Tag : News

2376 ผลลัพธ์
บอร์ด ORI ใจป้ำ ไฟเขียวปันผลระหว่างกาลเป็นเงินสดในอัตรา 0.104 บาทต่อหุ้น

บอร์ด ORI ใจป้ำ ไฟเขียวปันผลระหว่างกาลเป็นเงินสดในอัตรา 0.104 บาทต่อหุ้น

บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ภายใต้ชื่อหลักทรัพย์ “ORI”  ประกาศจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัท ในอัตราหุ้นละ 0.104 บาท เป็นไปตามนโยบายของบริษัท ที่ต้องการจ่ายปันผลอย่างสม่ำเสมอ โดยกำหนดจ่ายในวันที่ 12 กันยายน 2559 มองแนวโน้มผลงานครึ่งหลังของปีนี้ โตต่อเนื่อง อานิสงส์ดอกเบี้ยทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ มีโครงการสร้างเสร็จพร้อมเสิร์ฟได้ทันที มั่นใจทั้งปียอดขายทะลุเป้า 7,500 ล้านบาท และ่เป้าหมายรายได้ที่ 4,000 ล้านบาท นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ภายใต้ชื่อหลักทรัพย์ “ORI” เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2559 ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ได้มีมติอนุมัติให้บริษัท จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัท สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2559 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2559 ในอัตราหุ้นละ 0.104 บาท รวมเป็นเงินประมาณ  68.67 ล้านบาท โดยมีกำหนดจ่ายในวันที่ 12 กันยายน 2559 ซึ่งการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลเป็นไปตามนโยบายของบริษัท “บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 2559 ไว้ที่ 4,000 ล้านบาท ซึ่งในครึ่งปีแรกการรับรู้รายได้ยังเป็นไปตามแผน ในส่วนด้านยอดขาย ปัจจุบันสถานการณ์ในไตรมาสที่สองยังคงรักษาอัตราการเติบโตในเรื่องของยอดขาย การควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และได้วางงบลงทุนสำหรับการพัฒนาสินค้าใหม่ๆ ที่จะใช้ในไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ไว้เรียบร้อยแล้ว จึงเชื่อว่าจะเป็นปัจจัยหนุนภาพรวมธุรกิจให้เติบโตแข็งแกร่งขึ้นในอนาคต” นายพีระพงศ์กล่าว บริษัทมั่นใจยอดขายปีนี้เติบโตมากกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 7,500 ล้านบาท หลังจากปัจจุบันสามารถทำยอดขายไปได้แล้วกว่า 4,500 ล้านบาท นอกจากนี้ ปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) อยู่ที่ 9,700 ล้านบาท โดยจะทยอยรับรู้รายได้ภายในปีนี้ประมาณ 4,000 ล้านบาท และที่เหลือคาดว่าจะรับรู้เป็นรายได้ภายในปี 2560 – 2561
“เนอวานา ลุยตลาดโฮม ออฟฟิศ ต่อเนื่อง ขึ้นแท่นเบอร์ 1 ผู้นำ Market Share เพื่อรองรับการขยายตัวของ SME

“เนอวานา ลุยตลาดโฮม ออฟฟิศ ต่อเนื่อง ขึ้นแท่นเบอร์ 1 ผู้นำ Market Share เพื่อรองรับการขยายตัวของ SME

“เนอวานา ลุยตลาดโฮม ออฟฟิศ ต่อเนื่อง ขึ้นแท่นเบอร์ 1 ผู้นำ Market Share เพื่อรองรับการขยายตัวของ SME วันที่ 20-21 ส.ค.นี้ เปิดให้จองครั้งแรก โฮมออฟฟิศ โครงการใหม่ เนอวานา แอทเวิร์ค รามอินทรา หนึ่งเดียว ติดถนนรามอินทรา ใกล้รถไฟฟ้าถึง 3 สาย ห่างจากสถานีรถไฟฟ้าสายสีชมพูเพียง 600 เมตรเท่านั้น ด้วยการออกแบบฟังก์ชั่นที่แตกต่างจากโฮมออฟฟิศทั่วไป ภายใต้ Concept “Massive Detail” “มากกว่าในรายละเอียด” อาทิเช่น ออกแบบ Space ให้มี Double Volume เป็นสไตล์ออฟฟิศของนักธุรกิจรุ่นใหม่ พร้อมใส่ใจในเรื่องบรรยากาศให้มีความรู้สึกเหมือนทำงานที่บ้าน เตรียมโครงการสร้างรองรับการติดตั้งลิฟท์ (สำหรับหน้ากว้าง 8 เมตร*) ออกแบบให้ชั้นบนเป็น Residence สำหรับอยู่อาศัย, สามารถปรับเป็นห้องรับรอง หรือห้องผู้บริหารได้ ออกแบบโครงการให้มีที่จอดรถที่ค่อนข้างมาก พร้อมสวนส่วนกลางถือว่าเป็นโครงการโฮมออฟฟิศเต็มรูปแบบ ที่สุดคือเป็นโฮมออฟฟิศเพียงหนึ่งเดียวที่มีทำเลติดถนนใหญ่รามอินทรา, มีรถไฟฟ้าผ่านหน้าโครงการในอนาคต (รถไฟฟ้าสายสีชมพู*) โครงการ เนอวานา แอทเวิร์ค รามอินทรา รองรับกลุ่ม SME มี 2 รูปแบบ คือ หน้ากว้าง 6 เมตร พื้นที่ใช้สอย 363 ตร.ม. หน้ากว้าง 8 เมตร พื้นที่ใช้สอย 452 ตร.ม. บนราคาเริ่มต้นเพียง 14.2 ล้านบาท เมื่อเทียบความคุ้มที่ได้มากกว่าการเช่าออฟฟิศในเมือง พร้อมที่จอดรถทั้งโครงการกว่า 200 คัน* ถือว่าเป็นโครงการโฮมออฟฟิศที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคได้อย่างดีเยี่ยม เชื่อว่าโครงการนี้จะกวาดยอดขายได้อย่างรวดเร็ว ผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนเพื่อรับข้อเสนอพิเศษช่วง PRE-SALE ได้ที่ http://www.nirvana-group.com” สอบถามเพิ่มเติม โทร.1787
อนันดาฯ โชว์ตัวเลขกำไรสุทธิไตรมาส 2 เพิ่มขึ้น 191% รายได้เติบโตสูง 87% และสูงกว่าเป้าที่ตั้งไว้ถึง 24% เดินหน้าเก็บเกี่ยวผลตอบแทนอย่างแท้จริง ย้ำยอดขายรอรับรู้รายได้อยู่ในระดับสูง พร้อมประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล

อนันดาฯ โชว์ตัวเลขกำไรสุทธิไตรมาส 2 เพิ่มขึ้น 191% รายได้เติบโตสูง 87% และสูงกว่าเป้าที่ตั้งไว้ถึง 24% เดินหน้าเก็บเกี่ยวผลตอบแทนอย่างแท้จริง ย้ำยอดขายรอรับรู้รายได้อยู่ในระดับสูง พร้อมประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล

บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ANAN ผู้นำตลาดคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้า ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านการพัฒนาที่อยู่อาศัยติดรถไฟฟ้า โชว์ศักยภาพการดำเนินงาน ประกาศความสำเร็จอีกครั้ง พร้อมเติบโตอย่างมั่นคง เผยไตรมาส 2/2559 บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการสร้างกำไรสุทธิ 210 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 191% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน พร้อมทั้งสร้างรายได้ 2,889 ล้านบาท เติบโตถึง 87% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ตอกย้ำความสำเร็จของเป้าหมายปี 2559 ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของอนันดาฯ ในการเข้าสู่การเก็บเกี่ยวผลตอบแทน (Harvest Period) สะท้อนถึงความสามารถในการนำเงินลงทุนจาก IPO มาพัฒนาโครงการและมีการเปิดขายไปก่อนหน้านี้ ซึ่งได้เริ่มสร้างผลตอบแทนจากการลงทุน นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทอนันดาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทมียอดขายที่น่าพอใจทำให้เห็นแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจที่ดี ทำให้บริษัทฯมีภาพรวมการดำเนินธุรกิจที่ประสบความสำเร็จจากตัวเลขโดยเฉพาะรายได้และกำไรสุทธิที่แข็งแกร่งสอดคล้องกับในปี 2559 ถือเป็นช่วงของการเก็บเกี่ยวผลตอบแทน (Harvest Period) ตั้งแต่เงินลงทุนจาก IPO ที่นำมาพัฒนาโครงการและมีการเปิดขายไปก่อนหน้านี้ รวมถึงการก่อสร้างได้แล้วเสร็จ และเริ่มมีการโอนกรรมสิทธิ์ โดยจะเริ่มสร้างผลตอบแทนจากยอดโอนในปี 2559 จำนวน 5 โครงการ นอกจากนี้บริษัทฯ มียอดขายรอรับรู้รายได้ ณ สิ้นไตรมาส 2/2559 ภายในช่วง 3 ปีข้างหน้า จำนวนสูงกว่า 38,500 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 12.3% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน สำหรับไตรมาส 2/2559 บริษัทฯ สามารถสร้างยอดขายได้ 3,454 ล้านบาท สอดคล้องกับยอดขายที่ตั้งเป้าไว้ แม้ว่าบริษัทฯ ได้เลื่อนการเปิดขายโครงการใหม่จากไตรมาส 2 เป็น ไตรมาส 3 ก็ตาม ทั้งนี้ในครึ่งปีแรก บริษัทฯ สร้างยอดขายได้ 39% ของเป้ายอดขายทั้งปี พร้อมทั้งบริษัทฯ ยังมีแผนเปิดโครงการใหม่อีก 10 โครงการ ซึ่งโครงการที่ได้เปิดตัวไปแล้วนั้นได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า ซึ่งแสดงให้เห็นว่าความต้องการที่พักอาศัยในทุกระดับราคาทุกประเภทยังคงมีอยู่มาก โดยเฉพาะโครงการที่คุ้มค่า คุณภาพดี ทำเลใกล้รถไฟฟ้า ไตรมาส 2/2559 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ 2,528 ล้านบาท สูงกว่าเป้ารายได้ที่ตั้งไว้ถึง 24% และเพิ่มขึ้นถึง 111% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน พร้อมทั้งมีกำไรสุทธิ 210 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 191% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน นอกจากนี้ยังสร้างอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 7% เพิ่มขึ้นจาก 5% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่บริษัทฯ ยังคงเป้ายอดโอนทั้งปีในระดับ 15,000-16,000 ล้านบาท บริษัทฯ สามารถสร้างรายได้ดีกว่าเป้าหมาย จากการที่บริษัทฯ ได้โอนโครงการคอนโดมิเนียม ไอดีโอ คิว ราชเทวี ที่ก่อสร้างแล้วเสร็จในเดือนมีนาคม และโอนต่อเนื่องได้เร็วกว่าเป้าที่ตั้งไว้ อีกทั้งได้สร้างผลกำไรสุทธิที่ดีกว่าเป้าหมาย จากการควบคุมต้นทุน โดยค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อรายได้ ลดลงจาก 29% ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เป็น 20% ในไตรมาสนี้ ถึงแม้ว่าบริษัทฯ จะมีการเติบโตอย่างรวดเร็วก็ตามและสามารถรักษาวินัยทางการเงิน และบรรลุเป้าหมายการเติบโต โดยบริษัทฯ ได้ดำรงอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนทุนในระดับเพียง 0.7:1 ณ สิ้นไตรมาส 2/2559 บริษัทฯ ยังคงมีกระแสเงินสดที่มั่นคงและแข็งแกร่ง พร้อมมีเงินสดจำนวนมากเกินกว่า 2,700 ล้านบาท ณ สิ้นไตรมาส2/2559 และยังคงได้รับการสนับสนุนที่ดีจากธนาคาร รวมถึงมีทางเลือกหลายทางหากจำเป็นที่จะต้องใช้เงิน โดยในเดือนพฤษภาคม 2559 บริษัทฯ ได้ออกหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือประเภทด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุน จำนวน 1,000 ล้านบาท รองรับการขยายธุรกิจ และเป็นเงินทุนหมุนเวียน และบริษัทฯ ยังคงรักษาความมีวินัยทางการเงินโดยบริษัท ทริส เรทติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ได้ปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทฯ จากระดับ BBB- แนวโน้มเชิงบวก เป็นระดับ BBB แนวโน้มคงที่ พร้อมได้จัดอันดับตราสารที่มีลักษณะคล้ายทุนดังกล่าวในระดับ BB+ แนวโน้มคงที่ ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัท ได้มีมติอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลให้แก่ผู้ถือหุ้น ในอัตราหุ้นละ 0.04 บาท เพิ่มขึ้น 25% จากอัตราการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในปีก่อน จากนโยบายที่ยังคงเพิ่มเงินปันผลทุกปีให้แก่ผู้ถือหุ้น ภายหลังการระดมทุน และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ อนันดาฯ เป็นผู้นำตลาดที่อยู่อาศัยใกล้ระบบขนส่งมวลชนระบบรางในเขตกรุงเทพฯ ผ่านการสร้างสรรค์นวัตกรรมอย่างต่อเนื่องทั้งในการออกแบบอาคารและทุกแง่มุมอื่นๆ ของการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยมุ่งมั่นที่จะรักษาความเป็นผู้นำในตลาดคอนโดมิเนียม ซึ่งถือว่าการสร้างสรรค์นวัตกรรมเป็นหัวใจสำคัญของกลยุทธ์การแข่งขัน เมื่อเร็วๆนี้ อนันดาฯ ได้ย้ายสำนักงานสาขามายังอาคาร เอฟวายไอ เซ็นเตอร์ (FYI Center) ซึ่งสำนักงานใหม่ แห่งนี้ เกิดจากการประสานความร่วมมือระหว่างอนันดา, Samsung, Cisco และซัพพลายเออร์อื่นๆ ตลอดจนได้รวบรวมเทคโนโลยีล้ำสมัยที่เคยใช้เฉพาะเขตทวีปอเมริกาเหนือมาใช้ที่อนันดา โดยเชื่อว่าสำนักงานแห่งใหม่นี้จะเป็นสำนักงานที่สมาร์ทที่สุดในเอเชีย ที่จะเป็นจุดเริ่มต้นของกลยุทธ์ "อนันดา 2.0" โดยใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างประสิทธิภาพในการทำงานมากกว่า 3 เท่าในช่วง 3 ปีข้างหน้า และสามารถทำให้ยอดโอนของอนันดาฯ เติบโตได้ถึง 3 เท่าตัว การเป็นพันธมิตรกับ Samsung และ Cisco ทำให้สร้างสำนักงานในรูปแบบ Smart Office ที่มีการใช้เทคโนโลยีชั้นนำแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์นวัตกรรมชั้นนำอย่างต่อเนื่อง และเชื่อว่าเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการทำงานร่วมกันและการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่ใช้ในการปรับปรุงคุณภาพการทำงานให้ดียิ่งขึ้นและสะท้อนให้เห็นถึงดีเอ็นเอของชาวอนันดา ในการสร้างนวัตกรรมและการปรับปรุงผลงานให้ดีขึ้นอยู่เสมอ
‘เอพี ไทยแลนด์’ มุ่งก้าวสู่ท็อป 3 ผู้นำอสังหาฯ ไทย ชูกลยุทธ์ “มอบความแตกต่างด้วยคุณภาพ”

‘เอพี ไทยแลนด์’ มุ่งก้าวสู่ท็อป 3 ผู้นำอสังหาฯ ไทย ชูกลยุทธ์ “มอบความแตกต่างด้วยคุณภาพ”

กรุงเทพฯ (11 ส.ค. 59) – วันนี้ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์สำหรับคนเมืองที่เชี่ยวชาญในการสร้างสรรค์นวัตกรรมการดีไซน์ เพื่อพื้นที่ใช้สอยที่ไม่จำกัด โดยคุณอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เปิดเผยวิสัยทัศน์สู่การเติบโตในปีที่ 26 ของเอพี มุ่งสู่การเป็น 1 ใน 3 บริษัทชั้นนำด้านอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทยที่อยู่ในใจผู้บริโภค ด้วยกลยุทธ์ทางธุรกิจที่มุ่ง “สร้างความแตกต่างด้วยคุณภาพ” ภายใต้หลักปรัชญาการทำงาน “AP – The Differentiator” ย้ำต้องเป็นรายแรกในการสร้างความแตกต่างให้เกิดขึ้นในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ไทย ด้วยจุดแข็งศักยภาพความพร้อม ทั้ง “ผลิตภัณฑ์ที่อยู่อาศัยคุณภาพ” “ทีมงานคุณภาพ” และ “พันธมิตรคุณภาพ” เตรียมเดินเกมส์รุกครึ่งปีหลังเปิดตัว 13 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 26,000 ล้านบาท พร้อมเตรียมรับรู้รายได้ช่วงสิ้นปีกับแผนการส่งมอบคอนโดบิ๊กแพคมากถึง 8 โครงการ คุณอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) กล่าวว่า “กลยุทธ์สู่ความสำเร็จในปีที่ 26 และต่อๆ ไป เอพี ไทยแลนด์ท้าทายตนเองไปอีกขั้น ด้วยเป้าหมายการมุ่งก้าวขึ้นสู่การเป็น 1 ใน 3 บริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทยที่อยู่ในใจผู้บริโภค โดยเรามีกลยุทธ์สู่ชัยชนะคือ ‘การมอบความแตกต่างด้วยคุณภาพ’ ด้วยหลักปรัชญาการทำงาน ‘AP – The Differentiator’ หรือเอพีผู้สร้างความแตกต่างให้วงการอสังหาริมทรัพย์ไทย ผ่านทั้งตัวสินค้าและบริการ ภายใต้ 4 แนวคิดหลัก 1) SPACE OPTIMIZATION แตกต่างในการพัฒนานวัตกรรมดีไซน์ เพื่อพื้นที่ใช้สอยที่ไม่จำกัด 2) CONVENIENT แตกต่างในวิธีคิดที่ทุกพื้นที่ต้องเอื้อให้การใช้ชีวิตสะดวกสบายทั้งในบ้านและนอกบ้าน  และเชื่อมต่อทุกรูปแบบการเดินทางที่สะดวกที่สุดสำหรับคนเมือง 3) QUALITY มุ่งยกระดับคุณภาพสินค้าให้ดียิ่งขึ้น โดยล่าสุดได้ผสานความร่วมมือกับมิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป (MEC) พันธมิตรทางธุรกิจในการร่วมกันสร้าง AP CHECK LIST ขึ้น ซึ่งจะเป็นคู่มือสำคัญในการควบคุมการพัฒนาโครงการที่เริ่มต้นตั้งแต่กระบวนการออกแบบที่มีคุณภาพ ไปจนถึงขั้นตอนการก่อสร้างและกระบวน การตรวจสอบงานที่มีประสิทธิภาพ ผ่านการถ่ายทอดองค์ความรู้จากทางญี่ปุ่น 4) HUMAN DEVELOPMENT มุ่งสร้างความแตกต่างทั้งระบบความคิดและการบริหารจัดการให้กับคนเอพีอย่างต่อเนื่อง ผ่าน  AP ACADEMY สถาบันเพื่อการเรียนรู้ครบวงจรด้านอสังหาริมทรัพย์แห่งแรกของไทย”   “เอพี (ไทยแลนด์) มีความพร้อมด้านศักยภาพในทุกๆ ด้านทั้งบุคลากรคุณภาพ ผลิตภัณฑ์ที่อยู่อาศัยคุณภาพที่ครบทุกความต้องการด้านการอยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นคอนโดมีเนียม บ้านเดี่ยว หรือทาวน์โฮม ที่สำคัญไม่แพ้กันคือ เรามีพันธมิตรทางธุรกิจที่มีคุณภาพ คือ ‘มิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป’ (MEC) ที่มีอุดมการณ์เดียวกันในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีคุณภาพ ตลอดระยะเวลา 2 ปีกว่าของการจับมือเป็นพันธมิตร มิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป มองภาพการร่วมทุนมากกว่าเรื่องของผลกำไรตอบแทน แต่คือความยินดีที่จะร่วมแบ่งปันองค์ความรู้ในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ให้กับทีมงานเอพีอย่างจริงใจ ตั้งแต่ความรู้ในเรื่องการออกแบบพื้นที่ใช้สอย กระบวนการก่อสร้างและการตรวจสอบคุณภาพงาน รวมไปถึงการขยายต่อองค์ความรู้ไปยังสถาบัน  AP Academy และสิ่งหนึ่งที่การันตีถึงการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจระยะยาวได้อย่างชัดเจนคือ ทางมิตซูบิชิ เอสเตท ส่งพนักงานซึ่งเป็นคนญี่ปุ่นของทางมิตซูบิชิ เอสเตทเองมานั่งประจำ ณ สำนักงานใหญ่เอพี จำนวน 4 คน เพื่อให้การทำงานและอำนาจการตัดสินใจสะดวก รวดเร็วยิ่งขึ้น  ผมเชื่อว่าความร่วมมือดังกล่าวไม่เพียงจะช่วยส่งเสริมด้านการสร้างความแตกต่างให้กับผลิตภัณฑ์อสังหาฯ ของ  เอพีเท่านั้น แต่ยังจะมีส่วนช่วยเสริมยกระดับมาตรฐานอสังหาริม-ทรัพย์ไทยในภาพรวมอีกด้วย” คุณอนุพงษ์ กล่าว   สำหรับยอดขาย ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2559 บริษัทฯ มียอดขายรวมเท่ากับ 13,200 ล้านบาท และในช่วงไตรมาส 3-4 บริษัทฯ มีแผนการเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 13 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 26,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นแนวราบมากถึง 10 โครงการ ซึ่งเป็นบ้านเดี่ยว 8 โครงการ และทาวน์โฮม 2 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 10,800 ล้านบาท และคอนโดมิเนียมจำนวน 3 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 15,200 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยเปิดตัวตามแผนงานที่วางไว้ และเชื่อว่าจะสามารถสร้างยอดขายได้ตามเป้าหมายที่วางไว้อย่างแน่นอน   นอกจากนั้นแล้วในช่วงไตรมาส 3-4 ยังถือเป็นช่วงที่เอพีมีคอนโดมิเนียมที่ก่อสร้างพร้อมกันมากถึง 8 โครงการ ได้แก่ 1) Aspire งามวงศ์วาน มูลค่า 2,680 ล้านบาท 2) Vittorio มูลค่า 3,500 ล้านบาท 3) RHYTHM สุขุมวิท 42 มูลค่า 3,500 ล้านบาท 4) RHYTHM อโศก มูลค่า 1,500 ล้านบาท 5) Aspire วุฒากาศ มูลค่า 390 ล้านบาท 6) RHYTHM สุขุมวิท 36-38 มูลค่า 2,900 ล้านบาท 7) Aspire รัชดา-วงศ์สว่าง มูลค่า 2,850 ล้านบาท และ 8) Aspire สาทร-ท่าพระ มูลค่า 3,500 ล้านบาท โดย 3 โครงการหลังเป็นคอนโดมิเนียมร่วมทุนกับทาง MEC ซึ่งคาดว่าจะเริ่มพร้อมเปิดให้ลูกค้าเข้าตรวจรับห้องชุดและชมความสมบูรณ์ของโครงการได้ตั้งแต่เดือนตุลาคม และพร้อมโอนกรรมสิทธิ์ย้ายเข้าอยู่ได้ตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป   ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนกรฎาคม บริษัทฯ มีสินค้ารอรับรู้รายได้ (Backlog) มากถึง 12,834 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นแนวราบ มูลค่า 3,210 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ทั้งหมดภายในปีนี้ และคอนโดมิเนียม มูลค่า 9,624 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้รายได้ในปีนี้มูลค่าประมาณ 4,633 ล้านบาท และส่วนที่เหลือในปี 2560-2561 สำหรับผลประกอบการครึ่งปีแรก บริษัทฯ มีรายได้รวมเท่ากับ 8,602 ล้านบาท ด้านกำไรสุทธิเท่ากับ 981 ล้านบาท   “ตลอดระยะเวลา 25 ปีที่ผ่านมา เราภาคภูมิใจที่ได้เห็นลูกค้ามีความสุข ในทุกๆ วันเอพีได้สร้างให้อย่างน้อยหนึ่งครอบครัว มีความสุขกับการเป็นเจ้าของบ้านหลังใหม่ ซึ่งบ้านใหม่ที่ขายได้ในเมืองมากกว่าครึ่งหนึ่งเป็นของเอพี เรายึดมั่นในจุดยืนที่จะสร้างความแตกต่างให้กับวงการอสังหาฯ มาตั้งแต่เริ่มต้น กับการเป็นรายแรกที่ผู้บุกเบิกการทำ ‘ทาวน์โฮม’ ในเมือง หรือการเป็นรายแรกที่สร้างเทรนด์การอยู่อาศัยในคอนโดติดแนวรถไฟฟ้า”   “ผมเชื่อมั่นว่าเอพี ไทยแลนด์จะประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ เพราะเรามีทีมงานที่เก่ง และมี passion ในการทำงาน เรามีระบบที่ยอดเยี่ยมที่ได้รับการปรับปรุงพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ และเรายังมีสถานะทางการเงินที่มั่นคงและแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ โดยเราไม่หยุดยั้งที่จะพัฒนาด้านคุณภาพ ศักยภาพ รวมถึงนวัตกรรมและเทคโนโลยี ด้วยประสบการณ์ ความมั่นคงและวินัยทางการเงินที่เข้มงวด” คุณอนุพงษ์กล่าว   “เอพี ไทยแลนด์ กล้าที่จะแตกต่าง ผู้นำด้านนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัย”  
ปิยะ อินเตอร์เนชั่นแนล จับมือนายณ์ เอสเตท สร้างอาณาจักรแห่งการพักอาศัยระดับหรูบนทำเลยุทธศาสตร์ที่ดีที่สุดของเขาใหญ่ เติมเต็มตลาดลักชัวรีครอบคลุมทุกกลุ่ม

ปิยะ อินเตอร์เนชั่นแนล จับมือนายณ์ เอสเตท สร้างอาณาจักรแห่งการพักอาศัยระดับหรูบนทำเลยุทธศาสตร์ที่ดีที่สุดของเขาใหญ่ เติมเต็มตลาดลักชัวรีครอบคลุมทุกกลุ่ม

ปิยะ อินเตอร์เนชั่นแนล จับมือ นายณ์ เอสเตท  ผสานจุดแข็งสร้างอาณาจักรแห่งการพักอาศัยระดับไฮเอนด์ที่สมบูรณ์แบบที่สุดบนสุดยอดทำเลทองใจกลางเขาใหญ่ โดยนายณ์ เอสเตทเตรียมเข้าเป็นผู้พัฒนาโครงการใหม่ ชูคอนเซ็ปต์ “บ้านเล็กในป่าใหญ่” มูลค่า 2,000 ล้านบาท บนพื้นที่ 40 ไร่ ในอาณาจักรบ้านพักตากอากาศและไร่องุ่นพื้นที่รวมกว่า 2,500 ไร่ ของดร.ปิยะ ภิรมย์ภักดี เพื่อร่วมกันเติมความต้องการของตลาดอสังหาริมทรัพย์ระดับลักชัวรีให้ครอบคลุมทุกกลุ่ม ขานรับความต้องการที่เติบโตอย่างต่อเนื่องของตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่นครราชสีมา ที่จะเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวและการคมนาคมขนส่งใจกลางภาคอีสาน นางนวลลดา งามธนไพศาล กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปิยะ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กล่าวว่า “การร่วมมือกับนายณ์ เอสเตท ครั้งนี้เกิดจากการที่ทั้งสองบริษัทต่างมีนโยบายและวิสัยทัศน์ที่มุ่งมั่นพัฒนาธุรกิจในทิศทางเดียวกัน ทั้งในด้านการมุ่งให้ความสำคัญกับแนวคิดในการพัฒนาที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ความพิถีพิถันในรายละเอียดต่าง ๆ รวมทั้งความใส่ใจกับการดูแลรักษาสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ เพื่อสร้างสรรค์โครงการเพื่อการพักอาศัยอย่างแท้จริงในระยะยาว  จึงเป็นการเสริมจุดแข็งของกันและกันให้ทั้งสองฝ่ายได้รับประโยชน์สูงสุด ลูกค้าของทั้ง 2 ฝ่ายเองก็จะได้รับประโยชน์ที่ครบวงจรมากขึ้นจากการร่วมมือ ครั้งนี้ โดยโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ภายใต้การพัฒนาของทั้งสองบริษัท นั่นคือ โครงการ ภิรมย์ แอท วินยาร์ด และโครงการใหม่ของนายณ์ เอสเตท จะร่วมกันเสริมสร้างให้พื้นที่นี้เป็นอาณาจักรแห่งการพักอาศัยที่สมบูรณ์แบบ ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้าระดับบนได้ครอบคลุมทุกกลุ่มอย่างแท้จริง ด้วยโปรดักต์ที่หลากหลายครอบคลุมตั้งแต่ ที่ดินเปล่า และที่ดินพร้อมบ้านสั่งสร้าง คอนโดมิเนียม วิลล่า ทั้งระดับลักชัวรีและซูเปอร์ลักชัวรี” นางอรฤดี ณ ระนอง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นายณ์ เอสเตท จำกัด กล่าวว่า “การเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ ร่วมกับปิยะ อินเตอร์เนชั่นแนล ในครั้งนี้ เกิดขึ้นเนื่องจากเราเล็งได้เห็นศักยภาพของเขาใหญ่ที่เป็นทั้งแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติและสถานที่พักผ่อนหย่อนใจที่สำคัญที่อยู่ใกล้กรุงเทพ ฯ และมีความต้องการ ด้านโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดย นายณ์ เอสเตท ได้ซื้อพื้นที่ 40 ไร่ จากปิยะ อินเตอร์เนชั่นแนล เพื่อพัฒนาโครงการที่พักอาศัยโครงการแรกนอกกรุงเทพฯ ของเรา ซึ่งเรามีความมั่นใจอย่างยิ่งด้วยปัจจัยอันแข็งแกร่งหลายประการ ทั้งทำเลที่ดีที่สุดและหายากที่สุดในเขาใหญ่ รายล้อมด้วยหุบเขาและทัศนียภาพที่สวยงาม สงบ เป็นส่วนตัวเหมาะแก่การพักผ่อนอย่างแท้จริง แนวคิดการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ทั้งด้านสถาปัตยกรรมและภูมิทัศน์ การให้ความสำคัญในทุกรายละเอียด การใช้สิทธิประโยชน์และสาธารณูปโภคส่วนกลางร่วมกันระหว่างโครงการใหม่ของนายณ์ เอสเตทและโครงการ ภิรมย์ แอท วินยาร์ด อาทิ ทัศนียภาพที่งดงาม พื้นที่สำหรับการพักผ่อนหย่อนใจ ทะเลสาบ เลนจักรยาน ฯลฯ เพื่อความครบวงจรของไลฟ์สไตล์ลักชัวรีท่ามกลางธรรมชาติที่สวยงามและร่มรื่นของเขาใหญ่ อีกทั้งความสะดวกสบายในการเดินทางจากกรุงเทพฯ ด้วยโครงการมอเตอร์เวย์สายบางปะอิน-โคราชที่เพิ่งตอกเสาเข็มไปและจะแล้วเสร็จในปี 2563 ซึ่งจะช่วยย่นระยะเวลาการเดินทางสู่ภาคอีสานลงหลายเท่าตัว ยังไม่รวมถึงรถไฟความเร็วสูงซึ่งจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้อีกด้วย” การร่วมเป็นพันธมิตรระหว่างทั้งสองบริษัทในครั้งนี้จึงนับเป็นปรากฏการณ์ครั้งสำคัญของแวดวงอสังหาริมทรัพย์ไทยที่จะร่วมกันสร้างอาณาจักรแห่งการพักอาศัยระดับลักชัวรีที่สมบูรณ์แบบบนพื้นที่ที่สวยงามที่สุดของเขาใหญ่  บนถนนผ่านศึก-กุดคล้า เป็นถนนสายสำคัญเชื่อมต่อระหว่างถนนมิตรภาพและถนนธนะรัชต์ ซึ่งเป็นถนนสายหลักมุ่งหน้าสู่ทางเข้าอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ มีความพรั่งพร้อมทั้งด้านทัศนียภาพที่สวยงามและอุดมสมบูรณ์ด้วยผืนป่าที่ยังคงความเป็นธรรมชาติอย่างแท้จริง โครงการตั้งอยู่ตรงข้ามกับพีบี วัลเล่ย์ เขาใหญ่ไวน์เนอรี่ แหล่งผลิตไวน์ครบวงจร และสถานที่ท่องเที่ยวซึ่งมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของเขาใหญ่ ทั้งนี้ โครงการ ภิรมย์ แอท วินยาร์ด (Pirom at Vineyard) ซึ่งเปิดตัวตั้งแต่ปี 2557 เป็นโครงการที่จัดสรรแบ่งขาย และที่ดินพร้อมบ้านพักตากอากาศระดับลักชัวรี บนพื้นที่ 800 ไร่ มูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท มุ่งเน้นกลุ่มลูกค้าระดับบนซึ่งเป็นเจ้าของธุรกิจที่มีไลฟ์สไตล์ไม่เหมือนใคร ซึ่งต้องการบ้านเพื่อการพักผ่อนหรือพักอาศัยในบรรยากาศที่สงบ เป็นส่วนตัว แวดล้อมด้วยธรรมชาติ ส่วนโครงการใหม่ของ นายณ์ เอสเตท บนพื้นที่ 40 ไร่ สร้างสรรค์ขึ้นภายใต้แนวคิด “บ้านเล็กในป่าใหญ่” มูลค่า 2,000 ล้านบาท ประกอบด้วยที่พักอาศัยหลากหลายรูปแบบ มุ่งเน้นกลุ่มลูกค้าผู้บริหาร ผู้ประกอบการ และกลุ่มครอบครัวรุ่นใหม่ ซึ่งต้องการโครงการที่พักอาศัยในทำเลท่องเที่ยวสำคัญ ทั้งเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจในวันหยุด และเพื่อการลงทุน โดยสิทธิประโยชน์เหนือชั้นที่ทั้ง ปิยะ อินเตอร์เนชั่นแนล และ นายณ์ เอสเตท จะมอบให้แก่ลูกค้าของทั้ง 2 ฝ่าย ผ่านความร่วมมือครั้งนี้ อย่างที่ไม่เคยมีผู้พัฒนาที่พักอาศัยแห่งใดบนเขาใหญ่ทำมาก่อน คือการร่วมแบ่งปัน พื้นที่ส่วนกลางและสาธารณูปโภค เพื่อเต็มเติมไลฟ์สไตล์ระดับลักชัวรีท่ามกลางทัศนียภาพที่สงบร่มรื่นของเขาใหญ่ให้แก่กลุ่มลูกค้าของทั้ง 2 ฝ่ายอย่างครบครันกว่าที่เคย
SENA ครบเครื่อง “ธุรกิจอสังหาฯ-โซลาร์รูฟ” ผลงานครึ่งปีหลังเติบโตต่อเนื่อง! ลุยเปิดโครงการใหม่ตามแผน ทุ่มงบกว่าครึ่ง 100 ลบ. ปั้นแบรนด์ ภายใต้กลยุทธ์ “หัวคิดและหัวใจ”

SENA ครบเครื่อง “ธุรกิจอสังหาฯ-โซลาร์รูฟ” ผลงานครึ่งปีหลังเติบโตต่อเนื่อง! ลุยเปิดโครงการใหม่ตามแผน ทุ่มงบกว่าครึ่ง 100 ลบ. ปั้นแบรนด์ ภายใต้กลยุทธ์ “หัวคิดและหัวใจ”

SENA ครบเครื่อง “ธุรกิจอสังหาฯ-โซลาร์รูฟ” ผลงานครึ่งปีหลังสุดเจ๋ง! เติบโตต่อเนื่อง ลุยเปิดโครงการใหม่ตามแผน  ลุ้นปี”59 รายได้-กำไร ทุบสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทุ่มงบกว่าครึ่ง 100 ลบ. ปั้นแบรนด์ ภายใต้กลยุทธ์ "หัวคิดและหัวใจ" “ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์” ผู้บริหารหญิงแกร่งแห่งค่าย SENA ผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจครบเครื่องอสังหาริมทรัพย์ และรายแรกของไทยที่ทำโครงการหมู่บ้านโซลาร์เต็มรูปแบบ ประเมินแนวโน้มผลประกอบการครึ่งหลังปี”59 เติบโตต่อเนื่อง เหตุปริมาณ Backlog เต็มมือ ควบคู่กับการผุดโครงการใหม่ตามแผน!!! รวมทั้งปี 7 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 4,570 ล้านบาท มั่นใจยอดโอนปีนี้เป็นไปตามเป้าหมายที่ 3,500 ล้านบาท และยอดขายอยู่ที่ 4,500 ล้านบาท  โดยได้รับปัจจัยหนุนจากยอดโอนโครงการคอนโดมิเนียมที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เผยปัจจุบันมี Backlog ในมือกว่า 2,400 ล้านบาท (ณ 30 มิ.ย.59 )  พร้อมเตรียมทุ่มงบกว่าครึ่ง 100 ล้านบาท ปั้นแบรนด์ให้ติดอยู่ในใจของลูกค้า ภายใต้กลยุทธ์ “หัวคิดและหัวใจ”  ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (SENA) ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ชั้นแนวหน้าของเมืองไทย และในฐานะ Developer รายแรกที่ทำหมู่บ้านโซลาร์เต็มรูปแบบ เปิดเผยว่า ปีนี้ถือเป็นปีที่ดีของ SENA ในการดำเนินธุรกิจ ทั้งในด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และด้านโซลาร์รูฟ ที่มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ จะเห็นภาพของการเติบโตต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก และมั่นใจว่ายอดโอนในปีนี้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ 3,500 ล้านบาท และยอดขายอยู่ที่ 4,500 ล้านบาท โดยได้รับปัจจัยหนุนจากยอดโอนโครงการคอนโดมิเนียมที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งโครงการที่เปิดใหม่ ซึ่งในนั้นจะเป็นโครงการติดตั้งแผงโซลาร์รูฟบนหลังคาบ้าน โดยปัจจุบันมี Backlog กว่า 2,400 ล้านบาท (ณ 30 มิ.ย.59 )  ซึ่งจะรับรู้ 1,000 ล้านบาท ในปีนี้ “แนวโน้มรายได้และกำไรในปีนี้ มีโอกาสทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จึงทำให้เชื่อว่าจะสามารถสร้างรายได้ตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ และเราก็ยังมีรายได้จากโครงการโซลาร์ฟาร์มที่รับรู้รายได้เต็มปีอีกด้วย” ผศ.ดร.เกษรากล่าว สำหรับโครงการที่จะเปิดในช่วงที่เหลือของปีนี้  ได้แก่ โครงการ เดอะ คิทท์ พลัส สุขุมวิท 113 ซึ่งเปิด Pre-sales ไปแล้วเมื่อวันที่  30 – 31 ก.ค. ที่ผ่านมา และได้นับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมจากลูกค้า , The Kith Lite บางกระดี เฟส 2 , The Niche Mono สุขุมวิท 50  , The Niche ID พระราม 2 เฟส 2 และโครงการ The Niche Mono บางนา  เฟส 3" ฯลฯ จากทั้งหมด 7 โครงการ มูลค่ารวม 4,570 ล้านบาท โดยในไตรมาส 1 และไตรมาส 2 ได้มีการเปิดตัวไปแล้ว 2 โครงการ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (SENA) กล่าวอีกว่า บริษัทฯยังคงให้ความสำคัญในการสร้างกลยุทธ์ ในปี 2559 “หัวคิดและหัวใจ” โดยได้เตรียมเงินกว่าครึ่ง 100 ล้านบาท ในการสร้างการรับรู้ และตอกย้ำแบรนด์ เพื่อกระตุ้นยอดขาย ภายใต้คอนเซ็ปต์  “หัวคิดและหัวใจ” เพื่อพิชิตใจลูกค้า โดยคำว่า “หัวคิด”  มาจากการที่บริษัทฯ ใช้หัวคิดในการนึกถึงความต้องการของลูกค้าเป็นที่ตั้งหรือศูนย์กลาง และในส่วน “หัวใจ” คือการแสดงออกในการบริการลูกค้าด้วยใจของพนักงาน ตามปรัชญาองค์กรที่ว่า “ความไว้วางใจจากลูกค้า คือความภูมิใจของเรา”  
แมกโนเลียชี้แนวโน้มครึ่งปีหลังธุรกิจคอนโดไฮเอนด์คึกคัก ปรับกลยุทธ์รับมือคลื่นอสังหาฯ ระลอกใหม่ช่วงปลายปี

แมกโนเลียชี้แนวโน้มครึ่งปีหลังธุรกิจคอนโดไฮเอนด์คึกคัก ปรับกลยุทธ์รับมือคลื่นอสังหาฯ ระลอกใหม่ช่วงปลายปี

กรุงเทพฯ, 21 กรกฎาคม 2559 - แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หนึ่งในผู้พัฒนาโครงการระดับซูเปอร์ลักชั่วรี่ คาดการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ระดับไฮเอนด์ของไทย โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ จะเริ่มคึกคักอีกครั้งในช่วงปลายปี 2559 หลังจากกระแสการซื้ออสังหาฯ ระดับไฮเอนด์ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้มีการชะลอตัวลงเล็กน้อย สืบเนื่องจากปลายปี 2558 ที่ผ่านมา ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ต่างเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่จำนวนมาก เผยความคืบหน้าเตรียมส่งมอบห้องชุดแมกโนเลียส์ราชดำริบูเลอวาร์ดปลายปีนี้ ขณะที่ เดอะ เรสซิเดนซ์ แอท แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ ปัจจุบันขายได้แล้วกว่า 40% ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 350,000 บาท/ตร.ม. พร้อมเดินหน้าจัดกิจกรรมการตลาดและโร้ดโชว์ต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง นางสาว ภีชภัตธา ผกากาญจน์ ผู้ช่วยรองประธานกรรมการ ฝ่ายการตลาดและฝ่ายขายโครงการ บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า “เนื่องจากราคาที่ดินในย่านธุรกิจใจกลางเมืองยังมีราคาขยับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้เรามั่นใจว่า นักลงทุนยังคงมองหาโอกาสการลงทุนกับโครงการระดับคุณภาพในเขตกรุงเทพฯอยู่เสมอ โดยเมื่อเข้าสู่ไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ แนวโน้มการซื้อเริ่มขยับตัวสูงขึ้น เห็นได้จากการที่นักลงทุนใช้เวลาตัดสินใจซื้อห้องชุดหรูเร็วกว่าในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา และคาดว่าผู้ประกอบการหลายรายมีแผนเตรียมเปิดตัวโครงการใหม่อย่างคึกคักในช่วงครึ่งปีหลังเพื่อดึงกระแสการซื้อให้เพิ่มขึ้น แต่ทางฝั่งผู้บริโภคจะตอบรับหรือไม่ ก็ถือเป็นความท้าทายที่ผู้ประกอบการต้องตีโจทย์ความต้องการของผู้ซื้อให้ได้เช่นกัน” บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ให้ความสำคัญกับการลงทุนและพัฒนาโครงการต่างๆ ด้วยมาตรฐานระดับโลกทุกขั้นตอน เราสร้างสรรค์ความเจริญเติบโตขององค์กรผ่านการดำเนินธุรกิจแบบร่วมทุน และการร่วมมือกับพันธมิตรธุรกิจและนักลงทุน เพื่อการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ชั้นเยี่ยมทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ โดยโครงการร่วมทุนที่กำลังดำเนินการพัฒนาในปัจจุบัน ได้แก่ แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด, ดิ ไอคอนสยาม, แมกโนเลียส์ วอเตอร์ฟร้อนท์ เรสซิเดนซ์ ณ ไอคอนสยาม และ เดอะ เรสซิเดนซ์ แอท แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ “สำหรับโครงการของเรา หลังจากประสบความสำเร็จอย่างสูงกับการเปิดตัวโครงการระดับไฮเอนด์ของทั้ง 3 โครงการ เราจึงขอดูแนวโน้มของตลาดคอนโดมิเนียมที่คาดว่าจะคึกคักมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังเสียก่อน เพื่อที่เราจะสามารถพัฒนาโครงการที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและสร้างความแตกต่างในตลาดอสังหาฯ ได้อย่างแท้จริง โดยขณะนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการศึกษาความเป็นไปได้ในหลายๆแง่มุม ทั้งนี้เรายังคงยึดมั่นในการพัฒนาโครงการคุณภาพระดับไฮเอนด์เท่านั้น เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ซื้อทั้งในด้านไลฟ์สไตล์ระดับพรีเมี่ยมและการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนคุ้มค่าในระยะยาว” นางสาว ภีชภัตธากล่าว ปัจจุบัน แมกโนเลียกำลังดำเนินการก่อสร้างโครงการระดับไฮเอนด์ทั้ง 3 แห่ง ได้แก่ แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด เป็นโครงการแบบมิกซ์ยูส โดยมีทั้งส่วนที่เป็นโรงแรมวอลดอร์ฟ เอสโทเรีย กรุงเทพฯ เชนโรงแรมระดับ 6 ดาวในเครือฮิลตัน เวิลด์ไวด์ และส่วนที่เป็นห้องชุดพักอาศัยระดับหรู บนถนนราชดำริ ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 80% มีราคาขาย 230,000-270,000 บาท/ตร.ม. คาดปลายปีจะมียอดขายแตะ 90% และเตรียมพร้อมส่งมอบห้องชุดแก่ผู้พักอาศัยภายในปลายปีนี้ อีกหนึ่งโครงการคือ แมกโนเลียส์ วอเตอร์ฟร้อนท์ เรสซิเดนซ์ ณ ไอคอนสยาม ซึ่งขณะนี้ราคาเฉลี่ย 250,000 บาท/ตร.ม. ปัจจุบันปิดการขายแล้ว และเมื่อเร็วๆนี้ยังได้รับรางวัล BCI Asia Top 10 Developers Awards 2016 การันตีโครงการคุณภาพระดับเอเชียแก่ผู้บริโภค โดยเป็นงานระดับภูมิภาคที่รวบรวมสถาปนิกชั้นนำในวงการ ตลอดจนบริษัทผู้พัฒนาและนักออกแบบโครงการแถวหน้า ซึ่งรางวัลดังกล่าวได้พิจารณาจากมูลค่ารวมของโครงการในระหว่างการก่อสร้างตลอดทั้งปี ผ่านการให้ค่าน้ำหนักตามหัวข้อต่างๆในด้านความยั่งยืน และโครงการล่าสุดคือ เดอะ เรสซิเดนซ์ แอท แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ ราคาเฉลี่ย 350,000 บาท/ตร.ม. ปัจจุบันขายได้แล้วกว่า 40% โดยสองโครงการหลังอยู่ในพื้นที่ของอภิมหาโครงการศูนย์การค้า ดิ ไอคอนสยาม ริมแม่น้ำเจ้าพระยา สำหรับกลยุทธ์การตลาดเพื่อเพิ่มยอดขายของห้องชุดโครงการในปัจจุบัน แมกโนเลียจะเน้นการจัดกิจกรรมทางการตลาดมากมาย เพื่อจูงใจผู้บริโภคในประเทศและต่างประเทศที่มีศักยภาพทางการเงินสูงให้หันมาลงทุนกับอสังหาฯระดับไฮเอนด์ให้มากขึ้น ร่วมกับการจัดโร้ดโชว์ในต่างประเทศเพื่อชูจุดเด่นของแต่ละโครงการ โดยเน้นที่ตลาดฮ่องกงเป็นหลัก สำหรับโครงการเดอะ เรสซิเดนซ์ แอท แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ ได้เริ่มทำการตลาดที่ไต้หวันและอังกฤษร่วมด้วย โดยคาดว่าในกลุ่มผู้ซื้อในภาพรวมจะเป็นการซื้อเพื่ออยู่เองราว 70% และอีก 30% ที่เหลือจะเป็นการซื้อเพื่อลงทุน โดยแมกโนเลียมั่นใจว่าจะได้ผลตอบรับที่ดีจากกลยุทธ์การตลาดดังกล่าว
The Cube Plus Minburi รุกเปิดเฟส 2 รับรถไฟฟ้าสายสีชมพู เริ่ม 1.49 ลบ.

The Cube Plus Minburi รุกเปิดเฟส 2 รับรถไฟฟ้าสายสีชมพู เริ่ม 1.49 ลบ.

The Cube Plus Minburi (เดอะคิวบ์ พลัส มีนบุรี) รับกระแสรถไฟฟ้าสายสีชมพู เร่งเปิดเฟส 2 ตอบสนองความต้องการคอนโดมิเนียมพร้อมการตกแต่งใกล้ตลาดมีนบุรีและรถไฟฟ้า  ฝ่ายบริหาร บริษัท คิวบ์ เรียล พร๊อพเพอร์ตี้ จำกัด เตรียมเปิดพรีเซลอย่างเป็นทางการในวันที่ 23-24 กรกฎาคม 2559 เริ่มต้น 1.49 ล้านบาท รวมการตกแต่งเฟอร์นิเจอร์จาก Modernform ครบทุกฟังก์ชั่นทุกยูนิต (Fully Furnish) ผสมผสานความสวยทันสมัยและใช้งานได้ทุกตารางเมตรบนพื้นที่ส่วนตัว ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมน่าอยู่และปลอดภัย เพียงลงทะเบียนภายในงานรับเงื่อนไขพิเศษลด 50,000 บาท ทันที มีขนาดห้องตั้งแต่ 24 – 49.5 ตร.ม.พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกบนพื้นที่ส่วนกลาง อาทิ สระว่ายน้ำระบบเกลือ ห้องฟิตเนส ห้องเซาว์น่า (แยกชาย/หญิง) สวนหย่อมธรรมชาติ กล้องวงจรปิด (CCTV) Digital door lock (กลอนประตูดิจิตอล) จาก Samsung ทุกยูนิต ระบบคีย์การ์ดทางเข้าอาคาร และลิฟท์แบบคีย์การ์ดล๊อคชั้น ระบบรักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง Wi-Fi อินเตอร์เน็ตที่ล็อบบี้ส่วนกลาง การเดินทางสะดวกติดถนนใหญ่เข้า/ออกได้ 2 ทาง ทั้งถนนสีหบุรานุกิจและถนนสุวินทวงศ์ ใกล้รถไฟฟ้าสายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี สถานีตลาดมีนบุรี) ใกล้แหล่งสาธารณูปโภคครบครัน อาทิ ศูนย์การค้าตลาดมีนบุรี ศูนย์การค้าแฟชั่นไอส์แลนด์ เดอะพรอมานาด ศาลจังหวัดมีนบุรี ตลาดนัดจตุจักร 2 (มีนบุรี) โรงพยาบาลเสรีรักษ์ โรงพยาบาลนวมินทร์ 9 โรงเรียนพาณิชย์การมีนบุรี โรงเรียนเศรษฐบุตรบำเพ็ญ บิ๊กซี เทสโก โลตัส ฯลฯ ติดตามความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ได้ที่ www.thecube-condo.com,  www.facebook.com/the cube-condo และสื่อออนไลน์ต่าง ๆ ของโครงการ หรือสอบถามเพิ่มเติมโทร. 0-2918-8812-3
ชาญอิสสระ พร้อมเปิด 2 โครงการหรูกลางเมือง มูลค่า 4.4 พันล.  ชูทำเล พระราม 9 – บางนา จับกลุ่มไฮเอนด์

ชาญอิสสระ พร้อมเปิด 2 โครงการหรูกลางเมือง มูลค่า 4.4 พันล. ชูทำเล พระราม 9 – บางนา จับกลุ่มไฮเอนด์

ชาญอิสสระ เดินหน้ารุกตลาดอสังหาริมทรัพย์ ระดับไฮเอนด์ เตรียมเปิดตัว 2 โครงการหรู  “อิสสระ เรสซิเดนซ์ พระราม 9” และ“บ้านอิสสระ บางนา” ชูจุดเด่นทำเลที่ตั้งใจกลางเมืองพร้อมดึง A49 ร่วมงานออกแบบที่สร้างความแตกต่าง อย่างเหนือระดับ ชูทีมที่ปรึกษาด้านการตลาด และการขายมืออาชีพอย่าง CBRE ช่วยกระตุ้นยอดขายกลุ่มลูกค้าระดับไฮเอนด์ มั่นใจตลาดยังมีแนวโน้มความต้องการบ้านระดับไฮเอนด์สูง คาดได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี พร้อมเปิดพรีเซลล์ 8 สิงหาคมนี้ นายสงกรานต์ อิสสระ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงทิศทางการเติบโตของภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ว่ายังมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีขึ้น โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักทั้งจากการออกนโยบายและมาตรการต่างๆ จากภาครัฐ ที่เป็นแรงขับเคลื่อนในการกระตุ้นกำลังซื้อของผู้บริโภค รวมถึงศักยภาพของบริษัทในการพัฒนาโครงการต่างๆ ที่ประสบความสำเร็จในช่วงที่ผ่านมา ทั้งการเลือกหาทำเลที่ตั้งโครงการที่โดดเด่น สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่กำลังมองหาที่พักอาศัยที่ให้ความสะดวกสบายที่ครบครัน ทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกด้านสาธารณูปโภค สิ่งแวดล้อม รวมถึงภาคระบบการขนส่ง “จากศักยภาพของแต่ละโครงการที่ชาญอิสสระได้พัฒนาจนประสบความสำเร็จ ชาญอิสสระเองก็ไม่หยุดนิ่งในการเลือกหาทำเลที่ตั้งโครงการที่ดีๆ เพื่อมาตอบสนองความต้องการของลูกค้า ล่าสุดเตรียมเปิด 2 ทำเลสุดหรู เนรมิต 2 โครงการระดับซุปเปอร์ลักซ์ชัวรี่ใหม่เอาใจลูกค้าระดับไฮเอนด์ พร้อมศึกษาข้อมูลทางการตลาดพบว่าความต้องการบ้านเดี่ยวใจกลางเมืองระดับซุปเปอร์ลักซ์ชัวรี่ยังมีอยู่สูง ประกอบกับที่ผ่านมาชาญอิสสระได้พัฒนาโครงการบ้านอิสสระ พระราม 9 มาแล้ว ซึ่งได้รับการตอบรับจากกลุ่มลูกค้าเป็นอย่างดี ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพ และความเชี่ยวชาญในการพัฒนาโครงการบ้านหรูจากชาญอิสสระได้เป็นอย่างดี” นายสงกรานต์ กล่าว สำหรับ 2 โครงการบ้านเดี่ยวที่พร้อมเปิดตัวประกอบด้วย โครงการแรก “อิสสระ เรสซิเดนซ์ พระราม 9” ซึ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยว Super Luxury ใจกลางเมืองที่สุด ถ่ายทอดแนวคิดผ่านความเป็น Modern Tropical ที่ทำให้เกิดความรู้สึกอยู่สบายน่าพักอาศัย มีความเรียบง่ายตามวิถีของคนยุคใหม่แต่ไม่ละทิ้งหลักการของธรรมชาติและประสบการณ์การใช้ชีวิตแบบอิสระ บนพื้นที่ประมาณ 9 ไร่ ตั้งอยู่ถนนพระราม 9 ซอย 13  จำนวนเพียง 20  หลัง บนพื้นที่ดินขนาด 112-208 ตารางวา พร้อมพื้นที่ใช้สอยขนาด 700-764 ตารางเมตร และสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งคลับเฮาส์ ฟิตเนส สระว่ายน้ำระบบเกลือ พื้นที่สวนที่ให้ความเป็นส่วนตัว อบอุ่นด้วยธรรมชาติสำหรับครอบครัว โดยมีแบบบ้านมีให้เลือก 3 แบบ ประกอบด้วย  TYPE A บ้าน 3 ชั้น เนื้อที่ใช้สอย 764 ตารางเมตร 5 ห้องนอน  5 ที่จอดรถ พร้อมห้องรับแขกและห้องนั่งเล่น ครัวไทย ครัวpantry ห้องคนรับใช้ 2 ห้อง พร้อมลิฟท์และสระว่ายน้ำ TYPE B บ้าน 3 ชั้น เนื้อที่ใช้สอย 726 ตารางเมตร 5 ห้องนอน  5 ที่จอดรถ พร้อมห้องรับแขกและห้องนั่งเล่น  ครัวไทย ครัวpantry ห้องคนรับใช้ 2 ห้อง พร้อมลิฟท์และสระว่ายน้ำ TYPE C บ้าน 3 ชั้น เนื้อที่ใช้สอย 700 ตารางเมตร 4 ห้องนอน  4 ที่จอดรถ พร้อมห้องรับแขกและห้องนั่งเล่น ครัวไทย ครัวpantry ห้องคนรับใช้ 2 ห้อง พร้อมลิฟท์ ออกแบบบ้านโดย บริษัท สถาปนิก 49 จำกัด (A49) ที่รังสรรค์งานออกแบบบ้านที่อยู่ในเมืองให้สอดแทรกไปกับธรรมชาติได้อย่างลงตัว สร้างประสบการณ์ของการอยู่อาศัยของบ้านใจกลางเมืองได้อย่างสมบูรณ์แบบและสอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มลูกค้า โครงการ อิสสระ เรสซิเดนซ์ พระราม 9 มีราคาเริ่มต้นที่ 80-120 ล้านบาท โดยมีมูลค่าโครงการรวม 1,800  ล้านบาท ขณะที่โครงการที่สอง “ บ้านอิสสระ บางนา” โครงการบ้านเดี่ยวมีการออกแบบสะท้อนหลักของธรรมชาติเพื่อให้ทุกตารางเมตรของพื้นที่ใช้สอยเกิดภาวะอยู่สบายอย่างแท้จริง เป็นโครงการที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ ประมาณ  24  ไร่ บริเวณถนนบางนา กม.8  จำนวน 43  หลัง บนพื้นที่ดินขนาด 99 - 228 ตารางวา โดยมีพื้นที่ใช้สอย 425-633 ตารางเมตร พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งคลับเฮาส์ ฟิตเนส Amphitheater สระว่ายน้ำระบบเกลือ โอบล้อมด้วยความเขียวขจีของสวน โดยมีแบบบ้านให้เลือก 3 แบบ TYPE A บ้าน 3 ชั้น เนื้อที่ใช้สอย 633 ตารางเมตร 6 ห้องนอน  5 ที่จอดรถ พร้อมห้องรับแขกและห้องนั่งเล่น  ครัวไทย ครัวpantry ห้องคนรับใช้ 2 ห้อง พร้อมลิฟท์ TYPE B บ้าน 3 ชั้น เนื้อที่ใช้สอย 504 ตารางเมตร 4 ห้องนอน  4 ที่จอดรถ พร้อมห้องรับแขกและห้องนั่งเล่น  ครัวไทย ครัวpantry ห้องคนรับใช้ 2 ห้อง พร้อมลิฟท์ TYPE C บ้าน 2 ชั้น มีเนื้อที่ใช้สอย 425 ตารางเมตร 3 ห้องนอน 4 ที่จอดรถ พร้อมห้องรับแขกและห้องนั่งเล่น  ครัวไทย ครัวpantry ห้องคนรับใช้ 2 ห้อง ออกแบบบ้านโดย บริษัท สถาปนิก 49 จำกัด (A49) เป็นการออกแบบบ้านที่ให้ผู้อยู่อาศัยได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติ ร่มรื่นด้วยสวนขนาดใหญ่ ฟังก์ชั่นใช้สอยลงตัวและครบครัน  โครงการดังกล่าวนี้มีราคาเริ่มต้นที่ 46 ล้านบาท โดยมีมูลค่าโครงการรวม 2,600 ล้านบาท ด้านนางสาวอลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซี บี อาร์ อี (ประเทศไทย) (CBRE) จำกัด เปิดเผยว่า จากการที่ CBRE เข้ามาทำการตลาดบ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี่ในเมือง ในช่วงที่ผ่านมา พบว่าศักยภาพของการขายและกำลังซื้อของผู้บริโภคต่อบ้านเดี่ยวในเมืองระดับซุปเปอร์ลักซ์ชัวรี่ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ขณะที่สินค้าในตลาดยังไม่สามารถตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่ต้องการบ้านระดับซุปเปอร์ลักซ์ชัวรี่ในเมืองที่ต้องการพื้นที่ใช้สอย ขนาดที่ดินที่มากเพียงพอสำหรับครอบครัวขนาดใหญ่ และอยู่ในทำเลที่เหมาะสมในย่านใจกลางเมือง อีกทั้งแนวความคิดออกแบบบ้าน รูปแบบฟังก์ชั่นดีไซน์ และการเลือกใช้วัสดุพรีเมี่ยม ก็เป็นปัจจัยสำคัญสำหรับลูกค้ากลุ่มนี้ในการตัดสินใจเลือกซื้อ อย่างไรก็ตามในส่วนของโครงการ อิสสระ เรสซิเดนซ์ พระราม 9 และบ้านอิสสระ บางนา ทั้งสองโครงการนี้ ถือเป็นโครงการที่มีจุดเด่นในแง่ของการออกแบบที่เน้นพื้นที่ใช้สอยที่มากเพียงพอ โดยโครงการอิสสระ เรสซิเดนซ์ พระราม 9 มีแบบให้เลือก 4-5 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 700-764 ตารางเมตร บนที่ดินตั้งแต่ 112-208 ตารางวา ในขณะที่โครงการบ้านอิสสระ บางนามีแบบให้เลือก 3-5 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 425-633 ตารางเมตร บนที่ดินตั้งแต่ 99-228 ตารางวา  รวมถึงการออกแบบที่คำนึงถึงแสงธรรมชาติ ทิศทางลม อีกทั้งยังเลือกใช้วัสดุเกรดเอมาตรฐานระดับโลก รวมทั้งมีที่จอดรถเพียงพอต่อสมาชิกในครอบครัว ซึ่งถ้าเทียบกันในตลาดแล้วยังไม่มีโครงการใดที่สามารถตอบโจทย์ที่พักอาศัยระดับซุปเปอร์ลักซ์ชัวรี่แบบนี้ได้อย่างครบถ้วน นอกจากนี้จุดเด่นที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือทำเล สำหรับโครงการอิสสระ เรสซิเดนซ์ พระราม 9 ซึ่งตั้งอยู่บนทำเลใจกลางกรุงเทพฯ เส้นรัชดา-พระราม 9 ถือว่าเป็นทำเลที่ถูกมองว่าเป็น New Hot Spot หรือย่านธุรกิจแห่งใหม่ที่แวดล้อมด้วยออฟฟิศชั้นนำ ใกล้สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อีกทั้งถนนพระราม 9 ก็ถือเป็นจุดเชื่อมต่อสำหรับการเดินทางไม่ว่าจะเดินทางเข้าสู่ย่านธุรกิจอย่างอโศก สุขุมวิท สาทร สีลม หรือจะมุ่งหน้าออกมอเตอร์เวย์ และสนามบินสุวรรณภูมิก็สามารถเดินทางได้อย่างสะดวก ประกอบกับที่ตั้งโครงการยังใกล้กับทางด่วนพิเศษศรีรัช-พระราม 9 และในอนาคตยังมีส่วนต่อขยายแนวรถไฟฟ้า MRT สายสีส้มที่ตัดผ่านใกล้เคียงกับโครงการอีกด้วย ขณะที่โครงการบ้านอิสสระ บางนานั้น ตั้งอยู่บนทำเลตัวเมืองชั้นนอกที่เป็นย่านที่อยู่อาศัยที่เป็นที่นิยมอันดับต้นๆ ได้แก่กรุงเทพฝั่งตะวันออก อันเนื่องมาจากทำเลดังกล่าวได้มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางคมนาคม และสิ่งอำนวยความสะดวกที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ อาทิ ศูนย์การค้าระดับ Regional Shopping Center อย่างเมกะบางนา หรือโครงการขนาดใหญ่แห่งใหม่ อย่าง แบงค็อก มอลล์ รวมไปถึงการขยายตัวของอาคารสำนักงานอีกด้วย สำหรับโครงการ“บ้านอิสสระ เรสซิเดนซ์ พระราม 9” และ“บ้านอิสสระ บางนา” จะมีการเปิดให้จองพรีเซลล์ (Pre Sale) ตั้งแต่วันที่ 8 สิงหาคม 2559 นี้ พร้อมเตรียมสิทธิพิเศษสำหรับผู้ที่สนใจ
“เอสซีจี บิลดิ้งเทค” เปิดตัว “ระบบผนัง ฟูลฟิลล์ วอลล์” รุกตลาดผนังภายในสำหรับอาคารสูง ชูจุดเด่น “แข็งแรง ติดตั้งง่าย หน้างานสะอาด ส่งงานเร็ว” เดินหน้าสร้างการรับรู้เจาะกลุ่มเป้าหมาย B2B ตั้งเป้ายอดขายปีนี้ 223 ล้านบาท

“เอสซีจี บิลดิ้งเทค” เปิดตัว “ระบบผนัง ฟูลฟิลล์ วอลล์” รุกตลาดผนังภายในสำหรับอาคารสูง ชูจุดเด่น “แข็งแรง ติดตั้งง่าย หน้างานสะอาด ส่งงานเร็ว” เดินหน้าสร้างการรับรู้เจาะกลุ่มเป้าหมาย B2B ตั้งเป้ายอดขายปีนี้ 223 ล้านบาท

กรุงเทพฯ - “เอสซีจี บิลดิ้งเทค” (SCG Building Tech) เดินหน้ารุกตลาดผนังภายในสำหรับอาคารสูง ผนึกพันธมิตร สยามอิมเมจดีเวลลอปเม้นท์ ร่วมเปิดตัว “ระบบผนังอิฐมวลเบาเสริมโครงเหล็ก ฟูลฟิลล์ วอลล์” (FULFiLwall System) ชูจุดเด่น “แข็งแรง ติดตั้งง่าย หน้างานสะอาด ส่งมอบงานเร็ว” ด้วยนวัตกรรมปูนสูตรพิเศษ และนวัตกรรมการกรอกปูนแบบมัลติเลเยอร์ (Multi-Layer) ลิขสิทธิ์เฉพาะรายแรกและรายเดียวของไทย พร้อมบริการออกแบบ ติดตั้ง และตรวจสอบคุณภาพจากผู้เชี่ยวชาญมืออาชีพ มั่นใจช่วยยกระดับมาตรฐาน การก่อสร้าง ตอบความต้องการตลาดที่ต้องการสินค้าที่ติดตั้งได้รวดเร็ว และตอบโจทย์ปัญหาขาดแคลนแรงงานฝีมือ เตรียมเดินหน้าสร้างการรับรู้เจาะกลุ่มผู้รับเหมา และดีเวลลอปเปอร์กลุ่มงานอาคารแนวดิ่ง ตั้งเป้าหมาย ปี 59 ประเดิมยอดขาย 223 ล้านบาท นายสราวุฒิ สำราญทรัพย์ กรรมการผู้จัดการ–มาร์เก็ตติ้ง เฮ้าส์ซิ่ง บิสซิเนส ธุรกิจ เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เปิดเผยว่า จากแนวทางการดำเนินธุรกิจของ “เอสซีจี บิลดิ้งเทค” (SCG Building Tech) ที่เน้นตอบแนวโน้มผู้ประกอบการในตลาดที่ต้องการสินค้าที่มีนวัตกรรม ทันสมัย มีคุณภาพ และติดตั้งได้รวดเร็ว มุ่งพัฒนาเทคโนโลยีการก่อสร้างใหม่ๆ เพื่อลดปัญหาด้านการก่อสร้าง ตลอดจนช่วยลดปัญหาการขาดแคลนแรงงานฝีมือ ล่าสุดจึงได้ร่วมกับ บริษัท สยามอิมเมจดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ในฐานะพันธมิตรทางธุรกิจ แนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ “ระบบผนังอิฐมวลเบาเสริมโครงเหล็ก ฟูลฟิลล์ วอลล์” (FULFiLwall System) นวัตกรรมระบบก่อสร้างผนังภายในสำหรับอาคารสูง ภายใต้แบรนด์ “เอสซีจี บิลดิ้งเทค” ที่มีการเปิดตัวเข้าสู่ตลาดอย่างเป็นทางการ “ปัจจุบันธุรกิจอาคารทั้งคอนโดมิเนียมและโรงแรมที่มีการแข่งขันที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้ประกอบการจึงต้องการเทคโนโลยีที่สามารถช่วยลดระยะเวลาในการก่อสร้าง ลดต้นทุนแฝง และลดการพึ่งพาแรงงานฝีมือ แต่ยังคงคุณภาพที่ได้มาตรฐาน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ดังนั้น เอสซีจี บิลดิ้งเทค จึงร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจ แนะนำระบบก่อสร้างผนังภายในสำหรับอาคารสูงที่ตอบโจทย์ข้างต้น โดยพัฒนายกระดับการก่อสร้างจากการก่ออิฐฉาบปูนเป็นระบบผนังแบบหล่อในที่ (Stay In Place) ปัจจุบันตลาดระบบผนังภายในสำหรับอาคารสูงมีสัดส่วนเป็นระบบการก่อสร้างแบบก่ออิฐฉาบปูน 96% และเป็นระบบผนังรูปแบบอื่นๆ 4% จึงเป็นตลาดที่น่าจับตามองและเป็นโอกาสที่เราจะแนะนำนวัตกรรมการก่อสร้างระบบใหม่เข้าสู่ตลาด” นายสราวุฒิ กล่าว ด้านนายประกาญจน์ อัยยะภาคย์ ผู้อำนวยการการตลาด ซิสเต็ม แอนด์ โซลูชั่น ธุรกิจ เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง กล่าวว่า เอสซีจี บิลดิ้งเทค ร่วมกับ พันธมิตรทางธุรกิจ แนะนำ “ระบบผนังอิฐมวลเบาเสริมโครงเหล็ก ฟูลฟิลล์ วอลล์” (FULFiLwall System) นวัตกรรมระบบผนังยุคใหม่ซึ่งเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการก่อสร้างให้กับผู้ประกอบการหรือผู้รับเหมาที่ต้องการการส่งมอบงานที่เร็วขึ้นกว่า 30% และช่วยลดต้นทุนแฝง เมื่อเทียบกับระบบการก่อสร้างแบบก่ออิฐฉาบปูน หน้างานสะอาดเพราะเป็นระบบหล่อในที่ด้วยการก่อสร้างแบบกึ่งแห้ง (Stay In Place) โดยสามารถออกแบบผนังกันเสียงที่มีความหนาของผนังน้อยกว่าผนังก่ออิฐทั่วไป ช่วยเพิ่มพื้นที่ให้กับห้องและอาคาร ในขณะที่ยังคงความแข็งแรงตามมาตรฐานสากล ยึดแขวนของได้มากกว่า 50 กก.ต่อจุด และกันเสียงได้ตั้งแต่ 40-66 เดซิเบล (ตามการออกแบบ) รับแรงสั่นสะเทือนได้มากกว่า 6 ริคเตอร์ นอกจากนี้ยังสามารถออกแบบผนังให้สูงได้ถึง 9 เมตร โดยมีการใช้ นวัตกรรมปูนสูตรพิเศษ ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับวิธีการติดตั้งระบบผนัง ฟูลฟิลล์ วอลล์ โดยเฉพาะ คือใช้ระยะเวลาในการเซ็ทตัวเพียง 1.30 นาที เร็วกว่าปูนซีเมนต์ทั่วไปถึง 95% ทำให้สามารถควบคุมระนาบผนังให้เรียบสวย เนื้อปูนเกาะเป็นเนื้อเดียวกันแม้มีการกรอกเพิ่มเติมภายหลัง ปูนมีความหนาแน่นเทียบเท่าอิฐมวลเบา G4 และทนไฟได้นานถึง 2 ชั่วโมง 45 นาที อีกทั้งยังได้รับลิขสิทธิ์ นวัตกรรมการกรอกผนังฟูลฟิลล์ วอลล์แบบมัลติเลเยอร์ (Multi-Layer) เป็นรายแรกและรายเดียวในไทย ซึ่งช่วยลดแรงดันที่เกิดจากการเทปูนลงในผนัง ลดการปูดบวม และควบคุมระนาบของผนังให้เรียบสวย ผนังตรงได้ฉาก นอกจากนวัตกรรมการก่อสร้างที่เป็นจุดแข็งแล้ว ยังมีบริการเบ็ดเสร็จครบวงจร ตั้งแต่ให้คำปรึกษา ออกแบบ ติดตั้ง ตรวจสอบคุณภาพ และรับประกัน จากผู้เชี่ยวชาญมืออาชีพ พร้อมวางกลุ่มเป้าหมายหลักเป็นกลุ่มผู้รับเหมา และดีเวลลอปเปอร์ กลุ่มงานอาคารแนวดิ่ง ได้แก่ คอนโดมิเนียม โรงแรม และอพาร์ทเม้นต์ ที่ต้องการงานก่อสร้างที่รวดเร็วและมีคุณภาพ โดยผู้ที่สนใจสามารถติดต่อรับบริการได้ที่เอสซีจี คอนแทค เซ็นเตอร์ โทร. 02-586-2222 หรือร้านผู้แทนจำหน่ายเอสซีจีทั่วประเทศ ทั้งนี้ที่ผ่านมาเราได้รับความไว้วางใจจากองค์กรธุรกิจชั้นนำหลายองค์กรในการก่อสร้างระบบผนังภายในโครงการต่างๆ อาทิ blu ชะอำ-หัวหิน คอนโดมิเนียม ของบริษัทร่วมอิสสระ จำกัด, The Zea ศรีราชา ของบริษัท เวลธ์ ดีเวลลอปเปอร์ จำกัด และ เดอะแกรนด์ AD จอมเทียน/AD หัวหิน ของบริษัท เอ.ดี.เฮ้าส์ จำกัด เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีโครงการที่ยังอยู่ในระหว่างการก่อสร้างอีกหลายโครงการ “เนื่องจากระบบผนังอิฐมวลเบาเสริมโครงเหล็ก ฟูลฟิลล์ วอลล์ เป็นผลิตภัณฑ์ที่เน้นกลุ่มเป้าหมายแบบ B2B ดังนั้นบริษัทจึงได้เริ่มผลักดันการขายนับตั้งแต่ปีที่ผ่านมา เพื่อให้เกิด Reference Site ตอกย้ำความเชื่อมั่นในตัวผลิตภัณฑ์ก่อนการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ซึ่งต่อจากนี้ก็จะเดินหน้าสร้างการรับรู้ในกลุ่มเป้าหมายต่อไป โดยเน้นสื่อสารถึงจุดเด่นและนวัตกรรมของระบบผนังที่ทำให้การก่อสร้างง่ายและรวดเร็วกว่าการก่อสร้างในรูปแบบเดิม หน้างานสะอาด ส่งงานเร็ว ลดต้นทุนแฝง อีกทั้งยังมีบริการการติดตั้งครบวงจร ผ่านการออกบูธจัดแสดงเกี่ยวกับงานก่อสร้าง อีกทั้งยังมีการประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางสื่อสิ่งพิมพ์และสื่อดิจิตอล ตลอดจนอัพเดทข้อมูลในเว็บไซต์www.scgbuildingmaterials.com โดยเรามั่นใจว่าหลังการแนะนำผลิตภัณฑ์เข้าสู่ตลาดอย่างเป็นทางการ จะทำให้ได้รับผลตอบรับที่ดีจากกลุ่มเป้าหมาย โดยตั้งเป้ายอดขายปีนี้ 223 ล้านบาท หรือคิดเป็น 320,000 ตร.ม. ทั้งนี้นอกจากการเปิดตัวระบบผนังอิฐมวลเบาเสริมโครงเหล็ก ฟูลฟิลล์ วอลล์ เข้าสู่ตลาดแล้ว หลังจากนี้ทางเอสซีจี บิลดิ้งเทค ยังมีแผนในการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่เป็นโซลูชั่นสำหรับผนังในรูปแบบอื่นๆ อาทิ S Wall, Precast เข้าสู่ตลาดอย่างเป็นทางการต่อไป เพื่อตอบวิสัยทัศน์ในการเป็นแบรนด์สินค้าเทคโนโลยีระบบก่อสร้าง ที่ตอบโจทย์งานก่อสร้างที่รวดเร็ว คุณภาพสูง แก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานในอนาคต” นายสราวุฒิ กล่าวสรุป
เจแอลแอลคาดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้ประโยชน์ในระยะยาว

เจแอลแอลคาดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้ประโยชน์ในระยะยาว

เมื่อช่วงต้นเดือนนี้ ที่ประชุม ครม. ได้มีมติเห็นชอบกรอบการออกพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง แม้จะมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกมาก ที่ยังไม่มีความชัดเจนในร่างโครงสร้างภาษี ที่มีการเผยแพร่ออกมาในเบื้องต้น แต่คาดว่าเมื่อประกาศใช้ จะมีผู้ถือครองอสังหาริมทรัพย์จำนวนมากที่จะได้รับผลกระทบระยะสั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และต้องใช้เวลาระยะหนึ่งในการปรับตัว อย่างไรก็ดี นโยบายภาษีใหม่นี้ เชื่อว่าจะช่วยกระตุ้นให้มีการใช้ประโยชน์ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นและจะเป็นประโยชน์ต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ของไทยโดยรวมต่อไปในระยะยาว ตามการวิเคราะห์จากบริษัทที่ปรึกษาและบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ เจแอลแอล (โจนส์ แลง ซาลล์) เจ้าของบางรายอาจจำเป็นต้องปล่อยขายอสังหาริมทรัพย์เพื่อเลี่ยงภาระภาษี ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างใหม่ จะสร้างภาระทางการเงินให้แก่ผู้ครอบครองอสังหาริมทรัพย์ที่เข้าข่ายต้องเสียภาษี ดังนั้น เท่ากับเป็นการบังคงให้เจ้าของต้องเข้าใช้ประโยชน์ในอสังหาริมทรัพย์ (โดยเฉพาะที่ดินเปล่า) เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีอัตราสูง หรือพยายามทำให้อสังหาริมทรัพย์ที่ถือครองสามารถสร้างรายได้ให้ได้อย่างน้อยมากพอที่จะทดแทนภาษีที่จะต้องจ่าย ในขณะที่เจ้าของบางรายอาจจำเป็นต้องปล่อยขายอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากไม่มีความสามารถในการจ่ายภาษีได้ นางสุพินท์ มีชูชีพ กรรมการผู้จัดการ เจแอลแอล กล่าวว่า “มีคนจำนวนไม่น้อยที่เป็นเศรษฐีที่ดินแต่ไม่ได้มีเงินทองร่ำรวย ดังนั้น จึงอาจไม่สามารถแบกรับการจ่ายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างใหม่ได้ โดยเฉพาะถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงแต่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ เพราะฉะนั้น จึงคาดว่า คนกลุ่มนี้อาจจำเป็นต้องปล่อยขายอสังหาริมทรัพย์ที่ถือครอง” ธนาคาร-สถาบันการเงิน เป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์อีกกลุ่มหนึ่งที่คาดว่าจะได้รับแรงกดดันจากภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจนต้องเร่งการขายอสังหาริมทรัพย์ที่ได้จากการยึดจากลูกหนี้ที่ไม่สามารถชำระหนี้ได้ “แม้ภาษีที่มีการเสนอให้จัดเก็บสำหรับกรณีที่เป็นสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPA) ของสถาบันการเงินจะได้รับการผ่อนผันให้ใช้ภาษีอัตราต่ำที่ร้อยละ 0.05 เป็นเวลา 5 ปี แต่ในความเป็นจริงคือ ธนาคารและสถาบันการเงินมี NPA จำนวนไม่น้อยที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ที่มีมูลค่าสูง ดังนั้น คาดว่าภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจะสร้างภาระให้กับธนาคารได้ไม่น้อยเช่นกัน” นางสุพินท์กล่าว ในกรณีต่างๆ ดังกล่าว คาดว่า เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ที่มีความจำเป็นต้องปล่อยขายอสังหาริมทรัพย์เพื่อเลี่ยงภาระที่จะเกิดจากภาษีใหม่ จะมีความยืดหยุ่นมากขึ้นในเรื่องราคา ซึ่งหมายรวมถึงการยอมลดราคาเสนอขายลงเพื่อเร่งการขาย อย่างไรก็ดี สำหรับเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ที่มีทุนหนาบางรายอาจไม่ยอมลดราคาขายลง และยอมที่จะจ่ายภาษีเอง แต่อาจปรับราคาขายขึ้นเพื่อสะท้อนต้นทุนภาษีที่ต้องจ่ายไป “กลยุทธ์นี้อาจใช้ได้ผล กรณีที่อสังหาริมทรัพย์นั้นๆ เป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ดีและตั้งอยู่ในทำเลที่ดี ซึ่งมีผู้สนใจซื้อจำนวนมาก” นางสุพินท์กล่าว ค่าเช่าโดยรวมสำหรับอสังหาริมทรัพย์อาจปรับสูงขึ้น ยังไม่มีความชัดเจนว่า สำหรับอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่สามารถสร้างรายได้ เจ้าของจะต้องจ่ายภาษีสูงขึ้นหรือลดลง เมื่อเทียบกับภาษีโรงเรือนปัจจุบันที่มีการเรียกเก็บในอัตราร้อยละ 12.5 ของรายได้ที่ได้จากการให้ปล่อยเช่าอสังหาริมทรัพย์ (หรือตามที่เจ้าหน้าที่ประเมินว่า สินทรัพย์ดังกล่าวน่าจะสร้างรายได้ปีละเท่าใดหากปล่อยเช่า) แต่ไม่ว่าจะกรณีใด หากต้องจ่ายภาษีสูงขึ้น แน่นอนว่า เจ้าของจะผลักภาระภาษีที่เพิ่มขึ้นไปให้กับผู้เช่า ไม่ว่าจะโดยทางตรง หรือทางอ้อม ซึ่งหมายความว่า ค่าเช่าโดยรวม (ก่อนหักค่าใช้จ่าย) สำหรับอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าทุกประเภทจะปรับเพิ่มสูงขึ้น แต่ถึงกระนั้น สัดส่วนภาระภาษีที่จะถูกผลักไปให้ผู้เช่า อาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสภาวะตลาดของอสังหาริมทรัพย์แต่ละประเภท “ตัวอย่างเช่นตลาดอพาร์ทเม้นท์ให้เช่าในกรุงเทพฯ ซึ่งมีการแข่งขันสูง ทั้งกับอพาร์ทเม้นท์ด้วยกันเอง และกับคอนโดที่มีการปล่อยออกมามากในขณะนี้ เจ้าของอาคารอพาร์ทเม้นท์อาจต้องยอมรับภาระภาษีที่เพิ่มขึ้นไว้เอง เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน แต่ในทางตรงข้าม ตลาดอาคารสำนักงานให้เช่าในกรุงเทพฯ ในขณะนี้ อำนาจการต่อรองอยู่ในฝั่งของเจ้าของอาคาร ดังนั้น จึงมีแนวโน้มที่เจ้าของอาคารจะผลักภาระทางด้านภาษีที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่หรือทั้งหมดไปให้กับผู้เช่า ไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อม” นางสุพินท์กล่าว โดยภาพรวม ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศในระยะยาว นอกเหนือจากการเพิ่มแหล่งรายได้ให้กับทางการเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการพัฒนาท้องที่ เชื่อว่า ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างใหม่จะช่วยกระตุ้นให้มีการใช้ประโยชน์ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะกรณีของที่ดินรกร้างที่ถูกปล่อยทิ้งโดยเปล่าประโยชน์ ซึ่งเข้าข่ายที่เจ้าของต้องเสียภาษีในอัตราสูงสุด นอกจากนี้ คาดว่าภาษีใหม่จะมีส่วนช่วยอย่างมากในการลดการซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อเก็งกำไรด้วย “ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างใหม่ จะเพิ่มความเสี่ยงมากขึ้นให้แก่ผู้ที่คิดจะซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อเก็บไว้รอโอกาสขายเพื่อทำกำไรเมื่อราคาขยับขึ้นในอนาคต เนื่องจากภาษีใหม่นี้จะเป็นต้นทุนที่เพิ่มขึ้นสำหรับผู้ถือครองอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะหากอสังหาริมทรัพย์นั้นไม่มีการใช้ประโยชน์หรือไม่ก่อให้เกิดรายได้” นางสุพินท์อธิบาย ในส่วนของการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ในปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะไม่ซื้อที่ดินเพื่อสะสมไว้ แต่จะซื้อที่ดินที่มีศักยภาพในการพัฒนาโครงการได้ทันที ซึ่งนโยบายภาษีใหม่นี้จะทำให้แนวโน้มนี้ขยายตัวเพิ่มมากยิ่งขึ้นไปอีก นางสุพินท์กล่าวสรุปว่า “แม้จะมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกมากที่ยังไม่มีความชัดเจนในร่างโครงสร้างภาษีที่มีการเผยแพร่ออกมาในเบื้องต้น แต่หากมีการศึกษาทบทวนรายละเอียดหลักเกณฑ์และกฎระเบียบเกี่ยวการเรียกเก็บภาษีอสังหาริมทรัพย์ประเภทต่างๆ ให้รอบคอบและมีการบังคับใช้อย่างมีประสิทธิภาพ เชื่อว่านโยบายใหม่ด้านภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจะเป็นผลดีกับประเทศไทยและภาคอสังหาริมทรัพย์ต่อไปในระยาว” ร่างโครงสร้างภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง * ราคาประเมินจากกรมธนารักษ์  ที่มา – กระทรวงการคลัง
คาดวิกฤตอียูไม่กระทบตลาดอสังหาริมทรัพย์เอเชียแปซิฟิก

คาดวิกฤตอียูไม่กระทบตลาดอสังหาริมทรัพย์เอเชียแปซิฟิก

กรุงเทพฯ 28 มิถุนายน 2559 –  ในภาวะที่ตลาดเงินมีความผันผวนสูงหลังจากอังกฤษมีประชามติให้ถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป มีความเป็นไปได้ว่าการลงทุนซื้อขายอสังหาริมทรัพย์โดยภาพรวมทั่วโลกอาจมีความคึกคักน้อยลง โดยนักลงทุนจากยุโรปมีแนวโน้มไม่ลงทุนเพิ่ม ซึ่งรวมถึงการลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์ในต่างภูมิภาค จนกว่าตลาดเงินจะมีเสถียรภาพมากขึ้น ในขณะที่ธนาคารที่มีความเกี่ยวพันสูงกับยุโรปจะไม่ต้องการเสี่ยงปล่อยกู้ในระยะนี้ อย่างไรก็ดี ความผันผวนในกลุ่มยูโร เชื่อว่าจะไม่มีผลกระทบเชิงลบต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ในเอเชียแปซิฟิกซึ่งพึ่งพาความต้องการและการลงทุนภายในประเทศและภายในภูมิภาคเป็นส่วนใหญ่ และน่าจะมีผลดีในบางมิติ ตามการวิเคราะห์จาก ดร. เมแกน วอลเตอร์ส ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหน่วยธุรกิจบริการด้านลงทุนภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกของบริษัทที่ปรึกษาและบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ เจแอลแอล (โจนส์ แลง ลาซาลล์) นักลงทุนสนใจลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์เอเชียแปซิฟิกมากขึ้น ออสเตรเลียเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่คาดว่าจะไม่ได้รับผลกระทบแต่น่าจะได้ประโยชน์มากกว่าจากความผันผวนที่เกิดขึ้นในยุโรป ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมา ตลาดอสังหาริมทรัพย์ของอังกฤษและออสเตรเลียต่างได้รับความสนใจจากสูงจากนักลงทุนต่างชาติ จากการที่มีความเสี่ยงด้านการลงทุนต่ำ เนื่องจากเป็นตลาดที่มีความโปร่งใสสูงและอสังหาริมทรัพย์มีสภาพคล่องสูงที่สุดในโลก ดังนั้น ในระหว่างนี้ ออสเตรเลียน่าจะดึงดูดนักลงทุนได้มากกว่า นอกจากนี้ นักลงทุนจากเอเชียแปซิฟิก โดยเฉพาะจากจีน ซึ่งมีบทบาทสูงในฐานะนักลงทุนรายใหญ่ที่มีการลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์ในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก มีจำนวนไม่น้อยที่เข้าไปลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์ของยุโรปรวมถึงอังกฤษในช่วงก่อนหน้า ซึ่งนักลงทุนจากเหล่านี้ต่างได้รับผลกระทบจากการอ่อนค่าลงของทั้งเงินปอนด์อังกฤษและเงินยูโร ซึ่งส่งผลให้มูลค่าและรายได้จากอสังหาริมทรัพย์ที่ซื้อไว้ปรับลดลงเมื่อแลกเปลี่ยนกลับมาในสกุลของประเทศต้นทางของตน ด้วยเหตุนี้ ตราบเท่าที่ความไม่แน่นอนยังมีอยู่สูง นักลงทุนส่วนใหญ่ของเอเชียแปซิฟิกมีแนวโน้มที่จะเลือกลงทุนในภูมิภาคของตนเองมากขึ้น แม้จะมีบางส่วนที่อาจยินดีรับความเสี่ยงด้วยการอาศัยจังหวะที่ค่าเงินปอนด์อ่อนตัว หาโอกาสการเข้าลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์ในอังกฤษ แนวโน้มที่นักลงทุนเอเชียแปซิฟิกมีหันมาลงทุนในภูมิภาคของตนเองมากขึ้น สะท้อนให้เห็นตั้งแต่ช่วงก่อนรู้ผลการลงประชามติให้อังกฤษถอนตัวจากอียู โดยในไตรมาสแรกของปีนี้ การลงทุนซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ในลอนดอนซึ่งปกติเป็นตลาดการลงทุนซื้อขายอสังหาริมทรัพย์มูลค่าสูงสุดในโลก ได้ชะลอตัวลงอันเป็นผลมาจากความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นจากการจัดให้มีการลงประชามติ แต่ในช่วงเดียวกัน พบว่า นักลงทุนจีนมีการลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์ในภูมิภาคมากขึ้น โดยเฉพาะในฮ่องกง นักลงทุนเอเชียแปซิฟิกมีขีดความสามารถในการลงทุนสูงขึ้น นักลงทุนในเอเชียแปซิฟิกซึ่งมีทุนหนาอยู่แล้วคาดว่าจะได้รับประโยชน์จากสถานการณ์ขณะนี้ด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะประเทศที่มีค่าเงินแข็งขึ้นมากดังเช่นญี่ปุ่น ซึ่งจะทำให้มีนักลงทุนมีกำลังในการลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อธนาคารกลางของญี่ปุ่นใช้นโยบายดอกเบี้ยเงินฝากติดลบ ซึ่งจะกระตุ้นให้นักลงทุนญี่ปุ่นมีการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น การอ่อนแรงลงของนักลงทุนจากอียู ยังจะเอื้อประโยชน์ให้กับนักลงทุนของเอเชียแปซิฟิกด้วย เนื่องจากเป็นการลดคู่แข่งในการชิงโอกาสการลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่น่าสนใจลง การเจรจาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ใหญ่ๆ ในเอเชียแปซิฟิกโดยกองทุนที่มีนักลงทุนจากยุโรปเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่บางรายการที่มีขึ้นในช่วงก่อนหน้านี้ อาจถูกหยุดไว้ หรือยกเลิกไป แต่คาดว่าในไม่ช้าจะมีนักลงทุนเอเชียแปซิฟิกเข้าเจราจาซื้อแทน
เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ รังสรรค์วิมานแห่งใหม่ของคนมีสไตล์ เนรมิต 4 ห้อง 4 แบบที่ “มาเอสโตร 02 ร่วมฤดี” คอนโดหรูหราคลาสสิค ผสมกลิ่นอายโมเดิร์นใจกลางเมือง

เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ รังสรรค์วิมานแห่งใหม่ของคนมีสไตล์ เนรมิต 4 ห้อง 4 แบบที่ “มาเอสโตร 02 ร่วมฤดี” คอนโดหรูหราคลาสสิค ผสมกลิ่นอายโมเดิร์นใจกลางเมือง

สัมผัสนิยามใหม่ของความหรูหราที่ไม่ไกลเกินเอื้อม บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับบนชั้นนำของไทย เนรมิต “มาเอสโตร 02 ร่วมฤดี” (MAESTRO 02 Ruamrudee) คอนโดมิเนียมโลว์ไรส์สไตล์คลาสสิค มูลค่ากว่า 590 ล้านบาท ชูจุดขายทำเลที่ดีที่สุดของการใช้ชีวิตใจกลางกรุงเทพฯ ที่ยากจะหาได้ในเวลานี้ รายล้อมด้วยความสะดวกสบายในทุกมิติของชีวิต พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ตอบสนองไลฟ์สไตล์คนเมือง ล่าสุด จัดงานเปิดตัวห้องตัวอย่าง 4 รูปแบบ โดยมี 4 เซเลบริตี้ ผู้เปี่ยมด้วยรสนิยมมาเป็นตัวแทนของ 4 ไลฟ์สไตล์ที่น่าสนใจ ได้แก่ พิมดาว พานิชสมัย นักร้องและนักแสดงมากฝีมือ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เจ้าของธุรกิจผลิตภัณฑ์น้ำมันรำข้าวอนาคตไกล ณัฐพล จุฬางกูร ทายาทธุรกิจวงการยานยนต์และอสังหาริมทรัพย์ และธัชมาพรรณ จันทร์จำรัสแสง หรือ ปอม ชาน นักวาดภาพประกอบชื่อดังระดับโลก ภายในงานได้รับเกียรติจาก เพชรลดา พูลวรลักษณ์ กรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยรายละเอียดของ มาเอสโตร 02 ร่วมฤดี คอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จโครงการใหม่ล่าสุด พร้อมด้วยเซเลบริตี้ตัวแทนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์, พิมดาว พานิชสมัย และนักแสดงหนุ่มสุดฮอต ฌอห์ณ จินดาโชติ ร่วมพูดคุยถึงไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตแบบคนเมือง พร้อมแชร์เคล็ดลับการเลือกคอนโดฯ ในฝัน วันพุธที่ 15 มิถุนายนนี้ ที่ มาเอสโตร 02 ร่วมฤดี ซอย 2 เพชรลดา พูลวรลักษณ์ เผยว่า เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ เนรมิตโครงการ มาเอสโตร 02 ร่วมฤดี ให้เป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ในซอยร่วมฤดี ภายใต้คอนเซ็ปต์คลาสสิคผสมกลิ่นอายโมเดิร์นที่ผสานกันได้อย่างลงตัว อาคารสูง 8 ชั้น พร้อมชั้นจอดรถใต้ดิน 1 ชั้น และมีจำนวนห้องเพียง 138 ยูนิต ตั้งอยู่ในใจกลางซอยร่วมฤดี ซึ่งเป็นทำเลที่เงียบสงบเป็นส่วนตัว และครบครันกับทุกองค์ประกอบของไลฟ์สไตล์ ใกล้สถานีรถไฟฟ้าเพลินจิต และแหล่งช้อปปิ้ง เพียง 5 นาทีถึงเซ็นทรัล เอ็มบาสซี่และเซ็นทรัล ชิดลม สะดวกสบายในการเดินทางด้วยรถยนต์เมื่อสามารถเข้า-ออกโครงการได้ถึง 2 เส้นทาง คือ ถนนเพลินจิตและถนนวิทยุ “จุดเด่นของโครงการ นอกจากตั้งอยู่ในทำเลทองใจกลางเมืองแล้ว มาเอสโตร 02 ร่วมฤดี ได้รับการออกแบบอย่างเป็นเอกลักษณ์ ด้วยเสน่ห์ของสถาปัตยกรรมดีไซน์ยูโรเปี้ยนคลาสสิคที่บ่งบอกสไตล์การใช้ชีวิตโก้หรูอย่างแตกต่าง งานดีไซน์ภายในห้องสะท้อนความทันสมัย นอกจากนี้ ภายในโครงการ มาเอสโตร 02 ร่วมฤดี ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบครัน ตอบทุกรูปแบบการใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นแลคจอดจักรยาน ห้องฟิตเนสและบ๊อกซิ่ง สระว่ายน้ำอควาติกพูลพร้อมจากุซซี่ ลานโยคะ มุมบาร์บีคิว เพื่อจัดปาร์ตี้สังสรรค์ และอื่นๆ อีกมากมาย ทั้งนี้ ภายในโครงการได้รังสรรค์ธีมห้องตัวอย่าง 4 สไตล์ ได้แก่  “Happiness Enhancer”, “Life Chamber”, “Jetsetter” และ “Dream maker” ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากไลฟ์สไตล์ของ 4 เซเลบริตี้รุ่นใหม่ พร้อมร่วมถ่ายทอดนิยามและคำจำกัดความของที่พักอาศัยในแบบเฉพาะตัว “Happiness Enhancer” เริ่มจาก พิมดาว พานิชสมัย นักร้องและนักแสดงมากฝีมือที่ให้คำจำกัดความคอนโดฯ ในฝันของเธอว่า ต้องให้ความรู้สึกเหมือนบ้าน มีความเป็นตัวเองมากที่สุด เพราะนั่นจะสามารถสร้างแรงบันดาลใจดีๆ ให้เกิดขึ้นตั้งแต่ลืมตาตื่น โมเมนต์ของความสุขเกิดขึ้นง่ายๆ แค่เพียงนั่งพักผ่อนบนโซฟาตัวนุ่มสบายและผ่อนคลายอารมณ์ด้วยกีต้าร์โปร่งสักตัว โทนสีขาว คือ สีในดวงใจของพิมดาว เพราะให้ความรู้สึกโปร่ง สบายตา หากมีโอกาสแต่งห้องเอง เธอบอกว่าก็คงจะมีงานเพ้นท์ติดไว้เต็มผนัง โดยเฉพาะรูปที่วาดเอง เพราะมีคุณค่าทางจิตใจ หรือแม้กระทั่งของที่เจ้าตัวและสามีให้กันในโอกาสต่างๆ ก็คงจะจัดวางตกแต่งห้องไปด้วย  “ตอนนี้ไม่ได้ตัวคนเดียวแล้ว ก็ต้องถามสามีด้วยว่าชอบอะไรแบบไหน เป็นการแชร์กัน ทั้งเรื่องเฟอร์นิเจอร์ด้วยก็ตาม แล้วมัดหมี่เองก็เป็นคนที่ชอบออกกำลังกายมาก เกือบจะ 6 วันต่อสัปดาห์ การมีห้องออกกำลังกายหรือสระว่ายน้ำอยู่ในคอนโดฯ ก็เป็นเรื่องดีมากๆ เพราะเราก็ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปหาฟิตเนสที่อื่น” “Life Chamber” ด้าน พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เจ้าของธุรกิจผลิตภัณฑ์น้ำมันรำข้าวอนาคตไกลที่ตอนนี้ควบอีกหนึ่งตำแหน่ง ในฐานะคุณพ่อของน้องพิพิม ลิ้มเจริญรัตน์ เปิดใจว่า หากให้เลือกที่พักอาศัยสักแห่ง นอกเหนือจากโลเคชั่นและสะดวกสบายในการเดินทางแล้ว ยังพิจารณาที่ซอฟท์แวร์หรือสังคม เพื่อนบ้านที่จะอยู่ด้วย คอนโดมิเนียมแบบโลว์ไรซ์ คือ คนน้อย จึงตอบโจทย์ ตรงที่มีความเป็นส่วนตัว เหมาะกับการอยู่อาศัยแบบครอบครัว “ผมมองว่าที่พักอาศัยก็เหมือนกับคู่ชีวิต และเป็นเสมือนที่ชาร์จพลังของเรา เป็นที่ๆ เป็นตัวของตัวเองได้มากที่สุด โลกข้างนอกอาจจะดีบ้างไม่ดีบ้างนะ แต่กลับเข้ามาในบ้านเราต้องสามารถเรียกได้เต็มปากเต็มคำว่าที่นี่เป็น Home ไม่ใช่ House ผมเป็นคนท่องเที่ยวเยอะ และเปิดกว้างยอมรับความคิด หรือวัฒนธรรมใหม่ๆ พอไปประเทศไหนก็เลยมักจะมีงานศิลปะของประเทศนั้นๆ ติดไม้ติดมือกลับมาด้วย สิ่งที่มีอยู่ในบ้านไม่จำเป็นต้องมียี่ห้อ หรือแพง เพราะบางสิ่งของผมมันก็ไม่ได้มียี่ห้ออะไร แต่มีคุณค่าทางใจสำหรับผม” การตกแต่งในธีม “Life Chamber” มาในโทนสีเรียบโก้ สะท้อนให้เห็นไลฟ์สไตล์ที่ชอบเดินทาง ทั้งเพื่อติดต่อธุรกิจและการท่องเที่ยว ผ่านโต๊ะทำงานที่โดดเด่น และชั้นวางของไว้สำหรับวางของสะสมจากทั่วทุกมุมโลก “Jet Setter” ด้วยความที่เป็นคนพิถีพิถันในการใช้ชีวิต ทุกสิ่งรอบตัวของ ณัฐพล จุฬางกูร ทายาทธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์และอสังหาริมทรัพย์  จึงต้องคัดสรรให้เหมาะและแมทช์กับตนเอง ด้วยธีมแบบ “Jet Setter” จึงแสดงถึงความหรูหรามีระดับ ด้วยของตกแต่งคุณภาพพรีเมี่ยม สะท้อนแนวคิดความเป็นผู้นำ และความเป็นหนุ่มสังคมแถวหน้า “ทำเลเป็นอันดับแรกๆ ที่ต้องให้ความสำคัญ ควรเข้าออกได้หลายทาง ส่วนที่จอดรถก็ควรกว้างขวาง สะดวกสบาย  ถัดมาคือเรื่องความปลอดภัย รวมถึงความเป็นส่วนตัว โครงสร้างและตัวตึกก็ต้องได้มาตรฐาน มีความน่าเชื่อถือ การออกแบบสวยงาม มีเอกลักษณ์ มีพื้นที่สีเขียวให้ผ่อนคลายด้วย เพราะมุมโปรดของผมคือมุมกระจก ที่สามารถมองออกไปเห็นวิวข้างนอกได้หมด ได้เห็นมุมเขียวๆ สดชื่นจากด้านนอก ทำให้รู้สึกรีแล็กซ์มากๆ ถ้าเปรียบ มาเอสโตร 02 ร่วมฤดี เป็นคนนะ ผมถือว่าเป็นบุคคลที่เพียบพร้อม และประสบความสำเร็จอยู่ในแถวหน้า” “Dream maker” สาวอาร์ทติสท์ นักวาดภาพประกอบชื่อดังระดับโลก ธัชมาพรรณ จันทร์จำรัสแสง หรือ ปอม ชาน ผู้หลงใหลการตกแต่งบ้าน เพราะเชื่อว่าเป็นอีกหนึ่งอย่างที่สะท้อนตัวตนผู้อยู่อาศัย ห้องในธีม ““Dream maker” จึงสะท้อนไลฟ์สไตล์ของคนทำงานศิลปะและการออกแบบ มี Element ต่างๆ ที่สะท้อนถึงความเป็นดีไซเนอร์ เช่น ภาพวาด ลวดลายในกรอบรูป เพื่อเป็นแรงบันดาลใจในการรังสรรค์ผลงานชิ้นใหม่ “มุมโปรดที่ขาดไปไม่ได้คือ ระเบียงค่ะ เพราะปลูกต้นไม้ได้  มุมหนังสือ บวกกับผนังที่มีกรอบรูปเยอะๆ ก็ตอบโจทย์ความเป็นปอมมาก และขาดไม่ได้สำหรับผู้หญิงทุกคนคือมุมแต่งตัว ส่วนตอนกลางคืนต้องดาดฟ้าแน่นอนเลยค่ะ ช่วงเย็นๆ ไปนั่งพักผ่อนคิดงานน่าจะดี ชอบมากๆ ที่มีมุมสำหรับบาร์บีคิว ชวนเพื่อนมาสนุกกันได้อีก นอกเหนือจากดีไซน์และฟังก์ชั่นที่ต้องเอื้อต่อผู้อยู่อาศัยแล้ว สถานที่ตั้งต้องอยู่ในทำเลที่ดี มีความสะดวกสบายในการเดินทาง เหมาะสำหรับไลฟ์สไตล์คนรักการเดินทางเช่นเธอ “มาเอสโตร 02 ร่วมฤดี” คอนโดมิเนียมหรูสไตล์ยูโรเปี้ยนคลาสสิคผสมกลิ่นอายโมเดิร์น บนทำเลถนนเพลินจิต ซอยร่วมฤดี 2 โดยเป็นคอนโดมิเนียมโลว์ไรซ์ สูง 8 ชั้น จำนวน 1 อาคาร รวม 138 ยูนิต บนพื้นที่กว่า 1 ไร่ ประกอบด้วยห้องประเภท 1 ห้องนอนแบบสวีท, 1 ห้องนอน, 2 ห้องนอน, 2 ห้องนอนดูเพล็กซ์ และ 3 ห้องนอนดูเพล็กซ์ พื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 25.5-87 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 4.5 ล้านบาท สามารถเข้าอยู่ได้ทันที พบกับแลนด์มาร์คแห่งความสุขที่ตอบสนองทุกรูปแบบในการใช้ชีวิตได้อย่างลงตัว ในราคาเริ่มต้น 4.5 ล้านบาท สนใจสามารถชมรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โทร. 02 254 4777 หรือทางเว็บไซต์ www.mde.co.th และwww.facebook.com/maestro.residences
นายณ์ เอสเตท เผยความสำเร็จโครงการ KRAAM คอนโดมิเนียมซูเปอร์ลักชัวรี่ ใจกลางสุขุมวิท 26 กวาดยอดขายทะลุเป้าถึง 60% หลังพรีเซลเพียงสองวัน

นายณ์ เอสเตท เผยความสำเร็จโครงการ KRAAM คอนโดมิเนียมซูเปอร์ลักชัวรี่ ใจกลางสุขุมวิท 26 กวาดยอดขายทะลุเป้าถึง 60% หลังพรีเซลเพียงสองวัน

นายณ์ เอสเตท ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มุ่งเน้นคุณภาพในทุกรายละเอียด เผยความสำเร็จของโครงการ KRAAM (คราม) คอนโดมิเนียมระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ บนสุดยอดทำเลใจกลางสุขุมวิท 26  ใกล้บีทีเอสพร้อมพงษ์ และ The EM District ซึ่งได้กระแสตอบรับดีเกินคาดด้วยยอดขายถึง 60% หลังเปิดพรีเซลเพียงสองวัน ชี้กำลังซื้อตลาดบนยังดีต่อเนื่อง มั่นใจกลยุทธ์การเลือกทำเลและการดีไซน์ที่ตอบโจทย์ สุธี ลิมปนชัยพรกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท นายณ์ เอสเตท กล่าวว่า “KRAAM คือโครงการที่พักอาศัยแบบไฮไรซ์โครงการแรกของเรา ซึ่งหลังจากที่เปิดพรีเซลไปเมื่อวันที่ 18 - 19 มิ.ย. ที่ผ่านมา ก็ได้รับความสนใจและการตอบรับที่ดีเกินคาด สามารถทำยอดขายได้ถึงกว่า 60% หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท ถือว่าสูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ ซึ่งเราเชื่อว่าเป็นเพราะจุดเด่นที่หาไม่ได้จากโครงการระดับซูเปอร์ลักชัวรี่อื่น ๆ ทั้งในด้านศักยภาพทำเลใจกลางธุรกิจ สุขุมวิท 26 ที่พรั่งพร้อมสำหรับทุกมิติของการใช้ชีวิต แต่ยังคงความสงบ ร่มรื่น ตลอดจนรูปแบบการออกแบบภายใต้แนวคิด “Home-Like Condominium” แต่ละยูนิตจึงมาพร้อมห้องและพื้นที่เก็บของขนาดใหญ่สามารถอยู่ได้จริง  รูปแบบห้องถูกออกแบบให้แยกผนังห้องแต่ละห้องออกจากกันเพื่อความเป็นส่วนตัวและการถ่ายเทอากาศที่ดี (Cross Ventilation) ในทุกยูนิต รวมทั้งพิเศษสุดด้วยพื้นที่อเนกประสงค์ภายนอก (Yard Area) สำหรับซักล้าง และจัดสรรพื้นที่จอดรถในสัดส่วนถึง 140% ของจำนวนยูนิต พร้อมที่เก็บของในที่จอดรถ การตกแต่งภายในใช้วัสดุคุณภาพระดับพรีเมียม นอกจากนี้เรายังให้ความสำคัญเรื่อง Green Living ด้วยการออกแบบให้มีหน้าต่างขนาดใหญ่สูงจากพื้นจรดเพดานเพื่อรับแสงธรรมชาติได้เต็มที่ (Full Height Window) กระจกหน้าต่างกันความร้อนสามชั้น (Triple Glazed Window) เพื่อดูดซับเสียงและกันความร้อน แผงบังแดดแนวตั้ง (Vertical Façade Fin) ตลอดแนวด้านหน้าอาคารเพื่อลดความร้อนจากแสงแดด ซึ่งเมื่อพิจารณาโดยรวมทั้งตัวสินค้า คุณภาพ และราคาแล้ว นับเป็นโครงการที่ให้ความคุ้มค่าอย่างยิ่ง ทั้งเพื่อการพักอาศัย และการลงทุนในระยะยาว”   KRAAM คือโครงการคอนโดมิเนียมที่ให้สัมผัสของความเป็นบ้านสำหรับครอบครัวควบคู่กับความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตัวอาคารสูง 29 ชั้น ตั้งอยู่บนพื้นที่ 1-3-91 ไร่ ประกอบด้วยทั้งหมด 126 ยูนิต แบ่งเป็นประเภทหนึ่งห้องนอน สองห้องนอน สามห้องนอน และเพนต์เฮาส์สี่ห้องนอน ขนาดพื้นที่เริ่มตั้งแต่ 61 ตารางเมตร จนถึงเพนต์เฮาส์ขนาด 228.5 ตารางเมตร ด้วยราคาขายเฉลี่ย 275,000 บาทต่อตารางเมตร มอบความสงบและเป็นส่วนตัวในการพักอาศัยด้วยจำนวนยูนิตต่อชั้นเพียง 6 – 8 ยูนิต ราคาเริ่มต้นของยูนิตอยู่ที่ประมาณ 15 ล้านบาทขึ้นไป และใกล้รถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีพร้อมพงษ์ คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในช่วงปลายปี 2562 สนใจชมห้องตัวอย่างได้ที่สำนักงานขาย ณ ที่ตั้งโครงการ สุขุมวิท 26
ส.รับสร้างบ้านแนะรัฐลดหย่อนภาษีที่ดินปลูกสร้างบ้าน ชงขยายเวลาเก็บภาษีบ้านที่อยู่ระหว่างปลูกสร้างอย่างน้อย2ปี

ส.รับสร้างบ้านแนะรัฐลดหย่อนภาษีที่ดินปลูกสร้างบ้าน ชงขยายเวลาเก็บภาษีบ้านที่อยู่ระหว่างปลูกสร้างอย่างน้อย2ปี

สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน หวั่นภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างกระทบผู้บริโภค “พิชิต อรุณพัลลภ” ระบุการยกเว้นการจัดเก็บภาษีเป็นเวลา 1 ปีให้กับที่ดินที่อยู่ระหว่างการปลูกสร้างบ้านที่้เจ้าของใช้เป็นบ้านของตนเองนั้นสั้นเกินไป แนะรัฐควรขยายเวลาเป็นอย่างน้อย 2 ปีเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคมีบ้านพักที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองในระยะยาว ย้ำถึงเวลาภาครัฐควรหันมาศึกษาหรือหาข้อมูลถึงความต้องการของคนในกลุ่มที่ต้องการซื้อที่ดินเพื่อปลูกสร้างบ้านเองในอนาคตให้มากยิ่งขึ้น นายพิชิต อรุณพัลลภ นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน ได้กล่าวถึงร่างพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. ....ว่า โดยภาพรวมนั้นเห็นด้วยกับหลักการของร่างกฎหมายดังกล่าว ซึ่งในส่วนของภาคธุรกิจรับสร้างบ้านนั้นมองว่ากฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจะเร่งให้ผู้บริโภครีบตัดสินใจใช้ที่ดินสร้างบ้านมากขึ้น แต่ถ้ามองในอีกด้าน เชื่อว่าจะเป็นภาระให้คนที่ต้องการซื้อที่ดินเพื่อต้องการปลูกบ้านในอนาคต หรือผู้ถือครองที่ดินผืนเล็กเพื่อสร้างบ้านแต่ยังไม่มีความพร้อม เนื่องจากหากมีที่ดินแล้วแต่รอเก็บเงินอาจใช้เวลานานเป็น  3 -5 ปี หรือผู้บริโภคบางรายอาจใช้เวลานานกว่านั้น ซึ่งระหว่างที่สะสมเงินนั้นผู้บริโภคมีภาระที่ต้องผ่อนชำระและยังต้องจ่ายภาษี ทำให้ความต้องการที่จะซื้อที่ดินเพื่อจะปลูกสร้างบ้านในอนาคตนั้นอาจมีผลกระทบ โดยสาระสำคัญของกฎหมายที่กระทบกับธุรกิจรับสร้างบ้านก็คือ ข้อ 9.2 ที่ระบุว่า ให้ยกเว้นการจัดเก็บภาษีเป็นเวลา 1 ปีระหว่างปลุกสร้างนั้นให้กับที่ดินที่อยู่ระหว่างการปลูกสร้างบ้านที่เจ้าของใช้เป็นบ้านของตนเอง “ผมว่าได้รับการยกเว้น 1ปีค่อนข้างสั้นไปเพราะสร้างบ้านมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนแน่นอน และการสร้างบ้านเองใช้เวลามากกว่าซื้อบ้านสำเร็จรูป สำหรับผู้ถือครองที่ดินใหม่นับแต่วันประกาศน่าจะมีระยะเวลาผ่อนผันเพื่อวางแผนการใช้ที่ดินเพราะถ้ามีการเปลี่ยนการถือครองหรือใช้ในเชิงพาณิชย์ภายใน5ปีจะมีภาระภาษีธุรกิจเฉพาะคุมอยู่แล้ว” นายพิชิต กล่าวพร้อมให้ความเห็นด้วยว่าถ้าจะเป็นการดีในการกระตุ้นหรือสนับสนุนให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองคือให้ยืดระยะเวลาในการลดหย่อนภาษี0%สำหรับบ้านพักอาศัยที่กำลังปลูกสร้างจาก1ปีเป็น2ปีเป็นอย่างน้อย ทั้งนี้ หลังจากที่ร่างพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. ....ผ่านความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีสมาคมฯเรามีการปรึกษาหารือกันในเรื่องนี้พอสมควร พร้อมกับได้ข้อสรุปที่จะเสนอรัฐบาล ควรหันมาศึกษาหรือหาข้อมูลถึงความต้องการของคนในกลุ่มที่ต้องการซื้อที่ดินเพื่อปลูกสร้างบ้านเองในอนาคตให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งภาครัฐเองอาจมีมาตรการออกมาสนับสนุนในรูปแบบเงื่อนไขพิเศษด้วยการ “คืนภาษี หรือ หักลดหย่อนภาษี”สำหรับผู้ที่ซื้อที่ดินโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการสร้างบ้านเอง ซึ่งหากรัฐมีความชัดเจนในการออกมาตรการมาสนับสนุนดังกล่าวเชื่อว่าจะทำให้ที่ดินว่างเปล่ามีการใช้ประโยชน์มากยิ่งขึ้น “ภาครัฐควรมีกฎหมายลูก เพื่อช่วยเหลือคนกลุ่มนี้ด้วย เช่น มีการสลักหลังในที่ดินที่ซื้อเก็บเพื่อปลูกสร้างบ้านเป็นการเฉพาะให้มีกำหนดเป็นระยะเวลากี่ปี ซึ่งจะต้องมีการปลูกสร้างบ้านภายในช่วงเวลาที่กำหนด ภายหลังที่มีการปลูกสร้างแล้วเสร็จภาครัฐก็คืนภาษีให้ผู้บริโภคต่อไป การที่ประชาชนสามารถมีบ้านพักอาศัยเป็นของตัวเองจะเป็นตัวชี้วัดการพัฒนาและความเจริญของประเทศ” นายพิชิต กล่าวในตอนท้าย
ออริจิ้น ยึดทำเลทองแหลมฉบัง-ศรีราชา ทุ่มทุน 5,000 ล้านบาท ผุดอาณาจักร ORIGIN DISTRICT เสริมทัพความแข็งแกร่งด้วยกลุ่ม ฮอลิเดย์ อินน์

ออริจิ้น ยึดทำเลทองแหลมฉบัง-ศรีราชา ทุ่มทุน 5,000 ล้านบาท ผุดอาณาจักร ORIGIN DISTRICT เสริมทัพความแข็งแกร่งด้วยกลุ่ม ฮอลิเดย์ อินน์

บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านการพัฒนาที่อยู่อาศัยในทำเลศักยภาพที่ดีที่สุด บุกทำเลทองแถบภาคตะวันออกโดยเฉพาะย่านแหลมฉบัง-ศรีราชาจ.ชลบุรี สร้างอาณาจักร “ออริจิ้น ดิสทริค แหลมฉบัง-ศรีราชา” (Origin District Laemchabang-Sriracha)โครงการมิกซ์ยูสที่มีทั้ง คอนโดมิเนียม โรงแรม และ คอมมูนิตี้มอลล์ ไว้ด้วยกัน มูลค่าโครงการประมาณ5,000 ล้านบาท บนเนื้อที่ 14 ไร่พร้อมเปิดตัวพันธมิตรทางธุรกิจกลุ่มโรงแรมInterContinental Hotels Group มาพร้อมแบรนด์ Holiday inn and suitesสร้างความแข็งแกร่งเพื่อรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและนิคมอุตสาหกรรม มั่นใจเมืองศรีราชา ยังมีศักยภาพด้านกำลังซื้อสูง จากปัจจัยจากการย้ายฐาน ผลิตและเงินทุนสู่ภาคตะวันออก  คุณพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ภายใต้ชื่อหลักทรัพย์ “ORI” เปิดเผยว่า  จากปัจจัยบวกของภาคอุตสาหกรรม การลงทุน และการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มสดใส เมื่อเปรียบเทียบกับเซ็กเตอร์อื่น ๆ ซึ่งถือเป็นกลไกสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2559 โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดที่อยู่อาศัยในภาคตะวันออก  เป็นพื้นที่ที่ธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ ทั้งรายใหญ่จนถึงรายเล็ก ให้ความสนใจเข้าไปเปิดตัวทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และคอนโดฯ รวมไปถึงโรงแรม เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่แหลมฉบัง-ศรีราชา จังหวัดชลบุรีถือเป็นจังหวัดที่ถูกจัดว่า มีขนาดของตลาดอสังหาริมทรัพย์ใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากกรุงเทพฯเนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่หลายแห่งทั้งของภาครัฐและเอกชน จึงทำให้เป็นเมืองขนาดเล็กที่มีศักยภาพสูงมาก ยิ่งในอนาคตภาครัฐยังมีแผนพัฒนาระบบคมนาคมทั้งทางรางและทางถนนอีกหลายโครงการจะยิ่งส่งผลบวกให้กับพื้นที่นี้ในอนาคต บริษัทฯ เล็งเห็นศักยภาพในทำเลภาคตะวันออก โดยเฉพาะพื้นที่แหลมฉบัง-ศรีราชาจ.ชลบุรีที่มีความต้องการที่อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่องจึงได้พัฒนาโครงการ “ออริจิ้น ดิสทริค แหลมฉบัง-ศรีราชา” (Origin District Laemchabang-Sriracha)มีมูลค่าการลงทุนประมาณ5,000ล้านบาท บนเนื้อที่รวม 14ไร่ ซึ่งเป็นโครงการที่อยู่อาศัยแบบมิกซ์ยูส หลายรูปแบบอยู่รวมกันประกอบด้วยคอมมูนิตี้ มอลล์ โรงแรม และคอนโดมิเนียมทั้ง Low-rise และ High-rise โดยที่ตั้งของโครงการนั้นอยู่ติดกับถนนสุขุมวิท ตรงข้ามกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า โดยเน้นกลุ่มเป้าหมาย นักศึกษา คนทำงานในนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบังและในศรีราชา รวมถึงนักธุรกิจชาวญี่ปุ่นและนักลงทุน โดยโครงการมีจุดเด่น ด้านการออกแบบสไตล์โมเดิร์น เน้นความโปร่งโล่ง สะดวกสบายด้วยฟังก์ชันที่ครบครัน ตั้งอยู่ในทำเลที่ดี ใกล้กับสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ทั้งห้างสรรพสินค้า โรงเรียนและโรงพยาบาล รวมทั้งมหาวิทยาลัย นอกจากนี้ได้เปิดตัวพันธมิตรทางธุรกิจกลุ่มโรงแรม InterContinental Hotels Group ในแบรนด์Holiday inn and suites ที่จะมาสร้างความแข็งแกร่งและเป็นก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนด้านกลยุทธ์ให้กับโครงการ “ออริจิ้น ดิสทริค แหลมฉบัง-ศรีราชา” เป็นโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ที่ประกอบไปด้วย โรงแรม ฮอลิเดย์ อินน์แอนด์ สวีท ศรีราชา แหลมฉบัง เป็นโรงแรมระดับ 4 ดาว ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 2 ไร่  สำหรับการพักอาศัยกว่า 345 ห้อง เป็นอาคารสูง 36 ชั้น  ซึ่งได้ร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจระดับ International hotel chains อย่าง InterContinental Hotels Group เข้ามาบริหารโรงแรมภายใต้ แบรนด์ Holiday inn and suites โดยจะเน้นลูกค้ากลุ่มทำงานในนิคมอุตสาหกรรมชาวญี่ปุ่น เป็นหลัก โครงการ เคนซิงตันแหลมฉบัง-ศรีราชา (Kensington Leamchabang – Sriracha) เป็นคอนโดมิเนียม Low Rise สูง 8 ชั้น 4 อาคาร จำนวน 798 ยูนิต มูลค่า 1,150 ออกแบบภายใต้แนวคิด "Modern Loft" ได้แรงบันดาลใจมาจาก Irish Pub ที่เน้นการออกแบบให้มี Double Space ที่เปิดโล่ง ผสมผสานกับการใช้วัสดุ เช่น เหล็ก, อิฐโชว์แนว ภายในโครงการมี Facilities ครบครันรองรับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่โครงการ นอตติ้ง ฮิลล์ แหลมฉบัง-ศรีราชา (Notting Hill Leamchabang – Sriracha)เป็นคอนโดมิเนียม High-rise สูง 36 ชั้น 1 อาคาร จำนวน 534 ยูนิต มูลค่า 1,200 ล้านบาทราคาเริ่มต้น1.79 ล้านบาท โดดเด่นด้วยทำเลที่มีศักยภาพ ติดริมถนนสุขุมวิท ใกล้สถานศึกษา และมหาวิทยาลัย การออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ “Modern Luxury” ผสมผสานความทันสมัยกับความหรูหราอย่างลงตัว พร้อมแต่งแต้มลายเส้นสถาปัตยกรรมอย่างมีรสนิยม ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ     แบรนด์ “Notting Hill”พอร์โทเบลโลมอลล์ (Portobello Mall)เป็นคอมมูนิตี้ มอลล์ สไตล์อังกฤษ ตั้งอยู่บนเนื้อที่กว่า 3,000 ตร.ม.ที่พร้อมสรรพและครบครันไปด้วยระบบสาธารณูปโภคต่างๆ อาทิ ร้านค้าสะดวกซื้อ ร้านอาหาร ร้านซักรีด เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกสบายให้กับลูกบ้านในโครงการ แนวคิดคือ การสร้างชุมชนบ้าน เพื่อตอบโจทย์ของผู้พักอาศัยในการใช้ชีวิตอยู่จริงได้เป็นอย่างดี โดยมีร้านค้าชั้นนำกว่า 10 ร้านค้า อาทิ KFC Drive Thru เป็นต้น“เราเจาะกลุ่มลูกค้าระดับบน โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่มีสถานที่ทำงานในนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง หรือกลุ่มผู้บริหารรุ่นใหม่ในแหลมฉบัง-ศรีราชาที่มีไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่ต้องการความสะดวกสบาย สิ่งอำนวยความสะดวกครบครันและใช้เวลาในการเดินทางไปทำงานได้รวดเร็วซึ่งโครงการ ORIGIN District สามารถตอบโจทย์ได้ดีที่สุด โดยบริษัทต้องการพัฒนาให้เป็นโครงการมิกซ์ยูส ทาวน์ชิป เพื่อตอกย้ำความเชี่ยวชาญของบริษัทที่ต้องการมองหาทำเลศักยภาพใหม่ ยกระดับการพัฒนาเพื่อการลงทุน” นายพีระพงศ์ กล่าวตอนท้าย
“เอพี อะคาเดมี่” ยกระดับมาตรฐานการทำงานธรุกิจอสังหาฯ จับมือ กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน จัดอบรมฝีมือช่างไฟฟ้า ครั้งแรกในเมืองไทย

“เอพี อะคาเดมี่” ยกระดับมาตรฐานการทำงานธรุกิจอสังหาฯ จับมือ กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน จัดอบรมฝีมือช่างไฟฟ้า ครั้งแรกในเมืองไทย

สถาบัน เอพี อะคาเดมี่ ศูนย์กลางการเรียนรู้ด้านอสังหาริมทรัพย์แห่งแรกในประเทศไทย ภายใต้การดูแลของ “บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน)” ตระหนักถึงความสำคัญทุกวิชาชีพของภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ประกาศเดินหน้าสนองนโยบาย “กระทรวงแรงงาน” จับมือ กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน จัดอบรมเรื่อง รอบด้านงานช่างไฟฟ้ากับการรับรองฝีมือแรงงาน ครั้งแรกในประเทศไทยให้แก่บุคคลทั่วไปที่ประกอบวิชาชีพช่างไฟฟ้า เพื่อให้มีความรู้ ความเข้าใจ และขั้นตอนการได้มาซึ่งหนังสือรับรองความสามารถ ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน หวังยกระดับมาตรฐานฝืมือช่างไฟฟ้าเทียบเท่าสากล นายภูมิพัฒน์ สินาเจริญ ผู้อำนวยการสถาบัน เอพี อะคาเดมี่ เปิดเผยว่า ตามประกาศกระทรวงแรงงาน ที่กำหนดให้ สาขาอาชีพช่างไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์, สาขาช่างไฟฟ้าภายในอาคาร เป็นสาขาอาชีพที่อาจเป็นอันตรายต่อสาธารณะ โดยผู้ที่ดำเนินการในอาชีพดังกล่าวจะต้องมีหนังสือรับรองความรู้ความสามารถ (Licence) ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน พ.ศ.2545 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 26 ตุลาคม 2559 เป็นต้นไป จึงจะปฏบัติงานในสาขาอาชีพ ตำแหน่งงาน หรือลักษณะงานนั้นได้ จากนโยบายดังกล่าวที่ต้องการผลักดันบุคคลากรในวิชาชีพช่างไฟฟ้าทุกคนได้มีหนังสือรับรองความรู้ความสามารถ เพื่อสร้างมาตรฐานในการทำงานรวมถึงความปลอดภัยของประชาชนทั่วไปทาง เอพี อะคาเดมี่ จึงได้ทำการร่วมมือกับ กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน จัดอบรมพิเศษให้แก่บุคคลทั่วไปที่ประกอบวิชาชีพช่างไฟฟ้าในหัวข้อเรื่อง รอบด้านงานช่างไฟฟ้ากับการรับรองฝีมือแรงงาน ซึ่งนับเป็นปรากฏการณ์ครั้งแรกในวงการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทย “การจัดอบรมในหัวข้อดังกล่าวเราเปิดโอกาสให้บุคคลทั่วไปเข้ารับการอบรมโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น เมื่อวันอังคารที่ 31 พฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งตั้งแต่เปิดรับสมัครจนกระทั่งถึงวันสุดท้าย ค่อนข้างได้รับการตอบรับที่ดี แต่ด้วยข้อจำกัดของสถานที่จึงทำให้เราสามารถรับผู้เข้าอบรมได้ 300 ที่นั่งเท่านั้น ซึ่งข้อดีของการจัดอบรมในครั้งนี้ ผู้เข้ารับการอบรมจะได้รับความเข้าใจเกี่ยวกับใบรับรองความรู้ความสามารถช่างไฟฟ้าตามพระราชบัญญัติฯ, หลักการช่างไฟฟ้า, เจาะลึกวงจรไฟฟ้าสำหรับอาคาร, การทดสอบมาตรฐานแรงงาน และขั้นตอนในการ ขอหนังสือรับรอง โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ซึ่งผู้เข้าอบรมในวันนี้สามารถนำใบประกาศนี้ไปใช้ในการสะสมชั่วโมงเพิ่มเติม เพื่อเป็นคะแนนสำหรับการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ สาขาช่างไฟฟ้าภายในอาคาร” การทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ สาขาช่างไฟฟ้าภายในอาคาร ซึ่งอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 22 วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ.2545 คณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน กำหนดคุณสมบัติผู้เข้ารับการทดสอบสาขาอาชีพช่างไฟฟ้าภายในอาคาร ไว้ดังนี้ 1.มีอายุ 18 ปีบริบูรณ์ (นับถึงวันยื่นสมัครขอทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงาน) 2.มีประสบการณ์การทำงานหรือปฏิบัติอาชีพเกี่ยวกับสาขาอาชีพช่างไฟฟ้าภายในอาคารไม่น้อยกว่า 1 ปี หรือ 3.ผ่านการฝึกฝีมือแรงงานหรือฝึกอาชีพในสาขาอาชีพช่างไฟฟ้าในอาคารไม่น้อยกว่า 540 ชั่วโมง หรือมีประสบการณ์จากการฝึก หรือปฏิบัติงานในกิจการในสาขาที่เกี่ยวข้องไม่น้อยกว่า 250 ชั่วโมง 4.เป็นผู้ที่จบการศึกษาไม่ต่ำกว่าระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.3) ในสาขาที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ งานใช้อุปกรณ์ป้องกันกระแสเกิน เช่น อุปกรณ์ตัดวงจรอัตโนมัติ (Circuit breaker) และฟิวส์, งานเดินสายไฟฟ้าด้วยเข็มขัดรัดสาย, งานเดินสายไฟฟ้าด้วยท่อร้อยสายไฟฟ้า, งานติดตั้งและต่อวงจรไฟฟ้าสำหรับบริภัณฑ์ไฟฟ้า, งานต่อตัวนำแบบต่างๆ, งานตรวจสอบการทำงานของวงจรไฟฟ้า เกณฑ์การประเมินผู้เข้ารับการประเมินจะต้องมีคะแนนการประเมินตั้งแต่ 85 คะแนนขึ้นไปจากคะแนนรวมทั้งหมด 100 คะแนน ซึ่งสามารถแบ่งการเกณฑ์การประเมินได้ดังนี้ 1.ผ่านการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ 50 คะแนน 2.มีประสบการณ์การทำงาน / คุณวุฒิทางการศึกษา / ประสบการณ์การทำงาน / การอบรม / สัมมนา 25 คะแนน และ 3.คุณลักษณะส่วนบุคคล 25 คะแนน นายภูมิพัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “เราคาดหวังว่าการจัดอบรมในครั้งนี้จะเป็นอีกหนึ่งแรงผลักดันในการพัฒนาความรู้ความสามารถของในวงการอสังหาริมทรัพย์ พร้อมทั้งช่วยยกระดับฝีมือแรงงานช่างไฟฟ้าของประเทศไทย”
เอพี ประกาศปิดการขาย Life สุขุมวิท 48 โกย 2,259 ล้านบาทภายใน 2 วัน พร้อมลุยเปิด 2 คอนโดมิเนียมใหม่ไตรมาส 3

เอพี ประกาศปิดการขาย Life สุขุมวิท 48 โกย 2,259 ล้านบาทภายใน 2 วัน พร้อมลุยเปิด 2 คอนโดมิเนียมใหม่ไตรมาส 3

(6 มิถุนายน 2559; สำนักงานใหญ่) เอพี ย้ำผู้นำตลาดคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้า ประกาศปิดการขาย Life สุขุมวิท 48 ภายใน 2 วัน โชว์ยอดขายรวมมูลค่ารวมกว่า 2,259 ล้านบาท การันตีความร้อนแรงของดีมานด์คอนโดมิเนียมใจกลางเมืองติดรถไฟฟ้า ในราคาเปิดตัวไม่ถึงแสนเจาะลูกค้าคนเมืองระดับกลาง – บน ดันยอดขายคอนโดมิเนียมรวมแตะ 4,790 ล้านบาท (ณ 5 มิ.ย. 59) เตรียมลุยเปิดคอนโดมิเนียม 2 โครงการไฮไลท์ในไตรมาส 3/59 มูลค่ารวมกว่า 8,600 ล้านบาท นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาธุรกิจคอนโดมิเนียม 1 และกลยุทธ์การตลาด บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) เผยว่าในวันที่ 4 – 5 มิถุนายนที่ผ่านมา บริษัทฯ สามารถปิดการขาย Life สุขุมวิท 48 จำนวน 612 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 2,259 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนให้เห็นภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้ายังมีดีมานด์อยู่มาก โดยเฉพาะสินค้าคอนโดมิเนียมที่เจาะโลเคชั่นใจกลางเมืองติดรถไฟฟ้าในราคาเปิดตัวไม่ถึงแสน หรือ 80,000 – 83,000 บาท/ ตารางเมตร ตอกย้ำความเชี่ยวชาญในการพัฒนาคอนโดมิเนียมสำหรับคนเมืองที่ไม่หยุดนิ่งที่จะสร้างสรรค์สเปซที่เข้าถึงทุกไลฟ์สไตล์ และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีต่อสินค้าในเครือเอพี และให้การตอบรับที่ดีจนสามารถปิดการขายได้อย่างรวดเร็ว ส่งผลให้บริษัทฯ สามารถทำยอดขายคอนโดมิเนียม (ณ วันที่ 5 มิ.ย.59) รวมกว่า 4,790  ล้านบาท พร้อมเตรียมลุยเปิดคอนโดมิเนียม 2 โครงการไฮไลท์ของปีนี้ใน 2 ทำเลศักยภาพ เจาะทำเลใจกลางเมือง มูลค่ารวมกว่า 8,600 ล้านบาท ซึ่งมั่นใจว่าทั้ง 2 โครงการใหม่จะได้รับการตอบรับที่ดีจากดีมานด์คอนโดอย่างแน่นอน ทั้งนี้ เพื่อเป็นการรุกตลาดคอนโดก่อนปิดไตรมาส 2/59 เอพีได้จัดอีเว้นท์ URBAN SPACE CONDO EXPO 2016 มอบข้อเสนอที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้าที่สนใจคอนโดยูนิตสวย ติดรถไฟฟ้ากว่า 10 ทำเลในเครือเอพี ราคาเริ่มต้น 1.5 ล้านบาท พร้อมส่วนลดสูงสุด 1,000,000 บาท และโปรโมชั่นพิเศษเฉพาะในงานอีกมากมาย ณ Terminal 21 ชั้น M ระหว่างวันที่ 6 – 9 มิ.ย. นี้เท่านั้น
ยูนิเวนเจอร์ อวดรายได้ไตรมาสแรกทะลุ 3,712.0 ล้านบาท

ยูนิเวนเจอร์ อวดรายได้ไตรมาสแรกทะลุ 3,712.0 ล้านบาท

บริษัท ยูนิเวนเจอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ UV เผยผลประกอบการไตรมาส 1/2559 มีรายได้รวม  3,712.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีที่ผ่านมา นายวรวรรต ศรีสอ้าน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ยูนิเวนเจอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ UV กล่าวว่า ผลประกอบการของบริษัทฯ ในไตรมาส 1/2559 มีรายได้อยู่ที่ 3,712.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันในปีก่อน 975.7 ล้านบาท หรือมีการเติบโตกว่า 36% โดยมีสัดส่วนรายได้มาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย 3,036.2 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 82% ของรายได้รวม แบ่งเป็นรายได้จากโครงการแนวสูง มูลค่ารวม 913.9 ล้านบาท และจากโครงการแนวราบ มูลค่ารวม 2,122.3 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) กว่า 6,000 ล้านบาทจาก 22 โครงการ สำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่ามีรายได้ 331.0 ล้านบาท คิดเป็น 9% ของรายได้รวม มาจากอาคารสำนักงานเกรดเอ “ปาร์คเวนเชอร์ อีโคเพล็กซ์” จำนวน 89.0 ล้านบาท ซึ่งมีอัตราการเช่าเต็ม 100% ของพื้นที่ให้เช่า และอสังหาริมทรัพย์เพื่อให้เช่ากลุ่มแผ่นดินทอง 242.0 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีรายได้จากธุรกิจอื่นๆ 344.8 ล้านบาท คิดเป็น 9% ของรายได้” นายวรวรรต กล่าว นอกจากนี้ ในไตรมาส 1/2559 บริษัทย่อยในกลุ่มบริษัทยูนิเวนเจอร์ได้นำอาคารสำนักงานปาร์คเวนเชอร์ อีโคเพล็กซ์ (ไม่รวมพื้นที่ส่วนโรงแรม ดิโอกุระฯ) และอาคารสำนักงาน สาทร สแควร์ เข้าทำสัญญาเช่าพื้นที่อาคารสำนักงาน สิ่งปลูกสร้าง รวมถึงสัญญาแบ่งเช่าช่วงที่ดิน อาคารพร้อมทั้งส่วนควบและงานระบบ กับทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์โกลเด้นเวนเจอร์ (“GVREIT”) โดยได้รับเงินจำนวนทั้งสิ้น 9,761 ล้านบาท ซึ่งได้บันทึกเป็นรายได้สิทธิการเช่ารอตัดบัญชีและทยอยรับรู้รายได้ตลอดอายุสัญญาเช่าโดยวิธีเส้นตรง อีกทั้งบริษัทย่อยอีกแห่งหนึ่งได้เข้าลงทุนใน GVREIT ในอัตราร้อยละ 25.1 เป็นจำนวนเงิน 2,045 ล้านบาท นายวรวรรต กล่าวเสริมว่า ในปีนี้บริษัทฯ มีแผนลงทุนในธุรกิจอื่นๆ เพื่อการเติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเสริมกลยุทธ์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับธุรกิจต่างๆ เจริญเติบโตไปในทิศทางที่ต้องการ และไม่หยุดยั้งที่จะแสวงหาโอกาสใหม่ๆ ที่มีความโดดเด่นอยู่เสมอ
ออริจิ้นสวนกระแสรุกตลาดอสังหาฯ ไตรมาส 2 เปิดตัวคอนโดใหม่ “นอตติ้งฮิลล์ สุขุมวิท–แพรกษา” วิวทะเล– แม่น้ำ มูลค่าโครงการกว่า 1.3 พันล้าน เริ่ม 1.09 ลบ.

ออริจิ้นสวนกระแสรุกตลาดอสังหาฯ ไตรมาส 2 เปิดตัวคอนโดใหม่ “นอตติ้งฮิลล์ สุขุมวิท–แพรกษา” วิวทะเล– แม่น้ำ มูลค่าโครงการกว่า 1.3 พันล้าน เริ่ม 1.09 ลบ.

บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI เดินหน้ารุกตลาดอสังหาฯ ไตรมาส 2 เตรียมเปิดตัวคอนโดมิเนียมใหม่ “นอตติ้งฮิลล์ สุขุมวิท-แพรกษา” สวนกระแสเศรษฐกิจ ชูจุดขาย “คอนโดสถาปัตยกรรมสไตล์อังกฤษ วิวสูงแบบ 360 องศาแห่งแรก เห็นทะเล-แม่น้ำ ใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียว” จับกลุ่มหนุ่มสาวเรียลดีมานด์ที่มีกำลังซื้อ ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.09 ล้านบาท ก่อนเล็งจัดงาน Pre-Sales เสนอโปรโมชั่นสุดพิเศษ รับส่วนลด 10,000 บาท สำหรับลูกค้าที่จองภายในงานทันทีพร้อมเปิดสำนักงานขายให้สัมผัสและชมห้องตัวอย่างแล้วตั้งแต่เดือนพฤษภาคมนี้ คุณพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ภายใต้ชื่อหลักทรัพย์ “ORI” เปิดเผยว่า จากแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ภายหลังจากหมดมาตรการของภาครัฐฯ ยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่มีการผลักดันให้เกิดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ รวมถึงสถานการณ์การเมืองที่มีความชัดเจนมากขึ้น และอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันที่อยู่ในอัตราที่ต่ำ ได้เอื้อประโยชน์ให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ต่อจากนี้ยังมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีขึ้น โดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียมเกาะแนวรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายต่างๆ ทั้งการก่อสร้างเส้นทางรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีม่วงที่ไปยังบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี และส่วนต่อขยายจากสถานีอ่อนนุชมายังแบริ่ง และล่าสุดโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยายจากสถานีแบริ่ง-สมุทรปราการที่คาดว่าจะแล้วเสร็จและเปิดให้บริการทั้งระบบภายในปีพ.ศ.2563 ได้ช่วยให้พื้นที่รอบๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงและขยายตัวในทุกๆ ด้าน ทำให้มีโครงการคอนโดมิเนียมหลายโครงการเปิดขายและได้รับการตอบรับที่ดีและมียอดขายในอัตราค่อนข้างสูงหลายโครงการ ล่าสุดออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ได้เตรียมเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียม High Rise แห่งแรกบนถนนแพรกษา ภายใต้ชื่อ Notting Hill Sukhumvit-Praksa (นอตติ้ง ฮิลล์ สุขุมวิท-แพรกษา) เป็นคอนโดมิเนียมแบบ Modern Boutique สูง 35 ชั้น จำนวน 980 ยูนิต ขนาดพื้นที่เริ่มต้นที่ 23-40 ตารางเมตร ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.09 ล้านบาท มูลค่าโครงการกว่า1,300 ล้านบาท โครงการนอตติ้ง ฮิลล์ สุขุมวิท-แพรกษา เป็นคอนโดมิเนียมสูง 35 ชั้น แห่งแรกบนถนนแพรกษา ซึ่งเปิดรับวิวมุมสูงได้อย่างไร้สิ่งกีดขวาง สามารถมองเห็นทิวทัศน์อันสวยงามได้แบบ 360 องศา ทั้งท้องทะเล แม่น้ำ และท้องฟ้า สอดคล้องกับแนวความคิด"ใช้ชีวิตให้ต่าง อย่างเหนือชั้น" ได้อย่างดีเยี่ยม โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมสไตล์อังกฤษ พร้อมการบริการแบบโรงแรมและสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เพื่อรองรับความต้องการและตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้อยู่อาศัย อาทิ Lifestyle Fitness, Pool Terrace, Co-working space, Double English Rooftop Garden พร้อมสนามบาส นอกจากนี้ยังเพิ่มความสะดวกสบายในการเดินทางใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียวสถานีแพรกษา เพียง 650 เมตร เชื่อมต่อสถานีอโศกแค่ 30 นาที ใกล้ห้างสรรพสินค้าโรบินสันและบิ๊กซี ใกล้แหล่งงานนิคมอุตสาหกรรมบางปูรองรับกับความต้องการของกลุ่มลูกค้าวัยหนุ่มสาวที่เป็นเรียลดีมานด์และมีกำลังซื้อหรือผู้ที่ต้องการที่อยู่อาศัยที่เป็นกรรมสิทธิ์ของตนเองทดแทนการเช่าอพาร์ทเม้นท์หรือหอพักในพื้นที่ โดยประชากรในจังหวัดสมุทรปราการมีรายได้หลักจากภาคอุตสาหกรรม ซึ่งในปัจจุบันมีรายได้ผลิตภัณฑ์มวลรวมของจังหวัด (GPP: Gross Provincial Product)กว่า 6.5 แสนล้านบาท ซึ่งสูงเป็นลำดับที่ 4 ของประเทศ (ตามสถิติในปี 2554-2557) ล่าสุดบริษัท เตรียมจัดงาน Pre-Sales เป็นครั้งแรก ในวันที่ 18 มิถุนายน 2559พร้อมนำเสนอโปรโมชั่นสุดพิเศษ รับฟรี!! ส่วนลดเงินสดมูลค่า 10,000 บาท เมื่อจ่ายเงินจองและทำสัญญาภายในงานรับสิทธิ์ในการผ่อนชำระ 0% 10 งวด  (เงื่อนไขเป็นไปตามบริษัทกำหนด) ลูกค้าที่ต้องการเป็นเจ้าของคอนโดมิเนียมสไตล์อังกฤษสามารถเข้าร่วมงานและชมห้องตัวอย่าง ณ. สำนักงานขายโครงการ “นอตติ้งฮิลล์ สุขุมวิท-แพรกษา” หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 098562900 หรือ www.origin.co.th “จากแนวโน้มของการขยายตัวของอสังหาริมทรัพย์ในช่วง 1-2 ปีนี้มีการขยายตัวมากพอสมควร โดยเฉพาะในทำเลที่ใกล้สถานีรถไฟฟ้า ซึ่งปัจจุบันราคาที่ดินตามแนวรถไฟฟ้ามีการปรับตัวสูงขึ้นตามลำดับ ทำให้กลุ่มบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลายเจ้าหันมาให้ความสนใจกันเป็นอย่างมากโดยบริษัทเล็งเห็นช่องว่างทางการตลาด และจากนโยบายของบริษัทที่เน้นการพัฒนาโครงการในทำเลที่คู่แข่งมองข้าม เช่น ส่วนต่อขยายรถไฟฟ้า พื้นที่แหล่งอุตสาหกรรม ซึ่งมองว่าเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่เป็นเรียลดีมานด์และมีกำลังซื้อ ต้องการที่พักอาศัยที่มีความสะดวกสบายในการเดินทาง ใช้เวลาไม่มากในการเดินทางเข้าสู่ตัวเมือง และอยู่ในช่วงราคาที่ไม่สูงมากเกินไปประกอบกับ ในพื้นที่ตามแนวถนนแพรกษายังมีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับการใช้ชีวิตประจำวันค่อนข้างมากทั้งร้านสะดวกซื้อ ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน และไฮเปอร์มาร์เก็ต เช่น บิ๊กซี มีการเดินทางที่สะดวกสบายจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยายช่วงแบริ่ง – สมุทรปราการ ที่คาดว่าจะเปิดให้บริการทั้งระบบภายในปีพ.ศ.2563และโครงการรถไฟฟ้าโมโนเรล สุวรรณภูมิ – แพรกษา – สุขุมวิท ที่คาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ในปีพ.ศ.2564 – 2565 ทำให้ถนนแพรกษาเป็นอีกทำเลสำหรับโครงการที่อยู่อาศัยในอนาคตที่คาดว่าจะมีการขยายตัวค่อนข้างมากอย่างแน่นอน ทำให้บริษัทมั่นใจเป็นอย่างมากว่าโครงการนอตติ้ง ฮิลล์ สุขุมวิท-แพรกษา จะได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี” นายพีระพงศ์กล่าว
นายณ์ เอสเตท ขยายพอร์ตสู่ที่พักอาศัยไฮไรซ์ เปิดตัว KRAAM คอนโดมิเนียมระดับซูเปอร์ลักชัวรี่บนที่ดินผืนงามใจกลางอุโมงค์ต้นไม้ สุขุมวิท 26

นายณ์ เอสเตท ขยายพอร์ตสู่ที่พักอาศัยไฮไรซ์ เปิดตัว KRAAM คอนโดมิเนียมระดับซูเปอร์ลักชัวรี่บนที่ดินผืนงามใจกลางอุโมงค์ต้นไม้ สุขุมวิท 26

นายณ์ เอสเตท ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มุ่งเน้นคุณภาพในทุกรายละเอียด สยายปีกสู่เซกเมนต์คอนโดมิเนียมไฮไรซ์เต็มตัวด้วยการเปิดตัวโครงการ KRAAM (คราม) คอนโดมิเนียมระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ ที่มอบทุกสัมผัสของความเป็นบ้านสำหรับครอบครัวควบคู่กับความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง บนสุดยอดทำเลใจกลางเมือง สุขุมวิท 26 ศูนย์กลางย่านธุรกิจที่ยังคงความสงบร่มรื่นท่ามกลางอุโมงค์ต้นไม้ใหญ่ของชุมชนที่พักอาศัยคุณภาพสูงมายาวนาน พร้อมความเป็นส่วนตัวสูงสุดด้วยจำนวนเพียง 128 ยูนิต อรฤดี ณ ระนอง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นายณ์ เอสเตท จำกัด กล่าวว่า “KRAAM คือโครงการคอนโดมิเนียมไฮไรซ์ระดับซูเปอร์ลักชัวรี่โครงการแรกของเรา และเป็นโครงการสำคัญของเราในปีนี้ซึ่งสะท้อนถึงตัวตนของนายณ์ เอสเตท อย่างเด่นชัด ทั้งในด้านจุดขายที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ นวัตกรรมการออกแบบ รูปแบบการใช้งานพื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เราจึงสร้างสรรค์ KRAAM ขึ้นอย่างพิถีพิถันเพื่อให้เป็นที่พักอาศัยซึ่งครบถ้วนทุกคุณสมบัติและประโยชน์ใช้สอยของความเป็นบ้านสำหรับครอบครัว บนทำเลใจกลางเมืองที่เราคัดสรรแล้วว่าโดดเด่นและแทบจะหาไม่ได้แล้วในปัจจุบัน เพราะนอกจากอยู่ในศูนย์กลางธุรกิจสำคัญ เดินทางสะดวก รายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันเพื่อการใช้ชีวิตในเมืองแล้ว ยังเป็นพื้นที่ซึ่งคงสภาพแวดล้อมดั้งเดิมที่มีความสงบ เป็นส่วนตัว ร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่และพื้นที่สีเขียว เป็นชุมชนที่พักอาศัยคุณภาพสูงมายาวนาน” สุขุมวิท 26 นับเป็นสุดยอดทำเลใจกลางเมืองที่พรั่งพร้อมสำหรับทุกมิติของการใช้ชีวิต ทั้งการทำงาน และพักผ่อนหย่อนใจ บนศูนย์กลางย่านธุรกิจและช็อปปิ้งที่ครบวงจร รายล้อมด้วยร้านค้า ร้านอาหาร ภัตตาคาร ศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอลล์ รวมทั้งอยู่ใกล้ย่านดิ เอ็มดิสทริค แหล่งไลฟ์สไตล์และเอนเตอร์เทนเมนต์ที่สมบูรณ์แบบที่สุดแห่งหนึ่งของภูมิภาคเอเชีย และเดินทางสะดวกสบาย ทั้งรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีพร้อมพงษ์ รถไฟฟ้าเอ็มอาร์ที สถานีสุขุมวิท และทางด่วน โดยสามารถเชื่อมต่อได้ทั้งถนนสุขุมวิทและพระราม 4 KRAAM คือโครงการที่พักอาศัยระดับซูเปอร์ลักชัวรี่มูลค่า 3,500 ล้านบาท ตัวอาคารสูง 29 ชั้น ตั้งอยู่บนพื้นที่ 1-3-91 ไร่ ประกอบด้วยทั้งหมด 128 ยูนิต แบ่งเป็นประเภทหนึ่งห้องนอน สองห้องนอน สามห้องนอน และเพนต์เฮาส์สี่ห้องนอน ขนาดพื้นที่เริ่มตั้งแต่ 61 ตารางเมตร จนถึงเพนต์เฮาส์ขนาด 228.5 ตารางเมตร ด้วยราคาขายเฉลี่ย 275,000 บาทต่อตารางเมตร มอบความสงบและเป็นส่วนตัวในการพักอาศัยด้วยจำนวนยูนิตต่อชั้นเพียง 6 – 8 ยูนิต ราคาเริ่มต้นของยูนิตอยู่ที่ประมาณ 15 ล้านบาทขึ้นไป สุธี ลิมปนชัยพรกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท นายณ์ เอสเตท จำกัด กล่าวว่า “โครงการ KRAAM สร้างสรรค์ขึ้นด้วยแนวคิด Green Living ผสานเป็นหนึ่งเดียวกับสภาพแวดล้อมดั้งเดิมอย่างกลมกลืน โดยเราได้รักษาต้นหางนกยูงต้นใหญ่อายุกว่า 100 ปีที่มาพร้อมกับที่ดินดั้งเดิม และสร้างพื้นที่สีเขียวไว้ที่บริเวณสนามหญ้าและสวนหน้าโครงการเพื่อให้ร่มเงาและความร่มรื่น แนวการออกแบบที่มุ่งเน้นการสร้างสภาพแวดล้อมเพื่อการพักอาศัยสำหรับครอบครัวควบคู่ไปกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็น หน้าต่างขนาดใหญ่สูงจากพื้นจรดเพดาน (Full Height Window) เพื่อรับแสงธรรมชาติได้เต็มที่ กระจกหน้าต่างสามชั้น (Triple Glazed Window) เพื่อดูดซับเสียงและกันความร้อน แผงบังแดดแนวตั้ง (Vertical Façade Fin) ตลอดแนวด้านหน้าอาคารเพื่อลดความร้อนจากแสงแดด ผนังห้องที่ออกแบบให้แยกจากกันในแต่ละยูนิตเพื่อความเป็นส่วนตัวและให้เกิด Cross Ventilation ในทุกยูนิตเพื่อการถ่ายเทอากาศที่ดี และการออกแบบเพื่อการใช้ประโยชน์จากพื้นที่อย่างเต็มประสิทธิภาพ” ด้วยการออกแบบภายในที่ให้ความใส่ใจกับประโยชน์ใช้สอยของความเป็นบ้านอย่างเต็มที่ตามแนวคิด “Home-Like Condominium” แต่ละยูนิตจึงมาพร้อมห้องและพื้นที่เก็บของขนาดใหญ่ รวมทั้งพิเศษสุดด้วยการเตรียมพื้นที่อเนกประสงค์ภายนอก (Yard Area) สำหรับการซักล้างและการถ่ายเทอากาศที่ดี และจัดสรรพื้นที่จอดรถในสัดส่วนถึง 140% ของจำนวนยูนิต พิเศษพร้อมที่เก็บของในที่จอดรถ การตกแต่งภายในใช้วัสดุคุณภาพระดับพรีเมียม เช่น ชุดเครื่องครัว Gaggenau  โครงการยังพรั่งพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็นสระว่ายน้ำอินฟินิตี้เอดจ์ขนาดใหญ่ (half-length Olympic) พร้อมห้องออกกำลังกาย ห้องสตีม ห้องโยคะ ห้องสมุด และพาวิลเลี่ยนท่ามกลางสวนที่ตกแต่งอย่างร่มรื่น  ตลอดจนบริการพนักงานต้อนรับ Shuttle Service บริการรถรับส่งถึงสถานที่สำคัญใกล้โครงการและบริการส่วนตัวแบบ A La Carte อลิวัสสา  พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีบี ริชาร์ด เอลลิส (ประเทศไทย)จำกัด กล่าวถึงรูปแบบของคอนโดที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคและศักยภาพของทำเลว่า “จากความสำเร็จในการให้คำปรึกษาให้กับคอนโดระดับลักชัวรีหลายโครงการที่ผ่านมาทำให้เราเข้าถึงความต้องการของผู้บริโภคอย่างแท้จริง  KRAAM เป็นโปรเจคระดับพรีเมี่ยมที่เข้ามาตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองหรือเพื่อลงทุนปล่อยเช่าให้ลูกค้าต่างชาติระดับบน ด้วยทำเลและการวางคอนเซปต์ให้ทุกยูนิตมีความเป็นส่วนตัวสูงและประโยชน์ใช้สอยที่ตรงความต้องการของลูกค้า ให้ความสำคัญกับพื้นที่และห้องทุกแบบแม้แต่แบบ 1 ห้องนอน ด้วยขนาดที่กว้างขวางและสามารถอยู่ได้จริง โดยยูนิต 1 ห้องนอนมีพื้นที่ 61 ตารางเมตร ยูนิต 2 ห้องนอน 102 – 128.5  ตารางเมตร ยูนิต 3 ห้องนอน 185 - 188 ตารางเมตร และยูนิต 4 ห้องนอน 228.5 ตารางเมตร เป็นขนาดของยูนิตระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ที่มีประสิทธิภาพที่สุดในตลาด ซึ่งทำให้ราคาขายโดยรวมอยู่ในระดับที่ไม่สูงจนเกินไปและตรงกับงบประมาณของกลุ่มลูกค้าระดับบนส่วนใหญ่ จุดเด่นหลักของโครงการในแง่การลงทุนเริ่มตั้งแต่ทำเลสุขุมวิท 26 ที่ไม่มีโครงการใหม่ระดับลักชัวรี่ จึงไม่มีคู่แข่งในทำเลเดียวกัน ในแง่ของการปล่อยเช่า ลูกค้าชาวต่างชาติจะเลือกเช่าห้องที่มีขนาดใหญ่ที่มีห้องครัวที่กว้างและแยกเป็นสัดส่วน นอกจากนี้โครงการมีเพียง 128 ยูนิตเท่านั้น  ซีบีอาร์อีมีความเชื่อมั่นว่า KRAAM จะตอบโจทย์ผู้บริโภคระดับบนที่ต้องการหาซื้อคอนโดมิเนียมในทำเลดีๆ ที่มีความเป็นส่วนตัว จำนวนยูนิตน้อยและมีฟังก์ชั่นครบตามความต้องการอย่างแท้จริงทั้งในเรื่องสินค้า คุณภาพ และราคา” โครงการ KRAAM เปิดให้ลูกค้าลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิพิเศษในการรับข่าวสารก่อนใครได้แล้วตั้งแต่วันนี้ที่ www.NyeEstate.co.th และจะทำการเปิด Pre Sales เพื่อให้ลูกค้าได้ชมห้องตัวอย่างเป็นครั้งแรกในวันที่  18-19 มิถุนายนนี้ ที่สำนักงานขาย ณ ที่ตั้งโครงการ ซอยสุขุมวิท 26 โดยโครงการคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในช่วงปลายปี 2562 "ความสำเร็จจากโครงการที่ผ่านมาของเราแสดงให้เห็นว่ากลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการโครงการที่พักอาศัยระดับไฮเอนด์ในใจกลางกรุงเทพ ฯ ยังมีอย่างต่อเนื่อง ด้วยองค์ประกอบความโดดเด่นของโครงการ KRAAM ทั้งทำเลที่หายาก การออกแบบที่พิถีพิถันในรายละเอียด บรรยากาศและสภาพแวดล้อมของชุมชนที่พักอาศัยคุณภาพสูง และปัจจุบัน ยังไม่มีโครงการใหม่เกิดขึ้นในพื้นที่สุขุมวิท 26  เราจึงมั่นใจว่า KRAAM จะเป็นโครงการที่ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมสำหรับผู้บริโภคที่กำลังมองหาที่พักอาศัยที่สมบูรณ์แบบสำหรับครอบครัวและนักลงทุนที่เล็งเห็นถึงมูลค่าเพิ่มในระยะยาวของโครงการ" อรฤดีกล่าว  เกี่ยวกับนายณ์ เอสเตท บริษัท นายณ์ เอสเตท จำกัด ก่อตั้งในเดือนกรกฎาคม 2556 ด้วยทุนจดทะเบียนเริ่มต้น 1,500 ล้านบาท มุ่งเน้นการพัฒนาโครงการที่อสังหาริมทรัพย์โดยให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับรูปแบบการใช้สอย งานดีไซน์ โครงสร้าง และคุณค่า รวมทั้งความยั่งยืนในระยะยาว เราสร้างคุณค่าด้วยความพิถีพิถันในการคัดสรรและออกแบบเพื่อความคุ้มค่าในการอยู่อาศัยอย่างแท้จริง และการพัฒนาโครงการอย่างใส่ใจเพื่อเพิ่มมูลค่าผลตอบแทนให้กับผู้อยู่อาศัยและนักลงทุนในระยะยาว
แกรนด์ ยู ส่งคอนโดพร้อมอยู่ติดรถไฟฟ้า “ยู ดีไลท์ @ บางซ่อน สเตชั่น” และ ยู ดีไลท์ รัตนาธิเบศร์ รับรถไฟฟ้าสายสีม่วงใกล้เปิดให้บริการ

แกรนด์ ยู ส่งคอนโดพร้อมอยู่ติดรถไฟฟ้า “ยู ดีไลท์ @ บางซ่อน สเตชั่น” และ ยู ดีไลท์ รัตนาธิเบศร์ รับรถไฟฟ้าสายสีม่วงใกล้เปิดให้บริการ

แกรนด์ ยู เปิดคอนโดพร้อมอยู่ “ยู ดีไลท์ @ บางซ่อน สเตชั่น” พร้อมให้สัมผัสพื้นที่แห่งความสุขในบรรยากาศที่สงบและร่มรื่น ชมตึกจริงวิวจริงบนทำเลที่สะดวกสบายที่สุด เพียง 80 เมตร จากรถไฟฟ้าสายสีม่วง สถานีบางซ่อน ราคาเริ่มต้นเพียง 2.83 ล้านบาท พร้อมผุดแคมเปญรับรถไฟฟ้าสายสีม่วงจะเปิดทดลองเดินรถ กับแคมเปญ “ลงทุนก็ Like อยู่อาศัยก็ Love” รับผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าการันตีสูงถึง 7% นาน 2 ปี หรือเลือกรับส่วนลดมูลค่าสูงสุดถึง 200,000 บาท   นายสันติ ตันติไชยบริบูรณ์ ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานบริหารแบรนด์และการตลาด บริษัท แกรนด์ ยูนิตี้ ดิเวลล็อปเมนท์ จำกัด หรือ แกรนด์ยู (Grand U) เปิดเผยว่าโครงการยู ดีไลท์@บางซ่อน สเตชั่น เป็นคอนโดมิเนียมที่ตอบโจทย์ได้ครบทุกความต้องการของการอยู่อาศัย ตั้งอยู่บนทำเลที่ดีที่สุดของถนนกรุงเทพฯ-นนทบุรี ติดรถไฟฟ้าสายสีม่วง สถานีบางซ่อน เพียง 80 เมตร สามารถเชื่อมต่อเข้าเมืองได้สะดวกสบาย เพราะใกล้ชุมทางบางซื่อ ซึ่งจะเป็นเทอมินัลใหญ่ของรถไฟฟ้า 3 สาย ทั้งสายสีน้ำเงิน สีม่วง และ สีแดง ทั้งยังสามารถเดินทางเข้าออกได้หลายทาง ทั้งถนนกรุงเทพฯ-นนทบุรี และถนนประชาชื่น 19 ใกล้จุดขึ้น-ลงทางด่วนประชานุกูล และกำแพงเพชร 2 นอกจากนี้โครงการยังอยู่ใกล้สถานที่อำนวยความสะดวกต่างๆ ทั้งศูนย์การค้าบิ๊กซี วงศ์สว่าง เทสโก้ โลตัส ประชาชื่น ตลาดบองมาเช่ โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ “ยู ดีไลท์ @ บางซ่อน สเตชั่น” โดดเด่นด้วยการออกแบบห้องให้อยู่อย่างสบายและคุ้มค่าในรูปแบบ 7-Delights ซึ่งเป็นรูปแบบห้องเฉพาะของโครงการยู ดีไลท์ ที่ใส่ใจในทุกรายละเอียด แบ่งสัดส่วนพื้นที่ได้อย่างคุ้มค่าและลงตัวต่อการอยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็น เลย์เอาท์ห้องที่ออกแบบไว้สวยงาม ดีไซน์หน้าต่างให้สูงและกว้างมากยิ่งขึ้น เพิ่มความสูงของเพดานช่วยให้รู้สึกโปร่งโล่ง อุปกรณ์ในห้องครบครันพร้อมอยู่ ตกแต่งสวยงามลงตัวด้วยชุดเฟอร์นิเจอร์ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างสูงสุด ห้องครัวออกแบบให้เป็นห้องครัวแบบปิด ดีไซน์ห้องน้ำแยกส่วนเปียก-แห้ง สามารถระบายอากาศได้เป็นอย่างดี มาพร้อมพื้นที่ความสุขส่วนกลาง กับสวนที่กว้างขวางและร่มรื่น เพราะโครงการเก็บรักษาต้นจามจุรีที่มีอายุกว่า 50 ปี และออกแบบโครงการให้เข้ากับความร่มเงาของต้นไม้อย่างลงตัว เพื่อที่ผู้อยู่อาศัยจะได้พักผ่อนและใกล้ชิดธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ยังครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกไม่ว่าจะเป็น สระว่ายน้ำระบบเกลือขนาดใหญ่ ห้องฟิตเนส เพื่อออกกำลังกายพร้อมอุปกรณ์มาตรฐาน ห้องสตรีมและซาวน่า ห้องสมุด พักผ่อนไปกับการอ่านหนังสือเล่มโปรด ท่องโลกอินเทอร์เน็ตในบรรยากาศสุดชิลล์ ทั้งยังมั่นใจในความปลอดภัยด้วยระบบคีย์การ์ด ที่เข้าออกได้เฉพาะชั้น มีกล้องวงจรปิดทั่วบริเวณ และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่พร้อมดูแลตลอด 24 ชั่วโมง” ทั้งนี้โครงการ “ยู ดีไลท์ @ บางซ่อน สเตชั่น” มี 1 อาคาร สูง 26 ชั้น จำนวน 527 ยูนิต บนพื้นที่กว่า 3 ไร่ ประกอบด้วยห้องชุด  1 ห้องนอน ขนาดตั้งแต่ 30 - 40 ตร.ม. และ 2 ห้องนอน ขนาด 51.5 ตร.ม.ในราคาเริ่มต้นเพียง 2.83 ล้านบาท นายสันติ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้บริษัทยังมีโครงการตามแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วงอีก 1 โครงการได้แก่ โครงการ ยู ดีไลท์ รัตนาธิเบศร์ เป็นคอนโดพร้อมอยู่ ตั้งอยู่บนถนนรัตนาธิเบศร์ ใกล้รถไฟฟ้าสายสีม่วง สถานีศูนย์ราชการนนทบุรี เพียง 3 นาที ทั้งยังเป็นเส้นของรถไฟฟ้าสายสีชมพูที่จะเปิดใช้ในอนาคต รายล้อมไปด้วยธรรมชาติของพื้นที่สีเขียวกว่า 1 ไร่ บนพื้นที่โครงการทั้งหมด 5 ไร่  1 อาคาร 23 ชั้น 989 ยูนิต ในราคาเริ่มต้นเพียง 2.43 ล้านบาท และในโอกาสที่รถไฟฟ้าสายสีม่วงจะเปิดทดลองเดินรถในเดือน มิถุนายน – กรกฎาคม และเปิดให้บริการจริงในเดือนสิงหาคมนี้ บริษัทจึงจัดแคมเปญ “ลงทุนก็ Like อยู่อาศัยก็ Love” เพื่อมอบสิทธิพิเศษเมื่อซื้อและโอนคอนโดแต่งครบพร้อมเข้าอยู่จาก 5 โครงการของแกรนด์ยู ประกอบด้วย ยู ดีไลท์ @บางซ่อน สเตชั่น, ยู ดีไลท์ รัตนาธิเบศร์, ยู ดีไลท์ @ ตลาดพลู สเตชั่น,ยู ดีไลท์ @ หัวหมาก สเตชั่น และ คอนโด ยู แคมปัส รังสิต – เมืองเอก รับผลตอบแทนการันตี 7% นานถึง 2 ปี  หรือเลือกรับเป็น ส่วนลดสูงสุดถึง 200,000 บาท พิเศษสุดหากซื้อและโอนกรรมสิทธิ์ภายในเวลาที่กำหนด รับเพิ่มฟรี เฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ไฟฟ้าครบชุด พร้อมผ้าม่าน สำหรับผู้ที่สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร 0 2652 4000 ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.grandu.co.th หรือ www.facebook.com/AllUDelight
“ซีนิคอล กรุ๊ป” เปิดเกมรุกไตรมาส 2 เร่งเครื่องก่อสร้าง “เขาใหญ่ ฟอเรสต้า” คอนโดระดับพรีเมี่ยม ราคาขายกระฉูดจ่อทะลุ 1 แสนต่อตร.ม. ยัน “อสังหา-โรงแรม-ท่องเที่ยว” โตไม่หยุด คาดปี 2016 โตกว่า 30%

“ซีนิคอล กรุ๊ป” เปิดเกมรุกไตรมาส 2 เร่งเครื่องก่อสร้าง “เขาใหญ่ ฟอเรสต้า” คอนโดระดับพรีเมี่ยม ราคาขายกระฉูดจ่อทะลุ 1 แสนต่อตร.ม. ยัน “อสังหา-โรงแรม-ท่องเที่ยว” โตไม่หยุด คาดปี 2016 โตกว่า 30%

“ซีนิคอล กรุ๊ป” เปิดเกมรุกไตรมาส 2 เร่งเครื่องก่อสร้าง “เขาใหญ่ ฟอเรสต้า” เดินหน้าเติมเต็มอาณาจักรธุรกิจ ตอกย้ำผู้นำอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรในเขาใหญ่ โชว์ศักยภาพจุดแข็งเหนือคู่แข่ง ชูจุดขายครบเครื่องด้วยสิทธิประโยชน์ครบครัน ราคาขายพุ่งพรวดจ่อทะลุ 1 แสนบาทต่อตร.ม. คาดให้ผลตอบแทนการลงทุนนานสุด 7 ปี เฐาศิริษ ศิวาคม กรรมการผู้จัดการ  บริษัท ซีนิคอล ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่บนเขาใหญ่ เปิดเผยว่า ในปี 2559 บริษัทเปิดเกมรุกธุรกิจ โดยเร่งเดินหน้าก่อสร้างโครงการคอนโดโฮเทลคุณภาพ “เขาใหญ่ ฟอเรสต้า” (Khao Yai Foresta) เพื่อเติมเต็มอาณาจักร “ซีนิคอล เวิลด์” คาดว่าการก่อสร้างน่าจะแล้วเสร็จพร้อมให้ลูกค้าเข้าตรวจห้องได้ภายในเดือนสิงหาคม 2560 สำหรับ “เขาใหญ่ ฟอเรสต้า”  มีขนาดพื้นที่กว่า 12 ไร่ หรือประมาณ 19,304 ตารางเมตร  ประกอบด้วย อาคารชุดพักอาศัย ขนาดความสูง 7 ชั้น จำนวน 2 อาคาร จำนวนห้องรวม 415 ห้อง และอาคารชุดพักอาศัย (Pool Villas) ขนาดความสูง 2 ชั้น จำนวน 1 อาคาร จำนวน 19 ห้อง รวมทั้งหมด 434 ห้อง มูลค่าทั้งโครงการรวม 1,380 ล้านบาท ล่าสุดมียอดขายห้องมากกว่า 78% และยังมีลูกค้ารายใหม่สนใจเข้าเยี่ยมชม เพื่อซื้อห้องพักอย่างต่อเนื่อง ไม่ต่ำกว่าสัปดาห์ละ 20 ราย แบ่งเป็นกลุ่มคนไทย 90% และชาวต่างชาติ 10% “ในแง่การลงทุน “เขาใหญ่ ฟอเรสต้า” สามารถตอบโจทย์ในกลุ่มนักลงทุนที่สนใจผลตอบแทนที่ได้มากกว่าการฝากเงินในธนาคาร ทั้งยังมีความเสี่ยงน้อยว่าการลงทุนในหุ้น  ที่สำคัญ  โครงการมีศักยภาพสูง สามารถให้ผลตอบแทนสูงถึง 5% นานถึง 7 ปี ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในสิทธิประโยชน์ที่ดีที่สุดในเมืองไทยเท่าที่มีอยู่ ณ ปัจจุบัน หากเปรียบเทียบราคาช่วงเปิดขายปีแรก เริ่มต้นเฉลี่ยที่ 50,000-60,000 บาท ต่อตารางเมตร ล่าสุดขยับสูงถึง 95,500-100,000 บาท ต่อตร.ม.” เฐาศิริษกล่าว ข้อมูลจากบริษัทวิจัยอสังหาริมทรัพย์สำรวจพบว่า ปัจจุบัน ราคาขายคอนโดมิเนียมในพื้นที่เขาใหญ่เฉลี่ยอยู่ที่ 84,500 บาทต่อ ตร.ม. ซึ่ง “เขาใหญ่ ฟอเรสต้า”  มีราคาซื้อขายพุ่งสูงกว่าภาพรวมตลาดและสูงกว่าคอนโดมิเนียมในจังหวัดท่องเที่ยวอื่นๆ อาทิ คอนโดมิเนียมในพัทยามีราคาขายเฉลี่ย 76,000 บาท ต่อ ตร.ม. หัวหิน ราคาขายเฉลี่ย 76,600 บาท ต่อ ตร.ม. ชะอำ ราคาขายเฉลี่ย 67,500 บาท ต่อ ตร.ม. และขอนแก่น ราคาขายเฉลี่ย 59,500 บาทต่อ ตร.ม. เมื่อถามถึงสาเหตุที่ทำให้เขาใหญ่ได้รับความนิยมจากนักลงทุน เฐาศิริษกล่าวว่า เนื่องจากเขาใหญ่เป็นตลาดที่พักอาศัยระดับลักชัวรี่และตลาดท่องเที่ยวระดับคุณภาพ มีกลุ่มผู้เดินทางมาเขาใหญ่มากกว่า 2.5 ล้านคนต่อปี แม้ส่วนใหญ่ยังเป็นกลุ่มคนไทยถึง 90% แต่หลังจากเปิดเขตการค้าเสรีอาเซียน(เออีซี) ตลาดต่างชาติมีแนวโน้มดีขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มมาเลเซีย สิงค์โปร์ รวมถึงกลุ่มนักท่องเที่ยวจีน ไต้หวัน ฮ่องกง และอินเดีย  เชื่อมั่นว่า ทั้งธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจโรงแรม และธุรกิจการท่องเที่ยวในภาพรวมของเขาใหญ่จะเติบโตเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว “เขาใหญ่ ฟอเรสต้า” เป็นคอนโดฯ มุมมองใหม่ที่นำความสนุกของการใช้ชีวิตเอาท์ดอร์มาเป็นส่วนหนึ่งของความสุขในการพักผ่อนที่เขาใหญ่ ออกแบบตามรูปแบบสถาปัตยกรรมสไตล์โมเดิร์น ทรอปิคอล (Modern Tropical) ทันสมัย สวยงาม ขณะเดียวกัน ยังคงไว้ซึ่งพื้นที่สีเขียว ให้กลมกลืนกับทัศนียภาพอันงดงามของเขาใหญ่ เน้นความเรียบหรู และความสุขสบายของสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน อาทิ โถงต้อนรับ, สระว่ายน้ำขนาดใหญ่, ห้องออกกำลังกาย, สนามเด็กเล่น, สวนส่วนกลาง และพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ รวมทั้งมีระบบโทรทัศน์วงจรปิดเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชม. เป็นต้น ทั้งนี้ เดอะ ซีนิคอล กรุ๊ป ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2542 พร้อมวิสัยทัศน์ที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ประกอบด้วย 3 บริษัท ได้แก่ บริษัท เดอะ ซีนิคอล จำกัด บริษัทที่เชี่ยวชาญด้านการบริหารโรงแรมและรีสอร์ท ห้องประชุมสัมมนาขนาดใหญ่ระดับ 4 ดาว, บริษัท กรีนเนอรี่ พาร์ค มอลล์ จำกัด บริษัทผู้นำด้านการบริหารธุรกิจสวนสนุกแนวแอดเวนเจอร์ปาร์คในประเทศไทย และบริษัท ซีนิคอล ดีวอลลอปเม้นท์ จำกัด ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งทั้ง 3 บริษัทประกอบด้วยโครงการต่างๆ ดังนี้ โรงแรมเดอะ กรีนเนอรี่ รีสอร์ท เขาใหญ่, โบทานิก้า เขาใหญ่เชื่อมโยงกับ ศูนย์ประชุมระดับนานาชาติ เขาใหญ่ คอนเวนชั่น เซ็นเตอร์, เขาใหญ่ ฟอเรสต้า และซีนิคอล เวิลด์ สวนน้ำสวนสนุกระดับเวิลด์คลาส บนเนื้อที่ทั้งสิ้นกว่า 72 ไร่ ถนนธนะรัชต์ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ “เขาใหญ่ ฟอเรสต้า” ได้ที่โทร. 089 203 5288 หรือ www.khaoyaiforesta.com
ยิปรอค ส่ง 3 โครงการชั้นนำของไทยสู่เวทีระดับโลก “แซง-โกแบ็ง ยิปซัม อินเตอร์เนชันแนล โทรฟี ครั้งที่ 10” ณ กรุงปราก ประเทศสาธารณรัฐเช็ก

ยิปรอค ส่ง 3 โครงการชั้นนำของไทยสู่เวทีระดับโลก “แซง-โกแบ็ง ยิปซัม อินเตอร์เนชันแนล โทรฟี ครั้งที่ 10” ณ กรุงปราก ประเทศสาธารณรัฐเช็ก

กรุงเทพฯ - บริษัท ไทยผลิตภัณฑ์ยิบซั่ม จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตนวัตกรรมยิปซัมคุณภาพสูงภายใต้แบรนด์ “ยิปรอค” และผู้ให้บริการโซลูชั่นส์ระบบผนังและฝ้าครบวงจรมากว่า 45 ปี ส่งผลงานสถาปัตยกรรมของผู้ชั้นเลิศทั้ง 3 ประเภทโครงการ จากรายการ “แซง-โกแบ็ง ยิปรอค เนชั่นเนลโทรฟี ไทยแลนด์ 2558” ได้แก่ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, โรงแรมเบด บาย ครูส แอท สามัคคี-ติวานนท์, และ มหิดลสิทธาคาร เป็นตัวแทนของประเทศไทยเพื่อเข้าประกวด และร่วมจัดแสดงผลงาน ในการประกวดโครงการสถาปัตยกรรมระดับโลก “แซง-โกแบ็ง ยิปซัม อินเตอร์เนชันแนล โทรฟี ครั้งที่ 10” เพื่อประชันความเป็นเลิศกับโครงการอื่นๆ อีกกว่า 89 ประเทศทั่วโลก โดยการประกวดรอบตัดสินกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 3 มิถุนายน 2559 ณ กรุงปราก ประเทศสาธารณรัฐเช็ก แซง-โกแบ็ง ยิปซัม อินเตอร์เนชันแนล โทรฟี คือหนึ่งในการประกวดโครงการสถาปัตยกรรมยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก และมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อวงการนักออกแบบและการก่อสร้างระดับสากล โดยเริ่มจัดการประกวดขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1998 เพื่อยกย่องและเชิดชูโครงการก่อสร้างที่มีผลงานโดดเด่นในการใช้แผ่นฝ้าผนังและปูนฉาบในการสร้างสรรค์งานก่อสร้างได้อย่างเป็นเลิศ การประกวดจัดขึ้นทุกสองปีโดยบริษัทในเครือแซง-โกแบ็ง ซึ่งในช่วงแรกเป็นการจัดประกวดผลงานเฉพาะเขต ต่อมาจึงขยายเป็นงานระดับประเทศและแพร่หลายสู่ระดับโลกในปัจจุบัน โครงการที่ส่งเข้าประกวดล้วนมีความโดดเด่นในแง่มุมต่างๆ และใช้ผลิตภัณฑ์ยิปซัมของบริษัทเป็นวัสดุหลักในการก่อสร้างและการตกแต่งภายใน สำหรับการประกวดในปีนี้ กำหนดจัดในวันที่ 3 มิถุนายน 2558 โดย แซง-โกแบ็ง รีจิปส์ สาธารณรัฐเช็ก แบ่งการประกวดผลงานเป็น 6 ประเภท ได้แก่ ประเภทแผ่นยิปซัมบอร์ด, ปูนพลาสเตอร์, ประเภทนวัตกรรมและความยั่งยืน, ประเภทอาคารเฉพาะด้าน (สุขภาพ-การศึกษา-โรงแรม), ประเภทที่พักอาศัย,  และ ประเภทอาคารพาณิชย์ ผลการประกวดพิจารณาตัดสินโดยคณะกรรมการอิสระ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านยิปซัมจากนานาประเทศ มร. ริชาร์ด จูเชรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยผลิตภัณฑ์ยิบซั่ม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “แซง-โกแบ็ง ยิปซัม อินเตอร์เนชันแนล โทรฟี ครั้งที่ 10 ซึ่งจัดโดย แซง-โกแบ็ง รีจิปส์ สาธารณรัฐเช็ก ถือเป็นงานครั้งสำคัญของกลุ่มบริษัทแซง-โกแบ็งทั่วโลก ซึ่งรู้จักกันในหมู่พนักงานชื่อ ‘ปราก 2016’ โดยในปีที่ผ่านมา ประเทศไทยได้ริเริ่มจัดการประกวดภายในประเทศขึ้นเป็นครั้งแรก ซึ่งมีโครงการชั้นเลิศหลายโครงการให้ความสนใจเข้าร่วมประกวด และทำให้การประกวดได้รับเสียงตอบรับอย่างดีเยี่ยม โดยถือเป็นโอกาสดีที่ทำให้เราค้นพบโครงการชั้นเยี่ยมที่มีความโดดเด่นของเมืองไทยซึ่งใช้ผลิตภัณฑ์ยิปรอคในการก่อสร้าง และในปีนี้ โครงการที่ชนะเลิศทั้ง 3 โครงการ ได้แก่ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, โรงแรมเบด บาย ครูส แอท สามัคคี-ติวานนท์, และ มหิดลสิทธาคาร จะเป็นตัวแทนของประเทศไทยไปสู่การประกวดในระดับโลก” การเฟ้นหาโครงการสถาปัตยกรรมชั้นนำของไทยที่ได้รับการตกแต่งภายในด้วยฝ้าและผนังยิปซัมของยิปรอคตลอดตัวอาคาร เพื่อเข้าร่วมประกวดและแสดงผลงานในงานนวัตกรรมยิปซัมระดับโลก คัดเลือกโครงการมาจากรายการประกวด “แซง-โกแบ็ง ยิปรอค เนชั่นเนลโทรฟี ไทยแลนด์ 2558” ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรกของประเทศไทย ถือเป็นโครงการประกวดที่ยิ่งใหญ่ครั้งแรกของวงการยิปซัมเมืองไทย เปิดโอกาสให้ช่างรับเหมาตกแต่ง เจ้าของโครงการ และสถาปนิก ส่งผลงานการก่อสร้างหรือการตกแต่งที่ใช้ผลิตภัณฑ์ของยิปรอคเข้าร่วมประกวด ซึ่งคัดเลือกผู้ชนะเลิศโดยคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่คร่ำหวอดในวงการสถาปัตยกรรม การก่อสร้าง และการตกแต่งภายในภายใต้ข้อกำหนดและหลักเกณฑ์การพิจารณาที่เคร่งครัด โดยผลการประกวดโครงการทั้ง  3 ประเภท ได้แก่ 1) ประเภทโครงการนวัตกรรมและความยั่งยืน ผู้ชนะเลิศคือ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยเป็นอาคารแห่งใหม่พื้นที่ 70,000 ตร.ม. 2) ประเภทโครงการแผ่นยิปซัมบอร์ด ผู้ชนะเลิศคือ โรงแรมเบด บาย ครูส แอท สามัคคี-ติวานนท์ โรงแรมหรูที่ได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากเรือสำราญ และ 3) โครงการเฉพาะกลุ่ม เช่น การศึกษา สุขภาพ และการบริการ ผู้ชนะเลิศคือ มหิดลสิทธาคาร อาคารเรียนแนวใหม่ของมหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา จังหวัดนครปฐม ซึ่งโครงการทั้งสามนี้จะเป็นตัวแทนของไทยเพื่อเข้าสู่การประกวด “แซง-โกแบ็ง ยิปซัม อินเตอร์เนชันแนล โทรฟี ครั้งที่ 10” ร่วมกับโครงการอื่นๆ อีก 89 โครงการจาก 35 ประเทศทั่วโลก ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ส่งประกวดในประเภทโครงการนวัตกรรมและความยั่งยืน โรงแรมเบด บาย ครูส แอท สามัคคี-ติวานนท์ ส่งประกวดในประเภทโครงการแผ่นยิปซัมบอร์ด (งานที่ประยุกต์ใช้แผ่นยิปซัมบอร์ดในการตกแต่งภายในของตัวอาคาร ทั้งอาคารใหม่และอาคารที่มีอยู่ก่อนแล้ว) มหิดลสิทธาคาร ส่งประกวดในประเภทโครงการเฉพาะกลุ่ม (เช่น การศึกษา สุขภาพ และการบริการ) หากต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ  02-640-8600 หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ http://www.gyproc.co.th