Tag : News

2376 ผลลัพธ์
SENA เปิดตัวโครงการคอนโดฯสุดหรู “เดอะนิช ไพรด์ ทองหล่อ-เพชรบุรี” โอบล้อมด้วยธรรมชาติ สิ่งอำนายความสะดวกครบ เริ่มต้น 2.59 ลบ. พรีเซลวันที่ 8 – 9 ส.ค.นี้

SENA เปิดตัวโครงการคอนโดฯสุดหรู “เดอะนิช ไพรด์ ทองหล่อ-เพชรบุรี” โอบล้อมด้วยธรรมชาติ สิ่งอำนายความสะดวกครบ เริ่มต้น 2.59 ลบ. พรีเซลวันที่ 8 – 9 ส.ค.นี้

บมจ. เสนาดีเวลลอปเม้นท์ (SENA) เปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมสุดหรู! ตั้งตระหง่านบนถนนเพชรบุรี ใกล้ถนน “ทองหล่อ-เพชรบุรี-พระราม 9” มูลค่าโครงการกว่า 2.2 พันล้านบาท โดดเด่นด้วยการออกแบบงดงามผสมผสานความเป็นธรรมชาติได้อย่างลงตัว เพิ่มมนต์เสน่ห์ให้อารมณ์แห่งการพักผ่อนด้วยสวนสวยขนาดใหญ่ สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน มั่นใจตอบโจทย์ชีวิตคนเมือง พร้อมติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป เพื่อนำพลังงานแสงอาทิตย์มาผลิตกระแสไฟฟ้าใช้ในพื้นที่ส่วนกลาง ขนาด 1 ห้องนอน 30 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 2.59 ล้านบาท Pre-sales อย่างเป็นทางการในวันเสาร์ที่ 8 และวันอาทิตย์ที่ 9 ส.ค.นี้ พิเศษสุด!!! สำหรับลูกค้าที่ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์รับส่วนลด 100,000 บาท ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์  กรรมการบริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (SENA)   เปิดเผยว่า เป็นครั้งแรกของเสนาฯ สำหรับการเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมสุดหรู ใจกลางเมือง  “เดอะนิช ไพรด์ ทองหล่อ-เพชรบุรี” พื้นที่โครงการ 3 ไร่เศษ สงบและเป็นส่วนตัวมีเพียง 1 อาคาร 33 ชั้น จำนวน 667 ยูนิตเท่านั้น ขนาดห้องเริ่มต้นที่ 1 ห้องนอน 30 ตร.ม. ราคาเริ่มเพียง 2.59 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 2,230 ล้านบาท โดยจะเปิด Pre-sales ในวันเสาร์ที่ 8 และวันอาทิตย์ที่ 9 ส.ค.นี้ ที่สำนักงานขายโครงการติดถนนเพชรบุรี พิเศษสุดสำหรับลูกค้าที่ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์รับส่วนลด 100,000 บาท ผู้ที่สนใจติดต่อสอบถามข้อมูลได้ที่ 1775 กด 30 หรือ www.sena.co.th นอกจากนี้ อาคารยังมีความโดดเด่นด้วยการออกแบบที่นำความงดงามจากธรรมชาติมาผสมผสานอย่างลงตัว ภายนอกอาคารออกแบบด้วยลวดลายเปลือกไม้ Cedar Crust เพิ่มมนต์เสน่ห์ให้อารมณ์แห่งการพักผ่อน พร้อมสวนสวยขนาดใหญ่ ตั้งแต่ทางเข้าจนถึงทุกสัมผัสของการใช้ชีวิตภายในโครงการ อีกทั้งยังดีไซน์ทุกตารางนิ้วเพื่อรองรับการอยู่อาศัยอย่างแท้จริง ด้วยการคำนึงถึงความคล่องตัวในทุกฟังก์ชั่นของการใช้งาน เต็มตากับวิวเมืองด้วย Unblock View ซึ่งทุกห้องสามารถเปิดรับวิวธรรมชาติและวิวเมืองได้หลากหลายอารมณ์ ขณะเดียวกันยังเพิ่มบรรยากาศที่จะทำให้คุณผ่อนคลายด้วยการโอบล้อมของธรรมชาติรอบตัว เพลิดเพลินกับสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการ ทั้งสระว่ายน้ำยาว 35 เมตร พร้อม Jacuzzi และสระเด็ก ห้องฟิตเนส ซาวน่า Exclusive Lounge และสวนสวยสไตล์ Tropical ขนาดใหญ่ เพื่อการพักผ่อนอย่างลงตัว “มั่นใจว่าโครงการ “เดอะนิช ไพรด์ ทองหล่อ-เพชรบุรี” จะได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค เนื่องจากมีจุดเด่นในเรื่องของทำเลที่ตั้ง ตัวอาคารตั้งบนถนนเพชรบุรี เชื่อมทุกความสะดวกสบายในการเดินทาง ใกล้ถนนทองหล่อ ถนนอโศก และถนนพระราม 9 ที่เชื่อมต่อสนามบินสุวรรณภูมิ สิ่งอำนายความสะดวกแบบครบครัน ทั้งร้านสะดวกซื้อ เซเว่น อีเลฟเว่น ภายในโครงการ และรายล้อมด้วยห้างสรรพสินค้า โรงเรียน และโรงพยาบาลชั้นนำ ตอบโจทย์ชีวิตคนเมืองได้อย่างลงตัว” ผศ.ดร.เกษรา กล่าว
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ชี้สุขุมวิทชั้นในหนาแน่นผู้อาศัยหันซบ “อ่อนนุช” ตลาดปล่อยเช่าคึกคักแตะ 2 หมื่น บาท/เดือน ราคาขายต่อพุ่ง 30%

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ชี้สุขุมวิทชั้นในหนาแน่นผู้อาศัยหันซบ “อ่อนนุช” ตลาดปล่อยเช่าคึกคักแตะ 2 หมื่น บาท/เดือน ราคาขายต่อพุ่ง 30%

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เผยผลสำรวจอสังหาฯ ย่านอ่อนนุชน่าจับตา หลังพบที่อยู่อาศัยโซนสุขุมวิทชั้นในหนาแน่นและราคาสูง ส่ง อานิสงส์การขยายตัวย่านอ่อนนุชมีความต้องการสูง เพราะทำเลใกล้ศูนย์กลางธุรกิจและใกล้จุดขึ้น-ลงทางด่วน ทำให้กลุ่มลงทุนปล่อยเช่าคึกคัก ด้วยราคาค่าเช่าที่ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องมาอยู่ที่ราว 20,000 บาทต่อเดือน หรือเพิ่มขึ้น 13% ส่วนราคาห้องชุดรีเซลปรับเพิ่มขึ้น 30% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันระหว่างปี 2556 และ 2557     นายภูมิภักดิ์ จุลมณีโชติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด  ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า  พื้นที่ย่านอ่อนนุช (ซ.สุขมวิท 77) เป็นอีกหนึ่งทำเลที่มีความต้องการสูง เนื่องจากเป็นแหล่งชุมชนเก่าแก่ที่แยกตัวมาจากเส้นสุขุมวิท ประกอบด้วยที่พักอาศัย ร้านค้า และร้านอาหารต่างๆ มากมาย มีระบบขนส่งมวลชนอย่างรถไฟฟ้าบีทีเอส ที่มีสถานีอ่อนนุชเป็นที่หมายปลายทางสุดท้ายของรถไฟฟ้าสายสีเขียว (ปัจจุบันมีส่วนต่อขยายมาจากสถานีอ่อนนุชยาวจนถึงสถานีแบริ่ง) จึงทำให้พื้นที่ย่านอ่อนนุชกลายเป็นจุดเชื่อมต่อสำคัญให้กับกลุ่มคนทำงาน นักเรียน นักศึกษา ที่ต้องการเดินทางเข้าสู่ใจกลางเมืองได้อย่างสะดวกมากขึ้น ส่งผลให้พื้นที่นี้เกิดธุรกิจการค้าขนาดย่อมๆ ขึ้นอยู่โดยทั่วไป ความชุกชุมของผู้ที่อาศัยอยู่ในย่านนี้ จนถึงความต้องการที่อยู่อาศัยใกล้เมือง ใกล้รถไฟฟ้า เริ่มอยู่ในความสนใจของบุคคลมาเป็นระยะ ทำให้พื้นที่บริเวณนี้พลิกฟื้นให้กลายเป็นพื้นที่เศรษฐกิจอีกแห่งที่เข้ามารองรับความหนาแน่นของพื้นที่ศูนย์กลาง ธุรกิจอย่างพื้นที่สุขุมวิท ด้วยศักยภาพของทำเลซึ่งใกล้จุดขึ้น-ลงทางด่วน เช่น ทางพิเศษศรีรัช รามอินทรา-อาจณรงค์ ทางด่วนบูรพาวิถี อีกทั้งยังเชื่อมต่อเข้าถึงพื้นที่สุขุมวิทชั้นในได้ในระยะเวลาอันสั้นด้วยรถไฟฟ้าบีทีเอส ทำให้เกิดคอมมูนิตี้มอลล์ขึ้นหลายแห่งในพื้นที่เพื่อรองรับกลุ่มคนที่หนาแน่นในย่านนี้ และรองรับการขยายตัวของครอบครัวที่กำลังเกิดขึ้นในอนาคต     ช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ทำเลอ่อนนุช เกิดการขยายตัวของคอนโดมิเนียมค่อนข้างหนาแน่น และมีความต้องการรองรับได้ดีในระดับสูงไม่แพ้โซนสุขุมวิทชั้นใน แต่ยังมีราคาที่ต่ำกว่าสุขุมวิทชั้นใน ที่ปรับตัวขึ้นไปแล้วถึงตารางเมตรละ 300,000 บาท อีกทั้งสุขุมวิทชั้นในอุปทานเริ่มน้อยลงเพราะเริ่มเหลือพื้นที่พัฒนาอย่างจำกัด ในขณะที่โซนอ่อนนุชยังสามารถพัฒนาห้องชุดในระดับกลางที่ราคาไม่สูงจนเกินไปจึงเป็นปัจจัยที่ทำให้อ่อนนุชโดดเด่นขึ้นมา เนื่องจากเป็นจุดเชื่อมต่อเข้าใกล้พื้นที่ชั้นใน โดยเฉพาะศูนย์กลางธุรกิจได้สะดวกมากกว่าโซนส่วนต่อขยายอื่นๆ ทำให้เกิดกระแสการพัฒนาตลาดคอนโดมิเนียมมาสักระยะหนึ่งแล้ว ที่สำคัญยังเป็นที่หมายตาของอุปสงค์ผู้ที่ทำงานในย่านธุรกิจหลักให้เข้ามาจับจองห้องชุดได้อยู่เป็นระยะๆ อีกทั้งยังรองรับกลุ่มอุปสงค์ที่ซื้อเพื่อการลงทุน เช่น การปล่อยเช่าได้เป็นอย่างดี เพราะปัจจุบันราคาปล่อยเช่าคอนโดฯ ในย่านนี้ขยับตัวขึ้นไปถึง 13% ในปี 2557 (ภาพ 1) มาอยู่ที่ค่าเช่าเฉลี่ย 458.89 บาทต่อตารางเมตรหรือประมาณ 20,000 บาทต่อเดือน ในห้องชุดรูปแบบ 1 ห้องนอน  ซึ่งนับว่าเป็นอัตราค่าเช่าที่ถูกกว่าบริเวณใกล้เคียงกัน เช่น ทองหล่อ เอกมัย ส่วนราคารีเซล (นำกลับมาขายใหม่) ในพื้นที่นี้ราคาเพิ่มสูงขึ้น 30% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันระหว่างปี 2556 และ 2557 มาอยู่ที่ราคาขายเฉลี่ย 89,573 บาทต่อตารางเมตรในช่วงสิ้นปีที่ผ่านมา (ภาพ 2)   “กลุ่มผู้เช่าส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ เช่น จีน สิงคโปร์ ญี่ปุ่น ฯลฯ ที่ต้องการพักอาศัยอยู่โซนสุขุมวิท แต่สุขุมวิทชั้นในเริ่มมีความหนาแน่นและมีราคาสูง อ่อนนุชจึงเข้ามารองรับความต้องการในส่วนนี้ ถึงแม้ในช่วงนี้อาจจะยังเห็นโครงการใหม่ไม่มาก เนื่องจากผู้ประกอบการส่วนใหญ่ชิงความได้เปรียบหันไปก่อสร้างโครงการแนวรถไฟฟ้าบีทีเอสและส่วนต่อขยายจากเส้นอ่อนนุชก่อน แต่อย่างไรก็ตามอ่อนนุชยังคงเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์หลักที่สำคัญ ที่ยังมีความได้เปรียบกว่าทำเลอื่นๆ ดังนั้น คาดว่าในอนาคตคอนโดฯ ในพื้นที่อ่อนนุชยังพร้อมขยายตัวได้อีกมาก อีกทั้งยังจะมีความต้องการที่หลากหลายจากการขยายตัวของห้างสรรพสินค้าระดับไฮเอนด์ในพื้นที่สุขุมวิท ที่น่าจะดันอุปสงค์ให้ขยายตัวมาลงที่อ่อนนุชซึ่งเป็นพื้นที่ข้างเคียงได้มาก อีกทั้งคอมมูนิตี้มอลล์ที่เปิดให้บริการในปัจจุบันเริ่มเป็นที่นิยมเพิ่มขึ้น จึงมีการประเมินว่าย่านอ่อนนุช จะกลับมาคึกคัก และทำให้มีความต้องการที่อยู่อาศัยมากขึ้นเช่นกัน” นายภูมิภักดิ์ กล่าว
แมกโนเลียส์ ปักหมุดเดินหน้าโครงการ “เดอะ เรสซิเดนซ์ แอท แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ”

แมกโนเลียส์ ปักหมุดเดินหน้าโครงการ “เดอะ เรสซิเดนซ์ แอท แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ”

แมกโนเลียส์ ปักหมุดเดินหน้าโครงการ “เดอะ เรสซิเดนซ์ แอท แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ” นำเสนอความยิ่งใหญ่ระดับเดียวกับ วัน ไฮด์ ปาร์ค ลอนดอน ริมแม่น้ำเจ้าพระยา กรุงเทพฯ กรุงเทพฯ 22 กรกฎาคม 2258 - ช่วงนี้ ใครผ่านไปแถวโครงการไอคอนสยาม จะต้องสะดุดตากับป้าย “เดอะ เรสซิเดนซ์ แอท แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ” โครงการเรสซิเดนซ์หรูริมน้ำระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ ผลงานอลังการงานสร้างโครงการใหม่ของผู้บริหารคนเก่ง คุณบี-ทิพพาภรณ์ อริยวรารมย์ ที่ได้กลุ่มแมนดาริน โอเรียนเต็ล เครือผู้บริหารโรงแรมระดับโลก มารับหน้าที่บริหารงาน และจะเป็นเรสซิเดนซ์สุดหรูแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ใช้ชื่อแบรนด์แมนดาริน โอเรียนเต็ล แว่วว่าแมกโนเลียส์ กำลังทุ่มทุนเนรมิตสำนักงานขายและโชว์รูมห้องตัวอย่าง เพื่ออวดความสวยงามของห้องพักระดับเวิลด์คลาสของจริง ที่ว่ากันว่าจะหรูหราไฮเอนด์ เทียบเท่าหรือเหนือกว่าห้องพักที่ดีที่สุดในนิวยอร์ก ลอนดอน เลยทีเดียว จึงไม่น่าแปลกใจ ที่บรรดาลูกค้าระดับซูเปอร์ริชทั้งชาวไทยและต่างชาติ จะพากันจับตามองโครงการนี้อย่างใจจดใจจ่อ เพราะความยิ่งใหญ่อลังการระดับเอ็กซ์คลูซีฟที่กำลังจะเกิดขึ้นริมแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งนี้ มีจำนวนเพียง 146 ยูนิตเท่านั้น มั่นใจได้เลยว่าเรสซิเดนซ์แห่งนี้จะกลายเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คใหม่ของกรุงเทพฯ และ เป็นTalk of the town ของเอเชียแน่นอน! สำหรับ กลุ่มโรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล คือเจ้าของและผู้ดำเนินธุรกิจโรงแรม รีสอร์ท และโครงการที่พักอาศัยระดับหรูชั้นนำซึ่งได้รับรางวัลการันตีมากมาย  นับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งในรูปแบบบริษัทโรงแรมสัญชาติเอเชียที่ได้รับความเชื่อมั่นเป็นอย่างสูงและกลายเป็นแบรนด์ระดับโลกในปัจจุบัน กลุ่มโรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล บริหารโรงแรมและรีสอร์ททั้งที่เปิดดำเนินการแล้วและกำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง รวม 45 แห่ง นำเสนอบริการห้องพักราว 11,000 ห้องใน 25 ประเทศ โดยตั้งอยู่ในทวีปเอเชีย 20 แห่ง ทวีปอเมริกา 10 แห่ง และในทวีปยุโรป ตะวันออกกลาง และอเมริกาเหนือ 15 แห่ง นอกจากนี้ กลุ่มโรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล ยังเป็นผู้บริหารโครงการเรสซิเดนซ์ทั้งที่เปิดดำเนินงานแล้วและกำลังก่อสร้างอีกกว่า 15 แห่ง โดยมีการดำเนินงานเชื่อมโยงกับโครงการอื่นๆ ของกลุ่มอย่างครอบคลุม
ฮาบิแทท ไฟว์ เปิดตัว “X2 Vibe PattayaSeaphere” คอนโดมิเนียมโลว์ไรส์สุดหรูแห่งใหม่ บนนาจอมเทียน  รับเมืองพัทยาขยายตัวเป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับโลก

ฮาบิแทท ไฟว์ เปิดตัว “X2 Vibe PattayaSeaphere” คอนโดมิเนียมโลว์ไรส์สุดหรูแห่งใหม่ บนนาจอมเทียน รับเมืองพัทยาขยายตัวเป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับโลก

“บริษัท ฮาบิแทท ไฟว์ จำกัด” เปิดตัวโครงการ“X2 Vibe PattayaSeaphere” (ครอสทู ไวบ์ พัทยา ซีเฟียร์) คอนโดมิเนียมโลว์ไรส์สุดหรู  ติดชายหาดบนนาจอมเทียน ที่คุ้มค่าทั้งการลงทุน และอยู่อาศัย มูลค่าโครงการกว่า 300 ล้านบาทจำนวนห้องชุด 65 ยูนิตราคาเฉลี่ยตารางเมตรละ 115,000 บาท ชูจุดเด่นมาตรฐานการบริการระดับโรงแรมห้าดาว บริหารโครงการด้วยแบรนด์ดังระดับโลก X2 (ครอสทู) พร้อมรับผลตอบแทนอย่างคุ้มค่าจากบริการ Rental Management Program มั่นใจศักยภาพการเติบโตเมืองท่องเที่ยวพัทยา เตรียมพรีเซล วันที่ 4 กรกฏาคม ศกนี้ นายชนินทร์ วานิชวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาบิแทท ไฟว์จำกัด เปิดเผยว่าหลังจากที่เคยเป็นทั้งผู้บริโภค และนักลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ เรียนรู้ ศึกษา และสั่งสมประสบการณ์มากว่า 10 ปี เข้าใจถึงความต้องการของผู้บริโภคแบบถ่องแท้ จึงได้ตัดสินใจผันตัวเองมาเป็นผู้พัฒนาโครงการเอง ประเดิมโครงการแรกเมื่อปี 2556 คือ เดอะ วิลล์ จอมเทียน พูลวิลล่าหรู 80 หลัง มูลค่ารวม 600 ล้าน ปัจจุบันปิดการขายแล้ว และจะสร้างเสร็จภายในไตรมาสสามปีนี้ มาปีนี้ จึงเปิดตัว ครอสทู ไวบ์ พัทยา ซีเฟียร์ คอนโดมิเนียมโลว์ไรส์สุดหรูติดนาจอมเทียนซึ่งเป็นโครงการที่สองของบริษัทฯ ครอสทู ไวบ์ พัทยา ซีเฟียร์ เป็นคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์สุดหรูบนเนื้อที่เกือบ 1 ไร่ ตกแต่งพร้อมอยู่แห่งแรก และแห่งเดียวติดหาดนาจอมเทียนมูลค่าโครงการราว 300 ล้านบาท มีทั้งหมด 8 ชั้น 65 ยูนิต รวมชั้นจอดรถแล้ว ห่างจากชายหาดเพียง 100 เมตร ตกแต่งพร้อมอยู่ ด้วยดีไซน์ที่แตกต่างสไตล์โมเดิร์น เน้นสีเอิร์ธโทน และสีวัสดุจากธรรมชาติ อย่างสีขาว เทา น้ำตาล และดำ และให้ความสำคัญกับพื้นที่ส่วนกลาง โดยแบ่งเป็น 2 ประเภทคือ แบบ 1 ห้องนอน ขนาด 29 – 35 ตารางเมตร จำนวน 53 ห้อง ราคาเริ่มต้นที่ 2.84 ล้านบาท และแบบ 1 ห้องนอน พลัส พร้อมอ่างจากุซซี่ ขนาด 54 ตารางเมตรจำนวน 12 ห้อง ราคาเริ่มต้นที่ 5.39 ล้าน สำหรับกลุ่มผู้ที่สนใจซื้อเพื่อลงทุน ทางบริษัทฯ ยังมีโปรแกรม Rental Management Program การันตีผลตอบแทนค่าเช่าที่ 7% ต่อปี เป็นระยะเวลา 5 ปี โดยการบริหารการเช่านั้น บริษัทจะเป็นผู้ดำเนินการให้ลูกค้า และจ่ายผลตอบแทนให้ทุกเดือน โดยที่ลูกค้าไม่ต้องรับความเสี่ยงในช่วงที่ไม่มีผู้เช่า ลดปัญหาการจัดการ ซึ่งอัตราผลตอบแทนที่ 7% ต่อปี นับเป็นอัตราที่จูงใจ เพราะสูงกว่าอัตราผลตอบแทนเงินฝากดอกเบี้ยประจำของธนาคารอยู่มาก นายชนินทร์ ให้เหตุผลที่เลือกพัฒนาโครงการแห่งแรกที่พัทยาว่า จากการลงพื้นที่สำรวจเมืองที่มีศักยภาพการเติบใตใกล้กรุงเทพ พบว่าพื้นที่พัทยา จ.ชลบุรี เป็นเมืองยุทธศาสตร์สำคัญ ที่มีการขยายตัวในทุกด้านทั้งอุตสาหกรรม พาณิชย์ และ การท่องเที่ยว จึงมีความพร้อมในทุกด้านทั้งระบบโลจิสติกส์ การคมนาคมสะดวก มีความเชื่อมต่อทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ ใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพฯ มาเพียงแค่ชั่วโมงครึ่ง “ในอนาคตเราจะเห็นพัทยาขยายตัวอีกมาก ด้วยแผนเพิ่มช่องทางการเดินทางมาพัทยา ที่สะดวกสบายยิ่งขึ้น ทั้งรถไฟความเร็วสูง, ทางด่วนพิเศษ, รถราง,ไฮสปีด เฟอร์รี่ และสนามบินอู่ตะเภาที่จะเริ่มรับเที่ยวบินโดยสารจากต่างประเทศ นอกจากนี้ พัทยายังมีสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ๆ หลายแห่งเพื่อรองรับการเป็นเมืองรีสอร์ทอย่างเต็มรูปแบบ เช่น สวนน้ำการ์ตูน เน็ตเวิร์ค, สวนน้ำรามายณะ, ไร่ไวน์ซิลเวอร์เลค ฯลฯ และสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆที่มีการปรับปรุงรับกับจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มมากขึ้น” ทั้งนี้  โครงการยังมีความโดดเด่น ด้านการให้บริการที่มาพร้อมกับบริการระดับโรงแรม 5 ดาว ซึ่งบริหารโครงการแบรนด์ระดับโลกอย่าง X2 (ครอส ทู) พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน เพื่อสร้างความผ่อนคลาย และความสะดวกสบายสูงสุดให้กับผู้พักอาศัย อาทิ โถงต้อนรับล้อมรอบด้วยน้ำ, สวนต้นไม้,สระว่ายน้ำแบบอินฟินิตี้เอดจ์, สวนดาดฟ้า,ฟิตเนส, ภัตตาคารและบาร์ฯลฯ ซึ่งเป็น  โลว์ไรส์แบบลักชัวรี่ โครงการแรก และโครงการเดียวในพัทยาที่มีบริการครบวงจรประหนึ่งอยู่โรงแรมห้าดาว แต่มีความเป็นส่วนตัวสูงกว่า เพราะมีเพียง 65 ห้องเท่านั้น และจากการร่วมมือกับแบรนด์ครอสทู X2 ผู้ซื้อยังได้รับสิทธิประโยชน์สามารถเลือกไปพักผ่อนที่รีสอร์ทครอสทูอื่นๆ ทั่วโลกฟรี เป็นระยะเวลาสูงสุด 7 วันต่อปี ไม่ว่าจะที่บาหลี, ออสเตรเลีย, ภูเก็ต, สมุย หรือเชียงใหม่ เป็นต้น นายแอนโทนี่ แมคโดนัล กล่าวว่า “ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มาบริหารโครงการครอสทู ไวบ์ พัทยา ซีเฟียร์ และเชื่อมั่นว่าจะได้รับผลตอบรับอย่างดีเยี่ยม ทั้งจากคนไทย และนักท่องเที่ยวในอนาคตย่างแน่นอน เพราะให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้านตัวเอง แต่เพิ่มบริการที่สะดวกสบายแบบโรงแรมห้าดาว มีทั้งร้านอาหาร และบาร์ และยังใกล้จุดท่องเที่ยวมากมาย นอกจากมีดีไซน์ที่สวยโดดเด่นตามแบบฉบับสไตล์ของครอสทูแล้ว ที่เราตัดสินใจเป็นพาร์ทเนอร์กับที่นี่ เพราะเล็งเห็นว่า สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับแบรนด์ และยังเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้าของครอสทูทั่วโลกอีกด้วย” สำหรับโครงการ “X2 Vibe PattayaSeaphere”จะมีการเปิดพรีเซลโครงการอย่างเป็นทางการในวันที่ 4 กรกฎาคมนี้ ณ สำนักงานขายที่ชลบุรี ซอยนาจอมเทียน 32 : เปิดทำการทุกวัน  : ตั้งแต่เวลา 9.00 – 18.00 น. : โทร 081-450-0001, 081-450-0002 และสำนักงานขายที่กรุงเทพ อาคาร Athenee Tower ถ.วิทยุ : เปิดทำการทุกวันจันทร์ – ศุกร์  : ตั้งแต่เวลา 9.00 – 18.00 น. : โทร 081-451-0002 หรือดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.X2PattayaSeaphere.com
AP เดินหน้ารุกตลาดคอนโด ส่งแคมเปญ “AP SPACE CONNECT” เปิดตัว 6 โครงการใหม่ มั่นใจกวาดยอดขายคอนโดครึ่งปีแรกทะลุ 8,000 ล้าน

AP เดินหน้ารุกตลาดคอนโด ส่งแคมเปญ “AP SPACE CONNECT” เปิดตัว 6 โครงการใหม่ มั่นใจกวาดยอดขายคอนโดครึ่งปีแรกทะลุ 8,000 ล้าน

AP มั่นใจปิดยอดขายคอนโดครึ่งปีแรกทะลุ 8,000 ล้านบาท พร้อมจัดงานใหญ่ AP SPACE CONNECT บุกตลาดคอนโดชูจุดขาย MULTIPLE CONNECTIONS หนึ่งก้าวถึงรถไฟฟ้า พร้อมนวัตกรรมห้องชุดแบบใหม่ ผ่านการเปิดตัว 6 โครงการ RHYTHM รางน้ำ LIFE อโศก ASPIRE สาทร-ราชพฤกษ์ ASPIRE ลาดพร้าว 113 ASPIRE วุฒากาศ และ ASPIRE เอราวัณ มูลค่ารวมกว่า 16,120 ล้านบาท และอีก 15 คอนโดแนวรถไฟฟ้า มอบส่วนลดพิเศษ 700,000 บาทหรืออยู่ฟรี 1 ปี ราคาเริ่มต้น 1.59 ล้านบาท เตรียมเปิดตัวอย่างเป็นทางการ 25 – 28 มิ.ย. ชั้น 1 สยามพารากอน นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์การตลาด บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ AP (Mr. Vittakarn Chandavimol Chief Marketing Officer, AP (Thailand) Public Co., Ltd.) เผยว่า จากความชัดเจนของภาครัฐในการขยายเส้นทางโครงข่ายรถไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นหลายสายทาง เป็นปัจจัยบวกสำคัญให้ตลาดคอนโดเติบโตอย่างต่อเนื่อง บริษัทฯ จึงพร้อมเดินหน้ารุกตลาดคอนโดครึ่งปีแรกเต็มสูบจัดงานใหญ่  AP SPACE CONNECT เปิดตัว 6 คอนโดมิเนียม พร้อมนำเสนอนวัตกรรมห้องชุด 35 ตารางเมตร มั่นใจดีมานด์คอนโดดีต่อเนื่อง การันตีผลงานการเปิดขายรอบพิเศษ ASPIRE ลาดพร้าว 113 เพียง 2 วันสามารถทำยอดขายไปแล้วกว่า 65 % ของจำนวนยูนิตทั้งหมด หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 350 ล้านบาท และด้วยยอดลงทะเบียนลูกค้าที่สนใจ 6 โครงการใหม่กว่า 20,000 รายชื่อ ทำให้บริษัทฯ มีความมั่นใจจะสามารถปิดยอดขายคอนโดครึ่งปีแรกทะลุ 8,000 ล้านบาท จากเป้ายอดขายคอนโดที่ตั้งไว้ครึ่งปีแรกคือ 6,700 ล้านบาท (เป้ายอดขายคอนโดทั้งปี 15,000 ล้านบาท)  6 คอนโดใหม่ ชูจุดขายทำเลแบบ MULTIPLE CONNECTIONS “ล่าสุด บริษัทฯ พร้อมตอกย้ำความเชี่ยวชาญในการ “เลือก” โลเคชั่นเพื่อพัฒนาคอนโดมิเนียม ที่ “เข้าใจ” ในโครงข่ายระบบขนส่งมวลชนของกรุงเทพในวันนี้และอนาคตอย่างลึกซึ้ง ผ่านการเปิดตัว 6 คอนโดใหม่ ภายใต้จุดขายทำเลแบบ MULTIPLE CONNECTIONS คอนโดมิเนียมในโลเคชั่นที่แวดล้อมด้วยโครงข่ายคมนาคมเมืองเชื่อมโยงทุกการเดินทางแบบไร้รอยต่อ เพียง 1 ก้าวถึง BTS หรือ 1 เมตรสู่ MRT หรือ 1 นาทีถึงทางด่วน” สำหรับงาน AP SPACE CONNECT ในครั้งนี้ถือเป็นการเปิดตัวคอนโดใหม่พร้อมกันรวมทั้งสิ้น 6  โครงการ จำนวน 5,126 ยูนิต มูลค่ารวมกว่า 16,120 ล้านบาท ซึ่งทุกโครงการโฟกัสจุดเด่นในเรื่องของทำเลที่ตั้งโครงการที่ตั้งอยู่ใกล้แนวรถไฟฟ้าทั้งสายปัจจุบันและอนาคต ประกอบด้วย 1) RHYTHM รางน้ำ ติดต่อชีวิตใจกลางมหานคร เพียง 100 เมตรจาก BTS อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ จำนวน 385 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 4 ล้านกว่าๆ 2) LIFE อโศก ต่อติดศูนย์กลางธุรกิจอโศก – พระราม 9 เพียง 1 ก้าวจาก MRT เพชรบุรี และ AIRPORT LINK มักกะสัน จำนวน 1,642 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 2 ล้านกว่าๆ 3) ASPIRE ลาดพร้าว 113 ต่อติดการเดินทางทุกสไตล์ เพียง 100 เมตรจาก MRT บางกะปิ จำนวน 270 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 1.65 ล้านบาท 4) Aspire วุฒากาศ ต่อติดชีวิตเมือง เพียง 200 เมตรจาก BTS วุฒากาศ จำนวน 166 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 1.85 ล้านบาท 5) Aspire สาทร – ราชพฤกษ์ ต่อติดทุกการเดินทางแบบไร้รอยต่อ เพียง 1 ก้าวจากสถานีบางหว้า จำนวน 1,087 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 1 ล้านกว่าๆ และ 6) ASPIRE เอราวัณ ต่อติดทำเลแห่งอนาคตบนพื้นที่โซนใหม่ที่น่าอยู่ที่สุด เพียง 1 ก้าวถึงสถานีพิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ จำนวน 1,576 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 1.69 ล้านบาท และอีก 15 คอนโดแนวรถไฟฟ้า ราคาเริ่มต้น 1.59 ล้านบาท เอพี – แรบบิทการ์ด – กสิกรไทย มอบสิทธิพิเศษในงาน นอกจากนี้ เอพี ยังได้ร่วมมือกับ บริษัท บางกอก สมาร์ทการ์ด ซิสเทม จำกัด ผู้ให้บริการบัตรแรบบิท  หนึ่งในระบบขนส่งที่สำคัญของคนเมือง จัดทำบัตรรถไฟฟ้าลายพิเศษเพื่อโปรโมทแคมเปญ AP SPACE CONNECT ซึ่งจะจำหน่าย ณ เคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋วบนสถานี BTS ใจกลางเมืองทั้ง 10 สถานี ได้แก่ อโศก พร้อมพงษ์ ชิดลม พญาไท หมอชิต อนุสาวรีย์ฯ ศาลาแดง สยาม เพลินจิต และแบริ่ง โดย เอพี ยังได้มอบสิทธิพิเศษให้กับผู้ถือบัตรแรบบิทการ์ดทุกท่าน รับส่วนลดเพิ่ม 10,000 บาท สำหรับการจอง 6 คอนโดใหม่ในงานอีกด้วย อีกทั้งการร่วมมือกับ ธนาคารกสิกรไทย กระตุ้นการตัดสินใจซื้อ 6 คอนโดใหม่และ 15 คอนโดติดรถไฟฟ้า เมื่อจองและทำสัญญาภายในงานโดยมอบ ส่วนลดสูงสุด 700,000 บาท หรืออยู่ฟรี 1 ปี  และสิทธิพิเศษอื่นๆ อีกมากมาย อาทิ Paragon Gift Voucher มูลค่าสูงสุด 30,000 บาท และรับสิทธิผ่อนชำระเงินจองและเงินทำสัญญา 0% นาน 6 เดือน ผ่านบัตรเครดิตธนาคารกสิกรไทย เปิดตัวนวัตกรรมห้องชุดใหม่ “อีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญของงานคือ การเปิดตัวนวัตกรรมห้องชุดแบบใหม่ขนาด 35 ตารางเมตร ซึ่งเป็นวิธีคิดในการการแบ่งพื้นที่แบบใหม่ตอบไลฟ์สไตล์เฉพาะของกลุ่มลูกค้าที่แตกต่างกันในแต่ละเซกเมนต์ สำหรับกลุ่มลูกค้า RHYTHM รางน้ำ และ LIFE อโศก  จะได้ลักซ์ชั่วรี่สเปซที่ตอบสนองการใช้ชีวิตเมืองอย่างมีระดับ ด้วยการจัดสรรพื้นที่ภายในที่เพิ่มความเป็นส่วนตัวเชื่อมต่อจากห้องนอน อย่างฟังก์ชั่น WALK – IN CLOSET หรือ ห้องทำงานส่วนตัว ในขณะที่ ห้องชุดขนาด 35 ตารางเมตรสำหรับกลุ่มลูกค้า ASPIRE จะได้พื้นที่ใช้สอยที่คุ้มค่ามากขึ้น โดยสามารถปรับเป็นห้องอเนกประสงค์หรือห้องนอนเล็กได้” ในครึ่งปีแรก บริษัทฯ ได้เปิดตัวโครงการทั้งหมด 11 โครงการตามแผนงานที่วางไว้ มูลค่ารวม 19,000 ล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยว 2 โครงการ มูลค่า 1,350 ล้านบาท ทาวน์เฮาส์ 3 โครงการ มูลค่า 1,530 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 6 โครงการ มูลค่า 16,120 ล้านบาท โดยบริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขาย (Presales Target) ทั้งปี 28,300 ล้านบาท มียอดขาย ณ ปัจจุบัน (11 มิ.ย. 58) เท่ากับ 7,810 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นแนวราบ 5,620 ล้านบาท และแนวสูง 2,190 ล้านบาท ซึ่งเชื่อว่าผลจากการเปิดตัว 6 คอนโดใหม่ และ 15 คอนโดแนวรถไฟฟ้าในงาน AP SPACE CONNECT วันที่ 25 – 28 มิ.ย. ชั้น 1 สยามพารากอน ตลอดจนการพัฒนาสินค้าแนวราบเพื่อตอบโจทย์ความต้องการในการใช้ชีวิตของคนเมืองแต่ละไลฟ์สไตล์อย่างต่อเนื่อง จะทำให้บริษัทฯ สามารถปิดยอดขายทั้งแนวราบและแนวสูงในครึ่งปีแรกทะลุ 14,200 ล้านบาท ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษในงาน AP SPACE CONNECT คลิก http://goo.gl/iqjANw
“Noble BE33” คอนโดใหม่ใจกลางสุขุมวิท ใกล้แหล่งช้อปปิ้ง “The EM District”

“Noble BE33” คอนโดใหม่ใจกลางสุขุมวิท ใกล้แหล่งช้อปปิ้ง “The EM District”

เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา เราได้มีโอกาสเห็นความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในย่านธุรกิจของกรุงเทพอย่างสุขุมวิท เพราะมีการเปิดตัว “The EM District”แหล่งช็อปปิ้งชั้นนำแห่งใหม่ใจกลางสุขุมวิท เดินทางสะดวกด้วยรถไฟฟ้า เพราะมีสถานีรถไฟฟ้าพร้อมพงษ์จอดถึงที่ ทำให้ละแวกนี้ ธุรกิจต่างๆ คึกคักกันไปตามๆ กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เพราะหากดูกันที่ราคาค่าเช่าที่พักคอนโดของย่านนี้ เริ่มต้นกันตั้งแต่ 30,000 บาทต่อเดือน จนถึงหลักแสนเลยก็มี ส่วนคอนโดประเภทซื้อขาย ก็ไม่ต้องพูดถึง เริ่มกันตั้งแต่ระดับ 7 ล้านจนถึงสิบล้านขึ้นไป  และไม่รู้ว่าในอนาคตราคาคอนโดทั้งขายและเช่าจะดันขึ้นไปสูงอีกแค่ไหน  หากใครกำลังมองหาช่องทางลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ จะจับจองคอนโดย่านนี้เอาไว้ซักหลังก็ไม่เลวเลยทีเดียว! ลงทะเบียนเพื่อรับข้อมูลโครงการและ ส่วนลด 100,000 บาท ได้ที่ http://goo.gl/TZLRf2  
โนเบิลฯ ฉลองครบรอบ 25 ปี ตอกย้ำจุดยืนแบรนด์อสังหาฯคิดต่างและความเป็นเจ้าตลาดคอนโดใจกลางเมือง พร้อมเปิดตัว Noble BE33 ลักซ์ชัวรีคอนโดบนถนนสุขุมวิท33

โนเบิลฯ ฉลองครบรอบ 25 ปี ตอกย้ำจุดยืนแบรนด์อสังหาฯคิดต่างและความเป็นเจ้าตลาดคอนโดใจกลางเมือง พร้อมเปิดตัว Noble BE33 ลักซ์ชัวรีคอนโดบนถนนสุขุมวิท33

โนเบิลฯ ฉลองครบรอบ 25 ปี ตอกย้ำจุดยืนแบรนด์อสังหาฯคิดต่างและความเป็นเจ้าตลาดคอนโดใจกลางเมือง พร้อมเปิดตัว Noble BE33 ลักซ์ชัวรีคอนโดบนถนนสุขุมวิท33              บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ฉลองครบรอบ 25 ปี ตอกย้ำจุดยืนในความเป็นแบรนด์อสังหาฯคิดต่าง ที่ไม่เคยคิดและมองอะไรเหมือนใคร ภายใต้แนวคิด “be different” ซึ่งเป็นปรัชญาความเชื่อที่อยู่ในดีเอ็นเอของโนเบิลมาตลอด 25 ปี พร้อมเดินหน้าย้ำความเป็นเจ้าตลาดคอนโดใจกลางเมืองด้วยการเปิดตัวคอนโดฯระดับไฮเอนด์โครงการแรกบนถนนสุขุมวิท33 ด้วยงบประมาณกว่า 80 ล้านบาท                   นายกิตติ ธนากิจอำนวย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวเปิดเผยว่า “ในวาระฉลองครอบรอบ 25 ปีของโนเบิล ทางโนเบิลได้จัดทำแคมเปญคอร์เปอร์เรทชุด “Believe in Your Soul” ตอกย้ำแนวคิด “be different, be noble” ปรัชญาความเชื่อที่อยู่ในดีเอ็นเอของแโนเบิลมาตลอด 25 ปี แนวคิดดังกล่าวถูกถ่ายทอดผ่านการออกแบบที่อยู่อาศัยและกำหนดความเป็นไปได้ใหม่ๆในการใช้ชีวิต นับตั้งแต่อดีตที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าโครงการต่างๆของโนเบิลก้าวข้ามความธรรมดาและเหนือความคาดหมายของผู้อยู่อาศัย อาทิเช่น โครงการ โนเบิล พาร์ค คอนโดมิเนียมเชิงราบสไตล์คอนโดเฮาส์ ปี 1991 ที่ถือเป็นการปฏิวัติวงการอสังหาริมทรัพย์ในยุคนั้นเป็นอย่างมาก ด้วยการออกแบบบ้านเป็นกลุ่ม Cluster ที่ดึงเอาถนนออกจากหน้าบ้านและจอดรถไว้รวมกันเป็นส่วนกลางเพื่อให้หน้าบ้านมีพื้นที่พักผ่อนที่เป็นส่วนกลางขนาดใหญ่ ร่มรื่นและปลอดภัยจากรถที่วิ่งเข้าออก โครงการ Noble Home บ้านเดี่ยวหลังคาโค้ง บ้านแนวใหม่ที่มีความริเริ่มทั้งในแง่การออกแบบและการเลือกใช้วัสดุก่อสร้าง โครงการ นีโอ ซิตี้ คอนโดมิเนียมเชิงราบและบ้านเดี่ยวเชิงขยาย อาคารสูง 3 ชั้น ชั้นละ2 ยูนิต แต่ละยูนิตมีจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไป ส่วนบ้านเดี่ยวเชิงขยายมีการออกแบบให้พร้อมขยายต่อเติมได้ถึง 4 ขั้นตอนตามจังหวะการใช้ชีวิต จนกระทั่งเข้าสู่ยุคปัจจุบัน โนเบิลยังคงยืนอยู่บนธุรกิจอสังหาฯที่นำเสนอรูปแบบการใช้ชีวิตที่แตกต่างภายใต้บริบทแบบใหม่ของคนเมืองที่เกาะติดไปกับความเจริญเติบโตของกรุงเทพมหานครที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น การออกแบบบ้านฟอร์ม L Shape และ U Shape อย่าง โครงการโนเบิล ทารา และโนเบิลวานา ที่มีการใช้สเปซที่กระชับและเกิดพื้นที่ว่างภายใน (Personal space) ทำให้ผู้อยู่อาศัยได้ใกล้ชิดธรรมชาติไม่ว่าจะอยู่ส่วนใดของบ้าน และอีกหนึ่งแนวคิดการอยู่อาศัยแบบคนเมืองในรูปแบบคอนโดมิเนียมบนพื้นที่ขนาดพอเหมาะในเมืองเศรษฐกิจใหญ่ที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วอย่างกรุงเทพฯ เพื่อให้คนรุ่นใหม่สามารถเป็นเจ้าของและใช้ชีวิตได้อย่างลงตัวภายใต้คอนเซปต์ Revolve Living ทำให้ห้องขนาด 25-28 ตารางเมตร มีพื้นที่ใช้สอยหน้ากว้างถึง 5 เมตร เป็นได้ทั้งห้องนอน ห้องนั่งเล่น และห้องทำงานกับ โครงการโนเบิล รีวอล์ฟ รวมถึง โครงการโนเบิล เพลินจิต อาคารสูงระฟ้าสไตล์ Minimalism ท่ามกลางสวนขนาดใหญ่ 4 ไร่ ให้ความเป็นส่วนตัวสูงสุดด้วย “Private Lift”        ทุกยูนิต และโครงการแนวสูงและแนวราบต่างๆอีกมากมาย เป็นต้น” Noble BE33              สำหรับโครงการแนวสูงหรือคอนโดมิเนียมโปรเจกต์แรกของปีนี้ คือ “Noble BE33” (โนเบิล บีเทอร์ตี้ทรี) คอนโดมิเนียมใหม่ใจกลางแหล่งไลฟ์สไตล์ทุกรูปแบบบนถนนสุขุมวิท33 ภายใต้สโลแกน “FLIP TO REVEAL YOURSELF พลิกให้พบตัวคุณ” เพียง 320 เมตรจาก Sky Walk และ BTS พร้อมพงษ์ (ทางขึ้นลงอนาคต) ในราคาเริ่มต้น 210,000 บาทต่อตารางเมตร   นายศิระ อุดล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “จากความสำเร็จที่ผ่านมาการเปิดตัวโครงการในย่านสุขุมวิทของโนเบิลฯ ได้รับการตอบรับที่ดีมาโดยตลอด และปัจจุบันตลาดคอนโดฯย่านใจกลางเมืองอย่างสุขุมวิทแนวรถไฟฟ้าก็ยังคงมีกระแสความต้องการอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสุขุมวิทถือเป็นหนึ่งในย่านที่อยู่อาศัยระดับไฮเอนด์ใจกลางเมืองที่ได้รับความนิยมจากคนไทยและชาวต่างชาติที่สนใจซื้อเพื่ออยู่เองและปล่อยเช่าลงทุน ซึ่งในปีที่ผ่านมาพบว่าจำนวนชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานในประเทศไทยมีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นถึง 77,000 กว่าคน โดยทำเลสุขุมวิท สาทร ลุมพินียังคงเป็นทำเลที่อยู่อาศัยที่ได้รับความนิยมสูงสุดในกลุ่มนี้ โดยเฉพาะเส้นสุขุมวิทซึ่งถือเป็นสุดยอดของทำเลย่านธุรกิจการค้าสำหรับชนชั้นสูง(CBD Grade A) อัตราความต้องการของพื้นที่สำนักงาน และที่พักอาศัยสูงขึ้นมากเพราะเป็นถนนที่เกาะติดแนวรถไฟฟ้าสามารถเชื่อมต่อไปยังรถไฟฟ้าใต้ดิน แอร์พอร์ตลิงค์และรถไฟฟ้าสายอนาคตได้อย่างสะดวกสบาย ดังนั้นเพื่อตอบสนองกับการเติบโตของกรุงเทพมหานคร โนเบิลฯจึงเดินหน้าเปิดตัวคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ “Noble BE33” บนสุดยอดทำเลยุทธศาสตร์ย่านสุขุมวิท33 ใจกลางย่านธุรกิจสำคัญของกรุงเทพฯ โครงการ Noble BE33 โดดเด่นด้วยศักยภาพของทำเลที่รายล้อมไปด้วยแหล่งไลฟ์สไตล์และเอ็นเตอร์เทนเมนต์ระดับไฮเอนด์ ใกล้ District แห่งใหม่ของแฟชั่นอย่างศูนย์การค้าระดับเวิลด์คลาส ดิ เอ็มโพเรียม โฉมใหม่ และดิ เอ็มควอเทียร์ ตลอดจนดิ เอ็มสเฟียร์ที่จะทำการเปิดในอนาคต รวมถึงแหล่งธุรกิจ โรงเรียน โรงพยาบาลชั้นนำ ฯลฯ ที่สามารถเข้าถึงทุกไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตทั้งกลางวันและกลางคืนรองรับไลฟ์สไตล์อันหลากหลายของคนรุ่นใหม่ ดังนั้นไม่ว่าจะซื้อเพื่ออยู่อาศัยหรือเพื่อลงทุนย่อมถือเป็นความคุ้มค่าอย่างแน่นอน คอนเซปต์การดีไซน์เราให้ความสำคัญกับการผสมผสานในเรื่องของดีไซน์ที่มีกลิ่นอายความเป็นเอกลักษณ์สไตล์โนเบิล องค์ประกอบภายนอกและภายในอาคารถูกออกแบบอย่างประณีตเรียบหรูไร้กาลเวลาในสไตล์โมเดิร์น ด้วยอาคารที่พักอาศัย สูง 31 ชั้น 1 อาคาร จำนวน 277 ยูนิต ขนาดพื้นที่โครงการ 2-0-5.91 ไร่ มูลค่าโครงการประมาณ 3,300 ล้านบาท โดยมีห้องพักขนาดประมาณ 34-43 ตารางเมตร สำหรับยูนิตประเภท   1 ห้องนอน ห้องพักขนาดประมาณ 51-69 ตารางเมตร สำหรับยูนิตประเภท 2 ห้องนอน ห้องพักขนาดประมาณ 76 ตารางเมตร สำหรับยูนิตประเภท 3 ห้องนอน และเพนท์เฮ้าส์ ขนาดประมาณ 109 -139 ตารางเมตร พิเศษสุดกับโถงทางเดินแบบ Single Corridor เพื่อเพิ่มความเป็นส่วนตัวให้กับผู้อยู่อาศัยทุกๆยูนิต และที่สำคัญยังแวดล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกระดับพรีเมี่ยม ไม่ว่าจะเป็น Reflective Lobby ขนาดใหญ่ที่ถูกออกแบบด้วยกระจกเงารอบด้านที่พร้อมพลิกมุมมองระหว่างวันสะท้อนความร่มรื่นจากสวนภายนอก และให้ความสว่างไสวด้วยแสงไฟจากภายในระหว่างค่ำคืน พร้อมแยกส่วน Semi-Outdoor Lobby เชื่อมต่อกับพื้นที่สวนส่วนกลางกว่า 1,000        ตารางเมตร ที่แวดล้อมด้วยพันธุ์ไม้หลากชนิดให้ร่มเงา และความเป็นส่วนตัวจากความวุ่นวายของเมือง เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยได้ผ่อนคลายกับพื้นที่สวนเสมือนดั่งสวนหลังบ้านของครอบครัว สระว่ายน้ำ Sky Infinity Edge Pool สูงระฟ้า ยาว 25 เมตร เปิดรับมุมมอง 180 องศา ที่มาพร้อมกับ Sky Garden พื้นที่สีเขียว และ Sky Fitness ให้คุณฟิตพร้อมกับชมวิวมหานครได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ยังเพิ่มความมั่นใจในความปลอดภัยตลอด 24 ชม. ด้วยกล้องวงจรปิด (CCTV) และเพิ่มระบบรักษาความปลอดภัยด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยด้วยคีย์การ์ด (Key Card Access) ทุกห้อง และย้ำความมั่นใจกับ รปภ.ที่ดูแลความปลอดภัยตลอด 24 ชม.  ในราคาเริ่มต้น 210,000 บาทต่อตารางเมตร พลิกให้พบตัวคุณกับคอนโดมิเนียมใหม่ “Noble BE33” ได้วันนี้เพียง 320 เมตรจาก Sky Walk และ BTS พร้อมพงษ์ (ทางขึ้นลงในอนาคต) เปิดให้เข้าชมห้องตัวอย่าง และลงทะเบียนรับสิทธิ์จองได้ตั้งแต่วันที่ 5 - 18 มิถุนายน 2558 ที่สำนักงานขาย และเปิดจองวันที่ 21 มิถุนายน 2558 ณ โรงแรมดิโอกุระเพรสทีจ (The Okura Prestige Bangkok) ติด BTS เพลินจิต สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ โทร. 02-251-9955 หรือ www.noblehome.com
เครือควอลิตี้เฮ้าส์ ปักธงรบตลาดคอนโดมิเนียมโซนชลบุรี-พัทยา ปี 2558 ตั้งเป้ายอดขายเติบโตขึ้น 470%

เครือควอลิตี้เฮ้าส์ ปักธงรบตลาดคอนโดมิเนียมโซนชลบุรี-พัทยา ปี 2558 ตั้งเป้ายอดขายเติบโตขึ้น 470%

เครือควอลิตี้เฮ้าส์ รุกตลาดคอนโดมิเนียมโซนชลบุรี-พัทยา เน้นกลุ่มลูกค้าในพื้นที่ พร้อมอัดแคมเปญกระตุ้นยอดขาย ไม่หวั่นกระแสเศรษฐกิจ ในปี 2558 ตั้งเป้ายอดขายคอนโด โซนชลบุรี เติบโตขึ้น 470% รับรู้รายได้ 1,200 ล้านบาท รศ. ดร. ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ในปีที่ผ่านมา บริษัท เดอะ คอนฟิเด้นซ์ จำกัด (บริษัทย่อย)พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมในโซนชลบุรี-พัทยา ภายใต้แบรนด์ “เดอะทรัสต์” และแบรนด์น้องใหม่ “เดอะพอยต์” ประสบความสำเร็จอย่างสูงกว่าที่ตั้งเป้าไว้เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านๆมา อันเนื่องมาจากการเปิดตัวโครงการใหม่ๆ และการขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น ควบคู่ไปกับการจัดแคมเปญทางการตลาด” “สำหรับภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในโซนชลบุรี-พัทยา นับว่าเป็นตลาดที่มีความท้าทายเป็นอย่างมาก เนื่องด้วย  เป็นทำเลที่มีศักยภาพซึ่งมีการเติบโตสูงในหลากหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นมิติภาคอุตสาหกรรม ซึ่งมีทั้งโรงงาน และ นิคมอุตสาหกรรมมากมาย อาทิ นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง, นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร, นิคมอุตสาหกรรม อีสเทิร์นซีบอร์ด เป็นต้น ซึ่งในนิคมอุตสาหกรรมเป็นแหล่งที่มีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของเราเป็นจำนวนมาก สำหรับมิติภาคการท่องเที่ยวก็มีส่วนช่วยส่งเสริมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยสนับสนุนด้านนโยบายการขยายโครงข่ายคมนาคมและระบบขนส่งมวลชนของรัฐ รวมถึงการขยายการลงทุนของชาวต่างชาติในประเทศไทย ถึงแม้ว่าในช่วงต้นปี 2558 ภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมในโซนชลบุรี-พัทยาจะมีการชะลอตัวลง อันเนื่องมาจากผลกระทบด้านเศรษฐกิจโลก เช่น ภาวะค่าเงินรูเบิลของประเทศรัสเซียอ่อนค่าลงกว่า 50% ทำให้กลุ่มลูกค้าที่เป็นชาวรัสเซียซึ่งนับเป็นกลุ่มลูกค้าส่วนหนึ่งที่เข้ามาซื้อคอนโดมิเนียมระดับพรีเมี่ยมในพัทยามีจำนวนลดลง แต่ปัจจัยดังกล่าวไม่ได้มีผลกระทบกับบริษัทฯมากนัก เนื่องจากบริษัทฯได้พัฒนาคอนโดมิเนียมในกลุ่มระดับราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท กลุ่มลูกค้า 95% เป็นคนที่อาศัยอยู่ในจังหวัดชลบุรี มีความต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัย มีเพียง 5% เท่านั้นที่เป็นกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นชาวจีนและยุโรป ซึ่งลูกค้ากลุ่มนี้ก็เป็นกลุ่มที่ซื้อไว้อยู่อาศัยเช่นกัน” “ในส่วนของโครงการคอนโดมิเนียมในโซนชลบุรี-พัทยา ในปี 2557 บริษัทฯได้พัฒนาจำนวน 3 โครงการ คือ เดอะทรัสต์ คอนโด พัทยากลาง จำนวน 660 ยูนิต มูลค่าโครงการ 856 ล้านบาท, เดอะทรัสต์ คอนโด พัทยาใต้ จำนวน 609 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,024 ล้านบาท, เดอะทรัสต์ คอนโด อมตะ-ชลบุรี จำนวน 518 ยูนิต มูลค่าโครงการ 859 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันมียอดขายรวมไปแล้วประมาณ 72% ในปี 2558 นี้ได้พัฒนาอีก 2 โครงการ คือ เดอะทรัสต์ คอนโด พัทยาเหนือ จำนวน 601 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,214 ล้านบาท และ เดอะพอยต์ คอนโด  แหลมฉบัง จำนวน 683 ยูนิต มูลค่าโครงการ 635 ล้านบาท ซึ่งทั้ง 2 โครงการดังกล่าวได้รับการตอบรับอย่างดีจากกลุ่มลูกค้าโดยโดยในไตรมาสที่ผ่านมามียอดขายไปแล้วกว่า 20% สำหรับโครงการที่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ได้ในปีนี้ได้แก่ เดอะทรัสต์ คอนโด พัทยากลาง, เดอะทรัสต์ คอนโด พัทยาใต้ และเดอะทรัสต์ คอนโด อมตะ-ชลบุรี โดยตั้งเป้ารับรู้รายได้สำหรับ 3 โครงการ จำนวน 1,200 ล้านบาท” “ถึงแม้ปัจจัยด้านเศรษฐกิจที่กล่าวมาในข้างต้นจะไม่ส่งผลกระทบกับบริษัทฯ แต่บริษัทฯก็ยังคงดำเนินการกระตุ้นกำลังซื้อของกลุ่มลูกค้า มีการจัดแคมเปญทางการตลาดอย่างต่อเนื่อง มีการใช้กลยุทธ์ด้าน Intensive Growth Strategy เน้นทำการตลาดเชิงรุก ใช้เครื่องมือด้านการสื่อสารการตลาดที่เฉพาะเจาะจงและตรงกลุ่มเป้าหมายให้มากยิ่งขึ้น เน้นการใช้สื่อออนไลน์เพิ่มขึ้นเนื่องจากเป็นสื่อที่เข้าถึงลูกค้าได้ง่าย ไม่มีข้อจำกัดด้านเวลา อีกทั้งยังสามารถควบคุมต้นทุนได้อีกด้วย นอกจากแคมเปญทางการตลาดแล้ว สิ่งหนึ่งที่บริษัทฯได้เปรียบคู่แข่งในตลาด คือเรื่องของคุณภาพที่คุ้มค่ากับราคา ภายใต้มาตรฐานของเครือควอลิตี้เฮ้าส์ เช่น ดีไซน์ที่ทันสมัยตอบรับกับ ความต้องการของผู้อยู่อาศัย มีการออกแบบตกแต่งห้องพร้อมเข้าอยู่ ในด้านสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ภายในโครงการมีความสวยงามและครบครัน อีกทั้งในด้านของระบบรักษาความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพ ลูกค้าจึงมั่นใจได้ในคุณภาพของสินค้าและบริการที่คุ้มค่ากับราคาภายใต้มาตรฐานของเครือควอลิตี้เฮ้าส์” “เดอะทรัสต์ คอนโด พัทยาใต้” พักผ่อน สะดวก สบาย บนทำเลศักยภาพ   โครงการ “เดอะทรัสต์ คอนโด พัทยาใต้ (THE TRUST CONDO SOUTH PATTAYA)” คอนโดมิเนียมพักอาศัยคุณภาพภายใต้การพัฒนาของ บริษัท เดอะ คอนฟิเด้นซ์ จำกัด ในเครือควอลิตี้เฮ้าส์ โดดเด่นด้วยทำเลศักยภาพติดถนนสุขุมวิท สะดวกสบายในการอยู่อาศัย ในราคาสบายกระเป๋า เริ่มต้นเพียง 1.49 ล้านบาท “เดอะทรัสต์ คอนโด พัทยาใต้” คอนโดมิเนียมตกแต่งพร้อมอยู่สไตล์ โมเดิร์น รีสอร์ท สูง 24 ชั้น 1 อาคาร จำนวน 609 ยูนิต บนเนื้อที่โครงการประมาณ 4-0-66.8 ไร่ ตั้งอยู่ถนนสุขุมวิท 50 แขวงหนองปรือ เขตบางละมุง จังหวัดชลบุรี พร้อมสรรพสำหรับการอยู่อาศัย ด้วยการออกแบบห้องชุดให้ตรงกับความต้องการในการใช้งาน ในแนวคิด Design You Can Trust กับ 2 รูปแบบ ได้แก่ STUDIO TYPE ขนาด 23.40 – 24.20 ตารางเมตร พื้นที่ดีไซน์ลงตัวกับฟังก์ชั่นการใช้งาน พร้อมเครื่องปรับอากาศ และเฟอร์นิเจอร์ครบชุด Design by The Trust ด้วยชุดโซฟา โต๊ะกลาง ชั้นวางทีวี ตู้เสื้อผ้า เคาน์เตอร์ครัว ชุดครัว อ่างล้างจาน โต๊ะรับประทานอาหาร ส่วนพักผ่อน และระเบียงส่วนตัว ในราคาเริ่มต้นที่ 1,490,000 บาท ONE BEDROOM TYPE ขนาด 29.30 – 30.00 ตารางเมตร กว้างกว่าด้วยพื้นที่การใช้งานที่เพิ่มขึ้น ลงตัวครบถ้วนกับฟังก์ชั่นที่ครบครัน พร้อมเครื่องปรับอากาศ และเฟอร์นิเจอร์ครบชุด Design by The Trust ด้วยชุดโซฟา โต๊ะกลาง ชั้นวางทีวี ตู้เสื้อผ้า เคาน์เตอร์ครัว ชุดครัว อ่างล้างจาน โต๊ะรับประทานอาหาร ส่วนพักผ่อน และระเบียงส่วนตัว ในราคาเริ่มต้นที่1,690,000 บาท สะดวกสบายด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการ ไม่ว่าจะเป็น สระว่ายน้ำระบบเกลือขนาดใหญ่ กว้าง 13 เมตร ยาว 20 เมตร, สวนพักผ่อน  Modern Tropical, ห้องออกกำลังกายพร้อมอุปกรณ์ครบครัน, ระบบรักษาความปลอดภัย ตลอด 24 ชม. พร้อมกล้อง CCTV ส่วนตัวด้วย Access cardเข้าออกเฉพาะชั้น ลิฟท์โดยสาร 3 ตัว ลิฟท์ขนของ 1 ตัว และที่จอดรถยนต์ 127 คัน / รถจักรยานยนต์ 39 คัน โครงการสร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่แล้ววันนี้ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.qh.co.th หรือโทร 081-807-7627, 084-106-3299   “เดอะทรัสต์ คอนโด พัทยาเหนือ” สุนทรียภาพแห่งการพักผ่อน ที่ไร้ขีดจำกัด โครงการ “เดอะทรัสต์ คอนโด พัทยาเหนือ (THE TRUST CONDO NORTH PATTAYA)” ภายใต้การพัฒนาของ บริษัท เดอะ คอนฟิเด้นซ์ จำกัด ในเครือควอลิตี้เฮ้าส์ ในรูปแบบของคอนโดมิเนียมสูง 29 ชั้น จำนวน 601 ยูนิต บนพื้นที่ 4-2-36 ไร่ ตั้งอยู่ที่ถนนสุขมวิท ตำบลนาเกลือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี โดดเด่นด้วยการออกแบบสไตล์โมเดินร์น ผ่านแนวคิด “ชีวิตใหม่ที่ไม่จำกัดอยู่บนเส้นตรง” ด้วยการใช้ความโค้งมนซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากธรรมชาติ มาช่วยทำให้โครงการดูอ่อนช้อยและอบอุ่นยิ่งขึ้น ใส่ใจทุกรายละเอียดของการอยู่อาศัยด้วยการตกแต่งห้องพร้อมอยู่ โดยมีห้องให้เลือกทั้งสิ้น 3 รูปแบบ คือ 1) แบบสตูดิโอ มาพร้อมพื้นที่ใช้สอยขนาด 23.4 ตารางเมตร ลงตัวในการอยู่อาศัยในขนาดที่พอดี ในราคาเริ่มต้น 1.39 ล้านบาท 2) แบบ 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ พื้นที่ใช้สอยขนาด 29.3 ตารางเมตร เพียบพร้อมครบครัน ให้ทุกวันเป็นเหมือนวันแห่งการพักผ่อน ในราคาเริ่มต้น 1.89 ล้านบาท 3) แบบ 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ พื้นที่ใช้สอยขนาด 32.0 ตารางเมตร สะดวกสบายทุกการอยู่อาศัย บนพื้นที่ที่กว้างกว่า ในราคาเริ่มต้น 2.39 ล้านบาท ภายในโครงการเพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ ที่จอดรถ 143 คัน ที่จอดรถจักรยานยนต์ 49 คัน, สระว่ายน้ำระบบเกลือขนาดใหญ่ ที่มีขนาดกว้าง 8 เมตร และยาวถึง 30 เมตร, สวนพักผ่อน สไตล์โมเดิร์น รีสอร์ท ที่จะทำให้คุณตื่นขึ้นมารับอากาศสดชื่น และบริสุทธิ์, ห้องออกกำลังกายพร้อมอุปกรณ์ครบครัน, พิเศษด้วยห้องชมวิวทะเลบนชั้น 19 ที่จะทำให้คุณได้เห็นมุมมองที่สวยงามได้กว้างไกลยิ่งขึ้น และระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชม. ลิฟท์โดยสาร 3 ตัว พร้อม Access Card เข้า-ออกอาคารและเฉพาะชั้น กล้อง CCTV โดยรอบโครงการ สะดวกสบายในการใช้ชีวิต ด้วยศักยภาพของที่ตั้งโครงการที่ตั้งอยู่ติดถนนสุขุมวิท ใจกลางเมืองพัทยา แวดล้อมด้วยสถานที่สำคัญหลายแห่ง ได้แก่ ศาลาว่าการเมืองพัทยา, เมืองจำลอง, พิพิธภัณฑ์ศิลปะในขวดแก้ว,ใกล้โรงพยาบาลเพียง 1.2 กม. โรงพยาบาลกรุงเทพพัทยา, โรงพยาบาลบางละมุง ใกล้สถานศึกษา วิทยาลัยดุสิตธานี พัทยา, โรงเรียนวุฒิโชติ, โรงเรียนโพธิสัมพันธ์พิทยาคาร และใกล้ห้างสรรพสินค้า อาทิ เซ็นทรัล พัทยาเพียง 3 กม. บิ๊กซี, เทสโก้ โลตัส เป็นต้น   “เดอะพอยต์ คอนโด แหลมฉบัง” เริ่มต้นชีวิตสนุก ครบทุกการอยู่อาศัย เชื่อมต่อทุกความสะดวกสบาย ในราคา 7.99 แสนบาท โครงการ “เดอะพอยต์ คอนโด แหลมฉบัง (THE POINT CONDO LAEMCHABANG)” คอนโดมิเนียมแบรนด์ใหม่ล่าสุด ภายใต้การพัฒนาของ บริษัท เดอะ คอนฟิเด้นซ์ จำกัด (บริษัทย่อย) ในเครือควอลิตี้เฮ้าส์ เกิดจากแนวคิด (The Beginning POINT You Can Trust โครงการที่ให้คุณได้ “เริ่มต้นชีวิตสนุก ลงตัวทุกฟังก์ชั่น” โดยตอบสนองทุก Life Style การใช้ชีวิต ภายในโครงการยังมีโซนร้านค้าให้บริการผู้อาศัย พร้อมสวนพักผ่อนและพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ อีกทั้งการเดินทางยังสะดวกสบายห่างจากนิคมฯแหลมฉบังเพียง 1 กม. นอกจากนี้ยังมีสถานที่อำนวยความสะดวกใกล้เคียงมากมาย อาทิเช่น เครือสหพัฒน์ ห้างสรรพสินค้า เรียกได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการใช้ชีวิต จุดศูนย์กลางแห่งการอยู่อาศัยที่แท้จริง) พัฒนาในรูปแบบอาคารสูง 8 ชั้น 4 อาคาร จำนวน 683 ยูนิต บนเนื้อที่โครงการประมาณ 5-1-77 ไร่ ตั้งอยู่ถนนดาวเทียม อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี เพียง 700 เมตรจากถนนสุขุมวิท ครบครันในการใช้ชีวิต ตอบรับทุกไลฟ์สไตล์ ด้วยห้องพักในรูปแบบ Studio ขนาด 26 ตารางเมตร พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการที่มากกว่า ทั้งสวนสวยสไตล์ Modern Resort และพื้นที่สีเขียว, ระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง โดยระบบ CCTV และทีมรักษาความปลอดภัย,  Access card เข้าออกเฉพาะอาคาร, ลิฟท์โดยสารรุ่นใหม่ อาคารละ 2 ตัว โดดเด่นด้วยศักยภาพของทำเล เชื่อมต่อทุกความสะดวกสบาย ใกล้ทั้งแหล่งงานไม่ว่าจะเป็นบริษัทไทยออยล์ นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง หรือเครือสหพัฒน์ ฯลฯ ใกล้แหล่งช้อปปิ้ง ได้แก่ Harbor Mall, Pacific Park (โรบินสัน) และใกล้สถานศึกษาขนาดใหญ่อย่างมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ รายล้อมด้วยสถานพยาบาลหลายแห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลวิภารามแหลมฉบัง โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา โรงพยาบาลพญาไท และโรงพยาบาลสมิติเวช เริ่มต้นชีวิตสนุก กับโครงการ “เดอะพอยต์ คอนโด แหลมฉบัง” ในราคาเริ่มต้นเพียง 799,000 บาท สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.qh.co.th หรือโทร 1388
AP – Mitsubishi Estate Group ประกาศร่วมทุนอย่างเป็นทางการ เดินหน้าเปิดตัวคอนโดโครงการที่ 6 RHYTHM รางน้ำ มูลค่า 2,500 ล้านบาท

AP – Mitsubishi Estate Group ประกาศร่วมทุนอย่างเป็นทางการ เดินหน้าเปิดตัวคอนโดโครงการที่ 6 RHYTHM รางน้ำ มูลค่า 2,500 ล้านบาท

ตอกย้ำผู้นำพัฒนาคอนโดมิเนียมในเมือง บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ประกาศการร่วมทุนอย่างเป็นทางการกับ มิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป หนึ่งในบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศญี่ปุ่น เดินหน้าพัฒนาคอนโดมิเนียมแนวรถไฟฟ้าร่วมกันเป็นโครงการที่ 6 ภายใต้โครงการ RHYTHM รางน้ำ มูลค่า 2,500 ล้านบาท จำนวน 385 ยูนิต  ราคาเริ่มต้น 4 ล้านกว่าๆ ย้ำคีย์ซัคเซสสำคัญ Multiple Connections ครบทุกมิติการเดินทางสู่ใจกลางมหานคร เพียง 100 เมตรจากสถานีรถไฟฟ้าอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เพียง 1 กิโลเมตรถึงทางด่วน และสามารถเชื่อมโยงสู่ 5 ถนนสายหลัก พร้อมเดินหน้าเปิดตัวประมาณปลายเดือนมิถุนายนนี้ ทั้งนี้ สำหรับการร่วมทุนโครงการคอมโดมิเนียม RHYTHM รางน้ำ ดำเนินการภายใต้การลงนามในสัญญาร่วมทุนกับ MJR Investment PTE LTD (“MJRI”) (สิงคโปร์) อันเป็นบริษัทก่อตั้งโดย Mitsubishi Jisho Residence Co., Ltd. (MJR-ญี่ปุ่น) ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ Mitsubishi Estate Co., Ltd. (MEC-ญี่ปุ่น) และจะร่วมกันพัฒนาผ่านบริษัท เอเชี่ยน พร๊อพเพอร์ตี้ (2015) จำกัด โดยมีสัดส่วนการถือหุ้นของแต่ละบริษัทในอัตรา AP 51% : MJRI 49%   บริษัท มิตซูบิชิ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ MEC หนึ่งในผู้นำการพัฒนาตลาดอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจรในประเทศญี่ปุ่น มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ ณ กรุงโตเกียว MEC เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โตเกียว พ.ศ. 2496  ดำเนินงานครอบคลุมการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และการบริหารจัดการโครงการขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจโครงการที่อยู่อาศัย (Residential Properties) ธุรกิจโครงการสำนักงาน (Office Buildings) ธุรกิจศูนย์การค้า (Retail Properties) และธุรกิจโรงแรม (Hotel Business) ซึ่งทุกโครงการมีความโดดเด่นในด้านคุณภาพ การออกแบบสถาปัตยกรรมและการบริหารพื้นที่ใช้สอยอย่างยั่งยืน โดยทีมออกแบบ ทีมควบคุมคุณภาพ และทีมสถาปนิกในเครือบริษัท Mitsubishi Jisho Sekkei Inc. (MJS) ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบและบริหารอสังหาริมทรัพย์ ผลงานที่เห็นได้อย่างชัดเจนในกรุงโตเกียว คือ การพัฒนาโครงการสำนักงานกว่า 30 โครงการ และเป็นผู้พัฒนาเขตธุรกิจสำคัญใจกลางโตเกียว เช่น เขต Marunouchi มานานกว่า 120 ปี โดย Marunouchi เป็นเขตธุรกิจสำคัญที่มี     คลอบคลุมพื้นที่กว่า 1,200,000 ตารางเมตร (120 hectares)  ประกอบด้วยอาคารสำนักงานกว่า 100 อาคาร จำนวนกว่า 4,000 บริษัท และมีพนักงานกว่า 230,000 คน  นอกจากนี้  MEC ยังเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในประเทศญี่ปุ่นมายาวนานกว่า 50 ปี อีกทั้งยังเข้าลงทุนพัฒนาโครงการในหลายๆ ประเทศ อาทิ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ และประเทศในกลุ่มเอเชีย โดยการดำเนินงานผ่านบริษัท MEA ประเทศสิงค์โปร์    
‘เพซ’ ประกาศความสำเร็จ ‘โครงการมหานคร’ สร้างถึงจุดสูงสุดชั้น 77  ที่ความสูง 314 เมตร ขึ้นแท่นอาคารที่สูงที่สุดของไทย

‘เพซ’ ประกาศความสำเร็จ ‘โครงการมหานคร’ สร้างถึงจุดสูงสุดชั้น 77 ที่ความสูง 314 เมตร ขึ้นแท่นอาคารที่สูงที่สุดของไทย

เมื่อวันที่ 29 เมษายน ที่ผ่านมา บริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนา “โครงการมหานคร” โครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับไฮเอนด์ในรูปแบบมิกซ์-ยูส (Mixed-use) ใจกลางกรุงเทพฯ ประกาศความสำเร็จอีกครั้งกับปรากฏการณ์ความยิ่งใหญ่ล่าสุด ในฐานะอาคารที่สูงและหรูหราที่สุดในประเทศไทย ด้วยการก่อสร้างในส่วนของโครงสร้างหลักถึงชั้นที่ 77 ณ ความสูง 314 เมตร พร้อมเป็นแลนด์มาร์คที่สวยสง่าเคียงคู่ขอบฟ้าของกรุงเทพฯ นายสรพจน์ เตชะไกรศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า โครงการมหานครนับเป็นความภาคภูมิใจสูงสุดของเพซ ที่ได้สร้างสถาปัตยกรรมแลนด์มาร์คให้กับประเทศไทย ในโอกาสที่การก่อสร้างโครงสร้างหลักของอาคารมหานครถึงจุดสูงสุดในเดือนเมษายน เราจึงเฉลิมฉลองสถิติใหม่นี้ด้วยการเป็นผู้สนับสนุนหลักคอนเสิร์ตเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยสุดยอดศิลปินโอเปร่าระดับโลก ‘อันเดรอา โบเชลลี’ ภายใต้ชื่อ ‘MahaNakhon a Magical Night with Andrea Bocelli: The World’s Most Beloved Tenor’ เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2558 ที่ผ่านมา ณ รอยัล พารากอน ฮอลล์ สยามพารากอน เนื่องจากมหานครเป็นตึกในกลุ่ม Super tall building และเป็นตึกที่มีความสูงที่สุดในประเทศไทย เราจึงให้ความสำคัญกับรายละเอียดการก่อสร้างและความปลอดภัยเป็นอย่างมาก โดยมีทีมผู้เชี่ยวชาญระดับโลกให้คำปรึกษาด้านการก่อสร้าง และ Bouygues Thai เป็นผู้รับเหมาโครงการภายใต้การกำกับดูแลของบริษัทแม่ Bouygues ฝรั่งเศส ซึ่งเป็น 1 ใน 3 บริษัทผู้รับเหมาระดับโลก จึงมั่นใจได้ว่าโครงการมหานครจะมีมาตรฐานการก่อสร้างระดับเดียวกับอาคารสูงในมหานครระดับโลกอย่างนิวยอร์คหรือโตเกียว “เรามีความตั้งใจให้อาคารมหานครเป็นสถาปัตยกรรมมาสเตอร์พีซที่อยู่คู่กับขอบฟ้าเมืองไทยไปอีก 100 ปี จึงให้ความสำคัญกับการออกแบบทุกรายละเอียด ทั้งภายนอกและภายในตัวอาคารที่มีความละเอียดซับซ้อน โดยในแต่ละชั้นจะมีเลย์เอาท์ที่ไม่เหมือนกัน ทำให้การวางระบบสาธารณูปโภคและการออกแบบตกแต่งภายในต้องมีความพิถีพิถันและใช้เวลามากกว่าโครงการทั่วไป โดยเราได้ดำเนินงานภายในตัวอาคาร ควบคู่กับการก่อสร้างในส่วนโครงสร้างอาคารชั้นบน เพื่อร่นระยะเวลาการก่อสร้าง โดยคาดว่าภายในปีนี้จะสามารถเก็บรายละเอียดภายนอกตัวอาคารได้ทั้งหมด ในส่วนของภายในอาคารจะสามารถทยอยส่งมอบห้องให้กับลูกค้าตั้งแต่ช่วงปลายปี 2558 จนถึงปี 2559” มหานคร เป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับไฮเอนด์ในรูปแบบมิกซ์-ยูส (Mixed-use) ประกอบด้วยที่พักอาศัยระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ เดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน เรสซิเดนเซส บางกอก จำนวน 207 เรสซิเดนซ์ ทุกเรสซิเดนซ์มอบพื้นที่รายล้อมด้วยกระจก สร้างบรรยากาศราวกับลอยอยู่บนฟ้า พร้อมด้วยบริการระดับ 5 ดาวในมาตรฐาน เดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน บูติคโฮเต็ล แบรนด์ บางกอกเอดิชั่น บริหารโดย เดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน จำนวน 159 ห้อง และพื้นที่ไลฟ์สไตล์รีเทล โดยบริเวณชั้นบนสุดของอาคารชั้น 77 ที่ระดับความสูง 314 เมตร เพซได้เตรียมเนรมิต ‘Sky Observation Deck’ และ บาร์ดาดฟ้าเอาท์ดอร์ สำหรับเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ เพื่อชมทัศนียภาพ  ของกรุงเทพฯ ได้อย่างสวยงามในทุกจุดแบบพาโนราม่า “Sky Observation Deck บนชั้น 77 ของโครงการมหานคร จะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ ที่ช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ให้มาเยี่ยมชมความงดงามของภูมิทัศน์ของกรุงเทพฯ ตอบรับนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อนำรายได้เข้าสู่ประเทศไทยของภาครัฐ ซึ่งเราได้ออกแบบอย่างพิถีพิถันเพื่อให้ผู้เยี่ยมชมได้สัมผัสกับวิวทิวทัศน์ละลานตา 360 องศาทั่วทุกมุมของกรุงเทพฯ บนความสูง 314 เมตร ซึ่งรับรองว่าจะสามารถสร้างประสบการณ์ที่น่าประทับใจให้กับผู้เยี่ยมชม ไม่แพ้จุดชมวิวในเมืองหลวงของโลกแห่งอื่นๆ อย่างแน่นอน โดยเราจะเปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมให้ทราบเร็วๆ นี้” นายสรพจน์กล่าวเสริม ทั้งนี้ ล่าสุด บริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้เข้าถือหุ้นในโครงการมหานครทั้งหมดเต็ม 100% จากการซื้อหุ้นคืนจาก บริษัท ไอบีซี ไทยแลนด์ แอลทีดี (IBC) “การเข้าถือหุ้นในโครงการมหานครเต็ม 100% จะช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการบริหารงาน เพื่อประโยชน์สูงสุดของทุกๆ ฝ่าย ทั้งบริษัทฯ ผู้ถือหุ้น และไอบีซี โดยเราพร้อมเดินหน้าอย่างเต็มที่เพื่อให้โครงการมหานครเป็นไปตามแผนงานที่วางไว้” นายสรพจน์ กล่าวสรุป
อิตัลไทยเปิดงานเอ็กซ์โปสุดยิ่งใหญ่ที่ไบเทค ฉลอง 60 ปี โชว์ความหลากหลายเชิงกลยุทธ์ พร้อมคิกออฟแผน 5 ปี  ดันยอดขายโต 2 เท่าสู่ 25,800 ล้านบาท

อิตัลไทยเปิดงานเอ็กซ์โปสุดยิ่งใหญ่ที่ไบเทค ฉลอง 60 ปี โชว์ความหลากหลายเชิงกลยุทธ์ พร้อมคิกออฟแผน 5 ปี ดันยอดขายโต 2 เท่าสู่ 25,800 ล้านบาท

เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2558 ที่ผ่านมา กลุ่มบริษัทอิตัลไทย กลุ่มธุรกิจสำคัญกลุ่มหนึ่งในวงการธุรกิจอุตสาหกรรมก่อสร้าง และธุรกิจพัฒนาโครงการเพื่อการพาณิชย์และฮอสพิทาลิตี้ของประเทศไทย ตลอดระยะเวลา 60 ปีที่ผ่านมา เปิดงานเอ็กซ์โปใหญ่ จัดแสดงสินค้าและบริการของธุรกิจต่างๆ ในกลุ่มบริษัทอิตัลไทย บนพื้นที่จัดแสดง 7,550 ตารางเมตรของศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการฉลองครบรอบ 60 ปีของกลุ่มบริษัทอิตัลไทย และงานเอ็กซ์โปใหญ่ในครั้งนี้ ยังเป็นการคิกออฟแผนธุรกิจ 5 ปี เพื่อเริ่มต้นเดินหน้าอย่างเป็นทางการ ไปสู่เป้าหมายที่ได้ประกาศไปก่อนหน้า ที่จะผลักดันรายได้ให้เติบโตขึ้น 2 เท่าจาก 12,900 ล้านบาท ในปี 2557 เป็น 25,800 ล้านบาท ในระยะเวลา 5 ปีข้างหน้า (หรือปี 2562) งานเอ็กซ์โปใหญ่ของกลุ่มบริษัทอิตัลไทยครั้งนี้ กำหนดจัดขึ้น 1 วันเต็ม ภายใต้ธีมงานที่เรียกว่า ‘Infinite Opportunities’ มีกลุ่มเป้าหมายที่จะเข้ามาชมงานคือกลุ่มลูกค้าปัจจุบันและกลุ่มเป้าหมายที่มีโอกาสเป็นลูกค้าในอนาคต รวมถึงพันธมิตรทางธุรกิจ และนิสิตนักศึกษามหาวิทยาลัยต่างๆ โดย    จัดแสดงสินค้าและบริการของบริษัทต่างๆ จากธุรกิจทั้งหมดของกลุ่มบริษัทอิตัลไทย ซึ่งปัจจุบันธุรกิจของกลุ่มบริษัทอิตัลไทยแบ่งเป็น 2 กลุ่มธุรกิจในสัดส่วนพอๆ กัน และเป็นกลุ่มธุรกิจที่เป็นรากฐานที่สำคัญของเศรษฐกิจประเทศไทย ได้แก่ ‘กลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลและรับเหมาก่อสร้างแบบครบวงจร’ ที่เชื่อมโยงกับโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานภายในประเทศ และ ‘กลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมบริการและไลฟ์สไตล์’ ที่เชื่อมโยงกับภาคการท่องเที่ยวของไทยซึ่งสามารถแข่งขันได้กับทั่วโลก นายยุทธชัย จรณะจิตต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท อิตัลไทย เปิดเผยว่า “เรามีเครื่องจักรกลหนักมากกว่า 30 รายการมาจัดแสดงในงาน รวมไปถึงบริการด้านไลฟ์สไตล์ต่างๆ มากมาย ที่อยู่ในกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมบริการและไลฟ์สไตล์ ทำให้งานเอ็กซ์โปครั้งนี้เป็นการจัดแสดงสินค้าและบริการของธุรกิจในกลุ่มบริษัทอิตัลไทยที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เราเคยจัดมาในประวัติศาสตร์ของเรา โดยเราหวังว่างานเอ็กซ์โปครั้งนี้จะทำให้ผู้เข้าชมงานได้สัมผัสกับความหลากหลายและครอบคลุมของธุรกิจของเรา ดังที่เรากำลังเดินเครื่องเต็มที่ขยายการลงทุนเพื่อรองรับโอกาสที่เกิดจากการเปิดตลาดเออีซี” “ในยุคเออีซี เราจำเป็นต้องเปิดเกมรุกเพื่อที่จะประสบความสำเร็จ ซึ่งตอนนี้เรากำลังขยายโอกาสทั้งในประเทศและต่างประเทศ” นายยุทธชัย กล่าว นายยุทธชัย กล่าวว่า ในงบประมาณการลงทุน 11,000 ล้านบาทที่กลุ่มบริษัทอิตัลไทยวางไว้สำหรับระยะเวลา 5 ปีข้างหน้านั้น จะเป็นงบประมาณที่ลงทุนในปี 2558 นี้ เป็นจำนวนเงินประมาณ 3,000 ล้านบาท นายยุทธชัย เปิดเผยว่า เพื่อเดินหน้าสู่เป้าหมายของกลุ่มบริษัทอิตัลไทยที่จะผลักดันรายได้ให้เติบโตขึ้น 2 เท่าภายในปี 2562 โครงการล่าสุดในกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลและรับเหมาก่อสร้างแบบครบวงจรของกลุ่มบริษัทอิตัลไทย คือ การจัดตั้งหน่วยบริการให้เช่ารถขุดขนาด 20 ตัน ซึ่งมีรถขุดไว้ให้บริการจำนวน 30 คัน ใช้เงินลงทุนทั้งสิ้น 140 ล้านบาท โดยให้บริการลูกค้าแบบ “แพ็กเกจให้เช่าพร้อมบริการสนับสนุนการปฏิบัติงานอย่างเต็มรูปแบบ" “เพื่อให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ของเราที่เน้นการให้บริการที่เป็นเลิศแก่ผู้รับเหมาชั้นนำของไทย เราจะให้บริการทั้งอุปกรณ์  เจ้าหน้าที่ควบคุมเครื่อง  รวมไปถึงการสนับสนุนการปฏิบัติงานแบบครบวงจร ทั้งบริการซ่อมบำรุง บริการชิ้นส่วนอะไหล่ และบริการต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับการเดินเครื่องปฏิบัติงาน โดยการนำเสนอบริการใหม่ที่ครบวงจรนี้ จะช่วยให้ผู้รับเหมาสามารถลดเงินลงทุนในขั้นเริ่มต้นได้ และลดภาระการดูแลสภาพคล่องทางการเงินของโครงการ ตลอดจนช่วยให้ผู้รับเหมาซึ่งเป็นลูกค้าของเราไม่ต้องลงไปจัดการกับการควบคุมเครื่องจักรกลด้วยตัวเอง” นายยุทธชัย กล่าว นอกจากนั้น นายยุทธชัยกล่าวว่า ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ กลุ่มบริษัทอิตัลไทยได้รับการเซ็นสัญญาการก่อสร้างโครงการพลังงานทดแทนมูลค่า 4,900 ล้านบาท ซึ่งจะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าทั้งสิ้น 177 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นกำลังการผลิตจากฟาร์มกังหันลม (wind farms) 90 เมกะวัตต์ และกำลังการผลิตจากโซลาร์ฟาร์ม (solar farm) 87 เมกะวัตต์ ในส่วนกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมบริการและไลฟ์สไตล์ กลุ่มบริษัทอิตัลไทยประกาศว่า ได้เปิดเกมรุกอย่างเต็มกำลัง เพื่อเปิดให้บริการโรงแรมอย่างน้อย 10 แห่ง ในกลุ่มประเทศมหาสมุทรอินเดีย ได้แก่ อินเดีย ศรีลังกา และมัลดีฟส์ ภายในปี 2565 ตามเป้าหมายที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้ให้บริการโรงแรมชั้นนำในภาคพื้นเอเชีย-แปซิฟิก “โรงแรมในอินเดีย แบ่งเป็นประเภทที่หรูหรามากๆ สำหรับตลาดบน และประเภทที่ค่อนข้างไม่เป็นที่รู้จักปะปนกันอยู่สำหรับตลาดล่าง เราจึงเล็งเห็นโอกาสที่เปิดกว้างในอินเดีย สำหรับผู้ประกอบการอย่างเราที่มีศักยภาพสามารถนำเสนอโรงแรมที่ได้มาตรฐานระดับสากล ที่จะทำให้ผู้เข้าพักได้รับประสบการณ์คุณภาพสูง และเชื่อถือได้ ในราคาที่ต่ำกว่าโรงแรมหรูหราระดับลักชัวรี่” นายยุทธชัย กล่าว นายยุทธชัย ยืนยันว่า ในปีหน้า ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป ของกลุ่มบริษัทอิตัลไทย จะเริ่มก่อสร้างโรงแรมแบรนด์อมารี 1 แห่งภายในโครงการเวิลด์ เทรด เซ็นเตอร์ นอยดา ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากกรุงนิวเดลีของอินเดียไปทางตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 20 กิโลเมตร ทั้งนี้ นอยดาเป็นย่านที่ประชากรมีรายได้ต่อหัวสูงสุดในเขตพื้นที่มหานครของอินเดีย โดยโรงแรมดังกล่าวจะประกอบไปด้วยห้องพักโรงแรม จำนวน 120 ห้อง แบรนเดด เรสซิเดนซ์ (Branded Residence) จำนวน 30 ยูนิต ห้องอาหาร 3 แห่ง ห้องจัดประชุมสัมมนา และบรีซ สปา นอกจากนั้น ในปีหน้า ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป ของกลุ่มบริษัทอิตัลไทย จะเริ่มก่อสร้างโครงการ อมารี เรสซิเดนซ์ ซึ่งจะประกอบไปด้วยเซอร์วิส อพาร์ทเมนต์ จำนวน 120 ยูนิต พร้อมด้วยห้องอาหาร  สระว่ายน้ำและห้องออกกำลังกายในเขตคุชราต อินเตอร์เนชั่นแนล ไฟแนนซ์ เทค-ซิตี้ (GIFT) ใกล้กับอาห์เมดาบัดในรัฐคุชราตทางตะวันตกของอินเดีย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ GIFT World Trade Centre ภายในงานเอ็กซ์โปครั้งนี้ ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ปของกลุ่มบริษัทอิตัลไทย ยังมีการแลกเปลี่ยนสัญญาความร่วมมือเพื่อบริหาร 2 โครงการในมาเลเซีย ภายใต้แบรนด์ โอโซ่ ซึ่งเป็นแบรนด์โรงแรม และแบรนด์ ชามา ซึ่งเป็นแบรนด์เซอร์วิสอพาร์ทเมนต์ของกลุ่มบริษัทอิตัลไทย โดย โอโซ่ เมดินี ซึ่งเป็นโรงแรมที่ให้บริการแบบ select-service ตั้งอยู่ใน UMCity Medini Lakeside มีห้องพัก 198 ห้อง จะเปิดให้บริการในปี 2561 และในโครงการเดียวกัน ยังมี ชามา เมดินี ซึ่งเป็นเซอร์วิสอพาร์ทเมนต์ระดับลักชัวรี่ มีห้องพัก 232 ห้อง พร้อมด้วยพื้นที่พักผ่อนและรับประทานอาหาร เจาะกลุ่มเป้าหมายที่เป็นนักธุรกิจที่ต้องเดินทางบ่อยและกลุ่มครอบครัว “ปัจจุบัน ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ปของกลุ่มบริษัทอิตัลไทย มีโครงการโรงแรม รีสอร์ท และเซอร์วิส อพาร์ทเมนต์ในเครือ ที่เปิดให้บริการอยู่แล้วทั้งสิ้น 38 แห่ง มีห้องพักรวมกัน 6,257 ห้อง และที่ยังอยู่ระหว่างการก่อสร้างอีก 18 แห่ง โดยเป้าหมายของเราคือจะต้องมีมากกว่า 100 แห่งภายใน 5 ปีข้างหน้า” นายยุทธชัยกล่าว นายยุทธชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปีนี้ กลุ่มบริษัทอิตัลไทยจะรีแบรนด์ดิ้ง พร้อมดำเนินการปรับปรุงศูนย์การค้าริเวอร์ซิตี้ ซึ่งเป็นแหล่งจำหน่ายสินค้าประเภทศิลปะและของโบราณชั้นนำในกรุงเทพฯ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงปลายปีนี้ สำหรับกิจกรรมที่ถือเป็นไฮไลท์ของงานเอ็กซ์โปภายใต้ธีม Infinite Opportunities ในครั้งนี้ ประกอบไปด้วยการแสดงโชว์การขับเครื่องจักรกลขนาดใหญ่ การชิมไวน์ที่กลุ่มบริษัทอิตัลไทยเป็นผู้นำเข้า การสาธิตการผสมเครื่องดื่มเปอริเอ้ การดื่มด่ำกับชาทีดับเบิลยูจี การจัดประมูลเครื่องเคลือบดินเผาไทยโดยศูนย์การค้าริเวอร์ ซิตี้ และบริการอาหารและเครื่องดื่มพิเศษจากโรงแรมอมารี
เดอะทรัสต์ คอนโด นครปฐม เปิดบ้าน ต้อนรับนักศึกษาจากศิลปากร

เดอะทรัสต์ คอนโด นครปฐม เปิดบ้าน ต้อนรับนักศึกษาจากศิลปากร

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ให้การต้อนรับนักศึกษาชั้นปีที่ 2 สาขาสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตวังท่าพระ วิชาการออกแบบ และคณะอาจารย์ภาควิชารวม 45 คน เข้าร่วมฟังบรรยายในเรื่อง “การพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์” พร้อมนำชมโครงการ เดอะทรัสต์ คอนโด นครปฐม อย่างใกล้ชิด เมื่อเร็วๆนี้   สำหรับโครงการ เดอะทรัสต์ คอนโด นครปฐม พัฒนาในรูปแบบของคอนโดมิเนียม สูง 8 ชั้น 2 อาคาร จำนวน 405 ยูนิต ขนาดเริ่มต้นที่ 23 ตร.ม. ตกแต่งครบพร้อมเข้าอยู่ได้แล้ววันนี้ สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม 1388 หรือ www.qh.co.th
ตึกสูงและความเสี่ยงจากแผ่นดินไหว

ตึกสูงและความเสี่ยงจากแผ่นดินไหว

เหตุการณ์แผ่นดินไหวหลายๆ ครั้งที่เกิดขึ้นทั้งในประเทศไทยเอง และต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นที่ อ.พาน จ.เชียงราย และเหตุการณ์ล่าสุดที่ประเทศเนปาล ทำให้เราตระหนักว่าภัยธรรมชาติชนิดนี้ไม่ได้เป็นเรื่องไกลตัวอีกต่อไป และสิ่งที่ตามมาคือความกังวลเรื่องความปลอดภัยในการอยู่อาศัย โดยเฉพาะผู้อยู่อาศัยในคอนโดมิเนียมหรือตึกสูงๆ ที่มักได้รับความเสียหายรุนแรง ข้อมูลที่รวบรวมและความเห็นจากผู้รู้เหล่านี้อาจพอทำให้เห็นภาพและคลายความ สงสัยได้ระดับหนึ่ง อาคารที่ต้องออกแบบให้รับแรงแผ่นดินไหว ส่วนใหญ่เป็นอาคารที่จะสร้างความเสียหายและส่งผลกระทบต่อคนหมู่มาก เช่น สถานศึกษา สถานพยาบาล ท่าอากาศยาน โรงไฟฟ้า โรงผลิตและเก็บน้ำประปา อาคารสาธารณะ อาคารที่มีผู้ใช้ตั้งแต่ 5,000 คนขึ้นไป อาคารที่มีความสูงมากกว่า 15 เมตร เขื่อนหรือฝายที่สูงเกิน 10 เมตร รวมทั้งสะพานหรือทางยกระดับที่มีช่วงระหว่างตอม่อเกิน 10 เมตรขึ้นไป ลักษณะอาคารที่สามารถต้านแผ่นดินไหวได้ดี ตำแหน่ง เสาต้องสมมาตรในแกนหลักทั้งตามยาวและตามขวางของอาคาร อาคารสูงควรมีกำแพงรับแรง (Shear Wall) หลายชิ้นในตำแหน่งที่กระจายตัวอย่างสม่ำเสมอตลอดผังอาคาร เพื่อต้านทานและถ่ายเทแรงที่กระทำกับอาคารสู่ฐานราก ทั้งจากแรงลม แรงจากน้ำหนักบรรทุก หรือแรงจากแผ่นดินไหว ส่วนเสาอาคารต้านทานควรมีขนาดใหญ่พอ แข็งแรงมีปริมาณเหล็กเสริมตามยาวของเสามาก และมีปริมาณเหล็กปลอกในเสาเพียงพอ อาคารที่เสี่ยงเกิดความเสียหาย อาคาร ที่มีลักษณะไม่สม่ำเสมอ (lrregularity) ในแปลน เช่น รูปตัว L รูปตัว T อาคารที่มีส่วนที่แข็ง เช่น ปล่องลิฟต์วางเยื้องศูนย์มาก อาคารที่มีเสาเล็กเกินไปประเภทเสาสั้น หรืออาคารที่มีการเปลี่ยนแปลงมากในระนาบดิ่ง คือระดับความสูงของเสาชั้นล่างสูงมากกว่าเสาชั้นสองขึ้นไปมาก หรือมีจำนวนเสาน้อยกว่าในชั้นสูงขึ้นไป (มักพบทั่วไปในอาคารที่ทำชั้นล่างเป็นพื้นที่จอดรถ หรือทำชั้นล่างให้มีพื้นที่ใช้สอยกว้าง) คอนโดในเมืองไทย รับแรงแผ่นดินไหวได้ 6 ริกเตอร์ อาคาร สูงในประเทศไทยส่วนใหญ่ถูกออกแบบให้สามารถป้องกันแผ่นดินไหวในระดับ 6 ริกเตอร์ ในขณะที่สถิติการเกิดแผ่นดินไหวล่าสุดที่เกิดขึ้นมีระดับความรุนแรงมากกว่า ทั้งนี้หากไม่อยู่ในบริเวณจุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวก็ไม่น่าจะได้รับความเสีย หายมาก ตึกเตี้ยน่าห่วงกว่าตึกสูง นายกสมาคม วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยฯ กล่าวว่า โดยทั่วไปอาคารสูง 20-30 ชั้นไม่น่าห่วง เนื่องจากได้มีการออกแบบโดยคำนึงถึงแผ่นดินไหวและแรงลมไว้เรียบร้อย ส่วนอาคารสูงประมาณ 7-10 ชั้น ส่วนใหญ่ไม่ได้มีการออกแบบสำหรับต้านทานแรงแผ่นดินไหวและแรงลม
ไทยแลนด์ พร็อพเพอร์ตี้ อวอร์ดส์ ครั้งที่ 10 เตรียมพร้อมประกาศผลรางวัลสุดยอดแห่งวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย

ไทยแลนด์ พร็อพเพอร์ตี้ อวอร์ดส์ ครั้งที่ 10 เตรียมพร้อมประกาศผลรางวัลสุดยอดแห่งวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย

ไทยแลนด์ พร็อพเพอร์ตี้ อวอร์ดส์ ครั้งที่ 10 งานประกาศผลรางวัลอสังหาริมทรัพย์ไทยที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ด้วยการพิจารณามาตรฐานสากล ที่มีความเป็นกลางและโปร่งใส เตรียมจัดงานกาล่าดินเนอร์สุดอลังการที่โรงแรม พลาซ่า แอทธินี ในวันพุธที่ 16 กันยายนศกนี้ มร.เทอร์รี่ แบล็คเบิร์น ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอ็นไซม์ มีเดีย จำกัด บริษัทสื่อด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของเอเชีย ผู้จัดงานประกาศผลรางวัล ไทยแลนด์ พร็อพเพอร์ตี้ อวอร์ดส์ ซึ่งถือเป็นเวทีการประกาศผลรางวัลให้กับโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับพรีเมี่ยมของประเทศ กล่าวว่า สำหรับงานประกาศผลรางวัล ไทยแลนด์ พร็อพเพอร์ตี้ อวอร์ดส์ 2015 ครั้งนี้ถือเป็นครั้งพิเศษเนื่องจากครบรอบปีที่ 10 การจัดงานเพื่อมอบรางวัลอันทรงเกียรติครั้งนี้ มีกำหนดจัดขึ้นในวันพุธที่ 16 กันยายน 2558 โดยจะมีการมอบรางวัลให้กับโครงการอสังหาริมทรัพย์ทั้งในกรุงเทพฯ เชียงใหม่ พัทยา ภูเก็ต หัวหิน เขาใหญ่ พังงา กระบี่ และสมุย “ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ในช่วงกว่าทศวรรษที่ผ่านมาของรางวัลไทยแลนด์ พร็อพเพอร์ตี้ อวอร์ดส์ เป็นข้อพิสูจน์ถึงมาตรฐานระดับสูงที่โครงการอสังหาริมทรัพย์ และบริษัทผู้พัฒนาหลายบริษัท ต่างให้เกียรติร่วมเป็นส่วนหนึ่งตั้งแต่ปี 2549 เป็นต้นมารางวัลเหล่านี้ถือเป็นเกณฑ์มาตรฐานที่ชี้วัดคุณภาพและความน่าเชื่อถือ ที่สุดยอดโครงการอสังหาริมทรัพย์และบริษัทผู้พัฒนาโครงการของภูมิภาค ” มร.เทอร์รี่ แบล็คเบิร์น กล่าว ทั้งนี้กำหนดการนำเสนอชื่อโครงการหรือบริษัทจะปิดรับในวันที่ 15 พฤษภาคมนี้ ขณะนี้มีผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อจากสาธารณชนทั่วไปและคนในวงการอสังหาริมทรัพย์หลั่งไหลเข้ามาตั้งแต่ต้นปีเป็นจำนวนมาก โครงการทั้งหมดจะได้รับการพิจารณาโดยคณะกรรมการอิสระผู้ทรงคุณวุฒิในวงการอสังหาริมทรัพย์จากทั่วประเทศ  ด้วยมาตรฐานขั้นตอนการพิจารณาและตัดสินที่ครอบคลุมและละเอียดถี่ถ้วนมากที่สุดในโลก โดยคณะกรรมการจะเข้าเยี่ยมชมโครงการที่ผ่านเข้ารอบ ก่อนการตัดสินครั้งสุดท้าย และกระบวนการทั้งหมดจะถูกตรวจสอบโดย บีดีโอ อินเตอร์เนชั่นแนล บริษัทตรวจสอบบัญชีรายใหญ่ที่สุดที่ได้รับความไว้วางใจมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยมี พอล แอชเบิร์น กรรมการผู้จัดการบีดีโอ อินเตอร์เนชั่นแนล เป็นผู้ดูแลและตรวจสอบกระบวนการพิจารณาตัดสิน “เราได้พิสูจน์ให้เห็นมาแล้วในช่วงหลายปีที่ผ่านมาว่า เราได้ทุ่มเทกับกระบวนการพิจารณาตัดสินรางวัลมากเพียงใด ซึ่งทำให้ผู้ชนะรางวัลได้รับความน่าเชื่อถือ และสาธารณชนก็ให้การยอมรับว่าโครงการที่ได้รับการคัดเลือกนั้นสุดยอดของสุดยอดจริงๆ รางวัลต่างๆ ได้รับการพิจารณาตัดสินโดยคณะกรรมการอิสระ ทำให้มั่นใจได้ว่าผู้ชนะรางวัลคือสุดยอดของสุดยอดเท่านั้น ” มร.เทอร์รี่ แบล็คเบิร์น กล่าว รางวัลชนะเลิศในปีนี้มีทั้งหมด 24 ประเภท ส่วนรางวัลที่เป็นสุดยอดของค่ำคืน คือรางวัลผู้พัฒนายอดเยี่ยม (Best Developer) และรางวัลโครงการคอนโดมิเนียมหรูยอดเยี่ยม (Best Luxury Condo Development (Bangkok) ซึ่งในปีที่แล้ว ผู้ชนะได้แก่ บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) และโครงการเดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน เรสซิเดนซ์ แบงคอค ของบริษัท เพซ  ดีเวลล็อปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เชื่อว่าทั้งสองรางวัลนี้จะมีการขับเคี่ยวกันอย่างเข้มข้นในปี 2558 นี้  นอกจากนี้ยังมีรางวัลพิเศษที่มอบให้กับบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ให้ความสำคัญกับชุมชนและสิ่งแวดล้อม โดยผู้ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศทั้งหมดในประเทศไทยจะได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลรอบสุดท้ายในงาน เซ้าธ์ อีสท์ เอเชีย พร็อพเพอร์ตี้ อวอร์ดส์ 2015 (South East Asia Property Awards 2015) ซึ่งจัดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 โดยงานจะจัดขึ้นในวันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม 2558 ณ โรงแรมแชงกรี-ล่า ที่ประเทศสิงคโปร์  กับอีกรางวัลพิเศษสุด Property Report Real Estate Personality of the Year หรือรางวัลบุคคลแห่งวงการอสังหาริมทรัพย์แห่งปี 2015 ซึ่งจะมีการคัดเลือกโดยบรรณาธิการนิตยสารอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของภูมิภาค มอบให้กับบุคคลผู้ทรงอิทธิพลมากที่สุดในวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยในปีที่แล้ว เป็นเพียงรางวัลเดียวที่มีขั้นตอนการพิจารณาแตกต่างจากรางวัลอื่นๆ และคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิอิสระมิได้เป็นผู้คัดเลือก ในปีนี้ยังเปีนปีที่กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ คุณสัญชัย เนื่องสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บิวเดอร์สมาร์ท จำกัด (มหาชน) ครบวาระการดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการในปีที่ 3 ถือเป็นการทำหน้าที่เป็นปีสุดท้าย  กรรมการผู้ทรงเกียรติท่านอื่นๆ ในคณะกรรมการกลาง ได้แก่ คุณเทเรซ่า บีสตี้ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอคเซส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด  คุณสุคนธ์ ชาญปรีดา กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอชเอ็มดี เอเชีย จำกัด (HMD Asia)        คุณมาร์ค ดี เรมี่แจน พาร์ทเนอร์ และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัท คีรี ทราเวิล กรุ๊ป คุณอัญชลิกา       กิจคณากร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเอชเอ็มเอส (AHMS)  คุณสุพินท์ มีชูชีพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โจนส์ แลง ลาซาลล์ (ประเทศไทย) จำกัด ดร.ธีรธร ธาราไชย ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัท โปรเจค แพลนนิ่ง เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) และ คุณอแมนด้า อึ้ง ผู้จัดการฝ่ายเทคนิค บริษัท แลงดอน แอนด์ เซียห์ (ประเทศไทย) จำกัด หัวหน้าคณะกรรมการตัดสินระดับภาค ได้แก่ คุณคีธ ฮัมฟรีย์ส กรรมการผู้จัดการ บริษัท คีธ ฮัมฟรีย์ส แอนด์ แอสโซซิเอทส์ (สำหรับเชียงใหม่)  คุณเคลย์ตัน เวด กรรมการผู้จัดการ บริษัท พรีเมียร์ โฮมส์ เรียล เอสเตท (สำหรับชายฝั่งทะเลตะวันออก)  คุณรัส ดาวนิ่ง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฮ็อต หัวหิน จำกัด (สำหรับหัวหิน)  คุณโรเบิร์ต คูปริก้า ซีเนียร์ พาร์ทเนอร์ บริษัท ฮิวจ์ส คูปริก้า (สำหรับภูเก็ต) และคุณคริสเตียน แกลนวิลล์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ลิ้มเจริญ (สำหรับสมุย) สำหรับผู้สนับสนุนงานในปีนี้ในฐานะ Gold Sponsor ประกอบด้วย โจนส์ แลง ลาซาลล์ ประเทศไทย และ ฮันส์โกรเฮ่ บริษัทเจ้าของรางวัลประกวดหลายรางวัล ที่เชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์อาบน้ำและฝักบัวระดับหรู  นอกจากนี้งานประกาศรางวัล ไทยแลนด์ พร็อพเพอร์ตี้ อวอร์ดส์ ยังได้รับเกียรติจากสมาคมธุรกิจชั้นนำของไทย ได้แก่ หอการค้าอังกฤษ หอการค้าไอริช ไทย และหอการค้าสวิเดนอีกด้วย  ผู้สนใจสามารถซื้อบัตรเข้าร่วมงานได้ที่ www.ensign-media.com ทุกที่นั่งจะได้รับของว่างค็อคเทล ดินเนอร์    4 คอร์ส เครื่องดื่มประเภทไวน์ เบียร์ และซอฟท์ดริ้งค์ต่างๆ ตลอดงาน โดยงานประกาศและมอบรางวัลดังกล่าวยังเป็นโอกาสอันดีที่จะได้พบปะพูดคุยสังสรรค์ และแลกเปลี่ยนมุมมองความคิดกับคนในแวดวงอสังหาริมทรัพย์   ทั่วประเทศอีกด้วย สำหรับรางวัล ไทยแลนด์ พร็อพเพอร์ตี้ อวอร์ดส์ จัดขึ้นเป็นครั้งแรกในปี 2549 โดยสร้างสุดยอดมาตรฐานให้กับวงการอสังหาริมทรัพย์ในภูมิภาคเอเชีย มีบริษัท เอ็นไซน์ มีเดีย จำกัด เป็นผู้จัดงาน และได้รับการสนับสนุนโดยบริษัทสื่อสิ่งพิมพ์ชั้นนำในแต่ละประเทศ ตลอดจนผู้สนับสนุนระดับเฟิร์สคลาส เป็นรางวัลที่มอบให้กับสุดยอดแห่งวงการอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้งสุดยอดด้านสถาปัตยกรรม และการตกแต่งภายในของโครงการในกรุงเทพฯ เชียงใหม่ ชายฝั่งทะเลตะวันออก ภูเก็ต สมุย และหัวหิน และอีก 3 ทำเลเพิ่มเติม ได้แก่ เขาใหญ่ พังงา และกระบี่
หมอชิต จตุจักร กำลังจะเป็นศูนย์กลางธุรกิจแหล่งใหม่ของกรุงเทพ

หมอชิต จตุจักร กำลังจะเป็นศูนย์กลางธุรกิจแหล่งใหม่ของกรุงเทพ

ย่านหมอชิต จตุจักร บริเวณกรุงเทพตอนเหนือที่ห่างไกลแหล่งธุรกิจทั้งย่านสีลมและสุขุมวิทเป็นอย่างมาก สำหรับคนกรุงอาจจะนึกถึงสวนจตุจักร ตลาด อตก. และ ห้างเซ็นทรัลลาดพร้าว แต่สำหรับคนต่างจังหวัดสิ่งแรกที่นึกถึงคือ สถานีขนส่งหมอชิต (จตุจักร) สถานีขนส่งสายเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ ก่อนที่จะถูกสถานีรถไฟฟ้ายึดพื้นที่ไปทั้ง BTS และ MRT เพื่อช่วยให้การเดินทางระหว่างจตุจักรไปยังจุดต่างๆ ของ กทม. สะดวกและรวดเร็วขึ้น เมื่อมีรถไฟฟ้า BTS และ MRT เกิดขึ้น สถานีขนส่งผู้โดยสารหมอชิตเดิมก็ถูกยึดและต้องย้ายตัวเองออกไปที่ใหม่ แต่ก็ไม่ไกลจากจตุจักรอยู่ดี เสริมให้บริเวณนี้เป็นเสมือนจุดเชื่อมของระบบคมนาคมที่สำคัญ จึงเป็นพื้นที่ทำเล HIT&HOT ตลอดกาล ไม่ว่าจะเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หรือผู้ที่ต้องการจับจองเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ แต่ความแออัดก็ยังคงไม่เปลี่ยนไปแม้ว่ากาลเวลาจะผ่านพ้นไปกี่สิบปี ด้วยจุดเด่นของการเป็นจุดเชื่อมต่อระบบคมนาคม แต่แตกต่างจากบริเวณอื่นที่มีความแออัดเพราะนอกจากเรื่องระบบการคมนาคมที่เป็นจุดเด่นสำคัญแล้ว ยังเป็นปอดใหญ่ของกรุงเทพที่มีพื้นที่กว่า 765ไร่ ทั้งสวนจตุจักร สวนรถไฟ สวนสมเด็จฯ ถ้าเลยไปอีกนิดตรงย่านบางซื่อ กำลังจะมีโครงการของรัฐเด็ดๆขึ้นอีก 2แห่งคือ โครงการสถานีกลางบางซื่อ โดยจะย้ายศูนย์กลางรถไฟจากหัวลำโพงมาอยู่ที่บางซื่อ ซึ่ง เป็นศูนย์กลางที่มีทั้งรถไฟฟ้าสายสีแดง สายสีน้ำเงิน รถไฟชานเมือง รถไฟทางไกลและ รถไฟความเร็วสูง เชื่อมต่อกันหมดที่สถานีนี้ ( ถ้าเราเคยไปประเทศแถบยุโรป ก็จะเห็นสถานีแบบนี้แถบทุกเมืองใหญ่ สถานีที่เป็นศูนย์กลางคมนาคม ) โครงการทางเชื่อม พลาซ่าใต้ดิน และ BRT โดยจะมีการสร้างพลาซ่าใต้ดินเดินเชื่อมถึงกันหมดขนาดใหญ่โตเหมือนเมืองนอก และมี BRT วิ่งวนเป็นวงกลมรอบๆบริเวณ โครงการพัฒนาที่ราชพัสดุหมอชิต มูลค่าโครงการ 2 หมื่นล้านบาท ที่เป็นการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนที่ยังอยู่ในขั้นตอนของการแก้ไขกฎหมาย โดยรูปแบบจะเป็นโครงการเชิงพาณิชย์ที่เป็นทั้งศูนย์การค้า ที่อยู่อาศัยและอาคารสำนักงาน เมื่อโครงการเหล่านี้สร้างเสร็จ พื้นที่บริเวณนี้จะต้องเป็นศูนย์กลางธุรกิจและคมนาคมแห่งใหม่ของกรุงเทพอย่างแน่นอน มีการคาดการณ์กันว่ามูลค่าราคาที่ดินบริเวณนี้จะแพงขึ้นถึง ตารางวาละ 1 ล้านบาท ในอีกไม่เกิน 5 ปีข้างหน้าอย่างแน่นอน บรรดานักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีที่ดินบริเวณนี้ จึงเริ่มทะยอยเปิดตัวโครงการกันบ้างแล้วหลายเจ้า แม้จะมีความน่าสนใจสูงถึงสูงมากในการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์บนพื้นที่บริเวณนี้ แต่ต้นทุนก็สูงมากหากประเมินการลงทุนผิดพลาดมีโอกาสเจ็บตัวหนักๆ ได้เช่นกัน ที่มา : hiaimhigh.com
‘เพซ’ เปิดตัว “คันทรี่ คลับ คุณภาพระดับเวิลด์คลาส” แห่งแรกในไทย! ณ “โครงการมหาสมุทร หัวหิน” ครบครันทั้งกิจกรรมเด่น บริการเลิศ และดีไซน์หรู

‘เพซ’ เปิดตัว “คันทรี่ คลับ คุณภาพระดับเวิลด์คลาส” แห่งแรกในไทย! ณ “โครงการมหาสมุทร หัวหิน” ครบครันทั้งกิจกรรมเด่น บริการเลิศ และดีไซน์หรู

เมื่อวันอังคารที่ 31 มีนาคม 2558 ที่ผ่านมา บริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ประกาศเปิดตัว “มหาสมุทร คันทรี่ คลับ หัวหิน”  คุณภาพระดับเวิลด์คลาสแห่งแรกของไทย ณ โครงการมหาสมุทร หัวหิน” ตั้งอยู่ที่ซอยหัวหิน 112 บนเนื้อที่ 120 ไร่ มาตรฐานครบครันและเอ็กซ์คลูซีฟสูงสุดเฉพาะสมาชิกเทียบเท่าไพรเวท คันทรี่ คลับที่ดีที่สุดในโลก ตอบโจทย์ทุกความต้องการของสมาชิกทุกเพศ ทุกวัย และทุกไลฟ์สไตล์อย่างแท้จริง ครบครันทั้งด้านกีฬา สันทนาการ สุนทรียภาพความบันเทิง และความอร่อย มอบความเป็นส่วนตัว สงบ สะดวก สบาย ดูแลบริหารงานโดยทีมงานมืออาชีพระดับโลก พิเศษสุดด้วย “คริสตัล ลากูน” ทะเลสาบน้ำใสแมน-เมดสีฟ้าเทอร์ควอยซ์ ขนาดมหึมากว่า 45 ไร่ ใหญ่ที่สุดในเอเชีย ด้วยมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 2,300  ล้านบาท นายสรพจน์ เตชะไกรศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “มหาสมุทร คันทรี่ คลับ หัวหิน คือไพรเวท คันทรี่ คลับแห่งแรกของไทยที่กล่าวได้อย่างเต็มภาคภูมิว่าได้มาตรฐานระดับโลกและครบวงจรอย่างแท้จริง ในอัตราค่าสมาชิกที่คุ้มค่ากว่าถึง 2 – 3 เท่า เมื่อเทียบกับคันทรี่ คลับหรูๆ ระดับเดียวกันในเอเชีย” และกล่าวเสริมว่า “มหาสมุทร  คันทรี่ คลับ หัวหิน ตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้ที่มองหาศูนย์รวมกิจกรรมคุณภาพและพร้อมสรรพทั้งสำหรับตนเองและสมาชิกทุกคนในครอบครัวในช่วงวันหยุดพักผ่อน ไม่ว่าจะเป็นด้านกีฬา กิจกรรมสันทนาการ  กิจกรรมความบันเทิง ร้านอาหารแสนอร่อย  ที่สำคัญคือ มอบความเป็นส่วนตัว สะดวก สงบและสบาย ด้วยบริการเอ็กซ์คลูซีฟ แบบส่วนบุคคลเฉพาะสมาชิก ในสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัย และตั้งอยู่ในเมืองตากอากาศยอดนิยมอย่างหัวหิน และเป็นเมืองที่คนกรุงเทพฯ เลือกซื้อเป็นบ้านหลังที่ 2 มากที่สุด สามารถเดินทางสะดวกสบายได้เสมอที่ต้องการ ” “หัวหินเป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ด้านการท่องเที่ยว โดยเป็นเมืองตากอากาศยอดนิยมทุกยุคสมัยของคนกรุงเทพฯ เนื่องจากมีทัศนียภาพทางธรรมชาติที่สวยงาม และมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อีกทั้งไม่ไกลจากกรุงเทพฯ ทำให้หัวหินเป็นหนึ่งในเมืองที่มีศักยภาพการเติบโตสูง เนื่องจากมีการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานจากทางภาครัฐ และการลงทุนในธุรกิจอสังหาฯ ธุรกิจบริการ และรีเทลอย่างต่อเนื่อง เพซ เชื่อมั่นว่า องค์ประกอบ อันเป็นเอกลักษณ์ทั้งทะเลสาบน้ำใสแมน-เมดขนาด 45 ไร่ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ประกอบกับการบริหารและดูแลอย่างใกล้ชิดโดยทีมงานมืออาชีพมากประสบการณ์ระดับโลก ด้วยมูลค่าโครงการ (เฉพาะคันทรี่ คลับ และ คริสตัล ลากูน) ที่สูงถึง 2,300 ล้านบาท ด้วยคุณภาพซูเปอร์ลักชัวรี่ของเพซ จะทำให้มหาสมุทร คันทรี่ คลับ ได้รับ การตอบรับเป็นอย่างดีจากกลุ่มเป้าหมายทั้งครอบครัวชาวไทยและต่างชาติ โดยเราตั้งเป้ายอดสมาชิกคันทรี่ คลับไว้ที่ 1,000  เมมเบอร์ภายในปี 2558 โดยคาดว่าจะดึงดูดกลุ่มเป้าหมายคิดเป็นสัดส่วน 75% สำหรับผู้ซื้อไทย และ 25% สำหรับผู้ซื้อต่างชาติ” คุณสรพจน์กล่าว มร. เจมส์ แมคมานามาน ผู้จัดการมหาสมุทร คันทรี่ คลับ ณ โครงการมหาสมุทร หัวหิน กล่าวว่า “มหาสมุทร คันทรี่ คลับ หัวหิน ได้รับการออกแบบทั้งด้านกิจกรรม การบริการ และการดีไซน์ อย่างโดดเด่นด้วยมาตรฐานระดับเวิลด์คลาส เพื่อตอบโจทย์ความต้องการแต่ละสมาชิกแบบสุดเอ็กซ์คลูซีฟ โดยแบ่งบริการออกเป็น 4 ด้านหลัก ได้แก่ ด้านกีฬา ครบวงจรทั้งทางน้ำ กลางแจ้ง และในร่ม อาทิ สระว่ายน้ำมาตรฐานโอลิมปิก สนามฟุตบอล รักบี้ คริกเกร็ต เทนนิส สควอช สนามพัตต์กอล์ฟ วินเซิร์ฟ เรือใบ ไต่ผา โยคะ พิลาทิส และฟิตเนส ด้านสันทนาการ ศูนย์รวมกิจกรรมนันทนาการ ทั้งศิลปะ การทำอาหาร งานฝีมือ สปา ซาวน่า ด้านความบันเทิง อาทิ ห้องฉายภาพยนตร์ส่วนตัว และโรงภาพยนตร์ การชิมไวน์ เทสต์วิสกี้ และการแสดงพิเศษต่างๆ ความอร่อย ร้านอาหารหลากสไตล์หลายรสชาติความอร่อย ดูแลและให้คำปรึกษาโดยเชฟระดับมิชลินสตาร์ 3 ดาว อาทิ ร้านหรูแบบเมดิเตอร์เรเนียน เมมเบอร์เลาจน์ บีชบาร์ สปอร์ตคาเฟ่ “เราให้บริการโดยมุ่งเน้นมอบความเป็นส่วนตัว สงบ สะดวก สบาย ทั้งนี้ทีมงานของเราจะได้รับการฝึกอบรมอย่างหนัก เพื่อความเป็นมืออาชีพ และความพิเศษในการดูแลสมาชิกแต่ละท่าน โดยเรามีทีมงานที่เคยมีประสบการณ์ทำงานไม่ว่าจะเป็นการบริหารที่ฮ่องกงคลับ เป็น F&B Director ที่โรงแรมแมนดาริน  โอเรียนเต็ล ฮ่องกง รวมถึง Hotel Manager ที่โรงแรมเพนนินซูล่า ฮ่องกง ซึ่งเป็นโรงแรมที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในโรงแรมที่หรูที่สุดในโลกและมีบริการดีเยี่ยมสุด       เอ็กซ์คลูซีฟ เพื่อมอบความพึงพอใจและสร้างความประทับใจสูงสุดให้กับสมาชิก ซึ่งจะหาได้เฉพาะที่มหาสมุทร คันทรี่ คลับ หัวหิน หรือไพรเวท คันทรี่ คลับระดับโลกเท่านั้น ซึ่งในเอเชียก็จะมีที่ฮ่องกง และที่สิงคโปร์ โดยสนนราคาสมาชิกก็จะสูงกว่าของเรา 2 – 3 เท่าเลยทีเดียว” คุณเจมส์กล่าวเสริมว่า “จุดโดดเด่นของกิจกรรมกีฬาทั้งกลางแจ้งและในร่มที่มหาสมุทร คันทรี่ คลับ หัวหิน คือ เรามอบมาตรฐานสูงสุดระดับโลกทั้งด้านความปลอดภัย การออกแบบอุปกรณ์ที่ทันสมัย การดูแลบำรุงรักษา ทั้งนี้ นอกจากการเล่นน้ำในคริสตัล ลากูนแล้ว ผู้พักอาศัยยังสามารถพายเรือคายัค เล่นวินด์เซิร์ฟ เรือใบ และดำน้ำ ณ มหาสมุทร คันทรี่ คลับ หัวหิน ได้อีกด้วย ซึ่งยังไม่เคยมีมาก่อนในประเทศไทย” “เราได้นำทุกองค์ประกอบและบริการชั้นเลิศทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมด้านกีฬาที่ออกแบบโปรแกรมโดยทีมโค้ชนักกีฬาระดับโลก ด้านสันทนาการ ความบันเทิง และความเอร็ดอร่อย ที่คัดสรรมาในระดับคุณภาพสูงสุดรวมไว้ในที่เดียว มหาสมุทร คันทรี่ คลับ หัวหิน คือจุดหมายปลายทางแห่งการพักผ่อนเหนือระดับสำหรับทุกความต้องการของทุกคนในครอบครัวอย่างที่ไม่สามารถหาได้จากที่ไหน” คุณสรพจน์กล่าวสรุป มหาสมุทร คันทรี่ คลับ หัวหิน จะเริ่มเปิดขายสมาชิกคันทรี่ คลับในเดือนเมษายน 2558 ที่ “มหาสมุทร คันทรี่ คลับ เซลส์ สวีท” กรุงเทพฯ (ตั้งอยู่ ณ โครงการมหานคร ถ. นราธิวาสราชนครินทร์ ช่วงสาทร – ช่องนนทรี และที่ “โครงการมหาสมุทร หัวหิน” (ซอยหัวหิน 112) เปิดรับสมาชิกทั้งแบบบุคคล แบบองค์กร (เพื่อผู้บริหารระดับสูง) แบบครอบครัว ทั้งแบบตลอดชีพและรายปี ในราคาเริ่มต้นแบบส่วนบุคคลที่ 500,000 บาท ไปจนถึงแบบครอบครัว ตลอดชีพในราคาเริ่มที่ 1 ล้านบาท ทั้งนี้ มหาสมุทร คันทรี่ คลับ หัวหิน เฟสที่ 1  คาดว่าจะแล้วเสร็จกลางปี 2559  และ เสร็จสมบูรณ์ภายในปลายปี 2560 ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับมหาสมุทร คันทรี่ คลับ หัวหินได้ที่ www.mahasamutr.com
เฟรเกรนท์ฯ เปิดขาย “ซิกส์ เอเลเมนท์ นาจอมเทียน” คอนโดมิเนียมสุดหรูติดหาดนาจอมเทียน เริ่มต้นเพียง 4.39 ลบ. 28 มี.ค. นี้ PRE-SALE รับโปรฯ สุดพิเศษก่อนใคร

เฟรเกรนท์ฯ เปิดขาย “ซิกส์ เอเลเมนท์ นาจอมเทียน” คอนโดมิเนียมสุดหรูติดหาดนาจอมเทียน เริ่มต้นเพียง 4.39 ลบ. 28 มี.ค. นี้ PRE-SALE รับโปรฯ สุดพิเศษก่อนใคร

เฟรเกรนท์ กรุ๊ป เตรียมเปิด PRE-SALE “ซิกส์ เอเลเมนท์ นาจอมเทียน” คอนโดมิเนียมสุดหรูติดหาดนาจอมเทียน ครั้งแรก ในวันที่ 28 มีนาคมนี้ ณ โรงแรมฮิลตัน สุขุมวิท 24 ชูจุดเด่นคอนโดทีมีหาดทรายสวยพร้อมใกล้ชิดธรรมชาติและแวดล้อมไปด้วยหมู่เกาะต่างๆ  สะดวกครบครันในการอยู่อาศัย ด้วยการออกแบบที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม พร้อมพื้นที่ตอบสนองกิจกรรมในหลายรูปแบบที่หาไม่ได้ในคอนโดทั่วๆไป อาทิ สนามฝึกขี่ม้า Diving Aquarium สำหรับฝึกดำน้ำพร้อมลงทะเลจริง ปีนเข้า สระว่ายน้ำ (lap pool) โยะคะ Pavilion ฟิตเนส ที่บริหารโดย เอวาซอน เพื่อให้ได้คุณภาพและประสบการณ์การอยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบและเหมาะกับทุกคนในครอบครัว ในราคาเริ่มต้นเพียง 4.39 ล้านบาท พร้อมโปรโมชั่นสุดพิเศษเมื่อจองในงาน รับส่วนลดสูงสุดมูลค่ารวมกว่า 1 ล้านบาท นายเจมส์ ดูอัน  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เฟรเกรนท์ กรุ๊ป กล่าวถึงการเปิดขายโครงการคอนโดมิเนียม ซิกส์ เอเลเมนท์ นาจอมเทียน ว่า “บริษัทฯ เตรียมจัด PRE-SALE โครงการ “ซิกส์ เอเลเมนท์ นาจอมเทียน” โดยมี เอวาซอน กลุ่มบริหารโรงแรม ในเครือของ ซิกส์เซ้นส์ โฮเทลส์ รีสอร์ทส์ สปาส์ เป็นพันธมิตรในการช่วยเสริมคุณภาพการอยู่อาศัยให้สมบูรณ์แบบ เริ่มเปิด Pre-Sale ในวันที่ 28 มีนาคม 2558 นี้ ที่ โรงแรมฮิลตัน สุขุมวิท 24  ภายในงานลูกค้าจะได้รับข้อมูล และรายละเอียดของโครงการอย่างครบถ้วน ซึ่งเป็นการเปิดการขายเป็นครั้งแรก นอกจากนี้ยังมีสิทธิพิเศษมากมาย สำหรับผู้ที่จองภายในงาน รับส่วนลดสูงสุดมูลค่ารวมกว่า 1 ล้านบาท โดยโครงการ “ซิกส์ เอเลเมนท์ นาจอมเทียน” ตั้งอยู่บริเวณซอยนาจอมเทียน 8 และ 10 จังหวัดชลบุรี สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 02 652 9999 หรือ www.fragrantgroup.com/sixthelement” โครงการ “ซิกส์ เอเลเมนท์ นาจอมเทียน” มีการพัฒนาโครงการ ในรูปแบบ Mixed Use บนพื้นที่รวมกว่า 30 ไร่ มีพื้นที่ภายในโครงการประกอบไปด้วย ส่วนโรงแรม พื้นทีรีเทล และ คอนโดมิเนียมพักอาศัย 5 อาคาร โดยโครงการ “ซิกส์ เอเลเมนท์ นาจอมเทียน” ได้ถูกออกแบบให้มีพื้นที่ใช้สอยที่หลากหลายตรงกับความต้องการของผู้พักอาศัย ตั้งแต่พื้นที่ใช้สอยภายในห้องและพื้นที่ส่วนกลาง พื้นที่ใช้สอยในห้องชุด เริ่มต้นตั้งแต่ 37 - 206 ตารางเมตร ซึ่งเราเน้นพื้นที่ใช้สอยที่มีขนาดกว้างขึ้นกว่าโครงการอื่นๆ เพื่อให้ทุกวันเป็นเสมือนวันแห่งการพักผ่อน ในแต่ละอาคารได้รับการออกแบบและก่อสร้างด้วยระบบป้องกันแผ่นดินไหว และใช้ระบบพื้นคอนกรีตเสริมเหล็กอัดแรง จึงทำให้มั่นใจในเรื่องความแข็งแรงของโครงสร้าง ส่วนในโครงการยังประกอบไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่ครบครันและเหมาะกับทุกคนในครอบครัว เริ่มตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้าโครงการจะพบกับล็อบบี้ต้อนรับที่โปร่งสบาย  สระว่ายน้ำ และสระว่ายน้ำสำหรับเด็ก ผนังปีนเขา สนามเด็กเล่น อาคารพักผ่อนบริเวณสระน้ำ สระน้ำสำหรับฝึกดำน้ำ ลู่วิ่งสำหรับออกกำลังกาย สวนดอกไม้นานาชนิดซึ่งจะผลัดเปลี่ยนสีไปตามฤดูกาล สวนผลไม้และผักออร์แกนิค ลานบาร์บีคิว พร้อมคลับเฮ้าส์ ฟิตเนส และลานกิจกรรมโยคะ สนามฝึกขี่ม้า ควบคุมการเข้า-ออก ผ่านระบบคีย์การ์ดที่ทันสมัย พร้อมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทำงานตลอด 24 ชั่วโมง ทีวีวงจรปิดและระบบบันทึก CCTV สำหรับหลักการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของเฟรเกรนท์ กรุ๊ป คือการให้ความสำคัญในเรื่องของการรักษาสิ่งแวดล้อม ในโครงการนี้ได้รับการจัดระบบบำบัดน้ำเสียจากห้องพัก และอาคาร ให้สามารถนำกลับมาใช้ในการดูแลพื้นที่ส่วนกลางเพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการดูแลโครงการ นอกจากนี้ยังนำระบบน้ำอุ่นที่มาจากพลังงานความร้อนของเครื่องปรับอากาศในแต่ละยูนิตมาเปลี่ยนเป็นน้ำอุ่นทำให้สามารถลดการใช้พลังงานลงได้, มีระบบการผลิตน้ำบริสุทธิ์เพื่อการบริโภค, ระบบลำโพงใต้น้ำเพื่อเพิ่มสุนทรียภาพในการพักผ่อน, เครื่องช่วยว่ายน้ำและระบบไฮโดรเธอราปิฟลอร์เจ๊ท ใส่ใจดูแลผู้อยู่อาศัยด้วยการออกแบบที่เพิ่มความสะดวกสำหรับผู้พิการและคนสูงวัย
เนาวรัตน์ฯ ทุ่ม 600 ล้านบาท เปิดตัว “มานะพัฒนาการ” เดินหน้ารุกธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ พร้อมสานต่อโครงการ “บารานี”

เนาวรัตน์ฯ ทุ่ม 600 ล้านบาท เปิดตัว “มานะพัฒนาการ” เดินหน้ารุกธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ พร้อมสานต่อโครงการ “บารานี”

เนาวรัตน์ฯ ทุ่ม 600 ล้านบาท เปิดตัว “มานะพัฒนาการ” เดินหน้ารุกธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ พร้อมสานต่อโครงการ “บารานี” เจาะตลาดทั้งแนวราบ และแนวสูง ประเดิม “บารานี พาร์ค ร่มเกล้า” บ้านเดี่ยวหรู เริ่มต้นที่ 8.89 ล้านบาท บมจ.เนาวรัตน์ ส่ง มานะพัฒนาการ เดินหน้ารุกธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เต็มเหนี่ยว ทุ่มทุนจดทะเบียนบริษัทกว่า 600 ล้านบาท ประกาศรุกการพัฒนาทั้งโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบ แนวสูง อาคารสำนักงาน และคลังสินค้าปี 58 ตั้งเป้าเปิด 3 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 2,300 ล้านบาท เปิดตัวโครงการภายใต้ชื่อ “บารานี” ประเดิมด้วยโครงการแรก “บารานี พาร์ค (ร่มเกล้า)” บ้านเดี่ยวหรูสไตล์ Courtyard เริ่มต้นที่ 8.89 ล้านบาท พร้อมวางเป้าแผนธุรกิจระยะสั้น เปิดตัวอย่างน้อยปีละ 1-3 โครงการ เติบโตไม่ต่ำกว่า 10% ต่อปี ด้านแผนระยะยาวภายใน 5 ปี ขยายตัวเพิ่มรองรับรายได้และยอดขายไม่ต่ำกว่าปีละ 2,000 ล้านบาท   นายพลพัฒ กรรณสูต กรรมการผู้จัดการ บริษัท เนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เนาวรัตน์พัฒนาการ เป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้างชั้นนำของประเทศที่มีประสบการณ์มาอย่างยาวนาน และได้รับการยอมรับจากกลุ่มลูกค้าทั้งภาครัฐและเอกชน ด้วยการนำเทคโนโลยีชั้นสูงมาใช้ในงานก่อสร้าง กลุ่มธุรกิจผลิตเสาเข็มคอนกรีตอัดแรงและผลิตภัณฑ์คอนกรีต กลุ่มธุรกิจเหล็กแปรรูป จากประสบการณ์ในด้านการก่อสร้างที่ผ่านมา ทำให้บริษัทมองเห็นโอกาสในการพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เพราะมองว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นอีกธุรกิจบนพื้นฐานของการดำรงชีวิต ซึ่งมีการเติบโตค่อนข้างสูงและต่อเนื่องในปัจจุบัน ทั้งยังสามารถสร้างรายได้และผลกำไรที่ดี ซึ่งเป็นโอกาสของบริษัทในการนำจุดแข็งของการก่อสร้างมาต่อยอด และสร้างโอกาสทางธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ให้กับบริษัทอีกทางหนึ่ง ด้านนายปสันน สวัสดิ์บุรี ประธานกรรมการบริหาร บริษัท มานะพัฒนาการ จำกัด กล่าวว่า บริษัท มานะพัฒนาการ จำกัด ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อรองรับการพัฒนาโครงการในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ด้วยทุนจดทะเบียน 600 ล้านบาท (ชำระเต็ม) โดยทางบริษัท เนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด (มหาชน) จะเป็นผู้ถือหุ้น 99.99% ในการพัฒนาโครงการต่างๆ เราจะนำประสบการณ์เกือบ 10 ปี ในการบริหารธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของทีมงานรวมกับจุดเด่นในด้านการรับเหมาก่อสร้างมาใช้ ซึ่งจะทำให้เรามีจุดเด่นในเรื่องของการเข้าใจความต้องการของลูกค้า ส่งมอบบ้านที่มีคุณภาพสูง ตรงตามเวลา และมีต้นทุนค่าก่อสร้างที่ต่ำ เมื่อเทียบกับผู้ประกอบการรายอื่น   นอกจากนี้ทางบริษัทยังวางเป้าหมายในการพัฒนาโครงการอย่างน้อยปีละ 1-3 โครงการ มูลค่าประมาณ 800 ล้านบาทต่อโครงการ เน้นการพัฒนาโครงการแนวราบเป็นหลัก เนื่องจากเป็นชนิดโครงการที่เหมาะสมกับทำเลกรุงเทพฯ รอบนอก ส่วนโครงการแนวสูงจะลงทุนในทำเลที่มีศักยภาพและมีความมั่นใจ เช่น ใกล้แนวรถไฟฟ้า เป็นต้น โดยมีสัดส่วนของการลงทุนดังนี้ แนวราบ 60% แนวสูง 30% และอื่นๆ 10% ด้านนายอภิชาติ รักช้าง กรรมการผู้จัดการ บริษัท มานะพัฒนาการ จำกัด กล่าวถึงการพัฒนาโครงการต่างๆ ของบริษัทว่า เราจะใช้โครงการ “บารานี” เป็นโครงการนำร่อง สำหรับโครงการ “บารานี” ได้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 10 ปีที่ผ่านมา เริ่มจากการที่บริษัทมีความสนใจในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และทีมงานของบริษัทได้มีโอกาสเข้าไปบริหารโครงการบารานี ซึ่งพัฒนาเป็นโครงการบ้านเดี่ยวบนถนนรังสิต-คลอง 3 จึงทำให้เป็นที่รู้จักในย่านนั้น และภาพลักษณ์ของโคงการ “บารานี” ได้รับการยอมรับในเรื่องบ้านที่มีการจัดพื้นที่ใช้สอยลงตัว สวยงาม คุณภาพของการก่อสร้าง การบริการและดูแลหลังการขายที่ดี และจากการที่โครงการ บารานี เริ่มเป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับของลูกค้าในบริเวณนั้น ทำให้บริษัทมั่นใจจึงได้พัฒนาโครงการต่อมา คือ โครงการ “วิลล่า บารานี” บนถนนรังสิต-คลอง 3 และปัจจุบันก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีเช่นกัน ดังนั้นเมื่อบริษัทจะรุกธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จึงเห็นว่าควรจะใช้ “บารานี” ที่มีฐานลูกค้าอยู่แล้วมาต่อยอดและสร้างการรับรู้ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างขึ้น นายอภิชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับโครงการแรกที่จะเปิดตัวภายใต้การพัฒนาของบริษัท มานะพัฒนาการ จำกัด คือ โครงการ “บารานี พาร์ค (Paranee Park) ร่มเกล้า” พัฒนาในรูปแบบของบ้านเดี่ยว สไตล์ Courtyard จำนวน 86 หลัง บนพื้นที่โครงการประมาณ 22 ไร่ มูลค่าโครงการ 900 ล้านบาท ภายใต้แนวคิด “การออกแบบที่จะให้คุณได้ใกล้ชิดธรรมชาติมากขึ้น” โดยภายนอกดูเรียบง่าย แต่สร้างลวดลายจากธรรมชาติให้กับบ้านด้วยการใช้แสงเงาของต้นไม้ที่ตกกระทบผนัง ส่วนพื้นที่ใช้สอยถูกจัดวางมาอย่างลงตัวจนเกิดเป็น Courtyard ภายในบ้าน ที่จะทำให้ผู้อยู่อาศัยใกล้ชิดกลมกลืนกับธรรมชาติ จากซ้ายสุด นายอภิชาติ รักช้าง กรรมการผู้จัดการ บริษัท มานะพัฒนาการ จำกัด, นายพลพัฒ กรรณสูต กรรมการผู้จัดการ บริษัท เนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด (มหาชน), นายปสันน สวัสดิ์บุรี ประธานกรรมการบริหาร บริษัท มานะพัฒนาการ จำกัด
ชาโตว์ อินทาวน์ พระราม 8 คอนโดใหม่ วิวแม่น้ำเจ้าพระยา วิวสะพานพระราม 8 เปิดงาน PRE-SALE 28-29 มี.ค. นี้

ชาโตว์ อินทาวน์ พระราม 8 คอนโดใหม่ วิวแม่น้ำเจ้าพระยา วิวสะพานพระราม 8 เปิดงาน PRE-SALE 28-29 มี.ค. นี้

ชาโตว์ อินทาวน์ พระราม 8 เปิดงาน PRE-SALE มาพร้อมโปรโมชั่น+ข้อเสนอสุดพิเศษ ที่ให้คุณได้เป็นเจ้าของห้องสวย วิวแม่น้ำเจ้าพระยา วิวสะพานพระราม 8 พร้อมเปิดชมห้องตัวอย่างให้คุณได้สัมผัสกับสถานที่จริง บรรยากาศจริง... พบกันได้ที่สำนักงานขายโครงการในวันที่ 28-29 มี.ค. นี้เท่านั้น!!! ชาโตว์ อินทาวน์ พระราม 8 คอนโดใหม่ล่าสุด ที่จะทำให้คุณดื่มด่ำกับความสุขเหนือเส้นขอบฟ้าในทุกๆ 365 วัน ด้วยวิวแม่น้ำเจ้าพระยา วิวสะพานพระราม 8 พร้อมเติมเต็มในทุกมิติของการใช้ชีวิตในแบบที่เป็นตัวคุณ พรั่งพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ สระว่ายน้ำชั้นดาดฟ้า, สวนหย่อมพักผ่อน, เข้าออกด้วยระบบ Key Card ทุกยูนิต, Fitness และ Sauna, อุ่นใจกับระบบรักษาความปลอดภัย 24 ชม. และกล้อง CCTV ทำให้คุณได้สัมผัสถึงความเหนือระดับของการใช้ชีวิตในทุกๆ วัน ลงทะเบียนพร้อมรับข้อเสนอสุดพิเศษ >>> www.cmc.co.th/rama8
Pause Condominiumวิถีชีวิตแบบ Slow Lifeจาก ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้

Pause Condominiumวิถีชีวิตแบบ Slow Lifeจาก ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้

ด้วย  3  Concept“อบอุ่น ไม่แออัด,  เรียบง่าย ไม่รีบเร่ง  และ ยิ้มแย้ม ไม่ยุ่งเหยิง” บริษัท  ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้  จำกัด  (มหาชน)  ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์  เน้นคอนโดมิเนียมเกาะแนวรถไฟฟ้า ที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด  แนะนำโครงการใหม่ล่าสุด  Pause Condominium คอนโดมิเนียมแนวคิดใหม่ เพื่อไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่  ที่มีแนวความคิดมาจาก Trend การใช้ชีวิตแบบ   “Slow Life” ที่มีการปรับสมดุลการใช้ชีวิตให้ช้า และ เรียบง่ายขึ้น จากวิถีชีวิตคนเมืองในปัจจุบัน บน 3 ทำเลคุณภาพ Pause สุขมวิท 103, Pause สุขุมวิท 107, Pause สุขุมวิท 115 ใกล้ BTS 3 สถานี อุดมสุข, แบริ่ง, ปู่เจ้าฯ เพียง 270 เมตร ในราคาเริ่มต้น 1.39 ล้านบาท Pause Condominium  คอนโดแนวคิดใหม่เพื่อไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตแบบ Pause Life  เป็นการใช้ชีวิตแบบช้า แต่ ชัวร์ เรียบง่ายแต่มั่นคง และเต็มไปด้วยความสงบสุข  ด้วยคอนเซ็ปต์ดีไซน์ แนว  Minimal  เส้นสายที่เรียบง่าย  สะท้อนตัวตนของงานสถาปัตยกรรม ที่ลดทอนรูปทรงส่วนที่ไม่เป็นแก่นสาน แสดงถึงความมั่นคง   โดยเส้นตรงแนวตั้งและแนวนอน เหลือเพียงสิ่งที่สะท้อนคุณค่าที่แท้จริง  เน้นการตกแต่งที่เรียบง่าย แต่ดูดี มีสไตล์  ตามปรัชญาแนวคิด  “Less is More”  หรือ  น้อยแต่มากด้วยประโยชน์ที่สอดคล้องแตะตอบสนอง Lifestyle ของผู้ที่พักอาศัยเป็นสำคัญ Pause Condominium  เป็นคอนโดโรว์ไรส์   8 ชั้น  โครงการตั้งอยู่ถนนสุขุมวิท 3 ทำเล คือ สุขุมวิท 103 เนื้อที่โครงการ 1-2-53 ไร่  2 อาคาร 269 ยูนิต, สุขุมวิท 107 A เนื้อที่ 0-2-14.9 ไร่  1 อาคาร 78 ยูนิต, สุขุมวิท 107 B เนื้อที่ 0-2-26.2 ไร่  1 อาคาร 78 ยูนิต  และ สุขุมวิท 115  เนื้อที่ 1-1-83 ไร่  2 อาคาร 310 ยูนิต  มูลค่าโครงการรวม 3 โครงการ  1,530   ล้านบาท     ขนาดพื้นที่ตั้งแต่ 20.8-40.1 ตรม.  ทั้งแบบ1 ห้องนอนแยกส่วน พร้อมห้องรับแขกและห้องครัว และ แบบ 1 ห้องนอนแยกส่วน มีห้องรับแขก พร้อมห้องทำงานส่วนตัวและห้องครัว    รวมถึง   2  ห้องนอน    พร้อมห้องรับแขกและห้องครัวแยกส่วน  และสิ่งอำนวยความสะดวกและสาธารณูปโภคที่ครบครัน  อาทิ  Lobby & Library  พร้อมชุดรับแขก,  Fitness Room,  Infinity edge Pool & Jacuzzi,  Art Therapy,  Fragrance Garden, Bar B.Q.,  Sky Yoka,  Bike Parking,  CCTV Eagle Eye Security,  ระบบรักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง,  Key Card Access Control รวมถึงระบบ Smart Lock สำหรับห้องทุกห้องใน รวมถึงที่จอดรถอันสะดวกสบาย    และบริการพิเศษ ลูกค้าในโครงการสามารถใช้บริการ Shuttle Van ของโครงการมาส่งยังสถานีรถไฟฟ้าที่ใกล้ที่สุดได้อย่างสะดวก ลูกค้าผู้สนใจสามารถเยี่ยมชมโครงการได้ที่  Sales Gallery ตั้งแต่ 9.00 – 19.00 น. โทร. 092-716-4400, 092-716-5500   หรือ www.pausecondo.com
อิตัลไทยครบ 60 ปี เดินหน้าครั้งใหญ่ดันยอดขายโต 2 เท่าใน 5 ปี มูลค่าธุรกิจแตะ 25,800 ล้านบาท‏

อิตัลไทยครบ 60 ปี เดินหน้าครั้งใหญ่ดันยอดขายโต 2 เท่าใน 5 ปี มูลค่าธุรกิจแตะ 25,800 ล้านบาท‏

เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2558 ที่ผ่านมา กลุ่มบริษัทอิตัลไทย กลุ่มธุรกิจสำคัญกลุ่มหนึ่งในวงการธุรกิจอุตสาหกรรมและวงการธุรกิจพัฒนาโครงการเพื่อการพาณิชย์ของประเทศไทยตลอดระยะเวลา 60 ปีที่ผ่านมา ประกาศว่า กลุ่มบริษัทอิตัลไทยตั้งเป้าผลักดันยอดขายธุรกิจในเครือให้เติบโตขึ้น 2 เท่า ภายในระยะเวลา 5 ปี ให้มียอดขายต่อปีอยู่ที่ 25,800 ล้านบาท เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับสถานภาพทางการแข่งขันของกลุ่มบริษัทอิตัลไทยในยุคประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ที่กำลังจะเกิดขึ้น พร้อมเตรียมรับประโยชน์จากโอกาสที่จะเกิดขึ้นจากการรวมตัวกันของประเทศกลุ่มเออีซี นายยุทธชัย จรณะจิตต์ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท อิตัลไทย เปิดเผยว่า “ในโอกาสฉลองครบรอบ 60 ปีการก่อตั้งกลุ่มบริษัทอิตัลไทย เรามุ่งมั่นตั้งใจที่จะเสริมสร้างองค์กรให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น เพื่อก้าวไปในอนาคตข้างหน้าอย่างมั่นคงแข็งแรง โดยจะเร่งเครื่องการเติบโตของธุรกิจ พร้อมทุ่มเงินอีก 11,000 ล้านบาทลงทุนในส่วนของศูนย์บริการ สิ่งอำนวยความสะดวกใหม่ๆ และโรงงาน ตลอดจนการบริการใหม่ๆ รวมไปถึงการพัฒนาศักยภาพองค์กร ซึ่งทั้งหมดนี้เราจะเดินหน้าทำให้เห็นผลตั้งแต่ปีนี้ไปจนถึงปี 2562” นายยุทธชัย กล่าวว่า ธุรกิจของกลุ่มบริษัทอิตัลไทย มีอยู่สองประเภทธุรกิจในสัดส่วนพอๆ กัน ซึ่งทั้งสองประเภทธุรกิจนี้ ถือเป็นรากฐานที่สำคัญของเศรษฐกิจไทย ได้แก่ ‘กลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมเครื่อง จักรกลและบริการด้านวิศวกรรม’ ที่เชื่อมโยงกับโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานภายในประเทศ และการพัฒนาประเทศไทย และ ‘กลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมบริการและไลฟ์สไตล์’ ที่เชื่อมโยงกับภาคการท่องเที่ยวของไทยซึ่งสามารถแข่งขันได้กับทั่วโลก โดยบริษัทจะมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับการเติบโตของธุรกิจทั้งสองส่วนเท่าเทียมกัน กลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลและบริการด้านวิศวกรรม “เรามีธุรกิจจำหน่ายเครื่องจักรกลและบริการหลังการขายที่แข็งแกร่ง รวมทั้งการเป็นตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทยให้กับแบรนด์วอลโว่ (Volvo) ทาดาโน่ (Tadano) และเอสดีแอลจี (SDLG) ยอดขายของธุรกิจในส่วนนี้ปัจจุบันอยู่ที่ 4,000 ล้านบาท ซึ่งเราตั้งเป้าจะผลักดันให้เติบโตขึ้นเป็น 8,000 ล้านบาทภายในปี 2562 และเพิ่มส่วนแบ่งตลาดขึ้นจาก 14% เป็น 20% โดยจะเน้นให้ความสำคัญในเรื่องการให้บริการที่เป็นเลิศแก่ลูกค้าของเราซึ่งเป็นผู้รับเหมาชั้นนำของไทย” นายยุทธชัย กล่าว นายยุทธชัย กล่าวว่า ในส่วนของ ธุรกิจอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล บริษัทมีกลยุทธ์ในการให้บริการที่เหนือระดับ โดยอาศัยการดำเนินงานสามส่วนหลักๆ คือ “ส่วนแรกเป็นการดำเนินกลยุทธ์แบบหลากหลายแบรนด์ ซึ่งจะสามารถตอบสนองความต้องการที่หลากหลายในธุรกิจการก่อสร้างและการลำเลียงวัสดุ ได้อย่างครบวงจร อย่างเช่นอุปกรณ์ก่อสร้างแบรนด์วอลโว่ เหมาะกับงานหนักๆ เช่น การทำเหมือง ซึ่งต้องใช้รถขุดขนาดใหญ่ กับรถตักล้อยางขนาด 30 ตันขึ้นไป ส่วนรถเครนแบรนด์  ทาดาโน่ ซึ่งเป็นผู้นำอยู่ในตลาดรถเครนในปัจจุบัน เป็นที่นิยมมากที่สุดในการใช้งานขนย้ายหรือลำเลียงวัสดุ และอุปกรณ์ก่อสร้างแบรนด์เอสดีแอลจีของเรา เหมาะเป็นพิเศษกับอุตสาหกรรมทั่วไป ที่มองหาเครื่องจักรราคาเหมาะสม เช่น สวนยาง โรงสี และภาคเกษตรกรรม ซึ่งจากจุดแข็งในการทำตลาดของแบรนด์เอสดีแอลจี ทำให้แบรนด์เอสดีแอลจีขยับส่วนแบ่งตลาดในประเทศไทยจากอันดับ 7 ขึ้นมาอยู่อันดับ 2 ในช่วงเวลาสองปีที่ผ่านมา ทำให้เราสามารถครองส่วนแบ่งทางการตลาด อยู่ที่ 20% ของตลาดรถตักล้อยางที่มีมูลค่าตลาด 1,000 ล้านบาท” นายยุทธชัย กล่าว   นายยุทธชัย กล่าวว่า อิตัลไทยจะขยายความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ที่นำเสนอภายใต้แบรนด์เอสดีแอลจีให้เพิ่มมากขึ้น โดยจะแนะนำรถขุดขนาดเล็ก รถเกรด รถบด และรถตักแบ็คโฮรุ่นใหม่ๆ “กลยุทธ์ที่สองของเราเพื่อกระตุ้นยอดขายและเพิ่มส่วนแบ่งตลาด คือการลงทุนอย่างจริงจังเพื่อขยายเครือข่ายทั่วประเทศให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้นอีกเท่าตัว จากปัจจุบันที่มีอยู่ 14 สาขา เพิ่มเป็น 30 สาขาภายในปี 2562 ซึ่งจะทำให้เราสามารถให้บริการลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น ด้วยความสามารถในการให้บริการหลังการขายอย่างรวดเร็ว จากการมีช่างผู้เชี่ยวชาญและชิ้นส่วนอะไหล่ต่างๆ พร้อมสำหรับบริการ เพื่อให้มั่นใจว่าเครื่องจักรจะอยู่ในสภาพพร้อมทำงานตลอดเวลา นอกจากนี้เราได้เข้าไปเปิดสาขาในประเทศลาว ในนครเวียงจันทน์ และปากเซ รวมทั้งได้จัดตั้งหน่วยบริการในพื้นที่ในไซยะบุรีและหงสา เพื่อสนับสนุนลูกค้าในอุตสาหกรรมเหมืองแร่ และการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ โดยใน   ปีนี้ เรามีแผนจะเปิดสาขาใหม่ในจังหวัดนครสวรรค์ สุรินทร์ และสกลนคร” นายยุทธชัย กล่าว “กลยุทธ์ที่สามของเราคือ การจัดระบบที่จะช่วยให้เราสามารถทำงานประสานกับผู้รับเหมารายใหญ่สุดในประเทศได้อย่างใกล้ชิด ซึ่งจะทำให้เรากลายเป็นผู้ช่วยที่ไว้วางใจได้อย่างสมบูรณ์แบบและเป็นส่วนหนึ่งที่องค์กรของลูกค้าพึ่งพาได้ตลอด”  นาย ยุทธชัย กล่าว “ในส่วนธุรกิจบริการด้านวิศวกรรมของเรา เราตั้งเป้าหมายผลักดันยอดขายให้เติบโตขึ้นจาก 3,200 ล้านบาท เป็น 7,600 ล้านบาทภายในเวลา 5 ปี โดยปัจจัยสำคัญที่จะเป็นตัวช่วยผลักดันการเติบโตนี้ คือชื่อเสียงของธุรกิจวิศวกรรมของเรา ที่เราได้สร้างขึ้นในฐานะผู้รับเหมาระดับโลก ที่เชื่อถือได้และมีผลงานมาตรฐานสูงมากทั้งในด้านคุณภาพและความปลอดภัย จากชื่อเสียงที่เป็นที่ยอมรับดังกล่าว ทำให้เราสามารถยกระดับตัวเองขึ้นจากการเป็นผู้รับเหมาด้านวิศวกรรมที่ยอดเยี่ยม มาเป็นผู้รับเหมาที่ให้บริการแบบครบวงจร “เรากำลังขยายธุรกิจเข้าไปในตลาดเซคเตอร์ใหม่ๆ เพิ่มเติมจากฐานลูกค้าเดิมในกลุ่มวิศวกรรมเครื่องจักรกล ไปสู่ลูกค้าในกลุ่มงานไฟฟ้าและวิศวกรรมโยธา โดยการลงทุนอย่างหนักในเรื่องสถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวกในการให้บริการลูกค้าต่างๆ นอกจากนี้ เรายังสยายปีกออกไปยังตลาดพื้นที่ใหม่ๆ เช่น การสร้างธุรกิจในพม่า โดยเน้นรับงานด้านวิศวกรรมภายในอาคาร ด้านไฟฟ้าและท่อประปา” นายยุทธชัย กล่าว นายยุทธชัย กล่าวว่า พลังงานทดแทนอย่างโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์และพลังลม สร้างโอกาสทางธุรกิจที่สำคัญ ซึ่งบริษัทตั้งเป้าเกินหน้าสู่การเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานทางเลือกในประเทศไทย ที่เป็นตัวเลือกที่ลูกค้าต้องการใช้บริการ ภายในระยะเวลา 5 ปีข้างหน้า   กลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมบริการและไลฟ์สไตล์ นายยุทธชัย เปิดเผยว่า ‘กลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมบริการและไลฟ์สไตล์’ ของกลุ่มบริษัทอิตัลไทย เป็นกลุ่มธุรกิจที่เราตั้งเป้าหมายการเติบโตแบบก้าวกระโดด ด้วยแผนการขยายธุรกิจ ในต่างประเทศ ซึ่งจะทำให้จำนวนโรงแรมในเครือ ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป ของกลุ่ม อิตัลไทย เพิ่มขึ้นจาก 38 แห่งในปัจจุบัน เป็นมากกว่า 100 แห่ง ด้วยจำนวนห้องพัก 18,500 ห้อง ใน 10 ประเทศภายในระยะเวลา 5 ปี โดยในปี 2558 นี้ จะมีการเปิดโรงแรมใหม่ในประเทศมัลดีฟส์ มาเลเซีย ศรีลังกา และจีน   “เรากำลังลงทุนสร้างเครือข่ายในเอเชีย-แปซิฟิก รวมทั้งพัฒนาแบรนด์ที่เหมาะสมที่จะช่วยให้เราดึงดูดลูกค้าได้ด้วยผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายในหลายระดับราคา ด้วยมรดกแห่งความเป็นไทยของเรา ทำให้เรามีจุดแข็งที่ได้เปรียบในฐานะผู้ให้บริการโรงแรมที่โดดเด่น ด้วยการมุ่งเน้นการให้บริการที่ยอดเยี่ยม อาหารและเครื่องดื่มที่อร่อยประทับใจในโรงแรมในเครือของเรา จะช่วยตอกย้ำชื่อเสียงของประเทศไทยในระดับโลก” นายยุทธชัย กล่าว   นายยุทธชัยตั้งข้อสังเกตว่า ทุกวันนี้มีบริษัทจากเอเชียที่เป็นผู้ให้บริการโรงแรมและการท่องเที่ยวที่ประสบความสำเร็จในเวทีระดับโลกจำนวนน้อยมาก และ “ความสำเร็จของโรงแรมแบรนด์ไทยในเวทีระดับโลกจะช่วยตอกย้ำชื่อเสียงของประเทศไทยในฐานะหนึ่งในประเทศที่เป็นเยี่ยมที่สุดของโลกด้านการบริการ”   นายยุทธชัย กล่าวว่า กลุ่มบริษัทอิตัลไทยดำเนินธุรกิจ ‘โรงแรมและรีสอร์ท’ 3 แบรนด์   คือ แซฟฟรอน (Saffron) แบรนด์ระดับลักชัวรี่ อมารี (Amari) แบรนด์สำหรับตลาดระดับบน และ โอโซ่ (Ozo) แบรนด์สำหรับการบริการเฉพาะอย่าง   ธุรกิจอื่นๆ ในกลุ่มธุรกิจบริการและไลฟสไตล์ ได้แก่ ‘เซอร์วิสอพาร์ทเมนท์’ ซึ่งให้บริการภายใต้แบรนด์ ชามา ลักซ์ (Shama Luxe) ชามา (Shama) และ ชามา ไลท์ (Shama Lite) นอกจากนั้นยังมีธุรกิจ ‘สปา’ ภายใต้แบรนด์ มาย (Maai) สำหรับตลาดลักชัวรี่ และ บรีซ (Breeze) สำหรับตลาดระดับบน   “กุญแจสู่ความสำเร็จของเรา อยู่ที่การมอบประสบการณ์ระดับคุณภาพ ที่ได้มาตรฐาน และคงเส้นคงวา ให้กับลูกค้าที่มาใช้บริการในแบรนด์ต่างๆ ของเราทุกแบรนด์ นั่นเป็นเหตุผลทำให้เราพัฒนาและยกระดับมาตรฐานความเป็นเสิศในการดำเนินงานของเราอย่างไม่หยุดยั้ง ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของระบบไอที ส่วนงานขาย และโครงสร้างในการการบริหารงานและดำเนินงานของเรา” นายยุทธชัย กล่าว   ในกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมบริการและไลฟ์สไตล์ กลุ่มบริษัทอิตัลไทย ยังเป็นผู้บริหารธุรกิจ แฟรนไชส์ชาทีดับลิวจี (TWG Tea Franchise) ซึ่งมีเป้าหมายที่จะทำยอดขายให้เติบโตขึ้นมากกว่า 2 เท่า ภายในระยะเวลา 5 ปีข้างหน้า   “ชาทีดับลิวจี เป็นแบรนด์ระดับซูเปอร์พรีเมี่ยม ซึ่งทีซาลอน (Tea Salon) ของเราล้วนแล้วแต่จะต้องตั้งอยู่ในทำเลที่จะต้องรายล้อมไปด้วยแบรนด์ระดับซูเปอร์พรีเมี่ยมอื่นๆ โดยนอกจากทีซาลอนสาขาต่างๆ แล้ว เรายังเดินหน้าเติบโตจากการขายผ่านเคาน์เตอร์ค้าปลีก และการขายระดับองค์กร รวมทั้งการจับมือกับพันธมิตรค้าปลีก” นายยุทธชัย กล่าว   นายยุทธชัย กล่าวว่า “เพื่อเดินหน้าตามวิสัยทัศน์ไปสู่เป้าหมายที่วางไว้สำหรับกลุ่มธุรกิจบริการและไลฟ์สไตล์ของกลุ่มบริษัทอิตัลไทย เรากำลังทุ่มงบลงทุนประมาณ 7,000 ล้านบาทในธุรกิจเหล่านี้ ตลอดระยะเวลา 5 ปีข้างหน้า พร้อมกับตั้งเป้าหมายดันยอดขายให้เติบโตเพิ่มขึ้นจาก 5,700 ล้านบาทในปี 2557 ให้เป็น 10,200 ล้านบาทในปี 2562”
เริ่มแล้ว งานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 32 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

เริ่มแล้ว งานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 32 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

House & Condo Show 2015 ครั้งที่ 32 ระหว่างวันที่ 12 - 15 มี.ค. 2558 เวลา 10.00- 20.00 น. ณ Zone C-Grd, C-2, Plaza, Atrium ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ House & Condo Show 2015 ครั้งที่ 32 หรือ มหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 32 รวบรวมมาไว้ในงานเดียวสำหรับผู้ที่กำลังมองหาบ้านและคอนโดคุณภาพ ในมหกรรมงานอสังหาริมทรัพย์ครั้งสำคัญ กับงานมหกรรมบ้านและคอนโดฯ จัดโดยสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย ร่วมกับสมาคมอาคารชุดไทย และสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร ระหว่างวันที่ 12 - 15 มีนาคม 2558 เวลา 10.00 -20.00 น. ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ พบข้อเสนอสุดพิเศษภายในงาน ส่งตรงจากผู้ประกอบการด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์หลากหลายโครงการ ไม่ว่าจะเป็นบ้านและคอนโด โครงการสร้างเสร็จพร้อมอยู่ อาคารชุด อาคารพาณิชย์ รีสอร์ท สนามกอล์ฟ เฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้าน รับคำปรึกษาและคำแนะนำในการซื้อที่อยู่อาศัยอย่างถูกวิธี รวมทั้งคำแนะนำเรื่องสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยจากธนาคารและสถาบันการเงิน พร้อมกิจกรรมให้ร่วมสนุกมากมาย   ที่มา : ThailandExhibition.com
เนทูเรซ่า คอนโดมิเนียม พัทยา พร้อมส่งมอบ

เนทูเรซ่า คอนโดมิเนียม พัทยา พร้อมส่งมอบ

คุณสมเชาว์ ตันฑเทอดธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี เฮ้าส์ซิ่ง จำกัด (มหาชน)  และทีมผู้บริหารร่วมตรวจงานก่อสร้างและควบคุมการก่อสร้างให้ได้มาตรฐานเพื่อยืนยันการความพร้อมเข้าอยู่โครงการเนทูเรซ่าคอนโดมิเนียมพัทยา( โครงการ 1 )  ภายใต้แนวคิด “ Nature is all around  ความสุข … ท่ามกลางธรรมชาติ “ เอ็น.ซี ได้สร้างนวัตกรรมใหม่ ของการอยู่อาศัยชุมชนเมืองคอนโด เรียกว่า ฉีกกฎของการใช้ชีวิตในรูปแบบ Community in the Park  ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ความต้องการของลูกค้าที่มีได้ครบทั้งเรื่องการเดินทางที่สะดวกรวดเร็วในทุกทิศ ถนนชัยพรวิถี พัทยาเหนือ  ติดถนนสุขุมวิท  ทำเลใจกลางเมืองพัทยา  ออกแบบคอนโดมิเนียมบนพื้นที่สีเขียวกว่า 1,600 ตารางเมตรที่แทรกอยู่ทุกมุมโครงการ จะแล้วเสร็จพร้อมส่งมอบห้องพักอาศัยให้แก่ลูกค้าปลายเดือนมีนาคมนี้ ราคาเริ่มต้น 1.39 ล้านบาท สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานขาย 8.30 น.– 18.00น. ทุกวัน โทร.038-221-655 www.ncgroup.co.th
ที่ดิน 4 ทำเลฮอตราคาพุ่ง 20-30%

ที่ดิน 4 ทำเลฮอตราคาพุ่ง 20-30%

ซีบีอาร์อีเผย 4 ทำเลฮอตสุขุมวิท เพลินจิต–ลุมพินี สีลม-สาทร และพหลฯ ราคาขยับ 20-30% คาดปีนี้แรงต่อ นางกุลวดี สว่างศรี กรรมการบริหาร แผนกการลงทุนและที่ดิน บริษัท ซีบีอาร์อี ประเทศไทย เปิดเผยว่า การซื้อขายที่ดินในปี 2557 มีจำนวนลดลงเมื่อเทียบกับการซื้อขายในปี 2556 แต่ราคาที่ดินในย่านธุรกิจยังคงมีราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นที่ดินริมถนนหรือในซอยต่างๆ โดยเฉพาะในย่านเพลินจิต ลุมพินี และสีลม-สาทร ราคาที่มีการซื้อขายที่ผ่านมามีการปรับตัวประมาณ 20-30% ทั้งนี้ สุขุมวิทเป็นทำเลที่มีการซื้อขายมากกว่าเพลินจิต และสีลม-สาทร ราคาที่ดินทั้งที่ติดริมถนนหรือในซอยมีการปรับตัวสูงขึ้นประมาณ 20-30% ขึ้นอยู่กับขนาดที่ดิน ระยะห่างจากรถไฟฟ้า และรูปร่างของที่ดิน โดยเฉพาะย่านทองหล่อ ราคาที่ดินในซอยที่มีการซื้อขายจาก 3 แสนบาท/ตารางวา (ตร.ว.) ปรับขึ้นเป็น 5–7 แสนบาท/ตร.ว. ที่ดินริมถนนที่มีการซื้อขายจาก 6–8 แสนบาท/ตร.ว. ปรับขึ้นเป็น 1 ล้านบาท/ตร.ว. หรือบางแปลงก็สูงกว่านั้น สำหรับทำเลในย่านเพลินจิต–ลุมพินี มีการซื้อขายที่ดินไม่มาก เพราะที่ดินพร้อมขายมีน้อยลง ทำให้ที่ดินในซอยที่มีผู้สนใจมากขึ้นโดยเฉพาะในซอยหลังสวนมีการซื้อขายในราคาประมาณ 8 แสนบาท/ตร.ว. และในซอยร่วมฤดีมีการซื้อขายในราคาประมาณ 5–6 แสนบาท/ตร.ว. ขณะที่ย่านสีลม-สาทร มีการซื้อขายอย่างต่อเนื่องทั้งริมถนนสีลม สาทร และในซอย ราคาซื้อขายริมถนนสาทรนั้นอยู่ที่ประมาณ 1.3-1.5 ล้านบาท/ตร.ว. ปรับขึ้นเฉลี่ย 20-30% ในช่วงที่ผ่านมา ส่วนที่ดินในซอยมีการซื้อขายที่ราคาประมาณ 5.5–6 แสนบาท/ตร.ว. มีความต้องการจากกลุ่มพัฒนาโครงการโลว์ไรซ์ และจากกลุ่มผู้ซื้อเพื่อสร้างเป็นที่พักอาศัย ราคาปรับขึ้นเฉลี่ย 20% นางกุลวดี กล่าวอีกว่า ย่านพหลโยธินมีการซื้อขายที่ผ่านมาอยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้าช่วงอนุสาวรีย์จนถึงสถานีรถไฟฟ้าหมอชิต ราคาขายปรับตัวสูงขึ้น 25% โดยมีราคาขาย 8–9 แสนบาท/ตร.ว. บริเวณริมถนนตามแนวรถไฟฟ้า สำหรับที่ดินย่านสุขุมวิท เพลินจิต สีลม-สาทร แม้จะมีราคาสูง แต่ยังเป็นย่านที่ติดอันดับความนิยมและคาดว่าราคาจะมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นอีกต่อเนื่อง โดยที่ดินบางแปลงที่มีทำเลที่เด่นในเรื่องการเดินทางไปมาสะดวกและสามารถพัฒนาโครงการในลักษณะมิกซ์ยูสได้  มีความเป็นไปได้ที่ราคาซื้อขายจะไปถึง 2 ล้านบาท/ตร.ว.