Tag : News

2376 ผลลัพธ์
ออริจิ้น เตรียมส่ง “เคนซิงตัน 63” คอนโดสไตล์รีสอร์ทเอาใจคนเมือง ปักหมุดแนวรถไฟฟ้าสายสีเขียว ใกล้สถานีอนุสาวรีย์หลักสี่มูลค่าโครงการ 450 ล้านบาท

ออริจิ้น เตรียมส่ง “เคนซิงตัน 63” คอนโดสไตล์รีสอร์ทเอาใจคนเมือง ปักหมุดแนวรถไฟฟ้าสายสีเขียว ใกล้สถานีอนุสาวรีย์หลักสี่มูลค่าโครงการ 450 ล้านบาท

บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI เดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่ล่าสุด เน้นตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัยและเอาใจคนเมือง ภายใต้แบรนด์ Kensington (เคนซิงตัน) โครงการ เคนซิงตัน 63 (Kensington 63) มูลค่าโครงการ 450ล้านบาท เกาะแนวรถไฟฟ้าสายสีเขียวห่างจากสถานีอนุสาวรีย์หลักสี่ เพียง 250 ม. ชูจุดขายคอนโดมิเนียนสไตล์รีสอร์ท เพื่อการใช้ชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพทำให้ทุกวันเป็นการพักผ่อนอย่างแท้จริงเน้นการดีไซน์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวครบครันทุกฟังก์ชั่นการใช้งาน ในบรรยากาศที่ร่มรื่น รายล้อมไปด้วยธรรมชาติราคาเริ่มต้นที่ 1.49 ล้านบาท   คุณพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ภายใต้ชื่อหลักทรัพย์ “ORI”เปิดเผยว่า ขณะนี้สถานการณ์ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เริ่มมีความชัดเจนขึ้น ผู้บริโภคเริ่มมีความมั่นใจในสถานการณ์การเมืองที่เริ่มคลี่คลายและมีเสถียรภาพมากขึ้นจากช่วงที่ผ่านมา โดยเห็นได้จากยอดขายโครงการคอนโดมิเนียมที่เริ่มปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นเป็นลำดับ ในขณะที่ ออริจิ้น ยังให้ความสำคัญกับการขยายธุรกิจให้มีความครอบคลุมความต้องการของลูกค้า รวมทั้งยังคงมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการเลือกสรรทำเลที่ตั้ง การออกแบบดีไซน์ที่สวยงาม มีฟังก์ชั่นการใช้งานที่ตอบรับไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัย รวมถึงการพัฒนาสินค้าให้มีคุณภาพและได้มาตรฐาน เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าได้อย่างลงตัวที่สุด  โดยล่าสุด เตรียมเปิดโครงการใหม่ ภายใต้แบรนด์ Kensington (เคนซิงตัน)  คือ โครงการ เคนซิงตัน 63 (Kensington 63) พัฒนาเป็นโครงการคอนโดสไตล์รีสอร์ท  ให้คุณพักผ่อนตลอด 365 วัน มูลค่าโครงการ 450 ล้านบาท ราคาเริ่มต้นที่ 1.49 ล้านบาท ย้ำเชื่อมั่นความแข็งแกร่งของศักยภาพแบรนด์ Kensington (เคนซิงตัน) และจะเป็นอีกหนึ่งโครงการที่ได้รับการตอบรับที่ดี โครงการเคนซิงตัน 63(Kensington 63) พัฒนาเป็นโครงการคอนโดมิเนียมLow rise 8 ชั้น จำนวน 231 ยูนิต ตั้งอยู่ในซอยถนนพหลโยธิน 63 ห่างรถไฟฟ้าสายสีเขียวสถานีอนุสาวรีย์หลักสี่ 250 เมตร มีห้องชุดทั้งหมด 3 รูปแบบ 1. 1 Bedroom ขนาด 23-33 ตร.ม. 2. 1 Bedroom Plus ขนาด 34.8 ตร.ม. 3. 2 Bedroom ขนาด 47.6 ตร.ม. พัฒนาภายใต้แนวคิด “รีสอร์ทคอนโด” เน้นการดีไซน์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวครบทุกฟังก์ชั่นการใช้งาน ในบรรยากาศที่ร่มรื่น แวดล้อมไปด้วยธรรมชาติ โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมสไตล์อังกฤษ และการออกแบบพื้นที่พิเศษที่ให้คุณได้พักผ่อน เติมเต็มพลังงานพร้อมความเป็นส่วนตัวทั้งนี้เพื่อรองรับความต้องการและตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้อยู่อาศัย อาทิ สวนหย่อมรอบโครงการTree house ห้องอ่านหนังสือ ห้องฟิตเนส สระว่ายน้ำขนาดใหญ่ ฯลฯ เป็นต้น โครงการตั้งอยู่ในซอยพหลโยธิน 63 ห่างจากรถไฟฟ้าสายสีเขียวสถานีอนุสาวรีย์หลักสี่ ประมาณ 250 เมตรซึ่งโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ซึ่งคาดว่ามีแผนจะเปิดให้บริการในช่วงปี 2562 ทำให้การเดินทางในย่านนี้เกิดความสะดวกมากขึ้นสามารถเชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้ามหานคร (MRT) จตุจักรในการเดินทางเข้าเมืองได้ นอกจากนี้ที่ตั้งโครงการยังสามารถเชื่อมต่อกับถนนสายสำคัญได้หลายสาย อาทิ ถนนวิภาวดีรังสิต ถนนแจ้งวัฒนะ ถนนงามวงศ์วาน ถนนเกษตร-นวมินทร์ และถนนรามอินทราเป็นต้น “สำหรับทำเลย่านพหลโยธิน-สะพานใหม่ เป็นทำเลที่อยู่ในแนวเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีเขียว ซึ่งคิดว่ายังคงมีดีมานด์อยู่อีกมาก และมีผู้บริโภคที่มีความต้องการซื้อเพื่อการอยู่อาศัยอย่างแท้จริงยังมีอยู่ ซึ่ง ออริจิ้น ได้พัฒนาโครงการ เคนซิงตัน 63 (Kensington 63)ให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า ทั้งการออกแบบประโยชน์ใช้สอยภายในให้เหมาะสม สามารถตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้าและสภาวะปัจจุบันให้มากที่สุด ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำมาโดยตลอดเพื่อสร้างความแตกต่างให้เกิดขึ้นในตลาดอสังหาริมทรัพย์ ที่ในปัจจุบันมีการแข็งขันสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะตลาดคอนโดมิเนียม”คุณพีระพงศ์ กล่าวตอนท้าย ล่าสุดสำหรับโครงการ เคนซิงตัน 63 (Kensington 63) เตรียมจัดโปรโมชั่นและข้อเสนอสุดพิเศษ สำหรับลูกค้าที่ต้องการเป็นเจ้าของคอนโดสไตล์รีสอร์ทที่ตอบรับทุกการใช้ชีวิต ครบทุกฟังก์ชั่น โดดเด่นด้วยดีไซน์เฉพาะตัว ตั้งบนทำเลศักยภาพติดแนวรถไฟฟ้าสายสีเขียว สอบถามรายละเอียดได้ที่ 020 300 0000 หรือ www.origin.co.th  
อนันดาฯ ยืนยันไม่มีนโยบายในการซื้อที่ดินแพงที่สุด!! พร้อมยึดหลักในการมอบสิ่งที่ดีที่สุด ในราคาสมเหตุผลแก่ลูกค้า

อนันดาฯ ยืนยันไม่มีนโยบายในการซื้อที่ดินแพงที่สุด!! พร้อมยึดหลักในการมอบสิ่งที่ดีที่สุด ในราคาสมเหตุผลแก่ลูกค้า

บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ผู้นำตลาดคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าและผู้ประกอบการที่คำนึงถึงผลประโยชน์และความต้องการของลูกค้าเป็นสำคัญ ในกรณีมีข่าวเรื่อง “อนันดาฯ ซื้อที่ดินแพงที่สุดถึง 2.2 ล้านบาท/ตารางวา”  พร้อมยืนยันบริษัทฯ ไม่มีนโยบายในการซื้อที่ดินที่แพงที่สุด  โดยที่ดินแปลงดังกล่าวได้ซื้อมาในราคา 1.2 ล้านบาท/ตารางวา ย้ำห่วงก่อให้เกิดปัญหาทำให้ราคาที่ดินในท้องตลาดสูงขึ้น ส่งผลต่อผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อไม่สูงมาก ไม่สามารถซื้อที่อยู่อาศัยได้ในราคาย่อมเยา หวังสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องต่อสาธารณชนและความเชื่อมั่นของนักลงทุน นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ผู้นำตลาดคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้า  เปิดเผยว่า กรณีมีข่าวบิดเบือนจากความเป็นจริงอย่างยิ่ง เรื่อง “ อนันดาฯ ซื้อที่ดินแพงที่สุดถึง 2.2 ล้านบาท/ตารางวา” โดยความเป็นจริงแล้ว ที่ดินแปลงดังกล่าวซื้อมาในราคา 1.2 ล้านบาท/ตารางวา  ซึ่ง อนันดาฯ ไม่มีนโยบายในการซื้อที่ดินในการพัฒนาโครงการในราคาที่แพงที่สุด เพราะเป้าหมายในการพัฒนาที่ดินของ อนันดาฯ ยังคงยึดหลักคำนึงถึงผลประโยชน์และความต้องการของลูกค้าเป็นสำคัญ และไม่เคยซื้อที่ดินที่แพงขึ้นหรือทำให้ราคาที่ดินสูงขึ้นเลย เนื่องจากทราบดีถึงปัญหาในเรื่องกำลังซื้อของคนในประเทศที่ไม่ได้สูงมาก ดังนั้น อนันดาฯ จึงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาโครงการที่มีคุณภาพในราคาสมเหตุผล เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยได้  และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ประชาชน นักลงทุน จะให้การสนับสนุนและเชื่อมั่นในการบริหารงานที่ยุติธรรมต่อผู้บริโภคของอนันดาฯ  ต่อไป
Thailand Property Awards ครั้งที่ 11 คึกคัก ประกาศรายชื่อ 36 บริษัทอสังหาริมทรัพย์ เข้าชิงชัย 33 ประเภทรางวัล

Thailand Property Awards ครั้งที่ 11 คึกคัก ประกาศรายชื่อ 36 บริษัทอสังหาริมทรัพย์ เข้าชิงชัย 33 ประเภทรางวัล

Thailand Property Awards ครั้งที่ 11 เข้าสู่โค้งสุดท้าย คณะกรรมการตัดสิน คัดเลือกผู้เข้าชิงรางวัลทั้งหมด 36 บริษัท มีสิทธิ์ลุ้น 33 ประเภทรางวัล กว่า 200 โครงการร่วมชิงชัย เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วถึง 32% ทั้งบริษัทขนาดเล็กและยักษ์ใหญ่ในวงการ โดยปีนี้จัดงานสัมมนา Property Report Congress Thailand 2016 ก่อนงานกาล่า ดินเนอร์ประกาศรางวัล มร.เทอร์รี่ แบล็คเบิร์น กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้กูรู อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การประกาศรางวัลไทยแลนด์ พร็อพเพอร์ตี้ อวอร์ด 2016 ครั้งที่ 11 (Thailand Property Awards 2016) ขณะนี้เข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้าย โดยคณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกได้ประกาศรายชื่อผู้ที่ผ่านการพิจารณาเข้ารอบที่มีสิทธิ์ได้รับการพิจารณารับรางวัล 33 ประเภท โดยปีนี้ได้มีการเพิ่มรางวัลใหม่ ได้แก่ รางวัล Special Recognition in Sustainable Development, รางวัล Best Luxury Villa Development (Hua Hin), รางวัล Best Community Retail Development และ รางวัล Best Condo Development (Bangkok) “หลังจากที่ผลประกอบการอสังหาฯ ฟื้นตัวเล็กน้อยในครึ่งปีแรก โดยเฉพาะในกลุ่มตลาดระดับบน ตลาดอสังหาริมทรัพย์ของไทยโดยรวมหวังที่จะฟื้นตัวต่อเนื่องและสะท้อนการเติบโตที่งานแจกรางวัลที่ยิ่งใหญ่แห่งปี Thailand Property Awards 2016  ซึ่งกำลังก้าวเข้าสู่ทศวรรษที่สอง การจัดงานในปีนี้เรามีความยินดีที่ได้ต้อนรับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่ทำโครงการแนวบูติก ซึ่งได้รางวัลร่วมกับบริษัทชั้นนำขนาดใหญ่ ที่หันมาร่วมแข่งขันเพื่อให้ได้รางวัลแห่งความสำเร็จและการยอมรับจากทั่วอุตสาหกรรมในปีที่ 11 นี้” มร.เทอรี่ กล่าวต่อไปว่า การจัดงานมีคณะกรรมการตัดสินเป็นผู้ทรงคุณวุฒิในแวดวงอสังหาฯ  และการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนของผู้เข้าร่วมชิงรางวัล เป็นการบ่งบอกว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยมีเสถียรภาพ สำหรับผู้ประกอบการอสังหาฯที่ต้องการแข่งขัน คุณภาพของโครงการดีขึ้นทุกปีๆ ถึงแม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสภาพสังคมและการเมือง โดยในปีนี้ได้รับรายชื่อโครงการที่เข้ามาร่วมประกวดในประเภทการออกแบบมากขึ้นกว่าปีที่แล้ว และเป็นที่น่าตื่นเต้นที่จะได้เห็นคนที่จะได้รับรางวัลในงานแจกรางวัลครั้งนี้ นอกเหนือจากผู้เข้าชิงรางวัลทั้ง 33 ประเภท Thailand Property Awards 2016 ในงานจะการประกาศรางวัลอันทรงเกียรติ Real Estate Personality of the Year ที่ได้รับการตัดสินจากบรรณาธิการหนังสือแมกกาซีน Property Report เป็นการ   ยกย่องบุคคลที่มีส่วนช่วยพัฒนาตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นรางวัลเดียวที่ไม่ได้รับการพิจารณาจากคณะกรรมการตัดสิน โดยผู้ที่ได้รับรางวัลนี้เมื่อปีที่แล้ว คือ นาย William Bill E Heinecke ผู้ก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) โดยในปีนี้ บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC), บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ลัคกี้ ลิฟวิ่ง พร็อพเพอร์ตี้ส์ จำกัด เป็นหนึ่งในผู้ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลชั้นนำ ในการประกาศรางวัลอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ในบรรดาผู้ถูกเสนอชื่อ MQDC คือ บริษัท ที่ถูกเสนอชื่อมากที่สุดถึง 9 รายการ ซึ่งเมื่อปีที่แล้วได้รับรางวัลชมเชย Best Developer มาปีนี้ MQDC เข้าแข่งขันในประเภทคอนโดมิเนียมหรู เพื่อชิงรางวัล Best Ultra Luxury Condo Development (Bangkok) สำหรับโครงการ The Residences at Mandarin Oriental, Bangkok  และ รางวัล Best Luxury Condo Development (Bangkok) สำหรับโครงการ Magnolias Waterfront Residences at ICONSIAM. ด้วยความต้องการจากกลุ่มลูกค้าชาวไทยที่มีกำลังซื้อและนักลงทุนชาวเอเชีย ทำให้ตลาดที่อยู่อาศัยระดับบน เป็นหนึ่งในตลาดที่มีการเคลื่อนไหวมากที่สุด เอสซี แอสเสท ผู้ชนะรางวัล Best Developer เมื่อปีที่แล้ว จะแข่งขันในประเภทโครงการหรูระดับบน ร่วมกับบริษัทรายใหญ่อย่างแสนสิริ, เมเจอร์ ดีเวลลอปเมนท์ และ แม่น้ำ เรสซิเดนท์ สำหรับประเภทโครงการริมน้ำเจ้าพระยา ถนนวิทยุ ศาลาแดง พร้อมพงษ์ และลาดพร้าว ส่วนรางวัลยอดเยี่ยมของโครงการคอนโดมิเนียม low-rise และ high-rise ในกรุงเทพ จะมีการแยกประเภทย่อยระหว่างราคาระดับบนและปานกลาง นอกจากนี้ยังมีรางวัลใหม่ Best Community Retail Development สำหรับประเทศไทยอีกด้วย ขณะนี้ไม่ว่าจะทำเลไหน ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ทั้งหน้าใหม่และรายเก่า ต่างแข่งขันกันในประเภทที่อยู่อาศัย บ้านจัดสรร และวิลล่าในเมืองท่องเที่ยวหลัก เช่น ภูเก็ต เชียงใหม่ หัวหิน สมุย พังงา กระบี่ และภาคตะวันออก นางสุพินท์ มีชูชีพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โจนส์ แลง ลาซาลล์ (ประเทศไทย) จำกัด ประธานกรรมการพิจารณาตัดสิน กล่าวว่า “นับตั้งแต่เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการตัดสินตั้งแต่ปี 2014 ในปีนี้ถือเป็นปีที่ทีความท้าทายมากที่สุด โดยมี ผู้เข้าประกวดถึง 214 โครงการ ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับปีที่แล้วที่มี 163 โครงการ กรรมการตัดสินทุกท่านใช้เวลาและความสามารถอย่างมาก ในการพิจารณาและไปเยี่ยมชมโครงการแต่ก็นับเป็นความท้าทาย เป็นประสบการณ์และโอกาสอันเยี่ยมยอด ที่จะได้พบกับที่ผู้ประกอบการอสังหาฯ ตลอดจน มัณฑนากร และสถาปนิก ที่มีส่วนร่วมในการสรรค์สร้างโครงการเหล่านี้” ในการมอบรางวัลครั้งที่ 11 นี้ ผู้จัด Thailand Property Awards 2016 ได้รวบรวมผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสายงานไม่ว่าจะเป็นที่ปรึกษา ผู้บริหารโครงการ ผู้ออกแบบ มาร่วมเป็นคณะกรรมการตัดสินในปีนี้ โดย ประธานกรรมการกิตติมศักดิ์ คือ ศ.ดร.มานพ พงศทัต ภาควิชาเคหะการ คณะสถาปัตยกรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  “โดยมาตรฐานการตัดสินจะครอบคลุมหลายประการ ได้แก่ ความได้เปรียบของทำเล แนวคิดการออกแบบ ความสำเร็จทางการตลาด ความมั่นคง และความคุ้มค่าสำหรับลูกค้า ซึ่งเรามีมาตรวัดที่ชัดเจนในการตัดสินโครงการที่คู่ควรกับรางวัลอันทรงเกียรตินี้ เป็นเรื่องน่าตื่นเต้นมากที่เห็นบริษัทอสังหาฯ ชั้นนำ ลงทุนทำโครงการรีสอร์ทในแหล่งท่องเที่ยวทั่วประเทศ ไม่ได้จำกัดตัวอยู่แต่ในกรุงเทพฯ” นางสุพินกล่าว และเพื่อความยุติธรรมและโปร่งใสในการตัดสินรางวัล Thailand Property Awards 2016 ได้มอบหมายให้ BDO ซึ่งเป็นบริษัทผู้ตรวจสอบบัญชีรายใหญ่แห่งหนึ่งของโลก มาร่วมตรวจสอบในกระบวนการคัดเลือกผู้ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล  เยี่ยมชมโครงการ และกระบวนการตัดสิน ตลอดจนขั้นตอนการพิจารณาการตัดสินครั้งสุดท้ายเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยผู้ชนะจะถูกเปิดเผยรายชื่อในงาน กาลา ดินเนอร์ ที่สุดเอกซ์คลูซีฟ วันที่ 22 กันยายน นี้ ที่โรงแรมพลาซ่า แอทธินี อะ รอยัล    เมอริเดียน คาดว่าจะมีผู้มาร่วมงาน 600 คน ทั้งแขกผู้มีเกียรติ และผู้บริหารบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ โดยในครั้งนี้ยังมีแขกรับเชิญกิตติมศักดิ์ ได้แก่ นายสุวัฒน์ ลิมปตพัลลภ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และกรรมการบริหาร บริษัท พราว เรียลเอสเตท จำกัด ให้เกียรติเข้าร่วมงานอีกด้วย ผู้ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลในหมวดพัฒนาโครงการ จะมีโอกาสได้รับรางวัลในหลายประเภท เช่น รางวัล Best of the Best ได้แก่ Best Housing Development (Thailand), Best Condo Development (Thailand) และ Best Commercial Development (Thailand)  ซึ่งจะทำให้มีโอกาสไปเข้าชิงรางวัลสุดท้ายในระดับอาเซียน และเป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมงาน 6th South East Asia Property Awards ที่สิงคโปร์ ในเดือนพฤศจิกายน มร.เทอรี่ กล่าวปิดท้ายว่า “งาน Thailand Property Awards 2016 ครั้งที่ 11 ได้รับการสนับสนุนหลักโดย Hansgrohe, ผู้สนับสนุนระดับ gold คือ Teka และ JLL Thailand โดยมี Property Report  เป็นสื่อพันธมิตร ก่อนที่จะมีการจัดงานกาลา ดินเนอร์ ในวันเดียวกันนั้น จะมีการจัดงานสัมมนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ ในชื่อ“ Property Report Congress Thailand 2016”  โดยความร่วมมือกับสมาคมธุรกิจชั้นนำ และ PropertyGuru Group ซึ่งเป็นผู้บริหาร DDproperty.com. เว็บไซต์ที่มีฐานสมาชิกเป็นกลุ่มผู้บริโภคอสังหาริมทรัพย์กว่า 16 ล้านคน และ เว็บไซต์อสังหาฯ ชั้นนำ ผู้สนใจสามารถซื้อบัตรราคาพิเศษก่อนวันที่ 1 กันยายนนี้ (หลังจากนั้นจนถึงวันงานสามารถซื้อบัตรได้ในราคาปกติได้) ติดต่อข้อมูลเพิ่มเติมที่ info@asiapropertyawards.com หรือ เว็บไซต์ : AsiaPropertyAwards.com/thailandpropertyawards/ รายชื่อ ผู้ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล 11th Thailand Property Awards 2016 DEVELOPER Best Boutique Developer Global Top Group Co Ltd Lucky Living Properties Co Ltd Siamese Asset Co Ltd DEVELOPMENT Best Ultra Luxury Condo Development (Bangkok) 98 Wireless by Sansiri PLC Marque Sukhumvit by Major Residences Company Limited The Residences at Mandarin Oriental, Bangkok by MQDC Magnolia Quality Development Corporation Best Luxury Condo Development (Bangkok) Magnolias Waterfront Residences at ICONSIAM by MQDC Magnolia Quality Development Corporation Saladeang One by SC Asset Corporation PLC Best Low-Rise High End Condo Development (Bangkok) LIV@49 by Lucky Living Properties Co Ltd Best High-Rise High End Condo Development (Bangkok) Menam Residences by Menam Residences Co Ltd Whizdom Avenue Ratchada – Ladprao by MQDC Magnolia Quality Development Corporation Best Low-Rise Affordable Condo Development (Bangkok) Proud III Condominium by Tri Property Co Ltd Villa Lasalle Sukhumvit 105 by Origin Property Public Company Limited Best High-Rise Affordable Condo Development (Bangkok) Knightsbridge Sky River Ocean by Origin Property Public Company Limited The Stage Taopoon Interchange by Real Asset Development Co Ltd Whizdom Station Ratchada – Thapra by MQDC Magnolia Quality Development Corporation Limited Best Housing Development (Bangkok) 749 Residence by Pannaphat Development Co Ltd Setthasiri Charan – Pinklao by Sansiri PLC VILLAZZO 10 by A-List Development Best Condo Development (Phuket) Saturdays Residence by Two Villa Tara Co Ltd The Beachfront Oceanfront Condos and Villas by The Beachfront Oceanfront Condos and Villas Twinpalms Residences MontAzure by MontAzure Best Residential Development (Phang Nga/Krabi ) Phu Dahla Residences by Phu Petra Development Co Ltd The Cleat Condominium by Save Solution Co Ltd Best Villa Development (Eastern Seaboard) Baan Dusit by Dusit Group Nusa Chivani by Nusasiri Best Luxury Condo Development (Eastern Seaboard) Aeras Condominium by The Urban Property One Tower Pratumnak by 1 Group Development The Riviera Wongamat Beach by The Riviera Group Best Affordable Condo Development (Eastern Seaboard) Dusit Grand Park by Dusit Group The Cloud by Global Top Group Best Residential Development (Hua Hin) La Bua Resort & Residence by Nordic Home Co Ltd Falcon Hill by Falcon Hill Development Limited Smart House Valley Development by Suppagarn Real Estate Service Co Ltd Best Luxury Villa Development (Hua Hin) MahaSamutr by PACE Development Best Residential Development (Chiang Mai) Astra Condo by Onsirin Group The Spring Condominium by NTS Property Co Ltd Best Residential Development (Samui) Azur by Beach Republic Group UniQue by Q71 Development Co Ltd Villa Karpe Diem by Sea Bright View Limited Best Hotel Development Avani Riverside Bangkok by Minor International Best Community Retail Development theCOMMONS by The Commons Co Ltd Best Retail Development Siam Discovery by Siam Piwat Co Ltd DESIGN Best Residential Architectural Design Magnolias Waterfront Residences at ICONSIAM by MQDC Magnolia Quality Development Corporation MahaSamutr by PACE Development The Residences at Mandarin Oriental, Bangkok by MQDC Magnolia Quality Development Corporation VILLAZZO 10 by A-List Development Best Residential Interior Design Best Western Premier BayPhere Pattaya by Habitat Group Co Ltd Magnolias Waterfront Residences at ICONSIAM by MQDC Magnolia Quality Development Corporation The Residences at Mandarin Oriental, Bangkok by MQDC Magnolia Quality Development Corporation X2 Vibe Pattaya SeaPhere by Fifth Avenue Development Co Ltd (Under Habitat Group Co Ltd) Best Landscape Architectural Design Avani Riverside Bangkok Hotel by Minor Hotels Hyde Sukhumvit 11 by Grande Asset Hotels & Property Public Company Limited LIV@49 by Lucky Living Properties Co Ltd VILLAZZO 10 by A-List Development Best Hotel Architectural Design Avani Riverside Bangkok Hotel by Minor Hotels Best Hotel Interior Design Avani Riverside Bangkok Hotel by Minor Hotels Best Retail Architectural Design theCOMMONS by The Commons Co Ltd Whizdom 101 by MQDC Magnolia Quality Development Corporation Note: The awards for Best Developer, Best Green Development, Special Recognition in CSR, Special Recognition in Sustainable Development, Best Housing Development (Thailand), Best Condo Development (Thailand) and Best Commercial Development (Thailand) will be revealed during the Gala Dinner.
“แลนด์มาร์ค ดีเวลลอปเมนท์ฯ” ปั้น “ทาวน์โฮมหรู” เจาะตลาดออฟฟิศ เปิด The Element Rama 9 รองรับสตาร์ทอัพ ดีมานด์ล้น คนทำออฟฟิศในบ้าน

“แลนด์มาร์ค ดีเวลลอปเมนท์ฯ” ปั้น “ทาวน์โฮมหรู” เจาะตลาดออฟฟิศ เปิด The Element Rama 9 รองรับสตาร์ทอัพ ดีมานด์ล้น คนทำออฟฟิศในบ้าน

เนื่องจากตลาดอสังหาฯปี 2016 แนวโน้มความชัดเจนว่าตลาด Residential มีความตึงตัวค่อนข้างสูงมากและในบางพื้นที่พบว่า demand ลดลงอย่างต่อเนื่อง  สวนทางกับ home office ที่ยังคงร้อนแรง  ขณะที่ supply ยังคงมีน้อย ประกอบกับความหนาแน่นของ office ให้เช่าในเมืองที่มีอยู่ในปัจจุบันค่อนข้างสูง และปรับตัวสูงขึ้นเฉลี่ย 5%   จุดประกายให้ บริษัท แลนด์มาร์ค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด  เปิดตัวโครงการ The Element Rama 9  บนทำเลที่มีศักยภาพสูงสุด เดินทางสะดวกไม่ว่าจะเดินทางไปสนามบินสุวรรณภูมิ หรือ อโศก ทองหล่อ เอกมัย ใช้เวลาเพียง 15 นาที ใกล้ the nine Concept  โครงการเป็น home office design Modern Luxury รองรับพนักงานได้ประมาน  25-30 คน ที่จอดรถ 6 คัน  เริ่มต้นที่ 22.9 ล้านบาท  ด้านตัวแทนขาย บริษัท ไนท์แฟรงค์ ชาร์เตอร์(ประเทศไทย) จำกัด มั่นใจ ดิวิลอปเปอร์มีประสบการณ์ด้านการพัฒนาโครงการแนวราบ ประกอบกับตัวเลขดีมานด์ล้น  คาดว่าปลายปีนี้จะสามารถปิดการขายได้หมด!! ธนะสิทธิ์ เฟื่องไพศาล   กรรมการผู้จัดการ  เผยว่า “ผมมองว่าคนที่ทำธุรกิจ size m ที่มีกำลังซื้อและอยากขยายธุรกิจหรือมองหา ที่ทำงานในทำเลที่ดีและอยู่อาศัยในที่เดียวกันอย่างลงตัวพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันนั้นยังมีอีกมากและตัดสินใจไม่ยากที่จะเปลี่ยนจากการจ่ายค่าเช่าเป็นผ่อนกับทางธนาคารเพื่อซื้อขาด ผมมองว่า product นี้น่าจะรองรับความต้องการในตลาดนี้ได้เป็นอย่างดี และหลังจากที่ประสบความสำเร็จจากโครงการอาคารพาณิชย์ที่นิคมลาดกระบังทำให้รู้สึกชอบโครงการแนวราบเพาะสามารถแบ่งเฟสในการสร้างและขายทยอยโอนได้ไม่เหมือนกับคอนโดมิเนียมที่ต้องสร้างเสร็จทั้งโครงการจึงจะโอนได้” “โดยเรามองหาทำเลเพื่อทำ home office มาระยะหนึ่งแล้ว ดูที่ดินหลาย 10 แปลง เพราะมองเห็นโอกาสเนื่องจาก product ที่เราพัฒนานั้นยังเป็นส่วนน้อยที่ทำออกมาขายในตลาดและยังมีความต้องการออฟฟิศเพื่อทำงานและอยู่อาศัยในที่เดียวกันในทำเลที่ดีประกอบกับจังหวะดีที่เราได้ที่ดินแปลงนี้มาซึ่งอยู่ในทำเลที่เหมาะมากๆ เดินทางสะดวกไม่ว่าจะเดินทางไปสนามบินสุวรรณภูมิ หรือ อโศก ทองหล่อ เอกมัย ใช้เวลาเพียง 15 นาที ใกล้ the nine ซึ่งจากที่ research ข้อมูลพบว่าพื้นที่ละแวกนี้มีคนทำ office ในบ้านเยอะแต่เป็นการดัดแปลงพื้นที่ตัวบ้านมาเป็นออฟฟิศซึ่งทำให้พื้นที่ใช้สอยไม่ลงตัวนักและจากผลสำรวจโครงการที่มีลักษณะเดียวกันนี้ยังมียอดขายที่ดี จึงมีแนวคิดเกิดเป็น “โครงการ The Element Rama 9” จากความตั้งใจที่จะทำให้โครงการนี้ตอบโจทย์สำหรับนักธุรกิจรุ่นใหม่ผู้ที่ต้องการขยายธุรกิจในทำเลที่มีศักยภาพแบ่งพื้นที่ใช้สอยเพื่อทำงานและอยู่อาศัยอย่างลงตัว ด้าน Concept  โครงการเป็น home office เน้นตอบโจทย์การทำงานพร้อมทั้งอยู่อาศัยอย่างลงตัวทั้งพื้นที่ใช้สอยและทำเลที่ตั้งรองรับพนักงานได้ประมาน  25-30 คน พร้อมกับ design Modern Luxury โดยใช้รูปทรงสีเหลี่ยมเรียบง่าย แต่เพิ่มมิติให้ตัวอาคารด้วยการใช้วัสดุที่หลากหลาย ทั้งเหล็ก ปูน กระจก และไม้ มีพื้นที่ธรรมชาติในบ้านหลายส่วน เริ่มจากชั้น1 เป็นที่จอดรถซึ่งจอดรถได้ถึง 6 คันและส่วนของ reception  เพื่อใช้ต้อนรับผู้มาติดต่อ ชั้น 2 ออกแบบให้มีระเบียงกว้างกระถางต้นไม้ที่มีความลึกพอปลูกต้นไม้ใหญ่ได้ เพื่อบรรยากาศที่เป็นธรรมชาติที่ร่มรื่นในส่วนชั้นสำนักงาน รวมถึง ชั้น3,4 พื้นที่ ภายในที่เว้นไว้สำหรับปรับพื้นที่ให้เข้ากับความต้องการการใช้งานให้ตรงกับลักษณะของธุรกิจที่ทางลูกค้าต้องการ ชั้น 5 หรือชั้นบนสุดที่เป็นส่วน Master Bedroom จะมีระเบียงขนาดใหญ่สำหรับจัดสวนชั้นดาดฟ้า เพื่อพักผ่อนหย่อนใจในสวนได้อย่างเป็นส่วนตัว ราคาเริ่มต้นที่ 22.9 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 700++ ล้านบาท เป้าหมายหลักคือกลุ่มนักธุรกิจ sme ที่ต้องการขยายธุรกิจ( size m ) เจ้าของธุรกิจที่กำลัง start up, กลุ่มเจ้าของธุรกิจที่เช่าออฟฟิศในเมืองและต้องการความเป็นส่วนตัวมากขึ้นและพื้นที่ใช้สอยเป็นสัดส่วนมากขึ้นได้ทั้งอยู่อาศัยและดำเนินธุรกิจโดยเปลี่ยนค่าเช่าเป็นการผ่อนธนาคาร กำหนดเปิดขาย   27-28 สิงหาคม 2559  ระยะเวลาการก่อสร้างเสร็จสมบรูณ์ภายใน ไตรมาส 2 ปี 2561 นอกจากนี้ผู้บริหารรุ่นใหม่ยังเผยกลยุทธ์การขายและทำการตลาดว่า “เนื่องจากตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันเป็นที่ทราบกันดีว่ามีความชะลอตัวมาตั้งแต่ปี2558โดยเฉพาะตลาดคอนโดมิเนียมที่มีจำนวนกว่า 100,000 ยูนิตรอโอนประกอบกับภาวะเศรษฐกิจที่ทำให้คนไม่กล้าใช้เงินเท่าไรนัก แต่ยังคงมี segment นี้ซึ่ง supply ที่มีอยู่ในตลาดยังไม่มากนักและยังทำยอดขายได้อยู่เรื่อยๆคือกลุ่มที่เป็น product high end ซึ่งมีราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป จึงทำให้ผมสนใจใน segment นี้ประกอบกับที่ตั้งโครงการอยู่ในทำเลที่เหมาะสมกับ product มาก กลยุทธ์ของเรานอกจากเลือกที่จะอยู่ใน segment ที่มี supply ไม่เยอะแล้วอีกอย่างที่ขาดไม่ได้คือเรามุ่งมั่นที่จะพัฒนา product ออกมามีคุณภาพสูงสูดเน้นทุกรายละเอียดและทำให้ ลูกค้าที่ซื้อโครงการของเราได้ความคุ้มค่ามากที่สุดโดยที่ลูกค้าสามารถเทียบราคา, ขนาดตัวบ้าน และ วัสดุต่างๆที่เราให้กับโครงการอื่นๆได้เลย ส่วนช่องทางการประชาสัมพันธ์แบ่งเป็น offline และ online และตั้ง target ไปที่กลุ่มลูกค้าที่เป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของเรา ทั้งนี้ได้ตั้งเป้าจะสามารถปิดการขายและจบโครงการภายในปี 2560   แผนในอนาคตผมยังคงสนใจที่ดินในเมืองและยังมุ่งมั่นที่จะพัฒนา product segment ที่เป็น Home office หรือ Luxury home ระดับ high end เพราะมองเห็นถึงศักยภาพของที่ดินและกำลังซื้อ เราจึงมั่นใจว่าจะพัฒนาโครงการใน segment นี้ต่อไป ด้าน คุณพนม กาญจนเทียมเท่า กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไนท์แฟรงค์ ชาร์เตอร์(ประเทศไทย) จำกัด เผยว่า ความต้องการพื้นที่ออฟฟิศบริเวณพระราม9 รามคำแหง ศรีนครินทร์ ณ ปัจจุบันมีแนวโน้มที่ดี โดยมีอัตราการเช่าสูงถึงร้อยละ 93 และมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2554 โดยมีพื้นที่ที่ว่างเพียงร้อยละ 7 หรือประมาณ 18,000 ตารางเมตร และคาดว่าพื้นที่เช่าในย่านนี้จะตกอยู่ในภาวะขาดแคลนภายใน 3 ปีข้างหน้า จากสาเหตุที่ไม่มีอุปทานใหม่ๆเกิดขึ้นในพื้นที่
“แอสเซทไวส์” ลุย 2 โครงการใหม่ ครองเจ้าทำเลที่ดีที่สุดย่านพหลโยธิน-รามอินทรา

“แอสเซทไวส์” ลุย 2 โครงการใหม่ ครองเจ้าทำเลที่ดีที่สุดย่านพหลโยธิน-รามอินทรา

“แอสเซทไวส์” ลุย 2 โครงการใหม่ ครองเจ้าทำเลที่ดีที่สุดย่านพหลโยธิน-รามอินทรา ประเดิมด้วย “โมดิซ สเตชั่น” คอนโดติดบันไดรถไฟฟ้าสายสีเขียว ต่อเนื่องความแรง กับ “โมดิซ อินเตอร์เชนจ์” คอนโดใจกลางจุดเชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีเขียวและสีชมพู บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มุ่งมั่นสร้างสรรค์ที่อยู่อาศัยคุณภาพ จัดแถลงข่าวเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียม 2 โครงการใหม่ล่าสุด ลุยใจกลางย่านพหลโยธิน - รามอินทรา ประเดิมด้วย โมดิซ สเตชั่น (Modiz Station) ติดบันไดทางขึ้นรถไฟฟ้าสายสีเขียว สถานีอนุสาวรีย์หลักสี่ ในราคาเริ่มต้น 1.89 ล้านบาท พร้อมเตรียมลุยต่อเนื่องกับ โมดิซ อินเตอร์เชนจ์ (Modiz Interchange) บนสุดยอดทำเลใกล้สถานีรถไฟฟ้า จุดเชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีเขียว และสายสีชมพู ต่อยอดความสำเร็จภายใต้แบรนด์ “โมดิซ” ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด กล่าวว่า “โมดิซ สเตชั่น” และ “โมดิซ อินเตอร์เชนจ์” ถือเป็นความภูมิใจล่าสุดที่เป็นเหมือนการยืนยันคุณภาพและการเติบโตอย่างต่อเนื่องของบริษัทฯ อันเนื่องมาจากการมุ่งมั่นสร้างสรรค์สิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า โดย โมดิซ สเตชั่น จะเปิดตัวก่อนในต้นเดือนกันยายน ตั้งอยู่บนทำเลที่ดีที่สุดของย่านพหลโยธิน – รามอินทรา ติดบันไดรถไฟฟ้าสายสีเขียว สถานีอนุสาวรีย์หลักสี่ ซึ่งอยู่ในระหว่างการก่อสร้างและจะเปิดให้บริการในอีกไม่ช้า ทั้งนี้ แนวรถไฟฟ้าสายสีเขียวจัดว่าเป็นสายที่มีศักยภาพสูงสุดเพราะเป็นสายที่เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้า BTS สายสุขุมวิท มุ่งตรงเข้าสู่หมอชิต สยาม และอโศก ทำให้สามารถเดินทางสู่ย่านธุรกิจใจกลางเมืองได้อย่างคล่องตัว และสามารถเชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้าสายสีชมพูที่อยู่บริเวณใกล้เคียงได้อีกด้วย นอกจากนี้ ยังสามารถเดินทางได้หลากหลายเส้นทาง เพราะล้อมรอบด้วยถนนสายหลัก คือ ถนนพหลโยธิน ถนนวิภาวดี-รังสิต ถนนรามอินทรา และถนนแจ้งวัฒนะ พร้อมทั้งอยู่ใกล้สถานที่สำคัญ ทั้งสถานศึกษา และสถานที่อำนวยความสะดวกต่างๆ มากมาย ทำให้ย่านพหลโยธิน-รามอินทรา เป็นทำเลที่น่าจับตามองที่สุดแห่งหนึ่ง โมดิซ สเตชั่น โดดเด่นด้วยการออกแบบในแนวคิด Live The Modern Luxury สะท้อนถึงตัวตนของผู้อยู่อาศัยที่มีสไตล์เป็นของตัวเอง เป็นผู้นำเทรนด์ มาพร้อมเฟอร์นิเจอร์บิวท์อินที่โดดเด่นและมีเอกลักษณ์ ใส่ใจทุกรายละเอียดด้วยการเลือกใช้วัสดุคุณภาพ ออกแบบห้องพักที่คำนึงถึงฟังก์ชั่นการใช้งานและประโยชน์ใช้สอยที่คุ้มค่า ตกแต่งเฟอร์นิเจอร์แบบครบเซ็ต พร้อมเทคโนโลยีที่ทันสมัยอย่าง Digital Door Lock และ Bluetooth Sound System ระบบหน้าจอสัมผัสในทุกห้อง พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันที่ตอบสนองทุกด้านของการใช้ชีวิต ทั้ง ดับเบิ้ลวอลุ่ม ลอบบี้ (Double Volume Lobby) ที่ให้ความรู้สึกที่โปร่งสบาย ห้องสมุด พร้อมพื้นที่สำหรับนัดประชุมงาน (Meeting Hub) ห้องฟิตเนสลอยฟ้าที่สามารถมองเห็นวิวได้ชัดเจน (Sky Fitness) สระว่ายน้ำที่มองเห็นวิวได้ 360 องศา (Panoramic View Swimming Pool) พื้นที่สวนบนอาคารที่สามารถทำกิจกรรมร่วมกันได้อย่างหลากหลาย ทั้งพื้นที่สำหรับปิ้งย่าง (BBQ Terrace) พื้นออกกำลังกายกลางแจ้ง (Outdoor Exercise Area) และพื้นที่พักผ่อนชมวิว (Skylight Chill Out Area) ทั้งยังเพิ่มความมั่นใจในความปลอดภัยด้วยกล้องวงจรปิด และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง “ด้านโครงการ โมดิซ อินเตอร์เชนจ์ จะเป็นคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ สูง 8 ชั้น โดดเด่นด้วยทำเลที่อยู่ติดรถไฟฟ้าสถานีวัดพระศรีมหาธาตุ ซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อรถไฟฟ้า 2 สาย คือสายสีเขียวและสายสีชมพู ซึ่งคาดว่าจะเปิดขายโครงการต่อเนื่องจาก โมดิซ สเตชั่น ในเดือนตุลาคม ศกนี้ นอกจากนี้ ภายในปี 2559 บริษัทฯ จะมีการเปิดตัวอีก 1 โครงการใหม่ ได้แก่ โครงการ “บราวน์” (Brown) มูลค่าโครงการ 470 ล้านบาท ตั้งอยู่ในซอยรัชดา 32 โดยคาดว่าจะเปิดตัวในช่วงเดือนพฤศจิกายน ศกนี้ ทั้งนี้ ภาพรวมตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันมียอดขายรวมแล้ว 1,100 ล้านบาท จากการเปิดตัวโครงการใหม่ 2 โครงการ ได้แก่ Wynn Condo พหลโยธิน 52 และ The Honor รวมถึงโครงการปัจจุบันที่มียอดขายอย่างต่อเนื่องจากปี 2558 โดยตั้งเป้าหมายยอดขายในปี 2559 อยู่ที่ 2,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าน่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่คาดไว้”  นายกรมเชษฐ์ กล่าวในตอนท้าย โครงการ โมดิซ สเตชั่น (Modiz Station) เป็นคอนโดมิเนียมในรูปแบบโลว์ไรส์ จำนวน 8 ชั้น 1 อาคาร รวม 246 ยูนิต มูลค่าโครงการ 570 ล้านบาท อีกด้านหนึ่ง โครงการ โมดิซ อินเตอร์เชนจ์ (Modiz Interchange) จะเป็นคอนโดมิเนียมรูปแบบโลว์ไรส์เช่นกัน สูง 8 ชั้น จำนวน 1 อาคาร รวม 217 ยูนิต มูลค่าโครงการ 530 ล้านบาท โดยโครงการ โมดิซ สเตชั่น ประกอบด้วยห้องชุดขนาดต่างๆ ได้แก่ ห้อง 1 Bedroom ขนาด 23.27 – 23.70 ตร.ม. ห้อง 1 Bedroom Extra ขนาด 26.12 ตร.ม. ห้อง 1 Bedroom Plus ขนาด 30.27 – 36.70 ตร.ม. และห้อง 2 Bedroom ขนาด 48.12 ตร.ม. ในราคาเริ่มต้น 1.89 ล้านบาท โดยในขณะนี้ได้เปิดลงทะเบียนผ่านทางเว็บไซต์ เพื่อรับส่วนลด 100,000 บาท พร้อมจะมีการจัด VIP Booking สำหรับโครงการ โมดิซ สเตชั่น ก่อนในวันที่ 3 – 4 กันยายน ศกนี้ สำหรับผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนเพื่อรับส่วนลดสูงสุดถึง 100,000 บาท ได้ที่ www.modizcondo.com พร้อมเยี่ยมชมห้องตัวอย่างได้แล้ววันนี้ ณ สำนักงานขาย โมดิซ ถนนพหลโยธิน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 089 331 1777 หรือ www.modizcondo.com
ความสนใจซื้อคอนโดไฮเอ็นด์ในกรุงเทพฯ ยังสูง แต่ตัวเลือกและราคาที่เพิ่มขึ้น ทำให้ผู้ซื้อตัดสินใจช้าลง

ความสนใจซื้อคอนโดไฮเอ็นด์ในกรุงเทพฯ ยังสูง แต่ตัวเลือกและราคาที่เพิ่มขึ้น ทำให้ผู้ซื้อตัดสินใจช้าลง

กรุงเทพฯ 24 สิงหาคม 2559 - แม้โครงการคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ จะมียอดขายแตกต่างกันไปในแต่ละโครงการและทำเล แต่สำหรับตลาดโดยภาพรวม พบว่า มีการขายช้าลง เนื่องจากซัพพลายที่มีอยู่ค่อนข้างมาก ทำให้ผู้ซื้อใช้เวลานานขึ้นในการหาและเปรียบเทียบตัวเลือก ตามการรายงานจากบรืษัทที่ปรึกษาและบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ เจแอลแอล (โจนส์ แลง ลาซาลล์) นายบัณฑูร ดำรงรักษ์ หัวหน้าฝ่ายบริการธุรกิจที่พักอาศัย เจแอลแอล กล่าวว่า “โดยทั่วไป ดีมานด์หรือความต้องการซื้อคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ ยังคงมีอยู่สูง โดยเห็นได้จากการที่เจแอลแอลยังคงได้รับการติดต่อสอบถามจากผู้สนใจซื้อเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะสำหรับคอนโดมิเนียมในย่านใจกลางกรุง ทั้งนี้ แม้ผู้สนใจซื้อหลายรายมีความตั้งใจซื้อจริง แต่ปริมาณคอนโดมิเนียมที่มีเสนอขายอยู่มากในตลาด ทำให้ผู้ซื้อไม่แน่ใจว่า ยูนิตที่กำลังสนใจนั้น เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้วหรือไม่ จึงลังเลและใช้เวลาในการตัดสินใจนานขึ้น” รายงานจากศูนย์บริการข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ไทยโดยเจแอลแอล ระบุว่า ณ กลางปีนี้ กรุงเทพฯ มีคอนโดมิเนียม (เฉพาะที่สร้างเสร็จแล้ว) คิดเป็นจำนวนรวมทั้งสิ้นกว่า 406,500 ยูนิต โดยในจำนวนนี้เป็นคอนโดที่สร้างเสร็จในช่วงครึ่งแรกของปีนี้รวม 29,200ยูนิต นอกจากนี้ มีคอนโดอีก 135,900 ยูนิตที่กำลังทยอยสร้าง โดยในจำนวนนี้ จะสร้างเสร็จในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ประมาณ40,000 ยูนิต ซึ่งจะทำให้กรุงเทพฯ ณ สิ้นปี 2559 มีจำนวนคอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จแล้วรวมทั้งสิ้นมากกว่า 446,000 ยูนิต เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวจากช่วงสิ้นปี 2555 คาดหวังราคาของผู้ซื้อและผู้ขาย มีช่องว่าง การติดต่อสอบถามที่เจแอลแอลได้รับส่วนใหญ่ มาจากผู้สนใจซื้อคอนโดมิเนียมกลุ่มไฮเอ็นด์ในย่านศูนย์กลางธุรกิจ ในสนนราคาต่ำกว่า 200,000 บาทต่อตารางเมตร ในขณะที่คอนโดกลุ่มนี้มีราคาเสนอขายส่วนใหญ่อยู่ระหว่าง 200,000-300,000 บาทต่อตารางเมตร “ผู้สนใจซื้อหลายรายรับรู้ว่าตลาดคอนโดในกรุงเทพฯ มีซัพพลายเพิ่มขึ้นมากและโครงการต่างๆ ขายได้ช้าลง จึงคาดหวังว่าเจ้าของจะปรับลดราคา แต่ในความเป็นจริง แม้การขายจะช้าลง ราคาคอนโดมิเนียมยังคงปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในโครงการที่เปิดตัวใหม่ (เปิดขายก่อนเริ่มก่อสร้างหรือยังสร้างไม่เสร็จ) นอกจากนี้ โครงการที่เพิ่งสร้างเสร็จใหม่ยังคงมีราคาขายปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก 10-20% จากราคาเสนอขายช่วงเริ่มเปิดตัวโครงการก่อนเริ่มการก่อสร้าง” นายบัณฑูรกล่าว เพื่อกระตุ้นการขาย เจ้าของโครงการบางรายเสนอแรงจูงใจเพิ่ม อาทิ แถมเฟอร์นิเจอร์บิลท์อินหรือลอยตัว ยกเว้นค่าธรรมเนียมการโอน ไปจนถึงยกเว้นการจัดเก็บค่าบริหารส่วนกลางในช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่ยังไม่มีสัญญาณที่แสดงให้เห็นว่าจะมีการปรับลดราคาลง ดังนั้น ความคาดหวังด้านราคาระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายจึงมีช่องว่าง และเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้การขายในตลาดคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ ช้าลง เจ้าของโครงการรุกตลาดผู้ซื้อต่างชาติมากขึ้น นอกจากการติดต่อสอบถามจากผู้สนใจซื้อชาวไทยแล้ว เจแอลแอลพบว่า มีชาวต่างชาติให้ความสนใจซื้อคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะจากฮ่องกง สิงคโปร์ และจีน ทั้งนี้ จากการซื้อขายที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ และการติดต่อสอบถามที่เจแอลแอลได้รับ แสดงให้เห็นว่า ชาวต่างชาติที่สนใจซื้อส่วนใหญ่ เน้นโครงการไฮเอ็นด์เนื่องจากสามารถมั่นใจได้มากกว่าในแง่ของคุณภาพการออกแบบ การก่อสร้าง และการบริหารจัดการอาคาร รวมถึงศักยภาพการลงทุน “แม้ในขณะนี้ การซื้อคอนโดมิเนียมเพื่อปล่อยเช่าในกรุงเทพฯ จะให้ผลตอบแทนไม่สูงมาก โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 3% แต่ชาวต่างชาติยังคงสนใจลงทุนซื้อ” นายบัณฑูรกล่าว พร้อมอธิบายว่า คอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ นับว่ายังมีราคาที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับคุณภาพและทำเลที่เทียบเคียงกันกับคอนโดที่ฮ่องกง สิงคโปร์ หรือหัวเมืองใหญ่ๆ ของจีน ทำให้นักลงทุนจากประเทศเหล่านี้สามารถซื้อคอนโดกรุงเทพฯ ได้ด้วยงบประมาณที่ต่ำกว่า นอกจากนี้ แม้การซื้อคอนโดในกรุงเทพฯ เพื่อปล่อยเช่าจะให้ผลตอบแทนการลงทุนไม่สูง แต่นักลงทุนหลายรายคาดหวังผลตอบแทนระยะยาวมากกว่า จากมูลค่าที่คาดว่าจะปรับเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต “ความคาดหวังดังกล่าว มีความเป็นสมเหตุสมผล เนื่องจากคอนโดมิเนียมระดับไฮเอ็นด์ในกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในทำเลชั้นดี ซึ่งมีที่ดินเหลือสำหรับการพัฒนาโครงการใหม่ลดลงเรื่อยๆ โดยเฉพาะที่ดินที่เสนอขายกรรมสิทธิ์ขาด ดังนั้น ต้นทุนการพัฒนาโครงการใหม่จึงมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้ราคาขายในโครงการใหม่ปรับเพิ่มขึ้นตามไปด้วย” นายบัณฑูรกล่าว การที่นักลงทุนต่างชาติสนใจซื้อคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ เพิ่มขึ้น ทำให้มีเจ้าของโครงการคอนโดมิเนียมมากขึ้นที่สนใจนำโครงการไปทำโรดโชว์ในต่างประเทศ นายบัณฑูรชี้ว่า การเจาะกลุ่มผู้ซื้อเป้าหมายในต่างประเทศอาจเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสม เพราะเป็นการขยายฐานผู้ซื้อ อย่างไรก็ดี แม้นักลงทุนต่างชาติจะสนใจซื้อ แต่ก็ใช้ความระมัดระวังในการซื้อไม่น้อยกว่าผู้ซื้อชาวไทย ดังนั้น ในการทำนำโครงการไปเสนอขายในต่างแดน เจ้าของโครงการอาจไม่สามารถคาดหวังได้ว่าจะสามารถปิดการขายได้ในทันที เว้นเสียแต่ว่า จะมีการเสนอแรงจูงใจพิเศษมากพอที่จะกระตุ้นให้ผู้สนใจตัดสินใจซื้อในระหว่างจัดกิจกรรม
มั่นคงฯ เผยครึ่งปีแรก กำไรพุ่ง 295%

มั่นคงฯ เผยครึ่งปีแรก กำไรพุ่ง 295%

บมจ. มั่นคงเคหะการ เผยผลประกอบการครึ่งปีแรก 2559 โตต่อเนื่องตามแผน โกยรายได้รวม 1,286 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นการเติบโตมากถึง 59% ด้านกำไรสุทธิรับ 140 ล้านบาท ซึ่งมีอัตราการเติบโตพุ่งสูงถึง 295% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปี 2558 เดินหน้ารุกครึ่งปีหลังด้วยการเปิดตัวโครงการบ้านอีก 2 โครงการและกลยุทธ์ผลักดันรายได้ระยะยาวจากธุรกิจอสังหาฯเพื่อการเช่า นายวรสิทธิ์ โภคาชัยพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) หรือ MK เปิดเผยว่า “ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในไตรมาส 2/2559 มีการเติบโตขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด โดยรายได้หลักมาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการขาย สืบเนื่องจากการทำการตลาดเชิงรุกทุกๆเดือนในโครงการบ้านที่เปิดขายรวม 11 โครงการทั่วกรุงเทพฯ โดยเฉพาะบ้านระดับกลาง-บน ราคา 8-12 ล้านบาท และบ้านระดับกลาง ราคา 4 ล้านบาทของบริษัทฯ ได้รับการตอบรับดี ผลักดันให้เกิดรายได้รวมในช่วงไตรมาสสองกว่า 675.19 ล้านบาท ซึ่งเติบโตกว่า 83.30% มีกำไรสุทธิ 46.41 ล้านบาท ซึ่งมีการเติบโตกว่า 814.12 % เมื่อเทียบกับไตรมาสที่สองของปี 2558” จากผลประกอบการที่เติบโตต่อเนื่องในไตรมาสสองนี้ทำให้บริษัทฯ มีรายได้รวมในครึ่งปีแรก 2559 เป็นจำนวน 1,286.95 ล้านบาท ซึ่งมีการเติบโตมากกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปี 2558 กว่า 59.86% โดยมีกำไรสุทธิ 140.82 ล้านบาท คิดเป็นการเพิ่มขึ้นถึง 295.68% “มั่นคงฯ จะยังคงดำเนินกลยุทธ์เชิงรุกในส่วนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการขายอย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลัง โดยเราได้มีการปรับภาพลักษณ์โครงการต่างๆ พัฒนารูปแบบบ้านและพัฒนาพื้นที่ส่วนกลางเพื่อตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายต่างๆ ให้มากยิ่งขึ้น ที่สำคัญเราได้เปิดบริษัทลูกคือ บริษัท ยัวร์ส พร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์ จำกัด เป็นบริษัทให้บริการด้านการบริหารจัดการอาคารและที่พักอาศัย ทั้งนี้เพื่อเป็นบริการหลังการขายเสริมทัพธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เสริมความแกร่งให้กับแบรนด์ระยะยาว พร้อมให้บริการกับโครงการบ้านต่างๆ ภายใต้บมจ.มั่นคงเคหะการ และปั้นเป็นธุรกิจให้บริการกับโครงการอื่นๆ อีกด้วย นอกจากนั้น เรามีแผนเปิดตัวโครงการบ้านอีก 2 โครงการ คือ ทาวน์โฮมระดับราคา 2 ล้านบาท และบ้านแฝดระดับราคา 3-4 ล้านบาท รวมมูลค่าโครงการ 841 ล้านบาท บนทำเลบางใหญ่ใกล้กับเซ็นทรัล เวสต์เกตและรถไฟฟ้าสีม่วงในไตรมาส 4/2559” นายวรสิทธิ์กล่าวเพิ่มเติม ส่วนความคืบหน้าในส่วนของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อให้เช่านั้น ล่าสุด บริษัท พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ได้ร่วมลงทุนกับบริษัท ไทคอน โลจิสติกส์ พาร์ค จำกัด ในการพัฒนาก่อสร้างอาคารคลังสินค้าและโรงงานเพื่อให้เช่าในโครงการบางกอกฟรีเทรดโซนบนเนื้อที่ 150 ไร่ โดยมีช่วงระยะการพัฒนา 2 ปี (2559-2560) ซึ่งจะมีการรับรู้กำไรจากการขายสิทธิการเช่าช่วงที่ดินระยะยาวทันทีเมื่อโอนสิทธ์การเช่าให้กับบริษัทร่วมทุนและส่วนแบ่งกำไร 40% ส่วนพาร์ค คอร์ท อพาร์ทเม้นท์ให้เช่าบนสุขุมวิท 77 จะมีการเปิดตัวโชว์ยูนิตภายในไตรมาส 4/2559 โดยเฟสแรกจะเสร็จพร้อมให้บริการในปลายปี 2560
ยิปรอค โชว์นวัตกรรมและโซลูชั่นส์เพื่อการอยู่อาศัยแบบครบวงจรในงาน “Home Expo by Central Group” พร้อมร่วมลุ้นแจกของรางวัลมากมาย

ยิปรอค โชว์นวัตกรรมและโซลูชั่นส์เพื่อการอยู่อาศัยแบบครบวงจรในงาน “Home Expo by Central Group” พร้อมร่วมลุ้นแจกของรางวัลมากมาย

กรุงเทพฯ - บริษัท ไทยผลิตภัณฑ์ยิบซั่ม จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตนวัตกรรมยิปซัมคุณภาพสูงแบรนด์ “ยิปรอค” และผู้ให้บริการโซลูชั่นส์ระบบผนังและฝ้าครบวงจรมากว่า 45 ปี เชิญชวนเจ้าของบ้านและผู้ปฏิบัติงานในธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ร่วมสัมผัสนวัตกรรมผลิตภัณฑ์และวัสดุก่อสร้างรูปแบบใหม่ ที่บูทหมายเลข HC 4.2 อาคาร ชาเลนเจอร์ 1 ภายในงาน “Home Expo by Central Group” ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็คอารีน่า เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 16-25 กันยายน 2559 โดยผู้เข้าชมบูธจะได้รับชุดกระเป๋าของที่ระลึกจากยิปรอค ซึ่งมีทั้งสมุดโน้ต ปากกา แคตตาล็อกสินค้า และคู่มือการติดตั้งโซลูชั่นส์ผนังและผลิตภัณฑ์ของยิปรอค นอกจากนี้ ยิปรอคได้จัดกิจกรรมร่วมสนุกภายในบูธ เพียงแค่โพสต์ภาพถ่ายและแชร์โลเคชั่นผ่านทางเฟสบุ๊ค อินสตราแกรม พร้อมกับติดแฮชแท็ก #GYPROCTHAILAND และ #GYPROCHOMEEXPO เพื่อลุ้นรับของรางวัลสุดพิเศษจากทางยิปรอคตลอด 10 วันของการจัดงาน มร. ริชาร์ด จูเชรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยผลิตภัณฑ์ยิบซั่ม จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงงานครั้งนี้ว่า “Home Expo by Central Group คือโอกาสสำคัญของยิปรอคในการจัดแสดงนวัตกรรมและโซลูชั่นส์การก่อสร้างให้เป็นที่รู้จักในกลุ่มเจ้าของบ้านและผู้ปฏิบัติงานในธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง เพื่อเชื่อมโยงผู้บริโภคที่มีความต้องการด้านไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย ให้มารู้จักกับผลิตภัณฑ์ยิปซัมคุณภาพสูงของตลาดในเมืองไทย ทั้งยังทำให้เราสามารถประชาสัมพันธ์แบรนด์ของเราให้เป็นที่รู้จักในหมู่ผู้บริโภคได้โดยตรง นอกเหนือจากกลุ่มผู้รับเหมาก่อสร้างชั้นนำ ซึ่งรู้จักแบรนด์ของเรามาเป็นเวลานานแล้ว” บูธของยิปรอคจะนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุด ซึ่งรวมถึง ปูนยิปรอค แม็กเนติค (Gyproc® Magnetic Plaster) ปูนฉาบตกแต่งภายในสูตรพิเศษที่ทำให้แถบแม่เหล็กสามารถยึดเกาะกับผนังได้ พร้อมคุณสมบัติการปกปิดรอยแตกร้าวได้เนียนสนิท ยิปรอค ฮาบิโต้  (Gyproc® HabitoTM) ผนังยิปซัมรูปแบบใหม่ที่แข็งแกร่งทนทานเป็นเลิศ พร้อมคุณสมบัติป้องกันการกระแทก ป้องกันเสียงได้อย่างดีเยี่ยม และติดตั้งได้ง่าย และ โปรคลีน คัลเลอร์ (ProClean Color) แผ่นฝ้าเพดานยิปซัมเพื่อสุขอนามัยของผู้ใช้ที่รวบรวมคุณสมบัติความสวยงาม เช็ดทำความสะอาดง่าย ทั้งยังไม่เก็บฝุ่นและไม่ลามไฟ ไว้ในหนึ่งเดียว ผลิตภัณฑ์ทุกชนิดของยิปรอคถูกผลิตภายใต้แนวคิด “Gyproc Go Green” หรือ “Gyproc 3G” ซึ่งประกอบด้วย Green Products, Green Solutions และ Green Manufacturing มีจุดประสงค์เพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและลดมลภาวะ ตลอดจนการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ยิปซัม รวมถึงผู้ติดตั้งและผู้บริโภคทั่วไป ยิปรอคพัฒนาโซลูชั่นส์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างเพื่อตอบสนองความต้องการที่แตกต่างของผู้บริโภคและช่างก่อสร้างอย่างครอบคลุม ซึ่งเกิดจากความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์สภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยสำหรับผู้อยู่อาศัยในอาคารและตอบสนองความต้องการในด้านไลฟ์สไตล์การพักอาศัยในโลกปัจจุบันได้อย่างแท้จริง โดยผู้เข้าชมงาน Home Expo by Central Group สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากพนักงานและผู้เชี่ยวชาญของยิปรอค ซึ่งพร้อมตอบคำถามและให้รายละเอียดด้านการก่อสร้างตลอดการจัดงานครั้งนี้ หากต้องการรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับกิจกรรมภายในงาน กรุณาติดต่อ  02-640-8600 หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ http://www.gyproc.co.th
ทำไมต้องเลือก Life ๑ Wireless

ทำไมต้องเลือก Life ๑ Wireless

  ก่อนหน้าเราคงได้ยินกระแสข่าวการเปิดจองห้องของโครงการ “Life ๑ Wireless” กันไปบ้างไม่มากก็น้อย ซึ่งทุกข่าวที่ออกมาเป็นเครื่องยืนยันได้เป็นอย่างดีว่า “ถนนวิทยุ” คือทำเลที่ร้อนแรงที่สุดในเวลานี้ เพราะเพียงแค่เริ่มเปิดให้จองออนไลน์ จำนวนห้องที่เตรียมไว้ก็ถูกจองหมดภายใน 1 นาที!!!! และอีก 2 วันถัดมา ทาง AP ก็จัดอีเวนท์ใหญ่เปิด Pre-Sale ที่สำนักงานขาย จำนวนห้องกว่า 800 ยูนิตก็ถูกจองหมดเกลี้ยงอีกครั้ง ทั้งๆ ที่ยังไม่มีห้องตัวอย่างให้ชมเลยด้วยซ้ำ!!! นับว่าเป็นการตอกย้ำให้เห็นว่า ทำเลย่านวิทยุ ยังคงครองตำแหน่งทำเลทองที่ทุกคนต้องการเป็นเจ้าของมากที่สุด ในขณะที่พวกเราก็รู้กันดีว่า ที่ดินสวยๆ ที่พร้อมสำหรับการทำที่อยู่อาศัยในย่านวิทยุมีอยู่อย่างจำกัด ประกอบกับราคาที่ดินที่มีการซื้อขายกันในตลาดก็นับว่าเป็นราคาที่สูงลิบเป็นประวัติการณ์ พื้นที่ที่เป็นไข่แดงของกรุงเทพย่านนี้ จัดว่าเป็นศูนย์รวมทุกความเจริญของมหานคร ซึ่งนับวันจะทำให้พื้นที่ในย่านนี้ทวีความน่าสนใจ และมีมูลค่าที่สูงขึ้นเรื่อยๆ   พื้นที่ในย่านวิทยุพรั่งพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกทุกอย่าง แวดล้อมไปด้วยโครงการใหญ่ๆ ระดับ Flagship และโครงการที่จะกลายเป็น Landmark สำคัญบนถนนสายนี้เลยทีเดียว อาทิเช่น   Central Embassy และ Central Chidlom ห้างสรรพสินค้ายักษ์ใหญ่ที่รวบรวมสินค้าแบรนด์เนม สินค้า Lifestlye หรูหราจากทั่วโลกไว้ในที่เดียว   BDMS Wellness Clinic ศูนย์สุขภาพครบวงจรในเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ บนที่ดิน Park Nai Lert เก่า   Rosewood Hotel โรงแรมสุดหรูติดถนนวิทยุ ด้วยดีไซน์โดดเด่นไม่เหมือนใคร จนกลายเป็นกระแสไปเมื่อเร็วๆ นี้   อาคารสำนักงานใหญ่ธนาคารกรุงศรีอยุธยา บนทำเลหัวมุมถนนวิทยุ ที่กำลังจะกลายเป็นอีกหนึ่ง Landmark ที่สวยงามบนถนนสายนี้   Park Venture อาคารสำนักงานสุดหรู และโรงแรม The Okura Prestige Bangkok ก็เป็นอีกโครงการที่โดดเด่นมาก นอกจากหลากหลายโครงการที่ยกตัวอย่างมาข้างต้น ถนนวิทยุ รวมถึงบริเวณรอบๆ ยังคงมีอีกหลายโครงการที่กำลังเตรียมจะเปิดตัว เริ่มก่อสร้าง หรือแม้แต่ก่อสร้างไปจนใกล้เสร็จแล้วอีกหลายแห่ง ซึ่งจะมาเติมเต็มให้ทำเลในย่านนี้มีความสมบูรณ์มากขึ้นไปอีก   Life ๑ Wireless ดีกว่ายังไง เนื่องด้วยเหตุผลของศักยภาพทำเล “ถนนวิทยุ” จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมโครงการ “Life ๑ Wireless” จะเป็นคอนโดมิเนียมที่ถูกจับตามากที่สุดในเวลานี้ ด้วยระยะห่างจากรถไฟฟ้า BTS เพลินจิตเพียง 600 เมตร ประกอบกับราคาห้องเริ่มต้นในช่วงราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท หรือราคาเฉลี่ย 170,000 บาท/ตารางเมตร ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่หาได้ยากมากในทำเลกลางเมืองเช่นนี้ ในขณะที่โครงการอื่นๆ ในย่านเดียวกันกลับมีราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตรสูงกว่าเกือบเท่าตัว   ในส่วนของการเดินทางเข้า-ออกโครงการ สะดวกด้วยเส้นทางหลักอย่างถนนวิทยุ ถนนเพชรบุรี รวมไปถึงทางด่วนพระราม 4 ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล เพิ่มเติมด้วยทางออกที่ 2 จากทางด้านหลังของโครงการสู่ถนนสุขุมวิทด้วยซอยนายเลิศ ที่จะเป็นเส้นทางลัดให้การเดินทางสะดวกมากขึ้นไปอีก   การออกแบบตัวอาคาร Life ๑ Wireless ทาง AP ทำการบ้านมาเป็นอย่างดี เพื่อเปิดมุมมองให้ทุกยูนิตได้รับวิวที่สวยที่สุด ตัวอาคารจึงถูกวางตัวบิดเฉียงเป็นรูปตัว Z ทางทิศเหนือ - วิวสวยสบายตาด้วยสวนมักกะสัน สวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่จัดว่าเป็นปอดของคนกรุงเทพอีกแห่ง นอกจากนี้ยังได้วิว Super Tower ทางฝั่งพระราม 9 ซึ่งเชื่อว่าน่าจะเป็นวิวเมืองที่สวยมากอีกมุมหนึ่งเลยทีเดียว ทางทิศตะวันออก - Metropolis View วิวเมืองสวยเต็มตาทางฝั่งเพลินจิต และสุขุมวิท ไร้สิ่งปลูกสร้างมาบดบัง ทางทิศตะวันตก - วิวเมืองทางฝั่งถนนเพชรบุรี วิว Skyscrapper เห็นแนวอาคารสูงในเมือง ทางทิศใต้ - วิวสถานฑูตอังกฤษ เห็นอาคารสวยของ Central Embassy พร้อมวิวเมืองที่สวยไม่แพ้ทิศอื่นๆ เลย   ถึงแม้โครงการ Life ๑ Wireless จะตั้งอยู่ติดกับถนนใหญ่ แถมใกล้กับทางด่วน แต่ด้วยความใส่ใจในการออกแบบที่ทาง AP คิดเผื่อลูกค้ามาแบบรอบด้านแล้ว จึงหมดกังวลเรื่องเสียงรบกวนขณะอยู่อาศัย ด้วยการเพิ่มระยะห่างตัวอาคารจากถนนมากขึ้น ประกอบกับการวางพื้นที่พักอาศัยเริ่มที่ชั้น 10 เป็นต้นไป เสียงรบกวนจากถนนและทางด่วนจึงไม่ใช่ปัญหาของการอยู่อาศัยในทำเลนี้อย่างแน่นอน ด้วยจุดเด่นทั้งหมดที่กล่าวมานี้เอง จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่โครงการ Life ๑ Wireless จะถูกจับจองเกลี้ยงในพริบตา ใครที่พลาดโอกาสในช่วงการจองออนไลน์ กับช่วง Pre-Sale ที่ผ่านมาก็ไม่ต้องเสียใจไป เพราะทาง AP ยังมีห้องสวยๆ พร้อมโปรโมชั่นล่าสุดให้เลือกจับจองกันอยู่... สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถเข้าชมห้องตัวอย่างได้แล้ว ณ Sales Gallery ซึ่งทางโครงการเปิดขายอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 5-6 สิงหาคมนี้ ในราคาเริ่มต้น 4.9 ล้านบาท* สามารถลงทะเบียนล่วงหน้าได้ที่ https://goo.gl/tWW9qP หรือโทร. 1623  
บอร์ด ORI ใจป้ำ ไฟเขียวปันผลระหว่างกาลเป็นเงินสดในอัตรา 0.104 บาทต่อหุ้น

บอร์ด ORI ใจป้ำ ไฟเขียวปันผลระหว่างกาลเป็นเงินสดในอัตรา 0.104 บาทต่อหุ้น

บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ภายใต้ชื่อหลักทรัพย์ “ORI”  ประกาศจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัท ในอัตราหุ้นละ 0.104 บาท เป็นไปตามนโยบายของบริษัท ที่ต้องการจ่ายปันผลอย่างสม่ำเสมอ โดยกำหนดจ่ายในวันที่ 12 กันยายน 2559 มองแนวโน้มผลงานครึ่งหลังของปีนี้ โตต่อเนื่อง อานิสงส์ดอกเบี้ยทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ มีโครงการสร้างเสร็จพร้อมเสิร์ฟได้ทันที มั่นใจทั้งปียอดขายทะลุเป้า 7,500 ล้านบาท และ่เป้าหมายรายได้ที่ 4,000 ล้านบาท นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ภายใต้ชื่อหลักทรัพย์ “ORI” เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2559 ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ได้มีมติอนุมัติให้บริษัท จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัท สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2559 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2559 ในอัตราหุ้นละ 0.104 บาท รวมเป็นเงินประมาณ  68.67 ล้านบาท โดยมีกำหนดจ่ายในวันที่ 12 กันยายน 2559 ซึ่งการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลเป็นไปตามนโยบายของบริษัท “บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 2559 ไว้ที่ 4,000 ล้านบาท ซึ่งในครึ่งปีแรกการรับรู้รายได้ยังเป็นไปตามแผน ในส่วนด้านยอดขาย ปัจจุบันสถานการณ์ในไตรมาสที่สองยังคงรักษาอัตราการเติบโตในเรื่องของยอดขาย การควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และได้วางงบลงทุนสำหรับการพัฒนาสินค้าใหม่ๆ ที่จะใช้ในไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ไว้เรียบร้อยแล้ว จึงเชื่อว่าจะเป็นปัจจัยหนุนภาพรวมธุรกิจให้เติบโตแข็งแกร่งขึ้นในอนาคต” นายพีระพงศ์กล่าว บริษัทมั่นใจยอดขายปีนี้เติบโตมากกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 7,500 ล้านบาท หลังจากปัจจุบันสามารถทำยอดขายไปได้แล้วกว่า 4,500 ล้านบาท นอกจากนี้ ปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) อยู่ที่ 9,700 ล้านบาท โดยจะทยอยรับรู้รายได้ภายในปีนี้ประมาณ 4,000 ล้านบาท และที่เหลือคาดว่าจะรับรู้เป็นรายได้ภายในปี 2560 – 2561
“เนอวานา ลุยตลาดโฮม ออฟฟิศ ต่อเนื่อง ขึ้นแท่นเบอร์ 1 ผู้นำ Market Share เพื่อรองรับการขยายตัวของ SME

“เนอวานา ลุยตลาดโฮม ออฟฟิศ ต่อเนื่อง ขึ้นแท่นเบอร์ 1 ผู้นำ Market Share เพื่อรองรับการขยายตัวของ SME

“เนอวานา ลุยตลาดโฮม ออฟฟิศ ต่อเนื่อง ขึ้นแท่นเบอร์ 1 ผู้นำ Market Share เพื่อรองรับการขยายตัวของ SME วันที่ 20-21 ส.ค.นี้ เปิดให้จองครั้งแรก โฮมออฟฟิศ โครงการใหม่ เนอวานา แอทเวิร์ค รามอินทรา หนึ่งเดียว ติดถนนรามอินทรา ใกล้รถไฟฟ้าถึง 3 สาย ห่างจากสถานีรถไฟฟ้าสายสีชมพูเพียง 600 เมตรเท่านั้น ด้วยการออกแบบฟังก์ชั่นที่แตกต่างจากโฮมออฟฟิศทั่วไป ภายใต้ Concept “Massive Detail” “มากกว่าในรายละเอียด” อาทิเช่น ออกแบบ Space ให้มี Double Volume เป็นสไตล์ออฟฟิศของนักธุรกิจรุ่นใหม่ พร้อมใส่ใจในเรื่องบรรยากาศให้มีความรู้สึกเหมือนทำงานที่บ้าน เตรียมโครงการสร้างรองรับการติดตั้งลิฟท์ (สำหรับหน้ากว้าง 8 เมตร*) ออกแบบให้ชั้นบนเป็น Residence สำหรับอยู่อาศัย, สามารถปรับเป็นห้องรับรอง หรือห้องผู้บริหารได้ ออกแบบโครงการให้มีที่จอดรถที่ค่อนข้างมาก พร้อมสวนส่วนกลางถือว่าเป็นโครงการโฮมออฟฟิศเต็มรูปแบบ ที่สุดคือเป็นโฮมออฟฟิศเพียงหนึ่งเดียวที่มีทำเลติดถนนใหญ่รามอินทรา, มีรถไฟฟ้าผ่านหน้าโครงการในอนาคต (รถไฟฟ้าสายสีชมพู*) โครงการ เนอวานา แอทเวิร์ค รามอินทรา รองรับกลุ่ม SME มี 2 รูปแบบ คือ หน้ากว้าง 6 เมตร พื้นที่ใช้สอย 363 ตร.ม. หน้ากว้าง 8 เมตร พื้นที่ใช้สอย 452 ตร.ม. บนราคาเริ่มต้นเพียง 14.2 ล้านบาท เมื่อเทียบความคุ้มที่ได้มากกว่าการเช่าออฟฟิศในเมือง พร้อมที่จอดรถทั้งโครงการกว่า 200 คัน* ถือว่าเป็นโครงการโฮมออฟฟิศที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคได้อย่างดีเยี่ยม เชื่อว่าโครงการนี้จะกวาดยอดขายได้อย่างรวดเร็ว ผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนเพื่อรับข้อเสนอพิเศษช่วง PRE-SALE ได้ที่ http://www.nirvana-group.com” สอบถามเพิ่มเติม โทร.1787
อนันดาฯ โชว์ตัวเลขกำไรสุทธิไตรมาส 2 เพิ่มขึ้น 191% รายได้เติบโตสูง 87% และสูงกว่าเป้าที่ตั้งไว้ถึง 24% เดินหน้าเก็บเกี่ยวผลตอบแทนอย่างแท้จริง ย้ำยอดขายรอรับรู้รายได้อยู่ในระดับสูง พร้อมประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล

อนันดาฯ โชว์ตัวเลขกำไรสุทธิไตรมาส 2 เพิ่มขึ้น 191% รายได้เติบโตสูง 87% และสูงกว่าเป้าที่ตั้งไว้ถึง 24% เดินหน้าเก็บเกี่ยวผลตอบแทนอย่างแท้จริง ย้ำยอดขายรอรับรู้รายได้อยู่ในระดับสูง พร้อมประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล

บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ANAN ผู้นำตลาดคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้า ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านการพัฒนาที่อยู่อาศัยติดรถไฟฟ้า โชว์ศักยภาพการดำเนินงาน ประกาศความสำเร็จอีกครั้ง พร้อมเติบโตอย่างมั่นคง เผยไตรมาส 2/2559 บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการสร้างกำไรสุทธิ 210 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 191% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน พร้อมทั้งสร้างรายได้ 2,889 ล้านบาท เติบโตถึง 87% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ตอกย้ำความสำเร็จของเป้าหมายปี 2559 ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของอนันดาฯ ในการเข้าสู่การเก็บเกี่ยวผลตอบแทน (Harvest Period) สะท้อนถึงความสามารถในการนำเงินลงทุนจาก IPO มาพัฒนาโครงการและมีการเปิดขายไปก่อนหน้านี้ ซึ่งได้เริ่มสร้างผลตอบแทนจากการลงทุน นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทอนันดาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทมียอดขายที่น่าพอใจทำให้เห็นแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจที่ดี ทำให้บริษัทฯมีภาพรวมการดำเนินธุรกิจที่ประสบความสำเร็จจากตัวเลขโดยเฉพาะรายได้และกำไรสุทธิที่แข็งแกร่งสอดคล้องกับในปี 2559 ถือเป็นช่วงของการเก็บเกี่ยวผลตอบแทน (Harvest Period) ตั้งแต่เงินลงทุนจาก IPO ที่นำมาพัฒนาโครงการและมีการเปิดขายไปก่อนหน้านี้ รวมถึงการก่อสร้างได้แล้วเสร็จ และเริ่มมีการโอนกรรมสิทธิ์ โดยจะเริ่มสร้างผลตอบแทนจากยอดโอนในปี 2559 จำนวน 5 โครงการ นอกจากนี้บริษัทฯ มียอดขายรอรับรู้รายได้ ณ สิ้นไตรมาส 2/2559 ภายในช่วง 3 ปีข้างหน้า จำนวนสูงกว่า 38,500 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 12.3% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน สำหรับไตรมาส 2/2559 บริษัทฯ สามารถสร้างยอดขายได้ 3,454 ล้านบาท สอดคล้องกับยอดขายที่ตั้งเป้าไว้ แม้ว่าบริษัทฯ ได้เลื่อนการเปิดขายโครงการใหม่จากไตรมาส 2 เป็น ไตรมาส 3 ก็ตาม ทั้งนี้ในครึ่งปีแรก บริษัทฯ สร้างยอดขายได้ 39% ของเป้ายอดขายทั้งปี พร้อมทั้งบริษัทฯ ยังมีแผนเปิดโครงการใหม่อีก 10 โครงการ ซึ่งโครงการที่ได้เปิดตัวไปแล้วนั้นได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า ซึ่งแสดงให้เห็นว่าความต้องการที่พักอาศัยในทุกระดับราคาทุกประเภทยังคงมีอยู่มาก โดยเฉพาะโครงการที่คุ้มค่า คุณภาพดี ทำเลใกล้รถไฟฟ้า ไตรมาส 2/2559 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ 2,528 ล้านบาท สูงกว่าเป้ารายได้ที่ตั้งไว้ถึง 24% และเพิ่มขึ้นถึง 111% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน พร้อมทั้งมีกำไรสุทธิ 210 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 191% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน นอกจากนี้ยังสร้างอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 7% เพิ่มขึ้นจาก 5% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่บริษัทฯ ยังคงเป้ายอดโอนทั้งปีในระดับ 15,000-16,000 ล้านบาท บริษัทฯ สามารถสร้างรายได้ดีกว่าเป้าหมาย จากการที่บริษัทฯ ได้โอนโครงการคอนโดมิเนียม ไอดีโอ คิว ราชเทวี ที่ก่อสร้างแล้วเสร็จในเดือนมีนาคม และโอนต่อเนื่องได้เร็วกว่าเป้าที่ตั้งไว้ อีกทั้งได้สร้างผลกำไรสุทธิที่ดีกว่าเป้าหมาย จากการควบคุมต้นทุน โดยค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อรายได้ ลดลงจาก 29% ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เป็น 20% ในไตรมาสนี้ ถึงแม้ว่าบริษัทฯ จะมีการเติบโตอย่างรวดเร็วก็ตามและสามารถรักษาวินัยทางการเงิน และบรรลุเป้าหมายการเติบโต โดยบริษัทฯ ได้ดำรงอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนทุนในระดับเพียง 0.7:1 ณ สิ้นไตรมาส 2/2559 บริษัทฯ ยังคงมีกระแสเงินสดที่มั่นคงและแข็งแกร่ง พร้อมมีเงินสดจำนวนมากเกินกว่า 2,700 ล้านบาท ณ สิ้นไตรมาส2/2559 และยังคงได้รับการสนับสนุนที่ดีจากธนาคาร รวมถึงมีทางเลือกหลายทางหากจำเป็นที่จะต้องใช้เงิน โดยในเดือนพฤษภาคม 2559 บริษัทฯ ได้ออกหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือประเภทด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุน จำนวน 1,000 ล้านบาท รองรับการขยายธุรกิจ และเป็นเงินทุนหมุนเวียน และบริษัทฯ ยังคงรักษาความมีวินัยทางการเงินโดยบริษัท ทริส เรทติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ได้ปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทฯ จากระดับ BBB- แนวโน้มเชิงบวก เป็นระดับ BBB แนวโน้มคงที่ พร้อมได้จัดอันดับตราสารที่มีลักษณะคล้ายทุนดังกล่าวในระดับ BB+ แนวโน้มคงที่ ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัท ได้มีมติอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลให้แก่ผู้ถือหุ้น ในอัตราหุ้นละ 0.04 บาท เพิ่มขึ้น 25% จากอัตราการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในปีก่อน จากนโยบายที่ยังคงเพิ่มเงินปันผลทุกปีให้แก่ผู้ถือหุ้น ภายหลังการระดมทุน และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ อนันดาฯ เป็นผู้นำตลาดที่อยู่อาศัยใกล้ระบบขนส่งมวลชนระบบรางในเขตกรุงเทพฯ ผ่านการสร้างสรรค์นวัตกรรมอย่างต่อเนื่องทั้งในการออกแบบอาคารและทุกแง่มุมอื่นๆ ของการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยมุ่งมั่นที่จะรักษาความเป็นผู้นำในตลาดคอนโดมิเนียม ซึ่งถือว่าการสร้างสรรค์นวัตกรรมเป็นหัวใจสำคัญของกลยุทธ์การแข่งขัน เมื่อเร็วๆนี้ อนันดาฯ ได้ย้ายสำนักงานสาขามายังอาคาร เอฟวายไอ เซ็นเตอร์ (FYI Center) ซึ่งสำนักงานใหม่ แห่งนี้ เกิดจากการประสานความร่วมมือระหว่างอนันดา, Samsung, Cisco และซัพพลายเออร์อื่นๆ ตลอดจนได้รวบรวมเทคโนโลยีล้ำสมัยที่เคยใช้เฉพาะเขตทวีปอเมริกาเหนือมาใช้ที่อนันดา โดยเชื่อว่าสำนักงานแห่งใหม่นี้จะเป็นสำนักงานที่สมาร์ทที่สุดในเอเชีย ที่จะเป็นจุดเริ่มต้นของกลยุทธ์ "อนันดา 2.0" โดยใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างประสิทธิภาพในการทำงานมากกว่า 3 เท่าในช่วง 3 ปีข้างหน้า และสามารถทำให้ยอดโอนของอนันดาฯ เติบโตได้ถึง 3 เท่าตัว การเป็นพันธมิตรกับ Samsung และ Cisco ทำให้สร้างสำนักงานในรูปแบบ Smart Office ที่มีการใช้เทคโนโลยีชั้นนำแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์นวัตกรรมชั้นนำอย่างต่อเนื่อง และเชื่อว่าเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการทำงานร่วมกันและการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่ใช้ในการปรับปรุงคุณภาพการทำงานให้ดียิ่งขึ้นและสะท้อนให้เห็นถึงดีเอ็นเอของชาวอนันดา ในการสร้างนวัตกรรมและการปรับปรุงผลงานให้ดีขึ้นอยู่เสมอ
‘เอพี ไทยแลนด์’ มุ่งก้าวสู่ท็อป 3 ผู้นำอสังหาฯ ไทย ชูกลยุทธ์ “มอบความแตกต่างด้วยคุณภาพ”

‘เอพี ไทยแลนด์’ มุ่งก้าวสู่ท็อป 3 ผู้นำอสังหาฯ ไทย ชูกลยุทธ์ “มอบความแตกต่างด้วยคุณภาพ”

กรุงเทพฯ (11 ส.ค. 59) – วันนี้ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์สำหรับคนเมืองที่เชี่ยวชาญในการสร้างสรรค์นวัตกรรมการดีไซน์ เพื่อพื้นที่ใช้สอยที่ไม่จำกัด โดยคุณอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เปิดเผยวิสัยทัศน์สู่การเติบโตในปีที่ 26 ของเอพี มุ่งสู่การเป็น 1 ใน 3 บริษัทชั้นนำด้านอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทยที่อยู่ในใจผู้บริโภค ด้วยกลยุทธ์ทางธุรกิจที่มุ่ง “สร้างความแตกต่างด้วยคุณภาพ” ภายใต้หลักปรัชญาการทำงาน “AP – The Differentiator” ย้ำต้องเป็นรายแรกในการสร้างความแตกต่างให้เกิดขึ้นในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ไทย ด้วยจุดแข็งศักยภาพความพร้อม ทั้ง “ผลิตภัณฑ์ที่อยู่อาศัยคุณภาพ” “ทีมงานคุณภาพ” และ “พันธมิตรคุณภาพ” เตรียมเดินเกมส์รุกครึ่งปีหลังเปิดตัว 13 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 26,000 ล้านบาท พร้อมเตรียมรับรู้รายได้ช่วงสิ้นปีกับแผนการส่งมอบคอนโดบิ๊กแพคมากถึง 8 โครงการ คุณอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) กล่าวว่า “กลยุทธ์สู่ความสำเร็จในปีที่ 26 และต่อๆ ไป เอพี ไทยแลนด์ท้าทายตนเองไปอีกขั้น ด้วยเป้าหมายการมุ่งก้าวขึ้นสู่การเป็น 1 ใน 3 บริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทยที่อยู่ในใจผู้บริโภค โดยเรามีกลยุทธ์สู่ชัยชนะคือ ‘การมอบความแตกต่างด้วยคุณภาพ’ ด้วยหลักปรัชญาการทำงาน ‘AP – The Differentiator’ หรือเอพีผู้สร้างความแตกต่างให้วงการอสังหาริมทรัพย์ไทย ผ่านทั้งตัวสินค้าและบริการ ภายใต้ 4 แนวคิดหลัก 1) SPACE OPTIMIZATION แตกต่างในการพัฒนานวัตกรรมดีไซน์ เพื่อพื้นที่ใช้สอยที่ไม่จำกัด 2) CONVENIENT แตกต่างในวิธีคิดที่ทุกพื้นที่ต้องเอื้อให้การใช้ชีวิตสะดวกสบายทั้งในบ้านและนอกบ้าน  และเชื่อมต่อทุกรูปแบบการเดินทางที่สะดวกที่สุดสำหรับคนเมือง 3) QUALITY มุ่งยกระดับคุณภาพสินค้าให้ดียิ่งขึ้น โดยล่าสุดได้ผสานความร่วมมือกับมิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป (MEC) พันธมิตรทางธุรกิจในการร่วมกันสร้าง AP CHECK LIST ขึ้น ซึ่งจะเป็นคู่มือสำคัญในการควบคุมการพัฒนาโครงการที่เริ่มต้นตั้งแต่กระบวนการออกแบบที่มีคุณภาพ ไปจนถึงขั้นตอนการก่อสร้างและกระบวน การตรวจสอบงานที่มีประสิทธิภาพ ผ่านการถ่ายทอดองค์ความรู้จากทางญี่ปุ่น 4) HUMAN DEVELOPMENT มุ่งสร้างความแตกต่างทั้งระบบความคิดและการบริหารจัดการให้กับคนเอพีอย่างต่อเนื่อง ผ่าน  AP ACADEMY สถาบันเพื่อการเรียนรู้ครบวงจรด้านอสังหาริมทรัพย์แห่งแรกของไทย”   “เอพี (ไทยแลนด์) มีความพร้อมด้านศักยภาพในทุกๆ ด้านทั้งบุคลากรคุณภาพ ผลิตภัณฑ์ที่อยู่อาศัยคุณภาพที่ครบทุกความต้องการด้านการอยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นคอนโดมีเนียม บ้านเดี่ยว หรือทาวน์โฮม ที่สำคัญไม่แพ้กันคือ เรามีพันธมิตรทางธุรกิจที่มีคุณภาพ คือ ‘มิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป’ (MEC) ที่มีอุดมการณ์เดียวกันในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีคุณภาพ ตลอดระยะเวลา 2 ปีกว่าของการจับมือเป็นพันธมิตร มิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป มองภาพการร่วมทุนมากกว่าเรื่องของผลกำไรตอบแทน แต่คือความยินดีที่จะร่วมแบ่งปันองค์ความรู้ในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ให้กับทีมงานเอพีอย่างจริงใจ ตั้งแต่ความรู้ในเรื่องการออกแบบพื้นที่ใช้สอย กระบวนการก่อสร้างและการตรวจสอบคุณภาพงาน รวมไปถึงการขยายต่อองค์ความรู้ไปยังสถาบัน  AP Academy และสิ่งหนึ่งที่การันตีถึงการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจระยะยาวได้อย่างชัดเจนคือ ทางมิตซูบิชิ เอสเตท ส่งพนักงานซึ่งเป็นคนญี่ปุ่นของทางมิตซูบิชิ เอสเตทเองมานั่งประจำ ณ สำนักงานใหญ่เอพี จำนวน 4 คน เพื่อให้การทำงานและอำนาจการตัดสินใจสะดวก รวดเร็วยิ่งขึ้น  ผมเชื่อว่าความร่วมมือดังกล่าวไม่เพียงจะช่วยส่งเสริมด้านการสร้างความแตกต่างให้กับผลิตภัณฑ์อสังหาฯ ของ  เอพีเท่านั้น แต่ยังจะมีส่วนช่วยเสริมยกระดับมาตรฐานอสังหาริม-ทรัพย์ไทยในภาพรวมอีกด้วย” คุณอนุพงษ์ กล่าว   สำหรับยอดขาย ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2559 บริษัทฯ มียอดขายรวมเท่ากับ 13,200 ล้านบาท และในช่วงไตรมาส 3-4 บริษัทฯ มีแผนการเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 13 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 26,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นแนวราบมากถึง 10 โครงการ ซึ่งเป็นบ้านเดี่ยว 8 โครงการ และทาวน์โฮม 2 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 10,800 ล้านบาท และคอนโดมิเนียมจำนวน 3 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 15,200 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยเปิดตัวตามแผนงานที่วางไว้ และเชื่อว่าจะสามารถสร้างยอดขายได้ตามเป้าหมายที่วางไว้อย่างแน่นอน   นอกจากนั้นแล้วในช่วงไตรมาส 3-4 ยังถือเป็นช่วงที่เอพีมีคอนโดมิเนียมที่ก่อสร้างพร้อมกันมากถึง 8 โครงการ ได้แก่ 1) Aspire งามวงศ์วาน มูลค่า 2,680 ล้านบาท 2) Vittorio มูลค่า 3,500 ล้านบาท 3) RHYTHM สุขุมวิท 42 มูลค่า 3,500 ล้านบาท 4) RHYTHM อโศก มูลค่า 1,500 ล้านบาท 5) Aspire วุฒากาศ มูลค่า 390 ล้านบาท 6) RHYTHM สุขุมวิท 36-38 มูลค่า 2,900 ล้านบาท 7) Aspire รัชดา-วงศ์สว่าง มูลค่า 2,850 ล้านบาท และ 8) Aspire สาทร-ท่าพระ มูลค่า 3,500 ล้านบาท โดย 3 โครงการหลังเป็นคอนโดมิเนียมร่วมทุนกับทาง MEC ซึ่งคาดว่าจะเริ่มพร้อมเปิดให้ลูกค้าเข้าตรวจรับห้องชุดและชมความสมบูรณ์ของโครงการได้ตั้งแต่เดือนตุลาคม และพร้อมโอนกรรมสิทธิ์ย้ายเข้าอยู่ได้ตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป   ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนกรฎาคม บริษัทฯ มีสินค้ารอรับรู้รายได้ (Backlog) มากถึง 12,834 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นแนวราบ มูลค่า 3,210 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ทั้งหมดภายในปีนี้ และคอนโดมิเนียม มูลค่า 9,624 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้รายได้ในปีนี้มูลค่าประมาณ 4,633 ล้านบาท และส่วนที่เหลือในปี 2560-2561 สำหรับผลประกอบการครึ่งปีแรก บริษัทฯ มีรายได้รวมเท่ากับ 8,602 ล้านบาท ด้านกำไรสุทธิเท่ากับ 981 ล้านบาท   “ตลอดระยะเวลา 25 ปีที่ผ่านมา เราภาคภูมิใจที่ได้เห็นลูกค้ามีความสุข ในทุกๆ วันเอพีได้สร้างให้อย่างน้อยหนึ่งครอบครัว มีความสุขกับการเป็นเจ้าของบ้านหลังใหม่ ซึ่งบ้านใหม่ที่ขายได้ในเมืองมากกว่าครึ่งหนึ่งเป็นของเอพี เรายึดมั่นในจุดยืนที่จะสร้างความแตกต่างให้กับวงการอสังหาฯ มาตั้งแต่เริ่มต้น กับการเป็นรายแรกที่ผู้บุกเบิกการทำ ‘ทาวน์โฮม’ ในเมือง หรือการเป็นรายแรกที่สร้างเทรนด์การอยู่อาศัยในคอนโดติดแนวรถไฟฟ้า”   “ผมเชื่อมั่นว่าเอพี ไทยแลนด์จะประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ เพราะเรามีทีมงานที่เก่ง และมี passion ในการทำงาน เรามีระบบที่ยอดเยี่ยมที่ได้รับการปรับปรุงพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ และเรายังมีสถานะทางการเงินที่มั่นคงและแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ โดยเราไม่หยุดยั้งที่จะพัฒนาด้านคุณภาพ ศักยภาพ รวมถึงนวัตกรรมและเทคโนโลยี ด้วยประสบการณ์ ความมั่นคงและวินัยทางการเงินที่เข้มงวด” คุณอนุพงษ์กล่าว   “เอพี ไทยแลนด์ กล้าที่จะแตกต่าง ผู้นำด้านนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัย”  
ปิยะ อินเตอร์เนชั่นแนล จับมือนายณ์ เอสเตท สร้างอาณาจักรแห่งการพักอาศัยระดับหรูบนทำเลยุทธศาสตร์ที่ดีที่สุดของเขาใหญ่ เติมเต็มตลาดลักชัวรีครอบคลุมทุกกลุ่ม

ปิยะ อินเตอร์เนชั่นแนล จับมือนายณ์ เอสเตท สร้างอาณาจักรแห่งการพักอาศัยระดับหรูบนทำเลยุทธศาสตร์ที่ดีที่สุดของเขาใหญ่ เติมเต็มตลาดลักชัวรีครอบคลุมทุกกลุ่ม

ปิยะ อินเตอร์เนชั่นแนล จับมือ นายณ์ เอสเตท  ผสานจุดแข็งสร้างอาณาจักรแห่งการพักอาศัยระดับไฮเอนด์ที่สมบูรณ์แบบที่สุดบนสุดยอดทำเลทองใจกลางเขาใหญ่ โดยนายณ์ เอสเตทเตรียมเข้าเป็นผู้พัฒนาโครงการใหม่ ชูคอนเซ็ปต์ “บ้านเล็กในป่าใหญ่” มูลค่า 2,000 ล้านบาท บนพื้นที่ 40 ไร่ ในอาณาจักรบ้านพักตากอากาศและไร่องุ่นพื้นที่รวมกว่า 2,500 ไร่ ของดร.ปิยะ ภิรมย์ภักดี เพื่อร่วมกันเติมความต้องการของตลาดอสังหาริมทรัพย์ระดับลักชัวรีให้ครอบคลุมทุกกลุ่ม ขานรับความต้องการที่เติบโตอย่างต่อเนื่องของตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่นครราชสีมา ที่จะเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวและการคมนาคมขนส่งใจกลางภาคอีสาน นางนวลลดา งามธนไพศาล กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปิยะ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กล่าวว่า “การร่วมมือกับนายณ์ เอสเตท ครั้งนี้เกิดจากการที่ทั้งสองบริษัทต่างมีนโยบายและวิสัยทัศน์ที่มุ่งมั่นพัฒนาธุรกิจในทิศทางเดียวกัน ทั้งในด้านการมุ่งให้ความสำคัญกับแนวคิดในการพัฒนาที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ความพิถีพิถันในรายละเอียดต่าง ๆ รวมทั้งความใส่ใจกับการดูแลรักษาสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ เพื่อสร้างสรรค์โครงการเพื่อการพักอาศัยอย่างแท้จริงในระยะยาว  จึงเป็นการเสริมจุดแข็งของกันและกันให้ทั้งสองฝ่ายได้รับประโยชน์สูงสุด ลูกค้าของทั้ง 2 ฝ่ายเองก็จะได้รับประโยชน์ที่ครบวงจรมากขึ้นจากการร่วมมือ ครั้งนี้ โดยโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ภายใต้การพัฒนาของทั้งสองบริษัท นั่นคือ โครงการ ภิรมย์ แอท วินยาร์ด และโครงการใหม่ของนายณ์ เอสเตท จะร่วมกันเสริมสร้างให้พื้นที่นี้เป็นอาณาจักรแห่งการพักอาศัยที่สมบูรณ์แบบ ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้าระดับบนได้ครอบคลุมทุกกลุ่มอย่างแท้จริง ด้วยโปรดักต์ที่หลากหลายครอบคลุมตั้งแต่ ที่ดินเปล่า และที่ดินพร้อมบ้านสั่งสร้าง คอนโดมิเนียม วิลล่า ทั้งระดับลักชัวรีและซูเปอร์ลักชัวรี” นางอรฤดี ณ ระนอง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นายณ์ เอสเตท จำกัด กล่าวว่า “การเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ ร่วมกับปิยะ อินเตอร์เนชั่นแนล ในครั้งนี้ เกิดขึ้นเนื่องจากเราเล็งได้เห็นศักยภาพของเขาใหญ่ที่เป็นทั้งแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติและสถานที่พักผ่อนหย่อนใจที่สำคัญที่อยู่ใกล้กรุงเทพ ฯ และมีความต้องการ ด้านโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดย นายณ์ เอสเตท ได้ซื้อพื้นที่ 40 ไร่ จากปิยะ อินเตอร์เนชั่นแนล เพื่อพัฒนาโครงการที่พักอาศัยโครงการแรกนอกกรุงเทพฯ ของเรา ซึ่งเรามีความมั่นใจอย่างยิ่งด้วยปัจจัยอันแข็งแกร่งหลายประการ ทั้งทำเลที่ดีที่สุดและหายากที่สุดในเขาใหญ่ รายล้อมด้วยหุบเขาและทัศนียภาพที่สวยงาม สงบ เป็นส่วนตัวเหมาะแก่การพักผ่อนอย่างแท้จริง แนวคิดการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ทั้งด้านสถาปัตยกรรมและภูมิทัศน์ การให้ความสำคัญในทุกรายละเอียด การใช้สิทธิประโยชน์และสาธารณูปโภคส่วนกลางร่วมกันระหว่างโครงการใหม่ของนายณ์ เอสเตทและโครงการ ภิรมย์ แอท วินยาร์ด อาทิ ทัศนียภาพที่งดงาม พื้นที่สำหรับการพักผ่อนหย่อนใจ ทะเลสาบ เลนจักรยาน ฯลฯ เพื่อความครบวงจรของไลฟ์สไตล์ลักชัวรีท่ามกลางธรรมชาติที่สวยงามและร่มรื่นของเขาใหญ่ อีกทั้งความสะดวกสบายในการเดินทางจากกรุงเทพฯ ด้วยโครงการมอเตอร์เวย์สายบางปะอิน-โคราชที่เพิ่งตอกเสาเข็มไปและจะแล้วเสร็จในปี 2563 ซึ่งจะช่วยย่นระยะเวลาการเดินทางสู่ภาคอีสานลงหลายเท่าตัว ยังไม่รวมถึงรถไฟความเร็วสูงซึ่งจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้อีกด้วย” การร่วมเป็นพันธมิตรระหว่างทั้งสองบริษัทในครั้งนี้จึงนับเป็นปรากฏการณ์ครั้งสำคัญของแวดวงอสังหาริมทรัพย์ไทยที่จะร่วมกันสร้างอาณาจักรแห่งการพักอาศัยระดับลักชัวรีที่สมบูรณ์แบบบนพื้นที่ที่สวยงามที่สุดของเขาใหญ่  บนถนนผ่านศึก-กุดคล้า เป็นถนนสายสำคัญเชื่อมต่อระหว่างถนนมิตรภาพและถนนธนะรัชต์ ซึ่งเป็นถนนสายหลักมุ่งหน้าสู่ทางเข้าอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ มีความพรั่งพร้อมทั้งด้านทัศนียภาพที่สวยงามและอุดมสมบูรณ์ด้วยผืนป่าที่ยังคงความเป็นธรรมชาติอย่างแท้จริง โครงการตั้งอยู่ตรงข้ามกับพีบี วัลเล่ย์ เขาใหญ่ไวน์เนอรี่ แหล่งผลิตไวน์ครบวงจร และสถานที่ท่องเที่ยวซึ่งมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของเขาใหญ่ ทั้งนี้ โครงการ ภิรมย์ แอท วินยาร์ด (Pirom at Vineyard) ซึ่งเปิดตัวตั้งแต่ปี 2557 เป็นโครงการที่จัดสรรแบ่งขาย และที่ดินพร้อมบ้านพักตากอากาศระดับลักชัวรี บนพื้นที่ 800 ไร่ มูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท มุ่งเน้นกลุ่มลูกค้าระดับบนซึ่งเป็นเจ้าของธุรกิจที่มีไลฟ์สไตล์ไม่เหมือนใคร ซึ่งต้องการบ้านเพื่อการพักผ่อนหรือพักอาศัยในบรรยากาศที่สงบ เป็นส่วนตัว แวดล้อมด้วยธรรมชาติ ส่วนโครงการใหม่ของ นายณ์ เอสเตท บนพื้นที่ 40 ไร่ สร้างสรรค์ขึ้นภายใต้แนวคิด “บ้านเล็กในป่าใหญ่” มูลค่า 2,000 ล้านบาท ประกอบด้วยที่พักอาศัยหลากหลายรูปแบบ มุ่งเน้นกลุ่มลูกค้าผู้บริหาร ผู้ประกอบการ และกลุ่มครอบครัวรุ่นใหม่ ซึ่งต้องการโครงการที่พักอาศัยในทำเลท่องเที่ยวสำคัญ ทั้งเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจในวันหยุด และเพื่อการลงทุน โดยสิทธิประโยชน์เหนือชั้นที่ทั้ง ปิยะ อินเตอร์เนชั่นแนล และ นายณ์ เอสเตท จะมอบให้แก่ลูกค้าของทั้ง 2 ฝ่าย ผ่านความร่วมมือครั้งนี้ อย่างที่ไม่เคยมีผู้พัฒนาที่พักอาศัยแห่งใดบนเขาใหญ่ทำมาก่อน คือการร่วมแบ่งปัน พื้นที่ส่วนกลางและสาธารณูปโภค เพื่อเต็มเติมไลฟ์สไตล์ระดับลักชัวรีท่ามกลางทัศนียภาพที่สงบร่มรื่นของเขาใหญ่ให้แก่กลุ่มลูกค้าของทั้ง 2 ฝ่ายอย่างครบครันกว่าที่เคย
SENA ครบเครื่อง “ธุรกิจอสังหาฯ-โซลาร์รูฟ” ผลงานครึ่งปีหลังเติบโตต่อเนื่อง! ลุยเปิดโครงการใหม่ตามแผน ทุ่มงบกว่าครึ่ง 100 ลบ. ปั้นแบรนด์ ภายใต้กลยุทธ์ “หัวคิดและหัวใจ”

SENA ครบเครื่อง “ธุรกิจอสังหาฯ-โซลาร์รูฟ” ผลงานครึ่งปีหลังเติบโตต่อเนื่อง! ลุยเปิดโครงการใหม่ตามแผน ทุ่มงบกว่าครึ่ง 100 ลบ. ปั้นแบรนด์ ภายใต้กลยุทธ์ “หัวคิดและหัวใจ”

SENA ครบเครื่อง “ธุรกิจอสังหาฯ-โซลาร์รูฟ” ผลงานครึ่งปีหลังสุดเจ๋ง! เติบโตต่อเนื่อง ลุยเปิดโครงการใหม่ตามแผน  ลุ้นปี”59 รายได้-กำไร ทุบสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทุ่มงบกว่าครึ่ง 100 ลบ. ปั้นแบรนด์ ภายใต้กลยุทธ์ "หัวคิดและหัวใจ" “ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์” ผู้บริหารหญิงแกร่งแห่งค่าย SENA ผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจครบเครื่องอสังหาริมทรัพย์ และรายแรกของไทยที่ทำโครงการหมู่บ้านโซลาร์เต็มรูปแบบ ประเมินแนวโน้มผลประกอบการครึ่งหลังปี”59 เติบโตต่อเนื่อง เหตุปริมาณ Backlog เต็มมือ ควบคู่กับการผุดโครงการใหม่ตามแผน!!! รวมทั้งปี 7 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 4,570 ล้านบาท มั่นใจยอดโอนปีนี้เป็นไปตามเป้าหมายที่ 3,500 ล้านบาท และยอดขายอยู่ที่ 4,500 ล้านบาท  โดยได้รับปัจจัยหนุนจากยอดโอนโครงการคอนโดมิเนียมที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เผยปัจจุบันมี Backlog ในมือกว่า 2,400 ล้านบาท (ณ 30 มิ.ย.59 )  พร้อมเตรียมทุ่มงบกว่าครึ่ง 100 ล้านบาท ปั้นแบรนด์ให้ติดอยู่ในใจของลูกค้า ภายใต้กลยุทธ์ “หัวคิดและหัวใจ”  ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (SENA) ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ชั้นแนวหน้าของเมืองไทย และในฐานะ Developer รายแรกที่ทำหมู่บ้านโซลาร์เต็มรูปแบบ เปิดเผยว่า ปีนี้ถือเป็นปีที่ดีของ SENA ในการดำเนินธุรกิจ ทั้งในด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และด้านโซลาร์รูฟ ที่มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ จะเห็นภาพของการเติบโตต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก และมั่นใจว่ายอดโอนในปีนี้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ 3,500 ล้านบาท และยอดขายอยู่ที่ 4,500 ล้านบาท โดยได้รับปัจจัยหนุนจากยอดโอนโครงการคอนโดมิเนียมที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งโครงการที่เปิดใหม่ ซึ่งในนั้นจะเป็นโครงการติดตั้งแผงโซลาร์รูฟบนหลังคาบ้าน โดยปัจจุบันมี Backlog กว่า 2,400 ล้านบาท (ณ 30 มิ.ย.59 )  ซึ่งจะรับรู้ 1,000 ล้านบาท ในปีนี้ “แนวโน้มรายได้และกำไรในปีนี้ มีโอกาสทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จึงทำให้เชื่อว่าจะสามารถสร้างรายได้ตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ และเราก็ยังมีรายได้จากโครงการโซลาร์ฟาร์มที่รับรู้รายได้เต็มปีอีกด้วย” ผศ.ดร.เกษรากล่าว สำหรับโครงการที่จะเปิดในช่วงที่เหลือของปีนี้  ได้แก่ โครงการ เดอะ คิทท์ พลัส สุขุมวิท 113 ซึ่งเปิด Pre-sales ไปแล้วเมื่อวันที่  30 – 31 ก.ค. ที่ผ่านมา และได้นับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมจากลูกค้า , The Kith Lite บางกระดี เฟส 2 , The Niche Mono สุขุมวิท 50  , The Niche ID พระราม 2 เฟส 2 และโครงการ The Niche Mono บางนา  เฟส 3" ฯลฯ จากทั้งหมด 7 โครงการ มูลค่ารวม 4,570 ล้านบาท โดยในไตรมาส 1 และไตรมาส 2 ได้มีการเปิดตัวไปแล้ว 2 โครงการ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (SENA) กล่าวอีกว่า บริษัทฯยังคงให้ความสำคัญในการสร้างกลยุทธ์ ในปี 2559 “หัวคิดและหัวใจ” โดยได้เตรียมเงินกว่าครึ่ง 100 ล้านบาท ในการสร้างการรับรู้ และตอกย้ำแบรนด์ เพื่อกระตุ้นยอดขาย ภายใต้คอนเซ็ปต์  “หัวคิดและหัวใจ” เพื่อพิชิตใจลูกค้า โดยคำว่า “หัวคิด”  มาจากการที่บริษัทฯ ใช้หัวคิดในการนึกถึงความต้องการของลูกค้าเป็นที่ตั้งหรือศูนย์กลาง และในส่วน “หัวใจ” คือการแสดงออกในการบริการลูกค้าด้วยใจของพนักงาน ตามปรัชญาองค์กรที่ว่า “ความไว้วางใจจากลูกค้า คือความภูมิใจของเรา”  
แมกโนเลียชี้แนวโน้มครึ่งปีหลังธุรกิจคอนโดไฮเอนด์คึกคัก ปรับกลยุทธ์รับมือคลื่นอสังหาฯ ระลอกใหม่ช่วงปลายปี

แมกโนเลียชี้แนวโน้มครึ่งปีหลังธุรกิจคอนโดไฮเอนด์คึกคัก ปรับกลยุทธ์รับมือคลื่นอสังหาฯ ระลอกใหม่ช่วงปลายปี

กรุงเทพฯ, 21 กรกฎาคม 2559 - แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หนึ่งในผู้พัฒนาโครงการระดับซูเปอร์ลักชั่วรี่ คาดการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ระดับไฮเอนด์ของไทย โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ จะเริ่มคึกคักอีกครั้งในช่วงปลายปี 2559 หลังจากกระแสการซื้ออสังหาฯ ระดับไฮเอนด์ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้มีการชะลอตัวลงเล็กน้อย สืบเนื่องจากปลายปี 2558 ที่ผ่านมา ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ต่างเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่จำนวนมาก เผยความคืบหน้าเตรียมส่งมอบห้องชุดแมกโนเลียส์ราชดำริบูเลอวาร์ดปลายปีนี้ ขณะที่ เดอะ เรสซิเดนซ์ แอท แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ ปัจจุบันขายได้แล้วกว่า 40% ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 350,000 บาท/ตร.ม. พร้อมเดินหน้าจัดกิจกรรมการตลาดและโร้ดโชว์ต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง นางสาว ภีชภัตธา ผกากาญจน์ ผู้ช่วยรองประธานกรรมการ ฝ่ายการตลาดและฝ่ายขายโครงการ บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า “เนื่องจากราคาที่ดินในย่านธุรกิจใจกลางเมืองยังมีราคาขยับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้เรามั่นใจว่า นักลงทุนยังคงมองหาโอกาสการลงทุนกับโครงการระดับคุณภาพในเขตกรุงเทพฯอยู่เสมอ โดยเมื่อเข้าสู่ไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ แนวโน้มการซื้อเริ่มขยับตัวสูงขึ้น เห็นได้จากการที่นักลงทุนใช้เวลาตัดสินใจซื้อห้องชุดหรูเร็วกว่าในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา และคาดว่าผู้ประกอบการหลายรายมีแผนเตรียมเปิดตัวโครงการใหม่อย่างคึกคักในช่วงครึ่งปีหลังเพื่อดึงกระแสการซื้อให้เพิ่มขึ้น แต่ทางฝั่งผู้บริโภคจะตอบรับหรือไม่ ก็ถือเป็นความท้าทายที่ผู้ประกอบการต้องตีโจทย์ความต้องการของผู้ซื้อให้ได้เช่นกัน” บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ให้ความสำคัญกับการลงทุนและพัฒนาโครงการต่างๆ ด้วยมาตรฐานระดับโลกทุกขั้นตอน เราสร้างสรรค์ความเจริญเติบโตขององค์กรผ่านการดำเนินธุรกิจแบบร่วมทุน และการร่วมมือกับพันธมิตรธุรกิจและนักลงทุน เพื่อการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ชั้นเยี่ยมทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ โดยโครงการร่วมทุนที่กำลังดำเนินการพัฒนาในปัจจุบัน ได้แก่ แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด, ดิ ไอคอนสยาม, แมกโนเลียส์ วอเตอร์ฟร้อนท์ เรสซิเดนซ์ ณ ไอคอนสยาม และ เดอะ เรสซิเดนซ์ แอท แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ “สำหรับโครงการของเรา หลังจากประสบความสำเร็จอย่างสูงกับการเปิดตัวโครงการระดับไฮเอนด์ของทั้ง 3 โครงการ เราจึงขอดูแนวโน้มของตลาดคอนโดมิเนียมที่คาดว่าจะคึกคักมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังเสียก่อน เพื่อที่เราจะสามารถพัฒนาโครงการที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและสร้างความแตกต่างในตลาดอสังหาฯ ได้อย่างแท้จริง โดยขณะนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการศึกษาความเป็นไปได้ในหลายๆแง่มุม ทั้งนี้เรายังคงยึดมั่นในการพัฒนาโครงการคุณภาพระดับไฮเอนด์เท่านั้น เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ซื้อทั้งในด้านไลฟ์สไตล์ระดับพรีเมี่ยมและการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนคุ้มค่าในระยะยาว” นางสาว ภีชภัตธากล่าว ปัจจุบัน แมกโนเลียกำลังดำเนินการก่อสร้างโครงการระดับไฮเอนด์ทั้ง 3 แห่ง ได้แก่ แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด เป็นโครงการแบบมิกซ์ยูส โดยมีทั้งส่วนที่เป็นโรงแรมวอลดอร์ฟ เอสโทเรีย กรุงเทพฯ เชนโรงแรมระดับ 6 ดาวในเครือฮิลตัน เวิลด์ไวด์ และส่วนที่เป็นห้องชุดพักอาศัยระดับหรู บนถนนราชดำริ ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 80% มีราคาขาย 230,000-270,000 บาท/ตร.ม. คาดปลายปีจะมียอดขายแตะ 90% และเตรียมพร้อมส่งมอบห้องชุดแก่ผู้พักอาศัยภายในปลายปีนี้ อีกหนึ่งโครงการคือ แมกโนเลียส์ วอเตอร์ฟร้อนท์ เรสซิเดนซ์ ณ ไอคอนสยาม ซึ่งขณะนี้ราคาเฉลี่ย 250,000 บาท/ตร.ม. ปัจจุบันปิดการขายแล้ว และเมื่อเร็วๆนี้ยังได้รับรางวัล BCI Asia Top 10 Developers Awards 2016 การันตีโครงการคุณภาพระดับเอเชียแก่ผู้บริโภค โดยเป็นงานระดับภูมิภาคที่รวบรวมสถาปนิกชั้นนำในวงการ ตลอดจนบริษัทผู้พัฒนาและนักออกแบบโครงการแถวหน้า ซึ่งรางวัลดังกล่าวได้พิจารณาจากมูลค่ารวมของโครงการในระหว่างการก่อสร้างตลอดทั้งปี ผ่านการให้ค่าน้ำหนักตามหัวข้อต่างๆในด้านความยั่งยืน และโครงการล่าสุดคือ เดอะ เรสซิเดนซ์ แอท แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ ราคาเฉลี่ย 350,000 บาท/ตร.ม. ปัจจุบันขายได้แล้วกว่า 40% โดยสองโครงการหลังอยู่ในพื้นที่ของอภิมหาโครงการศูนย์การค้า ดิ ไอคอนสยาม ริมแม่น้ำเจ้าพระยา สำหรับกลยุทธ์การตลาดเพื่อเพิ่มยอดขายของห้องชุดโครงการในปัจจุบัน แมกโนเลียจะเน้นการจัดกิจกรรมทางการตลาดมากมาย เพื่อจูงใจผู้บริโภคในประเทศและต่างประเทศที่มีศักยภาพทางการเงินสูงให้หันมาลงทุนกับอสังหาฯระดับไฮเอนด์ให้มากขึ้น ร่วมกับการจัดโร้ดโชว์ในต่างประเทศเพื่อชูจุดเด่นของแต่ละโครงการ โดยเน้นที่ตลาดฮ่องกงเป็นหลัก สำหรับโครงการเดอะ เรสซิเดนซ์ แอท แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ ได้เริ่มทำการตลาดที่ไต้หวันและอังกฤษร่วมด้วย โดยคาดว่าในกลุ่มผู้ซื้อในภาพรวมจะเป็นการซื้อเพื่ออยู่เองราว 70% และอีก 30% ที่เหลือจะเป็นการซื้อเพื่อลงทุน โดยแมกโนเลียมั่นใจว่าจะได้ผลตอบรับที่ดีจากกลยุทธ์การตลาดดังกล่าว
The Cube Plus Minburi รุกเปิดเฟส 2 รับรถไฟฟ้าสายสีชมพู เริ่ม 1.49 ลบ.

The Cube Plus Minburi รุกเปิดเฟส 2 รับรถไฟฟ้าสายสีชมพู เริ่ม 1.49 ลบ.

The Cube Plus Minburi (เดอะคิวบ์ พลัส มีนบุรี) รับกระแสรถไฟฟ้าสายสีชมพู เร่งเปิดเฟส 2 ตอบสนองความต้องการคอนโดมิเนียมพร้อมการตกแต่งใกล้ตลาดมีนบุรีและรถไฟฟ้า  ฝ่ายบริหาร บริษัท คิวบ์ เรียล พร๊อพเพอร์ตี้ จำกัด เตรียมเปิดพรีเซลอย่างเป็นทางการในวันที่ 23-24 กรกฎาคม 2559 เริ่มต้น 1.49 ล้านบาท รวมการตกแต่งเฟอร์นิเจอร์จาก Modernform ครบทุกฟังก์ชั่นทุกยูนิต (Fully Furnish) ผสมผสานความสวยทันสมัยและใช้งานได้ทุกตารางเมตรบนพื้นที่ส่วนตัว ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมน่าอยู่และปลอดภัย เพียงลงทะเบียนภายในงานรับเงื่อนไขพิเศษลด 50,000 บาท ทันที มีขนาดห้องตั้งแต่ 24 – 49.5 ตร.ม.พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกบนพื้นที่ส่วนกลาง อาทิ สระว่ายน้ำระบบเกลือ ห้องฟิตเนส ห้องเซาว์น่า (แยกชาย/หญิง) สวนหย่อมธรรมชาติ กล้องวงจรปิด (CCTV) Digital door lock (กลอนประตูดิจิตอล) จาก Samsung ทุกยูนิต ระบบคีย์การ์ดทางเข้าอาคาร และลิฟท์แบบคีย์การ์ดล๊อคชั้น ระบบรักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง Wi-Fi อินเตอร์เน็ตที่ล็อบบี้ส่วนกลาง การเดินทางสะดวกติดถนนใหญ่เข้า/ออกได้ 2 ทาง ทั้งถนนสีหบุรานุกิจและถนนสุวินทวงศ์ ใกล้รถไฟฟ้าสายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี สถานีตลาดมีนบุรี) ใกล้แหล่งสาธารณูปโภคครบครัน อาทิ ศูนย์การค้าตลาดมีนบุรี ศูนย์การค้าแฟชั่นไอส์แลนด์ เดอะพรอมานาด ศาลจังหวัดมีนบุรี ตลาดนัดจตุจักร 2 (มีนบุรี) โรงพยาบาลเสรีรักษ์ โรงพยาบาลนวมินทร์ 9 โรงเรียนพาณิชย์การมีนบุรี โรงเรียนเศรษฐบุตรบำเพ็ญ บิ๊กซี เทสโก โลตัส ฯลฯ ติดตามความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ได้ที่ www.thecube-condo.com,  www.facebook.com/the cube-condo และสื่อออนไลน์ต่าง ๆ ของโครงการ หรือสอบถามเพิ่มเติมโทร. 0-2918-8812-3
ชาญอิสสระ พร้อมเปิด 2 โครงการหรูกลางเมือง มูลค่า 4.4 พันล.  ชูทำเล พระราม 9 – บางนา จับกลุ่มไฮเอนด์

ชาญอิสสระ พร้อมเปิด 2 โครงการหรูกลางเมือง มูลค่า 4.4 พันล. ชูทำเล พระราม 9 – บางนา จับกลุ่มไฮเอนด์

ชาญอิสสระ เดินหน้ารุกตลาดอสังหาริมทรัพย์ ระดับไฮเอนด์ เตรียมเปิดตัว 2 โครงการหรู  “อิสสระ เรสซิเดนซ์ พระราม 9” และ“บ้านอิสสระ บางนา” ชูจุดเด่นทำเลที่ตั้งใจกลางเมืองพร้อมดึง A49 ร่วมงานออกแบบที่สร้างความแตกต่าง อย่างเหนือระดับ ชูทีมที่ปรึกษาด้านการตลาด และการขายมืออาชีพอย่าง CBRE ช่วยกระตุ้นยอดขายกลุ่มลูกค้าระดับไฮเอนด์ มั่นใจตลาดยังมีแนวโน้มความต้องการบ้านระดับไฮเอนด์สูง คาดได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี พร้อมเปิดพรีเซลล์ 8 สิงหาคมนี้ นายสงกรานต์ อิสสระ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงทิศทางการเติบโตของภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ว่ายังมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีขึ้น โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักทั้งจากการออกนโยบายและมาตรการต่างๆ จากภาครัฐ ที่เป็นแรงขับเคลื่อนในการกระตุ้นกำลังซื้อของผู้บริโภค รวมถึงศักยภาพของบริษัทในการพัฒนาโครงการต่างๆ ที่ประสบความสำเร็จในช่วงที่ผ่านมา ทั้งการเลือกหาทำเลที่ตั้งโครงการที่โดดเด่น สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่กำลังมองหาที่พักอาศัยที่ให้ความสะดวกสบายที่ครบครัน ทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกด้านสาธารณูปโภค สิ่งแวดล้อม รวมถึงภาคระบบการขนส่ง “จากศักยภาพของแต่ละโครงการที่ชาญอิสสระได้พัฒนาจนประสบความสำเร็จ ชาญอิสสระเองก็ไม่หยุดนิ่งในการเลือกหาทำเลที่ตั้งโครงการที่ดีๆ เพื่อมาตอบสนองความต้องการของลูกค้า ล่าสุดเตรียมเปิด 2 ทำเลสุดหรู เนรมิต 2 โครงการระดับซุปเปอร์ลักซ์ชัวรี่ใหม่เอาใจลูกค้าระดับไฮเอนด์ พร้อมศึกษาข้อมูลทางการตลาดพบว่าความต้องการบ้านเดี่ยวใจกลางเมืองระดับซุปเปอร์ลักซ์ชัวรี่ยังมีอยู่สูง ประกอบกับที่ผ่านมาชาญอิสสระได้พัฒนาโครงการบ้านอิสสระ พระราม 9 มาแล้ว ซึ่งได้รับการตอบรับจากกลุ่มลูกค้าเป็นอย่างดี ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพ และความเชี่ยวชาญในการพัฒนาโครงการบ้านหรูจากชาญอิสสระได้เป็นอย่างดี” นายสงกรานต์ กล่าว สำหรับ 2 โครงการบ้านเดี่ยวที่พร้อมเปิดตัวประกอบด้วย โครงการแรก “อิสสระ เรสซิเดนซ์ พระราม 9” ซึ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยว Super Luxury ใจกลางเมืองที่สุด ถ่ายทอดแนวคิดผ่านความเป็น Modern Tropical ที่ทำให้เกิดความรู้สึกอยู่สบายน่าพักอาศัย มีความเรียบง่ายตามวิถีของคนยุคใหม่แต่ไม่ละทิ้งหลักการของธรรมชาติและประสบการณ์การใช้ชีวิตแบบอิสระ บนพื้นที่ประมาณ 9 ไร่ ตั้งอยู่ถนนพระราม 9 ซอย 13  จำนวนเพียง 20  หลัง บนพื้นที่ดินขนาด 112-208 ตารางวา พร้อมพื้นที่ใช้สอยขนาด 700-764 ตารางเมตร และสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งคลับเฮาส์ ฟิตเนส สระว่ายน้ำระบบเกลือ พื้นที่สวนที่ให้ความเป็นส่วนตัว อบอุ่นด้วยธรรมชาติสำหรับครอบครัว โดยมีแบบบ้านมีให้เลือก 3 แบบ ประกอบด้วย  TYPE A บ้าน 3 ชั้น เนื้อที่ใช้สอย 764 ตารางเมตร 5 ห้องนอน  5 ที่จอดรถ พร้อมห้องรับแขกและห้องนั่งเล่น ครัวไทย ครัวpantry ห้องคนรับใช้ 2 ห้อง พร้อมลิฟท์และสระว่ายน้ำ TYPE B บ้าน 3 ชั้น เนื้อที่ใช้สอย 726 ตารางเมตร 5 ห้องนอน  5 ที่จอดรถ พร้อมห้องรับแขกและห้องนั่งเล่น  ครัวไทย ครัวpantry ห้องคนรับใช้ 2 ห้อง พร้อมลิฟท์และสระว่ายน้ำ TYPE C บ้าน 3 ชั้น เนื้อที่ใช้สอย 700 ตารางเมตร 4 ห้องนอน  4 ที่จอดรถ พร้อมห้องรับแขกและห้องนั่งเล่น ครัวไทย ครัวpantry ห้องคนรับใช้ 2 ห้อง พร้อมลิฟท์ ออกแบบบ้านโดย บริษัท สถาปนิก 49 จำกัด (A49) ที่รังสรรค์งานออกแบบบ้านที่อยู่ในเมืองให้สอดแทรกไปกับธรรมชาติได้อย่างลงตัว สร้างประสบการณ์ของการอยู่อาศัยของบ้านใจกลางเมืองได้อย่างสมบูรณ์แบบและสอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มลูกค้า โครงการ อิสสระ เรสซิเดนซ์ พระราม 9 มีราคาเริ่มต้นที่ 80-120 ล้านบาท โดยมีมูลค่าโครงการรวม 1,800  ล้านบาท ขณะที่โครงการที่สอง “ บ้านอิสสระ บางนา” โครงการบ้านเดี่ยวมีการออกแบบสะท้อนหลักของธรรมชาติเพื่อให้ทุกตารางเมตรของพื้นที่ใช้สอยเกิดภาวะอยู่สบายอย่างแท้จริง เป็นโครงการที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ ประมาณ  24  ไร่ บริเวณถนนบางนา กม.8  จำนวน 43  หลัง บนพื้นที่ดินขนาด 99 - 228 ตารางวา โดยมีพื้นที่ใช้สอย 425-633 ตารางเมตร พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งคลับเฮาส์ ฟิตเนส Amphitheater สระว่ายน้ำระบบเกลือ โอบล้อมด้วยความเขียวขจีของสวน โดยมีแบบบ้านให้เลือก 3 แบบ TYPE A บ้าน 3 ชั้น เนื้อที่ใช้สอย 633 ตารางเมตร 6 ห้องนอน  5 ที่จอดรถ พร้อมห้องรับแขกและห้องนั่งเล่น  ครัวไทย ครัวpantry ห้องคนรับใช้ 2 ห้อง พร้อมลิฟท์ TYPE B บ้าน 3 ชั้น เนื้อที่ใช้สอย 504 ตารางเมตร 4 ห้องนอน  4 ที่จอดรถ พร้อมห้องรับแขกและห้องนั่งเล่น  ครัวไทย ครัวpantry ห้องคนรับใช้ 2 ห้อง พร้อมลิฟท์ TYPE C บ้าน 2 ชั้น มีเนื้อที่ใช้สอย 425 ตารางเมตร 3 ห้องนอน 4 ที่จอดรถ พร้อมห้องรับแขกและห้องนั่งเล่น  ครัวไทย ครัวpantry ห้องคนรับใช้ 2 ห้อง ออกแบบบ้านโดย บริษัท สถาปนิก 49 จำกัด (A49) เป็นการออกแบบบ้านที่ให้ผู้อยู่อาศัยได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติ ร่มรื่นด้วยสวนขนาดใหญ่ ฟังก์ชั่นใช้สอยลงตัวและครบครัน  โครงการดังกล่าวนี้มีราคาเริ่มต้นที่ 46 ล้านบาท โดยมีมูลค่าโครงการรวม 2,600 ล้านบาท ด้านนางสาวอลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซี บี อาร์ อี (ประเทศไทย) (CBRE) จำกัด เปิดเผยว่า จากการที่ CBRE เข้ามาทำการตลาดบ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี่ในเมือง ในช่วงที่ผ่านมา พบว่าศักยภาพของการขายและกำลังซื้อของผู้บริโภคต่อบ้านเดี่ยวในเมืองระดับซุปเปอร์ลักซ์ชัวรี่ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ขณะที่สินค้าในตลาดยังไม่สามารถตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่ต้องการบ้านระดับซุปเปอร์ลักซ์ชัวรี่ในเมืองที่ต้องการพื้นที่ใช้สอย ขนาดที่ดินที่มากเพียงพอสำหรับครอบครัวขนาดใหญ่ และอยู่ในทำเลที่เหมาะสมในย่านใจกลางเมือง อีกทั้งแนวความคิดออกแบบบ้าน รูปแบบฟังก์ชั่นดีไซน์ และการเลือกใช้วัสดุพรีเมี่ยม ก็เป็นปัจจัยสำคัญสำหรับลูกค้ากลุ่มนี้ในการตัดสินใจเลือกซื้อ อย่างไรก็ตามในส่วนของโครงการ อิสสระ เรสซิเดนซ์ พระราม 9 และบ้านอิสสระ บางนา ทั้งสองโครงการนี้ ถือเป็นโครงการที่มีจุดเด่นในแง่ของการออกแบบที่เน้นพื้นที่ใช้สอยที่มากเพียงพอ โดยโครงการอิสสระ เรสซิเดนซ์ พระราม 9 มีแบบให้เลือก 4-5 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 700-764 ตารางเมตร บนที่ดินตั้งแต่ 112-208 ตารางวา ในขณะที่โครงการบ้านอิสสระ บางนามีแบบให้เลือก 3-5 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 425-633 ตารางเมตร บนที่ดินตั้งแต่ 99-228 ตารางวา  รวมถึงการออกแบบที่คำนึงถึงแสงธรรมชาติ ทิศทางลม อีกทั้งยังเลือกใช้วัสดุเกรดเอมาตรฐานระดับโลก รวมทั้งมีที่จอดรถเพียงพอต่อสมาชิกในครอบครัว ซึ่งถ้าเทียบกันในตลาดแล้วยังไม่มีโครงการใดที่สามารถตอบโจทย์ที่พักอาศัยระดับซุปเปอร์ลักซ์ชัวรี่แบบนี้ได้อย่างครบถ้วน นอกจากนี้จุดเด่นที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือทำเล สำหรับโครงการอิสสระ เรสซิเดนซ์ พระราม 9 ซึ่งตั้งอยู่บนทำเลใจกลางกรุงเทพฯ เส้นรัชดา-พระราม 9 ถือว่าเป็นทำเลที่ถูกมองว่าเป็น New Hot Spot หรือย่านธุรกิจแห่งใหม่ที่แวดล้อมด้วยออฟฟิศชั้นนำ ใกล้สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อีกทั้งถนนพระราม 9 ก็ถือเป็นจุดเชื่อมต่อสำหรับการเดินทางไม่ว่าจะเดินทางเข้าสู่ย่านธุรกิจอย่างอโศก สุขุมวิท สาทร สีลม หรือจะมุ่งหน้าออกมอเตอร์เวย์ และสนามบินสุวรรณภูมิก็สามารถเดินทางได้อย่างสะดวก ประกอบกับที่ตั้งโครงการยังใกล้กับทางด่วนพิเศษศรีรัช-พระราม 9 และในอนาคตยังมีส่วนต่อขยายแนวรถไฟฟ้า MRT สายสีส้มที่ตัดผ่านใกล้เคียงกับโครงการอีกด้วย ขณะที่โครงการบ้านอิสสระ บางนานั้น ตั้งอยู่บนทำเลตัวเมืองชั้นนอกที่เป็นย่านที่อยู่อาศัยที่เป็นที่นิยมอันดับต้นๆ ได้แก่กรุงเทพฝั่งตะวันออก อันเนื่องมาจากทำเลดังกล่าวได้มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางคมนาคม และสิ่งอำนวยความสะดวกที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ อาทิ ศูนย์การค้าระดับ Regional Shopping Center อย่างเมกะบางนา หรือโครงการขนาดใหญ่แห่งใหม่ อย่าง แบงค็อก มอลล์ รวมไปถึงการขยายตัวของอาคารสำนักงานอีกด้วย สำหรับโครงการ“บ้านอิสสระ เรสซิเดนซ์ พระราม 9” และ“บ้านอิสสระ บางนา” จะมีการเปิดให้จองพรีเซลล์ (Pre Sale) ตั้งแต่วันที่ 8 สิงหาคม 2559 นี้ พร้อมเตรียมสิทธิพิเศษสำหรับผู้ที่สนใจ
“เอสซีจี บิลดิ้งเทค” เปิดตัว “ระบบผนัง ฟูลฟิลล์ วอลล์” รุกตลาดผนังภายในสำหรับอาคารสูง ชูจุดเด่น “แข็งแรง ติดตั้งง่าย หน้างานสะอาด ส่งงานเร็ว” เดินหน้าสร้างการรับรู้เจาะกลุ่มเป้าหมาย B2B ตั้งเป้ายอดขายปีนี้ 223 ล้านบาท

“เอสซีจี บิลดิ้งเทค” เปิดตัว “ระบบผนัง ฟูลฟิลล์ วอลล์” รุกตลาดผนังภายในสำหรับอาคารสูง ชูจุดเด่น “แข็งแรง ติดตั้งง่าย หน้างานสะอาด ส่งงานเร็ว” เดินหน้าสร้างการรับรู้เจาะกลุ่มเป้าหมาย B2B ตั้งเป้ายอดขายปีนี้ 223 ล้านบาท

กรุงเทพฯ - “เอสซีจี บิลดิ้งเทค” (SCG Building Tech) เดินหน้ารุกตลาดผนังภายในสำหรับอาคารสูง ผนึกพันธมิตร สยามอิมเมจดีเวลลอปเม้นท์ ร่วมเปิดตัว “ระบบผนังอิฐมวลเบาเสริมโครงเหล็ก ฟูลฟิลล์ วอลล์” (FULFiLwall System) ชูจุดเด่น “แข็งแรง ติดตั้งง่าย หน้างานสะอาด ส่งมอบงานเร็ว” ด้วยนวัตกรรมปูนสูตรพิเศษ และนวัตกรรมการกรอกปูนแบบมัลติเลเยอร์ (Multi-Layer) ลิขสิทธิ์เฉพาะรายแรกและรายเดียวของไทย พร้อมบริการออกแบบ ติดตั้ง และตรวจสอบคุณภาพจากผู้เชี่ยวชาญมืออาชีพ มั่นใจช่วยยกระดับมาตรฐาน การก่อสร้าง ตอบความต้องการตลาดที่ต้องการสินค้าที่ติดตั้งได้รวดเร็ว และตอบโจทย์ปัญหาขาดแคลนแรงงานฝีมือ เตรียมเดินหน้าสร้างการรับรู้เจาะกลุ่มผู้รับเหมา และดีเวลลอปเปอร์กลุ่มงานอาคารแนวดิ่ง ตั้งเป้าหมาย ปี 59 ประเดิมยอดขาย 223 ล้านบาท นายสราวุฒิ สำราญทรัพย์ กรรมการผู้จัดการ–มาร์เก็ตติ้ง เฮ้าส์ซิ่ง บิสซิเนส ธุรกิจ เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เปิดเผยว่า จากแนวทางการดำเนินธุรกิจของ “เอสซีจี บิลดิ้งเทค” (SCG Building Tech) ที่เน้นตอบแนวโน้มผู้ประกอบการในตลาดที่ต้องการสินค้าที่มีนวัตกรรม ทันสมัย มีคุณภาพ และติดตั้งได้รวดเร็ว มุ่งพัฒนาเทคโนโลยีการก่อสร้างใหม่ๆ เพื่อลดปัญหาด้านการก่อสร้าง ตลอดจนช่วยลดปัญหาการขาดแคลนแรงงานฝีมือ ล่าสุดจึงได้ร่วมกับ บริษัท สยามอิมเมจดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ในฐานะพันธมิตรทางธุรกิจ แนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ “ระบบผนังอิฐมวลเบาเสริมโครงเหล็ก ฟูลฟิลล์ วอลล์” (FULFiLwall System) นวัตกรรมระบบก่อสร้างผนังภายในสำหรับอาคารสูง ภายใต้แบรนด์ “เอสซีจี บิลดิ้งเทค” ที่มีการเปิดตัวเข้าสู่ตลาดอย่างเป็นทางการ “ปัจจุบันธุรกิจอาคารทั้งคอนโดมิเนียมและโรงแรมที่มีการแข่งขันที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้ประกอบการจึงต้องการเทคโนโลยีที่สามารถช่วยลดระยะเวลาในการก่อสร้าง ลดต้นทุนแฝง และลดการพึ่งพาแรงงานฝีมือ แต่ยังคงคุณภาพที่ได้มาตรฐาน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ดังนั้น เอสซีจี บิลดิ้งเทค จึงร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจ แนะนำระบบก่อสร้างผนังภายในสำหรับอาคารสูงที่ตอบโจทย์ข้างต้น โดยพัฒนายกระดับการก่อสร้างจากการก่ออิฐฉาบปูนเป็นระบบผนังแบบหล่อในที่ (Stay In Place) ปัจจุบันตลาดระบบผนังภายในสำหรับอาคารสูงมีสัดส่วนเป็นระบบการก่อสร้างแบบก่ออิฐฉาบปูน 96% และเป็นระบบผนังรูปแบบอื่นๆ 4% จึงเป็นตลาดที่น่าจับตามองและเป็นโอกาสที่เราจะแนะนำนวัตกรรมการก่อสร้างระบบใหม่เข้าสู่ตลาด” นายสราวุฒิ กล่าว ด้านนายประกาญจน์ อัยยะภาคย์ ผู้อำนวยการการตลาด ซิสเต็ม แอนด์ โซลูชั่น ธุรกิจ เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง กล่าวว่า เอสซีจี บิลดิ้งเทค ร่วมกับ พันธมิตรทางธุรกิจ แนะนำ “ระบบผนังอิฐมวลเบาเสริมโครงเหล็ก ฟูลฟิลล์ วอลล์” (FULFiLwall System) นวัตกรรมระบบผนังยุคใหม่ซึ่งเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการก่อสร้างให้กับผู้ประกอบการหรือผู้รับเหมาที่ต้องการการส่งมอบงานที่เร็วขึ้นกว่า 30% และช่วยลดต้นทุนแฝง เมื่อเทียบกับระบบการก่อสร้างแบบก่ออิฐฉาบปูน หน้างานสะอาดเพราะเป็นระบบหล่อในที่ด้วยการก่อสร้างแบบกึ่งแห้ง (Stay In Place) โดยสามารถออกแบบผนังกันเสียงที่มีความหนาของผนังน้อยกว่าผนังก่ออิฐทั่วไป ช่วยเพิ่มพื้นที่ให้กับห้องและอาคาร ในขณะที่ยังคงความแข็งแรงตามมาตรฐานสากล ยึดแขวนของได้มากกว่า 50 กก.ต่อจุด และกันเสียงได้ตั้งแต่ 40-66 เดซิเบล (ตามการออกแบบ) รับแรงสั่นสะเทือนได้มากกว่า 6 ริคเตอร์ นอกจากนี้ยังสามารถออกแบบผนังให้สูงได้ถึง 9 เมตร โดยมีการใช้ นวัตกรรมปูนสูตรพิเศษ ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับวิธีการติดตั้งระบบผนัง ฟูลฟิลล์ วอลล์ โดยเฉพาะ คือใช้ระยะเวลาในการเซ็ทตัวเพียง 1.30 นาที เร็วกว่าปูนซีเมนต์ทั่วไปถึง 95% ทำให้สามารถควบคุมระนาบผนังให้เรียบสวย เนื้อปูนเกาะเป็นเนื้อเดียวกันแม้มีการกรอกเพิ่มเติมภายหลัง ปูนมีความหนาแน่นเทียบเท่าอิฐมวลเบา G4 และทนไฟได้นานถึง 2 ชั่วโมง 45 นาที อีกทั้งยังได้รับลิขสิทธิ์ นวัตกรรมการกรอกผนังฟูลฟิลล์ วอลล์แบบมัลติเลเยอร์ (Multi-Layer) เป็นรายแรกและรายเดียวในไทย ซึ่งช่วยลดแรงดันที่เกิดจากการเทปูนลงในผนัง ลดการปูดบวม และควบคุมระนาบของผนังให้เรียบสวย ผนังตรงได้ฉาก นอกจากนวัตกรรมการก่อสร้างที่เป็นจุดแข็งแล้ว ยังมีบริการเบ็ดเสร็จครบวงจร ตั้งแต่ให้คำปรึกษา ออกแบบ ติดตั้ง ตรวจสอบคุณภาพ และรับประกัน จากผู้เชี่ยวชาญมืออาชีพ พร้อมวางกลุ่มเป้าหมายหลักเป็นกลุ่มผู้รับเหมา และดีเวลลอปเปอร์ กลุ่มงานอาคารแนวดิ่ง ได้แก่ คอนโดมิเนียม โรงแรม และอพาร์ทเม้นต์ ที่ต้องการงานก่อสร้างที่รวดเร็วและมีคุณภาพ โดยผู้ที่สนใจสามารถติดต่อรับบริการได้ที่เอสซีจี คอนแทค เซ็นเตอร์ โทร. 02-586-2222 หรือร้านผู้แทนจำหน่ายเอสซีจีทั่วประเทศ ทั้งนี้ที่ผ่านมาเราได้รับความไว้วางใจจากองค์กรธุรกิจชั้นนำหลายองค์กรในการก่อสร้างระบบผนังภายในโครงการต่างๆ อาทิ blu ชะอำ-หัวหิน คอนโดมิเนียม ของบริษัทร่วมอิสสระ จำกัด, The Zea ศรีราชา ของบริษัท เวลธ์ ดีเวลลอปเปอร์ จำกัด และ เดอะแกรนด์ AD จอมเทียน/AD หัวหิน ของบริษัท เอ.ดี.เฮ้าส์ จำกัด เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีโครงการที่ยังอยู่ในระหว่างการก่อสร้างอีกหลายโครงการ “เนื่องจากระบบผนังอิฐมวลเบาเสริมโครงเหล็ก ฟูลฟิลล์ วอลล์ เป็นผลิตภัณฑ์ที่เน้นกลุ่มเป้าหมายแบบ B2B ดังนั้นบริษัทจึงได้เริ่มผลักดันการขายนับตั้งแต่ปีที่ผ่านมา เพื่อให้เกิด Reference Site ตอกย้ำความเชื่อมั่นในตัวผลิตภัณฑ์ก่อนการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ซึ่งต่อจากนี้ก็จะเดินหน้าสร้างการรับรู้ในกลุ่มเป้าหมายต่อไป โดยเน้นสื่อสารถึงจุดเด่นและนวัตกรรมของระบบผนังที่ทำให้การก่อสร้างง่ายและรวดเร็วกว่าการก่อสร้างในรูปแบบเดิม หน้างานสะอาด ส่งงานเร็ว ลดต้นทุนแฝง อีกทั้งยังมีบริการการติดตั้งครบวงจร ผ่านการออกบูธจัดแสดงเกี่ยวกับงานก่อสร้าง อีกทั้งยังมีการประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางสื่อสิ่งพิมพ์และสื่อดิจิตอล ตลอดจนอัพเดทข้อมูลในเว็บไซต์www.scgbuildingmaterials.com โดยเรามั่นใจว่าหลังการแนะนำผลิตภัณฑ์เข้าสู่ตลาดอย่างเป็นทางการ จะทำให้ได้รับผลตอบรับที่ดีจากกลุ่มเป้าหมาย โดยตั้งเป้ายอดขายปีนี้ 223 ล้านบาท หรือคิดเป็น 320,000 ตร.ม. ทั้งนี้นอกจากการเปิดตัวระบบผนังอิฐมวลเบาเสริมโครงเหล็ก ฟูลฟิลล์ วอลล์ เข้าสู่ตลาดแล้ว หลังจากนี้ทางเอสซีจี บิลดิ้งเทค ยังมีแผนในการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่เป็นโซลูชั่นสำหรับผนังในรูปแบบอื่นๆ อาทิ S Wall, Precast เข้าสู่ตลาดอย่างเป็นทางการต่อไป เพื่อตอบวิสัยทัศน์ในการเป็นแบรนด์สินค้าเทคโนโลยีระบบก่อสร้าง ที่ตอบโจทย์งานก่อสร้างที่รวดเร็ว คุณภาพสูง แก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานในอนาคต” นายสราวุฒิ กล่าวสรุป
เจแอลแอลคาดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้ประโยชน์ในระยะยาว

เจแอลแอลคาดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้ประโยชน์ในระยะยาว

เมื่อช่วงต้นเดือนนี้ ที่ประชุม ครม. ได้มีมติเห็นชอบกรอบการออกพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง แม้จะมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกมาก ที่ยังไม่มีความชัดเจนในร่างโครงสร้างภาษี ที่มีการเผยแพร่ออกมาในเบื้องต้น แต่คาดว่าเมื่อประกาศใช้ จะมีผู้ถือครองอสังหาริมทรัพย์จำนวนมากที่จะได้รับผลกระทบระยะสั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และต้องใช้เวลาระยะหนึ่งในการปรับตัว อย่างไรก็ดี นโยบายภาษีใหม่นี้ เชื่อว่าจะช่วยกระตุ้นให้มีการใช้ประโยชน์ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นและจะเป็นประโยชน์ต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ของไทยโดยรวมต่อไปในระยะยาว ตามการวิเคราะห์จากบริษัทที่ปรึกษาและบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ เจแอลแอล (โจนส์ แลง ซาลล์) เจ้าของบางรายอาจจำเป็นต้องปล่อยขายอสังหาริมทรัพย์เพื่อเลี่ยงภาระภาษี ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างใหม่ จะสร้างภาระทางการเงินให้แก่ผู้ครอบครองอสังหาริมทรัพย์ที่เข้าข่ายต้องเสียภาษี ดังนั้น เท่ากับเป็นการบังคงให้เจ้าของต้องเข้าใช้ประโยชน์ในอสังหาริมทรัพย์ (โดยเฉพาะที่ดินเปล่า) เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีอัตราสูง หรือพยายามทำให้อสังหาริมทรัพย์ที่ถือครองสามารถสร้างรายได้ให้ได้อย่างน้อยมากพอที่จะทดแทนภาษีที่จะต้องจ่าย ในขณะที่เจ้าของบางรายอาจจำเป็นต้องปล่อยขายอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากไม่มีความสามารถในการจ่ายภาษีได้ นางสุพินท์ มีชูชีพ กรรมการผู้จัดการ เจแอลแอล กล่าวว่า “มีคนจำนวนไม่น้อยที่เป็นเศรษฐีที่ดินแต่ไม่ได้มีเงินทองร่ำรวย ดังนั้น จึงอาจไม่สามารถแบกรับการจ่ายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างใหม่ได้ โดยเฉพาะถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงแต่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ เพราะฉะนั้น จึงคาดว่า คนกลุ่มนี้อาจจำเป็นต้องปล่อยขายอสังหาริมทรัพย์ที่ถือครอง” ธนาคาร-สถาบันการเงิน เป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์อีกกลุ่มหนึ่งที่คาดว่าจะได้รับแรงกดดันจากภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจนต้องเร่งการขายอสังหาริมทรัพย์ที่ได้จากการยึดจากลูกหนี้ที่ไม่สามารถชำระหนี้ได้ “แม้ภาษีที่มีการเสนอให้จัดเก็บสำหรับกรณีที่เป็นสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPA) ของสถาบันการเงินจะได้รับการผ่อนผันให้ใช้ภาษีอัตราต่ำที่ร้อยละ 0.05 เป็นเวลา 5 ปี แต่ในความเป็นจริงคือ ธนาคารและสถาบันการเงินมี NPA จำนวนไม่น้อยที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ที่มีมูลค่าสูง ดังนั้น คาดว่าภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจะสร้างภาระให้กับธนาคารได้ไม่น้อยเช่นกัน” นางสุพินท์กล่าว ในกรณีต่างๆ ดังกล่าว คาดว่า เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ที่มีความจำเป็นต้องปล่อยขายอสังหาริมทรัพย์เพื่อเลี่ยงภาระที่จะเกิดจากภาษีใหม่ จะมีความยืดหยุ่นมากขึ้นในเรื่องราคา ซึ่งหมายรวมถึงการยอมลดราคาเสนอขายลงเพื่อเร่งการขาย อย่างไรก็ดี สำหรับเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ที่มีทุนหนาบางรายอาจไม่ยอมลดราคาขายลง และยอมที่จะจ่ายภาษีเอง แต่อาจปรับราคาขายขึ้นเพื่อสะท้อนต้นทุนภาษีที่ต้องจ่ายไป “กลยุทธ์นี้อาจใช้ได้ผล กรณีที่อสังหาริมทรัพย์นั้นๆ เป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ดีและตั้งอยู่ในทำเลที่ดี ซึ่งมีผู้สนใจซื้อจำนวนมาก” นางสุพินท์กล่าว ค่าเช่าโดยรวมสำหรับอสังหาริมทรัพย์อาจปรับสูงขึ้น ยังไม่มีความชัดเจนว่า สำหรับอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่สามารถสร้างรายได้ เจ้าของจะต้องจ่ายภาษีสูงขึ้นหรือลดลง เมื่อเทียบกับภาษีโรงเรือนปัจจุบันที่มีการเรียกเก็บในอัตราร้อยละ 12.5 ของรายได้ที่ได้จากการให้ปล่อยเช่าอสังหาริมทรัพย์ (หรือตามที่เจ้าหน้าที่ประเมินว่า สินทรัพย์ดังกล่าวน่าจะสร้างรายได้ปีละเท่าใดหากปล่อยเช่า) แต่ไม่ว่าจะกรณีใด หากต้องจ่ายภาษีสูงขึ้น แน่นอนว่า เจ้าของจะผลักภาระภาษีที่เพิ่มขึ้นไปให้กับผู้เช่า ไม่ว่าจะโดยทางตรง หรือทางอ้อม ซึ่งหมายความว่า ค่าเช่าโดยรวม (ก่อนหักค่าใช้จ่าย) สำหรับอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าทุกประเภทจะปรับเพิ่มสูงขึ้น แต่ถึงกระนั้น สัดส่วนภาระภาษีที่จะถูกผลักไปให้ผู้เช่า อาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสภาวะตลาดของอสังหาริมทรัพย์แต่ละประเภท “ตัวอย่างเช่นตลาดอพาร์ทเม้นท์ให้เช่าในกรุงเทพฯ ซึ่งมีการแข่งขันสูง ทั้งกับอพาร์ทเม้นท์ด้วยกันเอง และกับคอนโดที่มีการปล่อยออกมามากในขณะนี้ เจ้าของอาคารอพาร์ทเม้นท์อาจต้องยอมรับภาระภาษีที่เพิ่มขึ้นไว้เอง เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน แต่ในทางตรงข้าม ตลาดอาคารสำนักงานให้เช่าในกรุงเทพฯ ในขณะนี้ อำนาจการต่อรองอยู่ในฝั่งของเจ้าของอาคาร ดังนั้น จึงมีแนวโน้มที่เจ้าของอาคารจะผลักภาระทางด้านภาษีที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่หรือทั้งหมดไปให้กับผู้เช่า ไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อม” นางสุพินท์กล่าว โดยภาพรวม ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศในระยะยาว นอกเหนือจากการเพิ่มแหล่งรายได้ให้กับทางการเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการพัฒนาท้องที่ เชื่อว่า ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างใหม่จะช่วยกระตุ้นให้มีการใช้ประโยชน์ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะกรณีของที่ดินรกร้างที่ถูกปล่อยทิ้งโดยเปล่าประโยชน์ ซึ่งเข้าข่ายที่เจ้าของต้องเสียภาษีในอัตราสูงสุด นอกจากนี้ คาดว่าภาษีใหม่จะมีส่วนช่วยอย่างมากในการลดการซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อเก็งกำไรด้วย “ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างใหม่ จะเพิ่มความเสี่ยงมากขึ้นให้แก่ผู้ที่คิดจะซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อเก็บไว้รอโอกาสขายเพื่อทำกำไรเมื่อราคาขยับขึ้นในอนาคต เนื่องจากภาษีใหม่นี้จะเป็นต้นทุนที่เพิ่มขึ้นสำหรับผู้ถือครองอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะหากอสังหาริมทรัพย์นั้นไม่มีการใช้ประโยชน์หรือไม่ก่อให้เกิดรายได้” นางสุพินท์อธิบาย ในส่วนของการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ในปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะไม่ซื้อที่ดินเพื่อสะสมไว้ แต่จะซื้อที่ดินที่มีศักยภาพในการพัฒนาโครงการได้ทันที ซึ่งนโยบายภาษีใหม่นี้จะทำให้แนวโน้มนี้ขยายตัวเพิ่มมากยิ่งขึ้นไปอีก นางสุพินท์กล่าวสรุปว่า “แม้จะมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกมากที่ยังไม่มีความชัดเจนในร่างโครงสร้างภาษีที่มีการเผยแพร่ออกมาในเบื้องต้น แต่หากมีการศึกษาทบทวนรายละเอียดหลักเกณฑ์และกฎระเบียบเกี่ยวการเรียกเก็บภาษีอสังหาริมทรัพย์ประเภทต่างๆ ให้รอบคอบและมีการบังคับใช้อย่างมีประสิทธิภาพ เชื่อว่านโยบายใหม่ด้านภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจะเป็นผลดีกับประเทศไทยและภาคอสังหาริมทรัพย์ต่อไปในระยาว” ร่างโครงสร้างภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง * ราคาประเมินจากกรมธนารักษ์  ที่มา – กระทรวงการคลัง
คาดวิกฤตอียูไม่กระทบตลาดอสังหาริมทรัพย์เอเชียแปซิฟิก

คาดวิกฤตอียูไม่กระทบตลาดอสังหาริมทรัพย์เอเชียแปซิฟิก

กรุงเทพฯ 28 มิถุนายน 2559 –  ในภาวะที่ตลาดเงินมีความผันผวนสูงหลังจากอังกฤษมีประชามติให้ถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป มีความเป็นไปได้ว่าการลงทุนซื้อขายอสังหาริมทรัพย์โดยภาพรวมทั่วโลกอาจมีความคึกคักน้อยลง โดยนักลงทุนจากยุโรปมีแนวโน้มไม่ลงทุนเพิ่ม ซึ่งรวมถึงการลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์ในต่างภูมิภาค จนกว่าตลาดเงินจะมีเสถียรภาพมากขึ้น ในขณะที่ธนาคารที่มีความเกี่ยวพันสูงกับยุโรปจะไม่ต้องการเสี่ยงปล่อยกู้ในระยะนี้ อย่างไรก็ดี ความผันผวนในกลุ่มยูโร เชื่อว่าจะไม่มีผลกระทบเชิงลบต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ในเอเชียแปซิฟิกซึ่งพึ่งพาความต้องการและการลงทุนภายในประเทศและภายในภูมิภาคเป็นส่วนใหญ่ และน่าจะมีผลดีในบางมิติ ตามการวิเคราะห์จาก ดร. เมแกน วอลเตอร์ส ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหน่วยธุรกิจบริการด้านลงทุนภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกของบริษัทที่ปรึกษาและบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ เจแอลแอล (โจนส์ แลง ลาซาลล์) นักลงทุนสนใจลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์เอเชียแปซิฟิกมากขึ้น ออสเตรเลียเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่คาดว่าจะไม่ได้รับผลกระทบแต่น่าจะได้ประโยชน์มากกว่าจากความผันผวนที่เกิดขึ้นในยุโรป ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมา ตลาดอสังหาริมทรัพย์ของอังกฤษและออสเตรเลียต่างได้รับความสนใจจากสูงจากนักลงทุนต่างชาติ จากการที่มีความเสี่ยงด้านการลงทุนต่ำ เนื่องจากเป็นตลาดที่มีความโปร่งใสสูงและอสังหาริมทรัพย์มีสภาพคล่องสูงที่สุดในโลก ดังนั้น ในระหว่างนี้ ออสเตรเลียน่าจะดึงดูดนักลงทุนได้มากกว่า นอกจากนี้ นักลงทุนจากเอเชียแปซิฟิก โดยเฉพาะจากจีน ซึ่งมีบทบาทสูงในฐานะนักลงทุนรายใหญ่ที่มีการลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์ในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก มีจำนวนไม่น้อยที่เข้าไปลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์ของยุโรปรวมถึงอังกฤษในช่วงก่อนหน้า ซึ่งนักลงทุนจากเหล่านี้ต่างได้รับผลกระทบจากการอ่อนค่าลงของทั้งเงินปอนด์อังกฤษและเงินยูโร ซึ่งส่งผลให้มูลค่าและรายได้จากอสังหาริมทรัพย์ที่ซื้อไว้ปรับลดลงเมื่อแลกเปลี่ยนกลับมาในสกุลของประเทศต้นทางของตน ด้วยเหตุนี้ ตราบเท่าที่ความไม่แน่นอนยังมีอยู่สูง นักลงทุนส่วนใหญ่ของเอเชียแปซิฟิกมีแนวโน้มที่จะเลือกลงทุนในภูมิภาคของตนเองมากขึ้น แม้จะมีบางส่วนที่อาจยินดีรับความเสี่ยงด้วยการอาศัยจังหวะที่ค่าเงินปอนด์อ่อนตัว หาโอกาสการเข้าลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์ในอังกฤษ แนวโน้มที่นักลงทุนเอเชียแปซิฟิกมีหันมาลงทุนในภูมิภาคของตนเองมากขึ้น สะท้อนให้เห็นตั้งแต่ช่วงก่อนรู้ผลการลงประชามติให้อังกฤษถอนตัวจากอียู โดยในไตรมาสแรกของปีนี้ การลงทุนซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ในลอนดอนซึ่งปกติเป็นตลาดการลงทุนซื้อขายอสังหาริมทรัพย์มูลค่าสูงสุดในโลก ได้ชะลอตัวลงอันเป็นผลมาจากความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นจากการจัดให้มีการลงประชามติ แต่ในช่วงเดียวกัน พบว่า นักลงทุนจีนมีการลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์ในภูมิภาคมากขึ้น โดยเฉพาะในฮ่องกง นักลงทุนเอเชียแปซิฟิกมีขีดความสามารถในการลงทุนสูงขึ้น นักลงทุนในเอเชียแปซิฟิกซึ่งมีทุนหนาอยู่แล้วคาดว่าจะได้รับประโยชน์จากสถานการณ์ขณะนี้ด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะประเทศที่มีค่าเงินแข็งขึ้นมากดังเช่นญี่ปุ่น ซึ่งจะทำให้มีนักลงทุนมีกำลังในการลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อธนาคารกลางของญี่ปุ่นใช้นโยบายดอกเบี้ยเงินฝากติดลบ ซึ่งจะกระตุ้นให้นักลงทุนญี่ปุ่นมีการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น การอ่อนแรงลงของนักลงทุนจากอียู ยังจะเอื้อประโยชน์ให้กับนักลงทุนของเอเชียแปซิฟิกด้วย เนื่องจากเป็นการลดคู่แข่งในการชิงโอกาสการลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่น่าสนใจลง การเจรจาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ใหญ่ๆ ในเอเชียแปซิฟิกโดยกองทุนที่มีนักลงทุนจากยุโรปเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่บางรายการที่มีขึ้นในช่วงก่อนหน้านี้ อาจถูกหยุดไว้ หรือยกเลิกไป แต่คาดว่าในไม่ช้าจะมีนักลงทุนเอเชียแปซิฟิกเข้าเจราจาซื้อแทน
เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ รังสรรค์วิมานแห่งใหม่ของคนมีสไตล์ เนรมิต 4 ห้อง 4 แบบที่ “มาเอสโตร 02 ร่วมฤดี” คอนโดหรูหราคลาสสิค ผสมกลิ่นอายโมเดิร์นใจกลางเมือง

เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ รังสรรค์วิมานแห่งใหม่ของคนมีสไตล์ เนรมิต 4 ห้อง 4 แบบที่ “มาเอสโตร 02 ร่วมฤดี” คอนโดหรูหราคลาสสิค ผสมกลิ่นอายโมเดิร์นใจกลางเมือง

สัมผัสนิยามใหม่ของความหรูหราที่ไม่ไกลเกินเอื้อม บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับบนชั้นนำของไทย เนรมิต “มาเอสโตร 02 ร่วมฤดี” (MAESTRO 02 Ruamrudee) คอนโดมิเนียมโลว์ไรส์สไตล์คลาสสิค มูลค่ากว่า 590 ล้านบาท ชูจุดขายทำเลที่ดีที่สุดของการใช้ชีวิตใจกลางกรุงเทพฯ ที่ยากจะหาได้ในเวลานี้ รายล้อมด้วยความสะดวกสบายในทุกมิติของชีวิต พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ตอบสนองไลฟ์สไตล์คนเมือง ล่าสุด จัดงานเปิดตัวห้องตัวอย่าง 4 รูปแบบ โดยมี 4 เซเลบริตี้ ผู้เปี่ยมด้วยรสนิยมมาเป็นตัวแทนของ 4 ไลฟ์สไตล์ที่น่าสนใจ ได้แก่ พิมดาว พานิชสมัย นักร้องและนักแสดงมากฝีมือ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เจ้าของธุรกิจผลิตภัณฑ์น้ำมันรำข้าวอนาคตไกล ณัฐพล จุฬางกูร ทายาทธุรกิจวงการยานยนต์และอสังหาริมทรัพย์ และธัชมาพรรณ จันทร์จำรัสแสง หรือ ปอม ชาน นักวาดภาพประกอบชื่อดังระดับโลก ภายในงานได้รับเกียรติจาก เพชรลดา พูลวรลักษณ์ กรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยรายละเอียดของ มาเอสโตร 02 ร่วมฤดี คอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จโครงการใหม่ล่าสุด พร้อมด้วยเซเลบริตี้ตัวแทนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์, พิมดาว พานิชสมัย และนักแสดงหนุ่มสุดฮอต ฌอห์ณ จินดาโชติ ร่วมพูดคุยถึงไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตแบบคนเมือง พร้อมแชร์เคล็ดลับการเลือกคอนโดฯ ในฝัน วันพุธที่ 15 มิถุนายนนี้ ที่ มาเอสโตร 02 ร่วมฤดี ซอย 2 เพชรลดา พูลวรลักษณ์ เผยว่า เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ เนรมิตโครงการ มาเอสโตร 02 ร่วมฤดี ให้เป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ในซอยร่วมฤดี ภายใต้คอนเซ็ปต์คลาสสิคผสมกลิ่นอายโมเดิร์นที่ผสานกันได้อย่างลงตัว อาคารสูง 8 ชั้น พร้อมชั้นจอดรถใต้ดิน 1 ชั้น และมีจำนวนห้องเพียง 138 ยูนิต ตั้งอยู่ในใจกลางซอยร่วมฤดี ซึ่งเป็นทำเลที่เงียบสงบเป็นส่วนตัว และครบครันกับทุกองค์ประกอบของไลฟ์สไตล์ ใกล้สถานีรถไฟฟ้าเพลินจิต และแหล่งช้อปปิ้ง เพียง 5 นาทีถึงเซ็นทรัล เอ็มบาสซี่และเซ็นทรัล ชิดลม สะดวกสบายในการเดินทางด้วยรถยนต์เมื่อสามารถเข้า-ออกโครงการได้ถึง 2 เส้นทาง คือ ถนนเพลินจิตและถนนวิทยุ “จุดเด่นของโครงการ นอกจากตั้งอยู่ในทำเลทองใจกลางเมืองแล้ว มาเอสโตร 02 ร่วมฤดี ได้รับการออกแบบอย่างเป็นเอกลักษณ์ ด้วยเสน่ห์ของสถาปัตยกรรมดีไซน์ยูโรเปี้ยนคลาสสิคที่บ่งบอกสไตล์การใช้ชีวิตโก้หรูอย่างแตกต่าง งานดีไซน์ภายในห้องสะท้อนความทันสมัย นอกจากนี้ ภายในโครงการ มาเอสโตร 02 ร่วมฤดี ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบครัน ตอบทุกรูปแบบการใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นแลคจอดจักรยาน ห้องฟิตเนสและบ๊อกซิ่ง สระว่ายน้ำอควาติกพูลพร้อมจากุซซี่ ลานโยคะ มุมบาร์บีคิว เพื่อจัดปาร์ตี้สังสรรค์ และอื่นๆ อีกมากมาย ทั้งนี้ ภายในโครงการได้รังสรรค์ธีมห้องตัวอย่าง 4 สไตล์ ได้แก่  “Happiness Enhancer”, “Life Chamber”, “Jetsetter” และ “Dream maker” ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากไลฟ์สไตล์ของ 4 เซเลบริตี้รุ่นใหม่ พร้อมร่วมถ่ายทอดนิยามและคำจำกัดความของที่พักอาศัยในแบบเฉพาะตัว “Happiness Enhancer” เริ่มจาก พิมดาว พานิชสมัย นักร้องและนักแสดงมากฝีมือที่ให้คำจำกัดความคอนโดฯ ในฝันของเธอว่า ต้องให้ความรู้สึกเหมือนบ้าน มีความเป็นตัวเองมากที่สุด เพราะนั่นจะสามารถสร้างแรงบันดาลใจดีๆ ให้เกิดขึ้นตั้งแต่ลืมตาตื่น โมเมนต์ของความสุขเกิดขึ้นง่ายๆ แค่เพียงนั่งพักผ่อนบนโซฟาตัวนุ่มสบายและผ่อนคลายอารมณ์ด้วยกีต้าร์โปร่งสักตัว โทนสีขาว คือ สีในดวงใจของพิมดาว เพราะให้ความรู้สึกโปร่ง สบายตา หากมีโอกาสแต่งห้องเอง เธอบอกว่าก็คงจะมีงานเพ้นท์ติดไว้เต็มผนัง โดยเฉพาะรูปที่วาดเอง เพราะมีคุณค่าทางจิตใจ หรือแม้กระทั่งของที่เจ้าตัวและสามีให้กันในโอกาสต่างๆ ก็คงจะจัดวางตกแต่งห้องไปด้วย  “ตอนนี้ไม่ได้ตัวคนเดียวแล้ว ก็ต้องถามสามีด้วยว่าชอบอะไรแบบไหน เป็นการแชร์กัน ทั้งเรื่องเฟอร์นิเจอร์ด้วยก็ตาม แล้วมัดหมี่เองก็เป็นคนที่ชอบออกกำลังกายมาก เกือบจะ 6 วันต่อสัปดาห์ การมีห้องออกกำลังกายหรือสระว่ายน้ำอยู่ในคอนโดฯ ก็เป็นเรื่องดีมากๆ เพราะเราก็ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปหาฟิตเนสที่อื่น” “Life Chamber” ด้าน พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เจ้าของธุรกิจผลิตภัณฑ์น้ำมันรำข้าวอนาคตไกลที่ตอนนี้ควบอีกหนึ่งตำแหน่ง ในฐานะคุณพ่อของน้องพิพิม ลิ้มเจริญรัตน์ เปิดใจว่า หากให้เลือกที่พักอาศัยสักแห่ง นอกเหนือจากโลเคชั่นและสะดวกสบายในการเดินทางแล้ว ยังพิจารณาที่ซอฟท์แวร์หรือสังคม เพื่อนบ้านที่จะอยู่ด้วย คอนโดมิเนียมแบบโลว์ไรซ์ คือ คนน้อย จึงตอบโจทย์ ตรงที่มีความเป็นส่วนตัว เหมาะกับการอยู่อาศัยแบบครอบครัว “ผมมองว่าที่พักอาศัยก็เหมือนกับคู่ชีวิต และเป็นเสมือนที่ชาร์จพลังของเรา เป็นที่ๆ เป็นตัวของตัวเองได้มากที่สุด โลกข้างนอกอาจจะดีบ้างไม่ดีบ้างนะ แต่กลับเข้ามาในบ้านเราต้องสามารถเรียกได้เต็มปากเต็มคำว่าที่นี่เป็น Home ไม่ใช่ House ผมเป็นคนท่องเที่ยวเยอะ และเปิดกว้างยอมรับความคิด หรือวัฒนธรรมใหม่ๆ พอไปประเทศไหนก็เลยมักจะมีงานศิลปะของประเทศนั้นๆ ติดไม้ติดมือกลับมาด้วย สิ่งที่มีอยู่ในบ้านไม่จำเป็นต้องมียี่ห้อ หรือแพง เพราะบางสิ่งของผมมันก็ไม่ได้มียี่ห้ออะไร แต่มีคุณค่าทางใจสำหรับผม” การตกแต่งในธีม “Life Chamber” มาในโทนสีเรียบโก้ สะท้อนให้เห็นไลฟ์สไตล์ที่ชอบเดินทาง ทั้งเพื่อติดต่อธุรกิจและการท่องเที่ยว ผ่านโต๊ะทำงานที่โดดเด่น และชั้นวางของไว้สำหรับวางของสะสมจากทั่วทุกมุมโลก “Jet Setter” ด้วยความที่เป็นคนพิถีพิถันในการใช้ชีวิต ทุกสิ่งรอบตัวของ ณัฐพล จุฬางกูร ทายาทธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์และอสังหาริมทรัพย์  จึงต้องคัดสรรให้เหมาะและแมทช์กับตนเอง ด้วยธีมแบบ “Jet Setter” จึงแสดงถึงความหรูหรามีระดับ ด้วยของตกแต่งคุณภาพพรีเมี่ยม สะท้อนแนวคิดความเป็นผู้นำ และความเป็นหนุ่มสังคมแถวหน้า “ทำเลเป็นอันดับแรกๆ ที่ต้องให้ความสำคัญ ควรเข้าออกได้หลายทาง ส่วนที่จอดรถก็ควรกว้างขวาง สะดวกสบาย  ถัดมาคือเรื่องความปลอดภัย รวมถึงความเป็นส่วนตัว โครงสร้างและตัวตึกก็ต้องได้มาตรฐาน มีความน่าเชื่อถือ การออกแบบสวยงาม มีเอกลักษณ์ มีพื้นที่สีเขียวให้ผ่อนคลายด้วย เพราะมุมโปรดของผมคือมุมกระจก ที่สามารถมองออกไปเห็นวิวข้างนอกได้หมด ได้เห็นมุมเขียวๆ สดชื่นจากด้านนอก ทำให้รู้สึกรีแล็กซ์มากๆ ถ้าเปรียบ มาเอสโตร 02 ร่วมฤดี เป็นคนนะ ผมถือว่าเป็นบุคคลที่เพียบพร้อม และประสบความสำเร็จอยู่ในแถวหน้า” “Dream maker” สาวอาร์ทติสท์ นักวาดภาพประกอบชื่อดังระดับโลก ธัชมาพรรณ จันทร์จำรัสแสง หรือ ปอม ชาน ผู้หลงใหลการตกแต่งบ้าน เพราะเชื่อว่าเป็นอีกหนึ่งอย่างที่สะท้อนตัวตนผู้อยู่อาศัย ห้องในธีม ““Dream maker” จึงสะท้อนไลฟ์สไตล์ของคนทำงานศิลปะและการออกแบบ มี Element ต่างๆ ที่สะท้อนถึงความเป็นดีไซเนอร์ เช่น ภาพวาด ลวดลายในกรอบรูป เพื่อเป็นแรงบันดาลใจในการรังสรรค์ผลงานชิ้นใหม่ “มุมโปรดที่ขาดไปไม่ได้คือ ระเบียงค่ะ เพราะปลูกต้นไม้ได้  มุมหนังสือ บวกกับผนังที่มีกรอบรูปเยอะๆ ก็ตอบโจทย์ความเป็นปอมมาก และขาดไม่ได้สำหรับผู้หญิงทุกคนคือมุมแต่งตัว ส่วนตอนกลางคืนต้องดาดฟ้าแน่นอนเลยค่ะ ช่วงเย็นๆ ไปนั่งพักผ่อนคิดงานน่าจะดี ชอบมากๆ ที่มีมุมสำหรับบาร์บีคิว ชวนเพื่อนมาสนุกกันได้อีก นอกเหนือจากดีไซน์และฟังก์ชั่นที่ต้องเอื้อต่อผู้อยู่อาศัยแล้ว สถานที่ตั้งต้องอยู่ในทำเลที่ดี มีความสะดวกสบายในการเดินทาง เหมาะสำหรับไลฟ์สไตล์คนรักการเดินทางเช่นเธอ “มาเอสโตร 02 ร่วมฤดี” คอนโดมิเนียมหรูสไตล์ยูโรเปี้ยนคลาสสิคผสมกลิ่นอายโมเดิร์น บนทำเลถนนเพลินจิต ซอยร่วมฤดี 2 โดยเป็นคอนโดมิเนียมโลว์ไรซ์ สูง 8 ชั้น จำนวน 1 อาคาร รวม 138 ยูนิต บนพื้นที่กว่า 1 ไร่ ประกอบด้วยห้องประเภท 1 ห้องนอนแบบสวีท, 1 ห้องนอน, 2 ห้องนอน, 2 ห้องนอนดูเพล็กซ์ และ 3 ห้องนอนดูเพล็กซ์ พื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 25.5-87 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 4.5 ล้านบาท สามารถเข้าอยู่ได้ทันที พบกับแลนด์มาร์คแห่งความสุขที่ตอบสนองทุกรูปแบบในการใช้ชีวิตได้อย่างลงตัว ในราคาเริ่มต้น 4.5 ล้านบาท สนใจสามารถชมรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โทร. 02 254 4777 หรือทางเว็บไซต์ www.mde.co.th และwww.facebook.com/maestro.residences
นายณ์ เอสเตท เผยความสำเร็จโครงการ KRAAM คอนโดมิเนียมซูเปอร์ลักชัวรี่ ใจกลางสุขุมวิท 26 กวาดยอดขายทะลุเป้าถึง 60% หลังพรีเซลเพียงสองวัน

นายณ์ เอสเตท เผยความสำเร็จโครงการ KRAAM คอนโดมิเนียมซูเปอร์ลักชัวรี่ ใจกลางสุขุมวิท 26 กวาดยอดขายทะลุเป้าถึง 60% หลังพรีเซลเพียงสองวัน

นายณ์ เอสเตท ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มุ่งเน้นคุณภาพในทุกรายละเอียด เผยความสำเร็จของโครงการ KRAAM (คราม) คอนโดมิเนียมระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ บนสุดยอดทำเลใจกลางสุขุมวิท 26  ใกล้บีทีเอสพร้อมพงษ์ และ The EM District ซึ่งได้กระแสตอบรับดีเกินคาดด้วยยอดขายถึง 60% หลังเปิดพรีเซลเพียงสองวัน ชี้กำลังซื้อตลาดบนยังดีต่อเนื่อง มั่นใจกลยุทธ์การเลือกทำเลและการดีไซน์ที่ตอบโจทย์ สุธี ลิมปนชัยพรกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท นายณ์ เอสเตท กล่าวว่า “KRAAM คือโครงการที่พักอาศัยแบบไฮไรซ์โครงการแรกของเรา ซึ่งหลังจากที่เปิดพรีเซลไปเมื่อวันที่ 18 - 19 มิ.ย. ที่ผ่านมา ก็ได้รับความสนใจและการตอบรับที่ดีเกินคาด สามารถทำยอดขายได้ถึงกว่า 60% หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท ถือว่าสูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ ซึ่งเราเชื่อว่าเป็นเพราะจุดเด่นที่หาไม่ได้จากโครงการระดับซูเปอร์ลักชัวรี่อื่น ๆ ทั้งในด้านศักยภาพทำเลใจกลางธุรกิจ สุขุมวิท 26 ที่พรั่งพร้อมสำหรับทุกมิติของการใช้ชีวิต แต่ยังคงความสงบ ร่มรื่น ตลอดจนรูปแบบการออกแบบภายใต้แนวคิด “Home-Like Condominium” แต่ละยูนิตจึงมาพร้อมห้องและพื้นที่เก็บของขนาดใหญ่สามารถอยู่ได้จริง  รูปแบบห้องถูกออกแบบให้แยกผนังห้องแต่ละห้องออกจากกันเพื่อความเป็นส่วนตัวและการถ่ายเทอากาศที่ดี (Cross Ventilation) ในทุกยูนิต รวมทั้งพิเศษสุดด้วยพื้นที่อเนกประสงค์ภายนอก (Yard Area) สำหรับซักล้าง และจัดสรรพื้นที่จอดรถในสัดส่วนถึง 140% ของจำนวนยูนิต พร้อมที่เก็บของในที่จอดรถ การตกแต่งภายในใช้วัสดุคุณภาพระดับพรีเมียม นอกจากนี้เรายังให้ความสำคัญเรื่อง Green Living ด้วยการออกแบบให้มีหน้าต่างขนาดใหญ่สูงจากพื้นจรดเพดานเพื่อรับแสงธรรมชาติได้เต็มที่ (Full Height Window) กระจกหน้าต่างกันความร้อนสามชั้น (Triple Glazed Window) เพื่อดูดซับเสียงและกันความร้อน แผงบังแดดแนวตั้ง (Vertical Façade Fin) ตลอดแนวด้านหน้าอาคารเพื่อลดความร้อนจากแสงแดด ซึ่งเมื่อพิจารณาโดยรวมทั้งตัวสินค้า คุณภาพ และราคาแล้ว นับเป็นโครงการที่ให้ความคุ้มค่าอย่างยิ่ง ทั้งเพื่อการพักอาศัย และการลงทุนในระยะยาว”   KRAAM คือโครงการคอนโดมิเนียมที่ให้สัมผัสของความเป็นบ้านสำหรับครอบครัวควบคู่กับความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตัวอาคารสูง 29 ชั้น ตั้งอยู่บนพื้นที่ 1-3-91 ไร่ ประกอบด้วยทั้งหมด 126 ยูนิต แบ่งเป็นประเภทหนึ่งห้องนอน สองห้องนอน สามห้องนอน และเพนต์เฮาส์สี่ห้องนอน ขนาดพื้นที่เริ่มตั้งแต่ 61 ตารางเมตร จนถึงเพนต์เฮาส์ขนาด 228.5 ตารางเมตร ด้วยราคาขายเฉลี่ย 275,000 บาทต่อตารางเมตร มอบความสงบและเป็นส่วนตัวในการพักอาศัยด้วยจำนวนยูนิตต่อชั้นเพียง 6 – 8 ยูนิต ราคาเริ่มต้นของยูนิตอยู่ที่ประมาณ 15 ล้านบาทขึ้นไป และใกล้รถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีพร้อมพงษ์ คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในช่วงปลายปี 2562 สนใจชมห้องตัวอย่างได้ที่สำนักงานขาย ณ ที่ตั้งโครงการ สุขุมวิท 26
ส.รับสร้างบ้านแนะรัฐลดหย่อนภาษีที่ดินปลูกสร้างบ้าน ชงขยายเวลาเก็บภาษีบ้านที่อยู่ระหว่างปลูกสร้างอย่างน้อย2ปี

ส.รับสร้างบ้านแนะรัฐลดหย่อนภาษีที่ดินปลูกสร้างบ้าน ชงขยายเวลาเก็บภาษีบ้านที่อยู่ระหว่างปลูกสร้างอย่างน้อย2ปี

สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน หวั่นภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างกระทบผู้บริโภค “พิชิต อรุณพัลลภ” ระบุการยกเว้นการจัดเก็บภาษีเป็นเวลา 1 ปีให้กับที่ดินที่อยู่ระหว่างการปลูกสร้างบ้านที่้เจ้าของใช้เป็นบ้านของตนเองนั้นสั้นเกินไป แนะรัฐควรขยายเวลาเป็นอย่างน้อย 2 ปีเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคมีบ้านพักที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองในระยะยาว ย้ำถึงเวลาภาครัฐควรหันมาศึกษาหรือหาข้อมูลถึงความต้องการของคนในกลุ่มที่ต้องการซื้อที่ดินเพื่อปลูกสร้างบ้านเองในอนาคตให้มากยิ่งขึ้น นายพิชิต อรุณพัลลภ นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน ได้กล่าวถึงร่างพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. ....ว่า โดยภาพรวมนั้นเห็นด้วยกับหลักการของร่างกฎหมายดังกล่าว ซึ่งในส่วนของภาคธุรกิจรับสร้างบ้านนั้นมองว่ากฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจะเร่งให้ผู้บริโภครีบตัดสินใจใช้ที่ดินสร้างบ้านมากขึ้น แต่ถ้ามองในอีกด้าน เชื่อว่าจะเป็นภาระให้คนที่ต้องการซื้อที่ดินเพื่อต้องการปลูกบ้านในอนาคต หรือผู้ถือครองที่ดินผืนเล็กเพื่อสร้างบ้านแต่ยังไม่มีความพร้อม เนื่องจากหากมีที่ดินแล้วแต่รอเก็บเงินอาจใช้เวลานานเป็น  3 -5 ปี หรือผู้บริโภคบางรายอาจใช้เวลานานกว่านั้น ซึ่งระหว่างที่สะสมเงินนั้นผู้บริโภคมีภาระที่ต้องผ่อนชำระและยังต้องจ่ายภาษี ทำให้ความต้องการที่จะซื้อที่ดินเพื่อจะปลูกสร้างบ้านในอนาคตนั้นอาจมีผลกระทบ โดยสาระสำคัญของกฎหมายที่กระทบกับธุรกิจรับสร้างบ้านก็คือ ข้อ 9.2 ที่ระบุว่า ให้ยกเว้นการจัดเก็บภาษีเป็นเวลา 1 ปีระหว่างปลุกสร้างนั้นให้กับที่ดินที่อยู่ระหว่างการปลูกสร้างบ้านที่เจ้าของใช้เป็นบ้านของตนเอง “ผมว่าได้รับการยกเว้น 1ปีค่อนข้างสั้นไปเพราะสร้างบ้านมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนแน่นอน และการสร้างบ้านเองใช้เวลามากกว่าซื้อบ้านสำเร็จรูป สำหรับผู้ถือครองที่ดินใหม่นับแต่วันประกาศน่าจะมีระยะเวลาผ่อนผันเพื่อวางแผนการใช้ที่ดินเพราะถ้ามีการเปลี่ยนการถือครองหรือใช้ในเชิงพาณิชย์ภายใน5ปีจะมีภาระภาษีธุรกิจเฉพาะคุมอยู่แล้ว” นายพิชิต กล่าวพร้อมให้ความเห็นด้วยว่าถ้าจะเป็นการดีในการกระตุ้นหรือสนับสนุนให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองคือให้ยืดระยะเวลาในการลดหย่อนภาษี0%สำหรับบ้านพักอาศัยที่กำลังปลูกสร้างจาก1ปีเป็น2ปีเป็นอย่างน้อย ทั้งนี้ หลังจากที่ร่างพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. ....ผ่านความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีสมาคมฯเรามีการปรึกษาหารือกันในเรื่องนี้พอสมควร พร้อมกับได้ข้อสรุปที่จะเสนอรัฐบาล ควรหันมาศึกษาหรือหาข้อมูลถึงความต้องการของคนในกลุ่มที่ต้องการซื้อที่ดินเพื่อปลูกสร้างบ้านเองในอนาคตให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งภาครัฐเองอาจมีมาตรการออกมาสนับสนุนในรูปแบบเงื่อนไขพิเศษด้วยการ “คืนภาษี หรือ หักลดหย่อนภาษี”สำหรับผู้ที่ซื้อที่ดินโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการสร้างบ้านเอง ซึ่งหากรัฐมีความชัดเจนในการออกมาตรการมาสนับสนุนดังกล่าวเชื่อว่าจะทำให้ที่ดินว่างเปล่ามีการใช้ประโยชน์มากยิ่งขึ้น “ภาครัฐควรมีกฎหมายลูก เพื่อช่วยเหลือคนกลุ่มนี้ด้วย เช่น มีการสลักหลังในที่ดินที่ซื้อเก็บเพื่อปลูกสร้างบ้านเป็นการเฉพาะให้มีกำหนดเป็นระยะเวลากี่ปี ซึ่งจะต้องมีการปลูกสร้างบ้านภายในช่วงเวลาที่กำหนด ภายหลังที่มีการปลูกสร้างแล้วเสร็จภาครัฐก็คืนภาษีให้ผู้บริโภคต่อไป การที่ประชาชนสามารถมีบ้านพักอาศัยเป็นของตัวเองจะเป็นตัวชี้วัดการพัฒนาและความเจริญของประเทศ” นายพิชิต กล่าวในตอนท้าย