Tag : News

2376 ผลลัพธ์
BTS เพิ่มสถานี “ศึกษาวิทยา” รับเมืองขยาย-คนใช้บริการแน่น

BTS เพิ่มสถานี “ศึกษาวิทยา” รับเมืองขยาย-คนใช้บริการแน่น

หลังรถไฟฟ้าบีทีเอสเปิดใช้บริการมาร่วม 16 ปี นับจากปี 2542 ถึงปัจจุบันมีระยะทางรวม 30.95 กิโลเมตร มีสถานีให้บริการทั้งหมด 34 สถานี และมีผู้ใช้บริการมากกว่า 2 พันล้านเที่ยว ล่าสุด "บีทีเอสซี-บมจ.ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ" เตรียมควักเงิน 450 ล้านบาท จากกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งมวลชนทางราง บีทีเอสโกรท (BTSGIF) ก่อสร้างสถานีแห่งใหม่ "ศึกษาวิทยา" เพิ่มเติม หลังจากสภาพพื้นที่เปลี่ยนแปลงไปมากในช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมา "สุรพงษ์ เลาหะอัญญา" กรรมการบริหาร บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ และกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า เหตุผลที่บริษัทสร้างสถานีศึกษาวิทยา (S4) เพิ่ม เนื่องจากปัจจุบันพื้นที่บริเวณดังกล่าวมีการเปลี่ยนแปลงและมีศักยภาพมากหลังจากมีรถไฟฟ้าบีทีเอสเปิดให้บริการมีการพัฒนามีการเติบโตของที่อยู่อาศัย และอาคารสำนักงานใหม่เกิดมากขึ้น อีกทั้งจะช่วยรองรับปริมาณผู้โดยสารที่มาใช้บริการสถานีช่องนนทรีที่ปัจจุบันมีผู้โดยสารหนาแน่นทั้งนี้สถานีที่จะสร้างใหม่ได้มีการวางโครงสร้างไว้แล้วตั้งแต่เริ่มก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีลม แต่เนื่องจากช่วงเวลานั้นจากการประเมินพบว่า จะไม่คุ้มค่าในการลงทุน จึงชะลอสถานีนี้ไว้ก่อน "ตอนนี้เรามองว่าพื้นที่ดังกล่าวเริ่มมีศักยภาพ มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลง และการลงทุนต่าง ๆ ส่งผลให้มีตึก อาคาร และที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น คนก็เข้าไปอาศัยในพื้นที่มากขึ้น ที่สำคัญจะช่วยบรรเทาคนที่มาใช้บริการสถานีช่องนนทรีที่เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน จะเพิ่มความสะดวกให้แก่ประชาชนที่มาใช้บริการ" สำหรับความคืบหน้าล่าสุด "สุรพงษ์" บอกว่า อยู่ระหว่างการจัดหาผู้รับเหมามาก่อสร้าง คาดว่าจะได้บริษัทรับเหมาภายในเดือนมกราคมหรือกุมภาพันธ์ 2559 จะเริ่มก่อสร้างปี 2560-2561 ใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างประมาณ 12-18 เดือน โดยการก่อสร้างนี้ไม่ต้องมีการทำการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) ใหม่ เนื่องจากได้มีการศึกษาสถานีไว้ตั้งแต่เริ่มโครงการแล้ว นายสุรพงษ์กล่าวอีกว่า โดยจุดก่อสร้างจะอยู่กึ่งกลางระหว่างสถานีช่องนนทรี (S3) กับสถานีสุรศักดิ์ (S5) จุดที่ตั้งสถานีจะอยู่บนถนนสาทรเหนือ-ใต้ บริเวณปากซอยสาทร 12 ด้านหน้าธนาคารยูโอบี สำนักงานใหญ่สาทร และโรงแรมแอสคอทท์ ในพื้นที่เขตบางรักและเขตสาทร จะใช้เงินทุนประมาณ 450 ล้านบาท และจากการประมาณการของบริษัทที่ปรึกษา การสร้างสถานีศึกษาวิทยาจะทำให้จำนวนเที่ยวการเดินทางเพิ่มขึ้นประมาณ 9,500-12,000 เที่ยวต่อวัน นายสุรพงษ์กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ จะทำให้รายได้ค่าโดยสารของบีทีเอสเพิ่มขึ้นประมาณ 94 ล้านบาทต่อปี ทั้งนี้ เมื่อหักค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่เกี่ยวข้อง ในส่วนของรายได้ค่าโดยสารจะเพิ่มขึ้นประมาณ 70 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ในอนาคตอันใกล้อาจจะเห็นบีทีเอสซีสร้างอีกสถานีใหม่เพิ่ม คือ สถานีเสนาร่วม (N6) อยู่ระหว่างสถานีอารีย์ (N5) กับสถานีสะพานควาย (N7) ซึ่งสถานีนี้ได้กำหนดไว้ในแนวเส้นทางตั้งแต่แรก คาดว่าจะสร้างได้เร็วเหมือนกับสถานีศึกษาวิทยา เพื่อรองรับการเติบโตของเมืองในย่านดังกล่าว ที่ปัจจุบันเริ่มมีการสร้างอาคารสำนักงานและที่อยู่อาศัยใหม่เกิดขึ้นมากมาย ไม่แพ้ย่านใจกลางเมือง รวมถึงผู้ใช้บริการก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปีเช่นกัน ที่มา : ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ไอคอนสยามจัดงานสุดยิ่งใหญ่อลังการแห่งปี ฉลองเปิดตัว ‘เดอะ เรสซิเดนซ์ แอท แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ’ โครงการที่พักอาศัยที่หรูหราที่สุดแห่งหนึ่งในโลก

ไอคอนสยามจัดงานสุดยิ่งใหญ่อลังการแห่งปี ฉลองเปิดตัว ‘เดอะ เรสซิเดนซ์ แอท แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ’ โครงการที่พักอาศัยที่หรูหราที่สุดแห่งหนึ่งในโลก

เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2558 ที่ผ่านมา บริษัท ดิ ไอคอนสยาม ซูเปอร์ลักซ์ เรสซิเดนซ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด จัดงานยิ่งใหญ่อลังการที่สุดงานหนึ่งแห่งปี เฉลิมฉลองการเปิดตัว ‘เดอะ เรสซิเดนซ์ แอท แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ’ โครงการที่พักอาศัยแบรนด์ ‘แมนดาริน โอเรียนเต็ล’ แห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นโครงการที่พักอาศัยที่หรูหราที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ที่กำลังสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ในการพัฒนาโครงการที่พักอาศัยสุดหรูหราในประเทศไทย ทำลายทุกสถิติความหรูหราและราคา  ตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายที่มีอยู่ทั่วโลก ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มีไลฟ์สไตล์และมองหามาตรฐานความหรูหราระดับสูงสุด โดยภายในงานได้รับเกียรติจากแขกผู้มีเกียรติ บุคคลสำคัญระดับซูเปอร์วีไอพี และเซเลบริตี้แถวหน้าของเมืองไทย กว่า 200 ท่าน อาทิ คุณศุภชัย เจียรวนนท์, คุณชวัลวัฒน์ อริยวรารมย์, คุณชฎาทิพ จูตระกูล, คุณหมาก ปริญ สุภารัตน์ และ คุณญาญ่า อุรัสยา เสปอร์บันด์ เข้าร่วมงาน และชมการแสดงแสงสีเสียงสุดยิ่งใหญ่ตระการตาบนผืนน้ำเจ้าพระยาพร้อมบทเพลงขับกล่อมอันแสนไพเราะจากนักร้องคุณภาพชื่อดัง เจนนิเฟอร์ คิ้ม พร้อมเข้าชมห้องตัวอย่างของโครงการสุดหรูแห่งนี้ที่เปิดให้เข้าชมเป็นครั้งแรก นางทิพพาภรณ์ เจียรวนนท์ อริยวรารมย์ กรรมการ บริษัท ดิ ไอคอนสยาม ซูเปอร์ลักซ์ เรสซิเดนซ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า “งานเฉลิมฉลองการเปิดตัวโครงการ ‘เดอะ เรสซิเดนซ์ แอท แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ’ ในวันนี้ เพื่อแสดงความขอบคุณแขกผู้มีเกียรติที่ให้ความสนใจในโครงการ ตลอดจนเพื่อชื่นชมยินดีกับการสร้างมาตรฐานใหม่แห่งความเป็นเลิศในการพัฒนาที่อยู่อาศัยในประเทศไทย โดยเดอะ เรสซิเดนซ์ แอท แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพ ได้รับการออกแบบและก่อสร้างด้วยมาตรฐานความหรูหราระดับสูงสุด เมื่อประกอบกับทำเลที่ตั้งที่สวยงามมีมนต์เสน่ห์ ทำให้โครงการที่พักอาศัยแห่งนี้ จัดอยู่ในกลุ่มที่พักอาศัยที่ดีที่สุดในโลก ซึ่งโครงการที่พักอาศัยแห่งนี้ จะช่วยยกระดับชื่อเสียงและเกียรติภูมิของกรุงเทพฯ ให้สูงขึ้นไปอีกขั้น ในฐานะเมืองสำหรับที่พักอาศัย ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลที่เราได้ประกาศเปิดให้ผู้สนใจจองซื้อได้แล้ว พร้อมกันในกรุงเทพฯ ฮ่องกง และลอนดอน ซึ่งถือเมืองหลวงของแหล่งที่พักอาศัยระดับหรูหราแถวหน้าของโลก” โครงการ ‘เดอะ เรสซิเดนซ์ แอท แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ’ เป็นโครงการที่พักอาศัยสุดหรูหรา แบบฟรีโฮลด์ ติดริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา จำนวน 1 อาคารความสูง 52 ชั้นจำนวน 146 ยูนิต เป็นอาคารที่พักอาศัยที่มีความเป็นส่วนตัวสูง ตั้งอยู่บนพื้นที่โครงการไอคอนสยาม แลนด์มาร์คแห่งใหม่ของประเทศไทย ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเยื้องกับโรงแรมระดับตำนาน แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ โดยโครงการจะได้รับการบริหารจัดการ พร้อมทั้งให้บริการและอำนวยความสะดวกแก่ผู้พักอาศัย โดยแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพ ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือ เพื่อเติมเต็มไลฟ์สไตล์ที่สุดแห่งความหรูหรา “มากกว่าชื่อเสียงระดับตำนานของแบรนด์แมนดาริน โอเรียนเต็ลแล้ว โครงการที่พักอาศัยสุดหรูแห่งนี้ยังให้ความรู้สึกใกล้ชิดกับธรรมชาติ พร้อมกับมนต์เสน่ห์ของกลิ่นไอความเป็นไทย ผสมผสานกับการออกแบบและก่อสร้างที่ได้มาตรฐานระดับโลก ตลอดจนความพิถีพิถันและใส่ใจแม้แต่ในรายละเอียดที่เล็กที่สุด เป็นการผสมผสานที่ยอดเยี่ยมและลงตัวที่ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในโครงการเดียว ทำให้โครงการที่พักอาศัยของเรามีความพิเศษที่แตกต่างอย่างเป็นเอกลักษณ์ และสามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่สุดหรูหราได้อย่างไม่มีใครเหมือน” นางทิพพาภรณ์ กล่าว มร. ริชาร์ด เบเกอร์ รองประธานกรรมการบริหาร และผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติงานภูมิภาคเอเชีย แมนดาริน โอเรียนเต็ล โฮเต็ล กรุ๊ป กล่าวว่า “วันนี้ ชื่อเสียงระดับตำนานของแมนดาริน    โอเรียนเต็ล จะสามารถเป็นมรดกตกทอดของผู้ซื้อที่พักอาศัยในโครงการที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้ ในเมืองที่มีสีสันน่าตื่นเต้นเร้าใจที่สุดแห่งหนึ่งของเอเชีย พันธสัญญาของแบรนด์เรา คือ ความมุ่งมั่นตั้งใจที่เหนือกว่าในการบริหารที่พักอาศัยและการให้บริการด้วยมาตรฐานที่เป็นเลิศที่สุด มาตรฐานที่ทำให้  ชื่อแมนดาริน โอเรียนเต็ลเป็นสัญลักษณ์ของมาตรฐานความหรูหราชั้นยอด ทั่วโลก” นางทิพพาภรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “คุณภาพของที่พักอาศัยแต่ละยูนิตเทียบเท่าหรือเหนือกว่าที่พักอาศัยที่ดีที่สุดของโลก ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของเราอยู่ในหลากหลายประเทศทั่วโลก เป็นกลุ่มคนผู้ซึ่งมีรสนิยมและไลฟ์สไตล์ระดับหรูหรา มีความพิถีพิถันในการเลือกสรรสิ่งพิเศษที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง ซึ่งการตัดสินใจซื้อที่พักอาศัยในโครงการ เดอะ เรสซิเดนซ์ แอท แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ นี้ จะมีทั้งกลุ่มคนที่เล็งเห็นว่าห้องชุดพักอาศัยแห่งนี้เป็นทรัพย์สินที่มีคุณค่าควรคู่กับการมีไว้ในครอบครอง และกลุ่มคนที่ตัดสินใจซื้อเพื่อเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เนื่องด้วยทำเลที่ตั้งที่มีมนต์เสน่ห์น่าประทับใจ และด้วยชื่อเสียงระดับตำนานของแบรนด์แมนดาริน โอเรียนเต็ล โดยได้รับความสนใจจากลูกค้าจอง  ที่พักอาศัยสุดหรูของเราล่วงหน้า เป็นจำนวนกว่า 30 ยูนิตจากทั้งหมด 146  ยูนิต” “ความเป็นส่วนตัว ความรู้สึกโอ่โถง และพื้นที่ส่วนกลางที่กว้างขวางคือสิ่งสำคัญที่สุดที่ให้ความรู้สึกหรูหรา ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลที่เราจัดให้แต่ละยูนิตมีทางเข้าลิฟต์โดยสารที่เป็นส่วนตัว มีเพดานห้องที่สูง   ถึง 3.20 เมตร และมีพื้นที่ส่วนกลางต่อยูนิตที่ใหญ่กว่าคอนโดมิเนียมเกรดเอส่วนใหญ่ในกรุงเทพฯ ประมาณสามเท่า” นางทิพพาภรณ์ กล่าว ผู้พักอาศัยในโครงการจะได้รับความสะดวกสบายจากสิ่งอำนวยความสะดวกที่หลากหลาย ครอบคลุมพื้นที่ 3,000 ตารางเมตร จำนวน 4 ชั้น ซึ่งรวมถึงสกายพาวิลเลียนสุดเอ็กซคลูซีฟบนชั้น 36 ประกอบ ด้วยเลาจน์ บิสซิเนสเซ็นเตอร์ และห้องสมุด ส่วนคลับเฮาส์สำหรับผู้พักอาศัยตั้งอยู่บนชั้น 4 และชั้น 5 สามารถมองเห็นทัศนียภาพอันสวยงามน่าประทับใจของวิวแม่น้ำเจ้าพระยา มีพื้นที่รับประทานอาหารที่เป็นส่วนตัว มีสระว่ายน้ำลอยฟ้าแบบไร้ขอบ (infinity-edge lap pool) อ่างจากุซซี่ ฟิตเนส เซ็นเตอร์สุดล้ำสมัย สนามกอล์ฟจำลอง ห้องเล่นเกม และห้องสื่อต่างๆ โดยเดอะ เรสซิเดนซ์ แอท แมนดาริน   โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ ยังเป็นโครงการที่พักอาศัยโครงการแรกที่ริเริ่มนำระบบจอดรถอัตโนมัติในอาคารที่พักอาศัยมาใช้เป็นโครงการแรกในกรุงเทพฯ ซึ่งจะช่วยให้ผู้พักอาศัยสามารถจอดรถทิ้งไว้ที่ล็อบบี้ทางเข้าได้ โดยมีลิฟต์อัจฉริยะอำนวยความสะดวกนำรถไปจอดให้ สิทธิประโยชน์พิเศษเพิ่มเติมสำหรับผู้พักอาศัย นอกเหนือจากการได้ครอบครองกรรมสิทธิ์ห้องชุดสุดหรูหรา ก็คือการได้เป็นสมาชิก Residences Elite Programme ของแมนดาริน โอเรียนเต็ล โดยอัตโนมัติ ซึ่งมอบสิทธิพิเศษที่ครอบคลุมทั่วโลก และการยอมรับในระดับพิเศษ เมื่อเข้าพักในโรงแรมในเครือแมนดาริน โอเรียนเต็ล นอกจากนั้น ผู้พักอาศัยในโครงการยังได้รับสิทธิพิเศษและการยอมรับระดับวีไอพี เมื่อใช้บริการหรือช้อปกับร้านค้าภายในโครงการไอคอนสยาม ราคาขายห้องชุดพักอาศัยในโครงการ เริ่มต้นที่ประมาณ 350,000 บาทต่อตารางเมตร มีขนาดห้องตั้งแต่ประมาณ 130 – 230 ตารางเมตรต่อยูนิต ห้องเพนท์เฮาส์ และดูเพล็กซ์เพนท์เฮาส์ ขนาดตั้งแต่ 380 – 710 ตารางเมตร ราคาขายเริ่มต้นที่ประมาณ 550,000 บาทต่อตารางเมตร ตัวอาคารอยู่ห่างจากริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาเพียง 45 เมตร แต่ละยูนิตสามารถมองเห็นวิวแม่น้ำที่สวยงาม และสวนสวยที่ร่มรื่นเขียวขจีขนาด 4,600 ตารางเมตร ได้อย่างไม่มีอะไรมาบดบัง ห้องชุดพักอาศัยทุกยูนิตเป็นแบบ Fully Fitted และเพิ่มเติมกว่านั้นลูกค้าสามารถเลือกซื้อเป็นแบบ Fully Furnished หรือห้องชุดพักอาศัยที่ตกแต่งพร้อมเข้าอยู่ได้ ซึ่งออกแบบและตกแต่งโดยนักออกแบบตกแต่งภายในชื่อดังของโลก จอยซ์ แวง ซึ่งมีผลงานออกแบบตกแต่งภายในโครงการดังๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม แมนดาริน โอเรียนเต็ล แลนด์มาร์ก ในฮ่องกง แมนดาริน โอเรียนเต็ล ลอนดอน ซินเทียนตี้ เพนท์เฮาส์ และสำนักงานใหญ่เคเอชเอช แขกผู้มีเกียรติ บุคคลสำคัญระดับซูเปอร์วีไอพี และเซเลบริตี้แถวหน้าของเมืองไทย ที่เข้าร่วมงาน ต่างแสดงความชื่นชมและประทับใจในความหรูหราสง่างามของโครงการเดอะ เรสซิเดนซ์ แอท แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ และภาคภูมิใจที่โครงการเดอะ เรสซิเดนซ์ แอท แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ แห่งนี้ จะเป็นโครงการที่พักอาศัยที่หรูหราที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ในมาตรฐานที่เทียบเท่าหรือเหนือกว่าโครงการที่พักอาศัยที่ดีที่สุดในนิวยอร์ค ลอนดอน โตเกียว หรือเซี่ยงไฮ้ โครงการเดอะ เรสซิเดนซ์ แอท แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ มีกำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2561
SENA รุกธุรกิจพลังงานทดแทนเต็มเหนี่ยว เปิดตัวบริษัทน้องใหม่ SENA SOLAR ENERGY จ่อรับรายได้โซลาร์กว่า 50 MW ในเดือนม.ค.59 เปิดแผน 3 ปี คว้างานติดตั้งแผงโซลาร์ ขนาดรวม 100 MW

SENA รุกธุรกิจพลังงานทดแทนเต็มเหนี่ยว เปิดตัวบริษัทน้องใหม่ SENA SOLAR ENERGY จ่อรับรายได้โซลาร์กว่า 50 MW ในเดือนม.ค.59 เปิดแผน 3 ปี คว้างานติดตั้งแผงโซลาร์ ขนาดรวม 100 MW

บมจ.เสนาดีเวลลอปเม้นท์ (SENA) ผู้นำอสังหาฯชั้นแนวหน้าของเมืองไทย เปิดตัวบริษัทน้องใหม่ “SENA SOLAR ENERGY” พร้อมทีมผู้บริหาร “ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์” เผยเตรียมรุกธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์เต็มเหนี่ยว จ่อรับรู้รายได้โซลาร์กว่า 50 MW ในเดือนม.ค.59 นี้ พร้อมลุยต่อ โซลาร์ฟาร์ม โซลาร์ รูฟ และอยู่ระหว่างเสนอราคารับงานติดตั้งโซลาร์ให้หน่วยงานราชการ เปิดแผนธุรกิจ 3 ปี ติดตั้งแผงโซลาร์ ขนาดกำลังการผลิตรวม 100 MW ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการบริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (SENA) ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ชั้นแนวหน้าของเมืองไทย แถลงข่าวเปิดตัวผู้บริหารบริษัท SENA SOLAR ENERGY และทิศทางธุรกิจพลังงานทดแทนของบริษัทในอนาคตว่า หลังจากที่บริษัทได้รุกเข้าธุรกิจพลังงานทดแทน เพื่อต่อยอดธุรกิจอสังหาฯ โดยก่อนหน้านี้ได้ขยายการลงทุนและเข้าสู่ธุรกิจพลังงานทดแทน ผ่านการร่วมลงทุนโครงการโซลาร์ฟาร์ม ร่วมกับบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ ซึ่งถือเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจพลังงาน และร่วมกับพันธมิตรยักษ์ใหญ่อย่าง First Solar ติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป ที่โครงการบ้านและโฮมออฟฟิศ เพื่อให้ลูกค้ามีรายได้จากการขายไฟให้รัฐ หรือใช้ไฟฟรีนาน 25 ปี  นับว่าเป็นการแสดงถึงการดำเนินธุรกิจในปี 2558 ของ SENA ตามกลยุทธ์ “ไฟนีออน” ที่จะส่องสว่างชัดเจนในด้านการเปิดตัวธุรกิจรูปแบบใหม่ เพื่อต่อยอดธุรกิจหลักของบริษัท แสดงให้เห็นถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทที่รุกเข้าสู่ธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์อย่างชัดเจน “ในวันนี้ ทาง SENA ก็ได้เข้าไปเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ในบริษัท เอท โซลาร์ จำกัด (Eight Solar)หรือ WE Solar เดิม โดยมีผู้บริหารและทีมงานมืออาชีพที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมติดตั้งโซลาร์รูฟ โดยมีคุณสุเมธ บุญบรรดารสุข ผู้บริหาร บริษัท วัฒนสุข เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด เป็นผู้ก่อตั้งบริษัท เพื่อดำเนินงานด้านการติดตั้งและวางระบบ (EPC) โซลาร์รูฟท็อปมายาวนาน เข้ามาเสริมทัพเพื่อให้ บริษัท เสนา โซลาร์ เอนเนอร์ยี่ จำกัด ซึ่งนับเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่ทำให้การดำเนินงานด้านพลังงานแสงอาทิตย์ของ SENA SOLAR ENERGY ครบวงจร” ผศ.ดร.เกษรา กล่าว MR.José Luis Martín , Advisor to CEO, SENA SOLAR ENERGY กล่าวว่า ในฐานะที่มีประสบการณ์ยาวนานในการดำเนินงานเกี่ยวกับพลังงานทดแทน โดยเฉพาะในส่วนของธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ เชื่อว่าจะเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับการบริหารงานที่ SENA SOLAR ENERGY ซึ่งในอนาคต มั่นใจว่า SENA จะกลายเป็นผู้ประกอบการอสังหาฯ ชั้นแนวหน้าของเมืองไทย ที่เป็นเจ้าตลาดพลังงานทดแทนได้อย่างสมบูรณ์แบบ เนื่องจากมีเสนาฯ มีความมุ่งมั่นและตั้งใจในการทำธุรกิจด้านพลังงานทดแทนโดยได้มีการวางแผนงานตลอดจนโครงสร้างไว้อย่างชัดเจน อีกทั้งยังมีการสนับสนุนจากภาครัฐในเรื่องการรับซื้อกระแสไฟฟ้าที่ผลิตได้จากเอกชนในระยะยาวถึง 25 ปี ซึ่งนับว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่แสดงให้เห็นว่าภาครัฐต้องการให้มีการใช้พลังงานทดแทนอย่างจริงจังด้วย นายสุเมธ บุญบรรดารสุข ผู้ก่อตั้ง บริษัท เอท โซลาร์ จำกัด (EIGHT SOLAR) กล่าวว่า “มั่นใจว่าความร่วมมือกับเสนาฯในครั้งนี้ จะเป็นประโยชน์กับทั้งสองฝ่าย โดยเหตุผลสำคัญที่ร่วมมือกับเสนาฯ เพราะเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจโดยคนไทยมาอย่างยาวนานกว่า 30 ปี ทั้งยังมีคณะผู้บริหารที่มีความพร้อมด้านประสบการณ์ ความรู้ และความสามารถ ตลอดจนเจตนารมณ์ในการทำธุรกิจด้านพลังงานทดแทนอย่างชัดเจน นอกจากนี้ ทางเสนาฯ ก็มีความจริงจังที่จะดำเนินงานในด้านพลังงานแสงอาทิตย์ โดยมีโครงการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์กว่า 50 เมกะวัตต์ที่พร้อมจะจ่ายไฟในต้นปีหน้า” ในส่วนของ Eight Solar เป็นบริษัทในเครือของ บริษัท เอ็น.ซี.อาร์ รับเบอร์ อินดัสตรี้ จำกัด ที่ดำเนินธุรกิจมากว่า 55 ปี และ Eight Solar ถือเป็นผู้ประกอบการที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในการติดตั้งและวางระบบวิศวกรรม (EPC) โซลาร์รูฟท็อป ซึ่งได้รับอนุญาตจากการพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) โดยที่ผ่านมามีการติดตั้งโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ณ อ.ทับสะแก จ.ประจวบคีรีขันธ์ ขนาดกำลังการผลิต 5 เมกะวัตต์ ให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) นอกจากนี้ ยังได้ติดตั้งระบบผลิตกระแสไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาให้กับผู้ใช้ตามบ้านพักอาศัยอีกเป็นจำนวนมาก นายสุเมธ กล่าวเพิ่มเติมว่า “ทาง Eight Solar ยังได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้แทนจำหน่าย Inverter ของ ABB อย่างเป็นทางการเจ้าแรกในประเทศไทย ซึ่งเป็น Inverter ที่ผลิตในยุโรป ผ่านการรับรองจากการไฟฟ้านครหลวง (MEA) และ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) และเป็นตัวแทนจำหน่ายแผงโซลาร์และอุปกรณ์เกี่ยวกับการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ยักษ์ใหญ่ 1 ใน 3 ของโลก อย่างบริษัท  First Solar  ด้วย ซึ่งความพร้อมของทีมงานมืออาชีพ และพันธมิตรชั้นนำจะช่วยเสริมให้การดำเนินธุรกิจพลังงานในครั้งนี้ ดำเนินไปอย่างแข็งแกร่ง และเติบโต” นายสุธรรม โอฬารกิจอนันต์ ประธานฝ่ายการเงิน ของ SENA SOLAR ENERGY กล่าวถึงแผนการดำเนินธุรกิจของบริษัท “ทางบริษัทเริ่มต้นดำเนินธุรกิจด้าน Solar Business โดยต้นเดือนมกราคม 2559 จะเริ่มรับรู้รายได้ จาก Solar Farm และ Solar Roof ที่กำลังผลิตกว่า 50 เมกะวัตต์ และตั้งเป้าหมายกำลังผลิตรวม 100 เมกะวัตต์ ภายใน 3 ปี จากการเป็นผู้สนับสนุนโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินสำหรับหน่วยงานราชการและสหกรณ์ภาคการเกษตร และ การติดตั้งให้กับลูกค้าทั่วไปทั้งที่เป็นเจ้าของบ้าน เจ้าของโครงการ รวมถึงเจ้าของธุรกิจบางประเภทที่ต้องการติดตั้งโซลาร์รูฟในโครงการ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม สร้างรายได้สม่ำเสมอ รวมถึงเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายจากใบเรียกเก็บเงินค่าไฟฟ้า  เนื่องจากลูกค้าสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าเพื่อมาใช้เองได้  รวมถึงได้รับค่าบริการสำหรับการควบคุมดูแลและบำรุงรักษาหลังการติดตั้ง (O&M) ” ทั้งนี้ ถือเป็นความสมบูรณ์พร้อมด้าน Solar Business ของบริษัทฯ เพราะเราดำเนินงานทั้งในรูปแบบ Solar Farm และ Solar Rooftop ตั้งแต่กระบวนการติดตั้ง ตลอดจนการบริการหลังการขาย ส่งผลให้บริษัทสามารถให้บริการที่ครบวงจรสร้างความสะดวกสบายให้แก่ลูกค้า นอกจากนี้ ในด้านงานปฏิบัติการและบำรุง (O&M - Operation and Maintenance) ทางผู้บริหารมั่นใจว่า จากประสบการณ์ของทีมผู้บริหารตลอดจนทีมงาน O&M จาก Eight Solar จะสามารถสร้างความต่อเนื่องและสมบูรณ์ของงานให้สามารถทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างแน่นอน
The Cube (รามคำแหง) กระแสแรงหลังสร้างเสร็จโอนแล้วกว่า 85%

The Cube (รามคำแหง) กระแสแรงหลังสร้างเสร็จโอนแล้วกว่า 85%

นายวิชิต  อำนวยรักษ์สกุล  กรรมการผู้จัดการ  บริษัท วีทูเอ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด  ผู้พัฒนาและบริหารงาน โครงการ เดอะคิวบ์ รามคำแหง (The Cube Ramkhamhaeng) ปลื้มยอดการโอนกระแสดีหลังโครงการฯ สร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่ ส่งผลให้ไตรมาสสุดท้ายปี 2558 มียอดโอนกรรมสิทธิ์รวมแล้วกว่า 85% โดยชี้แจงว่า โครงการเดอะคิวบ์ รามคำแหง ที่สร้างเสร็จแล้วและอยู่ในทำเลที่ดีที่สุดย่านรามคำแหงและบางกะปิ ช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคที่ต้องการคอนโดมิเนียมที่สมบูรณ์พร้อมที่จะหิ้วกระเป๋าเข้าอยู่ได้หลังโอนกรรมสิทธิ์เรียบร้อยแล้ว ส่วนที่ยังไม่ได้โอนฯ นั้นอยู่ระหว่างการยื่นเอกสารขอสินเชื่อกับธนาคาร และจากที่รัฐบาลมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ในภาพรวมให้ประกอบกับโปรโมชั่นพิเศษของโครงการฯ ที่การันตีผู้เช่าให้ 5 เดือน เดือนละ 10,000 บาท หากเจ้าของห้องต้องการซื้อคอนโดฯ เพื่อลงทุนทำให้ยอดการโอนฯ สูงขึ้น นับว่าส่งผลดีต่อเนื่องให้โครงการเดอะคิวบ์  2 ทำเล อย่าง The Cube แจ้งวัฒนะ (สร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่ต้นปี 2559) และ The Cube ประชาอุทิศ (อยู่ระหว่างดำเนินงานก่อสร้างพร้อมอยู่กลางปี 2559) มียอดการจองและเข้าชมโครงการฯ เพิ่มขึ้นจากเดิมถึง 20% อีกด้วย  และสำหรับผู้สนใจคอนโดฯ ของโครงการเดอะคิวบ์ (รามคำแหง) ยังมีห้องขนาด 28 ตร.ม. ตำแหน่งห้องดีและวิวสวย ที่ผู้ซื้อผ่อนดาวน์ไม่ไหวคืนให้กับโครงการฯ จึงนำมาจัดโปรโมชั่นพิเศษให้กับลูกค้าส่งท้ายปีในราคาเริ่มต้น 1.49 ล้านบาท โดยคาดว่าสิ้นปี 2558 จะมียอดโอนกรรมสิทธิ์ 95% เป็นอย่างน้อย เดอะคิวบ์ (รามคำแหง) คอนโดมิเนียมทำเลสวยอยู่สบายสูง 8 ชั้น รวม 2 อาคาร พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกบนถนนรามคำแหง ซอย 89/2  (ฝั่งตรงข้ามท่าเรือเดอะมอลล์ บางกะปิ) ในอนาคตจะอยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้าลำสาลีที่สุด เพียง 150 เมตร  เป็นจุดเชื่อมต่อของรถไฟฟ้าสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) และรถไฟฟ้าสายสีส้ม (ตลิ่งชัน-มีนบุรี) และสะดวกในการเดินทางทั้งทางรถและทางเรือ  ใกล้ห้างสรรพสินค้า อาทิ เดอะมอลล์ บางกะปิ ตลาดตะวันนา แมคโคร โลตัส บิ๊กซี มหาวิทยาลัยรามคำแหง มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (ABAC)  รพ.รามคำแหง  รพ.สมิติเวช  ศรีนครินทร์ เป็นต้น สอบถามรายละเอียดโครงการเพิ่มเติมและชมห้องตัวอย่างได้ทุกวัน (ไม่เว้นวันหยุด) โทร. 088-446-0007-8, 0-2731-6577-8 หรือข้อมูลเบื้องต้น  www.thecube-condo.com  หรือติดตามความเคลื่อนไหวโครงการต่าง ๆ ของโครงการฯ ทางเฟซบุ๊ค  www.facebook.com/The Cube-Condo
เครือควอลิตี้เฮ้าส์ ยึดทำเลโซนภาคตะวันออก เดินหน้ารุกตลาดแนวราบ ส่ง “คาซ่า วิลล์ บ้านบึง” ลุยตลาด หลัง คาซ่า เลเจ้นด์ บ้านบึงประสบความสำเร็จได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี

เครือควอลิตี้เฮ้าส์ ยึดทำเลโซนภาคตะวันออก เดินหน้ารุกตลาดแนวราบ ส่ง “คาซ่า วิลล์ บ้านบึง” ลุยตลาด หลัง คาซ่า เลเจ้นด์ บ้านบึงประสบความสำเร็จได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี

เครือควอลิตี้เฮ้าส์ เดินหน้าพัฒนาโครงการในโซนภาคตะวันออกต่อเนื่อง หลังประสบความสำเร็จจากกลุ่มสินค้าประเภทคอนโดมิเนียม ทั้งแบรนด์ เดอะทรัสต์ เดอะพอยต์ และคาซ่า คอนโด พร้อมขยายฐานจับกลุ่มลูกค้าแนวราบเพิ่ม ส่งคาซ่า วิลล์ บ้านบึง บ้านเดี่ยวแนวคิดใหม่ลงตลาด หลังโครงการคาซ่า เลเจ้นด์ บ้านบึง ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี มั่นใจปีนี้ยอดขายรวมของโครงการในโซนภาคตะวันออกเติบโตตามเป้า 3,000 ล้านบาท นายไพโรจน์  วัฒนวโรดม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาโครงการคุณภาพ ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียม เปิดเผยว่า “เป็นที่ทราบกันดีว่า ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เป็นภาคธุรกิจหลักที่มีส่วนช่วยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ มีมูลค่าตลาดรวมประมาณ 12-13% ของจีดีพี จะเห็นได้ว่าในช่วงที่ผ่านมามีมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐในหลายๆ ด้าน ทั้งด้านคมนาคม, ด้านการลงทุนภาคธุรกิจ, ด้านการท่องเที่ยว รวมถึงการขยายตัวของสังคมเมืองและกลุ่มธุรกิจ ส่งผลให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด โดยเฉพาะจังหวัดหัวเมืองใหญ่ ระยอง, ชลบุรี, ประจวบคีรีขันธ์, ภูเก็ต, เชียงใหม่ เป็นต้น โดยเฉพาะในภาคตะวันออก จังหวัดระยองและจังหวัดชลบุรี นับเป็นจังหวัดที่มีจีดีพีสูงที่สุดเป็นอันดับ 1 และ 2 ของประเทศ เนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีความพร้อมด้านอุตสาหกรรมและการลงทุน มีนิคมอุสาหกรรมเป็นจำนวนมาก มีท่าเรือน้ำลึก 2 แห่ง คือ ท่าเรือแหลมฉบังและมาบตาพุด และยังเป็นแหล่งงานขนาดใหญ่ของประเทศอีกด้วย ซึ่งจากผลสำรวจของศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย (AREA) เคยวิเคราะห์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ของจังหวัดชลบุรีโดยทำการวิเคราะห์แยกเป็น 8 พื้นที่ คือ 1.พื้นที่อำเภอเมืองชลบุรี 2. พื้นที่บางแสน-บางพระ 3. พื้นที่ศรีราชา 4.พื้นที่แหลมฉบัง 5. พื้นที่บ่อวิน 6.พื้นที่พัทยาฝั่งตะวันออกของถนนสุขุมวิท (ติดเนินเขา) 7.พื้นที่พัทยาฝั่งตะวันตกของถนนสุขุมวิท (ติดทะเล) และ 8.พื้นที่สัตหีบ ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย มองว่าพื้นที่ที่มีความคึกคักมากที่สุดคือพื้นที่พัทยาฝั่งติดทะเล รองลงมาจะเป็นพื้นที่อำเภอศรีราชา และมีพื้นที่ศักยภาพในเขตอื่นๆ อีกหลายแห่ง ซึ่งตรงกับผลสำรวจของทางควอลิตี้เฮ้าส์ เนื่องจากจังหวัดชลบุรีเป็นเมืองเศรษฐกิจอันดับต้นๆ ของประเทศ อีกทั้งยังเป็นแหล่งท่องเที่ยว, แหล่งงาน ทำให้ยังมีความต้องการที่อยู่อาศัยอีกเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในกลุ่มระดับราคากลาง – ล่าง บริษัท จึงได้มีการเข้าไปพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยว, บ้านแฝด, ทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียม ในหลายพื้นที่ อาทิ พัทยา, ตัวเมืองชลบุรี, ศรีราชา, บ่อวิน และล่าสุดคือที่บ้านบึง กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นคนในพื้นที่นั้นๆ คนที่มาทำงานในนิคมอุตสาหกรรม รวมถึงชาวต่างชาติที่มาทำงานในพื้นที่ อย่างเช่น อำเภอศรีราชาชาวต่างชาติส่วนใหญ่จะเป็นชาวญี่ปุ่นที่มาทำงานในนิคมอุตสาหกรรม และในทำเลดังกล่าวบริษัทได้พัฒนาทั้งบ้านเดี่ยว และคอนโดมิเนียมเพื่อเจาะลูกค้ากลุ่มนี้ ก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีมียอดขายเป็นที่น่าพอใจ นายไพโรจน์  กล่าวต่อว่า ปัจจุบันโครงการทั้งหมดที่ควอลิตี้เฮ้าส์ได้พัฒนาในจังหวัดชลบุรี มีจำนวน 12 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 8,455 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยว 5 โครงการ ได้แก่ โครงการ คาซ่า แกรนด์ ศรีราชา มูลค่าโครงการ 400 ล้านบาท, โครงการ คาซ่า แกรนด์ มิตรสัมพันธ์ มูลค่าโครงการ 565 ล้านบาท, โครงการ คาซ่า เลเจ้นด์ บ้านบึง มูลค่าโครงการ 480 ล้านบาท, โครงการคาซ่า วิลล์ บ้านบึง มูลค่าโครงการ 703 ล้านบาท และโครงการ เดอะทรัสต์ วิลล์ บ้านโพธิ์ มูลค่าโครงการ 840 ล้านบาท (เปิดขายเดือนตุลาคม 2558) ทาวน์โฮม 1 โครงการ ได้แก่ โครงการเดอะทรัสต์ ทาวน์โฮม บ่อวิน มูลค่าโครงการ 441 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 6 โครงการ ได้แก่ โครงการคาซ่า คอนโด ศรีราชา มูลค่าโครงการ 500 ล้านบาท, โครงการเดอะทรัสต์ คอนโด พัทยาเหนือ มูลค่าโครงการ 1,200 ล้านบาท, โครงการ เดอะทรัสต์ คอนโด พัทยากลาง มูลค่าโครงการ 836 ล้านบาท, โครงการเดอะทรัสต์ คอนโด พัทยาใต้ มูลค่าโครงการ 1,014 ล้านบาท, โครงการเดอะทรัสต์ คอนโด อมตะ-ชลบุรี มูลค่าโครงการ 850 ล้านบาท และโครงการ เดอะพอยต์ คอนโด แหลมฉบัง มูลค่าโครงการ 626 ล้านบาท โดยโครงการล่าสุดในจังหวัดชลบุรีที่เปิดตัวคือ โครงการคาซ่า เลเจ้นด์ บ้านบึง ตั้งบนพื้นที่ขนาด 21-0-16.4 ไร่ พัฒนาในรูปแบบบ้านเดี่ยว จำนวนรวม 87 ยูนิต มูลค่าโครงการ 480 ล้านบาท เป็นบ้านขนาด 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ (พร้อมห้องแม่บ้าน) พื้นที่ใช้สอย 166 ตารางเมตร บนที่ดินขนาด 50 ตารางวา ราคาเริ่มต้น 4.99 บาท โครงการออกแบบด้วยคอนเซ็ปต์ Modern Contemporary ภายในโครงการครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย อาทิ สวนร่มรื่นขนาดใหญ่, คลับเฮ้าส์ พร้อมสระว่ายน้ำ และห้องออกกำลังกายพร้อมอุปกรณ์ทันสมัยครบครัน ดูแลความปลอดภัยด้วยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและกล้อง CCTV ตลอด 24 ชั่วโมง โครงการตั้งอยู่ใจกลางอำเภอเมืองบ้านบึง เดินทางสะดวกด้วยถนนมอเตอร์เวย์ กรุงเทพ-ชลบุรี สามารถไปได้ทั้งพนัสนิคม, ชลบุรี และระยอง และโครงการคาซ่า วิลล์ บ้านบึง ตั้งบนพื้นที่ขนาด 39 ไร่ จำนวนรวม 211 ยูนิต มูลค่าโครงการ 703 ล้านบาท แบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 33 ยูนิต และบ้านแนวคิดใหม่ 178 ยูนิต โดยบ้านเดี่ยว 2 ชั้น ตั้งบนพื้นที่ขนาด 50 ตารางวา ขนาด 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 1 ห้องครัว 2 ที่จอดรถ พื้นที่ใช้สอย 140 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 4.29 ล้านบาท และบ้านแนวคิดใหม่ 2 ชั้น ขนาด 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 1 ห้องครัว 2 ที่จอดรถ ตั้งบนที่ดินขนาด 36 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 130 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 2.79 ล้านบาท พัฒนาในรูปแบบบ้านเดี่ยวสไตล์โมเดิร์น ออกแบบด้วยคอนเซ็ปต์ Life is Perfect เป็นบ้านแนวคิดใหม่ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ สร้างสรรค์ให้พื้นที่ใช้สอยทุกตารางเมตรให้เกิดประโยชน์สูงสุดสำหรับทุกๆ กิจกรรม เพิ่มรายละเอียดให้ทุกห้องโปร่ง โล่ง สบาย ครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการ อาทิ Modern Clubhouse สโมสรกว้าง โครงการตั้งบนทำเลศักยภาพ ติดถนนใหญ่บ้านบึง-แกลง เดินทางสะดวกด้วยถนนมอเตอร์เวย์ กรุงเทพ-ชลบุรี สามารถไปได้ทั้งพนัสนิคม, ชลบุรี, ระยอง อีกทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกรอบๆ โครงการยังครบครัน อาทิ โรงเรียน, โรงพยาบาล, นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร, นิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง, เทสโก้โลตัส, บิ๊กซีซุปเปอร์เซ็นเตอร์ ในปี 2558 นี้ บริษัทฯ ได้ตั้งเป้ายอดขายไว้ 3,000 ล้านบาท และยอดโอน 2,500 ล้านบาท โดยปัจจุบันทำได้ 60-70% ของเป้าที่ตั้งไว้ และมองว่าภายในสิ้นปีนี้จะสามารถทำยอดขายรวมถึงยอดรับรู้รายได้ ได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ เนื่องจากในช่วงไตรมาส 4 ของทุกปี จะมีความคึกคักในส่วนของกำลังซื้อ บวกกับความเชื่อมั่นของกลุ่มลูกค้าที่มีต่อแบรนด์ บริษัทฯจะสามารถดำเนินธุรกิจได้ตามเป้าที่ตั้งไว้
เปิดตัว ‘โชว์ ดีซี’ ศูนย์การค้าและเอ็นเตอร์เทนเมนต์สุดหรูครบวงจรแห่งแรกของไทย ครั้งแรกกับแนวคิดค้าปลีกและบันเทิงรูปแบบใหม่ “ช้อป & เอ็นจอย”

เปิดตัว ‘โชว์ ดีซี’ ศูนย์การค้าและเอ็นเตอร์เทนเมนต์สุดหรูครบวงจรแห่งแรกของไทย ครั้งแรกกับแนวคิดค้าปลีกและบันเทิงรูปแบบใหม่ “ช้อป & เอ็นจอย”

บริษัท โชว์ ดีซี คอร์ป จำกัด แถลงเปิด ‘โชว์ ดีซี’ ศูนย์การค้าและเอ็นเตอร์เทนเมนต์สุดหรูครบวงจรแห่งแรกของไทย ปักธงแลนด์มาร์คแห่งใหม่ใจกลางกรุงเทพฯ เตรียมเปิดในเดือนมิถุนายน 2559 ทุ่มงบลงทุนทั้งสิ้น 9,500 ล้านบาท ตั้งเป้าดึงนักท่องเที่ยว 100,000 คนต่อวัน ชูแนวคิดค้าปลีกสุดล้ำ “ช้อป & เอ็นจอย” (Shop & Enjoy) โดดเด่นไม่ซ้ำใครรายแรกในประเทศไทย ผสมผสานความบันเทิงอันตื่นตาตื่นใจเข้ากับร้านค้าและร้านอาหารไว้อย่างครบครัน รวมถึง “K-Town” (เมืองเกาหลี) ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ‘โชว์ ดีซี’ ตั้งอยู่ใกล้ถนนพระราม 9 บนพื้นที่ 27 ไร่ มีพื้นที่ภายในอาคาร 150,000 ตารางเมตร นายชยดิษฐ์ หุตานุวัชร์ ประธาน บริษัท โชว์ ดีซี คอร์ป จำกัด กล่าวว่า “เราเป็นรายแรกในประเทศไทยที่นำเอาแนวคิด ‘ช้อป & เอ็นจอย’ (หรือซื้อหาสินค้าพร้อมสรรพกับความบันเทิง) มาใช้ โดยผสมผสานสุดยอดประสบการณ์ช้อปปิ้งและการกินดื่มเอาไว้ในที่เดียว เพื่อลูกค้าและผู้เยี่ยมชมได้ดื่มด่ำไปกับการช้อปปิ้ง    การกินดื่ม และการชื่นชมวัฒนธรรมทั้งของประเทศไทยและประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชีย ไฮไลท์สำคัญของโชว์ ดีซี จะอยู่ที่สินค้าและบริการสุดอินเทรนด์จากเกาหลีซึ่งโดดเด่นไม่มีใครเหมือน นอกจากนี้ ลูกค้าของเรายังจะได้เพลิดเพลินไปกับเอ็นเตอร์เทนเมนต์ชั้นนำของไทย ไม่ว่าจะเป็น ‘ศูนย์การประชุมและการแสดง’ ซึ่งรองรับผู้ชมได้ 5,000 คน บนพื้นที่ 5,000 ตร.ม. ‘สปอร์ต อารีนา’ สนามแข่งขันกีฬาเพื่อความบันเทิงแห่งเอเชีย รองรับผู้ชมได้ 1,500 ที่นั่ง รวมถึง การแสดงพิเศษส่งเสริมวัฒนธรรม ‘หิมพานต์ อวตาร’ มหัศจรรย์ตำนานวรรณคดีไทยเสมือนจริงในรูปแบบ 4D โดยใช้เทคโนโลยีแสง สี เสียงสุดล้ำแบบโฮโลกราฟฟิค ที่ยิ่งใหญ่อลังการบนพื้นที่ 5,000 ตร.ม.” โชว์ ดีซี (SHOW DC) มีที่มาจากภาษาอังกฤษคือ Show Destination Center ซึ่งหมายถึง ศูนย์การค้าและเอ็นเตอร์เทนเมนต์สุดหรูครบวงจรนั่นเอง “ขณะนี้พื้นที่ให้เช่าของโชว์ ดีซี มีผู้เช่าแล้ว 60% โดยหนึ่งในบรรดาผู้เช่ารายใหญ่ ได้แก่ ‘YG Entertainment’   ซึ่งเป็นค่ายบันเทิงยักษ์ใหญ่ของเกาหลี ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของศิลปิน ‘K-Pop’ ชื่อก้องโลก อย่าง ‘BIGBANG’ (วงบิ๊กแบง) ‘Psy’ (ไซ กังนัมสไตล์) และ ‘2NE1’ (ทูเอนีวัน) ทั้งนี้ YG Entertainment ได้จับจองพื้นที่ 5,000 ตร.ม. บนชั้นดาดฟ้า เพื่อเตรียมเปิดศูนย์วัฒนธรรมและความบันเทิงสไตล์ ‘K-Pop’ ให้ทุกคนได้พักผ่อนและเพลิดเพลินไปกับคลับสุดฮิปอีกด้วย” นายชยดิษฐ์ กล่าว “โชว์ ดีซี เน้นนำเสนอความหลากหลายของเอเชีย ดังนั้น เราจึงไม่พลาดที่จะสร้างสรรค์พื้นที่ 10,000 ตร.ม. ให้เป็น ‘เอเชียนฟู้ดสตรีท’ ซึ่งรวบรวมอาหารขึ้นชื่อรสเยี่ยมมากมายของเอเชียมาไว้ในที่เดียว นอกจากนี้ ภายในส่วนของ ‘K-Town’ เราได้จัดสรรพื้นที่ขนาดใหญ่ให้กับ ‘K-Fashion’ และ ‘K-Beauty’ แหล่งรวมสินค้าแฟชั่นความงาม รวมถึงบริการเพื่อความงามจากเกาหลีที่ครบครันมากที่สุดในประเทศไทย อีกทั้งยังมีร้านอาหารของศิลปินดังเกาหลี มาเปิดให้แฟนๆ ได้ลิ้มลอง เช่น ‘Psy Ramen’ (ไซ ราเม็ง) ของไซ กังนัมสไตล์   และ ร้าน ‘After Rain’ ของ ‘Rain’ นักร้องหนุ่มผู้มีชื่อเสียงโด่งดังระดับโลก” นายชยดิษฐ์ กล่าวเสริม นางประภาวัลย์ เวลาดีวงณ์ รองประธาน บริษัท โชว์ ดีซี คอร์ป จำกัด กล่าวว่า “เรายังมีสิ่งที่น่าสนใจอีกมากมาย ที่คาดว่าจะสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติได้ราว 50,000 คนต่อวัน ทั้งนี้ โชว์ ดีซี คือ     ค้าปลีกรายแรกในประเทศไทยที่ออกแบบการอำนวยความสะดวกต่างๆ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจำนวนมหาศาล โดยเราได้ทุ่มทุนสร้างที่จอดรถบัสขนาดใหญ่ รวมไปถึงจัดการวางแผนเส้นทางการเดินชมของผู้มาใช้บริการภายในศูนย์การค้าอย่างเป็นระบบ ซึ่งมั่นใจได้ว่าลูกค้าทั้งชาวไทยและเทศทุกท่านจะได้รับความสะดวกสบายตลอดเวลาที่มาโชว์ ดีซี อย่างแน่นอน” “ภายใน 5 ปีข้างหน้า เราคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวมาเยือนประเทศไทยถึง 37 ล้านคนต่อปี ในการสร้างสรรค์   ไลฟ์สไตล์แลนด์มาร์คระดับโชว์ ดีซีนั้น เรามั่นใจว่าบริการของเราจะมอบความสะดวกสบายให้กับลูกค้า  ชาวไทยและนักท่องเที่ยวจำนวนมากได้ เราจึงเชื่อว่าภายในระยะเวลาไม่นาน โชว์ ดีซี จะช่วยแบ่งเบาภาระให้กับแหล่งท่องเที่ยวดั้งเดิมของไทยที่ต้องรองรับนักท่องเที่ยวที่หนาแน่นมากจนเกินไปได้” นางประภาวัลย์ กล่าว “การที่โชว์ ดีซี จะเป็นจุดหมายปลายทางที่รวบรวมสินค้าและบริการไว้อย่างครบครัน จะช่วยให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติสามารถเลือกช้อปสินค้าและใช้บริการต่างๆ ได้อย่างสะดวกสบายในที่เดียว โดยช่วยลดเวลาการเดินทางบนท้องถนน และลดปัญหาการจราจรติดขัดให้กับคนกรุงเทพฯ อีกด้วย ทั้งนี้ นักท่องเที่ยวสามารถมั่นใจได้ว่าจะได้รับสินค้าและบริการที่มีคุณภาพในราคายุติธรรม รวมถึงจะได้สัมผัสประสบการณ์ทางวัฒนธรรมภายในโชว์ ดีซี เช่น การแสดงวัฒนธรรมไทยต่างๆ ซึ่งเราใส่ใจในทุกรายละเอียดเพื่อให้ทุกอย่างสมจริงและได้มาตรฐานสูงสุดให้สมกับที่เป็นมรดกของชาติไทยอย่างแท้จริง” นางประภาวัลย์ กล่าว หนึ่งในความสะดวกสบายสุดเอ็กซ์คลูซีฟที่โชว์ ดีซี เตรียมไว้ต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ คือ “VIP Traveller Lounge” (วีไอพี แทรเวเลอร์ เลาจ์) เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ใช้เวลาผ่อนคลายในวันสุดท้ายที่ประเทศไทย หลังจากเช็คเอาท์จากโรงแรมที่พักแล้ว “นักท่องเที่ยวสามารถใช้บริการฝากกระเป๋าเดินทาง อาบน้ำ หรือพักผ่อน หลักจากเช็คเอาท์จากโรงแรมที่พักและในขณะรอเครื่องบินไฟลท์ค่ำ นอกจากนี้ โชว์ ดีซี ยังได้เตรียมบริการรถรับส่งฟรีไปยังสนามบินในกรุงเทพฯ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวอีกด้วย” นางประภาวัลย์ กล่าว โชว์ ดีซี ตั้งอยู่บนถนนจตุรทิศ สะดวกต่อการเดินทางด้วยหลากหลายเส้นทางรถยนต์และรถไฟฟ้า โดยอยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์มักกะสัน สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินเพชรบุรีและพระราม 9 รวมถึงใกล้ทางด่วนศรีรัชฯ ขาลงด่านพระราม 9 และขาขึ้นด่านอโศก 1 “การเกิดขึ้นของโชว์ ดีซี จะช่วยสนับสนุนนโยบายของภาครัฐ ในการสร้างสรรค์แหล่งช้อปปิ้งและเอ็นเตอร์เทนเมนต์สุดหรูครบวงจรน่าตื่นตาตื่นใจใหม่ๆ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ พร้อมทั้งยกระดับประสบการณ์การท่องเที่ยวในประเทศไทย โชว์ ดีซี ในฐานะแลนด์มาร์คแห่งใหม่ที่สำคัญของอาเซียน จะช่วยเสริมแกร่งภาพลักษณ์ให้กับประเทศไทย ให้กลายเป็นจุดศูนย์กลางการช้อปปิ้งและความบันเทิงแห่งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนต่อไป” นายชยดิษฐ์ กล่าวสรุป
สยามเซ็นเตอร์ได้รับเลือกเป็น 1 ใน 5 ศูนย์การค้าที่ออกแบบดีที่สุดในโลกโดยสมาคมศูนย์การค้าระหว่างประเทศ

สยามเซ็นเตอร์ได้รับเลือกเป็น 1 ใน 5 ศูนย์การค้าที่ออกแบบดีที่สุดในโลกโดยสมาคมศูนย์การค้าระหว่างประเทศ

บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด เจ้าของและผู้บริหารโครงการที่มีชื่อเสียงระดับโลก เช่น สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่ ฯลฯ และเป็นหนึ่งในพันธมิตรเจ้าของไอคอนสยาม อภิมหาโครงการเมือง สัญลักษณ์ใหม่ของประเทศไทย เปิดเผยวันนี้ว่า สยามเซ็นเตอร์ได้รับเลือกเป็นหนึ่งใน 5 ศูนย์การค้าที่ออกแบบดีที่สุดของโลก โดยสมาคมชั้นนำของโลกทางด้านธุรกิจค้าปลีก คือ สมาคมศูนย์การค้าระหว่างประเทศ (International Council of Shopping Centers – ICSC) สยามเซ็นเตอร์เป็น 1 ใน 5 ศูนย์การค้าจากทั่วโลกที่ได้รับเกียรติให้รับรางวัลไอซีเอสซี วีว่า อวอร์ด (ICSC VIVA Award) ประจำปี 2558 ในสาขาการออกแบบและพัฒนา โดยได้รับการยกย่องในฐานะ   ที่มีการออกแบบโดดเด่นที่สุด หลังจากที่ในปี 2557 สยามเซ็นเตอร์ได้รับเลือกให้เป็นผู้ชนะและได้รับรางวัลโกลด์ อวอร์ด จากเวทีเอเชีย แปซิฟิก ช็อปปิ้ง เซ็นเตอร์ อวอร์ด จากการออกแบบสยามเซ็นเตอร์โฉมใหม่ที่สร้างสรรค์ล้ำสมัย สยามเซ็นเตอร์เปลี่ยนโฉมใหม่อย่างเต็มรูปแบบในปี 2556 โดยใช้งบลงทุนกว่า 1,800 ล้านบาท ซึ่งเป็นการลงทุนโดยสยามพิวรรธน์ และเจ้าของแบรนด์ 300 แบรนด์ ในโครงการที่เป็นการริเริ่มความร่วมมือกันครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในวงการค้าปลีกของประเทศไทย นางชฎาทิพ จูตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด กล่าวว่า “เรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับรางวัลจากไอซีเอสซี เราอยากจะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยทำให้กรุงเทพฯ เป็นจุดหมายปลายทางสำหรับการช็อปปิ้งชั้นนำของโลก ด้วยการเป็นผู้นำความคิดสร้างสรรค์ที่ล้ำสมัย ที่นำเสนอไอเดียแปลกใหม่ในการพัฒนาและออกแบบโครงการต่างๆ ของเรา สยามเซ็นเตอร์เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางด้านไลฟ์สไตล์รายแรกๆ ของโลกที่บุกเบิกแนวคิดค้าปลีกแปลกใหม่แบบปฏิวัติวงการ ด้วยความร่วมมือระหว่างผู้พัฒนาศูนย์การค้า ผู้ประกอบการร้านค้าย่อย และเจ้าของแบรนด์ เพื่อสร้างสรรค์ภาพลักษณ์ที่โดดเด่นและสอดคล้องกลมกลืนเป็นเอกภาพทั้งศูนย์การค้า รวมถึงร้านค้าคอนเซ็ปต์ที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับรูปโฉมและบรรยากาศภายในที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของสยามเซ็นเตอร์ ซึ่งความร่วมมือดังกล่าวครอบคลุมไปทั้งสยามเซ็นเตอร์ ทำให้ลูกค้าสามารถมั่นใจได้เลยว่า ไม่ว่าลูกค้าจะมาใช้บริการร้านค้าหรือร้านอาหารใดก็ตามในสยามเซ็นเตอร์ ลูกค้าจะได้สัมผัสกับประสบการณ์แปลกใหม่ที่ปฏิวัติวงการและเหนือความคาดหมายอย่างแน่นอน” นางชฎาทิพกล่าวว่า สยามพิวรรธน์ได้ตัดสินใจลงทุนครั้งใหญ่เพื่อเปลี่ยนโฉมสยามเซ็นเตอร์ สอดคล้องกับพัฒนาการของธุรกิจค้าปลีก “ซึ่งไม่ได้เป็นแค่เรื่องของการค้าปลีกอย่างเดียวอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องของการนำเสนอประสบการณ์แปลกใหม่ที่ไม่ธรรมดา ในสถานที่ที่ผู้คนสามารถที่จะได้รับแรงบันดาลใจ รู้สึกตื่นเต้นและสนุกสนานเพลิดเพลินไปพร้อมๆ กัน” “กลยุทธ์เพื่อความสำเร็จของสยามพิวรรธน์ สำหรับศูนย์การค้าในเครือทุกแห่งก็คือจะต้องเป็นผู้นำด้านแนวคิดสร้างสรรค์แปลกใหม่ที่ล้ำเทรนด์ในธุรกิจค้าปลีก จะต้องสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา ต้องเป็นรายแรกหรือสร้างปรากฏการณ์ครั้งแรกเสมอ และต้องทำสิ่งที่มาตรฐานระดับโลก ในฐานะ ‘ผู้นำความคิดสร้างสรรค์ที่ล้ำสมัย’” นางชฎาทิพ กล่าว นางชฎาทิพ เปิดเผยว่า หลังจากที่เปิดตัวสยามเซ็นเตอร์โฉมใหม่ภายใต้แนวคิดและดีไซน์ใหม่ที่ได้รับรางวัลนี้ มีผู้เข้ามาใช้บริการในสยามเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นลูกค้าที่เข้ามาจับจ่ายใช้สอยจริงๆ เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน และมีอัตราการใช้จ่ายเฉลี่ยต่อลูกค้าเพิ่มขึ้นด้วย “นับตั้งแต่ปฏิวัติวงการด้วยการเปิดตัวสยามเซ็นเตอร์แนวคิดใหม่ จำนวนคนที่เข้ามาใช้บริการที่สยามเซ็นเตอร์เพิ่มขึ้นเกือบ 12,000 คนต่อวัน เมื่อเทียบกับเมื่อปีที่แล้ว นอกจากนั้น ในบรรดาผู้ที่เข้ามาใช้บริการที่สยามเซ็นเตอร์ จำนวนคนที่ใช้จ่ายเงินช็อปปิ้งจริงๆ ในห้างก็เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดถึง 34%” “ยิ่งไปกว่านั้นคือ การใช้จ่ายเฉลี่ยของนักช็อปแต่ละคน ที่เข้ามาใช้จ่ายในสยามเซ็นเตอร์ เพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัว โดยทุกวันนี้ยอดใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคน ต่อการเข้ามาใช้บริการหนึ่งครั้ง ซึ่งสะท้อนความสำเร็จของความร่วมมือกันระหว่างร้านค้าปลีก เจ้าของแบรนด์ และสยามพิวรรธน์ ในการสร้างความตื่นเต้นเร้าใจ แปลกใหม่ และเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจให้แก่ผู้มาเยือน” นางชฎาทิพ กล่าว นางชฎาทิพ กล่าวเสริมว่า “ความสำเร็จของสยามเซ็นเตอร์ตอกย้ำความเชื่อของเราที่ว่าการเป็นผู้นำความคิดสร้างสรรค์ที่ล้ำสมัย จะเป็นตัวขับเคลื่อนความสำเร็จของสยามพิวรรธน์ และการเติบโตในอนาคตของเราจะมาจากการนำเสนอแนวคิดแปลกใหม่ที่ล้ำเทรนด์ รวมไปถึงนำเสนอแนวคิดด้าน   ไลฟ์สไตล์และค้าปลีกที่เป็นครั้งแรกในประเทศไทย รวมถึงเป็นครั้งแรกในโลกอีกด้วย” เมื่อเร็วๆ นี้ สยามพิวรรธน์ยังคว้า 2 รางวัลสำคัญของวงการ ได้แก่ รางวัลศูนย์การค้าที่ยอดเยี่ยมของประเทศไทย จากการโหวตของนักท่องเที่ยวชาวจีน ซึ่งเป็นการจัดขึ้นโดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย โดยสยามเซ็นเตอร์ได้รับเลือกเป็นศูนย์การค้าที่ดีที่สุดประจำปี 2558 ในขณะที่สยามพารากอนได้รับการยกย่องให้ติดอันดับอยู่ในท๊อปเท็น 10 อันดับแรกของศูนย์การค้าที่ดีที่สุดในโลก จากการโหวตของนักท่องเที่ยวชาวจีน รางวัลดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อส่งเสริมบริการและแหล่งท่องเที่ยวของประเทศไทยในกลุ่มชาวจีน รวมทั้งสนับสนุนให้กำลังใจผู้ประกอบการที่ให้บริการด้านการท่องเที่ยว เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวชาวจีนได้ดียิ่งขึ้น
The Niche Pride คอนโดฯสุดหรู Pre-Sales 2 วัน ยอดขายทะลัก 800 ลบ. SENA เตรียมปรับราคาขึ้นในเดือน ก.ย.อีก 5% สอดคล้องราคาตลาดในทำเลเพชรบุรี-รัชดาที่พุ่งพรวด 28%

The Niche Pride คอนโดฯสุดหรู Pre-Sales 2 วัน ยอดขายทะลัก 800 ลบ. SENA เตรียมปรับราคาขึ้นในเดือน ก.ย.อีก 5% สอดคล้องราคาตลาดในทำเลเพชรบุรี-รัชดาที่พุ่งพรวด 28%

บมจ. เสนาดีเวลลอปเม้นท์ (SENA) และบริษัท ไนท์แฟรงค์ ชาร์เตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ปลื้มกระแสตอบรับโครงการคอนฯ สุดหรู  "The Niche Pride" ที่ตั้งตระหง่านบนถนนเพชรบุรี ใกล้ถนน "ทองหล่อ-เพชรบุรี-พระราม 9" เปิด Pre-Sale แค่ 2 วัน ยอดขายทะลุเป้ากว่า  800 ล้านบาท เตรียมปรับราคาขึ้นอีก 5% ภายในเดือนกันยายนนี้ สอดคล้องราคาคอนโดฯในทำเลเพชรบุรี-รัชดาที่พุ่งพรวด 28% ในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์  กรรมการบริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (SENA)   เปิดเผยว่า โครงการคอนโดมิเนียมสุดหรู ใจกลางเมือง "เดอะนิช ไพรด์ ทองหล่อ-เพชรบุรี" ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่   3 ไร่เศษ ท่ามกลางบรรยากาศที่มีความสงบและเป็นส่วนตัว โดยมีเพียง 1 อาคาร 33 ชั้น จำนวน 667 ยูนิตเท่านั้น ขนาดห้องเริ่มต้น 1 ห้องนอน  30 ตร.ม. ราคาเริ่มเพียง 2.59 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 2,230 ล้านบาท ซึ่งบริษัทได้เปิด Pre-Sales ในวันเสาร์ที่ 8 และวันอาทิตย์ที่ 9 ส.ค.ที่ผ่านมา ปรากฏว่าได้รับการตอบรับจากลูกค้าอย่างดีเยี่ยมโดยมียอดจองกว่า 800 ล้านบาท หรือคิดเป็น 40% ของจำนวนโครงการ และบริษัทเตรียมปรับราคาขายขึ้นอีก 5% ภายในเดือนกันยายนนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับราคาในตลาด ทั้งนี้ โครงการ "เดอะนิช ไพรด์ ทองหล่อ-เพชรบุรี"  มีจุดเด่นในเรื่องของทำเลที่ตั้ง ตัวอาคารตั้งบนถนนเพชรบุรี เชื่อมทุกความสะดวกสบายในการเดินทาง ใกล้ถนนทองหล่อ ถนนอโศก และถนนพระราม 9 เชื่อมต่อสนามบินสุวรรณภูมิ สิ่งอำนายความสะดวกแบบครบครัน ทั้งร้านสะดวกซื้อ เซเว่น อีเลฟเว่น ภายในโครงการ และรายล้อมด้วยห้างสรรพสินค้า โรงเรียน และโรงพยาบาลชั้นนำ สามารถตอบโจทย์ชีวิตคนเมืองได้อย่างลงตัว ขณะเดียวกันยังมีความโดดเด่นเรื่องของการออกแบบดีไซน์ตัวอาคารที่นำความงดงามจากธรรมชาติมาผสมผสานอย่างลงตัว ภายนอกอาคารออกแบบด้วยลวดลายเปลือกไม้ Cedar Crust เพิ่มมนต์เสน่ห์ให้อารมณ์แห่งการพักผ่อน พร้อมสวนสวยขนาดใหญ่ ตั้งแต่ทางเข้าจนถึงทุกสัมผัสของการใช้ชีวิตภายในโครงการ อีกทั้งยังดีไซน์ทุกตารางนิ้ว เพื่อรองรับการอยู่อาศัยอย่างแท้จริง ด้วยการคำนึงถึงความคล่องตัวในทุกฟังก์ชั่นของการใช้งาน เต็มตากับวิวเมืองด้วย Unblock View ซึ่งทุกห้องสามารถเปิดรับวิวธรรมชาติและวิวเมืองได้หลากหลายอารมณ์ นอกจากนี้ ยังเพิ่มบรรยากาศที่จะทำให้คุณผ่อนคลายด้วยการโอบล้อมของธรรมชาติรอบตัว เพลิดเพลินกับสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการ ทั้งสระว่ายน้ำยาว 35 เมตร พร้อม Jacuzzi และสระเด็ก ห้องฟิตเนส ซาวน่า Exclusive Lounge และสวนสวยสไตล์ Tropical ขนาดใหญ่ เพื่อการพักผ่อนอย่างลงตัว ขณะที่นายพนม กาญจนเทียมเท่า กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไนท์แฟรงค์ ชาร์เตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่าคอนโดฯ บริเวณถนนเพชรบุรี-รัชดา และย่านสุขุมวิท-พระโขนง ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2558 ยังปรับตัวเพิ่มขึ้นทั้งจำนวนอุปทานและราคา โดยคอนโดฯย่านสุขุมวิท-พระโขนง มีราคาเฉลี่ยสูงถึง 226,344 บาทต่อตารางเมตร ในปี 2558 ราคาปรับเพิ่มสูงกว่าปี 2557 ถึง 50% ขณะที่คอนโดฯบริเวณถนนเพชรบุรี-รัชดา มีราคาเฉลี่ยสูงถึง 110,454 บาทต่อตารางเมตรในปี 2558 ราคาปรับเพิ่มสูงกว่าปี 2557 ถึง 28%  ทั้งนี้ บริเวณพื้นที่เพชรบุรี-รัชดา มีจำนวนหน่วยคอนโดฯ ที่เปิดขายโครงการตั้งแต่ปี 2551-ครึ่งปีแรกของปี 2558 รวม 46,363 ยูนิต โดยในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ มีจำนวนคอนโดฯ เปิดขายใหม่ประมาณ 4,593 ยูนิต
AP แตกไลน์บ้านกลางเมือง จับตลาดพรีเมี่ยม ชูจุดต่างเพิ่มพื้นที่และฟังก์ชั่น ประเดิมทำเลแรก “บ้านกลางเมือง พระราม 2”

AP แตกไลน์บ้านกลางเมือง จับตลาดพรีเมี่ยม ชูจุดต่างเพิ่มพื้นที่และฟังก์ชั่น ประเดิมทำเลแรก “บ้านกลางเมือง พระราม 2”

AP ตอกย้ำเจ้าตลาดทาวน์เฮ้าส์ 3 ชั้นในเมือง สบช่องว่างตลาดเดินหน้าขยายพอร์ตสินค้า ประเดิมตลาดครึ่งปีหลังส่งบ้านแนวคิดใหม่ภายใต้โมเดล X-TREND ลงจับตลาดระดับพรีเมี่ยม ชูจุดต่างสร้างมูลค่าเพิ่มที่มากขึ้นทั้งพื้นที่ใช้สอย ฟังก์ชั่นการใช้งานในแพ็คเกจราคาที่คุ้มค่า ลั่นมั่นใจกำลังซื้อด้วยตัวเลขซัพพลาย-ดีมานด์ไม่สอดคล้องกัน ปักธงทำเลแรกกับ บ้านกลางเมือง พระราม 2 หนึ่งเดียวบนทำเลที่ดีที่สุดใจกลางพระราม 2 ราคา 7-9 ล้านบาท เปิดขาย 12-13 กันยายน 2558 นี้ คุณวิทยากร จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สยางานกุลยุทธ์การตลาด บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) เผยว่า ตลาดบ้านระดับพรีเมี่ยมบนโลเคชั่นในเมืองยังขยายตัวต่อเนื่อง โดนเฉพาะดีมานด์บ้านแนวราบที่เป็นสินค้าเรียลดีมานด์ ที่ผ่านมา AP ได้พัฒนาบ้านแนวราบที่หลากหลายครอบคลุมตั้งแต่กลุ่มบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ จับเซกเมนต์ลูกค้าครอบครัวคนเมืองกุล่มแมสจนถึงลักชัวรี่ และถ้ามองถึงส่วนแบ่งตลาดแนวราบของ AP ตลอดที่ผ่านมาจะพบว่า AP มีความโดดเด่นอย่างมากในตลาดทาวน์เฮ้าส์ 3 ชั้นในเมือง โดยครงส่วนแบ่งตลาดมากถึง 43% ดังนั้น AP จึงพร้อมนำความชำนาญในการพัฒนาที่อยู่อาศัย แตกไลน์สินค้าใหม่ภายใต้แบรนด์ บ้านกลางเมือง เพื่อเจาะตลาดครอบครัวในเมืองระดับพรีเมี่ยมที่มองหาที่อยู่อาศัยที่มีระดับ พร้อมพื้นที่ใช้สอยและฟังก์ชั่นการใช้งานที่มากขึ้น แวดล้อมด้วยการเดินทางที่หลากหลาย และในปีนี้ AP พร้อมเปิดตัวโครงการแรก บ้านกลางเมือง พระราม 2 ภายใต้คอนเซ็ปท์บ้านแนวคิดใหม่ X-TREND ขยายความสุขได้ดั่งใจบนพื้นที่ที่เพิ่มขึ้น ด้วยศักยภาพทำเลพระราม 2 ที่สามารถเชื่อมต่อ CBD อย่าง สาทร-สีลม ได้อย่างสะดวก ทำมห้เกิดการแข่งขันที่ดุเดือดในทำเลดังกล่าว แต่จากการสำรวจซัพพลายพบเฉพาะสินค้าทาวน์เฮ้าส์และบ้านเดี่ยวเท่านั้น ในขณะที่ไลฟ์สไตล์ครอบครัวเมืองในปัจจุบันเน้นประโยชน์จากพื้นที่ใช้สอยในบ้าน แต่ไม่ต้องการพื้นที่สวนมากนัก ดังนั้น AP จึงใช้ช่องว่างทางธุรกิจนี้ ต่อยอดพัฒนา บ้านแฝดในเมือง รวมจุดแข็ง "เพิ่มฟังก์ชั่นความเรียบหรูแบบบ้านเดี่ยว" และ "ขยายสเปซเต็มพื้นที่แบบทาวน์เฮ้าส์" ในแพ็คเกจราคาขายที่กลุ่มเป้าหมายมองหา "AP ได้ขยายสเปซในบ้านใหม่ ด้วยการจัดสรรพื้นที่ใช้สอยในบ้านแบบเต็มพื้นที่ ตอนรับผู้มาเยือนด้วยส่วน Living Room ที่ให้ความรู้สึกโปร่งสบาย เชื่อมต่อ Dining Area และส่วนครัวถึงกันได้อย่างลงตัว พร้อมให้ความสำคัญกับการใช้ชีวิตร่วมกันของครอบครัวคนเมืองขนาดใหญ่ (2-3 เจเนอเรชั่น) ด้วยห้องนอนชัเน 1 เตรียมไว้สำหรับผู้สูงอายุ ที่สามารถดัดแปลงเป็นห้องอเนกประสงค์และ Triple Master Bedroom ห้องนอนพร้อม Walk-in-closet (และห้องน้ำในตัวทุกห้อง) ที่ชั้น 2 และ 3 อีกทั้งยังเพิ่ม Multiplied Living Space ที่ชั้น 2 สามารถปรับฟังก์ชั่นพร้อมรองรับทุกกิจกรรมของสมาชิกในครอบครัว" สำหรับโครงการ บ้านกลางเมือง พระราม 2 ภายใต้โมเดล X-TREND เพิ่มคุณค่าทุกตารางนิ้วในบ้าน จะมีพื้นที่ใช้สอย 222 ตารางเมตร หน้ากว้าง 11 เมตร 3 ชั้น 4 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ 1 พื้นที่อเนกประสงค์  (Multiplied Living Space) ที่จอดรถ 3 คัน มูลค่าโครงการ 380 ล้านบาท ให้ความเป็นส่วนตัวด้วยยูนิตที่น้อยเพียง 50 ยูนิต ระดับราคา 7-9 ล้านบาท
เรียลแอสเสทฯ ก้าวกระโดดรุกตลาด “บ้านเดี่ยว” ปั้นแบรนด์ “วิรัณยา” ชูจุดขาย “บ้านที่มีหัวใจ” ประเดิมทำเลแรก วงแหวน-อ่อนนุช มูลค่าโครงการ 1,172 ลบ. ราคาเริ่มต้น 5.59 ลบ.

เรียลแอสเสทฯ ก้าวกระโดดรุกตลาด “บ้านเดี่ยว” ปั้นแบรนด์ “วิรัณยา” ชูจุดขาย “บ้านที่มีหัวใจ” ประเดิมทำเลแรก วงแหวน-อ่อนนุช มูลค่าโครงการ 1,172 ลบ. ราคาเริ่มต้น 5.59 ลบ.

บจ.เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์  ลุยเปิดตัวบ้านเดี่ยวโครงการแรก ภายใต้ชื่อแบรนด์ “วิรัณยา” บนทำเลศักยภาพย่าน วงแหวน-อ่อนนุช  ภายใต้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องราวดีๆที่ถ่ายทอดผ่านสายฝน  ยังมั่นใจในตัวสินค้าและศักยภาพของทำเล  ชูจุดขาย “บ้านที่มีหัวใจ”  ด้วยราคาเริ่มต้นที่ 5.59 ลบ. พร้อมวางเป้ายอดขายไว้มากกว่า   80  ลบ. ภายในสิ้นปีนี้  คาดสิ้นปีนี้ยอดขายรวมทุกโครงการอยู่ที่  1,700 ลบ. เติบโต  60 % จากปีที่แล้ว   นายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ กรรมการผู้จัดการ  บจ.เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ครอบคลุมทั้ง คอนโดมิเนียม  เซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์  ทาวน์โฮม โฮมออฟฟิต และบ้านเดี่ยว เผยเกี่ยวกับการเปิดตัว “วิรัณยา (Viranya)” วงแหวน-อ่อนนุช  บ้านเดี่ยวโครงการแรกจากเรียลแอสเสทฯ ว่า “เรียลแอสเสทฯ ได้ศึกษาวิจัยถึงศักยภาพที่ดินและพบว่าที่ดินทำเลในย่านวงแหวน-อ่อนนุช เป็นย่านที่มีการเติบโตและมีการขยายตัวของเมืองสูง  การคมนาคมสามารถเชื่อมต่อได้หลากหลายเส้นทาง รวมทั้งยังแวดล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เหมาะสำหรับการพัฒนาเป็นที่อยู่อาศัย  ด้วยปัจจัยบวกดังกล่าวทำให้เรามีการพัฒนาโครงการ “บ้านเดี่ยว” และนำแบรนด์ใหม่ “วิรัณยา” ลงในพื้นที่นี้ “วิรัณยา” (Viranya)” วงแหวน-อ่อนนุช นับเป็นโครงการที่ 9 จากเรียลแอสเสทฯ และเป็นผลงานบ้านเดี่ยวแบรนด์แรกของบริษัทฯ  โดยเราให้ความทุ่มเทในทุกๆรายละเอียดของกระบวนการพัฒนาและออกแบบภายใต้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องราวดีๆที่ถ่ายทอดผ่านสายฝน  ซึ่งก่อกำเนิดความเจริญงอกงาม ความสดชื่น และความสุขให้กับผู้อยู่อาศัย  ภายใต้แนวคิด “บ้านที่มีหัวใจ” เน้นการออกแบบที่สอดประสานธรรมชาติกับการอยู่อาศัยและกิจกรรมของทุกๆคนในครอบครัวได้อย่างลงตัว โครงการ “วิรัณยา” มีมูลค่าโครงการ 1,172 ลบ. ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 5.59 ลบ. แนวคิดในการออกแบบเป็นสไตล์ Modern ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพย่านวงแหวน-อ่อนนุช  ถนนเลียบวงแหวนกาญจนาภิเษก มีพื้นที่โครงการทั้งหมดประมาณ 43-1-65 ไร่ จำนวน 169 ยูนิต ประกอบด้วยบ้าน 3 แบบ ได้แก่ แบบ Floretta ขนาดพื้นที่ใช้สอย 141 ตร.ม.3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ แบบ Blooma ขนาดพื้นที่ใช้สอย 154 ตร.ม. 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ และ แบบ Matura ขนาดพื้นที่ใช้สอย 171 ตร.ม. 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ ภายในถูกออกแบบให้ลงตัวแบบ Multi-Purpose รวมทุกกิจกรรมความสุขของทุกคนในครอบครัว พร้อมเพิ่มมุมมองที่กว้างกว่าและเชื่อมต่อสวนหน้าบ้านด้วยกระจกเข้ามุม ตัวบ้านถูกออกแบบให้ดูกว้างเพื่อให้มีพื้นที่สำหรับทำกิจกรรมภายในครอบครัวได้มากขึ้น   สภาพแวดล้อมภายในโครงการมีบรรยากาศที่ร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่ พร้อมระบบความปลอดภัยแบบ Next Generation Security Entrance และกล้อง CCTV ทั่วโครงการ นอกจากนั้นยังมีสโมสร 2 ชั้นขนาดใหญ่ ฟิตเนสและสระว่ายน้ำ สวนภายในโครงการเชื่อมต่อให้เป็น Jogging Track ให้สามารถออกกำลังกายท่ามกลางธรรมชาติ  ในด้านการเดินทางยังสะดวกสบาย เข้าเมืองได้หลายเส้นทาง ทั้งจากวงแหวนพระราม 9 และบางนา ใกล้ทางด่วนวงแหวนฝั่งใต้ ทางด่วนฉลองรัช และทางด่วนบูรพาวิถี และยังใกล้กับสิ่งอำนวยความสะดวกและสาธารณูปโภค อาทิ โรงพยาบาล, สถานศึกษา และห้างสรรพสินค้า IKEA , เซ็นทรัล บางนา, พาราไดซ์ พาร์ค และซีคอน สแควร์ เป็นต้น นายสกุลธร กล่าวเพิ่มเติมถึงผลประกอบการของเรียลแอสเสทฯในปีนี้ ว่า ปัจจุบันเรียลแอสเสทฯมีโครงการทั้งหมด  9 โครงการ ประกอบด้วย โครงการคอนโดมิเนียมเดอะสเตจ  (เตาปูนอินเตอร์เชนจ์) 1 โครงการ  ทาวน์โฮม 4  โครงการ ได้แก่เพล็กซ์ 3 โครงการ (บางนา วัชรพล นวมินทร์) และสตอรี่ส์  (วงแหวน –อ่อนนุช)  1โครงการ โฮมออฟฟิศ  2 โครงการ ได้แก่ เอ็นเตอร์ไพรซ์ ปาร์ค และ เดอะพรีเที่ยม  (บางนา)  เซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ ปารค์ ไนน์ทีน 19 (เอกมัย 19)  1 โครงการ และล่าสุดโครงการบ้านเดี่ยววิรัณยา (วงแหวน-อ่อนนุช) อีก 1 โครงการ   ซึ่งในปีนี้บริษัทฯมียอดขายรวมมากกว่า 1,700  ลบ. โดยได้มาจากคอนโดมิเนียม 600 ลบ. ทาวน์โฮม 720 ลบ. โฮมออฟฟิศ 300 ลบ. และจากบ้านเดี่ยว  80 ลบ.   ด้านยอดโอนรวมทั้งหมด  1,000 ลบ. เติบโตขึ้นจากปีที่แล้ว 30%  สำหรับมุมมองตลาดอสังหาฯในช่วงครึ่งปีหลัง ผมมองว่าจากภาวะเศษฐกิจจะยังมีการชะลอตัว แต่บริษัทฯมีความมั่นใจในศักยภาพของที่ดินที่เรามีอยู่ เรายังสามารถเติบโตได้ตามเป้าที่วางไว้อย่างแน่นอน นอกจากนั้นในครึ่งปีหลังเรายังมุ่งหวังจะมอบความสุขในทุกมิติของการอยู่อาศัยภายใต้สโลแกน  We build real matters  for living  เราสร้างสิ่งสำคัญในการใช้ชีวิต โดยใส่ใจความต้องการที่แท้จริงของมนุษย์ผ่านมิติต่างๆเช่น การสร้างสังคมคุณภาพ  การออกแบบไลฟ์สไตล์ การออกแบบนวัตกรรมใหม่ๆ ความปลอดภัย และการใส่ใจในเรื่องคุณภาพ ซึ่งที่ผ่านมาเราได้จัดเตรียมกิจกรรมเพื่อมอบสิทธิพิเศษให้กับสมาชิกครอบครัว Real Family  ตลอดทั้งปี  เพราะเราเชื่อว่าบ้านไม่ได้เป็นเพียงที่อยู่อาศัย แต่บ้านเป็นศูนย์รวมของความรัก ความอบอุ่นภายของสมาชิกในครอบครัว” โครงการ “วิรัณยา (Viranya)” วงแหวน-อ่อนนุช พร้อมเปิด Exclusive VIP day  ในวันที่ 22-23 สิงหาคมนี้  ด้วยราคาเริ่มต้นที่ 5.59 ลบ. พร้อมข้อเสนอโปรโมชั่นพิเศษสุด  จองในงานรับส่วนลด 50,000 บาท สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 1232 หรือ https://www.realasset.co.th/singlehouse/viranya
เน็กซัส จับมือ คบคิดดอทคอม จัดงาน SMART Living 2015

เน็กซัส จับมือ คบคิดดอทคอม จัดงาน SMART Living 2015

เน็กซัส จับมือกับ คบคิดดอทคอม จัดงาน SMART Living 2015 งานเดียวที่รวมทั้ง คอนโด บ้านพักอาศัย สุดหรู คอนโดตากอากาศ ให้ผู้ที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัยเลือกได้อย่างหลากหลาย และลงตัวมากที่สุด โดยงานจะจัดขึ้นที่บริเวณแฟชั่นฮอลล์ชั้น 1 สยามพารากอน ระหว่างวันที่ 20-23 สิงหาคม 2558 ในงานจะประกอบไปด้วยคอนโด บ้านพักอาศัยสุดหรู และคอนโดตากอากาศจำนวน 18 โครงการ จากบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำถึง 8 บริษัท มูลค่ารวมทั้งสิ้นกว่า 32,000 ล้านบาท โดยแต่ละโครงการนำเอา โปรโมชั่นพิเศษสุดมานำเสนอให้กับผู้ซื้อเพื่องานนี้โดยเฉพาะ ทั้งยังเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้ามากขึ้นโดยมีการจัดบูธคอนโดรีเซลไว้ในงานด้วย การจัดงานในครั้งนี้ จะมีโครงการใหม่ที่นำมาเปิดตัวอย่างเป็นทางการหลายโครงการ เช่น 749 Residence บ้านหรูบนทำเลที่ดีที่สุดบนถนนสุขุมวิท ซอย 49/1 โครงการบารานี พาร์คบ้านเดี่ยวสไตล์       คอร์ทยาร์ด บนถนนร่มเกล้า และ เอสเพน คอนโดมิเนียม คอนโดใหม่ บนถนนลาซาล นางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรมการผู้จัดการบริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด กล่าวถึงการจัดงานในครั้งนี้ว่า “สำหรับงาน SMART Living 2015 นี้มีความแตกต่างจากงานรวมอสังหาริมทรัพย์อื่น คือ มีสินค้าที่หลากหลาย มีทั้งคอนโดและบ้านที่คัดสรรมาแล้วทุกทำเล และเราอยากให้งานนี้เป็นงานที่ผู้ซื้อเข้ามาเลือกสรรคอนโดอย่างคุ้มค่าและชาญฉลาด ตามคอนเซ็ปต์ที่เราได้วางไว้ คือ “SMART” โดยโครงการที่พักอาศัยที่มาร่วมงาน มีราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 1 ล้านต้นๆ จนถึง 70 ล้านบาทเลยทีเดียว ครอบคลุมทั้งกรุงเทพ และต่างจังหวัด และที่ขาดไม่ได้สำหรับงานของ เน็กซัส ก็คือ คอนโดรีเซล ที่มีครบทุกราคา ทุกทำเล มาให้ลูกค้าเลือกอย่างครบครัน” นอกจาก สามโครงการที่นำมาเปิดตัวครั้งแรกที่งานนี้แล้ว ยังมีโครงการที่จะมาร่วมงานกับเราเพิ่มเติม อาทิ โครงการในเครือ SC Asset 5 โครงการ, Issara Collection และ BLU จากกลุ่ม ชาญอิสสระ, Park 24, The Unique Sukhumvit 62, The Reserve & The Editor จากพฤกษา และ โครงการในเครือ ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ การจัดงาน SMART Living 2015 ในครั้งนี้ยังได้รับความร่วมมือจาก ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) ซึ่งจับมือเป็นพันธมิตรเข้าร่วมกับเรา ด้วยการนำสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษหลากหลายรูปแบบเพื่อให้เหมาะสมกับผู้ซื้อมานำเสนอในงานอีกด้วย
ผู้ถือหุ้น SENA รับข่าวดี 3 เด้ง! ปันผลเป็นเงินสด-รับสิทธิ์ซื้อหุ้นเพิ่มทุน-อัพไซด์ราคาหุ้น

ผู้ถือหุ้น SENA รับข่าวดี 3 เด้ง! ปันผลเป็นเงินสด-รับสิทธิ์ซื้อหุ้นเพิ่มทุน-อัพไซด์ราคาหุ้น

ผู้ถือหุ้น SENA รับข่าวดี 3 เด้ง! ปันผลเป็นเงินสด-รับสิทธิ์ซื้อหุ้นเพิ่มทุน-อัพไซด์ราคาหุ้น ครึ่งปีแรกกำไรสุทธิกว่า 111 ลบ.สวนกระแสเศรษฐกิจ เดินหน้าเปิดโครงการใหม่อีก 4-5 โครงการตามแผน   ผู้ถือหุ้น SENA เฮรับข่าวดี 3 เด้ง! บอร์ดไฟเขียวจ่ายปันผลเป็นเงินสดสำหรับงวดผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรกของปี"58 ในอัตรา 0.050604 บาท/หุ้น เด้งที่ 2 รับสิทธิซื้อหุ้นเพิ่มทุน RO เด้งที่ 3 อนาคตหุ้นมีอัพไซด์ราคาค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับราคาในกระดาน พร้อมโชว์ผลงานครึ่งปีแรกของปี"58 กำไรสุทธิ  111 ล้านบาท สวนกระแสเศรษฐกิจ "ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์"ประกาศพร้อมเดินหน้าเปิดโครงการใหม่อีก 4-5 โครงการ ตามแผน มั่นใจการสยายปีกเข้าสู่ธุรกิจพลังงานทดแทน หนุนธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน หนุนผลงานปี"59 เติบโตก้าวกระโดด ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการบริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (SENA) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2558 (สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2558) มีรายได้รวม 976.44 ล้านบาท กำไรสุทธิ 111.33 ล้านบาท และคณะกรรมการของบริษัทมีมติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลเป็นเงินสด สำหรับงวดผลการดำเนินงาน 6 เดือนแรกของปีนี้ ในอัตรา 0.050604  บาท/หุ้น "การประกาศจ่ายปันผลเป็นเงินสดสำหรับงวดผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรกของปีนี้ ถือเป็นการให้โบนัสสำหรับผู้ถือหุ้นที่ให้ความไว้วางใจ เสนาฯด้วยดีเสมอมา และผู้ถือหุ้นยังได้รับสิทธิซื้อหุ้นเพิ่มทุนในส่วนที่ขายให้กับ RO ที่เราเตรียมนำเงินที่ได้ไปรุกธุรกิจพลังงานทดแทนเพื่อต่อยอดธุรกิจอสังหาฯ และเพิ่มแหล่งที่มาของรายได้ที่เป็น Recurring Income เพิ่มมากขึ้น ซึ่งนักวิเคราะห์หลายสำนักประเมินว่า เป็นการขยายโอกาสทางธุรกิจ และทำให้ราคาหุ้นมีอัพไซด์ได้อีกมาก เมื่อเทียบกับราคาในปัจจุบัน"ผศ.ดร.เกษรากล่าว ก่อนหน้านี้ คณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติขายหุ้นเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 262 ล้านหุ้น ขายผู้ถือหุ้นเดิม (RO) ในราคาส่วนลดไม่เกิน 50% ของราคาตลาด โดยมีเป้าหมายเพื่อเข้าลงทุนใน TTRE สัดส่วน 99.9995% รุกคืบเข้าสู่ธุรกิจไฟฟ้าพลังงานทดแทน ผ่านการร่วมทุนกับบริษัท บี.กริมเพาเวอร์ จำกัด ในโครงการโซลาร์ฟาร์มกำลังการผลิต 46.5 เมกกะวัตต์ มูลค่าโครงการ 3,336 ล้านบาทเพื่อกระจายความเสี่ยงและสร้างความมั่นคงให้บริษัทยิ่งขึ้น เนื่องจากเป็นธุรกิจที่เสี่ยงน้อย และสร้างรายได้สม่ำเสมอในระยะยาว ผศ.ดร.เกษรา กล่าวว่า ตั้งแต่ต้นปีสามารถทำยอดขายอสังหาฯได้แล้วกว่า 2.5-2.6  พันล้านบาท ทำให้มั่นใจว่าทั้งปีจะทำได้ 4.5 พันล้านบาท ตามเป้าหมาย โดยในช่วงที่เหลือของปีบริษัทจะเปิดโครงการแนวราบอีก 4-5 โครงการ มูลค่ารวม 3-4 พันล้านบาท หลังจากเปิดโครงการคอนโดมิเนียมเดอะนิช ไพร์ด ทองหล่อ-เพชรบุรี มูลค่า 2.23 พันล้านบาทไปแล้ว ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา"ผศ.ดร.เกษรา   กรรมการบริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ กล่าวอีกว่า ยังคงเป้าหมายรายได้ในปีนี้ไว้ที่ระดับ 3 พันล้านบาท  โดยปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) อยู่กว่า 2 พันล้านบาท ซึ่งทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ 1 พันล้านบาท อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าแนวโน้มเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงในปีนี้ ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้ออสังหาริมทรัพย์ และตัวแปรที่สำคัญอีกประเด็นหนึ่งที่กดดันคือ ปัญหาหนี้ครัวเรือน ซึ่งส่งผลให้ลูกค้าบางรายได้รับการปฏิเสธสินเชื่อจากสถาบันการเงิน แต่ด้วยกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจที่เรียกว่า "ไฟนีออน" เชื่อมั่นว่าจะสามารถปรับตัวได้ทันกับสถานการณ์ ขณะที่บทวิเคราะห์ บริษัท เอเอสแอล จำกัด ระบุว่า แนวโน้มธุรกิจของ SENA คาดว่าจะเติบโตอย่างโดดเด่นในปี  2559 ทั้งจากธุรกิจอสังหาฯเดิม และพลังงานทดแทน โดยแนะนำให้ "ซื้อ" ด้วยมูลค่าที่เหมาะสมในปี 2559 ที่ 4.80 บาท/หุ้น ด้วยวิธี PER  อิง P/E ที่ 9 เท่า คิดเป็นอัพไซด์สูงถึง 40.4% และคาดการณ์อัตราเงินปันผลปี 2515-2516 ที่ 3.2% และ 4.3% ตามลำดับ  บริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮาส์ จำกัด (มหาชน) แนะนำ "ซื้อ" SENA ราคาเป้าหมายที่ 4.94 บาท/หุ้น เพื่อให้สอดคล้องกับธุรกิจโซล่าร์ที่จะเข้ามาในปีหน้า และ Backlog คอนโดฯที่มีมาก รวมถึงการขายโครงการเดิมที่น่าจะสดใสขึ้น ทำให้เราคาดว่า SENA จะเป็นหนึ่งในบริษัทที่กำไรโตโดดเด่นมากในปีหน้าถึง +50% YoY                  บริษัทหลักทรัพย์เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) ระบุว่า การก้าวสู่ธุรกิจโซลาร์ฟาร์ม และโซลาร์รูฟ เพื่อเพิ่มความมั่นคงให้กับรายได้และกำไรจะเห็นผลเต็มปีในปี 2559 และหนุนให้กำไรในปี 2559 กลับมาเติบโตสูง 38% yoy โดยราคายังมี upside 35% เทียบกับ FV ปี 2559 ที่ 4.80 บาท จึงแนะนำให้ "ซื้อ"
“ออริจิ้น” โชว์ยอดพรีเซลครึ่งปีแรกกว่า 2,600 ล้านบาท เร่งต่อจิ๊กซอว์ โครงการ “ ไนท์บริดจ์ ”

“ออริจิ้น” โชว์ยอดพรีเซลครึ่งปีแรกกว่า 2,600 ล้านบาท เร่งต่อจิ๊กซอว์ โครงการ “ ไนท์บริดจ์ ”

บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้  หรือ ORI  เร่งวางกลยุทธ์การตลาดกระตุ้นยอดขาย โชว์ตัวเลขยอดพรีเซลครึ่งปีแรกทะลุ 2,600 ล้านบาท  ก่อนตบเท้าเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในไตรมาส 3/2558 นี้ พร้อมต่อจิ๊กซอว์ โครงการไนท์บริดจ์ กำหนดยุทธ์ศาสตร์ปักหมุด ผุดโครงการใหม่ ตามแนวรถไฟฟ้า หลังพบ “ไนท์บริดจ์ สกายซิตี้ สะพานใหม่ ” ประสบความสำเร็จเกินคาดเพียงเดือนเศษ ยอดขายทะลุ 86% ด้าน ผู้บริหาร “ พีระพงศ์ จรูญเอก ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เตรียมดันโปรเจกต์ยักษ์ “ ไนท์บริดจ์ ดิ โอเชียน ศรีราชา ” ทำตลาด High End ภายในไตรมาส3 นี้ พร้อมสบช่องทางสร้างอาณาจักรคอนโดฯ ย่านเกษตร ในเร็วๆ นี้ นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้ประกอบการธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ประเภทคอนโดมิเนียมตามแนวสถานีขนส่งมวลชนระบบรางในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เปิดเผยว่า  บริษัทฯมียอดพรีเซลคอนโดมิเนียมในช่วงครึ่งปีแรก (ม.ค 58- มิ.ย 58) ที่ระดับ 2,600 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งมียอดพรีเซลอยู่ที่ 863 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตของยอดพรีเซลถึง 201% สาเหตุหลักที่บริษัทฯ มียอดพรีเซลที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากแผนกลยุทธ์การขยายโครงการใหม่ของบริษัทฯตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันรวม 5 โครงการ ประกอบด้วยโครงการ Pause สุขุมวิท 103, โครงการ Pause สุขุมวิท 107, โครงการ Pause สุขุมวิท 115, โครงการ  Pause ID สุขุมวิท 107 และ โครงการไนท์บริจด์ สกาย ซิตี้ สะพานใหม่ โดยคิดเป็นมูลค่าโครงการรวมทั้งหมด  3,175 ล้านบาท  ประกอบกับการเลือกทำเลในแต่ละแห่งที่บริษัทฯมุ่งเน้นยุทธศาสตร์ตามทำเลที่ตั้งแนวรถไฟฟ้า ทำให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ ซึ่งถือเป็นการตอบโจทย์ ตามคอนเซ็ปต์กลยุทธ์ บลูโอเชี่ยน ได้ตรงตามความต้องการของบริษัทฯ เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคได้มากที่สุด “ การเลือกยุทธ์ศาสตร์กำหนดทำเลที่ตั้ง เป็นหัวใจหลักของการดำเนินธุรกิจที่อยู่อาศัย ซึ่งORI เล็งเห็นถึงความสำคัญในจุดนี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคให้ตรงจุด นอกจากนี้บริษัทฯ ยังเน้นรูปแบบการดีไซด์ที่ทันสมัยให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ ลูกค้ากลุ่มคนรุ่นใหม่ ขณะเดียวกัน ORI  ยังมีจุดแข็งทีเหนือคู่แข่ง นั่นคือการ การพัฒนาคอนโดมิเนียม แบบ Low Rise  ที่สามารถทำยอดขาย และ ปิดโครงการได้รวดเร็ว ซึ่งจากจุดเด่นดังกล่าว สะท้อนออกมาให้เห็นถึงยอดขาย และ ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ที่มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยกลยุทธ์การมองตลาดตามคอนเซ็ปต์บลูโอเชี่ยน คือ ทำเลศักยภาพใหม่ ที่มีคู่แข่งน้อยราย เช่น ส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสุขุมวิท – สมุทรปราการ ส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าพหลโยธิน – สะพานใหม่ หรือตลาดในนิคมอุตสาหกรรมที่มีกำลังซื้อสูง เช่น ศรีราชา และการที่บริษัทฯ มีช่องทางการทำการตลาดต่างประเทศ ประกอบกับโอกาสการเข้าสู่ AEC ที่บริษัทฯ เน้นเพิ่มกลุ่มลูกค้าชาวญี่ปุ่น จีน และสิงคโปร์ โดยบริษัทฯ มีทีมเซลล์อินเตอร์ที่มีศักยภาพสูงและมีพันธมิตรทางการค้าในต่างประเทศที่ช่วยส่งเสริมการขับเคลื่อนของบริษัทฯ ” นายพีระพงศ์ กล่าว โครงการ “ ไนท์บริดจ์ สกายซิตี้ สะพานใหม่ ” เป็นอีกหนึ่งโครงการที่สามารถตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคย่านสะพานใหม่ ได้เป็นอย่างดี โดยจะเห็นได้จากยอดการจองซื้อโครงการล่าสุดที่สูงถึง 86% หลังจากที่เปิดการขายอย่างเป็นทางการเพียงเดือนเศษ ทั้งนี้เป็นเพราะความต้องการที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมย่านดังกล่าว ยังคงมีดีมานความต้องการอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง ORI ก็ถือเป็นบริษัทฯอสังหาริมทรัพย์แห่งแรก ที่เข้าไปเจาะตลาด และเปิดการขายคอนโดฯเป็นรายแรกในย่านสะพานใหม่ ประกอบกับ จุดเด่นของโครงการนี้คืออยู่ ติดกับสถานีรถไฟฟ้าสายหยุด (สายสีเขียว) โดยบริษัทฯคาดว่าจะปิดการขายได้ภายในเร็วๆนี้ และคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จไตรมาส 3/2560 นายพีระพงศ์  กล่าวเพิ่มเติมว่า จากคอนเซ็ปต์ การทำคอนโดมิเนียมแบบบลูโอเชี่ยน ทำให้บริษัทฯ เห็นถึงความต้องการที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียนที่มีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้บริษัทฯ มีแผนที่จะเปิดตัวโครงการ “ ไนท์บริดจ์ ดิ โอเชียน ศรีราชา ” ในช่วงปลายไตรมาส 3/2558 นี้ โดยโครงการดังกล่าว บริษัทฯ จะเน้นรูปแบบการดีไซต์ และฟังก์ชันที่เป็นไลฟ์สไตล์ของคนญี่ปุ่น มาประยุกต์ใช้ เพื่อเจาะตลาดกลุ่มลูกค้าประเทศดังกล่าว ทั้งนี้ บริษัทฯ เชื่อว่าหากเปิดขายโครงการ “ ไนท์บริดจ์ ดิ โอเชียน ศรีราชา ” จะได้การตอบรับที่ดีจากคนญี่ปุ่นอย่างแน่นอน โดยบริษัทฯ กำหนดเปิดการขายไว้ช่วงปลายไตรมาส 3 นี้ และคาดว่าจะมียอดจองซื้อเข้ามากว่า 70% ของมูลค่าโครงการ 2,500 ล้านบาท “ จากการเดินทางไปโรดโชว์โครงการคอนโดมิเนียมของบริษัทฯ ณ ประเทศญี่ปุ่น ตลอดระยะเวลา 3-4 ปีที่ผ่านมา พบว่ากลุ่มลูกค้าชาวญี่ปุ่นให้ความสนใจ  และต้องการที่พักอาศัยประเภทคอนโดมิเนียมในประเทศไทยในสัดส่วนที่เพิ่มสูงขึ้น โดยจะเห็นได้จากสัดส่วนลูกค้าของบริษัทฯ ที่ปัจจุบันลูกค้าชาวญี่ปุ่นมีสัดส่วนถึง  87 % เมื่อเทียบกับสัดส่วนลูกค้าต่างชาติทั้งหมดของบริษัทฯ ซึ่งจากสัดส่วนดังกล่าว ทำให้บริษัทฯ ผุดโครงการ “ ไนท์บริดจ์ ดิ โอเชียน ศรีราชา ” เพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าชาวญี่ปุ่น ”        นายพีระพงศ์ กล่าว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI) ยังได้กล่าวอีกว่า ในเร็วๆนี้ บริษัทฯ มีแผนที่จะขยายโครงการคอนโดมิเนียม ภายใต้ โครงการ “ ไนท์บริดจ์ ” เพื่อตอกย้ำความสำเร็จ บนย่านเกษตร – สะพานใหม่ ซึ่งบริษัทฯ เล็งเห็นว่าย่านดังกล่าวเป็นแหล่งทำเลทอง และ เป็นแหล่งชุมชนที่อยู่อาศัย ที่ยังคงมีดีมานความต้องการ คอนโดมิเนียมอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้หากบริษัทฯ ดำเนินการเปิดโครงการดังกล่าวได้ตามแผนยุทธ์ศาสตร์ที่วางไว้ ก็จะทำให้ORI สามารถสร้างอาณาจักรคอนโดมิเนียมย่านเกษตร – สะพานใหม่ ได้อีกแห่ง หลังจากที่ประสบความสำเร็จในการสร้างอาณาจักรคอนโดมิเนียมย่านบางนามาแล้ว อย่างไรก็ตามด้วยความสำเร็จจากตัวเลขอัตราการเติบโต ส่งผลให้บริษัทฯ เตรียมเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ ด้วยทุนจดทะเบียนจำนวน  301 ล้านบาท  โดยจะขายหุ้นสามัญให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก จำนวน 180  ล้านหุ้น  มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท และเตรียมเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในหมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ภายในไตรมาส 3 นี้ “ภายในระยะเวลาการดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ด้านคอนโดมิเนียมกว่า 5 ปี บริษัทฯ มีโครงการที่พัฒนาทั้งหมด 22 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 13,600 ล้านบาท ทั้งนี้ยังมีแผนผุดโครงการในอนาคตเพิ่มอีก 5 โครงการ มูลค่ารวมทุกโครงการประมาณ 17,000 ล้านบาท โดยบริษัทฯ มีอัตราการเติบโตของผลการดำเนินงานที่โตต่อเนื่องอย่างก้าวกระโดด ซึ่งระยะเวลาที่ผ่านมาบริษัทฯได้พิสูจน์ให้เห็นถึงศักยภาพในการบริหารงานอย่างมืออาชีพ มีความแข็งแกร่ง และพร้อมพาบริษัทฯ เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ ”
ควอลิตี้เฮ้าส์ เผยที่อยู่อาศัยโซนศรีราชายังเติบโต เชื่อดีมานด์กลุ่มลูกค้าพื้นที่ยังดีต่อเนื่อง หลังเปิดขาย “คาซ่า คอนโด ศรีราชา” เฟสแรกกวาดยอดไปแล้ว 50%

ควอลิตี้เฮ้าส์ เผยที่อยู่อาศัยโซนศรีราชายังเติบโต เชื่อดีมานด์กลุ่มลูกค้าพื้นที่ยังดีต่อเนื่อง หลังเปิดขาย “คาซ่า คอนโด ศรีราชา” เฟสแรกกวาดยอดไปแล้ว 50%

ควอลิตี้เฮ้าส์ เผยแนวโน้มตลาดที่อยู่อาศัย ในพื้นที่โซนศรีราชายังเติบโต ทั้งจากกลุ่มลูกค้าในพื้นที่ ที่ซื้ออยู่อาศัยจริง และกลุ่มที่ซื้อลงทุนปล่อยเช่า รวมทั้งกลุ่มชาวต่างชาติโดยเฉพาะชาวญี่ปุ่นที่เข้ามาทำงานในนิคมอุตสาหกรรม พิสูจน์จากยอดขายโครงการล่าสุด “คาซ่า คอนโด ศรีราชา” คอนโดมิเนียมใหม่สไตล์ ZEN ที่เปิดขายเฟสแรก 2 ตึก เพียงแค่ 2 เดือนกวาดยอดขายไปแล้ว 50% เตรียมกระตุ้นยอดขายต่อเนื่อง ในเดือนสิงหาคมส่งโปรโมชั่นพิเศษ จอง + สัญญา ฟรีดาวน์ ห้องแต่งครบเริ่ม 2.89 ลบ.* นายไพโรจน์ วัฒนวโรดม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา จังหวัดชลบุรีมีการขยายตัวของกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นอย่างมาก นับได้ว่าเป็นจังหวัดที่มีจำนวนนิคมอุตสาหกรรมสูงเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ เนื่องจากจังหวัดชลบุรีเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพด้านการลงทุนและการขนส่ง ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากท่าเรือน้ำลึก อีกทั้งยังมีการสนับสนุนจากนโยบายของภาครัฐในด้านคมนาคม ซึ่งจากข้อมูลพบว่าธุรกิจอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ที่ลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่นี้ คือ ธุรกิจอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้ประกอบการชาวญี่ปุ่น อีกทั้งยังมีชาวญี่ปุ่นที่เข้ามาทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมอีกจำนวนมาก ส่งผลให้ตลาดที่อยู่อาศัยชาวญี่ปุ่นในจังหวัด โดยเฉพาะพื้นที่ศรีราชาเติบโตต่อเนื่องตามอัตราการเพิ่มขึ้นของพื้นที่อุตสาหกรรมและคนทำงาน จากผลการสำรวจพบว่าในปัจจุบันมีชาวญี่ปุ่นอาศัยและทำงานในบริเวณพื้นที่ศรีราชาประมาณกว่า 15,000 คน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านๆมาราว 10-15% ทำให้ในบริเวณนี้มีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับการอยู่อาศัยครบครันสำหรับชาวญี่ปุ่นครบครัน ไม่ว่าจะเป็น ร้านอาหารญี่ปุ่น, ซูเปอร์มาร์เก็ต, ร้านเช่าหนังสือภาษาญี่ปุ่น ,รายการโทรทัศน์ที่ชาวญี่ปุ่นสามารถดูได้, แหล่งบันเทิงต่างๆ รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐาน อาทิ ธนาคาร, โรงพยาบาล, โรงเรียน เป็นต้น บริษัทฯ เล็งเห็นถึงโอกาสในส่วนนี้จึงได้ลงทุนและพัฒนาโครงการคาซ่า คอนโด ศรีราชา ขึ้น โดยตั้งเป้าสัดส่วนกลุ่มลูกค้าชาวไทย 60% และชาวต่างชาติโดยเน้นกลุ่มลูกค้าชาวญี่ปุ่น 40% สำหรับโครงการคาซ่า คอนโด ศรีราชา เป็นคอนโดมิเนียมหรูสไตล์ญี่ปุ่นใจกลางเมืองศรีราชา ออกแบบภายใต้แนวคิด Urban reflection of Japanese heritage แรงบันดาลใจของชีวิตเมืองที่สะท้อนเสน่ห์ความหรูหราแต่เรียบง่ายแบบญี่ปุ่นไว้อย่างลงตัว คาซ่า คอนโด ศรีราชา ตั้งอยู่บนพื้นที่ขนาด 5-3-3 ไร่ เป็นคอนโดมิเนียม Low Rise สูง 8 ชั้น จำนวน 3 อาคาร 140 ยูนิต มูลค่าโครงการ 470 ล้านบาท มีห้องชุดให้เลือก 2 แบบ คือ ห้องชุดแบบ 1 ห้องนอน และห้องชุดแบบ 2 ห้องนอน พร้อมอ่างจากุชชี่ในตัว พื้นที่ใช้สอยขนาด 45-70 ตารางเมตร ขึ้นอยู่กับแบบและตำแหน่งของห้องชุด แต่ละห้องออกแบบและตกแต่งพร้อมเข้าอยู่อาศัย ราคาเริ่มต้น 2.89 ล้านบาท ในด้านสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการ ได้มีการจัดเตรียมไว้ให้อย่างครบครัน อาทิ คลับเฮ้าส์พร้อมสระว่ายน้ำขนาดใหญ่, สวนส่วนกลางสไตล์ Zen Garden ให้กลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่น, สโมสรออกกำลังกาย พร้อมห้องอาบน้ำแบบออนเซ็น มั่นใจได้ในระบบรักษาความปลอดภัย ด้วยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย พร้อมกล้อง CCTV ตลอด 24 ชั่วโมง ผู้อยู่อาศัยสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกสบาย ด้วยทำเลที่ตั้งที่ใกล้แหล่งอำนวยความสะดวกรอบโครงการ อาทิ J-Park, Home Pro, โรบินสัน, สวนเสือศรีราชา, โรงเรียนอัสสัมชัญ ศรีราชา, โรงเรียนภาษาและวัฒนธรรมญี่ปุ่น วาเซดะ, โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีราชา, โรงพยาบาลพญาไท ศรีราชา เป็นต้น ความโดดเด่นของคาซ่า คอนโด ศรีราชา ที่แตกต่างจากคู่แข่งขันในตลาดจะเป็นเรื่องของ product ที่มีความโดดเด่น เนื่องจากคอนโดมีจำนวนยูนิตเพียง 140 ยูนิต แบ่งเป็น 3 อาคาร อาคาร A มี 49 ยูนิต อาคาร B มี 49 ยูนิต และอาคาร C มี 42 ยูนิต แต่ละชั้นจะมีเพียงแค่ 7 ยูนิต เท่านั้น ทำให้คาซ่า คอนโด ศรีราชา มีความเป็นส่วนตัวมากกว่าโครงการอื่นๆ ห้องชุดแต่ละห้องยังเป็น single corridor ที่นอกจะให้ความเป็นส่วนตัวแล้ว ในด้านการออกแบบนี้ทางโครงการได้คำนึงถึงทิศทางของแสงและลม ห้องทุกห้องจะมีการถ่ายเทอากาศที่ดี ให้ผู้อยู่อาศัยรู้สึกโล่งโปร่งสบายอีกทั้งยังสามารถประหยัดพลังงานได้อีกด้วย นอกจากนี้ ยังมีการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้กับโครงการ อาทิ ประตูระบบคีย์การ์ด, ห้องน้ำ สุขภัณฑ์ระบบอัตโนมัติ เป็นต้น และอีก 1 จุดเด่นในด้านของ product คือเรื่องของที่จอดรถที่ทางโครงการได้จัดเตรียมไว้ให้ถึง 60% ของจำนวนห้อง ให้ผู้อยู่อาศัยใช้ชีวิตได้สะดวกสบายยิ่งขึ้น นายไพโรจน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ซึ่งหลังเปิดตัวโครงการมาได้ประมาณเกือบ 2 เดือน “คาซ่า คอนโด ศรีราชา” เฟสแรกสามารถกวาดยอดขายไปแล้วกว่า50% ถือว่าได้รับการตอบรับจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเป็นอย่างดี โดยหลังจากนี้จะเดินหน้ากระตุ้นยอดขายต่อเนื่อง พร้อมจัดโปรโมชั่นพิเศษในเดือนสิงหาคมนี้ สำหรับผู้ที่สนใจ จองพร้อมทำสัญญา ฟรีเงินดาวน์ ห้องออกแบบตกแต่งครบ ในราคาเริ่มต้นที่ 2.89 ลบ.* เพื่อให้ได้ยอดขายตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 200 ล้านบาท ภายในสิ้นปี สอบถามรายละเอียดโครงการเพิ่มเติม โทร 1388 หรือ www.qh.co.th  
CITI CONDO EXPO by BC ปิดฉากสวย จากดีมานด์คอนโดเมืองพุ่ง ขึ้นแท่นโบรกเกอร์มือหนึ่งตลาดอสังหาฯ ชูจุดแข็ง ดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง เต็มรูปแบบ

CITI CONDO EXPO by BC ปิดฉากสวย จากดีมานด์คอนโดเมืองพุ่ง ขึ้นแท่นโบรกเกอร์มือหนึ่งตลาดอสังหาฯ ชูจุดแข็ง ดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง เต็มรูปแบบ

BANGKOK CITISMART ปลื้ม! เดินหน้ารุกตลาดโบรกเกอร์อย่างต่อเนื่อง หลังประสบความสำเร็จจากการจัดงาน CITI CONDO EXPO by BC มหกรรมคอนโดเมืองครั้งยิ่งใหญ่ มีลูกค้าให้การตอบรับอย่างดีสร้างยอดขายได้กว่า 500 ล้านบาทโดยเฉพาะโครงการสุดคุ้มค่าที่หาไม่ได้อีกแล้ว อย่าง RHYTHM สาทร21 (The Slow Collection) คอนโดมิเนียมวิวแม่น้ำ สวยที่สุดในสาทรของเอพี หรือโครงการที่เป็นเพิ่ง Sold Out อย่างRHYTHM รางน้ำ คอนโดมิเนียมบนพื้นดินแห่งสุดท้ายของรางน้ำ รวมไปถึงโครงการที่เป็นไฮไลท์ในโซนซูเปอร์พรีเมี่ยม อย่าง โครงการนิมิต หลังสวน (NimitLungsuan) และโซน 3ล้าน อย่าง Aspire สุขุมวิท48 ก็มีลูกค้าสนใจเป็นจำนวนมากเช่นกัน ทั้งนี้ คาดว่าเป็นผลจากความต้องการคอนโดมิเนียมในเมืองในตลาดที่ยังมีสูงนั้นเอง พร้อมชูจุดแข็ง ทำการตลาดแบบ ดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง สร้างความแตกต่างและเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้า ภาพรวมตลาดอสังหาฯ ยังไปได้ผลจากการตอบรับของลูกค้ายังแรง ขยล ตันติชาติวัฒน์ ผู้อำนวยการ บริษัท กรุงเทพ ซิตี้สมาร์ท จำกัด (Mr.Kayon Tantichatiwat, General Manager, BANGKOK CITISMART Co., Ltd.) เปิดเผยว่า ผลจากการตอบรับของลูกค้าสะท้อนภาพตลาดอสังหาฯรวมยังไปได้ดี  จากปัจจัยไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ต้องการอยู่คอนโดเมืองมากขึ้น โดยเฉพาะแนวรถไฟฟ้า     ซึ่งกว่า 85% ของคอนโดพร้อมอยู่เป็นเรียลดีมานด์ที่ต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงอีกทั้งรูปแบบของการจัดงานลักษณะเช่นนี้สะท้อนว่า คนชั้นกลางยังมีกำลังซื้อแต่แค่รอจังหวะช่วงโปรโมชั่นเท่านั้น รุกดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง เต็มรูปแบบ "เบอร์หนึ่ง" ตลาดโบรกเกอร์ อสังหาฯ BANGKOK CITISMARTให้บริการจัดหาอสังหาริมทรัพย์ เพื่อซื้อ-ขาย-เช่าในรูปแบบที่ต้องการ  โดยมุ่งเน้นผ่านทางการทำดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งโดยใช้กลยุทธ์และยุทธวิธีการตลาดออนไลน์แบบ 360/Integratedเพื่อให้ลูกค้ามั่นใจได้ว่าการฝากขายไม่สูญเปล่าและตรงกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด เป็นการเพิ่มช่องทางและโอกาสให้กับลูกค้าได้เพิ่มมากขึ้นโดยปัจจุบัน ลูกค้าสามารถเข้าถึงเว็บไซต์ได้สะดวกทุกที่ทุกเวลา เพราะมีระบบรองรับทุกแพลตฟอร์มมีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษเพื่อรองรับลูกค้าทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ อีกทั้ง มีระบบค้นหาข้อมูลที่ง่าย สามารถหาอสังหาริมทรัพย์ใน Stock ที่มีกว่า 8,000 รายการได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ พิเศษ ขยายโปรโมชั่น ลดทุกยูนิต ต่อติดชีวิตเมืองถึงสิ้นเดือนนี้ ทั้งนี้ เนื่องจากลูกค้าให้ความสนใจโครงการภายในงาน CITI CONDO EXPO by BC ที่ผ่านมาอย่างล้นหลาม และมีบางคนจองไม่ทันภายในวันงานบริษัทฯ จึงขยายโปรโมชั่น ลดทุกยูนิต ต่อติดชีวิตเมืองเพื่อให้ลูกค้าได้รับสิทธิพิเศษ ในราคาพิเศษเหมือนในวันงานได้จนถึง 31 ส.ค. นี้สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร 02.661.8999 หรือทางเว็บไซต์ www.bkkcitismart.com
SENA เปิดตัวโครงการคอนโดฯสุดหรู “เดอะนิช ไพรด์ ทองหล่อ-เพชรบุรี” โอบล้อมด้วยธรรมชาติ สิ่งอำนายความสะดวกครบ เริ่มต้น 2.59 ลบ. พรีเซลวันที่ 8 – 9 ส.ค.นี้

SENA เปิดตัวโครงการคอนโดฯสุดหรู “เดอะนิช ไพรด์ ทองหล่อ-เพชรบุรี” โอบล้อมด้วยธรรมชาติ สิ่งอำนายความสะดวกครบ เริ่มต้น 2.59 ลบ. พรีเซลวันที่ 8 – 9 ส.ค.นี้

บมจ. เสนาดีเวลลอปเม้นท์ (SENA) เปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมสุดหรู! ตั้งตระหง่านบนถนนเพชรบุรี ใกล้ถนน “ทองหล่อ-เพชรบุรี-พระราม 9” มูลค่าโครงการกว่า 2.2 พันล้านบาท โดดเด่นด้วยการออกแบบงดงามผสมผสานความเป็นธรรมชาติได้อย่างลงตัว เพิ่มมนต์เสน่ห์ให้อารมณ์แห่งการพักผ่อนด้วยสวนสวยขนาดใหญ่ สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน มั่นใจตอบโจทย์ชีวิตคนเมือง พร้อมติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป เพื่อนำพลังงานแสงอาทิตย์มาผลิตกระแสไฟฟ้าใช้ในพื้นที่ส่วนกลาง ขนาด 1 ห้องนอน 30 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 2.59 ล้านบาท Pre-sales อย่างเป็นทางการในวันเสาร์ที่ 8 และวันอาทิตย์ที่ 9 ส.ค.นี้ พิเศษสุด!!! สำหรับลูกค้าที่ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์รับส่วนลด 100,000 บาท ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์  กรรมการบริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (SENA)   เปิดเผยว่า เป็นครั้งแรกของเสนาฯ สำหรับการเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมสุดหรู ใจกลางเมือง  “เดอะนิช ไพรด์ ทองหล่อ-เพชรบุรี” พื้นที่โครงการ 3 ไร่เศษ สงบและเป็นส่วนตัวมีเพียง 1 อาคาร 33 ชั้น จำนวน 667 ยูนิตเท่านั้น ขนาดห้องเริ่มต้นที่ 1 ห้องนอน 30 ตร.ม. ราคาเริ่มเพียง 2.59 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 2,230 ล้านบาท โดยจะเปิด Pre-sales ในวันเสาร์ที่ 8 และวันอาทิตย์ที่ 9 ส.ค.นี้ ที่สำนักงานขายโครงการติดถนนเพชรบุรี พิเศษสุดสำหรับลูกค้าที่ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์รับส่วนลด 100,000 บาท ผู้ที่สนใจติดต่อสอบถามข้อมูลได้ที่ 1775 กด 30 หรือ www.sena.co.th นอกจากนี้ อาคารยังมีความโดดเด่นด้วยการออกแบบที่นำความงดงามจากธรรมชาติมาผสมผสานอย่างลงตัว ภายนอกอาคารออกแบบด้วยลวดลายเปลือกไม้ Cedar Crust เพิ่มมนต์เสน่ห์ให้อารมณ์แห่งการพักผ่อน พร้อมสวนสวยขนาดใหญ่ ตั้งแต่ทางเข้าจนถึงทุกสัมผัสของการใช้ชีวิตภายในโครงการ อีกทั้งยังดีไซน์ทุกตารางนิ้วเพื่อรองรับการอยู่อาศัยอย่างแท้จริง ด้วยการคำนึงถึงความคล่องตัวในทุกฟังก์ชั่นของการใช้งาน เต็มตากับวิวเมืองด้วย Unblock View ซึ่งทุกห้องสามารถเปิดรับวิวธรรมชาติและวิวเมืองได้หลากหลายอารมณ์ ขณะเดียวกันยังเพิ่มบรรยากาศที่จะทำให้คุณผ่อนคลายด้วยการโอบล้อมของธรรมชาติรอบตัว เพลิดเพลินกับสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการ ทั้งสระว่ายน้ำยาว 35 เมตร พร้อม Jacuzzi และสระเด็ก ห้องฟิตเนส ซาวน่า Exclusive Lounge และสวนสวยสไตล์ Tropical ขนาดใหญ่ เพื่อการพักผ่อนอย่างลงตัว “มั่นใจว่าโครงการ “เดอะนิช ไพรด์ ทองหล่อ-เพชรบุรี” จะได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค เนื่องจากมีจุดเด่นในเรื่องของทำเลที่ตั้ง ตัวอาคารตั้งบนถนนเพชรบุรี เชื่อมทุกความสะดวกสบายในการเดินทาง ใกล้ถนนทองหล่อ ถนนอโศก และถนนพระราม 9 ที่เชื่อมต่อสนามบินสุวรรณภูมิ สิ่งอำนายความสะดวกแบบครบครัน ทั้งร้านสะดวกซื้อ เซเว่น อีเลฟเว่น ภายในโครงการ และรายล้อมด้วยห้างสรรพสินค้า โรงเรียน และโรงพยาบาลชั้นนำ ตอบโจทย์ชีวิตคนเมืองได้อย่างลงตัว” ผศ.ดร.เกษรา กล่าว
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ชี้สุขุมวิทชั้นในหนาแน่นผู้อาศัยหันซบ “อ่อนนุช” ตลาดปล่อยเช่าคึกคักแตะ 2 หมื่น บาท/เดือน ราคาขายต่อพุ่ง 30%

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ชี้สุขุมวิทชั้นในหนาแน่นผู้อาศัยหันซบ “อ่อนนุช” ตลาดปล่อยเช่าคึกคักแตะ 2 หมื่น บาท/เดือน ราคาขายต่อพุ่ง 30%

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เผยผลสำรวจอสังหาฯ ย่านอ่อนนุชน่าจับตา หลังพบที่อยู่อาศัยโซนสุขุมวิทชั้นในหนาแน่นและราคาสูง ส่ง อานิสงส์การขยายตัวย่านอ่อนนุชมีความต้องการสูง เพราะทำเลใกล้ศูนย์กลางธุรกิจและใกล้จุดขึ้น-ลงทางด่วน ทำให้กลุ่มลงทุนปล่อยเช่าคึกคัก ด้วยราคาค่าเช่าที่ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องมาอยู่ที่ราว 20,000 บาทต่อเดือน หรือเพิ่มขึ้น 13% ส่วนราคาห้องชุดรีเซลปรับเพิ่มขึ้น 30% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันระหว่างปี 2556 และ 2557     นายภูมิภักดิ์ จุลมณีโชติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด  ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า  พื้นที่ย่านอ่อนนุช (ซ.สุขมวิท 77) เป็นอีกหนึ่งทำเลที่มีความต้องการสูง เนื่องจากเป็นแหล่งชุมชนเก่าแก่ที่แยกตัวมาจากเส้นสุขุมวิท ประกอบด้วยที่พักอาศัย ร้านค้า และร้านอาหารต่างๆ มากมาย มีระบบขนส่งมวลชนอย่างรถไฟฟ้าบีทีเอส ที่มีสถานีอ่อนนุชเป็นที่หมายปลายทางสุดท้ายของรถไฟฟ้าสายสีเขียว (ปัจจุบันมีส่วนต่อขยายมาจากสถานีอ่อนนุชยาวจนถึงสถานีแบริ่ง) จึงทำให้พื้นที่ย่านอ่อนนุชกลายเป็นจุดเชื่อมต่อสำคัญให้กับกลุ่มคนทำงาน นักเรียน นักศึกษา ที่ต้องการเดินทางเข้าสู่ใจกลางเมืองได้อย่างสะดวกมากขึ้น ส่งผลให้พื้นที่นี้เกิดธุรกิจการค้าขนาดย่อมๆ ขึ้นอยู่โดยทั่วไป ความชุกชุมของผู้ที่อาศัยอยู่ในย่านนี้ จนถึงความต้องการที่อยู่อาศัยใกล้เมือง ใกล้รถไฟฟ้า เริ่มอยู่ในความสนใจของบุคคลมาเป็นระยะ ทำให้พื้นที่บริเวณนี้พลิกฟื้นให้กลายเป็นพื้นที่เศรษฐกิจอีกแห่งที่เข้ามารองรับความหนาแน่นของพื้นที่ศูนย์กลาง ธุรกิจอย่างพื้นที่สุขุมวิท ด้วยศักยภาพของทำเลซึ่งใกล้จุดขึ้น-ลงทางด่วน เช่น ทางพิเศษศรีรัช รามอินทรา-อาจณรงค์ ทางด่วนบูรพาวิถี อีกทั้งยังเชื่อมต่อเข้าถึงพื้นที่สุขุมวิทชั้นในได้ในระยะเวลาอันสั้นด้วยรถไฟฟ้าบีทีเอส ทำให้เกิดคอมมูนิตี้มอลล์ขึ้นหลายแห่งในพื้นที่เพื่อรองรับกลุ่มคนที่หนาแน่นในย่านนี้ และรองรับการขยายตัวของครอบครัวที่กำลังเกิดขึ้นในอนาคต     ช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ทำเลอ่อนนุช เกิดการขยายตัวของคอนโดมิเนียมค่อนข้างหนาแน่น และมีความต้องการรองรับได้ดีในระดับสูงไม่แพ้โซนสุขุมวิทชั้นใน แต่ยังมีราคาที่ต่ำกว่าสุขุมวิทชั้นใน ที่ปรับตัวขึ้นไปแล้วถึงตารางเมตรละ 300,000 บาท อีกทั้งสุขุมวิทชั้นในอุปทานเริ่มน้อยลงเพราะเริ่มเหลือพื้นที่พัฒนาอย่างจำกัด ในขณะที่โซนอ่อนนุชยังสามารถพัฒนาห้องชุดในระดับกลางที่ราคาไม่สูงจนเกินไปจึงเป็นปัจจัยที่ทำให้อ่อนนุชโดดเด่นขึ้นมา เนื่องจากเป็นจุดเชื่อมต่อเข้าใกล้พื้นที่ชั้นใน โดยเฉพาะศูนย์กลางธุรกิจได้สะดวกมากกว่าโซนส่วนต่อขยายอื่นๆ ทำให้เกิดกระแสการพัฒนาตลาดคอนโดมิเนียมมาสักระยะหนึ่งแล้ว ที่สำคัญยังเป็นที่หมายตาของอุปสงค์ผู้ที่ทำงานในย่านธุรกิจหลักให้เข้ามาจับจองห้องชุดได้อยู่เป็นระยะๆ อีกทั้งยังรองรับกลุ่มอุปสงค์ที่ซื้อเพื่อการลงทุน เช่น การปล่อยเช่าได้เป็นอย่างดี เพราะปัจจุบันราคาปล่อยเช่าคอนโดฯ ในย่านนี้ขยับตัวขึ้นไปถึง 13% ในปี 2557 (ภาพ 1) มาอยู่ที่ค่าเช่าเฉลี่ย 458.89 บาทต่อตารางเมตรหรือประมาณ 20,000 บาทต่อเดือน ในห้องชุดรูปแบบ 1 ห้องนอน  ซึ่งนับว่าเป็นอัตราค่าเช่าที่ถูกกว่าบริเวณใกล้เคียงกัน เช่น ทองหล่อ เอกมัย ส่วนราคารีเซล (นำกลับมาขายใหม่) ในพื้นที่นี้ราคาเพิ่มสูงขึ้น 30% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันระหว่างปี 2556 และ 2557 มาอยู่ที่ราคาขายเฉลี่ย 89,573 บาทต่อตารางเมตรในช่วงสิ้นปีที่ผ่านมา (ภาพ 2)   “กลุ่มผู้เช่าส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ เช่น จีน สิงคโปร์ ญี่ปุ่น ฯลฯ ที่ต้องการพักอาศัยอยู่โซนสุขุมวิท แต่สุขุมวิทชั้นในเริ่มมีความหนาแน่นและมีราคาสูง อ่อนนุชจึงเข้ามารองรับความต้องการในส่วนนี้ ถึงแม้ในช่วงนี้อาจจะยังเห็นโครงการใหม่ไม่มาก เนื่องจากผู้ประกอบการส่วนใหญ่ชิงความได้เปรียบหันไปก่อสร้างโครงการแนวรถไฟฟ้าบีทีเอสและส่วนต่อขยายจากเส้นอ่อนนุชก่อน แต่อย่างไรก็ตามอ่อนนุชยังคงเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์หลักที่สำคัญ ที่ยังมีความได้เปรียบกว่าทำเลอื่นๆ ดังนั้น คาดว่าในอนาคตคอนโดฯ ในพื้นที่อ่อนนุชยังพร้อมขยายตัวได้อีกมาก อีกทั้งยังจะมีความต้องการที่หลากหลายจากการขยายตัวของห้างสรรพสินค้าระดับไฮเอนด์ในพื้นที่สุขุมวิท ที่น่าจะดันอุปสงค์ให้ขยายตัวมาลงที่อ่อนนุชซึ่งเป็นพื้นที่ข้างเคียงได้มาก อีกทั้งคอมมูนิตี้มอลล์ที่เปิดให้บริการในปัจจุบันเริ่มเป็นที่นิยมเพิ่มขึ้น จึงมีการประเมินว่าย่านอ่อนนุช จะกลับมาคึกคัก และทำให้มีความต้องการที่อยู่อาศัยมากขึ้นเช่นกัน” นายภูมิภักดิ์ กล่าว
แมกโนเลียส์ ปักหมุดเดินหน้าโครงการ “เดอะ เรสซิเดนซ์ แอท แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ”

แมกโนเลียส์ ปักหมุดเดินหน้าโครงการ “เดอะ เรสซิเดนซ์ แอท แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ”

แมกโนเลียส์ ปักหมุดเดินหน้าโครงการ “เดอะ เรสซิเดนซ์ แอท แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ” นำเสนอความยิ่งใหญ่ระดับเดียวกับ วัน ไฮด์ ปาร์ค ลอนดอน ริมแม่น้ำเจ้าพระยา กรุงเทพฯ กรุงเทพฯ 22 กรกฎาคม 2258 - ช่วงนี้ ใครผ่านไปแถวโครงการไอคอนสยาม จะต้องสะดุดตากับป้าย “เดอะ เรสซิเดนซ์ แอท แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ” โครงการเรสซิเดนซ์หรูริมน้ำระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ ผลงานอลังการงานสร้างโครงการใหม่ของผู้บริหารคนเก่ง คุณบี-ทิพพาภรณ์ อริยวรารมย์ ที่ได้กลุ่มแมนดาริน โอเรียนเต็ล เครือผู้บริหารโรงแรมระดับโลก มารับหน้าที่บริหารงาน และจะเป็นเรสซิเดนซ์สุดหรูแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ใช้ชื่อแบรนด์แมนดาริน โอเรียนเต็ล แว่วว่าแมกโนเลียส์ กำลังทุ่มทุนเนรมิตสำนักงานขายและโชว์รูมห้องตัวอย่าง เพื่ออวดความสวยงามของห้องพักระดับเวิลด์คลาสของจริง ที่ว่ากันว่าจะหรูหราไฮเอนด์ เทียบเท่าหรือเหนือกว่าห้องพักที่ดีที่สุดในนิวยอร์ก ลอนดอน เลยทีเดียว จึงไม่น่าแปลกใจ ที่บรรดาลูกค้าระดับซูเปอร์ริชทั้งชาวไทยและต่างชาติ จะพากันจับตามองโครงการนี้อย่างใจจดใจจ่อ เพราะความยิ่งใหญ่อลังการระดับเอ็กซ์คลูซีฟที่กำลังจะเกิดขึ้นริมแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งนี้ มีจำนวนเพียง 146 ยูนิตเท่านั้น มั่นใจได้เลยว่าเรสซิเดนซ์แห่งนี้จะกลายเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คใหม่ของกรุงเทพฯ และ เป็นTalk of the town ของเอเชียแน่นอน! สำหรับ กลุ่มโรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล คือเจ้าของและผู้ดำเนินธุรกิจโรงแรม รีสอร์ท และโครงการที่พักอาศัยระดับหรูชั้นนำซึ่งได้รับรางวัลการันตีมากมาย  นับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งในรูปแบบบริษัทโรงแรมสัญชาติเอเชียที่ได้รับความเชื่อมั่นเป็นอย่างสูงและกลายเป็นแบรนด์ระดับโลกในปัจจุบัน กลุ่มโรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล บริหารโรงแรมและรีสอร์ททั้งที่เปิดดำเนินการแล้วและกำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง รวม 45 แห่ง นำเสนอบริการห้องพักราว 11,000 ห้องใน 25 ประเทศ โดยตั้งอยู่ในทวีปเอเชีย 20 แห่ง ทวีปอเมริกา 10 แห่ง และในทวีปยุโรป ตะวันออกกลาง และอเมริกาเหนือ 15 แห่ง นอกจากนี้ กลุ่มโรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล ยังเป็นผู้บริหารโครงการเรสซิเดนซ์ทั้งที่เปิดดำเนินงานแล้วและกำลังก่อสร้างอีกกว่า 15 แห่ง โดยมีการดำเนินงานเชื่อมโยงกับโครงการอื่นๆ ของกลุ่มอย่างครอบคลุม
ฮาบิแทท ไฟว์ เปิดตัว “X2 Vibe PattayaSeaphere” คอนโดมิเนียมโลว์ไรส์สุดหรูแห่งใหม่ บนนาจอมเทียน  รับเมืองพัทยาขยายตัวเป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับโลก

ฮาบิแทท ไฟว์ เปิดตัว “X2 Vibe PattayaSeaphere” คอนโดมิเนียมโลว์ไรส์สุดหรูแห่งใหม่ บนนาจอมเทียน รับเมืองพัทยาขยายตัวเป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับโลก

“บริษัท ฮาบิแทท ไฟว์ จำกัด” เปิดตัวโครงการ“X2 Vibe PattayaSeaphere” (ครอสทู ไวบ์ พัทยา ซีเฟียร์) คอนโดมิเนียมโลว์ไรส์สุดหรู  ติดชายหาดบนนาจอมเทียน ที่คุ้มค่าทั้งการลงทุน และอยู่อาศัย มูลค่าโครงการกว่า 300 ล้านบาทจำนวนห้องชุด 65 ยูนิตราคาเฉลี่ยตารางเมตรละ 115,000 บาท ชูจุดเด่นมาตรฐานการบริการระดับโรงแรมห้าดาว บริหารโครงการด้วยแบรนด์ดังระดับโลก X2 (ครอสทู) พร้อมรับผลตอบแทนอย่างคุ้มค่าจากบริการ Rental Management Program มั่นใจศักยภาพการเติบโตเมืองท่องเที่ยวพัทยา เตรียมพรีเซล วันที่ 4 กรกฏาคม ศกนี้ นายชนินทร์ วานิชวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาบิแทท ไฟว์จำกัด เปิดเผยว่าหลังจากที่เคยเป็นทั้งผู้บริโภค และนักลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ เรียนรู้ ศึกษา และสั่งสมประสบการณ์มากว่า 10 ปี เข้าใจถึงความต้องการของผู้บริโภคแบบถ่องแท้ จึงได้ตัดสินใจผันตัวเองมาเป็นผู้พัฒนาโครงการเอง ประเดิมโครงการแรกเมื่อปี 2556 คือ เดอะ วิลล์ จอมเทียน พูลวิลล่าหรู 80 หลัง มูลค่ารวม 600 ล้าน ปัจจุบันปิดการขายแล้ว และจะสร้างเสร็จภายในไตรมาสสามปีนี้ มาปีนี้ จึงเปิดตัว ครอสทู ไวบ์ พัทยา ซีเฟียร์ คอนโดมิเนียมโลว์ไรส์สุดหรูติดนาจอมเทียนซึ่งเป็นโครงการที่สองของบริษัทฯ ครอสทู ไวบ์ พัทยา ซีเฟียร์ เป็นคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์สุดหรูบนเนื้อที่เกือบ 1 ไร่ ตกแต่งพร้อมอยู่แห่งแรก และแห่งเดียวติดหาดนาจอมเทียนมูลค่าโครงการราว 300 ล้านบาท มีทั้งหมด 8 ชั้น 65 ยูนิต รวมชั้นจอดรถแล้ว ห่างจากชายหาดเพียง 100 เมตร ตกแต่งพร้อมอยู่ ด้วยดีไซน์ที่แตกต่างสไตล์โมเดิร์น เน้นสีเอิร์ธโทน และสีวัสดุจากธรรมชาติ อย่างสีขาว เทา น้ำตาล และดำ และให้ความสำคัญกับพื้นที่ส่วนกลาง โดยแบ่งเป็น 2 ประเภทคือ แบบ 1 ห้องนอน ขนาด 29 – 35 ตารางเมตร จำนวน 53 ห้อง ราคาเริ่มต้นที่ 2.84 ล้านบาท และแบบ 1 ห้องนอน พลัส พร้อมอ่างจากุซซี่ ขนาด 54 ตารางเมตรจำนวน 12 ห้อง ราคาเริ่มต้นที่ 5.39 ล้าน สำหรับกลุ่มผู้ที่สนใจซื้อเพื่อลงทุน ทางบริษัทฯ ยังมีโปรแกรม Rental Management Program การันตีผลตอบแทนค่าเช่าที่ 7% ต่อปี เป็นระยะเวลา 5 ปี โดยการบริหารการเช่านั้น บริษัทจะเป็นผู้ดำเนินการให้ลูกค้า และจ่ายผลตอบแทนให้ทุกเดือน โดยที่ลูกค้าไม่ต้องรับความเสี่ยงในช่วงที่ไม่มีผู้เช่า ลดปัญหาการจัดการ ซึ่งอัตราผลตอบแทนที่ 7% ต่อปี นับเป็นอัตราที่จูงใจ เพราะสูงกว่าอัตราผลตอบแทนเงินฝากดอกเบี้ยประจำของธนาคารอยู่มาก นายชนินทร์ ให้เหตุผลที่เลือกพัฒนาโครงการแห่งแรกที่พัทยาว่า จากการลงพื้นที่สำรวจเมืองที่มีศักยภาพการเติบใตใกล้กรุงเทพ พบว่าพื้นที่พัทยา จ.ชลบุรี เป็นเมืองยุทธศาสตร์สำคัญ ที่มีการขยายตัวในทุกด้านทั้งอุตสาหกรรม พาณิชย์ และ การท่องเที่ยว จึงมีความพร้อมในทุกด้านทั้งระบบโลจิสติกส์ การคมนาคมสะดวก มีความเชื่อมต่อทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ ใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพฯ มาเพียงแค่ชั่วโมงครึ่ง “ในอนาคตเราจะเห็นพัทยาขยายตัวอีกมาก ด้วยแผนเพิ่มช่องทางการเดินทางมาพัทยา ที่สะดวกสบายยิ่งขึ้น ทั้งรถไฟความเร็วสูง, ทางด่วนพิเศษ, รถราง,ไฮสปีด เฟอร์รี่ และสนามบินอู่ตะเภาที่จะเริ่มรับเที่ยวบินโดยสารจากต่างประเทศ นอกจากนี้ พัทยายังมีสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ๆ หลายแห่งเพื่อรองรับการเป็นเมืองรีสอร์ทอย่างเต็มรูปแบบ เช่น สวนน้ำการ์ตูน เน็ตเวิร์ค, สวนน้ำรามายณะ, ไร่ไวน์ซิลเวอร์เลค ฯลฯ และสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆที่มีการปรับปรุงรับกับจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มมากขึ้น” ทั้งนี้  โครงการยังมีความโดดเด่น ด้านการให้บริการที่มาพร้อมกับบริการระดับโรงแรม 5 ดาว ซึ่งบริหารโครงการแบรนด์ระดับโลกอย่าง X2 (ครอส ทู) พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน เพื่อสร้างความผ่อนคลาย และความสะดวกสบายสูงสุดให้กับผู้พักอาศัย อาทิ โถงต้อนรับล้อมรอบด้วยน้ำ, สวนต้นไม้,สระว่ายน้ำแบบอินฟินิตี้เอดจ์, สวนดาดฟ้า,ฟิตเนส, ภัตตาคารและบาร์ฯลฯ ซึ่งเป็น  โลว์ไรส์แบบลักชัวรี่ โครงการแรก และโครงการเดียวในพัทยาที่มีบริการครบวงจรประหนึ่งอยู่โรงแรมห้าดาว แต่มีความเป็นส่วนตัวสูงกว่า เพราะมีเพียง 65 ห้องเท่านั้น และจากการร่วมมือกับแบรนด์ครอสทู X2 ผู้ซื้อยังได้รับสิทธิประโยชน์สามารถเลือกไปพักผ่อนที่รีสอร์ทครอสทูอื่นๆ ทั่วโลกฟรี เป็นระยะเวลาสูงสุด 7 วันต่อปี ไม่ว่าจะที่บาหลี, ออสเตรเลีย, ภูเก็ต, สมุย หรือเชียงใหม่ เป็นต้น นายแอนโทนี่ แมคโดนัล กล่าวว่า “ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มาบริหารโครงการครอสทู ไวบ์ พัทยา ซีเฟียร์ และเชื่อมั่นว่าจะได้รับผลตอบรับอย่างดีเยี่ยม ทั้งจากคนไทย และนักท่องเที่ยวในอนาคตย่างแน่นอน เพราะให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้านตัวเอง แต่เพิ่มบริการที่สะดวกสบายแบบโรงแรมห้าดาว มีทั้งร้านอาหาร และบาร์ และยังใกล้จุดท่องเที่ยวมากมาย นอกจากมีดีไซน์ที่สวยโดดเด่นตามแบบฉบับสไตล์ของครอสทูแล้ว ที่เราตัดสินใจเป็นพาร์ทเนอร์กับที่นี่ เพราะเล็งเห็นว่า สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับแบรนด์ และยังเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้าของครอสทูทั่วโลกอีกด้วย” สำหรับโครงการ “X2 Vibe PattayaSeaphere”จะมีการเปิดพรีเซลโครงการอย่างเป็นทางการในวันที่ 4 กรกฎาคมนี้ ณ สำนักงานขายที่ชลบุรี ซอยนาจอมเทียน 32 : เปิดทำการทุกวัน  : ตั้งแต่เวลา 9.00 – 18.00 น. : โทร 081-450-0001, 081-450-0002 และสำนักงานขายที่กรุงเทพ อาคาร Athenee Tower ถ.วิทยุ : เปิดทำการทุกวันจันทร์ – ศุกร์  : ตั้งแต่เวลา 9.00 – 18.00 น. : โทร 081-451-0002 หรือดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.X2PattayaSeaphere.com
AP เดินหน้ารุกตลาดคอนโด ส่งแคมเปญ “AP SPACE CONNECT” เปิดตัว 6 โครงการใหม่ มั่นใจกวาดยอดขายคอนโดครึ่งปีแรกทะลุ 8,000 ล้าน

AP เดินหน้ารุกตลาดคอนโด ส่งแคมเปญ “AP SPACE CONNECT” เปิดตัว 6 โครงการใหม่ มั่นใจกวาดยอดขายคอนโดครึ่งปีแรกทะลุ 8,000 ล้าน

AP มั่นใจปิดยอดขายคอนโดครึ่งปีแรกทะลุ 8,000 ล้านบาท พร้อมจัดงานใหญ่ AP SPACE CONNECT บุกตลาดคอนโดชูจุดขาย MULTIPLE CONNECTIONS หนึ่งก้าวถึงรถไฟฟ้า พร้อมนวัตกรรมห้องชุดแบบใหม่ ผ่านการเปิดตัว 6 โครงการ RHYTHM รางน้ำ LIFE อโศก ASPIRE สาทร-ราชพฤกษ์ ASPIRE ลาดพร้าว 113 ASPIRE วุฒากาศ และ ASPIRE เอราวัณ มูลค่ารวมกว่า 16,120 ล้านบาท และอีก 15 คอนโดแนวรถไฟฟ้า มอบส่วนลดพิเศษ 700,000 บาทหรืออยู่ฟรี 1 ปี ราคาเริ่มต้น 1.59 ล้านบาท เตรียมเปิดตัวอย่างเป็นทางการ 25 – 28 มิ.ย. ชั้น 1 สยามพารากอน นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์การตลาด บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ AP (Mr. Vittakarn Chandavimol Chief Marketing Officer, AP (Thailand) Public Co., Ltd.) เผยว่า จากความชัดเจนของภาครัฐในการขยายเส้นทางโครงข่ายรถไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นหลายสายทาง เป็นปัจจัยบวกสำคัญให้ตลาดคอนโดเติบโตอย่างต่อเนื่อง บริษัทฯ จึงพร้อมเดินหน้ารุกตลาดคอนโดครึ่งปีแรกเต็มสูบจัดงานใหญ่  AP SPACE CONNECT เปิดตัว 6 คอนโดมิเนียม พร้อมนำเสนอนวัตกรรมห้องชุด 35 ตารางเมตร มั่นใจดีมานด์คอนโดดีต่อเนื่อง การันตีผลงานการเปิดขายรอบพิเศษ ASPIRE ลาดพร้าว 113 เพียง 2 วันสามารถทำยอดขายไปแล้วกว่า 65 % ของจำนวนยูนิตทั้งหมด หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 350 ล้านบาท และด้วยยอดลงทะเบียนลูกค้าที่สนใจ 6 โครงการใหม่กว่า 20,000 รายชื่อ ทำให้บริษัทฯ มีความมั่นใจจะสามารถปิดยอดขายคอนโดครึ่งปีแรกทะลุ 8,000 ล้านบาท จากเป้ายอดขายคอนโดที่ตั้งไว้ครึ่งปีแรกคือ 6,700 ล้านบาท (เป้ายอดขายคอนโดทั้งปี 15,000 ล้านบาท)  6 คอนโดใหม่ ชูจุดขายทำเลแบบ MULTIPLE CONNECTIONS “ล่าสุด บริษัทฯ พร้อมตอกย้ำความเชี่ยวชาญในการ “เลือก” โลเคชั่นเพื่อพัฒนาคอนโดมิเนียม ที่ “เข้าใจ” ในโครงข่ายระบบขนส่งมวลชนของกรุงเทพในวันนี้และอนาคตอย่างลึกซึ้ง ผ่านการเปิดตัว 6 คอนโดใหม่ ภายใต้จุดขายทำเลแบบ MULTIPLE CONNECTIONS คอนโดมิเนียมในโลเคชั่นที่แวดล้อมด้วยโครงข่ายคมนาคมเมืองเชื่อมโยงทุกการเดินทางแบบไร้รอยต่อ เพียง 1 ก้าวถึง BTS หรือ 1 เมตรสู่ MRT หรือ 1 นาทีถึงทางด่วน” สำหรับงาน AP SPACE CONNECT ในครั้งนี้ถือเป็นการเปิดตัวคอนโดใหม่พร้อมกันรวมทั้งสิ้น 6  โครงการ จำนวน 5,126 ยูนิต มูลค่ารวมกว่า 16,120 ล้านบาท ซึ่งทุกโครงการโฟกัสจุดเด่นในเรื่องของทำเลที่ตั้งโครงการที่ตั้งอยู่ใกล้แนวรถไฟฟ้าทั้งสายปัจจุบันและอนาคต ประกอบด้วย 1) RHYTHM รางน้ำ ติดต่อชีวิตใจกลางมหานคร เพียง 100 เมตรจาก BTS อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ จำนวน 385 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 4 ล้านกว่าๆ 2) LIFE อโศก ต่อติดศูนย์กลางธุรกิจอโศก – พระราม 9 เพียง 1 ก้าวจาก MRT เพชรบุรี และ AIRPORT LINK มักกะสัน จำนวน 1,642 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 2 ล้านกว่าๆ 3) ASPIRE ลาดพร้าว 113 ต่อติดการเดินทางทุกสไตล์ เพียง 100 เมตรจาก MRT บางกะปิ จำนวน 270 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 1.65 ล้านบาท 4) Aspire วุฒากาศ ต่อติดชีวิตเมือง เพียง 200 เมตรจาก BTS วุฒากาศ จำนวน 166 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 1.85 ล้านบาท 5) Aspire สาทร – ราชพฤกษ์ ต่อติดทุกการเดินทางแบบไร้รอยต่อ เพียง 1 ก้าวจากสถานีบางหว้า จำนวน 1,087 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 1 ล้านกว่าๆ และ 6) ASPIRE เอราวัณ ต่อติดทำเลแห่งอนาคตบนพื้นที่โซนใหม่ที่น่าอยู่ที่สุด เพียง 1 ก้าวถึงสถานีพิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ จำนวน 1,576 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 1.69 ล้านบาท และอีก 15 คอนโดแนวรถไฟฟ้า ราคาเริ่มต้น 1.59 ล้านบาท เอพี – แรบบิทการ์ด – กสิกรไทย มอบสิทธิพิเศษในงาน นอกจากนี้ เอพี ยังได้ร่วมมือกับ บริษัท บางกอก สมาร์ทการ์ด ซิสเทม จำกัด ผู้ให้บริการบัตรแรบบิท  หนึ่งในระบบขนส่งที่สำคัญของคนเมือง จัดทำบัตรรถไฟฟ้าลายพิเศษเพื่อโปรโมทแคมเปญ AP SPACE CONNECT ซึ่งจะจำหน่าย ณ เคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋วบนสถานี BTS ใจกลางเมืองทั้ง 10 สถานี ได้แก่ อโศก พร้อมพงษ์ ชิดลม พญาไท หมอชิต อนุสาวรีย์ฯ ศาลาแดง สยาม เพลินจิต และแบริ่ง โดย เอพี ยังได้มอบสิทธิพิเศษให้กับผู้ถือบัตรแรบบิทการ์ดทุกท่าน รับส่วนลดเพิ่ม 10,000 บาท สำหรับการจอง 6 คอนโดใหม่ในงานอีกด้วย อีกทั้งการร่วมมือกับ ธนาคารกสิกรไทย กระตุ้นการตัดสินใจซื้อ 6 คอนโดใหม่และ 15 คอนโดติดรถไฟฟ้า เมื่อจองและทำสัญญาภายในงานโดยมอบ ส่วนลดสูงสุด 700,000 บาท หรืออยู่ฟรี 1 ปี  และสิทธิพิเศษอื่นๆ อีกมากมาย อาทิ Paragon Gift Voucher มูลค่าสูงสุด 30,000 บาท และรับสิทธิผ่อนชำระเงินจองและเงินทำสัญญา 0% นาน 6 เดือน ผ่านบัตรเครดิตธนาคารกสิกรไทย เปิดตัวนวัตกรรมห้องชุดใหม่ “อีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญของงานคือ การเปิดตัวนวัตกรรมห้องชุดแบบใหม่ขนาด 35 ตารางเมตร ซึ่งเป็นวิธีคิดในการการแบ่งพื้นที่แบบใหม่ตอบไลฟ์สไตล์เฉพาะของกลุ่มลูกค้าที่แตกต่างกันในแต่ละเซกเมนต์ สำหรับกลุ่มลูกค้า RHYTHM รางน้ำ และ LIFE อโศก  จะได้ลักซ์ชั่วรี่สเปซที่ตอบสนองการใช้ชีวิตเมืองอย่างมีระดับ ด้วยการจัดสรรพื้นที่ภายในที่เพิ่มความเป็นส่วนตัวเชื่อมต่อจากห้องนอน อย่างฟังก์ชั่น WALK – IN CLOSET หรือ ห้องทำงานส่วนตัว ในขณะที่ ห้องชุดขนาด 35 ตารางเมตรสำหรับกลุ่มลูกค้า ASPIRE จะได้พื้นที่ใช้สอยที่คุ้มค่ามากขึ้น โดยสามารถปรับเป็นห้องอเนกประสงค์หรือห้องนอนเล็กได้” ในครึ่งปีแรก บริษัทฯ ได้เปิดตัวโครงการทั้งหมด 11 โครงการตามแผนงานที่วางไว้ มูลค่ารวม 19,000 ล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยว 2 โครงการ มูลค่า 1,350 ล้านบาท ทาวน์เฮาส์ 3 โครงการ มูลค่า 1,530 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 6 โครงการ มูลค่า 16,120 ล้านบาท โดยบริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขาย (Presales Target) ทั้งปี 28,300 ล้านบาท มียอดขาย ณ ปัจจุบัน (11 มิ.ย. 58) เท่ากับ 7,810 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นแนวราบ 5,620 ล้านบาท และแนวสูง 2,190 ล้านบาท ซึ่งเชื่อว่าผลจากการเปิดตัว 6 คอนโดใหม่ และ 15 คอนโดแนวรถไฟฟ้าในงาน AP SPACE CONNECT วันที่ 25 – 28 มิ.ย. ชั้น 1 สยามพารากอน ตลอดจนการพัฒนาสินค้าแนวราบเพื่อตอบโจทย์ความต้องการในการใช้ชีวิตของคนเมืองแต่ละไลฟ์สไตล์อย่างต่อเนื่อง จะทำให้บริษัทฯ สามารถปิดยอดขายทั้งแนวราบและแนวสูงในครึ่งปีแรกทะลุ 14,200 ล้านบาท ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษในงาน AP SPACE CONNECT คลิก http://goo.gl/iqjANw
“Noble BE33” คอนโดใหม่ใจกลางสุขุมวิท ใกล้แหล่งช้อปปิ้ง “The EM District”

“Noble BE33” คอนโดใหม่ใจกลางสุขุมวิท ใกล้แหล่งช้อปปิ้ง “The EM District”

เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา เราได้มีโอกาสเห็นความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในย่านธุรกิจของกรุงเทพอย่างสุขุมวิท เพราะมีการเปิดตัว “The EM District”แหล่งช็อปปิ้งชั้นนำแห่งใหม่ใจกลางสุขุมวิท เดินทางสะดวกด้วยรถไฟฟ้า เพราะมีสถานีรถไฟฟ้าพร้อมพงษ์จอดถึงที่ ทำให้ละแวกนี้ ธุรกิจต่างๆ คึกคักกันไปตามๆ กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เพราะหากดูกันที่ราคาค่าเช่าที่พักคอนโดของย่านนี้ เริ่มต้นกันตั้งแต่ 30,000 บาทต่อเดือน จนถึงหลักแสนเลยก็มี ส่วนคอนโดประเภทซื้อขาย ก็ไม่ต้องพูดถึง เริ่มกันตั้งแต่ระดับ 7 ล้านจนถึงสิบล้านขึ้นไป  และไม่รู้ว่าในอนาคตราคาคอนโดทั้งขายและเช่าจะดันขึ้นไปสูงอีกแค่ไหน  หากใครกำลังมองหาช่องทางลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ จะจับจองคอนโดย่านนี้เอาไว้ซักหลังก็ไม่เลวเลยทีเดียว! ลงทะเบียนเพื่อรับข้อมูลโครงการและ ส่วนลด 100,000 บาท ได้ที่ http://goo.gl/TZLRf2  
เครือควอลิตี้เฮ้าส์ ปักธงรบตลาดคอนโดมิเนียมโซนชลบุรี-พัทยา ปี 2558 ตั้งเป้ายอดขายเติบโตขึ้น 470%

เครือควอลิตี้เฮ้าส์ ปักธงรบตลาดคอนโดมิเนียมโซนชลบุรี-พัทยา ปี 2558 ตั้งเป้ายอดขายเติบโตขึ้น 470%

เครือควอลิตี้เฮ้าส์ รุกตลาดคอนโดมิเนียมโซนชลบุรี-พัทยา เน้นกลุ่มลูกค้าในพื้นที่ พร้อมอัดแคมเปญกระตุ้นยอดขาย ไม่หวั่นกระแสเศรษฐกิจ ในปี 2558 ตั้งเป้ายอดขายคอนโด โซนชลบุรี เติบโตขึ้น 470% รับรู้รายได้ 1,200 ล้านบาท รศ. ดร. ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ในปีที่ผ่านมา บริษัท เดอะ คอนฟิเด้นซ์ จำกัด (บริษัทย่อย)พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมในโซนชลบุรี-พัทยา ภายใต้แบรนด์ “เดอะทรัสต์” และแบรนด์น้องใหม่ “เดอะพอยต์” ประสบความสำเร็จอย่างสูงกว่าที่ตั้งเป้าไว้เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านๆมา อันเนื่องมาจากการเปิดตัวโครงการใหม่ๆ และการขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น ควบคู่ไปกับการจัดแคมเปญทางการตลาด” “สำหรับภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในโซนชลบุรี-พัทยา นับว่าเป็นตลาดที่มีความท้าทายเป็นอย่างมาก เนื่องด้วย  เป็นทำเลที่มีศักยภาพซึ่งมีการเติบโตสูงในหลากหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นมิติภาคอุตสาหกรรม ซึ่งมีทั้งโรงงาน และ นิคมอุตสาหกรรมมากมาย อาทิ นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง, นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร, นิคมอุตสาหกรรม อีสเทิร์นซีบอร์ด เป็นต้น ซึ่งในนิคมอุตสาหกรรมเป็นแหล่งที่มีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของเราเป็นจำนวนมาก สำหรับมิติภาคการท่องเที่ยวก็มีส่วนช่วยส่งเสริมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยสนับสนุนด้านนโยบายการขยายโครงข่ายคมนาคมและระบบขนส่งมวลชนของรัฐ รวมถึงการขยายการลงทุนของชาวต่างชาติในประเทศไทย ถึงแม้ว่าในช่วงต้นปี 2558 ภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมในโซนชลบุรี-พัทยาจะมีการชะลอตัวลง อันเนื่องมาจากผลกระทบด้านเศรษฐกิจโลก เช่น ภาวะค่าเงินรูเบิลของประเทศรัสเซียอ่อนค่าลงกว่า 50% ทำให้กลุ่มลูกค้าที่เป็นชาวรัสเซียซึ่งนับเป็นกลุ่มลูกค้าส่วนหนึ่งที่เข้ามาซื้อคอนโดมิเนียมระดับพรีเมี่ยมในพัทยามีจำนวนลดลง แต่ปัจจัยดังกล่าวไม่ได้มีผลกระทบกับบริษัทฯมากนัก เนื่องจากบริษัทฯได้พัฒนาคอนโดมิเนียมในกลุ่มระดับราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท กลุ่มลูกค้า 95% เป็นคนที่อาศัยอยู่ในจังหวัดชลบุรี มีความต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัย มีเพียง 5% เท่านั้นที่เป็นกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นชาวจีนและยุโรป ซึ่งลูกค้ากลุ่มนี้ก็เป็นกลุ่มที่ซื้อไว้อยู่อาศัยเช่นกัน” “ในส่วนของโครงการคอนโดมิเนียมในโซนชลบุรี-พัทยา ในปี 2557 บริษัทฯได้พัฒนาจำนวน 3 โครงการ คือ เดอะทรัสต์ คอนโด พัทยากลาง จำนวน 660 ยูนิต มูลค่าโครงการ 856 ล้านบาท, เดอะทรัสต์ คอนโด พัทยาใต้ จำนวน 609 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,024 ล้านบาท, เดอะทรัสต์ คอนโด อมตะ-ชลบุรี จำนวน 518 ยูนิต มูลค่าโครงการ 859 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันมียอดขายรวมไปแล้วประมาณ 72% ในปี 2558 นี้ได้พัฒนาอีก 2 โครงการ คือ เดอะทรัสต์ คอนโด พัทยาเหนือ จำนวน 601 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,214 ล้านบาท และ เดอะพอยต์ คอนโด  แหลมฉบัง จำนวน 683 ยูนิต มูลค่าโครงการ 635 ล้านบาท ซึ่งทั้ง 2 โครงการดังกล่าวได้รับการตอบรับอย่างดีจากกลุ่มลูกค้าโดยโดยในไตรมาสที่ผ่านมามียอดขายไปแล้วกว่า 20% สำหรับโครงการที่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ได้ในปีนี้ได้แก่ เดอะทรัสต์ คอนโด พัทยากลาง, เดอะทรัสต์ คอนโด พัทยาใต้ และเดอะทรัสต์ คอนโด อมตะ-ชลบุรี โดยตั้งเป้ารับรู้รายได้สำหรับ 3 โครงการ จำนวน 1,200 ล้านบาท” “ถึงแม้ปัจจัยด้านเศรษฐกิจที่กล่าวมาในข้างต้นจะไม่ส่งผลกระทบกับบริษัทฯ แต่บริษัทฯก็ยังคงดำเนินการกระตุ้นกำลังซื้อของกลุ่มลูกค้า มีการจัดแคมเปญทางการตลาดอย่างต่อเนื่อง มีการใช้กลยุทธ์ด้าน Intensive Growth Strategy เน้นทำการตลาดเชิงรุก ใช้เครื่องมือด้านการสื่อสารการตลาดที่เฉพาะเจาะจงและตรงกลุ่มเป้าหมายให้มากยิ่งขึ้น เน้นการใช้สื่อออนไลน์เพิ่มขึ้นเนื่องจากเป็นสื่อที่เข้าถึงลูกค้าได้ง่าย ไม่มีข้อจำกัดด้านเวลา อีกทั้งยังสามารถควบคุมต้นทุนได้อีกด้วย นอกจากแคมเปญทางการตลาดแล้ว สิ่งหนึ่งที่บริษัทฯได้เปรียบคู่แข่งในตลาด คือเรื่องของคุณภาพที่คุ้มค่ากับราคา ภายใต้มาตรฐานของเครือควอลิตี้เฮ้าส์ เช่น ดีไซน์ที่ทันสมัยตอบรับกับ ความต้องการของผู้อยู่อาศัย มีการออกแบบตกแต่งห้องพร้อมเข้าอยู่ ในด้านสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ภายในโครงการมีความสวยงามและครบครัน อีกทั้งในด้านของระบบรักษาความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพ ลูกค้าจึงมั่นใจได้ในคุณภาพของสินค้าและบริการที่คุ้มค่ากับราคาภายใต้มาตรฐานของเครือควอลิตี้เฮ้าส์” “เดอะทรัสต์ คอนโด พัทยาใต้” พักผ่อน สะดวก สบาย บนทำเลศักยภาพ   โครงการ “เดอะทรัสต์ คอนโด พัทยาใต้ (THE TRUST CONDO SOUTH PATTAYA)” คอนโดมิเนียมพักอาศัยคุณภาพภายใต้การพัฒนาของ บริษัท เดอะ คอนฟิเด้นซ์ จำกัด ในเครือควอลิตี้เฮ้าส์ โดดเด่นด้วยทำเลศักยภาพติดถนนสุขุมวิท สะดวกสบายในการอยู่อาศัย ในราคาสบายกระเป๋า เริ่มต้นเพียง 1.49 ล้านบาท “เดอะทรัสต์ คอนโด พัทยาใต้” คอนโดมิเนียมตกแต่งพร้อมอยู่สไตล์ โมเดิร์น รีสอร์ท สูง 24 ชั้น 1 อาคาร จำนวน 609 ยูนิต บนเนื้อที่โครงการประมาณ 4-0-66.8 ไร่ ตั้งอยู่ถนนสุขุมวิท 50 แขวงหนองปรือ เขตบางละมุง จังหวัดชลบุรี พร้อมสรรพสำหรับการอยู่อาศัย ด้วยการออกแบบห้องชุดให้ตรงกับความต้องการในการใช้งาน ในแนวคิด Design You Can Trust กับ 2 รูปแบบ ได้แก่ STUDIO TYPE ขนาด 23.40 – 24.20 ตารางเมตร พื้นที่ดีไซน์ลงตัวกับฟังก์ชั่นการใช้งาน พร้อมเครื่องปรับอากาศ และเฟอร์นิเจอร์ครบชุด Design by The Trust ด้วยชุดโซฟา โต๊ะกลาง ชั้นวางทีวี ตู้เสื้อผ้า เคาน์เตอร์ครัว ชุดครัว อ่างล้างจาน โต๊ะรับประทานอาหาร ส่วนพักผ่อน และระเบียงส่วนตัว ในราคาเริ่มต้นที่ 1,490,000 บาท ONE BEDROOM TYPE ขนาด 29.30 – 30.00 ตารางเมตร กว้างกว่าด้วยพื้นที่การใช้งานที่เพิ่มขึ้น ลงตัวครบถ้วนกับฟังก์ชั่นที่ครบครัน พร้อมเครื่องปรับอากาศ และเฟอร์นิเจอร์ครบชุด Design by The Trust ด้วยชุดโซฟา โต๊ะกลาง ชั้นวางทีวี ตู้เสื้อผ้า เคาน์เตอร์ครัว ชุดครัว อ่างล้างจาน โต๊ะรับประทานอาหาร ส่วนพักผ่อน และระเบียงส่วนตัว ในราคาเริ่มต้นที่1,690,000 บาท สะดวกสบายด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการ ไม่ว่าจะเป็น สระว่ายน้ำระบบเกลือขนาดใหญ่ กว้าง 13 เมตร ยาว 20 เมตร, สวนพักผ่อน  Modern Tropical, ห้องออกกำลังกายพร้อมอุปกรณ์ครบครัน, ระบบรักษาความปลอดภัย ตลอด 24 ชม. พร้อมกล้อง CCTV ส่วนตัวด้วย Access cardเข้าออกเฉพาะชั้น ลิฟท์โดยสาร 3 ตัว ลิฟท์ขนของ 1 ตัว และที่จอดรถยนต์ 127 คัน / รถจักรยานยนต์ 39 คัน โครงการสร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่แล้ววันนี้ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.qh.co.th หรือโทร 081-807-7627, 084-106-3299   “เดอะทรัสต์ คอนโด พัทยาเหนือ” สุนทรียภาพแห่งการพักผ่อน ที่ไร้ขีดจำกัด โครงการ “เดอะทรัสต์ คอนโด พัทยาเหนือ (THE TRUST CONDO NORTH PATTAYA)” ภายใต้การพัฒนาของ บริษัท เดอะ คอนฟิเด้นซ์ จำกัด ในเครือควอลิตี้เฮ้าส์ ในรูปแบบของคอนโดมิเนียมสูง 29 ชั้น จำนวน 601 ยูนิต บนพื้นที่ 4-2-36 ไร่ ตั้งอยู่ที่ถนนสุขมวิท ตำบลนาเกลือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี โดดเด่นด้วยการออกแบบสไตล์โมเดินร์น ผ่านแนวคิด “ชีวิตใหม่ที่ไม่จำกัดอยู่บนเส้นตรง” ด้วยการใช้ความโค้งมนซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากธรรมชาติ มาช่วยทำให้โครงการดูอ่อนช้อยและอบอุ่นยิ่งขึ้น ใส่ใจทุกรายละเอียดของการอยู่อาศัยด้วยการตกแต่งห้องพร้อมอยู่ โดยมีห้องให้เลือกทั้งสิ้น 3 รูปแบบ คือ 1) แบบสตูดิโอ มาพร้อมพื้นที่ใช้สอยขนาด 23.4 ตารางเมตร ลงตัวในการอยู่อาศัยในขนาดที่พอดี ในราคาเริ่มต้น 1.39 ล้านบาท 2) แบบ 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ พื้นที่ใช้สอยขนาด 29.3 ตารางเมตร เพียบพร้อมครบครัน ให้ทุกวันเป็นเหมือนวันแห่งการพักผ่อน ในราคาเริ่มต้น 1.89 ล้านบาท 3) แบบ 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ พื้นที่ใช้สอยขนาด 32.0 ตารางเมตร สะดวกสบายทุกการอยู่อาศัย บนพื้นที่ที่กว้างกว่า ในราคาเริ่มต้น 2.39 ล้านบาท ภายในโครงการเพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ ที่จอดรถ 143 คัน ที่จอดรถจักรยานยนต์ 49 คัน, สระว่ายน้ำระบบเกลือขนาดใหญ่ ที่มีขนาดกว้าง 8 เมตร และยาวถึง 30 เมตร, สวนพักผ่อน สไตล์โมเดิร์น รีสอร์ท ที่จะทำให้คุณตื่นขึ้นมารับอากาศสดชื่น และบริสุทธิ์, ห้องออกกำลังกายพร้อมอุปกรณ์ครบครัน, พิเศษด้วยห้องชมวิวทะเลบนชั้น 19 ที่จะทำให้คุณได้เห็นมุมมองที่สวยงามได้กว้างไกลยิ่งขึ้น และระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชม. ลิฟท์โดยสาร 3 ตัว พร้อม Access Card เข้า-ออกอาคารและเฉพาะชั้น กล้อง CCTV โดยรอบโครงการ สะดวกสบายในการใช้ชีวิต ด้วยศักยภาพของที่ตั้งโครงการที่ตั้งอยู่ติดถนนสุขุมวิท ใจกลางเมืองพัทยา แวดล้อมด้วยสถานที่สำคัญหลายแห่ง ได้แก่ ศาลาว่าการเมืองพัทยา, เมืองจำลอง, พิพิธภัณฑ์ศิลปะในขวดแก้ว,ใกล้โรงพยาบาลเพียง 1.2 กม. โรงพยาบาลกรุงเทพพัทยา, โรงพยาบาลบางละมุง ใกล้สถานศึกษา วิทยาลัยดุสิตธานี พัทยา, โรงเรียนวุฒิโชติ, โรงเรียนโพธิสัมพันธ์พิทยาคาร และใกล้ห้างสรรพสินค้า อาทิ เซ็นทรัล พัทยาเพียง 3 กม. บิ๊กซี, เทสโก้ โลตัส เป็นต้น   “เดอะพอยต์ คอนโด แหลมฉบัง” เริ่มต้นชีวิตสนุก ครบทุกการอยู่อาศัย เชื่อมต่อทุกความสะดวกสบาย ในราคา 7.99 แสนบาท โครงการ “เดอะพอยต์ คอนโด แหลมฉบัง (THE POINT CONDO LAEMCHABANG)” คอนโดมิเนียมแบรนด์ใหม่ล่าสุด ภายใต้การพัฒนาของ บริษัท เดอะ คอนฟิเด้นซ์ จำกัด (บริษัทย่อย) ในเครือควอลิตี้เฮ้าส์ เกิดจากแนวคิด (The Beginning POINT You Can Trust โครงการที่ให้คุณได้ “เริ่มต้นชีวิตสนุก ลงตัวทุกฟังก์ชั่น” โดยตอบสนองทุก Life Style การใช้ชีวิต ภายในโครงการยังมีโซนร้านค้าให้บริการผู้อาศัย พร้อมสวนพักผ่อนและพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ อีกทั้งการเดินทางยังสะดวกสบายห่างจากนิคมฯแหลมฉบังเพียง 1 กม. นอกจากนี้ยังมีสถานที่อำนวยความสะดวกใกล้เคียงมากมาย อาทิเช่น เครือสหพัฒน์ ห้างสรรพสินค้า เรียกได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการใช้ชีวิต จุดศูนย์กลางแห่งการอยู่อาศัยที่แท้จริง) พัฒนาในรูปแบบอาคารสูง 8 ชั้น 4 อาคาร จำนวน 683 ยูนิต บนเนื้อที่โครงการประมาณ 5-1-77 ไร่ ตั้งอยู่ถนนดาวเทียม อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี เพียง 700 เมตรจากถนนสุขุมวิท ครบครันในการใช้ชีวิต ตอบรับทุกไลฟ์สไตล์ ด้วยห้องพักในรูปแบบ Studio ขนาด 26 ตารางเมตร พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการที่มากกว่า ทั้งสวนสวยสไตล์ Modern Resort และพื้นที่สีเขียว, ระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง โดยระบบ CCTV และทีมรักษาความปลอดภัย,  Access card เข้าออกเฉพาะอาคาร, ลิฟท์โดยสารรุ่นใหม่ อาคารละ 2 ตัว โดดเด่นด้วยศักยภาพของทำเล เชื่อมต่อทุกความสะดวกสบาย ใกล้ทั้งแหล่งงานไม่ว่าจะเป็นบริษัทไทยออยล์ นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง หรือเครือสหพัฒน์ ฯลฯ ใกล้แหล่งช้อปปิ้ง ได้แก่ Harbor Mall, Pacific Park (โรบินสัน) และใกล้สถานศึกษาขนาดใหญ่อย่างมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ รายล้อมด้วยสถานพยาบาลหลายแห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลวิภารามแหลมฉบัง โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา โรงพยาบาลพญาไท และโรงพยาบาลสมิติเวช เริ่มต้นชีวิตสนุก กับโครงการ “เดอะพอยต์ คอนโด แหลมฉบัง” ในราคาเริ่มต้นเพียง 799,000 บาท สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.qh.co.th หรือโทร 1388
โนเบิลฯ ฉลองครบรอบ 25 ปี ตอกย้ำจุดยืนแบรนด์อสังหาฯคิดต่างและความเป็นเจ้าตลาดคอนโดใจกลางเมือง พร้อมเปิดตัว Noble BE33 ลักซ์ชัวรีคอนโดบนถนนสุขุมวิท33

โนเบิลฯ ฉลองครบรอบ 25 ปี ตอกย้ำจุดยืนแบรนด์อสังหาฯคิดต่างและความเป็นเจ้าตลาดคอนโดใจกลางเมือง พร้อมเปิดตัว Noble BE33 ลักซ์ชัวรีคอนโดบนถนนสุขุมวิท33

โนเบิลฯ ฉลองครบรอบ 25 ปี ตอกย้ำจุดยืนแบรนด์อสังหาฯคิดต่างและความเป็นเจ้าตลาดคอนโดใจกลางเมือง พร้อมเปิดตัว Noble BE33 ลักซ์ชัวรีคอนโดบนถนนสุขุมวิท33              บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ฉลองครบรอบ 25 ปี ตอกย้ำจุดยืนในความเป็นแบรนด์อสังหาฯคิดต่าง ที่ไม่เคยคิดและมองอะไรเหมือนใคร ภายใต้แนวคิด “be different” ซึ่งเป็นปรัชญาความเชื่อที่อยู่ในดีเอ็นเอของโนเบิลมาตลอด 25 ปี พร้อมเดินหน้าย้ำความเป็นเจ้าตลาดคอนโดใจกลางเมืองด้วยการเปิดตัวคอนโดฯระดับไฮเอนด์โครงการแรกบนถนนสุขุมวิท33 ด้วยงบประมาณกว่า 80 ล้านบาท                   นายกิตติ ธนากิจอำนวย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวเปิดเผยว่า “ในวาระฉลองครอบรอบ 25 ปีของโนเบิล ทางโนเบิลได้จัดทำแคมเปญคอร์เปอร์เรทชุด “Believe in Your Soul” ตอกย้ำแนวคิด “be different, be noble” ปรัชญาความเชื่อที่อยู่ในดีเอ็นเอของแโนเบิลมาตลอด 25 ปี แนวคิดดังกล่าวถูกถ่ายทอดผ่านการออกแบบที่อยู่อาศัยและกำหนดความเป็นไปได้ใหม่ๆในการใช้ชีวิต นับตั้งแต่อดีตที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าโครงการต่างๆของโนเบิลก้าวข้ามความธรรมดาและเหนือความคาดหมายของผู้อยู่อาศัย อาทิเช่น โครงการ โนเบิล พาร์ค คอนโดมิเนียมเชิงราบสไตล์คอนโดเฮาส์ ปี 1991 ที่ถือเป็นการปฏิวัติวงการอสังหาริมทรัพย์ในยุคนั้นเป็นอย่างมาก ด้วยการออกแบบบ้านเป็นกลุ่ม Cluster ที่ดึงเอาถนนออกจากหน้าบ้านและจอดรถไว้รวมกันเป็นส่วนกลางเพื่อให้หน้าบ้านมีพื้นที่พักผ่อนที่เป็นส่วนกลางขนาดใหญ่ ร่มรื่นและปลอดภัยจากรถที่วิ่งเข้าออก โครงการ Noble Home บ้านเดี่ยวหลังคาโค้ง บ้านแนวใหม่ที่มีความริเริ่มทั้งในแง่การออกแบบและการเลือกใช้วัสดุก่อสร้าง โครงการ นีโอ ซิตี้ คอนโดมิเนียมเชิงราบและบ้านเดี่ยวเชิงขยาย อาคารสูง 3 ชั้น ชั้นละ2 ยูนิต แต่ละยูนิตมีจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไป ส่วนบ้านเดี่ยวเชิงขยายมีการออกแบบให้พร้อมขยายต่อเติมได้ถึง 4 ขั้นตอนตามจังหวะการใช้ชีวิต จนกระทั่งเข้าสู่ยุคปัจจุบัน โนเบิลยังคงยืนอยู่บนธุรกิจอสังหาฯที่นำเสนอรูปแบบการใช้ชีวิตที่แตกต่างภายใต้บริบทแบบใหม่ของคนเมืองที่เกาะติดไปกับความเจริญเติบโตของกรุงเทพมหานครที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น การออกแบบบ้านฟอร์ม L Shape และ U Shape อย่าง โครงการโนเบิล ทารา และโนเบิลวานา ที่มีการใช้สเปซที่กระชับและเกิดพื้นที่ว่างภายใน (Personal space) ทำให้ผู้อยู่อาศัยได้ใกล้ชิดธรรมชาติไม่ว่าจะอยู่ส่วนใดของบ้าน และอีกหนึ่งแนวคิดการอยู่อาศัยแบบคนเมืองในรูปแบบคอนโดมิเนียมบนพื้นที่ขนาดพอเหมาะในเมืองเศรษฐกิจใหญ่ที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วอย่างกรุงเทพฯ เพื่อให้คนรุ่นใหม่สามารถเป็นเจ้าของและใช้ชีวิตได้อย่างลงตัวภายใต้คอนเซปต์ Revolve Living ทำให้ห้องขนาด 25-28 ตารางเมตร มีพื้นที่ใช้สอยหน้ากว้างถึง 5 เมตร เป็นได้ทั้งห้องนอน ห้องนั่งเล่น และห้องทำงานกับ โครงการโนเบิล รีวอล์ฟ รวมถึง โครงการโนเบิล เพลินจิต อาคารสูงระฟ้าสไตล์ Minimalism ท่ามกลางสวนขนาดใหญ่ 4 ไร่ ให้ความเป็นส่วนตัวสูงสุดด้วย “Private Lift”        ทุกยูนิต และโครงการแนวสูงและแนวราบต่างๆอีกมากมาย เป็นต้น” Noble BE33              สำหรับโครงการแนวสูงหรือคอนโดมิเนียมโปรเจกต์แรกของปีนี้ คือ “Noble BE33” (โนเบิล บีเทอร์ตี้ทรี) คอนโดมิเนียมใหม่ใจกลางแหล่งไลฟ์สไตล์ทุกรูปแบบบนถนนสุขุมวิท33 ภายใต้สโลแกน “FLIP TO REVEAL YOURSELF พลิกให้พบตัวคุณ” เพียง 320 เมตรจาก Sky Walk และ BTS พร้อมพงษ์ (ทางขึ้นลงอนาคต) ในราคาเริ่มต้น 210,000 บาทต่อตารางเมตร   นายศิระ อุดล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “จากความสำเร็จที่ผ่านมาการเปิดตัวโครงการในย่านสุขุมวิทของโนเบิลฯ ได้รับการตอบรับที่ดีมาโดยตลอด และปัจจุบันตลาดคอนโดฯย่านใจกลางเมืองอย่างสุขุมวิทแนวรถไฟฟ้าก็ยังคงมีกระแสความต้องการอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสุขุมวิทถือเป็นหนึ่งในย่านที่อยู่อาศัยระดับไฮเอนด์ใจกลางเมืองที่ได้รับความนิยมจากคนไทยและชาวต่างชาติที่สนใจซื้อเพื่ออยู่เองและปล่อยเช่าลงทุน ซึ่งในปีที่ผ่านมาพบว่าจำนวนชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานในประเทศไทยมีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นถึง 77,000 กว่าคน โดยทำเลสุขุมวิท สาทร ลุมพินียังคงเป็นทำเลที่อยู่อาศัยที่ได้รับความนิยมสูงสุดในกลุ่มนี้ โดยเฉพาะเส้นสุขุมวิทซึ่งถือเป็นสุดยอดของทำเลย่านธุรกิจการค้าสำหรับชนชั้นสูง(CBD Grade A) อัตราความต้องการของพื้นที่สำนักงาน และที่พักอาศัยสูงขึ้นมากเพราะเป็นถนนที่เกาะติดแนวรถไฟฟ้าสามารถเชื่อมต่อไปยังรถไฟฟ้าใต้ดิน แอร์พอร์ตลิงค์และรถไฟฟ้าสายอนาคตได้อย่างสะดวกสบาย ดังนั้นเพื่อตอบสนองกับการเติบโตของกรุงเทพมหานคร โนเบิลฯจึงเดินหน้าเปิดตัวคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ “Noble BE33” บนสุดยอดทำเลยุทธศาสตร์ย่านสุขุมวิท33 ใจกลางย่านธุรกิจสำคัญของกรุงเทพฯ โครงการ Noble BE33 โดดเด่นด้วยศักยภาพของทำเลที่รายล้อมไปด้วยแหล่งไลฟ์สไตล์และเอ็นเตอร์เทนเมนต์ระดับไฮเอนด์ ใกล้ District แห่งใหม่ของแฟชั่นอย่างศูนย์การค้าระดับเวิลด์คลาส ดิ เอ็มโพเรียม โฉมใหม่ และดิ เอ็มควอเทียร์ ตลอดจนดิ เอ็มสเฟียร์ที่จะทำการเปิดในอนาคต รวมถึงแหล่งธุรกิจ โรงเรียน โรงพยาบาลชั้นนำ ฯลฯ ที่สามารถเข้าถึงทุกไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตทั้งกลางวันและกลางคืนรองรับไลฟ์สไตล์อันหลากหลายของคนรุ่นใหม่ ดังนั้นไม่ว่าจะซื้อเพื่ออยู่อาศัยหรือเพื่อลงทุนย่อมถือเป็นความคุ้มค่าอย่างแน่นอน คอนเซปต์การดีไซน์เราให้ความสำคัญกับการผสมผสานในเรื่องของดีไซน์ที่มีกลิ่นอายความเป็นเอกลักษณ์สไตล์โนเบิล องค์ประกอบภายนอกและภายในอาคารถูกออกแบบอย่างประณีตเรียบหรูไร้กาลเวลาในสไตล์โมเดิร์น ด้วยอาคารที่พักอาศัย สูง 31 ชั้น 1 อาคาร จำนวน 277 ยูนิต ขนาดพื้นที่โครงการ 2-0-5.91 ไร่ มูลค่าโครงการประมาณ 3,300 ล้านบาท โดยมีห้องพักขนาดประมาณ 34-43 ตารางเมตร สำหรับยูนิตประเภท   1 ห้องนอน ห้องพักขนาดประมาณ 51-69 ตารางเมตร สำหรับยูนิตประเภท 2 ห้องนอน ห้องพักขนาดประมาณ 76 ตารางเมตร สำหรับยูนิตประเภท 3 ห้องนอน และเพนท์เฮ้าส์ ขนาดประมาณ 109 -139 ตารางเมตร พิเศษสุดกับโถงทางเดินแบบ Single Corridor เพื่อเพิ่มความเป็นส่วนตัวให้กับผู้อยู่อาศัยทุกๆยูนิต และที่สำคัญยังแวดล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกระดับพรีเมี่ยม ไม่ว่าจะเป็น Reflective Lobby ขนาดใหญ่ที่ถูกออกแบบด้วยกระจกเงารอบด้านที่พร้อมพลิกมุมมองระหว่างวันสะท้อนความร่มรื่นจากสวนภายนอก และให้ความสว่างไสวด้วยแสงไฟจากภายในระหว่างค่ำคืน พร้อมแยกส่วน Semi-Outdoor Lobby เชื่อมต่อกับพื้นที่สวนส่วนกลางกว่า 1,000        ตารางเมตร ที่แวดล้อมด้วยพันธุ์ไม้หลากชนิดให้ร่มเงา และความเป็นส่วนตัวจากความวุ่นวายของเมือง เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยได้ผ่อนคลายกับพื้นที่สวนเสมือนดั่งสวนหลังบ้านของครอบครัว สระว่ายน้ำ Sky Infinity Edge Pool สูงระฟ้า ยาว 25 เมตร เปิดรับมุมมอง 180 องศา ที่มาพร้อมกับ Sky Garden พื้นที่สีเขียว และ Sky Fitness ให้คุณฟิตพร้อมกับชมวิวมหานครได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ยังเพิ่มความมั่นใจในความปลอดภัยตลอด 24 ชม. ด้วยกล้องวงจรปิด (CCTV) และเพิ่มระบบรักษาความปลอดภัยด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยด้วยคีย์การ์ด (Key Card Access) ทุกห้อง และย้ำความมั่นใจกับ รปภ.ที่ดูแลความปลอดภัยตลอด 24 ชม.  ในราคาเริ่มต้น 210,000 บาทต่อตารางเมตร พลิกให้พบตัวคุณกับคอนโดมิเนียมใหม่ “Noble BE33” ได้วันนี้เพียง 320 เมตรจาก Sky Walk และ BTS พร้อมพงษ์ (ทางขึ้นลงในอนาคต) เปิดให้เข้าชมห้องตัวอย่าง และลงทะเบียนรับสิทธิ์จองได้ตั้งแต่วันที่ 5 - 18 มิถุนายน 2558 ที่สำนักงานขาย และเปิดจองวันที่ 21 มิถุนายน 2558 ณ โรงแรมดิโอกุระเพรสทีจ (The Okura Prestige Bangkok) ติด BTS เพลินจิต สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ โทร. 02-251-9955 หรือ www.noblehome.com
AP – Mitsubishi Estate Group ประกาศร่วมทุนอย่างเป็นทางการ เดินหน้าเปิดตัวคอนโดโครงการที่ 6 RHYTHM รางน้ำ มูลค่า 2,500 ล้านบาท

AP – Mitsubishi Estate Group ประกาศร่วมทุนอย่างเป็นทางการ เดินหน้าเปิดตัวคอนโดโครงการที่ 6 RHYTHM รางน้ำ มูลค่า 2,500 ล้านบาท

ตอกย้ำผู้นำพัฒนาคอนโดมิเนียมในเมือง บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ประกาศการร่วมทุนอย่างเป็นทางการกับ มิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป หนึ่งในบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศญี่ปุ่น เดินหน้าพัฒนาคอนโดมิเนียมแนวรถไฟฟ้าร่วมกันเป็นโครงการที่ 6 ภายใต้โครงการ RHYTHM รางน้ำ มูลค่า 2,500 ล้านบาท จำนวน 385 ยูนิต  ราคาเริ่มต้น 4 ล้านกว่าๆ ย้ำคีย์ซัคเซสสำคัญ Multiple Connections ครบทุกมิติการเดินทางสู่ใจกลางมหานคร เพียง 100 เมตรจากสถานีรถไฟฟ้าอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เพียง 1 กิโลเมตรถึงทางด่วน และสามารถเชื่อมโยงสู่ 5 ถนนสายหลัก พร้อมเดินหน้าเปิดตัวประมาณปลายเดือนมิถุนายนนี้ ทั้งนี้ สำหรับการร่วมทุนโครงการคอมโดมิเนียม RHYTHM รางน้ำ ดำเนินการภายใต้การลงนามในสัญญาร่วมทุนกับ MJR Investment PTE LTD (“MJRI”) (สิงคโปร์) อันเป็นบริษัทก่อตั้งโดย Mitsubishi Jisho Residence Co., Ltd. (MJR-ญี่ปุ่น) ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ Mitsubishi Estate Co., Ltd. (MEC-ญี่ปุ่น) และจะร่วมกันพัฒนาผ่านบริษัท เอเชี่ยน พร๊อพเพอร์ตี้ (2015) จำกัด โดยมีสัดส่วนการถือหุ้นของแต่ละบริษัทในอัตรา AP 51% : MJRI 49%   บริษัท มิตซูบิชิ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ MEC หนึ่งในผู้นำการพัฒนาตลาดอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจรในประเทศญี่ปุ่น มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ ณ กรุงโตเกียว MEC เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โตเกียว พ.ศ. 2496  ดำเนินงานครอบคลุมการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และการบริหารจัดการโครงการขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจโครงการที่อยู่อาศัย (Residential Properties) ธุรกิจโครงการสำนักงาน (Office Buildings) ธุรกิจศูนย์การค้า (Retail Properties) และธุรกิจโรงแรม (Hotel Business) ซึ่งทุกโครงการมีความโดดเด่นในด้านคุณภาพ การออกแบบสถาปัตยกรรมและการบริหารพื้นที่ใช้สอยอย่างยั่งยืน โดยทีมออกแบบ ทีมควบคุมคุณภาพ และทีมสถาปนิกในเครือบริษัท Mitsubishi Jisho Sekkei Inc. (MJS) ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบและบริหารอสังหาริมทรัพย์ ผลงานที่เห็นได้อย่างชัดเจนในกรุงโตเกียว คือ การพัฒนาโครงการสำนักงานกว่า 30 โครงการ และเป็นผู้พัฒนาเขตธุรกิจสำคัญใจกลางโตเกียว เช่น เขต Marunouchi มานานกว่า 120 ปี โดย Marunouchi เป็นเขตธุรกิจสำคัญที่มี     คลอบคลุมพื้นที่กว่า 1,200,000 ตารางเมตร (120 hectares)  ประกอบด้วยอาคารสำนักงานกว่า 100 อาคาร จำนวนกว่า 4,000 บริษัท และมีพนักงานกว่า 230,000 คน  นอกจากนี้  MEC ยังเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในประเทศญี่ปุ่นมายาวนานกว่า 50 ปี อีกทั้งยังเข้าลงทุนพัฒนาโครงการในหลายๆ ประเทศ อาทิ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ และประเทศในกลุ่มเอเชีย โดยการดำเนินงานผ่านบริษัท MEA ประเทศสิงค์โปร์