังนี้ 1. ทิ้งของที่ไม่จำเป็น หรือถ้าเลือกไม่ถูก คือ ของที่พอเห็นแล้วทำให้ใจเต้น (Spark Joy) ให้เก็บไว้ 2. อย่าเก็บของที่คิดว่าจะได้เอามาใช้สักวัน เพราะคำว่า “สักวัน” จะไม่มีวันมาถึง 3. อย่าให้ใครเข้ามาดูตอนเราทิ้งของ เพราะเค้าจะบอกว่าอย่าทิ้งเสียดาย (ใส่ถุงดำมัดเงื่อนตายไว้เลย) 4. การตัดใจจากสิ่งของง่ายๆ โดยการไว้อาลัยกับสิ่งของ ด้วย “คำขอบคุณ” ที่เค้าได้รับใช้เรามา และขอให้เค้าจากไปอย่างมีความสุข 5. จัดของที่เหลือ ตามหมวดหมู่การใช้งาน และพับเข้าที่ให้เป็นระเบียบ 6. ของทุกอย่างต้องมองเห็น จะได้หยิบมาใช้ได้ ไม่ลืมว่าไว้ตรงไหน 7. การวางทุกอย่างแบบตั้งขึ้น จะทำให้เห็นง่ายขึ้น เพราะไม่ถูกชิ้นอื่นทับ 8. ที่สำคัญต้องหยิบใช้สะดวกด้วยนะคะ ตามที่เห็น จัดระเบียบให้หมดแล้ว ทุกอย่าง ตู้ Wall-in Closet นี้เอาอยู่ เนื่องจากห้องเราเล็กและก็ไม่ได้มีที่เก็บของมากนัก เพราะฉะนั้น ในห้องนี้ จะมีฟังก์ชั่น แค่สำหรับ การนอน เก็บเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวของสามี ส่วนของส่วนตัวของปุ้ย เก็บห้องอื่นค่ะ   สำหรับห้องนี้ ตู้เสื้อผ้าเรามีพื้นที่จำกัด ตามที่เห็นว่ามีที่แขวนเสื้ออยู่แค่ราวเดียวเล็กๆ เราควรคัดเลือกเสื้อผ้าข้าวของ ทิ้งให้หมด  เอาให้เหลือ เท่าที่ใช้งานจริงๆ ของส่วนใหญ่เป็นของสามี ดังนั้นเราเป็นคนทิ้ง ไม่มีคำว่า เสียดาย 555 ข้อดีของสามีปุ้ย คือ เค้าเป็นคนสมบัติน้อยค่ะ ไม่ค่อยมีของสะสม และไม่บ้าแต่งตัว แต่ว่าบางทีก็ใช้ของบางอย่าง จนมันน่าจะหมดอายุขัยแล้ว ก็ยังไม่ปล่อยมันไปเกิดใหม่ค่ะ   ข้าวของจะมี เสื้อเชิ๊ตใส่ไปทำงาน (12 ตัว) เสื้อเชิ๊ตที่ไม่ค่อยได้ใช้ (10ตัว) กางเกงใส่ไปทำงาน (6 ตัว) เสื้อลำลอง (10 ตัว) กางเกงลำลอง (8 ตัว) ถุงเท้า กางเกงใน และข้าวของส่วนตัวเล็กๆ น้อยๆ   สิ่งที่เราจัดการ คือ ทิ้งเสื้อผ้าที่เก่าจนย้วย เสื้อผ้าที่ไม่ได้ใส่แล้ว ทิ้งขยะพวกนามบัตร บิล ใบเสร็จ (ไม่รู้เก็บไว้ทำไม) แต่สิ่งที่เราแอบเก็บไว้ให้ คือ เสื้อเชิ๊ตไซส์ XXL เพราะตอนนี้เค้าผอมลง เหลือใส่ไซส์ L2 
จริงๆ ควรจะทิ้งไปเลย จะได้ไม่มีข้ออ้างในการกลับมาอ้วนอีก เพราะว่าไม่มีเสื้อใส่ ถ้าอ้วนอีกคราวหน้า ก็คือ ต้องถอดเสื้อไปทำงานแล้วหละ (เดี๋ยวเขียนกระทู้นี้เสร็จ จะเอาไปบริจาคเลย) ถ้าเห็นจากรูปจะรู้ว่าข้าวของเค้าน้อยมาก พวกเน็คไท เสื้อสูท ก็ไว้ที่ทำงาน รองเท้าหนังมีหลายคู่ก็ไว้ท้ายรถ จริงๆ ผู้ชายก็ไม่จำเป็นต้องมีเครื่องแต่งตัวเยอะ (เพราะถ้าเยอะ เดี๋ยวจะแต่งหล่อไปจีบสาว)   ถ้าคุณผู้ชายที่บ้านใครข้าวของเยอะ เราลองช่วยเค้าทิ้ง+จัดระเบียบก็จะช่วยให้มีพื้นที่เพิ่มขึ้นได้อีกเยอะเลยนะคะ ส่วนพวกเสื้อผ้าที่ไม่ค่อยได้ใช้ เช่น เสื้อโค้ทหรือชุดสำหรับใส่ไปเที่ยวประเทศหนาวๆ เราก็พับเก็บใส่กรุไว้ในตู้ ถ้าจะใช้ ค่อยไปรื้อมาค่ะ ฟังก์ชั่นการใช้งานของตู้นี้ เหมาะมากสำหรับคนของไม่เยอะอย่างสามีเรา เพราะว่าถ้าเยอะจนแน่นเกินไป จะดูไม่ค่อยสวย เสื้อเชิ๊ตที่ใส่จริงๆ มี 12 ตัวเองค่ะ ที่แขวน 4 ตัว แล้วที่เหลืออยู่ในตระกร้าเตรียมซักอีก 3  ตัว ซักแล้วยังไม่ได้รีด อีก 5 ตัว (กระจายอยู่ตาม Process การซัก-ใส่) ไม้แขวนเสื้อ สีดำซื้อมานานแล้ว แต่ไซส์เล็กเหมาะกับเสื้อผู้หญิง และสีแดงเป็นไซส์ใหญ่เหมาะกับเสื้อของผู้ชายมากกว่า ไม่แขวนทั้ง 2 แบบจากอินเด็กซ์ (ไซส์ใหญ่สีดำเค้าก็มีนะคะ แต่สีแดงนี่ได้รับมรดกมาจากบ้านพี่สาวค่ะ พอมาวาง ก็ดูเด่น กลายเป็นกิมมิกไปอีกแบบ) ปุ้ยประยุกต์ใช้จากกล่องตะแกรงลวดสีดำ ที่ใช้สำหรับใส่ของในสำนักงาน และกล่องลิ้นชักจิ๋วใสๆ ทั้งนี้หมดนี้ก็ซื้อจากอินเด็กซ์ แต่ละชิ้นประมาณ 29 - 199 บาท ไม่เกินนี้ค่ะ มุมสะสมเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ 
อันนี้ไม่ได้สนับสนุนนะคะ แต่ว่าเค้าขอไว้ เค้าอยากได้ ความฝันของเค้า ปุ้ยก็เลยไปซื้อ ที่วางขวดไวน์อะคริลิก มาให้ใช้ไปก่อน ซื้อจากอินเด็กซ์ ราคา 890 บาท ปกติจะชอบซื้อเวลาไปดิวตี้ฟรี ก่อนหน้านี้ซื้อเยอะมาก ช่วงนี้ก็เลยสั่งงด ตอนนี้เหลือแค่ขวดเดียวที่กินไม่หมดค่ะ ถัดมา ที่แขวนกุญแจ สามารถนำมาประยุกต์ใช้แขวนแว่น กับเครื่องประดับได้ด้วย ซื้อจากอินเด็กซ์ เหมือนกันค่ะ แต่ปุ้ยลืมจดราคาไว้ กล่องลิ้นชักพลาสติกจิ๋วๆ ใสๆ จากอินเด็กซ์ ราคา 99 บาท Accessories พวกหมวกกับสายเอี๊ยม ปุ้ยซื้อมาให้เค้าเอง เห็นแล้วชอบ ปุ้ยประยุกต์ใช้ไม้แขวนกระโปรง เอามาแขวนให้ค่ะ ก็ดีเก๋ดีนะ จริงๆ แขวนพวกเนคไทกับโบว์ไทได้ด้วยค่ะ ส่วนต่อมาเป็น ลิ้นชัก แขวนกางเกง อันนี้ปุ้ยชอบเป็นการส่วนตัว ก็เลยเอาฟังก์ชั่นนี้มาใส่ ช่องใส่ของเหนือชั้นแขวนกางเกง ปุ้ยเอากล่องกระดาษ มาไว้เก็บของที่ไม่ค่อยได้ใช้ โดยแยกตามประเภทและเขียนป้ายชื่อติดไว้ อย่างชัดเจน จริงๆ กล่องนี้ซื้อมานานมากแล้วตอนอยู่คอนโด พอย้ายบ้าน เกือบจะทิ้งแล้ว พอดีไซน์ตู้มีสีน้ำตาล เลยนึกขึ้นได้ ไปหยิบมาใช้ มันก็ดูเข้ากันได้พอดีเลยค่ะ กล่องอเนกประสงค์จากอินเด็กซ์ ราคา 139 บาท   ถัดมาเป็นตะกร้าใส่เสื้อผ้าเตรียมซัก จากอินเด็กซ์ ราคา 469 บาท อันนี้ก็ชอบค่ะ 
ใช้ของอินเด็กซ์ มาหลายอันแล้ว พอเจออันนี้ ก็ปิ๊งเลย เหมาะกับสไตล์ห้องนอนห้องนี้สุดๆ เพราะเป็นสีดำขอบขาว แล้วก็มีแยก 2 ส่วน คือ ผ้าสีเข้มกับผ้าสีอ่อน   ส่วนอีกใบเป็นถังขยะ 20 ลิตร จากอินเด็กซ์ ราคา 359 บาท แน่นอนเลือกมาเพราะดีไซน์เข้ากับห้อง เป็นสีดำ แล้วปุ่มกดสีเงินค่ะ ถังนี้ปุ้ยประยุกต์มาใส่ ถุงเท้าที่ใส่แล้ว เตรียมเอาไปซัก แล้วภายในใส่ถุงใส่ผ้าแบบที่มีหูหิ้ว ขนาดพอดีกับถัง เวลาไปซัก ก็หิ้วไปแต่ถุงใส่ผ้าด้านในค่ะ
 ไอเดียนี้ทำให้ แยกถุงเท้าออกจากเสื้อผ้าอื่นๆ แล้วก็ยังเก็บได้มิดชิด ดูสวยงามด้วยค่ะ ชุดลำลอง ประกอบด้วย เสื้อยืด เสื้อบอล กางเกงบอล กางเกงขาสั้น คือ ชุดที่เค้าใส่ในวันหยุดค่ะ พับๆๆ ให้เรียบร้อย แล้วก็วางเก็บแบบตั้งไว้ จะได้เห็นครบทุกตัว ปุ้ยพยายามพับโดยหันมาร์คของเสื้อออกมาให้เห็นชัดๆ เพราะว่า บางทีเค้ามีเสื้อสีเดียวกันหลายตัว 
ส่วนเสื้อเชิ๊ตในลิ้นชัก ก็เช่นกันค่ะ พับแล้วหันวางในแนวตั้ง ไอเดียของการจัดของ นอกจากจะทำให้เป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว ที่สำคัญ เราจะต้องมองเห็นของทุกชิ้น เพื่อที่จะไม่หลงลืมว่า มีมันอยู่ และละเลยที่จะหยิบมาใช้ รวมถึง ช่วยแก้ปัญหา “การหานู่นนั่นนี่ไม่เจอ” ค่ะ อีกไอเดียหนึ่งที่เก็บมาจากเว็บของฝรั่ง แล้วรู้สึกว่าน่าจะเวิร์คสำหรับสามี คือ การจัดระเบียบอุปกรณ์ชาร์จแบ็ตโทรศัพท์มือถือ เพราะว่า ปุ้ยต้องหงุดหงิดทุกวัน ที่จะมาเก็บให้ คือไงรู้มะ เค้ามีโทรศัพท์ หลายเครื่อง ไหนจะแท็บเล็ตอีก แล้วเวลาชาร์จก็กองบนพื้น พอออกไปทำงานแล้ว พวกสายชาร์จ ปลั๊กพ่วง ก็กองระเกะระกะ บนพื้นนั่นแหละ จะกวาดจะถูอะไรก็ลำบาก (ขอบ่นให้เถอะค่าาาา) เชื่อว่าหลายคนประสบกันปัญหานี้ค่ะ ปุ้ยก็เลยจัดระเบียบให้โดยการซ่อนพวกปลั๊กและสายชาร์จไว้ในลิ้นชัก และก็ม้วนเก็บให้เป็บระเบียบ แบ่งเป็น 2 ลิ้นชัก จะได้ไม่ทับกัน หรือพันกันสะเปะสะปะ ชั้นบนไว้ชาร์จพวกโทรศัพท์มือถือ ส่วนลิ้นชักล่างไว้ชาร์จแท็บเล็ต ซึ่งมีขนาดใหญ่และกินที่มาก แบบนี้ แก้ปัญหาชีวิตระเกะระกะ สะเปะสะปะ ไปได้เยอะเลยค่ะ จบในส่วนของตู้เสื้อผ้าและการจัดเก็บข้าวของแล้วค่ะ เดี๋ยวมาต่อ มุมพักผ่อน กันค่ะ ยังไม่เหนื่อยกันใช่มั้ยคะ เรามาต่อกันที่ "มุมหลับพักผ่อน" ปุ้ยปรึกษากับสามี เราตัดสินใจขยายไซส์เตียงจากควีนไซส์ เป็นคิงไซส์ (เผื่อมีสมาชิกเพิ่ม) จะได้นอนกันสบายๆ เตียงคิงไซส์รุ่น GEHRY จากอินเด็กซ์ ราคา 21,900 บาท ปุ้ยชอบรุ่นนี้ ตรงที่เป็นผิวบานไม้ไฮกลอสเงาวั๊บสีน้ำตาลดำ (ชอบสีนี้มากว่าน้ำตาลแดงอันเก่าเยอะเลย) ตรงขอบด้านหัวเตียงมีคิ้วขอบสีทองเหลือง ชอบตรงนี้ที่สุดค่ะ ทำให้ดูหรูหราขึ้น ส่วนรุ่นนี้ไม่มีหัวเตียง ก็ช่วยให้ดูเป็นระเบียบไม่รก 
แต่ปุ้ยเอาเบาะรองนั่งสีเบจขลิบขอบสีดำ มาวางไว้ ช่วยให้เตียงดูนุ่มนวลขึ้น เวลาพิงอ่านหนังสือก่อนนอนก็ดีเลยค่ะ   มุมเตียงนอน ปุ้ยย้ายหัวเตียงมาไว้ฝั่งทิศเหนือค่ะ พอเปิดประตูห้องเข้ามา ก็จะเจอเตียงหันออกมา
ปุ้ยก็ย้ายมานอนด้านซ้ายของเตียง (ด้านขวาของรูป) ซึ่งปุ้ยเคยรู้มาว่า ถ้าแต่งงานกัน ภรรยาควรนอนซ้าย สามีนอนขวา คราวนี้พอย้ายมาฝั่งนี้ปุ้ยเลยขอนอนทางซ้าย ส่วนสามีก็นอนฝั่งที่ติดกับตู้เสื้อผ้า ซึ่งเค้าจะได้หยิบใช้ของส่วนตัวเค้าได้สะดวกเลย ที่สำคัญต่อไปนี้ปุ้ยจะไม่ต้องเดินอ้อมไปขึ้นเตียงไกลๆ อีกแล้วววว นี่คือ ผลพลอยได้ที่แฮปปี้สุด โต๊ะข้างเตียง เรางบไม่พอ ก็เลยไปเอาโต๊ะที่เคยซื้อไว้หลายปีแล้ว สีเข้ากัน มาวางด้านขวาของเตียง ด้านขวา (ด้านที่สามีนอน) ไม่มีโคมไฟ เพราะว่าสามารถใช้ไฟตรงโครงเสาตู้เสื้อผ้าได้ ปุ้ยติดตั้งโคมไฟ LED แบบที่เปิด/ปิดด้วยระบบสัมผัสที่ โคมเลย สะดวกสุดๆ (ใครสนใจเดี๋ยวโพสต์รีวิวโคมไฟ ให้นะคะ) วอลเปเปอร์จาก Zaran Wallpaper สีเบจอ่อนๆ ช่วยให้ผนังดูนุ่มนวลขึ้น และมีเทคเจอร์ลายผ้า แซมกลิตเตอร์วิ้งๆ แบบกระจายห่างๆ ช่วยให้ดูหรูหราขึ้น ราคาตรม.ละ 350 - 550 บาท ส่วนด้านซ้ายที่ปุ้ยนอน เอาเก้าอี้ม้านั่งสีดำมาใช้วางของ (ม้านั่ง จากอินเด็กซ์ 199 บาท) 
และมุมนี้เพิ่มไฮไลท์ด้วยการเอาโคมไฟ ที่มีดีไซน์เข้ากับเตียงมาวางไว้ค่ะ ทำให้มุมนี้ดูดีขึ้นมาทันตาเลย โคมไฟ ตั้งพื้น รุ่น ROARKE จากอินเด็กซ์ ราคา 1,430 บาท ขาโคมเคลือบสแตนเลส และหุ้มหนังสีน้ำตาล
ปุ้ยชอบโคมไฟอันนี้ เพราะนอกจากเรื่องดีไซน์แล้ว ยังฟังก์ชั่นมี ที่เปิด/ปิด แบบเชือกดึง สะดวกดี เบาะรองนั่ง จากอินเด็กซ์ ราคา 199 บาท หมอนอิง จากอินเด็กซ์  สีดำ คำว่า Rock ตกแต่งด้วยหมุมสีทอง 139 บาท ผ้าปูสีเขียวขี้ม้าและผ้านวมสีเบจทอง ได้มาจากการช็อปปิ้งงาน บ้านและสวนแฟร์ เซ็ทละ 3,990 บาท ส่วนมุมด้านบนจริงๆ อยากเอาตู้แขวนบานไฮกลอสหรือบานกระจกเงา มาแขวน ไว้เก็บของที่ไม่ค่อยได้ใช้ แต่ว่างบเราหมดแค่นี้จริงๆ ค่ะ อีกด้านผนังของห้อง เป็นหน้าต่างบานใหญ่ รอเก็บตังค์ซื้อผ้าม่านสวยๆ มาเปลี่ยนค่ะ 
อันนี้รับมรดกจากบ้านพี่สาวมา ขนาดไม่พอดี ตอนแรกมีเอามาแปะเพิ่มให้มันบังหน้าต่างให้มิดๆ แต่พอติดวอลเปเปอร์ดึงออกมา ยังไม่ได้ติดกลับเข้าไป ส่วนผนังตรงชานบันได ปุ้ยกำลังคิดว่าจะหานาฬิกาเก๋ๆ มาแขวน แต่ยังไม่เจอที่ถูกใจ (อยากได้สไตล์ที่ดูคลาสสิก แบบเรียบๆ ) ถ้าแขวนนาฬิกาตรงนี้ เวลาตื่นมาจะได้ดูเวลาพอดี
 ด้านล่างนานาฬิกาลงมา ก็คิดๆ ไว้ว่าจะหาชั้นวางของเล็กๆ มาวางพวกขวดน้ำหอมที่สะสมไว้ค่ะ สรุปค่ะ งบที่ใช้ไปในห้องนี้ก็ ราวๆ 66,000 บาท (ไม่รวมค่าเสื่อกับวอลเปเปอร์) ซึ่งเกินจากงบที่ตั้งไว้มา 11,000 บาท ถือว่าไม่ประสบความสำเร็จในการบริหารงบ แต่ว่ายังไงก็ได้ความถูกใจและลงตัวมากๆ ค่ะ ถือว่าคุ้มค่ากับความพยายาม ไม่รู้ว่าสามี เค้าดีใจแค่ไหน เพราะว่าไม่เคยถาม แต่ตอนนี้ก็นอนห้องสวยๆ นี้มา 1 สัปดาห์แล้วค่ะ มาดูเปรียบเทียบกันแบบชัดๆ ว่าเปลี่ยนแปลงไปขนาดไหน ขอบคุณสำหรับเพื่อนๆ ที่อ่านกันมาจนจบนะคะ กระทู้นี้ใช้ความพยายาม (ความถึก) อย่างมากเลย เพราะว่าถ่ายรูปยากมาก ปุ้ยถ่ายเองค่ะ ปกติห้องอยู่ในมุมที่ไม่ค่อยโดนแสง ต้องรอจังหวะวันที่แดดออกจ้าๆ เลย แถมห้องก็แคบ เลนส์ที่ยืมพี่สาวมาก็แบบว่าถอยจนสุดหัวติดผนังอีกฝั่งแล้วก็ยังเห็นมุมกว้างสุดแค่นี้ สรุปถ่ายอยู่ 5 วัน ถ่ายแล้วถ่ายอีก กดชัตเตอร์มา 3,000 กว่ารูป เลือกมาใช้ไม่ถึง 30 รูป 555 หลายคนอาจจะคิดว่า ห้องสวยเพราะถ่ายรูปสวยรึเปล่า บอกเลยว่า ไม่ใช่ค่ะ เพราะว่า ของจริงสวยกว่าในรูปมากๆ แต่ว่าความสามารถในการถ่ายรูปก็ไม่ได้มีมากมาย ใช้พยายามสุดๆ แล้วได้แค่นี้จริงๆ ระหว่างทาง มีแมวๆ เจ้าขนมผิง เจ้าก้อนเมฆ และเจ้าปลาทู แวะเวียนกันมาให้กำลังใจ พร้อมป่วนเล็กๆ ค่ะ ก่อนจะจบกระทู้ ขอสรุปบางอย่างแต่สำคัญมาก ที่ปุ้ยมีหยอดไว้เล็กๆ ตอนต้นกระทู้ว่า นี่ไม่ใช่แค่การรีโนเวทห้อง แต่มันคือ การรีโนเวทชีวิต หมายถึง ชีวิตคู่ค่ะ
 ปุ้ยไม่อายที่จะเล่าว่า เมื่อก่อน เราทะเลาะกันบ่อยมาก จนปุ้ยได้สังเกตและตระหนักถึงพฤติกรรมการทะเลาะของเรา (หลังอยู่ห้องรีโนเวทมา 1 สัปดาห์) สาเหตุก่อนหน้าที่ทำให้เราทะเลาะกันเพราะว่า - บรรยากาศในห้องเก่า มันไม่ทำให้จิตใจสงบ ไม่ผ่อนคลายค่ะ - ปุ้ยแทบจะไม่อยากเข้ามานอน และไม่อยากจะตื่นมาพบบรรยากาศแย่ๆ ในห้องเก่า - บรรยากาศที่ไม่ดี ทำให้จิตใจเราเครียด และทำให้หงุดหงิดง่าย - ทุกครั้งที่ทะเลาะกัน มักจะทะเลาะกัน “ในห้องนอน” และปุ้ยมักจะเริ่มต้นประโยคว่า “เบื่อ” แต่ตอนนี้ชีวิตคู่เรา ถูกรีโนเวทไปพร้อมๆ กับห้องนอนห้องนี้
ทุกวันนี้พอเข้าห้องนี้ จะอารมณ์ดี คุยกันดี เห็นความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนว่า ชีวิตคู่ของเรา “แฮปปี้” กันมากขึ้น และปุ้ยเพิ่งเข้าใจก็วันนี้เองว่า การอยู่ในที่ดีๆ ทำให้ชีวิตเราดีขึ้น ได้จริงๆ ค่ะ ถ้าใครอยากจะเอาใจสามีหรือภรรยา หรือกำลังประสบปัญหาชีวิตคู่ ลองใช้วิธีการรีโนเวทห้อง สร้างบรรยากาศของความสุขแบบนี้ ปุ้ยเชื่อว่า อะไรๆ มันจะต้องดีขึ้น หรือใครที่อยู่คนเดียว ลองหาโอกาสรีโนเวทห้องนอน ก็มันเหมือนได้รีโนเวทชีวิตของเราไปด้วย เพราะชีวิตถ้าได้หลับสบาย และพบความสุขตั้งแต่ตอนลืมตาตื่น วันทั้งวันของเรา ก็จะมีความสุขค่ะ บอกเลยว่าจบห้องนี้แล้วมีความสุขมากๆ เวลาได้นอนห้องสวยๆ มันช่างดีอย่างงี้นี่เอง สุดท้ายนี้ขอบคุณสามีที่ตามใจ ให้เราจัดระเบียบ เลือกเฟอร์นิเจอร์ตามใจเรา ไม่มีขัด ซักนิด หวังว่าจะชอบของขวัญชิ้นนี้ ที่ภรรยาทำให้ด้วยความรักและความตั้งใจ <3
  แม้จะไม่เอ่ยปากชม แต่ดูก็รู้ว่า “ชอบใจ” อยู่ไม่น้อยค่ะ ต่อจากนี้เก็บตังค์/หางบ กันต่อนะคะ จะมาตกแต่งแบบ DIY กันอีก ที่บ้านยังเหลือห้องมาให้เพื่อนๆ อ่านรีวิวเป็นไอเดียกันอีกเยอะ ทั้งห้องครัว ห้องนั่งเล่น ห้องซักรีด ห้องกินข้าว ทางเข้าบ้าน ห้องแต่งตัว ยังไม่ได้ทำเลยค่าาา เอาเป็นว่า พบกันใหม่กระทู้หน้าแล้วกันค่ะ มีอะไรดีๆ มา DIY ให้ดูกันอีก รับรอง บั๊ยบายค่าาา เพิ่มเติม จากที่ปุ้ยได้มีพูดถึงการติดตั้งไฟ LED ที่ช่วยทำให้ตู้เสื้อผ้าดูสวย และสว่างขึ้น รวมถึงเวลากลางคืนก็สามารถใช้เป็นไฟส่องสว่างแทนไฟหัวเตียงได้ด้วย มาเล่า DIY กันต่อ ในเรื่องการติดตั้งโคมไฟเส้น LED อเนกประสงค์ ซึ่งปุ้ยลองใช้ดูแล้ว คิดว่าเป็นโคมไฟที่ใช้งานง่ายๆ เพียงแค่เสียบปลั้ก และต่อเข้าเป็นเส้นยาวได้ตามที่เราต้องการ แล้วที่เวิร์คมากๆ ก็คือ ฟังก์ชั่นกันใช้งานเก๋ๆ ด้วยการเปิด/ปิดแบบสัมผัส โดยไม่ต้องต่อสวิตซ์ใดๆ เพียงแค่แตะที่โคมไฟก็เปิดปิดเองได้แล้ว เท่สุดๆ ไปเลย ที่สำคัญ คือ ดีไซน์ดูดี และแข็งแรงทนทานด้วยค่ะ ก่อนอื่นขอพูดถึงโปรดักซ์ที่เลือกมาใช้ในการ DIY นี้ก่อนค่ะ มี 2 แบบ 1) ขอเรียกว่า "ตัวแม่" Philips Linear wall lamp LED 1x3W ไฟตกแต่ง LED พร้อมหม้อแปลง รุ่น 30913 (Grey) สามารถใช้ตัวพ่วง รุ่น 30914 ได้เพิ่มอีก 3 ชุด 2) ขอเรียกว่า "ตัวลูก" Philips Linear wall lamp LED 1x3W ไฟตกแต่ง LED รุ่น 30914 (Grey) ซึ่งโคมไฟเส้น LED ชนิดนี้เป็นไอเดียที่เหมาะกับ - ผู้ที่ต้องการอุปกรณ์ให้แสงสว่าง ที่ติดตั้งเองได้แบบง่ายๆ เพียงแค่เสียบปลั๊ก และยึดเส้นโคมไฟด้วยตะปูเล็กๆ หรือติดกาว 3m ก็ได้ เพราะน้ำหนักเบามากค่ะ - ผู้ที่ต้องการอุปกรณ์ให้แสงสว่าง ที่อเนกประสงค์ใช้งานได้หลากหลายจุด ทั้ง อ่างล้างจาน ตู้เสื้อผ้า ไฟหัวเตียง โต๊ะเครื่องแป้ง เป็นต้น - ผู้ที่ต้องการอุปกรณ์ให้แสงสว่างที่ถอดประกอบและเคลื่อนย้ายได้ง่าย อุปกรณ์ที่ต้องใช้ในการติดตั้ง - โคมไฟเส้นตัวแม่ + อะแดปเตอร์ - โคมไฟตัวลูก (หรือตัวพ่วง) - ตัวเชื่อมโคมไฟ ในเซ็ทให้มา 2 แบบ คือ แบบสำหรับต่อเชื่อมเป็นเส้นตรง กับแบบสายไฟ สำหรับต่อห่าง หรือต่อแบบหักมุม - ตัวยึดผนัง แถมมาให้พร้อมโคมไฟ - เทปกาว 2 หน้าสำหรับยึดโคมไฟกับผนัง - อุปกรณ์อื่นๆ ดินสอ กรรไกร ตลับเมตร สะพานไฟ เป็นต้น วิธีการติดตั้ง 1.   นำตัวแม่ (สังเกตจากมีขั้ว) ต่อด้านที่มีขั้วเข้ากับสายอะแดปเตอร์ 2.   ต่อตัวเชื่อมเข้าที่ตัวแม่อีกด้าน 3.   นำตัวลูก มาต่อเข้ากับตัวเชื่อม 4.   ทำซ้ำข้อ 2)-3) จนกว่าจะได้ความยาวที่ต้องการ 5.   ยึดอุปกรณ์ทั้งหมดเข้ากับผนังหรือพื้นที่ใช้งานด้วยเทปกาว 2 หน้า  หรือถ้าต้องการติดตั้งถาวรก็เจาะผนังแล้วใช้พุกและน็อตที่อยู่ในเซ็ทอุปกรณ์ 6.   เสียบปลั๊ก คำแนะนำในการติดตั้ง (หลังจากลองผิดลองถูกมาแล้ว) 1.  หากพื้นที่เป็นสี่เหลี่ยมเล็กๆ แนะนำให้ติดตั้งโคมไฟแค่แถวเดียวหรือติดตั้งด้านในด้านหนึ่ง ไม่ควรติดตั้งมากกว่า 1 ด้าน เพราะแสงจะสว่างมากไป 2.  หากต้องการติดตั้งในผนังที่หันออกมายังผู้ใช้ แนะนำให้ติดตั้งโดยหันหลอดไฟขึ้นด้านบนหรือด้านล่าง ไม่ควรติดโดนหันหลอดออกมายังผู้ใช้งานโดนตรง เพราะแสงที่ส่องจะมีปริมาณมาก(แสงจ้า) ทำให้แสบตาได้ 3.   เมื่อติดตั้งตัวแม่แนะนำให้หันส่วนขั้วต่อเข้ากับสายอะแดปเตอร์ เพื่อให้ใช้งานเปิด/ปิดได้ตามฟังก์ชั่นที่ออกแบบไว้ 4.   หากติดตั้งตัวแม่โดยใช้ด้านที่ไม่มีขั้วต่อเข้าอะแดปเตอร์ ก็จะทำให้หลอดไฟเปิดอยู่ตลอดเวลา เหมาะสำหรับการใช้งานในกรณีที่มีหลายจุด และต่อปลั๊กจากตัวแม่ทุกจุดเข้ากับสวิตส์หรือสะพานไฟตัวเดียว แล้วสั่งเปิดปิดจากสวิตส์ตัวเดียวกันให้เปิดไฟพร้อมกันทุกจุดค่ะ วิธีการใช้งาน เปิด/ปิด ด้วยการแตะเบาๆ ที่โคมไฟตัวแม่ ก็จะสว่างทั้งเส้น (อย่าลืมเสียบอะแดปเตอร์เข้ากับปลั๊กไฟที่บ้าน) ลิงค์ VDO สาธิตการเปิด/ปิด มาเล่าถึงไอเดียการใช้งานกันค่ะ พอดีช่วงนี้ปุ้ยกำลังรีโนเวทห้องนอน ซึ่งในห้องจะมีตู้เสื้อผ้าแบบ Walk-in ที่ติดตั้งใต้บันได เป็นมุมที่ค่อนข้างมืด ดังนั้นก็เลยเอา Philips Linear wall lamp LED มาลองติดตั้ง และพบว่ามันเวิร์คมากค่ะ เพราะว่า โครงเสาของราวตู้เสื้อผ้า มีช่องตรงกลางพอดี (สำหรับยึดบาน) เริ่มต้น ปุ้ยลองเล่นดูก่อน ค่อยๆ ติดทีละชิ้น ทีละฝั่งค่ะ ลองเปลี่ยนตำหน่งไปเรื่อย ทำให้ค้นพบว่า ในพื้นที่ส่วนย่อยๆ หนึ่งส่วนเราควรวางหลอดไว้เพียงแถวเดียว หรือด้านเดียว เพื่อไม่ให้แสงไฟจ้าเกินไป และ สุดท้ายออกมาได้แบบนี้ พอติดไฟ LED แล้ว ดูสว่างและหรูหราขึ้นเอยะเลยค่ะ       ของจริงสวยมากค่ะ ช่วยให้แสงโดยรวมของมุมนี้ดูเด่น และหรูหราขึ้น หรือใครจะลองเอามาวางเป็นเส้นตามขอบผนัง ก็ช่วยให้ห้องดูหรูหรา น่าสนใจขึ้นมากเลยค่ะ ก่อนจะติดตั้งบนตู้เสื้อผ้า ปุ้ยลองเอามาฝึกประกอบ บนพื้นก่อน มันดูดีมาก เลยถ่ายรูปก็บไว้ค่ะ โดยรวมแล้ว ปุ้ยให้คะแนนไอเท็มเจ๋งๆ Philips Linear wall lamp LED เซ็ทนี้ 9/10 เลยค่ะ ถ้ามีหลากลายสีให้เลือกเข้ากับผนังและเฟอร์นิเจอร์นะคะ ปุ้ยจะให้คะแนะเต็มเลย ปุ้ยลองใช้งานแล้ว คิดว่าทุกคนสามรถติดตั้งเองได้ง่ายจริงๆ รวมถึงให้ความสวยงาม และปลอดภัย (ไม่มีโดนช็อต หรือมีสปาร์คค่ะ) อีกทั้งคุณภาพก็ถือว่าอยู่ในระดับที่ดีและทนทานเลย (ทำตกหลายครั้ง ยังใช้งานได้ปกติ) พร้อมมีอะไหล่ในการติดตั้งให้มาพร้อมกับคู่มืออย่างดี หวังว่าใครที่กำลังมาหา ตัวช่วยในการเพิ่มแสงสว่าง หรือไอเท็มเก๋ๆ สำหรับตกแต่งห้อง จะถูกใจและลองหามาใช้งานกันดูนะคะ แล้วพบกันในกระทู้หน้านะคะ จะมาชวน DIY กันต่อ อีกค่าาา บั๊ยบายค่าาาา   ขอขอบคุณภาพและข้อมูลจาก สมาชิกพันทิป คุณ PuY~isme  www.facebook.com/ilkePuYisme www.puyisme.com
เลาะกระเบื้องที่แตกร้าวออกอย่างไร ไม่ให้กระเบื้องแผ่นอื่นรอบๆ ที่ติดกันแตกไปด้วย?

เลาะกระเบื้องที่แตกร้าวออกอย่างไร ไม่ให้กระเบื้องแผ่นอื่นรอบๆ ที่ติดกันแตกไปด้วย?

การเลาะกระเบื้องแผ่นที่แตกร้าวเพื่อเปลี่ยนใหม่โดยไม่ให้แผ่นรอบๆ เกิดการแตกร้าวเสียหายต้องทำอย่างระมัดระวัง โดยใช้หลักการเพิ่มพื้นที่ว่าง โดยการสกัดยาแนวรอบแผ่นกระเบื้องที่แตกออกเสียก่อน จากนั้นจึงค่อยๆ สกัดแผ่นกระเบื้องที่เกิดการชำรุดออกโดยการทุบ หรือใช้อุปกรณ์ “ลูกหมู” ค่อยๆ กรีดหรือตัดกระเบื้องแผ่นที่แตกร้าวออก ซึ่งทำให้กระเบื้องแผ่นรอบๆ มีความเสี่ยงต่อการแตกหักน้อยกว่า จากนั้นจึงติดตั้งกระเบื้องแผ่นใหม่ลงไป ขอขอบคุณภาพและข้อมูลจาก  www.scgbuildingmaterials.com
ทำอย่างไรเมื่อพื้นที่จอดรถทรุด

ทำอย่างไรเมื่อพื้นที่จอดรถทรุด

เรื่อง : SCG Experience Architect ปัญหากวนใจเจ้าของบ้านอย่างหนึ่งที่มักเกิดขึ้นประจำคือ การทรุดตัวของพื้นคอนกรีตบริเวณรอบบ้าน โดยหนึ่งในจุดฮอตฮิตที่มักจะเกิดขึ้นเสมอคือบริเวณพื้นที่จอดรถ  อาการเบื้องต้นจะพบว่าบริเวณขอบของพื้นที่เป็นรอยต่อระหว่างที่จอดรถกับตัวบ้านจะมีอาการร้าวทรุดตลอดแนว นอกจากนี้ หากสังเกตว่าพื้นเริ่มแยกและมีระดับที่แตกต่างกัน หรือมีอาการทรุดตัวเป็นแอ่งลงไปตรงกลางผืนที่จอดรถโดยมีรอยร้าวร่วมด้วยนั้น เจ้าของบ้านบางท่านอาจเริ่มกังวลว่าอาการทั้งหลายที่ว่ามานี้จะก่อให้เกิดอันตรายกับบ้านเราหรือไม่ รวมถึงควรแก้ปัญหาอย่างไร วันนี้เรามีคำตอบมาให้ครับ บริเวณที่จอดรถหน้าบ้านทรุดตัว (ขอขอบคุณภาพจาก http://baansanruk.blogspot.com) การทรุดตัวแตกร้าวของพื้นที่จอดรถ (ขอขอบคุณภาพจาก www.ถมที่ดิน.net) การร้าวทรุดของพื้นคอนกรีตบริเวณรอบบ้านนั้นเกิดจากสาเหตุที่โครงสร้างพื้นที่ใช้ในบริเวณดังกล่าวนั้น มักเป็นโครงสร้างพื้นวางบนดิน (Slab on Ground) โดยปราศจากโครงสร้างใต้ดินหรือเสาเข็มรองรับด้านล่าง แตกต่างกับโครงสร้างบ้านที่ถูกออกแบบเป็นโครงสร้างพื้นที่วางบนคาน (Slab on Beam) ซึ่งภายใต้ตัวบ้านนั้นจะมีโครงสร้างเสาเข็มรองรับ โดยเสาเข็มที่มีประสิทธิภาพควรจะมีความยาวลึกถึงชั้นดินแข็ง เพื่อรองรับน้ำหนักของตัวบ้านและป้องกันการทรุดตัวในระยะยาวนั่นเองครับ (ในกรุงเทพและปริมณฑลความยาวเสาเข็มจะอยู่ที่ประมาณ 18-21 เมตร) นั่นจึงเป็นสาเหตุว่าทำไมเราถึงมักเห็นรอยแยกและการทรุดตัวของพื้นที่เป็นรอยต่อระหว่างที่จอดรถและตัวบ้านเสมอๆ ซึ่งรอยแยกที่ว่านี้ไม่เป็นอันตรายและไม่มีผลทำให้บ้านของเราพังแต่อย่างใดครับ เพียงแต่อาจสร้างความหงุดหงิดใจและทำให้การใช้งานในบริเวณนั้นเป็นไปอย่างยากลำบากสักหน่อย เว้นเสียแต่ว่าหากบ้านของเรามีการต่อเติมหลังคาที่จอดรถบนพื้นดังกล่าว อันนี้ต้องระมัดระวังนิดนึงนะครับ เพราะถ้ามีโครงสร้างหลังคาบางส่วนที่เชื่อมต่อกับตัวบ้านและอีกส่วนวางบนพื้นคอนกรีตกรณีนี้เมื่อพื้นเกิดการทรุดตัวอาจดึงรั้งให้หลังคาที่ยึดติดกับตัวบ้านเกิดการฉีกขาดเสียหายได้  เนื่องจากตั้งอยู่บนโครงสร้างคนละชนิดกันซึ่งมีอัตราการทรุดตัวต่างกัน สำหรับวิธีแก้ปัญหาเรื่องการทรุดตัวและรอยแยกบริเวณพื้นที่จอดรถนั้น เราสามารถดำเนินการได้หลายวิธีครับ กรณีมีรอยแยกรอยร้าวที่เสียหายไม่มาก ไม่ถึงขนาดจะต้องรื้อทุบพื้น  ก็สามารถแก้ไขเฉพาะในส่วนรอยแยกของพื้นเดิมได้ครับ สำหรับรอยร้าวในช่วงรอยต่อระหว่างที่จอดรถกับตัวบ้าน ให้ตัดแยกรอยต่อระหว่างพื้นโครงสร้างที่วางบนคานและพื้นโครงสร้างที่วางบนดิน จากนั้นบริเวณรอยต่อที่ทำการตัดแยกอาจใช้วิธีโรยกรวด หรือกรณีที่รอยร้าวมีไม่มากนักอาจใช้วิธีอุดรอยต่อด้วยโฟมเส้นและยาแนวด้านบนด้วยวัสดุอุดรอยต่อ อาทิ PU หรือ ซิลิโคน โฟมเส้นที่ใช้ในการอุดรอยต่อ (ขอขอบคุณภาพจาก www.demandproducts.com และ www.cpipkg.com) ภาพตัดแสดงการใช้โฟมเส้นอุดรอยต่อ ใช้กรวดโรยเพื่อความสวยงามปกปิดช่องว่างระหว่างรอยต่อของพื้น ขอขอบคุณภาพจาก www.bloggang.com) ส่วนกรณีรอยร้าวเกิดขึ้นบริเวณกลางผืนที่จอดรถโดยมีรอยแยกบริเวณขอบรอยต่อร่วมด้วยนั้น การตัดแยกโครงสร้างอาจไม่สามารถแก้ปัญหาได้ทั้งหมด ควรทำการสกัดพื้นที่จอดรถเดิมที่มีปัญหาและทำการเทพื้นบริเวณใหม่ ซึ่งวิธีการเทพื้นใหม่นั้นควรแยกรอยต่อระหว่างโครงสร้างบ้านและพื้นที่จอดรถเช่นกัน การลงเข็มสั้นแบบปูพรมบริเวณที่จอดรถหน้าบ้าน (ขอขอบคุณภาพจาก www.thaider.com) นอกจากการเทคอนกรีตแล้ว  เจ้าของบ้านอาจเลือกใช้บล็อคปูถนนเพื่อทดแทนพื้นคอนกรีตบริเวณที่จอดรถได้ครับ วิธีนี้ทำได้สะดวกและไม่เป็นการเพิ่มภาระให้โครงสร้าง หากเกิดการทรุดตัวในอนาคตสามารถดำเนินการซ่อมแซมได้ โดยรื้อทุบพื้นคอนกรีตเดิมออก แล้วดำเนินการปรับพื้นที่ให้ได้ระดับความสูงที่ต้องการ บดอัดดินให้แน่น จากนั้นจึงลงทรายแล้วดำเนินการบดอัดให้แน่นเช่นกัน แล้วจึงติดตั้งบล็อคปูถนนตามมาตรฐานผู้ผลิต ซึ่งปัจจุบันมีให้เลือกหลากหลายสีสันทีเดียวครับ การทรุดตัวของพื้นที่วางบนดินนั้น สามารถเกิดขึ้นได้เป็นปกติครับ เนื่องมาจากสภาพดินที่มีอัตราการทรุดตัวอยู่ในทุกๆ ปี รวมถึงระยะเวลาในการถมดินก่อนสร้างบ้านก็มีผลทำให้พื้นทรุดตัวเร็วหรือช้าได้เช่นกัน หากเราทิ้งระยะเวลาการถมเพื่อปรับระดับดินก่อนการก่อสร้างเป็นระยะเวลานานๆ ก็จะทำให้อัตราการทรุดตัวต่ำลง  แต่สิ่งสำคัญที่เจ้าของบ้านพึงระวังคือ การเชื่อมต่อกันระหว่างพื้นและโครงสร้างหลังคาเข้ากับอาคารที่มีโครงสร้างต่างชนิดกันนั้น ควรทำการแยกโครงสร้างออกจากกัน โดยสิ้นเชิง ซึ่งเมื่อเกิดการทรุดตัวก็จะเป็นการทรุดแต่เพียงในแนวระนาบเท่านั้น จะไม่มีส่วนใดที่ไปดึงรั้งให้โครงสร้างบ้านเดิมเสียหาย อย่างไรก็ตาม หากต้องการใช้หลังคาที่เชื่อมโครงสร้างติดกับตัวบ้านจริงๆ แนะนำให้ใช้ข้อต่อชนิดที่แกว่งตัวได้เพื่อให้โครงสร้างมีระยะในการเคลื่อนไหวโดยอิสระครับ  หากเจ้าของบ้านมีข้อสงสัยสามารถปรึกษาสถาปนิก SCG ได้ก่อนการแก้ไขปัญหา การแยกโครงสร้างหลังคาออกจากตัวอาคารเพื่อป้องกันการดึงรั้งของโครงสร้าง หากต้องการทำโครงสร้างแบบเบาโดยให้ยึดติดกับอาคารเดิม ควรทำจุดยึดปลายจันทัน (ทั้งด้านติดอาคารและบนปลายเสาด้านนอก) ให้เป็นแบบแกว่งตัวได้ ขอขอบคุณภาพและข้อมูลจาก www.scgbuildingmaterials.com
4 ปัญหาคาใจต่อเติมครัวแล้วทรุด

4 ปัญหาคาใจต่อเติมครัวแล้วทรุด

หนึ่งในบรรดาปัญหาบ้านทรุดที่มักคาใจเจ้าของบ้านคือ หลังจากต่อเติมครัวแล้ว พอใช้งานไปสักระยะหนึ่ง ครัวส่วนต่อเติมมักจะทรุดหลุดออกมาจากตัวบ้าน... 1. ทำไมจึงทรุด ? บ้านปกติมักลงเสาเข็มยาวลึกถึงชั้นดินแข็งจึงได้รับแรงพยุง 2 ส่วนคือ “แรงเสียดทานจากดินอ่อน” และ “แรงดันจากชั้นดินแข็ง” ในขณะที่ครัวส่วนต่อเติมมักลงแค่เสาเข็มสั้น  จึงมีแรงพยุงเพียงส่วนเดียวคือแรงเสียดทานจากดินอ่อนเท่านั้น  และนี่คือเหตุผลหลักที่ทำให้ครัวส่วนต่อเติมทรุดตัวเร็วกว่าบ้าน 2. ทรุด ร้าว รั่ว การต่อเติมครัวหรือส่วนต่อเติมใดๆ นอกจากจะต้องแยกโครงสร้างออกจากตัวบ้านแล้วควรจบงานรอยต่อพื้นและผนังให้ถูกต้องด้วยข้อผิดพลาดที่พบบ่อยคือ ช่างมักก่อผนังหรือหล่อพื้นชนเชื่อมติดกับบ้านเดิม ต่อมาเมื่อพื้นดินทรุดตัวลงจากน้ำหนักกดทับของส่วนต่อเติม (อาจรวมถึงปัจจัยอื่น เช่น พื้นดินถมไว้ไม่นานพอ หรือเคยเป็นบ่อบึงมาก่อน เป็นต้น) ส่วนต่อเติมก็จะทรุดตามพื้นดินจนเกิดการฉีกขาดแตกร้าวบริเวณรอยต่อ ทำให้น้ำรั่วซึมเข้ามาได้ง่าย วิธีที่ถูกต้องคือให้ใช้โฟมคั่นระหว่างรอยต่อดังกล่าว (ทั้งพื้นและผนัง) ก่อนจะยาแนวด้วย PU หรือ Silicone นอกจากนี้ เพื่อให้การทรุดตัวเป็นไปอย่างช้าๆ อาจเลือกใช้วัสดุกับเฟอร์นิเจอร์ที่มีน้ำหนักเบา รวมถึงกระจายน้ำหนักเฉลี่ยหลายด้านเพื่อหลีกเลี่ยงการทรุดตัวแบบเอียง 3. ทรุดแบบเอียงๆ ! หากนำโครงสร้างของครัวส่วนต่อเติมไปฝากไว้กับบ้านเดิม ฝั่งด้านนอกซึ่งลงเสาเข็มสั้นจะทรุดตัวก่อน ในขณะที่ฝั่งด้านในซึ่งยึดกับโครงสร้างบ้านเดิมแม้จะยังไม่ทรุดในช่วงแรก แต่ในภายหลังก็จะฉีกขาดออกมาในที่สุด กลายเป็นการทรุดตัวแบบเอียงซึ่งอันตรายในแง่โครงสร้าง และนับเป็นปัญหาที่แก้ไขได้ยากมาก 4. ทำอย่างไรไม่ให้ทรุด ? บ้านทรุดหรือส่วนต่อเติมทรุดนั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตามปกติ เพราะสิ่งก่อสร้างย่อมมีการทรุดตัวเป็นธรรมดา แต่การทรุดตัวจะเกิดขึ้นน้อยมากหรือแทบไม่ทรุดเลย หากลงเสาเข็มยาวถึงชั้นดินแข็ง สำหรับกรณีมีพื้นที่จำกัด อาจลงทุนเลือกใช้เสาเข็มแบบ Micro Pile เพื่อความสะดวกในการก่อสร้าง และความแข็งแรงมั่นคงของส่วนต่อเติม   ขอขอบคุณข้อมูลจาก  www.scgbuildingmaterials.com
10 ต้นไม้มงคล ควรปลูกไว้ในบ้าน

10 ต้นไม้มงคล ควรปลูกไว้ในบ้าน

วันนี้เรามีต้นไม้มงคลที่ควรปลูกไว้ในบ้านมาฝากครับ จริงๆ แล้วต้นไม้มงคลมีด้วยกันหลากหลายชนิด แต่วันนี้เราจะหยิบยกมา 10 ชนิดก่อนนะครับ 1. ต้นโป๊ยเซียน ปลูกต้นโป๊ยเซียน : คนโบราณชื่อว่าบ้านไหนปลูกต้นโป๊ยเซียนภายในบริเวณบ้าน ต้นไม้ชนิดนี้จะช่วยนำโชคลาภมาให้สมาชิกในบ้านด้วย และยังเชื่อว่าสามารถปกป้องคุ้มครองผู้เป็นเจ้าของ ตลอดจนครอบครัวให้มีความสุข เพราะต้นโป๊ยเซียนนั้นเป็นตัวแทนของเทพเจ้าทั้ง 8 องค์ จะคอยปกป้องคุ้มครองให้เราอยู่อย่างสงบสุขและมีความเจริญรุ่งเรือง 2. ต้นบานไม่รู้โรย ปลูกต้นบานไม่รู้โรย : เป็นต้นไม้มงคลนาม จะช่วยเสริมดวงในเรื่องความรัก ความผูกพันของคู่สามีภรรยา ปลูกบานไม่รู้โรยไว้ในบ้านหรือตามแนวรั้วจะให้มงคลในด้านความมั่นคงยั่งยืนในความรัก ปราศจากความโรยราผันแปรตลอดไป 3. ต้นเข็ม ปลูกต้นเข็ม : การปลูกต้นเข็มไว้ในบ้านที่คนโบราณเขาก็เชื่อว่า จะทำให้สมาชิกในบ้านมีความฉลาดหลักแหลมเหมือนกับดอกเข็ม และยังช่วยให้มีปฏิภาณไหวพริบเอาตัวรอดได้ด้วย หรือหากบ้านใดมีเด็กที่กำลังอยู่ในวัยศึกษาเล่าเรียน ดอกเข็มก็กระตุ้นให้เด็กๆ สนใจใฝ่หาความรู้มาเติมเต็มให้ตัวเองอยู่เสมอ 4. ต้นโกสน ปลูกต้นโกสน : บ้านใดปลูกต้นโกสนไว้ประจำบ้าน จะทำให้มีบุญบารมี และยังมีความเชื่ออีกว่าสามารถช่วยคุ้มครองให้มีความอยู่เย็นเป็นสุข เพราะคนโบราณเชื่อว่าต้นโกสนเป็นต้นไม้เก่าแก่ ที่ปลูกคู่บ้านคู่เมืองโดยสมัยรัชกาลที่ 5 ทรงนำเข้ามาปลูกไว้ในพระราชวังบ้านขุนนางวัดหลวง เพื่อให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุขตลอดมา 5. ต้นวาสนา ปลูกต้นวาสนา : ปลูกต้นวาสนาในบ้านจะทำให้เกิดความสุข สมหวังในชีวิต และเชื่อว่าบ้านใดที่ปลูกต้นวาสนาอธิษฐานจะทำให้มีโชควาสนา เนื่องจากเป็นไม้เสี่ยงทาย ยิ่งถ้าต้นวาสนาออกดอก จะช่วยให้คนในครอบครัวนั้นได้รับโชคลาภ 6. ต้นกล้วย ปลูกต้นกล้วย : คนโบราณส่วนใหญ่เขาจะมีความเชื่อว่า การปลูกต้นกล้วยไว้ทางทิศตะวันออกของบ้านจะช่วยให้การทำงานราบรื่น คิดสิ่งใดทำสิ่งใดก็ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปากนั่นไง 7. ต้นโมก ปลูกต้นโมก : ปลูกต้นโมกให้เป็นรัวบ้าน หรือภายในบริเวณบ้าน จะช่วยให้ผู้ที่อยู่อาศัยในบ้านหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง จะนำเอาความสุขกายสบายใจ ความปลอดภัยมาให้สมาชิกในบ้าน 8. ต้นกระดังงา ปลูกต้นกระดังงา : การปลูกต้นไม้ชนิดนี้ไว้ในบ้านจะช่วยให้สมาชิกในบ้าน มีชื่อเสียงโด่งดัง และมีลาภยศสรรเสริญ เป็นที่นับหน้าถือตา ยังมีความเชื่ออีกว่ายังช่วยเสริมมงคลในทางเสน่ห์ จะเสริมให้คุณ มีเสน่ห์เป็นที่รักใคร่ของคนทั่วไป 9. ต้นมะยม ปลูกต้นมะยม : จะทำให้มีผู้คนนิยมชมชอบ เป็นที่ยกย่องยอมรับ ของคนทั่วไป ไม่มีผู้ใดมาคิดชิงชังเป็นศัตรู 10. ต้นขนุน ปลูกต้นขนุน : การปลูกต้นขนุนในบริเวณบ้านจะทำให้ผู้ที่อาศัยในบ้านมีคนเกื้อหนุน มีบุญบารมี เงินทอง จะมีคนอุดหนุนจุนเจือ   ขอขอบคุณข้อมูลจาก khomesmilesclub.askkbank.com
เปิด 3 มาตรการล่อใจคนซื้อบ้าน ลดค่าโอน – จำนอง เคลมภาษีได้

เปิด 3 มาตรการล่อใจคนซื้อบ้าน ลดค่าโอน – จำนอง เคลมภาษีได้

ส่องมาตรการรัฐ อุ้มอสังหาฯ หวังกระตุ้นเศรษฐกิจ อัดฉีดเงินหมื่นล้าน ผ่อนปรนเงื่อนไขกู้ซื้อบ้าน ช่วยคนมีรายได้ปานกลาง ซื้อบ้านได้ง่ายขึ้น ในสภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัวอย่างหนัก ส่งผลกระทบไปถึงตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ซบเซาตามไปด้วย เนื่องจากธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งเข้มงวดมากขึ้นที่จะปล่อยสินเชื่อบ้าน ทำให้ผู้ที่ต้องการจะซื้อบ้าน กู้ไม่ผ่านกันมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลจึงต้องหาทางกระตุ้นเศรษฐกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ด้วยการผ่อนปรนเงื่อนไขการขอกู้ซื้อบ้าน เพื่อให้ประชาชนสามารถกู้ซื้อบ้านได้ง่ายขึ้น นั่นจึงเป็นที่มาของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันอังคารที่ 13 ตุลาคม 2558 ที่ออก 3 มาตรการเด็ด เพื่ออุ้มภาคอสังหาริมทรัพย์ให้อยู่รอด ดังนี้ 1. เพิ่มวงเงินกู้ซื้อบ้านพร้อมอัตราดอกเบี้ยพิเศษ รัฐบาลได้อนุมัติวงเงินเบื้องต้น 10,000 ล้านบาท เพื่อให้ผู้ที่ถูกปฏิเสธการขอกู้ซื้อบ้านจากธนาคารพาณิชย์ สามารถขอกู้กับธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ได้ ซึ่งภายหลัง ธอส. ก็รับลูก ด้วยการออกมาตรการผ่อนปรนเงื่อนไขการขอสินเชื่อบ้านให้ผู้ที่มีรายได้น้อย-ปานกลางมากขึ้น โดยพิจารณาสัดส่วนความสามารถชำระหนี้ต่อรายได้เพิ่มขึ้น จากเดิมอยู่ที่ 33% เป็น 40-50% ของรายได้สุทธิต่อเดือน นั่นจึงทำให้ผู้ที่มีรายได้ไม่ถึง 30,000 บาทต่อเดือน สามารถกู้ซื้อบ้านราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทได้ (จากเดิมกู้ซื้อบ้านได้เพียงราคาไม่เกิน 1.8 ล้านบาท) เปรียบเทียบวงเงินกู้สินเชื่อบ้านธนาคารอาคารสงเคราะห์ รายได้สุทธิ 10,000 บาทต่อเดือน เดิมกู้ได้ 600,000 บาท ปรับเป็น 1,000,000 บาท รายได้สุทธิ 20,000 บาทต่อเดือน เดิมกู้ได้ 1,200,000 บาท ปรับเป็น 2,000,000 บาท รายได้สุทธิ 30,000 บาทต่อเดือน เดิมกู้ได้ 1,800,000 บาท ปรับเป็น 3,000,000 บาท โดยคิดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านดังนี้ ปีแรก ดอกเบี้ย 3.50% ต่อปี ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 4.25% ต่อปี ปีที่ 3 จนถึงครบสัญญา แบ่งเป็น 2 ประเภทคือ ลูกค้าสวัสดิการ ดอกเบี้ยอยู่ที่ MRR -1.00% ต่อปี และลูกค้ารายย่อยทั่วไป ดอกเบี้ยอยู่ที่ MRR -0.75% ต่อปี ซึ่งถือเป็นอัตราดอกเบี้ยต่ำที่สุด และเมื่อคำนวณออกเป็นงวดผ่อนต่อเดือน ตามวงเงินกู้และรายได้สุทธิแล้ว จะได้ค่างวดผ่อนดังนี้ 2. ลดค่าธรรมเนียมการโอนและจำนองเป็นเวลา 6 เดือน สำหรับมาตรการนี้จะเป็นการลดการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนการโอน จาก 2% ของราคาประเมินทุนทรัพย์ในกรณีการโอน เหลือ 0.01% รวมทั้งลดค่าจดทะเบียนการจำนองอสังหาริมทรัพย์และห้องชุด จากเดิม 1% เหลือ 0.01% ของมูลค่าที่จำนอง แต่ไม่เกิน 200,000 บาท ซึ่งจะมีผลเพียงแค่ 6 เดือน คือถึงวันที่ 30 เมษายน 2559 3. ซื้อบ้านราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท สามารถหักลดหย่อนภาษีได้ สำหรับผู้ที่ซื้ออสังหาริมทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นอาคารพร้อมที่ดิน หรือห้องชุดในอาคารชุด ในราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท สามารถนำเอา 20% ของราคาบ้าน ไปหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้เป็นเวลา 5 ปี โดยมีเงื่อนไขการหักลดหย่อนภาษีคือ ต้องเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่มีมูลค่าไม่เกิน 3 ล้านบาท ต้องเป็นการซื้อครั้งแรก (ไม่เคยถือสิทธิ์ในอสังหาฯ อื่นมาก่อน) เป็นการซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง ถือกรรมสิทธิ์ในอสังหาฯ นั้น เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปีนับตั้งแต่วันโอน ต้องจ่ายค่าซื้อและโอนกรรมสิทธิ์ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2559 เท่านั้น ต้องใช้สิทธิ์ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาต่อเนื่องกัน 5 ปีภาษี นับตั้งแต่ปีภาษีที่มีการจดทะเบียนการโอนกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์โดยให้แบ่งใช้สิทธิเป็นจํานวนเท่า ๆ กันในแต่ละปีภาษี ทั้งนี้หากนำมาเฉลี่ยคิดเป็นรายปีของมูลค่าบ้านไม่เกิน 3 ล้านบาท จะลดหย่อนได้ถึง 6 แสนบาท หรือปีละ 120,000 บาท เท่ากับผ่อนบ้านราคา 3 ล้านบาท ในราคา 2,400,000 บาทเท่านั้น และถ้ารวมกับมาตรการลดหย่อนภาษีจากภาระดอกเบี้ยเงินกู้บ้านที่ปัจจุบันได้ปีละไม่เกิน 1 แสนบาทอยู่แล้ว ก็เท่ากับได้สิทธิประโยชน์เป็น 2 เท่าจากการลดหย่อนครั้งใหม่นี้เข้าไปด้วย นอกจาก 3 มาตรการที่ใช้กระตุ้นอสังหาฯ ที่กล่าวมาข้างต้น กระทรวงการคลังก็ยังมีมาตรการเพิ่มเติมอีกด้วยการให้ธนาคารออมสินพิจารณาปล่อยกู้ให้กับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายย่อย เพื่อเป็นการส่งเสริมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ให้กลับมาขยายตัวได้ เพราะเชื่อว่า หากตลาดอสังหาริมทรัพย์สามารถขยายตัวได้มากขึ้น ก็จะช่วยฉุดภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาให้กลับมาคึกคักได้ การอัดฉีดเงินเข้าระบบกว่าหมื่นล้านด้วยมาตรการต่าง ๆ นั้น ย่อมส่งเเรงกระเพื่อมไปถึงภาคเอกชน ธนาคารพาณิชย์ และผู้ประกอบการรายอื่น ๆ ที่จะออกมารับลูก ทำโปรโมชั่นเพื่อแข่งขัน ล่อใจลูกค้า หวังให้ตัวเองได้ส่วนแบ่งของตลาดอสังหาฯ ตามไปด้วย ทำให้ผู้ที่ได้ประโยชน์ไปเต็ม ๆ คือประชาชนที่มีรายได้น้อย มีโอกาสกู้บ้านผ่านมากขึ้นและสมหวังกับการมีบ้านเป็นของตัวเองได้  แต่คงต้องติดตามดูอย่างใกล้ชิดว่า หากมีปัจจัยทางเศรษฐกิจอื่นที่ไม่สามารถทำให้ประชาชนมีกำลังซื้อ หรือผ่อนชำระบ้านที่ซื้อไปได้ มาตรการดังกล่าวจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริงอยู่หรือไม่ หรือจะยิ่งทำให้รัฐขาดทุนเพิ่มมากขึ้น และกลายเป็นการเพิ่มหนี้ครัวเรือน เพิ่มภาระให้กับประชาชนแทน   ขอขอบคุณข้อมูลจาก  money.kapook.com
ไอเดียแต่งบ้าน ด้วยฉากกั้นห้อง ผนังไม่ต้องก็ได้

ไอเดียแต่งบ้าน ด้วยฉากกั้นห้อง ผนังไม่ต้องก็ได้

ปกติแล้ว เรามักคิดถึงกำแพง หรือผนังห้องเป็นสิ่งแรกในการแบ่งพื้นที่ห้อง พื้นที่ว่าง หรืออาณาเขตใช้สอย ที่แตกต่างกันในการตกแต่งบ้านเพื่อความเป็นส่วนตัว แต่บางครั้งก็ไม่จำเป็นเสมอไปค่ะ แม้กำแพงจะให้ความรู้สึกมั่นคงและแบ่งแยกพื้นที่ได้อย่างชัดเจน แต่สิ่งนี้แลกมาด้วยต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ที่สำคัญคือปรับเปลี่ยนยาก เหนือสิ่งอื่นใดคือความรู้สึกคับแคบมากเกินจำเป็นหากใช้กำแพงมากเกินไป เพราะเหตุนี้เราอาจต้องพิจารณาสิ่งอื่นๆ ทดแทนกำแพงอันใหญ่โตเทอะทะน่าอึดอัด นั่นคือฉากกั้นห้อง ผ้าม่าน ชั้นวางของ ฯลฯ ตู้หนังสือหรือชั้นวางของน่าจะเป็นตัวเลือกแรกๆที่หลายคนนึกถึง อาจเป็นชั้นไม้เบาๆที่ใช้วางแจกันหรือของประดับอื่นๆด้วย บางครั้งคุณอาจใช้โต๊ะเตี้ยตั้งไว้ระหว่างพื้นที่โดยไม่ต้องให้ยาวจากผนังจรดผนังแต่ให้เว้นช่องว่างไว้ทั้งสองฝั่งเพื่อความโปร่งแล้วกั้นฉากเบาขึ้นมา เพื่อประดับงานศิลปะสำหรับกั้นสายตาก็เพียงพอค่ะ กรอบหน้าต่าง ประตูขนาดใหญ่ ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่นำมาติดตั้งได้ไม่ยาก นอกนั้นแล้วก็เป็นงานระแนงไม้ โครงเหล็กเบาๆ หรือกระจกสี สิ่งเหล่านี้สร้างขอบเขตเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ยังมองเห็นกันได้ในขณะที่ไม่เสียความเป็นส่วนตัวไป บังตาก็เป็นตัวกั้นพื้นที่ซึ่งราคาถูกเคลื่อนย้ายปรับเปลี่ยนง่ายในทุกสถานการณ์ ขอขอบคุณภาพและข้อมูลจาก  www.forfur.com
22 ไอเดียแต่งห้องนอนโทนสีเบจ เติมเต็มความอบอุ่น

22 ไอเดียแต่งห้องนอนโทนสีเบจ เติมเต็มความอบอุ่น

สิ่งที่เราคาดหวังจากห้องนอน ก็คือบรรยากาศของการพักผ่อน ที่จะช่วยให้เรารู้สึกผ่อนคลาย และ สามารถเติมพลังชีวิตได้อย่างเต็มที่ หนึ่งปัจจัยที่ส่งผลต่อบรรยากาศของห้องนอนก็คือ การเลือกโทนสีตกแต่งภายใน เพราะสีนั้นมีอิทธิพลกับอารมณ์และความรู้สึกของมนุษย์ หากเลือกโทนสีที่ไม่ใช่สำหรับเรา ก็อาจจะทำให้ความสุขหายไปเลยก็เป็นได้ หากใครกำลังมองหาไอเดียแต่งห้องนอนอยู่ล่ะก็ ลองมาชมไอเดียที่เรานำมาฝากกันคราวนี้ครับ โดยจะเป็น ไอเดียแต่งห้องนอนโทนสีเบจ ซึ่งเป็นโทนสีที่ช่วยสร้างบรรยากาศอบอุ่น เหมาะสำหรับการแต่งบ้านในสไตล์มินิมอล วินเทจ หรือ เรโทร มองดูแล้วเพลินตามากๆเลยล่ะครับ ขอขอบคุณภาพและข้อมูลจาก  www.naibann.com
แบบบ้านสองชั้นดีไซน์สวย พร้อมสวนสไตล์โมเดิร์น

แบบบ้านสองชั้นดีไซน์สวย พร้อมสวนสไตล์โมเดิร์น

ในทุกๆเรื่อง หากจัดสรรทุกสิ่งทุกอย่างให้เข้ากับตัวเอง เหมาะสมกับสถานะของตัวเอง จะทำให้ชีวิตง่ายขึ้นเยอะ ในที่นี้หมายถึงสิ่งที่สามารถจัดสรรได้นะคะ อย่างเช่น บ้านของตัวเราเอง ก่อนที่จะสร้างหรือตกแต่ง เจ้าของบ้านย่อมรู้สถานะของตนเอง ว่าชอบหรือไม่ชอบแบบไหน ห้องไหนที่ใช้มากที่สุด แค่ไหนถึงจะพอดีกับครอบครัว เมื่อตอบโจทย์ได้ทีละข้อ การสร้างบ้านให้เข้ากับตัวเองจะเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น สวนก็เช่นเดียวกัน ก่อนที่จะจัดสวน นอกจากอยากได้ความสดชื่นสวยงามแล้ว ต้องถามตัวเองก่อนด้วยว่า สามารถดูแลสวนได้แค่ไหน การจัดสวนเท่าที่สามารถดูแลไหว จะทำให้เราไม่เหนื่อยและไม่เป็นกังวลกับมัน ได้รับความผ่อนคลายอย่างเต็มที่     บ้านสองชั้นออกแบบสวย เข้ากับยุคปัจจุบัน สร้างอยู่บนที่ดิน 250 ตารางวา บริเวณบ้านรอบบ้านจึงสร้างความปลอดโปร่งให้กับผู้อยู่อาศัย ตัวบ้านปูนทาสีขาว มีพื้นที่ใช้สอยถึง 650 ตารางเมตร 4 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ  ประตู หน้าต่าง ผนังกระจก ทำหน้าที่รับแสงจากภายนอก และสะท้อนแสงสว่างจากภายในได้เป็นอย่างดี ในเวลาที่เปิดไฟในบ้านจึงเพิ่มความงดงามขึ้นได้มาก การตกแต่งภายในสไตล์โมเดิร์น สะดวกสบายและโล่งสบาย สวนของบ้านเน้นการตกแต่งที่เรียบง่าย ปลูกต้นไม้ตามริมกำแพงพอให้ความสดชื่นสบายตา และเมื่อโตขึ้นจะให้ร่มเงาได้เป็นอย่างดี พื้นสนามหญ้าสีเขียวตัดแต่งเรียบร้อยทั้งด้านหน้าและด้านข้าง สวนด้านข้างแบ่งเป็นสี่เหลี่ยมสามชั้น ชั้นนอกสุด โรยหินแซมด้วยไม้พุ่มเตี้ยเล็กๆในบางจุด ชั้นที่สองเป็นหญ้าสีเขียวนุ่มสบายเท้า ส่วนชั้นในสุดตรงกลางปูต้นไม้หนึ่งต้นโรยด้วยหิน สวนแบบเรียบง่ายแลดูมีมิติ และสร้างความผ่อนคลายให้กับผู้อยู่อาศัยได้ในทุกๆวัน   ขอขอบคุณภาพและข้อมูลจาก  www.banidea.com
วิธีการกำจัดตะขาบ และวิธีไล่ตะขาบ ออกจากบ้านสุดง่าย ได้ผลดีมาก!!

วิธีการกำจัดตะขาบ และวิธีไล่ตะขาบ ออกจากบ้านสุดง่าย ได้ผลดีมาก!!

บ้านของเรา คือสถานที่ที่ปลอดภัย อยู่แล้วอบอุ่น เป็นที่พักพิงที่แสนสุขใจ แต่เมื่อมีแขกไม่ได้รับเชิญ แอบเข้ามาอาศัยอยู่ในบ้านของเราหล่ะ!! แน่นอนว่าเราก็ต้องมีการไล่กันบ้างหล่ะ วันนี้เราจะมาแนะนำวิธีกำจัดตะขาบกันค่ะ เจ้าสัตว์หลายขามีพิษชนิดนี้ มักจะเข้ามาหลบอยู่ตามพื้นบ้านของเรา ยิ่งในห้องน้ำด้วยแล้วจะเจอบ่อยมากๆ บางทีเอาไม่ทันได้ดู เผลอไปเหยียบเข้าแล้วหล่ะก็ จะต้องได้เข้าโรงพยาบาลกันให้วุ่น เมื่อเราเจอตะขาบในบ้าน เราจะมี วิธีไล่ตะขาบ อย่างไร ถึงจะปลอดภัยและได้ผล เรามีหลายวิธีเตรียมไว้มอบให้คุณได้นำไปใช้กันแล้ว เพื่อสร้างความปลอดภัยต่อชีวิตของคนในครอบครัวมากยิ่งขึ้น   ในช่วงฤดูฝนของทุกปี สัตว์มีพิษหรือแมลงต่างๆ มักจะหนีน้ำเข้ามาหลบอยู่ในบ้านของเรา แต่นั่นแหล่ะที่ทำให้เจ้าของบ้านอย่างเราเดือดร้อน ต้องมาคอยระแวงระวังว่าจะถูกสัตว์มีพิษทำร้ายถึงในบ้าน ยิ่งบ้านใครที่อยู่ใกล้ป่าด้วยแล้ว ควรใส่ใจเป็นพิเศษ เพราะต้องเฝ้าระวังไล่งูที่มักจะเข้ามาในบ้านของเรา ส่วนตะขาบนั้นก็อันตรายไม่แพ้งูเลยนะ เพราะเป็นสัตว์มีพิษเหมือนกัน และยังสร้างความน่าขนลุกให้เราเป็นอย่างมาก ที่บ้านแอดมินเคยเจอตะขาบตัวสีดำเหมือนในรูปเลยหล่ะ มันวิ่งเร็วมาก กลัวมันวิ่งมาไต่ขึ้นขาของเรามากๆ ฉะนั้นเราต้องมี วิธีกำจัดตะขาบที่ใช้แล้วได้ผลเตรียมไว้บ้างหล่ะ เจอตะขาบเมื่อไหร่เราจะได้จัดการได้ทันที   รวมวิธีกำจัดตะขาบที่หลากหลายสำหรับคุณ ใช้ผงกำจัดปลวกก็กำจัดตะขาบได้เช่นกัน ให้คุณไปหาซื้อผงกำจัดปลวกยี่ห้อใดก็ได้ เอามาโรยรอบๆ ตัวบ้าน หรือบริเวณข้างรั้วบ้านของคุณ ซากตะขาบที่โดนฤทธิ์ของผงกำจัดปลวกก็จะนอนกองเต็มพื้นเลยหล่ะ คุณก็แค่เก็บกวาดเอาไปทิ้งเท่านั้นเอง แต่การใช้ตัวยาต้องระวังหากที่บ้านมีเด็กเล็ก หรือสัตว์เลี้ยงด้วยนะคะ อาจจะได้รับอันตรายจากสารพิษได้ ใช้โซดาไฟกำจัดตะขาบ บ่อยครั้งที่เรามักจะพบว่าตะขาบได้ขึ้นมาจากท่อระบายน้ำบริเวณบ้าน หรือในห้องน้ำ ให้เราจัดการด้วยโซดาไฟ โดยให้เอาโซดาไฟมาผสมกับน้ำ ราดลงไปตามท่อระบายน้ำที่บ้านของคุณได้เลย ฤทธิ์กัดกร่อน และความร้อนสูงของโซดาไฟ จะช่วยให้แมลงต่างๆ ไม่เข้ามาใกล้เลยหล่ะ เห็นมั๊ยว่านอกจากโซดาไฟจะใช้แก้ปัญหาท่อตันได้แล้ว ยังใช้ไล่ตะขาบได้อีกด้วย กำจัดตะขาบ ด้วยสารกำจัดแมลง Stargle G สารกำจัดแมลงชนิดนี้ค่อนข้างปลอดภัย เกษตรกรต่างประเทศนิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยจะใช้โดยตามโคนต้นผลไม้ต่างๆ เพื่อป้องกันและกำจัดแมลง ถ้าเราเอามาโรยบริเวณรอบๆ บ้าน จะช่วยกำจัดตะขาบ และแมลงอีกหลายๆ ชนิดได้อย่างหมดจด และค่อนข้างได้ผล Stargle G สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายอุปกรณ์และเคมีทางการเกษตรทั่วไป ซื้อ Tick Tox Powder มาโรยกำจัดตะขาบ Tick Tox Powder เป็นผลิตภัณฑ์กำจัดเห็บหมัด ให้กับสุนัข แมว กระต่าย หรือหนูที่เราเลี้ยง แต่เราสามารถนำมาใช้ในการกำจัดตะขาบได้อีกด้วยนะคะ โดยให้คุณเอามาโรยรอบๆ ตัวบ้านของเราได้เลย ช่วยกำจัดตะขาบได้ทั้งตัวเล็ก และตัวโตเลยหล่ะ ลักษณะเป็นขวดพลาสติกสีขาวฝาเขียว ขวดละประมาณ 35 บาทเองค่ะ ใช้ยากำจัดตะขาบของ DAISO ที่ร้าน DAISO จะมียากำจัดตะขาบขายอยู่ เป็นซองสีเขียวมีรูปตะขาบน่ารักๆ ติดอยู่ ราคาไม่แพงแน่นอน  มีลักษณะเป็นก้อนๆ เมื่อได้มาแล้วให้เอาไปวางไว้ตามจุดที่พบตะขาบบ่อยๆ ตามพุ่มไว้เล็กๆ ใกล้ตัวบ้าน แถวท่อระบายน้ำ กระถางต้นไม้  ควรเอาวางไว้ให้ห่างจากอาหาร และควรให้เด็ก หรือสัตว์เลี้ยงอยู่ห่างจากยากำจัดตะขาบเพื่อความปลอดภัย โรยพื้นดินด้วยปูนขาว เอาปูนขาวมาโรยไว้ตามพื้นดินที่มีความชื้น เพราะตะขาบ กิ้งกือ มักจะมาอาศัยอยู่บริเวณนั้น ที่บ้านแอดมินก็เป็นแบบนี้เช่นกัน ตะขาบมักจะซ่อนตัวอยู่ในดินอ่อนๆ ที่มีความชื้น หรือตามกองใบไม้ที่ทับถม ให้คุณเอาปูนขาวมาโรยให้ทั่ว แล้วประชากรตะขาบจะลดลง บางส่วนก็จะอพยพหนีไปอยู่ที่อื่น พ่นด้วยน้ำส้มควันไม้ช่วยไล่ตะขาบ ไปซื้อน้ำส้มควันไม้ที่ร้านจำหน่ายอุปกรณ์ทางการเกษตร นำมาผสมน้ำตามอัตราส่วน แล้วเอาไปพ่นบริเวณข้างรั้วบ้าน หรือตามขอบฟุตบาทของบ้าน เพื่อไล่ตะขาบออกไป แต่อย่าให้กระเด็นโดนตัวนะ เพราะน้ำส้มควันไม้ค่อนข้างมีความเป็นกรดสูง กำจักตะขาบโดยเศษสบู่วางไว้ที่ท่อระบายน้ำ เศษสบู่ก้อนเล็กๆ อย่าเพิ่งทิ้ง ให้เอาไปแปะไว้ตรงขอบของท่อระบายน้ำในห้องน้ำ หรือหากมีตะแกรงปิดฝาท่อ ให้เอาสบู่แปะไว้ได้เลย แต่อย่าลืมเว้นช่องให้น้ำไหลลงไปได้ด้วยหล่ะ เมื่อตะขาบหรือแมลงที่จะขึ้นมาตามท่อน้ำ ได้มาเจอฤทธิ์ของสบู่ ก็จะไม่กล้าเข้ามาใกล้เลยหล่ะ วิธีกำจัดตะขาบ แบบธรรมชาติ เลี้ยงไก่ให้ช่วยกำจัดตะขาบ คุณเคยเป็นไก่ชอบคุ้ยเขี่ยตามพื้นดินที่หาแมลงกินมั๊ยค่ะ นั่นแหล่ะคือสิ่งที่เราจะทำ โดยเลี้ยงไก่ไว้ที่บ้าน อาจจะเป็นไก่แก้ตัวเล็กๆ ก็ได้ค่ะ เอาไว้ประดับสวนที่บ้านด้วย ไก่จะจัดการกับตะขาบทันทีเมื่อพบเจอ แต่ต้องระวังหากคุณปลูกต้นกล้า หรือผักต่างๆ ไว้ที่บ้าน เพราะไก่จะไปคุ้ยกินจนพืชผักเสียหาย ทำความสะอาดบริเวณบ้าน วันหยุดควรจะสละเวลาทำความสะอาดพื้นที่บริเวณบ้านกันหน่อย หญ้าที่ขึ้นสูงก็ตัดให้สั้นลง ใบไม้ที่ทับถมก็ทำการกำจัดโดยการเผา หรือนำไปบดทำปุ๋ยหมัก อิฐบล็อค หรือแผ่นกระเบื้องที่วางไว้ตามพื้นให้เก็บไว้อย่างเรียบร้อย กองไม้ กองหนังสือต่างๆ ควรเก็บไว้ที่สถานที่ ที่มีแสงแดดลอดถึง เพราะตะขาบ แมงป่อง หรือสัตว์มีพิษต่างๆ มักไม่ค่อยชอบแสงแดดเท่าไหร่นัก   ถ้าที่บ้านของคุณก็มีตะขาบเยอะเหมือนกัน อย่านิ่งนอนใจ เพราะเป็นอันตรายต่อคนในบ้านเป็นอย่างมาก ลองเลือกเอา วิธีกำจัดตะขาบ ตามแบบที่คุณสะดวกแล้วนำไปใช้กันได้เลยนะคะ ขอให้ปลอดภัยกันทุกบ้าน ปลอดตะขาบกันทุกครอบครัวจ้า รู้จักอันตรายของตะขาบ ตะขาบ บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง กำจัดปลวก ด้วยวิธีธรรมชาติ วิธีกำจัดมด ด้วยของใกล้ตัว วิธีไล่หนูบนเพดานบ้าน
10 บ้านชั้นเดียวหลังเล็ก ๆ สวยสงบแบบสมถะ

10 บ้านชั้นเดียวหลังเล็ก ๆ สวยสงบแบบสมถะ

แบบบ้านชั้นเดียวหลังเล็ก ๆ ตั้งอยู่กลางธรรมชาติ แต่ละหลังโดดเด่นไปด้วยความเรียบง่ายแต่ดูอบอุ่น สำหรับคนอยากใช้ชีวิตสมถะ อยากมีบ้านหลังเล็ก ๆ สักหลังอยู่บนที่ดินผืนเล็ก แต่ยังคิดไอเดียไม่ออกว่าสร้างบ้านแบบไหนดี วันนี้เรามีไอเดีย แบบบ้านชั้นเดียวหลังเล็ก ๆ ที่เว็บไซต์ housebeautiful.com รวบรวมเอาไว้มาให้ชมกัน แม้จะมีพื้นที่ไม่มากนัก แต่การออกแบบและการตกแต่งก็โดนใจคนงบน้อยไปแบบเต็ม ๆ ใครว่าบ้านเล็กจะสวยไม่ได้คงต้องคิดใหม่แล้วล่ะ   1. บ้านทรงตู้คอนเทนเนอร์ สร้างจากไม้รีไซเคิล บ้านหลังเล็กขนาด 15 ตารางเมตร เป็นบ้านที่สร้างขึ้นสำหรับพักอาศัยของ เมซีย์ มิลเลอร์ นักออกแบบวัย 27 ปี กับเจมส์ คนรักของเธอ และลูกสาวชื่อ ฮาเซล พร้อมด้วย เดนเวอร์ สุนัขเกรทเดน อีก 1 ตัว ซึ่ง เมซีย์ เป็นคนออกแบบบ้านหลังนี้ด้วยตัวเอง และได้รับความช่วยเหลือจากครอบครัวและเพื่อน ๆ ที่ช่วยกันทำให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา บนฐานโครงเหล็กความยาวประมาณ 7.3 เมตร ส่วนหลังคากับผนังก็ทำมาจากไม้พาเลทรีไซเคิล พร้อมทั้งซ่อนตู้เก็บของไว้ใต้ที่นอน และชั้นวางแบบลอยตัว เพื่อทำให้พื้นที่ดูกว้างขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้ก็ใช้เงินไปประมาณ 11,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3.6 แสนบาท 2. บ้านไม้สไตล์คอจเทจบรรยากาศสงบ สำหรับบ้านไม้หลังเล็ก ๆ สไตล์คอจเทจหลังนี้ มีพื้นที่ใช้สอย 36 ตารางเมตร ที่ดูเหมือนเคบินตากอากาศในวันที่ต้องการความสงบ โดยเฉพาะหน้าต่างขนาดใหญ่ที่ทำให้บรรยากาศข้างในดูปลอดโปร่ง ส่วนห้องนอนและห้องน้ำก็เป็นส่วนตัวมาก ๆ และเมื่อเปิดประตูบานใหญ่ออกมา ก็ยังช่วยขยายห้องนั่งเล่นกับห้องกินข้าวให้กว้างขวางกว่าที่เป็นด้วย 3. บ้านจิ๋วทรงสามเหลี่ยม เปิดด้านข้างให้กว้างขึ้นได้ ความน่าสนใจของบ้านหลังนี้ไม่ได้หยุดอยู่แค่รูปลักษณ์ภายนอก ซึ่งใช้เงินในการก่อสร้างเพียง 1,200 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 39,000 บาทเท่านั้น แต่วัสดุที่นำมาใช้ก็มีน้ำหนักเบาทำให้สามารถยกพื้นและขยายพื้นที่จาก 7 เป็น 10 ตารางเมตรได้สบาย ๆ ในขณะที่ภายในก็มีเตียงนอน ตู้เก็บของ ห้องครัว อ่างล้างจาน และตู้เย็นให้ครบ ในขณะที่ด้านข้างยังเปิดเพื่อรับลมและขยายพื้นที่ให้กว้างขึ้นได้ด้วย 4. บ้านไม้ยกพื้นดีไซน์โมเดิร์น บ้านหลังนี้มีพื้นที่ใช้สอย 31 ตารางเมตร จาก Alchemy Architects ถูกสร้างขึ้นในปี 2546 โดยตกแต่งด้วยหน้าต่างแทนผนังทั้งด้านหน้าและด้านหลังของตัวบ้าน ก็เลยทำให้แสงส่องเข้าสู่ภายในได้อย่างทั่วถึง อีกทั้งยิ่งดูทันสมัยและสมบูรณ์แบบมากขึ้นด้วยวิวต้นสน กับเฟอร์นิเจอร์บิวท์อินสไตล์โมเดิร์น 5. บ้านโมเดิร์นยกพื้น ตั้งอยู่บนโขดหิน         สตูดิโอไม้สวย ๆ กลางป่าในแชปปากัว นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา มีความน่าสนใจตรงที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ระหว่างก้อนหินขนาดใหญ่ 2 ก้อน โครงสร้างบ้านตกแต่งด้วยไม้วอลนัทกับการออกแบบสไตล์ Mid-Century Modern เพื่อให้กลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อม อีกทั้งการตกแต่งผนังด้วย 2 วัสดุอย่างไม้และกระจก ก็ช่วยรักษาความเป็นส่วนตัว พร้อมทั้งสามารถชมวิวได้ไปพร้อม ๆ กันด้วย 6. บ้านไม้วินเทจแสนสงบ เป็นมิตรกับธรรมชาติ          หนึ่งใน 14 บ้านหลังน้อยที่ใช้เป็นที่พักสำหรับการท่องเที่ยงเชิงอนุรักษ์ในแมรี่แลนด์ โดยบนพื้นที่ใช้สอยประมาณ 23 ตารางเมตร ตกแต่งด้วยวัสดุรีไซเคิลและไม้ทั้งภายนอก-ภายใน พร้อมกันนี้ยังมีทั้งมุมนั่งเล่น เตียงนอนขนาดใหญ่ ห้องน้ำ และห้องครัวที่สามารถชมวิวได้ด้วยในตัว กลางบรรยากาศเงียบสงบในป่า 7. อดีตบ้านเคลื่อนที่ขอปักหลักอย่างสงบ          บ้านหลังเล็กบรรยากาศอบอุ่น ของคู่รัก กับสุนัขอีก 1 ตัว ที่สร้างขึ้นบนหางลากขนาด 6 เมตร มีระเบียงกว้างประมาณ 1 เมตร บนผนังก็มีหน้าต่างถึง 10 จุด และทุกจุดเป็นกระจกที่สามารถเปิด-ปิดได้ ซึ่งนอกจากจะช่วยนำแสงสว่างเข้ามาแล้ว ยังเชื่อมต่อระหว่างภายในกับภายนอกเข้าหากันด้วย ซึ่งการก่อสร้างทั้งหมดก็ใช้เงินไปราว ๆ 30,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 9.8 แสนบาท 8. บ้านสำเร็จรูปยกพื้น สร้างจากวัสดุรีไซเคิล          บ้านหลังน้อยทรงเดียวกับโรงเก็บข้าวโพดที่ออกแบบโดย Broadhurst Architects บนพื้นที่ใช้สอย 23 ตารางเมตร มีทั้งห้องนอนใต้หลังคา ผนังครัวพับเก็บได้ ห้องน้ำ และห้องนั่งเล่น นอกจากนี้ประตูที่เปิดสู่โต๊ะหน้าบ้านก็เป็นสื่อกลางที่เชื่อมต่อระหว่างภายในกับภายนอกได้เป็นอย่างดี แถมยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพราะใช้วัสดุรีไซเคิลที่มีความทนทาน ทั้งยังสามารถเคลื่อนย้ายบ้านทั้งหลังได้อีกด้วย 9. บ้านอารมณ์ทะเล๊ ทะเล รับมือเฮอร์ริเคนได้          บ้านเล็กสไตล์คอจเทจใกล้กับชายหาดในฟลอริดา บนเซนต์จอร์จ ไอส์แลนด์ ถูกตั้งชื่อให้ดูน่ารัก ๆ ว่า “Our Little Secret" และเป็นบ้านที่เจ้าของออกแบบเองทั้งหมด ตั้งแต่โครงสร้างไปถึงการตกแต่งทั้งภายนอกและภายใน แถมยังมีความยืดหยุ่นสูงเตรียมพร้อมรับมือเวลาเกิดพายุเฮอร์ริเคนด้วย ส่วนภายในก็น่าสนใจเช่นกัน เพราะมีห้องนอนที่สามารถรองรับได้มากถึง 4 คน อีกทั้งยังขยายห้องนั่งเล่นให้กว้างขึ้น เพื่อให้เหมาะสมกับการพักผ่อนมากขึ้นได้ด้วย 10. บ้านชั้นเดียวแต่มีห้องใต้หลังคาชิล ๆ          บ้านหลังเล็กขนาด 37 ตารางเมตร กับการตกแต่งที่ทำให้ผู้อาศัยรู้สึกผ่อนคลายเมื่อถึงบ้าน ไม่ว่าจะเป็นแสงนุ่มนวลสบายตา บรรยากาศอบอุ่นที่มาจากไม้ซีดาร์กับวิวสวย ๆ ของต้นไม้รอบด้าน บวกกับการออกแบบสุดเจ๋งจาก David Vandervort โดยมีห้องต่าง ๆ แบบครบครัน ไม่ว่าจะเป็นห้องครัว ห้องกินข้าว ห้องน้ำ และห้องนอนใต้หลังคา เห็นบ้านชั้นเดียวหลังเล็กที่น่าอยู่แบบนี้แล้ว ใครอยากสร้างบ้านชั้นเดียวก็อย่าลืมเก็บไปใช้เป็นแรงบันดาลใจกันนะจ๊ะ ขอขอบคุณภาพและข้อมูลจาก  home.kapook.com
วิธีไล่งูออกจากบ้าน และป้องกันงูเข้าบ้าน ได้ผลดีสุดๆ

วิธีไล่งูออกจากบ้าน และป้องกันงูเข้าบ้าน ได้ผลดีสุดๆ

ในช่วงฤดูฝนที่มีฝนตกลงมาอย่างหนัก ทำให้เกิดน้ำท่วมตามพื้นที่ต่างๆ บรรดาสัตว์เลื้อยคลาน สัตว์มีพิษ แมลงต่างๆ ที่อยู่ตามพื้นดินย่อมอพยพหนีน้ำขึ้นมาสู่พื้นที่ที่สูงกว่า ฉะนั้นเราจะพอว่ามีงูเลื้อยเข้ามาในบ้านของเราบ่อยๆ นับได้ว่าเป็นอันตรายต่อเจ้าของบ้านเป็นอย่างมาก ถ้าเผลอไปเหยียบโดนงูแล้วเราโดนฉก จะเกิดเรื่องใหญ่แน่ๆ ยิ่งบ้านไหนมีเด็กเล็กยิ่งน่าเป็นห่วง แอดมินเลยได้นำเอาวิธีป้องกันงูเข้าบ้าน และวิธีไล่งูออกจากบ้านมาให้เพื่อนๆ ได้ศึกษากัน เพื่อจะได้นำความรู้เหล่านี้ไปใช้ประโยชน์เมื่อถึงคราวที่จำเป็น ที่จริงแล้วงูบางชนิดที่มีพิษ เป็นเรื่องอันตรายมากๆ หากเราจะไปยุ่งกับมัน เมื่อเราพบเจอควรอยู่ให้ห่างเข้าไว้ หรือไม่ก็แจ้งเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญมาจัดการจะดีกว่า แต่ในเบื้องต้นเรามาดูวิธีไล่งูออกจากบ้านกันเลย รวมวิธีไล่งูและป้องกันงูเข้าบ้าน เลี้ยงสัตว์ให้ช่วยไล่งู ถ้าคุณอยากจะมีสัตว์เลี้ยงไว้คอยเป็นเพื่อนที่บ้าน ให้เลือกสัตว์ที่ช่วยไล่สัตว์ไม่พึงประสงค์ ที่อาจจะลักลอบเข้ามาในบ้านของเรา อย่างการเลี้ยงสุนัข แมว ห่าน พังพอน หรือสัตว์อื่นๆ ที่มักจะส่งเสียงดังเวลาตกใจ เพราะสัตว์เลี้ยงพวกนี้จะไวต่อกลิ่นของสัตว์ที่เป็นอันตราย คุณคงจะเคยเห็นบ่อยๆ ที่สุนัขเมื่อพบกับงู จะเห่าและกัดงูอย่างไม่ลดละ ฉะนั้นสัตว์เลี้ยงเหล่านี้เหมือนเป็นเครื่องส่งสัญญาณเตือนให้กับเราได้เป็นอย่างดี ไล่งูด้วยน้ำมันก๊าด ในจุดที่มักมีงูมาอาศัยอยู่ หรือเป็นทางที่งูสามารถเข้ามาในบ้านของเรา ให้คุณเอาน้ำมันก๊าดไปพ่นบริเวณนั้้นให้ทั่ว กลิ่นฉุนรุนแรงของน้ำมันก๊าดจะช่วยไล่งูได้ ถ้าเป็นจุดที่เป็นรังงู เมื่อเราพ่นน้ำมันก๊าดเข้าไป งูจะเลื้อยหนีออกมา ช่วงนั้นคุณอย่าให้เด็กๆ อยู่บริเวณนั้นเด็ดขาด เพราะอาจถูกงูกัดได้ และการใช้น้ำมันต้องระวังเรื่องไปให้ดี อย่าเอาน้ำมันไปพ่นใกล้ไฟ หรือปลั๊กไปเด้ดขาด เพราะอาจเกิดอัคคีภัยได้ ใช้กำมะถันไล่งู ให้คุณเอาผงกำมะถันสีเหลืองๆ มาผสมกับน้ำแล้วคนให้เข้ากัน จากนั้นเอาไปราดรอบๆ บ้านของเราได้เลย บริเวณขอบรั้ว ช่องระบายน้ำของบ้าน หรือพงหญ้ารกบริเวณบ้านก็ได้ค่ะ งูจะไม่เข้ามาใกล้เลยหล่ะ กำจัดแหล่งอาหารของงู ธรรมชาติของงูมักจะกินหนู กบ เขียด ตุ๊กแก ถ้าหากที่บ้านของเราปล่อยให้มีสัตว์เหล่านี้อยู่เป็นจำนวนมาก เท่ากับว่าพื้นที่บ้านของเราคือแหล่งอาหารของงูดีดีนี่เอง ดังนั้นขอแนะนำให้คุณหมั่นมำความสะอาดบ้าน และทำลายแหล่งเพาะพันธุ์สัตว์ที่เป็นอาหารของงู เป็นการตัดแหล่งอาหาร แล้วงูจะไม่ค่อยเข้ามาแถวๆ บ้านคุณแล้วหล่ะ ไล่งูด้วยการกำจัดแหล่งที่อยู่ ให้คุณทำลายแหล่งที่คาดว่างูจะเข้ามาทำรังหรืออยู่อาศัย เช่น พงหญ้า พุ่มไม้รกๆ ตอไม้ผุๆ ให้คุณจัดการตัดหรือทำลายให้หมด โพรงใต้บ้านของคุณก็เป็นแหล่งอาศัยที่งูชอบเข้าไปอยู่เช่นกัน บางทีอาจมีการวางไข่อีกด้วย โพรง หรือรูต่างๆ ตามสนาม หรือขอบรั้วให้คุณถมให้หมด เพื่อไม้ให้งูเข้าไปอยู่ได้ ท่อระบายน้ำให้คุณใส่ตะแกรงกั้นไว้ เพื่อไม่ให้งูเข้ามาในบ้านโดยเส้นทางนี้ โทรแจ้งหน่วยกู้ภัย เมื่อคุณพบเห็นงูเลื้อยอยู่ในบ้าน ให้จับตามองงูไว้ แล้วโทรแจ้ง 199  เพื่อให้หน่วยกู้ภัยเค้าเข้ามาจับงู ซึ่งเค้ามีอุปกรณ์และความชำนาญในการจับงูและสัตว์ไม่พึงประสงค์ ที่เข้ามาในบ้านของเรา  น้ำมันเครื่องเก่าช่วยไล่งูได้ ให้เอาน้ำมันเครื่องเก่าสีดำๆ มาชุบเศษผ้า แล้วเอาไปวางตามขอบรั้วด้านล่าง หรือในพุ่มไม้ที่คาดว่างูจะเข้าไปหลบอยู่ เมื่องูได้กลิ่นน้ำมันเครื่องก็จะหนีไป ใช้ตาข่ายดักงู ให้เอาตาข่ายไนล่อน หรือตาข่ายดักนก มาวางขึงไว้ด้วยไม้ไผ่ให้รอบรั้วบ้านของเรา โดยเฉพาะริมร่องน้ำ ขอบรั้วบ้าน หรือช่องเล็กๆ ตามรั้ว เมื่องูเลื้อยมาติดตาข่าย อย่าพยายามจับเอง เพราะอาจถูกงูพิษกัดได้ ให้โทรเรียกหน่วยกู้ภัยมาจับไปจะดีกว่า ใช้แผ่นกันงู เราสามารถซื้อแผ่นกันงูตามเว็บไซต์  ราคาไม่กี่ร้อยเองค่ะ แผ่นกันงูมักจะใช้ป้องกันงู หรือสัตว์เลื้อยคลานขึ้นไปบนเสาไฟฟ้า เมื่องูเลื้อยขึ้นไปเจอแผ่นกันงู จะเกิดความลื่นไม่สามารถไปต่อได้ และตกลงมาเองค่ะ ใช้สารไล่งู หรือยาไล่งู ตอนนี้มีผลิตภัณฑ์สำหรับไล่งูอยู่หลายแบบ หลายยี่ห้อ แบบผงไล่งูจะมียี่ห้อ KoBe และน้ำยาไล่งูแบบเป็นของเหลวก็มีนะคะ แต่แอดมินจำยี่ห้อไม่ได้ แต่มีอยู่หลายตัวเลย ลองหาซ์้อมาใช้กันดูนะคะ ใช้มะกรูดไล่งู โดยให้นำผลมะกรูดมาผ่าครึ่ง แล้วเอาไปวางตามมุมบ้าน มุมรั้ว หรือจุดลับตาที่ เช่น ใต้แผ่นกระเบื้องที่วางไว้กับพื้น ใต้ถุนบันได บริเวณใกล้ๆ ท่อน้ำทิ้ง แถวโต๊ะหินอ่อนนอกบ้าน เป็นต้น ซึ่งบริเวณเหล่านี้งูมักจะเข้ามาหลบซ่อนตัวอยู่ เมื่องูเจอกลิ่น และความเป็นกรดของมะกรูด จะไม่อยากเข้าใกล้เลยหล่ะ หรืออีกอย่างคือให้หาต้นมะกรูดมาปลูกไว้รอบๆ บ้าน เป็นภูมิปัญญาชาวบ้านเลยหล่ะ แถมเรายังมีมะกรูดไว้ปรุงอาหารอีกด้วย   สำหรับวิธีป้องกันงูเข้าบ้าน และวิธีไล่งูทั้งหมดทั้งมวล ที่แอดมินได้รวบรวมมาฝากกันนี้ เพื่อนๆ สามารถเอาไปใช้ได้จริงเลยนะคะ เพราะเคยมีผู้คนที่เค้าใช้แล้วได้ผล จึงนำมาบอกต่อกันจ้า ยังไงถ้าคุณเจองูในบ้าน อย่าเข้าใกล้เด็ดขาดนะคะ เพราะเราอาจจะถูกงูพิษกัดได้ ยิ่งหน้าฝน หรือตอนนี้ท่วม คุณต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะช่วงนี้งูและสัตว์มีพิษอื่นๆ มักจะหนีน้ำเข้ามาในบ้านของเราค่ะ ความรู้เกี่ยวกับงู งู รวมเทคนิคดีๆ ให้บ้านของคุณปลอดภัย มันมากับหน้าฝน ตะขาบเข้าบ้านทำอย่างไรดี ที่ดินทรุด ปัญหาที่เช็กและแก้ได้ วิธีใช้ปลั๊กพ่วงอย่างไรให้ปลอดภัย
น้ำผักปั่นเพื่อสุขภาพดี รักษาโรค สูตรบ้านสุขภาพโดย ดร.รสสุคนธ์ พุ่มพันธ์วงศ์

น้ำผักปั่นเพื่อสุขภาพดี รักษาโรค สูตรบ้านสุขภาพโดย ดร.รสสุคนธ์ พุ่มพันธ์วงศ์

น้ำผักปั่นเพื่อสุขภาพสูตรนี้ เป็นที่แพร่หลายมากๆ และยอมรับกันอย่างมากมาย เพราะทราบดีว่า ดื่มแล้วสุขภาพดีจริงๆ ขอเพียงขยันทำเท่านั้น ดื่มให้ได้ทุกวัน  บางคนทำตามสูตรดื่มมากแล้วมีปัญหาเรื่องความหวานจากน้ำผึ้งมากไป ไม่ดีต่อผู้เป็นเบาหวาน จริงๆแล้ว เราไม่ต้องใส่น้ำผึ้งก็ได้ หรือไม่ได้แช่เย็นดื่มไม่อร่อย  ซึ่งการดื่มน้ำผักปั่นนี้ ปั่นเสร็จแล้วควรดื่มทันที เพื่อให้ได้ สารอาหารสดๆวิตามินยังไม่หายไปไหน ถ้าชอบเย็น ก็นำน้ำจากตู้เย็นมาปั่นก็ได้อีกเช่นกัน  ลองทำดื่มนะคะ ดื่มได้ทุกวัย เด็กๆ ก็เติมน้ำผึ้งได้ตามสูตร น้ำผึ้งต้องเป็นน้ำผึ้งแท้นะคะ ถึงจะปลอดภัยต่อสุขภาพ   เคยเขียนบันทึกน้ำผักปั่นพลังเอนไซม์ สูตรเดียวกันแต่เปลี่ยนน้ำ เป็นน้ำเอนไซม์เท่านั้นค่ะ น้ำผักปั่นบ้านสุขภาพ เป็นน้ำผลไม้สดจึงช่วยล้างสิ่งปฏิกูลในร่างกาย ตลอดจนสารพิษต่างๆอย่างรวดเร็ว ซึ่งสิ่งที่เห็นได้ชัด ก็คือการลดอาการปวดต่างๆ จากอาการ ท้องเสีย หรือมีของเสียค้างอยู่ในระบบเลือดมาก มากจนปวดตามกล้ามเนื้อ ซึ่งเมื่อดื่มไปสักระยะเวลาหนึ่ง อาการต่างๆ ที่เป็นอยู่จะค่อยๆลดลงตามลำดับ การดื่มน้ำผักเป็นการเติมสารอาหารประเภทวิตามิน เกลือแร่ จำเป็นและที่สำคัญ คือ คลอโรฟิลด์ เมื่อดื่มเข้าไปแล้วส่วนที่ต้องถูกดุดซึม ก็จะไป “ฟื้นฟูตับ” มันจะไปก่อน พอ “น้ำตับหลั่ง” น้ำตับอ่อนก็หลั่ง การย่อยคาร์โปรไฮเดรด ไขมัน เกลือแร่ และวิตามินก็จะทำได้มากขึ้น ใจขณะที่ตัวมันไม่ย่อย ไขมันส่วนที่ เก่าส่วนหนึ่งแล้วเปลี่ยนรูปไปเป็นพลังงาน ดังนั้นร่างกายก็ได้พลังงานมาสนับสนุนให้อวัยวะต่างๆ ทำงานได้มากกว่าเดิม ซึ่งอาการที่ดีขึ้น นั่นคือ ขบวนการที่ร่างกายชะล้างของเสียออกได้มากขึ้น ซึ่งอาการดังกล่าวไม่ควรเก็บกดได้ด้วยการใช้ยาระงับอาการปวด ซึ่งนั่นเท่ากับเป็นการไปหยุดความสามารถในการชะล้างของเสียในร่างกาย และทำให้เกิดการสะสมของสารพิษมากขึ้น ในทุกระบบของร่างกายและกระจายจนก่อเป็นเซลล์มะเร็ง ในน้ำผักปั่นเป็นกรดอ่อนๆที่มี คลอโรฟิลล์(สารสีเขียวในพืช) มีวิตามินเอ วิตามินซี ธาตุเหล็ก โปรตัสเซียม แมกนีเซียม และฟอสฟอรัส เป็นส่วนประกอบหลัก อัตราส่วนของผักที่จะใส่น้ำผักปั่น ผักสลัดไม่มีใช้ ผักกาดแก้ว มะเขือเทศลูกเล็ก หอมใหญ่หัวเล็ก ก็เพิ่มได้พอควร ผักกาดหอม     2  ใบ คึ่นฉ่าย           2  ก้าน มะเขือเทศ      1  ลูก หอมหัวใหญ่   ¼  ลูก น้ำผึ้ง             2  ช้อนโต๊ะ เสาวรสหรือมะนาว   1 ลูก แอปเปิ้ล                 ½  ลูก น้ำสะอาด               2  แก้ว วิธีทำน้ำผักปั่น  1. นำส่วนประกอบที่กล่าวในข้างต้นใส่ลงในโถปั่น 2. ปั่นน้ำผัก เป็นเวลาประมาณ 20 วินาที 3. เทน้ำผักที่ปั่นแล้วลงในแก้ว(จะได้น้ำผักปั่น 2 แก้ว) ถ้าเป็นแอปเปิ้ลแดง หรือมะเขือเทศแดงมาก น้ำก็จะสีเข้มกว่านี้นะคะ ส่วนประกอบของน้ำผักปั่นและประโยชน์ น้ำผักปั่นมีสารอาการแร่ธาตุที่ช่วยฟื้นฟูการทำงานของอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย ช่วยการทำงาน 5 ระบบคือ ระบบดูดซึม ระบบทางเดินหายใจ ระบบหมุนเวียนโลหิต ระบบภูมิคุ้มกัน และระบบต่อมไร้ท่อ ผักกาดหอม  ช่วยฟิ้นฟูเซลล์ระบบประสาทและเซลล์ในปอด ช่วยบำรุงกล้ามเนื้อกระดูกเส้นเอ็น ช่วยบำบัดโรคโลหิตจาง คึ่นฉ่าย ช่วยฟื้นฟูระบบประสาทและฟื้นฟูการสร้างเซลล์ เม็ดเลือด ช่วยชะล้างของเสียในระบบเลือด ช่วยให้ร่างกายมีความสามารถใช้แคลเซียมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยลดอาการเจ็บปวดของระบบข้อเสื่อมต่างๆ มะเขือเทศ ช่วยทำให้เม็ดเลือดแดงแข็งแรง ช่วยทำให้ผิวพรรณดี เพิ่มภูมิต้านทานของร่างกายมีสารช่วยย่อยอาหารทำให้เยื่อบุ กระเพาะ ลำไส้ทำงานเป็นปกติ หอมหัวใหญ่ ช่วยทำให้หัวใจแข็งแรง มะนาว ช่วยฟื้นฟูภูมิคุ้มกัน น้ำผึ้ง ให้พลังงานสำรองม้าม พืชผักที่สามารถทดแทนหรือเพิ่มเติม กล้วยน้ำว้าสุก : เป็นผลไม้ที่ให้วิตามินซีสูง เมื่อต้องการเพิ่มความหวานให้กับน้ำผักปั่น สามารถใช้กล้วยน้ำว้าแทนน้ำผึ้งได้ แอปเปิ้ลแดง :  ให้วิตามิน เอ ซี แคลเซียม และฟอสฟอรัส ผักกาดขาว :  หากผักกาดหอมหมด ผักกาดขาวเป็นทางหนึ่งซึ่งจะให้แคลเซียมและไฟเบอร์ ช่วยทำให้ระบบขับถ่ายเป็นไปได้ดียิ่งขึ้น สะระแหน่ : ช่วยขับลมในลำไส้ และบำรุงปลายประสาท โหระพา : ช่วยขับลมในลำไส้ บำรุงปลายประสาท ลดความเป็นกรด ในกระแสโลหิต ลดอาการไข้ แก้ปวดหัว ผลไม้ที่ให้รสเปรี้ยว ตะลิงปิง มะดัน มะนาว ส้ม ส้มโอ เสาวรส ผักที่ใช้แทนผักกาดหอมได้ ใบชะมวง ใบมะยม ใบโหระพา ขอขอบคุณภาพและข้อมูลจาก : www.gotoknow.org เคล็ดลับสุขภาพดีอื่นๆ จากเรา Reviewyourliving  เทคนิคทำความสะอาดบ้านแบบง๊ายง่าย ห่างไกล “ภูมิแพ้” แอร์ส่งกลิ่นเหม็นอับ ทำไงดี 8 สิ่งไม่ควรมี ถ้าอยากหลับสบาย
16 วิธีตกแต่งคอนโดแคบ ๆ ให้อยู่สบายไม่อึดอัด

16 วิธีตกแต่งคอนโดแคบ ๆ ให้อยู่สบายไม่อึดอัด

แต่งคอนโดขนาดเล็กให้กว้างขึ้นง่าย ๆ ด้วยเทคนิคแต่งคอนโดเล็ก ให้เก็บของได้เยอะ จะได้อยู่สบาย ๆ ไม่รู้สึกคับแคบอีกต่อไป.. ในปัจจุบันหลายคนสนใจหันมาอยู่คอนโดกันมากขึ้น เพราะมักตั้งอยู่ในทำเลที่สะดวกต่อการเดินทาง ทั้งยังราคาถูกกว่าการซื้อบ้านหลังใหญ่ชานเมือง แต่นับวันคอนโดก็มีขนาดเล็กลงเรื่อย ๆ จนบางทีเท่ากับหอพักห้องหนึ่งด้วยซ้ำ ก็ในเมื่อลงทุนซื้อหรือแม้แต่เช่าคอนโดทั้งที ทำไมต้องมาทนอยู่แบบอึดอัดด้วยล่ะ วันนี้กระปุกดอทคอมจึงมีวิธีแต่งคอนโดขนาดเล็กใหดูกว้างขวางอยู่สบาย จากเว็บไซต์ homedit มาฝากกัน คราวนี้ถึงจะงบน้อยซื้อคอนโดได้แค่ห้องเล็ก ๆ ก็ใช่ว่าต้องอยู่แบบแคบ ๆ แล้วนะ 1. ใช้สีขาวเป็นหลัก อย่างที่รู้กันว่าสีส่งผลอย่างมากต่อการตกแต่ง ดังนั้นให้ใช้ข้อดีของสีขาวในการขยายห้องให้ดูกว้างขึ้น โดยอาจเลือกใช้กับทั้งผนังและเพดาน เพื่อห้องดูสว่างและเบาบางนั่นเอง 2. ชโลมสีสดใสให้ทั่ว เมื่อเลือกใช้สีอ่อนกับพื้นที่ส่วนใหญ่ของห้องแล้ว ก็ให้ประดับด้วยของตกแต่งที่สีสันสดใส ที่จะช่วยเพิ่มทั้งสไตล์ พลัง และความเป็นตัวของตัวเอง นอกจากนี้ยังช่วยดึงดูดและลวงตาให้ห้องดูกว้างขึ้นอีกด้วย 3. จัดเก็บของอย่างชาญฉลาด หากว่าอยู่ในคอนโดขนาดเล็กแต่ตัดใจทิ้งของที่มีมากมายไม่ลง ก็ให้เลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ที่มีที่เก็บของในตัว เช่น เตียงหรือโซฟาที่มีลิ้นชัก ซึ่งจะช่วยซ่อนของรก ๆ ไม่ให้ดูเยอะจนห้องยิ่งดูแคบไปกันใหญ่ 4. คิด "แนวตั้ง" เคล็ดลับที่จะทำให้พื้นที่เล็ก ๆ ดูกว้างขึ้นก็คือ การใช้ที่เก็บของแบบแนวตั้ง เช่น ชั้นหนังสือที่สูงจากพื้นจรดเพดาน หรือแม้แต่การติดผ้าม่านที่สูงจากเพดานลงมาก็ได้ผลเช่นกัน 5. ใช้เฟอร์นิเจอร์อเนกประสงค์ คอนโดขนาดเล็กคงไม่เหมาะกับเฟอร์นิเจอร์หลายชิ้น ลองเลือกเฟอร์นิเจอร์แบบอเนกประสงค์ ที่ใช้งานได้อย่างหลากหลายในชิ้นเดียวมาใช้ เช่น โต๊ะกาแฟที่เปลี่ยนเป็นโต๊ะทำงานได้ หรือชั้นวางของที่ทั้งวางทั้งแขวนได้ในชิ้นเดียวกัน เป็นต้น 6. เก็บของแบบงานศิลปะ ถ้าเป็นหนอนหนังสือและกำลังหนักใจกับการจัดเก็บหนังสือที่มีมากมาย ก็ให้เปลี่ยนจากชั้นหนังสือธรรมดาเป็นงานศิลปะตกแต่งผนังไปในตัว หรือจะลองดัดแปลงไอเดียไปใช้กับสิ่งอื่นก็ได้ เช่น แขวนเครื่องครัวสวย ๆ ไว้บนผนังเพื่อเป็นการประดับตกแต่ง เป็นวิธีเก็บของที่ช่วยให้ห้องไม่ดูรกแต่สวยงามแทน 7. ใช้โคมไฟติดผนังหรือเพดาน แม้ว่าโคมไฟแบบตั้งพื้นจะดูสวยงามและเหมาะกับการตกแต่งบ้าน แต่อาจจะไม่เหมาะสมกับคอนโดเล็ก ๆ สักเท่าไหร่ แนะนำให้ลองพิจารณาโคมไฟแบบแขวนหรือติดผนังเป็นทางเลือกดู ซึ่งสามารถเลือกดีไซน์สวย ๆ ไม่แพ้ชนิดตั้งพื้นได้เช่นกัน 8. เปลี่ยนที่เก็บของเป็นเฟอร์นิเจอร์ประดับ แทนที่จะมีทั้งตู้เก็บของและเฟอร์นิเจอร์ประดับตกแต่ง ทำไมไม่เอาทั้งสองอย่างมารวมกันซะเลย เช่น แทนที่จะซื้อโต๊ะข้างเตียงนอน ก็ให้ใช้กระเป๋าวินเทจที่มีหลายใบซ้อนกันแทน ทั้งสร้างลุคเก๋ ๆ และเก็บของได้ไปในตัว 9. ใช้เฟอร์นิเจอร์ใสเพื่อความโปร่ง ใช้เฟอร์นิเจอร์ประเภทกระจก อะคริลิก หรือวัสดุแววววาว ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะ เก้าอี้ หน้าต่างแบบกระจกใส ฯลฯ จะช่วยส่องสว่างให้กับห้องไม่ดูทึบจนเกินไป 10. ใช้เฟอร์นิเจอร์ทางเลือก โต๊ะกาแฟสำคัญสำหรับทุกบ้าน แต่สำหรับคอนโดเล็ก ๆ ที่ต้องใช้พื้นที่อย่างประหยัด ให้ลองประดิษฐ์ที่วางกาแฟแบบครอบพนักวางแขนโซฟาดู แค่นี้ก็สามารถแก้ววางกาแฟยามเช้า ได้แบบไม่เปลืองเนื้อที่แล้ว 11. โต๊ะกินข้าวประหยัดที่ ถ้าไม่อยากตั้งโต๊ะรับประทานอาหารให้เปลืองเนื้อที่ ให้ลองพิจารณาโต๊ะอาหารแบบติดผนัง เป็นทางเลือกโดยบางแบบยังสามารถพับเก็บตัวโต๊ะลงเมื่อใช้เสร็จได้อีกด้วย เวลาจะใช้ก็แค่กางออกมาง่าย ๆ และประหยัดพื้นที่ได้เป็นอย่างดี 12. ให้ความสำคัญกับหน้าต่าง หน้าต่างเป็นสิ่งมีค่าสำหรับห้องขนาดเล็ก ดังนั้นอย่าตั้งอะไรขวางหน้าต่างเป็นอันขาด รวมถึงใช้ประโยชน์จากแสงที่ส่องเข้ามาให้เต็มที่ เช่น การตั้งโต๊ะอาหารไว้ริมหน้าต่าง เป็นต้น รับรองว่าห้องจะดูกว้างและอบอุ่นจากแสงธรรมชาติแน่นอน 13. ใช้ที่กั้นห้องแบบชั่วคราว ใช้ผ้าม่าน ประตูเลื่อน หรือเฟอร์นิเจอร์ชิ้นสูง ๆ เป็นตัวแบ่งพื้นที่ห้องแบบไม่ดูอึดอัด แถมยังสะดวกในการเปลี่ยนย้ายตำแหน่งหรือเอาออกไปอีกด้วย 14. ใช้เฟอร์นิเจอร์ให้เหมาะกับพื้นที่ โซฟานั่งสบายไม่จำเป็นต้องไซส์ใหญ่เสมอไป เพราะเดี๋ยวนี้มีโซฟาที่ถูกออกแบบมารองรับคอนโดขนาดเล็กมากขึ้น ที่ทั้งสวยและรองรับสรีระ หรือหากต้องการประหยัดพื้นที่มาก ๆ ลองพิจารณาโซฟาเบดเป็นทางเลือก ที่ใช้ประโยชน์ทั้งนั่งดูทีวีและนอนในเวลาค่ำคืนได้อย่างลงตัวทีเดียว 15. เลือกเตียงแบบพับเก็บได้ เตียงนอนก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สามารถประหยัดพื้นที่ได้ เพราะในปัจจุบันผู้ผลิตหลายรายได้ทำเตียงแบบพับเก็บได้มาให้เป็นทางเลือกกัน ซึ่งการใช้เตียงแบบนี้จะช่วยให้เหลือพื้นที่เหลือเฟือในการใช้งานเวลากลางวันเลยล่ะ 16. อย่ามองข้ามพื้นห้อง แม้ว่าห้องจะมีขนาดเล็ก แต่ก็มองข้ามเรื่องพื้นไปไม่ได้เลย เพราะพื้นสวย ๆ จะช่วยให้ภาพรวมของดูโดดเด่นได้อย่างไม่น่าเชื่อ ดังนั้นอย่าลืมใส่ใจกับการเลือกพื้นดีไซน์สวยเข้ากับสไตล์การตกแต่งห้อง หรือจะปูพรมก็เป็นไอเดียที่ดี ลองเก็บไอเดียไปใช้กันนะคะ ทีนี้ก็ไม่ต้องทนรู้สึกอึดอัดกันแล้ว แถมใครที่อยู่อพาร์ทเม้นท์หรือหอพักก็นำไปปรับใช้ได้เช่นกัน ทีนี้ห้องเล็กแค่ไหนก็มีความสุขได้เหมือนอยู่ห้องใหญ่ ๆ เลยนะ ขอขอบคุณภาพและข้อมูลจาก : home.kapook.com
10 วิธีแต่งห้องนอนแบบประหยัด ใช้แค่ของใกล้ตัว

10 วิธีแต่งห้องนอนแบบประหยัด ใช้แค่ของใกล้ตัว

แต่งห้องนอนแบบประหยัด ทำได้ง่าย ๆ ด้วยการใช้จินตนาการบวกเข้ากับของหาง่ายใกล้ ๆ ตัว เป็นวิธีแต่งห้องนอนแบบประหยัด ที่ช่วยเซฟเงินในกระเป๋าได้หลายบาทเลยล่ะ การแต่งห้องแต่ละครั้งต้องใช้เงินเยอะพอดู แต่หลังจากนี้คุณอาจไม่ต้องใช้เวลาเป็นปี ๆ เพื่อเก็บเงินแต่งห้องนอนให้สวยงาม ทันสมัย หรือดูดีมีสไตล์อีกแล้ว เพราะไม่ว่าใครก็สามารถตกแต่งห้องนอนได้ตามที่ต้องการ โดยใช้เงินแค่เพียงเล็กน้อย หรือบางทีอาจไม่ต้องทุบกระปุกเลยด้วยซ้ำ เพียงแค่ใช้จินตนาการกับข้าวของรอบ ๆ ตัว มาปรับใช้ให้เก๋กว่าใคร แค่นี้ก็ได้ห้องนอนโดนใจไปเต็ม ๆ แถมยังประหยัดเงินแล้วล่ะ ลองไปดูกันค่ะว่ามีไอเดียอะไรบ้าง 1.แต่งห้องนอนด้วยเตียงนอนท่อน้ำสุดเท่ สำหรับคนที่เป็นแฟนการตกแต่งบ้านแบบอินดัสเทรียล (Industrial Style) หรืออยากได้เตียงนอนหลังใหม่ในบรรยากาศเดิม การนำท่อน้ำมาประกอบเป็นเตียงนอนเช่นนี้ ถือเป็นงาน DIY ที่ตอบโจทย์ความต้องการได้ดี และน่าจะลองทำดูมากทีเดียว 2.แต่งห้องนอนตรงหัวเตียงไม้ ไม่ซ้ำใคร เนื่องจากไม้เก่ามีความสวยงามในตัวเองอยู่แล้ว ดังนั้นไม่ว่าจะได้แผ่นไม้มาจากตึกเก่าที่ถูกรื้อทิ้ง หรือไม้รีไซเคิลที่หาได้จากบริเวณบ้าน ต่างก็สามารถนำมาใช้ทำเป็นหัวเตียงได้ทั้งนั้น นอกจากนี้ความเก่าของไม้ บวกกับลวดลายและสีสันแบบหม่น ๆ ยังทำให้บรรยากาศในห้องนอนดูอบอุ่น อีกทั้งยังดูสบายตา เหมาะกับการพักผ่อนเป็นอย่างยิ่งด้วย 3.ขาเตียงดีไซน์แปลก ก็แต่งห้องนอนได้ พาเลทไม้เป็นอีกหนึ่งวัสดุที่ไม่ค่อยได้ใช้งาน แต่สร้างประโยชน์ให้ได้มากทีเดียว อย่างน้อย ๆ ถ้านำพวกมันมาขัดผิวให้เรียบ แล้วทาสีใหม่ให้ทั่ว พร้อมกับนำมาต่อกันเป็นรูปสี่เหลี่ยมจำนวน 2 ชั้น ก็จะมีขาตั้งเตียงนอนเหมือนเตียงหรู ๆ ทั่วไปแล้ว หรืออาจจะลดจำนวนให้เหลือเพียงชั้นเดียวก็ได้ หากไม่ชอบขาเตียงที่สูงมากนัก 4.โต๊ะหัวเตียงมหัศจรรย์ แต่งห้องนอนได้สวยงาม แค่มีบล็อกคอนกรีตไม่กี่อันก็มากพอสำหรับการครีเอทโต๊ะหัวเตียง แค่จับมาตั้งเรียงกันให้พอที่กับที่ว่างข้าง ๆ หัวเตียง เอาไว้สำหรับเก็บของ หรือวางหนังสือกับนิตยสาร และอาจจะตกแต่งด้วยแจกันดอกไม้สักใบ เพื่อทำให้บล็อกคอนกรีตดูมีสัน และสวยงามเหมาะกับบรรยากาศในห้องนอนมากยิ่งขึ้น 5.แต่งห้องนอนด้วยแกลลอรีภาพถ่ายแบบแนว ๆ แม้การนำรูปถ่ายมาตกแต่งผนัง จะไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร แต่มันก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ทุกคนสามารถตกแต่งผนังให้ดูสวยงามได้ได้ด้วยตัวเอง ส่วนทริคในการตกแต่งเพื่อให้ดูน่าสนใจมากยิ่งขึ้นก็คือ นำรูปถ่ายมาติดเรียงกันให้ดูเป็นแพทเทิร์นที่น่าสนใจโดยไม่ต้องใส่กรอบ เช่น รูปหัวใจ สามเหลี่ยม หรือตัวอักษรเป็นต้น 6.ลายกราฟฟิกสวย ๆ จากของใกล้ตัว ก็แต่งห้องนอนได้เก๋ไปอีกแบบ การใช้วาชิเทป หรือเทปกาวสีสวย ๆ มาใช้ในการตกแต่งผนัง ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีช่วยให้ผนังบ้านมีสีสันและน่าสนใจขึ้นไม่น้อยเลย โดยการนำเทปเหล่านั้นมาติดเป็นรูปร่างต่าง ๆ ตามใจชอบ 7.แต่งห้องนอนด้วยโต๊ะวางของสารพัดประโยชน์ หากมีลังเปล่า ๆ ไม่ว่าจะเป็นลังไม้หรือลังกระดาษ และไม่ได้นำมาใช้ประโยชน์อะไร คงจะดีกว่าหากนำออกมาปัดกวาดให้เรียบร้อย หลังจากนั้นเอาไปใส่ของหรือทำเป็นโต๊ะวางของต่าง ๆ เช่น กระจกส่องเสื้อผ้า โคมไฟ หรือต่อเป็นโต๊ะหัวเตียง 8.ไฟประดับสีสันสดใส ช่วยแต่งห้องนอนให้มีสีสัน วิธีง่าย ๆ ที่อาจจะต้องลงทุนเล็กน้อย แต่เป็นวิธีเปลี่ยนบรรยากาศห้องนอนได้ทันใจสุด ๆ เพียงแค่นำไฟประดับมาตกแต่งในห้องนอน เช่น บนชั้นวางของ เหนือหัวเตียง หรือประตู นอกจากจะห้องนอนจะมีสีสันเพิ่มแล้ว ยังสว่างสดใสมากขึ้นอีกด้วย 9.หัวเตียงสวยหวานสไตล์วินเทจ แต่งห้องนอนสำหรับสาว ๆ แม้บานหน้าต่างเก่า ๆ จะถูกถอดออกไปนานแล้ว แต่แทนที่จะนำไปทิ้ง ลองนำพวกมันกลับมาแล้วใช้สร้างเป็นหัวเตียงสวย ๆ ดีกว่า แต่อย่างไรก็ตามก่อนจะนำมาตกแต่งควรจะเลือกเพ้นท์สีที่ดูแล้วเข้ากับการตกแต่งส่วนอื่น ๆ ในห้องนอนด้วย 10.ชิงช้าวางของ เล็ก ๆ แต่แต่งห้องนอน แทนที่จะใช้โต๊ะหัวเตียงแบบตั้งพื้น ลองเปลี่ยนเป็นชั้นวางของแบบแขวนบ้าง ก็จะช่วยให้ห้องนอนดูสวยงามอย่างมีสไตล์ แถมยังไม่ต้องเสียเงินซื้ออุปกรณ์ด้วยแค่ใช้ของที่มีอยู่ภายในบ้านก็พอแล้ว เช่น แผ่นไม้ หรือแผ่นพลาสติก นำมาเจาะรู แล้วแขวนด้วยเชือกสีสวย ๆ เห็นไหมคะว่าการตกแต่งห้องนอนให้สวยงามไม่จำเป็นต้องใช้ของที่มีราคาแพง ๆ เลย เพราะของราคาถูกหรือของที่อยู่ใกล้ตัว รวมไปถึงของเหลือใช้ ก็สามารถทำให้ห้องนอนของทุกคนดูดีมีสไตล์ได้อย่างใจ เพียงแค่อาศัยเทคนิคเล็ก ๆ น้อย ๆ และลองเปลี่ยนวิธีการใช้งานดูบ้างตามที่ได้เสนอไปเท่านั้นเอง ขอขอบคุณภาพและข้อมูลจาก : home.kapook.com เกี่ยวกับการแต่งห้องนอนหลากหลายรูปแบบ 9 วิธีจัดห้องนอนเสริมดวง How to แต่งห้องนอนสไตล์ Zen สร้างบรรยากาศแบบญี่ปุ่น 8 เคล็ดลับ แต่งห้องนอนไม่ได้นอน เติมไฟรักให้ชีวิตคู่
วิธีกำจัดแมลงสาบในบ้านง่ายๆ ได้ผลดีที่สุด

วิธีกำจัดแมลงสาบในบ้านง่ายๆ ได้ผลดีที่สุด

ไม่น่าเชื่อว่าแมลงสาบตัวเล็ก ๆ จะมีอิทธิพลพอให้ใครหลายคนแทบเสียสติเวลาที่เจอได้ โดยเฉพาะในยามที่แมลงสาบหนวดยาวบินตรงเข้ามาหาเราอย่างแน่วแน่ โอย…แค่คิดก็ขนลุกขนชันไปหมดแล้วเนอะ เอาล่ะ ! ถ้าในบ้านของคุณมีแมลงสาบยั้วเยี้ยและไม่รู้จะใช้วิธีไหนกำจัดแมลงสาบ เรามีวิธีกำจัดแมลงสาบ อย่างง่าย ๆ ได้แต่ผลมาให้ลองทำตามกันครับ   1.ก่อนทราบวิธีกำจัดแมลงสาบ ก็ค้นหาต้นตอก่อน ถ้ามีแมลงสาบในบ้านแม้เพียงตัวเดียวก็ไม่ต้องเดาแล้วว่าจะมีตัวที่สองหรืออีกเป็นฝูงอยู่ในบ้านหรือเปล่า เพราะแมลงสาบคงไม่มาอยู่เดียวดายแน่ ๆ ดังนั้นให้คุณรีบค้นหาต้นตอที่แมลงสาบมุดเข้าบ้านมาโดยทันที เริ่มจากบริเวณรอบ ๆ ที่เห็นแมลงสาบก่อนเป็นจุดแรก สำรวจดูว่ามีร่องรูหรือช่องทางใดที่แมลงสาบจะแทรกตัวผ่านเข้ามาได้บ้าง เมื่อเจอแล้วก็จัดการปิดช่องทางนั้นให้เรียบร้อย และถ้าจะให้ดีสำรวจร่องรอยแตกแยกในบ้านให้ทั่วเลยยิ่งดี อย่างน้อยก็ช่วยปิดกั้นเส้นทางของแมลงสาบได้ชั้นหนึ่งก่อน 2.วิธีกำจัดแมลงสาบ โดยการดูแลท่อน้ำ แมลงสาบเป็นสัตว์ที่ขาดอาหารได้นานพอสมควร แต่ขาดน้ำเกิน 1 อาทิตย์ไม่ได้ ซึ่งก็หมายความว่า แม้บ้านจะสะอาดปราศจากเศษอาหารใด ๆ ทว่ามีจุดที่น้ำรั่วซึมหรือชื้นอยู่ก็มีสิทธิ์ได้เจอแมลงสาบตัวเป็น ๆ เหมือนกัน ดังนั้นคงเป็นการช่วยป้องกันแมลงสาบได้ดีอีกทางหนึ่ง หากเรารีบซ่อมแซมจุดที่มีน้ำรั่วหรือบริเวณที่มีความชื้นค่อนข้างสูง 3.ทำความสะอาดบ้านให้หมดจด คือวิธีกำจัดแมลงสาบถาวร แค่มีน้ำชื้น ๆ ยังเรียกแมลงสาบมาอยู่ในบ้านได้ อย่างนี้ก็ไม่ต้องสืบเลยว่าถ้าบ้านสกปรกเลอะเทอะจะมีแมลงสาบอยากมาอยู่ร่วมชายคากับคุณอีกกี่ฝูง ฉะนั้นอย่าปล่อยให้บ้านสกปรกเลอะเทอะเลยดีกว่านะครับ โดยเฉพาะคราบอาหารเพียงสักนิดเดียวก็ควรทำความสะอาดให้หมดจดทันที 4.ใช้วิธีกำจัดแมลงสาบ โดยปิดฝาอาหารให้สนิท สำหรับอาหารที่อยู่บนโต๊ะอาหารควรมีฝาครอบปิดให้มิดชิด เพื่อป้องกันแมลงสาบมาวอแวอาหารจานโปรดของคุณ และพยายามกินแล้วเก็บล้างโดยทันทีให้เป็นนิสัยด้วย แค่นี้ก็ลดโอกาสที่แมลงสาบจะเข้ามาป้วนเปี้ยนอยู่ในบ้านแล้วล่ะ 5.ทิ้งขยะเสมอ วิธีกำจัดแมลงสาบแบบป้องกัน ขยะเป็นแหล่งอาหารอันโอชะของเหล่าแมลงสาบตัวร้าย เพราะมีทั้งเศษอาหารและคราบน้ำที่แมลงสาบพอจะประทังชีวิตให้อยู่รอดได้ ดังนั้นพยายามอย่าหมักหมมขยะไว้ในบ้านนานนัก แม้จะเป็นขยะแห้งก็ควรทิ้งทุกวัน 6.วิธีกำจัดแมลงสาบ ด้วยกำจัดด้วยสารเคมี สำหรับคนที่ไม่ต้องการอยู่ร่วมกับแมลงสาบและอยากกำจัดอย่างรวดเร็ว สามารถใช้ยากำจัดแมลงที่มีส่วนผสมของสารไซเปอร์เมทริน (Cypermethrin) ที่มีประสิทธิภาพในการกำจัดแมลงชนิดต่าง ๆ สูง แต่ส่งผลกระทบกับคนน้อย แต่ทั้งนี้ก่อนใช้สารเคมีควรสวมถุงมือและหน้ากากป้องกันไว้ก่อนด้วยนะครับ 7. วิธีกำจัดแมลงสาบ แบบบ้าน ๆ มีวิธีกำจัดแมลงสาบแบบบ้านๆ ให้ได้ลองทำตามดูอยู่หลายวิธีเหมือนกันครับ วิธีแรกหากสะดวกผสมผงบอแรกซ์, น้ำตาลทราย และแป้งข้าวโพดอย่างละส่วนเข้าด้วยกัน ก็นำส่วนผสมนี้ไปวางตามจุดที่คาดว่าจะมีแมลงสาบซุ่มอยู่ เมื่อแมลงสาบหลงกลมาคาบไปกินที่รังก็จะทยอยล้มตายกันไปทีละนิด ส่วนใครสะดวกจะสร้างกับดักน้ำหวานผสมน้ำเปล่าไว้ให้แมลงสาบเดินมาลอยตุ้บป่องอยู่ในถาดน้ำหวานก็ช่วยกำจัดได้เหมือนกัน แต่ถ้าใจไม่ถึงพอจะเห็นซากแมลงสาบก็เลี่ยงไปใช้วิธีแรกดีกว่า 8. น้ำสบู่ หนึ่งในวิธีกำจัดแมลงสาบ ถ้าเห็นแมลงสาบตัวเป็น ๆ แต่ยังไม่มีกับดักล่อแมลงสาบ แนะนำให้ผสมน้ำสะอาดกับน้ำสบู่ในบริมาณน้ำ 2 ส่วน ต่อสบู่ 1 ส่วน ใส่กระบอกสเปรย์ จากนั้นนำไปฉีดพ่นที่ตัวของแมลงสาบโดยตรงได้เลย น้ำสบู่จะเข้าไปปิดกั้นทางเดินหายใจของแมลงสาบ และก็จะลาโลกนี้ไป 9.ถาดดักแมลงสาบ วิธีกำจัดแมลงสาบแบบง่าย วิธีกำจัดแมลงสาบที่ง่ายและสะดวกอีกวิธีหนึ่งก็คือ ใช้ถาดดักแมลงสาบที่คล้าย ๆ ถาดกาวดักหนู (สามารถหาซื้อได้ตามซูเปอร์มาร์เกตทั่วไป) นำวางล่อแมลงสาบตัวร้ายตามจุดต่าง ๆ แล้วก็รอแมลงสาบมาติดกับดัก 10.วิธีกำจัดแมลงสาบ ด้วยโหลใส่น้ำ อย่างที่บอกว่าแมลงสาบขาดน้ำไม่ได้ ดังนั้นเราสามารถวางกับดักโหลแก้วใส่น้ำไว้ตามกำแพงที่คาดว่าจะมีแมลงสาบได้เลย แมลงสาบจะดิ้นรนเข้ามาหาน้ำในโหลแล้วตกลงไปลอยตัวอยู่ในนั้นอย่างหาทางหนีไม่ได้ แต่วิธีกำจัดแมลงสาบนี้อาจไม่สามารถกำจัดแมลงสาบชนิดถอนรากถอนโคนได้ 11.ใช้วิธีกำจัดแมลงสาบ กับขวดน้ำอัดลม อีกหนึ่งกับดักน้ำที่ใช้ได้ผล ก็แค่ตัดขวดน้ำพลาสติกตรงส่วนบนออก จากนั้นคว่ำปากขวดไว้กับส่วนล่าง จะได้ลักษณะเป็นหลุมล่อแมลงสาบให้ตกลงไปทางปากขวด เจอกับน้ำผสมสบู่ที่เราผสมไว้ในขวด เรียกว่าอำนวยความสะดวกให้เหล่ากองทัพแมลงสาบเจอกับดักได้ง่ายและท้าทายขึ้น 12.ดูแลสวน วิธีกำจัดแมลงสาบจากต้นตอ หากสวนข้างบ้านของคุณมีแต่ซากปรักหักพังและต้นไม้รกรุงรังไปหมด ไม่เพียงแต่แมลงสาบเท่านั้นที่จะแอบซุ่มอยู่ในสวน แต่ยังอาจจะมีสัตว์ร้ายชนิดอื่น ๆ แฝงตัวอยู่ในรั้วบ้านของคุณด้วย ดังนั้นในส่วนนี้ก็ควรจัดการสวนให้เป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่เสมอจะดีกว่า โดยเฉพาะขอนไม้พุผังที่อาจจะมีทั้งปลวก มอด และแมลงสาบรวมตัวอยู่ก็ต้องกำจัดออกไปจากบ้านโดยเร็วที่สุด 13.ใช้วิธีกำจัดแมลงสาบ ด้วยการอุดช่องโหว่ เพื่อความแน่นหนามากขึ้นก็ควรอุดรูรั่วและรอยแตกแยกในบ้านให้สนิทที่สุด อาจจะฉาบปูนใหม่หรือยาแนวเสริมเข้าไปก็แล้วแต่สะดวก ป้องกันเอาไว้ก่อนอย่างนี้แมลงสาบจะได้เข้าสู่ตัวบ้านเราได้ยากยิ่งขึ้น 14.ลูกเหม็นก็เป็นวิธีกำจัดแมลงสาบได้ กลิ่นฉุนจนแสบจมูกของลูกเหม็นก็เป็นสิ่งที่แมลงสาบขยาดไม่น้อยเลยทีเดียว ถ้าอย่างนั้นเราก็ควรนำลูกเหม็นไปวางตามจุดต่าง ๆ ที่สุ่มเสี่ยงจะมีแมลงสาบไว้เลยดีกว่า 15.ใช้สารบอแรกซ์ หนึ่งในวิธีกำจัดแมลงสาบ หลังจากกำจัดแมลงสาบไปได้จำนวนหนึ่งแล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้แมลงสาบมาป่วนเราได้อีก แนะนำให้ผสมสารบอแร็กซ์กับผงซักฟอก และน้ำสะอาดเข้าด้วยกัน แล้วนำใส่กระบอกสเปรย์เอาไว้ฉีดเป็นยากันแมลงสาบตามจุดที่มีความชื้นสูง หรือบริเวณกำแพงบ้านที่ดูไม่ค่อยน่าไว้ใจ เมื่อแมลงสาบมาจ๊ะเอ๋น้ำยาที่เราฉีดไว้จะได้กลัวจนต้องถอยทัพกลับไป   ใครที่กลัวแมลงสาบขึ้นสมองและมักจะเจอแมลงสาบซึ่งๆ หน้าให้เสียจริตกันบ่อยๆ ลองนำวิธีกำจัดแมลงสาบที่เราแนะนำไปใช้กันดูได้เลยนะครับ นอกจากวิธีกำจัดแมลงสาบ ยังมีความรู้เรื่องภัยจากแมลงสาบมาฝากด้วยครับ ภัยร้ายจากแมลงสาบ แมลงที่ทนต่อทุกฤดู วิธีกำจัดแมลงและสัตว์อื่นๆ ออกจากบ้านของเรา มันมากับหน้าฝน ตะขาบเข้าบ้านทำอย่างไรดี วิธีกำจัดมด ด้วยของใกล้ตัว กำจัดปลวก ด้วยวิธีธรรมชาติ 13 วิธีกำจัดมอด ปิดประตูตายแมลงร้ายในครัว!
ปัญหายอดฮิต ของชาวคอนโด

ปัญหายอดฮิต ของชาวคอนโด

ปัญหายอดฮิต ของชาวคอนโดที่ต้องเจอ เคยได้ยินคนบอกกันมั้ยครับว่า "ปัญหามีไว้แก้" หรือ "ปัญหามีไว้ฝึกปัญญา" แต่หลายๆ ครั้งก็ต้องยอมรับกันครับว่า ปัญหาในคอนโดบ้านเราเป็นปัญหาที่ต้องทำใจ และทำใจกันอย่างเดียว! วันนี้เราลองมาดูกันครับว่า ปัญหาหรือคำถามยอดฮิตที่พวกเราน่าจะเจอกันประจำในคอนโดมีอะไรบ้าง 1. ที่จอดรถไม่พอ ปัญหาอมตะครับสำหรับคอนโดเมืองไทย แถมพ่วงด้วยปัญหาต่อเนื่องอื่นอีก เช่น จอดรถซ้อนกัน (โดยเฉพาะในชั้นเตี้ยทั้งที่ชั้นสูงก็ยังมีที่จอด) คนที่มีสิทธิจอดไม่ตายตัว (Float) แต่ไปแอบจอดในตำแหน่งตายตัว (Fixed) ของคนอื่น โชคไม่ดีครับว่า สคบ. และกฎหมายบ้านเรายังไม่มีกฎเกณฑ์บังคับกับผู้ประกอบการว่าจะต้องทำที่จอดรถอย่างน้อยเท่าไหร่ ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับดุลพินิจ (และ Profit Margin) ของผู้ประกอบการแต่ละรายเองว่าจะทำเป็นสัดส่วนเท่าไร เช่น 100 ห้องอาจทำที่จอดครบ 100 ตำแหน่ง หรือ 100 ห้องแต่มีที่จอดแค่ 60 ตำแหน่ง (รวมหรือไม่รวมจอดซ้อน) วิธีเลี่ยงปัญหาที่ดีที่สุดคือ ซื้อคอนโดแบบมีกรรมสิทธิ์ในที่จอดรถด้วย (ซึ่งจะต้องระบุกรรมสิทธิ์ชัดเจนในหนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุดด้วย)แต่ราคาก็จะแพงสุดๆ ทีเดียว หรือเสนอที่ประชุมให้ตั้งกฎกติกาจอดรถชัดเจน เช่น กำหนดตายตัวให้จอดรถได้ 1 ห้องต่อ 1 คัน เท่าเทียมกันทุกห้อง (ไม่ว่าห้องเล็กหรือห้องใหญ่) ส่วนคันต่อไปต้องเสียเงิน หรือต้องจอดนอกโรงจอดรถหรือกำหนดว่าหากมีการจอดทับสิทธิบนตำแหน่งที่จอดรถตายตัวของคนอื่น ก็ให้มีการล็อคล้อกันไปเลย เป็นต้น   2. ไม่เข้าร่วมประชุมลูกบ้าน กฎหมายคอนโดกำหนดให้มีการเรียกประชุมใหญ่ (สามัญ) ลูกบ้านปีละหนึ่งครั้งเป็นอย่างน้อย (และอาจมีประชุมย่อยที่เรียกว่าวิสามัญได้อีกกี่ครั้งก็ได้) การไม่เข้าประชุมไม่มีความผิดใดๆแต่จะทำให้เสียสิทธิในการแสดงความเห็น และออกเสียงในการบริหารจัดการคอนโด ในการประชุมออกเสียงลงคะแนน ต้องยอมรับครับว่าห้องใหญ่จะมีคะแนนเสียงมากกว่าห้องเล็ก เพราะคะแนนเสียงจะเท่ากับสัดส่วนพื้นที่ของแต่ละห้องต่อพื้นที่ทั้งหมดของทุกห้องในอาคารนั้นข้อแนะนำคือปกติเวลาจะมีประชุม เราจะได้รับเอกสารนัดประชุมพร้อมเรื่องที่จะมีการประชุมกัน ถ้าเราเจอเรื่องสำคัญ (เช่น พิจารณาการขึ้นค่าส่วนกลาง) หรือเป็นเรื่องที่กระทบกับความเป็นอยู่เรา (เช่น การเปลี่ยนกฎเกณฑ์การจอดรถ)เราก็ควรเข้าประชุม หรือมอบฉันทะให้เพื่อน หรือคนรู้จักในคอนโดเข้าร่วมประชุม และออกเสียงแทน แต่ผู้รับมอบฉันทะ 1 คนจะรับมอบอำนาจจากคนอื่นเกิน 3 ห้องไม่ได้นะครับ และจะมอบให้กรรมการ เจ้าหน้าที่นิติฯ หรือผู้จัดการนิติฯหรือผู้จัดการนิติฯ เป็นผู้รับมอบก็ไม่ได้เหมือนกัน เพราะทั้งหมดนี้กฎหมายห้ามไว้ หากเราเป็นกรรมการแล้วอยากให้เข้าร่วมประชุมกันเยอะๆ ก็อาจกระตุ้นโดยการแถมคูปองจอดรถสำหรับ Visitor ให้คนที่เข้าร่วมประชุมโดยมีมูลค่าแล้วแต่จะกำหนดวิธีนี้ก็ได้ผลดีไม่เลวเหมือนกัน   3. ใช้ทรัพย์ส่วนกลางกันจนเสียหาย และไม่เกรงใจเพื่อนบ้าน ปัญหานี้มีสารพัดมากมาย ตั้งแต่ทิ้งขวดน้ำกระป๋องเบียร์ไว้ข้างสระว่ายน้ำ จัดงานปาร์ตี้เสียงดังในสวน โยนรองเท้า กองถุงขยะไว้หน้าห้อง พาคนนอกเข้ามาใช้ยิม รือห้องอ่านหนังสือ ซึ่งเรื่องพวกนี้คงต้องอาศัยพวกเราชาวคอนโดช่วยกันเป็นหูเป็นตาแจ้งให้นิติฯ จัดการ โดยปกติในข้อบังคับทุกคอนโดจะเขียนไว้ว่า ถ้ามีการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการใช้ทรัพย์ส่วนกลางเหล่านี้ ผลจะเป็นเช่นไร เช่น เรียกค่าเสียหาย แจ้งความ งดการให้บริการสาธารณูปโภค แต่ปัญหาคอนโดบ้านเรา คือการบังคับใช้กฎ เพราะแม้จะเขียนกฎไว้ แต่ถ้านิติฯ ไม่บังคับใช้กฎอย่างจริงจัง ปัญหาบางอย่างก็บานปลายออกไปได้ หรือแม้กระทั่งเรื่องเล็กน้อย อย่างเช่น การเจาะกำแพงแขวนนาฬิกาบนผนังด้านที่ติดกับอีกห้องหนึ่งโดยไม่ถามเขาก่อน เพราะถ้าว่ากันตามหลักแล้ว เรื่องนี้ก็ถือว่าผิดเช่นกัน เพราะผนังกั้นห้องนี้ถือเป็นกรรมสิทธิ์รวมของเจ้าของห้อง 2 ห้องที่ติดกันนี้นะครับ ดังนั้น ถ้าจะทำอะไรกับผนังนี้ต้องได้รับความยินยอมจากห้องที่ติดกันนี้ก่อนเสมอครับ   4. เลี้ยงสัตว์ในคอนโด คอนโดบ้านเราส่วนใหญ่จะมีกฎห้ามเลี้ยงสุนัข หรือแมว ทั้งนี้เพื่อความเป็นระเบียบ สะอาด และเงียบสงบของผู้อยู่อาศัยทุกคน ทางที่ดีทุกคนควรรักษากฎข้อนี้นะครับเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม ถ้าท่านใดอยากเลี้ยงสุนัข หรือแมวจริงๆ ขอแนะนำให้มองหาคอนโดที่ยอมให้เลี้ยงได้ ในกรณีที่เราเห็นคนเลี้ยงสุนัข หรือแมวซึ่งเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับคอนโด เราควรแจ้งนิติฯ ให้เข้ามาจัดการโดยเร็วเพื่อเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม เพราะถ้าเราปล่อยให้คนทำผิดข้อบังคับไปเรื่อยๆ โดยไม่มีใครร้องเรียน หรือจัดการ จะทำให้การดำเนินการกับเจ้าของห้องที่แอบเลี้ยงสุนัขเป็นไปได้ยากขึ้นเรื่อยๆ   5. โทรศัพท์มือถือสัญญาณแย่ คอนโดห้องสูงในหลายๆ คอนโดมักจะมีปัญหานี้โดยส่วนใหญ่จะเริ่มมีปัญหากันตั้งแต่ชั้น 10 ขึ้นไป (หรือแม้กระทั่งบางทีห้องชั้นเดียวกัน แต่ห้องด้านหนึ่งมีสัญญาณ แต่ห้องอีกด้านกลับไม่มี)  ทั้งนี้ เป็นเพราะว่าในแง่วิศวกรรมนั้น การส่งสัญญาณโทรศัพท์จะเป็นการส่งลงมาจากเสาสัญญาณที่สูง เป็นรูปกรวยลงมาบนพื้นดิน ไม่ได้ยิงในระนาบเดียวกับเสาสัญญาณ ทำให้ห้องที่อยู่สูงๆ หรือห้องบางทิศไม่สามารถรับสัญญาณโทรศัพท์ที่เพียงพอได้ วิธีที่อาจจะช่วยแก้ปัญหาได้คือ ขอให้นิติฯ ติดต่อค่ายโทรศัพท์ให้เข้ามาติดตั้งตัวขยายสัญญาณเพิ่มในคอนโด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ต้องได้รับความร่วมมือจากทั้งค่ายโทรศัพท์ และนิติฯ ทั้งสองฝ่ายด้วยครับ (เช่น นิติฯ ต้องยอมเสียค่าใช้จ่ายในการติดตั้งด้วย  เป็นต้น) หรือหากคอนโด หรือละแวกนั้นมีปัญหากันมากๆ ก็คงต้องรวมตัวกันติดต่อไปที่ค่ายโทรศัพท์ เพื่อให้ติดเสาสัญญาณ หรืออุปกรณ์เครือข่ายเพิ่มในละแวกนั้น ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ เพราะค่าใช้จ่ายจะสูงมากสำหรับค่ายโทรศัพท์ (และจะไม่เกี่ยวกับนิติฯ คอนโดของเรา   6. ค้างค่าส่วนกลาง หรือเงินส่วนกลางหาย ปัญหาเรื่องเงินๆ ทองๆ ที่เกิดบ่อย คือ ลูกบ้านบางคนไม่จ่ายค่าส่วนกลาง นิติฯ หรือคณะกรรมการบางคนทำตัวมาเฟียไม่โปร่งใสในเรื่องเงินๆ ทองๆ ในการบริหารจัดการคอนโด ปัญหาแรกเป็นเรื่องของการทำผิดกฎหมายคอนโดชัดเจน พราะกฎหมายกำหนดให้ลูกบ้านต้องร่วมกันออกค่าใช้จ่ายส่วนกลาง ผลของการไม่จ่ายตามกฎหมายคือ (ก) อาจโดนเงินเพิ่มร้อยละ 12 และถ้าค้างเกิน 6 เดือนอาจโดนถึงร้อยละ 20 และอาจถูกระงับการให้บริการสาธารณูปโภค หรือใช้ทรัพย์ส่วนกลางด้วย และ (ข) คอนโดห้องที่ค้างชำระส่วนกลางจะทำนิติกรรมการโอนไม่ได้ เพราะผู้จัดการนิติฯ จะไม่ออกหนังสือรับรองการปลอดหนี้ให้ ซึ่งจะทำให้จดทะเบียนขายไม่ได้ ส่วนปัญหาเรื่องไม่โปร่งใสนั้น กฎหมายกำหนดให้นิติฯ จะต้องทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายทุกเดือน และติดประกาศให้ลูกบ้านทราบทุกเดือน นอกจากนี้ นิติฯ จะต้องทำรายงานประจำปีแสดงผลการดำเนินงาน และงบดุล และปิดประกาศไว้ที่สำนักงานนิติฯ และเก็บไว้อย่างน้อย 10 ปีด้วย และหากนิติฯ ไม่ทำสิ่งเหล่านี้ ผู้จัดการนิติฯและประธานคณะกรรมการจะมีความผิด และต้องรับโทษปรับตามกฎหมายคอนโด ดังนั้น วิธีแก้คือพวกเราควรช่วยกันสอดส่องตัวเลขเหล่านี้ และถ้าเจออะไรมีพิรุธก็ควรดำเนินการตามกฎหมายทันที   7. ปัญหาน้ำรั่วน้ำซึม ปัญหานี้เกิดขึ้นได้บ่อยจากหลายสาเหตุ เช่น บางห้องไม่อยู่นานแล้วลืมปิดก๊อกน้ำ ปั๊มน้ำคอนโด หรือส่วนหนึ่งส่วนใดของระบบแรงดันน้ำรั่วหรือเสีย รอยต่อท่อส่วนกลางรั่วหรือแตก เป็นต้น ดังนั้นถ้าจะดูว่าใครต้องรับผิดชอบคงต้องดูว่าสาเหตุเกิดจากอะไร วิธีปฏิบัติที่ดีหากเกิดกรณีเช่นนี้คือ แจ้งให้นิติฯ ทราบเพื่อเข้ามาช่วยดู และพิจารณาร่วมกันว่า น้ำที่รั่วเกิดจากสาเหตุอะไร เกิดจากทรัพย์สินของใคร และจะรับผิดชอบกันอย่างไร แต่ในบางกรณีก็เป็นการยากที่จะขีดเส้นแบ่งว่า น้ำที่รั่วเกิดจากทรัพย์ส่วนบุคคลของห้องชุดห้องไหน (ซึ่งเจ้าของห้องชุดนั้นเองจะต้องรับผิดชอบ) หรือเกิดจากทรัพย์ส่วนกลาง (ซึ่งนิติฯ จะต้องรับผิดชอบ) ซึ่งถ้าไม่ชัดเจนแบบนี้ ก็คงขึ้นอยู่กับความเห็นของช่างประปา การพูดคุยหารือกันของเจ้าของห้องที่ได้รับผลกระทบ และการเข้ามาช่วยแก้ปัญหา หรือเจรจาไกล่เกลี่ยของนิติฯ แต่ถ้าชัดเจนว่าเกิดจากเจ้าของห้องใดห้องหนึ่ง เช่น เจ้าของห้องไม่อยู่แล้วเปิดน้ำทิ้งไว้อย่างประมาทเลินเล่อ แล้วเจ้าของห้องนี้ไม่ยอมรับผิดชอบ ห้องติดกันที่เสียหายมีสิทธิเล่นงานตามกฎหมาย สามารถเรียกค่าเสียหายจากเจ้าของห้องนี้ได้เลยครับ โดยถือเป็นความผิดฐานละเมิดสร้างความเสียหายให้แก่ผู้อื่น   8. ยาม และแม่บ้านละเลยหน้าที่ ปัญหานี้เกิดขึ้นได้ทั้งในอาคาร แหล่งพักอาศัย และคอนโดทุกประเภท หากรปภ.ปล่อยปละละเลยในการต้องแลกบัตรของ Visitor ไม่บังคับใช้กฎกับคนที่จอดรถไม่ถูกที่ถูกทาง หรือแม่บ้านไม่ทำความสะอาดส่วนกลางให้ดี หรือมาทำงานสายเป็นประจำ ปัญหาเหล่านี้จะมีผลต่อเนื่องไปถึงเรื่องความปลอดภัยของลูกบ้าน และความสะอาดภายในคอนโด ทางแก้ในเรื่องนี้คือ นิติบุคคลอาคารชุดจะต้องกำกับดูแลการทำงานของยาม และแม่บ้านอย่างเข้มงวด และลูกบ้านก็ควรจะช่วยกันสอดส่องดูแลการทำงานของยาม และแม่บ้านเหล่านี้ด้วย หากเห็นว่ายาม หรือแม่บ้านละเลยไม่ทำหน้าที่ที่ควรทำ เราก็ควรดำเนินการ หรือแจ้งให้ผู้จัดการนิติบุคคลทราบเพื่อแก้ปัญหากันต่อไปครับ   9. อาคารชำรุดเสียหายควรทำอย่างไร ความเห็นในเชิงวิศวกรรมส่วนใหญ่เห็นว่า อาคารคอนโดสามารถยืนระยะให้อยู่ในสภาพที่ดี หรือใช้การได้ดีได้นานอย่างน้อยถึงประมาณ 30 ปี (ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษาซ่อมแซมเป็นหลักด้วย) แล้วถ้าเกิดความเสียหาย เช่น ไฟไหม้ หรือแผ่นดินไหวกับตัวตึกก่อนหรือหลังจากนั้น ตามหลักแล้ว ถ้าอาคารเสียหายไม่ว่าทั้งหมด หรือบางส่วน การจะซ่อมหรือไม่ซ่อมอย่างไรนั้น จะขึ้นอยู่กับมติของเจ้าของห้องชุดเป็นหลักเสมอครับ เช่น ถ้าว่ากันตามหลักกฎหมายคอนโดบ้านเราตอนนี้ ถ้าเกิดกรณีเสียหายทั้งหมด หรือบางส่วน แต่เกินครึ่งของจำนวนห้องชุดทั้งหมด จะขึ้นอยู่กับมติไม่น้อยกว่า 50% ของจำนวนห้องชุดทุกห้อง แต่ถ้าเสียหายบางส่วน หรือไม่ถึงครึ่งของจำนวนห้องชุดทั้งหมด จะขึ้นอยู่กับมติไม่น้อยกว่า 50% ของเจ้าของห้องชุดที่เสียหาย ซึ่งไม่ว่าในกรณีใดก็ตาม ค่าใช้จ่ายเพื่อซ่อมแซมทรัพย์ส่วนกลาง เจ้าของห้องชุดทุกคนจะต้องร่วมกันรับผิดชอบเฉลี่ยตามส่วนที่ตนมีในทรัพย์ส่วนกลาง แต่ถ้าเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อซ่อมแซมทรัพย์ส่วนบุคคลในห้องชุดของแต่ละคน เจ้าของห้องชุดที่เสียหายต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเองนะครับ ซึ่งถ้ามีการทำประกันภัยครอบคลุมความเสียหายพวกนี้ไว้ ก็จะเป็นประโยชน์ทีเดียว   10. นิติบุคคลอาคารชุดไม่มีประสิทธิภาพ ปัญหาสุดท้ายแต่เป็นปัญหาที่ใหญ่ทีเดียว โดยหลักแล้ว วัตถุประสงค์ของการมีนิติบุคคลอาคารชุดตามกฎหมายคือ เพื่อจัดการ และดูแลรักษาทรัพย์ส่วนกลาง และให้มีอำนาจกระทำการใดๆ เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว โดยในตัวของนิติบุคคลเองก็จะประกอบไปด้วย 1) ผู้จัดการ 1 คน (แต่งตั้งตามมติที่ประชุมใหญ่ของลูกบ้าน) โดยผู้จัดการมีหน้าที่ปฏิบัติตามมติที่ประชุมลูกบ้าน จัดให้มีการดูแลความปลอดภัย หรือความสงบเรียบร้อย จัดให้มีการทำบัญชีรายรับรายจ่าย และอื่นๆ 2) คณะกรรมการนิติบุคคล (แต่งตั้งโดยที่ประชุมลูกบ้าน) โดยคณะกรรมการจะมีหน้าที่ควบคุมจัดการนิติบุคคลอาคารชุด และอื่นๆ ในทางปฏิบัติ ปัญหาหลักที่เกิดขึ้นคือ ผู้จัดการอาจไม่มีประสิทธิภาพในการทำงาน ในการบังคับใช้กฎ หรือขาดซึ่งประสบการณ์ในการจัดการกับผู้อยู่อาศัยในคอนโด ในทุกวันนี้ต้องยอมรับว่าเป็นการยากที่จะหาคนเข้ามาเป็นคณะกรรมการ (โดยเฉพาะคนที่มีประสบการณ์ที่เหมาะสมที่จะเข้ามาเป็น เช่น นักบัญชี นักกฎหมาย หรือวิศวกรที่รู้เรื่องอาคาร) เพราะการเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการนั้นจำเป็นต้องมีเวลาพอสมควร เช่น ต้องเข้าร่วมประชุมบ่อย แถมยังเปลืองตัวโดนด่า (ต้องตัดสินใจในเรื่องที่ไม่ค่อยเป็นที่ชื่นชอบของลูกบ้านหลายๆ คนแต่เป็นประโยชน์สำหรับส่วนรวม) และการเป็นคณะกรรมการก็ไม่มีค่าตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น ดังนั้นหากคนที่เข้ามาเป็นผู้จัดการ หรือคณะกรรมการไม่มีประสิทธิภาพ ความรู้ หรือประสบการณ์ในการแก้ปัญหาที่เพียงพอ ก็อาจนำมาซึ่งปัญหา หรือทำให้ปัญหาบางอย่างเรื้อรังได้ง่ายๆ