Tag : News

2376 ผลลัพธ์
‘เพซ’ ประกาศความสำเร็จ ‘โครงการมหานคร’ สร้างถึงจุดสูงสุดชั้น 77  ที่ความสูง 314 เมตร ขึ้นแท่นอาคารที่สูงที่สุดของไทย

‘เพซ’ ประกาศความสำเร็จ ‘โครงการมหานคร’ สร้างถึงจุดสูงสุดชั้น 77 ที่ความสูง 314 เมตร ขึ้นแท่นอาคารที่สูงที่สุดของไทย

เมื่อวันที่ 29 เมษายน ที่ผ่านมา บริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนา “โครงการมหานคร” โครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับไฮเอนด์ในรูปแบบมิกซ์-ยูส (Mixed-use) ใจกลางกรุงเทพฯ ประกาศความสำเร็จอีกครั้งกับปรากฏการณ์ความยิ่งใหญ่ล่าสุด ในฐานะอาคารที่สูงและหรูหราที่สุดในประเทศไทย ด้วยการก่อสร้างในส่วนของโครงสร้างหลักถึงชั้นที่ 77 ณ ความสูง 314 เมตร พร้อมเป็นแลนด์มาร์คที่สวยสง่าเคียงคู่ขอบฟ้าของกรุงเทพฯ นายสรพจน์ เตชะไกรศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า โครงการมหานครนับเป็นความภาคภูมิใจสูงสุดของเพซ ที่ได้สร้างสถาปัตยกรรมแลนด์มาร์คให้กับประเทศไทย ในโอกาสที่การก่อสร้างโครงสร้างหลักของอาคารมหานครถึงจุดสูงสุดในเดือนเมษายน เราจึงเฉลิมฉลองสถิติใหม่นี้ด้วยการเป็นผู้สนับสนุนหลักคอนเสิร์ตเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยสุดยอดศิลปินโอเปร่าระดับโลก ‘อันเดรอา โบเชลลี’ ภายใต้ชื่อ ‘MahaNakhon a Magical Night with Andrea Bocelli: The World’s Most Beloved Tenor’ เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2558 ที่ผ่านมา ณ รอยัล พารากอน ฮอลล์ สยามพารากอน เนื่องจากมหานครเป็นตึกในกลุ่ม Super tall building และเป็นตึกที่มีความสูงที่สุดในประเทศไทย เราจึงให้ความสำคัญกับรายละเอียดการก่อสร้างและความปลอดภัยเป็นอย่างมาก โดยมีทีมผู้เชี่ยวชาญระดับโลกให้คำปรึกษาด้านการก่อสร้าง และ Bouygues Thai เป็นผู้รับเหมาโครงการภายใต้การกำกับดูแลของบริษัทแม่ Bouygues ฝรั่งเศส ซึ่งเป็น 1 ใน 3 บริษัทผู้รับเหมาระดับโลก จึงมั่นใจได้ว่าโครงการมหานครจะมีมาตรฐานการก่อสร้างระดับเดียวกับอาคารสูงในมหานครระดับโลกอย่างนิวยอร์คหรือโตเกียว “เรามีความตั้งใจให้อาคารมหานครเป็นสถาปัตยกรรมมาสเตอร์พีซที่อยู่คู่กับขอบฟ้าเมืองไทยไปอีก 100 ปี จึงให้ความสำคัญกับการออกแบบทุกรายละเอียด ทั้งภายนอกและภายในตัวอาคารที่มีความละเอียดซับซ้อน โดยในแต่ละชั้นจะมีเลย์เอาท์ที่ไม่เหมือนกัน ทำให้การวางระบบสาธารณูปโภคและการออกแบบตกแต่งภายในต้องมีความพิถีพิถันและใช้เวลามากกว่าโครงการทั่วไป โดยเราได้ดำเนินงานภายในตัวอาคาร ควบคู่กับการก่อสร้างในส่วนโครงสร้างอาคารชั้นบน เพื่อร่นระยะเวลาการก่อสร้าง โดยคาดว่าภายในปีนี้จะสามารถเก็บรายละเอียดภายนอกตัวอาคารได้ทั้งหมด ในส่วนของภายในอาคารจะสามารถทยอยส่งมอบห้องให้กับลูกค้าตั้งแต่ช่วงปลายปี 2558 จนถึงปี 2559” มหานคร เป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับไฮเอนด์ในรูปแบบมิกซ์-ยูส (Mixed-use) ประกอบด้วยที่พักอาศัยระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ เดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน เรสซิเดนเซส บางกอก จำนวน 207 เรสซิเดนซ์ ทุกเรสซิเดนซ์มอบพื้นที่รายล้อมด้วยกระจก สร้างบรรยากาศราวกับลอยอยู่บนฟ้า พร้อมด้วยบริการระดับ 5 ดาวในมาตรฐาน เดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน บูติคโฮเต็ล แบรนด์ บางกอกเอดิชั่น บริหารโดย เดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน จำนวน 159 ห้อง และพื้นที่ไลฟ์สไตล์รีเทล โดยบริเวณชั้นบนสุดของอาคารชั้น 77 ที่ระดับความสูง 314 เมตร เพซได้เตรียมเนรมิต ‘Sky Observation Deck’ และ บาร์ดาดฟ้าเอาท์ดอร์ สำหรับเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ เพื่อชมทัศนียภาพ  ของกรุงเทพฯ ได้อย่างสวยงามในทุกจุดแบบพาโนราม่า “Sky Observation Deck บนชั้น 77 ของโครงการมหานคร จะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ ที่ช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ให้มาเยี่ยมชมความงดงามของภูมิทัศน์ของกรุงเทพฯ ตอบรับนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อนำรายได้เข้าสู่ประเทศไทยของภาครัฐ ซึ่งเราได้ออกแบบอย่างพิถีพิถันเพื่อให้ผู้เยี่ยมชมได้สัมผัสกับวิวทิวทัศน์ละลานตา 360 องศาทั่วทุกมุมของกรุงเทพฯ บนความสูง 314 เมตร ซึ่งรับรองว่าจะสามารถสร้างประสบการณ์ที่น่าประทับใจให้กับผู้เยี่ยมชม ไม่แพ้จุดชมวิวในเมืองหลวงของโลกแห่งอื่นๆ อย่างแน่นอน โดยเราจะเปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมให้ทราบเร็วๆ นี้” นายสรพจน์กล่าวเสริม ทั้งนี้ ล่าสุด บริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้เข้าถือหุ้นในโครงการมหานครทั้งหมดเต็ม 100% จากการซื้อหุ้นคืนจาก บริษัท ไอบีซี ไทยแลนด์ แอลทีดี (IBC) “การเข้าถือหุ้นในโครงการมหานครเต็ม 100% จะช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการบริหารงาน เพื่อประโยชน์สูงสุดของทุกๆ ฝ่าย ทั้งบริษัทฯ ผู้ถือหุ้น และไอบีซี โดยเราพร้อมเดินหน้าอย่างเต็มที่เพื่อให้โครงการมหานครเป็นไปตามแผนงานที่วางไว้” นายสรพจน์ กล่าวสรุป
อิตัลไทยเปิดงานเอ็กซ์โปสุดยิ่งใหญ่ที่ไบเทค ฉลอง 60 ปี โชว์ความหลากหลายเชิงกลยุทธ์ พร้อมคิกออฟแผน 5 ปี  ดันยอดขายโต 2 เท่าสู่ 25,800 ล้านบาท

อิตัลไทยเปิดงานเอ็กซ์โปสุดยิ่งใหญ่ที่ไบเทค ฉลอง 60 ปี โชว์ความหลากหลายเชิงกลยุทธ์ พร้อมคิกออฟแผน 5 ปี ดันยอดขายโต 2 เท่าสู่ 25,800 ล้านบาท

เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2558 ที่ผ่านมา กลุ่มบริษัทอิตัลไทย กลุ่มธุรกิจสำคัญกลุ่มหนึ่งในวงการธุรกิจอุตสาหกรรมก่อสร้าง และธุรกิจพัฒนาโครงการเพื่อการพาณิชย์และฮอสพิทาลิตี้ของประเทศไทย ตลอดระยะเวลา 60 ปีที่ผ่านมา เปิดงานเอ็กซ์โปใหญ่ จัดแสดงสินค้าและบริการของธุรกิจต่างๆ ในกลุ่มบริษัทอิตัลไทย บนพื้นที่จัดแสดง 7,550 ตารางเมตรของศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการฉลองครบรอบ 60 ปีของกลุ่มบริษัทอิตัลไทย และงานเอ็กซ์โปใหญ่ในครั้งนี้ ยังเป็นการคิกออฟแผนธุรกิจ 5 ปี เพื่อเริ่มต้นเดินหน้าอย่างเป็นทางการ ไปสู่เป้าหมายที่ได้ประกาศไปก่อนหน้า ที่จะผลักดันรายได้ให้เติบโตขึ้น 2 เท่าจาก 12,900 ล้านบาท ในปี 2557 เป็น 25,800 ล้านบาท ในระยะเวลา 5 ปีข้างหน้า (หรือปี 2562) งานเอ็กซ์โปใหญ่ของกลุ่มบริษัทอิตัลไทยครั้งนี้ กำหนดจัดขึ้น 1 วันเต็ม ภายใต้ธีมงานที่เรียกว่า ‘Infinite Opportunities’ มีกลุ่มเป้าหมายที่จะเข้ามาชมงานคือกลุ่มลูกค้าปัจจุบันและกลุ่มเป้าหมายที่มีโอกาสเป็นลูกค้าในอนาคต รวมถึงพันธมิตรทางธุรกิจ และนิสิตนักศึกษามหาวิทยาลัยต่างๆ โดย    จัดแสดงสินค้าและบริการของบริษัทต่างๆ จากธุรกิจทั้งหมดของกลุ่มบริษัทอิตัลไทย ซึ่งปัจจุบันธุรกิจของกลุ่มบริษัทอิตัลไทยแบ่งเป็น 2 กลุ่มธุรกิจในสัดส่วนพอๆ กัน และเป็นกลุ่มธุรกิจที่เป็นรากฐานที่สำคัญของเศรษฐกิจประเทศไทย ได้แก่ ‘กลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลและรับเหมาก่อสร้างแบบครบวงจร’ ที่เชื่อมโยงกับโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานภายในประเทศ และ ‘กลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมบริการและไลฟ์สไตล์’ ที่เชื่อมโยงกับภาคการท่องเที่ยวของไทยซึ่งสามารถแข่งขันได้กับทั่วโลก นายยุทธชัย จรณะจิตต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท อิตัลไทย เปิดเผยว่า “เรามีเครื่องจักรกลหนักมากกว่า 30 รายการมาจัดแสดงในงาน รวมไปถึงบริการด้านไลฟ์สไตล์ต่างๆ มากมาย ที่อยู่ในกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมบริการและไลฟ์สไตล์ ทำให้งานเอ็กซ์โปครั้งนี้เป็นการจัดแสดงสินค้าและบริการของธุรกิจในกลุ่มบริษัทอิตัลไทยที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เราเคยจัดมาในประวัติศาสตร์ของเรา โดยเราหวังว่างานเอ็กซ์โปครั้งนี้จะทำให้ผู้เข้าชมงานได้สัมผัสกับความหลากหลายและครอบคลุมของธุรกิจของเรา ดังที่เรากำลังเดินเครื่องเต็มที่ขยายการลงทุนเพื่อรองรับโอกาสที่เกิดจากการเปิดตลาดเออีซี” “ในยุคเออีซี เราจำเป็นต้องเปิดเกมรุกเพื่อที่จะประสบความสำเร็จ ซึ่งตอนนี้เรากำลังขยายโอกาสทั้งในประเทศและต่างประเทศ” นายยุทธชัย กล่าว นายยุทธชัย กล่าวว่า ในงบประมาณการลงทุน 11,000 ล้านบาทที่กลุ่มบริษัทอิตัลไทยวางไว้สำหรับระยะเวลา 5 ปีข้างหน้านั้น จะเป็นงบประมาณที่ลงทุนในปี 2558 นี้ เป็นจำนวนเงินประมาณ 3,000 ล้านบาท นายยุทธชัย เปิดเผยว่า เพื่อเดินหน้าสู่เป้าหมายของกลุ่มบริษัทอิตัลไทยที่จะผลักดันรายได้ให้เติบโตขึ้น 2 เท่าภายในปี 2562 โครงการล่าสุดในกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลและรับเหมาก่อสร้างแบบครบวงจรของกลุ่มบริษัทอิตัลไทย คือ การจัดตั้งหน่วยบริการให้เช่ารถขุดขนาด 20 ตัน ซึ่งมีรถขุดไว้ให้บริการจำนวน 30 คัน ใช้เงินลงทุนทั้งสิ้น 140 ล้านบาท โดยให้บริการลูกค้าแบบ “แพ็กเกจให้เช่าพร้อมบริการสนับสนุนการปฏิบัติงานอย่างเต็มรูปแบบ" “เพื่อให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ของเราที่เน้นการให้บริการที่เป็นเลิศแก่ผู้รับเหมาชั้นนำของไทย เราจะให้บริการทั้งอุปกรณ์  เจ้าหน้าที่ควบคุมเครื่อง  รวมไปถึงการสนับสนุนการปฏิบัติงานแบบครบวงจร ทั้งบริการซ่อมบำรุง บริการชิ้นส่วนอะไหล่ และบริการต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับการเดินเครื่องปฏิบัติงาน โดยการนำเสนอบริการใหม่ที่ครบวงจรนี้ จะช่วยให้ผู้รับเหมาสามารถลดเงินลงทุนในขั้นเริ่มต้นได้ และลดภาระการดูแลสภาพคล่องทางการเงินของโครงการ ตลอดจนช่วยให้ผู้รับเหมาซึ่งเป็นลูกค้าของเราไม่ต้องลงไปจัดการกับการควบคุมเครื่องจักรกลด้วยตัวเอง” นายยุทธชัย กล่าว นอกจากนั้น นายยุทธชัยกล่าวว่า ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ กลุ่มบริษัทอิตัลไทยได้รับการเซ็นสัญญาการก่อสร้างโครงการพลังงานทดแทนมูลค่า 4,900 ล้านบาท ซึ่งจะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าทั้งสิ้น 177 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นกำลังการผลิตจากฟาร์มกังหันลม (wind farms) 90 เมกะวัตต์ และกำลังการผลิตจากโซลาร์ฟาร์ม (solar farm) 87 เมกะวัตต์ ในส่วนกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมบริการและไลฟ์สไตล์ กลุ่มบริษัทอิตัลไทยประกาศว่า ได้เปิดเกมรุกอย่างเต็มกำลัง เพื่อเปิดให้บริการโรงแรมอย่างน้อย 10 แห่ง ในกลุ่มประเทศมหาสมุทรอินเดีย ได้แก่ อินเดีย ศรีลังกา และมัลดีฟส์ ภายในปี 2565 ตามเป้าหมายที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้ให้บริการโรงแรมชั้นนำในภาคพื้นเอเชีย-แปซิฟิก “โรงแรมในอินเดีย แบ่งเป็นประเภทที่หรูหรามากๆ สำหรับตลาดบน และประเภทที่ค่อนข้างไม่เป็นที่รู้จักปะปนกันอยู่สำหรับตลาดล่าง เราจึงเล็งเห็นโอกาสที่เปิดกว้างในอินเดีย สำหรับผู้ประกอบการอย่างเราที่มีศักยภาพสามารถนำเสนอโรงแรมที่ได้มาตรฐานระดับสากล ที่จะทำให้ผู้เข้าพักได้รับประสบการณ์คุณภาพสูง และเชื่อถือได้ ในราคาที่ต่ำกว่าโรงแรมหรูหราระดับลักชัวรี่” นายยุทธชัย กล่าว นายยุทธชัย ยืนยันว่า ในปีหน้า ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป ของกลุ่มบริษัทอิตัลไทย จะเริ่มก่อสร้างโรงแรมแบรนด์อมารี 1 แห่งภายในโครงการเวิลด์ เทรด เซ็นเตอร์ นอยดา ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากกรุงนิวเดลีของอินเดียไปทางตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 20 กิโลเมตร ทั้งนี้ นอยดาเป็นย่านที่ประชากรมีรายได้ต่อหัวสูงสุดในเขตพื้นที่มหานครของอินเดีย โดยโรงแรมดังกล่าวจะประกอบไปด้วยห้องพักโรงแรม จำนวน 120 ห้อง แบรนเดด เรสซิเดนซ์ (Branded Residence) จำนวน 30 ยูนิต ห้องอาหาร 3 แห่ง ห้องจัดประชุมสัมมนา และบรีซ สปา นอกจากนั้น ในปีหน้า ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป ของกลุ่มบริษัทอิตัลไทย จะเริ่มก่อสร้างโครงการ อมารี เรสซิเดนซ์ ซึ่งจะประกอบไปด้วยเซอร์วิส อพาร์ทเมนต์ จำนวน 120 ยูนิต พร้อมด้วยห้องอาหาร  สระว่ายน้ำและห้องออกกำลังกายในเขตคุชราต อินเตอร์เนชั่นแนล ไฟแนนซ์ เทค-ซิตี้ (GIFT) ใกล้กับอาห์เมดาบัดในรัฐคุชราตทางตะวันตกของอินเดีย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ GIFT World Trade Centre ภายในงานเอ็กซ์โปครั้งนี้ ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ปของกลุ่มบริษัทอิตัลไทย ยังมีการแลกเปลี่ยนสัญญาความร่วมมือเพื่อบริหาร 2 โครงการในมาเลเซีย ภายใต้แบรนด์ โอโซ่ ซึ่งเป็นแบรนด์โรงแรม และแบรนด์ ชามา ซึ่งเป็นแบรนด์เซอร์วิสอพาร์ทเมนต์ของกลุ่มบริษัทอิตัลไทย โดย โอโซ่ เมดินี ซึ่งเป็นโรงแรมที่ให้บริการแบบ select-service ตั้งอยู่ใน UMCity Medini Lakeside มีห้องพัก 198 ห้อง จะเปิดให้บริการในปี 2561 และในโครงการเดียวกัน ยังมี ชามา เมดินี ซึ่งเป็นเซอร์วิสอพาร์ทเมนต์ระดับลักชัวรี่ มีห้องพัก 232 ห้อง พร้อมด้วยพื้นที่พักผ่อนและรับประทานอาหาร เจาะกลุ่มเป้าหมายที่เป็นนักธุรกิจที่ต้องเดินทางบ่อยและกลุ่มครอบครัว “ปัจจุบัน ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ปของกลุ่มบริษัทอิตัลไทย มีโครงการโรงแรม รีสอร์ท และเซอร์วิส อพาร์ทเมนต์ในเครือ ที่เปิดให้บริการอยู่แล้วทั้งสิ้น 38 แห่ง มีห้องพักรวมกัน 6,257 ห้อง และที่ยังอยู่ระหว่างการก่อสร้างอีก 18 แห่ง โดยเป้าหมายของเราคือจะต้องมีมากกว่า 100 แห่งภายใน 5 ปีข้างหน้า” นายยุทธชัยกล่าว นายยุทธชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปีนี้ กลุ่มบริษัทอิตัลไทยจะรีแบรนด์ดิ้ง พร้อมดำเนินการปรับปรุงศูนย์การค้าริเวอร์ซิตี้ ซึ่งเป็นแหล่งจำหน่ายสินค้าประเภทศิลปะและของโบราณชั้นนำในกรุงเทพฯ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงปลายปีนี้ สำหรับกิจกรรมที่ถือเป็นไฮไลท์ของงานเอ็กซ์โปภายใต้ธีม Infinite Opportunities ในครั้งนี้ ประกอบไปด้วยการแสดงโชว์การขับเครื่องจักรกลขนาดใหญ่ การชิมไวน์ที่กลุ่มบริษัทอิตัลไทยเป็นผู้นำเข้า การสาธิตการผสมเครื่องดื่มเปอริเอ้ การดื่มด่ำกับชาทีดับเบิลยูจี การจัดประมูลเครื่องเคลือบดินเผาไทยโดยศูนย์การค้าริเวอร์ ซิตี้ และบริการอาหารและเครื่องดื่มพิเศษจากโรงแรมอมารี
เดอะทรัสต์ คอนโด นครปฐม เปิดบ้าน ต้อนรับนักศึกษาจากศิลปากร

เดอะทรัสต์ คอนโด นครปฐม เปิดบ้าน ต้อนรับนักศึกษาจากศิลปากร

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ให้การต้อนรับนักศึกษาชั้นปีที่ 2 สาขาสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตวังท่าพระ วิชาการออกแบบ และคณะอาจารย์ภาควิชารวม 45 คน เข้าร่วมฟังบรรยายในเรื่อง “การพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์” พร้อมนำชมโครงการ เดอะทรัสต์ คอนโด นครปฐม อย่างใกล้ชิด เมื่อเร็วๆนี้   สำหรับโครงการ เดอะทรัสต์ คอนโด นครปฐม พัฒนาในรูปแบบของคอนโดมิเนียม สูง 8 ชั้น 2 อาคาร จำนวน 405 ยูนิต ขนาดเริ่มต้นที่ 23 ตร.ม. ตกแต่งครบพร้อมเข้าอยู่ได้แล้ววันนี้ สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม 1388 หรือ www.qh.co.th
ตึกสูงและความเสี่ยงจากแผ่นดินไหว

ตึกสูงและความเสี่ยงจากแผ่นดินไหว

เหตุการณ์แผ่นดินไหวหลายๆ ครั้งที่เกิดขึ้นทั้งในประเทศไทยเอง และต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นที่ อ.พาน จ.เชียงราย และเหตุการณ์ล่าสุดที่ประเทศเนปาล ทำให้เราตระหนักว่าภัยธรรมชาติชนิดนี้ไม่ได้เป็นเรื่องไกลตัวอีกต่อไป และสิ่งที่ตามมาคือความกังวลเรื่องความปลอดภัยในการอยู่อาศัย โดยเฉพาะผู้อยู่อาศัยในคอนโดมิเนียมหรือตึกสูงๆ ที่มักได้รับความเสียหายรุนแรง ข้อมูลที่รวบรวมและความเห็นจากผู้รู้เหล่านี้อาจพอทำให้เห็นภาพและคลายความ สงสัยได้ระดับหนึ่ง อาคารที่ต้องออกแบบให้รับแรงแผ่นดินไหว ส่วนใหญ่เป็นอาคารที่จะสร้างความเสียหายและส่งผลกระทบต่อคนหมู่มาก เช่น สถานศึกษา สถานพยาบาล ท่าอากาศยาน โรงไฟฟ้า โรงผลิตและเก็บน้ำประปา อาคารสาธารณะ อาคารที่มีผู้ใช้ตั้งแต่ 5,000 คนขึ้นไป อาคารที่มีความสูงมากกว่า 15 เมตร เขื่อนหรือฝายที่สูงเกิน 10 เมตร รวมทั้งสะพานหรือทางยกระดับที่มีช่วงระหว่างตอม่อเกิน 10 เมตรขึ้นไป ลักษณะอาคารที่สามารถต้านแผ่นดินไหวได้ดี ตำแหน่ง เสาต้องสมมาตรในแกนหลักทั้งตามยาวและตามขวางของอาคาร อาคารสูงควรมีกำแพงรับแรง (Shear Wall) หลายชิ้นในตำแหน่งที่กระจายตัวอย่างสม่ำเสมอตลอดผังอาคาร เพื่อต้านทานและถ่ายเทแรงที่กระทำกับอาคารสู่ฐานราก ทั้งจากแรงลม แรงจากน้ำหนักบรรทุก หรือแรงจากแผ่นดินไหว ส่วนเสาอาคารต้านทานควรมีขนาดใหญ่พอ แข็งแรงมีปริมาณเหล็กเสริมตามยาวของเสามาก และมีปริมาณเหล็กปลอกในเสาเพียงพอ อาคารที่เสี่ยงเกิดความเสียหาย อาคาร ที่มีลักษณะไม่สม่ำเสมอ (lrregularity) ในแปลน เช่น รูปตัว L รูปตัว T อาคารที่มีส่วนที่แข็ง เช่น ปล่องลิฟต์วางเยื้องศูนย์มาก อาคารที่มีเสาเล็กเกินไปประเภทเสาสั้น หรืออาคารที่มีการเปลี่ยนแปลงมากในระนาบดิ่ง คือระดับความสูงของเสาชั้นล่างสูงมากกว่าเสาชั้นสองขึ้นไปมาก หรือมีจำนวนเสาน้อยกว่าในชั้นสูงขึ้นไป (มักพบทั่วไปในอาคารที่ทำชั้นล่างเป็นพื้นที่จอดรถ หรือทำชั้นล่างให้มีพื้นที่ใช้สอยกว้าง) คอนโดในเมืองไทย รับแรงแผ่นดินไหวได้ 6 ริกเตอร์ อาคาร สูงในประเทศไทยส่วนใหญ่ถูกออกแบบให้สามารถป้องกันแผ่นดินไหวในระดับ 6 ริกเตอร์ ในขณะที่สถิติการเกิดแผ่นดินไหวล่าสุดที่เกิดขึ้นมีระดับความรุนแรงมากกว่า ทั้งนี้หากไม่อยู่ในบริเวณจุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวก็ไม่น่าจะได้รับความเสีย หายมาก ตึกเตี้ยน่าห่วงกว่าตึกสูง นายกสมาคม วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยฯ กล่าวว่า โดยทั่วไปอาคารสูง 20-30 ชั้นไม่น่าห่วง เนื่องจากได้มีการออกแบบโดยคำนึงถึงแผ่นดินไหวและแรงลมไว้เรียบร้อย ส่วนอาคารสูงประมาณ 7-10 ชั้น ส่วนใหญ่ไม่ได้มีการออกแบบสำหรับต้านทานแรงแผ่นดินไหวและแรงลม
ไทยแลนด์ พร็อพเพอร์ตี้ อวอร์ดส์ ครั้งที่ 10 เตรียมพร้อมประกาศผลรางวัลสุดยอดแห่งวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย

ไทยแลนด์ พร็อพเพอร์ตี้ อวอร์ดส์ ครั้งที่ 10 เตรียมพร้อมประกาศผลรางวัลสุดยอดแห่งวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย

ไทยแลนด์ พร็อพเพอร์ตี้ อวอร์ดส์ ครั้งที่ 10 งานประกาศผลรางวัลอสังหาริมทรัพย์ไทยที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ด้วยการพิจารณามาตรฐานสากล ที่มีความเป็นกลางและโปร่งใส เตรียมจัดงานกาล่าดินเนอร์สุดอลังการที่โรงแรม พลาซ่า แอทธินี ในวันพุธที่ 16 กันยายนศกนี้ มร.เทอร์รี่ แบล็คเบิร์น ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอ็นไซม์ มีเดีย จำกัด บริษัทสื่อด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของเอเชีย ผู้จัดงานประกาศผลรางวัล ไทยแลนด์ พร็อพเพอร์ตี้ อวอร์ดส์ ซึ่งถือเป็นเวทีการประกาศผลรางวัลให้กับโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับพรีเมี่ยมของประเทศ กล่าวว่า สำหรับงานประกาศผลรางวัล ไทยแลนด์ พร็อพเพอร์ตี้ อวอร์ดส์ 2015 ครั้งนี้ถือเป็นครั้งพิเศษเนื่องจากครบรอบปีที่ 10 การจัดงานเพื่อมอบรางวัลอันทรงเกียรติครั้งนี้ มีกำหนดจัดขึ้นในวันพุธที่ 16 กันยายน 2558 โดยจะมีการมอบรางวัลให้กับโครงการอสังหาริมทรัพย์ทั้งในกรุงเทพฯ เชียงใหม่ พัทยา ภูเก็ต หัวหิน เขาใหญ่ พังงา กระบี่ และสมุย “ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ในช่วงกว่าทศวรรษที่ผ่านมาของรางวัลไทยแลนด์ พร็อพเพอร์ตี้ อวอร์ดส์ เป็นข้อพิสูจน์ถึงมาตรฐานระดับสูงที่โครงการอสังหาริมทรัพย์ และบริษัทผู้พัฒนาหลายบริษัท ต่างให้เกียรติร่วมเป็นส่วนหนึ่งตั้งแต่ปี 2549 เป็นต้นมารางวัลเหล่านี้ถือเป็นเกณฑ์มาตรฐานที่ชี้วัดคุณภาพและความน่าเชื่อถือ ที่สุดยอดโครงการอสังหาริมทรัพย์และบริษัทผู้พัฒนาโครงการของภูมิภาค ” มร.เทอร์รี่ แบล็คเบิร์น กล่าว ทั้งนี้กำหนดการนำเสนอชื่อโครงการหรือบริษัทจะปิดรับในวันที่ 15 พฤษภาคมนี้ ขณะนี้มีผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อจากสาธารณชนทั่วไปและคนในวงการอสังหาริมทรัพย์หลั่งไหลเข้ามาตั้งแต่ต้นปีเป็นจำนวนมาก โครงการทั้งหมดจะได้รับการพิจารณาโดยคณะกรรมการอิสระผู้ทรงคุณวุฒิในวงการอสังหาริมทรัพย์จากทั่วประเทศ  ด้วยมาตรฐานขั้นตอนการพิจารณาและตัดสินที่ครอบคลุมและละเอียดถี่ถ้วนมากที่สุดในโลก โดยคณะกรรมการจะเข้าเยี่ยมชมโครงการที่ผ่านเข้ารอบ ก่อนการตัดสินครั้งสุดท้าย และกระบวนการทั้งหมดจะถูกตรวจสอบโดย บีดีโอ อินเตอร์เนชั่นแนล บริษัทตรวจสอบบัญชีรายใหญ่ที่สุดที่ได้รับความไว้วางใจมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยมี พอล แอชเบิร์น กรรมการผู้จัดการบีดีโอ อินเตอร์เนชั่นแนล เป็นผู้ดูแลและตรวจสอบกระบวนการพิจารณาตัดสิน “เราได้พิสูจน์ให้เห็นมาแล้วในช่วงหลายปีที่ผ่านมาว่า เราได้ทุ่มเทกับกระบวนการพิจารณาตัดสินรางวัลมากเพียงใด ซึ่งทำให้ผู้ชนะรางวัลได้รับความน่าเชื่อถือ และสาธารณชนก็ให้การยอมรับว่าโครงการที่ได้รับการคัดเลือกนั้นสุดยอดของสุดยอดจริงๆ รางวัลต่างๆ ได้รับการพิจารณาตัดสินโดยคณะกรรมการอิสระ ทำให้มั่นใจได้ว่าผู้ชนะรางวัลคือสุดยอดของสุดยอดเท่านั้น ” มร.เทอร์รี่ แบล็คเบิร์น กล่าว รางวัลชนะเลิศในปีนี้มีทั้งหมด 24 ประเภท ส่วนรางวัลที่เป็นสุดยอดของค่ำคืน คือรางวัลผู้พัฒนายอดเยี่ยม (Best Developer) และรางวัลโครงการคอนโดมิเนียมหรูยอดเยี่ยม (Best Luxury Condo Development (Bangkok) ซึ่งในปีที่แล้ว ผู้ชนะได้แก่ บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) และโครงการเดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน เรสซิเดนซ์ แบงคอค ของบริษัท เพซ  ดีเวลล็อปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เชื่อว่าทั้งสองรางวัลนี้จะมีการขับเคี่ยวกันอย่างเข้มข้นในปี 2558 นี้  นอกจากนี้ยังมีรางวัลพิเศษที่มอบให้กับบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ให้ความสำคัญกับชุมชนและสิ่งแวดล้อม โดยผู้ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศทั้งหมดในประเทศไทยจะได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลรอบสุดท้ายในงาน เซ้าธ์ อีสท์ เอเชีย พร็อพเพอร์ตี้ อวอร์ดส์ 2015 (South East Asia Property Awards 2015) ซึ่งจัดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 โดยงานจะจัดขึ้นในวันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม 2558 ณ โรงแรมแชงกรี-ล่า ที่ประเทศสิงคโปร์  กับอีกรางวัลพิเศษสุด Property Report Real Estate Personality of the Year หรือรางวัลบุคคลแห่งวงการอสังหาริมทรัพย์แห่งปี 2015 ซึ่งจะมีการคัดเลือกโดยบรรณาธิการนิตยสารอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของภูมิภาค มอบให้กับบุคคลผู้ทรงอิทธิพลมากที่สุดในวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยในปีที่แล้ว เป็นเพียงรางวัลเดียวที่มีขั้นตอนการพิจารณาแตกต่างจากรางวัลอื่นๆ และคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิอิสระมิได้เป็นผู้คัดเลือก ในปีนี้ยังเปีนปีที่กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ คุณสัญชัย เนื่องสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บิวเดอร์สมาร์ท จำกัด (มหาชน) ครบวาระการดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการในปีที่ 3 ถือเป็นการทำหน้าที่เป็นปีสุดท้าย  กรรมการผู้ทรงเกียรติท่านอื่นๆ ในคณะกรรมการกลาง ได้แก่ คุณเทเรซ่า บีสตี้ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอคเซส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด  คุณสุคนธ์ ชาญปรีดา กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอชเอ็มดี เอเชีย จำกัด (HMD Asia)        คุณมาร์ค ดี เรมี่แจน พาร์ทเนอร์ และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัท คีรี ทราเวิล กรุ๊ป คุณอัญชลิกา       กิจคณากร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเอชเอ็มเอส (AHMS)  คุณสุพินท์ มีชูชีพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โจนส์ แลง ลาซาลล์ (ประเทศไทย) จำกัด ดร.ธีรธร ธาราไชย ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัท โปรเจค แพลนนิ่ง เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) และ คุณอแมนด้า อึ้ง ผู้จัดการฝ่ายเทคนิค บริษัท แลงดอน แอนด์ เซียห์ (ประเทศไทย) จำกัด หัวหน้าคณะกรรมการตัดสินระดับภาค ได้แก่ คุณคีธ ฮัมฟรีย์ส กรรมการผู้จัดการ บริษัท คีธ ฮัมฟรีย์ส แอนด์ แอสโซซิเอทส์ (สำหรับเชียงใหม่)  คุณเคลย์ตัน เวด กรรมการผู้จัดการ บริษัท พรีเมียร์ โฮมส์ เรียล เอสเตท (สำหรับชายฝั่งทะเลตะวันออก)  คุณรัส ดาวนิ่ง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฮ็อต หัวหิน จำกัด (สำหรับหัวหิน)  คุณโรเบิร์ต คูปริก้า ซีเนียร์ พาร์ทเนอร์ บริษัท ฮิวจ์ส คูปริก้า (สำหรับภูเก็ต) และคุณคริสเตียน แกลนวิลล์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ลิ้มเจริญ (สำหรับสมุย) สำหรับผู้สนับสนุนงานในปีนี้ในฐานะ Gold Sponsor ประกอบด้วย โจนส์ แลง ลาซาลล์ ประเทศไทย และ ฮันส์โกรเฮ่ บริษัทเจ้าของรางวัลประกวดหลายรางวัล ที่เชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์อาบน้ำและฝักบัวระดับหรู  นอกจากนี้งานประกาศรางวัล ไทยแลนด์ พร็อพเพอร์ตี้ อวอร์ดส์ ยังได้รับเกียรติจากสมาคมธุรกิจชั้นนำของไทย ได้แก่ หอการค้าอังกฤษ หอการค้าไอริช ไทย และหอการค้าสวิเดนอีกด้วย  ผู้สนใจสามารถซื้อบัตรเข้าร่วมงานได้ที่ www.ensign-media.com ทุกที่นั่งจะได้รับของว่างค็อคเทล ดินเนอร์    4 คอร์ส เครื่องดื่มประเภทไวน์ เบียร์ และซอฟท์ดริ้งค์ต่างๆ ตลอดงาน โดยงานประกาศและมอบรางวัลดังกล่าวยังเป็นโอกาสอันดีที่จะได้พบปะพูดคุยสังสรรค์ และแลกเปลี่ยนมุมมองความคิดกับคนในแวดวงอสังหาริมทรัพย์   ทั่วประเทศอีกด้วย สำหรับรางวัล ไทยแลนด์ พร็อพเพอร์ตี้ อวอร์ดส์ จัดขึ้นเป็นครั้งแรกในปี 2549 โดยสร้างสุดยอดมาตรฐานให้กับวงการอสังหาริมทรัพย์ในภูมิภาคเอเชีย มีบริษัท เอ็นไซน์ มีเดีย จำกัด เป็นผู้จัดงาน และได้รับการสนับสนุนโดยบริษัทสื่อสิ่งพิมพ์ชั้นนำในแต่ละประเทศ ตลอดจนผู้สนับสนุนระดับเฟิร์สคลาส เป็นรางวัลที่มอบให้กับสุดยอดแห่งวงการอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้งสุดยอดด้านสถาปัตยกรรม และการตกแต่งภายในของโครงการในกรุงเทพฯ เชียงใหม่ ชายฝั่งทะเลตะวันออก ภูเก็ต สมุย และหัวหิน และอีก 3 ทำเลเพิ่มเติม ได้แก่ เขาใหญ่ พังงา และกระบี่
หมอชิต จตุจักร กำลังจะเป็นศูนย์กลางธุรกิจแหล่งใหม่ของกรุงเทพ

หมอชิต จตุจักร กำลังจะเป็นศูนย์กลางธุรกิจแหล่งใหม่ของกรุงเทพ

ย่านหมอชิต จตุจักร บริเวณกรุงเทพตอนเหนือที่ห่างไกลแหล่งธุรกิจทั้งย่านสีลมและสุขุมวิทเป็นอย่างมาก สำหรับคนกรุงอาจจะนึกถึงสวนจตุจักร ตลาด อตก. และ ห้างเซ็นทรัลลาดพร้าว แต่สำหรับคนต่างจังหวัดสิ่งแรกที่นึกถึงคือ สถานีขนส่งหมอชิต (จตุจักร) สถานีขนส่งสายเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ ก่อนที่จะถูกสถานีรถไฟฟ้ายึดพื้นที่ไปทั้ง BTS และ MRT เพื่อช่วยให้การเดินทางระหว่างจตุจักรไปยังจุดต่างๆ ของ กทม. สะดวกและรวดเร็วขึ้น เมื่อมีรถไฟฟ้า BTS และ MRT เกิดขึ้น สถานีขนส่งผู้โดยสารหมอชิตเดิมก็ถูกยึดและต้องย้ายตัวเองออกไปที่ใหม่ แต่ก็ไม่ไกลจากจตุจักรอยู่ดี เสริมให้บริเวณนี้เป็นเสมือนจุดเชื่อมของระบบคมนาคมที่สำคัญ จึงเป็นพื้นที่ทำเล HIT&HOT ตลอดกาล ไม่ว่าจะเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หรือผู้ที่ต้องการจับจองเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ แต่ความแออัดก็ยังคงไม่เปลี่ยนไปแม้ว่ากาลเวลาจะผ่านพ้นไปกี่สิบปี ด้วยจุดเด่นของการเป็นจุดเชื่อมต่อระบบคมนาคม แต่แตกต่างจากบริเวณอื่นที่มีความแออัดเพราะนอกจากเรื่องระบบการคมนาคมที่เป็นจุดเด่นสำคัญแล้ว ยังเป็นปอดใหญ่ของกรุงเทพที่มีพื้นที่กว่า 765ไร่ ทั้งสวนจตุจักร สวนรถไฟ สวนสมเด็จฯ ถ้าเลยไปอีกนิดตรงย่านบางซื่อ กำลังจะมีโครงการของรัฐเด็ดๆขึ้นอีก 2แห่งคือ โครงการสถานีกลางบางซื่อ โดยจะย้ายศูนย์กลางรถไฟจากหัวลำโพงมาอยู่ที่บางซื่อ ซึ่ง เป็นศูนย์กลางที่มีทั้งรถไฟฟ้าสายสีแดง สายสีน้ำเงิน รถไฟชานเมือง รถไฟทางไกลและ รถไฟความเร็วสูง เชื่อมต่อกันหมดที่สถานีนี้ ( ถ้าเราเคยไปประเทศแถบยุโรป ก็จะเห็นสถานีแบบนี้แถบทุกเมืองใหญ่ สถานีที่เป็นศูนย์กลางคมนาคม ) โครงการทางเชื่อม พลาซ่าใต้ดิน และ BRT โดยจะมีการสร้างพลาซ่าใต้ดินเดินเชื่อมถึงกันหมดขนาดใหญ่โตเหมือนเมืองนอก และมี BRT วิ่งวนเป็นวงกลมรอบๆบริเวณ โครงการพัฒนาที่ราชพัสดุหมอชิต มูลค่าโครงการ 2 หมื่นล้านบาท ที่เป็นการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนที่ยังอยู่ในขั้นตอนของการแก้ไขกฎหมาย โดยรูปแบบจะเป็นโครงการเชิงพาณิชย์ที่เป็นทั้งศูนย์การค้า ที่อยู่อาศัยและอาคารสำนักงาน เมื่อโครงการเหล่านี้สร้างเสร็จ พื้นที่บริเวณนี้จะต้องเป็นศูนย์กลางธุรกิจและคมนาคมแห่งใหม่ของกรุงเทพอย่างแน่นอน มีการคาดการณ์กันว่ามูลค่าราคาที่ดินบริเวณนี้จะแพงขึ้นถึง ตารางวาละ 1 ล้านบาท ในอีกไม่เกิน 5 ปีข้างหน้าอย่างแน่นอน บรรดานักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีที่ดินบริเวณนี้ จึงเริ่มทะยอยเปิดตัวโครงการกันบ้างแล้วหลายเจ้า แม้จะมีความน่าสนใจสูงถึงสูงมากในการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์บนพื้นที่บริเวณนี้ แต่ต้นทุนก็สูงมากหากประเมินการลงทุนผิดพลาดมีโอกาสเจ็บตัวหนักๆ ได้เช่นกัน ที่มา : hiaimhigh.com
‘เพซ’ เปิดตัว “คันทรี่ คลับ คุณภาพระดับเวิลด์คลาส” แห่งแรกในไทย! ณ “โครงการมหาสมุทร หัวหิน” ครบครันทั้งกิจกรรมเด่น บริการเลิศ และดีไซน์หรู

‘เพซ’ เปิดตัว “คันทรี่ คลับ คุณภาพระดับเวิลด์คลาส” แห่งแรกในไทย! ณ “โครงการมหาสมุทร หัวหิน” ครบครันทั้งกิจกรรมเด่น บริการเลิศ และดีไซน์หรู

เมื่อวันอังคารที่ 31 มีนาคม 2558 ที่ผ่านมา บริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ประกาศเปิดตัว “มหาสมุทร คันทรี่ คลับ หัวหิน”  คุณภาพระดับเวิลด์คลาสแห่งแรกของไทย ณ โครงการมหาสมุทร หัวหิน” ตั้งอยู่ที่ซอยหัวหิน 112 บนเนื้อที่ 120 ไร่ มาตรฐานครบครันและเอ็กซ์คลูซีฟสูงสุดเฉพาะสมาชิกเทียบเท่าไพรเวท คันทรี่ คลับที่ดีที่สุดในโลก ตอบโจทย์ทุกความต้องการของสมาชิกทุกเพศ ทุกวัย และทุกไลฟ์สไตล์อย่างแท้จริง ครบครันทั้งด้านกีฬา สันทนาการ สุนทรียภาพความบันเทิง และความอร่อย มอบความเป็นส่วนตัว สงบ สะดวก สบาย ดูแลบริหารงานโดยทีมงานมืออาชีพระดับโลก พิเศษสุดด้วย “คริสตัล ลากูน” ทะเลสาบน้ำใสแมน-เมดสีฟ้าเทอร์ควอยซ์ ขนาดมหึมากว่า 45 ไร่ ใหญ่ที่สุดในเอเชีย ด้วยมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 2,300  ล้านบาท นายสรพจน์ เตชะไกรศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “มหาสมุทร คันทรี่ คลับ หัวหิน คือไพรเวท คันทรี่ คลับแห่งแรกของไทยที่กล่าวได้อย่างเต็มภาคภูมิว่าได้มาตรฐานระดับโลกและครบวงจรอย่างแท้จริง ในอัตราค่าสมาชิกที่คุ้มค่ากว่าถึง 2 – 3 เท่า เมื่อเทียบกับคันทรี่ คลับหรูๆ ระดับเดียวกันในเอเชีย” และกล่าวเสริมว่า “มหาสมุทร  คันทรี่ คลับ หัวหิน ตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้ที่มองหาศูนย์รวมกิจกรรมคุณภาพและพร้อมสรรพทั้งสำหรับตนเองและสมาชิกทุกคนในครอบครัวในช่วงวันหยุดพักผ่อน ไม่ว่าจะเป็นด้านกีฬา กิจกรรมสันทนาการ  กิจกรรมความบันเทิง ร้านอาหารแสนอร่อย  ที่สำคัญคือ มอบความเป็นส่วนตัว สะดวก สงบและสบาย ด้วยบริการเอ็กซ์คลูซีฟ แบบส่วนบุคคลเฉพาะสมาชิก ในสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัย และตั้งอยู่ในเมืองตากอากาศยอดนิยมอย่างหัวหิน และเป็นเมืองที่คนกรุงเทพฯ เลือกซื้อเป็นบ้านหลังที่ 2 มากที่สุด สามารถเดินทางสะดวกสบายได้เสมอที่ต้องการ ” “หัวหินเป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ด้านการท่องเที่ยว โดยเป็นเมืองตากอากาศยอดนิยมทุกยุคสมัยของคนกรุงเทพฯ เนื่องจากมีทัศนียภาพทางธรรมชาติที่สวยงาม และมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อีกทั้งไม่ไกลจากกรุงเทพฯ ทำให้หัวหินเป็นหนึ่งในเมืองที่มีศักยภาพการเติบโตสูง เนื่องจากมีการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานจากทางภาครัฐ และการลงทุนในธุรกิจอสังหาฯ ธุรกิจบริการ และรีเทลอย่างต่อเนื่อง เพซ เชื่อมั่นว่า องค์ประกอบ อันเป็นเอกลักษณ์ทั้งทะเลสาบน้ำใสแมน-เมดขนาด 45 ไร่ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ประกอบกับการบริหารและดูแลอย่างใกล้ชิดโดยทีมงานมืออาชีพมากประสบการณ์ระดับโลก ด้วยมูลค่าโครงการ (เฉพาะคันทรี่ คลับ และ คริสตัล ลากูน) ที่สูงถึง 2,300 ล้านบาท ด้วยคุณภาพซูเปอร์ลักชัวรี่ของเพซ จะทำให้มหาสมุทร คันทรี่ คลับ ได้รับ การตอบรับเป็นอย่างดีจากกลุ่มเป้าหมายทั้งครอบครัวชาวไทยและต่างชาติ โดยเราตั้งเป้ายอดสมาชิกคันทรี่ คลับไว้ที่ 1,000  เมมเบอร์ภายในปี 2558 โดยคาดว่าจะดึงดูดกลุ่มเป้าหมายคิดเป็นสัดส่วน 75% สำหรับผู้ซื้อไทย และ 25% สำหรับผู้ซื้อต่างชาติ” คุณสรพจน์กล่าว มร. เจมส์ แมคมานามาน ผู้จัดการมหาสมุทร คันทรี่ คลับ ณ โครงการมหาสมุทร หัวหิน กล่าวว่า “มหาสมุทร คันทรี่ คลับ หัวหิน ได้รับการออกแบบทั้งด้านกิจกรรม การบริการ และการดีไซน์ อย่างโดดเด่นด้วยมาตรฐานระดับเวิลด์คลาส เพื่อตอบโจทย์ความต้องการแต่ละสมาชิกแบบสุดเอ็กซ์คลูซีฟ โดยแบ่งบริการออกเป็น 4 ด้านหลัก ได้แก่ ด้านกีฬา ครบวงจรทั้งทางน้ำ กลางแจ้ง และในร่ม อาทิ สระว่ายน้ำมาตรฐานโอลิมปิก สนามฟุตบอล รักบี้ คริกเกร็ต เทนนิส สควอช สนามพัตต์กอล์ฟ วินเซิร์ฟ เรือใบ ไต่ผา โยคะ พิลาทิส และฟิตเนส ด้านสันทนาการ ศูนย์รวมกิจกรรมนันทนาการ ทั้งศิลปะ การทำอาหาร งานฝีมือ สปา ซาวน่า ด้านความบันเทิง อาทิ ห้องฉายภาพยนตร์ส่วนตัว และโรงภาพยนตร์ การชิมไวน์ เทสต์วิสกี้ และการแสดงพิเศษต่างๆ ความอร่อย ร้านอาหารหลากสไตล์หลายรสชาติความอร่อย ดูแลและให้คำปรึกษาโดยเชฟระดับมิชลินสตาร์ 3 ดาว อาทิ ร้านหรูแบบเมดิเตอร์เรเนียน เมมเบอร์เลาจน์ บีชบาร์ สปอร์ตคาเฟ่ “เราให้บริการโดยมุ่งเน้นมอบความเป็นส่วนตัว สงบ สะดวก สบาย ทั้งนี้ทีมงานของเราจะได้รับการฝึกอบรมอย่างหนัก เพื่อความเป็นมืออาชีพ และความพิเศษในการดูแลสมาชิกแต่ละท่าน โดยเรามีทีมงานที่เคยมีประสบการณ์ทำงานไม่ว่าจะเป็นการบริหารที่ฮ่องกงคลับ เป็น F&B Director ที่โรงแรมแมนดาริน  โอเรียนเต็ล ฮ่องกง รวมถึง Hotel Manager ที่โรงแรมเพนนินซูล่า ฮ่องกง ซึ่งเป็นโรงแรมที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในโรงแรมที่หรูที่สุดในโลกและมีบริการดีเยี่ยมสุด       เอ็กซ์คลูซีฟ เพื่อมอบความพึงพอใจและสร้างความประทับใจสูงสุดให้กับสมาชิก ซึ่งจะหาได้เฉพาะที่มหาสมุทร คันทรี่ คลับ หัวหิน หรือไพรเวท คันทรี่ คลับระดับโลกเท่านั้น ซึ่งในเอเชียก็จะมีที่ฮ่องกง และที่สิงคโปร์ โดยสนนราคาสมาชิกก็จะสูงกว่าของเรา 2 – 3 เท่าเลยทีเดียว” คุณเจมส์กล่าวเสริมว่า “จุดโดดเด่นของกิจกรรมกีฬาทั้งกลางแจ้งและในร่มที่มหาสมุทร คันทรี่ คลับ หัวหิน คือ เรามอบมาตรฐานสูงสุดระดับโลกทั้งด้านความปลอดภัย การออกแบบอุปกรณ์ที่ทันสมัย การดูแลบำรุงรักษา ทั้งนี้ นอกจากการเล่นน้ำในคริสตัล ลากูนแล้ว ผู้พักอาศัยยังสามารถพายเรือคายัค เล่นวินด์เซิร์ฟ เรือใบ และดำน้ำ ณ มหาสมุทร คันทรี่ คลับ หัวหิน ได้อีกด้วย ซึ่งยังไม่เคยมีมาก่อนในประเทศไทย” “เราได้นำทุกองค์ประกอบและบริการชั้นเลิศทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมด้านกีฬาที่ออกแบบโปรแกรมโดยทีมโค้ชนักกีฬาระดับโลก ด้านสันทนาการ ความบันเทิง และความเอร็ดอร่อย ที่คัดสรรมาในระดับคุณภาพสูงสุดรวมไว้ในที่เดียว มหาสมุทร คันทรี่ คลับ หัวหิน คือจุดหมายปลายทางแห่งการพักผ่อนเหนือระดับสำหรับทุกความต้องการของทุกคนในครอบครัวอย่างที่ไม่สามารถหาได้จากที่ไหน” คุณสรพจน์กล่าวสรุป มหาสมุทร คันทรี่ คลับ หัวหิน จะเริ่มเปิดขายสมาชิกคันทรี่ คลับในเดือนเมษายน 2558 ที่ “มหาสมุทร คันทรี่ คลับ เซลส์ สวีท” กรุงเทพฯ (ตั้งอยู่ ณ โครงการมหานคร ถ. นราธิวาสราชนครินทร์ ช่วงสาทร – ช่องนนทรี และที่ “โครงการมหาสมุทร หัวหิน” (ซอยหัวหิน 112) เปิดรับสมาชิกทั้งแบบบุคคล แบบองค์กร (เพื่อผู้บริหารระดับสูง) แบบครอบครัว ทั้งแบบตลอดชีพและรายปี ในราคาเริ่มต้นแบบส่วนบุคคลที่ 500,000 บาท ไปจนถึงแบบครอบครัว ตลอดชีพในราคาเริ่มที่ 1 ล้านบาท ทั้งนี้ มหาสมุทร คันทรี่ คลับ หัวหิน เฟสที่ 1  คาดว่าจะแล้วเสร็จกลางปี 2559  และ เสร็จสมบูรณ์ภายในปลายปี 2560 ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับมหาสมุทร คันทรี่ คลับ หัวหินได้ที่ www.mahasamutr.com
เฟรเกรนท์ฯ เปิดขาย “ซิกส์ เอเลเมนท์ นาจอมเทียน” คอนโดมิเนียมสุดหรูติดหาดนาจอมเทียน เริ่มต้นเพียง 4.39 ลบ. 28 มี.ค. นี้ PRE-SALE รับโปรฯ สุดพิเศษก่อนใคร

เฟรเกรนท์ฯ เปิดขาย “ซิกส์ เอเลเมนท์ นาจอมเทียน” คอนโดมิเนียมสุดหรูติดหาดนาจอมเทียน เริ่มต้นเพียง 4.39 ลบ. 28 มี.ค. นี้ PRE-SALE รับโปรฯ สุดพิเศษก่อนใคร

เฟรเกรนท์ กรุ๊ป เตรียมเปิด PRE-SALE “ซิกส์ เอเลเมนท์ นาจอมเทียน” คอนโดมิเนียมสุดหรูติดหาดนาจอมเทียน ครั้งแรก ในวันที่ 28 มีนาคมนี้ ณ โรงแรมฮิลตัน สุขุมวิท 24 ชูจุดเด่นคอนโดทีมีหาดทรายสวยพร้อมใกล้ชิดธรรมชาติและแวดล้อมไปด้วยหมู่เกาะต่างๆ  สะดวกครบครันในการอยู่อาศัย ด้วยการออกแบบที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม พร้อมพื้นที่ตอบสนองกิจกรรมในหลายรูปแบบที่หาไม่ได้ในคอนโดทั่วๆไป อาทิ สนามฝึกขี่ม้า Diving Aquarium สำหรับฝึกดำน้ำพร้อมลงทะเลจริง ปีนเข้า สระว่ายน้ำ (lap pool) โยะคะ Pavilion ฟิตเนส ที่บริหารโดย เอวาซอน เพื่อให้ได้คุณภาพและประสบการณ์การอยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบและเหมาะกับทุกคนในครอบครัว ในราคาเริ่มต้นเพียง 4.39 ล้านบาท พร้อมโปรโมชั่นสุดพิเศษเมื่อจองในงาน รับส่วนลดสูงสุดมูลค่ารวมกว่า 1 ล้านบาท นายเจมส์ ดูอัน  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เฟรเกรนท์ กรุ๊ป กล่าวถึงการเปิดขายโครงการคอนโดมิเนียม ซิกส์ เอเลเมนท์ นาจอมเทียน ว่า “บริษัทฯ เตรียมจัด PRE-SALE โครงการ “ซิกส์ เอเลเมนท์ นาจอมเทียน” โดยมี เอวาซอน กลุ่มบริหารโรงแรม ในเครือของ ซิกส์เซ้นส์ โฮเทลส์ รีสอร์ทส์ สปาส์ เป็นพันธมิตรในการช่วยเสริมคุณภาพการอยู่อาศัยให้สมบูรณ์แบบ เริ่มเปิด Pre-Sale ในวันที่ 28 มีนาคม 2558 นี้ ที่ โรงแรมฮิลตัน สุขุมวิท 24  ภายในงานลูกค้าจะได้รับข้อมูล และรายละเอียดของโครงการอย่างครบถ้วน ซึ่งเป็นการเปิดการขายเป็นครั้งแรก นอกจากนี้ยังมีสิทธิพิเศษมากมาย สำหรับผู้ที่จองภายในงาน รับส่วนลดสูงสุดมูลค่ารวมกว่า 1 ล้านบาท โดยโครงการ “ซิกส์ เอเลเมนท์ นาจอมเทียน” ตั้งอยู่บริเวณซอยนาจอมเทียน 8 และ 10 จังหวัดชลบุรี สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 02 652 9999 หรือ www.fragrantgroup.com/sixthelement” โครงการ “ซิกส์ เอเลเมนท์ นาจอมเทียน” มีการพัฒนาโครงการ ในรูปแบบ Mixed Use บนพื้นที่รวมกว่า 30 ไร่ มีพื้นที่ภายในโครงการประกอบไปด้วย ส่วนโรงแรม พื้นทีรีเทล และ คอนโดมิเนียมพักอาศัย 5 อาคาร โดยโครงการ “ซิกส์ เอเลเมนท์ นาจอมเทียน” ได้ถูกออกแบบให้มีพื้นที่ใช้สอยที่หลากหลายตรงกับความต้องการของผู้พักอาศัย ตั้งแต่พื้นที่ใช้สอยภายในห้องและพื้นที่ส่วนกลาง พื้นที่ใช้สอยในห้องชุด เริ่มต้นตั้งแต่ 37 - 206 ตารางเมตร ซึ่งเราเน้นพื้นที่ใช้สอยที่มีขนาดกว้างขึ้นกว่าโครงการอื่นๆ เพื่อให้ทุกวันเป็นเสมือนวันแห่งการพักผ่อน ในแต่ละอาคารได้รับการออกแบบและก่อสร้างด้วยระบบป้องกันแผ่นดินไหว และใช้ระบบพื้นคอนกรีตเสริมเหล็กอัดแรง จึงทำให้มั่นใจในเรื่องความแข็งแรงของโครงสร้าง ส่วนในโครงการยังประกอบไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่ครบครันและเหมาะกับทุกคนในครอบครัว เริ่มตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้าโครงการจะพบกับล็อบบี้ต้อนรับที่โปร่งสบาย  สระว่ายน้ำ และสระว่ายน้ำสำหรับเด็ก ผนังปีนเขา สนามเด็กเล่น อาคารพักผ่อนบริเวณสระน้ำ สระน้ำสำหรับฝึกดำน้ำ ลู่วิ่งสำหรับออกกำลังกาย สวนดอกไม้นานาชนิดซึ่งจะผลัดเปลี่ยนสีไปตามฤดูกาล สวนผลไม้และผักออร์แกนิค ลานบาร์บีคิว พร้อมคลับเฮ้าส์ ฟิตเนส และลานกิจกรรมโยคะ สนามฝึกขี่ม้า ควบคุมการเข้า-ออก ผ่านระบบคีย์การ์ดที่ทันสมัย พร้อมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทำงานตลอด 24 ชั่วโมง ทีวีวงจรปิดและระบบบันทึก CCTV สำหรับหลักการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของเฟรเกรนท์ กรุ๊ป คือการให้ความสำคัญในเรื่องของการรักษาสิ่งแวดล้อม ในโครงการนี้ได้รับการจัดระบบบำบัดน้ำเสียจากห้องพัก และอาคาร ให้สามารถนำกลับมาใช้ในการดูแลพื้นที่ส่วนกลางเพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการดูแลโครงการ นอกจากนี้ยังนำระบบน้ำอุ่นที่มาจากพลังงานความร้อนของเครื่องปรับอากาศในแต่ละยูนิตมาเปลี่ยนเป็นน้ำอุ่นทำให้สามารถลดการใช้พลังงานลงได้, มีระบบการผลิตน้ำบริสุทธิ์เพื่อการบริโภค, ระบบลำโพงใต้น้ำเพื่อเพิ่มสุนทรียภาพในการพักผ่อน, เครื่องช่วยว่ายน้ำและระบบไฮโดรเธอราปิฟลอร์เจ๊ท ใส่ใจดูแลผู้อยู่อาศัยด้วยการออกแบบที่เพิ่มความสะดวกสำหรับผู้พิการและคนสูงวัย
เนาวรัตน์ฯ ทุ่ม 600 ล้านบาท เปิดตัว “มานะพัฒนาการ” เดินหน้ารุกธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ พร้อมสานต่อโครงการ “บารานี”

เนาวรัตน์ฯ ทุ่ม 600 ล้านบาท เปิดตัว “มานะพัฒนาการ” เดินหน้ารุกธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ พร้อมสานต่อโครงการ “บารานี”

เนาวรัตน์ฯ ทุ่ม 600 ล้านบาท เปิดตัว “มานะพัฒนาการ” เดินหน้ารุกธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ พร้อมสานต่อโครงการ “บารานี” เจาะตลาดทั้งแนวราบ และแนวสูง ประเดิม “บารานี พาร์ค ร่มเกล้า” บ้านเดี่ยวหรู เริ่มต้นที่ 8.89 ล้านบาท บมจ.เนาวรัตน์ ส่ง มานะพัฒนาการ เดินหน้ารุกธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เต็มเหนี่ยว ทุ่มทุนจดทะเบียนบริษัทกว่า 600 ล้านบาท ประกาศรุกการพัฒนาทั้งโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบ แนวสูง อาคารสำนักงาน และคลังสินค้าปี 58 ตั้งเป้าเปิด 3 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 2,300 ล้านบาท เปิดตัวโครงการภายใต้ชื่อ “บารานี” ประเดิมด้วยโครงการแรก “บารานี พาร์ค (ร่มเกล้า)” บ้านเดี่ยวหรูสไตล์ Courtyard เริ่มต้นที่ 8.89 ล้านบาท พร้อมวางเป้าแผนธุรกิจระยะสั้น เปิดตัวอย่างน้อยปีละ 1-3 โครงการ เติบโตไม่ต่ำกว่า 10% ต่อปี ด้านแผนระยะยาวภายใน 5 ปี ขยายตัวเพิ่มรองรับรายได้และยอดขายไม่ต่ำกว่าปีละ 2,000 ล้านบาท   นายพลพัฒ กรรณสูต กรรมการผู้จัดการ บริษัท เนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เนาวรัตน์พัฒนาการ เป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้างชั้นนำของประเทศที่มีประสบการณ์มาอย่างยาวนาน และได้รับการยอมรับจากกลุ่มลูกค้าทั้งภาครัฐและเอกชน ด้วยการนำเทคโนโลยีชั้นสูงมาใช้ในงานก่อสร้าง กลุ่มธุรกิจผลิตเสาเข็มคอนกรีตอัดแรงและผลิตภัณฑ์คอนกรีต กลุ่มธุรกิจเหล็กแปรรูป จากประสบการณ์ในด้านการก่อสร้างที่ผ่านมา ทำให้บริษัทมองเห็นโอกาสในการพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เพราะมองว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นอีกธุรกิจบนพื้นฐานของการดำรงชีวิต ซึ่งมีการเติบโตค่อนข้างสูงและต่อเนื่องในปัจจุบัน ทั้งยังสามารถสร้างรายได้และผลกำไรที่ดี ซึ่งเป็นโอกาสของบริษัทในการนำจุดแข็งของการก่อสร้างมาต่อยอด และสร้างโอกาสทางธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ให้กับบริษัทอีกทางหนึ่ง ด้านนายปสันน สวัสดิ์บุรี ประธานกรรมการบริหาร บริษัท มานะพัฒนาการ จำกัด กล่าวว่า บริษัท มานะพัฒนาการ จำกัด ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อรองรับการพัฒนาโครงการในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ด้วยทุนจดทะเบียน 600 ล้านบาท (ชำระเต็ม) โดยทางบริษัท เนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด (มหาชน) จะเป็นผู้ถือหุ้น 99.99% ในการพัฒนาโครงการต่างๆ เราจะนำประสบการณ์เกือบ 10 ปี ในการบริหารธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของทีมงานรวมกับจุดเด่นในด้านการรับเหมาก่อสร้างมาใช้ ซึ่งจะทำให้เรามีจุดเด่นในเรื่องของการเข้าใจความต้องการของลูกค้า ส่งมอบบ้านที่มีคุณภาพสูง ตรงตามเวลา และมีต้นทุนค่าก่อสร้างที่ต่ำ เมื่อเทียบกับผู้ประกอบการรายอื่น   นอกจากนี้ทางบริษัทยังวางเป้าหมายในการพัฒนาโครงการอย่างน้อยปีละ 1-3 โครงการ มูลค่าประมาณ 800 ล้านบาทต่อโครงการ เน้นการพัฒนาโครงการแนวราบเป็นหลัก เนื่องจากเป็นชนิดโครงการที่เหมาะสมกับทำเลกรุงเทพฯ รอบนอก ส่วนโครงการแนวสูงจะลงทุนในทำเลที่มีศักยภาพและมีความมั่นใจ เช่น ใกล้แนวรถไฟฟ้า เป็นต้น โดยมีสัดส่วนของการลงทุนดังนี้ แนวราบ 60% แนวสูง 30% และอื่นๆ 10% ด้านนายอภิชาติ รักช้าง กรรมการผู้จัดการ บริษัท มานะพัฒนาการ จำกัด กล่าวถึงการพัฒนาโครงการต่างๆ ของบริษัทว่า เราจะใช้โครงการ “บารานี” เป็นโครงการนำร่อง สำหรับโครงการ “บารานี” ได้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 10 ปีที่ผ่านมา เริ่มจากการที่บริษัทมีความสนใจในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และทีมงานของบริษัทได้มีโอกาสเข้าไปบริหารโครงการบารานี ซึ่งพัฒนาเป็นโครงการบ้านเดี่ยวบนถนนรังสิต-คลอง 3 จึงทำให้เป็นที่รู้จักในย่านนั้น และภาพลักษณ์ของโคงการ “บารานี” ได้รับการยอมรับในเรื่องบ้านที่มีการจัดพื้นที่ใช้สอยลงตัว สวยงาม คุณภาพของการก่อสร้าง การบริการและดูแลหลังการขายที่ดี และจากการที่โครงการ บารานี เริ่มเป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับของลูกค้าในบริเวณนั้น ทำให้บริษัทมั่นใจจึงได้พัฒนาโครงการต่อมา คือ โครงการ “วิลล่า บารานี” บนถนนรังสิต-คลอง 3 และปัจจุบันก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีเช่นกัน ดังนั้นเมื่อบริษัทจะรุกธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จึงเห็นว่าควรจะใช้ “บารานี” ที่มีฐานลูกค้าอยู่แล้วมาต่อยอดและสร้างการรับรู้ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างขึ้น นายอภิชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับโครงการแรกที่จะเปิดตัวภายใต้การพัฒนาของบริษัท มานะพัฒนาการ จำกัด คือ โครงการ “บารานี พาร์ค (Paranee Park) ร่มเกล้า” พัฒนาในรูปแบบของบ้านเดี่ยว สไตล์ Courtyard จำนวน 86 หลัง บนพื้นที่โครงการประมาณ 22 ไร่ มูลค่าโครงการ 900 ล้านบาท ภายใต้แนวคิด “การออกแบบที่จะให้คุณได้ใกล้ชิดธรรมชาติมากขึ้น” โดยภายนอกดูเรียบง่าย แต่สร้างลวดลายจากธรรมชาติให้กับบ้านด้วยการใช้แสงเงาของต้นไม้ที่ตกกระทบผนัง ส่วนพื้นที่ใช้สอยถูกจัดวางมาอย่างลงตัวจนเกิดเป็น Courtyard ภายในบ้าน ที่จะทำให้ผู้อยู่อาศัยใกล้ชิดกลมกลืนกับธรรมชาติ จากซ้ายสุด นายอภิชาติ รักช้าง กรรมการผู้จัดการ บริษัท มานะพัฒนาการ จำกัด, นายพลพัฒ กรรณสูต กรรมการผู้จัดการ บริษัท เนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด (มหาชน), นายปสันน สวัสดิ์บุรี ประธานกรรมการบริหาร บริษัท มานะพัฒนาการ จำกัด
ชาโตว์ อินทาวน์ พระราม 8 คอนโดใหม่ วิวแม่น้ำเจ้าพระยา วิวสะพานพระราม 8 เปิดงาน PRE-SALE 28-29 มี.ค. นี้

ชาโตว์ อินทาวน์ พระราม 8 คอนโดใหม่ วิวแม่น้ำเจ้าพระยา วิวสะพานพระราม 8 เปิดงาน PRE-SALE 28-29 มี.ค. นี้

ชาโตว์ อินทาวน์ พระราม 8 เปิดงาน PRE-SALE มาพร้อมโปรโมชั่น+ข้อเสนอสุดพิเศษ ที่ให้คุณได้เป็นเจ้าของห้องสวย วิวแม่น้ำเจ้าพระยา วิวสะพานพระราม 8 พร้อมเปิดชมห้องตัวอย่างให้คุณได้สัมผัสกับสถานที่จริง บรรยากาศจริง... พบกันได้ที่สำนักงานขายโครงการในวันที่ 28-29 มี.ค. นี้เท่านั้น!!! ชาโตว์ อินทาวน์ พระราม 8 คอนโดใหม่ล่าสุด ที่จะทำให้คุณดื่มด่ำกับความสุขเหนือเส้นขอบฟ้าในทุกๆ 365 วัน ด้วยวิวแม่น้ำเจ้าพระยา วิวสะพานพระราม 8 พร้อมเติมเต็มในทุกมิติของการใช้ชีวิตในแบบที่เป็นตัวคุณ พรั่งพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ สระว่ายน้ำชั้นดาดฟ้า, สวนหย่อมพักผ่อน, เข้าออกด้วยระบบ Key Card ทุกยูนิต, Fitness และ Sauna, อุ่นใจกับระบบรักษาความปลอดภัย 24 ชม. และกล้อง CCTV ทำให้คุณได้สัมผัสถึงความเหนือระดับของการใช้ชีวิตในทุกๆ วัน ลงทะเบียนพร้อมรับข้อเสนอสุดพิเศษ >>> www.cmc.co.th/rama8
Pause Condominiumวิถีชีวิตแบบ Slow Lifeจาก ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้

Pause Condominiumวิถีชีวิตแบบ Slow Lifeจาก ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้

ด้วย  3  Concept“อบอุ่น ไม่แออัด,  เรียบง่าย ไม่รีบเร่ง  และ ยิ้มแย้ม ไม่ยุ่งเหยิง” บริษัท  ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้  จำกัด  (มหาชน)  ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์  เน้นคอนโดมิเนียมเกาะแนวรถไฟฟ้า ที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด  แนะนำโครงการใหม่ล่าสุด  Pause Condominium คอนโดมิเนียมแนวคิดใหม่ เพื่อไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่  ที่มีแนวความคิดมาจาก Trend การใช้ชีวิตแบบ   “Slow Life” ที่มีการปรับสมดุลการใช้ชีวิตให้ช้า และ เรียบง่ายขึ้น จากวิถีชีวิตคนเมืองในปัจจุบัน บน 3 ทำเลคุณภาพ Pause สุขมวิท 103, Pause สุขุมวิท 107, Pause สุขุมวิท 115 ใกล้ BTS 3 สถานี อุดมสุข, แบริ่ง, ปู่เจ้าฯ เพียง 270 เมตร ในราคาเริ่มต้น 1.39 ล้านบาท Pause Condominium  คอนโดแนวคิดใหม่เพื่อไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตแบบ Pause Life  เป็นการใช้ชีวิตแบบช้า แต่ ชัวร์ เรียบง่ายแต่มั่นคง และเต็มไปด้วยความสงบสุข  ด้วยคอนเซ็ปต์ดีไซน์ แนว  Minimal  เส้นสายที่เรียบง่าย  สะท้อนตัวตนของงานสถาปัตยกรรม ที่ลดทอนรูปทรงส่วนที่ไม่เป็นแก่นสาน แสดงถึงความมั่นคง   โดยเส้นตรงแนวตั้งและแนวนอน เหลือเพียงสิ่งที่สะท้อนคุณค่าที่แท้จริง  เน้นการตกแต่งที่เรียบง่าย แต่ดูดี มีสไตล์  ตามปรัชญาแนวคิด  “Less is More”  หรือ  น้อยแต่มากด้วยประโยชน์ที่สอดคล้องแตะตอบสนอง Lifestyle ของผู้ที่พักอาศัยเป็นสำคัญ Pause Condominium  เป็นคอนโดโรว์ไรส์   8 ชั้น  โครงการตั้งอยู่ถนนสุขุมวิท 3 ทำเล คือ สุขุมวิท 103 เนื้อที่โครงการ 1-2-53 ไร่  2 อาคาร 269 ยูนิต, สุขุมวิท 107 A เนื้อที่ 0-2-14.9 ไร่  1 อาคาร 78 ยูนิต, สุขุมวิท 107 B เนื้อที่ 0-2-26.2 ไร่  1 อาคาร 78 ยูนิต  และ สุขุมวิท 115  เนื้อที่ 1-1-83 ไร่  2 อาคาร 310 ยูนิต  มูลค่าโครงการรวม 3 โครงการ  1,530   ล้านบาท     ขนาดพื้นที่ตั้งแต่ 20.8-40.1 ตรม.  ทั้งแบบ1 ห้องนอนแยกส่วน พร้อมห้องรับแขกและห้องครัว และ แบบ 1 ห้องนอนแยกส่วน มีห้องรับแขก พร้อมห้องทำงานส่วนตัวและห้องครัว    รวมถึง   2  ห้องนอน    พร้อมห้องรับแขกและห้องครัวแยกส่วน  และสิ่งอำนวยความสะดวกและสาธารณูปโภคที่ครบครัน  อาทิ  Lobby & Library  พร้อมชุดรับแขก,  Fitness Room,  Infinity edge Pool & Jacuzzi,  Art Therapy,  Fragrance Garden, Bar B.Q.,  Sky Yoka,  Bike Parking,  CCTV Eagle Eye Security,  ระบบรักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง,  Key Card Access Control รวมถึงระบบ Smart Lock สำหรับห้องทุกห้องใน รวมถึงที่จอดรถอันสะดวกสบาย    และบริการพิเศษ ลูกค้าในโครงการสามารถใช้บริการ Shuttle Van ของโครงการมาส่งยังสถานีรถไฟฟ้าที่ใกล้ที่สุดได้อย่างสะดวก ลูกค้าผู้สนใจสามารถเยี่ยมชมโครงการได้ที่  Sales Gallery ตั้งแต่ 9.00 – 19.00 น. โทร. 092-716-4400, 092-716-5500   หรือ www.pausecondo.com
อิตัลไทยครบ 60 ปี เดินหน้าครั้งใหญ่ดันยอดขายโต 2 เท่าใน 5 ปี มูลค่าธุรกิจแตะ 25,800 ล้านบาท‏

อิตัลไทยครบ 60 ปี เดินหน้าครั้งใหญ่ดันยอดขายโต 2 เท่าใน 5 ปี มูลค่าธุรกิจแตะ 25,800 ล้านบาท‏

เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2558 ที่ผ่านมา กลุ่มบริษัทอิตัลไทย กลุ่มธุรกิจสำคัญกลุ่มหนึ่งในวงการธุรกิจอุตสาหกรรมและวงการธุรกิจพัฒนาโครงการเพื่อการพาณิชย์ของประเทศไทยตลอดระยะเวลา 60 ปีที่ผ่านมา ประกาศว่า กลุ่มบริษัทอิตัลไทยตั้งเป้าผลักดันยอดขายธุรกิจในเครือให้เติบโตขึ้น 2 เท่า ภายในระยะเวลา 5 ปี ให้มียอดขายต่อปีอยู่ที่ 25,800 ล้านบาท เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับสถานภาพทางการแข่งขันของกลุ่มบริษัทอิตัลไทยในยุคประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ที่กำลังจะเกิดขึ้น พร้อมเตรียมรับประโยชน์จากโอกาสที่จะเกิดขึ้นจากการรวมตัวกันของประเทศกลุ่มเออีซี นายยุทธชัย จรณะจิตต์ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท อิตัลไทย เปิดเผยว่า “ในโอกาสฉลองครบรอบ 60 ปีการก่อตั้งกลุ่มบริษัทอิตัลไทย เรามุ่งมั่นตั้งใจที่จะเสริมสร้างองค์กรให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น เพื่อก้าวไปในอนาคตข้างหน้าอย่างมั่นคงแข็งแรง โดยจะเร่งเครื่องการเติบโตของธุรกิจ พร้อมทุ่มเงินอีก 11,000 ล้านบาทลงทุนในส่วนของศูนย์บริการ สิ่งอำนวยความสะดวกใหม่ๆ และโรงงาน ตลอดจนการบริการใหม่ๆ รวมไปถึงการพัฒนาศักยภาพองค์กร ซึ่งทั้งหมดนี้เราจะเดินหน้าทำให้เห็นผลตั้งแต่ปีนี้ไปจนถึงปี 2562” นายยุทธชัย กล่าวว่า ธุรกิจของกลุ่มบริษัทอิตัลไทย มีอยู่สองประเภทธุรกิจในสัดส่วนพอๆ กัน ซึ่งทั้งสองประเภทธุรกิจนี้ ถือเป็นรากฐานที่สำคัญของเศรษฐกิจไทย ได้แก่ ‘กลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมเครื่อง จักรกลและบริการด้านวิศวกรรม’ ที่เชื่อมโยงกับโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานภายในประเทศ และการพัฒนาประเทศไทย และ ‘กลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมบริการและไลฟ์สไตล์’ ที่เชื่อมโยงกับภาคการท่องเที่ยวของไทยซึ่งสามารถแข่งขันได้กับทั่วโลก โดยบริษัทจะมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับการเติบโตของธุรกิจทั้งสองส่วนเท่าเทียมกัน กลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลและบริการด้านวิศวกรรม “เรามีธุรกิจจำหน่ายเครื่องจักรกลและบริการหลังการขายที่แข็งแกร่ง รวมทั้งการเป็นตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทยให้กับแบรนด์วอลโว่ (Volvo) ทาดาโน่ (Tadano) และเอสดีแอลจี (SDLG) ยอดขายของธุรกิจในส่วนนี้ปัจจุบันอยู่ที่ 4,000 ล้านบาท ซึ่งเราตั้งเป้าจะผลักดันให้เติบโตขึ้นเป็น 8,000 ล้านบาทภายในปี 2562 และเพิ่มส่วนแบ่งตลาดขึ้นจาก 14% เป็น 20% โดยจะเน้นให้ความสำคัญในเรื่องการให้บริการที่เป็นเลิศแก่ลูกค้าของเราซึ่งเป็นผู้รับเหมาชั้นนำของไทย” นายยุทธชัย กล่าว นายยุทธชัย กล่าวว่า ในส่วนของ ธุรกิจอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล บริษัทมีกลยุทธ์ในการให้บริการที่เหนือระดับ โดยอาศัยการดำเนินงานสามส่วนหลักๆ คือ “ส่วนแรกเป็นการดำเนินกลยุทธ์แบบหลากหลายแบรนด์ ซึ่งจะสามารถตอบสนองความต้องการที่หลากหลายในธุรกิจการก่อสร้างและการลำเลียงวัสดุ ได้อย่างครบวงจร อย่างเช่นอุปกรณ์ก่อสร้างแบรนด์วอลโว่ เหมาะกับงานหนักๆ เช่น การทำเหมือง ซึ่งต้องใช้รถขุดขนาดใหญ่ กับรถตักล้อยางขนาด 30 ตันขึ้นไป ส่วนรถเครนแบรนด์  ทาดาโน่ ซึ่งเป็นผู้นำอยู่ในตลาดรถเครนในปัจจุบัน เป็นที่นิยมมากที่สุดในการใช้งานขนย้ายหรือลำเลียงวัสดุ และอุปกรณ์ก่อสร้างแบรนด์เอสดีแอลจีของเรา เหมาะเป็นพิเศษกับอุตสาหกรรมทั่วไป ที่มองหาเครื่องจักรราคาเหมาะสม เช่น สวนยาง โรงสี และภาคเกษตรกรรม ซึ่งจากจุดแข็งในการทำตลาดของแบรนด์เอสดีแอลจี ทำให้แบรนด์เอสดีแอลจีขยับส่วนแบ่งตลาดในประเทศไทยจากอันดับ 7 ขึ้นมาอยู่อันดับ 2 ในช่วงเวลาสองปีที่ผ่านมา ทำให้เราสามารถครองส่วนแบ่งทางการตลาด อยู่ที่ 20% ของตลาดรถตักล้อยางที่มีมูลค่าตลาด 1,000 ล้านบาท” นายยุทธชัย กล่าว   นายยุทธชัย กล่าวว่า อิตัลไทยจะขยายความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ที่นำเสนอภายใต้แบรนด์เอสดีแอลจีให้เพิ่มมากขึ้น โดยจะแนะนำรถขุดขนาดเล็ก รถเกรด รถบด และรถตักแบ็คโฮรุ่นใหม่ๆ “กลยุทธ์ที่สองของเราเพื่อกระตุ้นยอดขายและเพิ่มส่วนแบ่งตลาด คือการลงทุนอย่างจริงจังเพื่อขยายเครือข่ายทั่วประเทศให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้นอีกเท่าตัว จากปัจจุบันที่มีอยู่ 14 สาขา เพิ่มเป็น 30 สาขาภายในปี 2562 ซึ่งจะทำให้เราสามารถให้บริการลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น ด้วยความสามารถในการให้บริการหลังการขายอย่างรวดเร็ว จากการมีช่างผู้เชี่ยวชาญและชิ้นส่วนอะไหล่ต่างๆ พร้อมสำหรับบริการ เพื่อให้มั่นใจว่าเครื่องจักรจะอยู่ในสภาพพร้อมทำงานตลอดเวลา นอกจากนี้เราได้เข้าไปเปิดสาขาในประเทศลาว ในนครเวียงจันทน์ และปากเซ รวมทั้งได้จัดตั้งหน่วยบริการในพื้นที่ในไซยะบุรีและหงสา เพื่อสนับสนุนลูกค้าในอุตสาหกรรมเหมืองแร่ และการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ โดยใน   ปีนี้ เรามีแผนจะเปิดสาขาใหม่ในจังหวัดนครสวรรค์ สุรินทร์ และสกลนคร” นายยุทธชัย กล่าว “กลยุทธ์ที่สามของเราคือ การจัดระบบที่จะช่วยให้เราสามารถทำงานประสานกับผู้รับเหมารายใหญ่สุดในประเทศได้อย่างใกล้ชิด ซึ่งจะทำให้เรากลายเป็นผู้ช่วยที่ไว้วางใจได้อย่างสมบูรณ์แบบและเป็นส่วนหนึ่งที่องค์กรของลูกค้าพึ่งพาได้ตลอด”  นาย ยุทธชัย กล่าว “ในส่วนธุรกิจบริการด้านวิศวกรรมของเรา เราตั้งเป้าหมายผลักดันยอดขายให้เติบโตขึ้นจาก 3,200 ล้านบาท เป็น 7,600 ล้านบาทภายในเวลา 5 ปี โดยปัจจัยสำคัญที่จะเป็นตัวช่วยผลักดันการเติบโตนี้ คือชื่อเสียงของธุรกิจวิศวกรรมของเรา ที่เราได้สร้างขึ้นในฐานะผู้รับเหมาระดับโลก ที่เชื่อถือได้และมีผลงานมาตรฐานสูงมากทั้งในด้านคุณภาพและความปลอดภัย จากชื่อเสียงที่เป็นที่ยอมรับดังกล่าว ทำให้เราสามารถยกระดับตัวเองขึ้นจากการเป็นผู้รับเหมาด้านวิศวกรรมที่ยอดเยี่ยม มาเป็นผู้รับเหมาที่ให้บริการแบบครบวงจร “เรากำลังขยายธุรกิจเข้าไปในตลาดเซคเตอร์ใหม่ๆ เพิ่มเติมจากฐานลูกค้าเดิมในกลุ่มวิศวกรรมเครื่องจักรกล ไปสู่ลูกค้าในกลุ่มงานไฟฟ้าและวิศวกรรมโยธา โดยการลงทุนอย่างหนักในเรื่องสถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวกในการให้บริการลูกค้าต่างๆ นอกจากนี้ เรายังสยายปีกออกไปยังตลาดพื้นที่ใหม่ๆ เช่น การสร้างธุรกิจในพม่า โดยเน้นรับงานด้านวิศวกรรมภายในอาคาร ด้านไฟฟ้าและท่อประปา” นายยุทธชัย กล่าว นายยุทธชัย กล่าวว่า พลังงานทดแทนอย่างโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์และพลังลม สร้างโอกาสทางธุรกิจที่สำคัญ ซึ่งบริษัทตั้งเป้าเกินหน้าสู่การเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานทางเลือกในประเทศไทย ที่เป็นตัวเลือกที่ลูกค้าต้องการใช้บริการ ภายในระยะเวลา 5 ปีข้างหน้า   กลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมบริการและไลฟ์สไตล์ นายยุทธชัย เปิดเผยว่า ‘กลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมบริการและไลฟ์สไตล์’ ของกลุ่มบริษัทอิตัลไทย เป็นกลุ่มธุรกิจที่เราตั้งเป้าหมายการเติบโตแบบก้าวกระโดด ด้วยแผนการขยายธุรกิจ ในต่างประเทศ ซึ่งจะทำให้จำนวนโรงแรมในเครือ ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป ของกลุ่ม อิตัลไทย เพิ่มขึ้นจาก 38 แห่งในปัจจุบัน เป็นมากกว่า 100 แห่ง ด้วยจำนวนห้องพัก 18,500 ห้อง ใน 10 ประเทศภายในระยะเวลา 5 ปี โดยในปี 2558 นี้ จะมีการเปิดโรงแรมใหม่ในประเทศมัลดีฟส์ มาเลเซีย ศรีลังกา และจีน   “เรากำลังลงทุนสร้างเครือข่ายในเอเชีย-แปซิฟิก รวมทั้งพัฒนาแบรนด์ที่เหมาะสมที่จะช่วยให้เราดึงดูดลูกค้าได้ด้วยผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายในหลายระดับราคา ด้วยมรดกแห่งความเป็นไทยของเรา ทำให้เรามีจุดแข็งที่ได้เปรียบในฐานะผู้ให้บริการโรงแรมที่โดดเด่น ด้วยการมุ่งเน้นการให้บริการที่ยอดเยี่ยม อาหารและเครื่องดื่มที่อร่อยประทับใจในโรงแรมในเครือของเรา จะช่วยตอกย้ำชื่อเสียงของประเทศไทยในระดับโลก” นายยุทธชัย กล่าว   นายยุทธชัยตั้งข้อสังเกตว่า ทุกวันนี้มีบริษัทจากเอเชียที่เป็นผู้ให้บริการโรงแรมและการท่องเที่ยวที่ประสบความสำเร็จในเวทีระดับโลกจำนวนน้อยมาก และ “ความสำเร็จของโรงแรมแบรนด์ไทยในเวทีระดับโลกจะช่วยตอกย้ำชื่อเสียงของประเทศไทยในฐานะหนึ่งในประเทศที่เป็นเยี่ยมที่สุดของโลกด้านการบริการ”   นายยุทธชัย กล่าวว่า กลุ่มบริษัทอิตัลไทยดำเนินธุรกิจ ‘โรงแรมและรีสอร์ท’ 3 แบรนด์   คือ แซฟฟรอน (Saffron) แบรนด์ระดับลักชัวรี่ อมารี (Amari) แบรนด์สำหรับตลาดระดับบน และ โอโซ่ (Ozo) แบรนด์สำหรับการบริการเฉพาะอย่าง   ธุรกิจอื่นๆ ในกลุ่มธุรกิจบริการและไลฟสไตล์ ได้แก่ ‘เซอร์วิสอพาร์ทเมนท์’ ซึ่งให้บริการภายใต้แบรนด์ ชามา ลักซ์ (Shama Luxe) ชามา (Shama) และ ชามา ไลท์ (Shama Lite) นอกจากนั้นยังมีธุรกิจ ‘สปา’ ภายใต้แบรนด์ มาย (Maai) สำหรับตลาดลักชัวรี่ และ บรีซ (Breeze) สำหรับตลาดระดับบน   “กุญแจสู่ความสำเร็จของเรา อยู่ที่การมอบประสบการณ์ระดับคุณภาพ ที่ได้มาตรฐาน และคงเส้นคงวา ให้กับลูกค้าที่มาใช้บริการในแบรนด์ต่างๆ ของเราทุกแบรนด์ นั่นเป็นเหตุผลทำให้เราพัฒนาและยกระดับมาตรฐานความเป็นเสิศในการดำเนินงานของเราอย่างไม่หยุดยั้ง ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของระบบไอที ส่วนงานขาย และโครงสร้างในการการบริหารงานและดำเนินงานของเรา” นายยุทธชัย กล่าว   ในกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมบริการและไลฟ์สไตล์ กลุ่มบริษัทอิตัลไทย ยังเป็นผู้บริหารธุรกิจ แฟรนไชส์ชาทีดับลิวจี (TWG Tea Franchise) ซึ่งมีเป้าหมายที่จะทำยอดขายให้เติบโตขึ้นมากกว่า 2 เท่า ภายในระยะเวลา 5 ปีข้างหน้า   “ชาทีดับลิวจี เป็นแบรนด์ระดับซูเปอร์พรีเมี่ยม ซึ่งทีซาลอน (Tea Salon) ของเราล้วนแล้วแต่จะต้องตั้งอยู่ในทำเลที่จะต้องรายล้อมไปด้วยแบรนด์ระดับซูเปอร์พรีเมี่ยมอื่นๆ โดยนอกจากทีซาลอนสาขาต่างๆ แล้ว เรายังเดินหน้าเติบโตจากการขายผ่านเคาน์เตอร์ค้าปลีก และการขายระดับองค์กร รวมทั้งการจับมือกับพันธมิตรค้าปลีก” นายยุทธชัย กล่าว   นายยุทธชัย กล่าวว่า “เพื่อเดินหน้าตามวิสัยทัศน์ไปสู่เป้าหมายที่วางไว้สำหรับกลุ่มธุรกิจบริการและไลฟ์สไตล์ของกลุ่มบริษัทอิตัลไทย เรากำลังทุ่มงบลงทุนประมาณ 7,000 ล้านบาทในธุรกิจเหล่านี้ ตลอดระยะเวลา 5 ปีข้างหน้า พร้อมกับตั้งเป้าหมายดันยอดขายให้เติบโตเพิ่มขึ้นจาก 5,700 ล้านบาทในปี 2557 ให้เป็น 10,200 ล้านบาทในปี 2562”
เริ่มแล้ว งานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 32 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

เริ่มแล้ว งานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 32 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

House & Condo Show 2015 ครั้งที่ 32 ระหว่างวันที่ 12 - 15 มี.ค. 2558 เวลา 10.00- 20.00 น. ณ Zone C-Grd, C-2, Plaza, Atrium ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ House & Condo Show 2015 ครั้งที่ 32 หรือ มหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 32 รวบรวมมาไว้ในงานเดียวสำหรับผู้ที่กำลังมองหาบ้านและคอนโดคุณภาพ ในมหกรรมงานอสังหาริมทรัพย์ครั้งสำคัญ กับงานมหกรรมบ้านและคอนโดฯ จัดโดยสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย ร่วมกับสมาคมอาคารชุดไทย และสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร ระหว่างวันที่ 12 - 15 มีนาคม 2558 เวลา 10.00 -20.00 น. ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ พบข้อเสนอสุดพิเศษภายในงาน ส่งตรงจากผู้ประกอบการด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์หลากหลายโครงการ ไม่ว่าจะเป็นบ้านและคอนโด โครงการสร้างเสร็จพร้อมอยู่ อาคารชุด อาคารพาณิชย์ รีสอร์ท สนามกอล์ฟ เฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้าน รับคำปรึกษาและคำแนะนำในการซื้อที่อยู่อาศัยอย่างถูกวิธี รวมทั้งคำแนะนำเรื่องสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยจากธนาคารและสถาบันการเงิน พร้อมกิจกรรมให้ร่วมสนุกมากมาย   ที่มา : ThailandExhibition.com
เนทูเรซ่า คอนโดมิเนียม พัทยา พร้อมส่งมอบ

เนทูเรซ่า คอนโดมิเนียม พัทยา พร้อมส่งมอบ

คุณสมเชาว์ ตันฑเทอดธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี เฮ้าส์ซิ่ง จำกัด (มหาชน)  และทีมผู้บริหารร่วมตรวจงานก่อสร้างและควบคุมการก่อสร้างให้ได้มาตรฐานเพื่อยืนยันการความพร้อมเข้าอยู่โครงการเนทูเรซ่าคอนโดมิเนียมพัทยา( โครงการ 1 )  ภายใต้แนวคิด “ Nature is all around  ความสุข … ท่ามกลางธรรมชาติ “ เอ็น.ซี ได้สร้างนวัตกรรมใหม่ ของการอยู่อาศัยชุมชนเมืองคอนโด เรียกว่า ฉีกกฎของการใช้ชีวิตในรูปแบบ Community in the Park  ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ความต้องการของลูกค้าที่มีได้ครบทั้งเรื่องการเดินทางที่สะดวกรวดเร็วในทุกทิศ ถนนชัยพรวิถี พัทยาเหนือ  ติดถนนสุขุมวิท  ทำเลใจกลางเมืองพัทยา  ออกแบบคอนโดมิเนียมบนพื้นที่สีเขียวกว่า 1,600 ตารางเมตรที่แทรกอยู่ทุกมุมโครงการ จะแล้วเสร็จพร้อมส่งมอบห้องพักอาศัยให้แก่ลูกค้าปลายเดือนมีนาคมนี้ ราคาเริ่มต้น 1.39 ล้านบาท สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานขาย 8.30 น.– 18.00น. ทุกวัน โทร.038-221-655 www.ncgroup.co.th
ที่ดิน 4 ทำเลฮอตราคาพุ่ง 20-30%

ที่ดิน 4 ทำเลฮอตราคาพุ่ง 20-30%

ซีบีอาร์อีเผย 4 ทำเลฮอตสุขุมวิท เพลินจิต–ลุมพินี สีลม-สาทร และพหลฯ ราคาขยับ 20-30% คาดปีนี้แรงต่อ นางกุลวดี สว่างศรี กรรมการบริหาร แผนกการลงทุนและที่ดิน บริษัท ซีบีอาร์อี ประเทศไทย เปิดเผยว่า การซื้อขายที่ดินในปี 2557 มีจำนวนลดลงเมื่อเทียบกับการซื้อขายในปี 2556 แต่ราคาที่ดินในย่านธุรกิจยังคงมีราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นที่ดินริมถนนหรือในซอยต่างๆ โดยเฉพาะในย่านเพลินจิต ลุมพินี และสีลม-สาทร ราคาที่มีการซื้อขายที่ผ่านมามีการปรับตัวประมาณ 20-30% ทั้งนี้ สุขุมวิทเป็นทำเลที่มีการซื้อขายมากกว่าเพลินจิต และสีลม-สาทร ราคาที่ดินทั้งที่ติดริมถนนหรือในซอยมีการปรับตัวสูงขึ้นประมาณ 20-30% ขึ้นอยู่กับขนาดที่ดิน ระยะห่างจากรถไฟฟ้า และรูปร่างของที่ดิน โดยเฉพาะย่านทองหล่อ ราคาที่ดินในซอยที่มีการซื้อขายจาก 3 แสนบาท/ตารางวา (ตร.ว.) ปรับขึ้นเป็น 5–7 แสนบาท/ตร.ว. ที่ดินริมถนนที่มีการซื้อขายจาก 6–8 แสนบาท/ตร.ว. ปรับขึ้นเป็น 1 ล้านบาท/ตร.ว. หรือบางแปลงก็สูงกว่านั้น สำหรับทำเลในย่านเพลินจิต–ลุมพินี มีการซื้อขายที่ดินไม่มาก เพราะที่ดินพร้อมขายมีน้อยลง ทำให้ที่ดินในซอยที่มีผู้สนใจมากขึ้นโดยเฉพาะในซอยหลังสวนมีการซื้อขายในราคาประมาณ 8 แสนบาท/ตร.ว. และในซอยร่วมฤดีมีการซื้อขายในราคาประมาณ 5–6 แสนบาท/ตร.ว. ขณะที่ย่านสีลม-สาทร มีการซื้อขายอย่างต่อเนื่องทั้งริมถนนสีลม สาทร และในซอย ราคาซื้อขายริมถนนสาทรนั้นอยู่ที่ประมาณ 1.3-1.5 ล้านบาท/ตร.ว. ปรับขึ้นเฉลี่ย 20-30% ในช่วงที่ผ่านมา ส่วนที่ดินในซอยมีการซื้อขายที่ราคาประมาณ 5.5–6 แสนบาท/ตร.ว. มีความต้องการจากกลุ่มพัฒนาโครงการโลว์ไรซ์ และจากกลุ่มผู้ซื้อเพื่อสร้างเป็นที่พักอาศัย ราคาปรับขึ้นเฉลี่ย 20% นางกุลวดี กล่าวอีกว่า ย่านพหลโยธินมีการซื้อขายที่ผ่านมาอยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้าช่วงอนุสาวรีย์จนถึงสถานีรถไฟฟ้าหมอชิต ราคาขายปรับตัวสูงขึ้น 25% โดยมีราคาขาย 8–9 แสนบาท/ตร.ว. บริเวณริมถนนตามแนวรถไฟฟ้า สำหรับที่ดินย่านสุขุมวิท เพลินจิต สีลม-สาทร แม้จะมีราคาสูง แต่ยังเป็นย่านที่ติดอันดับความนิยมและคาดว่าราคาจะมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นอีกต่อเนื่อง โดยที่ดินบางแปลงที่มีทำเลที่เด่นในเรื่องการเดินทางไปมาสะดวกและสามารถพัฒนาโครงการในลักษณะมิกซ์ยูสได้  มีความเป็นไปได้ที่ราคาซื้อขายจะไปถึง 2 ล้านบาท/ตร.ว.  
‘เพซ’ เปิดตัวโครงการ “นิมิต หลังสวน” ที่พักอาศัยระดับซูเปอร์ลักชัวรี กรรมสิทธิ์ฟรีโฮลด์ใกล้สวนลุมพินี

‘เพซ’ เปิดตัวโครงการ “นิมิต หลังสวน” ที่พักอาศัยระดับซูเปอร์ลักชัวรี กรรมสิทธิ์ฟรีโฮลด์ใกล้สวนลุมพินี

เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2558 ที่ผ่านมา บริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ประกาศเปิดตัวโครงการที่พักอาศัยระดับซูเปอร์ลักชัวรี “นิมิต หลังสวน” ความสูง 53 ชั้น ชูจุดเด่นที่ตั้งทำเลทองใจกลางกรุงเทพฯ ใกล้สวนลุมพินี กรรมสิทธิ์ฟรีโฮลด์ ออกแบบและก่อสร้างได้มาตรฐานสูงสุดระดับโลก ตั้งเป้าดึงดูดกำลังซื้อที่สูงขึ้นจากการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC (ASEAN Economic Community) โครงการนิมิต หลังสวน ประกอบด้วย ที่พักอาศัยสุดหรูระดับซูเปอร์ลักชัวรีจำนวน 187 เรสซิเดนซ์  ไพรเวทคลับบนดาดฟ้า และครั้งแรกของ “กรีนเฮ้าส์” สวนสีเขียวสไตล์เรือนกระจกอันร่มรื่นทอดตัวสู่ทางเข้าโครงการ ให้ความกลมกลืนกับสภาพแวดล้อม พร้อมด้วยนวัตกรรมด้านการดีไซน์สุดล้ำของสถาปัตยกรรมอันเป็นเอกลักษณ์ โดยอาคารโอบล้อมรอบด้วยแผ่นกระจกสามมิติ มอบความโปร่งใส แวววาว งดงามมีเอกลักษณ์ เหนือกาลเวลา ซึ่งการออกแบบอาคารสูงด้วยผิวหน้าอาคารแบบกระจกนิรภัยสามมิตินี้นับได้ว่าเป็นครั้งแรกในโลก นิมิต หลังสวน มีมูลค่าโครงการกว่า 7,500 ล้านบาท ตั้งอยู่บนที่ดินกรรมสิทธิ์ฟรีโฮลด์ขนาดประมาณ 3 ไร่ บนถนนหลังสวน โดยจะเริ่มก่อสร้างในเดือนตุลาคม 2558 และมีกำหนดแล้วเสร็จภายในครึ่งปีหลังของปี 2561   นายสรพจน์ เตชะไกรศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “โครงการนิมิต หลังสวนสร้างปรากฏการณ์ทำลายทุกสถิติการจองในช่วงก่อนเปิดขาย (Pre-Sales) ของเพซทุกโครงการ ด้วยยอดจองพร้อมจ่ายมัดจำเรียบร้อยแล้วถึง 70% โดยปัจจัยที่ทำให้โครงการสามารถขายได้อย่างรวดเร็วนั้นมาจากลูกค้าส่วนใหญ่ซึ่งเป็นลูกค้าเก่าที่เชื่อมั่นในคุณภาพและชื่อเสียงของเพซ และอานิสงส์ของการเปิดตลาดเออีซี ที่ส่งผลให้ความต้องการในตลาดอสังหาริมทรัพย์ระดับไฮเอนด์เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะโครงการที่พักอาศัยคุณภาพระดับสูงสุด เพื่อรองรับการเดินทางเพื่อติดต่อทางธุรกิจในภูมิภาคที่จะเพิ่มขึ้นของลูกค้ากลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง” นายสรพจน์กล่าวว่า “เพซให้ความสำคัญกับทุกองค์ประกอบของโครงการ ทั้งด้านสถาปัตยกรรมอาคารและ การตกแต่งภายในเรสซิเดนซ์ ที่ได้รับการออกแบบและคัดสรรวัสดุที่ใช้ด้วยคุณภาพมาตรฐานระดับโลก เพื่อมอบความสมบูรณ์แบบในการพักอาศัย เพียบพร้อมสำหรับการใช้ชีวิตที่ดีที่สุดแก่กลุ่มลูกค้าที่มีมาตรฐานสูง ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่มีความเชื่อมั่นในเพซ จากความสำเร็จของบริษัทกับโครงการที่ผ่านมา อาทิ มาตรฐานซีโร่ ดีเฟกท์ ของ โครงการศาลาแดง เรสซิเดนซ์ รวมถึงโครงการที่เรากำลังทำอยู่คือ เดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน เรสซิเดนเซส บางกอก ในโครงการมหานคร โดยต้องยอมรับว่าชื่อเสียงของเพซมีส่วนสำคัญในการเพิ่มยอดขายพรี-เซลส์ให้กับโครงการนิมิต หลังสวน” นายสรพจน์กล่าวเสริมว่า “ประมาณ 90% ของยอดจองโครงการมาจากผู้ซื้อชาวไทย โดยมีทั้งผู้ที่ต้องการพักอาศัยเอง และผู้ที่มองเห็นโอกาสในการปล่อยเช่าให้กับผู้บริหารระดับสูงในภูมิภาค” “จากความสำเร็จในการเปิดจองโครงการนิมิต หลังสวน ด้วยราคาขายที่สูงกว่าตารางเมตรละ 300,000 บาท ทำให้บริษัทฯ มีเงินทุนหมุนเวียนภายใน และยังช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการวางแผนเติบโตขององค์กร โดยเราจะเดินหน้าโครงการอื่นๆ อย่างต่อเนื่องควบคู่กันเพื่อให้เพซคงความเป็นผู้นำในตลาดอสังหาริมทรัพย์ไฮเอนด์ที่คำนึงถึงคุณภาพสูงสุด รวมถึงการขยายธุรกิจแบรนด์ไลฟ์สไตล์ระดับโลกของ ดีน แอนด์ เดลูก้า อย่างเต็มที่” นายสรพจน์ กล่าว โครงการนิมิต หลังสวน ตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ ใกล้สวนลุมพินี ศูนย์การค้าชั้นนำระดับพรีเมี่ยมหลายแห่ง ในย่านราชประสงค์ ชิดลม และเพลินจิต รวมถึงย่านธุรกิจสีลม สามารถเดินทางได้อย่างสะดวกสบาย ด้วยเส้นทางเชื่อมต่อจากถนนหลังสวนและถนนสารสิน มีรูปแบบเรสซิเดนซ์ตั้งแต่ขนาด 2 - 4 ห้องนอน และเพนท์เฮ้าส์ ในขนาดพื้นที่ตั้งแต่ 78 – 617 ตารางเมตร เพดานสูง 3 เมตรขึ้นไป ราคาขายโดยประมาณ 25 - 250 ล้านบาท
แมกโนเลียฯ เปิดตัว “วิสซ์ดอม อเวนิว รัชดา-ลาดพร้าว” คอนโดมิเนียมระดับคุณภาพ ที่สุดของความสะดวกสบาย

แมกโนเลียฯ เปิดตัว “วิสซ์ดอม อเวนิว รัชดา-ลาดพร้าว” คอนโดมิเนียมระดับคุณภาพ ที่สุดของความสะดวกสบาย

เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2558 ที่ผ่านมา แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น หรือ MQDC บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั้งบ้านเดี่ยวและคอนโดมิเนียมคุณภาพระดับลักชัวรี่ และเป็นเจ้าของและผู้พัฒนาโครงการที่พักอาศัยแบรนด์วิสซ์ดอม ประกาศเปิดตัว “วิสซ์ดอม อเวนิว รัชดา-ลาดพร้าว” (Whizdom Avenue Ratchada-Ladprao) คอนโดมิเนียมมาตรฐานเหนือระดับ เพื่อการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ บนทำเลทองเพื่อการอยู่อาศัยใจกลางย่านรัชดา-ลาดพร้าว ที่สุดของความสะดวกสบายด้วยทำเลที่ตั้งติดกับรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT สถานีลาดพร้าว เจาะกลุ่มเป้าหมายคนเมือง และคนรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จในชีวิต ผู้มีไลฟ์สไตล์ทันสมัย และพิถีพิถันในการเลือกสรรสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง พร้อมเปิดให้ชมห้องตัวอย่าง และเปิดจองแล้ววันนี้เป็นต้นไป   นายถนอมศักดิ์ แก้วเขียว รองประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ MQDC กล่าวว่า “โครงการ วิสซ์ดอม อเวนิว รัชดา-ลาดพร้าว ตอกย้ำความมุ่งมั่นและพันธกิจของ MQDC ในการพัฒนาโครงการคุณภาพ เพื่อมอบสภาพแวดล้อมที่ดียิ่งขึ้นสำหรับการอยู่อาศัย และสำหรับการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพให้กับผู้คน โครงการ วิสซ์ดอม อเวนิว รัชดา-ลาดพร้าว เป็นคอนโดมิเนียมที่พักอาศัยคุณภาพ จำนวน 1 อาคาร สูง 27 ชั้น ตั้งอยู่บนพื้นที่ 3 ไร่ 42 ตารางวา บนถนนลาดพร้าวติดถนนรัชดา ด้านหน้าโครงการเป็น สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT สถานีลาดพร้าว ทำให้ มีจุดเด่นที่พิเศษและแตกต่างอยู่ที่โลเคชั่น ซึ่งเป็นที่สุดของความสะดวกสบาย เพราะเพียงไม่กี่ก้าวเดินก็ถึงสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT สถานีลาดพร้าวซึ่งตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าของโครงการ แวดล้อมด้วยแหล่งช้อปปิ้ง โรงพยาบาล สถานศึกษา สถานที่เพื่อการพักผ่อนหย่อนใจและความบันเทิงต่างๆ มากมาย อีกทั้งโครงการตั้งอยู่ไม่ไกลจากใจกลางย่านธุรกิจใหม่ (New CBD) รัชดาภิเษก-พระราม 9 และสามารถเดินทางเชื่อมต่อไปยังพื้นที่อื่นๆ ได้อย่างสะดวก” ภายในโครงการพรั่งพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ ตอบโจทย์การอยู่อาศัยและไลฟ์สไตล์อย่างแท้จริง ด้วยพื้นที่สีเขียวทั้งบนพื้นดินและพื้นที่สีเขียวลอยฟ้าขนาดใหญ่ กว่า 1,700 ตารางเมตร เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติมากยิ่งขึ้น พร้อมด้วย Sunset Lounge หรือห้องสมุด สำหรับต้อนรับแขกผู้มาเยี่ยมเยือน หรือนั่งอ่านหนังสือสบายๆ ในบรรยากาศท้องฟ้ายามเย็น  Sky Infinity Edged Swimming Pool สระว่ายน้ำขนาดใหญ่บนชั้นสูงสุด เพื่อการออกกำลังกายและการพักผ่อนอย่างมีสไตล์ Sky Lounge สำหรับการสังสรรค์ที่เหนือระดับ กับวิวกรุงเทพฯ แบบพาโนรามา และ  Whizdom Lobby ดีไซน์โมเดิร์น เสมือนหน้าบ้านที่สะท้อนความมีรสนิยมของผู้เป็นเจ้าของ พร้อมเจ้าหน้าที่และระบบรักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง   โครงการถูกออกแบบอย่างพิถีพิถันและใส่ใจในทุกรายละเอียด ผสมผสานการวิจัยและพัฒนา เข้ากับการดีไซน์ และความใส่ใจในเรื่องการประหยัดพลังงานและรักษาสิ่งแวดล้อม ออกแบบตามมาตรฐาน “สถาบันอาคารเขียวไทย” (Thai Green Building Institute) คุณภาพอาคาร “ระดับ SILVER” (SILVER Tree Certificate) เพื่อนำเสนอโครงการคุณภาพที่ตอบสนองทุกฟังก์ชั่นของชีวิต และเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นในทุกวัน อาทิ รูปแบบและการจัดวางพื้นที่ภายในห้องพักสอดคล้องกับหลักสรีระศาสตร์เหมาะสมกับระยะร่างกายของมนุษย์เพื่อความสะดวกสบายสำหรับทุกกิจกรรม อยู่สบายและไม่รู้สึกอึดอัด การวางตำแหน่งไฟ ตำแหน่งแอร์ที่ส่งเสริมสุขภาพที่ดีของผู้อยู่อาศัย ทิศทางการวางตำแหน่งตัวตึกสอดคล้องกับทิศทางแสงอาทิตย์และทิศทางลม เพื่อลดความร้อน และเพิ่มการหมุนเวียนถ่ายเทของอากาศภายในห้องพัก เป็นการช่วยประหยัดพลังงาน และเพิ่มความสบายให้ผู้อยู่อาศัย การจัดวางห้องพักซึ่งเริ่มต้นที่ชั้น 5 เพิ่มความเป็นส่วนตัวและห่างไกลจากเสียงรบกวน มีการออกแบบสวนและแนวต้นไม้ช่วยบังแนวเสียงและฝุ่นละอองในอากาศที่จะพัดเข้าสู่ตัวอาคาร เป็นต้น “วิสซ์ดอม อเวนิว รัชดา-ลาดพร้าว ได้รับการตอบรับอย่างดีมากจากกลุ่มเป้าหมาย เนื่องจากมีโลเคชั่นที่เรียกได้ว่าสะดวกสบายที่สุด เพราะอยู่ติดกับสถานี MRT พร้อมกับคุณภาพที่เหนือระดับในทุกรายละเอียดด้วยมาตรฐานของบริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น (MQDC) พร้อมการรับประกันที่ยาวนานถึง 10 ปี ทำให้มีผู้สนใจจับจองห้องชุดพักอาศัยในช่วงพรีเซลล์แล้วเป็นจำนวนกว่า 60 % ซึ่งหลังจากเปิดให้ชมห้องตัวอย่าง คาดว่าจะได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากมองว่าตลาดยังมีดีมานด์หรือความต้องการคอนโดมิเนียมระดับคุณภาพอยู่มาก โดยเฉพาะในทำเลดีๆ ที่เป็นไพร์มโลเคชั่น (Prime Location) ซึ่งเรากำลังจะมีงาน Grand Opening ระหว่างวัน 26 – 29 มีนาคมนี้ ณ ชั้น 1 สยามพารากอนอีกด้วย” นายถนอมศักดิ์ กล่าว วิสซ์ดอม อเวนิว รัชดา-ลาดพร้าว ประกอบด้วยห้องชุดพักอาศัยหลากหลายรูปแบบให้เลือกตามความต้องการ ไม่ว่าจะเป็นห้องแบบสตูดิโอ ขนาดพื้นที่ 27 ตารางเมตร, แบบ 1 ห้องนอน ขนาดพื้นที่ 30-38 ตารางเมตร, แบบ 2 ห้องนอน ขนาดพื้นที่ 47-56 ตารางเมตร, แบบดูเพล็กซ์ ขนาดพื้นที่ 76-77 ตารางเมตร และแบบเพ้นซ์เฮ้าส์ ขนาดพื้นที่ 105-129 ตารางเมตร คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2560 ทั้งนี้ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร.02-789-9999 หรือทางเว็บไซต์ www.MQDC.com แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น หรือ MQDC คือ บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั้งบ้านเดี่ยวและคอนโดมิเนียมคุณภาพ ระดับลักชัวรี่ ที่มุ่งเน้นพัฒนาโครงการระดับคุณภาพ โดยผสมผสานการวิจัยและพัฒนา เข้ากับการดีไซน์อย่างมีคุณภาพที่ใส่ใจในเรื่องความยั่งยืนของมนุษย์ ตลอดจนการประหยัดพลังงานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อมอบสภาพแวดล้อมที่ดียิ่งขึ้นสำหรับการอยู่อาศัย และการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพให้กับผู้คน ทั้งผู้อยู่อาศัยในโครงการ และชุมชนโดยรอบ
บจ.สิรยศ ส่ง “โดว์เช่ อุดมสุข” ลงตลาดรับปีแพะ ด้วยมูลค่าโครงการ 200 ลบ.

บจ.สิรยศ ส่ง “โดว์เช่ อุดมสุข” ลงตลาดรับปีแพะ ด้วยมูลค่าโครงการ 200 ลบ.

บจ.สิรยศ ส่ง “โดว์เช่ อุดมสุข” ลงตลาดรับปีแพะ ด้วยมูลค่าโครงการ 200 ลบ. หลังประสบความสำเร็จอย่างงดงามจากโครงการบูทีค รัชดา เมื่อหลายปีก่อน ชูจุดขายราคาต้นเพียง 2 ลบ.  เด่นด้วยศักยภาพทำเล 600 ม. จาก BTS อุดมสุข, Fully Furnished บจ.สิรยศ เตรียมส่งโลว์ไลส์คอนโดแบรนด์ “โดว์เช่ อุดมสุข” (Dolce Udomsuk) ลงตลาดอสังหาฯ บนทำเลศักยภาพสูงใกล้บีทีเอสอุดมสุข ประกาศชูจุดขายความเป็นส่วนตัวสูงเพียง 79 ยูนิต ให้ความรู้สึกหรูหราด้วยความสูงจากพื้นถึงเพดานถึง 2.85 เมตร พร้อม Fully Furnished และ Fully built in มูลค่าโครงการกว่า 200 ล้านบาท สนนราคาเริ่มต้นเพียง 2 ล้านบาท มั่นใจเข้าใจลูกค้าทำให้พัฒนาสินค้าดีมีคุณภาพรองรับความต้องการของตลาดได้อย่างแน่นอน เผยใช้ประสบการณ์ความสำเร็จจากการพัฒนาโครงการบูทีค รัชดา ทั้ง 2 โครงการ ที่สามารถปิดการขายได้ภายใน 30 วัน มาเป็นต้นทุนต่อยอดพัฒนาโครงการใหม่   นายวิจาร คุปติพงศ์กุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท สิรยศ จำกัด บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มุ่งใส่ใจด้านการออกแบบ และความเป็นอยู่ของลูกค้าเป็นสำคัญ กล่าวถึงการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ภายใต้แบรนด์ “โดว์เช่ อุดมสุข” (Dolce Udomsuk) ว่า “โครงการโดว์เช่ อุดมสุข เป็นโลว์ไลส์คอนโดฯ 7 ชั้น 79 ยูนิต มีมูลค่าโครงการกว่า 200 ล้านบาท ราคาเริ่มต้นเพียง 2 ล้านบาท ตั้งอยู่บนเส้นสุขุมวิท 103/2 ห่างจากถนนสุขุมวิทสายหลักเพียง 400 เมตร เดินทางสะดวกสามารถทะลุออก บางนาตราด ซอย 1 อุดมสุข 18 และ ถนน ศรีนครินทร์ได้อย่างสะดวกสบาย สำหรับกลุ่มเป้าหมายของเราแน่นอนว่าเป็นกลุ่มคนวัยทำงานที่ต้องการความเป็นเมืองในราคาที่สามารถจับต้องได้ เพื่อหาพื้นที่ให้ความเป็นส่วนตัวแก่ตัวเองเพิ่มขึ้น ซึ่งนั่นหมายถึงราคาก็จะขยับลงมาสบายกระเป๋ามากกว่าอยู่บนเส้นสุขุมวิทหลัก และอีกหนึ่งกลุ่มเป้าหมายที่เรามองไว้ คือ กลุ่มลูกค้าญี่ปุ่น เนื่องจากเมื่อเราวิเคราะห์ทำเลแล้วจะเห็นได้ว่าบริเวณนี้เริ่มมีร้านสะดวกซื้อของคนญี่ปุ่น หรือ Lawson ซึ่งสามารถเป็นจุดชี้วัดได้ว่ากลุ่มคนญี่ปุ่นเริ่มมีการขยายตัวจากใจกลางสุขุมวิท 49 ออกมาเรื่อยๆ ดังนั้น กลุ่มญี่ปุ่นเป็นอีกกลุ่มเป้าหมายที่เราจะไม่ทิ้งกลุ่มเป้าหมายของโครงการ สำหรับโครงการนี้เราได้ออกแบบให้เหมาะกับผู้ที่รักความเป็นส่วนตัวเนื่องจากมีจำนวนยูนิตน้อย ไม่พลุกพล่านเมื่อเข้าอยู่อาศัยจริง ทั้งยังให้ความรู้สึกในการอยู่อาศัยที่ไม่อึดอัด เนื่องจากเราออกแบบให้อาคารมีเพียง 7 ชั้น เพื่อที่จะสามารถขยับความสูงของพื้นจรดฝ้าเพดานได้ถึง 2.85 เมตร ซึ่งโดยปกติโครงการทั่วไป อาจจะสูงเพียงแค่ 2.6 เมตรเท่านั้น” สำหรับโครงการโดว์เช่ อุดมสุข เป็นอสังหาริมทรัพย์โครงการที่ 4 ของบริษัท สิรยศ จำกัด โดย 3 โครงการที่ผ่านมา คือ คอนโดมิเนียม 2 โครงการ ได้แก่ โครงการบูทีค รัชดา และโครงการบูทีค รัชดา 2 ซึ่งทั้ง 2 โครงการได้เปิดขายเมื่อปี  2549 และสามารถปิดการขายได้อย่างรวดเร็ว โดยโครงการแรกใช้เวลาเพียง 1 เดือน ส่วนโครงการที่ 2 ใช้เวลาเพียง 4 เดือนเท่านั้นก็สามารถปิดการขายได้แล้ว ส่วนอีก 1 โครงการ เป็นโครงการแนวราบ ได้แก่ โครงการวิลล่าเจ้าพระยา ใกล้ทางด่วนบางพูน เป็นโครงการที่ตั้งอยู่บนถนนติวานนท์ ปัจจุบันโครงการแล้วเสร็จและโอนให้ลูกค้าได้เกือบ 100% แล้ว สำหรับโครงการที่พัฒนาโดยสิรยศนั้น เราใช้ประสบการณ์ในการพัฒนาโครงการคือ การเลือกทำเลที่ดี และพัฒนาสินค้าได้ตรงกับความต้องการของลูกค้าเป็นสำคัญ ส่วนหนึ่งที่เรามั่นใจด้านการออกแบบเป็นอย่างมากเนื่องจาก ทางเราเองเป็นกลุ่มบริษัทที่รวมเอาบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์กับบริษัทอินทีเรียร์ คอนแทร็คแอนด์ดีไซน์เข้าด้วยกัน คือ บริษัท อาร์ทิซติค ฮาร์โมนี จำกัด ตั้งมานานกว่า 15 ปี ทำงานด้านอินทีเรียร์ และบริษัท สิรยศ จำกัด ทำงานด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ดังนั้น เมื่อเรามีบริษัทออกแบบของเราเอง ทั้งยังมีทีมงานการตลาดที่สามารถวิเคราะห์ความต้องการของลูกค้าได้ เราจึงมั่นใจในการออกแบบ และพัฒนาโครงการเป็นอย่างดี “อันที่จริงส่วนตัวผมเองทำงานในวงการอสังหาฯ มาโดยตลอด เป็นเวลานานกว่า 20 ปี ก่อนที่จะมาเปิดบริษัท สิรยศ จำกัด ผมได้ดำเนินการภายใต้บริษัท สเต็ปออฟโมเดิร์น จำกัด มีผลงานการพัฒนาโครงการร่มรื่นการ์เด้น - วังน้อย จ.อยุธยา ระหว่างปี 2537 - 2545 โครงการเป็นบ้านจัดสรรและที่ดินเปล่า ซึ่งเราสามารถพาบริษัทให้ผ่านวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 ได้โดยไม่เป็น NPL และจากนั้นเราได้พัฒนาอีก 1 โครงการ คือ โครงการร่มรื่นการ์เด้น – บางปะอิน จ.อยุธยา ระหว่างปี 2547 – 2548 โครงการมียอดขาย 100% ภายใน 2 ปี มูลค่า 600 ล้านบาท ซึ่งแนวราบทั้ง 2 โครงการนี้ เราพัฒนาในนามของ บริษัท สเต็ปออฟโมเดิร์น จำกัด แต่เมื่อราขยับเข้ามาในกรุงเทพ เราพัฒนาในนามของ บริษัท สิรยศ จำกัด โดยพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมอีก 2 โครงการ และแนวราบ 1 โครงการ คือ บูทีครัชดา, บูทีครัชดา 2  และโครงการวิลล่าเจ้าพระยา ใกล้ทางด่วนบางพูน เป็นโครงการที่ตั้งอยู่บนถนนติวานนท์ ปัจจุบันโครงการแล้วเสร็จและโอนให้ลูกค้าได้เกือบ 100% แล้ว” นายวิจาร กล่าว   สำหรับโครงการโดว์เช่ อุดมสุข เป็นโครงการคอนโดมิเนียมสูง 7 ชั้น 1 อาคาร 79 ยูนิต มูลค่าโครงการกว่า 200 ล้านบาท ตั้งอยู่บนพื้นที่โครงการประมาณ 0-3-11 ไร่ มีแบบห้องให้เลือก 2 ขนาด คือ ขนาด 1 ห้องนอน 31 ตร.ม. และขนาด 2 ห้องนอน 67 ตร.ม. มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ ลิฟท์โดยสาร 2 ตัว, ห้องฟิตเนส, สระว่ายน้ำระบบเกลือ, ห้องนั่งเล่น และห้องสมุด (Library room)  ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพกลางสุขุมวิท สามารถเดินทางเข้าสู่ CBD หรือใจกลางเมืองเพียง 20 นาที หรือเดินทางไปทองหล่อเพียง 10 นาที ด้วย BTS เส้นหลัก ทั้งยังใกล้กับ Bangkok Mall ทั้งยังสามารถเดินทางไปยังเส้นทางสายตะวันออกได้ด้วย Monorail บางนา – สุวรรณภูมิ อีกด้วย โดยโครงการโดว์เช่ อุดมสุข พร้อมเปิดขายอย่างเป็นทางการในวันเสาร์ที่ 8 มีนาคม 2558 ราคาเริ่มต้นเพียง 2 ล้านบาท สำหรับผู้สนใจจองในวันงานจะได้รับโปรโมชั่นพิเศษ คือ. จองเท่าไหร่ ลดเท่านั้น มูลค่าสูงสุดถึง 100,000 บาท สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร 02-399-2220-1 หรือ www.dolcecondo.com อ่านพรีวิวโครงการ Dolce Udomsuk ได้ที่นี่..
โนเบิล เปิดเกมรุกตลาดแนวราบ ผุดบ้านเดี่ยวดีไซน์ต่าง “Noble Gable Watcharapol” ชูจุดขาย Privacy Space

โนเบิล เปิดเกมรุกตลาดแนวราบ ผุดบ้านเดี่ยวดีไซน์ต่าง “Noble Gable Watcharapol” ชูจุดขาย Privacy Space

บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเกมรุกตลาดแนวราบ ผุดบ้านเดี่ยวโครงการใหม่  “โนเบิล เกเบิล วัชรพล” (Noble Gable Watcharapol) ชูจุดขายภายใต้สโลแกน “แผ่ความสุข...ให้เต็มพื้นที่” บ้านที่ถูกออกแบบมาให้มีพื้นที่เพิ่มมากขึ้นตอบโจทย์ทุกฟังก์ชั่นบ้านที่ครบครัน ให้คุณเต็มที่กับสเปซทั้งภายในและภายนอกได้อย่างลงตัวบนทำเลศักยภาพใกล้จุดขึ้นลงทางด่วนรามอินทรา-วงแหวนรอบนอก ในราคาเริ่มต้น 6.9 ล้านบาท นายธีรพล  วรนิธิพงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “แม้ว่าปัจจุบันตลาดคอนโดมิเนียมถือเป็นที่พักอาศัยที่ได้รับความนิยมสูงสุด โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมที่ตั้งอยู่บนทำเลที่ใกล้ระบบคมนาคมที่ช่วยเพิ่มความสะดวกในการเดินทาง ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญในการใช้ชีวิตในเมืองท่ามกลางสภาพการจราจรในปัจจุบัน แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผู้อยู่อาศัยในคอนโดมิเนียมส่วนใหญ่ต้องเผชิญคือพื้นที่ที่จำกัดซึ่งหากต้องการพื้นที่กว้างราคาก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย  การอยู่อาศัยในแนวราบจึงยังคงตอบโจทย์กับกลุ่มคนที่เริ่มชีวิตคู่หรือวางแผนการใช้ชีวิตเพื่อรองรับครอบครัวขยายมากขึ้นทำให้ตลาดบ้านเดี่ยวยังคงเป็นที่ต้องการ และยังคงมีดีมานด์ที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นเพื่อตอบสนองกับความต้องการของผู้อยู่อาศัยในกลุ่มนี้ โนเบิลฯ จึงกลับมารุกตลาดแนวราบอีกครั้ง ภายใต้แบรนด์ใหม่ “Noble Gable Watcharapol”  โครงการบ้านเดี่ยวและบ้านแฝด สไตล์ Modern Contemporary โดดเด่นด้วยดีไซน์ที่แตกต่างเป็นเอกลักษณ์ของโนเบิล ด้วยแรงบันดาลใจที่ต้องการออกแบบบ้านเสมือนกล่องของขวัญที่อัดแน่นด้วยความสุข พร้อมการดีไซน์ให้ทุกพื้นที่ทั้งภายในและภายนอกถูกใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่าครบครัน ไม่ว่าจะเป็น ส่วนของห้องครัว ห้องนั่งเล่น ห้องอาหาร และส่วนของสนาม  พร้อมทั้งหน้าต่างของตัวบ้านยังสูงจรดฝ้าทำให้บ้านดูโปร่งโล่งสบายตา นอกจากนี้แปลนบ้าน และตัวบ้านยังถูกออกแบบโดยยึดหลักการจัดวางแบบ Privacy Space เน้นช่องเปิดเฉพาะด้านข้างและด้านหลังพร้อมกับแนวรั้วสูงถึง 2 เมตร เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยได้ใช้พื้นที่ทั้งภายในและภายนอกได้อย่างเป็นส่วนตัว และเต็มที่กับกิจกรรมแห่งความสุขในครอบครัวได้อย่างลงตัว พร้อมคลับเฮาส์แบบ Open Space ที่ร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่บนพื้นที่กว้างขวางทำให้ผู้อยู่อาศัยมีกิจกรรมต่างๆได้มากมาย ภายในโครงการยังมีที่จอดจักรยาน สนามเด็กเล่น ฟิตเนส และสระว่ายน้ำระบบเกลือขนาดใหญ่ที่ปูด้วยหินภูเขาไฟช่วยสะท้อนเงาภาพโดยรอบให้ความรู้สึกเสมือนได้อยู่ใกล้ชิดธรรมชาติอย่างแท้จริง และยังมี Looped Handicapped หรือทางลาดสำหรับ Wheelchair (รถเข็น) เพื่อให้คนชราหรือผู้พิการสามารถใช้งานได้อย่างทั่วถึงทุกพื้นที่ของคลับเฮาส์  โครงการนี้อยู่ตั้งบนทำเลศักยภาพถนน  เพิ่มสิน-วัชรพลที่สามารถเชื่อมต่อด้านคมนาคมไปยังถนนสายหลักอื่นๆได้อีกมากมาย ทั้งเส้นสายไหม  พหลโยธิน    เลียบทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ที่เข้าสู่ใจกลางเมืองได้อย่างรวดเร็ว  นอกจากนี้ยังแวดล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันที่รองรับไลฟ์สไตล์อันหลากหลาย อาทิ ศูนย์การค้าแฟชั่นไอส์แลนด์ เดอะพรอมานาด เซ็นทรัลพลาซ่ารามอินทรา เพลินนารี่มอลล์ โรงพยาบาลสายไหม และโรงเรียนสารสาสน์วิเทศสายไหม เป็นต้น   โครงการ  “Noble Gable Watcharapol” ตั้งอยู่บนพื้นที่ 49 ไร่ จำนวน 266 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 2,200 ล้านบาท ประกอบด้วยแบบบ้านสไตล์ Modern Contemporary ทั้งหมด 3 แบบ คือ 1.) บ้านเดี่ยว (PYRA) ขนาดพื้นที่ใช้สอย 190 ตารางเมตร 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 1 ห้องนั่งเล่น 1 ห้องครัว พร้อมที่จอดรถ 2 คัน  2.) บ้านเดี่ยว (AETO) ขนาดพื้นที่ใช้สอย 169 ตารางเมตร 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 1 ห้องนั่งเล่น 1 ห้องครัว พร้อมที่จอดรถ 2 คัน   3.) บ้านแฝด (SEMI) ขนาดพื้นที่ใช้สอย 157 ตารางเมตร 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 1 ห้องนั่งเล่น  1 ห้องครัว พร้อมที่จอดรถ 2 คัน  อีกทั้งยังเพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ไม่ว่าจะเป็นคลับเฮ้าส์วิวพาโนรามากว้างสุดสายตา สวนธรรมชาติพื้นที่สีเขียว สระว่ายน้ำระบบเกลือและฟิตเนส ให้ความปลอดภัยสูงสุดแก่ผู้อยู่อาศัย ด้วยระบบโทรทัศน์วงจรปิด หรือCCTVและพนักงานรักษาความปลอดภัยตลอด24 ชั่วโมง ไม่ว่าจะเลือกแบบบ้านขนาดไหน ลงตัวสำหรับทุกชีวิตครบทุกความต้องการ ทั้งห้องครัว ห้องอาหาร ห้องนั่งเล่น ทุกห้องเปิดรับวิวสนามหญ้าส่วนตัว ไม่ว่าจะออกกำลังกาย ปลูกสวนผักออแกนิคหรือจะปิคนิคชิลๆก็ทำได้เต็มที่ ในราคาเริ่มต้น 6.9 ล้านบาท” มาใช้ชีวิตเต็มที่กับพื้นที่เพิ่มได้แล้ววันนี้ที่โครงการ “Noble Gable Watcharapol” เปิดจองและรับข้อเสนอพิเศษสูงสุดถึง 900,000 บาท ในงาน Spread Happiness วันที่ 28 ก.พ. - 1 มี.ค. นี้ ณ โครงการ Noble Gable Watcharapol ระหว่างซอยเพิ่มสิน 21 และ 23 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่โทร. 02-251-9955หรือ www.noblehome.com
5 โลเคชั่นในอนาคต สำหรับนักลงทุนซื้อคอนโด

5 โลเคชั่นในอนาคต สำหรับนักลงทุนซื้อคอนโด

อย่างที่ทราบกันอยู่แล้วในเริ่องของกฎ 3 ข้อในการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ คือ Location Location Location นักลงทุนต่างให้ความสนใจในการลงทุนในทำเลที่มีศักยภาพ ซึ่งจะช่วยให้ประสบผลสำเร็จในการลงทุน เป็นต้นว่า ลงทุนซื้อมาหากขายก็ได้กำไร หรือลงทุนเพื่อปล่อยเช่าก็สามารถปล่อยเช่าได้ง่าย หากเราเลือกทำเลที่มีศักยภาพซึ่งก็คงหนี้ไม่พ้นทำเลแนวรถไฟฟ้า หรือทำเลของการสร้างเมืองใหม่ ดัง 5 ทำเลนี้ค่ะ 1. ทำเลบางใหญ่ ซึ่งรถไฟฟ้าสายสีม่วง เตาปูน-บางใหญ่ ส่งผลให้ที่ดินตามแนวรถไฟฟ้า ช่วง ติวานนท์ รัตนาธิเบศร์ บางใหญ่ ราคาปรับตัวสูงมากและมีคอนโดมิเนียมเกิดใหม่จำนวนมาก ทำเลนี้เป็นที่น่าจับตามองเพราะจะเป็น   ทำเลอนาคตที่มีศักยภาพในการเดินทางจากต่างจังหวัดเข้าสู่ใจกลางเมือง นอกจากรถไฟฟ้าสายสีม่วงแล้ว ยังเพิ่มระบบขนส่งทางถนนเชื่อมกับประเทศพม่า และยังมีการลงทุนของธุรกิจขนาดใหญ่อย่าง “เซ็นทรัล เวสต์เกต” ที่กลุ่มเซ็นทรัลจะพัฒนาให้เป็นศูนย์การค้าขนาดใหญ่ เทียบเท่าเซ็นทรัลเวิลด์ ย่านราชประสงค์ และจะมีการเปิดตัวเมกะโปรเจคที่บริษัท สยามฟิวเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ร่วมกับประเทศสวีเดน เปิด “อีเกีย” สโตร์เฟอร์นิเจอร์ขนาดใหญ่ และจะมีโครงการก่อสร้างมอเตอร์เวย์สายบางใหญ่-บ้านโป่ง-กาญจนบุรี จึงคาดกันว่า...บางใหญ่จะกลายเป็นฮับของพื้นที่กรุงเทพฯในโซนตะวันออกอีกด้วย 2. ทำเลรัชดา-ลาดพร้าว นอกจากเป็นทำเลที่มีศักยภาพแล้ว ยังเป็นศูนย์กลางธุรกิจของไทยแห่งใหม่ในอนาคตอีกด้วยค่ะ นอกจากเดิมที่มีสถานบันเทิงที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวยามราตรีอยู่แล้ว อีกไม่นานจะกลายเป็น CBD แห่งใหม่ เป็นที่รวมศูนย์กลางธุรกิจ อาคารสำนักงานเช่า ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งจะดึงธุรกิจอีกมากมารวมไว้ที่นี่ สำหรับคอนโดในย่านนี้เกิดขึ้นมาอย่างมากเพื่อรองรับ ทั้งนักท่องเที่ยวและนักลงทุนชาวต่างชาติจำนวนมากไม่ว่าจะเป็น ชาวจีน เกาหลี ฮ่องกง และอีกหลายเชื้อชาติที่จะมารวมอยู่ในศูนย์กลางธุรกิจแห่งใหม่ อีกทั้งในย่านนี้ยังเป็นแหล่งทำงาน ช็อปปิ้ง สถานบันเทิง จึงยังเป็นทำเลที่มีความต้องการที่อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากเปรียบเทียบกับย่านสุขุมวิทตอนต้นและตอนกลาง ซึ่งปัจจุบันราคาสูงขึ้นไปไม่ต่ำกว่า 1 แสนบาทต่อตารางเมตรแล้ว เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้คนเริ่มขยับขยายย้ายถิ่นการทำงานมาในย่านนี้ ประกอบกับในอนาคตโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองช่วงรัชดา/ลาดพร้าว–พัฒนาการ และช่วงพัฒนาการ-สำโรง สำเร็จจะเป็นรถไฟฟ้าสายหนึ่งที่จะเป็นที่นิยมของผู้ประกอบการด้านอสังหาริมทรัพย์และนักลงทุนอย่างมาก 3. ทำเลย่านบางนา โครงการเส้นทางรถไฟฟ้าใหม่ แบริ่ง-สมุทรปราการซึ่งช่วงนั้นมีคอนโด โครงการใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย ช่วงทางยกระดับไปตามแนวเกาะกลางของถนนสุขุมวิท ผ่านคลองสำโรง แยกเทพารักษ์ แยกปู่เจ้าสมิงพราย และมีแนวโน้มว่าจะเกิดคอนโดมิเนียมย่านบางปูมากขึ้น เนื่องจากเรื่องผังเมืองที่หมดอายุทำให้เกิดช่องว่างในการยื่นขออนุญาตก่อสร้างอาคารสูงได้ถึง 10 เท่าของที่ดิน อาจเป็นมีผลให้คอนโดมิเนียมในจังหวัดสมุทรปราการเติบโตขึ้นแต่ราคาอาจจะยังไม่สูงมากอยู่ในระดับ 1.5-2 ล้านต้นๆ แต่หากจะลงทุนบริเวณนี้จริงๆ ต้องคำนวนค่าเช่าเปรียบเทียบกับเงินที่ลงทุนไปอาจได้ผลตอบแทนไม่สูงมากนัก แต่สำหรับคอนโดมือสองยังพอทำกำไรได้บ้าง ส่วนบริเวณพัฒนาการ-ศรีนครินทร์ ใกล้รถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์ ที่ร่างผังเมืองใหม่มีแนวโน้มจะเปลี่ยนจากสีเหลืองเป็นสีแดง จะผลักดันให้เกิดบ้านแนวสูงในย่านนี้มากขึ้น ถือเป็นอีกหนึ่งทำเลที่น่าจับตามองมากขึ้น 4. ทำเลรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย ตากสิน – บางหว้า นับว่าคึกคักไม่แพ้สายสีม่วง เตาปูน – บางใหญ่เลยที่เดียว ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ได้ทำการสำรวจพบว่าคอนโดมิเนียมจากแนวรถไฟฟ้านั้นมีโครงการคอนโดมิเนียมหลายโครงการเกิดขึ้นและขายหมดในเวลาอันรวดเร็ว เพียงระยะเวลาไม่ถึง 2 ปี มีโครงการคอนโดต่างๆ ผุดขึ้นเป็นสิบโครงการ เนื่องจากส่วนต่อขยายเส้นนี้อยู่ห่างจากใจกลางธุรกิจ สาธร สีลมไม่ไกลนัก ทำให้เกิดความสะดวกสบายในการเดินทางเข้ามาทำงานในเมือง ตั้งแต่สถานีกรุงธนบุรี จนถึงสถานีบางหว้า เป็นบริเวณซึ่งมีศักยภาพสูงในเหมาะที่จะพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะคอนโดมิเนียม ถึงแม้ว่าสถานีวุฒากาศ และสถานีบางหว้า จะมีลักษณะเป็นชานเมืองไกลออกไปสักนิด เมื่อเทียบกับสถานีกรุงธนบุรี หรือสถานีวงเวียนใหญ่ แต่ก็ใช้เวลาเดินทางจากสถานีบางหว้าถึงสถานีสยามเพียง 20-25 นาทีเท่านั้น และในอนาคตสถานีบางหว้าจะเป็นจุดเชื่อมต่อที่สำคัญระหว่างรถไฟฟ้าสายสีเขียวและสายสีน้ำเงิน (สถานีหัวลำโพง-สถานีบางแค) จึงมีผู้ประกอบการเข้ามาพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมจำนวนมาก และได้รับความสนใจจากผู้ซื้อมากตามไปด้วย และคาดว่าในอนาคตหากมีการเปิดให้บริการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (สถานีหัวลำโพง-สถานีบางแค) อย่างเป็นทางการประมาณปี 2560 จะทำให้พื้นที่ย่านนี้มีศักยภาพเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต 5. ทำเลย่านรังสิต ปทุมธานี เป็นทำเลที่น่าจับตามองของนักลงทุน เพราะเป็นประตูทางออกสู่ภาคเหนือ ภาคอีสานของประเทศไทย ทั้งยังใกล้ที่ตั้งมหาวิทยาลัย ห้างสรรพสินค้าและนิคมอุตสาหกรรมอีกด้วย ดังนั้นย่านรังสิต จึงเป็นแหล่งที่อยู่ของพนักงาน แรงงาน นักศึกษาและประชากรจำนวนมาก ซึ่งในอนาคตจะมีการปรับปรุงศูนย์การค้าฟิวเจอร์ปาร์ครังสิตให้มีขนาดใหญ่กว่าเดิม และยังมีการพัฒนาที่ดินของกลุ่ม CPN กว่า 600 ไร่  อีกทั้งโครงการ MEGA Rangsit ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่างประเทศไทยกับสวีเดน ที่จะร่วมกันพัฒนาที่ดินกว่า 250 ไร่ ให้กลายเป็นเมืองใหม่งานนี้ต้องติดตามกันให้ดีๆค่ะ ดังนั้นจะเห็นได้ว่าทำเลย่านรังสิตเป็นอีกทำเลที่น่าสนใจและจะเพิ่มมูลค่าในอนาคตได้มากทีเดียว ซึ่งเอื้อกับ โครงการรถไฟฟ้าสายสีแดงเข้ม ที่มีการก่อสร้างตามแนวเส้นทางรถไฟสายเหนือ ที่มีแนวจากกลางเมืองกรุงเทพฯ สถานีบางซื่อ มุ่งหน้าออกไปสู่ย่านรังสิต ที่มีโครงการต่อขยายไปยังมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(ศูนย์รังสิต) ในอนาคตค่ะ "การลงทุนในทำเลรถไฟฟ้านั้นเราสามารถลงทุนได้ทุกทำเลค่ะ แต่ควรเป็นทำเลที่เราสนิทคุ้นเคย เช่น ใกล้บ้าน ใกล้ที่ทำงาน เพราะจะเห็นความเคลื่อนไหวของประชากรแถบนั้นอยู่ทุกๆ วัน" จากข้อมูลที่รวบรวมมาเพื่อใช้ในการวิเคราะห์การลงทุนคอนโดในแนวรถไฟฟ้า แต่โดยส่วนตัวถ้าจะให้ฟันธงว่าเลือกแนวรถไฟฟ้าแนวไหนดีกว่ากัน  จริงๆ แล้วยุ้ยว่าการลงทุนในทำเลรถไฟฟ้านั้นเราสามารถลงทุนได้ทุกทำเลค่ะ แต่ควรเป็นทำเลที่เราสนิทคุ้นเคย เช่น ใกล้บ้าน ใกล้ที่ทำงาน เพราะจะเห็นความเคลื่อนไหวของประชากรแถบนั้นอยู่ทุกๆ วัน จะทำให้เรารู้ถึงกลุ่มเป้าหมายว่า ใครจะเป็นผู้เช่า จะปล่อยเช่าได้มั้ยจะขายต่อได้มั้ย สุดท้ายแล้วคำตอบในการเลือกทำเลในการลงทุน เราจะเป็นผู้ตัดสินเองและจะเป็นการตัดสินเต็มไปด้วยความมั่นใจเพราะเราคุ้นเคยกับถิ่นฐานนั้นเป็นอย่างดี หวังว่าข้อมูลทำเลน่าลงทุนแนวรถไฟฟ้าที่นำมาเล่าสู่กันฟังคงจะได้เป็นส่วนหนึ่งในการนำไปประกอบการตัดสินในการลงทุนได้นะคะ   ที่มา : www.krungsri.com
“เฟรเกรนท์” จับมือ “เอวาซอน” ทุ่มหมื่นล้านผุดโครงการ Mixed Use บนหาดนาจอมเทียน

“เฟรเกรนท์” จับมือ “เอวาซอน” ทุ่มหมื่นล้านผุดโครงการ Mixed Use บนหาดนาจอมเทียน

เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2558 ที่ผ่านมา ณ ห้อง Pacific City Club อาคาร Two Pacific บริษัท เฟรเกรนท์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด จัดงานแถลงข่าวเตรียมขยายธุรกิจสู่หัวเมืองเศรษฐกิจ พุ่งเป้านาจอมเทียนเป็นที่แรก พร้อมประกาศจับมือ เอวาซอน กลุ่มโรงแรมที่มีจุดเด่นด้านการดูแลสุขภาพผสมผสานความเป็นธรรมชาติ สู่การพัฒนาโครงการแบบ Mixed Use บนพื้นที่กว่า 30 ไร่ มูลค่าโครงการสูงกว่า 10,000 ล้านบาท นายเจมส์ ดูอัน  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฟรเกรนท์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เผยผลการดำเนินงานในปี 2557 และแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2558 ว่า “สำหรับปีที่ผ่านมาบริษัทมียอดขายที่ยังไม่รับรู้รายได้ (Backlog) คิดเป็นมูลค่าประมาณ 6,500 ล้านบาท และมีมูลค่าโครงการที่ออกสู่ตลาดแล้วรอรับรู้รายได้ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ประมาณ 10,000 ล้านบาท สำหรับในปี 2558 นี้ ผมมองว่าเป็นปีแห่งการรับรู้รายได้ สำหรับโครงการหลายๆ โครงการ ในหลายบริษัทที่เปิดขายในช่วงปี 2555-2556 จะสร้างเสร็จและส่งมอบถึงมือลูกค้า สำหรับเราเองปีนี้เราตั้งใจส่งมอบ 3 โครงการ ได้แก่ Circle S Sukhumvit 12, Circle living prototype และCircle Sukhumvit11.นอกจากนี้ ทางบริษัทยังมีแผนในการพัฒนาโครงการเพิ่มอีก 1 โครงการ โดยเราได้ร่วมมือกับกลุ่มเอวาซอน พัฒนาโครงการที่ชื่อว่า Sixth Element Na Jomtien ซึ่งโครงการนี้จะมีทั้งส่วนโรงแรม และส่วนคอนโดมิเนียม และพื้นที่ด้านการพาณิชย์ในบริเวณเดียวกัน ตั้งอยู่ที่นาจอมเทียน อำเภอสัตหีบ มีพื้นที่โครงการกว่า 30 ไร่ มูลค่าโครงการประมาณ 10,000 ล้านบาท ซึ่งเรายังคงแนวคิดในการพัฒนาโครงการแบบที่เฟรเกรนท์ทำมาโดยตลอดนั่นคือ การคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ โดยเราได้นำระบบกำจัดน้ำเสียจากห้องพัก และอาคารมาใช้ในการดูแลพื้นที่ส่วนกลางเพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลโครงการ, ระบบน้ำอุ่นที่มาจากพลังงานความร้อนจากเครื่องปรับอากาศในแต่ละยูนิต เป็นต้น”  ด้านนาย เบอร์นาร์ด โบเนนแบรเกอร์, ประธาน, ซิกส์เซ้นส์ โฮเทลส์ รีสอร์ทส์ สปาส์ กล่าวว่า "เอวาซอนเป็นหนึ่ง ในเครือของ ซิกส์เซ้นส์ โฮเทลส์ รีสอร์ทส์ สปาส์  ดำเนินธุรกิจตามหลักปรัชญาของ ซิกส์เซ้นส์ นั่นคือ มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม และชุมชนโดยรอบอย่างยั่งยืน  โรงแรมเราพร้อมที่จะต้อนรับการพักอาศัย ซึ่งการบริการลักษณะนี้ถือเป็นคุณสมบัติหนึ่งอันเป็นคุณค่าที่แข็งแกร่งของเรา เนื่องจากเรามีทั้งการบริการที่หลากหลาย ทั้งยังให้ความใส่ใจในลูกค้าเป็นรายบุคคลด้วย การขยายธุรกิจจากประเทศไทย และเวียดนามไปยังจอร์แดน ทางเอวาซอนได้มุ่งมั่นที่จะให้บริการลูกค้าที่เข้าถึงจิตวิญญาณของการใช้ชีวิตในพื้นที่ชุมชนนั้น ทั้งยังใส่ใจในทุกรายละเอียดของการให้บริการ สามารถกล่าวได้ว่าเมื่อท่านเข้าพักกับเราท่านจะได้รับประสบการณ์ที่เข้าถึงการใช้ชีวิตในแบบพิเศษ ในนามของ เอวาซอน เรามีความยินดีที่ได้ร่วมงานและมีความสัมพันธ์ที่ดี กับเฟรเกรนท์ กรุ๊ป" Sixth Element Na Jomtien โครงการ Mixed Use ที่รวมเอาคอนโด High Rise 5 อาคาร และโรงแรมในเครือ Six Senses ไว้ด้วยกันบนพื้นที่กว่า 30 ไร่ บริเวณหาดนาจอมเทียน อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี โดยจะเปิดตัวโครงการอย่างเป็นทางการในวันที่ 28 มีนาคม 2558
SENA ทุ่มงบลงทุนเดินหน้าสร้าง Brand ผุด 11 โครงการใหม่

SENA ทุ่มงบลงทุนเดินหน้าสร้าง Brand ผุด 11 โครงการใหม่

SENA ทุ่มงบลงทุนเดินหน้าสร้าง Brand ผุด 11 โครงการใหม่ เผยเตรียมเจาะ New Segment ภายใต้กลยุทธ์ ”ไฟนีออน” ส่องสว่างชัดเจน พร้อมเปิด-ปิด ได้ทันสถานการณ์ บมจ.เสนาดีเวลลอปเม้นท์ (SENA) เปิดแผนธุรกิจปี ”58 เตรียมพร้อมลงทุนครั้งใหญ่ เปิดตัว 11 โครงการอสังหาฯ ทั้งแนวราบและคอนโดฯ “เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์” ชูกลยุทธ์ “ไฟนีออน” เล็งเจาะฐานลูกค้าระดับกลางบน - ขยายธุรกิจ โซลาร์รูฟ หวังผลักดันรายได้เติบโตอย่างยั่งยืน เตรียมออกหุ้นกู้เพื่อลดอัตราดอกเบี้ยจ่ายของบริษัทฯและบริหารจัดการหนี้สินให้อยู่ในสัดส่วนที่เหมาะสม แย้มไตรมาส 3/58 เตรียมปรับแบรนด์เพื่อเป็นหนึ่งในดวงใจของผู้บริโภค ตั้งเป้าหมายรายได้ประมาณ 3 พันล้านบาท เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาที่คาดว่าจะมีรายได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการบริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (SENA) เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปี 2558 คาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่องจากปีนี้ เนื่องจากได้รับปัจจัยหนุนจากภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว หลังจากสถานการณ์การเมืองในประเทศเริ่มคลี่คลาย และรัฐบาลเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องผ่านการลงทุนในเมกะโปรเจค  อีกทั้ง แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่คาดว่าจะปรับตัวลดลงในปีนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยบวกที่ช่วยให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีหน้าเติบโตอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ในแง่ของปัจจัยลบที่น่าเป็นห่วงในปีนี้ จะเป็นเรื่องของหนี้สินครัวเรือนที่สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะกลุ่มคนรายได้น้อย ถึงรายได้ปานกลาง เป็นผลให้เกิดการชะลอการตัดสินใจซื้อหรือลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ นอกจากนี้  ราคาที่ดินที่ปรับตัวสูง และความไม่แน่นอนด้านนโยบายที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ถือเป็นอีกตัวแปรหนึ่งที่ส่งผลกระทบในเชิงลบกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ผศ.ดร.เกษรา เผยเกี่ยวกับกลยุทธ์ของบริษัทฯ ในปีนี้ว่า “กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของบริษัท เรียกว่า "กลยุทธ์ไฟนีออน"  ด้วยคุณสมบัติเด่นของไฟนีออน ที่จะส่องสว่างชัดเจน ก็แสดงให้เห็นว่าทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ จะเน้นไปที่ความชัดเจนทั้งในเรื่องของ Branding และ Segmentation รวมไปถึงบริการหลังการขาย 360 องศา ซึ่งในช่วงไตรมาส 3 เราเตรียมปรับแบรนด์ SENA ให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น เพื่อเป็นหนึ่งในดวงใจของผู้บริโภคที่คิดจะซื้อบ้าน หรือลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ อีกหนึ่งคุณสมบัติของไฟนีออน คือเรื่องของความพร้อมเปิด-ปิด ได้อย่างรวดเร็ว คือเราเตรียมตัวพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างทันท่วงที” สำหรับแผนการลงทุนในปี 2558 ผศ.ดร.เกษรา กล่าวว่า ได้มีการเปิดตัวโครงการมากที่สุดนับจากการก่อตั้งบริษัท โดยเตรียมเปิดโครงการใหม่ 11 โครงการ และมีการขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ในระดับที่มีรายได้ประมาณ 100,000 บาท (กลุ่มลูกค้า B+) พร้อมลุยพัฒนาโครงการในเขตกรุงเทพฯฝั่งตะวันตกมากขึ้น รวมทั้งขยายการลงทุนไปสู่ธุรกิจ Recuring Income  และทำโซลาร์รูฟท็อปในโครงการ เพื่อเพิ่มฐานที่มาของรายได้ ซึ่งจะทำให้ธุรกิจของบริษัทเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต “เนื่องจากในปีนี้เปิด 11 โครงการ แบ่งเป็น โครงการแนวราบ 6 โครงการ และคอนโดมิเนียม 5 โครงการ มูลค่าสูงกว่า 1 หมื่นล้านบาท  ซึ่งเราได้มีการเตรียมแผนรองรับไว้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการออกหุ้นกู้ ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกของเสนาฯที่มีการระดมทุนผ่านการออกหุ้นกู้ และเตรียมเพิ่มทุนในหลายรูปแบบ ผ่านตลาดทุน เพื่อคุมสัดส่วนหนี้สินต่อทุนไม่ให้ปรับตัวสูงมากนัก” ดร.เกษรา กล่าว สำหรับเป้าหมายรายได้ในปี 2558 ไว้ที่ 3,000 ล้านบาท เป้ายอดขาย 4,500 ล้านบาท เนื่องจากคาดว่ากำลังซื้อเริ่มดีขึ้น หลังจากเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น กรรมการบริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์  กล่าวอีกว่า ในปีนี้บริษัทจะมีการรับรู้กำไรพิเศษจากการจำหน่ายไฟฟ้าของโครงการโซลาร์รูฟท็อป 750 กิโลวัตต์  ในช่วงไตรมาส 2 โดยจะมีกำไรพิเศษเข้ามาประมาณ 6 ล้านบาทต่อปี   นอกจากนี้ บริษัทมีแผนการซื้อที่ดินโดยเตรียมงบซื้อที่ดินไว้ที่ 1 พันล้านบาท สำหรับการซื้อที่ดินใหม่ และยังมีการวางแผนที่จะออกหุ้นกู้ระยะยาว 2-3 ปี มูลค่า 1,200 ล้านบาท ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2558
‘เพซ’ ลงนามสัญญาเงินกู้ กับ ‘SCB’ สนับสนุนการซื้อกิจการ ‘ดีน แอนด์ เดลูก้า’ ขยายศักยภาพทางธุรกิจสู่แบรนด์ไลฟ์สไตล์ระดับโลก

‘เพซ’ ลงนามสัญญาเงินกู้ กับ ‘SCB’ สนับสนุนการซื้อกิจการ ‘ดีน แอนด์ เดลูก้า’ ขยายศักยภาพทางธุรกิจสู่แบรนด์ไลฟ์สไตล์ระดับโลก

กรุงเทพฯ (12 ม.ค. 58) เมื่อเร็วๆ นี้ บริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้ลงนามสัญญาเงินกู้ด้วยวงเงิน 125 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 4 พันล้านบาท) กับ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (SCB) เพื่อสนับสนุนการซื้อกิจการทั้งหมดของ ‘ดีน แอนด์ เดลูก้า’ แบรนด์ร้านอาหารและเครื่องดื่มกูร์เมต์ชั้นนำของโลก เพื่อขยายศักยภาพทางธุรกิจเพิ่มเติมจากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับไฮเอนด์สู่ธุรกิจแบรนด์ไลฟ์สไตล์ระดับพรีเมี่ยม ตอบรับเทรนด์ตลาดโลก โดยลงนามสัญญา ณ ดีน แอนด์ เดลูก้า สาขามหานคร คิวบ์ บมจ. เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอร์เรชั่น นำโดย คุณสรพจน์ เตชะไกรศรี (กลาง) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร,  คุณพรสัณห์ พัฒนสิน (ที่ 3 จากซ้าย) กรรมการบริหาร, คุณนฑา กิตติอักษร (ที่ 2 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน และ มร. บายานี ลอรายา (ซ้ายสุด) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ ร่วมลงนามสัญญาเงินกู้วงเงินประมาณ 4 พันล้านบาท สนับสนุนการซื้อกิจการ ดีน แอนด์ เดลูก้า กับ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) นำโดย คุณอาทิตย์ นันทวิทยา (ที่ 3 จากขวา) รองผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่, คุณศิโรตม์ วิชยาภัย (ที่ 2 จากขวา) ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ สายธุรกิจตลาดทุน, และ ม.ล. จีรเดช จักรพันธ์ (ขวาสุด) ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ สายธุรกิจขนาดใหญ่ 3 กลุ่มธุรกิจตลาดทุน ณ ดีน แอนด์ เดลูก้า สาขามหานคร คิวบ์