Tag : News

2376 ผลลัพธ์
แสนสิริเปิดตัว KHUN by YOO inspired by Starck บนใจกลางทองหล่อ จับมือนักออกแบบชื่อก้องโลก YOO design studio และ Starck ฉีกกฎอสังหาฯไทยปั้นคอนโดมิเนียมให้เป็นงานอาร์ตระดับโลก

แสนสิริเปิดตัว KHUN by YOO inspired by Starck บนใจกลางทองหล่อ จับมือนักออกแบบชื่อก้องโลก YOO design studio และ Starck ฉีกกฎอสังหาฯไทยปั้นคอนโดมิเนียมให้เป็นงานอาร์ตระดับโลก

แสนสิริ ปฏิวัติวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย จับมือ YOO Design Studio บริษัทดีไซน์ระดับโลก และ Philippe Starck รังสรรค์ KHUN by YOO inspired by Starck (คุณ บาย ยู อินสไปร์ บาย สตาร์ค)    โครงการ Branded Condominium แห่งแรกของแสนสิริ มูลค่า 4,000 ล้านบาท บนสุดยอดทำเลใจกลางทองหล่อ ภายใต้แนวความคิด Industrial Heritage ผสมผสานไลฟ์สไตล์ชีวิตคนเมืองอันโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์กับการออกแบบโดยใช้วัสดุที่หรูหราและ    แปลกใหม่ พร้อมรังสรรค์ Sales Gallery ในรูปแบบ Material Exhibition สร้างแรงบันดาลใจแห่งการพักอาศัยอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในเมืองไทย  มุ่งเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่หลงใหลในงานดีไซน์ที่ผสมผสานงานศิลปะ เชื่อมั่นดีมานด์คอนโดระดับบนโตดันยอดขายตามเป้าแน่ พร้อมเตรียมเปิดพรีเซลส์โครงการอย่างเป็นทางการในมีนาคมปีหน้า   นายอุทัย อุทัยแสงสุข รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เผยว่า “โครงการ KHUN by YOO inspired by Starck (คุณ บาย ยู อินสไปร์ บาย สตาร์ค) คือโครงการ Branded Condominium แห่งแรกของเราซึ่งเกิดจากความร่วมมือระหว่างแสนสิริ และบริษัทออกแบบระดับโลกอย่าง YOO Design Studio (ยู ดีไซน์ สตูดิโอ) รวมถึง Philippe Starck (ฟิลิปป์ สตาร์ค) นักออกแบบอัจฉริยะชื่อดังของโลก เพื่อสร้างผลงานระดับ Iconic Piece ที่มีเอกลักษณ์และคุณภาพมาตรฐานระดับโลก บนสุดยอดทำเลแห่งการพักอาศัยใจกลางเมืองซึ่งหาได้ยากและเป็นที่ต้องการมากที่สุด ภายใต้แนวคิดการออกแบบที่สะท้อนบุคลิกอันเด่นชัดของพื้นที่ซึ่งเป็นศูนย์กลางของการใช้ชิวิตและสีสันของไลฟ์สไตล์สมัยใหม่ที่ครบวงจร และสมบูรณ์แบบที่สุดของกรุงเทพฯ”   ทำเลทองหล่อเป็นทำเลศักยภาพที่เป็นที่นิยมจากทั้งชาวไทยและต่างชาติ เพราะตั้งอยู่ใจกลางถนนสุขุมวิท รวมทั้งแวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย อาทิ โรงพยาบาล โรงเรียน คอมมูนิตี้มอลล์ ร้านค้า ร้านอาหาร ฯลฯ ตลอดจนยังใกล้สถานีรถไฟฟ้าทองหล่อและสถานีรถไฟฟ้าสายสีเทาที่จะมีการให้บริการในอนาคตอีกด้วย จึงทำให้มีการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมระดับบนในทำเลนี้เป็นจำนวนมาก โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 300,000 บาทต่อตารางเมตร  เป็นสาเหตุที่ทำให้ราคาที่ดินในทำเลทองหล่อถีบตัวไปถึงราคาตารางวาละ 1,000,000 – 2,000,000 บาทในปัจจุบัน โดยในอนาคตคาดว่าราคาที่ดินและคอนโดมิเนียมในพื้นที่นี้จะยังเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะมาจากความต้องการที่อยู่อาศัยในทำเลนี้ที่ยังเติบโตทั้งจากคน   รุ่นใหม่ที่ขยายครอบครัวออกจากครอบครัวเดิมที่อยู่ในทำเลนี้ รวมทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่หลงใหลไลฟ์สไตล์ของทองหล่อ   “ที่ผ่านมาแสนสิริมีความเชี่ยวชาญและคุ้นเคยกับการพัฒนาและบริหารโครงการในทำเลทองหล่อ ซึ่งราคาของโครงการต่าง ๆ ในทองหล่อจะเพิ่มขึ้นทุกโครงการ และจากผลวิจัยของพลัส พร็อพเพอร์ตี้ เห็นได้ชัดว่าโครงการของแสนสิริมีเปอร์เซนต์การเติบโตในมูลค่าสูงที่สุดในทำเลทองหล่อเมื่อเปรียบเทียบกับโครงการของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายอื่นเพราะแบรนด์ ทำเล บริการ และการดูแลบริหารจัดการโครงการให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์อยู่เสมอ อีกทั้งโครงการ KHUN by YOO inspired by Starck (คุณ บาย ยู อินสไปร์ บาย สตาร์ค) ยังถือเป็น Collectible Item (คอลเล็คทิเบิล ไอเท็ม) ที่คนรักงานดีไซน์และเป็นแฟนของ Philippe Starck (ฟิลิปป์ สตาร์ค) ต้องเก็บสะสมไว้ เพราะเป็นเพียง 1 ใน 35 โครงการของ Starck ในโลกที่เปรียบเหมือนงานอาร์ตจากดีไซน์เนอร์ระดับโลกที่มูลค่าโครงการจะสูงขึ้นตามกาลเวลา ดังนั้น แสนสิริจึงเชื่อมั่นว่าโครงการ KHUN by YOO inspired by Starck (คุณ บาย ยู อินสไปร์ บาย สตาร์ค) จะเป็นโครงการระดับมาสเตอร์พีซซึ่งเป็นทั้งความภาคภูมิใจของผู้พักอาศัยและการลงทุนที่มีศักยภาพอันโดดเด่นอย่างหาได้ยากในปัจจุบัน” นายอุทัยกล่าวต่อ     โครงการ KHUN by YOO inspired by Starck (คุณ บาย ยู อินสไปร์ บาย สตาร์ค) ตั้งอยู่บนพื้นที่ 1 ไร่ ใจกลางซอยทองหล่อ 12 เป็นอาคารคอนโดมิเนียมสูง 27 ชั้น จำนวน 148 ยูนิต ประกอบด้วยยูนิต 1 ห้องนอน 2 ห้องนอน 3 ห้องนอน และเพนต์เฮาส์ พื้นที่ตั้งแต่ 41.50 - 302.75 ตารางเมตร มูลค่ารวม  4,000 ล้านบาท ราคายูนิตเริ่มต้น 15 ล้านบาท     จุดเด่นของโครงการนี้คือการออกแบบที่โดดเด่นโดยทีม YOO Design Studio (คุณ บาย ยู อินสไปร์ บาย สตาร์ค) ภายใต้แนวคิด “Industrial Heritage” เพื่อสะท้อนความทันสมัยของย่านทองหล่อ ทำเลที่พักอาศัยคุณภาพใจกลางเมืองที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานของกรุงเทพฯ  ผสานความหรูหรา ทันสมัย กับความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ด้วยเส้นสายที่สร้างลวดลายสมมาตรทำให้เกิดจังหวะที่ต่อเนื่อง การเลือกใช้วัสดุที่ผสมผสานระหว่างความหรูหราอย่างหินอ่อน และความแปลกใหม่ อย่างปูนเปลือย ทองแดง หินขัด ฯลฯ  การออกแบบภายในมีการเล่นสีสันที่ตัดกันและใช้เฟอร์นิเจอร์รวมถึงอุปกรณ์ตกแต่งที่มีขนาดใหญ่เป็นพิเศษ (Oversize) อันเป็นเอกลักษณ์ของ Philippe Starck โดยให้ความสำคัญกับฟังก์ชั่นการใช้สอยอย่างครบถ้วนลงตัว   โครงการยังพรั่งพร้อมด้วยพื้นที่สีเขียวอันกว้างขวางเพื่อให้ผู้อยู่อาศัยได้สัมผัสความเป็นความเป็นธรรมชาติกลางเมือง และสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ ห้องฟิตเนสและสระว่ายน้ำ บนชั้นบนสุดของอาคาร พร้อมตกแต่งด้วยระบบไฟแบบ Fiber Optic ทำให้เห็นวิวทิวทัศน์แบบ 360 องศา และที่จอดรถแบบอัตโนมัติ (Automatic Parking) นับว่าเป็นครั้งแรกที่แสนสิรินำระบบที่จอดรถแบบนี้เข้ามาใช้ในโครงการ สามารถรองรับจำนวนรถได้ถึง 100% ของจำนวนยูนิต     นอกจากการโดดเด่นของตัวโครงการแล้ว KHUN by YOO inspired by Starck (คุณ บาย ยู อินสไปร์ บาย สตาร์ค) ยังฉีกกรอบเดิมของการทำ Sales Gallery ด้วยการไม่จัดแสดงห้องตัวอย่าง แต่ใช้คอนเซ็ปต์การนำเสนอโครงการผ่านการสร้างแรงบันดาลใจ (Inspiration) ในรูปแบบ Material Exhibition ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของประเทศไทย ในแนวคิด “The Industrial Heritage” ซึ่งสื่อออกมาผ่านการใช้วัสดุที่มีสีสันตัดกัน อย่างทองแดงผสมผสานกับคอนกรีตเปลือย และสถาปัตยกรรมภายนอกรูปทรงแปลกตาเพื่อสร้างความดึงดูด พร้อมการประดับไฟเพื่อสร้างความโดดเด่นในยามค่ำคืน ภายในตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ของ Starck และใช้วัสดุแบบเดียวกับที่ตกแต่งในล็อบบี้ของโครงการจริง   ทั้งนี้ หลังเปิด Sales Gallery บนที่ตั้งโครงการ KHUN by YOO inspired by Starck (คุณ บาย ยู อินสไปร์ บาย สตาร์ค) ณ ซอยทองหล่อ 12 เพื่อให้ลูกค้าสามารถเยี่ยมชมได้ไม่นาน ขณะนี้โครงการสามารถทำยอดขายได้มากกว่า 60% แล้วทั้งจากลูกค้าปัจจุบันของแสนสิริ ลูกค้าทั่วไป และลูกค้าที่เป็นแฟนผลงานของฟิลิปป์ สตาร์ค โครงการ KHUN by YOO inspired by Starck (คุณ บาย ยู อินสไปร์ บาย สตาร์ค) จะเปิดทำการขายอย่างเป็นทางการหรือพรีเซลส์ในเดือนมีนาคม 2560 โดยโครงการคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในเดือนกรกฎาคม 2563 สำหรับผู้ที่สนใจสามารถเข้าชมโครงการ สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.sansiri.com/condominium/khunbyyoo/th/ หรือโทร 1685
ตลาดที่อยู่อาศัยในลอนดอนยังมีศักยภาพสูงสำหรับการลงทุน นักลงทุนไทยที่รอช้อนซื้อบ้าน-คอนโดราคาตกอาจผิดหวัง ราคายังไม่ลดลง

ตลาดที่อยู่อาศัยในลอนดอนยังมีศักยภาพสูงสำหรับการลงทุน นักลงทุนไทยที่รอช้อนซื้อบ้าน-คอนโดราคาตกอาจผิดหวัง ราคายังไม่ลดลง

กรุงเทพฯ 22 พฤศจิกายน 2559 -  นับตั้งแต่อังกฤษมีประชามติให้ถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกในกลุ่ม EU มีเศรษฐีชาวไทยจำนวนมากขึ้นที่แสดงความสนใจซื้อที่อยู่อาศัยในลอนดอนเพื่อการลงทุน อย่างไรก็ดี มีเพียงจำนวนน้อยเท่านั้นที่ตัดสินใจซื้อในช่วงนี้ โดยส่วนใหญ่ยังคงรอดูสถานการณ์ เนื่องจากยังไม่แน่ใจว่าราคาอสังหาริมทรัพย์ในลอนดอนจะร่วงลงหรือไม่ ทั้งนี้ รายงานการวิเคราะห์ล่าสุดจากบริษัทบริการและที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ เจแอลแอล ระบุว่า นับจากการโหวต Brexit การปรับขึ้นของราคาที่อยู่อาศัยในลอนดอนเริ่มชะลอลง แต่ยังไม่มีแนวโน้มที่จะราคาปรับลดลงในอนาคตอันใกล้นี้ นางสุพินท์ มีชูชีพ กรรมการผู้จัดการ เจแอลแอลในประเทศไทย กล่าวว่า “สำหรับชาวไทยผู้มีฐานะที่สนใจลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศ ลอนดอนนับเป็นหนึ่งในตลาดที่อยู่อาศัยที่นักลงทุนไทยให้ความสนใจมากที่สุดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และยิ่งได้รับความสนใจมากขึ้นไปอีกในช่วงนี้ หลังค่าเงินปอนด์อ่อนตัวลงมาก ส่งผลให้คนไทยสามารถซื้ออสังหาริมทรัพย์ในอังกฤษได้ถูกลง เมื่อคำนวณเป็นสกุลเงินไทย ความสนใจที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวสะท้อนให้เห็นได้จากจำนวนการติดต่อสอบถามที่เจแอลแอลได้รับเพิ่มมากขึ้นจากผู้ที่สนใจซื้อที่อยู่อาศัยในกรุงลอนดอนหลังผลโหวต Brexit” นับตั้งแต่วันออกเสียงโหวต Brexit วันที่ 23 มิถุนายนถึงวันที่ 20 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ค่าเงินปอนด์อ่อนตัวลงไปราว 16% เมื่อเทียบกับเงินบาท อย่างไรก็ดี แม้ความสนใจจะมีมากขึ้น แต่จำนวนชาวไทยที่ตัดสินใจซื้อจริงในขณะนี้ยังมีไม่มาก นางสุพินท์อธิบายว่า ผู้สนใจส่วนใหญ่ยังไม่มั่นใจเกี่ยวกับทิศทางตลาดที่อยู่อาศัยของลอนดอนหลังอังกฤษออกจาก EU และมีนักลงทุนบางส่วนที่ไม่แน่ใจว่า ราคาที่อยู่อาศัยในลอนดอนในขณะนี้หรือในระยะต่อจากนี้จะตกลงหรือไม่ รายงานการวิเคราะห์ล่าสุดจากเจแอลแอลเปิดเผยว่า แม้ตลาดที่อยู่อาศัยของกรุงลอนดอนจะมีความอ่อนไหวมากขึ้นอันเป็นผลกระทบจากการลงประชามติให้อังกฤษถอนตัวออกจาก EU แต่คาดว่าสภาวะตลาดจะยังคงอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ทั้งนี้ การขยายตัวของอุปทานหรือซัพพลายใหม่ที่จะชะลอตัวมากในปี 2560 และ 2561 โดยเฉพาะในย่านใจกลางลอนดอน จะทำให้การเพิ่มขึ้นของอุปทานไม่สอดคล้องกับอุปสงค์หรือปริมาณความต้องการของผู้ซื้อ ซึ่งจะส่งผลให้ราคาที่อยู่อาศัยในลอนดอนมีแนวโน้มปรับเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะเมื่อความเชื่อมั่นฟื้นตัว นายเดวิด กรีน-มอร์แกน ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย หน่วยธุรกิจบริการด้านการลงทุน เจแอลแอล กล่าวว่า “สำหรับนักลงทุนที่สนใจซื้ออสังหาริมทรัพย์ในลอนดอนในขณะนี้ จำเป็นต้องอาศัยวิจารณญาณของตนเอง โดยควรพิจารณาปัจจัยพื้นฐานของตลาด ทั้งนี้ ตามข้อมูลของเจแอลแอล เชื่อว่า ช่วงเวลานี้เป็นจังหวะที่เหมาะสำหรับการซื้อหรือถือครองอสังหาริมทรัพย์ที่ซื้อไว้แล้วต่อไป มากกว่าที่จะปล่อยขาย” รายงานการวิเคราะห์ของเจแอลแอล ระบุถึงประเด็นสำคัญๆ หกประเด็นที่แสดงให้ถึงศักยภาพของตลาดที่อยู่อาศัยของลอนดอน ตลาดที่อยู่อาศัยในลอนดอนมีปริมาณในเกณฑ์ที่ไม่เพียงพอรองรับความต้องการของผู้ซื้อ โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยที่มีราคาต่ำกว่า 2 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 86 ล้านบาท ข้อมูลตัวเลขจากรัฐบาลอังกฤษ ประเมินว่า ในช่วง 4 ปีข้างหน้า จะมีซัพพลายใหม่ไม่เพียงพอรองรับความต้องการที่อยู่อาศัยในลอนดอนที่เพิ่มขึ้นราว 20,000-25,000 หน่วยต่อปี ปัจจุบัน ลอนดอนเป็นหนึ่งในศูนย์กลางทางเทคโนโลยีที่สำคัญที่สุดเมืองหนึ่งของโลก โดยมีบริษัทในกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยี สื่อ และโทรคมนาคม เป็นผู้เช่าอาคารสำนักงานกลุ่มใหญ่ที่สุดในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา ซึ่งทำให้มีผู้คนเดินทางเข้ามาทำงานในลอนดอนเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ คาดว่า นับจากนี้ไปถึงปี 2563 จำนวนประชากรในลอนดอนจะเพิ่มขึ้นอีกเกือบหนึ่งล้านคน ซึ่งจะทำให้ความต้องการที่อยู่อาศัยขยายตัวเพิ่มขึ้นอีกมาก ลอนดอนเป็นเมืองที่มีดัชนีสูงสุดเป็นอันดับหนึ่งในหลายๆ ด้าน อาทิ สภาพแวดล้อมทางธุรกิจ การพัฒนาของภาคการเงิน ระบบสาธารณูปโภค ทุนมนุษย์ และความมีชื่อเสียงโดยรวมในฐานะหนึ่งในเมืองชั้นนำของโลก ประกอบกับนโยบายการเงินและการคลังที่ค่อนข้างยืดหยุ่นของรัฐบาลอังกฤษ ช่วยหนุนให้ลอนดอนเป็นเป้าหมายสำหรับการลงทุนจากทั่วโลก เอื้อให้เกิดการขยายตัวของเศรษฐกิจและการว่าจ้างงานในทุกภาคส่วน ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อังกฤษมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระดับที่แข็งแกร่ง และมีการคาดการณ์ว่าจะขยายตัวแซงหน้าประเทศอื่นในยุโรปและ EU แม้จะมีการลงมติ Brexit แล้วก็ตาม เงินปอนด์ที่อ่อนค่าลงเป็นประวัติการณ์ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับเงินสกุลเอเชีย อาจนับเป็นโอกาสสั้นๆ เพียงโอกาสเดียวสำหรับนักลงทุนต่างชาติทั้งมือเก่าและมือใหม่ที่จะสามารถเข้าไปลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์ในลอนดอนได้ นอกจากนี้ เมื่อเทียบกับเมืองหลักอื่นๆ อาทิ ฮ่องกง ซิดนีย์ และสิงคโปร์ ตลาดการลงทุนซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ในลอนดอนนับว่ามีความได้เปรียบกว่าในแง่ของต้นทุนในการทำธุรกรรมซื้อขายและภาษีการถือครองที่ต่ำกว่า ไม่ว่าผลลัพธ์ท้ายสุดสำหรับการเจรจาต่างๆ ระหว่างอังกฤษและ EU เกี่ยวกับการเตรียมการถอนตัวของอังกฤษ จะออกมาในรูปแบบใด อังกฤษจะยังคงเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจมากที่สุด ทั้งในยุโรปและในเวทีโลกต่อไป
ปริญญ์ สาทร-ราชพฤกษ์ ( PRINN ) บ้านเดี่ยวของคนรุ่นใหม่ ภายใต้แนวคิด “Sustainability” คว้ารางวัลชนะเลิศ “Think Of Living People’s Choice Awards2016”

ปริญญ์ สาทร-ราชพฤกษ์ ( PRINN ) บ้านเดี่ยวของคนรุ่นใหม่ ภายใต้แนวคิด “Sustainability” คว้ารางวัลชนะเลิศ “Think Of Living People’s Choice Awards2016”

PRIN ปลื้ม! ปริญญ์ สาทร-ราชพฤกษ์ บ้านเดี่ยวคุณภาพที่สามารถตอบโจทย์ชีวิตคนเมือง สาทร ภายใต้แนวคิด “พอเพียงและยั่งยืน” คว้ารางวัลชนะเลิศ Think Of Living People’s Choice Awards2016 “ชัยรัตน์  โกวิทจินดาชัย”  ชี้ถือเป็นการการันตีคุณภาพของโครงการ นายชัยรัตน์ โกวิทจินดาชัย ผู้อำนวยการอาวุโส สำนักกรรมการผู้จัดการ บริษัท ปริญสิริ จำกัด (มหาชน) (PRIN) เปิดเผยว่า จากแนวคิดที่กว้างไกลของผู้บริหารบริษัทฯ ที่มองเห็นความต้องการของผู้อยู่อาศัยในปัจจุบัน ด้วยการเลือกทำเลที่ตั้ง ออกแบบโครงสร้าง การตกแต่ง บรรยากาศ ทั้งภายนอก และภายในโครงการที่เน้นความร่มรื่น เพื่อสร้างให้ ปริญญ์ สาทร-ราชพฤกษ์ เป็น “Oxygen Community” ในเมืองใหญ่   ที่นอกจากให้ผู้อยู่อาศัยได้พักผ่อน และรับรู้ถึงธรรมชาติ รอบๆ โครงการได้อย่างแท้จริงแล้วนั้น การออกแบบโครงสร้าง ที่เพิ่มฟังก์ชันพิเศษ และ สาธารณูปโภคที่จัดไว้ให้ผู้อยู่อาศัยได้อย่างครบครัน ทำให้ ปริญญ์ สาทร–ราชพฤกษ์ โครงการที่อยู่อาศัยคุณภาพ ได้คว้ารางวัลชนะเลิศ “Think Of Living People’s Choice Awards 2016”  สาขา “โครงการแนวราบที่มีสาธารณูปโภคยอดเยี่ยมประจำปี 2016” (Best Housing Facilities) มาครอง      จากรางวัลที่เราได้รับมอบในครั้งนี้ ถือเป็นการการันตีว่า ปริญญ์ สาทร-ราชพฤกษ์  เป็นโครงการที่คุณภาพ ซึ่งตั้งอยู่บนทำเลที่มีศักยภาพ มุ่งสู่ถนนสาทร  พร้อมราคาเริ่มต้นเพียง 16 ล้านบาท ทำให้มั่นใจได้ว่า สามารถมอบสังคมคุณภาพที่ผู้อยู่อาศัยจะได้รับจากเราในอนาคตได้อย่างยั่งยืนและแน่นอน “Sustainability Living with Oxygen Community  PRINN  Satorn-Ratchaphruek”   นายชัยรัตน์กล่าวในที่สุด ขณะที่ผลการดำเนินงานในงวด 9 เดือนแรกของปี 2559 (สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2559) บริษัทฯ มีรายได้รวม 2,197.59 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 333.57 ล้านบาท หรือ 17.90% กำไรสุทธิ 140.33 ล้านบาท และมั่นใจว่ารายได้รวมปีนี้ 2,900 ล้านบาท ตามเป้า ซึ่งคาดว่า 90% จะเป็นรายได้จากโครงการที่เปิดขายแล้วในปัจจุบัน  
“คีรี” เจ้าพ่อบีทีเอส เฉือน 10 ไร่เยื้องแดนเนรมิต ทุ่ม200ล้าน ตัดถนน 8 เลน แก้รถติดรัชโยธิน

“คีรี” เจ้าพ่อบีทีเอส เฉือน 10 ไร่เยื้องแดนเนรมิต ทุ่ม200ล้าน ตัดถนน 8 เลน แก้รถติดรัชโยธิน

"คีรี กาญจนพาสน์" เจ้าพ่อบีทีเอส เฉือน 10 ไร่เยื้องแดนเนรมิต ทุ่ม 200 ล้านตัดถนน 8 เลน เชื่อมพหลโยธินทะลุวิภาวดีฯ แก้รถติดแยกรัชโยธิน เปิดใช้ฟรี ปีหน้าขึ้นโครงการอสังหาฯ 2 หมื่นล้าน ดึง "จีแลนด์-แสนสิริ" ร่วมทุน ผุดห้าง คอนโดฯหรู รับรถไฟฟ้าสีเขียว "หมอชิต-คูคต" ลุยต่อคอมเพล็กซ์หมื่นล้านอีก 2 ทำเล "พญาไท-จตุจักร" นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือบีทีเอส เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า หลังได้ร่วมทุนกับ บมจ.แกรนด์ คาแนล แลนด์ (จีแลนด์) สัดส่วน 50 : 50 จัดตั้งบริษัท เบย์วอเตอร์ จำกัด ประมูลซื้อที่ดินจากกรมบังคับคดี 48 ไร่ ที่เคยเป็นที่ตั้งโครงการบางกอกโดม ตรงข้ามแดนเนรมิตเดิม ด้วยวงเงิน 7,350 ล้านบาท เมื่อปี 2557 เฉือนที่ 10 ไร่ทำทางลัด ล่าสุด ได้เริ่มพัฒนาระบบสาธารณูปโภคในโครงการแล้ว พร้อมนำที่ดิน 10 ไร่ ช่วงระหว่างกลางก่อสร้างเป็นถนนขนาด 30 เมตร ประมาณ 7-8 ช่องจราจร เชื่อมการเดินทางจากถนนพหลโยธินซอย 19/1 ทะลุถนนวิภาวดีรังสิต ระยะทางกว่า 1 กิโลเมตร ค่าก่อสร้าง 200 ล้านบาท ส่วนนี้จะเปิดให้ประชาชนใช้โดยไม่เก็บค่าผ่านทาง เพื่อเป็นเส้นทางลัด เลี่ยงรถติดบริเวณแยกรัชโยธิน ซึ่งการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) จะปิดการจราจร เพื่อรื้อสะพานสร้างรถไฟฟ้าสายสีเขียวต่อขยาย (หมอชิต-คูคต) วันที่ 22 พ.ย.นี้เป็นต้นไป "เรากำลังเร่งสร้างถนนให้เสร็จก่อน ให้คนได้ใช้ก่อนปีใหม่ ช่วยรัฐแก้ปัญหารถติด ส่วนการพัฒนาอสังหาฯจะเริ่มได้หลังจากนี้ มีแผนจะทำโครงการมิกซ์ยูส ทั้งห้างสรรพสินค้า ออฟฟิศและคอนโดมิเนียมเกรดเอ มูลค่าลงทุนกว่า 20,000 ล้านบาท" นายคีรีกล่าว ผนึกแสนสิริ-จีแลนด์ นายกวิน กาญจนพาสน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้ง กล่าวเพิ่มว่า เมื่อตัดที่ดิน 10 ไร่สร้างถนนในโครงการไปแล้ว ที่ดินทำเลนี้จะเหลืออีก 38 ไร่ เพื่อเตรียมพัฒนาโครงการใหม่ ร่วมทุนกับกลุ่มจีแลนด์ และอาจมีผู้ประกอบการรายอื่นสนใจเข้าร่วมด้วย อาทิ บมจ.แสนสิริ ที่ร่วมทุนกับบีทีเอส พัฒนาคอนโดฯ "เดอะไลน์" ตามแนวรถไฟฟ้าไปแล้ว ก็สนใจจะร่วมพัฒนาที่แปลงนี้ด้วย เนื่องจากเป็นทำเลศักยภาพติดถนนพหลโยธิน และห่างจากสถานีพหลโยธิน 24 ของรถไฟฟ้าสายสีเขียวเพียง 200 เมตร "ที่มีขนาดใหญ่มาก ต้องทำแบบมิกซ์ยูสแน่นอน เราเปิดกว้างหากใครสนใจจะร่วมพัฒนา ไม่ว่าผู้ประกอบการด้านโรงแรม ออฟฟิศ หรือที่อยู่อาศัย ซึ่งแสนสิริก็สนใจ ตอนนี้ก็ร่วมกันลงทุนไปแล้ว 16 โครงการจาก 25 โครงการ มูลค่า 100,000 ล้านบาท" เนรมิต 38 ไร่สู่มิกซ์ยูส ด้านแหล่งข่าวใน บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้ง กล่าวว่า การที่บริษัทยอมเฉือนที่ 10 ไร่สร้างถนนขนาดใหญ่เป็นทางลัดการเดินทางนั้น เพราะต้องการเพิ่มมูลค่าที่ดิน หลังจากภาครัฐไม่มีแผนลงทุนในย่านนี้ ซึ่งในอนาคตทางกลุ่มบริษัทมีแผนจะพัฒนาโครงการดังกล่าวในรูปแบบมิกซ์ยูส เป็นชุมชนเล็ก ๆ ที่มีทุกอย่างครบ ทั้งแหล่งช็อปปิ้ง แหล่งงาน ร้านอาหาร ที่อยู่อาศัย มีถนนให้สัญจร และทางเชื่อมรถไฟฟ้า "ถนนจะสร้างใหญ่เท่ากับถนนพหลโยธิน จะเปิดให้ประชาชนใช้ก่อน ส่วนจะยกให้รัฐหรือเก็บค่าใช้ทางหรือไม่ อยู่ที่นโยบายผู้บริหาร ตอนนี้คุณคีรีคิดคอนเซ็ปต์กว้าง ๆ ไว้แบบนี้ เหมือนเมืองทองธานีที่ตัดถนนและพัฒนาเป็นเมืองขึ้นมา" ได้ฤกษ์ลุย 2 ทำเลทอง นอกจากนี้ นายกวินเปิดเผยอีกว่า ในเร็ว ๆ นี้จะลงทุนพัฒนา 2 โครงการ มูลค่ารวม 10,000 ล้านบาท แปลงแรกเป็นที่ดินพญาไทติดรถไฟฟ้าบีทีเอส พื้นที่ 6 ไร่เศษ จะร่วมกับ บมจ.ยู ซิตี้ (บมจ.แนเชอรัลพาร์คเดิม) พัฒนาเป็นมิกซ์ยูสคอมเพล็กซ์ สูง 50 ชั้น พื้นที่ใช้สอย 100,000 ตารางเมตร มีร้านค้า สำนักงานเกรดเอ โรงแรม อาคารจอดรถ มูลค่า 6,000 ล้านบาท อีก 3 เดือนจะเริ่มตอกเสาเข็ม ใช้เวลาก่อสร้าง 4 ปี กำหนดเสร็จปลายปี 2563 แปลงที่ 2 เป็นที่ดินจตุจักร-หมอชิต ยังเหลือ 11 ไร่เศษ จากการพัฒนาคอนโดฯเดอะไลน์ บริษัทจะลงทุนเองทำเป็นอาคารประเภทมิกซ์ยูสคอมเพล็กซ์ สูง 40-50 ชั้น เท่ากับตึกทหารไทย จำนวน 2 อาคาร พื้นที่ใช้สอยรวม 100,000 ตร.ม. ที่นี่จะมีทุกอย่าง ระหว่างนี้รอการอนุมัติรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างปลายปี 2560 ใช้เวลา 42-48 เดือน ตามแผนจะแล้วเสร็จปลายปี 2564 ที่มา : ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
มั่นคงฯ เปิดตัวบ้านแฝดฟังก์ชั่นใหม่ “ชวนชื่น พาร์ค กาญจนา-บางใหญ่” ชูคอนเซ็ปต์ฟรีดอม ลิฟวิ่ง ประสบการณ์แห่งการใช้ชีวิตที่ลงตัว

มั่นคงฯ เปิดตัวบ้านแฝดฟังก์ชั่นใหม่ “ชวนชื่น พาร์ค กาญจนา-บางใหญ่” ชูคอนเซ็ปต์ฟรีดอม ลิฟวิ่ง ประสบการณ์แห่งการใช้ชีวิตที่ลงตัว

บมจ. มั่นคงเคหะการ ส่งโครงการบ้านแฝด “ชวนชื่น พาร์ค กาญจนา-บางใหญ่” มูลค่า 440 ล้านบาท ทำเลถนนกาญจนา-บางใหญ่ ใกล้รถไฟฟ้าสายสีม่วง, เซ็นทรัลเวสต์เกต และทางด่วนศรีรัชฯ ชูคอนเซ็ปต์ฟรีดอม ลิฟวิ่ง ประสบการณ์ใหม่แห่งการใช้ชีวิตที่ลงตัว ด้วยจุดเด่นพื้นที่ใช้สอยพร้อมรองรับไลฟ์ลไตล์หรือกิจกรรมต่างๆ ของครอบครัว พร้อมมอบเทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัยและความปลอดภัยล่าสุด ในราคาเริ่มต้นเพียง 3.29 ล้านบาท เปิดจอง 19-20 พย. นี้ นายวรสิทธิ์ โภคาชัยพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) ได้เปิดตัวบ้านแฝดโครงการใหม่ “ชวนชื่น พาร์ค กาญจนา-บางใหญ่” มูลค่า 440 ล้านบาท ชูคอนเซ็ปต์ฟรีดอม ลิฟวิ่ง ประสบการณ์ใหม่แห่งการใช้ชีวิตที่ลงตัว ด้วยจุดเด่นการออกแบบพื้นที่ใช้สอยกว้างขวาง สามารถปรับแต่งให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ หรือสามารถรองรับกิจกรรมต่างๆ ของครอบครัว ได้เป็นอย่างดี พร้อมมอบเทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัยและความปลอดภัยล่าสุดให้กับลูกค้า ตั้งอยู่บนทำเลกาญจนา-บางใหญ่ ใกล้รถไฟฟ้าสายสีม่วง, เซ็นทรัล เวสต์เกต และทางด่วนศรีรัช” โครงการ ชวนชื่น พาร์ค กาญจนา-บางใหญ่ เป็นบ้านแฝด 2 ชั้น จำนวน 124 ยูนิต บนเนื้อที่ 21-0-88.8 ไร่ มีแบบบ้านทั้งหมด 2 แบบ คือ แบบ P-Smart ประกอบด้วย 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ พื้นที่จอดรถ 2 คัน พื้นที่ใช้สอยภายในบ้าน 130 ตารางเมตร, แบบ P-Space และ P-Space+ ประกอบด้วย 4 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ พื้นที่จอดรถ 2 คัน พื้นที่ใช้สอยภายในบ้าน 140 ตารางเมตร โครงการ ชวนชื่น พาร์ค กาญจนา-บางใหญ่ เป็นบ้านแฝดที่มีการออกแบบบ้านให้มีฟังก์ชั่นการใช้งานอย่างลงตัว และมีพื้นที่ใช้สอยภายในบ้านขนาดใหญ่ พร้อมด้วยพื้นที่รอบบ้าน ตอบโจทย์ทุกอิสรภาพแห่งการใช้ชีวิต และยังโดดเด่นด้วยการนำเอานวัตกรรมล่าสุดของที่อยู่อาศัยมอบให้กับลูกค้าไม่ว่าจะเป็นการออกแบบภายในบ้านให้มีแสงสว่างเพียงพอ การเลือกใช้วัสดุภายในตัวบ้านด้วยมาตรฐาน SCG หรือแม้แต่การออกแบบบันไดบ้านไม่ให้มีความชัน ทางโครงการยังมีพื้นที่สวนสีเขียวขนาดใหญ่และสนามเด็กเล่น ในบริเวณส่วนกลางอีกด้วย นอกจากนั้น โครงการ “ชวนชื่น พาร์ค กาญจนา-บางใหญ่” ได้นำเทคโนโลยีเพื่อที่อยู่อาศัยและความปลอดภัยแบบ Triple Security System มาใช้ภายในโครงการเพื่อความสะดวกสบายและความปลอดภัยของลูกบ้าน ได้แก่ Double Gate และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย, ระบบกล้อง CCTV รอบโครงการ, สัญญาณกันขโมยด้วยระบบ Magnetic & Motion Sensor ภายในบ้านทุกหลัง อีกทั้งตอบโจทย์ชีวิตแบบ SMART LIFE ด้วยระบบอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงไฟเบอร์ ออพติก และเชื่อมต่อเข้าบ้านทุกหลัง พร้อมมอบสิทธิพิเศษให้ลูกค้า โดยมั่นคงได้ร่วมกับเอไอเอส มอบ Freedom Package ทั้งอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง 50/10 Mbps, AIS PLAYBOX กล่องทีวีอินเทอร์เน็ตความบันเทิงระดับพรีเมียมอย่างครบครัน และการรับชมหนังและซีรีย์ฮอลลีวู้ด จาก HOOQ ฟรี 1 ปี ทันทีที่ลูกค้าย้ายเข้าอยู่ โครงการ “ชวนชื่น พาร์ค กาญจนา-บางใหญ่” เปิดให้ลูกค้าเยี่ยมชมบ้านตัวอย่าง  และเลือกบ้านแปลงสวยก่อนใครได้   ในวันที่ 19-20 พ.ย. นี้ ในราคาเริ่มต้น 3.29 ล้านบาท สำหรับลูกค้าที่สนใจสามารถลงทะเบียนทางเว็บไซต์เพื่อรับส่วนลด 100,000 บาท ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.mk.co.th หรือโทร. 1622
“เอพี ไทยแลนด์” เปิดตัว “บ้านกลางเมือง คลาสเซ่ เอกมัย – รามอินทรา” ซูเปอร์ลักชัวรี่วิลล่า 3 ชั้น พร้อมจับมือ “ซัมซุง” ยกระดับการใช้ชีวิตไปอีกขั้นปั้นอินเทลลิเจนท์โฮมของจริงแห่งแรกในเมืองไทย

“เอพี ไทยแลนด์” เปิดตัว “บ้านกลางเมือง คลาสเซ่ เอกมัย – รามอินทรา” ซูเปอร์ลักชัวรี่วิลล่า 3 ชั้น พร้อมจับมือ “ซัมซุง” ยกระดับการใช้ชีวิตไปอีกขั้นปั้นอินเทลลิเจนท์โฮมของจริงแห่งแรกในเมืองไทย

บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาอสังหาริมทรัพย์ สำหรับคนเมือง และผู้นำการสร้างสรรคนวัตกรรมการดีไซน์เพื่อพื้นที่ใช้สอยที่ไม่จำกัด เปิดตัว “บ้านกลางเมือง คลาสเซ่” (Baan Klang Muang CLASSE) บ้านเดี่ยวซูเปอร์ลักชัวรี่สูง 3 ชั้น โครงการล่าสุดของเอพี นำเสนอความต่างด้วยการพัฒนานวัตกรรมดีไซน์สุดล้ำภายใต้แนวคิด ‘Multiverse Layouts’ การออกแบบพื้นที่ที่คำนึงถึงรูปแบบการใช้ชีวิตในแนวตั้งและแนวนอนไปพร้อมๆ กัน สร้างมิติใหม่ให้กับพื้นที่ใช้สอยและการเชื่อมต่อระหว่างพื้นที่ 3 ชั้นได้อย่างไร้รอยต่อ ตอบสนองความต้องการใช้ซีวิตที่หลากหลายของคน 3 ช่วงวัยในครอบครัว พร้อมเป็นโครงการแรกในธุรกิจอสังหาทรัพย์ที่เหนือกว่า ด้วยการผสานเทคโนโลยีล้ำสมัยเข้ากับแนวคิด IoT (Internet of Things) ผ่านการประกาศจับมือร่วมกับทางซัมซุง เปิดตัว ‘AP Intelligent Living’ ที่สุดของนวัตกรรมเพื่อนการอยู่อาศัย ผสานเทคโนโลยีล้ำสมัยของเครื่องใช้ไฟฟ้าซัมซุง ซึ่งทำงานร่วมกันกับอุปกรณ์ต่างๆ บนแพลตฟอร์ม IoT (Internet of Things) ยกระดับรูปแบบการใช้ชีวิตของลูกค้าเอพีให้สะดวกสบายปลอดภัยยิ่งขึ้น โดยเอพีได้พันธมิตรเบอร์หนี่งที่มีความแข็งแกร่งในเรื่องเทคโนโลยี เพื่อการอยู่อาศัยสำหรับคนเมือง อย่างบริษัทไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด ในการเข้ามาทำงานร่วมกับทีม AP Design Lab เพื่อร่วมกันวางระบบอินเทลลิเจนท์โฮม ให้เกิดขึ้นในทุกพื้นที่ของบ้าน โดยมีโครงการบ้านกลางเมือง คลาสเซ่เป็นโครงการนำร่อง โดยเอพีเป็นรายแรกในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทยที่เหนือกว่าด้วยการผสานนวัตกรรม Alexa Voice Command ระบบสั่งงานด้วยเสียงให้เชื่อมต่อเข้ากับระบบสมองกลอัจฉริยะที่เป็นศูนย์กลางควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ทุกชิ้นภายในบ้าน นอกจากนี้ระบบอินเทลลิเจนท์โฮมยังพัฒนาขั้นสูงไปจนถึงสามารถตอบโต้กับเจ้าของบ้านตลอด 24 ชั่วโมง รวมถึงระบบตรวจจับความเคลื่อนไหวที่มีความสามารถมากขึ้น ตอบโจทย์พฤติกรรมการใช้ชีวิตของผู้อยู่อาศัยได้อย่างน่าทึ่ง ช่วยให้ชีวิตของลูกบ้านเอพีสะดวกสบายและมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) คือ ผู้นำด้านการปฏิวัติออกแบบพื้นที่ใช้สอยที่อยู่อาศัย ผู้พัฒนาดครงการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย มุ่งมันสร้างสรรค์อย่างมีสำนึกรับผิดชอบ ด้วยผลิตภัณฑ์อสังหาริมทรัพย์และบริการที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพ ตั้งแต่การดีไซน์ที่โดดเด่นด้วยพื้นที่ใช้สอยที่สะดวกสบาย ทำเลที่ดีเยี่ยม รวมไปถึงคุณภาพในการก่อสร้าง การบำรุงรักษา บริการหลังการขาย และบริการขาย/ให้เช่า ทั้งนี้เพื่อให้เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ภายใต้แบรนด์เอพีได้ใช้ชีวิตที่ดีที่สุดและเติมเต็มความสุขในแบบที่ตนปรารถนา “เอพี ไทยแลนด์ กล้าที่จะแตกต่าง ผู้นำด้านนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัย - ทุกพื้นที่ชีวิตเราคิดเพื่อคุณ”
ORI ประกาศความสำเร็จโชว์กำไร Q3/59 พุ่ง 400% พร้อมจ่ายปันผล

ORI ประกาศความสำเร็จโชว์กำไร Q3/59 พุ่ง 400% พร้อมจ่ายปันผล

จากกระแสตอบรับของการเปิดตัวโครงการใหม่ และโครงการที่แล้วเสร็จพร้อมรับรู้รายได้ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ส่งผลให้บอสใหญ่ คุณพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้  ออกมาประกาศความสำเร็จผลประกอบการในไตรมาส 3 /59 ที่บริษัทฯ สามารถทำกำไรไปได้ 158.22 ลบ. ซึ่งเพิ่มขึ้น 400% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนตัวเลขสะสม 9 เดือนในปีนี้ มีกำไรถึง 319.63 ลบ. เพิ่มขึ้น 22% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยปัจจัยหลักที่ทำให้ตัวเลขมีทิศทางที่ดีขึ้น มาจากโครงการที่เริ่มโอนกรรมสิทธิ์ในช่วงไตรมาส 3/59 ทั้งหมด 2 โครงการได้แก่ โครงการ “พอส สุขุมวิท 115” และโครงการ “ไนท์บริดจ์ สกาย ริเวอร์ โอเชียน”  นอกจากนี้ !! บอร์ดบริหารได้ทำการเพิ่มทุนจดทะเบียน 440.50 หุ้น พร้อมเอาใจผู้ถือหุ้นด้วยการจ่ายปันผลในอัตรา 1.50 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นปันผล และจ่ายปันผลเป็นเงินสดในอัตราหุ้นละ 0.0371 บาท พร้อมจ่ายปันผลในวันที่ 29 ธ.ค. นี้
ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ประกาศผลประกอบการปี 2560 รับรู้รายได้ 3,589.2 ล้านบาท กำไรสุทธิ 680.8 ล้านบาท เติบโต 36% ประกาศจ่ายปันผลทั้งปีรวม 0.30 บาท

ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ประกาศผลประกอบการปี 2560 รับรู้รายได้ 3,589.2 ล้านบาท กำไรสุทธิ 680.8 ล้านบาท เติบโต 36% ประกาศจ่ายปันผลทั้งปีรวม 0.30 บาท

บริษัท  ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน)  เติบโตอย่างแข็งแกร่งเหนือตลาด ประกาศผลประกอบการไตรมาสสาม ปี 2559 โดยมียอดรับรู้รายได้ที่ 747.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 48% ขยายตัวสูงติดต่อกันเป็นไตรมาสที่สี่  ในขณะที่คงความสามารถในการจัดการต้นทุนได้ดี ส่งผลให้ในไตรมาส 3/59 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 142.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนกว่า 78% ส่วนตัวเลขงวด 9 เดือน  บริษัทมียอดรับรู้รายได้แล้วกว่า 2,050 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 57.5% และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 385.3 ล้านบาท ซึ่งเติบโตขึ้น 100.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ภายใต้คอนเซ็ปท์ “บ้านที่ปลูกบนความตั้งใจที่ดี” กล่าวว่า แม้ภาพรวมของตลาดอสังหาฯ ในปี 2559 นี้จะไม่สดใสนัก ภาพรวมตลาดมีแนวโน้มที่จะหดตัวลงจากปีก่อน ส่งผลให้ในช่วงที่ผ่านมาจะเห็นว่าผู้ประกอบการหลายรายเริ่มออกมาประกาศปรับลดเป้าหมายทางธุรกิจลง ตลอดจนมีการเลื่อนแผนการเปิดโครงการใหม่ออกไป แต่สำหรับลลิลฯ ได้มีการวางแผนและดำเนินกลยุทธ์ให้สอดรับกับสถานการณ์ มีการปรับ Products ให้ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค รวมทั้งขยายโครงการไปยังทำเลที่มีศักยภาพเพิ่มมากขึ้น จึงช่วยให้บริษัทสามารถ Gain Market Share เพิ่มขึ้นส่งผลให้ผลประกอบการของบริษัทเติบโตขึ้นอย่างมาก ทั้งนี้ผลประกอบการไตรมาส 3/2559 โดยมียอดรับรู้รายได้ที่ 747.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 48% ขยายตัวสูงติดต่อกันเป็นไตรมาสที่สี่  ในขณะที่คงความสามารถในการจัดการต้นทุนได้ดี จึงส่งผลให้ในไตรมาส 3/2559 บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 142.3 ล้านบาท ขณะที่ งวด 9 เดือนปี 2559 บริษัทฯ มียอดรับรู้รายได้รวม  2,050 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 58% ในส่วนของกำไรสุทธิ 9 เดือนปี 2559 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 385.3 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนกว่าเท่าตัว ดังนั้นเชื่อมั่นว่าในไตรมาสสุดท้ายบริษัทฯ จะยังคงทำผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่อง จึงมั่นใจว่าบริษัทฯ จะสามารถทำยอดรับรู้รายได้ในปีนี้ ได้สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้เมื่อต้นปีที่ 2,400 ล้านบาทอย่างแน่นอน ในส่วนของการขยายธุรกิจ  แม้สถานการณ์ที่ไม่เอื้อ จนทำให้ผู้ประกอบการหลายรายต้องเลื่อนการเปิดโครงการใหม่ออกไป  แต่สำหรับลลิลฯ ในปีนี้จะสามารถเปิดโครงการใหม่ได้มากกว่าแผนต้นปีที่วางไว้ที่ 8 โครงการ มูลค่ารวม 4 พันล้านบาท ปัจจุบัน บริษัทฯ มีการเปิดโครงการใหม่ไปแล้วทั้งสิ้นจำนวน 8 โครงการ และกำลังจะเปิดอีก 1 โครงการในช่วงที่เหลือของปี ทำให้ในปีนี้บริษัทฯ จะมีการเปิดโครงการใหม่ทั้งสิ้น 9 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ4,500 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้บริษัทฯ มีการขยายตัวที่มั่นคงต่อไป ด้านโครงสร้างเงินทุนแม้ว่าจะมีการลงทุนเปิดโครงการใหม่ในปีนี้ทั้งสิ้น 9 โครงการ แต่บริษัทฯ ยังคงความแข็งแกร่งทางด้านการเงิน โดยมีระดับหนี้ที่สามารถบริหารจัดการได้ มีการใช้แหล่งของเงินกู้ที่หลากหลาย และมีอัตราดอกเบี้ยคงที่เพื่อ lock ต้นทุนทางการเงิน ทั้งนี้ ณ สิ้นไตรมาสสามนี้ บริษัทฯ มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) อยู่เพียงแค่ 0.8 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ประมาณ 1.4 เท่า
ยูนิเวนเจอร์ ปลื้มไตรมาสสามโต 62%

ยูนิเวนเจอร์ ปลื้มไตรมาสสามโต 62%

บริษัท ยูนิเวนเจอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ UV เผยผลประกอบการไตรมาส 3/2559 มีรายได้รวม 5,195.0ล้านบาท เพิ่มขึ้น 61.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปี 2558 ทำให้ช่วงเก้าเดือนแรกมีรายได้รวม 12,872.8 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 1,309.8 ล้านบาท มียอดขายรอรับรู้รายได้ 4,944.4 ล้านบาท จากทั้งหมด 34 โครงการ นายวรวรรต ศรีสอ้าน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ยูนิเวนเจอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ UV กล่าวว่า ผลประกอบการไตรมาส 3/2559 มีรายได้รวมอยู่ที่ 5,195.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันในปีก่อน 1,978.8 ล้านบาท หรือมีการเติบโต 61.5% โดยมีรายได้หลักมาจากกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย 4,415.8 ล้านบาท คิดเป็น 85.0% ของรายได้รวม แบ่งเป็นรายได้จากโครงการแนวสูง มูลค่ารวม 1,884.7 ล้านบาท และมาจากโครงการแนวราบ มูลค่ารวม 2,531.1 ล้านบาท “ปัจจุบันบริษัทฯ มียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) รวมทั้งสิ้น 4,944.4 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 2,763.3 ล้านบาท และโครงการแนวสูง 2,181.1 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น Backlog ที่จะรับรู้รายได้ในไตรมาสสุดท้าย 2,725.9 ล้านบาท และส่วนที่เหลือ 2,218.5 ล้านบาทจะทยอยรับรู้ในปี 2560 โดยยอด Backlog เป็นผลมาจากมาตรการจัดโปรโมชั่น  ต่างๆ อาทิ มหกรรมบ้านและคอนโดครั้งที่ 35, ป๊อปไม่หยุด โปรดีไม่มีเท” “สำหรับกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อให้เช่ามีรายได้ 385.7 ล้านบาท คิดเป็น 7.0% ของรายได้รวม นอกจากนี้ยังมีกลุ่มธุรกิจผลิตสังกะสีออกไซด์ 356.8 ล้านบาท คิดเป็น 6.9% ของรายได้รวม โดยมียอดขาย 4,949.5 เมตริกตัน” “ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2559 บริษัทฯ มีแผนการเปิดตัวโครงการใหม่อีก 2 โครงการ แบ่งเป็นโครงการแนวสูง 1 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 900 ล้านบาท และโครงการแนวราบของกลุ่มบริษัทแผ่นดินทองอีก 1 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 816 ล้านบาท เพื่อให้การรับรู้รายได้ในอนาคตเป็นไปอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ คาดว่าปี 2559 นี้จะมีรายได้รวมประมาณ 16,000 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 15,300 ล้านบาท” นายวรวรรต กล่าวในตอนท้าย
เอพี เตรียมเปิดขายแนวราบพร้อมกัน 3 โครงการ มูลค่ารวม 3,900 ล้านบาท

เอพี เตรียมเปิดขายแนวราบพร้อมกัน 3 โครงการ มูลค่ารวม 3,900 ล้านบาท

(14 พ.ย. 2559) คุณภมร ประเสริฐสรรค์ รองกรรมการผู้อำนวยการสายงานธุรกิจบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) เผยว่าดีมานด์สินค้าที่อยู่อาศัยแนวราบมีการตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าครอบครัวระดับบนที่ซื้อเพื่อการอยู่อาศัยจริง การันตีจากยอดขายสินค้าแนวราบ ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2559 รวมประมาณ 10,950 ล้านบาท หรือคิดเป็น 76% จากเป้ายอดขายเฉพาะโครงการแนวราบทั้งปีที่ตั้งไว้ที่ 14,000 ล้านบาท แต่ทั้งนี้ ‘ฟังก์ชั่นใช้สอยภายในบ้าน’ จะต้องตอบรับไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยของครอบครัวคนเมือง และ ‘ทำเล’ จะต้องมีศักยภาพติดถนนใหญ่ ใกล้โครงข่ายคมนาคมที่สามารถเชื่อมต่อการเดินทางเข้าสู่เมืองได้อย่างรวดเร็ว โดยล่าสุดเอพีเตรียมเปิดขายบ้านเดี่ยว 3 โครงการสุดท้ายของปี มูลค่าโครงการรวม 3,900 ล้านบาท ได้แก่ บ้านกลางเมือง คลาสเซ่ เอกมัย – รามอินทรา จำนวน 56 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 25 ล้านบาท เดอะ ซิตี้ สุขสวัสดิ์ จำนวน 70 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 6.99 ล้านบาท และเดอะ ซิตี้ บางใหญ่ จำนวน 133 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 4.99 – 7 ล้านบาท โดยบ้านเดี่ยวทั้ง 3 โครงการจะเปิดขายอย่างเป็นทางการพร้อมกัน ณ เซลส์แกลเลอรี ในวันที่ 19 – 20 พฤศจิกายนนี้   สำหรับรายละเอียดบ้านเดี่ยวทั้ง 3 โครงการ ประกอบด้วย 1. บ้านกลางเมือง คลาสเซ่ เอกมัย – รามอินทรา ซูเปอร์ลักชัวรี่วิลล่าสูง 3 ชั้น โครงการแรกในเมืองไทยที่รองรับนวัตกรรมการอยู่อาศัย AP Intelligent Living เทคโนโลยีล้ำสมัยที่ช่วยสนับสนุนให้การใช้ชีวิตของคนยุคใหม่สะดวกสบายอย่างแท้จริง จำนวน 56 ยูนิต เพียง 15 นาทีถึงสาทร มูลค่าโครงการ 2,560 ล้านบาท ราคาเริ่มต้น 25 ล้านบาท ขนาดที่ดินเริ่มต้น 52.6 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 346 - 454 ตารางเมตร 5 ห้องนอน 6 ห้องน้ำ 2 ห้องนั่งเล่น พร้อมที่จอดรถ 3 คัน 2. เดอะ ซิตี้ สุขสวัสดิ์ บ้านเดี่ยวหลังใหญ่ ภายใต้การออกแบบสไตล์ Modern Moroccan จำนวน 70 ยูนิต โครงการบ้านเดี่ยวบนทำเลติดถนนใหญ่เพียงแห่งเดียวในย่านสุขสวัสดิ์ พร้อมการเชื่อมต่อสาทรอย่างรวดเร็ว มูลค่าโครงการ 580 ล้านบาท ราคาเริ่มต้น 6.99 ล้านบาท ขนาดที่ดินเริ่มต้น 52.7 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 185.92 – 169.61 ตารางเมตร 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ ที่จอดรถ 2 คัน 3. เดอะ ซิตี้ บางใหญ่ บ้านเดี่ยวหลังใหญ่ ภายใต้การออกแบบ Modern Art Deco จำนวน 133 ยูนิต ใกล้ทางด่วน 2 นาทีถึงรถไฟฟ้าสายสีม่วงสถานีคลองบางไผ่ มูลค่าโครงการ 760 ล้านบาท ราคาเริ่มต้น 4.99 - 7 ล้านบาท ขนาดที่ดินเริ่มต้น 52.7 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 185.92 – 169.61 ตารางเมตร 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ ที่จอดรถ 2 คัน “โดยเอพีได้เตรียมเอกสิทธิ์พิเศษสำหรับลูกค้าที่สนใจจองซื้อโครงการ เดอะ ซิตี้ สุขสวัสดิ์ และ เดอะ ซิตี้ บางใหญ่ ลงทะเบียนทาง apthai.com รับส่วนลดสูงสุด 400,000 บาท และสิทธิพิเศษอื่นๆ อีกมากมายในงานเปิดขายระหว่างวันที่ 19 – 20 พ.ย. นี้ ณ เซลส์แกลเลอรีโครงการ” คุณภมรกล่าวเพิ่มเติม
แอสเซทไวส์ รุกหนักไตรมาสสุดท้าย บุกทำเลใหม่รัชดา ส่งโครงการ “บราวน์ คอนโด รัชดา 32” เริ่มต้นเพียง 1.49 ล้านบาท

แอสเซทไวส์ รุกหนักไตรมาสสุดท้าย บุกทำเลใหม่รัชดา ส่งโครงการ “บราวน์ คอนโด รัชดา 32” เริ่มต้นเพียง 1.49 ล้านบาท

ขยายฐานการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย ให้ครอบคลุมพื้นที่ความต้องการของผู้อยู่อาศัยมากยิ่งขึ้น บนทำเลที่สะดวกสบายของซอยรัชดา 32 ภายใต้แนวคิด “The Extraordinary” เติมความพิเศษในทุกด้านของการอยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบยิ่งกว่า ใกล้สถานีรถไฟฟ้าถึง 3 สาย โดดเด่นด้วยเพดานที่สูงกว่า ถึง 2.8 เมตร พร้อม Private Clubhouse ดีไซน์สวยหรูมีเอกลักษณ์ และสิ่งอำนวยความสะดวกที่ให้มากกว่า ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.49 ล้านบาท บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มุ่งมั่นสร้างสรรค์ที่อยู่อาศัยคุณภาพสูง  บุกทำเลใหม่ใจกลางเมือง เปิดตัวโครงการ “บราวน์ คอนโด รัชดา 32” (Brown Condo) คอนโดมิเนียมโลวไรส์ สูง 7 ชั้น จำนวน 1 อาคาร รวม 242 ยูนิต มูลค่าโครงการ 501 ล้านบาท บนพื้นที่โครงการ 1-3-44 ไร่ โดดเด่นด้วย ทำเลที่ตั้งใจกลางเมือง การคมนาคมสะดวกเข้าออกได้หลายทาง ใกล้รถไฟฟ้า MRT ลาดพร้าว และรถไฟฟ้าสายสีเขียว และสายสีเหลือง ที่จะเปิดให้บริการในอีกไม่ช้านี้ นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด กล่าวว่า ย่านรัชดาภิเษก เป็นทำเลที่ยังมีความต้องการคอนโดอยู่อีกเป็นจำนวนมาก  แต่ที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในย่านนี้มีอยู่ค่อนข้างจำกัด และราคาที่ดินก็สูงขึ้นมาก เพราะเป็นพื้นที่ New CBD ที่สำคัญ มีสาธารณูปโภค แหล่งงานการคมนาคมที่สะดวก มีอาคารสำนักงานจำนวนมาก อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ได้เลือกสรรทำเลที่ดีที่สุด เปิดตัวโครงการ “บราวน์ คอนโด รัชดา 32” เพื่อรองรับความต้องการของผู้อยู่อาศัยในย่านนี้ ซึ่งมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยังถือเป็นอีกก้าวในการขยายฐานการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยของบริษัทฯ ให้เข้ามาอยู่ใจกลางเมืองมากขึ้น โครงการบราวน์ คอนโด ตั้งอยู่ในซอย รัชดา 32 เป็นทำเลที่เดินทางได้สะดวกสบาย สามารถเลือกเชื่อมต่อเป็นเส้นทางลัดได้หลากหลายเส้นทาง ทั้งถนนลาดพร้าว พหลโยธิน ประดิษฐ์มนูธรรม ใกล้สถานีรถไฟฟ้าถึง 3 สาย ได้แก่ รถไฟฟ้า MRT สถานีลาดพร้าว รถไฟฟ้าสายสีเขียว และรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ซึ่งคาดว่าจะเปิดให้บริการในอีกไม่ช้า นอกจากนี้ยังเป็นศูนย์รวมสถานที่สำคัญ ทั้งสถานศึกษา ห้างสรรพสินค้า คอมมูนิตี้มอลล์ อาคารสำนักงาน สถานที่อำนวยความสะดวกต่างๆ อาทิ มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว ศูนย์การค้ายูเนี่ยน มอลล์ เป็นต้น บราวน์ คอนโด รัชดา 32 ออกแบบในแนวคิด “The Extraordinary” เปลี่ยนการอยู่อาศัยให้พิเศษยิ่งกว่าเดิม ด้วยดีไซน์ที่สวยหรู โดดเด่น มีสไตล์ ให้ความรู้สึกโปร่งโล่งกว่า ด้วยความสูงของฝ้าเพดานถึง 2.8 เมตร มาพร้อมเฟอร์นิเจอร์บิลท์อินที่สวยโดดเด่นและมีเอกลักษณ์ ใส่ใจทุกรายละเอียดด้วยการเลือกใช้วัสดุคุณภาพ  ออกแบบห้องพักที่คำนึงถึงฟังก์ชั่นการใช้งานและประโยชน์ใช้สอยที่คุ้มค่า ตกแต่งเฟอร์นิเจอร์แบบครบเซ็ต พร้อมเทคโนโลยีเพื่อไลฟ์สไตล์ที่ทันสมัยอย่าง Digital Door Lock และ Bluetooth Sound System ระบบหน้าจอสัมผัส รุ่นล่าสุด บราวน์ คอนโด  ยังมีความพิเศษด้วยไพรเวท คลับเฮ้าส์ ที่ถูกออกแบบให้เป็นสถานที่ชิลเอ้าท์สำหรับผู้อยู่อาศัยอีก 1 อาคาร ครบครันทั้ง  ดูเพล็กซ์ ล็อบบี้ เลานจ์ (Duplex Lobby Lounge) พื้นที่พักผ่อน พร้อมห้องสมุดที่ให้ความรู้สึกโปร่งสบายด้วยความสูงถึง 2 ชั้น พื้นที่สำหรับเล่นเกมส์ (Playroom)  สระว่ายน้ำ (Swimming Pool) ยาว 18.5 เมตร ฟิตเนสเห็นวิวสระว่ายน้ำได้อย่างชัดเจน (The Gym)  และเติมความพิเศษยิ่งขึ้นด้วยพื้นที่พักผ่อนสำหรับทุกไลฟ์สไตล์ บนชั้น Roof Top ของอาคาร ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่สำหรับจัดปาร์ตี้บาร์บีคิว (Barbecue Party & Wine Bar)  มุมพักผ่อนชมวิว (Starlight Terrace) พื้นที่เล่นโยคะ (Yoga Deck) พื้นที่ออกกำลังกายกลางแจ้ง (Outdoor Exercise) พื้นที่สำหรับพัตกอล์ฟ (Putting Green) สนามเด็กเล่น (Sculptural Playground) พื้นที่สำหรับนั่งทำงาน  (Outdoor Working Space & Community Table) เตียงสำหรับนอนพักผ่อน (Day Bed) ลู่วิ่ง (Jogging Track) และแปลงผักที่ผู้อยู่อาศัยสามารถเก็บไปทำอาหารได้ (Healthy Plants Garden)  ทั้งยังเพิ่มความมั่นใจในความปลอดภัยด้วยกล้องวงจรปิด และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง โครงการ บราวน์ คอนโด รัชดา 32 เป็นคอนโดมิเนียมในรูปแบบโลว์ไรส์ จำนวน 7 ชั้น 1 อาคาร รวม 242 ยูนิต ประกอบด้วยห้องชุดขนาดต่างๆ ได้แก่ ห้อง 1 Bedroom ขนาด 23.96 – 25.48 ตร.ม. ห้อง 1 Bedroom Exclusive ขนาด 29.79 – 34.78 ตร.ม. ห้อง 1 Bedroom Plus ขนาด 33.08 – 46.36 ตร.ม. ในราคาเริ่มต้น 1.49 ล้านบาท นายกรมเชษฐ์ กล่าวเพิ่มเติมถึงแผนการดำเนินธุรกิจในปีหน้าว่า จะเริ่มรุกขยายพื้นที่ในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย ในทำเลใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง “ต้นปี 2560 จะเปิดตัวโครงการ วินน์ คอนโด โชคชัย 4 ( Wynn) มูลค่าโครงการ 652 ล้านบาท โดยมีจำนวน 352 ยูนิต  ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพสูง บนถนนโชคชัย 4  ที่ใกล้แหล่งไลฟ์สไตล์ทุกรูปแบบ ทั้งศูนย์การค้า สถานศึกษา โรงพยาบาล ตลาด  ทั้งยังสามารถเดินถึงรถไฟฟ้าสายสีเหลืองได้สบายๆ เชื่อว่าจะตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้เป็นอย่างดี พร้อมกันนั้น ในปี 2560 คาดว่าจะเปิดอีกไม่ต่ำกว่า 4 โครงการ โดยเน้นโครงการในแนวสูง เชื่อมั่นว่าด้วยคุณภาพของโครงการ บวกกับการยอมรับและการบอกต่อในแบรนด์ จะทำให้ลูกค้ามั่นใจและเกิดการตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่อง” นายกรมเชษฐ์ กล่าวในตอนท้าย ทั้งนี้ สำหรับโครงการ บราวน์ คอนโด รัชดา 32 ได้มีการเปิดจองรอบ VIP Booking ไปเมื่อวันที่ 5 – 6 พฤศจิกายนศกนี้ ได้รับการตอบรับอย่างดียิ่ง ผู้ที่สนใจบราวน์ คอนโด สามารถลงทะเบียนได้ที่ www.browncondo.com พร้อมเยี่ยมชมห้องตัวอย่างได้ ณ สำนักงานขาย บราวน์ ซอยรัชดา 32 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 081 064 3232
ออริจิ้นบุก New CBD ผุดบิ๊กโปรเจกท์คอนโด “นอตติ้ง ฮิลล์ จตุจักร อินเตอร์เชนจ์” มูลค่าโครงการ 618 ล้านบาท พร้อมรับการขยายตัวของเศรษฐกิจย่านจตุจักร

ออริจิ้นบุก New CBD ผุดบิ๊กโปรเจกท์คอนโด “นอตติ้ง ฮิลล์ จตุจักร อินเตอร์เชนจ์” มูลค่าโครงการ 618 ล้านบาท พร้อมรับการขยายตัวของเศรษฐกิจย่านจตุจักร

บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ตอกย้ำผู้นำตลาดคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้า วางแผนเจาะพื้นที่หมอชิต จตุจักร ศูนย์กลางธุรกิจแห่งใหม่ของกรุงเทพในอนาคตNew CBD ล่าสุด!!ส่งโครงการสไตล์โมเดิร์น ภายใต้   แบรนด์ “นอตติ้ง ฮิลล์” คือ โครงการ  นอตติ้ง ฮิลล์ จตุจักร อินเตอร์เชนจ์(Notting Hill Jatujak – Interchange)ราคาเริ่มต้นเพียง 2.9 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 618 ล้านบาทด้วยศักยภาพของทำเลใกล้จุดเชื่อมต่อรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีหมอชิต และรถไฟฟ้าใต้ดินสถานีกำแพงเพชร เพื่อรองรับการขยายตัวของศูนย์กลางเขตเศรษฐกิจพร้อมเปิดตัวและให้ชมห้องตัวอย่างก่อนใคร ในวันที่ 12 พฤศจิกายน นี้ คุณพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ภายใต้ชื่อหลักทรัพย์ “ORI”เปิดเผยว่าหลังจากการเปิดตัวโครงการ ไนท์บริดจ์ ไพร์ม สาทร(Knight bridge Prime Sathorn)ได้สามารถสร้างปรากฏการณ์ One day sold out ได้อย่างสวยงาม ทำให้พิสูจน์ได้ถึงความสำเร็จของกลยุทธ์ Blue Ocean Strategy ที่ ออริจิ้น ใช้ในการบุกตลาดโซนใหม่ในเมืองจนประสบความสำเร็จเกินความคาดหมาย จึงทำให้ล่าสุด ออริจิ้น นำกลยุทธ์นี้มาใช้ในการเข้ามาเจาะทำเลที่มีการแข่งขันสูงอย่างพหลโยธิน-จตุจักร ด้วยเช่นกันจตุจักร-พหลโยธิน  เป็นทำเลที่เริ่มมีการเติบโตของตลาดคอนโดมิเนียมสูงมากขึ้นในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ด้วยกายภาพและศักยภาพของทำเลมีความน่าสนใจอยู่สูงมากในตัวเอง จึงทำให้ ออริจิ้น ส่งโครงการคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่ ใหม่ล่าสุดที่พร้อมทำตลาดย่านนี้ ซึ่งนับเป็นโครงการมาสเตอร์พีช ภายใต้แบรนด์ “นอตติ้ง ฮิลล์” คือ โครงการ  นอตติ้ง ฮิลล์ จตุจักร อินเตอร์เชนจ์(Notting Hill Jatujak– Interchange) ราคาเริ่มต้น 2.9 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 618 ล้านบาท พัฒนาเป็นโครงการ Low Rise ที่เกิดขึ้นจากมุมมองความตั้งใจที่ต้องการนำเสนอโครงการที่ตอบสนองความต้องการการอยู่อาศัย ในทำเลศักยภาพ และคุณภาพดีและมีราคาที่จับต้องได้ในกลุ่มคนเมืองวัยทำงาน โครงการ นอตติ้ง ฮิลล์ จตุจักร อินเตอร์เชนจ์(Notting Hill Jatujak – Interchange) พัฒนาเป็นโครงการคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่  แบบ Low Riseจำนวน 8 ชั้น 1 อาคาร จำนวน 156  ยูนิตตั้งอยู่ในซอยพหลโยธิน 18 เข้าซอยเพียง 100 เมตรเท่านั้น มีสถานีรถไฟฟ้าที่ห่างจากตัวโครงการประมาณ 400 เมตร อยู่ถึง 4สถานี คือ สถานี BTS หมอชิต, สถานี BTS สะพานควาย และ สถานี MRT จตุจักร, MRT กำแพงเพชร พร้อม2 จุดขึ้นลงทางด่วน ในราคาเริ่มต้นเพียง    2.9 ล้านบาท มีห้องชุดทั้งหมด 3 รูปแบบ คือ คือ 1). 1 Bedroom: ขนาด 24-33 ตร.ม.  2.) 1 Bedroom Plus: ขนาด 34-34.9ตร.ม.  3.)  2 Bedroom: ขนาด 45.5-52.4ตร.ม.นอกจากนี้ยังจัดเต็มสิ่งอำนวยความสะดวกสบายอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น  Lobby ,co-walking space, สระว่ายน้ำ,ห้องออกกำลังกาย และสวนลอยฟ้าด้านบน แวดล้อมไปด้วยทั้งโรงเรียน โรงพยาบาล ศูนย์การค้า ฯลฯ และแหล่งรวมของอาคารสำนักงานชั้นนำอาทิ ธนาคารTMB สำนักงานใหญ่, ธนาคารออมสินสำนักงานใหญ่, ตึก Sun Tower, ตึก Energy Complex กลุ่มปตท., ไทยรัฐทีวี ฯลฯ “ศักยภาพของทำเลย่านหมอชิต จตุจักรจะเป็นอีกหนึ่งทำเลที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่คิดจะลงทุนหรือคิดจะอยู่อาศัยในย่านนี้ จากรูปแบบผังเมืองที่เอื้อให้ขึ้นอาคารสูงและศักยภาพทำเลที่จะสูงขึ้นอย่างแน่นอนหลังจากโครงการศูนย์กลางคมนาคมขนส่งพหลโยธินแล้วเสร็จเพื่อรองรับการคมนาคมที่จะหนาแน่นจากประสิทธิภาพด้านการเดินทางมากขึ้น อีกทั้งยังเป็นตัวดึงดูดเม็ดเงินลงทุนของภาคเอกชนให้เข้ามาลงทุนในบริเวณนี้ และจะเป็นแหล่งสร้างงานสร้างรายได้ให้กับผู้คนในย่านนี้มากขึ้นอีกด้วย ซึ่งจะสะท้อนออกมาในรูปของกำลังซื้อที่เพิ่มสูงขึ้นในอนาคต สำหรับราคาที่ดินในย่านนี้คาดกันว่าราคาอาจจะทะลุถึง 1 ล้านบาทต่อตารางวา ในอีก 4 ปีข้างหน้าหลังจากศูนย์กลางคมนาคมขนส่งพหลโยธินสร้างแล้วเสร็จ อีกทั้งยังเป็นการรองรับการขยายตัวของเมืองหลังจากที่ดินใจกลางเมืองที่มีต้นทุนสูงและความแออัดของเมืองทำให้ต้องขยายตัวออกมายังรอบนอกมากขึ้นดังนั้น เพื่อรองรับเขตเศรษฐกิจการค้าการลงทุน ที่อยู่อาศัยจึงเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มีโอกาสเติบโตไปพร้อมกัน”คุณพีระพงศ์ กล่าวตอนท้าย ล่าสุดโครงการ นอตติ้ง ฮิลล์ จตุจักร อินเตอร์เชนจ์  เปิดให้จองรอบพรีเซลล์พร้อมชมห้องตัวอย่างก่อนใครในวันที่ 12 พฤศจิกายน 2559ชั้น 1เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าวนอกจากนั้นยังเตรียมจัดโปรโมชั่นและข้อเสนอสุดพิเศษ สำหรับลูกค้าที่ต้องการเป็นเจ้าของคอนโดสไตล์โมเดิร์นในย่าน New CBD  ที่พร้อมตอบรับทุกการใช้ชีวิตได้อย่างลงตัวที่สุด ในทำเลศักยภาพ และคุณภาพดีและมีราคาที่จับต้องได้สอบถามรายละเอียดได้ที่ 020 300 000 หรือ www.origin.co.thิด
เปิดตัว “เคเอเอ็น พร๊อพเพอร์ตี้” น้องใหม่อสังหาฯ ประเดิมโครงการแรก “ease park” คอมมูนิตี้มอลล์ บนถนนรามอินทรา มูลค่าโครงการ 200 ลบ.

เปิดตัว “เคเอเอ็น พร๊อพเพอร์ตี้” น้องใหม่อสังหาฯ ประเดิมโครงการแรก “ease park” คอมมูนิตี้มอลล์ บนถนนรามอินทรา มูลค่าโครงการ 200 ลบ.

เปิดตัวบริษัทพัฒนาอสังหาฯ น้องใหม่ “เคเอเอ็น พร๊อพเพอร์ตี้” ประกาศส่ง “ease park” คอมมูนิตี้มอลล์ ทำเลเด่นย่านรามอินทรา ประเดิมตลาด ด้วยมูลค่าโครงการประมาณ 200 ล้านบาท หวังเป็นทางเลือกใหม่สำหรับลูกค้า ชูจุดเด่นด้านทำเลและความแตกต่างด้านดีไซน์ ครบครัน ทันสมัย ในสไตล์ Industrial ที่สำคัญติดถนนใหญ่ ห่างรถไฟฟ้าสายสีชมพูเพียง 100 เมตร เผยยอดจองพื้นที่กว่า 80% พร้อมเปิดให้ลูกค้าได้ใช้บริการในต้นเดือนธันวาคมนี้ เผยแผนการดำเนินงานต่อเนื่อง ตั้งเป้าเป็นผู้พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยครบวงจร ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียม ปี 60 เตรียมเปิดเพิ่มอีก 1 โครงการ นายธัชชัย ศีลพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เคเอเอ็น พร๊อพเพอร์ตี้ จำกัด ปักธงเป็นบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจรทั้งเพื่อการค้า และที่อยู่อาศัย  เปิดเผยว่า “ผมเรียนจบคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์  และไปเรียนต่อปริญญาโทด้าน MBA ที่มหาวิทยาลัย University of Akron ประเทศสหรัฐอเมริกา จากนั้นเมื่อกลับมาประเทศไทย ผมเริ่มงานในวงการธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และคลุกคลีในธุรกิจนี้มาประมาณ 6 ปี ความรับผิดชอบหลักในตอนนั้น คือ ดูแลงานด้านการตลาดโครงการแนวสูง หรือ คอนโดมิเนียม ที่บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หลังจากเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากตรงนั้นมากพอ จึงมาก่อตั้ง บริษัท เคเอเอ็น พร๊อพเพอร์ตี้ จำกัด โดยแรกเริ่มได้วางเป้าหมายในการดำเนินธุรกิจไว้ว่าจะพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยให้ครบวงจรทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียม แต่ด้วยที่ดินของครอบครัวที่เป็นปั๊มน้ำมันเดิมได้หมดสัญญาลง จึงเล็งเห็นว่าควรที่จะทำประโยชน์กับที่ดินผืนนี้ก่อน เริ่มต้นตั้งโจทย์ว่าจะทำอะไร เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดโดยไม่ต้องขายที่ผืนนี้ เนื่องจากว่าเป็นที่มรดกของครอบครัว ดังนั้น การพัฒนาโครงการเพื่อขายจึงตกไป เลยมองไปถึงโครงการที่ให้ผลประโยชน์จากการให้เช่าพื้นที่แทน ประกอบกับที่ดินผืนนี้ตั้งอยู่ติดถนนรามอินทรา ช่วงกม 4.5 ถือเป็นทำเลที่ดี ห่างจากสถานีรถไฟฟ้าสายสีชมพู เพียง 100 เมตร ซึ่งในอนาคต หากว่ารถไฟฟ้าสายสีชมพูเปิดใช้ เรียกได้ว่าโครงการจะเป็นโครงการที่ติดสถานีเลยครับ เดินทางสะดวก ลงรถไฟฟ้าแล้วเดินเข้ามาจับจ่าย และนั่งชิลล์ที่นี่ได้ ซึ่งธุรกิจแบบให้เช่าพื้นที่ที่น่าสนใจและเหมาะสมกับพื้นที่มากที่สุด คือ Community Mall จึงได้เกิดโครงการ “ease park” ขึ้น “โดยส่วนตัวผมชอบไปทำธุระ ทานข้าว ซื้อของตาม Community Mall มากกว่าห้าง เพราะสะดวกในการเดินทาง ไม่ต้องวนหาที่จอดรถ และไม่ต้องเดินไกล บ้านผมอยู่ค่อนข้างนอกเมือง หากจะไปในเมืองก็ต้องฝ่ารถติดเข้าไป ซึ่งถ้าไม่จำเป็นส่วนใหญ่ก็จะทำธุระอยู่แถวๆ บ้าน หรือมองหา Community Mall ที่ใกล้ๆ มากกว่า การไปใช้บริการก็มากกว่าอาทิตย์ละ 1 ครั้ง (ประมาณอาทิตย์ละ 3-4 ครั้ง) ทำธุระประจำเช่น ซื้อของ Supermarket, ซื้อกาแฟ, ทานอาหาร, หรือออกกำลังกาย อีกทั้งผมอยู่อาศัยแถวรามอินทรามาตั้งแต่เกิด จึงเห็นความเปลี่ยนแปลงของคนที่พักอาศัยแถวนี้อยู่ตลอด  ผมคิดว่าบริเวณนี้ยังขาด Neighborhood Mall ที่คนละแวกประมาณ 3-4 ตารางกิโลเมตร จะมาใช้เป็นประจำ  อีกทั้งถนนรามอินทรานั้นปัจจุบันเป็นถนนที่คนใช้เป็นเส้นทางเดินทางหลัก  ในแต่ละวันมีรถผ่านหน้าโครงการไม่ต่ำกว่า 250,000 คัน ซึ่งบริเวณของโครงการนี้จะเป็นจุดแวะพักสำหรับคนที่ใช้ถนนรามอินทราในการเดินทางเป็นอย่างดี” นายธัชชัย กล่าวเพิ่มเติมถึงที่มาของโครงการคอมมูนิตี้มอลล์ “ease park” สำหรับโครงการ “ease park” เกิดขึ้นผ่านแนวคิดของความเรียบง่าย และความสะดวกสบาย ซึ่งคำว่า ease ก็มาจากคำว่า easy ที่มีความหมายถึงความสะดวกสบาย ง่ายๆ park หมายถึง สถานที่พักผ่อน ซึ่งความหมายรวมๆ ก็คือ เป็นสถานที่พักผ่อนที่เรียบง่ายและสะดวกสบาย ภายใต้คอนเซ็ปต์ Industrial ซึ่งตัวโครงการมีการตกแต่งแบบโชว์วัสดุ ไม้ เหล็ก ปูน อิฐ เป็นสถาปัตยกรรมที่มีความโดดเด่น แต่ไม่ล้าสมัย โดยตั้งอยู่ที่ถนนรามอินทรา กม. 4.5 พัฒนาเป็นโครงการ Community Mall สูง 3 ชั้น บนพื้นที่โครงการรวมประมาณ 3.5 ไร่ ติดถนนรามอินทรา หน้ากว้าง 60 เมตร พื้นที่ก่อสร้างประมาณ 7,000 ตารางเมตร มูลค่าโครงการประมาณ 200 ล้านบาท ประกอบไปด้วยร้านค้าประมาณ 13 ร้าน และ kios ประมาณ 4 ร้าน (รวม 17 ร้าน) ชั้น 1 เป็น Supermarket ซึ่งเป็น Villa market และร้านกาแฟแบรนด์ดังอย่าง Starbucks ที่เป็นแบบ Drive thru ส่วนชั้น 2 เป็นโซนของ ร้านอาหาร ซึ่งมีอาหารหลากหลายชนิดมากกว่า10 ร้านดัง และส่วนพื้นที่ ชั้น 3 เป็นส่วนของ  Health, Beauty and Lifestyle ซึ่งประกอบไปด้วย Fitness, คลินิคเสริมความงาม, ร้านทำผม และ  Nail spa และยังจัดให้เป็นโซนร้านนั่งชิลล์เพื่อให้ทุกคนได้พักผ่อนอีกด้วย “โครงการ “ease park” หากมองดูแล้วค่อนข้างจะเล็กถ้าเทียบกับโครงการ Community Mall อื่นๆ เราจึงต้องพิถีพิถันในการเลือกร้านค้าให้ไม่ซ้ำกัน และมีทุกอย่างครบถ้วน รวมทั้งแตกต่างกับคู่แข่งในบริเวณนี้ อีกเรื่องที่เราจะให้ความสำคัญหลังจากเปิดโครงการไปแล้ว คือ ด้านการบริการ บุคลากรที่จะมาทำหน้าที่บริการลูกค้าต้องมี Service Mind เพื่อให้ผู้ใช้บริการรู้สึกว่าเราเป็นเพื่อนบ้านจริงๆ รวมทั้งการจัดกิจกรรมที่กำลังเป็นกระแสนิยมในเมือง เราจัดมาไว้ที่โครงการผ่านอีเว้นท์ต่างๆ ซึ่งทั้งหมดเราได้วางแผนไว้  แต่เรายินดีที่จะขยับออกไป เนื่องจากเรายังอยู่ในสภาวการณ์ที่กำลังพวกเรากำลังเศร้าหมอง ดังนั้น การเปิดตัวโครงการของเราจะทำการเปิดแบบค่อยเป็นค่อยไป คงไม่ได้มีอีเว้นท์อะไรมากมาย เพราะถือเป็นการถวายความเคารพพระองค์ท่านในฐานะที่เราเป็นพสกนิกรชาวไทยคนหนึ่งด้วย” ด้านความคืบหน้าของโครงการขณะนี้ “ease park” มียอดจองพื้นที่มาแล้วกว่า 80% และคิดว่าไม่เกินสิ้นปีนี้คงจะเต็ม 100%  ร้านค้ามีทั้งที่เคยเปิดมาแล้ว และเป็นร้านใหม่ที่เปิดที่นี่เป็นที่แรก ร้านที่คนรู้จักกันอยู่แล้วก็มี Villa Market, Kingkong, Starbucks, Neo Suki  เป็นต้น และคาดว่าจะเปิด Soft Opening ประมาณต้นเดือนธันวาคม” นายธัชชัย กล่าว นายธัชชัย กล่าวถึงจุดเด่นของโครงการ ease park และมุมมองในการพัฒนาคอมมูนิตี้มอลล์ ว่า “ปัจจุบันตลาดกลุ่มนี้มีการแข่งขันสูง และที่ผ่านมามีการเปิดตัวกันอย่างมากมาย ทั้งประสบความสำเร็จและไปไม่ถึงฝั่ง จุดแข็งของโครงการคอมมูนิตี้มอลล์ ก็คือเรื่องของทำเล ซึ่ง “ease park” มีทำเลที่ดี ซึ่งถือเป็นจุดแข็งอันดับแรก เพราะอยู่ติดถนนใหญ่และมีหน้ากว้าง  มองเห็นได้ชัดสำหรับคนที่สัญจรผ่าน อันดับต่อมาก็คือความสะดวกสบายในการเดินทาง ด้วยถนนรามอินทราในปัจจุบันนั้นมีขนาดกว้างและมีรถผ่านไปมาเป็นจำนวนมาก น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีในการแวะพักของรถที่ผ่านไปมา รวมทั้งอยู่ในแหล่งชุมชนพักอาศัยหนาแน่นปานกลาง ความแตกต่างอีกเรื่องหนึ่งก็คือ โครงการนี้เป็นโครงการขนาดเล็กที่เป็น Neighborhood  Mall เหมาะสำหรับคนบริเวณนี้ โครงการ Community Mall หากมีการบริหารจัดการเลือกร้านค้าที่ดี มี Location ที่เข้าออกสะดวก และมีการบริหารศูนย์ที่ดีแล้ว มันก็ยังไปได้ เนื่องจากว่าคนเรา ยังต้อง ทานอาหาร ซื้อของจาก Supermarket ออกกำลังกาย  ยังไงก็ต้องหาที่ทำกิจกรรมนั้นๆ อยู่ดี และคนก็มักอยากจะไปในที่เราคุ้นเคย และสะดวกสบายจริงๆ” ด้านนางกฤษณา อุดมพิทยภูมิพิจารณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โอกาสมา จำกัด ที่ปรึกษาและออกแบบเกี่ยวกับการสั่งจัดสรรพื้นที่ให้เช่าของโครงการ “ease park”  กล่าวถึงมุมมองของตลาด Community mall ในปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคตว่า Community Mall หรือศูนย์การค้าชุมชน มีการขยายตัวตามการขยายตัวของเมืองและประชากรที่มุ่งเน้นการตอบสนองความต้องการของคนในชุมชน ด้วย Lifestyle ของคนปัจจุบันที่เปลี่ยนไป สภาพสังคมที่รถติดขึ้นมาก คนส่วนใหญ่ต้องการความสะดวกสบาย การจับจ่ายใช้สอยใกล้บ้าน ดังนั้น Community Mall จึงต้องมุ่งเน้นไปที่ความสะดวกสบาย เข้าถึงง่าย มองเห็นจากถนนได้ง่าย เพราะฉะนั้นองค์ประกอบหลัก ของ Community Mall จะต้องมี Supermarket หรือ Convenient Store ขนาดแตกต่างกันไปตามข้อจำกัดของผังเมืองในแต่ละที่, ร้านค้าประเภทร้านอาหาร ที่ต้องเลือกสรรร้านให้เหมาะกับคนในพื้นที่นั้นๆและโซนนิ่งต่างๆเพิ่มเติมพวกโซนการศึกษา Service อื่นๆ ตามความเหมาะสมสำหรับพื้นที่ใน บริเวณนั้นๆ อย่างไรก็ดี Community Mall ต้องมีพื้นที่ส่วนกลางสำหรับจัดกิจกรรมตามช่วงเวลา และกิจกรรมต่างๆที่รองรับการเปลี่ยนแปลงของ Lifestyle คนในอนาคต นางกฤษณา กล่าวต่อไปว่า ปัจจุบันตลาด Community Mall มีการเจริญเติบโต อย่างต่อเนื่อง ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา ซึ่งการที่จะพัฒนาให้ประสบความสำเร็จ มีปัจจัยที่สำคัญคือ การทำวิจัย และสังเกตการณ์หาข้อมูล Lifestyle และความต้องการ รวมถึงความชอบของคนในแต่ละพื้นที่ เพราะแต่ละที่มีความแตกต่างกัน ต้องวิเคราะห์ Location กลุ่มเป้าหมาย รวมทั้งความต้องการของคนในพื้นที่นั้นๆ ให้ถูกต้อง จัดวางและเลือก ร้านค้า ให้ตอบโจทย์คนในพื้นที่ และต้องมีทีม Property Management ในการบริหารจัดการ ศูนย์อย่างต่อเนื่อง สำหรับ lifestyle ของคนรามอินทรา ส่วนใหญ่จะใช้ชีวิตอยู่ใกล้บ้าน เน้นสะดวกสบายเป็นหลัก เนื่องการจราจร ในย่านนี้ รถติดมากๆ การหาร้านอาหาร หรือซุปเปอร์มาร์เก็ต เพื่อซื้อของกินของใช้ก็จะเน้นเพื่อนที่ใกล้เคียงที่เดินทางไม่ไกลมากนัก โครงการ “ease park” จึงเน้นกลุ่มลูกค้าในพื้นที่รามอินทราเป็นหลัก  และอีกกลุ่มเป้าหมายหนึ่ง คือกลุ่มคนที่ใช้ถนนรามอินทรา เป็นทางผ่านในการไปทำงานหรือเป็นทางกลับบ้าน สามารแวะซื้อของได้ง่ายและสะดวกสบาย ซึ่งจะเห็นว่าเราจัดสรรร้านค้าของ “ease park” จะมีการผสมผสาน ทั้ง Villa Supermarket ที่มีของคุณภาพเหมาะกับคนรามอินทราที่มีกำลังการซื้อสูงและเลือกสรรของที่มีคุณภาพ, Starbucks drive thru ที่ตอบโจทย์ผู้เดินทางได้เป็นอย่างดี, ร้านอาหารอาหารที่มีชื่อ และร้านค้าประเภท Beauty คลินิก และ Fitness ขนาดใหญ่ที่ตอบสนอง Healthy Lifestyle ของคนที่เปลี่ยนไป ในขณะนี้ โดยข้อดีของย่านรามอินทรา คือเป็นย่านที่มีชุมชนอยู่อาศัยหนาแน่นและขยายตัวต่อเนื่อง เนื่องจากมีการพัฒนาระบบสาธารณูปโภค และ ระบบการขนส่งขนาดใหญ่ เช่น รถไฟฟ้า ทางด่วน และ มอเตอร์เวย์ ที่สะดวกมากๆ  นายธัชชัย ได้กล่าวเพิ่มเติมถึงแผนการดำเนินงานของบริษัทฯ ในอนาคตว่า บริษัทฯ ยังคงยึดตามแผนเดิมที่ได้ตั้งใจไว้ตั้งแต่เริ่มแรก ที่จะพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแบบครบวงจร ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียม ซึ่งการเปิดโครงการในแต่ละที่ต้องศึกษาทำเลให้มีความเหมาะสมกับประเภทของสินค้าที่เราจะขาย โดยในปีนี้ได้เปิดตัวโครงการแรก “ease park” ซึ่งเป็น Community Mall สำหรับในปี 2560 จะเริ่มด้วยโครงการทาวน์โฮม เนื่องจากว่าเงินลงทุนไม่สูงมากและน่าจะขายปิดโครงการได้อย่างรวดเร็ว คาดว่าจะเริ่มได้ประมาณไตรมาสที่ 3 และในปี 2561 วางไว้จะเปิด 2 โครงการเป็นบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม ในส่วนของโครงการ Community Mall นั้น บริษัทฯ ก็ยังคงสนใจแต่จะต้องดู Location เป็นหลัก ซึ่งต้องดีมากจริงๆ ถึงจะทำ แต่ก็มี โครงการ ที่เป็น Community Mall แบบเฉพาะกลุ่มที่มี Concept แรงๆ ศึกษาอยู่ด้วยเหมือนกัน หากมีโอกาสที่ดีก็จะทำ ในส่วนของรายได้ของบริษัท หลังจากเปิดตัวโครงการ “ease park” ในช่วงต้นเดือนธันวาคมนี้ และคาดว่าในปีหน้าจะมีรายได้รวมประมาณ 70 ล้านบาท ผู้สนใจเช่าพื้นที่สามารถติดต่อได้ที่ 086 406 9595 หรือสามารถติดตามข่าวสารของ “ease park” ผ่านทาง Facebook : www.facebook.com/easeparkbkk
“ดีเวล” เปิดตัวโครงการ “อาณา เอกมัย” บ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี่ ใจกลางสุขุมวิท ย่านทองหล่อเอกมัย เริ่มต้นที่ 29.8 ล้านบาท พร้อมเปิดจองในงานพรีเซลล์วันที่ 29-30 ตุลาคมนี้

“ดีเวล” เปิดตัวโครงการ “อาณา เอกมัย” บ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี่ ใจกลางสุขุมวิท ย่านทองหล่อเอกมัย เริ่มต้นที่ 29.8 ล้านบาท พร้อมเปิดจองในงานพรีเซลล์วันที่ 29-30 ตุลาคมนี้

“ดีเวล” รุกตลาดอสังหาระดับลักซ์ชัวรี่ เปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยวสุดหรูมูลค่า 410 ล้านบาท “อาณา เอกมัย” (ARNA EKAMAI) บนทำเลพรีเมียมทองหล่อเอกมัย เน้นดีไซน์โมเดิร์นแต่ยังคงความหรูหรามีระดับ มอบความเป็นส่วนตัวสูงด้วยพื้นที่ใช้สอยหลากหลายรูปแบบ ชูจุดขายเดินทางสะดวกเพียง 5 นาทีถึงรถไฟฟ้าเอกมัย และใกล้ทางด่วน พัฒนาการ-อาจณรงค์-พระโขนง สนนราคาคุ้มค่าที่สุดในย่านเดียวกัน  ตอบโจทย์การอยู่อาศัยเองและการลงทุน หลังประสบความสำเร็จจากการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม อาทิ D’Memoria พหลโยธินซอย 8 , D’Mura รัชโยธิน, D 25 คอนโดมิเนียม ทองหล่อ 25 และ D’65 คอนโดมิเนียม สุขุมวิท65  “ดีเวล” (D’Well) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ไฟแรง รุกตลาดบ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี่ เปิดตัวโครงการ “ อาณา เอกมัย” (ARNA EKAMAI) มูลค่า 410 ล้านบาท  ด้วยบ้านที่ออกแบบอย่างหรูหรามีระดับ ท่ามกลางสังคมที่มีคุณภาพเพียง 11 หลัง ผสานความโดดเด่นด้วยรูปลักษณ์งานดีไซน์ทั้งภายนอกที่ทันสมัย และการออกแบบภายในอย่างปราณีต เลือกใช้วัสดุคุณภาพสูง เน้นการใช้พื้นที่ที่เป็นส่วนตัวและลงตัวสำหรับสมาชิกทุกคนในบ้าน ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่สงบเงียบใจกลางเมือง รายรอบไปด้วยโรงเรียนนานาชาติ, โรงพยาบาล, ร้านอาหารชั้นนำ และห้างสรรพสินค้า เดินทางสะดวก เพียง 5 นาทีถึงรถไฟฟ้า BTS เอกมัยและพระโขนง 10 นาที ถึงทองหล่อ ใกล้ทางด่วน พัฒนาการ อาจณรงค์  และ พระโขนง ทั้งยังเข้าออกสะดวกสบาย สู่ถนนสุขุมวิท 65, เอกมัย ซอย 10 และ สุขุมวิท 71 (ปรีดี พนมยงค์ 15) นายถวนันท์ ธเนศเดชสุนทร กรรรมการผู้จัดการ บริษัท ดีเวล แกรนด์แอสเสท จำกัด (D’Well Grand Asset Co., Ltd.)  กล่าวว่า “เพราะเราเชื่อว่าการสร้างบ้านสำหรับเราคือการสร้างชีวิต โครงการ  อาณา จึงเป็นโครงการบ้านจัดสรรที่สร้างขึ้นเพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าระดับไฮเอนด์ โดยเน้นกลุ่มครอบครัวขยาย หรือคู่สมรสใหม่  อายุ 35 ปีขึ้นไป มีบุตร หรือมีสัตว์เลี้ยง และต้องการที่อยู่อาศัยที่ไม่ไกลจากย่านใจกลางเมืองมากนัก รวมถึงผู้พักอาศัยในคอนโดมิเนียมใจกลางกรุงเทพฯ ที่ต้องการย้ายมาอยู่บ้านเดี่ยว มีไลฟ์สไตล์ทันสมัยชื่นชอบการใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมที่ดีในทำเลคุณภาพ เราจึงออกแบบบ้านทั้ง 11 หลัง ให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยเลือกใช้วัสดุที่มีคุณภาพมาตรฐานระดับพรีเมียม และออกแบบพื้นที่ใช้สอยทุกตารางเมตรให้สามารถใช้ประโยชน์ได้จริงอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด มีความเป็นส่วนตัวสูง ที่สำคัญคือสะดวกสบายสำหรับการเดินทางอย่างแท้จริง” สำหรับโครงการ อาณา เอกมัย ตั้งอยู่บนย่าน สุขุมวิท-เอกมัย  บนพื้นที่  1.3.74 ไร่ จำนวน 11 หลัง ออกแบบอย่างลงตัวมีระดับ  3 แบบ ได้แก่แบบ A พื้นที่ 36 -39 ตร.ว. พื้นที่ใช้สอย 390 ตร.ม. จำนวน 4 หลัง แบบ B พื้นที่ 45 -51 ตร.ว. พื้นที่ใช้สอย 440 ตร.ม. จำนวน 2 หลัง  และแบบ C พื้นที่ 56 - 69 ตร.ว. พื้นที่ใช้สอย 420 ตร.ม. จำนวน 5 หลัง  โดยเป็นบ้านขนาด 4 ห้องนอน, 5 ห้องน้ำทั้งหมด, 2 ห้องครัว ทั้งครัวไทยและครัวฝรั่ง, 1-2 ห้องแม่บ้าน, ลิฟท์ส่วนตัว สวนส่วนตัว จอดรถได้ 3-4 คัน สนนราคาเริ่มต้น  29.8 ล้านบาท พร้อมเปิดให้จองในเดือนตุลาคม และโครงการจะแล้วเสร็จกลางปี 2561 ทั้งนี้ “ อาณา เอกมัย” นับเป็นโครงการบ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี่โครงการแรก สำหรับกลุ่มบริษัท ดีเวล ซึ่งปัจจุบัน มีมูลค่าโครงการต่างๆ รวมกันแล้วกว่า 3,000 ล้านบาท และในปี  2560 กลุ่มบริษัทวางแผนขยายโครงการเพิ่มขึ้น 1-2 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 600 ล้านบาท ด้านนายชาญวิชญ์ พสุวัต ผู้อำนวยการ ฝ่ายที่ปรึกษาการพัฒนาโครงการที่พักอาศัย บริษัท ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) จำกัด (CBRE) ผู้เชี่ยวชาญด้านการเป็นที่ปรึกษาในตลาดอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า ในช่วงปีที่ผ่านมา มีโครงการใหม่ๆ ทั้งคอนโดมิเนียม และบ้านพร้อมที่ดินใจกลางเมือง ระดับลักซ์ชัวรี่ ทยอยเปิดตัวอย่างต่อเนื่อง กอปรกับผู้บริโภคที่มีรายได้สูงนั้นยังคงมีกำลังซื้อที่อยู่อาศัยเพื่ออยู่เอง และลงทุนในอนาคต ในขณะที่ตลาดคอนโดมิเนียมมีการแข่งขันที่รุนแรงมากยิ่งขึ้น ตลาดบ้านพร้อมที่ดินใจกลางเมืองเพิ่งเริ่มขึ้นไม่นาน แต่มีความต้องการอย่างต่อเนื่องเพราะเป็นสินค้าที่มาทดแทนคอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี่ที่มีราคาต่อตารางเมตรสูงขึ้นเรื่อยๆ ตอบโจทย์ในเรื่องพื้นที่ใช้สอยที่เพียงพอและมีราคาต่อตารางเมตรที่ต่ำกว่าคอนโดมิเนียมระดับเดียวกัน ภาพรวมตลาดบ้านพร้อมที่ดินใจกลางเมืองระดับลักซ์ชัวรี่ที่มีราคาตั้งแต่ 30 ล้านบาทขึ้นไป ที่ตั้งอยู่ในทำเลใจกลางเมืองย่านสุขุมวิท และสาทรมีอุปทานอยู่ทั้งสิ้นเพียง  97 หลัง  โดยส่วนใหญ่มียอดขายเฉลี่ยแล้ว 60 %  ซึ่งตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง ทั้งนี้กลุ่มลูกค้าเป้าหมายจะเน้นกลุ่มครอบครัวขนาดใหญ่ คนไทยที่ซื้อเพื่ออยู่เอง มีไลฟ์สไตล์ที่ชอบความเป็นส่วนตัว เน้นกิจกรรมที่มีส่วนร่วมกับครอบครัวและมีสัตว์เลี้ยง ซึ่งจะแตกต่างจากกลุ่มที่ซื้อคอนโดมิเนียม “โดยเฉพาะบ้านเดี่ยวที่อยู่ในทำเลในเมืองอย่าง  อาณา เอกมัย ที่สงบ มีความเป็นส่วนตัวสูง ออกแบบพื้นที่ใช้สอยเพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงจุด แวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เหมาะกับคนที่มีไลฟ์สไตล์อยู่ใจกลางเมือง สามารถเดินทางได้อย่างสะดวกสบาย  ที่สำคัญคือเป็นราคาที่เหมาะสมและคุ้มค่า เนื่องจากราคาที่ดินในย่านนี้ยังคงปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี ทำให้โครงการลักษณะนี้เกิดขึ้นยาก หากราคาที่ดินสูงเกินไป บ้านเดี่ยวในเมืองเป็นสินค้าที่มีจำกัด จึงเป็นการลงทุนที่น่าสนใจและมีแนวโน้มที่ดีในแง่มูลค่าเพิ่มในอนาคต” นายชาญวิชญ์ กล่าว ผู้ที่สนใจ โครงการ “ อาณา เอกมัย” เตรียมเปิดโอกาสให้จองในงานพรีเซลล์วันที่ 29-30 ตุลาคมนี้ ที่ สำนักงานขายโครงการ อาณา เอกมัย  พร้อมข้อเสนอพิเศษ ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่  www.arna-ekamai.com หรือ โทร.  061 662 6565 เกี่ยวกับบริษัท ดีเวล กรุ๊ป จำกัด ดีเวล กรุ๊ป (D-Well Group) เป็นบริษัทผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปลายปี 2553 ด้วยจุดมุ่งหมายที่ต้องการจะพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์อย่างครบวงจรภายใต้แบรนด์ ดีเวล โดยมีแผนในการสร้าง  แบรนด์ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Develop” คือ การพัฒนาอย่างต่อเนื่องขององค์กร และรูปแบบโครงการเพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของลูกค้า “Deliver” คือ การทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อการส่งมอบผลงานที่มีคุณภาพให้แก่ลูกค้า และ “Delight” คือประสบการณ์ และการอยู่อาศัยที่มีความสุขของลูกค้า
มั่นคงฯ เปิดตัวทาวน์โฮมโครงการใหม่ “ชวนชื่น ทาวน์ กาญจนา-บางใหญ่” ชูคอนเซ็ปต์สมาร์ท โมเดิร์น ลิฟวิ่ง ราคาเริ่มต้น 1.89 ล้านบาท

มั่นคงฯ เปิดตัวทาวน์โฮมโครงการใหม่ “ชวนชื่น ทาวน์ กาญจนา-บางใหญ่” ชูคอนเซ็ปต์สมาร์ท โมเดิร์น ลิฟวิ่ง ราคาเริ่มต้น 1.89 ล้านบาท

บมจ. มั่นคงเคหะการ เปิดตัว “ชวนชื่น ทาวน์ กาญจนา-บางใหญ่” ทาวน์โฮม 2 ชั้น สไตล์โมเดิร์นบนทำเลบางใหญ่ ใกล้เซ็นทรัลเวสต์เกส รถไฟฟ้าสายสีม่วง ทางด่วนศรีรัช-วงแหวนรอบนอก เสริมความคุ้มค่าด้วยคอนเซ็ปต์สมาร์ท โมเดิร์น ลิฟวิ่ง ประสบการณ์ใหม่แห่งการใช้ชีวิตที่ลงตัว พร้อมบ้านฟังก์ชั่นพิเศษออกแบบเพื่อให้มีพื้นที่ใช้สอยอย่างคุ้มค่า ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.89 ล้านบาท โดยจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการพร้อมข้อเสนอพิเศษในมหกรรมบ้านและคอนโด ระหว่างวันที่ 6-9 ตุลาคมนี้ ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ นายวรสิทธิ์ โภคาชัยพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) ได้เปิดตัวทาวน์โฮมโครงการใหม่ “ชวนชื่น ทาวน์ กาญจนา-บางใหญ่” มูลค่าโครงการ 391 ล้านบาท คุ้มค่าด้วยคอนเซ็ปต์สมาร์ท โมเดิร์น ลิฟวิ่ง ประสบการณ์ใหม่แห่งการใช้ชีวิตที่ลงตัว ชูนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อที่อยู่อาศัยและความปลอดภัยที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าในยุคปัจจุบัน ตั้งอยู่บนทำเลทองอย่างบางใหญ่ ใกล้เซ็นทรัลเวสต์เกส เดินทางสะดวกสบาย เพียง 5 นาที จากสถานีรถไฟฟ้าคลองบางไผ่-บางซื่อ (รถไฟฟ้าสายสีม่วง), ทางด่วนศรีรัช-วงแหวนรอบนอก และโครงการมอเตอร์เวย์บางใหญ่-กาญจนบุรี  ซึ่งจะเปิดให้บริการประมาณ ปี 2564 ทั้งนี้ เราพร้อมเปิดตัวโครงการชวนชื่น ทาวน์ กาญจนา-บางใหญ่ ในมหกรรมบ้านและคอนโด ระหว่างวันที่ 6-9 ตุลาคมนี้” “มั่นคงฯ ได้มุ่งพัฒนาบ้านที่มอบความคุ้มค่าและตอบสนองความต้องการของลูกค้าในยุคปัจจุบัน นอกจากมีการออกแบบบ้านให้มีฟังก์ชั่นการใช้งานอย่างลงตัวแล้ว เรายังนำเอานวัตกรรมล่าสุดของที่อยู่อาศัยมอบให้กับลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบให้มีแสงสว่างเพียงพอ การเลือกใช้วัสดุพื้นกันความลื่น หรือแม้แต่การออกแบบบันไดบ้านไม่ให้มีความชัน รวมถึงระบบอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงไฟเบอร์ออพติก (Fiber Optic) ที่ต่อตรงให้บ้านทุกหลัง และเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยที่นำมาใช้ อาทิ สัญญาณกันขโมยในบ้าน ระบบ Magnetic & Motion  Sensor และ ระบบรักษาความปลอดภัยในโครงการแบบ Triple Security เพื่อให้ลูกค้ามีความรู้สึกอุ่นใจ ปลอดภัยและเติมเต็มความสุขของการพักอาศัยทุกมิติ” นายวรสิทธิ์ กล่าวเพิ่มเติม โครงการ “ชวนชื่น ทาวน์ กาญจนา-บางใหญ่” เป็นทาวน์โฮม 2 ชั้น จำนวน 174 ยูนิต บนเนื้อที่ 19-0-35.6 ไร่ มีแบบบ้านทั้งหมด 2 แบบ คือ บ้านแบบ T-Smart ประกอบด้วย 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ พื้นที่จอดรถ 1 คัน พื้นที่ใช้สอยภายในบ้าน 115 ตารางเมตร บนพื้นที่เริ่มต้น 18 ตารางวา และบ้านแบบ T-Space ประกอบด้วย 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ พื้นที่จอดรถ 2 คัน พื้นที่ใช้สอยภายในบ้าน 140 ตารางเมตร บนพื้นที่ 21.4 ตารางวา โครงการ ชวนชื่น ทาวน์ กาญจนา-บางใหญ่ โดดเด่นด้วยการนำเทคโนโลยีเพื่อที่อยู่อาศัยและความปลอดภัยด้วยระบบรักษาความปลอดภัยแบบ Triple Security System ในโครงการพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย, กล้อง CCTV, บ้านแต่ละหลังจะมีสัญญาณกันขโมยในบ้าน ระบบ Magnetic & Motion Sensor อีกทั้งยังตอบโจทย์ชีวิตแบบ SMART LIFE ด้วยระบบอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงแบบ Fiber Optic เชื่อมต่อเข้าบ้านทุกหลัง และบริการ Wi-Fi ในพื้นที่ส่วนกลาง นอกจากนั้นยังมีสวนสีเขียวขนาดใหญ่และสนามเด็กเล่น เพื่อให้ลูกบ้านได้มีพื้นที่ในการทำกิจกรรมร่วมกันอย่างมีคุณภาพ พบกับบ้านฟังก์ชั่นที่ดีที่สุดก่อนใครของโครงการ ชวนชื่น ทาวน์ กาญจนา-บางใหญ่ พร้อมข้อเสนอพิเศษภายในงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 35 ระหว่างวันที่ 6-9 ตุลาคมนี้ ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.mk.co.th หรือ โทร. 1622
อสังหาฯ ร้อนแรงต่อเนื่องล่าสุด!!! เปิดตัวใหม่อีกราย “เดอะ ช้อยส์ พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์”

อสังหาฯ ร้อนแรงต่อเนื่องล่าสุด!!! เปิดตัวใหม่อีกราย “เดอะ ช้อยส์ พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์”

ดึงตัววิศวกรผู้คร่ำหวอดในวงการอสังหาฯ ผันตัวจากนาราคอนซัลส์มารั้งตำแหน่งเอ็มดี เผยโครงการแรก “ซี เอกมัย” ไฮไรส์ คอนโด บนเส้นเอกมัย ทำเลดี ราคาโดนใจ มั่นใจงานก่อสร้าง อสังหาร้อนแรงไม่หยุดยั้ง ล่าสุด บริษัท เดอะ ช้อยส์ พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด กระโดดลงสังเวียนอสังหาฯ อีกราย ประเดิมโครงการแรกด้วย High Rise คอนโด   “ซี เอกมัย” ภายใต้แนวคิด “ปริซึมดีไซน์” ราคาเริ่มต้นเพียง 3 ล้านบาท มูลค่าโครงการรวม 3,000 ล้านบาท เผยโครงการแรกอยากทำให้ดีทีสุด จึงเลือกทำเลเด่น ให้ของที่มีคุณภาพดี ดีไซน์เฉียบ พร้อมดึง “พลัส พร็อพเพอร์ตี้” ดันเรื่องการทำการตลาดและการขาย คาดปิดโครงการได้ไม่ยากเพราะทำเลย่านเอกมัยยังคงมีอุปสงค์ถึง 82% และราคาที่อยู่อาศัยย่านนี้เพิ่มขึ้นทุกวัน  ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาราคาคอนโดถีบตัวขึ้นแล้วกว่า 80% นายวิญญู พูลเกิด กรรมการผู้จัดการ บริษัท เดอะช้อยส์ พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด กล่าวว่า “ผมอยู่ในวงการอสังหาฯ มาเป็นระยะเวลานาน เรียกว่าตลอดชีวิตเลยก็ว่าได้ ตอนนี้ได้มาสวมหมวกอีกใบ ในฐานะหัวเรือใหญ่ของเดอะ ช้อยส์ พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ซึ่งต้องขอบคุณคณะผู้บริหารที่ไว้วางใจ การทำงานในฐานะผู้พัฒนาโครงการอีกครั้ง ผมได้นำความรู้ทุกอย่างที่เก็บเกี่ยวมาตลอดชีวิตมาใช้ เพื่อไปสู่เป้าหมายของบริษัทที่วางไว้ นั่นคือ ในอีก 5 ปีข้างหน้า เราจะพัฒนาโครงการให้ครอบคลุมทั้งแนวสูง แนวราบ จากนั้นจะไปสู่การพัฒนาโครงการที่ไม่ใช่เพื่อการอยู่อาศัยเท่านั้น โดยจะเป็นการพัฒนาโครงการเพื่อการพาณิชย์ ไม่ว่าจะเป็นอาคารสำนักงาน โรงแรม หรือแม้กระทั่งสถานที่ท่องเที่ยวเป็นต้น สำหรับโครงการแรกของเดอะช้อยส์ คือ โครงการ ซี เอกมัย (C Ekkamai) ซึ่งเป็น High Rise คอนโดมิเนียม สูง 44 ชั้น จำนวน 736 ยูนิต ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัย 729 ยูนิต และเป็นห้องเพื่อการค้า 7 ยูนิต   สำหรับห้องเพื่อการอยู่อาศัยมีทั้งสิ้น 3 ขนาดให้เลือก ได้แก่ ขนาด 1 ห้องนอน พื้นที่ 27-52.25 ตร.ม. , ขนาด 2 ห้องนอน พื้นที่ 51.50-65 ตร.ม. และ PENTHOUSE พื้นที่ 82-126 ตร.ม. โดยราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 125,000 บาทต่อ ตร.ม. โดยราคาห้องเริ่มต้นอยู่ที่ 3 ล้านบาท และราคาสูงสุดที่ 19 ล้านบาท  โครงการเรา ตั้งอยู่บนถนนเอกมัยใกล้ฝั่งเพชรบุรี   โดยโครงการนี้เราใช้แนวคิดในการพัฒนาโครงการ คือ “ปริซึมดีไซน์” (Prism Design)  เราดึงเอาหลักการสะท้อนของแสงผ่านแท่ง Prism เป็น Dimension ต่างๆออกมาใช้  ไม่ว่าจะเป็นการสะท้อนถึงทำเล ณ ถนนเอกมัย จุดที่ตั้งของโครงการ ถือเป็นจุดเชื่อมต่อ CBD ได้ง่าย และรวดเร็ว ทั้งถนนสุขุมวิท และเพชรบุรี  เป็นทำเลของการใช้ชีวิตแบบ Urbanite ใจกลางเอกมัย-ทองหล่อ นอกจากนี้ ในมุมหนึ่งของการสะท้อนของ “Prism” จะถูกถ่ายทอดอยู่ในงานสถาปัตย์ และงานตกแต่งภายในของ C Ekkamai  นั่นคือ ทุกเส้นของการออกแบบ  รายละเอียดที่ใส่ลงไปการออกแบบพัฒนาโครงการล้วนสอดรับกับทุกการใช้งาน  อาทิ จาก Function ของห้องที่วาง layout ห้องไว้เป็นอย่างดี  ความสูงจากพื้นถึงเพดานถึง 2.7 เมตร ทุกห้องมาตรฐาน  ทำให้ห้องโปร่งสบายยิ่งขึ้น  พร้อมความสวยงามและพื้นที่ที่มากกว่าของสิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลาง และ Sky lounge ชมวิว 360 องศา จากมุมที่สูงที่สุดในเอกมัย การพัฒนาโครงการแรกบนถนนเอกมัย ทำให้ทีมงานต้องทำการบ้านหนักพอสมควร เนื่องจากถนนเส้นนี้เป็นถนนที่มีไลฟ์สไตล์ เข้ามาเกี่ยวข้องกับการอยู่อาศัยเป็นอย่างมาก เรามองว่ากลุ่มเป้าหมายของเรา คือ กลุ่มลูกค้าระดับ B+ มีรายได้มีประมาณ 60,000 บาท ขึ้นไป ชอบใช้ชีวิตในเมือง หรือในย่านธุรกิจ  ซึ่งสะดวกสบายในการเดินทาง โดยโครงการนี้ เรามอบหมายให้บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด มาช่วยในการดูแลด้านการบริหารการตลาดและการขาย" นางสาวสมสกุล  หลิมศุทธพรรณ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานบริหารสินทรัพย์ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด กล่าวเกี่ยวกับสถานการตลาดอสังหาฯ ย่านเอกมัยว่า “ทำเลเอกมัยเป็น ทําเลคุณภาพ ใกล้ใจกลางเมือง ใกล้ศูนย์กลางธุรกิจ และมีเส้นทางคมนาคมที่สะดวกสบาย สามารถเชื่อมต่อไปถนนพระราม 4, ถนนเพชรบุรี และเชื่อมต่อรามอินทราอย่างสะดวก  ด้วยความสะดวกสบาย และความเจริญใกล้เมืองทำให้ที่ดินย่านนี้หายากขึ้นทุกวัน ปัจจุบัน ในพื้นที่เอกมัย มีโครงการเปิดขายจำนวน 4 โครงการ จํานวนอุปทานรวมตั้งแต่เปิดโครงการถึง ปัจจุบันอยู่ที่ 1,096 ยูนิต ดีมานด์ให้การตอบรับดีถึง 82%  ทำให้ราคาที่อสังหาฯในย่านนี้ ปรับตัวขึ้นสูงถึง 80% ภายในระยะเวลาเพียง 5 ปี  สำหรับคอนโดมิเนียม Re-Sale ที่เปิดตัวในช่วง 2-5 ปีที่ผ่านมา ราคาขายเฉลี่ยยังปรับขึ้นจากตอนเปิดตัวถึง 30-50% สําหรับตลาดเช่าเอง ผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าอยู่ในระดับดีไม่แพ้กัน Gross Rental Yield  ประมาณ 4 % ต่อปี โดยรูปแบบห้องที่นิยมมากที่สุดคือ 1 ห้องนอน  ดังนั้น ทำเลนี้จึงยังเป็นทำเลที่ร้อนแรงตลอดอยู่อย่างต่อเนื่อง” ด้านการความคาดหวังด้านงานขาย โครงการ ซี เอกมัย นางสาวสมสกุล กล่าวต่อว่า “สำหรับโครงการนี้ เรามั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับอย่างดี จากทั้งกลุ่มลูกค้าที่อยู่อาศัยเองและนักลงทุน  เพราะการเปิดตัวด้วยราคาเฉลี่ยเพียง 125,000บาท ต่อ ตรม. กับทำเลนี้  ถือว่าเป็นที่สุดทั้งด้านคุณภาพ และราคาของคอนโดใหม่ในเส้นเอกมัย  โดยช่วงเปิดตัว คาดประมาณยอดขายไว้ที่ 40%  ณ วัน Pre-Sale  ทั้งนี้เมื่อเทียบกับเจ้าอื่นในตลาดที่เปิดตัวด้วยราคาเฉลี่ยในตลาดที่ 160,000 บาท ต่อ ตารางเมตร จะเห็นได้ว่าโครงการ C Ekkamai เป็นโครงการที่น่าสนใจมาก และคาดว่าจะปิดการขายได้ทั้งหมดภายในระยะเวลาไม่นาน" โครงการ ซี เอกมัย เป็น High Rise คอนโดมิเนียนขนาด 44 ชั้น  736 ยูนิต ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัย 729 ยูนิต และเป็นห้องเพื่อการค้า 7 ยูนิต โดดเด่นด้วยทำเลติดถนนเอกมัยเชื่อมต่อใจกลางทองหล่อ ถนนสุขุมวิท และเพชรบุรี,  และงานออกแบบด้านสถาปิก และงานตกแต่งภายในที่ใส่ใจเรื่องใช้ชีวิตได้จริงของลูกค้าอย่างสะดวกสบาย และลงตัวที่สุดลงไปในตัวโครงการ เช่น การใส่ใจทุกรายละเอียดของการออกแบบและก่อสร้าง เช่นการออกแบบปีกอาคารให้เป็น Single corridor และช่องหน้าต่างเพื่อบรรยากาศโปร่งสบายภายในตัวอาคาร การใช้วัสดุเกรด Premium เช่นครัว Top หิวสังเคราะห์, หน้าบาน High Gloss, และรางลิ้นชัก Soft close เพิ่มพื้นที่ในการอยู่อาศัยให้กว้างและสบายมากกว่าเดิม เช่น ฝ้าเพดานจะสูงกว่ามาตรฐานที่ 2.7 เมตรสำหรับ 1 ห้องนอน และสูงถึง 4.2 -5.5 เมตรสำหรับห้องพิเศษเพดานสูง หรือแม้กระทั่ง lobby และ Sky Lounge ที่เพดานสูงถึง 7 และ 8 เมตรตามลำดับ นอกจากนี้มีการเพิ่มพื้นที่ชมวิวจากห้องนั่งเล่นด้วยความยาวของ Balcony ที่มากกว่าที่สามารถชมวิวที่สูงที่สุดในเอกมัย Facilities คิดมาเพื่อตอบโจทย์ทุก Lifestyle บนมาตรฐานเทียบเท่ากับโรงแรม เช่น จุด drop off ที่ถูกออกแบบโดยคำนึงถึงสภาพการจราจรจริง lobby ที่ออกแบบมาเสมือนห้องรับแขกเพื่อเป็นที่นัดพบของลูกบ้านและเพื่อนด้วย design ที่โอ่โถงและสวยงามที่จะคอยสร้างความประทับใจให้คนที่มาเยี่ยม นอกจากนี้ยังมี facilities ที่คิดมาให้เพียงพอต่อความต้องการลูกบ้านในทุก lifestyle ไม่ว่าจะเป็น swimming pool, working space, fitness, jogging track, sky garden, sky lounge and roof top ซึ่งสิ่งเหล่านี้ลูกบ้านสามารถเป็นเจ้าของได้ด้วยราคาที่ดีที่สุดในเส้นเอกมัย-ทองหล่อ “The Best Price Condominium in EKKAMAI Neighborhood” โครงการ ซี เอกมัย พร้อมเปิดตัวด้วยราคาขายพิเศษ ณ วัน Pre-Sales ในวันที่ 15-16 ต.ค.นี้ โดย ขนาด 1 ห้องนอน ราคาเริ่มต้นที่ 3 ล้านบาท และลูกค้าจะได้รับส่วนลดพิเศษสูงสุด 100,000บาท และรวมถึงส่วนลดเพิ่มเติมจากการแสดงสิทธิลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์อีก 50,000 บาท รวมมูลค่าส่วนลดสูงสุด 150,000 บาท ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร หรือลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์เพื่อรับสิทธิส่วนลดพิเศษได้ที่  098-268-5588 หรือ www.cekkamai.com
“ซินเซีย วีพี” สบช่องว่างตลาดรีสอร์ทเช่าเมืองหัวหินมีดีมานต์ เปิดขาย “ครอสทู หัวหิน โอเอซิส” การันตีผลตอบแทนค่าเช่า 8% ต่อปี

“ซินเซีย วีพี” สบช่องว่างตลาดรีสอร์ทเช่าเมืองหัวหินมีดีมานต์ เปิดขาย “ครอสทู หัวหิน โอเอซิส” การันตีผลตอบแทนค่าเช่า 8% ต่อปี

บริษัท ซินเซีย วีพี จำกัด ในเครือซินเซียกรุ๊ปสบช่องจับดีมานต์ตลาดรีสอร์ทเช่าเมืองท่องเที่ยวหัวหิน ประจวบคีรีขันธ์ มาแรง รองรับนักท่องเที่ยวกลุ่มครอบครัว และกลุ่มเพื่อน ผุดโครงการ ครอสทู หัวหิน โอเอซิส (X2 – Huahin Oasis) มูลค่าโครงการ 300 ล้านบาท บ้านตากอากาศลักซ์ชัวร์รี่สไตล์คนรุ่นใหม่ตอบทุกโจทย์ของการพักผ่อน เสนอขายพร้อมสัญญาเช่า 6 ปี สร้างผลตอบแทนในคราวเดียวในอัตราค่าเช่า 8% ของราคาบ้านต่อปีมอบความลักซ์ชัวร์รี่ให้การพักผ่อนแบบส่วนตัวด้วยจำนวนยูนิต เพียง 23 หลัง พร้อมสระว่ายน้ำระบบน้ำเกลือส่วนตัว ชู 2 แบบบ้านตอบโจทย์ทุกฟังก์ชั่น จอยฟูลวิลล่า (Joyful Villa) พื้นที่ใช้สอย 279 ตารางเมตร และบลิสฟูลวิลล่า (Blissful Villa) พื้นที่ใช้สอย 299 ตารางเมตร เปิดขายเฟสแรกเดือนเมษายน ปี 2560 ราคา 14.0-17.2 ล้านบาท หรือเริ่มต้น 49,000 บาทต่อตารางเมตร นายชยพล หรรรุ่งโรจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซินเซีย วีพี จำกัด ในเครือซินเซียกรุ๊ป บริษัทที่มีความเชี่ยวชาญในแวดวงอสังหาริมทรัพย์มายาวนานกว่า 10 ปี เปิดเผยว่า จากการติดตามการขยายตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะในตลาดหัวเมืองท่องเที่ยวนอกจากกรุงเทพมหานคร พบว่ามีอัตราการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในหัวเมืองท่องเที่ยวหลัก 5 หัวเมือง ประกอบด้วย ภูเก็ต เชียงใหม่ สมุย พัทยา และหัวหิน โดยมีอัตราเติบโตเฉลี่ยของการท่องเที่ยวปีละ 6.55% ขณะที่ผลการศึกษาข้อมูลตลาดรีสอร์ทและโรงแรมปล่อยเช่าในเมืองหัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ มีโอกาสขยายตัวและมีความต้องการที่สูงอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี ด้วยเป็นเมืองท่องเที่ยวชายทะเลที่มีลักษณะพิเศษสำหรับครอบครัวและคนที่ชอบความสงบยอดนิยมที่สุด สามารถท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี เพราะสามารถขับรถยนต์ส่วนตัวจากกรุงเทพฯ ใช้เวลาเพียง 2.5-3 ชั่วโมง ซึ่งสถิติหัวหินมีนักท่องเที่ยวสูงสุดอันดับ 4 (ไม่รวมกรุงเทพฯ) รองจาก ภูเก็ต พัทยา และเชียงใหม่ โดยนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่กว่า 70% คือนักท่องเที่ยวคนไทย และนักท่องเที่ยวกว่า 55% จะเป็นลักษณะกลุ่มครอบครัว และกลุ่มเพื่อนจำนวน 4-8 คน ถือว่ามีความแตกต่างจากเมืองท่องเที่ยวอื่นที่นิยมเดินทางท่องเที่ยวแบบ 2 คน ในด้านผลสำรวจพฤติกรรมหลักที่นักท่องเที่ยวชื่นชอบที่สุด ยังคงเป็นการใช้เวลาพักผ่อนในโรงแรมและกิจกรรมรับประทานอาหาร ดังนั้นความต้องการที่พักในลักษณะดังกล่าวจึงมีมากกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับประเภทที่พักที่สามารถรับรองการทำกิจกรรมแบบเป็นหมู่คณะครอบครัว หรือกลุ่มเพื่อน จะมีสัดส่วนไม่ถึง 5% ของจำนวนห้องพักทั้งหมด และส่วนใหญ่จะเป็นที่ระดับ 2-3 ดาว ในขณะที่ราคาการให้บริการของรีสอร์ทและโรงแรมในเมืองหัวหินถือว่าสูงเกินความพึงพอใจของลูกค้าอยู่มาก จึงทำให้โครงการอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบใหม่ สามารถจับช่องว่างของตลาดรีสอร์ทและโรงแรมขนาดใหญ่ที่ยังไม่สามารถปรับตัวตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวได้เพียงพอ นายชยพล กล่าวว่า เพื่อรองรับความต้องการของตลาด บริษัทได้เปิดตัว ครอสทู หัวหิน โอเอซิส (X2 – Huahin Oasis) หัวหิน ประจวบคิรีขันธ์ มูลค่าโครงการ 300 ล้านบาท โครงการบ้านตากอากาศลักซ์ชัวร์รี่สไตล์คนรุ่นใหม่ตอบทุกโจทย์ของการพักผ่อนที่เสนอขายพร้อมสัญญาเช่า 6 ปี สร้างผลตอบแทนในคราวเดียว โดยรับประกันอัตราค่าเช่า 8% ของราคาบ้านต่อปี บริหารการเช่าโดย BHMA, Bespoke Hospitality Management Asia ผู้บริหารรีสอร์ทและโรงแรมระดับเอเชียเจ้าของแบรนด์ X2 (ครอสทู) และแบรนด์อื่น อาทิ Away, Le Bayburi และ Golden Tulip โครงการ X2 Huahin Oasis มีลักษณะเป็นบ้านเดี่ยว 3 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ พร้อมสระว่ายน้ำแบบน้ำเกลือ มีทั้งหมด 23 ยูนิตมี 2 แบบบ้านให้เลือก ประกอบด้วยแบบบ้าน จอยฟูลวิลล่า (Joyful Villa) พื้นที่ใช้สอย 279 ตารางเมตร พร้อมสระว่ายน้ำระบบน้ำเกลือส่วนตัว จำนวน 13 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 14.0-15.9 ล้านบาท และแบบบ้าน บลิสฟูลวิลล่า (Blissful Villa) พื้นที่ใช้สอย 299 ตารางเมตร พร้อมสระว่ายน้ำระบบน้ำเกลือส่วนตัว จำนวน 10 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 15.0-17.2 ล้านบาท พร้อมเปิดขายเฟสแรกจำนวน 13 ยูนิต ภายในเดือนเมษายน 2560 และเฟสสอง จำนวน 10 ยูนิต ภายในเดือนพฤจิกายน 2560 สำหรับการตกแต่งภายในโครงการ X2 Huahin Oasis จะตกแต่งด้วยวัสดุคุณภาพสูง ประหยัดพลังงาน และเป็นมิตรกับสภาพแวดล้อม โดยตกแต่งแบบ Premium Hotel Furnished รวมอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าครบตามคุณภาพโรงแรม 5 ดาว หรูหรา พร้อมบริการตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งนี้รับประกับคุณภาพการบริการด้วยรับรางวัลระดับนานาชาติ สาขาบ้านพักตากอากาศ (Leisure Development) จาก International Property Awards Asia Pacific 2015-2016 ในส่วนของกิจกรรมการตลาดโครงการ X2 Huahin Oasis เตรียมออกบูธประชาสัมพันธ์ ระหว่างวันที่ 19-20 ตุลาคม 2559 ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิล์ด พร้อมมอบสิทธิพิเศษสำหรับเจ้าของห้องยังมีสิทธิสามารถเข้าพักได้ปีละ 10 คืน แบ่งเป็น 5 คืน วันธรรมดา และ 5 คืนวันสุดสัปดาห์ ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์หรือวันหยุดยาวตามปฏิทินธนาคาร สอบถามเพิ่มเติม โทร.0814099496 หรือชมข้อมูลโครงการผ่าน www.oasishuahinvilla.com
ชนินทร์ ลิฟวิ่ง เปิดตัวโชว์รูม เฮอร์แมน มิลเลอร์ ด้วยคอนเซ็ปต์ “ลิฟวิ่ง ออฟฟิศ” แฟลกชิป แห่งแรกในประเทศไทย

ชนินทร์ ลิฟวิ่ง เปิดตัวโชว์รูม เฮอร์แมน มิลเลอร์ ด้วยคอนเซ็ปต์ “ลิฟวิ่ง ออฟฟิศ” แฟลกชิป แห่งแรกในประเทศไทย

กรุงเทพฯ – ชนินทร์ ลิฟวิ่ง ร่วมกับ Herman Miller แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ระดับไอคอนของโลก เปิดตัวโชว์รูมภายใต้แนวคิด Living Office (ลิฟวิ่ง ออฟฟิศ) คอนเซ็ปต์สถานที่ทำงานรูปแบบใหม่ที่จะช่วยสร้างและยกระดับประสบการณ์การทำงานที่ดีให้กับพนักงาน โดยโชว์รูม Herman Miller และ Living Office ตั้งอยู่ที่สำนักงานใหญ่ บริษัท ชนินทร์ ลิฟวิ่ง ชั้น 18 อาคาร จีพีเอฟ ถนนวิทยุ คอนเซ็ปต์ Living Office  ช่วยองค์กรจัดการพื้นที่ทำงาน ให้เหมาะสมกับลักษณะและสไตล์ขององค์กร เพราะ Herman Miller เชื่อว่าการออกแบบพื้นที่ที่สอดคล้องกับจุดประสงค์ของธุรกิจ และเป้าหมายขององค์กรจะช่วยให้พนักงานตระหนักถึงเป้าหมายและหน้าที่ของตนเอง ออฟฟิศที่ดีจะช่วยสื่อสารวัฒนธรรมและค่านิยมขององค์กร เพื่อนำไปสู่ความร่วมมือของคนในองค์กร และจะช่วยพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ ที่นำไปสู่ผลงานที่ยอดเยี่ยมขึ้น ลูกค้าของ Herman Miller ที่ใช้คอนเซ็ปต์ Living Office ทั่วโลก เช่นใน ฮ่องกง เมลเบิร์น ซานฟรานซิสโก จนถึงบังกาลอร์ ต่างเห็นผลลัพธ์และได้รับประโยชน์จากคอนเซ็ปต์นี้อย่างชัดเจน  โดยการเปลี่ยนออฟฟิศจากสถานที่ที่มาเพื่อทำงาน ให้กลายมาเป็น “สถานที่ทำงานที่น่ามาทำงานที่สุด” โดยคอนเซ็ปต์ Living Office ได้รับการพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดมี Herman Miller’s Passport ซึ่งเป็นระบบฐานข้อมูลอัจฉริยะที่สามารถช่วยแนะนำและปรับปรุงการใช้พื้นที่ส่วนต่างๆของออฟฟิศ เพื่อก่อให้เกิดประสิทธิภาพต่อสินทรัพย์ของบริษัทและองค์กรในระยะยาว แนวทางในการกำหนดคอนเซ็ปต์ Living Office สำหรับแต่ละออฟฟิศ Herman Miller ใช้ระบบการวิจัย Office Discovery Process ในการเก็บข้อมูลเพื่อประมวลผล และจำแนกรูปแบบ ลักษณะงาน เป้าหมาย กิจกรรมหลักขององค์กรนั้นๆ ตลอดจนพนักงาน และกลุ่มงานที่แตกต่างกันในแต่ละแผนก โดยข้อมูลและมุมมองต่างๆจากฐานข้อมูลเหล่านี้ จะช่วยองค์กรเห็นภาพได้ชัดเจนขึ้นว่า สถานที่ทำงานที่ดีที่จะสะท้อนเป็นภาพลักษณ์ขององค์กรของเขาควรจะเป็นเช่นไร และเพื่อออกแบบพื้นที่ให้องค์กรนั้นๆมีพื้นที่ใช้งานที่สอดคล้องกับความต้องการ และสิ่งที่พวกเขากำลังสร้างสรรค์อยู่ ทำไมถึงต้องเป็น Living Office? หลายออฟฟิศในปัจจุบัน ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับกระบวนการทำงานและเทคโนโลยีจากยุคก่อน  ซึ่ง Herman Miller มองเห็นศักยภาพของสถานที่ทำงานในยุคปัจจุบันและอนาคต  ด้วยการออกแบบที่เข้าใจมุมมองของบุคลากร รูปแบบงานและพฤติกรรม ตลอดจนอุปกรณ์เครื่องใช้ที่จำเป็น ซึ่ง Living Office จะเป็นสถานที่ที่ยกระดับประสบการณ์ในการทำงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ทำให้พนักงานอยากมาและกระตือรือร้นในการทำงานมากกว่าเพียง “ต้องมาทำงาน” การจัดสรรพื้นที่ สถานที่สามารถเป็นเครื่องมืออันทรงพลังในการทำงานให้บรรลุเป้าหมาย วัฒนธรรมและบุคลากรของแต่ละองค์กร ย่อมมีความแตกต่างกัน แต่โดยมากออฟฟิศทั่วๆไปกลับมีรูปแบบ หน้าตาและบรรยากาศเหมือนๆกัน Herman Miller  ได้นำระบบ Living Office Discovery มาใช้ เพื่อช่วยให้องค์กรเห็นภาพและช่วยการออกแบบพื้นที่ Living Office ของแต่ละองค์กร ให้เหมาะสม 10 กิจกรรมหลักในการทำงาน การพูดคุย (Chat): การพูดคุยทักทายชีวิตประจำวันระหว่างเพื่อนร่วมงาน การสนทนา (Converse): การปฏิสัมพันธ์ ระหว่างกลุ่มเพื่อนร่วมงานในหัวข้อประชุม การสร้างสรรค์ร่วมกัน (Co-Create): การสร้างสรรค์ คิดค้นไอเดียใหม่ๆร่วมกันในรูปแบบกลุ่ม การแบ่งงานเพื่อร่วมสร้าง (Divide & Conquer): การแบ่งงานระหว่างสมาชิกในทีม เพื่อกระจายตัวไปคิดงานในส่วนที่รับมอบหมายของตน เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์ผลงานโปรเจกต์ใหญ่ ร่วมกัน การรวมตัว (Huddle): กิจกรรมนี้หมายถึงเมื่อเวลาทีมต้องการจะประกาศหรือบอกกล่าวเกี่ยวกับ เรื่องด่วน การหารือ หรือการกำหนดทิศทางแผนการดำเนินงาน การอุ่นเครื่อง และเตรียมสรุป (Warm Up, Cool Down): เป็นกิจกรรมเพื่อเตรียมประชุมแบบเป็นทางการ การสร้างสรรค์ (Create): การสร้าง และผลิตผลงานในหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย การนำเสนอ และบอกเล่า (Show & Tell): การนำเสนองานระหว่างเพื่อนร่วมงานในทีมนั้นๆ โดยจะมีหรือไม่มีลูกค้าในการนำเสนอนั้นก็ได้ การดำเนินงาน และการตอบรับ (Process & Respond): การทำงาน ตอบรับ ประสานงาน ไม่ว่าในรูปแบบของอีเมล์ โทรศัพท์ ฯลฯ เพื่อการทำงานที่ต่อเนื่อง การทบทวน (Contemplate): พฤติกรรมเมื่อพนักงานแต่ละคนสามารถหยุดเพื่อทบทวนความคิดเกี่ยวกับงานของตนเอง หรือพักงานไว้ก่อนเพื่อให้สมองปลอดโปร่ง ทั้งนี้ การออกแบบ  Living Office โดย Herman Miller มีเฟอร์นิเจอร์ที่เป็นไฮไลท์ เช่น ชุดโต๊ะทำงาน Optimis Desking System, เก้าอี้ Activity Chair, โต๊ะ  T2 Smart Desk, ชุดเฟอร์นิเจอร์รุ่น Public Office Landscape, ชุดโต๊ะทำงาน Imagine Desking, เก้าอี้ Mirra 2 Butterfly Back, เก้าอี้ Sayl เป็นต้น Living Office โดย Herman Miller พร้อมต้อนรับทุกท่านแล้วที่ ชนินทร์ ลิฟวิ่ง สำนักงานใหญ่ ชั้น 18 อาคาร จีพีเอฟ วิทยุ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร +662 015 8889 ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับลิฟวิ่ง ออฟฟิศ – ภูมิทัศน์ใหม่ของการทำงาน http://www.hermanmiller.com/global/en_apc/solutions/living-office.html
SENA สุดเจ๋ง โครงการ the kith plus สุขุมวิท 113 ตอบรับดีเกินคาด ยอดจองพุ่งกว่า 70% คอนโดที่ตอบโจทย์ได้อย่างลงตัว ฟังก์ชั่นที่ลงตัว ลดค่าไฟด้วยโซลาร์

SENA สุดเจ๋ง โครงการ the kith plus สุขุมวิท 113 ตอบรับดีเกินคาด ยอดจองพุ่งกว่า 70% คอนโดที่ตอบโจทย์ได้อย่างลงตัว ฟังก์ชั่นที่ลงตัว ลดค่าไฟด้วยโซลาร์

บมจ.เสนาดีเวลลอปเม้นท์ ( SENA ) อวดโครงการ” เดอะ คิทท์ พลัส สุขุมวิท 113” กระแสตอบรับดีเกินคาด …..  ยอดจองพุ่งกว่า 70%   “คอนโดฯ แรกในไทย….ที่ช่วยลดค่าไฟด้วยโซลาร์ “ ใกล้สถานีรถไฟฟ้า BTS สำโรง ติดตั้งแผงโซลาร์ “ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์” เดินหน้าผุดโครงการช่วงที่เหลือต่อเนื่อง - คอนเฟิร์มผลงานปีนี้เจ๋ง!!! ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (SENA) ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ชั้นแนวหน้าของเมืองไทย และในฐานะ Developer รายแรกที่ทำหมู่บ้านโซลาร์เต็มรูปแบบ เปิดเผยว่า โครงการใหม่ “เดอะ คิทท์ พลัส สุขุมวิท 113 “มูลค่าโครงการ 550 ล้านบาท ได้รับการตอบรับที่ดี จากการเปิดขายในช่วงเดือนกรกฏาคมที่ผ่านมา โดยปัจจุบันมียอดขายแล้วกว่า 70%  และคาดว่าจะสามารถปิดการขายได้ภายในเร็วๆ นี้ พร้อมเตรียมเปิดเฟส 2 ต่อเนื่องเพื่อตอบรับกระแสความต้องการของตลาดในย่านนี้ ทั้งนี้โครงการ “เดอะ คิทท์ พลัส สุขุมวิท 113  เป็นโครงการคอนโดมิเนียมที่มีจุดเด่น ทั้งการเดินทางที่สะดวก เพียง 400 เมตร ถึงรถไฟฟ้าสายสีเขียว  และเชื่อมต่อไปยังรถไฟฟ้าสายเหลือง การออกแบบเฟอร์นิเจอร์เป็นแบบพิเศษเฉพาะโครงการ รวมทั้งเป็นโครงการที่นำพลังงานสะอาดจากแสงอาทิตย์มาใช้ โดยการติดตั้งโซลาร์เซลล์ประหยัดไฟฟ้าส่วนกลาง 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ ยังเพิ่มพื้นที่นั่งเล่น ใกล้ชิดธรรมชาติ ติดห้องพักอาศัย ด้วยสวนลอยฟ้า ขนาดใหญ่ กว่า 200 ตรม. ถือเป็นการตอบโจทย์ได้อย่างลงตัว สำหรับห้องที่มีขนาด 28 ตารางเมตร ในราคาเริ่มต้น 1.2 ล้านบาท “โครงการ “เดอะ คิทท์ พลัส สุขุมวิท 113” ได้รับการตอบรับที่ดีมาก หลักๆ ก็มาจากทำเลที่สะดวกเพียง 400 เมตร ถึงรถไฟฟ้าสายสีเขียว แถมยังมีฟังก์ชั่นที่ลงตัว โดยเฉพาะแผงโซลาร์ ที่ช่วยลดค่าไฟ อีกทั้งยังเป็นโครงการที่ให้เฟอร์ฯครบ ในราคาสบายๆ  ซึ่งถือว่าเป็นการตอบโจทย์ได้ดี แบบลงตัว  ภายใต้ราคาที่คุ้มค่าสามารถจับต้องได้ “ผศ.ดร.เกษรา กล่าว ผศ.ดร.เกษรา  กล่าวต่อว่า บริษัททยอยเปิดโครงการใหม่ที่เหลือครบ ภายในปีนี้ตามแผนอย่างต่อเนื่อง ตามแผนงานโครงการใหม่ในปี 2559 มีจำนวน 7 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 4,670 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 1,980 ล้านบาท คอนโดมิเนียม 2,690 ล้านบาท นั้น ในช่วงครึ่งปีแรก บริษัทได้เปิดแล้ว 2 โครงการ คือโครงการ SENA Ville บรมราชชนนี – สาย  5  มูลค่าโครงการ 880 ล้านบาท และโครงการ SENA Park Ville รามอินทรา-วงแหวน เฟส 1 มูลค่าโครงการ 1,100 ล้านบาท พร้อมเปิดอีก 5 โครงการอย่างต่อเนื่องในครึ่งปีหลัง โดยเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาได้เปิด The Kith Plus สุขุมวิท 113 มูลค่าโครงการ  550  ล้านบาท , เดือนกันยายนเปิด The Niche Mono บางนา เฟส 3 มูลค่าโครงการ 160 ล้านบาท  The Niche ID พระราม 2 เฟส 2 มูลค่าโครงการ 540 ล้านบาท และบริษัทจะทยอยเปิดโครงการที่เหลืออีก 2 โครงการ ซึ่งประกอบด้วย  The Kith Lite บางกะดี เฟส 2 มูลค่าโครงการ 310 ล้านบาท และ  The Niche Mono สุขุมวิท 50 มูลค่าโครงการ 1,130 ล้านบาท ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2559  ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทฯตั้งเป้าหมายรายได้รวม 3,500 ล้านบาท และยอดขายอยู่ที่ 4,500 ล้านบาท ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรก มียอดโอนเข้ามาแล้วกว่า 2,500 ล้านบาท และยังมียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) ณ วันที่ 30 มิ.ย. 59 อีกกว่า 2,400 ล้านบาท  ซึ่งจะเป็นยอดที่รอรับรู้รายได้ในครึ่งปีหลังประมาณ 1,000 ล้านบาท  อีกทั้งบริษัทฯมีแผนเปิดโครงการใหม่อย่างต่อเนื่องในครึ่งปีหลังเพื่อสะสมยอดขายรอโอนสำหรับปี 2560 ทั้งนี้ บริษัทฯยังคงให้ความใส่ใจ ดูแลลูกค้าภายใต้คอนเซ็ปต์ “หัวคิด และหัวใจ” พร้อมบริการดูแลหลังการขาย  360 องศา เพื่อสร้างมูลค่าสูงสุดให้แก่ลูกค้า ด้วย องศาแห่งความอุ่นใจ ในบริการแจ้งซ่อมออนไลน์ได้ตลอด 24 ชม. โดย SENA We Care , องศาแห่งความสุข ดูแลทุกโครงการให้อยู่สบายโดย Victory , องศาแห่งความสบายใจ วันไหนก็ยังมั่นคงด้วยบริการรับฝากขาย – เช่า โดย Living agent  , องศาแห่งความสะดวกสบาย ไม่ว่าจะติดต่อหรือติดตาม และยังตรวจสอบปริมาณการลดค่าไฟฟ้าจากโซลาร์ ก็สะดวกสบายด้วยแอพพลิเคชั่น SENA 360° SERVICE
อนันดาฯ ลุยหนักปลายปี เปิดรวด 6 โครงการ ตอกย้ำความแข็งแกร่ง “มิตซุย ฟูโดซัง” ร่วมทุนต่อ 3 โครงการใหญ่ 12,000 ล้าน มั่นใจยอดปีทะลุเป้า หลังคนแห่จอง 2 โครงการใหม่ล้นหลาม เดินหน้าจัดงานใหญ่แห่งปี ANANDA URBAN PULSE 20 – 23 ต.ค.นี้

อนันดาฯ ลุยหนักปลายปี เปิดรวด 6 โครงการ ตอกย้ำความแข็งแกร่ง “มิตซุย ฟูโดซัง” ร่วมทุนต่อ 3 โครงการใหญ่ 12,000 ล้าน มั่นใจยอดปีทะลุเป้า หลังคนแห่จอง 2 โครงการใหม่ล้นหลาม เดินหน้าจัดงานใหญ่แห่งปี ANANDA URBAN PULSE 20 – 23 ต.ค.นี้

บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) โชว์ศักยภาพผู้นำคอนโดติดรถไฟฟ้า พร้อมตอกย้ำความแข็งแกร่งกับพันธมิตรเบอร์ 1 ของญี่ปุ่น มิตซุย ฟูโดซัง ที่มอบความไว้วางใจ ร่วมทุนต่อ 3 โครงการใหญ่ กว่า 12,000 ล้านบาทและอยู่ระหว่างพิจารณาร่วมทุนต่ออีกหลายโครงการปีนี้ เผยแผนธุรกิจ 4 เดือนหลังเปิด 6 โครงการใหม่ มูลค่ากว่า 16,000 ล้านบาท  บนทำเลศักยภาพที่ดีที่สุดของกรุงเทพฯ พร้อมโชว์ความสำเร็จได้รับการตอบรับดีเหนือความคาดหมาย จาก 2 โครงการใหม่ล่าสุด ไอดีโอ โมบิ อโศก และ เวนิโอ สุขุมวิท 10 นอกจากนี้เตรียมกระตุ้นตลาดและกำลังซื้อจัดงานนำเสนอคอนโดติดรถไฟฟ้าครั้งยิ่งใหญ่แห่งปี “ANANDA URBAN PULSE” รวบรวมคอนโดติดรถไฟฟ้าคุณภาพเยี่ยมกว่า 14 โครงการทั่วกรุงเทพ พร้อมโปรโมชั่นพิเศษสุด !! และพลาดไม่ได้!! กับ 4 โครงการไฮไลท์  จากแบรนด์คุณภาพที่ได้รับการตอบรับจากลูกค้าด้วยดีเสมอมา ที่พร้อมตอบโจทย์ชีวิตคนเมืองอย่างลงตัว ระหว่างวันที่ 20-23 ตุลาคม 2559 นี้ ที่ชั้น 1 สยามพารากอน นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ผู้นำตลาดคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้า เปิดเผยว่า บริษัทฯ ยังคงได้รับความเชื่อมั่นและไว้วางใจจาก บริษัท มิตซุย  ฟูโดซัง  จำกัด อย่างต่อเนื่องตั้งแต่เริ่มต้นความร่วมมือในปี 2013 – จนปัจจุบัน โดยได้ร่วมมือกันพัฒนาโครงการติดรถไฟฟ้าที่มีคุณภาพมาแล้ว 9 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 45,000 ล้านบาท ซึ่ง มิตซุยฯ เป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง และเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่งของอนันดาฯ ซึ่งผลจากการร่วมทุนที่ประสบความสำเร็จที่ผ่านมาทำให้มีการวางแผนเดินหน้าสร้างความยิ่งใหญ่อย่างต่อเนื่องด้วยการทำสัญญาร่วมทุนเพื่อพัฒนาโครงการใหม่อีก 3 โครงการ มูลค่ากว่า 12,000 ล้านบาท  นอกจากนี้ยังมีโครงการที่กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาร่วมทุนในอนาคตอีกหลายโครงการเพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าที่ตอบโจทย์และไลฟ์สไตล์ของคนเมืองอย่างลงตัวที่สุด ในช่วง 4 เดือนหลังของ 2559 นี้ บริษัทฯ มีแผนการเปิดตัวที่สุดของคอนโดมิเนียมบนสุดยอดทำเลศักยภาพ พร้อมกัน 6 โครงการ มูลค่ากว่า 16,000 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์ ไอดีโอ , ไอดีโอ โมบิ, เวนิโอ ,ยูนิโอ   ประกอบด้วย 3 โครงการความร่วมมือภายใต้การร่วมทุนกับ บริษัท มิตซุย ฟูโดซัง  จำกัด  มูลค่ารวมกว่า 12,000 ล้านบาท ได้แก่ 1.) โครงการ ไอดีโอ โมบิ อโศก สูง 36 ชั้น จำนวน 507 ยูนิต มูลค่าโครงการ 3,240 ล้านบาท ราคาเริ่มต้น  4.19 ล้านบาท  2.) โครงการ ไอดีโอ สุขุมวิท 93  สูง 38 ชั้น จำนวน 1,332  ยูนิต มูลค่าโครงการ 6,072 ล้านบาท ราคาเริ่มต้น 2.49 ล้านบาท   และ 3.) โครงการ ไอดีโอ  โมบิ สุขุมวิท 66 สูง 28 ชั้น จำนวน 298  ยูนิต มูลค่าโครงการ 2,288 ล้านบาท ราคาเริ่มต้น 5.19 ล้านบาท  ซึ่งบริษัทเชื่อมั่นว่าทั้ง 3 โครงการจากความร่วมมือนี้จะสามารถสร้างความสนใจครั้งใหญ่ให้คนเมืองได้อีกครั้ง และสำหรับอีก 3 โครงการคุณภาพที่เตรียมตัวเปิดในช่วง 4 เดือนหลังเช่นกันได้แก่  โครงการ ไอดีโอ พหลโยธิน – จตุจักร สูง 37 ชั้น จำนวน 400 ยูนิต มูลค่าโครงการ 2,513 ล้านบาท ราคาเริ่มต้น 3.59 ล้านบาท  โครงการ เวนิโอ สุขุมวิท 10 สูง 8 ชั้น จำนวน 162 ยูนิต มูลค่าโครงการ 875 ล้านบาท ราคาเริ่มต้น 3.49 ล้านบาท  และโครงการ ยูนิโอ นิด้า-เสรีไทย สูง 8 ชั้น จำนวน 703 ยูนิต มูลค่าโครงการ 932 ล้านบาท ราคาเริ่มต้น 950,000 บาท นอกจากนี้ บริษัทฯ ประสบความสำเร็จดีเกินความคาดหมายอีกครั้งจากผลตอบรับที่ดียิ่งของการเปิดขาย 2  โครงการใหม่ล่าสุดไปก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นโครงการสุดยอดทำเลศักยภาพใจกลางเมือง ได้แก่ โครงการ ไอดีโอ โมบิ อโศก (IDEO Mobi Asoke) โดยสามารถสร้างยอดขายแล้วกว่า 70% และ โครงการ เวนิโอ สุขุมวิท 10  (Venio Sukhumvit 10 ) คอนโดมิเนียมแบรนด์ใหม่ล่าสุด ภายใต้การพัฒนาโครงการโดย บริษัท เฮลิกซ์  จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของอนันดาฯ  โดยสามารถสร้างยอดขายรวมเกือบ 90% ซึ่งดำเนินงานด้านการขายโดยบริษัท ดิ เอเจ้นท์ จำกัด มร. อะกิฮิโกะ ฟูนาโอกะ Executive Managing Officer บริษัท มิตซุย  ฟูโดซัง  จำกัด บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ที่สุด และมีรายได้และกำไรสูงสุดในประเทศญี่ปุ่น มีมูลค่าทางการตลาดสูงถึง 7 แสนล้านบาท เปิดเผยว่า ตั้งแต่ได้มีการทำสัญญาความร่วมมือ บริษัทฯ มีความเชื่อมั่นในศักยภาพของอนันดาฯ  ในการเป็นผู้นำตลาดคอนโดมิเนียมทำเลใกล้รถไฟฟ้าที่ดีที่สุด มีความเชี่ยวชาญและศักยภาพในการพัฒนาโครงการที่โดดเด่นทั้งคุณภาพและการออกแบบโครงการที่ดึงดูด และสามารถตอบรับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าย่านใจกลางเมืองได้เป็นอย่างดี แสดงให้เห็นว่า อนันดาฯ เป็นบริษัทที่มีความแข็งแกร่งในตลาดอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทย และ เป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่สำคัญของ มิตซุย ฟูโดซัง และหวังว่าจะมีความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งร่วมกันต่อไป  โดยมีความเชื่อมั่นในความสำเร็จ ในปีนี้เรามีอีก3โครงการใหม่ที่จะร่วมลงทุน ได้แก่ โครงการไอดีโอ โมบิ อโศก โครงการ ไอดีโอ สุขุมวิท 93 และโครงการ ไอดีโอ โมบิ สุขุมวิท 66 ซึ่งการร่วมทุนใหม่นี้ ถือเป็นกลยุทธ์ในการสร้างคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าที่ตอบสนองความสะดวกสบายและมีสิ่งอำนวยความสะดวก ในราคาที่สมเหตุผลและสามารถจับต้องได้ “มิตซุย ฟูโดซัง มีนโยบายที่จะเติบโตทางธุรกิจในต่างประเทศอย่างรวดเร็ว ประเทศไทยเป็นประเทศที่สำคัญที่สุดสำหรับกลยุทธ์ด้านการลงทุนของ มิตซุย ฟูโดซัง เพราะการพัฒนาระบบการขนส่งสาธารณะในกรุงเทพฯ กำลังพัฒนาไปอย่างรวดเร็วในภูมิภาคนี้ และเราคาดหวังที่จะพัฒนาที่อยู่อาศัยให้เจริญเติบโตในพื้นที่โดยรอบๆสถานีรถไฟฟ้า มิตซุย ฟูโดซังมีความมั่นใจอีกด้วยว่า ความรู้ความเชี่ยวชาญในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ของอนันดาฯ จะสามารถสร้างโครงการที่มีนวัตกรรมใหม่ และมีมูลค่าที่สามารถสร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้า บริษัทของเราต้องการที่สนับสนุนบริษัท อนันดาฯ และพัฒนาโครงการร่วมทุนอื่นๆด้วยกันอีก นอกจากนี้ บริษัทฯ เตรียมจัดกิจกรรมทางการตลาดเพื่อกระตุ้นกำลังซื้อในช่วงครึ่งปีหลัง ด้วยการจัดงาน “ANANDA  URBAN PULSE” ระหว่างวันที่ 20-23 ตุลาคม 2559 ณ. ชั้น 1  ศูนย์การค้าสยามพารากอน ภายใต้แนวคิด “SHIFT TO A NEW PARADIGM OF LIVING” เพื่อนำเสนอบริบทใหม่ของการใช้ชีวิตสำหรับคนเมือง โดยนำเสนอนวัตกรรมแห่งการอยู่อาศัยที่มีเทคโนโลยีต่างๆเข้ามาผสมผสานกับการใช้ชีวิตเมืองมากขึ้น หรือ  SMART LIVING ไม่ว่าจะเป็นด้านความสะดวกสบาย ด้านความปลอดภัย หรือในด้านของการอยู่อาศัยในมิติอื่นๆเพื่อการใช้ชีวิตที่มีประสิทธิภาพสูงสุด และในงาน ANANDA URBAN PULSE ทางบริษัทฯได้ออกแบบกิจกรรมให้สอดคล้องกับแนวคิด “SHIFT TO A NEW PARADIGM OF LIVING” โดยตั้งใจนำเสนอรูปแบบงานให้เป็น Event แห่งอนาคต ที่ผู้ร่วมงานจะได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่ของ Event ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ด้วยเทคโนโลยีการนำเสนอข้อมูลโครงการในรูปแบบใหม่ อาทิ Isolate map , 3D Simulator , Dynamic VR และอีกมากมาย พิเศษสุดเมื่อจองห้องชุดภายในงานจะได้รับ Samsung Gear Fit 2 (เฉพาะโครงการที่กำหนด) หรือแค่เข้าร่วมงานก็มีสิทธิ์ร่วมลุ้นรับ Siam Paragon Gift Card มูลค่า 5,000 บาท จำนวน 20 รางวัลต่อวัน ซึ่งบริษัทฯได้คัดสรรและรวบรวมโครงการคอนโดมิเนียมคุณภาพติดรถไฟฟ้า กว่า 14 โครงการทั่วกรุงเทพฯ มานำเสนอซึ่งเป็นการส่งเสริมการขายที่เปิดโอกาสให้ลูกค้าผู้ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพบนทำเลศักยภาพสูงติดสถานีรถไฟฟ้าของอนันดาฯ สามารถเลือกชมโครงการต่างๆได้อย่างใกล้ชิดก่อนใครพร้อมข้อเสนอสุดพิเศษเมื่อจองซื้อภายในงาน  ซึ่งบริษัทฯ เชื่อว่าความต้องการที่อยู่อาศัยยังคงเติบโตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องซึ่งเห็นได้จากการการให้ความสนใจและตอบรับเป็นอย่างดีทุกครั้งของการเปิดตัวโครงการของบริษัทตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
ประกาศผลไทยแลนด์ พร็อพเพอร์ตี้ อวอร์ดส์ ครั้งที่ 11 “แมกโนเลีย”คว้ารางวัลสุดยอดบริษัทพัฒนาอสังหายอดเยี่ยม เปิดตัว Property Report Congress Thailand งานสัมมนาสำหรับผู้บริหารชั้นนำ

ประกาศผลไทยแลนด์ พร็อพเพอร์ตี้ อวอร์ดส์ ครั้งที่ 11 “แมกโนเลีย”คว้ารางวัลสุดยอดบริษัทพัฒนาอสังหายอดเยี่ยม เปิดตัว Property Report Congress Thailand งานสัมมนาสำหรับผู้บริหารชั้นนำ

พร็อพเพอร์ตี้กูรู เปิดโผรายชื่อผู้ได้รับรางวัลชนะเลิศและผู้ได้รับรางวัลชมเชย “ไทยแลนด์พร็อพเพอร์ตี้ อวอร์ดส์”  ครั้งที่ 11 “แมกโนเลีย” คว้ารางวัลสุดยอดบริษัทพัฒนาอสังหายอดเยี่ยม โครงการจากโปรเจกต์ Waterfront จากกรุงเทพ ภูเก็ต สมุย และโครงการพัฒนาชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกคือตัวกำหนดที่มาของรางวัลแห่งชัยชนะนี้ ในขณะที่ ดร.สุริยา พูลวรลักษณ์ จากเมเจอร์กรุ๊ป ได้รับเลือกให้เป็นบุคคลแห่งวงการอสังหา ประจำ 2016 เปิดตัว Property Report Congress Thailand งานสัมมนาระดับบริหารที่อัดแน่นด้วยวิทยากรทั้งไทยและวิทยากรระดับโลก มร.เทอรี่ แบล็คเบิร์น กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้กูรู อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า นับว่าสิ้นสุดการรอคอยอันยาวนานสำหรับการประกาศรางวัล ไทยแลนด์ พรอเพอร์ตี้ อวอร์ดส 2016 ครั้งที่ 11 ที่จัดขึ้นเมื่อค่ำวันที่ 22 กันยายนที่ผ่านมา ณ พลาซา แอทธินี กรุงเทพฯ อะ รอยัล เมอริเดียน ) โดย 33 ประเภทได้รับการประกาศบนเวทีประกาศรางวัลอสังหาริมทรัพย์ระดับนานาชาติที่ใหญ่ที่สุดและยาวนานที่สุดของประเทศไทย งานที่จัดโดยพร็อพเพอร์ตี้กูรู ผู้นำแห่งวงการออนไลน์อสังหาริมทรัพย์ โดยมีบริษัท ฮันส์โกรเฮ่อ จำกัด เป็นผู้สนับสนุนหลัก มีผู้เข้าร่วมงานกว่า 600 คน จากผู้บริหารแถวหน้าในวงการอสังหาฯ โดยมีแขกรับเชิญพิเศษ คือ นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีตรองนายกรัฐมนตรี โดยการประกาศผลรางวัลเกียรติยศ ในปีนี้   ผู้ที่คว้ารางวัลสุดยอดบริษัทพัฒนาอสังหายอดเยี่ยม คือ บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด MQDC หรือ Magnolia Quality Development Corporation  โดยกวาดไปถึง 8 รางวัล ในขณะที่โครงการจากโปรเจกต์Waterfront จากกรุงเทพ ภูเก็ต สมุย และโครงการพัฒนาชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก พาเหรดขึ้นรับรางวัลบนเวทีอย่างคึกคัก ด้านรางวัลบุคคลแห่งวงการอสังหาริมทรัพย์ ประจำปี 2016 ได้แก่ ดร.สุริยา พูลวรลักษณ์ กรรมการผู้จัดการ เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด และในปีนี้ยังถือเป็นการเปิดตัว Property Report Congress Thailand งานสัมมนาระดับบริหาร ที่มีผู้ทรงคุณวุฒิชาวไทยและระดับโลก มาร่วมเป็นวิทยากรให้ข้อมูลกลยุทธ์และโอกาสทางการตลาดอสังหาฯอย่างน่าสนใจ ผู้ได้รับรางวัลสูงสุดคือ ​บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) ผู้พัฒนาอสังหาขนาดใหญ่ ด้วยโครงการสุดหรูเลียบแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นผู้ชนะรางวัลในรายการต่างๆ มากมาย รวมไปถึงรางวัลผู้พัฒนาคอนโดมิเนียมอันเป็นที่สุดแห่งความหรูหราในเขตกรุงเทพมหานคร  ได้แก่โครงการ โอเรียนทัล เรสซิเดนท์  และรางวัลผู้พัฒนาคอนโดมิเนียมหรูในเขตกรุงเทพมหานคร สำหรับที่พักอาศัยได้แก่ โครงการแมกโนเลีย วอเตอร์ฟรอนท์ ไอคอน-สยาม ซึ่งโครงการดังกล่าวยังได้รับรางวัลผู้พัฒนารางวัลคอนโดมิเนียมยอดเยี่ยมเช่นกัน ทั้งนี้ ศ.ดร. มานพ พงศทัต จากสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ทรงคุณวุฒิที่ได้รับการยอมรับในวงการอสังหาในไทย และเป็นประธานการตัดสินกิตติมศักดิ์ ให้ความเห็นว่าโครงการร่วมทุน MDQC ริเวอร์ฟรอนท์ จะเปลี่ยนวิถีชีวิตริมน้ำในเมืองหลวงไปตลอดกาล สำหรับรางวัลเชิดชูเกียรติอื่นๆ ตกเป็นของโครงการริมแม่น้ำเจ้าพระยาต่างๆ เป็นการพิสูจน์ให้เห็นอีกครั้งหนึ่งว่า โครงการริมแม่น้ำยังคงมีศักยภาพด้านทำเลที่ตั้งที่ดีที่สุดสำหรับกลุ่มตลาดหรูของกรุงเทพ โดยโครงการแม่น้ำเรสซิเดนท์ ได้รับรางวัลคอนโดมิเนียมไฮท์ไลท์ที่ดีที่สุดสำหรับกลุ่มตลาดบน ในขณะที่โรงแรมอวานิริเวอร์ไวด์ กรุงเทพฯ ซึ่งส่งประกวดในกลุ่มโรงแรมระดับกลางกวาดไป 4 รางวัล โดยเป็นรางวัลด้านการออกแบบถึงสามรางวัล ส่วนอีกหนึ่งเป็นรางวัลการพัฒนาโรงแรมยอดเยี่ยม ซึ่งนับได้ว่าเป็นรางวัลที่ได้มาโดยปราศจากคู่แข่งอีกด้วย นอกจากนี้ โครงการมหาสมุทร ของ เพซ ดีเวลลอปเมนท์ ซึ่งนำเสนอที่พักริมหาดตระการตาที่สร้างด้วยมือมนุษย์ในประเทศไทย ได้รางวัลกลับบ้านไป 3 ประเภท ได้แก่ การออกแบบทางสถาปัตยกรรมที่พักอาศัยยอดเยี่ยม การพัฒนาวิลล่าหรูยอดเยี่ยม(หัวหิน) และรางวัลการพัฒนาวิลลาที่ดีที่สุด(ประเทศไทย) โดยคณะกรรมการตัดสินให้ความเห็นว่า “มหาสมุทรนำความหรูหราในอีกระดับหนึ่งมาสู่หัวหิน ซึ่งเมืองแห่งนี้ไม่เคยมีมาก่อน” นางสุพินท์ มีชูชีพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โจนส์ แลง ลาซาลล์ (ประเทศไทย) จำกัด ประธานกรรมการพิจารณาตัดสิน กล่าวถึงผู้ชนะในการประกวดปี 2016 ว่าการตัดสินเกี่ยวกับอาคารที่อยู่บนดินหรือติดแม่น้ำก็ตาม ต่างก็ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการตัดสิน เนื่องจากเป็นที่เข้าใจว่า ตลาดมีความคาดหวังต่อที่พักอาศัยที่มีคุณภาพ “ผู้พัฒนาที่ชนะในการประกวดครั้งนี้ ได้ช่วยยกระดับวงการและสร้างมาตรฐานตัวอย่างสำหรับการพัฒนาในอนาคตให้ผู้อื่นติดตามเอาแบบอย่าง” โดยทศวรรษที่สองของรางวัลไทยแลนด์พรอเพอร์ตี้อวอร์ด ได้แบ่งการประกวดออกเป็น 8 ประเภท สะท้อนให้เห็นถึงการฟื้นตัวและการเติบโตอย่างต่อเนื่องของตลาดอสังหาริมทรัพย์ประเทศไทย ท่ามกลางรางวัลใหม่ๆ เหล่านี้ สิ่งที่เป็นที่น่าประทับใจก็คือการเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งถูกนำเสนอผ่านผู้ชนะรางวัลนักพัฒนายอดเยี่ยม MQDC คณะกรรมการตัดสินยังกล่าวอีกว่า โครงการนวัตกรรมที่ยั่งยืน Sustainovation ของ MQDC มีความชัดเจนในการสร้างความยั่งยืน ทั้งในฐานะของเสาหลักและจุดขายอันเป็นเอกลักษณ์ในตัวเอง ซึ่งไม่เพียงแต่จะเอื้อต่อการพัฒนาและออกแบบโครงการใดๆ เท่านั้น แต่รวมถึงการปรับเปลี่ยนทัศนคติ พฤติกรรม และวิถีปฏิบัติของผู้บริโภค เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจว่า โครงการใหม่ๆ เหล่านี้มีความยั่งยืนสำหรับคนรุ่นต่อๆ ไปด้วย ทั้งนี้ MQDC ยังได้รับรางวัลโครงการเพื่อสิ่งแวดล้อมยอดเยี่ยม จากโครงการตลาดที่พักอาศัยระดับบน เดอะ วิสซ์ดอม อเวนิว รัชดา-ลาดพร้าว เป็นปีที่สองติดต่อกัน บริษัท บีดีโอ จำกัด ซึ่งเป็นหน่วยงานตรวจสอบการตัดสิน และ หนึ่งในบริษัทบัญชีและตรวจสอบบัญชีของโลก ได้เข้าเป็นที่ปรึกษาให้กับกระบวนการตัดสินรางวัลไทยแลนด์ พร็อพเพอร์ตี้ อวอร์ดส์ 2016 ซึ่งเป็นเครื่องการันตีให้การตัดสินมีความยุติธรรม โปร่งใส และน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น การประกาศรางวัลพิเศษ รางวัลนักอสังหาริมทรัพย์แห่งปี ซึ่งได้แก่ ดร.สุริยา พูลวรลักษณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทเมเจอร์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) โครงการของ MJD ยังถูกเสนอชื่อเข้าชิงในประเภทรางวัล Best Ultra Luxury Condo Development (Bangkok) คุณสุริยาได้รับการเลือกโดยบรรณาธิการ Property Report ให้เป็นผู้นำของคณะผู้พัฒนาตลาดอสังหาริมทรัพย์ระดับหรูของประเทศไทย ซึ่งกล่าวว่า “วิสัยทัศน์ที่ปราศจากการลงมือปฎิบัติ มันก็เป็นเพียงแค่ความฝัน ผมขออุทิศรางวัลผู้แทนอสังหาริมทรัพย์สุดหรูนี้ให้กับเหล่าคนหนุ่มสาวที่ เมเจอร์ ดีเวลลอปเมนท์ เขาเหล่านั้นได้มีส่วนร่วมในความพยายามสร้างแบรนด์ MJD และเป็นส่วนสำคัญทำให้วิสัยทัศน์ร่วมกันนี้เป็นจริงได้ สำหรับผู้ชนะรางวัลไทยแลนด์ พร็อพเพอร์ตี้ อวอร์ดส์ ในประเภทต่างๆ จะมีสิทธิเข้าร่วมการแข่งขันรอบตัดสินรางวัลเอเชีย พร็อเพอร์ตี้ อวอร์ดส์ 2016 ครั้งที่ 5 ในวันที่ 24 พฤศจิกายน ที่ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเป็นที่สุดของสุดยอดเกียรติยศแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผู้ชนะเหล่านี้จะต้องเผชิญหน้ากับผู้ชนะจากอีก 7 ประเทศในสมาคมอาเซียนด้วยกัน คุณเทอร์รี่ แบล็คเบิร์น ผู้ก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการของรางวัลเอเชียพร็อพเพอร์ตี้ อวอร์ดส์ กล่าวว่า ขอแสดงความยินดีกับผู้ชนะและขอชื่นชมต่อบริษัทต่างๆ เป็นอย่างสูงที่ได้มีส่วนร่วมในมหกรรมยิ่งใหญ่ที่สุดของวงการในครั้งนี้ รางวัลไทยแลนด์ พร็อพเพอร์ตี้ อวอร์ดส์ ซึ่งก้าวล่วงเข้าสู่ศตวรรษที่สองอย่างน่ายินดี เป็นการประกวดที่ยาวนานและเป็นที่น่าจดจำในฐานะรางวัลระดับนานาชาติที่เคยมีมาในประเทศ’ คุณเทอร์รี่เสริมว่า ‘เช่นเคยปฏิบัติเสมอมา เรามีความยินดีที่จะมอบรางวัลแห่งความประณีตพิถีพิถันและนักพัฒนารุ่นใหม่ๆ ในประเทศไทย ร่วมไปกับนักพัฒนารายใหญ่และที่มีมาอยู่แล้วของประเทศไทยตลอดเวลา 11 ปี ความพยายามที่จะยกระดับมาตรฐานวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยจะต้องเป็นที่จดจำและชื่นชนของประเทศในภูมิภาคอาเซียน’ รางวัลไทยแลนด์ พร็อพเพอร์ตี้ อวอร์ดส์ 2016 ได้รับการสนับสนุนหลักจากบริษัท ฮันส์โกรเฮ่อ จำกัด และผู้สนับสนุนรายใหญ่ คุปเปอร์สบุส และเจแอลแอล ประเทศไทย ในฐานะที่ปรึกษาสมาคมธุรกิจสื่อชั้นนำในวงการอสังหาริมทรัพย์หมายเลขหนึ่งของไทย DDproperty.com รวมถึงหุ้นส่วนสำคัญ นิตยสาร Property Report ผู้นำด้านนิตยสารเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์สุดหรู สถาปัตยกรรมและการออกแบบ ในปีนี้ยังได้มีการริเริ่มจัดสัมมนาสำหรับผู้บริหาร Property Report Congress Thailand 2016 โดย มีเป็นการจัดงานในช่วงเช่า-บ่าย ก่อนงานกาลาดินเนอร์ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญชั้นนำทั้งในและต่างประเทศอย่าง JLL ของคุณสุพินท์ มีชูชีพ ในฐานะนักออกแบบที่โดดเด่น คุณโธมัส เลสเซอร์ แห่งเลสเซอร์อาชิเธคเจอร์ รวมไปถึงกระบวนการตัดสิน นำโดยคุณเคลย์ตัน เวด กรรมการผู้จัดการพรีเมียร์โฮม ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการตัดสิน และวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจากไทยและต่างชาติอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง ข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อได้ที่ info@asiapropertyawards.com หรือเข้าเยี่ยมชมเว็ปไซต์ AsiaPropertyAwards.com/thailandpropertyawards/ สำหรับรายชื่อผู้ได้รับรางวัลชนะเลิศและรางวัลชมเชยของการประกาศรางวัลไทยแลนด์พรอเพอร์ตี้อวอร์ดครั้งที่ 11 ปี 2016 ได้แก่ DEVELOER Best Developer Winner: MQDC Magnolia Quality Development Corporation   Best Boutique Developer Winner: Siamese Asset Co., Ltd. Highly Commended: Global Top Group Co., Ltd. Highly Commended: Lucky Living Properties Co., Ltd.   Best Green Development Winner: Whizdom Avenue Ratchada – Ladprao by MQDC Magnolia Quality Development Corporation   Special Recognition in CSR Winner: Sansiri PLC   Special Recognition in Sustainable Development Winner: MQDC Magnolia Quality Development Corporation   BEST OF THE BEST Best Commercial Development (Thailand) Winner: Siam Discovery by Siam Piwat Co., Ltd.   Best Villa Development (Thailand) Winner: MahaSamutr by PACE Development   Best Condo Development (Thailand) Winner: The Residences at Mandarin Oriental, Bangkok by MQDC Magnolia Quality Development Corporation   DEVELOPMENT   Best Ultra Luxury Condo Development (Bangkok) Winner: The Residences at Mandarin Oriental, Bangkok by MQDC Magnolia Quality Development Corporation Highly Commended: Marque Sukhumvit by Major Residences Company Limited   Best Luxury Condo Development (Bangkok) Winner: Magnolias Waterfront Residences at ICONSIAM by MQDC Magnolia Quality Development Corporation Highly Commended: Saladeang One by SC Asset Corporation PLC   Best Low-Rise High End Condo Development (Bangkok) Winner: LIV@49 by Lucky Living Properties Co., Ltd.    Best High-Rise High End Condo Development (Bangkok) Winner: Menam Residences by Menam Residences Co., Ltd. Highly Commended: Whizdom Avenue Ratchada – Ladprao by MQDC Magnolia Quality Development Corporation   Best Low-Rise Affordable Condo Development (Bangkok) Winner: Villa Lasalle Sukhumvit 105 by Origin Property Public Company Limited Highly Commended: Proud III Condominium by Tri Property Co., Ltd.   Best High-Rise Affordable Condo Development (Bangkok) Winner: Whizdom Station Ratchada – Thapra by MQDC Magnolia Quality Development Corporation Limited Highly Commended: Knightsbridge Sky River Ocean by Origin Property Public Company Limited Highly Commended: The Stage Taopoon Interchange by Real Asset Development Co., Ltd.   Best Housing Development (Bangkok) Winner: 749 Residence by Pannaphat Development Co., Ltd. Highly Commended: Setthasiri Charan – Pinklao by Sansiri PLC Highly Commended: VILLAZZO 10 by A-List Development   Best Condo Development (Phuket) Winner: Twinpalms Residences MontAzure by MontAzure Highly Commended: Saturdays Residence by The Attitude Club Co., Ltd. Highly Commended: The Beachfront Oceanfront Condos and Villas by Blue Horizon Developments   Best Residential Development (Phang Nga/Krabi) Winner: The Cleat Condominium by Krabi Boat Lagoon Co., Ltd. Highly Commended: Phu Dahla Residences by Phu Petra Development Co., Ltd.   Best Villa Development (Eastern Seaboard) Winner: Baan Dusit by Dusit Group   Best Luxury Condo Development (Eastern Seaboard) Winner: The Riviera Wongamat Beach by The Riviera Group Highly Commended: Aeras Condominium by The Urban Property Highly Commended: One Tower Pratumnak by 1 Group Development   Best Affordable Condo Development (Eastern Seaboard) Winner: Dusit Grand Park by Dusit Group Highly Commended: The Cloud by Global Top Group   Best Residential Development (Hua Hin) Winner: La Bua Resort & Residence by Nordic Home Co., Ltd. Highly Commended: Falcon Hill by Falcon Hill Development Limited Highly Commended: Smart House Valley Development by Suppagarn Real Estate Service Co., Ltd.   Best Luxury Villa Development (Hua Hin) Winner: MahaSamutr by PACE Development   Best Residential Development (Chiang Mai) Winner: Astra Condo by North Home Co Ltd Highly Commended: The Spring Condominium by NTS Property Co., Ltd.   Best Residential Development (Samui) Winner: UniQue by Q71 Development Co., Ltd. Highly Commended: Azur by Beach Republic Group Highly Commended: Villa Karpe Diem by Sea Bright View Limited   Best Hotel Development Winner: Avani Riverside Bangkok Hotel by Minor Hotels   Best Community Retail Development Winner: theCOMMONS by The Commons Co., Ltd.   Best Retail Development Winner: Siam Discovery by Siam Piwat Co., Ltd.   DESIGN Best Residential Architectural Design Winner: MahaSamutr by PACE Development Highly Commended: Magnolias Waterfront Residences at ICONSIAM by MQDC Magnolia Quality Development Corporation Highly Commended: The Residences at Mandarin Oriental, Bangkok by MQDC Magnolia Quality Development Corporation Highly Commended: VILLAZZO 10 by A-List Development   Best Residential Interior Design Winner: The Residences at Mandarin Oriental, Bangkok by MQDC Magnolia Quality Development Corporation Highly Commended: Best Western Premier BayPhere Pattaya by Habitat Group Co., Ltd. Highly Commended: Magnolias Waterfront Residences at ICONSIAM by MQDC Magnolia Quality Development Corporation Highly Commended: X2 Vibe Pattaya SeaPhere by Habitat Group Co., Ltd.   Best Landscape Architectural Design Winner: Avani Riverside Bangkok Hotel by Minor Hotels Highly Commended: Hyde Sukhumvit 11 by Grande Asset Hotels & Property Public Company Limited Highly Commended: LIV@49 by Lucky Living Properties Co., Ltd. Highly Commended: VILLAZZO 10 by A-List Development   Best Hotel Architectural Design Winner: Avani Riverside Bangkok Hotel by Minor Hotels   Best Hotel Interior Design Winner: Avani Riverside Bangkok Hotel by Minor Hotels   Best Retail Architectural Design Winner: theCOMMONS by The Commons Co., Ltd. Highly Commended: Whizdom 101 by MQDC Magnolia Quality Development Corporation   PUBLISHER’S CHOICE   Real Estate Personality of the Year Dr. Suriya Poolvoralaks Managing Director, Major Development PCL
MQDC คว้า 8 รางวัลจากงาน ไทยแลนด์ พร็อพเพอร์ตี้ อวอร์ดส์ 2016

MQDC คว้า 8 รางวัลจากงาน ไทยแลนด์ พร็อพเพอร์ตี้ อวอร์ดส์ 2016

กรุงเทพฯ, 26 กันยายน 2559 – MQDC แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น ประสบความสำเร็จสูงสุดจากงาน ไทยแลนด์ พร็อพเพอร์ตี้ อวอร์ดส์ 2016 โดยคว้า 8 รางวัลชนะเลิศ รวมถึงรางวัล Best Developer อันทรงเกียรติ พร้อมรับอีก 5 รางวัลชมเชย  จากการประกาศรางวัลทั้งหมด 33 รายการของการประกวดซึ่งจัดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ รางวัลที่ MQDC ได้รับมีทั้งรางวัลในระดับองค์กรและโครงการ รวมทั้งรางวัลที่สะท้อนความเป็นมืออาชีพในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น รางวัลผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ดีเด่น รางวัลด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน ด้านการดูแลสิ่งแวดล้อม ด้านโครงการระดับท็อปของความหรูหรา โครงการหรูหรา และโครงการที่อยู่อาศัยแนวสูงราคาปานกลาง รวมทั้งรางวัลด้านการออกแบบสถาปัตยกรรม การออกแบบภายใน และการอออกแบบศูนย์การค้า MQDC แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่นเป็นบริษัทในเครือดีทีจีโอ คอร์ปอเรชั่น   MQDC เน้นการพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยว และคอนโดมีเนียม ที่ให้ความสำคัญกับแนวคิดในการก่อสร้างที่มีคุณภาพโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ เลือกใช้วัสดุชั้นดี การออกแบบที่พิถีพิถันสอดรับลงตัวกับไลฟ์สไตล์ทุกรูปแบบ และสนับสนุนการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ทางบริษัทฯ ยังให้ความสำคัญกับการเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมสร้างโลกที่น่าอยู่ยิ่งขึ้น ด้วยการออกแบบที่ใส่ใจธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมกับนำนวัตกรรมใหม่ๆ มาปรับใช้ในการสร้างสรรค์โครงการเพื่อสังคมและร่วมอนุรักษ์โลก รางวัลชนะเลิศ: MQDC Best Developer Special Recognition in Sustainable Development แมกโนเลียส์ วอเตอร์ฟร้อนธ์ เรสซิเดนซ์  แอท ไอคอนสยาม Best Luxury Condo Development (Bangkok) เดอะ เรสซิเดนซ์ แอท แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ Best Residential Interior Design Best Condo Development (Thailand) Best Ultra Luxury Condo Development (Bangkok) วิสซ์ดอม อเวนิว รัชดา-ลาดพร้าว Best Green Development วิสซ์ดอม สเตชั่น รัชดา-ท่าพระ Best High-rise Affordable Condo Development (Bangkok) รางวัลชมเชย: แมกโนเลียส์ วอเตอร์ฟร้อนธ์ เรสซิเดนซ์  แอท ไอคอนสยาม Best Residential Architectural Design Best Residential Interior Design เดอะ เรสซิเดนซ์ แอท แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ Best Residential Architectural Design วิสซ์ดอม อเวนิว รัชดา-ลาดพร้าว Best High-rise High End Condo Development (Bangkok) วิสซ์ดอม 101 Best Retail Architectural Design
เจ.เอส.พี. พร้อมลุยโค้งสุดท้ายปี 59 ไม่หวั่นภาคอสังหาฯ แข่งเดือด เตรียมยกขบวน 11 โครงการใน 6 ทำเลคุณภาพ ออกบูธงานมหกรรมบ้านฯ ครั้งที่ 35 หวังส่งมอบของดี ราคา โดนใจ ให้กับลูกค้า

เจ.เอส.พี. พร้อมลุยโค้งสุดท้ายปี 59 ไม่หวั่นภาคอสังหาฯ แข่งเดือด เตรียมยกขบวน 11 โครงการใน 6 ทำเลคุณภาพ ออกบูธงานมหกรรมบ้านฯ ครั้งที่ 35 หวังส่งมอบของดี ราคา โดนใจ ให้กับลูกค้า

บริษัท เจ.เอส.พี.พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ JSP พร้อมลุยโค้งสุดท้ายปี2559 ไม่หวั่นภาคอสังหาฯ แข่งเดือด มั่นใจรายได้ครึ่งปีหลังโตกว่าในครึ่งปีแรก เตรียมยกขบวน 11 โครงการกับ 6 ทำเลคุณภาพ ออกบูธงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 35 ในวันที่ 6-9 ตุลาคมนี้ หวังส่งมอบที่อยู่อาศัยคุณภาพดี ราคา โดนใจให้กับลูกค้า นายธีระชาติ มโนธรรมรักษา รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจ.เอส.พี.พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ JSP เปิดเผยว่า “แนวโน้มภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ในครึ่งปีหลัง นี้แม้จะดูไม่หวือหวามากนัก  แต่สำหรับบริษัท เจ.เอส.พี. ยังค่อนข้างไปได้สวย เนื่องจากเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าแบบแมส(Mass) ซึ่งยังจัดเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่มีความต้องการซื้อสูงอยู่ในปัจจุบัน อีกทั้งบริษัทฯ ยังมีข้อได้เปรียบในเรื่องของราคา คุณภาพสินค้า และด้านทำเล จนทำให้ได้รับความเชื่อมั่นจากธนาคารชั้นนำต่าง ๆ กว่า10 ธนาคาร ที่ร่วมเป็นพันธมิตร และยกระดับการให้วงเงินสินเชื่อและอัตราดอกเบี้ยในแบบพิเศษ จึงทำให้โอกาสการกู้ผ่านของลูกค้าง่ายขึ้น” โครงการทุกโครงการในกลุ่มบริษัท เจ.เอส.พี. มีจุดแข็งในด้านศักยภาพของทำเลที่ตั้ง  คือทุกโครงการจะติดถนนใหญ่ มีการคมนาคมสะดวก ใกล้ส่วนต่อขยายของรถไฟฟ้าบีทีเอสและเอ็มอาร์ที และอยู่ในแหล่งชุมชนที่มีสาธารณูปโภคเข้าถึงอย่างครบครัน รวมทั้งด้านการออกแบบบริษัทฯ ยังคำนึงถึงไลฟ์สไตล์ของลูกค้าผู้อยู่อาศัยเป็นหลัก เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าและประโยชน์สูงสุดแก่ลูกค้า ซึ่งได้มีการปรับโครงการฯ ให้เป็นลักษณะมิกซ์ยูส(Mixed use)  เพื่อเพิ่มความหลากหลาย และช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้อยู่อาศัยมากขึ้น ที่สำคัญคือทุกโครงการของเจ.เอส.พี. ราคาคุ้มค่าที่สุดเมื่อเทียบกับโครงการในละแวกเดียวกัน อีกทั้งคุณภาพด้านงานก่อสร้างยังได้มาตรฐานเทียบเท่ากับค่ายใหญ่รายอื่น ๆ และในช่วงเดือนตุลาคม 2559 นี้ ทางบริษัทฯ จึงได้ตั้งใจนำ 11 โครงการ ไปร่วมออกบูธในงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 35 พร้อมจัดโปรโมชั่นสุดประทับใจ เพื่อเตรียมส่งมอบความคุ้มค่าแก่ลูกค้า นายธีระชาติ กล่าวต่อว่า ด้าน 11 โครงการที่ทางบริษัทเจ.เอส.พี. จะนำไปออกบูธในงานมหกรรมบ้านและคอนโดครั้งที่ 35 นี้ ได้แก่ โครงการสำเพ็ง 2 อาณาจักรค้าปลีกส่ง แห่งใหม่ ใหญ่ที่สุดในย่านฝั่งธน ราคาเริ่มต้น 5.49 ล้านบาท, โครงการไมอามี่ คอนโด บางปู คอนโดติดรถไฟฟ้า ติดทะเล แห่งเดียวในไทย ราคาเริ่มต้น 899,000 บาท, โครงการทิวลิป สแควร์ คอนโดสไตลส์ยุโรปสุดหรู ติดช้อปปิ้งมอลล์ และสถานที่ท่องเที่ยว ราคาเริ่มต้น 799,000 บาท, โครงการJcondo สาทร - กัลปพฤกษ์  คอนโดสูง25 ชั้น วิว 360องศา ใกล้สถานีรถไฟฟ้าวุฒากาศ ราคาเริ่มต้น 1.39 ล้านบาท, โครงการJ villa สุขุมวิท - แพรกษา ทาวโฮมและอาคารพาณิชย์ รองรับครอบครัวใหญ่ติดโรงเรียนสารวิเทศน์ สมุทรปราการ ราคาเริ่มต้น 1.799 ล้านบาท และโครงการ JSP city บางปะกง - บ้านโพธิ์ ทาวน์โฮมและอาคารพาณิชย์ ทำเลเด่นติดถนนใหญ่ใกล้แหล่งงานและนิคมอุตสาหกรรม ราคาเริ่มต้น 1.69 ล้านบาท,  โครงการ JSP city รังสิต คลอง 1 ทาวน์โฮม และอาคารพาณิชย์ ทำเลดีที่สุดในย่าน ติดถนนใหญ่ใกล้รถไฟฟ้า สายสีแดง และ จุดขึ้นลงทางด่วน ราคาเริ่มต้น 1.885 ล้านบาท, รวมทั้งโครงการน้องใหม่ล่าสุด ได้แก่ โครงการJ condo พระราม 2 ติดเซ็นทรัลพระราม2 ใกล้จุดขึ้นลงทางด่วน ราคาเริ่มต้นเพียง 1.29 ล้านบาท, โครงการJ city ติวานนท์-บางกระดี ทาวน์โฮมและบ้านแฝด River View ราคาเริ่มต้น 2.29 ล้านบาท, โครงการJ Grand สาทร – กัลปพฤกษ์ ทาวน์โฮม 3 ชั้น สไตล์แพ้นเฮาส์ทำเลดีที่สุด ราคาเริ่มต้น 3.89 ล้านบาท, โครงการJ city รัตนธิเบศร์-บางบัวทอง ทาวน์โฮมใหม่ ใจกลางแหล่งชุมชน  ติดถนนใหญ่ ใกล้รถไฟฟ้าสายสีม่วง ราคาเริ่มต้น 2.59 ล้านบาท ซึ่งทั้ง 11 โครงการดังกล่าวจะถูกเสริมทัพด้วยโปรโมชั่นของแถมพิเศษเป็น Gift Voucher Homepro มูลค่ากว่า 10,000 บาท แจกฟรีสำหรับลูกค้าที่จองในงาน พร้อมขบวนส่วนลดอีกมากมาย ซึ่งผู้กำลังมองหาซื้อบ้านและคอนโดต้องไม่พลาด อย่างไรก็ตามนายธีระชาติ กล่าวถึงการร่วมออกบูธในงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 35 นี้ว่าจะสามารถช่วยกระตุ้นยอดขายให้เป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้ได้ และมั่นใจว่าจากแผนการดำเนินงานในครึ่งปีหลังนี้ เชื่อว่ารายได้จะเติบโตกว่าครึ่งปีแรกแน่นอน “โอกาสดีสำหรับผู้กำลังมองหาซื้อบ้านและที่อยู่อาศัยในราคาที่คุ้มค่ามาถึงแล้ว เปิดโอกาสให้เจ.เอส.พี. ได้เป็นหนึ่งโครงการในใจลูกค้าสำหรับการตัดสินใจเลือกซื้อบ้านที่ดีที่สุด โดยพบกับ 11 โครงการ และ 6 ทำเลคุณภาพของเจ.เอส.พี. ได้ในงานมหกรรมบ้านและคอนโดฯ ครั้งที่35 ระหว่างวันที่ 6-9 ตุลาคม 2559 ตั้งแต่เวลา 10.00 – 20.00 น. ที่บูธJ.S.P. โซน C2 บูธเลขที่ C200 - C203 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ หรือ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 1173” นายธีระชาติ กล่าวทิ้งท้าย
‘เอพี’ ตอกย้ำผู้นำทาวน์โฮมไฮเอ็นท์ในเมือง เปิดตัว “บ้านกลางเมือง คลาสเซ่ เอกมัย – รามอินทรา” ซูเปอร์ลักชัวรี่วิลล่า 3 ชั้นโครงการแรกในเมืองไทย ผสานนวัตกรรมดิจิตอลลิฟวิ่งล้ำสมัย ยกระดับการใช้ชีวิตไปอีกขั้น มูลค่าโครงการรวม 2,560 ล้านบาท

‘เอพี’ ตอกย้ำผู้นำทาวน์โฮมไฮเอ็นท์ในเมือง เปิดตัว “บ้านกลางเมือง คลาสเซ่ เอกมัย – รามอินทรา” ซูเปอร์ลักชัวรี่วิลล่า 3 ชั้นโครงการแรกในเมืองไทย ผสานนวัตกรรมดิจิตอลลิฟวิ่งล้ำสมัย ยกระดับการใช้ชีวิตไปอีกขั้น มูลค่าโครงการรวม 2,560 ล้านบาท

กรุงเทพฯ (21 ก.ย. 59) – วันนี้ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ สำหรับคนเมือง และผู้นำการสร้างสรรค์นวัตกรรมการดีไซน์เพื่อพื้นที่ใช้สอยที่ไม่จำกัด เปิดตัว “บ้านกลางเมือง คลาสเซ่” (Baan Klang Muang CLASSE) ซูเปอร์ลักชัวรี่วิลล่า 3 ชั้นโครงการแรกของวงการอสังหาฯ ไทย ผลิตภัณฑ์ล่าสุดเพื่อรุกตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบไตรมาส 4/2559 ของเอพี นำเสนอความต่างด้วยการพัฒนานวัตกรรมดีไซน์สุดล้ำภายใต้แนวคิด ‘Multiverse Layouts’ การออกแบบพื้นที่ที่คำนึงถึงรูปแบบการใช้ชีวิตในแนวตั้งและแนวนอนไปพร้อมๆ กัน สร้างมิติใหม่ให้กับพื้นที่ใช้สอยและการเชื่อมต่อระหว่างพื้นที่ 3 ชั้นได้อย่างไร้รอยต่อ ตอบสนองความต้องการใช้ชีวิตที่หลากหลายของคน 3 ช่วงวัยในครอบครัว มอบความเป็นที่สุดของการใช้ชีวิตหรูหรามีระดับ ผสมผสานกลมกลืนกับธรรมชาติในบรรยากาศส่วนตัว และการออกแบบพื้นที่ใช้สอยภายในบ้านที่เพิ่มเติมพื้นที่ให้สมาชิกในครอบครัวได้ใช้เวลาร่วมกันมากขึ้น มูลค่าโครงการรวม 2,560 ล้านบาท บ้านกลางเมือง คลาสเซ่ พร้อมเปิดตัวเป็นที่แรกกับ “บ้านกลางเมือง คลาสเซ่ เอกมัย - รามอินทรา” โดยในเฟสแรกพร้อมนำเสนอซูเปอร์ลักชัวรี่วิลล่า 3 ชั้น จำนวน 2 โมเดล ได้แก่ MONTE และ ETHNA สมบูรณ์พร้อมด้วย 5 ห้องนอน  6 ห้องน้ำ 2 ห้องนั่งเล่น พร้อมที่จอดรถ 3 คัน พื้นที่ใช้สอย 346-454 ตารางเมตร จำนวน 56 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 25 ล้านบาท เตรียมเปิดขายช่วง pre-sale วันที่ 5-6 พฤศจิกายนนี้ ณ เซลส์ แกลเลอรีโครงการ บมจ. เอพี ไทยแลนด์ประสบความสำเร็จอย่างสูงจนก้าวขึ้นเป็นผู้นำตลาดทาวน์โฮมไฮเอ็นท์ในเมืองอันดับหนึ่งของประเทศจากแบรนด์ “บ้านกลางเมือง” การบุกตลาดในครั้งนี้ นับเป็นการท้าทายวิธีคิดของเอพีในการพัฒนาพื้นที่ไปอีกขั้น ด้วยการต่อยอดแนวคิดในการออกแบบพื้นที่แนวตั้งไปสู่ที่อยู่อาศัยรูปแบบซูเปอร์ลักชัวรี่วิลล่าสามชั้น “บ้านกลางเมือง คลาสเซ่ เอกมัย - รามอินทรา” จัดเป็นโครงการแรกที่เอพีนำวิสัยทัศน์การใช้ชีวิตแบบ ‘Digital Community’ มาใช้จริงอย่างเป็นรูปธรรมเป็นครั้งแรกของวงการอสังหาฯ ไทย โดย AP Digital Community จะเข้ามาส่งเสริมให้รูปแบบการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่เปลี่ยนไป ผ่านการสอดผสานเทคโนโลยีล้ำสมัย เข้ากับแนวคิด IoT (Internet of Things) ที่ว่าระบบและอุปกรณ์ต่างๆ สามารถสื่อสารถึงกันได้ โดยมีเป้าหมายคือช่วยกันทำงาน เพื่อให้รูปแบบการใช้ชีวิตสะดวกสบายและปลอดภัยยิ่งขึ้น โดยเอพีได้วางระบบสมองกลอัจฉริยะไว้เป็นคีย์สำคัญที่ควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ทุกชิ้นภายในบ้านให้สามารถสื่อสารและประมวลผลร่วมกัน รวมถึงการผสานนวัตกรรมระบบสั่งการด้วยเสียง ที่นอกจากจะควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าผ่านเสียงแล้ว ระบบนี้ยังทำงานร่วมกับสมองกลอัจฉริยะที่พัฒนาขั้นสูงไปจนถึงคิดคำนวณและตอบโต้กับเจ้าของบ้านได้อีกด้วย หรือระบบตรวจจับความเคลื่อนไหวที่ชาญฉลาดมากขึ้น ตอบโจทย์พฤติกรรมการใช้ชีวิตของผู้อยู่อาศัยจริงได้อย่างน่าทึ่ง ช่วยให้ชีวิตของลูกบ้านเอพีสะดวกสบายและมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น นายภมร ประเสริฐสรรค์ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาธุรกิจบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) เผยว่า “เอพีประสบความสำเร็จในการริเริ่มบุกเบิกตลาดทาวน์โฮมไฮเอ็นท์ โลเคชั่นใจกลางเมืองเป็นเจ้าแรกในประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันเป็นเบอร์ 1 ของตลาดทั้งในแง่สัดส่วนยอดขายและจำนวนโครงการ จากความสำเร็จดังกล่าวการันตีได้ถึงความโดดเด่นด้านแนวคิดของ ‘การดีไซน์พื้นที่’ ที่สร้างความแตกต่างให้กับการอยู่อาศัย ซึ่งในการสร้างความแตกต่างเราไม่ได้พิจารณาเฉพาะการแข่งขันในตลาด แต่เราคำนึงถึงการ-ท้าทายตัวเราเอง นั่นคือการก้าวข้ามขีดจำกัดและศักยภาพของตัวเราเองด้วย การเปิดตัว ‘บ้านกลางเมือง คลาสเซ่ เอกมัย - รามอินทรา’ในครั้งนี้ จึงนับเป็นการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของการพัฒนาโครงการแนบราบของเอพี ด้วยแบรนด์ทาวน์โฮมไฮเอ็นท์ ที่มีศักยภาพแข็งแกร่งเป็นที่น่าเชื่อถือของผู้บริโภคอย่าง ‘บ้านกลางเมือง’ จึงการันตีได้ถึงคุณภาพและแนวคิดฉีกกรอบภายใต้ปรัชญาการทำงาน ‘AP – The Differentiator’ หรือเอพีผู้สร้างความแตกต่างให้วงการอสังหาริมทรัพย์ไทย” “การที่เอพีบุกตลาดซูเปอร์ลักชัวรี่วิลล่า (ระดับราคาขาย 20 ล้านบาทขึ้นไป) ในโซนเอกมัย - รามอินทรานับว่าเป็นทำเลที่มีจำนวนดีมานด์และมียอดขายดีมาอย่างต่อเนื่อง จากการสำรวจซับพลาย์กลุ่มสินค้าประเภทบ้านเดี่ยวทั้งตลาด พบว่า 93% หรือประมาณ 24,332 ยูนิต เป็นบ้านเดี่ยวที่อยู่ในกลุ่มราคาต่ำกว่า 15 ล้านบาท และอีก 6% หรือประมาณ 1,504 ยูนิต เป็นบ้านเดี่ยวกลุ่มระดับราคา 20 ล้านบาทขึ้นไป และเมื่อศึกษาเข้าไปถึงทำเลที่ตั้งพบว่าจาก 6% นั้นมีเพียงแค่ 3 โครงการ หรือประมาณ 50 ยูนิตเท่านั้นที่ตั้งอยู่ในเมือง (รัศมี 10 กิโลเมตรจากรถไฟฟ้าจตุจักร) ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงช่องว่างทางการตลาดที่จำนวนซับพลาย์เกิดใหม่ยังมีไม่มาก ขณะที่ความต้องการที่อยู่อาศัยยังคงกระจุกตัวอยู่ในเขตเมือง” นายภมรกล่าว โดยนายภมรยังกล่าวถึงแนวคิดการออกแบบโครงการ “บ้านกลางเมือง คลาสเซ่” ภายใต้นวัตกรรม Multiverse Layouts ซึ่งเป็นวิธีคิดในการออกแบบพื้นที่แนวตั้งและแนวนอนพร้อมกัน ก่อให้เกิดมิติด้านพื้นที่ใช้สอยและการใช้งานที่เชื่อมต่อระหว่างพื้นที่ 3 ชั้น อีกทั้งยังสร้างความต่อเนื่องของสเปซภายนอกบ้านสู่ภายในบ้าน ตอบสนองความต้องการใช้ชีวิตที่หลากหลายของคน 3 ช่วงวัยในครอบครัว ซึ่งประกอบด้วย 5 แนวคิดหลัก ดังนี้ Multi-Dimension Space "เชื่อมต่อทุกมิติชีวิตให้เป็นหนึ่งเดียว" เพิ่มประสบการณ์รวมถึงการใช้พื้นที่หลากกิจกรรมบนพื้นที่เดียวกัน เช่น ห้องนั่งเล่นชั้น 1 (Veranda Atrium) พื้นที่พักผ่อนที่มีดีไซน์เชื่อมต่อในแนวตั้งด้วยเพดานสูง 5 เมตร และการเชื่อมต่อพื้นแนวนอนสู่สวนด้านหน้า และดีไซน์ความเป็นส่วนตัวโดยเพิ่มทางเข้าบ้าน 3 แบบ โดยสามารถเข้าจากห้องรับแขก จากห้องเตรียมอาหาร หรือบันไดหน้าบ้านสู่ห้องนั่งเล่นชั้น 2 ซึ่งประสบการณ์ที่ได้จะแตกต่างกันทั้งหมด Perceptual Space "ขยายขอบเขตของบ้านให้ใหญ่ขึ้น" การออกแบบบ้านโดยไม่มีการทิ้งพื้นที่ให้เปล่าประโยชน์ เชื่อมพื้นที่หน้าบ้านและสวนมาเป็นส่วนหนึ่งของห้องภายใน ที่เสมือนการขยายขอบเขตของพื้นที่ห้องออกไปด้านนอก เช่น ห้องรับประทานอาหารสามารถเชื่อมมุมมองออกไปยังสวนหลังบ้านจนถึงแนวกำแพงบ้าน รวมถึงห้องรับแขกที่สามารถเชื่อมการใช้พื้นที่ออกไปยังลานเอนกประสงค์จนถึงแนวรั้วต้นไม้ Outside-In Space "พื้นที่สวนเดียวหลายมุมมอง" ที่บริเวณชั้น 3 ของบ้าน โดยสวนเล็กๆ นี้ได้ถูกออกแบบเป็น Courtyard และยังได้รับการออกแบบให้อยู่ในตำแหน่งที่มองเห็นได้จากทุกชั้นภายในบ้าน รวมถึงสามารถมองต่อเนื่องขึ้นมาจากบริเวณโถงสูงของห้องรับแขก Height Ceiling เป็นพื้นที่ต่อเนื่องทางตั้ง นอกจากมุมมองที่เป็นเอกลักษณ์แล้ว สวนนี้ยังทำหน้าที่เป็นช่องแสง และช่วยเพิ่มการระบายอากาศภายในได้ เรียกได้ว่าเป็นสเปซที่ให้ความสำคัญกับความสงบ และความเป็นส่วนตัวไปพร้อมๆ กัน Three Generational Space “พื้นที่ที่คำนึงถึงรูปแบบการใช้งานที่หลากหลาย” เชื่อมความสัมพันธ์ของคน 3 ช่วงวัย คือ รุ่นปู่ย่า/ตายาย รุ่นพ่อแม่ และรุ่นลูก โดยทุกคนในครอบครัวมีพื้นที่ในการทำกิจกรรมร่วมกันมากขึ้น เปลี่ยนแนวคิดด้านข้อจำกัด ทำให้พื้นที่ตรงนี้กลายเป็นพื้นที่เชื่อมสายใยรัก ความอบอุ่น แต่ยังคงความเป็นส่วนตัวของคนในครอบครัว อาทิ Patio Family Living ห้องนั่งเล่นของครอบครัวที่ ชั้น 2 ของบ้าน โดยเพิ่มเอกลักษณ์และความเป็นส่วนตัวด้วยการเชื่อมบันไดหน้าบ้านตรงสู่ห้องนั่งเล่น    และการออกแบบที่คำนึงถึงผู้สูงอายุเป็นหลัก อาทิ ห้อง Sanctuary Unit ห้องนอนผู้สูงอายุชั้น 1 พร้อมพื้นลดแรงกระแทก (absorption floor) และราวจับในห้องน้ำ Convertible Space “การออกแบบพื้นที่ที่สามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานได้หลากหลาย” ประโยชน์ใช้สอยเต็มพื้นที่ ฉีกกรอบคำจำกัดความแบบเดิม ยกตัวอย่าง พื้นที่เตรียมอาหารขนาดใหญ่ (Dining Terrain) ทำให้เกิดมุมมองที่โปร่ง แปลกตา จากที่จอดรถที่ไม่เป็นผนังทึบ กลายเป็นลาน-เอนกประสงค์สำหรับจัดงานสังสรรค์เล็กๆ สำหรับครอบครัวและกลุ่มเพื่อนได้อีกด้วย “บ้านกลางเมือง คลาสเซ่ เอกมัย - รามอินทรา” ตั้งอยู่ถนนสุคนธสวัสดิ์ 19 มีจำนวนทั้งสิ้น 156 ยูนิต มูลค่าโครงการ 2,560 ล้านบาท วางการเปิดขายเป็น 2 เฟส ได้แก่ เฟสที่ 1 จำนวน 56 ยูนิต (เปิดพรีเซล 5-6 พ.ย. นี้) และเฟสที่ 2 จำนวน 100 ยูนิต (คาดว่าจะเปิดขายช่วงต้นปี 2560) โครงการได้รับการพัฒนาบนที่ดินขนาด 32.3 ไร่ ในทำเลเชื่อมต่อย่านธุรกิจใจกลางเมือง แวดล้อมไปด้วยแหล่งแฮงค์เอาท์ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ครอบครัวคนเมือง อาทิ เซ็นทรัล อีสต์วิลล์, CDC และเดอะ วอล์ค เป็นต้น สะดวกต่อการเดินทางเข้าออกเมืองและใช้ชีวิตของสมาชิกในครอบครัว โดยในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา เราเปิดตัวโครงการแนบราบไปแล้ว 8 โครงการ มูลค่ารวม 6,550 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยว 4 โครงการ มูลค่า 4,010 ล้านบาท และทาวน์โฮม 4 โครงการ มูลค่า 2,540 ล้านบาท ยอดขายโครงการแนวราบ (ณ วันที่ 15 กันยายน) รวม 9,745 ล้านบาท และมีสินค้าแนวราบรอรับรู้รายได้รวมมูลค่า 5,685 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ทั้งหมดภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งจากการเปิดโครงการใหม่ และกระแสตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่องทำให้บริษัทฯ มีความมั่นใจยอดขายโครงการแนวราบปีนี้จะทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ คือ เป้ายอดขายโครงการแนวราบ 14,500 ล้านบาท” นายภมรกล่าว นอกจากนี้ ในช่วง 4 เดือนสุดท้าย เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ 6 โครงการ มูลค่ารวม 6,400 ล้านบาท แบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 5 โครงการ มูลค่า 3,840 ล้านบาท และบ้านกลางเมือง คลาสเซ่ เอกมัย – รามอินทรา 1 โครงการ มูลค่ารวม 2,560 ล้านบาท บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) คือ ผู้นำด้านการปฏิวัติออกแบบพื้นที่ใช้สอยที่อยู่อาศัย ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย มุ่งมั่นสร้างสรรค์อย่างมีสำนึกรับผิดชอบ ด้วยผลิตภัณฑ์อสังหาริมทรัพย์และบริการที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพ ตั้งแต่การดีไซน์ที่โดดเด่นด้วยพื้นที่ใช้สอยที่สะดวกสบาย ทำเลที่ดีเยี่ยม รวมไปถึงคุณภาพในการก่อสร้าง การบำรุงรักษา บริการหลังการขาย และบริการขาย/ให้เช่า ทั้งนี้เพื่อให้เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ภายใต้แบรนด์เอพีได้ใช้ชีวิตที่ดีที่สุดและเติมเต็มความสุขในแบบที่ตนปรารถนา “เอพี ไทยแลนด์ กล้าที่จะแตกต่าง ผู้นำด้านนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัย – ทุกพื้นที่ชีวิตเราคิดเพื่อคุณ”