Tag : News

2400 ผลลัพธ์
เปิดประตูสู่ The Biggest Arena of Lifestyle Experiments สยามพิวรรธน์พร้อมเปิด ‘สยามดิสคัฟเวอรี่’ 28 พฤษภาคมนี้

เปิดประตูสู่ The Biggest Arena of Lifestyle Experiments สยามพิวรรธน์พร้อมเปิด ‘สยามดิสคัฟเวอรี่’ 28 พฤษภาคมนี้

กรุงเทพฯ (16 พฤษภาคม 2559) – บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด เจ้าของและผู้บริหารโครงการที่มีชื่อเสียงระดับโลก เช่น สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่ พาราไดซ์พาร์ค และเป็นหนึ่งในพันธมิตรเจ้าของ ไอคอนสยาม อภิมหาโครงการเมืองแห่งการใช้ชีวิตสู่โลกอนาคต ประกาศวันนี้ว่า “สยามดิสคัฟเวอรี่ พร้อมแล้วที่จะเปิดประตูให้คนรุ่นใหม่หัวใจแรงได้เข้าสู่สนามประลองพลังอำนาจแห่งความคิดสร้างสรรค์ ในวันที่ 28 พฤษภาคม 2559 นี้เป็นต้นไป โดยสยามดิสคัฟเวอรี่จะกลายเป็นไลฟ์สไตล์สเปเชี่ยลตี้สโตร์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย สร้างเป็นปรากฏการณ์ใหม่บันทึกประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญของวงการค้าปลีก หลังจากพลิกเกมส์ครั้งยิ่งใหญ่ด้วยเงินลงทุน 4,000 ล้านบาท” สยามพิวรรธน์เตรียมทุ่มงบประมาณ 300 ล้านบาท จัดงานเปิดสยามดิสคัฟเวอรี่ พร้อมจัดโปรโมชั่นและกิจกรรมเฉลิมฉลองยิ่งใหญ่เหนือจินตนาการ โดยตั้งเป้าช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทย เสริมความแข็งแกร่งและ  ตอกย้ำเสน่ห์ของกรุงเทพฯ ในฐานะศูนย์กลางการค้าปลีกของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) และช่วยให้กรุงเทพฯ เป็นจุดหมายปลายทางด้านการช้อปปิ้งยอดนิยมของชาวโลก นายชาญชัย เชิดชูวงศ์ธนากร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส สายงานพัฒนาธุรกิจค้าปลีก บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด เปิดเผยว่า “สยามดิสคัฟเวอรี่โฉมใหม่เป็นการเปิดตัวคอนเซ็ปต์ค้าปลีกรูปแบบใหม่ ที่ไม่เคยมีมาก่อนในประเทศไทย เป็นที่สุดของจุดหมายปลายทางในรูปแบบไฮบริดรีเทลแห่งแรกของประเทศไทย ครอบคลุมพื้นที่ 40,000 ตารางเมตร ซึ่งด้วยคอนเซ็ปต์ใหม่นี้ คาดว่ารายได้ต่อตารางเมตรของสยามดิสคัฟเวอรี่จะเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่า พร้อมกับตอกย้ำชื่อเสียงของสยามพิวรรธน์ในฐานะผู้นำความคิดสร้างสรรค์ที่ล้ำสมัยในวงการค้าปลีกของประเทศไทย ผู้เนรมิตจุดหมายปลายทางที่เป็นปรากฏการณ์ใหม่ของวงการซึ่งแข่งขันได้กับจุดหมายปลายทางที่เป็นสุดยอดของโลก” สยามดิสคัฟเวอรี่ - The Exploratorium จะเป็น The Biggest Arena of Lifestyle Experiments ที่เปรียบเสมือนสนามทดลองพลังอำนาจแห่งความคิดสร้างสรรค์อันยิ่งใหญ่ ที่เต็มไปด้วยประสบการณ์สุดตื่นเต้นเร้าใจ เชิญชวนทุกคน ‘มาเล่นสนุกด้วยกัน’! โดยมอบพลังอำนาจในการสร้างสรรค์สไตล์ของตัวเองให้กับผู้มาเยี่ยมเยือน เปิดโอกาสให้ทุกคนเข้ามาค้นหา ทดลองไอเดียใหม่ๆ และผสมผสานสไตล์ที่มีอยู่อย่างหลากหลายในสยามดิสคัฟเวอรี่ เพื่อค้นพบตัวตนที่แท้จริง โดยทุกมิติของการนำเสนอ ถูกเนรมิตให้ ‘เข้าถึงใจ’ ลูกค้ามากที่สุด นำเสนอโดยผสมผสานหลากหลายกลุ่มสินค้าตามเรื่องราวและความสนใจของผู้คน เพื่อความสะดวกสบายและความสนุกสนานในการค้นหา มอบพลังอำนาจความคิดสร้างสรรค์ให้กับลูกค้าสามารถเลือกมิกซ์แอนด์แมตช์ ทดลอง ปรับแต่ง พลิกแพลง และสร้างสรรค์สินค้าที่ซื้อ ให้เป็นไปตามความต้องการและรสนิยมเฉพาะตัวของแต่ละบุคคลได้ จากสินค้าที่มีอยู่มากกว่า 5,000 แบรนด์ ในทุกระดับราคาที่สามารถเข้าถึงได้ ทั้งแบรนด์ไทยและแบรนด์ระดับโลก แบรนด์ดังร่วมขบวนเปิดตัวครั้งแรกในโลก และเปิดตัวครั้งแรกในประเทศไทย นายชาญชัย กล่าวว่า “ประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นเร้าใจซึ่งเปิดโอกาสให้ทุกคนได้เข้ามาค้นหา ทดลองไอเดียใหม่ๆ  ได้ถูกนำเสนอกระจายตัวอยู่ทั่ว ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด 8 ชั้นของสยามดิสคัฟเวอรี่ โดยแต่ละชั้นมีชื่อเรียกแตกต่างกันไปตามสินค้าบริการและบุคลิกของแต่ละชั้น อาทิ ชั้น G เรียกว่า Her Lab นำเสนอแฟชั่นล้ำเทรนด์และบริการสุดพิเศษสำหรับสุภาพสตรี ชั้น M เรียกว่า His Lab ตอบโจทย์ทุกความต้องการของสุภาพบุรุษ ชั้น 1 เรียกว่า Street Lab นำเสนอสินค้าแนวสตรีทแฟชั่นที่คัดสรรมาอย่างดี ชั้น 2 เรียกว่า Digital Lab นำเสนอสินค้าที่เข้าถึงใจคนรุ่นใหม่ในยุคดิจิตอล ชั้น 3 เรียกว่า Creative Lab มอบแรงบันดาลใจและกระตุ้นให้เกิดความคิดสร้างสรรค์อย่างไม่รู้จบ และชั้น 4 เรียกว่า Play Lab นำเสนอมิติใหม่ของความสนุกสนานและเป็นสังคมของผู้คนที่มีไลฟ์สไตล์แบบเดียวกันมาแลกเปลี่ยน และแชร์ประสบการณ์ร่วมกันอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ส่วนชั้น 5 และชั้น 6 พื้นที่ส่วนใหญ่จะเป็น Virgin Active Fitness ทั้งนี้ มีแบรนด์หรือร้านค้าที่เป็นไฮไลท์ในหมวดหมู่สินค้าประเภทต่างๆ 5 ประเภท ได้แก่ 1) สินค้าของใช้ในชีวิตประจำวัน (Everyday Products) 2) สินค้านำเทรนด์ที่ก้าวล้ำทุกกระแสโลก (Trend Products) 3) สินค้าและบริการนวัตกรรมล่าสุด (Innovative Products & Services) 4) สินค้าที่ผลิตสร้างสรรค์จากแนวคิดใส่ใจสิ่งแวดล้อมและเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Products และ 5) สินค้าในรูปแบบคอลลาโบเรชั่น และสินค้าแอ๊ปโซลูทสยาม (Collaboration and Absolute Siam Products)” สินค้าของใช้ในชีวิตประจำวัน (Everyday Products) ที่ตอบสนองทุกความต้องการ อาทิ ร้าน O.D.S. (Object of Desire Store) มัลติแบรนด์โฮมเดคอเรทีฟสโตร์ที่รวบรวมสินค้าตกแต่งบ้านชื่อดัง โดยสยามดิสคัฟเวอรี่ ร่วมกับ กรมส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณิชย์ คัดสรรสินค้าและงานดีไซน์ที่โดดเด่นจากนักออกแบบที่ได้รับรางวัลด้านการออกแบบ อาทิ Demark นำเสนอกว่า 160 แบรนด์ พื้นที่กว่า 600 ตรม., ร้านลอฟท์ (Loft) โฉมใหม่กับคอนเซ็ปท์การออกแบบใหม่ล่าสุด เปิดตัวครั้งแรกในโลก ซึ่งออกแบบดีไซน์ตกแต่งร้านโดยเนนโดะดีไซเนอร์ชื่อดังของโลกร่วมกับทีมนักออกแบบฝีมือดีที่สุดของลอฟท์เจแปน นำเสนอสินค้าที่หลากหลาย ทั้งสเตชั่นแนรี่ สินค้าไอทีและแอคเซสเซอรี่ สินค้าเพื่อสุขภาพและความงาม รวมทั้งสินค้าไพรเวทแบรนด์ของลอฟท์ โดยสินค้าที่นำเข้าจากต่างประเทศจะเป็นสินค้าที่ส่งตรงจากประเทศญี่ปุ่นมากกว่า 80%, ไนกี้ แบรนด์กีฬายอดนิยม เปิด Nike คอนเซ็ปท์สโตร์ใหม่ล่าสุดแห่งแรกแห่งเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ครบครันด้วยสินค้าที่ครบไลน์ พร้อมคัดสินค้าที่เป็นเทคโลยีใหม่ล่าสุดมานำเสนอที่สยามดิสคัฟเวอรี่ก่อนที่อื่น และที่พิเศษคือมีบริการปักชื่อบนเสื้อหรือรองเท้าในแบบเฉพาะบุคคล และนวัตกรรมการเลือกบราสำหรับสาวรักการออกกำลังกาย, Barberford Noir นำเสนอบริการ grooming ที่ครบวงจรสำหรับสุภาพบุรุษ ทั้งตัดผม โกนหนวด ทำเล็บ และนวดหน้า เพื่อแปลงโฉมให้คุณผู้ชายกลายเป็นหนุ่มสุดเนี้ยบ นอกจากนี้ยังมี Skin Lab ที่คัดสรรแบรนด์สกินแคร์ น้ำหอม เครื่องสำอางสำหรับทั้งสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษมานำเสนออย่างครอบคลุม ตลอดจนสินค้า organic ที่เป็นทางเลือกสำหรับคนที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยผู้รู้จริงเรื่องสินค้าที่จะคอยให้คำแนะนำเสมือนเพื่อนแนะนำสิ่งดีๆ ให้กับเพื่อน อีกทั้งยังมีบริการพิเศษสำหรับลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการโดยเฉพาะ สินค้านำเทรนด์ที่ก้าวล้ำทุกกระแสโลก (Trend Products) อาทิ แบรนด์ Issey Miyake เปิดคอนเซ็ปท์ World of Issey Miyake นอกประเทศญี่ปุ่น เป็นครั้งแรกในโลก รวบรวมนำเสนอสินค้าแฟชั่น Issey Miyake ที่ครบไลน์มากที่สุด และยิ่งไปกว่านั้นจะมีสินค้า Issey Miyake สำหรับสุภาพบุรุษเป็นครั้งแรกในประเทศไทยด้วย, แบรนด์สินค้าตกแต่งบ้านยอดฮิตระดับโลก ที่มาแรงที่สุดในขณะนี้ ได้แก่ Hay, Tom Dixon และ Kartell เปิดคอนเซ็ปท์สโตร์แห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทย, Artist’s Design Products หรือ สินค้าที่ดีไซน์จากผลงานการออกแบบของศิลปินระดับโลกอย่าง Yayoi Kusama และ Lisa Larson แห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทย นำเสนอสินค้าหลากหลายโดนใจคนรักงานอาร์ท, ร้าน CAZH รวบรวมสินค้าแฟชั่นแนวแคชช่วลและสตรีทสไตล์หลายแบรนด์  โดยคัดสรรเฉพาะแบรนด์ยอดฮิตทั้งแบรนด์ไทยแบรนด์นอกโดยดีไซเนอร์ชั้นนำ พร้อมด้วยบริการพิเศษดีไซน์และตัดกางเกงยีนส์สำหรับทุกรูปร่างแบบเฉพาะบุคคล, ร้าน Pursuit มัลติแบรนด์สโตร์สำหรับสุภาพบุรุษที่จะเป็น Gentlemen Club ใจกลางเมือง แห่งล่าสุด นำเสนอสินค้าแฟชั่นสำหรับผู้ชายสไตล์หล่อเนี้ยบทุกเวลา พร้อมบริการตัดสูท เสื้อเชิ้ตแบบเทเลอร์เฉพาะตัวด้วยช่างฝีมือ, Hackett คอนเซ็ปท์สโตร์แห่งแรกในประเทศไทย แบรนด์แฟชั่นผู้ชายที่กำลังได้รับความนิยมจากประเทศอังกฤษ นำเสนอสินค้าครบไลน์สำหรับทุกลุคและทุกสไตล์การแต่งตัว พร้อมบริการตัดสูทให้เหมาะกับทุกรูปร่างแบบเฉพาะบุคคล, Comme des Garcons แฟล็กชิปสโตร์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย นำเสนอสินค้าที่ครบไลน์มากที่สุด, และสยามดิสคัฟเวอรี่ นำเสนอ Asian Designers Hub  ครั้งแรกในประเทศไทยกับศูนย์รวมแบรนด์แฟชั่นเอเชี่ยนดีไซเนอร์สุดฮอตในประเทศแถบเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Best of Tokyo Fashion หลากหลายแบรนด์แฟชั่นที่ผ่านการคัดสรรแล้วว่าน่าจับตามองที่สุดของญี่ปุ่น นำเสนอแบบจัดเต็มสำหรับทั้งหญิงชาย อวดฝีมือการดีไซน์ของนักออกแบบแฟชั่นชาวเอเชียที่ไม่เป็นรองใคร โดยแบรนด์ที่มาเปิดตัวแห่งแรกในประเทศไทยมากมาย อาทิ Yoshio Kubo, Factotum, Beautiful People, Dressed Undressed และ Discord by Yoji Yamamoto, และ Billboard Café ครั้งแรกในโลก โดยนิตยสาร Billboard นิตยสารดนตรีที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดทั่วโลกนำเสนอประสบการณ์ด้านเสียงเพลงอย่างที่ไม่เคยปรากฏที่ไหนมาก่อน ดีไซน์เป็นคาเฟ่สำหรับคนรักเสียงเพลงผ่านการนำเสนอด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย มีมุมอาหารและเครื่องดื่มจาก Dean and Deluca และมีการจัดรายการวิทยุแบบสดๆ สินค้าและบริการนวัตกรรมล่าสุด (Innovative Products & Services) อาทิ Alpha Runner สปอร์ตคอนเซ็ปท์สโตร์ที่นำเสนอประสบการณ์ใหม่ที่นักกีฬาตัวจริงพลาดไม่ได้ ครบครันด้วยสปอร์ตแวร์หลากหลายและโดดเด่นด้านการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อให้บริการเลือกรองเท้าที่เหมาะกับสรีระและการใช้งานของแต่ละคน ตอบสนองทั้งการวิ่ง การปั่นจักรยาน และไตรกีฬา, Dressing Room นวัตกรรมใหม่ของการบริการในธุรกิจค้าปลีก ที่สยามดิสคัฟเวอรี่คิดค้นขึ้น เพื่อมอบประสบการณ์สุดล้ำในแบบ Personalized ด้วยบริการพิเศษ  สไตลิสต์ส่วนตัว ช่วยเลือกสินค้าแฟชั่นและแอคเซสเซอรี่ที่ครบครัน จัดเตรียมไว้ให้ในห้อง Dressing Room ส่วนตัว สำหรับผู้แจ้งรับบริการล่วงหน้าและระบุธีมที่ต้องการ เพื่อทดลองสวมใส่จริง มิกซ์แอนด์แมทช์ ค้นหาตัวตนและแบบที่เหมาะได้อย่างสะดวกสบายและเพลิดเพลิน, DISCOVERY HUBBA ซึ่งเป็น Co-working Space ที่ฉีกทุกกฎเกณฑ์ที่เคยมีมาด้วยการร่วมมือกับ Hubba นำเสนอนวัตกรรมทางความคิด และการจัดการที่มากกว่าการมอบพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนไอเดียและความฝันในการเริ่มต้นธุรกิจ แต่ยังเสริมด้วยกิจกรรมพิเศษและการจัดเวิร์คช็อป สร้างสังคมใหม่ของการเริ่มต้นธุรกิจขนาดเล็ก เป็น Retails Start Up ให้แก่คนรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นบทบาทหนึ่งของสยามพิวรรธน์ในการผลักดันและขับเคลื่อนธุรกิจค้าปลีกรูปแบบใหม่สู่โลกอนาคต สินค้าที่ผลิตสร้างสรรค์จากแนวคิดใส่ใจสิ่งแวดล้อมและเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Products) อาทิ tokyobike สวรรค์ของนักปั่นที่จะเป็นคอมมูนิตี้กลางเมืองแห่งใหม่ล่าสุดของคนรักการปั่นจักรยาน นำเสนอสินค้าและอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับการปั่นจักรยานอย่างเต็มรูปแบบ พร้อมบริการฟิตติ้งจักรยานคู่ใจให้รับกับร่างกายของผู้ขับขี่โดยเฉพาะ มีพื้นที่สำหรับเทสต์ไรด์พร้อมให้ทดลองปั่นจักรยาน พร้อมพื้นที่ Bike Park สำหรับจอดรถจักรยาน ตอกย้ำเจตนารมณ์ของสยามพิวรรธน์ที่สนับสนุนการใช้ยานพาหนะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและชื่นชมกลุ่มผู้นิยมการปั่นจักรยาน, สตาร์บัคส์คอฟฟี่ ที่พิเศษกว่าทุกสาขาที่เคยมีมาในประเทศไทยด้วยคอนเซ็ปท์ที่ให้ความสำคัญกับการดำเนินกิจการตามนโยบายเพื่อสังคม ด้วยการจัดระบบแฟร์เทรดที่มีการจัดซื้อสินค้าจากเกษตรกรโดยตรงมาจัดจำหน่ายถึงมือผู้บริโภค นอกจากนี้ ยังนำเสนอ coffee drip เพื่อคอกาแฟตัวจริง ท่ามกลางบรรยากาศการตกแต่งร้านที่ดีไซน์เพื่อสยามดิสคัฟเวอรี่โดยเฉพาะ ด้วยแนวคิดใส่ใจสิ่งแวดล้อม โดยนำกากกาแฟมารีไซเคิลเป็นเฟอร์นิเจอร์ภายในร้าน, และ Veda Salon โดยแบรนด์ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางออร์แกนิกคุณภาพระดับโลก Aveda สร้างสรรค์ขึ้นเต็มรูปแบบเป็นครั้งแรก พร้อมเพิ่มบริการ Head Spa ซึ่งเป็นบริการพิเศษที่เป็นซิกเนเจอร์ของ Aveda และมีเฉพาะสาขาสยามดิฟคัฟเวอรี่แห่งแรกและแห่งเดียวเท่านั้น สินค้าในรูปแบบคอลลาโบเรชั่นและสินค้าแอ๊ปโซลูทสยาม (Collaboration and Absolute Siam Products)”  ซึ่งเป็นสินค้า Absolute Siam ที่มีจำหน่ายเฉพาะที่สยามดิสคัฟเวอรี่ที่เดียวเท่านั้น พร้อมมอบประสบการณ์ที่หาไม่ได้จากที่ไหนให้แก่ผู้มาเยี่ยมเยือน อาทิ Toys Station ที่จะเปลี่ยนสยามดิสคัฟเวอรี่ให้กลายเป็นบ้านหลังที่สองของคนรักของเล่นและดีไซน์ทอยส์มารวมตัวกัน และเป็นสังคมแลกเปลี่ยนความรู้และของสะสม ยิ่งไปกว่านั้นจะมีความร่วมมือระหว่าง Toys Station และ Sony เพื่อเป็นตัวแทนอย่างเป็นทางการของ Play Station รายใหญ่ที่สุดในประเทศไทยเพื่อมอบเซอร์ไพรส์ให้เหล่าเกมเมอร์อย่างไม่รู้จบ, คาเฟ่ดีไซน์ล้ำ Café Now by Propaganda การร่วมมือกันระหว่างแบรนด์ Propaganda ผนึกกำลังกับเชฟ โบ – ดวงพร ทรงวิศวะ เสิร์ฟอาหารอร่อยภายใต้บรรยากาศที่ออกแบบให้สนุกสนานในทุกครั้งที่มา พร้อมสินค้า grocery ให้เลือกซื้อกลับบ้านได้ด้วย, ร้าน Must Love Mac. คอนเซ็ปท์สโตร์แห่งแรก คอมมูนิตี้สำหรับคนรัก Mac นำเสนอสินค้าครบครันพร้อมอุปกรณ์และแอคเซสเซอรี่หลากหลาย และมีบริการ personalize iPhone และ MacBook Case ที่นี่ที่เดียว, และ Adidas คอนเซ็ปท์สโตร์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย แนวคิด Interactive Store Concept ที่มาพร้อม Exclusive Collection, สนีกเกอร์แบรนด์ดังอย่าง Vans, Palladium, Converse และ Asics ขนรองเท้าคอลเลคชั่นใหม่ล่าสุดมานำเสนอเฉพาะที่สยามดิสคัฟเวอรี่ก่อนใคร อาทิ  คอลเลคชั่นพิเศษจาก Palladium ที่ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 240 คู่เพื่อระลึกถึง Jackson Pullock ศิลปินชื่อดัง คอลเลคชั่น Vans x Nintendo Games ที่เตรียมเปิดตัวคอลเลคชั่นที่นี่เป็นที่แรก และ Converse ที่เชิญศิลปินกราฟฟิตี้ชื่อดัง Alex Face มาวาดลวดลายแบบคู่เดียวในโลกเป็น personalize ที่พิเศษสุด, และ Mos Bag แบรนด์เครื่องหนังคุณภาพ พิเศษด้วยบริการ Personalized ปัก ตอก ชื่อและลายเพื่อให้ได้สินค้าชิ้นโปรดที่พิเศษเฉพาะบุคคล นอกจากนี้ สยามพิวรรธน์ยังเตรียมนำเสนอที่สุดแห่งปรากฏการณ์ใหม่ของการรับประทานอาหาร ด้วยการผสมผสานร้านจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มต่างๆ เข้าไว้ด้วยกันกับพื้นที่ค้าปลีกและพื้นที่กิจกรรมต่างๆ อย่างผสมกลมกลืน โดยได้จัดสรรพื้นที่มากกว่า 2,500 ตารางเมตรครอบคลุมทั่วทั้งสยามดิสคัฟเวอรี่ให้เป็นพื้นที่สำหรับอาหารและเครื่องดื่ม และจะเปิดตัวแบรนด์ร้านอาหารชื่อดังที่สุดแบรนด์หนึ่งของโลกครั้งแรกในประเทศไทย ซึ่งจะเป็นที่สุดของปรากฏการณ์ที่น่าตื่นเต้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แตกต่างด้วยการนำเสนอที่ไม่เหมือนใคร เปิดให้ทุกคนมาร่วมสัมผัสประสบการณ์ พบในสิ่งที่ไม่เคยพบ นายชาญชัย กล่าวว่า “สิ่งที่ทำให้สยามดิสคัฟเวอรี่โดดเด่นแตกต่างไม่มีที่ใดเหมือน คือการมอบประสบการณ์ ที่น่าตื่นเต้นเร้าใจมากมายซึ่งกระจายอยู่ทั่วสยามดิสคัฟเวอรี่ สินค้าต่างๆ จะนำเสนอเรื่องราวที่มีคุณค่าและน่าสนใจ บอกเล่าที่มาของแรงบันดาลใจและจินตนาการในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นเกร็ดเล็กน้อยต่างๆ ที่เป็นเบื้องหลังการสร้างแบรนด์หรือนวัตกรรมน่าสนใจเกี่ยวกับสินค้า มีการนำนวัตกรรมเทคโนโลยีของโลกยุคดิจิตอลมาผสมผสานกับบริการพิเศษในพื้นที่ เพื่อมอบประสบการณ์เฉพาะบุคคล และสื่อสารกับลูกค้าเสมือนเพื่อนที่รู้ใจ ที่พร้อมจะเชิญชวนให้ทุกคนทดลองไอเดียใหม่ๆ พูดคุย แนะนำ บอกเล่าเรื่องราว เพื่อเติมเต็มความสนุกสนานในการมาเยี่ยมเยือนสถานที่แห่งนี้ มีการเปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถปรับแต่ง พลิกแพลง และสร้างสินค้าที่ซื้อให้เป็นไปตามความต้องการและรสนิยมเฉพาะตัว มีการนำเสนออินเทอแรคทีฟ คอมมูนิตี้ สังคมแห่งไอเดียของคนรุ่นใหม่ เพื่อเป็นศูนย์กลางแห่งการพบปะ แลกเปลี่ยน และสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนที่มีความสนใจในเรื่องเดียวกัน ได้มาพูดคุย แบ่งปันประสบการณ์” ฉีกกฎการจัดกิจกรรมเปิดตัวรูปโฉมใหม่ เชิญชวนทุกคน “มาเล่นสนุกด้วยกัน” “สยามพิวรรธน์ ใช้งบประมาณกว่า 300 ล้านบาท ในการจัดงานแกรนด์โอเพ่นนิ่งแห่งปี ที่มีสไตล์และรูปแบบที่ไม่เหมือนใคร เป็นครั้งแรกของวงการค้าปลีกที่สเปเชี่ยลตี้สโตร์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยบนพื้นที่กว่า 40,000 ตารางเมตร นี้ จะเปิดตัวโดยเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปได้เข้ามาสัมผัสประสบการณ์เหนือความคาดหมายได้ก่อนใคร  โดยสยามดิสคัฟเวอรี่ได้รับสมัครประชาชนผู้สนใจมาร่วมเป็นหนึ่งใน 500 คนแรก ทาง www.siamdiscovery.co.th ซึ่งผู้ผ่านการคัดเลือกจะได้รับเชิญมาเยี่ยมชมภายในสยามดิสคัฟเวอรี่โฉมใหม่  ก่อนใครในวันที่ 24 พฤษภาคม 2559 นอกจากนี้ จะมีกิจกรรมเดินสายโรดโชว์ของดิสคัฟเวอรี่แมน ขนาดยักษ์  สูงกว่า 5 เมตร ไปยังสถานที่สำคัญใจกลางกรุงเทพฯ อาทิ สวนจตุจักร สะพานลอยข้ามแยกสาทร – นราธิวาส  สีลม และพาร์คพารากอน พร้อมกิจกรรมสนุกๆ มากมาย เพื่อเชิญชวนผู้สนใจร่วมเป็นคนกลุ่มแรกที่จะได้เข้ามาสัมผัสรูปโฉมใหม่ของสยามดิสคัฟเวอรี่ในรอบเอ็กซ์คลูซีฟพรีวิวในวันที่ 26 พฤษภาคม 2559 ก่อนเปิดให้บริการสำหรับบุคคลทั่วไปในวันที่ 28 พฤษภาคม 2559 เป็นต้นไป” สยามดิสคัฟเวอรี่ คือ The Biggest Arena of Lifestyle Experiments ที่ทุกตารางเมตรจะเต็มไปด้วยสิ่งที่น่าค้นหา ในขณะที่ทุกคนเข้ามาสัมผัสกับประสบการณ์ใหม่ของสยามดิสคัฟเวอรี่ ทุกคนจะได้ร่วมค้นพบ Identity หรือตัวตนของตนเอง โดยหนึ่งในไฮไลท์ที่น่าตื่นเต้นในช่วงเปิดสยามดิสคัฟเวอรี่ คือ นิทรรศการและกิจกรรมสร้างประสบการณ์ร่วมแบบอินเทอแรคทีฟ ‘Social Discovery’ โดยความร่วมมือระหว่างสยามดิสคัฟเวอรี่ และ Black Egg ทีมนักออกแบบและครีเอทีฟระดับโลก นำคอนเซ็ปท์ Storytelling มาผสมผสานกับดิจิตอลเทคโนโลยี ในธีม “When Obsession Becomes Identity” ที่เชิญชวนทุกคนร่วมเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์สุดตื่นเต้นกับการค้นพบและเข้าใจตัวตนที่แท้จริงของตนเอง โดยเจาะความสนใจเบื้องลึกของแต่ละคน และนำเสนอเป็นงานศิลปะผ่านเทคโนโลยีและโซเชียลมีเดียสุดตื่นตาตื่นใจ การฉีกกฎและรูปแบบของวงการค้าปลีกอย่างสิ้นเชิงของสยามดิสคัฟเวอรี่ ยังรวมถึงการทำกิจกรรมส่งเสริมการตลาดและวิธีการนำเสนอ สยามดิสคัฟเวอรี่เปรียบเสมือนเพื่อนที่พร้อมบอกเล่าและมอบสิ่งดีๆ ให้กับเพื่อนสนิท โดยได้ร่วมมือกับเนนโดะสร้างสรรค์ “ดิสคัฟเวอรี่แมน” (Discovery Man) ขึ้นเพื่อเป็นตัวแทนนำทุกคนเข้ามา ค้นหาและทดลอง (Experiment) , สร้างสรรค์ (Create) , และพัฒนา (Cultivate) ความพิเศษที่ทุกคนสัมผัสและสร้างขึ้นได้ด้วยตัวเอง โดยทุกคนสามารถมาทำความรู้จักกับดิสคัฟเวอรี่แมนมากยิ่งขึ้นได้ในนิทรรศการ Discovery Man Exhibition ซึ่ง นายโอกิ ซาโตะ นักออกแบบระดับโลกชาวญี่ปุ่น ที่นอกจากจะมาร่วมเป็นหัวหน้าที่ปรึกษางานออกแบบอาคารและงานออกแบบตกแต่งภายในให้กับสยามดิสคัฟเวอรี่แล้ว ยังเป็นคูเรเตอร์ในการจัดนิทรรศการครั้งนี้  โดยความพิเศษอยู่ที่การเชิญนักออกแบบชื่อดังระดับโลกทั้งชาวไทยและต่างประเทศมาร่วมดีไซน์แต่งแต้มสีสันให้กับดิสคัฟเวอรี่แมนในแบบคอลลาโบเรชั่นรวมถึง 25 ตัว นอกจากนี้  ยังจัดให้มีนิทรรศการแสดงผลงานการออกแบบ Nendo’s Exhibition ครั้งแรกในประเทศไทย โดยนายโอกิ ซาโตะ ผู้ได้รับการยอมรับจากวงการออกแบบทั่วโลก ประกอบไปด้วยผลงานการออกแบบชั้นยอด ทั้งด้านโพรดักส์ดีไซน์ อาร์ทอินสตอเลชั่น และงานออกแบบสถาปัตยกรรม ที่ผ่านการคัดสรรและบรรจงจัดวางในกล่องแห่งไอเดีย เป็นนิทรรศการที่โดดเด่นใจกลางสยามดิสคัฟเวอรี่ที่ทุกคนต้องตะลึง ทั้งนี้ ยังมีกิจกรรมสนุกๆ ที่พร้อมให้ทุกคนเข้ามาเพลิดเพลินกับกิจกรรมอินเตอร์แรคทีฟสุดสร้างสรรค์ในหลากหลายกิจกรรมในทุกๆ ชั้นเต็มพื้นที่สมกับเป็น สยามดิสคัฟเวอรี่ The Exploratorium สนามทดลองพลังอำนาจแห่งความคิดสร้างสรรค์อันยิ่งใหญ่ “โดยในช่วงปีแรกที่เปิดบริการ สยามพิวรรธน์ตั้งเป้าว่าจะมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการในสยามดิสคัฟเวอรี่โฉมใหม่ 100,000 คนต่อวัน โดย 65% เป็นลูกค้าคนไทย และ 35% เป็นลูกค้าต่างชาติ” นายชาญชัย กล่าว
มั่นคงฯ โชว์ฟอร์มไตรมาส 1/59 กำไรโตกว่า 200%

มั่นคงฯ โชว์ฟอร์มไตรมาส 1/59 กำไรโตกว่า 200%

บมจ. มั่นคงเคหะการ เผยผลประกอบการไตรมาสแรกปี’59 โตต่อเนื่อง ลูกค้าตอบรับภาพลักษณ์ใหม่พร้อมมาตรการรัฐส่งยอดโอนสูงดันรายได้ รวมกว่า 611 ล้านบาท ซึ่งเติบโตมากถึง 40 % ด้านกำไรสุทธิแตะ 94 ล้านบาท โตกว่า 200% เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปี’ 58 พร้อมรุกแผนไตรมาสสอง ส่งแบรนด์ใหม่ “ชวนชื่น แกรนด์” สองโครงการมูลค่า 1,700 ล้านบาทเจาะตลาดบ้านพรีเมี่ยมระดับราคา 8-12 ล้านบาท นายวรสิทธิ์ โภคาชัยพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) หรือ MK เปิดเผยว่า “ผลการดำเนินการของบริษัทฯ ในไตรมาส 1/2559 มีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทฯ ได้มีการทำแคมเปญ “Ready to Move in” ร่วมกับธนาคารไทยพาณิชย์ ในทุกทำเลจำนวน 8 โครงการ เพื่อกระตุ้นตลาดในช่วงเดือนมีนาคมและเมษายนก่อนจบมาตรการรัฐ ส่งผลให้บริษัทมียอดโอนสูงและดันรายได้ในช่วงไตรมาสแรกได้กว่า 611 ล้านบาท ซึ่งเติบโตกว่า 40% ทำให้มีกำไรสุทธิ 94 ล้านบาท ซึ่งโตกว่า 200 % เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปี 2558” “หลังจากที่เราได้มีการปรับภาพลักษณ์โครงการต่างๆ ให้ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น ซึ่งได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี ประกอบกับมาตรการรัฐกระตุ้นภาคอสังหาฯ ส่งผลที่ดีต่อด้านการขายและการโอน จึงทำให้ดันรายได้ทะลุเป้า ทั้งนี้ในไตรมาส 2/2559 มั่นคงฯ ได้รุกแผนเปิดตัวบ้านแบรนด์ใหม่ “ชวนชื่น แกรนด์” สองโครงการ มูลค่า 1,700 ล้านบาท เพื่อเจาะตลาดบ้านพรีเมี่ยมโดยเฉพาะ คือ ชวนชื่น แกรนด์ ราชพฤกษ์ พระราม 5 และ ชวนชื่น แกรนด์ เอกชัย บางบอน ” ด้วยระดับราคา 8-12 ล้านบาท เราเชื่อมั่นว่า ตลาดบ้านกลางบนในระดับราคานี้ยังเติบโตและมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะทำเลที่เป็นที่อยู่อาศัยยอดนิยมอย่าง ราชพฤกษ์และเอกชัย บางบอน” คุณวรสิทธิ์กล่าวเพิ่มเติม ในปี 2558 ที่ผ่านมา มั่นคงฯ ทุบสถิติ “ยอดขาย รายได้ และกำไรสุทธิ” สูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยทำยอดขายทะลุเป้ามากถึง 2,500  ล้านบาท เติบโตกว่าปีก่อนถึง 25% ด้านรายได้จากการขายและบริการมากถึง 3,749 ล้านบาท เติบโตกว่า 60% ส่วนกำไรสุทธิโตสูงขึ้น 40% หรือ 626 ล้านบาท ทั้งนี้บริษัทได้วางกลยุทธ์การเติบโตด้วยแผนรุกทั้งธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการขายและเพื่อให้เช่าและการบริการ โดยตั้งเป้าผลักดันทั้งสองธุรกิจมีสัดส่วนกำไร 50:50 ในอีก 5 ปีข้างหน้า สำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการขายจะรุกตลาดแนวราบเป็นหลักและบริหารสัดส่วนรายได้ให้อยู่ระดับการเติบโตประมาณ 15% ต่อปี ส่วนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อให้เช่าและการบริการนั้นคาดจะเริ่มมีการรับรู้รายได้เพิ่มเติมจาก บริษัท พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด และพาร์ค คอร์ท อพาร์ทเม้นท์ให้เช่าที่เฟสแรกจะเสร็จภายในปลายปีหน้า ทั้งนี้ มั่นคงฯ จะมีการจ่ายเงินปันผลจากกำไรสะสมให้กับผู้ถือหุ้น ในอัตราหุ้นละ 0.25 บาท โดยกำหนดจ่ายเงินปันผล วันที่ 25 พฤษภาคม 2559 นี้
“บารามีซี่” เปิดตัว “Wazzadu.com” เดคอเรทีฟ โซเชียล แพลตฟอร์ม ครบวงจรที่สุด ครั้งแรกในไทย  พลิกโฉมการตลาด การซื้อ-ขาย ในยุคดิจิทัล

“บารามีซี่” เปิดตัว “Wazzadu.com” เดคอเรทีฟ โซเชียล แพลตฟอร์ม ครบวงจรที่สุด ครั้งแรกในไทย พลิกโฉมการตลาด การซื้อ-ขาย ในยุคดิจิทัล

บารามีซี่ สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้วงการวัสดุและตกแต่งบ้านอีกครั้ง โดยต่อยอดความสำเร็จจาก Wassadu app จาก Tech Startup หน้าใหม่เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา ก้าวสู่การเป็น Tech Startup ที่ได้สร้างนิยามใหม่  “Decorative Social Platform” บนเว็บไซต์ Wazzadu.com สู่เศรษฐกิจดิจิทัล โดยรวมสินค้าวัสดุและสินค้าตกแต่งบ้านจากร้านค้าทั่วประเทศ สมบูรณ์แบบที่สุดในเมืองไทย พร้อมนำเสนอบริการพิเศษที่แตกต่าง ตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้ขายและผู้ซื้อในยุคดิจิทัล เตรียมพร้อมขยายการบริการสู่อาเซียนภายใน 3 ปีข้างหน้า นายจุลเกียรติ สินชัยชูเกียรติ ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บารามีซี่ จำกัด กล่าวว่า บารามีซี่ประสบความสำเร็จอย่างมากจากการทำ Wassadu app ซึ่งนับเป็นนวัตกรรมที่ปฏิวัติการค้นหาสินค้าวัสดุและตกแต่งสำหรับมือโปร โดยมีการดาวน์โหลดกว่า 50,000 ครั้ง รวมถึงความสำเร็จของแฟนเพจ Wazzadu ที่มีผู้กดไลค์กว่า 270,000 คน ทำให้บารามีซี่เห็นถึงโอกาสในการพัฒนาต่อยอดมาเป็นเว็บไซต์ Wazzadu.com (วัซซาดุดอทคอม) เพื่อเป็นเดคอเรทีฟ โซเชียล แพลตฟอร์ม (Decorative Social Platform) สำหรับการค้นหาไอเดีย ทำการตลาด และซื้อ-ขายด้านวัสดุและตกแต่ง ภายใต้แนวคิดที่จะทำให้ผู้ใช้งานสามารถต่อยอดจินตนาการจากไอเดียสู่การสร้างได้จริงบนจุดยืนว่า Make It Real โดยรวบรวมสินค้าและบริการ ข้อมูลผู้ขาย ไอเดียการตกแต่ง รวมทั้งให้คำปรึกษา บริการ ที่นับว่าสมบูรณ์แบบและตอบโจทย์ผู้ใช้งานในโลกดิจิทัลได้มากที่สุด ครั้งแรกในประเทศไทย “Wazzadu.com ใช้เงินทุนในการพัฒนาและดำเนินงานกว่า 10 ล้านบาท โดยร่วมมือกับ 2 พันธมิตรทางธุรกิจที่จะมาร่วมกันสร้างความแข็งแกร่งให้กับ Wazzadu.com คือ คุณจุฑาศรี คูวินิชกุล ซึ่งเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง แกร๊บแท็กซี่ (GrabTaxi) ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท อลูเม็ท จำกัด และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เมททา กรุ๊ป และ คุณปิยพันธ์ วงศ์ยะรา ผู้ก่อตั้ง Stock2morrow อีกทั้งยังเป็นนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์และเป็นแองเจิ้ล อินเวสเตอร์ (Angel Investor)” นายจุลเกียรติ กล่าว สำหรับการบริการของ Wazzadu.com นั้น ในส่วนของ ผู้ซื้อหรือผู้ใช้งานทั่วไป จะมีบริการพิเศษ คือ Wazzadu Find Mat ที่จะช่วยให้คำแนะนำ จัดหา จัดซื้อวัสดุและสินค้าตกแต่งได้โดยสามารถระบุเงื่อนไขและรายละเอียดได้ตามต้องการ และยังมีบริการพิเศษจากทีมสถาปนิกผู้เชี่ยวชาญที่จะคอยให้คำปรึกษาทุกความต้องการเกี่ยวกับวัสดุและตกแต่งโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายโดยสื่อสารผ่านทางแอพพลิเคชั่นไลน์ LINE @wazzadu.com นอกจากนี้ ยังมี Wazzadu Find Idea ที่ผู้ซื้อสามารถค้นหาไอเดีย และสร้างโปรไฟล์ส่วนตัว เพื่อเก็บแรงบันดาลใจในการตกแต่ง ที่สร้างสรรค์ขึ้นจากสินค้าวัสดุและตกแต่งบ้านที่มีให้เลือกมากกว่า 1,000 ร้านค้า กว่า 100,000 SKU สำหรับ ผู้ขายหรือเจ้าของสินค้า จะเป็นครั้งแรกของเมืองไทยกับบริการพิเศษที่แตกต่าง นั่นคือบริการ Wazzadu Architect Approach โดยมีทีมผู้เชี่ยวชาญที่จะคอยวางแผนให้คำปรึกษาแนะนำด้านการตลาดและการซื้อขาย ในกลุ่มตลาดงานโครงการที่ต้องการเข้าถึงสถาปนิก ซึ่งวิธีนี้จะช่วยให้ผู้ขายประสบความสำเร็จในการขายสินค้าได้ง่ายขึ้น มีโอกาสได้งานโครงการ จากการช่วยเหลือของทีมงานมืออาชีพ นอกจากนี้ Wazzadu.com ยังมีบริการรีวิวโดยทีมงานมืออาชีพ เพื่อโปรโมทสินค้าทั้งรูปแบบการเขียนรีวิวและการทำวิดีโอรีวิว รวมทั้งผู้ขายจะสามารถสร้างร้านค้าเพื่อประชาสัมพันธ์สินค้าและบริการได้ด้วยตัวเองโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย “Wazzadu.com นับเป็นการปฎิวัติรูปแบบการให้บริการการทำตลาดและซื้อ-ขายในวงการวัสดุและตกแต่งของไทย เป็นการเปลี่ยนแปลงเพื่อก้าวเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy) ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของประเทศที่จะมุ่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ นอกจากนี้ Wazzadu.com ยังเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือสนับสนุนให้ผู้ประกอบรายย่อยและผู้ที่เริ่มทำธุรกิจทางด้านวัสดุตกแต่งที่ไม่พร้อมเรื่องเงินทุนให้ได้มีพื้นที่จำหน่ายสินค้าและสามารถเข้าถึงลูกค้าจำนวนมากได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีหน้าร้าน และไม่จำเป็นต้องลงทุนพัฒนาระบบเอง” นายจุลเกียรติ กล่าว นายจุลเกียรติ กล่าวเพิ่มเติมถึงเป้าหมายทางธุรกิจว่า ต้องการให้ผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจด้านวัสดุและตกแต่งบ้านทุกร้านทั่วประเทศมารวมอยู่ที่ Wazzadu.com โดยคาดว่าจะเกิดขึ้นได้ภายใน 2 ปี และเป้าหมายต่อไป คือ การขยายการบริการสู่ประเทศในกลุ่มอาเซียน เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ขายและผู้ซื้อในกลุ่มประเทศเหล่านี้สามารถเข้ามาใช้บริการได้ ซึ่งจะช่วยให้ฐานข้อมูลของ Wazzadu.com ขยายใหญ่ขึ้น โดยจะเริ่มจากการแปลเนื้อหาเป็นภาษาอังกฤษก่อน หลังจากนั้นจะเพิ่มภาษาอื่น ๆ เข้าไป โดยคาดว่าการพัฒนา Wazzadu.com เพื่อรองรับกลุ่มเป้าหมายในกลุ่มประเทศอาเซียนจะเกิดขึ้นอย่างเต็มรูปแบบภายใน 3 ปีข้างหน้า
ฉลองเปิดเฟสใหม่ ‘เดอะคิวบ์ นวมินทร์-รามอินทรา’ ลดอีก 50,000 บาท

ฉลองเปิดเฟสใหม่ ‘เดอะคิวบ์ นวมินทร์-รามอินทรา’ ลดอีก 50,000 บาท

The Cube Nawamin-Raminthra (เดอะคิวบ์ นวมินทร์-รามอินทรา) คอนโดมิเนียมใหม่สไตล์โมเดิร์น บนถนนนวมินทร์-รามอินทรา ใกล้รถไฟฟ้าสายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) ของ บริษัท คิวบ์ เรียล พร๊อพเพอร์ตี้ จำกัด พร้อมฉลองเปิดเฟสใหม่ (อาคาร A) อย่างเป็นทางการ วันที่ 28-29 พฤษภาคม 2559 และเปิดพรีเซลล์ยูนิตพิเศษ เริ่มต้น 1.59 ล้านบาท พร้อมเฟอร์นิเจอร์ดีไซน์สวยทันสมัยจาก Modernform ครบทุกฟังก์ชั่น และรับเงื่อนไขพิเศษอื่น ๆ ได้ในวันงาน เพียงลงทะเบียนรับส่วนลดทันที 50,000 บาท ที่เว็บไซต์ www.thecube-condo.com หรือโทรสอบถามที่ 0-2948-9411 (ทุกวันไม่เว้นวันหยุด) โครงการนี้มีทั้งหมด 2 อาคาร สูง 8 ชั้น บนเนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ 3 งาน ดีไซน์ภายนอกเน้นความสวยงาม ทันสมัย และโปร่งสบาย ส่วนภายในเน้นที่หน้าต่างบานใหญ่เต็มผนังห้องนอน รวมทั้งจัดเลย์เอาท์ให้มีพื้นที่กว้างขวางอยู่สบาย มีบานสไลด์แบ่งสัดส่วนระหว่างห้องนอนและห้องนั่งเล่น สำหรับแปลนระหว่างอาคารออกแบบให้มีความสบายไม่แออัดใช้ชีวิตได้คล่องตัวและมีความเป็นส่วนตัวสูง พร้อมสรรพด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่เพิ่มคุณภาพชีวิตด้วยการออกกำลังกายที่สระว่ายน้ำระบบเกลือ ห้องฟิตเนส ห้องเซาว์น่า (แยกชาย/หญิง) สวนหย่อม กล้องวงจรปิด (CCTV) Digital door lock (กลอนประตูดิจิตอล) จากซัมซุงทุกยูนิต ระบบคีย์การ์ดทางเข้าอาคาร และลิฟท์แบบคีย์การ์ดล๊อคชั้น ระบบรักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง Wi-Fi อินเตอร์เน็ตที่ล็อบบี้ส่วนกลาง การเดินทางสะดวกติดถนนใหญ่นวมินทร์-รามอินทรา ใกล้รถไฟฟ้าสายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) เพียง 500 เมตร ใกล้ศูนย์การค้าแฟชั่น ไอส์แลนด์ เดอะพรอมานาด โรงพยาบาลสินแพทย์ โรงพยาบาลพญาไท นวมินทร์ เทสโก โลตัส  เปิดลงทะเบียนรับสิทธิ์พิเศษก่อนใครที่เว็บไซต์ www.thecube-condo.com และเชิญชมห้องตัวอย่างได้แล้ว หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร. 0-2948-9411 (ทุกวันไม่เว้นวันหยุด) และติดตามความเคลื่อนไหวทางเฟซบุ๊ค : www.facebook.com/The Cube-Condo
มั่นคงฯ ส่งแบรนด์ใหม่ “ชวนชื่น แกรนด์” 2 โครงการมูลค่า 1,700 ล้านบาท ลุยตลาดบ้านเดี่ยวพรีเมี่ยม ปักธงทำเลราชพฤกษ์และเอกชัย บางบอน

มั่นคงฯ ส่งแบรนด์ใหม่ “ชวนชื่น แกรนด์” 2 โครงการมูลค่า 1,700 ล้านบาท ลุยตลาดบ้านเดี่ยวพรีเมี่ยม ปักธงทำเลราชพฤกษ์และเอกชัย บางบอน

บมจ. มั่นคงเคหะการ รุกตลาดแนวราบตามแผนเดินหน้าส่งโครงการบ้านใหม่ “ชวนชื่น แกรนด์” แบรนด์บ้านเดี่ยวพรีเมี่ยม 2 โครงการ “ชวนชื่น แกรนด์ ราชพฤกษ์ พระราม5” และ “ชวนชื่น แกรนด์ เอกชัย บางบอน” มูลค่ารวมกว่า 1,700 ล้านบาท ปักธงทำเลราชพฤกษ์-พระราม5 และถนน เอกชัย-บางบอน 4 สองแหล่งที่อยู่อาศัยทำเลทองของกรุงเทพฯโซนตะวันตก ระดับราคา 8-12 ล้านบาท ชูดีไซน์ใหม่และความคุ้มค่าในทุกพื้นที่ใช้สอย พร้อมอัดโปรโมชั่นมอบส่วนลดพิเศษสูงสุด 500,000 บาทใน VIP Day 14-15 พ.ค. นี้ นายวรสิทธิ์ โภคาชัยพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “มั่นคงฯ มีแบรนด์บ้านชวนชื่น ซึ่งนับว่าเป็นแบรนด์ที่มีความแข็งแกร่งและเป็นที่รู้จักอย่างดีในตลาดโดยเฉพาะในเรื่องของความคุ้มค่าคุ้มราคา และแบรนด์ ชวนชื่น แกรนด์ ได้รับการสร้างขึ้นมาเพื่อต่อยอดของความสำเร็จของแบรนด์ชวนชื่นและเจาะกลุ่มตลาดบ้านเดี่ยวพรีเมี่ยมบนทำเลศักยภาพที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของลูกค้าจึงได้มีการเปิดตัวโครงการ “ชวนชื่น แกรนด์” สองโครงการแรกของมั่นคงฯ คือ ชวนชื่น แกรนด์ ราชพฤกษ์ พระราม 5 และ ชวนชื่น แกรนด์ เอกชัย บางบอน ” ด้วยระดับราคา 8-12 ล้านบาท” “เราเชื่อมั่นว่า ตลาดบ้านกลางบนในระดับราคา 8-12 ล้านยังเติบโตและมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะทำเลที่เป็นที่อยู่อาศัยยอดนิยมอย่าง ราชพฤกษ์และบางบอน ซึ่งชวนชื่น แกรนด์ ราชพฤกษ์ พระราม5 นอกจากจะใกล้กับสะพานพระราม 5 แล้วโครงการยังอยู่ใกล้รถไฟฟ้าส่วนต่อขยายทำให้ทำเลนี้น่าจับตามองมากขึ้น สำหรับทำเลของ ชวนชื่น แกรนด์ เอกชัย บางบอนอยู่ใกล้กับทางด่วนพระรามสองและถนนกาญจนาภิเษกทำให้เดินทางสะดวกสบาย” นายวรสิทธิ์กล่าวเพิ่มเติม โครงการชวนชื่น แกรนด์ ราชพฤกษ์ พระราม5 มูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท เป็นโครงการบ้านเดี่ยว 2 ชั้น ติดถ.นครอินทร์ จำนวน 108 ยูนิต บนเนื้อที่ 21-1-42.8 ไร่ มีคลับเฮ้าส์และสระว่ายน้ำ ใกล้สะพานพระราม 5 และสถานีรถไฟฟ้าสีม่วง (สถานีแยกติวานนท์) คอนเซ็ปต์ดีไซน์สไตล์ โมเดิร์น ลักชัวรี่ (Modern Luxury) พื้นที่ใช้สอย 149-208 ตร.ม. โครงการชวนชื่น แกรนด์ เอกชัย บางบอน มูลค่าโครงการ 700 ล้านบาท เป็นโครงการบ้านเดี่ยว 2 ชั้น ติดถนนบางบอน 4 จำนวน 93 ยูนิต บนเนื้อที่ 31-2- 70 ไร่ มีคลับเฮ้าส์และสระว่ายน้ำ ใกล้ทางด่วนพระรามสองและถนนกาญจนาภิเษก คอนเซ็ปต์ดีไซน์สไตล์โมเดิร์น คอนเท็มโพลารี่ (Modern Contemporary) พื้นที่ใช้สอย 190-260 ตร.ม. มั่นคงฯ เตรียมจัดงาน VIP Day วันที่ 14-15 พค.นี้ ณ ทั้งสองโครงการฯ พร้อมมอบสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าที่ลงทะเบียนล่วงหน้าทางเว็บไซต์และเยี่ยมชมโครงการในช่วงวันที่ 14-15 พ.ค.นี้จะได้รับส่วนลดสูงสุดกว่า 500,000 บาท แถมฟรีเครื่องปรับอากาศ และบริการจัดสวนสวยฟรี ข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.mk.co.th หรือ โทร. 1622
ตึกออฟฟิศเกรดรองต้องปรับกลยุทธ์เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน บริษัทผู้เช่าสนใจตึกเกรดเอมากกว่า แม้ค่าเช่าสูง

ตึกออฟฟิศเกรดรองต้องปรับกลยุทธ์เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน บริษัทผู้เช่าสนใจตึกเกรดเอมากกว่า แม้ค่าเช่าสูง

กรุงเทพฯ 10 พฤษภาคม 2559 - อาคารสำนักงานเกรดรองในกรุงเทพฯ มีพื้นที่ว่างเหลือเช่าเฉลี่ย 9.7% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของทั้งตลาดเล็กน้อย  อย่างไรก็ดี การที่มีบริษัทผู้เช่าจำนวนมากขึ้นย้ายออกไปยังอาคารใหม่ที่มีคุณภาพดีขึ้น ส่งผลให้เจ้าของอาคารสำนักงานเกรดรองเริ่มใช้กลยุทธ์ต่างๆ เพื่อรักษาผู้เช่ารายเดิมและดึงดูดผู้เช่ารายใหม่ ตามการรายงานจากบริษัทที่ปรึกษาและบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ เจแอลแอล (โจนส์ แลง ลาซาลล์) นางสุพินท์ มีชูชีพ กรรมการผู้จัดการ เจแอลแอล กล่าวว่า “แม้เศรษฐกิจโดยรวมของไทยจะยังไม่เข้มแข็ง แต่หลายๆ ภาคธุรกิจยังคงมีผลประกอบการที่ดี ซึ่งสะท้อนให้เห็นได้จากการที่บริษัทต่างๆ ในกรุงเทพฯ ยังมีการขยายออฟฟิศต่อเนื่อง นอกจากนี้ การที่บริษัทต่างๆ ส่วนใหญ่ยังต้องการเช่าอาคารสำนักงานเกรดเอซึ่งมีค่าเช่าสูงกว่าอาคารเกรดรอง เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นว่าบริษัทผู้เช่ามีสถานภาพทางการเงินที่แข็งแกร่ง” นางสาวยุพา เสถียรภาพอยุทธ์ ผู้อำนวยการฝ่ายบริการธุรกิจอาคารสำนักงาน เจแอลแอล กล่าวว่า “ธุรกรรมการเช่าสำนักงานที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ในกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่เป็นการเช่าพื้นที่ในอาคารเกรดเอ แม้จะมีค่าเช่าสูง ซึ่งธุรกรรมการเช่าหลายๆ รายการเป็นการย้ายออกจากอาคารเกรดรอง ทำให้อาคารสำนักงานเกรดรองมีพื้นที่ว่างเหลือเช่าเพิ่มขึ้น” รายงานจากศูนย์บริการข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ไทยของเจแอลแอล ระบุว่า ณ สิ้นไตรมาสแรกของปีนี้ อัตราการว่างของพื้นที่สำนักงานให้เช่าในกรุงเทพฯ (ไม่แบ่งเกรด) ปรับเพิ่มสูงขึ้นไปอยู่ที่ 9.4% จากเดิมที่ 9.0% เมื่อช่วงสิ้นปี 2558 อาคารที่มีอัตราการว่างของพื้นที่ปรับเพิ่มขึ้นมากที่สุด คือกลุ่มอาคารเกรดรองซึ่งมีผู้เช่าย้ายออก โดยเฉพาะอาคารที่ตั้งอยู่ห่างไกลจากระบบขนส่งมวลชน ไม่ว่าจะเป็นสถานีรถไฟฟ้าบีหรือรถไฟฟ้าใต้ดิน ศูนย์บริการข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ไทยของเจแอลแอล ยังระบุด้วยว่า ปัจจุบัน กรุงเทพฯ มีอาคารสำนักงาน (เฉพาะที่สร้างเสร็จแล้ว) คิดเป็นพื้นที่รวมทั้งสิ้น 8.51 ล้านตารางเมตร ในจำนวนนี้เป็นอาคารเกรดรองคิดเป็นพื้นที่รวม 5.54 ล้านตารางเมตร นางสาวยุพากล่าวว่า “เพื่อรักษาหรือเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เจ้าของอาคารเกรดรองเริ่มมีความยืดหยุ่นมากขึ้นในการเจรจาเงื่อนไขกับบริษัทผู้เช่าทั้งรายที่มีอยู่เดิมและรายใหม่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสิทธิในการใช้ที่จอดรถ การกำหนดเพดานการขึ้นค่าเช่า หรือการเสนอระยะปลอดค่าเช่า อย่างไรก็ดี แทบไม่พบว่ามีเจ้าอาคารรายใดยินดีลดค่าเช่าในขณะนี้” ข้อมูลจากศูนย์บริการข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ไทยของเจแอลแอล ระบุว่า ในไตรมาสแรกของปีนี้ ค่าเช่าอาคารสำนักงานเฉลี่ยทั่วกรุงเทพฯ ยังคงปรับเพิ่มสูงขึ้น แต่พบว่า การปรับเพิ่มขึ้นของค่าเช่าในกลุ่มอาคารเกรดรองชะลอตัวลงค่อนข้างมาก เนื่องจากมีบริษัทผู้เช่าย้ายออกมากขึ้น นางสาวยุพาแนะว่า“เจ้าของอาคารที่ตั้งอยู่ในทำเลที่ดี แต่อาจไม่เป็นที่ต้องการของผู้เช่าแล้ว อาจพิจารณาการปรับปรุงใหญ่ให้อาคารมีรูปลักษณ์และคุณภาพที่ดีขึ้น ทั้งนี้ ความต้องการเช่าพื้นที่สำนักงานคุณภาพดียังคงมีแนวโน้มขยายตัวอย่างแข็งแกร่งในช่วง 2-3ปีข้างหน้า ดังนั้น การปรับปรุงอาคารจึงมีโอกาสในการให้ผลตอบแทนคุ้มค่า จากความเป็นไปได้ในการเรียกค่าเช่าได้สูงขึ้นและและดึงดูดผู้เช่าได้ดีขึ้นหลังการปรับปรุงแล้วเสร็จ” มีอาคารสำนักงานสำคัญๆ หลายอาคารที่ใช้กลยุทธ์การปรับปรุงอาคารเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งไม่จำกัดเฉพาะในกลุ่มอาคารสำนักงานเกรดรอง แต่รวมถึงอาคารเกรดเอด้วย ตัวอย่างอาคารที่เพิ่งปรับปรุงอาคารเสร็จสิ้นไปเมื่อเร็วๆ นี้ ได้แก่ อาคารไซเบอร์เวิลด์ อาคารสินธร และอาคารจีพีเอฟวิทยุ ส่วนอาคารที่กำลังอยู่ในระหว่างการปรับปรุงในขณะนี้ได้แก่ อาคารเคี่ยนหงวน 2อาคารซันทาวเวอร์ และอาคารวานิช นายไมเคิล ถัง ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารโครงการก่อสร้างและออกแบบตกแต่ง เจแอลแอล กล่าวว่า “โดยทั่วไป การปรับปรุงอาคารเป็นทางเลือกที่เจ้าของอาคารเก่านิยมมากกว่าการรื้อถอนอาคารเพื่อสร้างใหม่ เนื่องจากใช้เงินทุนและเวลาน้อยกว่า อีกทั้งยังช่วยเลี่ยงปัญหาเรื่องกฎหมายควบคุมการก่อสร้างอาคารใหม่ที่อาจทำให้ไม่สามารถสร้างอาคารขนาดพื้นที่ใช้สอยเท่าเดิมได้” “อย่างไรก็ดี การที่จะเลือกวิธีการปรับปรุงอาคารหรือการรื้อถอนเพื่อสร้างใหม่ ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ต้องพิจารณา อาทิ อาคารมีอายุการใช้งานมานานเท่าใด การก่อสร้างตั้งแต่แรกเริ่มมีคุณภาพหรือไม่ และอาคารได้รับการบริหารจัดการ-ดูแลรักษาดีมากน้อยเพียงใด เป็นต้น อาคารบางอาคารอาจไม่เหมาะที่จะใช้งานต่อไปได้อีกและสมควรรื้อทิ้งเพื่อสร้างใหม่ตามมาตรฐานสมัยใหม่ ในขณะเดียวกัน การปรับปรุงอาคารจะช่วยยืดอายุการใช้งานของอาคารให้ยาวนานขึ้น แต่แน่นอนว่าจะไม่ยาวนานเท่าการสร้างอาคารใหม่ ดังนั้น การพิจารณาเงินลงทุนที่จะใช้ในการปรับปรุงอาคาร จะต้องคำนึงถึงอายุการใช้งานที่จะเหลืออยู่ของตัวอาคารหลังการปรับปรุงแล้วเสร็จ” การปรับปรุงอาคารสามารถแบ่งออกได้หลายระดับ นับตั้งแต่การปรับปรุงเล็ก ได้แก่  การเข้าถึงความปลอดภัย ลิฟต์ ป้ายอาคาร ห้องลอบบี้ ห้องน้ำ หรือภูมิทัศน์ ไปจนถึงการปรับปรุงใหญ่ อาทิ การปรับรูปโฉมของทั้งอาคาร
กรุงเทพฯ เป็นแหล่งรวมแบรนด์สินค้าอินเตอร์มากที่สุดอันดับที่ 18 ของโลก

กรุงเทพฯ เป็นแหล่งรวมแบรนด์สินค้าอินเตอร์มากที่สุดอันดับที่ 18 ของโลก

กรุงเทพฯ 11 พฤษภาคม 2559 - รายงานการศึกษาตลาดอสังหาริมทรัพย์ประเภทศูนย์การค้าจากบริษัทที่ปรึกษาและบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ เจแอลแอล (โจนส์ แลง ลาซาลล์) เปิดเผยว่า กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่มีแบรนด์ระหว่างประเทศสนใจเข้ามาเปิดร้านจำหน่ายสินค้ามากที่สุดเป็นอันดับที่ 18 ของโลก รายงานฉบับดังกล่าวยังระบุด้วยว่า หัวเมืองใหญ่ของเอเชียเป็นทำเลที่ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าแบรนด์เนมให้ความสนใจมาก โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าแบรนด์เนมระดับหรู รายงานฉบับดังกล่าวของเจแอลแอล วิจัยตลาดศูนย์การค้าในเมืองสำคัญๆ 140 เมืองทั่วโลก โดยพิจารณาความน่าสนใจในการดึงดูดให้ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าแบรนด์เนมระหว่างประเทศเข้ามาเปิดร้านจำหน่ายสินค้า เมืองที่มีแบรนด์สินค้าอินเตอร์สนใจเปิดร้านวางจำหน่ายสินค้ามากที่สุด 20 อันดับแรกของโลก ลอนดอน ฮ่องกง ปารีส ดูไบ นิวยอร์ค เซี่ยงไฮ้ สิงคโปร์ ปักกิ่ง คูเวตซิตี้ โตเกียว อาบูดาบี ไทเป เจดดาห์ ริยาดห์ โซล ลอสแองเจลิส มอสโคว์ กรุงเทพฯ ลาสเวกัส โอซากา ที่มา – เจแอลแอล ในบรรดา 10 เมืองที่มีจำนวนแบรนด์สินค้าระหว่างประเทศสนใจเปิดร้านมากที่สุดในโลก เป็นเมืองจากเอเชีย 5 เมือง ได้แก่ ฮ่องกง เซี่ยงไฮ้ สิงคโปร์ ปักกิ่ง และโตเกียว โดยเฉพาะฮ่องกง ติดอันดับที่ 2 เป็นรองเฉพาะแต่ลอนดอน กรุงเทพฯ ติดอันดับ 18 ของโลก ชื่อเสียงของกรุงเทพฯ ในฐานะแหล่งช็อปปิ้งยอดนิยมสำหรับสินค้าแฟชั่นกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยขณะนี้ ติดอยู่ในอันดับที่ 18 ของเมืองที่ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าแบรนด์เนมระหว่างประเทศต้องการเข้ามาเปิดร้านวางจำหน่ายสินค้ามากที่สุด แซงหน้าลาสเวกัสของสหรัฐฯ ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 19 การที่ประชากรมีกำลังซื้อเพิ่มสูงขึ้นและการขยายตัวของจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาจากทั่วทุกมุมโลก ทำให้มีแบรนด์สินค้าระดับโลกหลากหลายแบรนด์เข้ามาเปิดร้านจำหน่ายสินค้าที่นี่ ไม่ว่าจะเป็น H&M, Zara Home, Pull & Bear และ Victoria’s Secret ตามมาด้วย Dior Homme, Pierre Hermé, A Bathing Ape และ Tiffany & Co. ซึ่งเพิ่งเข้ามาเมื่อไม่นานมานี้ ราชประสงค์นับเป็นศูนย์กลางย่านศูนย์การค้าของกรุงเทพฯ มีแบรนด์สินค้าระหว่างประเทศหลากหลายแบรนด์เข้ามาเปิดร้านจำหน่ายสินค้า และสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้เป็นจำนวนมาก จากการมีทำเลในใจกลางเมืองและเข้าถึงได้สะดวกด้วยรถไฟฟ้า ในย่านนี้ มีศูนย์การค้ารวม 7 แห่ง รวมถึงศูนย์การค้าที่ได้รับความนิยมมากที่สุด อาทิ สยามพารากอน เซ็นทรัลเวิลด์ และสยามสแควร์วัน ในขณะเดียวกัน การเปิดตัวของเอ็มควอร์เทียร์, เซ็นทรัล เวสต์เกต และเซ็นทรัลเฟสติวัล อิสต์วิลล์ ในทำเลรอบนอกของย่านศูนย์การค้าหลัก ยังเป็นการเพิ่มโอกาสให้แบรนด์สินค้าระหว่างประเทศมีช่องทางขยายร้านจำหน่ายสินค้าเพิ่มขึ้น โอกาสที่จะมีแบรนด์สินค้าระหว่างประเทศเข้ามาเปิดร้านจำหน่ายสินค้าในกรุงเทพฯ ยังมีอีกมาก เนื่องจากตลาดศูนย์การค้าของกรุงเทพฯ ยังคงมีการขยายตัว ดังจะเห็นตัวอย่างได้จากกลุ่มเซ็นทรัลที่มีแผนเปิดศูนย์การค้าอีกหลายโครงการในเขตกรุงเทพฯ ชั้นนอก เมืองใหญ่ของเอเชียดึงดูดแบรนด์หรูได้มากที่สุดในโลก รายงานฉบับเดียวกันของเจแอลแอล ได้แยกย่อยการศึกษาแบรนด์สินค้าเฉพาะกลุ่มระดับหรูด้วย และพบว่ามีเมืองในเอเชียมากถึง 7 เมืองที่ติด 10 อันดับแรกที่มีจำนวนแบรนด์สินค้าระดับหรูหราเปิดร้านมากที่สุด ได้แก่ ฮ่องกง โตเกียว เซี่ยงไฮ้ สิงคโปร์ ปักกิ่ง โอซาก้า และไทเป 10 อันดับของเมืองที่มีแบรนด์สินค้าระดับหรูเปิดร้านวางจำหน่ายสินค้ามากที่สุดในโลก 1 ลอนดอน 2 ฮ่องกง 3 ปารีส 4 โตเกียว 5 นิวยอร์ค 6 เซี่ยงไฮ้ 7 สิงคโปร์ 7 ดูไบ 9 ปักกิ่ง 10 โอซากา 10 ไทเป ที่มา – เจแอลแอล นายเจมส์ แอสเซอร์สัน ผู้อำนวยการฝ่ายบริการธุรกิจศูนย์การค้าภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกของเจแอลแอล กล่าวว่า “ฮ่องกงยังคงเป็นแหล่งช็อปปิ้งสินค้าแบรนด์หรูชั้นนำในเอเชียแปซิฟิก แม้ยอดขายสินค้าแบรนด์หรูจะชะลอตัวลงค่อนข้างมากจากผลกระทบของการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน แต่ฮ่องกงยังคงสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจีนที่มีกำลังซื้อสูงเข้ามาได้เป็นจำนวนมาก” “ในภาพรวม การที่เมืองของเอเชียติดอันดับต้นๆ ที่แบรนด์สินค้าหรูให้ความสนใจ เป็นผลมาจากการขยายตัวของชนชั้นกลางและกำลังการซื้อที่สูงขึ้นในภูมิภาค” นายแอสเซอร์สันอธิบาย ที่โตเกียวซึ่งอยู่ในอันดับที่ 4 ของโลก ความต้องการพื้นที่ร้านค้าในศูนย์การค้าชั้นดีจากผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าแบรนด์หรูระดับโลกเริ่มฟื้นตัวตามการปรับตัวดีขึ้นของแนวโน้มเศรษฐกิจและการเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยว นอกจากนี้ ค่าเงินเยนที่ปรับตัวลดลงไปแล้วเกือบ 30% นับตั้งแต่ปี 2555 ทำให้ญี่ปุ่นสามารถดึงดูดนักชอปที่เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติได้มากขึ้น โดยในปี 2558 ที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น 47% จากปีก่อนหน้า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจากจีน เซี่ยงไฮ้อยู่ในดับ 6 ของเมืองที่เป็นแหล่งรวมแบรนด์สินค้าระดับหรูมากที่สุดในโลก “มีแบรนด์สินค้าหรูระดับโลกจำนวนมากที่สนใจเข้ามาเปิดร้านในเซี่ยงไฮ้ เนื่องจากประชากรในเมืองนี้มีกำลังซื้อสูง โดยบางแบรนด์ใช้เซี่ยงไฮ้เป็นสถานที่ทดสอบตลาดจีน และเป็นฐานในการเสริมสร้างชื่อเสียงให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นในหมู่นักช็อปชาวจีน นอกจากนี้ สินค้าแบรนด์เนมระดับหรูของโลกบางแบรนด์ที่ไม่มีขายในฮ่องกง สามารถพบเห็นได้ที่เซี่ยงไฮ้” นายแอสเซอร์สันกล่าว นายแอสเซอร์สันกล่าวว่า “สินค้าแบรนด์เนมระดับหรูจะสามารถขายได้มากน้อยเพียงใดในแต่ละเมือง ไม่ได้ขึ้นอยู่เฉพาะกับสภาพเศรษฐกิจของเมืองนั้นๆ แต่ยังมีปัจจัยอื่นๆ ด้วย อาทิ จำนวนนักท่องเที่ยว และการขยายตัวของรายได้ประชากร ทั้งนี้ มีการคาดการณ์ว่า รายได้ของประชากรในเมืองส่วนใหญ่ของเอเชียจะมีการขยายสูงในช่วง 15 ปีข้างหน้า ซึ่งหมายความว่า การจับจ่ายซื้อสินค้าแบรนด์เนมหรูในเอเชียยังมีโอกาสขยายตัว ไม่ว่าจะเป็นการซื้อภายในประเทศหรือในต่างประเทศ”
อนันดาฯ โชว์กำไรสุทธิไตรมาสแรกเพิ่มขึ้น 102% จากปี 58 พร้อมรายได้เติบโตสูง 86% สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ถึง 34% เดินหน้าสู่ช่วงเวลาเก็บเกี่ยวผลตอบแทนอย่างแท้จริง

อนันดาฯ โชว์กำไรสุทธิไตรมาสแรกเพิ่มขึ้น 102% จากปี 58 พร้อมรายได้เติบโตสูง 86% สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ถึง 34% เดินหน้าสู่ช่วงเวลาเก็บเกี่ยวผลตอบแทนอย่างแท้จริง

บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ANAN ผู้นำตลาดคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้า ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านการพัฒนาที่อยู่อาศัยติดรถไฟฟ้า โชว์ศักยภาพการดำเนินงาน ประกาศความสำเร็จอีกครั้ง พร้อมเติบโตอย่างมั่นคง เผยไตรมาสแรกของปี 2559 บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการสร้างกำไรสุทธิ 149 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 102% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 58 พร้อมทั้งสร้างรายได้ 2,595 ล้านบาท เติบโตถึง 86% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 58 ตอกย้ำความสำเร็จของเป้าหมายตอนต้นปี ที่ปี 2559 ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของอนันดาฯ ในการเข้าสู่การเก็บเกี่ยวผลตอบแทน (Harvest Period) สะท้อนถึงความสามารถในการนำเงินลงทุนจาก IPO มาพัฒนาโครงการและมีการเปิดขายไปก่อนหน้านี้ ซึ่งได้เริ่มสร้างผลตอบแทนจากการลงทุน นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทอนันดาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทฯ มีภาพรวมการดำเนินธุรกิจที่ประสบความสำเร็จจากตัวเลขรายได้ และกำไรสุทธิที่แข็งแกร่งสอดคล้องกับในปี 2559 ถือเป็นช่วงของการเก็บเกี่ยวผลตอบแทน (Harvest Period) ตั้งแต่เงินลงทุนจาก IPO ที่นำมาพัฒนาโครงการและมีการเปิดขายไปก่อนหน้านี้ รวมถึงการก่อสร้างได้แล้วเสร็จ และเริ่มมีการโอนกรรมสิทธิ์ โดยจะเริ่มสร้างผลตอบแทนจากยอดโอนในปี 2559 จำนวน 5 โครงการ นอกจากนี้บริษัทฯ มียอดขายรอรับรู้รายได้ ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2559 กำหนดภายในช่วง 3 ปีข้างหน้าจำนวนกว่า 38,500 ล้านบาท ซึ่งสูงสุดเป็นสถิติอีกครั้ง โดยเพิ่มขึ้น 3.7% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 12.5% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 58 ในไตรมาส 1/2559 บริษัทฯ ได้เปิดตัวคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้า 2 โครงการใหม่อย่างเป็นทางการได้แก่ โครงการ แอชตัน สีลม ตั้งอยู่บนถนนสีลม มูลค่าโครงการกว่า 6,000 ล้านบาท ซึ่งสามารถปิดการขาย 59.3% และโครงการไอดีโอ ท่าพระ อินเตอร์เชนจ์  ห่างจากรถไฟฟ้า MRT ท่าพระ เพียง 100 เมตร มูลค่าโครงการกว่า 3,000 ล้านบาท ซึ่งสามารถปิดการขายได้ 28% จากมูลค่าที่เปิดขายกว่า 1,500 ล้านบาท ประกอบกับยอดขายจากโครงการที่เปิดขายก่อนหน้า ทำให้บริษัทฯ สามารถสร้างยอดขายในไตรมาสแรกได้กว่า 4,800 ล้านบาท สอดคล้องกับยอดขายที่ตั้งเป้าหมายไว้ ทั้งนี้ในไตรมาสแรก บริษัทฯ สร้างยอดขายได้ 23% ของเป้าหมายยอดขายทั้งปีที่ตั้งไว้ในไตรมาส 1/2559 นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมีแผนเปิดโครงการใหม่อีก 11 โครงการ ตามเป้าหมายที่วางไว้ ซึ่งโครงการที่ได้เปิดตัวไปแล้วนั้นได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า แสดงให้เห็นว่าความต้องการที่พักอาศัยในระดับราคาทุกประเภทยังคงมีอยู่มาก โดยเฉพาะโครงการที่คุ้มค่า คุณภาพดี ทำเลใกล้รถไฟฟ้า ในไตรมาส 1/2559 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ 2,179 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายรายได้ที่ตั้งไว้เมื่อต้นปีถึง 34% และเพิ่มขึ้นถึง 81% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี58 พร้อมทั้งมีกำไรสุทธิ 149 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 102% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 58 ทั้งนี้บริษัทฯ ได้ปรับเพิ่มเป้ายอดโอนทั้งปีอีกเล็กน้อย 0.4% จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ก่อนหน้า อยู่ระหว่าง 15,000-16,000 ล้านบาท สำหรับในไตรมาส1/2559 นี้ บริษัทฯ สร้างอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 6%เพิ่มขึ้นจาก 5% ในช่วงเดียวกันของปี58  และสามารถสร้างรายได้ดีกว่าเป้าหมาย จากการที่บริษัทฯ ได้เริ่มโอนโครงการคอนโดมิเนียม ไอดีโอ คิว ราชเทวี ที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ และเริ่มโอนได้เร็วกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ นอกจากนี้บริษัทได้สร้างผลกำไรสุทธิที่ดีกว่าเป้าหมาย จากการควบคุมต้นทุน โดยค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อรายได้ ลดลงจาก 28% ในไตรมาสเดียวกันของปี 58  เป็น 24% ในไตรมาสนี้ ถึงแม้ว่าบริษัทฯ จะมีการเติบโตอย่างรวดเร็วก็ตาม ถึงสภาพเศรษฐกิจโดยรวมจะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่ความต้องการที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้ายังคงมีอัตรายอดขายที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา อีกทั้งรูปแบบการพักอาศัยก็มีการปรับเปลี่ยนจากการอยู่อาศัย บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ มาเป็นคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้ามากขึ้น ซึ่งบริษัทฯ มีความมุ่งมั่นในการเป็นผู้นำการพัฒนาคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าที่สามารถตอบโจทย์และสอดรับกับไลฟ์สไตล์ของคนกรุงเทพฯ ได้อย่างดีที่สุด นอกจากนี้บริษัทฯ ยังรักษาวินัยในการบริหารงาน โดยมีอัตราส่วนค่าใช้จ่ายการขายและบริหารต่อรายได้ลดลงจากปี58 และสามารถรักษาวินัยทางการเงิน และบรรลุเป้าหมายการเติบโต โดยบริษัทฯ ได้ดำรงอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนทุนในระดับเพียง 0.8:1 ณ สิ้นไตรมาส 1/2559 บริษัทฯ มีกระแสเงินสดที่มั่นคงและแข็งแกร่ง พร้อมมีเงินสดเกินกว่า 2,800 ล้านบาท ณ สิ้นไตรมาส 1/2559 และยังคงได้รับการสนับสนุนที่ดีจากธนาคาร รวมถึงมีทางเลือกหลายทางหากจำเป็นที่จะต้องใช้เงิน ในเดือนพฤษภาคม 2559 บริษัทฯ ได้ออกหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุน จำนวน 1,000 ล้านบาท รองรับการขยายธุรกิจ และเป็นเงินทุนหมุนเวียน บริษัทฯ ยังคงรักษาความวินัยทางการเงินโดยบริษัท ทริส เรทติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ได้ปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทฯ จากระดับ BBB- แนวโน้มเชิงบวก เป็นระดับ BBB แนวโน้มคงที่ พร้อมได้จัดอันดับตราสารที่มีลักษณะคล้ายทุนดังกล่าวในระดับ BB+ แนวโน้มคงที่
เอพี ปล่อยหมัดเด็ดยกแรกของปี ส่ง “Life สุขุมวิท 48” ขึ้นสังเวียนอสังหาฯ ชูจุดขายช็อควงการ คอนโดฯใจกลางสุขุมวิทราคาต่ำกว่าแสน พร้อม Facilities ระดับพรีเมี่ยม เตรียมเปิดพรีเซลล์ 4-5 มิ.ย. นี้

เอพี ปล่อยหมัดเด็ดยกแรกของปี ส่ง “Life สุขุมวิท 48” ขึ้นสังเวียนอสังหาฯ ชูจุดขายช็อควงการ คอนโดฯใจกลางสุขุมวิทราคาต่ำกว่าแสน พร้อม Facilities ระดับพรีเมี่ยม เตรียมเปิดพรีเซลล์ 4-5 มิ.ย. นี้

เอพี (ไทยแลนด์) เปิดตัว Life สุขุมวิท 48 คอนโดมิเนียมโครงการแรกของปี 2559 บนทำเลสุด Hot ใจกลางสุขุมวิทกับราคาที่หาไม่ได้อีกแล้ว เริ่มไม่ถึงแสน เพียง 83,000 บาทต่อตารางเมตร พร้อมชูจุดขาย Rooftop Facilities เทียบเท่าคอนโดระดับพรีเมี่ยม เตรียมเปิดขายครั้งแรก 4-5 มิถุนายนนี้ นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยถึงโครงการคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ล่าสุดว่า “Life สุขุมวิท 48 เป็นคอนโดมิเนียมโครงการแรกของเอพี ที่เปิดขายในปี 2559 ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งโครงการที่เป็นไฮไลท์ของปีนี้ เพราะนอกจากเรื่องทำเลที่ตั้งของโครงการที่ถือว่าดีมากๆ ใกล้รถไฟฟ้า เดินทางสะดวกสบายอยู่ใจกลางเมืองอย่างสุขุมวิทแล้ว ที่น่าจับตามองมากที่สุดคือในส่วนของราคาขายที่ไม่ถึงหนึ่งแสนบาทต่อตารางเมตร เริ่มเพียง 83,000 บาทต่อตารางเมตร นับเป็นราคาที่หาไม่ได้อีกแล้วบนถนนสุขุมวิท โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโซนพระโขนงที่ถือเป็นย่านที่มีการเจริญเติบโตสูง เนื่องจากรายล้อมไปด้วยแหล่งอำนวยความสะดวกมากมาย ใกล้ทองหล่อ เอกมัย การเดินทางก็สะดวกเชื่อมต่อไปยังพื้นที่ในโซนอื่นๆ ได้หลากหลายช่องทาง พร้อมที่จะพัฒนาอย่างต่อเนื่องได้อีกในอนาคต โดยล่าสุดกรมธนารักษ์ก็เพิ่งมีการประกาศปรับราคาที่ดินย่านนี้ขึ้นอีกเฉลี่ย 33.54% นับเป็นโซนที่มีการปรับราคาที่ดินมากที่สุดในกรุงเทพฯ อีกด้วย นอกจากนั้นไฮไลท์ของโครงการอีกอย่างคือ Rooftop Facility สิ่งอำนวยความสะดวกที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัย ที่อยู่ชั้นบนสุดของทั้งสองอาคาร ให้ความรู้สึกพรีเมี่ยมในการใช้ชีวิตที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ไปพร้อมๆ กับการชมวิวมหานครทั้งกลางวันและยามค่ำคืน รวมไปถึง Lobby ที่ตกแต่งอย่างเรียบหรูมีสไตล์ด้วยวัสดุระดับ Hi-End ตลอดจนฟังก์ชั่นของห้องที่ปรับพื้นที่ใช้สอยให้สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างสูงสุด ตอบโจทย์การใช้ชีวิตคนเมืองได้อย่างแท้จริง ดังนั้น ลูกค้าที่ซื้อโครงการนี้ถือว่าคุ้มค่ามากๆ ทั้งในแง่ของการลงทุนหรือการอยู่อาศัยเอง เพราะได้คอนโดมิเนียมทำเลเมืองที่ตอบโจทย์ทั้งเรื่องการเดินทางที่สะดวกสบายและการใช้ชีวิตที่สมบูรณ์แบบด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการแบบครบครัน ในราคาที่หาซื้อไม่ได้แล้วบนถนนสุขุมวิท ทั้งนี้คาดว่าจะได้การตอบรับที่ดีมากจากลูกค้า โครงการ Life สุขุมวิท 48 เป็นคอนโดมิเนียม Hi-Rise ภายใต้คอนเซ็ปต์ CONNECT TO THE NEXT STEP OF LIFE มีทั้งหมด 612 ยูนิต + 1 ร้านค้า ประกอบไปด้วยอาคารที่พักอาศัย 2 อาคาร ได้แก่ อาคาร N สูง 19 ชั้น และ อาคาร S สูง 31ชั้น และอาคารจอดรถ อาคาร C สูง 9 ชั้น (มีชั้นใต้ดิน 2 ชั้น) ตั้งอยู่บนถนนสุขุมวิท ซอย 48 เดินทางสะดวกสบาย ใกล้สถานีพระโขนงเพียง 600 เมตร, 3 สถานี ถึงเอ็มควอเทียร์ หากใช้รถยนต์ สามารถเดินทางเข้าออกได้หลายเส้นทาง ทั้งถนนพระราม 4, ถนนสุขุมวิทซอย 48 ใกล้ทางด่วนสุขุมวิท 50 และทางด่วนเฉลิมมหานครและอาจณรงค์ ภายโครงการประกอบด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกระดับพรีเมี่ยม ไม่ว่าจะเป็น Rooftop Facility ชั้นบนสุดของทั้งสองอาคารที่แยกกันอย่างเป็นสัดส่วน ประกอบไปด้วย สระว่ายน้ำ และ Panoramic Fitness สามารถออกกำลังกายแบบชิวๆ ไปพร้อมกับชมวิวเมืองสวยๆ นอกจากนั้นในส่วนของชั้นล่าง Lobby ดีไซน์อย่างมีสไตล์และให้ความรู้สึกหรูหราด้วย Bronzo หินอ่อนระดับ Hi-End ประดับคู่กับ Modern Chandelier Style และที่สำคัญมี  Co-Working Space พื้นที่ที่ตอบรับการใช้ชีวิตแบบสมาร์ทของคนเมืองที่ต้องการพบปะสังสรรค์หรือทำงานร่วมกัน ในส่วนของตัวห้องถูกออกแบบพื้นที่ได้อย่างลงตัว สามารถใช้สอยได้จริงทุกตารางนิ้ว มีขนาดห้องเริ่มต้นที่ 1 ห้องนอน 30 ตารางเมตร ราคา 83,000 บาทต่อตารางเมตร Life สุขุมวิท 48 คอนโดมิเนียมใหม่ ใกล้รถไฟฟ้า บนทำเลศักยภาพกับราคาที่ดีที่สุดในสุขุมวิท 4-5 มิถุนายนนี้ เปิดจองครั้งแรก เริ่มต้นเพียง 2.49 ล้าน ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ คลิก www.apthai.com/คอนโด/life/life-sukhumvit-48/
ไรมอน แลนด์ เปิดตัวโครงการ เดอะ ลอฟท์ อโศก อย่างเป็นทางการ

ไรมอน แลนด์ เปิดตัวโครงการ เดอะ ลอฟท์ อโศก อย่างเป็นทางการ

กรุงเทพฯ – 10 พฤษภาคม 2559 – บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) บริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศไทย เปิดตัว “เดอะ ลอฟท์ อโศก” โครงการคอนโดมีเนียมแบบฟรีโฮลด์ สุดหรูบนทำเลทองย่านสุขุมวิทอย่างเป็นทางการ มูลค่ากว่า 3.1 พันล้านบาท โดยมียอดขายในช่วงพรีเซลล์ไปแล้วเกือบ 50% ตอกย้ำการเป็นหนึ่งในผู้นำด้านตลาดบ้านและคอนโดมีเนียมหรูแบบฟรีโฮลด์ จอห์นสัน ตัน กรรมการผู้อำนวยการและกรรมการบริหาร บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) เผยว่า บรรดาผู้ประกอบการรายใหญ่ยังคงเร่งทำตลาดคอนโดมิเนียมบนทำเลใจกลางเมือง เนื่องจากตลาดในกลุ่มนี้ยังมีความต้องการที่อยู่อาศัยที่ดีและมีคุณภาพอย่างต่อเนื่อง สามารถเห็นได้จากราคาซื้อขายที่ดินต่อตารางวาในกรุงเทพฯ ที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติกาล ซึ่งส่วนใหญ่แล้วโครงการในบริเวณใจกลางเมืองยังมีอัตราการจองซื้อที่สูง เนื่องจากลูกค้าทราบว่าที่ดินที่ดีในการพัฒนาโครงการหายากมากยิ่งขึ้น รวมทั้งมูลค่าของห้องชุดในบริเวณใจกลางเมืองยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องส่งผลดีต่อการทำกำไรให้แก่นักลงทุน “เราเชื่อมั่นว่า ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังคงมีโอกาสและแนวโน้มที่ดีในตลาด โดยบริษัทฯ น่าจะยังคงได้รับการตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่องจากการเป็นบริษัทที่มีศักยภาพและเป็นที่ยอมรับในตลาด  ดังนั้น เราจึงมุ่งเน้นในการพัฒนาบ้านและคอนโดมิเนียมหรูแบบฟรีโฮลด์ เช่น เดอะ ลอฟท์ อโศก, เดอะ ลอฟท์ เอกมัย และโครงการมิวส์ เย็นอากาศ เป็นต้น ซึ่งเป็นตลาดที่เรามีความชำนาญ” จอห์นสัน ตัน กล่าว ห้องชุดทั้ง 211 ยูนิต ของ เดอะ ลอฟท์ อโศก ถูกออกแบบมาเพื่อผู้ที่รักการใช้ชีวิตใจกลางเมือง โดยได้แรงบันดาลใจจากย่านอินดัสเตรียล แวร์เฮาส์สุดเก๋จากย่านไทรเบกา และโซโห ในแมนฮัตตัน นิวยอร์ก คอนโดสุดคูลแห่งนี้มีความสูง 45 ชั้น บนพื้นที่ 1.5 ไร่ (ประมาณ 2,663 ตารางเมตร) รูปแบบการตกแต่งภายในสามารถใส่รายละเอียดที่บ่งบอกความเป็นตัวตนของผู้อยู่ ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบแนว รอว์ (Raw) เน้นความเท่ดิบเปลือยของวัสดุตกแต่ง สไตล์อินดัสเครียล ลอฟท์ แนว  โบวด์ (Bold) ที่มีความโดดเด่น ไม่เหมือนใคร หรือแนว ฟังก์ชันนัล (Functional) ตอบโจทย์ความต้องการของผู้อยู่อาศัย เดอะ ลอฟท์ อโศก ตั้งอยู่ในย่านอโศก ติดกับย่านธุรกิจแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ ที่กำลังพัฒนา อย่างมักกะสัน และไม่ไกลจากแหล่งที่ช้อปปิ้ง ร้านอาหารและย่านชุมชนอย่างสุขุมวิท เดอะ ลอฟท์ อโศก ได้รับการออกแบบโดยทีมที่ปรึกษาระดับเวิลด์คลาสอย่าง Eco.id ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนกรุงยุคใหม่ ผู้ชื่นชอบพื้นที่ใช้สอยภายในโอ่โถง พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน “ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาผู้บริโภคในแต่ละกลุ่มมีความละเอียดในการเลือกซื้ออสังหาริมทรัพย์เพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของคุณภาพ จุดเด่นของโครงการ รูปลักษณ์และการออกแบบ การเปลี่ยนแปลงนี้เองส่งผลในเชิงบวกต่อบริษัทฯ เพราะบริษัทให้ความสำคัญในการออกแบบเพื่อให้สอดคล้องกับการใช้งานและตรงตามความต้องการของผู้อยู่อาศัย” จอห์นสัน ตัน กล่าวเสริม เจอราร์ด ฮิลลี่ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาโครงการของไรมอน แลนด์ กล่าวว่า ในฐานะผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับไฮเอนด์ของเมืองไทย เราสนองตอบในความต้องการห้องชุดโอ่โถงขนาดใหญ่ เพดานสูง 3.2 เมตร ขณะที่ สกาย ลอฟท์ ดูเพล็กซ์ มีเพดานสูงถึง 5.7 เมตร “เดอะ ลอฟท์ อโศก คือการพัฒนาความหรูหรามีระดับตามแบบฉบับของแบรนด์ ลอฟท์ ของไรมอน แลนด์ ซึ่งนอกจากที่ เดอะ ลอฟท์ อโศก จะรวมเอาไว้ซึ่งนวัตกรรมการออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์ของไรมอน แลนด์ แล้ว ยังเป็นโครงการที่ควรค่าแก่การลงทุน ไม่ว่าจะเก็บไว้เป็นทรัพย์สินของครอบครัว หรือสำหรับให้เช่า” มร. ฮิลลี่ เสริม “โดยเจ้าของห้องชุดในโครงการจะได้รับห้องชุดระดับคุณภาพบนทำเลทอง ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของตน” นอกจากนี้ ไรมอน แลนด์ ยังได้นำเสนอโปรโมชั่นที่น่าสนใจระหว่างวันที่ 14-15 พฤษภาคม 2559 ในงาน “ลอฟท์ ลิฟวิ่ง” ณ เดอะ ลอฟท์ อโศก เซลล์ แกลอรี่ ซอย สุขุมวิท 21 โดยลูกค้าทั่วไปสามารถเข้ามาเยี่ยมชมห้องตัวอย่างได้ ตั้งแต่เวลา 10.00 – 20.00 น. ราคาเริ่มต้นของโครงการ เดอะ ลอฟท์ อโศก อยู่ที่ 8 ล้านบาท พร้อมทั้งลุ้นรางวัลสุดคูล ตั๋วเครื่องบินไปกลับ กรุงเทพฯ-นิวยอร์ก หรือ นาฬิกา Apple Watch โครงการ เดอะ ลอฟท์ อโศก มีกำหนดเริ่มสร้างประมาณกลางปี 2559 และคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2561 หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สามารถดูได้ที่ www.theloftsasoke.com หรือติดต่อไรมอน แลนด์ ที่หมายเลข 02 651 9600
เกษร พร็อพเพอร์ตี้ โชว์ซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ คอนโดมิเนียม “TELA Thonglor – เทลล่า ทองหล่อ” ลีฟวิ่งไลฟ์สไตล์ มาสเตอร์พีซ แห่งอนาคตใจกลางทองหล่อ

เกษร พร็อพเพอร์ตี้ โชว์ซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ คอนโดมิเนียม “TELA Thonglor – เทลล่า ทองหล่อ” ลีฟวิ่งไลฟ์สไตล์ มาสเตอร์พีซ แห่งอนาคตใจกลางทองหล่อ

กรุงเทพฯ – บริษัท เกษร พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับไฮเอนด์และลักซ์ชัวรี่ชั้นนำของประเทศไทย ขยายแผนการพัฒนาและดำเนินธุรกิจโครงการอสังหาริมทรัพย์สุดหรู บนทำเลสำคัญของมหานคร ล่าสุดเปิดโครงการ “TELA Thonglor – เทลล่า ทองหล่อ” คอนโดมิเนียมระดับซูเปอร์ ลักซ์ชัวรี่ แลนด์มาร์กแห่งใหม่ใจกลางทองหล่อ มูลค่าโครงการกว่า 4,100 ล้านบาท ให้คุณเชื่อมต่อซิตี้ไลฟ์สไตล์ของทุกคอมมูนิตี้แบบไร้รอยต่อ ดั่งคำนิยาม “The Landmark Residence on Thonglor” โดดเด่นเหนือระดับด้วย 5 เอกสิทธิ์สำคัญ ในการออกแบบดีไซน์และฟังก์ชั่นการใช้งาน พร้อมตอกย้ำความสำคัญในการใช้ชีวิต ภายใต้แนวคิด “Canvas of Life” บนพื้นที่ห้องชุดที่ลูกค้าสามารถสร้างสรรค์จิตรกรรมแห่งชีวิต เพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการพักอาศัยและไลฟ์สไตล์อย่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยบริษัทฯ มั่นใจสามารถปิดการขายปี 2559 ด้วยยอดขายกว่า 75% คุณฟ้าฟื้น เต็มบุญเกียรติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เกษร พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด กล่าวว่า “ด้วยความสำเร็จ  ในการดำเนินธุรกิจและพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ผ่านมา ทั้งโครงการคอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี่ “โดมัส สุขุมวิท ซอย 16 และซอย 18” และโครงการคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ระดับไฮเอนด์ “โหมด สุขุมวิท 61” นับเป็นการการันตีคุณภาพถึง ความมุ่งมั่นและใส่ใจในรายละเอียดของบริษัทฯ ที่พิถีพิถันสร้างสรรค์ประสบการณ์รูปแบบการใช้ชีวิตอย่างมีเอกลักษณ์ ภายใต้ดีเอ็นเอ “DNA” ของบริษัทฯ “Refined Quality Living” ซึ่งนับเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจควบคู่กับ การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์บนทำเลทองที่สามารถเชื่อมต่อไลฟ์สไตล์เข้ากับคอมมูนิตี้ได้อย่างลงตัว ล่าสุดบริษัทฯ ดำเนินการก่อสร้างโครงการคอนโดมิเนียมระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ “TELA Thonglor – เทลล่า ทองหล่อ” มูลค่าโครงการกว่า 4,100 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นโครงการสำคัญที่สร้างบนแลนด์มาร์กแห่งอนาคตใจกลางย่านทองหล่อ ทั้งยังเป็นทำเล ที่มีศักยภาพสูงสำหรับการอยู่อาศัย เพราะสามารถเชื่อมต่อไปยังร้านค้า ร้านอาหาร และแหล่งอำนวยความสะดวก ที่ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์” โครงการ “TELA Thonglor – เทลล่า ทองหล่อ” ตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าซอยทองหล่อ 13 สูง 32 ชั้น ดำเนินการออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ “Canvas of life” ที่ต้องการให้ลูกค้าสามารถสร้างสรรค์จิตรกรรมแห่งชีวิต เพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการพักอาศัยและไลฟ์สไตล์อย่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยมีเพียง 84 ยูนิต บนพื้นที่ 1 ไร่ 3 งาน 63 ตารางวา แบ่งเป็นห้องชุดเพียง 4 รูปแบบ อันได้แก่ ขนาด 2-Bedroom “Tela Sienna และ Tela Amber” บนความกว้างขวางของพื้นที่ใช้สอยถึง 111 ตารางเมตร จำนวนเพียง 40 ยูนิต และซิกเนเจอร์ยูนิตของโครงการฯ คือ ห้องชุดขนาด 3-Bedroom “Tela Legacy Suite A & B” บนพื้นที่ใช้สอยขนาด 201-202 ตารางเมตร จำนวน 40 ยูนิต ตลอดจนห้องชุดขนาด 3-Bedroom Duplex หรือ “Signature Suite” มีเพียง 2 ยูนิต ซึ่งปัจจุบันลูกค้าจองซื้อเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มีพื้นที่ใช้สอยสูงถึง 230 ตารางเมตร และสุดท้ายกับห้องชุด 3 Plus 1 Bedroom Duplex หรือ “Sky Duplex Suite” ซึ่งมีเพียง 2 ยูนิต เท่านั้น โดยมอบพื้นที่ใช้สอยสูงถึง 338 ตารางเมตร ทั้งนี้ ทางโครงการฯ ได้มุ่งเน้นการสื่อสาร เพื่อเจาะกลุ่มครอบครัวระดับลักซ์ชัวรี่ที่ใช้ชีวิตอย่างมีสไตล์ในรูปแบบเฉพาะตัว เน้นตอบสนองการอยู่อาศัยที่รักการใช้ชีวิตในเมือง และให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัว คุณฟ้าฟื้น กล่าวต่อไปว่า “จุดเด่นที่ทำให้โครงการฯ มีความแตกต่างและโดดเด่นเหนือระดับ ประกอบไปด้วย 5 องค์ประกอบสำคัญ ได้แก่ “Strategic Location” ทำเลที่มอบประสบการณ์การเชื่อมต่อของซิตี้ไลฟ์สไตล์เข้าสู่คอมมูนิตี้แบบไร้รอยต่อ ทำให้ผู้อยู่อาศัยสามารถสร้างสรรค์รูปแบบการใช้ชีวิต และไลฟ์สไตล์ได้หลากหลายและลงตัว ด้วยถนนที่เชื่อมต่อทุกซอกซอยสู่สถานที่ไลฟ์สไตล์มากมาย อาทิ ร้านอาหาร ศูนย์การค้าแบบเปิด และทางเชื่อมไประบบขนส่งบีทีเอสที่สะดวกสบายและรวดเร็ว “Ultra-Low Density Living” เพิ่มพื้นที่การอยู่อาศัยที่ไม่แออัด และมีความเป็นส่วนตัว ด้วยจำนวนห้องทั้งโครงการเพียง 84 ยูนิต ชั้นละ 4 ห้อง เท่านั้น ส่งผลให้แต่ละยูนิตเต็มไปด้วยมุมมองและบรรยากาศแห่งความพิเศษ  พร้อมเปิดโอกาสให้ผู้อยู่อาศัยสามารถสร้างสรรค์ไลฟ์สไตล์ส่วนตัวภายในยูนิตได้อย่างไม่จำกัดภายใต้ความสูงของห้องชุด 3.20 เมตร “Crafted Space” พื้นที่ใช้สอยได้รับการออกแบบอย่างลงตัวเพื่อให้เหมาะกับการใช้งานที่สามารถรองรับ ทุกไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายของผู้อยู่อาศัย พร้อมโดดเด่นด้วยระเบียงแบบ “Panoramic Adaptive Balcony” ที่มีความยาวกว่า 17 เมตร เชื่อมต่อตั้งแต่ห้องนั่งเล่น และห้องนอนทุกห้องสำหรับห้อง Tela Legacy Suite A & B ทั้งนี้ยังสามารถเปิดประตูระเบียงแบบ Double Glazed หรือกระจกบานประตูเลื่อนที่มีกระจกสองชั้น สามารถป้องกันความร้อน พร้อมช่วยถ่ายเทและหมุนเวียนอากาศภายในห้องได้เป็นอย่างดี “Secured Private Lift Lobby” ให้ผู้อยู่อาศัยสามารถขึ้นตรงจากพื้นที่ส่วนกลางถึงห้องชุดเสมือนลิฟต์ส่วนตัวที่ส่งผู้อยู่อาศัยไปแต่ละชั้นโดยเฉพาะ พร้อมทั้งมาตรฐานความปลอดภัยภายในลิฟต์ด้วยระบบ CCTV Monitoring & Control ที่เชื่อมต่อกับห้องควบคุมตลอดเวลาเพื่อความปลอดภัยสูงสุดของผู้อาศัย “Iconic Design” การออกแบบภายนอกที่สะท้อนความพิถีพิถัน มีเสน่ห์ และอยู่เหนือกาลเวลา ด้วยการตกแต่ง ที่มีคุณภาพ และความหรูหราในทุกรายละเอียด อาทิ ชุดครัวที่ตกแต่งด้วยแบรนด์อิตาลี BINOVA และเครื่องใช้ไฟฟ้า BERTAZZONI และห้องน้ำที่ตกแต่งอย่างประณีต โดยเลือกใช้สุขภัณฑ์ผลงานนักออกแบบระดับโลก ถือเป็นผลงานร่วมสมัยแห่งอนาคตของอาณาจักร เกษร พร็อพเพอร์ตี้ อย่างแท้จริง” คุณเฟิม หงสนันทน์ รองผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท เกษร พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด กล่าวว่า “สำหรับเทลล่า ทองหล่อ ผู้อยู่อาศัยจะได้สัมผัสกับประสบการณ์ที่แตกต่าง และเป็นเอกลักษณ์ของบริษัท พร้อมนำเสนอความหรูหราเหนือระดับ ทั้งพื้นที่ใช้สอย และความพิถีพิถันในทุกรายละเอียด ตลอดจนการเลือกสรรวัสดุที่มีคุณภาพด้วยงานออกแบบของดีไซน์เนอร์ และการวางพื้นที่เพื่อตอบสนองประสบการณ์ Refined Quality Lifestyle ที่เชื่อมโยงเรื่องราวของศิลปะพร้อมสอดแทรกความงดงามในบริเวณส่วนกลาง และภายนอกของโครงการ อาทิ การดีไซน์ “Façade” ให้เกิดมิติมุมมองของแสงที่ตกกระทบผิววัสดุภายนอก ตลอดจนการใช้แสงไฟเพื่อสร้างประสบการณ์ความแตกต่างของตัวอาคารตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน รวมถึง “Greenery Wall” ความเขียวชอุ่มบนกำแพงตลอดตัวอาคารด้านล่าง สอดคล้องกับการออกแบบด้านภูมิทัศน์ “Landscape” ที่มอบความร่มรื่นด้วยพื้นที่สีเขียวภายในโครงการ พร้อมมอบสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อผู้อยู่อาศัยโดยเฉพาะ อาทิ “Lapis Deck” สระว่ายน้ำระบบเกลือความยาวรวม 25 เมตรสำหรับเด็กและผู้ใหญ่ “Pulse Fitness and Pause Spa” ฟิตเนสที่ครบครันด้วยเครื่องออกกำลังกายอันล้ำสมัย พร้อมพื้นที่สปาและบิวตี้ซาลอนส่วนตัว “84 Saletta” (Residential club) ห้องฟังก์ชั่นรูมที่รองรับให้ผู้อยู่อาศัยสามารถเข้ามาใช้บริการจัดเลี้ยงหรือสังสรรค์ได้ตามโอกาส” สำหรับการบริหารจัดการนิติบุคคลอาคารชุด ได้นำเสนอความโดดเด่นผ่าน “Gaysorn Residential Services (GRS) บริษัทบริหารและจัดการอาคารชุด” เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับกลุ่มลูกค้าที่ซื้อและพักอาศัยภายในโครงการ ประกอบด้วย 3 ส่วน ได้แก่ 1) การสร้างคุณค่าในการบริการ “Value Services” เน้นเรื่องการตอบสนองความต้องการของลูกค้าและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ รวมทั้งการช่วยเหลือในด้านต่างๆ 2) “Best Practice Facility Management” การบริหารจัดการทรัพย์สินและเครื่องจักรส่วนกลาง มุ่งเน้นการวางแผนพัฒนาและจัดสรรงบประมาณล่วงหน้าในการซ่อมบำรุงรักษาเครื่องจักรและการดูแลทรัพย์สินส่วนกลางต่างๆ พร้อมทั้งระบบประเมินผลการทำงาน และสุดท้าย 3) การดูแลคุณภาพการบริการ “Quality Assurance” โดยมีทีมเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริการลูกค้าจากบริษัทฯ เป็นที่ปรึกษาอย่างใกล้ชิดกับคณะกรรมการนิติบุคคลและฝ่ายจัดการนิติบุคคลอาคารชุดซึ่งเป็นผู้มีประสบการณ์ในงานบริการลูกค้า และการบริหารทรัพย์สินภายใต้มาตรฐานความใส่ใจในแบบ “Refined Quality Living” อันเป็นหนึ่งในดีเอ็นเอ “DNA” หัวใจสำคัญของบริษัทฯ สำหรับโครงการคอนโดมิเนียมระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ “TELA Thonglor – เทลล่า ทองหล่อ” เริ่มดำเนินการก่อสร้างแล้ววันนี้ และคาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในปี พ.ศ. 2562 โดยราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 300,000 บาทต่อตารางเมตร โดยมั่นใจว่าภายในปลายปี พ.ศ. 2559 จะสามารถปิดการขายด้วยยอดจองสูงถึง 75% สำนักงานขาย “TELA Thonglor – เทลล่า ทองหล่อ” โครงการคอนโดมิเนียมระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ โทร 02-612-5959 หรือ www.telathonglor.com
นายณ์ เอสเตท เชิญสื่อมวลชนเยี่ยมชม โครงการ เฌอคูน ดีไซน์ทาวน์โฮมแนวคิดใหม่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ ด้วยคุณภาพเหนือระดับบนทำเลทองเพื่อการพักอาศัย

นายณ์ เอสเตท เชิญสื่อมวลชนเยี่ยมชม โครงการ เฌอคูน ดีไซน์ทาวน์โฮมแนวคิดใหม่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ ด้วยคุณภาพเหนือระดับบนทำเลทองเพื่อการพักอาศัย

นายณ์ เอสเตท ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพทย์ที่มุ่งเน้นคุณภาพในทุกรายละเอียด เปิดตัว เฌอคูน ดีไซน์ทาวน์โฮม พลิกโฉมรูปแบบการอยู่อาศัยเหนือระดับกับทาวน์โฮมแนวคิดใหม่ บนทำเลที่ดีที่สุดของถนนราชพฤกษ์ - สาทร นับเป็นครั้งแรกในการขยายฐานธุรกิจสู่ตลาดระดับกลางบนทำเลกรุงเทพฯชั้นนอกที่มีศักยภาพ หลังประสบความสำเร็จอย่างสูงจากโครงการระดับไฮเอนด์บนสุดยอดทำเลใจกลางเมืองหลายโครงการทั้ง พาร์ค พรีว่า  และควอร์เตอร์ คอลเลคชั่น ทั้ง 3 โครงการ นายสุธี ลิมปนชัยพรกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท นายณ์ เอสเตท จำกัด กล่าวว่า “โครงการ เฌอคูน คือทาวน์โฮมแนวคิดใหม่ที่มอบทั้งอิสระและความเป็นส่วนตัวในสังคมคุณภาพ บนทำเลที่ดีเยี่ยมย่านถนนราชพฤกษ์ – สาทร ซึ่งเป็นโครงการแรกที่เราเริ่มขยายฐานลูกค้ามาสู่ตลาดที่พักอาศัยระดับกลางบนทำเลยุทธศาสตร์สำคัญของกรุงเทพฯ รอบนอก จากเดิมที่เรามุ่งเน้นโครงการพรีเมียมในทำเลใจกลางเมืองเป็นหลัก แต่ยังคงคุณภาพที่เหนือระดับและความเป็นส่วนตัวด้วยจำนวนยูนิตที่ไม่มาก พร้อมทั้งนำเสนอแนวคิดใหม่ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของตลาดที่ยังไม่มีโครงการทาวน์โฮมใดทำมาก่อน นั่นคือระบบ Automatic security Gate  เพียงแขกที่มากดเลขที่บ้านที่ทางเข้าโครงการจากนั้นสัญญาณจะไปดังที่บ้านของท่านและท่านกดยืนยันก็จะสามารถต้อนรับแขกที่มาได้โดยสะดวก ทั้งนี้หลังจากการเปิดพรีเซลตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมาได้รับการตอบรับที่ดีเกินคาด โดยขณะนี้ มียอดขายถึงกว่า 45% แล้ว” บนทำเลถนนราชพฤกษ์ นับเป็นทำเลที่ดีเยี่ยมสำหรับการพักอาศัยในพื้นที่รอบนอกด้านฝั่งตะวันตกของกรุงเทพฯ เนื่องจากอยู่ในแนวเส้นทางรถไฟฟ้า ทั้งโครงการบีทีเอสส่วนต่อขยายบางหว้า-ตลิ่งชัน ซึ่งจะเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีแดงและสายสีส้มในอนาคต และทางด่วนสายศรีรัช-วงแหวนรอบนอก จึงสามารถเดินทางสู่ใจกลางเมืองและย่านธุรกิจสำคัญต่าง ๆ ของกรุงเทพฯ ได้อย่างรวดเร็ว และหลายปีที่ผ่านมามีการพัฒนาชุมชนเมืองอย่างต่อเนื่อง ทั้งโครงการที่อยู่อาศัย ร้านค้า ศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอลล์ และโรงพยาบาลหลายแห่ง พื้นที่นี้จึงนับว่ามีสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ครบครัน เฌอคูน ดีไซน์ ทาวน์โฮม ผสานจังหวะชีวิตที่สมาร์ทและคล่องตัวแบบคนเมืองเข้ากับท่วงทำนองชีวิตที่เรียบง่าย ผ่อนคลายในอ้อมกอดธรรมชาติอย่างลงตัว ในรูปแบบของทาวน์โฮม 3 ชั้น 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ แต่ละยูนิต ตั้งอยู่บนที่ดินขนาด 20 – 30 ตารางวา มีพื้นที่ใช้สอย 168 ตารางเมตร พร้อมที่จอดรถ 2 คัน โครงการมีทั้งหมดเพียง 70 ยูนิตบนที่ดินขนาดกว่า 7 ไร่ ในราคาขายตั้งแต่ 4.99 - 5.6 ล้านบาท จุดเด่นของเฌอคูน ดีไซน์ ทาวน์โฮม คือดีไซน์โมเดิร์นระดับมาสเตอร์พีซ สภาพแวดล้อมที่สงบเป็นธรรมชาติ ให้ความเป็นส่วนตัวและคุณภาพชีวิตในการพักอาศัยที่ดี พรั่งพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบครัน สวนสาธารณะในโครงการ คลับเฮาส์อันทันสมัย สระว่ายน้ำ พร้อมห้องออกกำลังกาย และนวัตกรรมดูแลรักษาความปลอดภัยเพื่อความคุ้มค่าของค่าส่วนกลางในระยะยาวด้วย ระบบ Automatic Security Gate พร้อม CCTV ทั้งโครงการ และสัญญาณกันขโมยระบบไร้สายที่ติดตั้งให้ทุกบ้าน ขณะนี้โครงการได้มอบข้อเสนอสุดพิเศษ สำหรับแปลงพิเศษ 15 ยูนิต พร้อมเข้าพักอาศัยได้ทันทีเมื่อสร้างเสร็จ ด้วยชุดเฟอร์นิเจอร์ เครื่องครัว ปั๊มน้ำ ถังเก็บน้ำ และเครื่องปรับอากาศสำหรับห้องนอน 2 ห้อง ฟรีค่าโอนและลีฟวิ่งแพ็กเกจมูลค่ารวมกว่า 300,000 บาท “สำหรับแนวโน้มของตลาดอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่พักอาศัยในปีนี้ โครงการแนวราบจะมีการเติบโตที่ดี ขณะที่โครงการคอนโดมิเนียมจะชลอตัว เห็นได้จากการที่ผู้พัฒนาอสังหาฯ รายใหญ่ต่างหันมาเพิ่มสัดส่วนการพัฒนาโครงการแนวราบในปีนี้ ตลาดยังคงมีช่องว่างให้เติบโตสำหรับทาวน์โฮม หรือทาวน์เฮาส์ระดับพรีเมียมทำเลในเมือง หรือทำเลรอบนอกที่เดินทางสะดวก ใกล้ระบบขนส่งมวลชน และทางด่วน ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบราคาต่อตารางเมตรจะถูกกว่าการซื้อคอนโดมิเนียม” นายสุธีกล่าว      
วินด์เซอร์ เปิดตัวระบบประตูหน้าต่างรุ่น “Smart Series” เจาะกลุ่มลูกค้าบ้านสร้างใหม่ และกลุ่มบ้านเก่า พร้อมปล่อยหมัดเด็ด ประสิทธิภาพสูงในราคาที่ใครๆ ก็เอื้อมถึง

วินด์เซอร์ เปิดตัวระบบประตูหน้าต่างรุ่น “Smart Series” เจาะกลุ่มลูกค้าบ้านสร้างใหม่ และกลุ่มบ้านเก่า พร้อมปล่อยหมัดเด็ด ประสิทธิภาพสูงในราคาที่ใครๆ ก็เอื้อมถึง

วินด์เซอร์ (WINDSOR) ผู้พัฒนาระบบประตูหน้าต่างไวนิลเจ้าแรกของเมืองไทย เปิดตัว “SMART Series” ระบบประตูหน้าต่างรุ่นใหม่ พร้อม 3 เทคโนโลยีสุดล้ำเพื่อยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยของผู้อยู่อาศัย ระบบ Z-Lock ระบบ smart clip และระบบ fast frame technology ที่ครบครันด้วยคุณภาพในราคาที่ไม่สูงเกินเอื้อม นายธีรัตถ์ อุทยานัง กรรมการผู้จัดการ บริษัท นวพลาสติกอุตสาหกรรม จำกัด ผู้ผลิตประตูหน้าต่างไวนิล ภายใต้แบรนด์ WINDSOR เปิดเผยว่า WINDSOR ได้เปิดตัวสินค้ารุ่นใหม่ล่าสุด “SMART Series” ระบบประตูหน้าต่างรุ่นใหม่ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “The revolutionary windows and doors” การปฏิวัติระบบประตูหน้าต่าง และยกมาตรฐานความปลอดภัยของผู้อยู่อาศัย ด้วย 3 เทคโนโลยีสุดล้ำ ที่ อาทิ ระบบ Z-Lock ระบบ smart clip และ ระบบ fast frame technology เพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่มองหาระบบประตูหน้าต่างสำเร็จรูปที่ครบครันด้วยคุณภาพ การพัฒนาสินค้ารุ่นใหม่ “Smart Series” ขึ้นมาเพื่อลดข้อบกพร่องของสินค้าแบบเดิมซึ่งอาจจะ ก่อให้เกิดปัญหา อาทิ  น้ำรั่ว ฝุ่นเข้า เป็นต้น ซึ่งวินด์เซอร์ตระหนักถึงปัญหาดังกล่าวจึงได้ พยายามคิดออกแบบและพัฒนาสินค้าระบบประตูหน้าต่างรุ่น SMART Series ขึ้น ด้วยการใช้วัสดุไวนิลสูตรพิเศษที่แข็งแรง คงทน และคงภาพสีเดิมไว้ตลอดอายุการใช้งาน ผสมผสานกับดีไซน์ ที่สวยงาม ในราคาที่ไม่สูงเกินไป นายธีรัตถ์ กล่าวถึงรายละเอียดของระบบประตูหน้าต่างรุ่น “SMART Series”  ว่า วินด์เซอร์ต้องการสร้างมาตรฐานใหม่ที่ดีเกี่ยวกับประตูหน้าต่าง เราได้พัฒนาสินค้าที่มีคุณภาพที่ดีขึ้นในราคาที่ย่อมเยา เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าถึงได้ง่ายขึ้น โดยสินค้ารุ่นใหม่นี้ สามารถตอบโจทย์ทั้งกลุ่มบ้านที่สร้างใหม่ และกลุ่มลูกค้าบ้านเก่าที่ต้องการเปลี่ยนประตูหน้าต่างใหม่ นอกจากนี้ทางวินด์เซอร์ ได้ขยายการบริการสำหรับกลุ่มเจ้าของบ้านเก่า คือ “วินด์เซอร์ ฟาสต์ รีนิว” (WINDSOR Fast Renew) ด้วยการนำระบบ Fast Frame Technology เข้ามาใช้ในการเปลี่ยนประตู หน้าต่างเก่า ให้เป็นประตูหน้าต่างไวนิลใหม่ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่วินด์เซอร์ พัฒนาขึ้นและเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ที่เดียวในประเทศไทย เพื่อแก้ไขปัญหา การชำรุด ผุพังของบานประตู หน้าต่าง ประตู หน้าต่างเปิด-ปิด ลำบาก เป็นต้น โดยยังคงโครงสร้างวงกบไม้เดิมไว้ และใช้โครงใหม่ครอบและยึดไว้ด้วยอุปกรณ์พิเศษ ทำให้หน้าต่างใหม่มีความแข็งแรง ทนทาน และสวยงามมากขึ้น สามารถเปลี่ยนหน้าต่างเก่าให้สวยใหม่ ได้ภายใน 1 วัน โดยที่ไม่กระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของผู้อยู่อาศัยในบ้าน นายธีรัตถ์ กล่าวต่อไปว่า สำหรับกลุ่มเจ้าของบ้านใหม่ ระบบประตูหน้าต่าง SMART Series ใช้ 3 เทคโนโลยีพิเศษ ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ที่เหนือกว่าสินค้าที่ขายอยู่ในท้องตลาดปัจจุบัน รวมทั้งใช้วัสดุไวนิลสูตรพิเศษ (WINDSOR Advance Vinyl) ที่คิดค้นเพื่อรองรับสภาพภูมิอากาศร้อนชื้นสูงของเมืองไทยโดยเฉพาะ จึงมีความทนทานต่อ ความร้อน แสงแดดและความชื้น ช่วยยืดอายุการใช้งานได้นานขึ้น ประกอบด้วย ระบบ z-lock : ระบบหน้าต่างบานเลื่อนทั่วไป ระบบการเกี่ยวบานจะทำหน้าที่แค่ “เกี่ยว” เท่านั้น เมื่อลมพัดแรง หรือเอามือไปเขย่า จะรู้สึกว่าไม่แน่น บานจะกระทบกันเสียงดัง ด้วยระบบ Z-LOCK TECHNOLOGY ที่ออกแบบระบบ เสาเกี่ยว หรือ อินเตอร์ล็อค ที่สามารถขัดตัวเองกันจนแน่นเมื่อปิดบาน บานจะแน่น เขย่าแล้วไม่สั่น อากาศและฝุ่นจะผ่านเข้าออกได้น้อยมาก ส่งผลให้กันเสียงดีขึ้น คุณภาพชีวิตในการพักผ่อนก็จะดีขึ้นด้วย ซึ่ง SMART Series เป็นหน้าต่างบานเลื่อนระบบเดียวในสินค้าระดับราคาเท่ากันที่มีเทคโนโลยีการป้องกันระดับพรีเมียม ระบบ smart clip : เป็นนวัตกรรมการติดตั้งที่ช่วยให้ติดหน้าต่างได้แข็งแรงขึ้น เร็วขึ้น โดยไม่เหลือรูเจาะสกรูอยู่บนวงกบ ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดเสี่ยงน้ำรั่ว เมื่อไม่มีการเจาะรู ความเสี่ยงต่อปัญหาน้ำรั่วจึงไม่เกิด  และวัสดุคลิปและสกรูนี้ เป็นเทคโนโลยีสูงระดับเดียวกับอากาศยาน ซึ่งวินด์เซอร์สามารถเสนอการรับประกันตลอดอายุการใช้งาน ระบบ fast frame technology : ระบบวงกบที่ติดตั้งด้วยวิธีครอบช่องปูน และมีคิ้วประดับวงกบเข้าชุด สามารถติดตั้งประตูหน้าต่างให้ตรงได้ระนาบ เนื่องจากมีปีกด้านนอกบ้าน และมีคิ้วประดับวงกบด้านในบ้าน สามารถครอบช่องปูนได้ทุกด้าน แม้ว่าช่องปูนจะฉาบมาไม่ได้ดิ่งฉาก ทำให้ติดตั้งได้อย่างรวดเร็ว และแม่นยำขึ้น นายธีรัตถ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สินค้าใหม่ที่ทาง WINDSOR ได้พัฒนาขึ้นนี้ ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีในงานสถาปนิก  โดยมีลูกค้าลงทะเบียนสนใจจองในงานเกือบ 300 คน หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 11 ล้านบาท และในช่วงการเปิดตัวสินค้าใหม่ในช่วงแรกนี้ ทาง WINDSOR ขอมอบโปรโมชั่นพิเศษ สำหรับลูกค้าที่สนใจซื้อ สินค้าประตูหน้าต่างรุ่นใหม่ล่าสุด ! “ระบบประตูหน้าต่าง รุ่น สมาร์ทซีรี่ย์ ในราคาพร้อมติดตั้งเริ่มต้นที่ 3,000 บาทต่อตารางเมตร พร้อมส่วนลดถึง 500 บาทต่อ ตรม. สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 02-555-0333 หรือ facebook.com/windsorpage
อนันดาฯ ปลื้มยอดขายจากแคมเปญ “Ananda Big Deals” สูงเกินเป้าตอบรับมาตรการรัฐ พร้อมโชว์ความสำเร็จปิดการขาย “เอลลิโอ เดล เรย์”

อนันดาฯ ปลื้มยอดขายจากแคมเปญ “Ananda Big Deals” สูงเกินเป้าตอบรับมาตรการรัฐ พร้อมโชว์ความสำเร็จปิดการขาย “เอลลิโอ เดล เรย์”

บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ตอกย้ำการเป็นผู้นำตลาดคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้า โชว์ความสำเร็จจากการรุกจัดแคมเปญ Ananda Big Deals โปรด่วน แรงทุกดีล” ในไตรมาส 1 ต่อเนื่องถึงเม.ย.ที่ผ่านมา สามารถกวาดยอดขายได้กว่า 1,600 ล้านบาท สูงกว่าเป้าที่ตั้งไว้ที่ 1,100 ล้านบาท ตอบรับผลจากมาตรการรัฐ สามารถปิดการขายโครงการ ELIO Del Ray ได้จากแคมเปญนี้ เดินหน้าอัดแคมเปญไตรมาส 2 อย่างต่อเนื่อง เน้นทำตลาดผ่านสื่อออนไลน์เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อนันดา ดีเวล ลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ผู้นำตลาดคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้า  เปิดเผยว่า บริษัทฯ ประสบความสำเร็จจากการรุกจัดกิจกรรมกระตุ้นการขาย ภายใต้แคมเปญ “Ananda Big Deals โปรด่วน แรงทุกดีล” ซึ่งเริ่มตั้งแต่ช่วงต้นปีจนถึงวันที่ 28 เม.ย. 59 ที่ผ่านมา ส่งผลให้บริษัทสามารถสร้างยอดขายจากโครงการคอนโดมิเนียมคุณภาพ 6 โครงการที่เข้าร่วมแคมเปญ ภายใต้แบรนด์ IDEO (“ไอดีโอ”) ELIO (“เอลลิโอ”) และ UNIO (“ยูนิโอ”) แบ่งเป็น โครงการคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ 3 โครงการ ไอดีโอ สาทร-ท่าพระ ไอดีโอ วุฒากาศ  และเอลลิโอ เดลเรย์ พร้อมโครงการคุณภาพติดรถไฟฟ้า 3 โครงการ ได้แก่ โครงการไอดีโอ สุขุมวิท 115, ไอดีโอ โอทู และยูนิโอ จรัญฯ 3 โดยสามารถสร้างยอดขายรวมได้กว่า 1,600 ล้านบาท จากเป้าที่ตั้งไว้ 1,100 ล้านบาท และสามารถสร้างยอดขายในส่วนของโครงการพร้อมอยู่ได้เกือบ1,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นความสำเร็จเกินกว่าเป้าที่ได้วางไว้ และจากยอดขายดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงดีมานด์สินค้าคอนโดมิเนียมในทำเลศักยภาพแนวรถไฟฟ้า ตลอดจนความมั่นใจของลูกค้าต่อแบรนด์คอนโดมิเนียมที่พัฒนาโดยบริษัท อนันดาฯ รวมถึงความแข็งแกร่งด้านทำเลที่ดีที่สุด และการออกแบบที่ทันสมัยได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ จากการสนับสนุนของมาตรการกระตุ้นตลาดอสังหาฯของภาครัฐ ที่มีส่วนช่วยให้ภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมาค่อนข้างคึกคัก มียอดการขายอสังหาริมทรัพย์มูลค่ามากกว่า 7 แสนล้านบาท และมีปริมาณการโอนที่เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาปกติกว่า 40% ประกอบกับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ มีการออกแคมเปญเพื่อกระตุ้นการตัดสินใจของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง โดยในส่วนของบริษัท อนันดาฯ ได้จัดแคมเปญ “Ananda Big Deals” เพื่อสร้างความน่าสนใจและกระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจซื้อในโครงการของบริษัทมากยิ่งขึ้น เนื่องจากได้มอบส่วนลดและสิทธิพิเศษเพิ่มเติมมากยิ่งขึ้นจากมาตรการรัฐที่ออกมา ส่งผลให้บริษัทประสบความสำเร็จเกินเป้ายอดขายที่ได้วางเอาไว้ในแคมเปญ Ananda Big Deals และมาตรการของภาครัฐในวันที่ 28 เม.ย.ที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังสามารถปิดการขาย ( Sold Out) โครงการคอนโดมิเนียม เอลลิโอ เดล เรย์ (ELIO del ray) คอนโดมิเนียมตากอากาศแบบโลว์ไรท์ บนทำเลศักยภาพใจกลางเมือง สุขุมวิท 64 ใกล้สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส อุดมสุขเพียง 600 เมตร โดดเด่นด้วยคอนเซ็ปต์โครงการและพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่ กว่า 4 ไร่ ภายใต้การพัฒนาและออกแบบที่ทำให้ทุกช่วงเวลาเสมือนวันพักร้อนและพักผ่อนอย่างแท้จริง ได้จากแคมเปญนี้ ด้านนายพงศ์อนันต์ สุขเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ฝ่ายการตลาด บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)  กล่าวว่า “การจัดแคมเปญ Ananda Big Deals ในครั้งนี้ ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในกลยุทธ์การกระตุ้นการรับรู้และการตัดสินใจของลูกค้าได้อย่างดีในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา บริษัทได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าเป็นอย่างมาก และประสบความสำเร็จสูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยในไตรมาส 2 นี้ บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าจัดแคมเปญกระตุ้นการขายโครงการพร้อมอยู่อย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการจัดกิจกรรมการตลาดผ่านสื่อออนไลน์ และ Social Media ซึ่งจะเป็นส่วนช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อต่อลูกค้าผู้สนใจในโครงการของบริษัทได้เป็นอย่างดี” นายพงศ์อนันต์ กล่าวทิ้งท้าย
เดินชมงานสถาปนิก ’59 และบูธ SCG อัพเดทเทรนด์วัสดุก่อสร้างเพื่ออนาคต

เดินชมงานสถาปนิก ’59 และบูธ SCG อัพเดทเทรนด์วัสดุก่อสร้างเพื่ออนาคต

เมื่อถึงเดือนเมษายน คงเป็นที่ทราบกันว่าเป็นช่วงเดือนที่มีการจัดงาน สถาปนิก เป็นประจำทุกปี ซึ่งปีนี้ก็เช่นกัน งานสถาปนิก 59 หรือ Architect Expo 16 จัดขึ้นในวันที่ 26 เมษายน - 1 พฤษภาคม 2559 ที่ชาเลนเจอร์ฮอลล์ เมืองทองธานี เช่นเคย ครั้งนี้กับธีมการจัดงานที่มีชื่อว่า “ASA BACK TO BASIC” สถาปัตยกรรมและการออกแบบ ที่จะย้อนไปยังพื้นฐาน หรือความสามัญที่เป็นสิ่งจำเป็นได้อย่างไร เราลองไปชมพร้อมๆกันค่ะ นิทรรศการชุด Vernadoc ด้านหน้าฮอลล์ ในส่วนของ BASIC OF THE PAST ส่วนแสดงงาน 100 Selected Project ทุกวันนี้เรารับข่าวสาร ข้อมูล มากมายจากสื่อหลากหลายทาง จนบางครั้งเราก็รู้สึกว่ามันมากเกินไป นำมาซึ่งวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปตามข้อมูลที่พุ่งเข้ามา และอาจทำให้ชีวิตยุ่งยากขึ้น แนวคิดหลักของงานปีนี้ จึงเป็นการกลับไปตั้งคำถามพื้นฐาน ว่าจริงๆแล้ว เราต้องการอะไรเป็นสิ่งสำคัญในชีวิต และการอาศัยอยู่ในโลกใบนี้ ทั้งหมดถ่ายทอดผ่าน 3 ส่วนด้วยกัน ส่วนหน้าฮอลล์จะเป็นส่วนของ BASIC OF THE PAST คือการเล่าเรื่องประทับใจในอดีต ผ่านการจัดแสดงภาพถ่ายซึ่งมีคุณค่าควรค่าแก่การอนุรักษณ์ รวมถึงนิทรรศการชุด Vernadoc ที่เล่าเรื่องชุมชนเพื่อให้เห็นความสำคัญและคุณค่าในแง่ประวัติศาสตร์ ถัดเข้าไปด้านในเป็นส่วนของ BASIC OF THE PRESENT เป็นผลงานที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันที่จะมีความสำคัญและส่งผลไปยังอนาคต และส่วนสุดท้ายเป็น BASIC OF THE FUTURE คือมุมมองที่มีต่องานสถาปัตยกรรมและเมืองในอนาคต ร่วมเสนอแนวทาง แก้ไข ป้องกัน พัฒนาให้เมืองเป็นไปในทางที่ดีขึ้น งานออกแบบของคุณดวงฤทธิ์ บุญนาค (งานออกแบบของ Vaslab Architect) เมื่อเข้าไปด้านใน จุดที่เรียกว่าเป็นจุดที่ดึงความสนใจจากเหล่านักออกแบบและคนทั่วไปได้ดีคือส่วนของ 100 Selected Project และส่วน ASA Competition ที่จัดแสดงงานจากบริษัทสถาปนิกจำนวน 100 ชิ้นงาน ในรูปแบบโมเดล และงานประกวดแบบที่มีโจทย์ในการประกวด เป็นโจทย์เดียวกับธีมงานคือ BACK TO BASIC ใครที่ได้ไปชมงานส่วนนี้เรียกได้ว่าเป็นการเปิดจินตนาการมากๆ ได้เห็นงานของสถาปนิกชั้นแนวหน้าของไทยและการตีโจทย์งานประกวดแบบที่เราเองก็คิดไม่ถึงเช่นกัน และก็มาถึงบูธที่เราใช้เวลามากที่สุดในการมางานสถาปนิกทุกครั้ง คือบูธของ SCG เรียกว่าเข้าไปเมื่อใด ต้องกลับมาพร้อมวัสดุใหม่ที่อัพเดทมาอย่างเต็มหัว ครั้งนี้มีอะไรน่าสนใจบ้างลองไปดูกัน บูธ SCG ในงานสถาปนิก 59 ตัวอย่างหน้าเว็บลงทะเบียนก่อนเข้าชมบูธของ SCG หนังสือชุด Home Inspiration Book ที่จะได้เมื่อลงทะเบียนก่อนเข้าร่วมงาน ก่อนจะเข้าชมที่บูธ เค้าจะให้เราลงทะเบียนก่อนเข้างานเพื่อที่จะได้รู้ว่าเราเป็นใคร ซึ่งเราก็ลงไปในส่วนที่เป็นนักออกแบบค่ะ พอลงแล้วก็มีอีเมลส่งมาให้เพื่อบอกรายละเอียดงาน ไว้ศึกษาในแต่ละส่วนหรือไฮไลท์สินค้าเจ๋งๆ ส่วนเจ้าของบ้านทั่วไปก็มีให้ลงทะเบียน และเห็นว่าจะได้รับสิทธิพิเศษมากมายในงานด้วย (ขอแนบลิ้งค์ลงทะเบียนเผื่อใครสนใจค่ะhttp://www.scgbuildingmaterials.com/th/ASA2016.aspx) หลังจากลงทะเบียนเราจะได้รหัสเพื่อนำมาลงทะเบียนที่หน้างาน ยื่นรหัสไปเราก็ได้หนังสือชุด Home Inspiration มาครอบครอง เค้าว่ามีจำนวนจำกัดด้วยล่ะค่ะ ในส่วนของเจ้าของบ้านก็จะได้รับสิทธิพิเศษหากกำลังจะสร้างบ้านหรือปรับปรุงบ้านในส่วนของหลังคา SCG ก็มีบริการให้คำปรึกษา พร้อมออกแบบ และสำรวจหน้างานฟรี เพียงนำแบบบ้านไปยังบูธ SCG และแอบมีของรางวัลล่อใจ ให้ลุ้น iPad Mini 4 ทุกวัน ทั้งหมดเฉพาะผู้ที่ลงทะเบียนก่อนเข้างานเท่านั้น หรือใครจะไปลงทะเบียนที่หน้างานก็ได้เหมือนกันค่ะ แต่ระวังของจะหมดก่อนนะคะ ^^ Y-BOX Pavilion โชว์นวัตกรรมของ 3D Printing เพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง เมื่อเข้าไปด้านในบูธ ไฮไลท์หลักที่เห็นคือส่วนของ Y-BOX Pavilion, 21st C. Cave หรือถ้ำแห่งศตวรรษที่ 21 มีลักษณะเป็นโครงสร้างที่ใช้นวัตกรรมปูนซีเมนต์สูตรเฉพาะของ SCG เป็นวัสดุหลักในการผลิต ผสานกับ 2 เทคโนโลยีการพิมพ์แบบ 3 มิติ ได้แก่ Powder-bed inkjet head printing  และ Extrusion printing เพื่อสร้างผลงานที่ท้าทายความสามารถของโครงสร้าง ให้ก้าวข้ามขีดจำกัดของการออกแบบสถาปัตยกรรมแบบที่เราคุ้นเคย ลักษณะเป็นเสาที่ทำจากการพิมพ์คอนกรีตแบบ 3 มิติ ให้เสาไม่ได้เป็นเหลี่ยมตรงอีกต่อไป ได้ประโยชน์เรื่องการสร้างสเปซที่น่าตื่นเต้น เพราะเสาเหล่านี้ทำหน้าที่ทั้งรับน้ำหนัก และเป็นผนังของห้องไปด้วยในเวลาเดียวกัน มุมสำหรับทำควิซ หาเทรนด์ออกแบบที่เป็นตัวคุณ "Grab A Trend" เล่นแล้วได้ถุงผ้าน่ารักๆ เมื่อมาอัพเดทเทรนด์การออกแบบ ก็อย่าลืมมาค้นหาว่าตัวเราเป็นคนที่ได้รับอิทธิพลจากการออกแบบประเภทไหนมากที่สุด ที่จุดนี้เลย "Grab A Trend" ที่จะมีควิซสนุกๆ ให้เล่นกันแบบสั้นๆ พอเล่นเสร็จก็ได้รับถุงผ้าคูลๆ เหมาะกับนักออกแบบอย่างเรา ถัดเข้าไปเป็นส่วนของ Beautiful Bathroom โดย COTTO ที่มีการยกส่วนให้คำปรึกษามาตั้งไว้ที่งานนี้ให้ผู้สนใจเข้ามาสอบถามเรื่องแบบ เรื่องการสร้างห้องน้ำที่ดีได้อย่างเต็มที่ พร้อมบริเวณเดียวกันนี้ยังจัดแสดงห้องน้ำในหลากสไตล์การตกแต่งและแนวคิด เป็นแรงบันดาลใจที่สามารถเห็นภาพและนำไปประยุกต์ใช้ได้ไม่ยากเลย ผนังเทอราซโซ แนวคิด "ถ้ำเสือ" ของคุณวสุ วิรัชศิลป์ "เก้าอี้เสือ" โดยคุณศิริยศ ชัยอำนวย จากการใช้ เสือ เดคอร์ และ Compacting Mortar ผลงานประติมากรรมนูนต่ำ จากหลากหลายผลิตภัณฑ์จาก เสือ เดคอร์ โดยคุณรักกิจ ควรหาเวช หรับใครที่ชอบหรือสนใจงานฉาบแต่งผิว การขึ้นรูปทรงด้วยวัสดุซีเมนต์ ต้องถูกใจกับส่วนนี้เพราะคือส่วนของ เสือ เดคอร์ โดยเชิญสถาปนิกและศิลปินชื่อดังของไทยมาร่วมออกแบบชิ้นงานที่ใช้ผลิตภัณฑ์ของเสือ เดคอร์ ทั้งคุณวสุ  วิรัชศิลป์ ผู้ก่อตั้ง Vaslab Architect ที่ใช้เทอราซโซ มาออกแบบส่วนของพื้น ผนังแนวคิดถ้ำเสือ คุณศิริยศ  ชัยอำนวย ผู้ออกแบบรีสอร์ทศาลา อยุธยา และศาลา เขาใหญ่ ที่สร้างผนังจากการทดลองใช้ Skim Coat ที่นำมาหล่อแทนการฉาบ และคุณรักกิจ  ควรหาเวช หนึ่งในศิลปินงานแสดงศิลปะ Bukruk Urban Arts Festival 2013 ที่สร้างประติมากรรมนูนต่ำเป็นรูปหน้าเสือจากตัว Skim Coat และ Marble Render ทุกคนใช้ความถนัดของตนออกแบบชิ้นงานที่ผสานกับวัสดุได้อย่างตรงประเด็น ห้องโชว์ชิ้นงานเทอร์ราซโซเรืองแสงได้ "Glow in the Dark" จาก เสือ เดคอร์ อีกหนึ่งมุมน่าสนใจ ที่ดึงดูดให้เราเข้าไปถ่ายรูปก็คือ ห้องที่มีชื่อว่า Glow in the Dark ที่หยิบจับงานพื้นเทอร์ราซโซมาเพิ่มลูกเล่นโดยการเพิ่ม Aggregate ที่สามารถเรืองแสงได้ในที่มืด ทำให้งานออกแบบมีสีสันขึ้นไปอีกระดับ ไม้ตกแต่งผนัง SCG รุ่นโมดิน่า รุ่นไม้ฝา และบังใบ ต่อมาที่วัสดุผนังอย่างไม้สังเคราะห์ SCG ที่มีเทคโนโลยีการผลิตใหม่น่าสนใจคือ Extrusion Technology ที่ช่วยสร้างลวดลายและเพิ่มมิติให้กับบ้าน เป็นการสร้างเส้นสายที่น่าสนใจและเทคโนโลยีนี้ยังช่วยให้น้ำหนักของวัสดุไม่มากตามรูปแบบที่เพิ่มขึ้น แต่ยังคงความแข็งแรงเช่นเดิม เช่นไม้ตกแต่งผนังรุ่น โมดิน่า และไม้ฝา รุ่นบังใบ "Active AIRflow System" นวัตกรรมเพื่อบ้านอยู่สบาย คลายร้อน และสำหรับใครที่กำลังมองหานวัตกรรมที่จะช่วยให้บ้านของเราหายร้อน มีการระบายอากาศที่ดีเพื่อสภาวะการอยู่อาศัยที่สุดสบายแล้ว ต้องมาที่ส่วนของ Active AIRflow System เป็นกลไกการถ่ายเทอากาศและการระบายความร้อนเพื่อสร้างคุณภาพอากาศที่ดี และความสบายในการอยู่อาศัย อาศัยหลักการง่ายๆในการถ่ายเทอากาศร้อนออกไปนอกบ้าน และดึงอากาศที่เย็นกว่าเข้ามาแทนที่ ผ่านช่อง Intake Air Grille เข้ามาดันอากาศเก่าภายตัวบ้าน โดยผ่านทางฝ้าเพดาน และ โถงใต้หลังคาเพื่อดันออกทางปล่องบริเวณใกล้สันหลังคา กลไกดังกล่าวจะช่วยลดอุณหภูมิชั้นโถงหลังคา และชั้นอยู่อาศัยให้ลดลงได้โดยกลไกทั้งหมดจะทำงานอัตโนมัติ ผนังสำเร็จรูปที่เพิ่มลูกเล่นและดีไซน์เก๋ไก๋ ไม่จำเจ Decorative Precast คือนวัตกรรมเพื่อการก่อสร้างบ้านและอาคาร ที่สะดวก รวดเร็ว ช่วยให้การก่อสร้างมีประสิทธิภาพและประหยัดเวลามากขึ้น ด้วยแผ่นคอนกรีตสำเร็จรูปที่ผลิตมาจากโรงงาน เพิ่มดีไซน์ที่สามารถนำมาตกแต่งบ้านหรืออาคารให้ดูน่าสนใจขึ้นได้ ทั้งนี้รูปแบบยังสามารถทำตามแบบที่ต้องการได้ แต่อาจต้องใช้งานในปริมาณที่มากเสียหน่อย เพราะหากใช้ปริมาณพื้นที่น้อย ค่าใช้จ่ายอาจสูงเกินความจำเป็นได้ เมื่อพูดถึงบ้านหรือวัสดุสำเร็จรูป คงไม่พูดถึง SCG HEIM ไม่ได้ บ้านสำเร็จรูปที่มีคุณภาพดีที่สุดในตลาดตอนนี้ทั้งเรื่องความแข็งแรง สุขภาพที่ดีของผู้อยู่อาศัย การบริการที่เป็นหนึ่ง ล่าสุดมีแบบบ้านรุ่น Ultimate, HARMONY และ SMART ที่ออกมาเป็นบ้านชั้นเดียวแล้ว เพิ่มทางเลือกให้ลูกค้ามากขึ้น หลังจากเก็บความรู้และข้อมูลมาเต็มที่จนลืมเวลา ก็คงต้องกลับไปทำงานออกแบบที่รักกันต่อไป โดยนำความรู้วันนี้ไปใช้ได้ ไม่มากก็น้อย สำหรับใครที่อยากเห็นวัสดุใหม่ๆล้ำๆ แนะนำมาที่งานสถาปนิกและบูธต่างๆ มีสินค้าใหม่ๆมาแสดงกันมากมายเลยทีเดียว รับรองว่าไม่ผิดหวังค่ะ
การลงทุนซื้อขายอาคารในเอเชียแปซิฟิกปรับตัวลดลงในไตรมาสแรกของปีนี้ ไทยขาดแคลนสินทรัพย์ที่มีเสนอขาย

การลงทุนซื้อขายอาคารในเอเชียแปซิฟิกปรับตัวลดลงในไตรมาสแรกของปีนี้ ไทยขาดแคลนสินทรัพย์ที่มีเสนอขาย

กรุงเทพฯ 28 เมษายน 2559 - มูลค่าการลงทุนซื้อขายอาคารที่มีประโยชน์การใช้ในเชิงธุรกิจ (อาทิ อาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า และโรงแรม) ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกปรับตัวลดลง 5% ในไตรมาสแรกของปีนี้เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว ด้วยมีมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งสิ้น 23,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เนื่องจากญี่ปุ่นซึ่งเป็นตลาดการซื้อขายหลักมีปริมาณการลงทุนซื้อขายลดลง แม้ฮ่องกง ออสเตรเลียและเกาหลีใต้จะมีมูลค่าการซื้อขายอาคารปรับเพิ่มขึ้น ปริมาณการลงทุนซื้อขายอาคารในญี่ปุ่นปรับตัวลดลง 26% เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปีที่แล้ว โดยมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 9,600 ล้านดอลลาร์ ตามการรวบรวมข้อมูลโดยเจแอลแอล มีแกน วอลเตอร์ส ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย หน่วยบริการด้านการลงทุนภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกของเจแอลแอล กล่าวว่า “เมื่อต้นปีนี้ ธนาคารกลางของญี่ปุ่นได้ตัดสินใจประกาศใช้นโยบายดอกเบี้ยเงินฝากติดลบ ได้ทำให้เกิดความไม่แน่นอนขึ้น และเป็นเหตุให้การตกลงซื้อขายอาคารจำนวนหนึ่งไม่เกิดขึ้น” ในช่วงเดียวกัน มูลค่าการลงทุนซื้อขายในออสเตรเลียปรับเพิ่มขึ้น 32% เมื่อคำนวณเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 44% เมื่อคิดเป็นเงินดอลลาร์ออสเตรเลีย โดย 40% ของผู้ซื้อเป็นนักลงทุนต่างชาติ ที่จีน มูลค่าการลงทุนซื้อขายปรับเพิ่มขึ้น 10% แม้ตลาดการเงินของประเทศจะมีความผันผวนในช่วงต้นปีนี้ ที่ฮ่องกง มีการซื้อขายอาคารรายการใหญ่เกิดขึ้นสองรายการในไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ การเข้าซื้ออาคารต้าสิงไฟแนนเชียลโดยไชน่า เอเวอร์ไบรท์ มูลค่า 1,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และการซื้ออาคารที่เป็นสินทรัพย์จากรัฐบาลฮ่องกงโดยลิงค์รีทส์มูลค่า 760 ล้านดอลลาร์ ดันให้มูลค่าการลงทุนซื้อขายอาคารในฮ่องกงปรับเพิ่มขึ้น 186% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ที่เกาหลีใต้ มูลค่าการซื้อขายในไตรมาสที่ผ่านปรับเพิ่มขึ้น 207% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว การลงทุนรายการใหญ่ที่สุดที่เกิดขึ้นคือ การเข้าซื้ออาคารสำนักงานเกรดเอโดยอัลฟา อินเวสต์เม้นท์ พาร์ทเนอร์ ด้วยมูลค่า 320 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตลาดการลงทุนซื้อขายอาคารในไทยไตรมาสแรกเงียบเหงา นางสุพินท์ มีชูชีพ กรรมการผู้จัดการเจแอลแอลในประเทศไทย กล่าวว่า “ทั้งนักลงทุนไทยและต่างชาติแสดงความสนใจสูงในการหาซื้ออาคารที่มีคุณภาพดีในประเทศไทยเพื่อลงทุน โดยเฉพาะอาคารสำนักงานในกรุงเทพฯ อย่างไรก็ดี ไม่มีการซื้อขายอาคารเกิดขึ้นในไตรมาสแรกของปีนี้ เนื่องจากการขาดแคลนสินทรัพย์ที่มีเสนอขาย” ธุรกรรมการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์รายการใหญ่ที่สุดที่เกิดขึ้นในไทยในไตรมาสแรกของปี คือธุรกรรมการเช่าที่ดินขนาดประมาณ 6 ไร่บนถนนสีลมโดยบริษัท นายณ์ เอสเตท จำกัดร่วมกับกลุ่มไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ด้วยอายุสัญญาเช่า 50 ปี โดยมีเจแอลแอลเป็นตัวแทนในฝั่งของเจ้าของที่ดินในการจัดหาผู้เช่า อย่างไรก็ดี ธุรกรรมดังกล่าวนี้ไม่นับรวมในรายงานการลงทุนซื้อขายอาคาร นางสุพินท์อธิบายว่า “นายณ์ เอสเตท และกลุ่มไมเนอร์ ทำสัญญาเช่าเฉพาะแปลงที่ดินเท่านั้น ซึ่งอาคารสำนักงาน 3 อาคารปัจจุบันที่มีอยู่บนแปลงที่ดิน จะถูกแทนที่โดยโครงการอาคารสำนักงานใหม่ ที่ผู้เช่าประกาศการร่วมกันลงทุนเพื่อสร้างขึ้น” นักลงทุนเอเชียเน้นลงทุนซื้ออาคารในภูมิภาค จากการที่แนวโน้มเศรษฐกิจโลกมีความไม่แน่นอน นักลงทุนเอเชียจึงสนใจซื้ออาคารในประเทศเอเชียมากกว่าที่จะลงทุนในภูมิภาคอื่น ทำให้สัดส่วนการลงทุนซื้อขายอาคารโดยนักลงทุนภายในภูมิภาคปรับเพิ่มสูงขึ้น โดยในไตรมาสแรกของปีนี้ การลงทุนซื้อขายอาคารภายในภูมิภาคโดยนักลงทุนเอเชียมีมูลค่ารวม 4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จาก 1,100 ล้านดอลลาร์ในไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว
เดอะ เรสซิเดนซ์ แอท แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ โกยยอดจองถึงไตรมาสแรกไปแล้วกว่า 40% ฉลองผ่านมาตรฐาน EIA

เดอะ เรสซิเดนซ์ แอท แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ โกยยอดจองถึงไตรมาสแรกไปแล้วกว่า 40% ฉลองผ่านมาตรฐาน EIA

กรุงเทพฯ 26 เมษายน 2559 – เดอะ เรสซิเดนซ์ แอท แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ โครงการห้องชุดพักอาศัยระดับหรูของแบรนด์ แมนดาริน โอเรียนเต็ล แห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ ดิ ไอคอนสยาม อภิมหาโครงการซึ่งจะเป็นศูนย์กลางกิจกรรมไลฟ์สไตล์ระดับหรูแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ ได้ผ่านมาตรฐานการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment: EIA) เป็นที่เรียบร้อย โดยมียอดจองจนถึงไตรมาสแรกของปีนี้เกิน 40% พร้อมมั่นใจตั้งเป้ายอดจองแตะ 50% ภายในสิ้นปีนี้ การผ่านมาตรฐานการประเมิน EIA ยังทำให้โครงการสามารถดำเนินการก่อสร้างรุดหน้าไปตามที่กำหนดไว้ทุกประการ และมั่นใจว่าจะสามารถนำเสนอมาตรฐานของห้องชุดระดับไฮเอนด์ในแบบฉบับของ แมนดาริน โอเรียนเต็ล สู่ผู้บริโภคระดับสูงในเมืองไทยได้ตรงตามกำหนดเวลา นายธนวันต์ ชัยวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดิ ไอคอนสยาม ซูเปอร์ลักซ์ เรสซิเดนซ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวถึงความสำเร็จในครั้งนี้ว่า “เดอะ เรสซิเดนซ์ แอท แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ นำเสนอไลฟ์สไตล์เพื่อการพักอาศัยที่โดดเด่นแก่ลูกค้าทุกท่านด้วยมาตรฐานความเป็นเลิศทั้งสองด้าน ได้แก่ ห้องชุดพักอาศัยที่เพียบพร้อมด้วยความสะดวกสบายและบรรยากาศที่อบอุ่นเสมือนบ้าน ที่ผสานเข้ากับสิ่งอำนวยความสะดวกสบายของโครงการและบริการชั้นเลิศระดับตำนานของเครือแมนดาริน โอเรียนเต็ล โดยเฉพาะเมื่อโครงการผ่านการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) จึงยิ่งเพิ่มความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภคได้เป็นอย่างดีว่า โครงการของเราได้รับการออกแบบและก่อสร้างด้วยมาตรฐานขั้นสูงและให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าต่อการลงทุนอย่างแน่นอน ซึ่งเรารู้สึกยินดีอย่างมากที่โครงการมียอดจองแล้วมากกว่า 40% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ซื้อในเมืองไทย ซึ่งตรงกับที่เราคาดการณ์ไว้ว่าสัดส่วนผู้ซื้อโครงการจะเป็นชาวไทยและชาวต่างชาติในอัตราส่วนราว 70:30” เดอะ เรสซิเดนซ์ แอท แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ นำเสนอห้องชุดพักอาศัยริมแม่น้ำระดับหรูจำนวน 146 ยูนิต ขนาด 130 – 230 ตร.ม. และห้องชุดแบบเพนท์เฮาส์ขนาด 380 – 710 ตร.ม. ทุกยูนิต มองเห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยาโดยไร้สิ่งบดบัง ตอบโจทย์การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ระดับลักชัวรี่ทั้งในด้านการบริการ คุณภาพวัสดุก่อสร้างและการออกแบบ รวมไปถึงเทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัย ซึ่งนำเสนอภายใต้สุนทรียศาสตร์ความเป็นไทยไว้อย่างสมบูรณ์ เดอะ เรสซิเดนซ์ แอท แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ เป็นส่วนหนึ่งของ ดิ ไอคอน สยาม อภิมหาโครงการซึ่งจะเป็นศูนย์กลางกิจกรรมไลฟ์สไตล์ระดับหรูแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ และยังจะเป็นที่ตั้งของศูนย์รวมร้านค้าชั้นนำระดับโลกถึง 2 แห่ง ได้แก่ ไอคอนสยาม (ศูนย์การค้าและความบันเทิงหลัก) และ ไอคอนลักซ์ (ลักชัวรี่วิง) โดยจะเชื่อมต่อโดยตรงเข้ากับบริการรถไฟฟ้าบีทีเอสสายสีทอง ซึ่งจะมอบความสะดวกสบายแก่ผู้อยู่อาศัยใน เดอะ เรสซิเดนซ์ แอท แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ พร้อมรับสิทธิพิเศษในการใช้จ่ายในร้านค้าชั้นนำของโครงการอีกมากมาย ภาพรวมการออกแบบที่หรูหราสง่างามของ เดอะ เรสซิเดนซ์ แอท แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ ได้รับแรงบันดาลใจจากการเดินทางล่องแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งเป็นเสมือนเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงสรรพชีวิตนับแต่อดีตกาลของมหานครกรุงเทพฯ นำมาผสานกับเทคโนโลยีการก่อสร้างอาคารระดับสูงและปรัชญาการออกแบบ จึงก่อเกิดเป็นโครงการห้องชุดพักอาศัยที่มอบความเป็นเลิศทั้งในแง่การอนุรักษ์สภาพแวดล้อมและประสิทธิภาพของอาคาร “ในปี 2559 นี้ เราจะเน้นการนำเสนอกิจกรรมโปรโมชั่นการตลาดเพื่อจูงใจนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์ระดับไฮเอนด์ในเมืองไทย ซึ่งในปัจจุบัน โครงการของเราได้รับความสนใจจากบรรดานักลงทุนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเป็นจำนวนมากโดยโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับสูงชั้นเลิศในกรุงเทพฯ ยังคงเป็นที่ต้องการของผู้ซื้ออย่างมาก ซึ่งความสำเร็จของเราในครั้งนี้ถือเป็นสิ่งการันตีได้ดีที่สุด” นายธนวันต์ กล่าวสรุป สัมผัสมาตรฐานใหม่แห่งความเป็นเลิศของการพักอาศัยริมน้ำของ เดอะ เรสซิเดนซ์ แอท แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ ที่ +66 (0)2 118 2211 หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.moresidencesbangkok.com ชมวีดีโอเกี่ยวกับโครงการ ภาคภาษาไทย ที่ https://www.youtube.com/watch?v=IIub5RliIq0 ชมวีดีโอเกี่ยวกับโครงการ ภาคภาษาอังกฤษ ที่ https://www.youtube.com/watch?v=9e5lBUu3mHY ชมวีดีโอ 7 สิ่งมหัศจรรย์ของ ดิ ไอคอน สยาม ที่ https://www.youtube.com/watch?v=-Yi2Ih_Wi7k ชมวีดีโอแนะนำโครงการ ที่ https://www.youtube.com/watch?v=_-hW-FLCFac
SENA เปิดแผนงานปี’59 ใช้กลยุทธ์ “หัวคิดและหัวใจ” ชี้เข้าสู่ปีทอง!รับรู้รายได้เต็มเหนี่ยวทั้งอสังหาฯ-พลังงานทดแทน จ่อผุด 9 โครงการใหม่

SENA เปิดแผนงานปี’59 ใช้กลยุทธ์ “หัวคิดและหัวใจ” ชี้เข้าสู่ปีทอง!รับรู้รายได้เต็มเหนี่ยวทั้งอสังหาฯ-พลังงานทดแทน จ่อผุด 9 โครงการใหม่

บมจ.เสนาดีเวลลอปเม้นท์ (SENA) ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ชั้นแนวหน้าของเมืองไทยเปิดแผนงานปี 2559 ใช้กลยุทธ์ “หัวคิดและหัวใจ” เพื่อมัดใจลูกค้า ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ ระบุปีนี้จะเป็นปีทองของ SENA โดยจะรับรู้รายได้เต็มเหนี่ยวจากทั้งธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และพลังงานทดแทน โดยปีนี้เตรียมเปิด 9 โครงการใหม่มูลค่ากว่า 5 พันล้านาท แบ่งเป็นคอนโดมิเนียม   5 โครงการ และแนวราบ 4 โครงการ ส่วนพลังงานทดแทนตั้งเป้าขายไฟฟ้าให้ได้ถึง 100 MW จากปัจจุบันมีในมือ 46.5 เมกกะวัตต์ ซึ่งรับรู้ส่วนแบ่งกำไรราว 40-50 ล้านบาท ตั้งเป้ารายรับปีนี้เติบโตไม่ต่ำกว่า 20% ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (SENA) ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ระดับแนวหน้าของเมืองไทยเปิดเผยถึงแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2559  จะใช้กลยุทธ์ “หัวคิดและหัวใจ” เพื่อพิชิตใจลูกค้า โดยคำว่า “หัวคิด”  มาจากการที่บริษัทฯ ใช้หัวคิดในการนึกถึงความต้องการของลูกค้าเป็นที่ตั้งหรือศูนย์กลาง และในส่วน “หัวใจ” คือการแสดงออกในการบริการลูกค้าด้วยใจของพนักงาน ตามปรัชญาองค์กรที่ว่า “ความไว้วางใจจากลูกค้า คือความภูมิใจของเรา” “SENA ให้ความสำคัญกับการกำหนดกลยุทธ์ในแต่ละปี เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพิชิตใจลูกค้า  สำหรับปีนี้คือ “หัวคิดและหัวใจ” โดยคำว่า “หัวคิด” มาจาก1 ใน  4 Core value ของบริษัทก็คือคำว่า Customer centric คือการคำนึงถึงความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นการบริการดูแลหลังการขาย 360 องศา อาทิ การบริการแจ้งซ่อม ออนไลน์ 24 ชั่วโมง จาก  SENA We care  การบริหารงานนิติบุคคล ด้วยมืออาชีพจาก Victory (Property Management) การรับฝากขาย-ฝากเช่า จาก Living Agent  นอกจากนี้ยังมี Mobile App ชื่อ SENA 360⁰ Service ที่รวบรวมทุกช่องทางในการติดต่อสื่อสารระหว่างบริษัทและลูกค้า เพื่ออำนวยความสะดวกและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้าอีกด้วย ส่วนคำว่า “หัวใจ” คือการบริการด้วยใจของพนักงาน เอาใจใส่ดูแลลูกค้าทุกคนเสมือนเอาใจเขามาใส่ใจเรา รับฟัง แก้ไขปัญหาให้เสมือนปัญหาของตนเอง เพื่อก่อให้เกิดความมั่นใจและไว้วางใจในที่สุด” ผศ.ดร.เกษรา กล่าวต่อว่าปีนี้จะเป็นปีทองสำหรับ “เสนาดีเวลลอปเม้นท์” โดยจะมาจากธุรกิจทั้งในส่วนของอสังหาริมทรัพย์และพลังงานทดแทนที่มีความโดดเด่น สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับบริษัทและผู้ถือหุ้น  พร้อมกันนี้ได้ตั้งเป้ารายรับปีนี้เติบโตไม่ต่ำกว่า 20% เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยรายได้ส่วนใหญ่ยังคงมาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นหลัก ซึ่งมั่นใจว่าธุรกิจอสังหาฯ ยังสามารถขยายตัวได้ต่อเนื่อง เพราะได้รับปัจจัยหนุนจากมาตรการกระตุ้นของภาครัฐ ทั้งในส่วนของมาตรการลดหย่อนภาษี และโครงการบ้านประชารัฐ ซึ่งช่วยกระตุ้นยอดขายได้เป็นอย่างดี นอกเหนือจากแนวโน้มดอกเบี้ยยังคงทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ ทำให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อได้เร็วขึ้น ในปี 2559 “เสนาดีเวลลอปเม้นท์” เตรียมเปิด 9 โครงการใหม่ โครงการแนวราบได้แก่ เสนาวิลล์ บรมราชชนนี สาย 5 ,เสนาพาร์ควิลล์ รามอินทรา-วงแหวน, เสนาพาร์ค ทาวน์ รามอินทรา – วงแหวน ,PCC New Residence  โครงการคอนโดมิเนียม ได้แก่ The Niche Mono บางนา เฟส 3 ,The Niche ID พระราม 2 เฟส 2 ,The Niche MONO สุขุมวิท 50 ,The Kith Plus สุขุมวิท 113 เฟส 1 ,The Kith Lite บางกะดี เฟส 2 มูลค่าโครงการรวม 5,390 ล้านบาท ทั้งนี้ ไตรมาส 1/2559 ได้เปิดตัว 2 โครงการใหม่ ได้แก่  โครงการเสนาพาร์ค วิลล์ รามอินทรา-วงแหวน และโครงการเสนาวิลล์ บรมราชชนนี-สาย 5   ทั้งสองโครงการจะทำเป็นหมู่บ้านโซลาร์เต็มรูปแบบ ด้วยแนวคิด “Solar Smart Village” โดยออกแบบการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ทั้งจากในตัวบ้านแต่ละหลัง และผลิตไฟฟ้านำมาใช้ในพื้นที่ส่วนกลางของหมู่บ้าน  ซึ่งจะช่วยประหยัดค่าส่วนกลางได้ประมาณ 30-40% ซึ่งถือเป็นโครงการนำร่องในการสร้างชุมชนรักษ์โลก โดยเริ่มต้นที่โครงการของเสนาฯ ซึ่งบริการครบวงจรเกิดขึ้นภายใต้การบริหารงานของบริษัทเสนา โซลาร์ เอนเนอร์ยี่ จำกัด ที่ดูแลตั้งแต่การวางแผน ออกแบบ ติดตั้ง และให้บริการดูแลหลังการขาย เพื่อให้ลูกค้าเกิดความมั่นใจ เชื่อมั่นในการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป สำหรับธุรกิจพลังงานทดแทนซึ่งเป็นการขยายการลงทุนเพื่อต่อยอดธุรกิจอสังหาฯ ของ SENA โดยผ่าน “บริษัท เสนา โซลาร์ เอนเนอร์ยี่ จำกัด” ในส่วนของโครงการโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์ม กำลังการผลิต 46.5 เมกะวัตต์ ในจังหวัดสระบุรี และนครปฐม จะเริ่มรับรู้รายได้เข้ามาตั้งแต่เดือนมกราคม 2559 เป็นต้นไป โดยจะรับรู้เข้ามาในรูปของเงินปันผลประมาณ 40-50 ล้านบาทต่อปี  ส่วนธุรกิจติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปตั้งเป้าภายใน 3 ปีข้างหน้า จะติดตั้งแผงโซลาร์และมีกำลังการผลิต 100 เมกะวัตต์
สัมผัสวิว 360 องศา แบงค์คอก ฮอไรซอน รามคำแหง

สัมผัสวิว 360 องศา แบงค์คอก ฮอไรซอน รามคำแหง

บริษัท เจ้าพระยามหานคร จำกัด (มหาชน) แนะนำโครงการการ แบงค์คอก ฮอไรซอน รามคำแหง ตั้งอยู่ที่ ซอยรามคำแหง 60 แลนด์มาร์คแห่งกรุงเทพฯ ตะวันออก พิเศษกว่าด้วยวิว 360 องศา จากมุมมองใหม่ขอบฟ้ากรุงเทพฯ ในความอบอุ่นที่ลงตัว ภายใต้แนวคิด “360 องศา Panoramic View” ดื่มด่ำวิวทิวทัศน์ของกรุงเทพฯ ยามค่ำคืนได้จากระเบียงห้องพัก ออกแบบด้วยสถาปัตยกรรมในรูปแบบ Modern Contemporary ที่มีการผสมผสานเป็นตะวันออก และตะวันตกได้อย่างกลมกลืน บนเนื้อที่ใช้สอย 38 ชั้น ตอบสนองไลฟ์สไตล์ผู้อาศัย ด้วย 1 ห้องนอน ราคาเริ่มต้นเพียง 2 ล้านต้นๆ และ 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ ราคาเพียง 4.99 ล้านบาท พร้อมที่จอดรถส่วนตัวทุกยูนิต กับการออกแบบ Vertical Ventilation Design ที่เน้นการถ่ายเทอากาศภายในอาคารเพื่อให้กระแสลมพัดผ่าน ให้ความรู้สึกเย็นสบายทั่วถึงทุกยูนิตทั้งอาคารตลอดวัน ด้วยสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ พร้อมสัมผัสธรรมชาติกับ Roof Garden แบงค์คอก ฮอไร ซอน รามคำแหง คอนโดที่มุ่งตอบสนองความต้องการในเรื่องการเดินทางด้วยทำเล ที่ตั้งอยู่บนเส้นทาง ที่สามารถเดินทางได้หลากหลายรูปแบบการเดินทางทั้ง รถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงก์ (Airport Link), Motorway,รถไฟฟ้าสายสีส้ม และสีเหลือง รถตู้ เรือโดยสาร ทางด่วนพิเศษสามารถเข้าสู่ถึงเส้นทางเป้าหมายได้อย่างง่ายดาย ตอบสนองความต้องการสำหรับคนรุ่นใหม่ ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าสายสีส้ม และสายสีน้ำเงิน รายล้อมด้วยแหล่งช้อปปิ้ง เช่น เดอะมอลล์, ซีคอนสแควร์, เมเจอร์, บิ๊กซี, โลตัส, และสถาบันการศึกษาชั้นนำ อาทิ ม.รามคำแหง, ABAC, NIDA, พระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง โดดเด่นกับการใช้ชีวิตที่สมบูรณ์แบบ ระบบรักษาความปลอดภัย CCTV, KEY CARD พร้อม HI-SPEED INTERNET, SWIMMING POOL, FITNESS GYM, SAUNA, SQUASH COURT ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้อยู่อาศัยได้อย่างลงตัว จุดเด่นโครงการ * การออกแบบ ภายในอาคารในแบบ Vertical Ventilation Design ที่เน้นการถ่ายเทอากาศ * อาคารที่สูงที่สุดในย่านรามคำแหง กรุงเทพมหานครฝั่งตะวันออก * สิ่งอำนวยความสะดวกชั้น 8 เต็มพื้นที่
มั่นคงฯ อวดโฉมบ้านสไตล์โมเดิร์น ทรอปิคอล “ชวนชื่น โมดัส วิภาวดี เฟส 2” ติดถนนวิภาวดีรังสิต ใกล้ทางด่วนและรถไฟฟ้าสายสีแดง

มั่นคงฯ อวดโฉมบ้านสไตล์โมเดิร์น ทรอปิคอล “ชวนชื่น โมดัส วิภาวดี เฟส 2” ติดถนนวิภาวดีรังสิต ใกล้ทางด่วนและรถไฟฟ้าสายสีแดง

บมจ. มั่นคงเคหะการ โชว์ดีไซน์บ้านโฉมใหม่สไตล์โมเดิร์น ทรอปิคอล “ชวนชื่น โมดัส วิภาวดี เฟส 2” บนทำเลเด่นติดถนนเส้นหลัก ถ. วิภาวดีรังสิต ใกล้ทางด่วน และรถไฟฟ้าสีแดง พร้อมชูไฮไลท์การออกแบบให้มีพื้นที่ใช้สอยขนาดใหญ่ รองรับทุกกิจกรรมของสมาชิกในครอบครัวหรือสามารถปรับพื้นที่เพื่อการใช้งานหลากหลายด้วยราคาเริ่มต้น 10 ล้านบาท นายวรสิทธิ์ โภคาชัยพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “มั่นคงฯ ได้มีการพัฒนารูปแบบการออกแบบบ้านภายใต้ภาพลักษณ์ใหม่ ซึ่งนอกจากการเลือกทำเลศักยภาพแล้ว แบบบ้านจะต้องตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของลูกค้าในยุคปัจจุบันมากขึ้น ล่าสุดบริษัทได้เปิดตัวโครงการบ้านแฝดสามชั้นภายใต้คอนเซ็ปต์ดีไซน์สไตล์โมเดิร์น ทรอปิคอล เน้นการออกแบบทุกรายละเอียดและมีประสบการณ์เฉกเช่นบ้านเดี่ยว และมีการออกแบบพื้นที่ใช้สอยอย่างลงตัว” การออกแบบตัวบ้านเน้นให้พื้นที่ภายในบ้านมีความโปร่งโล่งสบาย โดยชั้นล่างได้มีการออกแบบเพดานห้องสูงถึง 2.8 เมตร มีหน้าต่างเป็นกระจกทรงสูงรอบบ้านเพื่อเปิดรับแสงจากภายนอก ทำให้พื้นที่ภายในบ้านมีความโปร่งโล่งสบาย นอกจากนั้น มีพื้นที่ในส่วน Living area ขนาดใหญ่สำหรับพักผ่อนหรือรับแขก พร้อมห้องเอนกประสงค์ที่กั้นเป็นแบบห้องกระจกสามารถทำเป็นห้องแพนทรี หรือ ห้องทำงานเพิ่มเติมได้ สำหรับชั้นสองจะมีห้องนอนมาสเตอร์ขนาดใหญ่พร้อม Walk-in Closet ส่วนตัวต่อเชื่อมกับห้องน้ำขนาดใหญ่ และมีพื้นที่อเนกประสงค์สำหรับพักผ่อน อ่านหนังสือ หรือทำกิจกรรมต่างๆ ส่วนชั้นสามประกอบด้วยหนึ่งห้องนอนแบบสวีทส์และสองห้องนอน ซึ่งพื้นที่ภายในบ้านได้มีการออกแบบเพื่อรองรับกิจกรรมต่างๆของครอบครัวขนาดใหญ่ได้เป็นอย่างดี หรือลูกค้าสามารถปรับพื้นที่เพื่อการใช้งานหลากหลายตามความต้องการได้ โครงการบ้านแฝด ชวนชื่น โมดัส วิภาวดี มีขนาด 3 ชั้น จำนวน 55 ยูนิต บนพื้นที่ 22-3-89.7 ไร่ โดยบ้านแต่ละหลังมีพื้นที่ใช้สอยขนาดใหญ่ ตั้งแต่ขนาด 248 ตารางเมตร บนพื้นที่ตั้งแต่  49-96 ตารางวา ประกอบ ด้วย 4 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ หน้าบ้านกว้าง 7 เมตร พื้นที่จอดรถ 2 คันพร้อมหลังคา ชวนชื่น โมดัส วิภาวดี ติดกับถนนวิภาวดีรังสิต ใกล้แยกหลักสี่ เยื้องไอทีสแควร์ ใกล้กับทางด่วน และจุดขึ้น-ลง สถานีหลักสี่  รถไฟฟ้าสายสีแดง (ซึ่งคาดว่าจะให้บริการได้ในปี 2562) ซึ่งเป็นทำเลที่สามารถเดินทางไปสู่จุดหมายปลายทางอื่นๆ ได้อย่างสะดวก อาทิ สนามบินดอนเมือง ศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ และการเชื่อมต่อสู่รามอินทรา ราคาเริ่มต้น 10 ล้านบาท/ยูนิต ข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.mk.co.th หรือ โทร. 1622
เอพี เผยแผนไตรมาส 2/59 เตรียมเปิด 8 โครงการใหม่ มูลค่ารวมกว่า 8,750 ลบ. พร้อมจัดแคมเปญพิเศษ Last Minute นาทีนี้ เอพีให้มากกว่ารัฐตลอดเดือนเมษายนนี้

เอพี เผยแผนไตรมาส 2/59 เตรียมเปิด 8 โครงการใหม่ มูลค่ารวมกว่า 8,750 ลบ. พร้อมจัดแคมเปญพิเศษ Last Minute นาทีนี้ เอพีให้มากกว่ารัฐตลอดเดือนเมษายนนี้

(5 เมษายน 2559; สำนักงานใหญ่) เอพี เผยแผนพัฒนาโครงการใหม่ไตรมาส 2/2559 เปิด 8 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 8,750 ล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 2 โครงการ มูลค่า 3,640 ล้านบาท พรีเมียมทาวน์โฮม 2 โครงการ มูลค่า 1,060 ล้านบาท และบ้านเดี่ยว 4 โครงการ มูลค่า 4,050 ล้านบาท และเพื่อตอบรับดีมานด์บ้านพร้อมอยู่พร้อมโอนก่อนจบมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาฯ ตลอดเดือนเมษายนนี้ บริษัทฯ พร้อมจัดแคมเปญพิเศษ Last Minute นาทีนี้ เอพีให้มากกว่ารัฐ รวมคอนโดมิเนียม ทาวน์โฮม และบ้านเดี่ยวพร้อมเข้าอยู่จากเอพี ราคาเริ่มต้น 1.8 ล้านบาท ฟรีทุกค่าใช้จ่ายวันโอน ลดสูงสุด 1,000,000 บาท และสิทธิพิเศษอื่นๆ อีกมากมาย ตั้งแต่วันนี้ – 28 เมษายนนี้เท่านั้น นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) เผยว่า ในไตรมาส 2/2559  เอพี มีแผนการเตรียมเปิด 8 โครงการใหม่  มูลค่ารวมกว่า 8,750 ล้านบาท แบ่งเป็น โครงการคอนโดมิเนียมที่เน้นจุดเด่นที่ตั้งโครงการติดแนวรถไฟฟ้าสายปัจจุบัน จำนวน 2 โครงการ มูลค่ารวม 3,640 ล้านบาท ได้แก่ Aspire สาทร – ตากสิน (Copper Zone) ติดสถานี BTS วุฒากาศ ราคาล้านปลายๆ และ Life สุขุมวิท 48 ติดสถานี BTS พระโขนง ราคาเริ่มประมาณ 2 ล้านกว่าๆ โครงการพรีเมียมทาวน์โฮมและโฮมออฟฟิศ เจาะกลุ่มลูกค้าคนเมืองระดับบนในโลเคชั่นใจกลางเมือง จำนวน 2 โครงการ มูลค่ารวม 1,060 ล้านบาท ได้แก่ บ้านกลางเมือง พระราม 9 – อ่อนนุช The Edition บ้านนวัตกรรมดีไซน์ใหม่ล่าสุด สะท้อนเอกลักษณ์แห่งความเหนือระดับ  มูลค่าโครงการ 510 ล้านบาท พร้อมเปิดลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษรอบ VIP ทางเว็บไซต์ apthai.com และเปิดจองอย่างเป็นทางการในเดือนพฤษภาคม และโฮมออฟฟิศเจาะกลุ่มลูกค้าธุรกิจบนทำเลศักยภาพ DISTRICT เอกมัย – รามอินทรา มูลค่าโครงการ 550 ล้านบาท ระดับราคา 15.9 ล้านบาท พร้อมเปิดจองในเดือนมิถุนายน และ โครงการบ้านเดี่ยว ระดับราคา 5 – 15 ล้านบาท ในทำเลต่อติดทุกการเดินทางเข้าสู่ใจกลางเมืองอย่างรวดเร็ว จำนวน 4 โครงการ มูลค่ารวม 4,050 ล้านบาท ได้แก่ ทำเลบางใหญ่, ปิ่นเกล้า – พุทธมณฑล สาย 4, สุขสวัสดิ์ – พระราม 3 และ   ทำเลใกล้รถไฟฟ้าสถานีบางพลู โดยโครงการบ้านเดี่ยวโครงการแรกที่จะเปิดพรีเซลในไตรมาส 2/2559 ได้แก่ Centro Westgate บ้านเดี่ยว 4 ห้องนอน เพียง 3 นาทีถึงรถไฟฟ้าสถานีคลองบางไผ่ (สายสีม่วง) ราคา 4 ล้านต้นๆ พร้อมเปิดจอง  6 พฤษภาคมนี้ และในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนจบมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาฯ เพื่อเป็นการตอบรับดีมานด์ตลาดบ้านพร้อมอยู่ บริษัทฯ ได้จัดแคมเปญพิเศษ Last Minute นาทีนี้ เอพีให้มากกว่ารัฐ มอบสิทธิพิเศษที่คุ้มค่าที่สุดแก่ลูกค้าที่สนใจโครงการบ้านพร้อมอยู่ในเครือเอพี โดยนอกจากการฟรีทุกค่าใช้จ่ายวันโอน ลูกค้ายังจะได้รับสิทธิประโยชน์แบบจัดเต็ม อาทิ  คอนโดมิเนียม 4 ทำเลพร้อมอยู่ติดรถไฟฟ้า ราคาเริ่มต้น 1.8 ล้านบาท รับส่วนลดสูงสุด 1,000,000 บาท พรีเมียมทาวน์โฮม บ้านกลางเมืองกว่า 20 โครงการพร้อมอยู่ ราคาเริ่มต้น 3.29 ล้านบาท รับสิทธิ์ ผ่อน 9,999 บาท นาน 3 ปี  พลีโน่ทาวน์โฮม 2 ชั้น และแกรนด์พลีโน่ บ้านแฝดสไตล์บ้านเดี่ยว 12 ทำเลใกล้ทางด่วนและรถไฟฟ้า ลดสูงสุดครึ่งล้าน ผ่อนเริ่มต้น  5,900 บาท ราคาเริ่มต้นเพียง 1.89 ล้านบาท และ บ้านเดี่ยวฟังก์ชั่นครบ 17 โครงการพร้อมอยู่ กับเพ็คเกจการเงินที่เลือกได้เอง พร้อมรับส่วนลดสูงสุด 1,000,000 บาท ราคาเริ่มต้น 3.69 – 28 ล้านบาท และสิทธิพิเศษอื่นๆ อีกมากมาย ตั้งแต่วันนี้ – 28 เมษายนนี้ ทั้งนี้ ผลตอบรับจากการจัดแคมเปญบ้านกลางเมือง Limitless Space ในวันที่ 24 – 30 มีนาคมที่ผ่านมา บริษัทฯ สามารถทำยอดขายจากเปิดตัวพรีเมียมทาวน์โฮม  3 โครงการใหม่และบ้านกลางเมืองกว่า 20 ทำเลพร้อมอยู่ มูลค่ารวมกว่า 1,200 ล้านบาท ทะลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ ซึ่งความสำเร็จดังกล่าวสามารถสะท้อนให้เห็นภาพรวมตลาดเรียลดีมานด์ในสินค้า พรีเมียมทาวน์โฮมทำเลใจกลางเมืองยังไปได้สวย และการันตีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคต่อสินค้าภายใต้แบรนด์ บ้านกลางเมืองในเครือเอพีได้เป็นอย่างดี ในประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญ และความเข้าใจในพฤติกรรมการอยู่อาศัยของคนเมืองมายาวนานกว่า 25 ปี ตลอดจนการไม่หยุดนิ่งในการคิดค้นและบริหารจัดการพื้นที่ใช้สอยภายในพร้อมการออกแบบที่หรูหราสอบรับพฤติกรรมลูกค้าระดับบนพร้อมการส่งมอบที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพให้กับลูกค้า
“ร่วมอิสสระ” เผยโฉมอาณาจักรโครงการทิวทะเลเอสเตทกว่า 100,000 ตารางเมตร มูลค่ารวม 12,000 ล้านบาท พร้อมเปิดตัว “โรงแรมบาบาบีช คลับ โฮเทล แอนด์ รีสอร์ต ชะอำ-หัวหิน”

“ร่วมอิสสระ” เผยโฉมอาณาจักรโครงการทิวทะเลเอสเตทกว่า 100,000 ตารางเมตร มูลค่ารวม 12,000 ล้านบาท พร้อมเปิดตัว “โรงแรมบาบาบีช คลับ โฮเทล แอนด์ รีสอร์ต ชะอำ-หัวหิน”

กรุงเทพฯ – 4 เมษายน 2559 – บริษัท ร่วมอิสสระ จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ภายใต้โครงการทิวทะเลเอสเตท แนวชายหาดชะอำ – หัวหิน กว่า 100,000 ตร.ม.ปัจจุบันมีโครงการอสังหาริมทรัพย์ 3 โครงการ – บ้านทิวทะเล อความารีน บ้านทิวทะเล บลูแซฟไฟร์ และบลู พร้อมเดินหน้าลุยพัฒนาโครงการโรงแรม บาบาบีช คลับ โฮเทล แอนด์ รีสอร์ต ชะอำ-หัวหิน โรงแรมสไตล์บีชคลับระดับลักซ์ชัวรี่  มูลค่ากว่า 1,700 ล้านบาท บริหารงานโดยทีมโรงแรมศรีพันวา จ.ภูเก็ต คาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมเปิดขายและให้บริการไตรมาส 2 ปี 2560 นายบุญเกียรติ โชควัฒนา ประธาน บริษัท ร่วมอิสสระ จำกัด กล่าวว่า “บริษัทฯ มีพื้นที่แนวชายหาดชะอำ – หัวหิน โดยรวมทั้งหมด 90 ไร่ หรือกว่า 100,000 ตารางเมตร ซึ่งเป็นทำเลที่ดีมากจึงได้จัดสรรและพัฒนาพื้นที่ภายใต้โครงการทิวทะเลเอสเตท ได้แก่ 1. บ้านทิวทะเล อความารีน โครงการคอนโดมิเนียมในคอนเซ็ปต์ Natural Contemporary   บนพื้นที่ 13 ไร่ เป็นอาคารแนวราบสูง 4 ชั้น จำนวน 4 อาคาร และอาคาร 15 ชั้น จำนวน 1 อาคาร รวมทั้งหมด 270 ยูนิต 2. บ้านทิวทะเล บลูแซฟไฟร์ โครงการคอนโดมิเนียมที่โดดเด่นด้วยรูปแบบสถาปัตยกรรม แนวคิด Aqua Contemporary  บนพื้นที่ 15 ไร่ เป็นอาคารแนวราบสูง 4 ชั้น จำนวน 2 อาคาร และอาคารสูง 15 ชั้น จำนวน 1 อาคาร รวมทั้งหมด 421 ยูนิต 3.บลู โครงการคอนโดมิเนียมที่มีความโดดเด่นภายใต้แนวคิดของชีวิตชายหาดท่ามกลางกลุ่มเกาะปะการัง บนพื้นที่ 7 ไร่ เป็นอาคารสูง 21 ชั้น จำนวน 1 อาคาร  ทั้ง 3 โครงการมีความโดดเด่นในเรื่องของทำเลที่ตั้ง ติดแนวชายหาดชะอำที่มีความยาว160 เมตร และมีความเป็นส่วนตัวเหมาะสำหรับการพักผ่อนได้อย่างใกล้ชิดกับธรรมชาติ นอกจากโครงการดังกล่าวฯ แล้ว เมื่อเร็วๆ นี้เราได้เริ่มพัฒนาโครงการใหม่ “โรงแรม บาบาบีช คลับ โฮเทล แอนด์ รีสอร์ต ชะอำ-หัวหิน” โรงแรมสไตล์บีชคลับระดับลักซ์ชัวรี่ ริมชายหาดชะอำ-หัวหิน เฟส 1 บนพื้นที่กว่า 2 ไร่ เป็นอาคารสูง 3 ชั้น และเฟส 2  บน พื้นที่ 7 ไร่ เป็นอาคารสูง 12 ชั้น พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน” นายสงกรานต์ อิสสระ รองประธาน บริษัท ร่วมอิสสระ จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า “จากความสำเร็จในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์แนวชายหาดชะอำ-หัวหินด้วยทีมงานคุณภาพเริ่มตั้งแต่โครงการคอนโดมิเนียมจินดารักษ์ ชะอำบีชคลับ บ้านเพลินทะเล และบ้านชานทะเล โครงการทาวน์โฮมอิสสระ วิลเลจ รวมทั้งสิ้น 5 โครงการ จนทำให้เรามีความเชี่ยวชาญในพื้นที่ การออกแบบ การก่อสร้าง ตลอดจนการเลือกวัสดุที่เหมาะกับสภาพแวดล้อมเพื่อนำเสนอโครงการได้อย่างมีคุณภาพ กับการเข้ามามีบทบาทในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ภายใต้โครงการทิวทะเลเอสเตททั้ง 3 โครงการ (บ้านทิวทะเล อความารีน บ้านทิวทะเล บลูแซฟไฟร์ และบลู) ถือว่าเป็นการต่อยอดความสำเร็จและตอกย้ำความแข็งแกร่งของบริษัทและสร้างความเชื่อมั่นต่อลูกค้าได้อย่างดีเยี่ยม ล่าสุดกับการพัฒนา “โรงแรม บาบาบีช คลับ   โฮเทล แอนด์ รีสอร์ต ชะอำ-หัวหิน” โรงแรมสไตล์บีชคลับระดับลักซ์ชัวรี่ บนชายหาดชะอำ-หัวหิน เกิดขึ้นจากการที่บริษัทฯ ต้องการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อขยายฐานกลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบการพักผ่อนสุดเอ็กซ์คลูซีฟอย่างใกล้ชิดธรรมชาติท่ามกลางชายหาดส่วนตัว พร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกสุดอลังการและมีความหลากหลายตอบสนองไลฟ์สไตล์ของลูกค้า” นายดิฐวัฒน์ อิสสระ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ร่วมอิสสระ จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า “ก่อนที่บริษัทจะพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในทุกๆ โครงการ ได้มีการสำรวจความต้องการของลูกค้า เพื่อนำมาพัฒนาโครงการให้ครอบคลุมทุกกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ที่มีความต้องการแตกต่างกันได้รับการตอบรับอย่างดี ทำให้ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วเกินความคาดหมายและมีการขยายโครงการเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง โดยโครงการใหม่คือ โรงแรมบาบาบีช คลับ โฮเทล แอนด์ รีสอร์ต ชะอำ-หัวหิน โรงแรมสไตล์บีชคลับระดับลักซ์ชัวรี่ ด้วยรูปแบบสถาปัตยกรรม แนวคิด Modern Colonial Style ออกแบบโดย บริษัท ฮาบิต้า จำกัด จำนวนห้องพัก 71 ยูนิตแบ่งเป็น อาคาร 3 ชั้น หน้าหาดจำนวน 18 ยูนิต และ อาคาร 12 ชั้น หลังหาดจำนวน 53 ยูนิต นอกจากนี้ยังมีวิลล่า 3 ห้องนอนจำนวน 10 ยูนิต และ วิลล่า 5 ห้องนอน จำนวน 1 ยูนิต และเพื่อทำให้โรงแรมบาบา บีช คลับ โฮเทล แอนด์ รีสอร์ตชะอำ-หัวหิน เป็นโรงแรมที่โดดเด่นทั้งด้านการออกแบบและการบริการแล้ว ยังได้ทีมงานผู้เชี่ยวชาญของโรงแรมศรีพันวาเข้ามาช่วยในการบริหารจัดการด้านการโรงแรมทั้งหมด โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2560 นอกจากการพัฒนาโครงการที่ดีแล้ว เรายังมีกลยุทธ์ทางการตลาดที่เป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนการขาย ไม่ว่าจะเป็นกลยุทธ์การตลาดผ่านออนไลน์ นับว่าเป็นช่องทางที่สามารถสื่อสารข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นเฟสบุ๊ค อินสตาแกรม บลอกเกอร์ เว็บไซด์ ควบคู่ไปกับป้ายโฆษณาประชาสัมพันธ์ ที่ดึงดูดความสนใจของลูกค้าในทำเลที่ตั้งที่เหมาะสม รวมไปถึงความต่อเนื่องในการจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาด โดยในวันเสาร์ที่ 9 เม.ย. 2559 จะมีการจัดงาน Open House Thew Talay Estate ฉลองเปิดอาคารและขอบคุณลูกค้า ณ โครงการบ้านทิวทะเล บลูแซฟไฟร์ เนรมิตพื้นที่ริมชายหาดจัดงานปาร์ตี้สไตล์โบฮีเมียนพร้อมการแสดงคอนเสิร์ตของศิลปินสุดฮิป “ปาล์มมี่” และวง “ลิปตา” พร้อมจัดเตรียมอาหารและเครื่องดื่มรวมถึงกิจกรรมสันทนาการ เพื่อสร้างบรรยากาศการพักผ่อนสุดเพลิดเพลินให้กับลูกค้า สำหรับมูลค่าโครงการของบริษัททั้งหมด – โครงการบ้านทิวทะเล อความารีน มีมูลค่า 2,084ล้านบาท สร้างแล้วเสร็จ มียอดขายกว่า 90% บ้านทิวทะเล บลูแซฟไฟร์ มีมูลค่า 1,920 ล้านบาท สร้างแล้วเสร็จ มียอดขายกว่า 70% และบลู มีมูลค่า 1,506 ล้านบาท อยู่ในระหว่างการก่อสร้างและมียอดขายแล้ว 30%  รวมถึงโรงแรม บาบาบีช คลับ โฮเทล แอนด์ รีสอร์ต ชะอำ-หัวหิน มีมูลค่า 1,700 ล้านบาท อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง รวมทั้งสิ้น 4 โครงการมีมูลค่ารวมกว่า 7,210 ล้านบาท ทั้งนี้บริษัทมีแผนจะพัฒนาโครงการเพิ่มขึ้นในอนาคต อาทิ พัฒนาโครงการบ้านทิวทะเล เฟส 4 และ 5 โครงการโฮเทล แอนด์ เรสซิเดนท์ บ้านทาวน์โฮม บ้านโชค และโครงการใหม่ๆที่รอการพัฒนา มูลค่ารวมของทุกโครงการอยู่ที่ 12,000 ล้านบาท” นายวรสิทธิ อิสสระ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศรีพันวา เเมเนจเมนท์ จำกัด กล่าวว่า “ทีมงานของโรงแรมศรีพันวา เป็นบุคลากรที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในการบริหารจัดการด้านการโรงแรมมากว่า10 ปี จนทำให้โรงแรมศรีพันวา จ.ภูเก็ต ได้รับรางวัลมากมายในระดับโลกมาแล้ว ปัจจุบันโรงแรมศรีพันวา ภูเก็ต ได้เปิดให้บริการในเฟสใหม่ชื่อ “HABITA” เป็นโรงแรมที่มีห้องพักแบบเพนท์เฮาส์จำนวน 10 ยูนิต และพูล สวีท จำนวน 20 ยูนิต ในปีที่ผ่านมาได้เปิดตัว บาบา บีช คลับ ภูเก็ต โครงการที่พักอาศัยและโรงแรมสไตล์บีชคลับระดับลักซ์ชัวรี่ บนพื้นที่ 42 ไร่ ริมชายหาดนาใต้ ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่าง บริษัท จุนฟา เรียลเอสเตท บริษัทอสังหาริมทรัพย์ติดอันดับท็อป 100 ของประเทศจีนและบริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ภายใต้ชื่อ บริษัท อิสสระจุนฟา จำกัด ปัจจุบันโครงการ บาบาบีช คลับ ภูเก็ต ในส่วนของสำนักงานขายก่อสร้างแล้วเสร็จ และบาบาบีชฟร้อนท์บ้านตัวอย่างพื้นที่กว่า 1,000 ตร.ม.ก่อสร้างแล้วอยู่ระหว่างการตกแต่งภายใน คาดว่าจะเปิดให้เข้าเยี่ยมชมอย่างสมบูรณ์แบบได้ภายในเดือนพฤษภาคมนี้” นายวรสิทธิ กล่าวเพิ่มเติมว่า “เรามีความมั่นใจในทีมงานมืออาชีพ พร้อมจะทำให้โรงแรม บาบาบีช คลับ โฮเทล แอนด์ รีสอร์ต หัวหิน ให้กลายเป็นเป็นโรงแรมที่มีคุณภาพทั้งด้านการออกแบบ ทำเลที่ตั้ง และงานด้านบริการ ให้อยู่ในมาตรฐานเดียวกับโรงแรมศรีพันวา ภูเก็ต” Baba Beach Club Hua Hin Baan Thew Talay Blue Sapphire BLU Cha Am - Hua Hin
ตลาดที่อยู่อาศัยในกรุงเทพมหานคร ณ ไตรมาสที่ 1 พ.ศ.2559

ตลาดที่อยู่อาศัยในกรุงเทพมหานคร ณ ไตรมาสที่ 1 พ.ศ.2559

คอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่ในไตรมาสที่ 1 พ.ศ.2559 อยู่ที่ประมาณ 6,973 ยูนิตมากกว่าไตรมาสที่ 4 พ.ศ.2558 ประมาณ 17% เพราะในไตรมาสที่ 4 พ.ศ.2558 มีคอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่เพียง 5,961 ยูนิตเท่านั้น การที่คอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่มากขึ้นในไตรมาสที่ 1 พ.ศ.2559 ไม่ได้แสดงว่าตลาดคอนโดมิเนียมฟื้นตัวหรือว่ากำลังซื้อกลับมาแล้ว แต่เป็นเพราะว่าในช่วงไตรมาสที่ 4 พ.ศ.2558 และไตรมาสที่ 1 พ.ศ.2559 เป็นช่วงที่ผู้ประกอบการพยายามเร่งระบายโครงการเดิมในสต็อกที่สร้างเสร็จแล้วหรือว่าโครงการที่มีกำหนดแล้วเสร็จก่อนที่มาตรการช่วยเหลือตลาดอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาลจะหมดในช่วงปลายเดือนเมษายนที่จะถึงนี้ ผู้ประกอบการหลายรายโดยเฉพาะรายใหญ่จึงเปิดขายโครงการใหม่กันไม่มากนัก แต่ที่มีโครงการเปิดขายใหม่เยอะในช่วงนี้กลับเป็นผู้ประกอบการรายเล็ก รายกลาง และหน้าใหม่ โดยมีจำนวนรวมกันประมาณ 2,202 ยูนิตจากทั้งหมด 10 โครงการ นายสุรเชษฐ กองชีพ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย คอลลิเออร์ส อินเตอร์เรนชั่นแนล ประเทศไทย กล่าวว่า ตลาดคอนโดมิเนียมราคาแพงหรือที่มีราคาขายมากกว่า 250,000 บาทต่อตารางเมตรขึ้นไปก็ยังได้รับความสนใจอยู่โดย ณ ปัจจุบันมีจำนวนรวมทั้งหมดประมาณ 3,393 ยูนิตขายไปได้ประมาณ 65% แสดงให้เห็นว่าคอนโดมิเนียมระดับนี้ได้รับความสนใจระดับหนึ่งบางโครงการได้รับความสนใจจากผู้ซื้อชาวต่างชาติไม่น้อย ในปีพ.ศ.2559 ผู้ประกอบการหลายรายยังมีความมั่นใจในการพัฒนาโครงการระดับนี้ออกมาอีกแต่อาจจะมีจำนวนที่ลดลงจากปีพ.ศ.2558 เพราะว่ายังไม่มั่นใจในภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยที่มีผลโดยตรงต่อการตัดสินใจซื้ออสังหาริมทรัพย์รวมทั้งอุปทานจำนวนมากเข้ามาดูดซับความต้องการไปก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งจะเห็นได้จากบางโครงการที่เปิดขายในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีพ.ศ.2558 ที่ทำยอดขายได้ไม่สูงมากนัก เมื่อเทียบกับโครงการก่อนหน้านี้โดยทำเลที่มีจำนวนโครงการระดับนี้มากที่สุด คือ สุขุมวิทที่มีอยู่ 40% จากจำนวนทั้งหมด ราคาที่ดินในพื้นที่ตามแนวถนนสุขุมวิทมีราคามากกว่า 1.5 ล้านบาทต่อตารางวาขึ้นไปทำให้โครงการระดับราคามากกว่า 250,000 บาทต่อตารางเมตรชึ้นไปอยู่ในทำเลนี้มากที่สุด แต่อาจจะขายไปได้ประมาณ 57% เท่านั้น เพราะมีโครงการคอนโดมิเนียมระดับราคาที่ต่ำกว่าในทำเลเดียวกันเปิดขายอยู่หลายโครงการเช่นกัน แต่ทำเลรอบๆ สวนลุมพินี สีลมกับสาทรขายได้มากกว่า 75% ทั้งสองทำเล “ในขณะที่ตลาดบ้านจัดสรรอาจดูไม่ค่อยชะลอตัวลงไปเท่าไหร่เพราะได้รับประโยชน์จากมาตรการช่วยเหลือของรัฐบาลมากกว่าคอนโดมิเนียมที่ใช้เวลาในการก่อสร้างนานกว่า เรื่องที่สร้างความน่าสนใจในตลาดบ้านจัดสรรในช่วงไตรมาสที่ 1 พ.ศ.2559 คือบ้านราคาแพงที่มีราคาขายเกิน 40 ล้านบาทต่อยูนิตมีการพูดถึงกันมากขึ้นหลังจากที่คอนโดมิเนียมราคาแพงเข้ามาครอบครองพื้นที่สื่อไปเป็นปีแล้ว ผู้ประกอบการหลายรายจึงเริ่มมีการออกข่าวว่าจะสร้างบ้านในราคาเริ่มต้นที่ 40 ล้านบาทต่อยูนิตในปีนี้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้พวกเขาเปิดขายมาก่อนหน้านี้แล้วก็ตามโดยภาพรวมของบ้านในระดับราคาเริ่มต้นที่ 40 ล้านบาทต่อยูนิตขึ้นไปในกรุงเทพมหานคร ณ ปัจจุบันมีเปิดขายอยู่ทั้งหมด 17 โครงการ 668 ยูนิตและขายไปได้แล้วประมาณ 61% ของจำนวนทั้งหมดซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีการตอบรับจากผู้ซื้อค่อนสูงแม้ว่าบ้านจะมีราคาขายเริ่มต้นที่ 40 ล้านบาทต่อยูนิตขึ้นไปถึงมากกว่า 160 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นบ้านเดี่ยวบนที่ดินขนาดประมาณ 60 ตารางวาขึ้นไปและในปีพ.ศ.2558 เริ่มมีโครงการบ้านขนาดเล็กบนที่ดินประมาณ 30 ตารางวาในพื้นที่ตามแนวถนนสุขุมวิทเปิดขายบ้างแต่จำนวนยูนิตต่อโครงการอาจจะไม่มากนัก” นายสุรเชษฐ กล่าวเพิ่มเติม ตลาดที่อยู่อาศัยในไตรมาสที่ 1 พ.ศ.2559 อาจจะไม่ค่อยคึกคักเพราะว่าเศรษฐกิจที่อยู่ในช่วงชะลอตัว และผู้ประกอบรายใหญ่ต่างเร่งระบายสต็อกคอนโดมิเนียม และบ้านจัดสรรที่พร้อมโอนกรรมสิทธิ์ในช่วงที่รัฐบาลมีมาตรการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ ทำให้ข่าวการเปิดขายโครงการใหม่จากผู้ประกอบการรายกลาง รายเล็ก และรายใหม่มีมากกว่า รวมทั้งข่าวการเปิดขายโครงการบ้านจัดสรร และคอนโดมิเนียมในราคาแพงๆ ระดับมากกว่า 40 ล้านบาทขึ้นไปเข้ามาสร้างความน่าสนใจมากขึ้น นายสุรเชษฐกล่าวสรุป  
The Cube Plus Minburi พรีเซลสะท้านวงการฯ เริ่ม 1.39 ลบ. ได้ครบพบกัน 2-3 เม.ย.นี้

The Cube Plus Minburi พรีเซลสะท้านวงการฯ เริ่ม 1.39 ลบ. ได้ครบพบกัน 2-3 เม.ย.นี้

เดอะคิวบ์ พลัส มีนบุรี (The Cube Plus Minburi) โครงการคอนโดมิเนียมสูง 8 ชั้นรวม 2 อาคาร แต่งครบรวมเฟอร์นิเจอร์ทำเลล่าสุดที่ บริษัท คิวบ์ เรียล พร๊อพเพอร์ตี้ จำกัด ภูมิใจนำเสนอและพร้อมเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 2-3 เมษายน 2559 เป็นต้นไป กับราคาพรีเซลสะท้านวงการอสังหาริมทรัพย์ย่านมีนบุรี เริ่มต้นเพียง 1.39 ล้านบาท ที่รวมการตกแต่งเฟอร์นิเจอร์จาก Modernform ครบทุกฟังก์ชั่นทุกยูนิต (Fully Furnish) ที่ผสมผสานความสวยทันสมัยและใช้งานได้อย่างเต็มที่บนพื้นที่ส่วนตัว ดีไซน์ภายนอกเน้นความสวยงาม ทันสมัย และโปร่งสบาย ส่วนภายในเน้นความสวยที่หน้าต่างบานใหญ่เต็มผนังห้องนอน และการจัดเลย์เอาท์ให้มีพื้นที่กว้างขวางอยู่สบาย มีบานสไลด์แบ่งสัดส่วนระหว่างห้องนอนและห้องนั่งเล่น สำหรับแปลนระหว่างอาคารออกแบบให้มีความสบายไม่แออัดใช้ชีวิตได้คล่องตัวและมีความเป็นส่วนตัวสูง มีขนาดห้องให้เลือกตั้งแต่ 24 - 49.5 ตารางเมตร รูปแบบ ห้องพักอาศัย มี 6 ขนาด ดังนี้ แบบ 1 ห้องนอน Type A  ขนาด 24 ตารางเมตร แบบ 1 ห้องนอน Type B  ขนาด 28 ตารางเมตร แบบ 1 ห้องนอน Type B2  ขนาด 30.5 ตารางเมตร แบบ 1 ห้องนอน Type B3  ขนาด 33.5 ตารางเมตร แบบ 1 ห้องนอน Type C  ขนาด 34 ตารางเมตร แบบ 1 ห้องนอน Type D  ขนาด 49.5 ตารางเมตร พร้อมสรรพด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกบนพื้นที่ส่วนกลาง อาทิ สระว่ายน้ำระบบเกลือ ห้องฟิตเนส ห้องเซาว์น่า (แยกชาย/หญิง) สวนหย่อมธรรมชาติ กล้องวงจรปิด (CCTV) Digital door lock (กลอนประตูดิจิตอล) จาก Samsung ทุกยูนิต ระบบคีย์การ์ดทางเข้าอาคาร และลิฟท์แบบคีย์การ์ดล๊อคชั้น ระบบรักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง Wi-Fi อินเตอร์เน็ตที่ล็อบบี้ส่วนกลาง การเดินทางสะดวกติดถนนใหญ่เข้า/ออกได้ 2 ทาง ทั้งถนนสีหบุรานุกิจและถนนสุวินทวงศ์ ใกล้รถไฟฟ้าสายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี สถานีตลาดมีนบุรี) ใกล้แหล่งสาธารณูปโภคครบครัน อาทิ ศูนย์การค้าตลาดมีนบุรี ศูนย์การค้าแฟชั่น ไอส์แลนด์ เดอะพรอมานาด ศาลจังหวัดมีนบุรี ตลาดนัดจตุจักร 2 (มีนบุรี) โรงพยาบาลเสรีรักษ์ โรงพยาบาลนวมินทร์ 9 โรงเรียนพาณิชย์การมีนบุรี โรงเรียนเศรษฐบุตรบำเพ็ญ บิ๊กซี เทสโก โลตัส ฯลฯ ลงทะเบียนรับสิทธิ์พิเศษที่เว็บไซต์ www.thecube-condo.com, www.facebook.com/the cube-condo และสื่อออนไลน์ต่าง ๆ ของโครงการ หรือสอบถามเพิ่มเติมโทร. 082-732-7323-4