Tag : living

432 ผลลัพธ์
จัดฮวงจุ้ยบ้านยังไง? “เพิ่มเสน่ห์-เสริมความรัก”

จัดฮวงจุ้ยบ้านยังไง? “เพิ่มเสน่ห์-เสริมความรัก”

สุขภาพก็ดี การงานก็เริ่ด และอีกสิ่งที่อยากให้ดีตามไปด้วยก็เรื่องความรักไงล่ะ แถมช่วงนี้ทำไมกันน้าความรักเจ้าขาไม่มาหาเลย จะเฉียดมายังไม่มี โอ๊ยยย เซงเลย ส่วนคนมีคู่ช่วงนี้ใครคิดว่าอยู่ในช่วงห่างกันสักพักบ้าง แล้วทำไงเราจะกลับมาหวานชื่นกันเหมือนเดิม...อะๆ อย่าเพิ่งน้อยใจกันไป บางทีเรื่องนี้อาจจะต้องมาเสริมด้วยเรื่องฮวงจุ้ยกันหน่อย เพื่ออะไรๆ จะมาปิ๊งปั๊งกระเเทกใจ มาดูเเนวทางหลักๆในการจัดฮวงจุ้ยเสริมความรักกัน!   สร้างบรรยากาศในห้องนอน ตามหลักฮวงจุ้ยเเล้ว สภาพห้องนอนที่เหมาะสมกับความรักคือสภาพที่เป็นหยิน นั่นคือมีความสงบ อากาศถ่ายเท และไม่สว่างจนเกินไป เเสงสลัวหน่อยๆ ช่วยสร้างบรรยากาศแบบโรแมนติกไง เเละ “สีชมพูอ่อน” จะช่วยเสริมสร้างพลังแห่งความรักให้หวานชื่นกันไปเลย แอบกระซิบเคล็ดลับเล็กๆ ถ้าเเต่งห้องนอนด้วยโทนสีฟ้าหรือสีเทา จะช่วยให้รักกันดูดดื่มกว่าสีอื่นๆ   ปรับฮวงจุ้ยเสริมพลังธาตุ นี่ไม่ใช่ให้ไปฝึกฝนกำลังภายในกันนะ ที่ให้ทำคือเสริมพลังธาตุที่ทิศต่างๆ ทิศเหนือ/ทิศตะวันออกเฉียงใต้ มุมนี้ของบ้านเเละห้องนอนถือเป็นตัวเเทนเเห่งเสน่ห์เเละความรัก โดย ทิศเหนือเป็นตัวเเเทนของธาตุน้ำ อันเป็นพลังซึ่งเป็นเเรงขับทางเพศ ส่งเสริมให้ชายหญิงมีความปรารถนามากขึ้น ดังนั้นทิศเหนือของบ้านไม่ควรมีหินหรือวางก้อนหินมีคมเกะกะ เพราะจะบั่นทอนพลังของทิศนี้ เเต่ถ้าจัดเป็นบ่อปลา สวนน้ำ อ่างบัว ก็จะช่วยให้เกิดผลดีทางฮวงจุ้ย อะๆ แต่น้ำนั้นต้องดูเเลให้สะอาดนะ ไม่เน่า ไม่เหม็น ไม่ขัง ไม่งั้นจะกลายเป็นเกิดเรื่องอื้อฉาวขึ้นเเทน เเละห้องนอนมุมทิศเหนือนั้นสามารถใช้สีฟ้า สีเทา มาตกแต่งเสริมพลัง หาแก้วคริสตัลใสๆมาตั้งไว้ก็ช่วยเรื่องของความรักได้นะ ส่วนทิศตะวันออกเฉียงใต้ ส่วนนอกบ้าน แนะนำให้ปลูกดอกไม้สีสันสวยงาม ยิ่งใครโสดๆล่ะก็รีบทำเลย แล้วก็เลือกดอกไม้ที่มีกลิ่นหอม เช่น จำปี จำปา มะลิ ฯลฯ ก็ช่วยส่งเสริมพลังเป็นอย่างดี สำหรับห้องนอนทิศนี้ ก็จัดเเต่งสิ่งของน่ารักสวยงาม เช่น เเจกันดอกไม้ ตุ๊กตาคู่ หรือถ้าใครมีคู่แล้วจะวางรูปคู่ของเราสองก็กุ๊กกิ๊กไปอีกแบบก็ได้   เสริมพลังเเห่งดาวประจำปีที่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ สำหรับปี 2560 นี้ พลังแห่งรักของธาตุไม้จะโคจรอยู่บริเวณทิศตะวันออกเฉียงเหนือของห้อง สรุปแบบง่ายๆเลยคือเราสามารถเสริมฮวงจุ้ยเรื่องพลังแห่งความรักได้ทุกห้องในบ้านเลย จะห้องนอน ห้องนั่งเล่น หรือห้องทำงาน ได้หมดเลย วิธีการง่ายๆคือวางเเจกันดอกไม้ที่มำจากเซรามิคหรือแก้ว แล้วใส่ดอกไม้กลิ่นหอมบวกสีสันสวยงาม (ช่วยเสริมพลัง) ไว้จุดกึ่งกลางของห้องทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เเล้วอย่าลืมเปลี่ยนน้ำกันบ่อยๆ นะ จะได้ช่วยรักษาความสดชื่นให้กับดอกไม้ จะได้มีเสน่ห์กันไปตลอดปีเเต่ดาวไม่ได้โคจรมาเเต่ดวงความรักนะ ยังมีดาวประจำปีที่ควรแก้ไขคือดาวเเห่งความเป็นม่าย ซึ่งปีนี้ก็โคจรมาทางทิศนี้ด้วย โดยเฉพาะทิศนี้ของห้องนอน! ว้ายตายเเล้ว! เเถมพลังของทิศนี้เป็นธาตุดิน เป็นจุดสะสมพลังความเจ็บป่วยส่งผลร้ายต่อสาวๆ ยิ่งถ้าบ้านไหนมุมนี้สกปรก รก อับ คนที่อยู่ก็จะรู้สึกเบื่อหน่าย หงุดหงิด ดังนั้นเราควรแก้ไขด้วยการเสริมฮวงจุ้ยเพื่อเสริมพลังดีและลดพลังร้าย โดยวางโลหะสีเงิน ทอง หรือของเเวววาวที่อยู่นิ่งๆ ไปวางไว้ทิศนี้ ก็ช่วยผูกพลังร้ายไว้นั่นเอง แล้วอย่าลืมทำความสะอาดด้วยนะ นอกจากจะช่วยเสริมพลังฮวงจุ้ยเพิ่มความรักเรื่องคู่ครองกันไปแล้ว ยังช่วยเรื่องความสัมพันธ์ที่ดีของคนในครอบครัวด้วยนะ เเต่ถึงเราจะเสริมฮวงจุ้ยกันเต็มที่เเล้ว ก็ยังมีสิ่งที่ลืมไม่ได้และสำคัญที่สุดคือทั้งสามีเเละภรรยานั้นต้องถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน รู้จักให้อภัย ก็จะช่วยให้ชีวิตคู่ของเราราบรื่น ส่วนคนโสดก็พยายามต่อไปน้า Note ทบทวนก่อนจากกัน ห้องนอนโทนสีชมพูอ่อนจะช่วยเพิ่มเสน่ห์ความรักให้สดชื่น ห้องนอนโทนสีฟ้าหรือสีเทาช่วยปลุกพลังให้รักดูดดื่ม ทิศเหนือของบ้านหรือห้องนอน จัดสวนน้ำ, บ่อเลี้ยงปลา, อ่างบัว หรือแต่งด้วยสีฟ้า-สีเทา ทิศตะวันออกเฉียงใต้ของบ้านหรือห้องนอน ปลูกดอกไม้กลิ่นหอม หรือวางแจกันดอกไม้สด หรือตุ๊กตาคู่ หรือรูปถ่ายคู่กั ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ วางแจกันดอกไม้สดที่ตัวเองชื่นชอบ เอาแบบเเจกกันเเก้วหรือเซรามิค เเละดอกไม้หอมๆ สีสวยนะ อย่าลืมทำความสะอาด ทิศตะวันตกเฉียงเหนือของห้องไม่ให้สกปรก มีมุมอับ ไม่งั้นพลังความเจ็บป่วยจะมาหานะ ขอบคุณแหล่งที่มา : https://www.home.co.th/hometips/decoration/detail/54939-จัดฮวงจุ้ยบ้านยังไง?-"เพิ่มเสน่ห์-เสริมความรัก"
ผ่อนไหวใช่ว่าดี คำนวณก่อน ดอกเบี้ยบ้าน คุ้มค่าจริงเปล่า?

ผ่อนไหวใช่ว่าดี คำนวณก่อน ดอกเบี้ยบ้าน คุ้มค่าจริงเปล่า?

การมีทรัพย์สินติดตัวไว้ใช่ว่าจะเป็นเรื่องดีเสมอไป ยิ่งเมื่อการได้มาเป็นภาระเกินความจำเป็น ยิ่งมีมูลค่ามาก การได้มากก็ยิ่งยากขึ้นเท่านั้น และผู้ให้บริการทางการเงินส่วนมากก็มอบช่องทางสบายๆให้กับคนใจร้อน คนที่มีความต้องการมากเสียจนลืมคิดหน้าคิดหลังให้ดีซะก่อน หากคุณไม่อยากเสียผลประโยชน์จากการไม่วางแผน ลองอ่านบทความนี้ให้จบ แล้วคุณจะพบว่า ดอกเบี้ยจากการผ่อนบ้าน หากไม่บริหารให้ดี จะเจ็บหนักขนาดไหน   อันดับแรกคือหาเจ้าที่ประหยัดที่สุด เวลาเราไปดูตารางดอกเบี้ยของผู้ให้บริการทางการเงินหลายๆเจ้า เรามักจะเห็นคำว่า MRR นำอยู่ข้างหน้าเสมอ ตามด้วย สามปีแรกดอกเบี้ยกี่ % แล้วหลังจากนั้นเป็น MRR ลบเท่าไหร่ เช่น MRR = 7.25% สามปีแรก ดอกเบี้ย 3.75% ปีที่เหลือ ดอกเบี้ย MRR-2% เมื่อเห็นแบบนี้ก็เข้าใจง่ายๆว่าคุณจะต้องโดนดอกเบี้ยปีละกี่ % แต่ค่า MRR จะเปลี่ยนไปทุกปีตามกำหนดการของธนาคาร เป็นเหตุผลที่มีการรีไฟแนนซ์ ทำให้การตัดสินใจเลือกผู้บริการธุรกรรมทางการเงินเป็นเรื่องที่ค่อนข้างสำคัญเป็นอันดับต้นๆ ยังไม่รวมไปถึงปริมาณการผ่อนชำระ   หลักการผ่อนไม่ให้ขาดทุน จุดสำคัญที่อยากให้ทุกคนเข้าใจกันคือปริมาณก่อนผ่อนชำระของคุณ เพราะคนส่วนมากมักจะเลือกผ่อนทีละน้อย เพื่อไม่ให้เดือดร้อนทรัพย์สินส่วนอื่น ซึ่งเป็นความคิดที่ไม่ถูกไปซะหมด โดยเฉพาะกับคนที่สามารถรับผิดชอบผ่อนชำระได้มาก บางคนมีรายได้พอจะผ่อนให้เสร็จในสิบปีได้ แต่เลือกจะผ่อน 20 ปีเพื่อจะเอาเงินไปใช้ทำส่วนอื่น ซึ่งเป็นความคิดที่ผิดเต็มๆ ธนาคารมักจะมีการผ่อนชำระขั้นต่ำสุดอยู่ที่ประมาณ 1ล้านต่อ 7พันบาท จะผ่อนหมดในเวลาประมาณ 142 สัปดาห์หรือ 20 ปี ซึ่งใช้เวลานานมาก ในขณะที่ปริมาณดอกเบี้ยไม่ได้ลดลงเลย คุณอาจจะมีรายได้อยู่ที่ 30,000 บาทต่อเดือน ผ่อน 15,000 บาทต่อเดือนต่อเงินต้นสองล้านบาท คุณคิดว่าคุณจะโดนดอกเบี้ยเท่าไหร่? ดอกเบี้ยหรือค่า MRR อาจจะคงที่ในทุกทุกปีที่คุณผ่อน แต่ดอกเบี้ยจะมากหรือน้อย ก็ขึ้นอยู่กับเงินต้นว่าคุณผ่อนไปแล้วมากน้อยแค่ไหน ซึ่งดอกเบี้ยนั้นจะคำนวณตามเงินต้นและต้องรับผิดชอบทุกเดือน หมายความว่ายิ่งคุณจ่ายทีละน้อย เงินต้นก็จะลดลงช้าลงเท่านั้น เท่ากับว่าดอกเบี้ยก็จะลดลงช้าด้วยเช่นกัน จากล้านละเจ็ดพัน เปลี่ยนมาเป็นล้านละหมื่น จะย่นระยะเวลาการผ่อนชำระลงได้มากกว่าที่คุณคิด ยอมลงทุนผ่อนทีละมากๆต่อทรัพย์สินทีละชิ้น ดีกว่ามานั่งผ่อนยาวๆแต่เมื่อคำนวณออกมาแล้ว ดอกเบี้ยสูงเท่าเงินต้นนะครับ   รายได้ไม่พอ จะแก้ปัญหาอย่างไร? สำหรับคนที่มีความจำเป็นที่จะต้องผ่อนบ้าน หรือคนที่ผ่อนชำระไปแล้วพึ่งพบว่าตนเองกำลังขาดทุนอยู่จะแก้ปัญหาได้ทางไหนบ้าง? จริงๆแล้วหากไม่มีรายได้เพิ่ม ก็อาจจะเป็นทางออกที่ยาก แต่ก็มีทางเลือกง่ายๆดังนี้ โปะก้อนใหญ่ วิธีการแก้ปัญหาเงินต้นลดช้า แก้ได้ด้วยการโปะเงินก้อนเข้าไปในทุกทุกปีหรือทุกทุกเดือน เพื่อเป็นการลดเงินต้นอีกรูปแบบหนึ่ง แม้จะต้องใช้เงินเยอะเหมือนเดิม แต่ก็ขึ้นอยู่กับการบริหารเงินของท่านว่าทำได้มากน้อยแค่ไหน รีไฟแนนซ์ การรีไฟแนนซ์นั้นมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเสมอ หากคำนวณไม่ดี จะกลายเป็นขาดทุนไปด้วย แต่หากทำถูกวิธี จะสามารถลดดอกเบี้ยลงอย่างเห็นได้ชัด ข้อเสนอปัจจุบัน ดอกเบี้ยกำไรผู้ซื้อมีเป็นช่วงระยะเวลา 3 ปีแรก หลังจากนั้นไปการรีไฟแนนซ์จึงกลายมาเป็นทางเลือกที่ดีอีกทางหนึ่ง หาผู้กู้ร่วม ในเมื่อไม่สามารถรับผิดชอบด้วยตัวเองได้ ก็ต้องหาคนมาช่วยรับผิดชอบ อาจจะไม่ใช่รูปแบบของการ กู้ร่วมทั้งหมด แต่ก็สามารถหารายได้เพิ่มจากที่พักที่คุณมีนี่แหล่ะ ไม่ว่าจะเป็นเช่าที่ หรือเปลี่ยนเป็นหอพักก็ดีทั้งนั้น อย่างไรก็ตาม ปัญหานี้ไม่สามารถแก้ที่ปลายทางได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ วิธีการหลีกหนีดอกเบี้ยบ้านที่สูงเกินไป อยู่ตั้งแต่ตอนเริ่มขอสินเชื่อ ตั้งแต่ตอนคำนวณฐานรายได้และรูปแบบการชำระที่คุณต้องการ หากเตรียมพร้อมไว้ก่อน ก็จะไม่มีปัญหา อย่างไรก็ตาม คนที่ไม่มีทางเลือกก็จำเป็นต้องพยายามให้หนักกว่าคนอื่น หากต้องการจะออกจากวังวนนี้ แม้ว่าการผ่อนระยะเวลานานจะเป็นทางเลือกที่คุณสบายใจที่สุด แต่การผ่อนเงินเพียงสองล้านบาทอาจกลายเป็นดอกเบี้ยร่วมหนึ่งล้านบาทได้เลย มากพอที่จะคุณถอยรถยนต์อีกคันได้สบายๆ ดังนั้นก่อนจะทำการใหญ่ การศึกษาข้อมูลทางการเงินมีความจำเป็นมากกว่าที่คุณคิด อย่ารีบร้อน วางแผนให้ดีก่อน ขอบคุณข้อมูลจาก : https://finance.rabbit.co.th/blog/minimum-house-installment        
เรื่องควรรู้ก่อนตัดสินใจ รีไฟแนนซ์บ้าน

เรื่องควรรู้ก่อนตัดสินใจ รีไฟแนนซ์บ้าน

เรื่องของสินเชื่ออาจจะเป็นเรื่องที่เข้าใจยากซักหน่อย แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นเรื่องที่เราต้องรู้ไว้ ไม่ว่าคุณจะกำลังผ่อนบ้านอยู่ หรือกำลังตัดสินใจจะซื้อบ้านซักหลังเป็นของตัวเอง เรื่องสินเชื่อบ้าน ก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องไกลตัวเลยค่ะ     รีไฟแนนซ์บ้านคืออะไร? การรีไฟแนนซ์บ้าน คือ การขอกู้ยืมสินเชื่อก้อนใหม่จากธนาคารหรือสถาบันการเงินที่เรามีสัญญาการผ่อนชำระอยู่เดิม หรือ จะทำเรื่องกู้เงินจากธนาคารหรือสถาบันการเงินแห่งใหม่ มาโปะหนี้จากธนาคารเดิมก็สามารถทำได้ การรีไฟแนนซ์บ้าน ไม่ว่าจะเป็นการขอกู้เงินจากธนาคารเดิม หรือธนาคารหรือสถาบันการเงินแห่งใหม่ ต่างมีจุดประสงค์เพื่อขยายระยะเวลาการผ่อนที่เหลือให้นานขึ้น และมีค่างวดน้อยลง หรือ เพื่อให้ผ่อนหมดเร็วขึ้น     คนส่วนใหญ่มักจะนิยมรีไฟแนนซ์บ้าน หรือ คอนโดมิเนียม กันทุกๆ 3  ปี หรือ เมื่อเริ่มที่จะรู้สึกว่าผ่อนไม่ไหว แต่ในความเป็นจริงแล้ว การรีไฟแนนซ์บ้าน ไม่จำเป็นต้องรอให้เรารู้สึกว่าผ่อนบ้านหรือคอนโดไม่ไหวถึงจะยื่นเรื่องขอรีไฟแนนซ์ เพราะ ธนาคารและสถาบันการเงินต่างๆ มีกำหนดให้สามารถรีไฟแนนซ์ได้เรื่อยๆ (ทุกรอบ 3ปี) ทั้งนี้เพราะธนาคารและสถาบันการเงินแต่ละแห่งล้วนมีแรงจูงใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยที่ถูกลงนั่นเอง เพราะอัตราดอกเบี้ยในการกู้เงินซื้อบ้านหรือคอนโดของทุกธนาคารจะถูกแค่ในช่วง 3 ปีแรกเท่านั้น และหลังจากนั้นอัตราดอกเบี้ยจะเพิ่มขึ้น หมายความว่าคุณจะต้องจ่ายค่างวดและดอกเบี้ยการผ่อนบ้านในอัตราปกติ จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ลูกค้าหลายๆคนจึงเลือกทำการรีไฟแนนซ์บ้านกับธนาคารหรือสถาบันการเงินแห่งใหม่นั่นเอง       1.เงื่อนไขการรีไฟแนนซ์ของธนาคารและสถาบันการเงินแต่ละแห่ง ปัจจัยหลักๆของการกู้สินเชื่อบ้านคือดอกเบี้ย ดังนั้นหากคุณต้องการจะรีไฟแนนซ์ ดอกเบี้ยคือสิ่งที่จะต้องพิจารณาเป็นอย่างแรก อัตราดอกเบี้ยสำหรับการรีไฟแนนซ์ที่เหมาะสม คือ อัตราดอกเบี้ยจะต้องต่ำกว่าดอกเบี้ยตลอดสินเชื่อที่ใช้ในปัจจุบัน รวมทั้งเงื่อนไขเรื่องจำนวนเงินผ่อนต่องวดที่ต้องลดลงและ ระยะการผ่อนที่นานขึ้นเพราะธนาคารและสถาบันการเงินแต่ละแห่ง ย่อมมีเงื่อนไขการรีไฟแนนซ์ที่ต่างกัน หากคุณรู้เงื่อนไขของธนาคารแต่ละแห่ง จะทำให้เราสามารถคำนวนได้ว่าการรีไฟแนนซ์บ้านแต่ละครั้งมีส่วนช่วยในการลดดอกเบี้ยได้มากน้อยแค่ไหน     2.ค่าใช้จ่ายโดยรวมทั้งหมด อัตราดอกเบี้ย ค่าประเมินราคาทรัพย์สิน ค่าธรรมเนียมการปล่อยกู้ ค่าอากรแสตมป์ ค่าจำนองที่ดิน ค่าทำประกัน หรือค่าบริการอื่นๆ (ค่าประกันอัคคีภัย) ส่วนมากค่าใช้จ่ายโดยรวมนี้คุณสามารถคำนวนได้จากเว็บไซต์ของธนาคารและสถาบันการเงินแต่ละแห่ง เพราะในปัจจุบันธนาคารและสถาบันการเงินที่มีการให้บริการรีไฟแนนซ์ จะมีบริการคำนวนค่าใช้จ่ายให้แก่ลูกค้าที่ต้องการใช้บริการรีไฟแนนซ์อยู่แล้ว     3.ต้องรู้ว่าใช้เอกสารอะไรในการยื่นขอรีไฟแนนซ์บ้าง สำเนาบัตรประชาชน/สำเนาทะเบียนบ้าน พร้อมฉบับจริง ใบรับรองเงินเดือน (ย้อนหลัง 3เดือน) หรือ หนังสือผ่านสิทธิสวัสดิการข้อตกลง ฉบับจริง ใบเสร็จการผ่อนชำระย้อนหลัง 24 เดือน (ในกรณีรีไฟแนนซ์บ้านแบบไถ่ถอน) สำเนาบัญชีเงินฝากแสดงรายการย้อนหลัง 6 เดือน และหลักฐานแสดงฐานะการเงินอื่น ๆ พร้อมฉบับจริง หรือ Statement พร้อมเซ็นต์รับรอง หากผู้ยื่นเรื่องขอรีไฟแนนซ์ ประกอบอาชีพส่วนตัว ให้นำสำเนาใบประกอบวิชาชีพ หรือ ใบอนุญาตประกอบการ มาแสดงด้วย แต่หากประกอบธุรกิจให้นำสำเนาทะเบียนการค้า ทะเบียนบริษัท หรือทะเบียนห้างหุ้นส่วนฯ พร้อมยื่นหลักฐานการเสียภาษีเงินได้ แนบใบเสร็จตัวจริงจากกรมสรรพากร ย้อนหลัง 6 เดือน มาด้วย (รูปถ่ายกิจการ จำนวน 3-4 รูป) สำเนาโฉนดที่ดิน/นส.3ก/หนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุด/อช.2(2ชุด) พร้อมรับรองจาก สนง.ที่ดิน     4.ศึกษาขั้นตอนการรีไฟแนนซ์เบื้องต้น การศึกษาขั้นตอนการรีไฟแนนซ์บ้านจะทำให้คุณประหยัดเวลาในการดำเนินการได้มากขึ้น รวมถึงคุณสามารถเตรียมเอกสารและดำเนินการยื่นเอกสารได้ทันเวลาอีกด้วยค่ะ ไม่ว่าจะเป็น การติดต่อขอสำเนาสรุปยอดหนี้เงินกู้กับธนาคารเก่า ยื่นเอกสารสรุปยอดหนี้ที่ได้จากธนาคารแห่งเก่าไปขอรีไฟแนนซ์กับธนาคารหรือสถาบันการเงินแห่งใหม่ เจ้าหน้าที่ธนาคารมาประเมินทรัพย์สิน การนัดวันไถ่ถอนที่สำนักงานที่ดินธนาคารเดิม การนัดวันทำสัญญากับธนาคารหรือสถาบันการเงินแห่งใหม่ ดำเนินการเรื่องโอนที่ที่ดินในเขตที่ของเราตั้งอยู่   แม้ว่าข้อมูลต่างๆจะสำคัญต่อการรีไฟแนนซ์บ้าน แต่การศึกษาข้อมูลอย่างเดียวอาจจะไม่ใช่ทางออกทั้งหมด คุณควรดูปัจจัยจากตัวคุณเพิ่มเข้าไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นรายได้ประจำ เงินเก็บ กำลังทรัพย์ แนวมโน้มทางการเงิน แนวโน้มหน้าที่การงาน รวมถึงการคำนวนความสามารถในการผ่อนค่างวด ดอกเบี้ย รวมถึงระยะเวลาในการผ่อนด้วย  ขอบคุณข้อมูลจาก : https://finance.rabbit.co.th/blog/re-finance-101        
7 เทคนิคดีๆ ของการเลือกตึกแถว

7 เทคนิคดีๆ ของการเลือกตึกแถว

มนุษย์ต้องใช้ปัจจัยสี่ในการดำรงชีวิต ซึ่งทุกคนย่อมรู้จักกันดีอยู่แล้ว อย่างอาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค ถ้าไม่มีอาหารแน่นอนว่าขาดสารอาหาร ถ้าไม่มีเครื่องนุ่งห่มจะใช้อะไรปกปิดร่างกาย ขาดยารักษาโรคไปก็ไม่มีอะไรบรรเทาความเจ็บปวด และที่อยู่อาศัยก็จำเป็นต่อคนยุคก่อน เพราะเป็นการแสดงอาณาเขตของใครของมัน ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลส่งผลตรงมายังยุคปัจจุบัน สรุปว่าทุกปัจจัยสำคัญเท่าๆ กัน แต่วันนี้เราจะมาพูดถึงที่อยู่อาศัยกันนะคะ บางคนอาจจะเลือกซื้อ บ้าน เป็นที่พักพิง หรือ คอนโด เพราะว่าสะดวกสบาย เดินทางง่าย มีทุกอย่างภายในห้องเดียว แต่บางคนเลือกซื้อตึกแถวเป็นที่อยู่อาศัยเพื่อประกอบสัมมาอาชีพไปในตัว หรือซื้อไว้ลงทุนอะไรสักอย่าง เรียกได้ว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว เพราะตึกแถวมีรูปร่างตามชื่อเป็นตึกที่เป็นแถว จะมีกี่ชั้นก็ว่ากันไปตามสะดวกของการสร้างในเริ่มแรกสำหรับคนที่อยากมีตึกแถวก็คงนั่งคิดนอนคิดว่าจะใช้อะไรเป็นตัวตัดสินใจดีหนอ ไม่ต้องกังวลใจเดี๋ยวเราจะช่วยคุณเอง วันนี้เรารวบรวมข้อมูลดีๆ ของการเลือกตึกแถวมาให้แล้วจ้า   คนพลุกพล่าน บางคนอาจจะชอบความเงียบสงบไม่วุ่นวาย แต่สำหรับตึกแถวแล้วยิ่งอยู่ในย่านที่คนพลุกพล่านยิ่งดีค่ะ เพราะว่าเป็นทำเลชั้นยอด เป็นโอกาสในการลงทุน ถ้าเลือกตึกแถวในเส้นทางที่มีคนสัญจรไปมา เพราะผู้คนที่ผ่านไปผ่านมา ณ ตอนนั้น ในอนาคตอาจจะมาเป็นลูกค้าหากเราเปิดกิจการอะไรสักอย่างตรงตึกแถวนั้นก็เป็นได้   สะดุดตา สมมติว่าเลือกตึกแถวที่ทำเลในซอยอันคับแคบ คงสร้างความลำบากให้ลูกค้าที่จะมาอุดหนุนอยู่ไม่น้อย ดังนั้น ตึกแถวต้องเด่นชัด มองเห็นได้จากถนนยิ่งดี เพราะว่าคนที่มาติดต่อซื้อขายจะได้ไม่เสียเวลาหาสถานที่ตั้งของกิจการให้ยุ่งยาก ถ้าโชคเข้าข้าง ป้ายโฆษณาต่างๆ อาจจะติดต่อขอเช่าพื้นที่ในส่วนของตึกที่ว่างๆ เพื่อติดป้ายโฆษณาอีกด้วย   ที่จอดรถ ทุกกิจการย่อมไม่อยากย่ำอยู่กับที่ อยากก้าวไปข้างหน้า ที่จอดรถก็ไม่ควรมองข้าม หากลูกค้าที่มาอุดหนุนมองหาที่จอดรถไม่เจอก็คงจะผ่านเลยไป กิจการนั้นไม่อาจสร้างความประทับใจในแรกพบได้ ถ้ามีที่จอดรถไว้รองรับ ก็จะลดทอนความยากลำบาก เพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้าอีกด้วยนะ   ห้องริม ตึกแถวจะติดกันเป็นแถวยาว ลองเลือกตึกแถวที่อยู่ห้องริมหรือห้องหัวมุมสุด เพราะมันน่าลงทุนที่สุด! น่าลงทุนมากกว่าตึกแถวที่อยู่ห้องอยู่ตรงกลาง สำหรับกิจการสามารถมีทางเข้าออกได้ทั้งด้านหน้าและด้านข้าง พื้นที่อื่นๆ ที่เหลือก็ใช้สอยได้มากกว่าตึกแถวห้องกลาง แถมยังดูสบายตา ไม่อึดอัด ไม่คับแคบ หรือถ้าเลือกตึกแถวไว้ปล่อยเช่าก็มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นกว่าเดิม   ห้องคู่ ถ้าเป็นไปได้นอกจากจะห้องริมหรือห้องหัวมุมสุดแล้ว เป็นห้องคู่ก็จะดียิ่งขึ้นไปอีก จริงอยู่ที่ต้องจ่ายเงินเพิ่มเป็นอีกเท่าตัว แต่รับรองว่าได้คุ้มกว่าเสีย เพราะห้องคู่ดูกว้างขวางกว่าเดิม มีพื้นที่ใช้สอยประโยชน์มากกว่าเดิม เรียกได้ว่ามีความยืดหยุ่นในการใช้งาน ยิ่งถ้าเป็นห้องหัวมุมสุดและเป็นห้องคู่ จะเจ๋งยิ่งกว่าเดิม หรือจะปล่อยเช่ามูลค่าก็จะได้เพิ่มมากกว่าเดิมอีกด้วย   โครงสร้าง ไม่ว่าจะเลือกซื้อตึกแถวตอนสร้างเสร็จใหม่ๆ หรือสร้างเสร็จมานานแล้ว โครงสร้างที่มั่นคงและแข็งแรงจึงเป็นอีกข้อที่มองข้ามไม่ได้ เพราะเราไม่อาจมั่นใจได้เลยว่าความแข็งแรงของตึกแถวจะคงทน 100% หรือเปล่า เพราะปูนที่ฉาบ อิฐที่ก่อ ทรายที่ผสมก็ดูคล้ายคลึงกันไปซะหมด ถ้าสร้างเสร็จใหม่ๆ ก็ควรดูตั้งแต่เริ่มสร้างเลยจะดีมาก แต่ถ้าสร้างเสร็จมานานแล้วก็ควรตรวจเช็กให้ดีก่อนนะจ๊ะ เพื่อคุณภาพตึกแถวที่ดี   ต้องดูราคาให้ดีด้วย เพราะเงินคือปัจจัยหลักในการได้ตึกแถวมาครอบครอง การคำนวณราคาของตึกแถวก็จะละทิ้งไม่ได้เลย จะถูกหรือแพงอยู่ที่ว่าพื้นที่ตรงนั้นทำอะไรได้บ้าง ในย่านธุรกิจอาจมีราคาที่สูงอยู่พอสมควร ในบางทำเลก็มีราคาไม่เพียงกี่ล้าน การเช็กราคาหรือคำนวณ นอกจากจะดูรายได้ที่เราสามารถสร้างเงินได้แล้ว ควรดูจากสถาบันการเงินด้วยว่าสามารถปล่อยเงินกู้ให้ได้หรือเปล่า แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นถึงจะไม่ได้อยู่ในย่านธุรกิจเท่าที่ควร แต่ถ้าคิดอยากทำกิจการสักอย่าง ถ้ามีการประชาสัมพันธ์ดีๆ เพราะเดี๋ยวนี้มีโลกโซเชียลเป็นสื่อกลางแล้วนะ ก็จะทำให้กิจการรุ่งเรืองก็เป็นได้ อย่าลืมว่าอสังหาริมทรัยพ์ไม่ใช่ราคาถูกๆ จับจองเป็นเจ้าของก็ไม่ใช่เรื่องง่าย จะซื้อทั้งทีควรเลือกตึกแถวให้ดี บางคนใช้เวลานานมากกว่าจะได้ครอบครอง และกิจการที่ฝันไว้จะรุ่งเรืองได้ ความเข้าใจในการลงทุนก็เป็นส่วนสำคัญไม่แพ้กัน ใช้ศาสตร์แล้วก็อย่าลืมใช้ศิลป์ด้วยนะจ๊ะ เพื่อที่ว่าจะได้ประสบความสำเร็จตามที่วางแผนไว้   เป็นยังไงกันบ้างค่ะกับบทความดีๆ ที่เราเอามาฝาก ยังมีบทความน่ารู้อีกมากมายให้ได้ติดตามกันได้ที่นะคะ https://goo.gl/dwpzgr ขอขอบคุณข้อมูลจาก https://finance.rabbit.co.th/blog/7-tips-for-tenement-house
7 ผักสวยงามปลูกในกระถาง เด็ดกินก็ได้ วางประดับบ้านก็ดี

7 ผักสวยงามปลูกในกระถาง เด็ดกินก็ได้ วางประดับบ้านก็ดี

ผักสวยงามปลูกในกระถาง สำหรับปลูกประดับในบ้าน เช่น ห้องครัว มาดูกันว่าผักสวยงามปลูกในกระถางเหล่านี้ มีผักชนิดใดที่น่าปลูกในบ้านของเราบ้าง  ผักหลาย ๆ ชนิดก็สวยงาม ไม่แพ้ต้นไม้จัดสวนทั่วไปเลย วันนี้กระปุกดอทคอมเลยจะชวนทุกคนหาผักมาปลูกกัน เป็นผักสวยงามไว้ปลูกกินและประดับบ้านก็ได้ สามารถปลูกได้ในกระถางเล็ก ๆ แถมวิธีการปลูกนั้นก็ง่ายนิดเดียว แถมยังออกดอกหลากหลายสีสันที่จะช่วยให้บ้านของเราดูสดชื่นขึ้นด้วย จะรอช้าอยู่ทำไม...ตามไปดูผักสวยงามที่เรานำมาฝากกันในวันนี้พร้อม ๆ กันเลยค่ะ   1. ผักชี ผักชี ผักหอม หรือผักหอมน้อย เป็นพืชล้มลุกที่สามารถปลูกได้ตลอดทั้งปี แต่จะเจริญเติบโตไวที่สุดในช่วงหน้าหนาว ลักษณะของต้นผักชีคือ ลำต้นตั้งตรง ภายในกลวง กิ่งเล็ก ไม่มีขน สูงประมาณ 8-15 นิ้ว มีสีเขียว แต่เมื่อแก่จัดจะกลายเป็นสีเขียมอมน้ำตาล ใบแผ่ออกแบบรูปพัด ลักษณะขอบใบคล้ายขนนก ใบที่โคนต้นจะมีขนาดใหญ่กว่าใบส่วนยอด ดอกขนาดเล็ก มีทั้งสีขาวและชมพูอ่อน ออกเป็นช่อ มีผลทรงกลมขนาด 3-5 มิลลิเมตร นิยมขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด   2. ผักชีลาว ผักชีลาว ผักพื้นบ้านที่จัดอยู่ในกลุ่มพืชล้มลุกตระกูลเดียวกับผักชี มีอายุไม่ถึง 1 ปี ความสูงประมาณ 40-120 เซนติเมตร ลำต้นกลม เล็ก สีเขียวเข้ม เนื้ออ่อน หักงอง่าย แตกกิ่งตั้งแต่โคนต้น ก้านใบยาว 10-20 เซนติเมตร มีใบย่อยแตกออกตรงข้ามกันเป็นคู่จำนวนมาก ลักษณะใบเป็นเส้นขนาดเล็ก ปลายเรียวแหลม ความยาวไม่เกิน 2 เซนติเมตร มีดอกสีเหลืองออกเป็นช่อบริเวณส่วนยอดของลำต้น โดย 1 ดอก จะให้ผล 1 เมล็ด ทรงรี แต่จะมีลักษณะแบนเมื่อเมล็ดแห้งและแก่จัด เพาะด้วยการใช้เมล็ด ก่อนปลูกควรนำดินไปตากแดดเพื่ฆ่าเชื้อโรคและวัชพืช ประมาณ 10 วัน จากนั้นนำดินมาผสมกับปุ๋ยคอก ใส่ลงไปในกระถางแล้วเอาเมล็ดมาฝังกลบ พร้อมกับรดน้ำให้ชุ่ม ตั้งในบริเวณที่โดนแดด   3. ผักชีฝรั่ง ผักชีฝรั่ง เป็นผักที่มีชื่อเรียกหลากหลายตามถิ่นที่อยู่ อาทิ ผักชีดอย ผักชีใบเลื่อย ฯลฯ เป็นพืชล้มลุก จัดอยู่ในวงศ์ผักชีเช่นเดียวกัน เป็นผักที่มีเหง้าใต้ดิน ลักษณะเป็นกะเปราะทรงกลมรี ใบแทงออกจากเหง้า ความยาวประมาณ 0.5-1 เซนติเมตร ปลายใบแหลม ขอบหยักเหมือนฟันเลื่อย ผิวใบกระด้าง สีเขียวสด แต่จะมีสีเข้มเมื่อแก่ ออกดอกเป็นช่อแทงขึ้นกลางลำต้น มีใบประดับที่ก้านดอกรูปหอก กลีบดอกสีขาว มีดอกย่อยมาก อีกทั้งออกผลและให้เมล็ดด้วย วิธีปลูกผักชีฝรั่งด้วยการเพาะเมล็ด เริ่มจากผสมปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักลงในดิน ว่านเมล็ดลงไปแล้วกลบดินบาง ๆ รดน้ำให้ชุ่ม แต่ไม่ควรมีน้ำท่วมขัง ทุกวันเช้า-เย็น เมื่อเริ่มมีช่อดอกออกให้เด็ดทิ้ง เพื่อบำรุงต้นให้เจริญเติบโต   4. โรสแมรี่   โรสแมรี่ เป็นไม้พุ่ม จัดอยู่ในตระกูลกะเพรา ใบมีลักษณะคล้ายเข็ม ความยาว 2-4 เซนติเมตร ความกว้าง 0.2-0.5 เซนติเมตร ด้านบนของใบมีสีเขียว ท้องใบมีสีขาวและขนเล็ก ๆ ปกคลุม มีดอกหลายสี ได้แก่ ขาว ชมพู ม่วง และฟ้า ปลูกด้วยการปักชำจะง่ายกว่าการเพาะเมล็ด วิธีการปักชำโรสแมรี่ เริ่มจากตัดกิ่งความยาวประมาณ 4 นิ้วจากต้นที่สมบูรณ์ จากนั้นรองก้นกระถางด้วยกรวดหยาบประมาณ 2 ส่วน 3 และพีทมอสอีก 1 ใน 3 ของความสูงกระถาง ตั้งในที่มีแดดรำไร รดน้ำเมื่อสังเกตเห็นดินเริ่มแห้ง และหมั่นตัดแต่งกิ่งให้เป็นพุ่มอยู่เสมอ   5. ต้นไทม์ ต้นไทม์ เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก ความสูงของลำต้นประมาณ 15-30 เซนติเมตร แผ่เป็นพุ่มกว้าง 40 เซนติเมตร มีกิ่งก้านหนาแน่น แตกใบเรียงสลับ ออกดอกที่ปลายยอด ดอกมีสีขาวอมม่วง ใช้เมล็ดในการเพาะปลูกได้ ดินที่เหมาะสำหรับการปลูกต้นไทม์คือ ดินที่มีการระบายน้ำดี ได้แก่ ดินร่วนปนทราย หมั่นบำรุงด้วยปุ๋ยคอก วางไว้ที่โดนแสงแดดจัด ระวังอย่าให้ในกระถางมีน้ำขัง เพราะจะทำให้รากและใบเน่า   6. สะระแหน่ สะระแหน่ เป็นพืชไม้เลื้อยคลุมดินสามารถแตกเหง้าขยายเป็นกอใหญ่ได้ ความสูงประมาณ 15-30 เซนติเมตร ลำต้นมีลักษณะเป็นเหลี่ยม ผิวสีแดงอมม่วง แตกกิ่งจำนวนมาก แตกใบเดี่ยวออกเป็นคู่ตรงข้าม ใบหนา โคนใบกลมมน ปลายใบรี ขอบหยักย่น ผิวเป็นลูกคลื่นสีเขียว ออกดอกที่ปลายยอดสีขาวและมีเมล็ดทรงกลมสีดำ ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะชำจะง่ายที่สุด เริ่มจากผสมดินร่วน 2 ส่วน ทราย 1 ส่วน ปุ๋ยหมัก 1 ส่วน และปูนขาวเล็กน้อย คลุกเคล้าให้เข้ากันใส่ลงในกระถาง แล้วตัดกิ่งสะระแหน่ที่ไม่อ่อนหรือแก่ ปักเอนทาบลงไปกับดิน รดน้ำให้ชุ่มแต่อย่าแฉะ วางในที่มีแสงสว่างแต่ไม่โดนแดดโดยตรง บำรุงด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก หลีกเลี่ยงการใช้ปุ๋ยเคมี   7. ต้นเสจ  ต้นเสจ จัดเป็นไม้พุ่มหรือกึ่งไม้พุ่ม ความสูงลำต้นประมาณ 15-45 เซนติเมตร ลำต้นใสอวบน้ำ แตกใบเป็นคู่ตรงข้าม ลักษณะใบยาวรี มีขนาดเล็ก ความยาวประมาณ 2-10 เซนติเมตร ความกว้าง 1-2.6 เซนติเมตร โคนใบคล้ายรูปหัวใจ ปลายแหลมมน ผิวใบด้านบนสีเขียวอมเทา ใต้ใบสีเทส เนื้อใบนุ่ม เมื่อขยีจะมีกลิ่นหอม มีดอกสีน้ำเงิน ชมพู หรือขาว และมีเมล็ดขนาดเล็กสีดำ ขยายพันธุ์ได้ด้วยการตัดกิ่งที่สมบูรณ์หรือฝังเมล็ดลงในกระถางที่มีดินร่วนปนทราย วางไว้ในบริเวณที่มีแดดรำไร เช่น ใกล้หน้าต่าง หลังรดน้ำครั้งแรกควรรอให้ดินแห้งก่อนจึงค่อยรดน้ำครั้งต่อไป ใบของผักแต่ละต้นเนี่ยสวย ๆ ทั้งนั้นเลย ถ้าอยากลองนำมาปลูกในบ้าน ก็ลองพิจารณากันดูนะคะ เผื่อจะได้มีผักสด ๆ ไว้กินที่บ้าน แถมยังทำให้บ้านสวยงามขึ้นอีกต่างหาก   เป็นยังไงกันบ้างค่ะกับบทความดีๆ ที่เราเอามาฝาก ยังมีบทความน่ารู้อีกมากมายให้ได้ติดตามกันได้ที่นะคะ https://goo.gl/dwpzgr ขอขอบคุณข้อมูลจาก  home.kapook.com/view176978.html
“เซ้ง” อีกหนึ่งทางเลือกในตลาดอสังหาฯ

“เซ้ง” อีกหนึ่งทางเลือกในตลาดอสังหาฯ

เคยสงสัยไหมคะว่า ‘การเซ้ง’ คืออะไร? ถ้าให้อธิบายแบบเข้าใจง่ายๆ ก็คือ การเช่าระยะยาว หรือเรียกแบบทางการว่า การรับช่วงสิทธิที่ต้องทำสัญญาโอนให้เช่านั่นเอง ซึ่งการเซ้งเป็นอีกวิธีหนึ่งที่นิยมทำกันในแวดวงธุรกิจค่ะ เพราะผู้ประกอบการส่วนใหญ่มักจะเซ้งอาคารพาณิชย์หรือพื้นที่ในห้างสรรพสินค้าเพื่อทำการค้า เหตุผลที่ต้องเซ้งและไม่ซื้อขาดก็เนื่องจาก เจ้าของอาจไม่ต้องการขายที่ดิน หรืออสังหาริมทรัพย์นั้นๆ เพราะเป็นสมบัติของตระกูล, พื้นที่บริเวณนั้นเป็นของราชพัศดุ, เป็นพื้นที่ในส่วนของทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ หรือ ที่ดินส่วนนั้นอาจเป็นของสำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติ เป็นต้น โดยส่วนใหญ่แล้วทำเลที่มีการปล่อยเซ้ง มักจะมีศักยภาพในด้านต่างๆ สูง เช่น มีทำเลอยู่กลางใจเมือง เดินทางสะดวกสบาย และสามารถใช้ประโยชน์อื่นๆ ได้ในอนาคต สำหรับการเซ้งที่ทีมงาน Review Your Living หยิบยกมาพูดถึงในวันนี้ก็คือ การเซ้งที่ดินเปล่าค่ะ เรียกง่ายๆ ก็คือ "สิทธิการเช่าที่ดินในระยะยาว" ซึ่งอาจจะมีระยะเวลาในการเซ้ง 20 ปี, 25 ปี, 30 ปี หรือแล้วแต่การประเมิน โดยเจ้าของที่ดินไม่สามารถขอเรียกคืนก่อนหมดสัญญาเช่าได้ค่ะ หลายคนอาจจะคิดว่าการเซ้งที่ดินเปล่ามาก่อสร้างอาคารนั้นเป็นการเสี่ยงหรือเปล่า และมีข้อดี - ข้อเสียอย่างไร? วันนี้ทีมงานรวบรวมคำตอบมาให้คุณแล้วค่ะ ข้อดี 1. ราคาถูกกว่าการซื้อขาดบ้านโครงการอื่น เนื่องจากที่ดินปล่อยเซ้งนั้นทำเลมักจะดีกว่า เพราะมักอยู่ในจุดศูนย์กลางธุรกิจ แวดล้อมไปด้วยความสะดวกสบายใจกลางเมือง   2. ได้สิทธิ์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์การเซ้งต่อ ในกรณีที่ย้ายออกหรือเปลี่ยนที่อยู่ใหม่ก่อนหมดอายุสัญญา   3. สามารถขายกรรมสิทธิ์ต่อได้ ยิ่งถ้าราคาประเมินที่ดินสูงขึ้นเท่าไหร่ราคาเซ้งก็สูงขึ้นด้วย ซึ่งถือว่าเป็นการลงทุนรูปแบบหนึ่งที่น่าสนใจนะคะ เพราะมีโอกาสได้กำไรด้วยค่ะ   ข้อเสีย 1. ไม่ได้ครอบครองโดยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินนั้นโดยตรง เพราะเป็นการเช่าระยะยาวนั่นเอง   2. ต้องคอยต่อสัญญาใหม่เมื่อครบอายุสัญญาเซ้ง ซึ่งเจ้าของที่ดินมีสิทธิ์ในการพิจารณจะให้เราต่อสัญญาหรือไม่ก็ได้ ** ในกรณีที่ผู้เซ้งเล็งเห็นว่าศักยภาพของทำเลดี มีการวางแผนจะลงทุนสิ่งปลูกสร้างด้วยเงินลงทุนจำนวนมาก และต้องการป้องกันปัญหาการต่อสัญญาไม่ได้ในภายหลัง ผู้เซ้งอาจจะเจรจาขอเพิ่มข้อตกลงในสัญญา ให้เจ้าของที่ดินยินยอมให้ทำการต่อสัญญาเซ้งในภายหลัง โดยอาจจะเพิ่มข้อเสนอเรื่องราคา หรือผลตอบแทนอื่นๆ ไว้ล่วงหน้า ซึ่งเรื่องนี้ก็ขึ้นอยู่กับการเจรจาหาข้อตกลงระหว่างทั้งสองฝ่ายนะคะ อ่านมาถึงตรงนี้ เชื่อว่าหลายคนคงจะได้ข้อมูลเรื่อง “การเซ้งอสังหาริมทรัพย์” ไปไม่มากก็น้อยนะคะ หากใครกำลังสนใจจะลงทุนกับการเซ้งบ้านซักแห่ง เรามีโครงการที่น่าสนใจมาแนะนำกันค่ะ โครงการ “เดอะไพร์ม พระราม 9 - รามคำแหง 21” เป็นอีกหนึ่งโครงการที่น่าสนใจไม่น้อยเลยค่ะ เนื่องจากเป็นที่ดินบนทำเลศักยภาพ (ซอยรามคำแหง 21) สามารถเดินทางได้สะดวกสบายทั้งการเดินทางด้วยรถส่วนตัว และระบบขนส่งมวลชน ทั้งรถไฟฟ้า เรือด่วนแสนแสบ และรถประจำทาง อีกทั้งถนนหนทางในย่านนี้ก็เชื่อมต่อเข้าสู่ใจกลางเมืองได้หลายเส้นทางเลยค่ะ ในส่วนของการอยู่อาศัยทำเลในแถบนี้ยังแวดล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย อาทิ ห้างสรรพสินค้า สถานพยาบาล สถานศึกษา ศูนย์ราชการ และสถานที่สำคัญๆ อีกหลายแห่งเลยทีเดียว ทั้งนี้โครงการ เดอะไพร์ม พระราม 9 - รามคำแหง 21 มีบริษัท เดอะไพร์ม พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์เซ้งที่ดินจากสำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้จัดสรรและพัฒนาที่ดินเป็น โฮมออฟฟิศ และอาคารพาณิชย์ สูง 3 ชั้นครึ่ง และเปิดให้เราสามารถเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์การเซ้งที่ดินพร้อมตัวอาคารที่สร้างขึ้นเป็นระยะเวลานานถึง 30 ปี ด้วยราคาเริ่มต้นเพียง 3.45 ล้านบาท ซึ่งโฮมออฟฟิศและอาคารพาณิชย์ในทำเลนี้เหมาะสำหรับการทำธุรกิจ รวมถึงการอยู่อาศัย ด้วยการออกแบบในสไตล์โมเดิร์น เพื่อการดำเนินชีวิตคุณภาพไปพร้อมกับการทำธุรกิจ.... มาร่วมสัมผัสความคุ้มค่าที่ลงตัวทั้งด้านธุรกิจและชีวิตส่วนตัวได้แล้ววันนี้ที่ เดอะไพร์ม พระราม 9 - รามคำแหง 21 สำหรับผู้ที่สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.theprimeliving.com  
เคล็ดลับทำความสะอาดห้องน้ำ สะอาดวิ้ง ไร้คราบแบบง่ายๆ

เคล็ดลับทำความสะอาดห้องน้ำ สะอาดวิ้ง ไร้คราบแบบง่ายๆ

  เมื่อ ‘ห้องน้ำ’ เป็นอีกหนึ่งห้องสำคัญในบ้านที่ควรเอาใจใส่และไม่ควรมองข้าม นอกจากการออกแบบตกแต่งให้สวยงามแล้ว การทำความสะอาดให้น่าใช้ ดูใหม่เอี่ยมและไร้คราบก็เป็นอีกสิ่งที่จำเป็นไม่แพ้กัน แม้ว่าเราจะทำความสะอาดทุกวันหลังใช้ แต่บางครั้งก็ยังมีคราบลึกหรือจุดที่ยากจะเข้าถึงในการทำความสะอาดอยู่ดี ดังนั้นจึงไม่ควรพลาดเคล็ดลับทำความสะอาดที่เรานำมาฝากกันนะคะ   Cr.Pinterest ศัตรูความสกปรก คือ พื้นห้องน้ำ ห้องน้ำที่สกปรกมีคราบบนพื้นก็คงดูไม่น่าใช้งานเท่าไหร่ แถมใครไปใครมาก็น่าอายเขาอีกนะคะ ดังนั้นถ้าบริเวณร่องยาแนวหรือคราบหินปูนบนกระเบื้องมีจุดสีดำ ให้ใช้น้ำเปล่า 1 ส่วนกับน้ำส้มสายชู 2 ส่วน ใส่ขวดสเปรย์ฉีดทิ้งไว้สัก 15 นาที หลังจากนั้นจึงใช้ฟองน้ำบิดน้ำหมาดๆ เช็ดทำความสะอาดอีกครั้ง แค่นี้คราบสกปรกเหล่านั้นก็หายไปในพริบตาแล้วค่ะ   Cr.Pinterest ผนังห้องน้ำ ก็สกปรกได้เหมือนกันนะ นอกจากพื้นห้องน้ำที่เราต้องหมั่นทำความสะอาดแล้ว ผนังก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่เกิดคราบสกปรกได้ง่าย วิธีง่ายๆ ที่จะช่วยรักษาความสะอาดบนผนังได้คือทุกครั้งหลังใช้ห้องน้ำ ควรฉีดน้ำทำความสะอาดผนังก่อนที่คราบสบู่จะแห้งเป็นคราบ กรณีที่คราบฝังแน่นทำความสะอาดยากแล้ว ให้ใช้น้ำส้มสายชู 1 ส่วนผสมกับน้ำ 4 ส่วน และจึงใช้ผ้าชุบเช็ดผนังบริเวณที่มีคราบสบู่ ล้างด้วยน้ำสะอาด และใช้ผ้าแห้งเช็ดอีกครั้งก็สะอาดวิ้งเหมือนใหม่แล้วค่ะ Cr.Pinterest โถสุขภัณฑ์ยิ่งไม่ควรละเลย ขึ้นชื่อว่าห้องน้ำแน่นอนค่ะว่าโถสุขภัณฑ์ย่อมเป็นสิ่งที่ใช้งานบ่อย และหากโถสุขภัณฑ์บ้านคุณเป็นคราบปัสสาวะฝังแน่น แนะนำให้ใช้น้ำยาซักผ้าขาวสูตรเข้มข้นเทลงไป และใช้แปรงขัด จากนั้นก็ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำอีกครั้ง คราบก็จะหายไปแล้วค่ะ หรือใครอยากป้องกันและดับกลิ่นโถปัสสาวะ ก็สามารถทำสเปรย์ดับกลิ่นเองง่ายๆ โดยผสมแอลกอฮอล์ 1 ช้อนชา น้ำมันหอมระเหยกลิ่นสดชื่น 30-40 หยด และน้ำเปล่าเล็กน้อย จากนั้นก็เทใส่ขวดสเปรย์ เก็บไว้ใช้ฉีดที่โถสุขภัณฑ์ทุกครั้งหลังเสร็จธุระ ก็จะช่วยให้กลิ่นในห้องน้ำดูเฟรชขึ้นค่ะ   Cr.Pinterest กระจกวิเศษ..จงใสสะอาดตลอดเถิด! อีกหนึ่งวัสดุสำคัญที่เราเชื่อว่ามีอยู่ทุกห้องน้ำแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ส่องหน้าหรือแม้แต่ฉากกั้นอาบน้ำก็ล้วนแต่เป็นกระจก ดังนั้นพวกคราบสบู่ แชมพูสระผม ยาสีฟันจากการแปรงฟัน ก็สร้างปัญหาคราบสกปรกได้เช่นกัน วิธีทำความสะอาดง่ายๆ เมื่อใช้งานเสร็จทุกครั้งควรรีบเช็ดด้วยผ้าออกก่อนคราบจะแห้งติดเป็นรอย หากสกปรกจนไม่สามารถเช็ดออกได้ สามารถใช้น้ำยาเช็ดกระจกและใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ขัดกระจกก็จะเงาวิ้งสวยงามเช่นเคย   Cr.Pinterest อย่าปล่อยให้อ่างล้างหน้าสกปรกนะ! พื้นที่ใช้งานเป็นประจำในห้องน้ำอย่างอ่างล้างหน้าก็สกปรกได้นะคะ ซึ่งการทำความสะอาดที่ปลอดภัยต่ออ่างล้างหน้า เพื่อไม่ให้สีซีด ผุกร่อน มีวิธีง่ายๆ เพียงใช้เบกกิ้งโซดาปริมาณครึ่งถ้วยเล็กผสมน้ำมะนาวครึ่งลูก นำมาคนให้เข้ากัน และใช้ฟองน้ำชุบส่วนผสมเหล่านั้นไปขัดให้ทั่วอ่าง เพียงเท่านี้อ่างล้างหน้าก็จะสะอาดหมดจดแล้วค่ะ   การทำความสะอาดคราบสกปรกของห้องน้ำดูเป็นเรื่องใหญ่และยากใช่ไหมคะ แต่หากคุณผู้อ่านลองนำเคล็ดลับที่เรานำมาฝากด้านบนไปใช้ เราเชื่อว่าการทำความสะอาดห้องน้ำของคุณจะเป็นเรื่องง่ายทันที อย่าลืมนะคะว่าต่อให้ห้องน้ำดีไซน์สวยแค่ไหน แต่หากละเลยเรื่องความสะอาดความสวยงามก็คงหายไป รู้อย่างนี้คงไม่ปล่อยให้ห้องน้ำสกปรกแล้วใช่ไหมคะ?
ข้อคำนึงถึงความปลอดภัยของที่อยู่อาศัย

ข้อคำนึงถึงความปลอดภัยของที่อยู่อาศัย

เมื่อที่อยู่อาศัยเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิต ดังนั้นการคิดเลือกซื้อคอนโดมิเนียมหรือบ้านสักหลังก็ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งเลยใช่ไหมคะ? ครั้นจะเลือกซื้อเพราะถูกใจในทำเล แนวคิดโครงการ ขนาดพื้นที่ใช้สอย หรือชื่อเสียงจากผลงานที่ผ่านมาของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชื่อดังอย่างเดียวก็คงจะไม่พอ อีกหนึ่งข้อสำคัญที่พวกเราทีมงาน Review Your Living อยากให้คุณผู้อ่านพิจารณาให้ดีในการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยนั่นก็คือ ‘ความปลอดภัย’ ทั้งในด้านของชีวิตและทรัพย์สินค่ะ เพราะถ้าลำดับเหตุการณ์จากข่าวโจรกรรมที่เกิดขึ้นในประเทศจะเห็นได้ว่ามีบ้านในโครงการหรือแม้กระทั่งคอนโดมิเนียมส่วนหนึ่งที่ดูเหมือนปลอดภัยดี แต่ก็ยังไม่วายที่จะโดนยกเค้า! วันนี้เราจึงรวบรวม 3 ข้อมูลโดยเน้นในเรื่องความปลอดภัยของที่อยู่อาศัยมาฝากค่ะ เพื่อให้ทุกคนได้คำนึงและนำไปตรวจสอบก่อนตัดสินใจซื้อพร้อมย้ายเข้าอยู่อย่างสบายใจ บทความโดย Review Your Living 1. ความปลอดภัยในการวางแผนออกแบบโครงการ ข้อนี้ถือว่าเป็นหัวใจหลักของการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยเลยล่ะค่ะ เพราะการออกแบบถนนและจัดวางตำแหน่งอาคารให้มีความเป็นอยู่ปลอดภัย การจัดแบ่งโซนนิ่งหรือการสัญจรในโครงการ รวมไปจนถึงการเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์ที่ดี การจัดระบบรักษาความปลอดภัยและระเบียบการบริหารของหมู่บ้าน/คอนโดฯ  ก็ล้วนแต่มีความสำคัญที่จะทำให้ที่อยู่อาศัยสบายและปลอดภัยมากขึ้น 2. ระบบป้องกันภัยของโครงการ เป็นอีกเรื่องที่ถือว่ามีความสำคัญต่อความสุขและความสบายใจของครอบครัวไม่ใช่น้อยจริงๆ ค่ะ สำหรับระบบป้องกันภัยของโครงการ ฉะนั้นการเลือกระบบป้องกันภัยที่เราสามารถตรวจสอบได้หลักๆ เลยก็คือ ความสูงของรั้วโครงการควรสูงเกิน 3 เมตรขึ้นไป ระบบควบคุมการเข้าออกโครงการควรมีพนักงานรักษาความปลอดภัย ควมคุมการเข้าออกยานพาหนะด้วยระบบอิเล็คโทรนิกส์ เซ็นเตอร์ คอนโทรล แทนการติกสติ๊กเกอร์หน้ากระจก มีระบบประตูทางเข้า 2 ชั้น กล้องวงจรปิด CCTV ที่คอยบันทึกเทปตลอด 24 ชั่วโมง การควบคุมด้วยระบบ Key Card ทั้งการเข้าออกและการใช้ลิฟต์ การออกแบบโครงการให้ดูโปร่งโล่ง ง่ายต่อการมองเห็นหรือตรวจสอบลาดตระเวน เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุจราจร 3. การจัดการและออกกฎระเบียบรักษาความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพสูง อย่างที่ทราบกันดีแหละค่ะว่าทุกๆ โครงการบ้านหรือคอนโดมิเนียมส่วนใหญ่นั้นจะมีนิติบุคคลคอยดูแลทั้งในเรื่องของพื้นที่ส่วนกลางและระบบรักษาความปลอดภัย แต่ถ้าจะให้มั่นใจก็ควรตรวจสอบถึงกฎเกณฑ์ต่างๆ ให้รอบคอบกันสักนิดนะคะ อาทิ บุคคลภายนอกที่จะเข้ามาในโครงการนั้นต้องแลกบัตรทุกครั้ง หรือถ้าเป็นคอนโดฯ ก็ควรมีบริเวณพื้นที่ล็อบบี้รองรับไม่ให้เข้าไปสู่ด้านบนได้ทันที การตรวจสอบช่วงเวลาลาดตระเวนของรปภ. ที่ควรมีทุกชั่วโมง และการจัดยามรักษาการณ์ประจำบริเวณแยกแต่ละโซนนอกเหนือจากจุดผ่านเข้าออกโครงการ เป็นต้น ข้อมูลข้างต้นที่เรานำมาฝากนั้นก็เป็นเพียงตัวช่วยหนึ่งในการคำนึงถึงความปลอดภัยของที่อยู่อาศัย แต่ถ้าคุณผู้อ่านกำลังตัดสินใจจะเลือกซื้อบ้านหรือคอนโดฯ พวกเราทีมงาน Review Your Living แนะนำให้ลองศึกษาถึงข้อดีและข้อเสียของด้านอื่นๆ ด้วยนะคะ จะได้มีที่อยู่อาศัยที่ใช่และตรงใจที่สุดนั่นเอง เป็นยังไงกันบ้างค่ะกับบทความดีๆ ที่เราเอามาฝาก ยังมีบทความน่ารู้อีกมากมายให้ได้ติดตามกันได้ที่นะคะ https://goo.gl/dwpzgr  
การเลือกห้องคอนโด แบบไหน…ถึงเรียกว่าห้องสวย??

การเลือกห้องคอนโด แบบไหน…ถึงเรียกว่าห้องสวย??

เชื่อว่าแทบจะทุกคนต้องมีคำถามนี้อยู่ในใจแน่ๆ เมื่อคิดจะเลือกซื้อคอนโดมิเนียมซักห้อง ไม่ว่าจะซื้อไว้อยู่เองก็ดี หรือกำลังคิดจะผันตัวเองมาเป็นนักลงทุนอสังหาฯมือใหม่ ก็ต้องเคยวนเวียนอยู่กับการหาคำตอบว่า ห้องแบบไหนถึงจะดี หรือคอนโดไหนที่เรียกว่า “สวย” เรียบเรียงโดย Review Your Living   แน่นอนคำว่า “สวย” ในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงแค่รูปร่างหน้าตาตึก หรือการตกแต่งที่สวยงามที่เห็นได้ด้วยตาเปล่าเท่านั้นนะคะ แต่เรากำลังหมายถึง ความสวยที่มาพร้อมกับองค์ประกอบอื่นๆ เพื่อการอยู่อาศัย ความคุ้มค่าคุ้มราคาที่ต้องจ่าย รวมถึงปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ ที่จะทำให้ทุกคนลงความเห็นตรงกันว่า “สวย” อย่างเช่นเรื่อง “ทำเลที่ตั้ง” เป็นต้น   ยิ่งในภาวะที่ตลาดปัจจุบันมีคอนโดมิเนียมให้เลือกเป็นจำนวนมาก ชนิดที่ถ้าเอาข้อมูลมาวางเรียง เปรียบเทียบจุดเด่นจุดด้อยกันเป็นข้อๆ ก็คงมีคนตาลาย เมาข้อมูลกันไปบ้างไม่มากก็น้อยแหละ หรือถ้าลองไปถามเพื่อนฝูง คนใกล้ชิด หรือแม้แต่ผู้มีประสบการณ์ที่เราไว้วางใจ บางทีก็อาจจะได้คำตอบไม่ตรงกับใจ แย่กว่านั้นคอนโดที่เค้าช่วยเลือกให้อาจจะไม่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของเราเลยก็เป็นได้ เจอแบบนี้ก็ยิ่งปวดหัวไปกันใหญ่...จริงมั้ยคะ   วันนี้เราจึงอยากจะแชร์ข้อมูลให้ทุกคนได้ลองเก็บไว้ใช้ประกอบการตัดสินใจ เพื่อเลือกคอนโดมิเนียมให้ตอบโจทย์ตรงใจ แถมยังได้ห้องสวยคุ้มราคาด้วยกันด้วยค่ะ คำถามแรกๆ ที่เราต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อนก็คือ “งบประมาณที่จ่ายไหว” ส่วนใหญ่แล้วเรามักจะได้ยินตัวเลข “ประมาณ 2 ล้านบาท” ที่เป็นคำตอบในใจหลายคน อาจจะบวกลบได้นิดหน่อย อันนี้ไม่ว่ากันค่ะ   อันดับต่อมาคำว่า “คอนโดติดรถไฟฟ้า” ก็จะเป็นคำที่ผุดขึ้นมาในหัวและเป็นตัวเลือกลำดับต้นๆ ของทุกคน เพราะใครๆ ก็เชื่อว่า ถ้าได้คอนโดติดรถไฟฟ้า ยังไงซะราคาขายต่อก็ต้องดีมีกำไร ถ้าจะปล่อยเช่าก็คงทำได้ไม่ยาก และอาจจะเรียกราคาค่าเช่าได้มากขึ้นด้วย   ถ้าต้องเลือก “คอนโดติดรถไฟฟ้า” ปัจจุบันก็มีทำเลแนวรถไฟฟ้าหลายสายเลยค่ะ ทั้งที่เปิดใช้กันแล้ว หรือสายที่อยู่ในแผนอนาคต ซึ่งถ้าเลือกได้ คนส่วนใหญ่ก็จะขอเลือก “แนวรถไฟฟ้า BTS สายสีเขียว” กันแทบทั้งนั้น โดยเฉพาะแถบเส้นทางสายสุขุมวิทที่ใครๆ ก็รู้ว่าความเจริญขยายไปอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็กำไรเห็นๆ!!!   “ทำเลที่ตั้ง” ก็เป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญในอันดับต้นๆ เหมือนกันนะคะ นอกจากจะต้องอยู่ติดรถไฟฟ้าแล้ว ถ้าได้ทำเลในแหล่งชุมชนเก่า ใกล้แหล่งช็อปปิ้ง ใกล้แหล่งงาน รวมถึงแวดล้อมด้วยสาธารณูปโภคต่างๆ ได้พร้อมมากเท่าไหร่ ก็เชื่อได้ว่าความเป็นอยู่ของเราจะสะดวกสบายมากขึ้นเท่านั้นค่ะ ยิ่งถ้าได้โครงการติดถนนใหญ่ซัก 4 เลน ก็จะยิ่งเป็นข้อได้เปรียบ เพราะโครงการคอนโดติดถนนใหญ่แบบนี้ ก็จะเป็นคอนโด High Rise อย่างแน่นอน โอกาสในการซื้อขายและปล่อยเช่าก็ย่อมดีกว่าโครงการ Low Rise ในซอยชัวร์ๆ ค่ะ   และอีกหนึ่งข้อสำคัญที่เราต้องนำมาพิจารณาด้วยก็คือ “ความน่าเชื่อถือของ Developer” ถึงแม้คอนโดมิเนียมจากแบรนด์ดังๆ มักจะมีราคาขายค่อนข้างสูงกว่าแบรนด์ใหม่ๆ แต่บางครั้งเราก็ต้องยอมรับว่า ราคาที่ต้องจ่ายก็แลกมาด้วยความมั่นใจ ทั้งในเรื่องของคุณภาพ การจัดการ รวมถึงเชื่อได้ว่าเจ้าของโครงการจะส่งมอบห้องให้เราได้ตามสัญญา แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่า ผู้พัฒนาอสังหาฯ รายเล็กจะไม่น่าเชื่อถือนะคะ อันนี้เราแนะนำให้ลองพิจารณาจากโครงการที่ผ่านๆ มาของเค้าก่อนค่ะ บางรายเป็นเจ้าถิ่นที่มีความเชี่ยวชาญในพื้นที่เป็นอย่างดี สามารถทำคอนโดตอบโจทย์กลุ่มคนในย่านนั้นได้อย่างเหมาะสม อันนี้เราก็ควรจะเก็บไว้พิจารณานะคะ บางทีอาจจะเจ๋งกว่าแบรนด์ดังๆ ที่เพิ่งเข้ามาในพื้นที่ก็ได้ค่ะ     เป็นยังไงกันบ้างค่ะกับบทความดีๆ ที่เราเอามาฝาก ยังมีบทความน่ารู้อีกมากมายให้ได้ติดตามกันได้ที่นะคะ https://goo.gl/dwpzgr              
เคล็ดลับเก็บออมของมนุษย์เงินเดือน เพื่อเงินก้อนโต!

เคล็ดลับเก็บออมของมนุษย์เงินเดือน เพื่อเงินก้อนโต!

เคยสงสัยกันบ้างไหมคะว่าเงินแต่ละเดือนเราสูญหายไปไหนหมด? ทั้งๆ ที่ประหยัดแล้วแต่ก็ยังไม่มีเหลือเก็บ ยิ่งเป็นมนุษย์เงินเดือนที่มีค่าใช้จ่ายมากมายครั้นจะซื้อของขวัญชิ้นใหญ่ให้ตนเองอย่างยานพาหนะ หรือที่อยู่อาศัย ต่างก็ต้องใช้เงินก้อนจำนวนหนึ่งไปดาวน์เพื่อให้ได้สิ่งนั้นมา แต่จะทำยังไงให้ตนเองมีวินัยและสามารถเก็บเงินก้อนได้อยู่หมัด มาดูวิธีเก็บออมแบบง่ายๆ แต่ได้ผล ที่ทีมงาน Review Your Living รวบรวมมาฝากดีกว่าค่ะ เรียบเรียงโดย Review Your Living 1. ทำบัญชีรายรับรายจ่าย การแยกแยะรายรับรายจ่ายโดยการจดบันทึกหรือใช้แอพพลิเคชั่นในสมาร์ทโฟนนั้นจะช่วยอุดรอยรั่วปัญหาเงินหายไปไหนได้เป็นอย่างดี เพราะบัญชีเหล่านี้จะช่วยสะท้อนการใช้เงินในแต่ละวันของคุณว่าหมดไปกับอะไรบ้าง อีกทั้งยังเป็นตัวชี้วัดจำนวนรายได้ที่เข้ามาด้วย ทำให้สามารถคำนวณการใช้เงินและแบ่งเก็บออมได้อย่างสบายใจ 2. แบ่งแยกสัดส่วนให้ชัดเจน เมื่อมีรายรับเข้ามาให้แบ่งเงินออกเป็นส่วนๆ โดยแยกค่าสาธารณูปโภคจำพวกค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าบัตรเครดิตไว้ส่วนหนึ่ง แล้วจึงแบ่งเก็บออมแบบค่อยเป็นค่อยไปอาจจะ 5% หรือ 10% ของยอดที่เหลือจากการหักไว้ และเหลือเท่าไหร่ค่อยมาหารเฉลี่ยใช้รายวันอีกที 3. กำหนดค่าใช้จ่ายรายวัน หากเกินต้องหยอดกระปุก! อย่างที่กล่าวมาตามรายละเอียดจากข้อข้างต้น เมื่อคำนวณแบ่งค่าใช้จ่ายส่วนต่างๆ อย่างรอบคอบแล้ว อีกวิธีหนึ่งที่ช่วยเพิ่มเงินออมของคุณให้เพิ่มพูนขึ้นอย่างดาย โดยกำหนดค่าใช้จ่ายรายวันเช่น ตั้งใจใช้เงินวันละ 200 บาท แต่ใช้เกินไปเป็น 250 บาท ก็ต้องนำเงินมาหยอดกระปุก 50 บาท เพื่อเป็นกฎเกณฑ์ฝึกวินัยการใช้เงินไปในตัว ทั้งยังมีเงินเก็บเพิ่มขึ้นอีกด้วย 4. ดื่มกาแฟ = ออมเงิน สำหรับคอกาแฟตัวจริงที่ขาดไม่ได้เลยในแต่ละวันและรู้สึกผิดต่อตัวเองทุกครั้งที่เสียสตางค์จ่ายนั้น คงไม่ต้องรู้สึกกังวลใจอีกต่อไปแล้วค่ะ วิธีง่ายๆ ที่จะช่วยให้คุณรู้สึกดีทุกครั้งที่ซื้อกาแฟสักแก้วนั้น ก็เพียงแค่ใช้คติ ‘ซื้อเท่าไหร่ออมเท่านั้น’ เช่น เมื่อคุณซื้อกาแฟราคา 75 บาท คุณก็ต้องออมเงิน 75 บาท ซึ่งอาจจะดูเหมือนเป็นเงินจำนวนไม่มาก แต่เชื่อเถอะค่ะถ้าคุณออมแบบนี้ไปเรื่อยๆ จะมีเงินก้อนเพิ่มขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด   5. เศษอย่าใช้สิจ๊ะ แน่นอนค่ะว่าเงินเดือนหรือใบเสร็จต่างๆ มักไม่ใช่ยอดที่พอดิบพอดีเป๊ะ ดังนั้นอีกหนึ่งวิธีออมเงินที่เราอยากแนะนำก็คือ การเก็บเศษค่ะ ตัวอย่างเช่น มียอดเงินเดือนเข้ามา 24,500 บาท ก็กลั้นใจใช้ไปทุกเดือนเพียง 24,000 บาท ส่วน 500 บาทที่เหลือนั้นก็ถือเป็นการเก็บออมไปในตัวนั่นเอง ยิ่งถ้าคุณมีวินัยและตั้งใจเก็บไปทุกเดือนๆ เงินก้อนก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอนค่ะ   6. แบงค์ 50 ก็ช่วยได้นะ อีกหนึ่งเคล็ดลับที่ฮิตมากในกลุ่มนักศึกษาและพนักงานออฟฟิศนั่นก็การเก็บธนบัตรจำนวน 50 บาทค่ะ เพราะแบงค์ 50 นั้นไม่ใช่ว่าเรามีโอกาสได้รับบ่อยๆ เหมือนแบงค์ 20 และ 100 บาท ฉะนั้นหาก มีโอกาสได้เจอเวลาใช้จ่ายรับเงินทอนก็เก็บไว้เถอะค่ะ สะสมไปเรื่อยๆ เมื่อผ่านไปครบ 1 ปี ลองเอาออกมานับดู คุณอาจจะตกใจกับยอดเงินออมที่สูงลิ่วก็เป็นได้นะคะ เป็นยังไงกันบ้างค่ะกับบทความดีๆ ที่เราเอามาฝาก ยังมีบทความน่ารู้อีกมากมายให้ได้ติดตามกันได้ที่นะคะ https://goo.gl/dwpzgr  
บ้านสั่งสร้าง VS บ้านโครงการ อันไหนดีกว่ากัน?

บ้านสั่งสร้าง VS บ้านโครงการ อันไหนดีกว่ากัน?

ความสุขสำหรับใครหลายๆ คนคือการได้เจอและอยู่ในสถานที่ให้ความรู้สึกว่าเป็นที่ของเราใช่ไหมคะ เช่นเดียวกับการเลือกบ้านสักหลังหนึ่งที่ใครต่างให้คำนิยามว่าเป็น ‘พื้นที่ส่วนตัว’ หากคุณผู้อ่านกำลังมีแพลนจะซื้อบ้านใหม่ แต่ยังคงลังเลใจว่าควรซื้อบ้านโครงการที่สร้างไว้แล้วพร้อมเข้าอยู่ หรือบ้านสั่งสร้างโดยมองหาบริษัทออกแบบรับเหมาก่อสร้างดีนะ? วันนี้ทีมงาน Review Your Living เลยได้รวบรวมระหว่างข้อดีกับข้อเสียของบ้านสั่งสร้างและบ้านโครงการมาฝากค่ะ ซึ่งเรียกว่าเป็นตัวช่วยสำคัญ แก่การตัดสินใจเลือกบ้านแสนรักของคุณนั่นเอง เรียบเรียงโดย Review Your Living ข้อดีของบ้านสั่งสร้าง 1. เลือกบริษัทออกแบบบ้านได้ตามต้องการและสามารถควบคุมงบประมาณได้ ข้อนี้ถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญของบ้านสั่งสร้างเลยล่ะคะ เพราะคุณจะสามารถกำหนดงบประมาณเองได้ โดยเอาแบบแปลนบ้านที่ใช่ให้บริษัทออกแบบรับเหมาก่อสร้างประเมิน ซึ่งถ้าหากผู้รับเหมาตีราคาสูงเกินงบไป ก็สามารถต่อรองหรือปรับเปลี่ยนแก้แบบ หรือเลือกใช้วัสดุในงบประมาณที่พอดีได้ค่ะ 2. เลือกแบบบ้านและปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นการใช้งานได้ตามใจ ขึ้นชื่อว่า ‘บ้าน’ ทุกคนก็คงอยากเลือกทุกสิ่งทุกอย่างเองใช่ไหมคะ? การสั่งสร้างก็เป็นทางเลือกหนึ่งของการเนรมิตทุกสิ่งให้ออกมาอย่างใจ เพราะเราสามารถเลือกแบบบ้านในสไตล์ที่ใช่ ทั้งยังสามารถเลือกวัสดุและสีที่ชอบ รวมไปจนถึงการปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นทุกอย่างในบ้านให้ออกมาตามดั่งความต้องการ 3. มีระยะเวลาผ่อนนาน การสั่งสร้างนั้นมีระยะเวลาผ่อนนานกว่าบ้านที่สร้างเสร็จแล้ว ซึ่งสามารถผ่อนชำระเป็นงวดๆ ทำให้ทุกคนมีโอกาสเป็นเจ้าของบ้านกันง่ายขึ้น   ข้อเสียของบ้านสั่งสร้าง 1. ไม่สามารถเข้าอยู่ได้ทันที อย่างที่ทราบกันดีว่าบ้านสั่งสร้างต้องใช้เวลาในการดำเนินการก่อสร้าง ซึ่งก็จะดำเนินไปตามขั้นตอนและระยะเวลาในการจ้างที่ตกลงกับผู้รับเหมา ดังนั้นใครที่คิดเลือกบ้านสั่งสร้างก็ต้องใจเย็นๆ นะจ๊ะ 2. ปัญหาการทิ้งงานหรือล่าช้า คงปฏิเสธไม่ได้เลยค่ะว่าปัญหาทิ้งงานหรืองานล่าช้านั้นเกิดขึ้นเยอะมากในวงการสร้างบ้าน ดังนั้นถ้าคุณเลือกบ้านสั่งสร้างก็ควรทำการบ้านหาข้อมูลดีๆ อาทิ ผลงานที่ผ่านมา ชื่อเสียงและการตอบรับจากลูกค้า รายละเอียดสัญญา รวมไปจนถึงข้อตกลงของบริษัทนั้นๆ เป็นต้น 3. สภาพแวดล้อมไม่เหมือนบ้านโครงการ แน่นอนค่ะว่าการสั่งสร้างบ้านนั้น สภาพแวดล้อมก็คงไม่ได้สวยงามและแวดล้อมไปด้วยสาธารณูปโภคเหมือนดั่งบ้านตามโครงการทั่วไป ดังนั้นหากคุณจะกำลังมองหาที่ดินสักแปลงหนึ่งไว้สำหรับปลูกบ้าน ก็ควรเลือกทำเลที่ใช่เพื่อง่ายต่อการเดินทางสักหน่อยแล้วกันค่ะ   ข้อดีบ้านโครงการ 1. เลือกทำเลที่สะดวกต่อการเดินทาง ข้อดีข้อนี้ให้คะแนน 10/10 ไปเลยค่ะ เพราะเนื่องจากทุกวันนี้ไม่ว่าจะจังหวัดไหนรถก็ติดเหลือเกิน การเผื่อเวลาในการเดินทางเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างมาก แต่จะดีแค่ไหนถ้าบ้านเราอยู่ในทำเลที่ง่ายต่อการเดินทางเหมือนดั่งบ้านโครงการทั่วไปที่มักอยู่ใกล้จุดขึ้นลงทางด่วน รวมไปจนถึง BTS,MRT แค่นี้ก็เดินทางสบายแล้วค่ะ 2. ความสะดวกสบายระบบน้ำ/ไฟ รวมถึงสาธารณูปโภคและความปลอดภัย แน่นอนล่ะคะว่าบ้านโครงการส่วนใหญ่จะเดินสายไฟ ต่อท่อน้ำทุกอย่างให้เสร็จสรรพโดยที่คุณไม่ต้องเสียเงินจ้างช่างเฉพาะเพิ่ม ทั้งยังมีพื้นที่ส่วนกลางอย่าง สระว่ายน้ำ สวนสวย ฟิตเนต รองรับลูกบ้านอีกต่างหาก ที่สำคัญคือปลอดภัยไม่ต้องกลัวขโมยค่ะเพราะมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง 3. ขอสินเชื่อง่าย บ้านโครงการส่วนใหญ่มักได้รับความร่วมมือและเชื่อถือจากหลายสถาบันการเงิน ดังนั้นการเลือกซื้อบ้านโครงการจึงมีแนวโน้มที่จะยื่นกู้และอนุมัติได้ง่ายค่ะ   ข้อเสียบ้านโครงการ 1. ไม่สามารถควบคุมเรื่องคุณภาพวัสดุ แน่นอนค่ะว่าบ้านโครงการส่วนใหญ่มักดำเนินการสร้างไว้พร้อมอยู่แล้วและรอเพียงการตัดสินใจซื้อของคุณเท่านั้น ดังนั้นคุณภาพของวัสดุจึงต้องเป็นไปตามการเลือกใช้ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์นั้นๆ ซึ่งบางทีอาจไม่ตรงตามความต้องการของคุณ ข้อแนะนำคือศึกษาข้อมูลให้ดีและพิจารณาจากการสำรวจบ้านตัวอย่างที่สร้างเสร็จแล้วค่ะ 2. ไม่สามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นการใช้งานได้รวมถึงแบบบ้านมีให้เลือกน้อย เพราะแบบบ้านแต่ละโครงการมักถูกออกแบบและคิดฟังก์ชั่นการใช้งานมาแล้ว การปรับเปลี่ยนจึงเป็นเรื่องยาก ข้อแนะนำก็คือควรเลือกแบบบ้านและขนาดที่ลงตัวที่สุดเพื่อความสุขในทุกๆ วันนะคะ 3. มีข้อจำกัดในเรื่องของการต่อเติม การต่อเติมบ้านโครงการมักมีข้อจำกัดเยอะ เนื่องจากต้องคำนึงถึงสภาพพื้นที่ เพื่อนบ้าน การขนย้ายวัสดุก่อสร้าง ตลอดจนการแก้ปัญหาน้ำรั่วและรอยต่อของอาคาร และการขออนุญาตก่อสร้างด้วย ดังนั้นควรต้องศึกษาข้อมูลให้ดีรวมไปจนถึงขอคำปรึกษาจากวิศวกรก่อนก็จะช่วยทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้นค่ะ เป็นยังไงกันบ้างค่ะกับบทความดีๆ ที่เราเอามาฝาก ยังมีบทความน่ารู้อีกมากมายให้ได้ติดตามกันได้ที่นะคะ https://goo.gl/dwpzgr
ข้อควรรู้ก่อนตรวจรับบ้าน ด้วยตัวเอง

ข้อควรรู้ก่อนตรวจรับบ้าน ด้วยตัวเอง

เมื่อตัดสินใจซื้อบ้านสักหลังหนึ่งนอกจากถูกใจในเรื่องทำเลศักยภาพ สภาพแวดล้อม สาธารณูปโภคที่ครบครัน แปลนบ้านหรือคอนเซ็ปต์ต่างๆ ที่ตรงไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัยแล้วนั้น อีกหนึ่งขั้นตอนสำคัญก่อนตัดสินใจโอนคือ ‘การตรวจรับ’ เช็คความเรียบร้อยอย่างละเอียดทั้งหมดให้มั่นใจทั้งภายในและภายนอก ตั้งแต่ระบบโครงสร้างไปจนถึงงานสีว่าเป็นไปตามแบบหรือข้อตกลงโครงการนั้นๆ หรือไม่ แต่จะต้องตรวจสอบยังไง ใช้อุปกรณ์อะไรบ้าง สำหรับใครที่กำลังจะซื้อบ้านและไม่อยากเสียเงินจ้างวิศวกรเข้ามาช่วยนั้น ไม่ควรพลาดวิธีตรวจรับบ้านด้วยตัวเองที่ทีมงาน Review Your Living นำมาฝากในวันนี้ค่ะ บทความโดย Review Your Living 1. เตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม สำหรับการตรวจรับบ้านอุปกรณ์ที่ต้องเตรียมก็คือ สมุดจดและปากกาสำหรับจดรายการที่ต้องแก้ไข ไฟฉายเพื่อส่องในจุดที่แสงน้อย กล้องถ่ายรูปบันทึกหลักฐานในจุดที่ต้องแก้ไข ขนมปังเลี้ยงปลาเพื่อทดสอบการกดสุขภัณฑ์ และลูกปิงปองสำหรับเช็คระดับพื้นลาดเอียง 2. เช็คระบบโครงสร้างให้ดี บ้านที่สวยงามและแข็งแรงนั้นต้องมาจากระบบโครงสร้างที่ดี ดังนั้นควรเช็ครอยร้าวบริเวณผนัง พื้น คาน เสา ให้ดี รวมถึงความลาดเอียงของพื้นว่ามีน้ำขังหรือไม่ ซึ่งบ้านที่แข็งแรงต้องไม่มีรอยร้าวหรือโพรง นอกจากนี้ควรตรวจพื้นผิวที่ฉาบแล้วด้วยว่าเรียบเนียนดีไหม มีสีที่ทาหลุดลอกบ้างหรือเปล่า ในส่วนของฝ้าเพดานนั้นสังเกตได้จากความเรียบร้อยในการเข้ามุม และร่องรอยน้ำหยดที่บ่งบอกถึงปัญหารั่วซึม 3. ประตู หน้าต่าง อย่าละเลย! อย่าคิดว่าบ้านที่ตรวจสอบว่าโครงสร้างแข็งแรงแล้วนั้น ระบบช่องเปิดอย่างบานประตู หน้าต่างจะเรียบร้อยเสมอไป ดังนั้นจึงจำเป็นเช็คอย่างรอบคอบนะคะว่าทางโครงการได้ติดตั้งอุปกรณ์อยู่แนวระดับที่ถูกต้อง สามารถเปิด-ปิดสนิทได้ปกติหรือเปล่า ควรทดสอบการใช้งานกลอนทุกตัวว่าใช้งานได้ไหม รวมถึงดูความเรียบร้อยการยาแนวและรอยรั่วบริเวณขอบประตูและหน้าต่างทุกบานด้วยค่ะ   4. วัสดุก็เป็นเรื่องสำคัญ แน่นอนค่ะว่าการใช้วัสดุที่สวยงามก็ช่วยทำให้บ้านสมบูรณ์ขึ้น แต่วัสดุที่ทางโครงการเลือกใช้นั้นไม่ว่าจะคุณภาพสูงแค่ไหนเราก็ควรตรวจสอบให้ดีนะคะ  อย่างพื้นกระเบื้องนั้นต้องเดินแล้วไม่สะดุด พื้นลามิเนตเดินแล้วต้องไม่มีเสียงดัง ส่วนการเช็คว่าช่างปูพื้นได้ระดับหรือไม่ แนะนำให้ใช้ลูกปิงปองวางดู ถ้าไม่กลิ้งก็แสดงว่าได้ระดับค่ะ   5. ห้ามพลาดเรื่องระบบน้ำและไฟฟ้า หากตรวจสอบทุกข้อที่กล่าวมาตามข้างต้นครบแล้วนั้น ห้ามลืมเช็คระบบไฟฟ้านะคะ แนะนำให้ลองเปิดปิดสวิทซ์ไฟหลายๆ ครั้ง รวมถึงนำสายชาร์ตโทรศัพท์ที่พกมาเสียบดูทุกเต้าว่าใช้งานได้ปกติหรือไม่ ส่วนระบบน้ำนั้นควรตรวจเช็คจากการเปิดก๊อกและฝักบัวทุกตัวว่าน้ำไหลดีไหม เช็คระบบน้ำล้นโดยการทดลองขังน้ำไว้ในอ่างล้างหน้า อ่างล้างจานในครัว เพื่อดูว่าช่องน้ำล้นทำงานหรือเปล่า และจึงปล่อยออกเพื่อดูว่าน้ำสามารถไหลได้สะดวก ที่สำคัญอย่าลืมกดชักโครกโดยใช้ขนมปังแทนมูลเพื่อทดสอบว่าสามารถใช้งานได้ดีไม่มีอุดตัน 6. อย่าลืม...ภายนอกตัวบ้าน มาถึงข้อสุดท้ายแล้วค่ะ การตรวจรับบ้านนั้นไม่ใช่แค่เช็คเฉพาะภายในอย่างเดียวนะคะ แต่ภายนอกนั้นเราก็ควรตรวจสอบด้วย เริ่มจากสภาพบริเวณรอบๆ ตรวจระดับแนวดิ่งและฉาก ความลาดเอียงของท่อระบายน้ำ ท่อประปา ท่อน้ำทิ้ง ท่อน้ำดี ว่ามีระยะลาดเอียงอย่างไร สามารถระบายน้ำได้ดีหรือไม่ เป็นต้น เป็นยังไงกันบ้างค่ะกับบทความดีๆ ที่เราเอามาฝาก ยังมีบทความน่ารู้อีกมากมายให้ได้ติดตามกันได้ที่นะคะ https://goo.gl/dwpzgr
ตรวจรับบ้าน (ด้วยตัวเอง) ยังไงไม่ให้เสียใจภายหลัง!

ตรวจรับบ้าน (ด้วยตัวเอง) ยังไงไม่ให้เสียใจภายหลัง!

เมื่อตัดสินใจซื้อบ้านสักหลังหนึ่งนอกจากถูกใจในเรื่องทำเลศักยภาพ สภาพแวดล้อม สาธารณูปโภคที่ครบครัน แปลนบ้านหรือคอนเซ็ปต์ต่างๆ ที่ตรงไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัยแล้วนั้น อีกหนึ่งขั้นตอนสำคัญก่อนตัดสินใจโอนคือ ‘การตรวจรับ’ เช็คความเรียบร้อยอย่างละเอียดทั้งหมดให้มั่นใจทั้งภายในและภายนอก ตั้งแต่ระบบโครงสร้างไปจนถึงงานสีว่าเป็นไปตามแบบหรือข้อตกลงโครงการนั้นๆ หรือไม่ แต่จะต้องตรวจสอบยังไง ใช้อุปกรณ์อะไรบ้าง สำหรับใครที่กำลังจะซื้อบ้านและไม่อยากเสียเงินจ้างวิศวกรเข้ามาช่วยนั้น ไม่ควรพลาดวิธีตรวจรับบ้านด้วยตัวเองที่ทีมงาน Review Your Living นำมาฝากในวันนี้ค่ะ บทความโดย Review Your Living 1. เตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม สำหรับการตรวจรับบ้านอุปกรณ์ที่ต้องเตรียมก็คือ สมุดจดและปากกาสำหรับจดรายการที่ต้องแก้ไข ไฟฉายเพื่อส่องในจุดที่แสงน้อย กล้องถ่ายรูปบันทึกหลักฐานในจุดที่ต้องแก้ไข ขนมปังเลี้ยงปลาเพื่อทดสอบการกดสุขภัณฑ์ และลูกปิงปองสำหรับเช็คระดับพื้นลาดเอียง   2. เช็คระบบโครงสร้างให้ดี บ้านที่สวยงามและแข็งแรงนั้นต้องมาจากระบบโครงสร้างที่ดี ดังนั้นควรเช็ครอยร้าวบริเวณผนัง พื้น คาน เสา ให้ดี รวมถึงความลาดเอียงของพื้นว่ามีน้ำขังหรือไม่ ซึ่งบ้านที่แข็งแรงต้องไม่มีรอยร้าวหรือโพรง นอกจากนี้ควรตรวจพื้นผิวที่ฉาบแล้วด้วยว่าเรียบเนียนดีไหม มีสีที่ทาหลุดลอกบ้างหรือเปล่า ในส่วนของฝ้าเพดานนั้นสังเกตได้จากความเรียบร้อยในการเข้ามุม และร่องรอยน้ำหยดที่บ่งบอกถึงปัญหารั่วซึม 3. ประตู หน้าต่าง อย่าละเลย! อย่าคิดว่าบ้านที่ตรวจสอบว่าโครงสร้างแข็งแรงแล้วนั้น ระบบช่องเปิดอย่างบานประตู หน้าต่างจะเรียบร้อยเสมอไป ดังนั้นจึงจำเป็นเช็คอย่างรอบคอบนะคะว่าทางโครงการได้ติดตั้งอุปกรณ์อยู่แนวระดับที่ถูกต้อง สามารถเปิด-ปิดสนิทได้ปกติหรือเปล่า ควรทดสอบการใช้งานกลอนทุกตัวว่าใช้งานได้ไหม รวมถึงดูความเรียบร้อยการยาแนวและรอยรั่วบริเวณขอบประตูและหน้าต่างทุกบานด้วยค่ะ   4. วัสดุก็เป็นเรื่องสำคัญ แน่นอนค่ะว่าการใช้วัสดุที่สวยงามก็ช่วยทำให้บ้านสมบูรณ์ขึ้น แต่วัสดุที่ทางโครงการเลือกใช้นั้นไม่ว่าจะคุณภาพสูงแค่ไหนเราก็ควรตรวจสอบให้ดีนะคะ  อย่างพื้นกระเบื้องนั้นต้องเดินแล้วไม่สะดุด พื้นลามิเนตเดินแล้วต้องไม่มีเสียงดัง ส่วนการเช็คว่าช่างปูพื้นได้ระดับหรือไม่ แนะนำให้ใช้ลูกปิงปองวางดู ถ้าไม่กลิ้งก็แสดงว่าได้ระดับค่ะ   5. ห้ามพลาดเรื่องระบบน้ำและไฟฟ้า หากตรวจสอบทุกข้อที่กล่าวมาตามข้างต้นครบแล้วนั้น ห้ามลืมเช็คระบบไฟฟ้านะคะ แนะนำให้ลองเปิดปิดสวิทซ์ไฟหลายๆ ครั้ง รวมถึงนำสายชาร์ตโทรศัพท์ที่พกมาเสียบดูทุกเต้าว่าใช้งานได้ปกติหรือไม่ ส่วนระบบน้ำนั้นควรตรวจเช็คจากการเปิดก๊อกและฝักบัวทุกตัวว่าน้ำไหลดีไหม เช็คระบบน้ำล้นโดยการทดลองขังน้ำไว้ในอ่างล้างหน้า อ่างล้างจานในครัว เพื่อดูว่าช่องน้ำล้นทำงานหรือเปล่า และจึงปล่อยออกเพื่อดูว่าน้ำสามารถไหลได้สะดวก ที่สำคัญอย่าลืมกดชักโครกโดยใช้ขนมปังแทนมูลเพื่อทดสอบว่าสามารถใช้งานได้ดีไม่มีอุดตัน 6. อย่าลืม...ภายนอกตัวบ้าน มาถึงข้อสุดท้ายแล้วค่ะ การตรวจรับบ้านนั้นไม่ใช่แค่เช็คเฉพาะภายในอย่างเดียวนะคะ แต่ภายนอกนั้นเราก็ควรตรวจสอบด้วย เริ่มจากสภาพบริเวณรอบๆ ตรวจระดับแนวดิ่งและฉาก ความลาดเอียงของท่อระบายน้ำ ท่อประปา ท่อน้ำทิ้ง ท่อน้ำดี ว่ามีระยะลาดเอียงอย่างไร สามารถระบายน้ำได้ดีหรือไม่ เป็นต้น   เป็นยังไงกันบ้างค่ะกับบทความดีๆ ที่เราเอามาฝาก ยังมีบทความน่ารู้อีกมากมายให้ได้ติดตามกันได้ที่นะคะ https://goo.gl/rm8UR8 
เพดานคอนโดฯ เจอน้ำรั่ว…4 วิธีรับมือโดยด่วน

เพดานคอนโดฯ เจอน้ำรั่ว…4 วิธีรับมือโดยด่วน

เข้าสู่ช่วงฤดูฝนคราใด ปัญหากวนใจที่มักพบเจอกันบ่อยๆ ก็คงหนีไม่พ้นกับปัญหาน้ำรั่วจากเพดาน ที่ทำให้ผู้อยู่อาศัยอลหม่านต้องหาอุปกรณ์มารองน้ำไม่ให้เปียกพื้นหรือข้าวของบริเวณนั้น อีกทั้งยังทิ้งคราบ รอยด่างของเชื้อราไม่สวยงามหลงเหลือไว้ให้ดูต่างหน้าด้วย ซึ่งปัญหาที่กล่าวมาข้างต้นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะบ้านเดี่ยวเท่านั้นนะคะ แต่ยังสามารถเกิดขึ้นภายในคอนโดมิเนียมได้อีกด้วย ส่วนสาเหตุหลักๆ นั้นมา จากการใช้ระบบกันซึมที่ไม่มีคุณภาพและไม่ได้มาตรฐานเพียงพอนั่นเอง สำหรับใครที่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรเมื่อเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น ไม่ต้องกังวลใจไปนะคะ เพราะวันนี้ทีมงาน Review Your Living ได้รวบรวมวิธีรับมือปัญหาน้ำรั่วจากเพดานมาฝากค่ะ บทความโดย Review Your Living 1. ตั้งสติและเคลื่อนย้ายสิ่งของ ทันทีที่มีน้ำรั่วหยดลงมาจากเพดาน ขั้นตอนแรกคือรีบหาอุปกรณ์มารองน้ำเพื่อไม่ให้พื้นเปียกกระจายไปทั่วห้อง จากนั้นให้สังเกตว่าบริเวณน้ำรั่วลงมามีอะไรเสียหายหรือไม่ ถ้ามีควรเคลื่อนย้ายเฟอร์นิเจอร์หรือสิ่งของออก เพื่อป้องกันความเสียหาย หากเป็นเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่อย่าง ตู้เสื้อผ้า โซฟา ให้ใช้ถุงพลาสติกหรือผ้าใบผืนใหญ่มาคลุมไว้ก่อน เพราะความชื้นเป็นสาเหตุของเชื้อราที่สามารถทำเฟอร์นิเจอร์โปรดในห้องของคุณพังได้   2. หมั่นสำรวจตรวจเช็คให้ดี ปัญหาฝ้าหรือเพดานรั่วซึมส่วนใหญ่นั้นมาจากการก่อสร้างที่อาจไม่ได้ปูวัสดุกันซึมก่อนปูกระเบื้อง ท่อน้ำภายในเกิดการชำรุด หรือแผ่นฝ้ายิปซั่มที่เลือกใช้นั้นไม่มีวัสดุเคลือบที่ทนต่อความชื้นทำให้เกิดการอมน้ำสูงจนบวมและรั่วออกมาในที่สุด ดังนั้นเราควรหมั่นสำรวจสิ่งผิดปกติอยู่บ่อยๆ เช่น เช็ครอยแตกของผนังว่ามีรอยร้าวหรือไม่ แต่หากพบปัญหาน้ำรั่วแล้วให้มองหารอยรั่วโดยสังเกตจากจุดเล็กๆ ก่อน จะได้รู้ตำแหน่งที่ชัดเจนเพื่อรีบทำการแก้ไขในขั้นตอนต่อไป   3. แจ้งนิติบุคคล กฎยังไงก็ต้องเป็นกฎค่ะ ถ้าเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นอย่าเพิ่งใจร้อนโทรเรียกช่างเข้ามาซ่อมเลยก็คงจะไม่ได้ เมื่อเราอาศัยอยู่ในคอนโดมิเนียมไม่ว่าจะซ่อมหรือต่อเติมอะไรภายในห้อง กฎคือต้องแจ้งนิติบุคคลก่อน ดังนั้นแนะนำให้รีบแจ้งนิติบุคคลเพื่อขอความช่วยเหลือและให้ทราบถึงปัญหาที่เราพบเจอ ก่อนให้เจ้าหน้าที่ทำการตรวจสอบและดำเนินการแก้ไขต่อไป   4. ติดต่อช่าง ซ่อมแซมให้เรียบร้อย! การให้ช่างเข้ามาแก้ไขปัญหาที่ต้นตอหรือหาจุดกำเนิดรอยรั่วเพื่อทำการซ่อมแซมนั้นเป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้วค่ะ เพราะช่างที่ชำนาญจะสามารถแก้ไขปัญหาและอธิบายได้อย่างตรงจุด ดังนั้นหากเกิดปัญหาขึ้นไม่ควรปล่อยผ่านนิ่งนอนใจไปนะคะ เพราะถ้าปล่อยปัญหาไว้นานเข้ารอยรั่วเล็กๆ อาจก่อเกิดกลายเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค เชื้อราได้ด้วย อย่ารอช้า! รีบติดต่อนิติบุคคลเพื่อประสานช่างเข้ามาช่วยดูแลก่อนดีกว่าค่ะ ปัญหาน้ำรั่วจากเพดานในช่วงหน้าฝนแบบนี้คงทำให้หลายคนกังวลใจไม่ใช่น้อยใช่ไหมคะ ดังนั้นรีบตรวจสอบรอยแตกร้าวหรือจุดรั่วตั้งแต่เนิ่นๆ ก็เป็นอีกเรื่องที่ทีมงาน Review Your Living สนับสนุนให้ทำนะคะ เพราะถ้าเกิดปัญหาขึ้นมาแล้วค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมก็ต้องใช้เงินประมาณหนึ่ง ฉะนั้นป้องกันไว้ก่อนก็ปลอดภัยและสบายใจกว่าจริงไหมคะ?
7 จุดต้องตรวจเช็ค เตรียมบ้านต้อนรับหน้าฝน

7 จุดต้องตรวจเช็ค เตรียมบ้านต้อนรับหน้าฝน

นับเป็นความโชคดีที่ปีนี้อากาศไม่ร้อนมากนัก แต่ในขณะเดียวกันหลาย ๆ พื้นที่ ฝนตกชุกยิ่งกว่าฤดูฝน ฝนที่มาเร็วกว่าทุก ๆ ปีแถมยังตกกระหน่ำยาวนานหลายเดือน บ้านที่ต้องเจอกับความชื้นทุก ๆ วัน อาจก่อให้เกิดเชื้อรา เกิดรอยดำไม่สวยงาม ยิ่งบ้านไหนมีรอยร้าว หลังคารั่วซึม ท่อน้ำตัน ยิ่งเสี่ยงต่อการเกิดความเสียหาย หากแก้ไขช้าไปย่อมส่งผลกระทบบานปลายขึ้นเรื่อย ๆ เราจึงรวบรวมสิ่งที่ควรตรวจเช็คและวิธีการเตรียมบ้านให้พร้อม เพื่อรับมือกับหน้าฝนได้อย่างมีประสิทธิภาพมาฝากกัน หน้าฝนนี้จะได้นั่งชิล ๆ ริมหน้าต่าง ฟังเสียงฝนตกกระทบอย่างสบายใจ   1. ตรวจเช็ครอยรั่ว 3 จุดใหญ่ หลังคา ฝ้าเพดาน และผนัง เป็น 3 จุดสำคัญหลัก ๆ ที่เมื่อเกิดการร้าว รั่ว ซึม จะเกิดปัญหากับบ้านอย่างแน่นอน บางจุดใหญ่ ๆ ก็เห็นได้ชัดเจน แต่บางจุดเล็ก ๆ ที่ถูกละเลยอาจลุกลามเป็นปัญหาใหญ่ได้ จึงต้องหมั่นสังเกตว่ามีสัญญาณอันตรายหรือไม่ เช่น ฝ้าเพดานมีคราบรอยน้ำหยดซึมเป็นดวงสีน้ำตาล, ผนังตรงไหนมีรอยแตกร้าว เกิดรูรั่วตามรอยต่อไหม เป็นต้น หากพบจุดที่เสียหายไม่มากก็อาจจะซ่อมแซมด้วยตัวเองด้วยวัสดุอุดรูรั่ว กันซึมประเภทอะคลิริค ซีเมนต์ หรือซิลิโคน แล้วแต่ชนิดของปัญหา หรือให้ช่างผู้เชี่ยวชาญเข้ามาช่วย ที่สำคัญ อย่าลืมตรวจดูน้ำรั่วซึมตามขอบวงกบประตูหน้าต่าง ผนังภายนอกอาคาร และพื้นดาดฟ้าด้วยนะครับ   2. ดูแลทำความสะอาดรางน้ำฝน รางระบายน้ำ ทางระบายน้ำไม่ว่าจะเป็นรางน้ำฝนหรือท่อระบายน้ำทิ้งออกจากตัวบ้าน ตรวจเช็คทำความสะอาดเพื่อไม่ให้มีสิ่งอุดตันมาขวางทางไหลของน้ำ เมื่อน้ำฝนไหลลงมาจากหลังคาสู่รางน้ำลงท่อระบายน้ำก็จะไหลออกจากตัวบ้านได้อย่างรวดเร็ว ป้องกันปัญหาน้ำไหลย้อนเข้าไปรั่วซึมภายในบ้านหรือท่วมขังรอบตัวบ้าน ซึ่งจะทำให้โครงสร้างส่วนนอกเปียกชื้น โดยเฉพาะส่วนฐานรากของตัวบ้านที่จะดูดซับความชื้นจากใต้ดิน อาจทำให้ตัวบ้านเสียหายได้   3. ขัดพื้นบริเวณระเบียง ชาน ทางเดิน หลังฝนตกชุกติดต่อกันหลายวัน เรามักจะพบคราบตะไคร่สีเขียวเกาะติดอยู่บนพื้นภายนอก หรือดินโคลนลื่น ๆ บริเวณระเบียงกลางแจ้ง ทางเดินในสวน ทางเดินรอบตัวบ้าน หมั่นตรวจเช็คดูว่ามีตะไคร่น้ำหรือเชื้อราอยู่บริเวณพื้นหรือไม่ ถ้ามีให้ทำความสะอาดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อราและกำจัดตะไคร่น้ำสูตรน้ำ นำแปรงมาขัดล้างออก เพื่อป้องกันอุบัติเหตุจากการลื่นล้ม   4. ตัดแต่งกิ่งต้นไม้ใหญ่ใกล้ ๆ บ้าน แม้ต้นไม้จะให้ร่มเงาที่เย็นสบายในช่วงฤดูร้อน แต่อาจส่งผลอันตรายได้ในฤดูฝน ด้วยพายุลมกรรโชกแรงมักส่งผลให้กิ่งไม้แตกหักล้มทับตัวบ้าน ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายได้ เมื่อเข้าสู่หน้าฝนควรตัดแต่งกิ่งไม้ให้ดูโปร่ง ไม่ให้มีพุ่มใหญ่หนาจนเกินไป นอกจากนี้ควรต้องดูแลสวนไม่ให้มีน้ำขัง หญ้าไม่รก เพราะอาจเป็นที่ซ่อนตัวของสัตว์มีพิษและที่อยู่ของยุงลายได้   5. เช็คปลั๊กไฟ โคมไฟ กลางแจ้ง จุดนี้สำคัญมาก บ้านบางหลังที่มีความจำเป็นต้องต่อสายไฟ ปลั๊กไฟนอกบ้าน จึงควรยกปลั๊กให้สูงจากพื้นบ้านและระดับที่น้ำท่วมถึง ตรวจเช็คระบบไฟฟ้าและบริเวณปลั๊กไฟที่อยู่ในจุดเสี่ยงว่ามีการรั่วของไฟหรือไม่  และทำฝาปิดครอบให้แน่นหนาเพื่อป้องกันละอองน้ำฝน หรือเปลี่ยนไปใช้ปลั๊กแบบที่มีฝาเปิด-ปิด   6. ซ่อมแซมอุปกรณ์ฟิตติ้งในบ้าน หน้าฝนประตูหน้าต่างที่ทำจากไม้จะขยายตัวทำให้ประตูฝืด ๆ และความชื้นจะทำให้อุปกรณ์ฟิตติ้งประเภทต่าง ๆ  เป็นสนิมจนทำให้ฝืดและเกิดเสียงดังจนน่ารำคาญได้ รูกุญแจ ลูกบิดก็ใช้งานได้ยากขึ้น วิธีแก้ไขคือใช้ผ้าแห้ง เช็ดอุปกรณ์และวัสดุที่จะซ่อมแซม จากนั้นใช้น้ำมันจักร น้ำมันหล่อลื่นสารพัดประโยชน์มาชโลม ฉีด พ่น ตามจุดรอยต่อ บานพับประตู หน้าต่าง แต่ทั้งนี้ต้องแน่ใจว่าจุดดังกล่าวแห้งแล้วจริง ๆ ค่อยใส่น้ำมัน และไม่ควรใช้จารบีอัดเข้าไปเพราะอาจจะทําให้นํ้าที่ยังขังอยู่ภายในไม่สามารถระเหยออกได้   7. เตรียมพร้อมสำหรับจุดอื่น ๆ ในบ้านและสวน เช่น ทาสีย้อมไม้กันน้ำเคลือบเนื้อไม้ที่อยู่กลางแจ้ง เพื่อป้องกันน้ำฝนซึมเข้าไปในเนื้อไม้ ไม้บริเวณนั้นอาจเสียหายจนอาจจะต้องเปลี่ยนใหม่ กำจัดรังมดและแมลงที่ชอบหนีน้ำเข้ามาอยู่ในบ้าน ยกต้นไม้ที่ไม่ชอบน้ำมากเข้ามาอยู่ในเขตที่ไม่โดนน้ำฝนมากเกินไป เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับขั้นตอนง่าย ๆ ในการเตรียมตัวรับมือกับหน้าฝนนี้ หวังว่าจะเป็นแนวทางในการจัดการบ้านให้ไร้ปัญหากวนใจกันนะครับ สำหรับผู้อ่านท่านไหนที่กำลังมองหาตัวช่วย อุปกรณ์ซ่อมแซมรอยร้าว รั่ว ซึม บริเวณเสา ผนัง ดาดฟ้า หลังคา และดูแลอุปกรณ์ฟิตติ้งให้ใช้งานได้ดี   ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.banidea.com/thai-watsadu/
วิธีทำความสะอาดกระจกห้องน้ำ

วิธีทำความสะอาดกระจกห้องน้ำ

หากกระจกห้องน้ำไม่ใสสะอาดพอ คุณจะเเน่ใจได้อย่างไรว่าคุณดูดีแล้ว? ไม่ว่าจะเป็นการเช็คลิปสติกที่ติดฟันหรือเช็คผมที่กระเซอะกระเซิงจากการตื่นนอน กระจกห้องน้ำสามารถช่วยให้คุณดูดีได้ ดังนั้นเราจึงควรให้ความสำคัญกับกระจกและทำความสะอาดให้ใสสะอาดอยู่ตลอดเวลา คุณรู้วิธีทำความสะอาดกระจกห้องน้ำหรือไม่? จริงๆ แล้วการทำความสะอาดกระจกห้องน้ำไม่ได้ยากอย่างที่หลายคนคิดไว้ เพราะอาจมีอะไรต่อมิอะไรสาดใส่ทำให้ดูสกปรกอยู่ตลอดเวลา ลองคิดดูสิว่ากระจกห้องน้ำต้องเจอกับอะไรบ้าง? ไม่ว่าจะเป็นแชมพูที่กระเด็นใส่ คราบเครื่องสำอาง และคราบน้ำหลังจากการอาบน้ำ แต่การทำความสะอาดกระจกห้องน้ำไม่ใช่เรื่องยากเลย หากคุณทราบถึงเทคนิคการทำความสะอาดที่ถูกต้อง 5 ขั้นตอนการทำความสะอาดกระจกห้องน้ำ วิธีทางด้านล่างนี้เป็นวิธีการทำความสะอาดกระจกห้องน้ำให้ดูสะอาดเงางามเป็นประกาย เริ่มจากการใช้ฟองน้ำจุ่มลงในน้ำอุ่นและเช็ดบนกระจกเบาๆ การใช้น้ำเพียงอย่างเดียวจะไม่สามารถทำความสะอาดกระจกได้ดี เพราะน้ำจะทิ้งคราบเอาไว้เมื่อแห้งแล้ว ทำให้กระจกแลดูไม่สะอาด อย่างไรก็ตาม การเช็ดสิ่งสกปรกให้ออกก่อนการเช็ดกระจกจะช่วยให้การทำความสะอาดมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สิ่งสกปรกประเภทฝุ่นละอองสามารถทำให้กระจกเกิดรอยขีดข่วนได้ ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องเช็ดฝุ่นละอองออกจากกระจกให้ได้มากที่สุด การใช้กรดเป็นการทำความสะอาดกระจกอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด เช่น น้ำส้มสายชูที่มีส่วนประกอบเป็นกรด ผสมน้ำส้มสายชูหนึ่งส่วนกับน้ำสองส่วนเข้าด้วยกัน เทใส่ขวดสเปรย์และฉีดให้ทั่วกระจก จากนั้นให้เช็ดด้วยฟองน้ำตามอีกรอบ   หรือหากคุณไม่มีขวดสเปรย์ คุณสามารถจุ่มฟองน้ำลงในส่วนผสม บีบให้พอหมาดแล้วนำมาเช็ดกระจกได้เลย การใช้น้ำส้มสายชูยังเป็นอีกทางเลือกที่ปลอดภัย เพราะเป็นสะสารที่มีส่วนผสมของแอมโมเนียซึ่งปลอดภัยต่อเด็กและสัตว์เลี้ยงที่บ้าน อย่าลืมทดลองใช้ส่วนผสมของน้ำส้มสายชูเพียงเล็กน้อยบนกระจกก่อน เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่ทำให้กระจกเสียหาย คุณทราบหรือไม่ว่า น้ำส้มสายชูยังเป็นวิธีขจดคราบน้ำบนกระจกได้? น้ำส้มสายชูนี่แหละสามารถทำหน้าที่เป็นน้ำยาขจัดคราบน้ำบนกระจกได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ น้ำส้มสายชูยังสามารถใช้ทำความสะอาดกระเบื้อง อ่างล้างมือ และอ่างอาบน้ำได้อีกด้วย!   คราบน้ำที่แห้งมักเป็นปัญหาที่ก่อให้เกิดคราบบนกระจก วิธีการกำจัดคราบน้ำคือ ใช้น้ำส้มสายชูฉีดลงบนกระจก จากนั้นให้ใช้ไม้ปาดน้ำปาดคราบออกโดยเริ่มจากบนลงล่าง และจากด้านข้างหนึ่งไปอีกข้างหนึ่ง การใช้ผ้านุ่มๆ เช็ด แต่ผ้าจะทิ้งขุยไว้บนกระจก การใช้ไม้ยางรีดน้ำอาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า   ขั้นตอนสุดท้ายคือการขัดกระจกด้วยผ้าไมโครไฟเบอร์ที่จะช่วยให้กระจกเงาและใสขึ้น ผ้าไฟเบอร์จะไม่ทิ้งขุยผ้าไว้บนกระจก เพียงเท่านี้คุณก็จะได้กระจกที่ใสสะอาด ไร้คราบน้ำและคราบสกปรกอื่นๆ ตอนนี้คุณก็ทราบวิธีขจัดคราบต่างๆ บนกระจกและวิธีทำความสะอาดกระจกให้สะอาดเงางามเป็นประกายแล้ว ที่นี้ไม่ว่าคุณจะต้องการเช็คการแต่งหน้าแล้วทรงผมปัญหาในการมองเห็นอีกต่อไปก็จะไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป เคล็ดลับ เมื่อทำความสะอาดกระจกห้องน้ำ คุณควรหลีกเลี่ยงการใช้ผ้าเช็ดทำความสะอาด ผ้าจะทิ้งขุยผ้าเล็กๆ ไว้บนกระจก เราขอแนะนำให้ใช้ฟองน้ำเช็ดกระจกหรือไม้ปาดน้ำแทน คุณสามารถใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์ที่ไม่ทิ้งขุยเช็ดในขั้นตอนสุดท้ายเพื่อขัดให้กระจกเงาใส ขั้นตอนสำคัญ อย่าลืมทำความสะอาดกระจกห้องน้ำเป็นประจำ การทำความสะอาดกระจกห้องน้ำเป็นประจำ จะช่วยป้องกันการเกิดคราบที่ฝังแน่น และช่วยให้การทำความสะอาดกระจกง่ายและรวดเร็วขึ้น   ขอขอบคุณข้อมูลจาก  www.cleanipedia.com
7 วิธีกำจัดกลิ่นฉี่-อึแมว ทั้งในและนอกบ้าน ตอบโจทย์ทั้งคนเลี้ยงและไม่เลี้ยงแมว

7 วิธีกำจัดกลิ่นฉี่-อึแมว ทั้งในและนอกบ้าน ตอบโจทย์ทั้งคนเลี้ยงและไม่เลี้ยงแมว

รวมวิธีกำจัดกลิ่นขี้แมวเหม็นกวนจมูกแบบละมุนละไม ที่จะไม่เป็นอันตรายต่อแมวและคน ปรับเปลี่ยนบรรยากาศรอบบ้านให้น่าอยู่ขึ้นกว่าเดิม ปัญหากลิ่นฉี่แมวเรียกได้ว่าเป็นปัญหาระดับชาติสำหรับใครหลายๆ คน แม้กระทั่งบ้านที่เลี้ยงแมวหรือบ้านที่มีแมวจรจัดเข้ามาอาศัยอยู่ เพราะถ้าหากปล่อยทิ้งไว้กลิ่นเหล่านี้ก็จะทำลายบรรยากาศในบ้าน และหากสูดดมบ่อยก็คงจะไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ วันนี้เราเลยนำวิธีกำจัดกลิ่นฉี่แมวมาฝากกันครับ รับรองได้เลยว่าแต่ละวิธีที่เรานำมานั้น ไม่มีอะไรที่เป็นอันตรายหรือรุนแรงกับแมวแน่นอน เอาเป็นว่าแล้วจะมีวิธีไหนบ้างนั้นต้องไปดูครับ 1.น้ำยากำจัดกลิ่นฉี่แมวทำเอง สูตรนี้เหมาะสำหรับกำจัดกลิ่นฉี่แมวในบ้าน โดยเริ่มจากผสมน้ำส้มสายชูและน้ำเปล่าในปริมาณที่เท่า ๆ กันเทใส่ขวดสเปรย์ แล้วฉีดไปตรงจุดที่แมวฉี่ไว้ ซับออกด้วยทิชชู ทำซ้ำอย่างนี้ประมาณ 2-3 ครั้ง แล้วใช้ไดร์เป่าให้แห้ง ต่อมานำเบกกิ้งโซดาโรยกลบรอยฉี่แมวให้ทั่ว แล้วผสมไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ ¼ ถ้วยตวงกับน้ำยาล้างจาน 1 ช้อนชาให้เข้ากัน เทใส่ขวดสเปรย์เพื่อฉีดพ่นลงบนเบกกิ้งโซดาที่โรยไว้ ใช้แปรงขัดเบาๆ ปล่อยทิ้งไว้ให้แห้งแล้ว ปิดท้ายด้วยใช้เครื่องดูดฝุ่นกำจัดเศษเบกกิ้งโซดาให้หมด 2.ใช้น้ำหมักชีวภาพหรือน้ำ EM กำจัดกลิ่นฉี่แมว นอกจากน้ำหมักชีวภาพจะช่วยปรับสภาพดินเพื่อการเกษตรได้แล้ว น้ำหมักยังมีคุณสมบัติที่ช่วยกำจัดกลิ่นอึและฉี่แมวได้อีกด้วย แต่ก่อนอื่นเราต้องทำความสะอาดและเก็บสิ่งปฏิกูลให้เกลี้ยง จากนั้นนำน้ำมาหมัก (แบบไม่ผสมน้ำเปล่า) มาฉีดพ่นให้ทั่วบริเวณนั้น ทิ้งไว้ 1-2 ชั่วโมง แล้วล้างออกให้เกลี้ยง 3.กำจัดกลิ่นฉี่แมวด้วย กากกาแฟโรยดับกลิ่น หากที่บ้านพอจะมีกากกาแฟสดเหลืออยู่บ้าง หรือถ้าไม่มีก็ลองขอซื้อตามร้านกาแฟดูเลยครับ แล้วนำกากกาแฟมาผสมกับผิวเปลือกส้ม นำไปกลบไว้ในที่ที่แมวชอบมาฉี่หรืออึ มันจะช่วยดับกลิ่นเหม็นได้ แถมยังมีกลิ่นที่ทำให้แมวไม่มาฉี่บริเวณนั้นอีก 4. น้ำส้มสายชูผสมน้ำร้อน ใช้กำจัดกลิ่นฉี่แมว เราสามารถเอาน้ำสายชูมาประยุกต์เป็นสูตรดับกลิ่นได้หลากหลาย เช่นเดียวกับสูตรนี้เลยครับ โดยการนำน้ำส้มสายชูมาผสมกับน้ำร้อน (น้ำเดือด) ให้เข้ากันดี จากนั้นนำไปเทราดบริเวณที่แมวมาทิ้งบอมบ์ไว้ แต่ก่อนราดส่วนผสมอย่าลืมเก็บทำความสะอาดอึแมวให้เรียบร้อยก่อนนะครับ เมื่อราดลงไปแล้ว น้ำส้มสายชูและน้ำร้อนจะช่วยทำความสะอาดไปพร้อม ๆ กับควันระเหยที่ช่วยดับกลิ่น 5. เบกกิ้งโซดาผสมน้ำฉีด กำจัดกลิ่นฉี่แมว หากใครไม่ชอบกลิ่นเปรี้ยวของน้ำส้มสายชู แนะนำให้ผสมเบกกิ้งโซดากับน้ำเปล่า กะดูปริมาณให้เข้มข้นพอสมควร พอเข้ากันดีแล้วก็เทใส่ขวดสเปรย์ เพื่อนำไปฉีดพ่นบริเวณที่แมวเคยมาอึและฉี่บ่อยๆ เพียงเท่านี้กลิ่นฉุนจากของเสียก็จะหายไป หรือจะโรยกลบของเสียไปก็ช่วยได้เหมือนกันครับ 6. ดินปลูกต้นไม้ดับกลิ่นฉี่แมวได้ ถ้าวิธีอื่นไม่ได้ผล ลองกำจัดด้วยแบบธรรมชาติดูสิครับ ให้หาดินทรายที่เอาไว้ปลูกต้นไม้มาโรยกลบอึแมวให้ทั่ว กลิ่นก็จะหายไป แต่ถ้าไม่อยากให้แมวเข้ามาอึที่เดิมๆ อีก ให้นำดินมาลงเยอะหน่อย แล้วหาต้นไม้ที่มีกลิ่นหอมมาปลูกไว้ตรงนั้นไปเลยครับ เพราะนอกจะช่วยกำจัดกลิ่นและป้องกันไม่ให้มาอึซ้ำได้แล้ว เรายังได้สวนสวยๆ เพิ่มอีกต่างหาก 7. ลูกเหม็นกำจัดกลิ่นฉี่แมวเหม็นๆ ได้ แม้จะชื่อว่า "ลูกเหม็น" แต่คุณสมบัติมันกลับโดดเด่นเหนือชื่อเลยครับ เพียงแค่นำลูกเหม็นมาบดให้ละเอียดแล้วผสมกับน้ำเปล่าให้เข้ากัน นำไปราดบริเวณที่แมวชอบมาอึทิ้งไว้ เพียงเท่านี้กลิ่นเหม็นๆ กวนจมูกก็จะหายไป แถมยังไล่ไม่ให้แมวเข้ามาอึได้อีกต่างหาก แต่ต้องระวังอย่าผสมให้กลิ่นลูกเหม็นฉุนแรงจนเกินไป เพราะอาจจะทำให้เราหายใจไม่สะดวกเอาได้   หวังว่าแต่ละวิธีที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ คงจะไม่มีขั้นตอนไหนที่หายากเกินความสามารถแน่นอน ฉะนั้นถ้าคุณกำลังพบเจอปัญหากลิ่นเหม็นจากอึแมวอยู่ละก็ ลองนำวิธิดับกลิ่นเหล่านี้ไปลองใช้ดูนะครับ และที่สำคัญห้ามใช้วิธีรุนแรงเด็ดขาด เพราะจะได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข วิธีกำจัดกลิ่นฉี่แมวอื่นๆ กำจัดกลิ่นปัสสาวะแมว เคล็ดลับดีๆ จากเรา Reviewyourliving 5 เคล็ดลับ จัดการกลิ่นในห้องครัว เคล็ดลับทำความสะอาดห้องน้ำ สะอาดวิ้ง ไร้คราบแบบง่ายๆ 10 วิธีดับกลิ่นฉุนปัสสาวะในห้องน้ำ  
พื้นที่บันได ทำอะไรเพิ่มเติมได้

พื้นที่บันได ทำอะไรเพิ่มเติมได้

ปัจจุบันบ้านในเมืองมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ จากราคาที่ดินและค่าก่อสร้างที่สูงขึ้น การใช้พื้นที่ต่างๆ ภายในบ้านจึงต้องทำให้เกิดประโยชน์สูงสุด พื้นที่บริเวณบันไดทั้งใต้บันไดและเหนือบันไดชั้นบนสุดมักจะเป็นพื้นที่ที่ถูกมองข้าม และถูกทิ้งให้เปล่าประโยชน์อยู่เสมอ พื้นที่ดังกล่าวถ้าวัดขนาดจากแปลนจะมีพื้นที่ประมาณ 2-3 ตารางเมตร หากเป็นคอนโดแบบ Duplex ที่มีชั้นลอย ขนาดของพื้นที่ใต้บันไดดังกล่าวคิดเป็นเงินกว่า 2-3 แสนบาทเลยทีเดียว ดังนั้นด้วยการออกแบบที่ดีจะช่วยให้พื้นที่ว่างบริเวณบันไดถูกใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ บันไดแบ่งออกเป็นสองประเภทใหญ่ๆ คือ บันไดทึบ และบันไดโปร่ง บันไดทั้งสองประเภทมีผลต่อการออกแบบพื้นที่ใช้สอยใต้บันได บันไดทึบคือบันไดที่มีทั้งลูกตั้งและลูกนอนบันได ไม่สามารถมองทะลุลงไปได้ ส่วนท้องของบันไดทึบมีทั้งแบบ ท้องเรียบ และท้องหยักตามลูกตั้งลูกนอน หรือที่เรียกว่าแบบพับผ้า และแบบมีคานแม่บันได บันไดทึบเหมาะแก่การใช้ประโยชน์พื้นที่ใต้บันได แต่ต้องระวังเรื่องท้องของบันได เช่น บันไดแบบพับผ้าจะมีหยักมุมแหลม อาจจะไม่เหมาะเป็นพื้นที่ให้คนเข้าไปใช้งาน ภาพ: ตัวอย่างบันไดทึบ ท้องบันไดเรียบ ส่วนบันไดโปร่งเป็นบันไดที่มีแต่ลูกนอนบันไดอย่างเดียว สามารถมองทะลุลงไปได้ ส่วนท้องของบันไดโปร่งแบ่งเป็นแบบแม่บันไดด้านข้าง และแบบแม่บันไดข้างใต้ที่รองรับลูกนอน บันไดโปร่งเหมาะแก่การเป็นบันไดโชว์ให้สวยงาม ไม่เหมาะแก่การกั้นห้อง หรือใช้งานข้างใต้ อาจทำได้เพียงชั้นวางของเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ภาพ: ตัวอย่างบันไดโปร่งที่มีแม่บันไดอยู่ด้านข้าง พื้นที่ใต้บันได สามารถออกแบบให้ใช้ประโยชน์ได้ 3 รูปแบบ คือ ใช้เก็บของ ใช้เป็นส่วนใช้งานต่างๆ และใช้เป็นส่วนเซอร์วิสของบ้าน การใช้พื้นที่ใต้บันไดไว้เก็บของ เป็นรูปแบบที่เห็นได้บ่อย เนื่องจากง่ายต่อการทำ และมีพื้นที่มากเพียงพอ รูปแบบของการเก็บของใต้บันไดมีทั้ง การทำเป็นห้องเก็บของที่มีผนังปิดทึบและประตู การทำเป็นชั้นวางของหรือเป็นตู้ Built-in ให้เข้ากับพื้นที่ใต้บันไดโดยจะมีบานเปิดปิดหรือไม่มีก็ได้ และยังมีรูปแบบที่เป็นตู้รางเลื่อนที่สามารถดึงชั้นวางของออกมาได้ซึ่งจะเพิ่มพื้นที่เก็บของให้มากขึ้น ของที่เก็บใต้บันไดมักจะเป็น รองเท้า เสื้อผ้า หนังสือ หรือของจิปาถะอื่นๆ ภาพ: ตัวอย่างการใช้พื้นที่ใต้บันไดโดย Built-in เป็นชั้นเก็บของ ภาพ: ตัวอย่างการใช้พื้นที่ใต้บันไดโดย Built-In เป็นชั้นเก็บของแบบตู้รางเลื่อน (สไลด์) การใช้พื้นที่ใต้บันไดเป็นส่วนใช้งานต่างๆ มักจะใช้กับบ้านที่มีพื้นที่น้อยมาก เช่น คอนโดแบบ Duplex บางครั้งพื้นที่ใต้บันไดสามารถใช้สำหรับวางโต๊ะและทีวีสำหรับส่วนนั่งเล่น หรือใช้สำหรับวางโต๊ะคอมพิวเตอร์เป็นส่วนทำงานได้ นอกจากนี้ ยังอาจจะออกแบบเป็นเฟอร์นิเจอร์บิ้วอินที่เป็นหลุมเข้าไปสามารถใช้เป็นที่นั่งหรือที่นอนเล่นใต้บันได้ได้อีกด้วย ภาพ: ตัวอย่างการใช้พื้นที่ใต้บันไดเป็นที่ทำงาน ภาพ: ตัวอย่างการใช้พื้นที่ใต้บันไดเป็นที่นั่งเล่น การใช้พื้นที่ใต้บันไดเป็นส่วนเซอร์วิสของบ้าน พบได้บ่อยในบ้านที่เป็นตึกแถวหรือทาวน์เฮ้าส์ ส่วนมากมักจะใช้ทำเป็นห้องน้ำ โดยวางโถส้วมในบริเวณที่ท้องบันไดเอียงลงเนื่องจากเวลาใช้งานจะเป็นการนั่งจึงไม่ต้องใช้พื้นที่สูงมากนัก นอกจากห้องน้ำแล้วพื้นที่ใต้บันไดยังสามารถทำเป็นส่วนซักล้าง โดยตั้งเครื่องซักผ้า และเครื่องอบผ้า หรือจะทำเป็นเคาน์เตอร์ครัว หรือ Pantry เล็กๆ ก็ได้ ทั้งนี้การใช้พื้นที่ใต้บันไดเป็นส่วนเซอร์วิสจะต้องคำนึงถึงท่อน้ำประปาและท่อน้ำทิ้งด้วยว่าจะเดินท่ออย่างไร ภาพ: ตัวอย่างการใช้พื้นที่ใต้บันไดเป็นห้องน้ำ ภาพ: ตัวอย่างการใช้พื้นที่ใต้บันไดเป็นส่วนเตรียมอาหาร ในส่วนของพื้นที่เหนือบันไดชั้นบนสุด มักจะเป็นโถงสูงจากชานพักบันไดช่วงสุดท้ายจนถึงหลังคา ซึ่งเราสามารถต่อเติมเป็นชั้นลอยเล็กๆ ได้ โดยทำเป็นพื้นโครงสร้างเหล็ก และปูวัสดุแผ่นที่มีน้ำหนักไม่มาก เช่น ไม้ หรือไฟเบอร์ซีเมนต์ พื้นที่ดังกล่าวสามารถใช้ทำเป็นหิ้งพระ ที่เก็บของ ส่วนทำงาน หรือนั่งเล่นก็ได้ (ควรปรึกษาวิศวกรถึงรูปแบบโครงสร้างที่เหมาะสม) บทความโดย SCG Experience คู่คิดก่อนสร้างบ้าน ช่วยให้คุณสร้างบ้านได้อย่างมั่นใจ พร้อมให้คำปรึกษาตลอดการสร้างบ้าน โดยผู้เชี่ยวชาญจาก SCG เพียงนำแบบบ้านมายื่นรับคำปรึกษา พร้อมรับสิทธิพิเศษต่างๆ ได้ที่ SCGคู่คิดก่อนสร้างบ้าน​ 
เรื่องของเครื่องปรับอากาศ ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน

เรื่องของเครื่องปรับอากาศ ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน

รวมเรื่องจริงที่เกี่ยวกับเครื่องปรับอากาศหรือแอร์เพื่อให้เราได้รู้จักและรู้ถึงที่มามากขึ้น แอบบอกหน่อยดีกว่าว่า ถ้ายิ่งรู้จักคุณก็จะรักแอร์ของคุณมากขึ้น นับวันอากาศก็ยิ่งร้อนขึ้นเรื่อย ๆ จนไม่รู้ว่าจะหันหน้าไปพึ่งสิ่งศักสิทธิ์ที่ไหนแล้ว ก็เห็นจะมีแต่เครื่องปรับอากาศนี่แหละที่ช่วยเราได้ ในเมื่อเครื่องปรับอากาศก้าวเข้ามาบทบาทสำคัญกับชีวิตของเราอย่างมาก วันนี้เราเลยจะพาทุกคนไปทำความรู้จักเจ้าเครื่องปรับอากาศหรือที่เรียกติดปากว่าแอร์ ผ่าน 11 เรื่องจริงของเครื่องทำความเย็นเหล่านี้กันครับ แล้วจะมีอะไรบ้างนั้นต้องไปดู 1. ผู้ประดิษฐ์คิดค้นเครื่องปรับอากาศ วิลลิส แคร์เรียร์ วิศวกรโรงพิมพ์ในสหรัฐอเมริกา เป็นคนแรกที่ประดิษฐ์คิดค้นเครื่องปรับอากาศเครื่องแรกของโลก เมื่อปี ค.ศ. 1902 โดยแคร์เรียร์มองหาวิธีในการควบคุมความชื้นในอาคาร เพื่อป้องกันไม่ให้หมึกแห้งเร็ว จึงเกิดเป็นนวัตกรรมใหม่ที่เขาเรียกว่า "Apparatus for Treating Air" หรือเครื่องปรับอากาศ กระทั่งได้รับการจดสิทธิบัตรในปี ค.ศ. 1906   2. กลายมาเป็นเครื่องปรับอากาศปี 1950 แม้จะได้รับการจดสิทธิบัตรในปี ค.ศ. 1906 แต่เครื่องปรับอากาศก็เพิ่งจะมาเป็นรูปเป็นร่าง มีขนาดและระบบที่เล็กอย่างทุกวันนี้ เมื่อปี  ค.ศ. 1950 และออกขายสู่ท้องตลาดมากกว่า 1 ล้านเครื่อง ซึ่งปรากฎว่าขายหมดเกลี้ยง   3. ควรตรวจเช็กเครื่องปรับอากาศประจำปี หากที่บ้านไหนมีเครื่องปรับอากาศชควรจะเรียกช่างเข้ามาตรวจเช็กระบบเป็นประจำทุก ๆ ปี เพื่อให้มั่นใจว่าเครื่องปรับอากาศที่บ้านยังใช้งานได้ตามปกติและป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาจนต้องตามแก้ไขทีหลัง   4. เครื่องปรับอากาศทำงานด้วยการลดความชื้น เครื่องปรับอากาศทำงานด้วยการนำพาความชื้นหรือลดความชื้นออกจากอากาศในบริเวณนั้น ถึงแม้หลักการทำงานจะไม่มีประสิทธิภาพเทียบเท่าเครื่องปรับความชื้น แต่เครื่องปรับอากาศก็ช่วยป้องกันการเกิดเชื้อราและฝุ่นสกปรกได้   5. เครื่องปรับอากาศช่วยกำจัดสารก่อภูมิแพ้ได้ นอกจากเครื่องปรับอากาศจะทำให้บ้านเย็นแล้ว ระบบการทำงานภายในยังมีคุณสมบัติช่วยกำจัดสารก่อภูมิแพ้และเศษฝุ่นที่มากับอากาศได้อีกด้วย ถ้าหากอาการภูมิแพ้ของคุณกำเริบในช่วงที่อากาศกำลังร้อนขึ้นเรื่อย ๆ ก็ลองเปิดเครื่องปรับอากาศช่วยดูสิครับ   6. หมั่นทำความสะอาดแผ่นกรองอากาศทุก 3 เดือน เครื่องปรับอากาศจะทำงานได้ดีหรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับแผ่นกรองอากาศด้วยนะครับ เพราะถ้าปล่อยให้แผ่นกรองด้านในสกปรก มีฝุ่นเกาะเต็มไปหมด ประสิทธิภาพในการทำงานของเครื่องปรับอากาศก็จะลดลงตามไปด้วย แถมเครื่องยังต้องทำงานหนักเพิ่มขึ้นไปอีก ดังนั้นไม่ว่าที่บ้านจะใช้เครื่องปรับอากาศชนิดไหน ก็ต้องหมั่นทำความสะอาดทุก 3 เดือนด้วยนะครับ   7. ผ้าม่านช่วยกักเก็บความเย็น ถ้าหน้าต่างของห้องหันตรงกับทางที่แสงแดดส่องเข้ามาพอดี ให้หาม่านมาติดไว้เพื่อป้องกันความร้อนจากแสงแดดไม่ให้เข้ามาทำให้อุณหภูมิภายในห้องสูงขึ้น จนเครื่องปรับอากาศก็ต้องทำงานหนักตามไปด้วย   8. ยิ่งปิดช่องลมแอร์ เครื่องก็ยิ่งพังง่าย หลายคนคงไม่รู้ว่าการปิดช่องลมแอร์ด้านใดด้านหนึ่ง มันไม่ได้ช่วยปรับเปลี่ยนทิศทางแอร์ได้ตามที่ต้องการหรอกนะครับ แต่มันกลับทำให้เครื่องทำงานหนักขึ้นกว่าเดิม จนอาจถึงขั้นทำให้ระบบภายในเสียหายเลยก็มี  หากต้องการให้ความเย็นกระจายตัวอย่างทั่วถึง แนะนำให้เปิดพัดลมช่วยอีกแรงจะดีกว่า   9. เครื่องปรับอากาศใหญ่ก็ก็ยิ่งจ่ายค่าไฟเยอะ อย่างที่รู้กันดีว่าเครื่องปรับอากาศจะทำให้บ้านอยู่สบายขึ้น แต่ก็กินไฟโหดไม่แพ้กัน ทางที่ดีควรหันมาเลือกใช้เครื่องปรับอากาศแบบติดผนังและ BTU ที่เหมาะสมกับขนาดห้อง เนื่องจากจะทำให้การใช้ไฟฟ้าน้อยลง และจะช่วยประหยัดเงินไปได้เยอะเลย   10. แอร์บ้านสร้างขึ้นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1913 แอร์สำหรับติดตั้งในบ้านเครื่องแรกสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1913 โดย ชาร์ลส์ เกตส์ (Charles Gates) ผู้ที่ได้ฉายาว่า “Spend-a-Million” ทายาทเจ้าของกิจการลวดหนามในสมันนั้น ซึ่งเขาเป็นคนแรกที่สร้างอพาร์ทเม้นท์ติดแอร์ขึ้นมา แต่ยังไม่ทันสร้างเสร็จสมบูรณ์ดี เกตส์ก็เสียชีวิตไปในระหว่างร่วมทริปล่าสัตว์ แม้จะเป็นคนสร้างแต่ก็ไม่มีโอกาสได้ใช้งาน   11. คนอเมริกันจ่ายเงินเป็นพันล้านเพื่อแอร์ ทุกวันนี้ชาวอเมริกันต้องเสียเงินไปกับการติดตั้งแอร์บ้านเป็นจำนวนมาก ตามที่กระทรวงพลังงานของสหรัฐอเมริกาได้กล่าวว่า โดยรวมแล้วคนอเมริกันจะจ่ายเงินมากกว่า 22 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 700 พันล้านบาทในการติดตั้งแอร์ นอกจากนี้ยอดการใช้ไฟฟ้ายังมากกว่า 183 พันล้านกิโลวัตต์ ต่อชั่วโมงในทุก ๆ ปีอีกด้วย   เป็นอย่างบอกไว้ไหมล่ะครับ ถ้าคุณยิ่งรู้จักเครื่องปรับอากาศคุณก็จะยิ่งรักและอยากดูแลเอาใจใส่ให้มากขึ้นกว่าเดิม เพราะกว่าเจ้าเครื่องนี้จะมาช่วยให้เราไม่ต้องทุรนทุรายกับอากาศร้อนได้นั้น มันต้องมีการพัฒนามาอย่างยาวนาน ปรับเปลี่ยนรูปแบบไปต่าง ๆ นานา รวมไปถึงการดูแลจากเราเป็นสำคัญ   ขอขอบคุณข้อมูลจาก home.kapook.com
10 ผักไม้เลื้อย ปลูกไว้เก็บกินก็ได้ ใช้ทำซุ้มบังแดดก็ดี๊ดี !

10 ผักไม้เลื้อย ปลูกไว้เก็บกินก็ได้ ใช้ทำซุ้มบังแดดก็ดี๊ดี !

พืชผักไม้เลื้อย อีกหนึ่งทางเลือกของคนรักสวนที่อยากได้พืชไม้เลื้อยกินได้หรือทำสวนผักไม้เลื้อย อยากรู้พืชไม้เลื้อยมีอะไรบ้าง มาดู 10 พืชผักไม้เลื้อยพร้อม ๆ กันเลยค่ะ คิดจะทำสวนทั้งที…มันต้องเลือกต้นไม้ดี ๆ ที่มีประโยชน์หลายด้านกันหน่อย อย่างเช่น 10 พืชผักไม้เลื้อย ที่เป็นพืชไม้เลื้อยกินได้ ไว้สร้างสวนผักไม้เลื้อย ที่สามารถบังแดดและเก็บกินได้ไปในตัว ถ้าอยากรู้ว่าพืชไม้เลื้อยมีอะไรบ้างที่กินได้ ตามไปดูลิสต์ 10 พืชผักไม้เลื้อยที่เรานำมาฝากกันในวันนี้เลยค่ะ แล้วจะเห็นว่าช่างเป็นพืชที่เหมาะกับบ้านในเขตเมืองร้อนอย่างเราจริง ๆ เลย 1.ตำลึง ผักไม้เลื้อยยอดนิยม ตำลึง : เป็นไม้เลื่อยที่ขึ้นได้ทั่วไป ปลูกง่ายและโตไว ลักษณะลำต้นเป็นเถาเลื้อยมือเกาะ ออกใบคล้ายรูปหัวใจ มีดอกเป็นช่อสีขาว ลักษณะผลเป็นทรงกลมเรียวยาว สีเขียวอ่อน แต่เมื่อสุกแล้วจะมีสีแดงระรื่อดูสวยงาม สรรพคุณ : มีวิตามินบำรุงร่างกาย ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันหัวใจขาดเลือด บำรุงสายตา มีกากใยช่วยให้การขับถ่ายดีขึ้น ลดความเสี่ยงจากมะเร็ง ทั้งยังใช้รักษาโรคเบาหวาน และแก้งูสวัดได้ด้วย วิธีปลูก : ที่ง่ายที่สุดก็คือ การปักชำ เพียงแค่ตัดเถายาว 30 เซนติเมตร มาปักทำมุมเอียงในกระถางดินร่วน ดูแลรดน้ำทุกวันจนแตกยอดใหม่ แล้วอย่าลืมทำค้างหรือหาไม้มาหลักมาปัก เพื่อให้ต้นเลื้อยขึ้นไปรับแสงด้วยนะคะ 2. บวบ ไม้เลื้อยช่วยถอนพิษ บวบ : มี 3 ชนิด ได้แก่ บวบเหลี่ยม บวบหอม และบวบงู เป็นพืชเถาตามข้อมีมือเกาะ ลักษณะใบกว้างและเป็นรูปเหลี่ยม ปลายใบเรียวแหลม ออกดอกสีเหลืองตามง่ามใบ มีผลเรียวยาว ลักษณะผิวขึ้นอยู่กับชนิดของบวบ เป็นผักฤทธิ์เย็นและมีน้ำเยอะ สรรพคุณ : ช่วยดับร้อนในร่างกายได้ อุดมไปด้วยฟอสฟอรัสช่วยสร้างเม็ดเลือด มีกากใยช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น แก้ริดสีดวงทวาร ช่วยถอนพิษได้อีกด้วย วิธีปลูก : ให้เพาะเมล็ดลงดินที่ผสมปุ๋ยหมักและแกลบในปริมาณที่เท่ากัน รดน้ำสม่ำเสมอ จนออกใบ 2 ใบ แล้วค่อยย้ายต้นกล้าไปปลูกในดินหรือกระถาง ทำค้างหรือหาไม้หลักมาปักให้ต้นยึดเกาะ ดูแลรดน้ำให้ชุ่มแต่อย่าแฉะ บำรุงปุ๋ยทุก 15 วัน/ครั้ง รดน้ำหมักสะเดาเพื่อกำจัดวัชพืช 3.ไม้เลื้อยแสนอร่อย "ถั่วพู" ถั่วพู : เป็นไม้เลื้อยที่มีหลายสายพันธุ์ ลำต้นหรือเถายาว 3 เมตรขึ้นไป ออกใบเรียวยาวและปลายใบแหลม ออกเรียงสลับตามเถา ลักษณะดอกเป็นช่อสีขาว ส่วนผลเป็นฝักเรียวยาว แยกขอบออกเป็น 4 แฉก ขอบฝักหยัก ด้านในมีเมล็ดถั่ว สรรพคุณ : ช่วยบำรุงหัวใจ กระตุ้นการเจริญเติบโตและฮอร์โมน แก้อักเสบ แก้ร้อนใน และช่วยต้านเชื้อแบคทีเรีย วิธีปลูก : ด้วยเมล็ดถือว่าดีที่สุด โดยนำเมล็ดจากฝักแห้งมาปลูกในกระถางดินเหนียวที่ผสมกากมะพร้าวและปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก เมื่อต้นเริ่มงอกก็ควรย้ายมาปลูกในกระถางที่ใหญ่กว่า หาไม้หลักมาปักให้ต้นยึด เด็ดต้นที่ไม่แข็งแรงทิ้งไป ดูแลรดน้ำให้ชุ่มทุกวัน และตั้งกระถางให้โดนแดดรำไร 4. ถั่วฝักยาว ไม้เลื้อยปลูกง่าย ถั่วฝักยาว : เป็นพืถั่วชนิดไม้เลื้อย มีเถาสีเขียว ออกใบสีเขียวคล้ายรูปสามเหลี่ยม แต่โคนใบแหลมเข้าหาก้านใบ ลักษณะดอกออกเป็นช่อสีขาวตามซอกใบ ฝักเป็นทรงกลมขนาดเล็กและเรียวยาว ด้านในมีเมล็ดถั่ว สรรพคุณ : ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน ช่วยให้ระบบเผาผลาญทำงานได้ดี และช่วยรักษาอาการบวม วิธีปลูก : ให้นำเมล็ดถั่ว 5 เม็ด มาปลูกในกระถางดินร่วนผสมทรายและปุ๋ยคอก เว้นระยะห่างให้พอดี หาไม้หลักหรือทำค้างไว้ข้าง ๆ เพื่อให้ต้นยึดเกาะ สังเกตุถ้าต้นไหนไม่แข็งแรงให้ตัดทิ้ง รดน้ำทั้งเช้าและเย็น หมั่นบำรุงปุ๋ยเมื่อต้นมีอายุได้ 1 เดือน 5.สมุนไพรไม้เลื้อย "ขจรหรือสลิด" ขจรหรือสลิด : เป็นไม้เลื้อยที่นิยมนำส่วนดอกมากิน เถาเป็นสีเขียว เมื่อแก่เถาจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล  ลักษณะใบคล้ายรูปหัวใจกว้าง 5 เซนติเมตร ออกดอกเป็นช่อตามซอกใบ มีสีเหลืองและส่งกลิ่นหอม สรรพคุณ : บำรุงหัวใจ ตับ และไต แก้หน้ามืดวิงเวียน แก้ท้องเสีย บำรุงสายตา บำรุงเลือด และแก้อาการเมาค้าง วิธีปลูก : ให้นำกิ่งที่สมบูรณ์มาปักในกระถางดินร่วนที่ผสมปุ๋ยหมัก รดน้ำให้พอชุ่มทุกวัน แต่เมื่อผ่านไป 2 สัปดาห์ให้ปรับมารดแค่วันเว้นวันก็พอ หาไม้หลักหรือค้างมาปักให้ต้นเลื้อยด้วยนะคะ 6.ไม้เลื้อยพืชเศรษฐกิจ "พริกไทย" พริกไทย : เป็นพืชสมุนไพรและเป็นพืชเศรษฐกิจที่นิยมนำมาปรุงแต่งรสชาติอาหาร ลำต้นเป็นข้อปล้อง มีเถายึดเกาะ ลักษณะใบเป็นรูปไข่ ปลายใบแหลม ออกดอกเป็นช่อไม่มีก้านดอก ลักษณะผลทรงกลมสีเขียวเข้ม ออกเรียงกันเป็นช่อ สรรพคุณ : ช่วยบรรเทาอาการปวด ขับลมในกระเพาะ กระตุ้นระบบย่อยอาหารให้ทำงานได้ดีขึ้น และป้องกันการเกิดอัลไซเมอร์ วิธีปลูก : ให้นำกิ่งพันธุ์ที่สมบูรณ์มาปักชำลงในกระถางที่มีดินดำที่ผสมขี้เถ้าแกลบ รดน้ำให้ชุ่ม หาถุงพลาสติกมาครอบทิ้งไว้ 30 วัน แล้วค่อยดึงออก ย้ายต้นไปปลูกให้กระถางขนาดใหญ่ที่มีดินดำผสมปุ๋ยคอกและเปลือกข้าว ปักไม้หลักหรือทำค้างให้ต้นเลื้อย ดูแลรดน้ำทุกวันในช่วงแรก ๆ พอต้นแข็งแรงค่อยปรับเป็นสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง บำรุงปุ๋ยปีละ 2 ครั้ง 7. ฟักข้าว ไม้เลื้อยล้มลุก ฟักข้าว : เป็นพืชล้มลุกมีเถาเลื้อย ลักษณะใบเป็นใบเดี่ยว คล้ายรูปหัวใจ ขอบใบหยักเล็กน้อย ออกดอกสีขาว-เหลืองตามข้อ ส่วนผลเป็นทรงกลมมีหนามรอบผล ผลอ่อนจะเป็นสีเหลืองอมเขียว แต่เมื่อสุกแล้วจะกลายเป็นสีแดงหรือสีส้ม ด้านในมีเมล็ด ส่วนเนื้อที่อยู่ในเมล็ดจะเป็นสีขาว (เมล็ดดิบจะมีพิษ ต้องนำมาทำให้สุกก่อนกิน) สรรพคุณ : ช่วยดับพิษทุกชนิด บำรุงปอด แก้ท่อน้ำดีอุดตัน และแก้วัณโรค วิธีปลูก : ให้นำเมล็ดจากผลสดไปแช่น้ำทิ้งไว้ 1 คืน จากนั้นลอกเปลือกหุ้มเมล็ดออก นำไปเพาะในตะกร้าที่มีกากมะพร้าว ดูแลรดน้ำทั้งเช้าและเย็น ถ้าต้นแข็งแรงแล้วค่อยย้ายลงมาปลูกในดิน หาไม้หลักหรือตค้างมาปักไว้ให้ต้นเลื้อย 8. ไม้เลื้อยมีผล "ฟักแม้ว" ฟักแม้ว : เป็นไม้เลื้อยตระกูลแตง ลักษณะยอดคล้ายยอดฟักทอง ลำต้นเป็นเหลี่ยมและมีเถาเลื้อย ออกใบลักษณะ 5 แฉก สีเขียวเข้ม ดอกฟักแม้วออกตามซอกใบ สีเขียว-เหลือง ผลมีลักษณะเรียวยาว ก้นเป็นร่อง มีสีเขียวอมเหลือง สรรพคุณ : ช่วยขับปัสสาวะ บำรุงหัวใจ ช่วยลดความดันโลหิต ต้านมะเร็ง และเสริมสร้างกระดูก วิธีปลูก : จากผลฟักแม้วเป็นวิธีที่ดีที่สุด เนื่องจากเป็นพืชที่มีอายุสั้น ไม่เหมาะกับการปักชำ เริ่มจากคัดผลที่สุกเต็มที่หรือมีรากงอกมาปลูกในกระถางดินที่ผสมปุ๋ยคอกและแกลบดำ ดูแลรดน้ำให้ชุ่มประมาณเดือนกว่า ๆ ต้นก็จะแข็งแรงพร้อมย้ายมาปลูกในกระถางใหญ่ หรือในหลุมดินลึก 30 เซเนติเมตร ปักไม้หลักหรือค้างให้ต้นเลื้อย ดูแลรดน้ำตามปกติ และบำรุงปุ๋ยทุกเดือน 9. มะระ ไม้เลื้อยมากคุณประโยชน์ มะระ : เป็นไม้เลื้อยที่ขึ้นได้ดีในเขตร้อน มีเถาเลื้อยเกาะไปตามที่ต่าง ๆ ออกใบกว้าง ขอบใบหยัก ลักษณะดอกเป็นสีเหลืองออกตามซอกใบ ส่วนลักษณะผลขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ ถ้าเป็นมะระขี้นก ผลจะเป็นทรงกลมคล้ายวงรีแต่ปลายแหลม มีสีเขียวเข้ม ผิวขรุขระ ส่วนมะระจีน จะยาวกว่าดูคล้ายรูปทรงกระบอก มีสีเขียวอ่อน สรรพคุณ : แก้ร้อนใน กระตุ้นระบบขับถ่าย แก้อาการอักเสบ แก้หวัด และช่วยรักษาเบาหวานได้ วิธีปลูก : ให้นำเมล็ดพันธุ์ที่สมบูรณ์มาปลูกลงในกระถางดินร่วนผสมปุ๋ยคอก ดูแลรดน้ำวันละ 1 ครั้ง หาไม้หลักหรือค้างมาปักเพื่อให้ต้นเลื้อยยึดเกาะด้วยนะคะ 10. ไม้เลื้อยกลิ่นหอม "ชะพลู" ชะพลู : เป็นพืชล้มลุกที่ขึ้นได้ทั่วไป โดยเฉพาะที่ชื้น ลำต้นเป็นข้อ มีเถาเลื้อย ลักษณะใบคล้ายรูปหัวใจ ผิวใบขรุขระ ออกดอกเป็นช่อสีขาวขนาดเล็ก สรรพคุณ : ช่วยกระตุ้นการขับถ่ายให้ดีขึ้น ช่วยบำรุงสมองและสายตา มีสารต้านอนุมูลอิสระ รักษาเบาหวาน ช่วยชะลอและยับยั้งการเกิดเซลล์มะเร็ง วิธีปลูก : ให้เด็ดยอดชะพลูมีใบติดสัก 2-3 ใบมาปักชำลงในกระถางดินร่วน ดูแลรดน้ำทุกวัน วันละครั้ง บำรุงปุ๋ยทุก 3 เดือน   เห็นไหมล่ะว่าผักไม้เลื้อยพวกนี้ก็มีประโยชน์หลากหลายกับเค้าเหมือนกัน ทั้งใช้ทำสวน ทำซุ้มบังแดด หรือจะปลูกเอาไว้เก็บกินก็ได้ เป็นต้นไม้ที่มีแต่ประโยชน์ขนาดนี้ คนรักสวนไม่ควรพลาดเลยนะคะ ความรู้เกี่ยวกับผักไม้เลื้อยอื่นๆ วิธีการ กำจัดไม้เลื้อยที่มีพิษ เกี่ยวกับต้นไม้รอบรั้วบ้าน 5 พรรณไม้ที่ควรปลูกไว้ริมรั้ว 5 ต้นไม้ริมรั้วบ้าน สวยงาม แถมปลูกไว้กันขโมย! 7 ผักสวยงามปลูกในกระถาง เด็ดกินก็ได้ วางประดับบ้านก็ดี
5 วิธีลดร้อนให้บ้าน

5 วิธีลดร้อนให้บ้าน

ว่ากันว่าเข้าสู่ช่วงหน้าร้อนทีไรค่าไฟแต่ละบ้านจะขึ้นสูงปรี๊ดทุกที ก็แหม ด้วยอุณหภูมิข้างนอกที่ร้อนฉ่าขนาดนั้น ครั้นจะไม่ให้ใช้เครื่องปรับอากาศเลยก็คงจะทรมานเกินไปใช่ไหมล่ะคะ แต่จะให้เปิดแอร์อยู่ทั้งวันทั้งคืน พอถึงสิ้นเดือนทีเห็นบิลค่าไฟก็คงเศร้าใจไม่ใช่น้อย วันนี้ทีมงาน Review Your Living จึงได้รวบรวมสารพัดวิธีลดความร้อนให้กับบ้านมาฝาก ซึ่งต้องบอกเลยว่าเป็นเทคนิคดีๆ ที่จะช่วยเพิ่มความเย็นให้กับบ้านแสนรักของคุณได้อย่างแน่นอน เรียบเรียงโดย Review Your Living www.prosperitybni.com 1. Façade ช่วยได้ การดีไซน์ Facade (ฟาซาด) ไม่ว่าจะใช้วัสดุอะไรปกคลุมตัวอาคารก็คงคล้ายกับการแต่งตัวให้แก่บ้าน เพราะสามารถ เปลี่ยนบรรยากาศภายนอกของบ้านสมัยใหม่ได้เป็นอย่างดี บางคนอาจจะคิดว่าไม่มีความจำเป็นอะไร ไม่ต้องมีก็ได้ แต่ทราบไหมคะว่าฟาซาดนั้นช่วยกันฝนและกรองแสงลดความร้อนก่อนจะเข้าสู่ตัวบ้านได้เป็นยังดี อีกทั้งยังช่วยให้สายลมพัดผ่านได้ง่ายขึ้นรวมถึงอำพรางสายตาจากภายนอกเพื่อสร้างความเป็นส่วนตัวอีกด้วยค่ะ   2. ติดฟิลม์กรองแสงลดความร้อนสิ! ถ้าบ้านของคุณรายล้อมไปด้วยกระจกใส แน่นอนค่ะว่าคงทำให้บรรยากาศในบ้านดูโปร่งโล่งแต่ก็ต้องแลกมาด้วยความร้อนนะคะ ยิ่งมีแสงสว่างจากธรรมชาติสาดส่องมามากเท่าไหร่ความร้อนก็ยิ่งเข้าสู่ตัวบ้านมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นแนะนำว่าควรติดฟิลม์กรองแสงชนิดเคลือบโลหะค่ะ ด้วยคุณสมบัติที่ช่วยกรองแสงสว่างจากด้านนอกได้เป็นอย่างดีแล้ว คุณสมบัติเด่นของโลหะยังช่วยสะท้อนความร้อนออกไปอีกด้วย เพียงเท่านี้บ้านคุณก็เกิดภาวะเย็นสบายแล้วค่ะ ภาพจากโครงการ มาเอสโตร 19 รัชดา 19 - วิภา 3. เปลี่ยนผ้าม่าน ชีวิตก็เปลี่ยน... อย่าเพิ่งตกใจไปค่ะว่าผ้าม่านจะช่วยกันความร้อนได้อย่างไร แน่นอนว่าถ้าคุณเลือกใช้ผ้าม่านทั่วๆ ไปก็คงช่วยกรองแสงได้ประมาณหนึ่ง แต่ถ้าคุณเลือกใช้ม่าน Blackout หรือผ้าทึบแสงที่มีประสิทธิภาพกันแสงได้ถึง 99% ซึ่งส่วนใหญ่จะมาพร้อมกับการเคลือบกันรังสี UV ทำให้บ้านเย็นขึ้น ผู้อยู่อาศัยสบายตัว สบายใจ และที่สำคัญสบายกระเป๋าด้วยค่ะเนื่องจากช่วยประหยัดค่าไฟไปได้เยอะเชียวล่ะ ภาพจากโครงการ The Village บางนา - วงแหวนฯ 2 4. ต้นไม้ก็ช่วยได้นะ อีกหนึ่งวิธีง่ายๆ ที่จะช่วยให้บ้านของคุณเย็นขึ้น นั่นก็คือการปลูกต้นไม้ใหญ่สีเขียวขจีให้แตกแขนงกิ่งก้านปกคลุมบ้าน แต่ก็ต้องคอยดูแลให้ดีนะคะ ถ้ามันเริ่มโตหรือสูงเกินไปอาจบดบังตัวบ้านได้ ดังนั้นต้องคอยหมั่นตัดกิ่งก้านเล็มใบเพื่อให้ลมสามารถพัดผ่านได้อย่างสะดวก ส่วนข้อแนะนำที่เราอยากบอกก็คือควรปลูกต้นไม้ทางทิศตะวันตกหรือทิศใต้ เพราะทิศทางลมจะช่วยพัดผ่านทำให้บ้านเย็นขึ้น   5. ติดฉนวนกันความร้อน แน่นอนค่ะว่าปัจจุบันมีวัสดุใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย หนึ่งในวัสดุที่รู้จักกันดีก็คงหนีไม่พ้นฉนวนกันความร้อนที่มักนิยมติดกันบนฝ้า ใต้หลังคา หรือแม้แต่ผนังบ้าน ด้วยคุณสมบัติที่ช่วยสะท้อนและปกป้องความร้อนได้ดี ทั้งยังติดตั้งง่ายไม่ว่าจะเป็นบ้านสร้างสำเร็จรูปหรือบ้านสร้างใหม่ ทำให้บ้านเย็นฉ่ำตลอดทั้งวัน
9 วิธีแต่งบ้านคลายร้อน ช่วยให้บ้านเย็นน่าอยู่ อากาศสบายไม่อบอ้าว

9 วิธีแต่งบ้านคลายร้อน ช่วยให้บ้านเย็นน่าอยู่ อากาศสบายไม่อบอ้าว

บ้านร้อนอบอ้าวทำไงดี แก้ปัญหาได้ง่าย ๆ ด้วย 9 ไอเดียแต่งบ้านรับซัมเมอร์ ที่จะทำให้บ้านเย็นสดชื่น ไม่อบอ้าว อยู่ในบ้านได้สบาย ๆ ไม่ต้องหาเรื่องออกไปเที่ยข้างนอก อย่างที่รู้ ๆ กันว่าประเทศของเราเป็นเมืองร้อนอยู่แล้ว พอย่างก้าวเข้าสู่ฤดูร้อนทีไรอากาศก็จะยิ่งทวีความร้อนให้เพิ่มพูนขึ้นไปอีก วันนี้เราเลยขอนำ 9 ไอเดียแต่งบ้านหน้าร้อนที่จะช่วยลดอุณหภูมิภายในและทำให้บ้านเย็นสบายขึ้นไม่ต้องหนีบ้านร้อน ๆ เพื่อดอดไปตากแอร์เย็น ๆ ที่ห้างอีกต่อไป แล้วจะมีวิธีไหนที่น่าสนใจนำมาใช้กับที่บ้านได้บ้างนั้นก็ตามไปไปดูกันเลยยย.. 1. ติดกันสาดกันแดด ในเมื่อเราไม่สามารถหลบเลี่ยงบ้านจากแสงแดดได้ การติดตั้งกันสาดช่วยลดความร้อนได้ โดยควรจะติดไว้บริเวณทิศตะวันตก ทิศตะวันออก และทิศใต้ เนื่องจากทั้ง 3 ทิศที่ว่ามานี้เป็นทิศที่มักจะมีแสงส่องเข้ามาเลยทำให้บ้านยิ่งร้อนหนักหากไม่มีอะไรมาบัง ถ้าจะให้ดีควรเลือกกันสาดชนิดโพลีไวนิลคลอไรด์และแบบวัสดุสังเคราะห์ เพราะจะทนทานสามารถใช้งานได้ยาวนานกว่าวัสดุชนิดอื่น ๆ และช่วยให้บ้านเย็นได้มากกว่า 2. ใช้หลังคาป้องกันความร้อน การเลือกหลังคาก็เป็นสิ่งสำคัญ หากไม่อยากให้บ้านร้อนระอุในหน้าร้อน ควรเลือกหลังคาที่มีสารเคลือบเซรามิคโค้ทติ้ง ซึ่งจะช่วยปกป้องและสะท้อนความร้อนจากแสงอาทิตย์ได้ดี หรืออีกหนึ่งวิธีก็คือใช้สีขาวทาหลังคาบ้าน เพราะสีขาวจะช่วยสะท้อนความร้อนและไม่อมความร้อนไว้เหมือนหลังคาสีเข้ม 3. ปลูกต้นไม้ให้ร่มเงา สังเกตไหมว่าต่อให้แดดจะร้อนแรงสักแค่ไหน แต่ถ้ามีต้นไม้ช่วยบังแสงไว้ก็จะทำให้บริเวณนั้นเย็นขึ้นมาทันที ดังนั้นเพื่อช่วยในการบังแสงและให้ร่มเงาแก่บ้าน ควรเลือกต้นไม้ที่สูงสักประมาณ 12 เมตร มาปลูกไว้ทางทิศใต้ และนำต้นไม้สูง 18 เมตรมาปลูกไว้ทางทิศตะวันตก นอกจากจะบังแสงได้แล้ว วิธีนี้ยังช่วยประหยัดพลังงาน ทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้าไม่ต้องทำงานหนัก เพราะอุณหภูมิภายในลดลงนั่นเอง 4. เปิดหน้าต่างระบายอากาศ ถ้าอากาศในภายบ้านแลดูร้อนอบอ้าวไปซะทุกพื้นที่ ให้เปิดหน้าต่างทิ้งเอาไว้ให้ลมโกรก เพื่อให้อากาศถ่ายเทสะดวก โดยเมื่ออากาศจากด้านนอกจะเข้ามาภายในบ้าน มันก็จะดันอากาศร้อนที่อยู่ภายในบ้านให้ลอยตัวสูงและไหลออกไป ช่วยระบายความร้อนอบอ้าว ทำให้บ้านเย็นสบายไม่อึดอัด 5. ติดพัดลมเพดาน หลายคนอาจจะคิดว่าพัดลมเพดานนั้นไล่ความร้อนได้ช้า ไหนจะอยู่ไกลตัวจนไม่สามารถนำมาเปิดจ่อลมได้โดยตรงอย่างพัดลมตั้งพื้นทั่วไปอีก แต่ที่จริงแล้วพัดลมเพดานนี่แหละที่เหมาะกับการใช้งานในฤดูร้อนมากที่สุด เพราะมันจะดูดเอาความร้อนจากพื้นให้ลอยตัวสูงขึ้นและปล่อยให้อากาศเย็นสบายไหลเข้ามาแทนที่ ทำให้อุณหภูมิบริเวณนั้นเย็นสบายยังไงล่ะ 6. เลี่ยงการปูพรม พรมนี่แหละที่เป็นตัวการกักเก็บความร้อนเอาไว้ในบ้าน หากไม่อยากให้บ้านยิ่งร้อนหนัก เลือกปูด้วยไม้หรือกระเบื้องจะทำให้บ้านเย็นกว่า เพราะเป็นวัสดุที่ไม่อมความร้อน แต่ถ้ายังตัดใจจากพื้นพรมไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แค่เลือกพรมที่ทำมาจากเส้นใยธรรมชาติ เช่น คอตตอนหรือขนสัตว์ เพราะทั้ง 2 วัสดุนี้จะช่วยกักเก็บความชื้นในอากาศไว้ในปริมาณที่พอเหมาะ ไม่ทำให้บ้านร้อนและชื้นแต่อย่างใด 7. เลือกใช้หลอด LED หลอดไฟที่ติดตั้งอยู่ภายในบ้านก็เป็นอีกหนึ่งตัวการสำคัญที่ทำให้บ้านร้อนจากภายใน ดังนั้นควรจะหันมาใช้หลอดแอลอีดี (LED) เพราะหลอดไฟชนิดนี้จะปล่อยพลังงานความร้อนออกมาน้อยกว่าหลอดชนิดอื่น ๆ แสงก็ดูเย็นสบายตา ไม่ทำให้รู้สึกร้อนเหมือนหลอดฟลูออเรสเซนต์ทั่วไป แถมคุณภาพของแสงสว่างก็อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานอีกด้วยล่ะ 8. ทาผนังด้วยสีโทนเย็น โทนสีที่ใช้ตกแต่งภายในบ้านก็สำคัญไม่แพ้กัน ควรจะเลือกโทนสีสว่าง ๆ ที่ดูเย็นสบายตา อย่าง สีขาว สีมุก สีครีม และสีฟ้า หรือใช้ของตกแต่งที่ทำมาจากวัสดุธรรมชาติ ก็จะช่วยปรับอากาศในบ้านให้เย็นสบาย ไม่ร้อนตามอากาศภายนอก 9. ติดพัดลมอากาศในห้องน้ำ หากทำตามมาทุกวิธีแล้วสังเกตว่าบ้านยังร้อนอยู่เลย ให้ติดตั้งพัดลมดูดอากาศในห้องน้ำเพิ่มไปอีกตัว และเปิดพัดลมดูดอากาศพร้อมกับเปิดประตูห้องน้ำทิ้งไว้ หรือจะเปิดพัดลมเพดานที่ห้องข้าง ๆ ไว้ด้วยก็ได้ ซึ่งวิธีนี้จะช่วยดูดให้ความร้อนออกไปได้เร็วกว่าเดิม ทำให้บ้านเย็นสบายขึ้นเยอะเลย ต่อให้อากาศจะร้อนกว่านี้อีกสักเท่าไร แต่ถ้านำไอเดียแต่งบ้านในหน้าร้อนที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ไปใช้ รับรองได้เลยว่าอุณหภูมิในบ้านจะลดลงไปได้เยอะเลย ไม่ต้องทนร้อน นอนทรมานอยู่กับความอบอ้าวอีกต่อไป   ขอขอบคุณข้อมูลจาก  https://home.kapook.com/view168042.html
มันมากับหน้าฝน ตะขาบเข้าบ้านทำอย่างไรดี

มันมากับหน้าฝน ตะขาบเข้าบ้านทำอย่างไรดี

บ้านหลายหลังเจอปัญหาตะขาบเข้าบ้าน สร้างความรำคาญและน่าขนลุกขนพอง แต่หากคุณรู้วิธีจัดการกับตะขาบ ปัญหานี้ก็ไม่รบกวนคุณ ตะขาบชอบอยู่ในที่ชื้น ห้องที่มีความชื้น อย่างเช่นห้องใต้ดิน และห้องน้ำนั้น เป็นที่เหมาะสำหรับพวกมัน ตะขาบเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว และชอบออกมาในตอนกลางคืน แต่ทราบหรือไม่ว่ามีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้เราไม่ควรจะไปยุ่งกับมัน เพราะตะขาบช่วยฆ่าแมลงชนิดอื่น แน่นอนว่าในบ้านของเรานั้น มีแมลงอยู่หลายชนิดทั้งแมลงสาบ แมลงเม่า แมลงวัน และปลวก แมลงเหล่านี้ ล้วนแต่เป็นที่รังเกียจสำหรับเราทั้งนั้น ซึ่งตะขาบแม้จะมีรูปร่างที่น่าเกลียดแต่มันก็ช่วยจัดการแมลงเหล่านี้ให้เรา นอกจากนี้ ตะขาบยังไม่เป็นพาหะนำเชื้อโรค ไม่ได้ทำให้เครื่องเฟอร์นิเจอร์ไม้เสียหาย ไม่ยุ่งกับอาหารของมนุษย์ มันเป็นแค่แมลง แต่ทั้งนี้ เราอาจจะเคยได้ยินมาว่า เราไม่ควรจับตะขาบด้วยมือเปล่า เพราะมันมีพิษ ซึ่งแน่นอนว่า เราอาจจะถูกมันกัด แม้พิษของมันจะไม่ได้ร้ายแรงอะไร แต่ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่เราจะต้องไปสัมผัสมัน แต่หากต้องการนำมันออกไปให้พ้น ก็เพียงแค่กวาดใส่ที่ตักผง แล้วนำไปปล่อยข้างนอกบ้านก็พอแล้ว และสำหรับผู้ที่ต้องการจะป้องกันไม่ให้ตะขาบเข้าบ้าน ก็มีวิธีเช่นกันคือ ปิดช่องทางต่าง ๆ ที่จะทำให้ตะขาบเข้ามาในตัวบ้านได้ กำจัดแมลงภายในบ้านที่เป็นอาหารของตะขาบ ใช้อุปกรณ์ป้องกัน หรือดูดความชื้นภายในบ้าน ติดตั้งพัดลมดูดอากาศในห้องน้ำเพื่อระบายความชื้น จุดที่มีรอยแยกรอยแตกตามบ้าน ให้ปิดให้หมด เพราะตะขาบมักจะไปวางไข่ตามช่องเหล่านั้น กำจัดของที่มีความเปียกชื้น ไม่นำเอาของเหล่านั้นเข้ามาในตัวบ้าน   ขอขอบคุณข้อมูลจาก home.sanook.com
เทคนิคใช้ไฟฟ้าอย่างไรให้ปลอดภัยในหน้าฝน

เทคนิคใช้ไฟฟ้าอย่างไรให้ปลอดภัยในหน้าฝน

เข้าสู่ฤดูฝนอย่างเป็นทางการไปเรียบร้อยแล้ว นอกจากฝนตกฟ้าคะนองจะทำให้การเดินทางไปไหนมาไหนลำบากแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่อยากให้ทุกคนคำนึงถึงนั่นคือ การใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าในช่วงหน้าฝน หรือฝนตกหนัก เพราะฤดูฝนแบบนี้มักเกิดเหตุไฟดูด ไฟช็อตได้บ่อยครั้ง มาดูกันว่ามีเรื่องอะไรบ้างที่ควรระมัดระวัง 1.ระมัดระวังเวลาใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่วางไว้ในที่ชื้น มีเครื่องใช้ไฟฟ้าบางประเภทมักตั้งอยู่ในบริเวณที่มีความชื้นเช่นปั๊มน้ำ เครื่องซักผ้า ดังนั้นเวลาใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านี้ควรเพิ่มความระมัดระวัง สวมรองเท้าก่อนเข้าไปสัมผัสหรือใช้งานเพื่อป้องกันอันตรายจากไฟฟ้ารั่ว 2.ไม่ควรใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าขณะตัวเปียก เรื่องนี้เรารู้กันอยู่แล้ว แต่บางครั้งอาจหลงลืม หลายๆ คนพอตัวเปียกฝน หรือชื้นๆ มาจากนอกบ้าน พอเข้ามาในบ้านอาจเผลอตัวไปสัมผัสปลั๊กไฟ หรือบางคนชอบใช้ไดรฟ์เป่าผมหลังสระผมใหม่ๆ ซึ่ง ไม่แนะนำให้ทำแบบนั้น เนื่องจากหากเกิดไฟรั่วกระแสไฟจะผ่านร่างกายได้สะดวกขึ้น และเมื่อเกิดเหตุไฟฟ้าช็อตเราควรทำอย่างไร 1.ห้ามเข้าไปช่วยผู้ถูกไฟฟ้าช็อต จนกว่าจะแน่ใจว่าผู้บาดเจ็บไม่ได้สัมผัสกับสายไฟฟ้าหรือตัวนำไฟฟ้าใดๆ ถ้าจำเป็นต้องหาวัสดุที่เป็นฉนวนไม่นำกระแสไฟฟ้า เช่นไม้ หรือผ้ามาเขี่ยสายไฟออกจากผู้บาดเจ็บก่อน 2.ถ้าผิวหนังผู้ที่จะช่วยเปียกชื้น ห้ามเข้าไปช่วยเพราะยิ่งเป็นตัวนำกระแสไฟฟ้าและอาจถูกไฟฟ้าดูดได้ วิธีป้องกันอันตรายจากไฟฟ้าดูด หมั่นตรวจเช็คอุปกรณ์และสายไฟ และควรซ่อมแซมส่วนที่ชำรุด บริเวณที่วางสายไฟไม่ควรให้สิ่งของที่หนักไปทับ และวางให้พ้นทางเดิน เครื่องใช้ไฟฟ้าไม่ควรเปียกน้ำ ห้ามซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าเองโดยที่ไม่มีความรู้ ไม่ควรใช้ไฟฟ้าหลายอย่างกับปลั๊กไฟตัวเดียว ต่อสายดินเพื่อให้ไฟลงดิน และควรติดตั้งเครื่องตัดไฟฟ้าลัดวงจรภายในบ้าน เพื่อความปลอดภัยและเป็นการป้องกันที่ดี สิ่งเหล่านี้สามารถป้องกันได้ เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายที่รุนแรง   ขอขอบคุณข้อมูลจาก คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลศิริราช มหาวิทยาลัยมหิดล home.sanook.com