Tag : News

2376 ผลลัพธ์
เอพีเชื่อตลาดอสังหาฯ ไทยยังขยายตัว  เดินหน้าเปิดตัว 20 โครงการใหม่ ตั้งเป้ายอดขาย 31,000 ล้านบาท เป้ารับรู้รายได้ 23,700 ล้านบาท

เอพีเชื่อตลาดอสังหาฯ ไทยยังขยายตัว เดินหน้าเปิดตัว 20 โครงการใหม่ ตั้งเป้ายอดขาย 31,000 ล้านบาท เป้ารับรู้รายได้ 23,700 ล้านบาท

กรุงเทพฯ (24 ก.พ. 59) – เอพีมั่นใจภาพรวมตลาดยังขยายตัวต่อเนื่องจากอานิสงส์แผนการพัฒนารถไฟฟ้าสายใหม่ เตรียมเดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่ 20 โครงการ มูลค่ากว่า 32,000 ล้านบาท เป็นแนวราบ 15 โครงการ แนวสูง 5 โครงการ ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 31,000 ล้านบาท หลังปีที่ผ่านมากวาดยอดขายรวมได้กว่า 28,184 ล้านบาทหรือโตขึ้นมากถึง 24% ตั้งเป้ารับรู้รายได้อยู่ที่ 23,700 ล้านบาท มั่นใจถึงเป้าที่ตั้งไว้ด้วยการมุ่งพัฒนานวัตกรรมสินค้าใหม่ๆ ตลอดจนแผนการโอนฯ คอนโดใหม่ที่มากถึง 11 โครงการ เน้นย้ำพัฒนาคุณภาพคน เพื่อส่งมอบบ้านที่มีคุณภาพผ่านเอพี อะคาเดมี่อย่างต่อเนื่อง   นายอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) กล่าวว่าในปีนี้ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังคงมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ด้วยอานิสงส์จากแผนการพัฒนาโครงข่ายรถไฟฟ้าสายใหม่ๆ ที่เป็นตัวกระตุ้นสำคัญให้ภาคอสังหาริมทรัพย์มีการขยายตัวตามไปด้วย อีกทั้งนโยบายต่างๆ จากทางภาครัฐที่ช่วงเร่งสร้างความมั่นใจผู้บริโภค (consumer confidence) ให้เกิดขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาก็มีสัญญาณการปรับตัวไปในทางที่ดี ดังนั้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ก็น่าจะมีสัญญาณที่ดีไปตามภาพรวมเศรษฐกิจประเทศ สำหรับ แผนการดำเนินงานในปี 2559 นี้บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายยอดขาย (Presales) ไว้ที่ 31,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นยอดขายที่มาจากสินค้าแนวราบมูลค่า 14,500 ล้านบาท และแนวสูงมูลค่า 16,500 ล้านบาท ผ่านการเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 20 โครงการ มูลค่ารวม 32,715 ล้านบาท แบ่งเป็น 1) บ้านเดี่ยว 8 โครงการ มูลค่ารวม 8,370 ล้านบาท 2)ทาวน์เฮ้าส์ 7 โครงการ มูลค่ารวม 6,105 ล้านบาท 3) คอนโดมิเนียม 5 โครงการ มูลค่ารวม 18,240 ล้านบาท ส่วนเป้ารับรู้รายได้ (Revenue) บริษัทฯ ตั้งเป้าไว้ที่ 23,700 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้รายได้มาจากสินค้าแนวราบมูลค่า 13,800 ล้านบาท และจากคอนโดมิเนียมมูลค่า 9,900 ล้านบาท โดยในไตรมาส 4 ของปี 2559 จะเป็นช่วงที่บริษัทฯ จะรับรู้รายได้เป็นจำนวนมากจาก 8 คอนโดมิเนียมที่ก่อสร้างเสร็จพร้อมส่งมอบในช่วงนั้น ได้แก่ RHYTHM สุขุมวิท 42, RHYTHM อโศก,RHYTHM สุขุมวิท 36-38, Aspire สาทร-ท่าพระ, Aspire งามวงศ์วาน, Aspire วุฒากาศ, Aspire สาทร-ตากสิน 3 และ Galerie 39  ซึ่งไม่นับรวมคอนโดมิเนียมโครงการอื่นๆ ที่ก่อสร้างเสร็จและทะยอยรับรู้รายได้ไปก่อนหน้า ณ ปัจจุบัน (1 มกราคม-22 กุมภาพันธ์) บริษัทมีสินค้ารอรับรู้รายได้ (Backlog)  มูลค่า 11,583 ล้านบาท ทั้งนี้ สำหรับผลการดำเนินงานของปีที่ผ่านมา (2558) บริษัทฯ สามารถสร้างยอดขายรวมได้มากถึง 28,184 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24% จากปีก่อนหน้าที่มียอดขายมูลค่า 22,679 ล้านบาท โดยยอดขายที่เพิ่มขึ้นมาจากทั้งสินค้าแนวราบ 13,225 ล้านบาท และแนวสูง 14,959 ล้านบาทที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากตลาด ด้วยจุดขายทั้งในเรื่องของศักยภาพทำเลที่เชื่อมต่อทุกการเดินทาง แวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกรอบด้าน (Space Connect) การออกแบบตัวสินค้าที่คำนึงถึงพื้นที่ใช้สอยที่เกิดประโยชน์สูงสุด (Space Maximize) และการจัดวางผังโครงการที่คำนึงถึงความเป็นส่วนตัวในการอยู่อาศัย (Space Privacy)  ในทุกตารางนิ้ว ส่วนรายได้รวมเท่ากับ 22,079 ล้านบาท ด้านกำไรสุทธิเท่ากับ 2,623 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา 0.3% สัดส่วนหนี้สินต่อทุน (Net Debt to Equity) ลดลงเหลือเพียง 0.81 จากปีก่อนหน้า 0.90 ภาพรวมการร่วมทุนกับทางกลุ่มมิติซูบิชิ เอสเตท หนึ่งในผู้นำการพัฒนาตลาดอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจรในประเทศญี่ปุ่น ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา (2014-2015) ได้ดำเนินพัฒนาคอนโดมิเนียมร่วมกันทั้งสิ้น 7 โครงการ มูลค่ารวม 24,050 ล้านบาท สร้างยอดขายรวมได้มากถึง 80% และ 3 ใน 7 โครงการร่วมทุนได้แก่ RHYTHM สุขุมวิท 36-38, Aspire รัชดา-วงศ์สว่าง และ Aspire สาทร-ท่าพระ มีแผนก่อสร้างเสร็จพร้อมส่งมอบในปีนี้ และในช่วงไตรมาส 3 บริษัทฯ มีแผนเปิดตัวโครงการร่วมทุนโครงการที่ 8 ในทำเลย่านเอกมัย มูลค่าโครงการประมาณ 2,600 ล้านบาท “เรายังคงมุ่งมั่นพัฒนาทีมงานและกระบวนการทำงานอย่างต่อเนื่องผ่าน เอพี อะคาเดมี่ (AP Academy) สถาบันเพื่อการเรียนรู้ครบวงจรด้านอสังหาริมทรัพย์แห่งแรกในประเทศไทย เพื่อสร้างแนวคิดและมาตรฐานของเอพี    ในการส่งมอบที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพให้กับลูกค้าของเรา ตอกย้ำการเป็นผู้นำด้านการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทย” นายอนุพงษ์ กล่าว
เจาะแนวคิด ‘Education Estate’ โดยกลุ่มเซนต์จอห์น “พัฒนาอสังหาฯ ไม่ทิ้งการศึกษา” กับมิกซ์ยูสโปรเจค “เดอะเซนต์ เรสิเดนเซส” ห้าแยกลาดพร้าว

เจาะแนวคิด ‘Education Estate’ โดยกลุ่มเซนต์จอห์น “พัฒนาอสังหาฯ ไม่ทิ้งการศึกษา” กับมิกซ์ยูสโปรเจค “เดอะเซนต์ เรสิเดนเซส” ห้าแยกลาดพร้าว

“ห้าแยกลาดพร้าว” เป็นทำเลศักยภาพที่นอกจากจะเป็นจุดเชื่อมต่อการเดินทางแสนสะดวกสบายมีทั้งรถไฟฟ้า BTS  รถไฟฟ้าใต้ดิน MRT  ทางพิเศษดอนเมืองโทลเวย์ และทางด่วนแล้วยังใกล้แหล่งช้อปปิ้งทันสมัย เป็นแหล่งรวมอาคารสำนักงานขนาดใหญ่และธุรกิจชั้นนำมากมาย ที่สำคัญใกล้สถานศึกษาที่มีชื่อเสียงทั้งภาครัฐและเอกชน แถมยังมีทุกระดับชั้นตั้งแต่โรงเรียนอนุบาลไปจนถึงมหาวิทยาลัย ด้วยทำเลที่มีศักยภาพสูงและมีอนาคตไกล บริษัท ซาแลน ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ในเครือเซนต์จอห์น จึงได้ทำการพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสรูปแบบใหม่บนพื้นที่เดิมของมหาวิทยาลัยเซนต์จอห์นซึ่งเป็นทำเลดีที่สุดของห้าแยกลาดพร้าว โครงการที่ชื่อว่า “เดอะ เซนต์ เรสิเดนเซส” (The Saint Residences) อย่างไรก็ตาม ดร.ชัยณรงค์  มนเทียรวิเชียรฉาย ประธานกรรมการบริหาร ไกล บริษัท ซาแลน ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ในเครือเซนต์จอห์น ยืนยันว่ามหาวิทยาลัยเซนต์จอห์นยังคงอยู่ โรงเรียนก็ยังอยู่ แต่ที่เพิ่มขึ้นมาเป็นการพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสที่มีการศึกษาเป็นศูนย์กลาง และเป็นการพัฒนาพื้นที่ในทำเลดีที่สุดของห้าแยกลาดพร้าวซึ่งกลุ่มเซนต์จอห์นถือครองอยู่ให้เต็มศักยภาพ ให้มีความคุ้มค่ามากที่สุด ดร.ชัยณรงค์  มนเทียรวิเชียรฉาย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซาแลน ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ในเครือเซนต์จอห์น โดยทั่วไปโครงการมิกซ์ยูส มักจะเน้นไปที่การสร้างที่พักอาศัย  แหล่งช้อปปิ้ง และโรงแรม แต่ เดอะเซนต์ เรสิเดนเซส มีเรื่องใหม่ที่มิกซ์เข้ามาคือเรื่องเกี่ยวกับการศึกษา ซึ่ง ดร.ชัยณรงค์  มนเทียรวิเชียรฉาย มองว่า “ชุมชนคุณภาพจะต้องมีเรื่องของการศึกษาที่มีคุณภาพเป็นส่วนหนึ่งในสภาพแวดล้อมของชุมชนด้วย เรามั่นใจว่าการพัฒนาโครงการที่พักอาศัยให้อยู่ใกล้สถานศึกษา หรือมีสถานศึกษาชั้นนำตั้งอยู่ในพื้นที่เดียวกัน เป็นแนวทางสร้างคอมมูนิตี้หรือชุมชนที่ดีมีคุณภาพ เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในการพัฒนาที่พักอาศัยในต่างประเทศ โครงการของเราจึงเป็นการพัฒนาที่ดินที่มีส่วนของที่พักอาศัย มอลล์ และสถานศึกษา เป็นมิกซ์ยูสโมเดลใหม่” ด้วยจุดแข็งของกลุ่มเซนต์จอห์นซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในแวดวงการศึกษาคุณภาพ มาพัฒนาเพิ่มมูลค่าให้กับสินทรัพย์แลนด์แบงค์ที่มีอยู่ จึงกลายมาเป็นโครงการ เดอะ เซนต์ เรสิเดนเซส (The Saint Residences) EDUCATION ESTATE ที่มีความแตกต่างจากโครงการอื่นๆ แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นโครงการมิกซ์ยูสภายใต้คอนเซป EDUCATION ESTATE แต่ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซาแลน ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด บริษัทในเครือเซนต์จอห์น ยืนยันว่ากลุ่มเป้าหมายคือคนที่มองเห็นโอกาสทางการลงทุน “โดยเฉพาะ กลุ่มพ่อแม่  ผู้ปกครอง  รวมถึงหนุ่มสาวยุคใหม่ที่กำลังเริ่มต้นชีวิตครอบครัว ต้องการที่พักอาศัยสำหรับอยู่กันทั้งครอบครัว  หรืออาจซื้อเพื่อให้ลูกอาศัย กรณีที่พ่อแม่เป็นคนต่างจังหวัด  เพราะโครงการอยู่ในทำเลที่ใกล้สถานศึกษาหลายแห่ง  และแน่นอน นักเรียน  นักศึกษาของเซนต์จอห์นก็รวมอยู่ในกลุ่มเป้าหมายด้วย  แต่เรายังมองกลุ่มเป้าหมายหลักที่เป็นนักธุรกิจ  และคนทำงานออฟฟิศในย่านนี้ด้วย  เพราะบริเวณนี้ถือเป็นศูนย์รวมของหลายสิ่ง  ทั้งเป็นย่านธุรกิจใหม่  อยู่ใกล้โรงเรียนและสถานศึกษาชั้นนำมากมาย ใกล้มหาวิทยาลัย  และยังเดินทางไปทุกจดหมายได้สะดวกมาก  ไม่เสียเวลาเลย” ดร.ชัยณรงค์ กล่าวไว้อย่างน่าสนใจ อย่างไรก็ตาม คุณภาพชีวิตก็เป็นสิ่งที่โครงการ เดอะ เซนต์ เรสิเดนเซส (The Saint Residences) ให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก โดย ต้น ๆ โดย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซาแลน ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด มั่นใจว่า “คุณจะมีเวลามากพอในช่วงเช้าสำหรับการดูแลสุขภาพด้วยการออกกำลังกาย  เพราะคุณสามารถตื่นแต่เช้าตรู่  เดินจากโครงการเพื่อรับอากาศบริสุทธิ์จากพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ของสวนสาธารณะใกล้ๆ  ทั้งสวนรถไฟ และสวนจตุจักร  จะขี่จักรยาน  จ๊อกกิ้ง  หรือออกกำลังกายในแบบที่ต้องการได้อย่างอิสระ  ไม่มีข้อจำกัดเรื่องเวลา  หลังจากนั้นจะเป็นเวลาสำหรับการทำงานหรือการเรียน ซึ่งใช้เวลาเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางที่สะดวกและใช้เวลาไม่นาน” ทั้งนี้การวางตำแหน่งของโครงการเดอะ เซนต์ เรสิเดนเซสไว้ในระดับพรีเมี่ยมที่ราคาดูเหมือนจะสูงในสายตาหลายๆ คน แต่ ดร.ชัยณรงค์  มนเทียรวิเชียรฉาย กลับมองว่า กลุ่มลูกค้าเป้าหมายจะทราบดีว่าการลงทุนในคอนโดมิเนียมทำเลศักยภาพบริเวณนี้  ราคาโดยเฉลี่ยจะอยู่ที่เท่าใด และแม้ห้าแยกลาดพร้าวจะไม่ใช่ใจกลางเมือง แต่เป็นจุดเชื่อมต่อการเดินทางที่ใกล้เมืองมากที่สุด  และการพัฒนาเส้นทางคมนาคมในบริเวณนี้ยังมีความชัดเจนและเริ่มดำเนินการไปแล้วก่อนเส้นทางอื่นๆ  โดยเฉพาะเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีเขียว (หมอชิต-สะพานใหม่-ลำลูกกา)  โดยก่อสร้างโครงการแล้วในช่วงสถานีที่ 1 ถึงสถานีที่ 5 คือห้าสถานีแยกลาดพร้าว ถึงสถานีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์   นี่คือหลักฐานชัดเจนว่าลูกค้าที่ซื้อโครงการเดอะเซนต์ เรสิเดนเซส จะได้ผลตอบแทนเชิงบวกจากการลงทุนอย่างแน่นอนไม่ว่าจะมองในระยะสั้นหรือระยะยาว เพราะฉะนั้น หากพิจารณาโดยภาพรวมแล้วโครงการเดอะ เซนต์ เรสิเดนเซส จึงมีความคุ้มค่าในทุกมุมมอง ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนเพื่อการอยู่อาศัยเองของครอบครัว อีกทั้งห้าแยกลาดพร้าวยังเป็นทำเลศักยภาพ แวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกรายล้อม  มีพื้นที่สีเขียวของสวนสาธารณะมากพอ  เป็นจุดเชื่อมต่อการเดินทางที่สะดวกและปลอดภัย  การอยู่อาศัยภายในโครงการ ดร.ชัยณรงค์  มนเทียรวิเชียรฉาย ก็ยืนยันว่า บริษัท ซาแลน ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ในเครือเซนต์จอห์น มีความตั้งใจสร้าง เดอะ เซนต์ เรสิเดนเซส ให้เป็นสังคมคุณภาพ มีระดับ ให้ความเป็นส่วนตัวสูง  ปลอดภัย และมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันเพื่อการใช้ชีวิตที่ทันสมัยของคนยุคใหม่  การอาศัยอยู่ที่นี่จะได้เวลาส่วนตัวเพิ่มขึ้นในทุกเช้าและช่วงเลิกงานหรือเลิกเรียน ไม่ต้องเร่งรีบเพื่อเสียเวลาไปกับการเดินทางมากเกินไปในแต่ละวัน และหากไม่ต้องการอยู่อาศัยเอง ก็สามารถปล่อยเช่าได้ง่ายด้วยทำเลที่สะดวกเดินทางไปทุกจุดหมายในกรุงเทพฯ ได้อย่างง่ายดาย   เดอะ เซนต์ เรสิเดนเซส (The Saint Residences) โทรศัพท์ 081-554-7575 www.thesaint-residences.com / www.facebook.com/TheSaintResidences  
ซาวิลส์ วางเป้าโตพร้อมขยายธุรกิจในประเทศไทยเพิ่มความร่วมมือทางธุรกิจใหม่

ซาวิลส์ วางเป้าโตพร้อมขยายธุรกิจในประเทศไทยเพิ่มความร่วมมือทางธุรกิจใหม่

26 มกราคม 2559 - ซาวิลส์ บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ระดับโลก ประกาศขยายเครือข่ายในประเทศไทย ล่าสุดฟอร์มความร่วมมือทางธุรกิจร่วมกับบริษัท เน็กซัส พรอพเพอตี้ คอนซัลแทนท์ จำกัด ความร่วมมือทางธุรกิจระหว่างซาวิลส์ และ เน็กซัส ถือเป็นครั้งแรกในวงการที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย ที่ 2 บริษัทชั้นนำ ได้นำความสามารถระดับอินเตอร์เนชั่นแนล มาผสมผสานกับความเชี่ยวชาญของตลาดในประเทศไทย ซึ่งจะยังผลดีที่สุดแก่ลูกค้าของทั้ง 2 บริษัท ที่จะได้รับบริการ และคำปรึกษาอย่างครบวงจรมากยิ่งขึ้น โดยในระดับกลุ่มลูกค้าต่างชาติจะได้รับคำปรึกษาที่ดีในการเข้ามาลงทุนในประเทศไทย และสำหรับลูกค้าที่เป็นกลุ่มคนไทยก็ถือเป็นโอกาสที่ดีที่จะสนใจจะไปลงทุนในต่างประเทศอีกด้วย ความร่วมมือในครั้งนี้ ทำให้ซาวิลส์แข็งแกร่งขึ้นในตลาดอสังหาริมทรัพย์ของไทย และในขณะเดียวกันก็สามารถกล่าวได้ว่าสามารถสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบัน ซาวิลส์มี 59 ออฟฟิตใน 17 ประเทศ ในเขตภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โรเบิร์ท คอลลินส์  ซีอีโอ บริษัท ซาวิลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “เราพิจารณาเห็นประเทศไทยมีการเติบโตของธุรกิจที่ดีมาก โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และเน็กซัสก็มีความชำนาญกับตลาดในประเทศไทยเป็นอย่างดี ทำให้ผมมั่นใจได้ว่าการร่วมมือกับเน็กซัสในครั้งนี้จะส่งให้ซาวิลส์แข็งแกร่งขึ้น ซึ่งผลดีจะตกอยู่ที่ลูกค้าของเรา เพราะเราจะสามารถให้คำปรึกษา และบริการที่ครบถ้วนมากยิ่งขึ้นนั่นเอง” สำหรับ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอตี้ คอนซัลแทนท์ จำกัด เป็นบริษัทที่ปรึกษาทางด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำซึ่งเคยเป็นสมาชิกหนึ่งของ คุชแมน แอนด์ เวคฟิลด์ ที่มีประสบการณ์ที่ยาวนานและน่าเชื่อถือทั้งในด้านที่ปรึกษาการตลาดและการขายอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงการประเมินราคาและที่ปรึกษาการลงทุน  นางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรมการบริหาร กล่าวว่า “ซาวิลส์เป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ระดับโลกที่เติบโตในเอเชียแปซิฟิค และมีฐานลูกค้าระดับอินเตอร์เนชั่นแนลมากมาย การได้ร่วมงานกับซาวิลส์ในครั้งนี้ทำให้เน็กซัสสามารถให้บริการลูกค้าได้ดียิ่งขึ้นอย่างแน่นอน” คริสโตเฟอร์ แมริออท  ซีอีโอ ซาวิลส์ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวเพิ่มเติมว่า “เรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ฟอร์มทีมร่วมงานกับเน็กซัส ซึ่งความร่วมมือกันในครั้งนี้ เป็นกลยุทธ์การขยายตลาดในประเทศไทย เราเล็งเห็นถึงความโดดเด่นของเน็กซัส ทั้งผลงานด้านการวิจัยตลาดอสังหาริมทรัพย์ การประเมิน และศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาโครงการ และการทำงานด้านที่ปรึกษาด้านการตลาดและการขายโครงการ ทำให้เรามั่นใจในความร่วมมือในครั้งนี้เป็นอย่างมาก”
มั่นคงฯ รุกตลาดอสังหาฯแนวราบต่อเนื่อง คาดการณ์รายได้โต 60% หลังปรับภาพลักษณ์ ตั้งเป้ารายได้ 4,100 ล้านบาทในปี’59

มั่นคงฯ รุกตลาดอสังหาฯแนวราบต่อเนื่อง คาดการณ์รายได้โต 60% หลังปรับภาพลักษณ์ ตั้งเป้ารายได้ 4,100 ล้านบาทในปี’59

มั่นคงโชว์ผลงานปี 58 ภายใต้การปรับภาพลักษณ์ใหม่ สร้างยอดขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ คาดการณ์รายได้ 3,800 ล้านบาท พร้อมลุยต่อตลาดแนวราบ ตั้งเป้ารายได้ 4,100 ล้านบาท ปี’59ชูไฮไลท์บ้านแบรนด์ “ชวนชื่น แกรนด์” ระดับราคา 8-10 ล้านบาท และส่งทาวน์เฮ้าส์และบ้านแฝดระดับราคา 2-4 ล้านบาทลงทำเลทองที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ รวมมูลค่าโครงการใหม่กว่า 3,200 ล้านบาท เผยกลยุทธ์ก้าวอย่างมั่นคงและเติบโตยั่งยืน มุ่งสร้างแบรนด์ พัฒนาโปรดักส์และซีอาร์เอ็มมัดใจลูกค้าเก่า-ใหม่ เตรียมดันรายได้ธุรกิจอสังหาฯเพื่อเช่าและบริการโตเพิ่ม พร้อมปูกลยุทธ์มุ่งปรับสัดส่วนรายได้ธุรกิจอสังหาฯเพื่อการขายและธุรกิจเพื่อให้เช่าและการบริการ 50:50 ในอีก 5 ปีข้างหน้า นายสุเทพ วงศ์วรเศรษฐ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) หรือ MK เปิดเผยว่า “ในปี 2558 บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการสร้างยอดขายได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ 2,500 ล้านบาท เนื่องจากมีการปรับภาพลักษณ์ใหม่ รุกแคมเปญการขาย และมาตรการรัฐในไตรมาส 4 ดันคาดการณ์รายได้ 3,800 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากการขายที่ประสบความสำเร็จของโครงการคอนโดมิเนียมออกัสที่ขายและโอนได้100% ผนวกการขายที่ดินเพื่อปรับพอร์ตโครงการของมั่นคง ทั้งนี้ มั่นคงใช้กลยุทธ์การปรับภาพลักษณ์ใหม่ของภายใต้แนวคิดหลักคือ “เราสร้างบ้านที่มีแต่ความสุข ให้ทุกคนได้อยู่ร่วมกัน (We Build A Place of Family Togetherness) เพราะบ้านคือศูนย์กลางของครอบครัว เป็นที่สำหรับทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างใกล้ชิด และมีแต่ความอบอุ่น ซึ่งวัตถุประสงค์ของการปรับภาพลักษณ์ครั้งนี้สอดคล้องกับการปรับวิสัยทัศน์ใหม่ของบริษัทในการมุ่งเป็นแบรนด์บ้านที่เป็นทางเลือกที่ดี คุ้มค่าคุ้มราคา มีความน่าเชื่อถือและตรงกับความต้องการของลูกค้าในยุคปัจจุบัน พร้อมมีการปรับดีไซน์บ้านให้มีความร่วมสมัย ตลอดจนเติมความมีชีวิตชีวาให้กับภูมิทัศน์ของแต่ละโครงการของบริษัทภายใต้คอนเซ็บต์การปรับภาพลักษณ์ใหม่ทั้งหมด” “ในปี 2558 คาดการณ์รายได้เติบโตที่ 60% จากปี 2557 และในปี 2559 นับเป็นการเริ่มก้าวสำคัญของมั่นคงโฉมใหม่ ซึ่งได้วางกลยุทธ์การเติบโตด้วยแผนรุกทั้งธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการขายและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อให้เช่าและการบริการ โดยตั้งเป้าผลักดันทั้งสองธุรกิจมีสัดส่วนรายได้ 50:50 ในอีก 5 ปีข้างหน้า โดยสำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการขายจะรุกตลาดแนวราบเป็นหลัก และมุ่งเน้นพัฒนาระดับโครงการที่เรามีความเชี่ยวชาญ และบริหารสัดส่วนรายได้อสังหาริมทรัพย์เพื่อการขายให้อยู่ระดับการเติบโตประมาณ 15% ต่อปี สำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อให้เช่าและการบริการนั้นคาดจะเริ่มมีการรับรู้รายได้จากโครงการพัฒนาคลังสินค้าและโรงงานให้เช่า ในเขตปลอดอากรเเละเขตทั่วไป (บริษัท พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด) และมีแผนการพัฒนาโครงการพาร์ค คอร์ท (Park Court) ซึ่งเป็นอพาร์ทเม้นท์เจาะตลาดบนและกลุ่มต่างชาติ ที่จะเข้ามาเพิ่มรายได้ระยะยาว โดยเราตั้งเป้ารายได้ 4,100 ล้านบาทภายในปี 2559” นายสุเทพกล่าวเสริม นายวรสิทธิ์ โภคาชัยพัฒน์ รักษาการกรรมการผู้จัดการ บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงแผนพัฒนาโครงการของบริษัทในปี 2559 นี้ว่า “บริษัทเตรียมส่งโครงการบ้านคุณภาพทั้งหมด 5 โครงการ มูลค่ากว่า 3,200 ล้านบาท ด้วยการส่งโครงการบ้านเดี่ยวระดับกลางบน แบรนด์ “ชวนชื่น แกรนด์” คือ โครงการชวนชื่น แกรนด์ ราชพฤกษ์ ราคา 8-10 ล้านบาท จำนวน 110 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท และ โครงการชวนชื่น แกรนด์  เอกชัย-บางบอน 4 ราคา 8-10 ล้านบาท จำนวน 91 ยูนิต มูลค่าโครงการ 700 ล้านบาท โดยทั้งสองโครงการนี้จะเปิดตัวภายในไตรมาส 2/59 และหลังจากนั้นในช่วงไตรมาส 4/59 บริษัทฯจะเปิดตัวโครงการทาวน์เฮ้าส์ระดับราคา 2 ล้านบาท จำนวน 2 โครงการ มูลค่าโครงการละ 500 ล้านบาท บริเวณกรุงเทพโซนตะวันตก และบ้านแฝดระดับราคา 4-5 ล้าน จำนวน 100 ยูนิต รวมมูลค่าโครงการ 500 ล้าน” “กลยุทธ์ทางด้านการพัฒนาโครงการแนวราบนั้น จะยังคงพิจารณาในพื้นที่ทำเลทองที่อยู่ใกล้กับระบบขนส่งมวลชน เป็นแหล่งที่อยู่อาศัย และจะพัฒนาโครงการ 40% บนแลนด์แบงค์เพื่อเป็นการจัดการต้นทุน นอกจากนั้น ยังมีการลงทุนอีก 1,000 ล้านบาทเพื่อที่จะซื้อที่ดินในการพัฒนาโครงการเพิ่มสำหรับภายในปี 2559-2560 ทั้งนี้ ตอนนี้มี backlog อยู่ที่ 500 ล้านบาท คาดว่าจะหมดภายในปีนี้ ที่บริษัทรุกตลาดแนวราบเนื่องจากเป็นตลาดที่มีการเติบโตต่อเนื่องและเป็นตลาดที่เรามีความเชี่ยวชาญ ไม่ว่าจะเป็น ตลาดบ้านที่ซื้อขายได้ในระดับราคา 2-4.9 ล้านบาท ตลาดกลางระดับราคา 5-7 ล้านบาท และระดับกลางบนระดับราคา 8-10 ล้าน นอกจากนั้นยังมีอานิสงค์ของการขยายตัวของรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย เมืองมีการขยายตัวและการเดินทางไปที่ต่างๆ มีความสะดวกขึ้น” นายวรสิทธิ์ กล่าวสรุป
The Urban Property สรุปภาพรวมตลาดอสังหาฯ ปี 58 มั่นใจตลาดพัทยายังไปได้สวย ไม่หวั่นกระแสเศรษฐกิจ

The Urban Property สรุปภาพรวมตลาดอสังหาฯ ปี 58 มั่นใจตลาดพัทยายังไปได้สวย ไม่หวั่นกระแสเศรษฐกิจ

The Urban Property (ดิ เออเบิ้ล พร็อพเพอร์ตี้) ผู้นำตลาดอสังหาริมทรัพย์ในพัทยา สรุปภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีที่ผ่านมา มั่นใจตลาดพัทยายังไปได้สวย ไม่หวั่นกระแสเศรษฐกิจ ยึดเป็นผู้ประกอบการที่ดำเนินการก่อสร้าง และสร้างเสร็จตามกำหนดเวลาทุกโครงการ นายสมภพ วาณิชเสนี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดิเออเบิ้ล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด กล่าวว่า “บริษัทยังคงมั่นใจพื้นที่พัทยา ไม่หวั่นแม้ปัญหาลูกค้ารัสเซียหายไป เพราะได้ลูกค้าคนไทยเข้ามาแทน สำหรับปี 58 เป็นปีที่โครงการเปิดใหม่ได้รับผลกระทบมากที่สุด เป็นเพราะนักท่องเที่ยวชาวรัสเสียที่หายไป     จากปัญหาค่าเงินรูเบิล แต่ในส่วนของโครงการที่เปิดขายมาก่อนหน้านี้ ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เนื่องจากเป็นโครงการที่มาสร้างเสร็จในปี 58 โดยกลุ่มลูกค้าที่เข้ามาแทนที่กลับเป็นคนไทยที่มองเห็นโอกาส และชื่นชอบภาพลักษณ์เมืองแห่งการท่องเที่ยวที่เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นของพัทยา ซึ่งสาเหตุหลักที่ลูกค้าชาวไทยเข้ามาซื้อเป็นจำนวนมาก เนื่องจากเป็นโครงการสร้างเสร็จพร้อมอยู่ และสามารถกู้ธนาคารได้เลย” ความคืบหน้าโดยเฉพาะในพัทยานั้น ปัจจุบัน The Urban Property มีโครงการที่ดำเนินการต่อเนื่องทั้งหมด 3 โครงการ ในปี2558 โครงการ Acqua สร้างเสร็จสมบูรณ์ และโอนกรรมสิทธิ์ให้ลูกค้าเกือบ100%แล้ว ส่วนโครงการที่กำลังก่อสร้างได้แก่ Aeras คอนโดมิเนียมหรูริมหาดจอมเทียน ซึ่งมียอดขายกว่า 60% พร้อมส่งมอบกลางปี 2560 และโครงการ The Urban Attitude Pattaya คอนโดมิเนียมใจกลางเมืองพัทยา ที่มียอดขายกว่า55% พร้อมส่งมอบให้ลูกค้าปลายปี 2559 ส่วนในกรุงเทพ ดิ เออเบิ้ล พร็อพเพอร์ตี้ ยังคงมุ่งหน้าพัฒนาคอนโดมิเนียมในย่านแบริ่ง ต่อเนื่องจากความสำเร็จและการตอบรับเป็นอย่างดีของ The Gallery Condominium สุขุมวิท 107 “สูงที่สุดในแบริ่ง” ที่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ไปแล้วกว่า 95% จึงเดินหน้ากับโครงการ  The Urban Attitude Bearing 14  เพื่อทางเลือกของชีวิตเมืองกับทำเลที่มีศักยภาพ เชื่อมต่อเข้าใจกลางเมืองอย่างสะดวกสบายด้วย BTS และทางด่วน ใกล้สนามบิน โรงเรียนนานาชาติ และยังเป็นประตูสู่ภาคตะวันออก “จากยอดการโอนกว่า 1,000 ล้านบาท พร้อมยอดขายกว่า 600 ล้านบาทของปี 2558 จึงมั่นใจได้ว่าปี 2559 นี้ The Urban Property พร้อมมุ่งไปข้างหน้า เพื่อรองรับการเปิดตัวของเออีซี สานต่อความสำเร็จ และยังจะมีโครงการใหม่ๆ ในทำเลคุณภาพ ทั้งในกรุงเทพ โซนพหลโยธิน และพัทยา  พร้อมเป็นทางเลือกให้ลูกค้าอีกอย่างแน่นอน” นายสมภพกล่าวสรุป
เปิดมิติใหม่ Smart Eco Smart Care เพิ่มคุณภาพบ้านจัดสรรสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนนำร่องกับบ้านแนวราบให้ความสำคัญการต่อยอดพัฒนาสินค้าเสริมกลยุทธ์ผนวกพันธมิตรเพื่อลูกค้า

เปิดมิติใหม่ Smart Eco Smart Care เพิ่มคุณภาพบ้านจัดสรรสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนนำร่องกับบ้านแนวราบให้ความสำคัญการต่อยอดพัฒนาสินค้าเสริมกลยุทธ์ผนวกพันธมิตรเพื่อลูกค้า

เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง ก้าวเข้าสู่ปีที่ 22 ดำเนินงานมุ่งตอบสนองความต้องการของลูกค้าเป็นหลักด้วยนิยาม “ เอ็น.ซี. รู้จักบ้าน รู้ใจคุณ ” ตอบโจทย์ทุกความต้องการมีการพัฒนาสินค้าที่มีคุณภาพ และมุ่งเน้นการบริการที่ดีเยี่ยมให้แก่ลูกค้า โดยการทำงานอย่างมืออาชีพ ตลอดระยะเวลา เอ็น.ซี.ได้มีการพัฒนา ศึกษาและนำนวัตกรรมใหม่เพื่อการอยู่อาศัยมาใช้กับสินค้าและบริการอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้บริโภคได้สินค้าที่ดีมีคุณค่า และมีคุณภาพนำนวัตกรรมเพื่อที่อยู่อาศัยที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและสังคมมาใช้พัฒนาสินค้าและบริการอย่างต่อเนื่อง โดยให้ความสำคัญกับการเลือกนวัตกรรมที่เหมาะสม และดีที่สุดสำหรับลูกบ้านทุกเพศ ทุกวัยโดยเฉพาะอย่างยิ่ง Universal Design และการออกแบบบ้านเพื่อรองรับสังคมผู้สูงวัย ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต การสร้างสภาพสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น โดยได้นำนวัตกรรมเทคโนโลยีจากเอสซีจี ทั้งด้านการประหยัดพลังงานและการเตรียมที่อยู่อาศัยให้มีความปลอดภัยและสะดวกสบายสำหรับผู้สูงอายุ มาตอบโจทย์บ้านสำหรับผู้บริโภคในยุคปัจจุบันและอนาคต สมนึก ตันฑเทอดธรรม รองกรรมการผู้จัดการ บมจ. เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง กล่าวถึง “ เทรนด์ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 2559 เป็นการผสมผสาน ความสะดวกสบายให้กับ ครอบครัวทุกวัย เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัย อย่างยั่งยืน รองรับครอบครัวในสังคมไทยให้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขด้วยเทคโนโลยี ตอบโจทย์ ของทุกความต้องการ ทุกวัย ที่อาศัยในครอบครัวเดียวกัน และแนวคิดนี้ จะเชื่อมความผูกพันของครอบครัวไทย ได้อย่างสมดุลย์ พร้อมตอบโจทย์ความสุขในบ้าน สังคมผู้สูงอายุ แนวคิดการพัฒนาสินค้าของ เอ็น.ซี. จึงนำเรื่องการดูแลสุขภาพของทุกวัยในครอบครัวไทยเป็นสำคัญคือ Smart Care ที่นำการออกแบบ และระบบพร้อมเทคโนโลยีมาใช้ โดยทางด้านนวัตกรรมที่เหมาะสำหรับผู้สูงวัย ได้นำเทคโนโลยีจาก SCG Eldercare Solution มาใช้ อาทิ ห้องน้ำสำหรับผู้สูงวัยที่ออกแบบโดยคำนึงถึงความปลอดภัยและความสะดวกสบายในการใช้สอย ระบบพื้นลดแรงกระแทก (Shock Absorption Floor) ที่ช่วยลดความรุนแรงของการบาดเจ็บหากผู้สูงอายุหกล้มกระแทกพื้น นอกจากนี้ ยังมีการออกแบบบริเวณรอบบ้านเพื่อให้ผู้สูงอายุสามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ สามารถเดินได้ทั่วบริเวณบ้าน อย่างปลอดภัยอีกด้วย ทางด้านนวัตกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม Smart Eco เอ็น.ซี.ได้นำนวัตกรรมระบบ Active AIRflow™ จาก SCG มาใช้กับบ้านในโครงการใหม่ ริมสนามกอล์ฟ Home On Green ซึ่งเป็นระบบที่จะช่วยถ่ายเทอากาศและระบายความร้อนออกจากตัวบ้านและโถงหลังคาแบบอัตโนมัติ ควบคุมและแสดงผลผ่าน Smart Mobile Application โดยระบบนี้ใช้พลังงานสะอาดจาก Solar Cell เป็นพลังงานหลักในการทำงาน นอกจากนี้ ยังมีการออกแบบและเลือกใช้วัสดุก่อสร้างบ้านที่เหมาะสม ได้แก่ การใช้ผนังอิฐมวลเบาและการติดตั้งฉนวนใยแก้วกันความร้อนบนฝ้าเพดาน เพื่อสร้างกลไกการหน่วงนำความร้อนเข้าสู่ภายในตัวบ้าน พร้อมทั้งการออกแบบ Green Landscape ให้มีความร่มรื่นรอบตัวบ้าน ซึ่งทั้งหมดนี้จะทำให้เกิดสภาวะสบายในการอยู่อาศัย อากาศสดชื่น ไม่อบอ้าว อีกทั้งยังช่วยประหยัดพลังงานจากการใช้เครื่องปรับอากาศลงได้ คุณสมนึกกล่าวเพิ่มเติมว่า เอ็น.ซี.ไม่เคยหยุดยั้งในการนำนวัตกรรม และเทคโนโลยีเพื่อที่อยู่อาศัยมาพัฒนาสินค้าและบริการ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้อยู่อาศัยดียิ่งขึ้น สะดวกสบาย และปลอดภัยอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เราหวังว่าลูกค้าจะได้รับสิ่งที่ดีที่สุด เพื่อการอยู่อาศัยที่เราอยากเห็น “ ชุมชม สังคม เปี่ยมสุข ”
สวนลุมไน้ท์บาซาร์ รัชดา เปิดใหม่ พร้อมรับลูกค้ากว่า 35,000 คนต่อวัน หวังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ตั้งเป้ารายได้ปี 2559 กว่า450 ล้านบาท

สวนลุมไน้ท์บาซาร์ รัชดา เปิดใหม่ พร้อมรับลูกค้ากว่า 35,000 คนต่อวัน หวังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ตั้งเป้ารายได้ปี 2559 กว่า450 ล้านบาท

21 ธันวาคม 2558 - สวนลุมไน้ท์บาซาร์ รัชดาภิเษก กลับมาเปิดบริการอีกครั้งอย่างเต็มรูปแบบ            ทุ่มงบประมาณการลงทุนกว่า 3, 600 ล้านบาท เพื่อปรับโฉมพื้นที่กว่า 120,000 ตารางเมตรให้เป็น    “แหล่งคิด แหล่งขาย ตอบสนองความต้องการตามไลฟ์สไตล์คนเมือง”  พร้อมทั้งยังมีการขยาย และปรับเพิ่มรูปแบบการบริการที่มากขึ้น ครบวงจรขึ้น แต่ยังคงบรรยากาศเดิมๆ ของสวนลุมไน้ท์บาซาร์ บนพื้นที่ทำเลศักยภาพ สะดวกต่อการเดินทาง ติดกับรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT ทั้งสถานีลาดพร้าว และสถานีรัชดาภิเษก ที่พร้อมเชื่อมต่อกับใจกลางเมือง โดยสวมลุมไน้ท์บาซาร์ รัชดาภิเษก ได้มีการปรับรูปแบบเพิ่มเติมในส่วนของ โรงแรม ศูนย์แสดงสินค้า โรงละคร ฟิตเนสเซ็นเตอร์ สวนน้ำ บ็อกซิ่งยิม  ร้านอาหาร ภัตตาคารอาหารนานาชาติ และโชว์รูมรถซุปเปอร์คาร์ นายไพโรจน์   ทุ่งทอง ประธานบริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท แบงค์ค็อกไนท์บาซาร์ จำกัด กล่าวว่า “การได้เปิดสวนลุมไน้ท์บาซาร์เพื่อให้บริการลูกค้าอีกครั้ง เป็นเรื่องที่น่ายินดี ทีมงานบริหารทุกคน กลับมาร่วมกันทำงาน และตั้งเป้ามอบโครงการสวนลุมไน้ท์บาซาร์ แห่งนี้ให้กลับมาคึกคัก สร้างความบันเทิงให้กับลูกค้า ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยตั้งเป้าลูกค้าเข้าใช้บริการวันละอย่างน้อย 35,000 คนต่อวัน ประกอบด้วยลูกค้าของโรงแรม และกลุ่มลูกค้าที่พักอาศัยอยู่ในโซน รัชดา-ลาดพร้าวนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ตลอดจนร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุน ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการณ์รายใหม่ที่มีเงินลงทุนไม่มากได้มีโอกาสเริ่มธุรกิจการค้า และพัฒนาผู้ประกอบการณ์รายใหญ่ให้ก้าวไปสู่อีกมาตรฐานของการค้า การบริการระดับประเทศ และระดับภูมิภาคต่อไป โดยในปี 2559 เราตั้งเป้าราย ได้ไว้ทั้งสิ้น  450 ล้านบาท โดยรายได้หลักมาจากธุรกิจหลักของเราคือ พื้นที่ร้านค้าให้เช่า และช้อปปิ้งเซ็นเตอร์ ราว 50% และจากธุรกิจอื่นๆ อีก 50% สำหรับศักยภาพของพื้นที่เราเล็งเห็นว่า ถนนรัชดาภิเษกตัดลาดพร้าวนั้น เป็นพื้นที่ที่มีโอกาสทางธุรกิจที่ดี เดินทางสะดวกด้วยรถไฟฟ้าใต้ดิน ใกล้แหล่งชุมชน มีประชากรอาศัยหนาแน่น ทั้งโซนลาดพร้าว รัชดาภิเษก วิภาวดี ดินแดง มีบ้านเดี่ยว หมู่บ้านจัดสรร และโครงการที่อยู่อาศัยกว่าหนึ่งแสนยูนิต อีกทั้งยังเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อมาก” โครงการสวนลุมไน้ท์บาซาร์ประกอบไปด้วย พื้นที่ร้านค้า ช้อปปิ้งเซ็นเตอร์ และ วอร์คกิ้งสตรีท จำนวน 1,800 ร้านค้าซึ่งสินค้าประกอบไปด้วย ทั้งสินค้าโอท้อป งานศิลปหัตถกรรม เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย สินค้าแฟชั่น เครื่องประดับ และเพิ่มในส่วนของสินค้าอาหาร ของฝาก ของนำเข้าจากต่างประเทศ ปัจจุบันมีจำนวนผู้เช่าทั้งหมด90% และสำหรับ 10% ที่เหลือเป็นส่วนที่เราตั้งเป้าว่าจะเป็นร้านค้าที่มีความน่าสนใจเป็นพิเศษที่จะเข้ามาเป็นไฮท์ไลท์สำคัญ เพื่อช่วยในการดึงดูดคนเข้ามาที่โครงการมากขึ้น และเพิ่มกลุ่มฐานลูกค้าใหม่ให้กับโครงการ นอกจากนี้ยังมีพื้นที่   ส่วนโรงแรมระดับ 4 ดาว จำนวน 800 ห้อง พื้นที่จัดแสดงสินค้ากว่า 5,000 ตร.ม. โรงละครเมจิกคาบาเร่ ที่เป็นการนำเอาความพิเศษของการแสดงคาบาเร่โชว์ มารวมกับการแสดงมายากล  รวมถึงศูนย์ออก      กำลังกายพื้นที่กว่า 1,300 ตร. ม. ในอนาคตสามารถขยายเพิ่มได้ถึง 2,500 ตร.ม. พร้อมเปิดให้บริการ ตลอด 24 ชม. และบ็อกซิ่งยิม ที่ได้รับเกียรติจากคุณเขาทราย แกแล็คซี่ มาดูแลการสอน และออกแบบโปรแกรมการออกกำลังกาย การต่อยมวยที่กำลังเป็นที่นิยมในขณะนี้ ส่วนสุดท้ายคือสวนน้ำขนาดใหญ่  บนดาดฟ้าของโครงการ เพื่อรองรับฐานลูกค้ากลุ่มครอบครัว และที่จอดรถกว่า 1,200 คัน “ทางด้านกิจกรรมทางการตลาดและส่งเสริมการขาย เราจะคัดเลือกกิจกรรมที่มีความแปลกใหม่น่าสนใจ และกำลังอยู่ในกระแสความนิยมมาสลับสับเปลี่ยนทุกสัปดาห์ รวมตลอดปี 52 อีเว้นท์ เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ของการท่องเที่ยวสวนลุมไน้ท์บาซาร์ในรูปแบบที่ทันสมัยขึ้น โดยพื้นที่อาคารเปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 10.00 น. และพื้นที่โซนวอล์คกิ้งสตรีทเปิดให้บริการเวลา 16.00 น. – 24.00 น.” นายไพโรจน์ กล่าวสรุป
‘โชว์ ดีซี’ รุกหนักวงการค้าปลีก เตรียมเปิด “โอเอซิส เอาท์ดอร์ อารีน่า & ครีเอทีฟ มาร์เก็ต” รับคริสมาสต์ปีใหม่ ปั้นเป็นแหล่งแฮงค์เอาท์สุดฮิปใหม่

‘โชว์ ดีซี’ รุกหนักวงการค้าปลีก เตรียมเปิด “โอเอซิส เอาท์ดอร์ อารีน่า & ครีเอทีฟ มาร์เก็ต” รับคริสมาสต์ปีใหม่ ปั้นเป็นแหล่งแฮงค์เอาท์สุดฮิปใหม่

 ‘โชว์ ดีซี’ รุกหนักวงการค้าปลีก เตรียมเปิด “โอเอซิส เอาท์ดอร์ อารีน่า & ครีเอทีฟ มาร์เก็ต” รับคริสมาสต์ปีใหม่ ปั้นเป็นแหล่งแฮงค์เอาท์สุดฮิปใหม่ พื้นที่ 14 ไร่บนทำเลทองจตุรทิศ - พระราม 9 ด้วยจุดขายแตกต่าง “ที่จัดการแสดงกลางแจ้งเยี่ยม” และ “ตลาดคอนเทนเนอร์แนวอีโค โซเชียล เอ็นเตอร์ไพรส์ยอด” กรุงเทพฯ (3 ธ.ค. 58)  –  วันนี้ บจ. โชว์ ดีซี คอร์ป (ผู้พัฒนา ‘โชว์ ดีซี’ ศูนย์การค้าและเอ็นเตอร์เทนเมนต์หรูครบวงจรแห่งแรกของไทย ใจกลางกรุงเทพฯ ย่านพระราม 9) แถลงเปิดตัว “โอเอซิส – เอาท์ดอร์ อารีน่า & ครีเอทีฟ มาร์เก็ต” (Oasis Outdoor Arena & Creative Market) แหล่งแฮงค์เอาท์สุดฮิปแห่งใหม่ใจกลางเมือง ย่านทำเลทองธุรกิจจตุรทิศ - พระราม 9 บนพื้นที่ 14 ไร่ (ติดกับศูนย์การค้าโชว์ ดีซี) ด้วยจุดขายแตกต่างคือ “เอาท์ดอร์ อารีน่าที่จัดการแสดงกลางแจ้งยอดเยี่ยม” และ “ครีเอทีฟ มาร์เก็ต ตลาดคอนเทนเนอร์ แนวทาง ‘อีโค โซเชียล เอ็นเตอร์ไพรส์’ สุดยอด” รวมมูลค่าโครงการกว่า 1,100 ล้านบาท เพื่อเติมเต็มช่องว่างในตลาดค้าปลีกไทย   ด้วยทางเลือกและไลฟ์สไตล์หลากหลายเป็นหนึ่งในที่เดียว คือ เพลิดเพลินกับไลฟ์สไตล์เอาท์ดอร์ที่ “โอเอซิส”   ที่พร้อมเปิดให้บริการในวันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2558 นี้ และเตรียมเพลิดเพลินกับไลฟ์สไตล์อินดอร์ ณ “ห้างโชว์ ดีซี” ที่พร้อมเปิดให้บริการในเดือนมิถุนายน 2559 โชว์ ดีซีประกาศศักดาในวงการค้าปลีกไทยอย่างยิ่งใหญ่ ประเดิมเปิด “เอาท์ดอร์ อารีน่า ของโอเอซิส” ด้วยสุดยอดการแสดงโดยนักร้องหนุ่มเกาหลี ‘Rain’ ผู้โด่งดังระดับโลก และ 6 หนุ่มวง ‘Beast’ ขวัญใจสาวกเกาหลี ที่จะมาสร้างปรากฏการณ์เฉลิมฉลองคืนส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่อย่างยิ่งใหญ่อลังการ ในงานสุดเอ็กซ์คลูซีฟ งาน “โชว์ ดีซี ไทยแลนด์ เคาท์ดาวน์ 2016” ณ โอเอซิส เอาท์ดอร์ อารีน่า & ครีเอทีฟ มาร์เก็ต เท่านั้น ในโอกาสนี้ นายชยดิฐ หุตานุวัชร์ ผู้บริหารโอเอซิส เอาท์ดอร์ อารีน่า & ครีเอทีฟ มาร์เก็ต และประธาน บริษัท โชว์ ดีซี คอร์ป จำกัด เป็นผู้แถลงรายละเอียด พร้อมด้วยพระเอกหนุ่มนักธุรกิจ “บอย – ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์” ร่วมให้ข้อมูลและแสดงวิสัยทัศน์ด้านโอกาสทางธุรกิจของพื้นที่จัดงานแบบเอาท์ดอร์ และครีเอทีฟ มาร์เก็ต แนวคิด อีโค โซเชียล เอนเตอร์ไพรส์ รวมถึงการนำตู้คอนเทนเนอร์กลับมาใช้ใหม่ให้เกิดประโยชน์และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยมี “พีเค – ปิยะวัฒน์ เข็มเพชร”  รับหน้าที่พิธีกรของงานแถลงข่าวซึ่งจัดขึ้น ณ โรงแรมเชอราตัน แกรนด์ สุขุมวิท กรุงเทพฯ นายชยดิฐ หุตานุวัชร์ กล่าวว่า “เราได้เตรียมงบลงทุนกว่า 1,100 ล้านบาท ในการสร้างสรรค์ ‘โอเอซิส – เอาท์ดอร์ อารีน่า & ครีเอทีฟ มาร์เก็ต’ มีจุดเด่น 2 ประการสำคัญ คือ โอเอซิส เอาท์ดอร์ อารีน่า ซึ่งเป็นพื้นที่จัดการแสดงในรูปแบบเอาท์ดอร์หรือกลางแจ้งที่มีความพรั่งพร้อมในทุกๆ ระบบ ทำให้สามารถรองรับ การจัดการรูปแบบเอาท์ดอร์ได้อย่างไร้ขีดจำกัด ไม่ว่าจะเป็นคอนเสิร์ต โชว์พิเศษ หรือเทศกาลพิเศษต่างๆ ด้วยพื้นที่กว่า 10,000 ตารางเมตร สามารถรองรับผู้ชมได้ถึง 30,000 คน พร้อมที่จอดรถยนต์และรถตู้มากถึง 1,200 คัน และรถบัสถึง 100 คัน จึงสะดวกทั้งสำหรับผู้จัดงานและผู้ชมหรือผู้เข้าร่วมงาน นอกจากนี้ โอเอซิส ยังมีในส่วนของครีเอทีฟ มาร์เก็ต ซึ่งเป็นตลาดที่นำตู้คอนเทนเนอร์กลับมาใช้ใหม่ให้เกิดประโยชน์อย่างสร้างสรรค์และสวยงาม ภายใต้แนวคิดในการดำเนินธุรกิจแบบ ‘อีโค โซเชียล เอ็นเตอร์ไพรส์’ (Eco Social Enterprise) ที่ให้ความสำคัญกับประโยชน์ของผู้ประกอบการ ผู้เช่าร้าน ผู้ค้าขายในโอเอซิสของเรา รวมไปถึงชุมชนและสังคมแวดล้อม และสิ่งแวดล้อม มิใช่หวังเพียงผลประโยชน์ทางการค้าของผู้ประกอบการเพียงอย่างเดียว” “นับเป็นปรากฏการณ์ครั้งแรกของวงการค้าปลีกไทยที่ได้มีการผสมผสานประสบการณ์ ‘เอาท์ดอร์’ และ ‘อินดอร์’ ไว้อย่างครบครันในพื้นที่เดียว โอเอซิสจะเป็นส่วนเติมเต็มไลฟ์สไตล์เอาท์ดอร์ของ คนเมืองและศูนย์การค้า ‘โชว์ ดีซี’ ที่พร้อมเปิดให้บริการในเดือนมิถุนายน 2559 จะมาเติมเต็มไลฟ์-สไตล์แบบอินดอร์ นั่นก็คือ โอเอซิสจะเป็นแหล่งแฮงค์เอาท์สุดฮิปสำหรับทุกๆ คน ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มครอบครัว คนรักสัตว์ คนรักสุขภาพ คนรักการช้อปปิ้ง คนรักการทานอาหาร คนรักอาร์ต คนรักการชมคอนเสิร์ต/ชมโชว์ - การแสดงพิเศษ รวมถึงคนที่ต้องการเปลี่ยนบรรยากาศหาที่ผ่อนคลายพักผ่อนหย่อนใจใหม่ๆ เพราะร้านค้า ความบันเทิง สิ่งอำนวยความสะดวกที่โอเอซิสมีพรั่งพร้อม อาทิ ‘Food & Fruit Truck’ ร้านผลิตภัณฑ์ออร์แกนิค ร้านอาหารและของหวาน ร้านสำหรับสัตว์เลี้ยง ร้านผลิตภัณฑ์อีโค รวมถึงพื้นที่จัดแสดงงานศิลปะ ขณะที่ ศูนย์การค้า ‘โชว์ ดีซี’ ที่พร้อมเปิดให้บริการในเดือนมิถุนายน 2559 จะมาเติมเต็มไลฟ์สไตล์แบบอินดอร์ ด้วยสุดยอดประสบการณ์เอ็นเตอร์เทนเมนต์ การช้อปปิ้ง การรับประทาน ในรูปแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนในเมืองไทย อาทิ K-Town เมืองเกาหลีใหญ่ที่สุดในโลก ไทยแฟนตาซี ‘หิมพานต์ อวตาร’ เอเชียนฟู้ดสตรีท สปอร์ตอารีนา และศูนย์การประชุมและการแสดง นอกจากนี้ ‘YG Entertainment’ ค่ายบันเทิงยักษ์ใหญ่ของเกาหลียังได้จับจองพื้นที่บนชั้นดาดฟ้า เพื่อเตรียมเปิดเอ็นเตอร์เทนเมนต์ พาร์ค สไตล์ ‘K-Pop’ ให้ทุกคนได้พักผ่อนและเพลิดเพลินไปกับคลับสุดฮิปอีกด้วย” นายชยดิฐ กล่าว “เรามุ่งมั่นเป็นตัวอย่างด้านการดำเนินธุรกิจที่เห็นแก่ประโยชน์ของผู้ประกอบการ ชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม เรียกว่า อีโค โซเชียล เอ็นเตอร์ไพรส์ คือ ธุรกิจจะดีได้ ชุมชน สังคมแวดล้อมต้องดีด้วย โดยเป็นฐานรากสำคัญของเราในการสร้างสรรค์จัดทำโอเอซิส – เอาท์ดอร์ อารีน่า & ครีเอทีฟ มาร์เก็ต ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบร้านค้าโดยใช้ตู้คอนเทนเนอร์นำกลับมารีไซเคิล การจัดสรรพื้นที่ใช้สอยอย่างเป็นสัดส่วนให้รองรับผู้คนจำนวนมากได้อย่างเป็นมิตรต่อชุมชนแวดล้อม การสนับสนุนเจ้าของธุรกิจรุ่นใหม่ได้มีพื้นที่แสดงความคิดความฝันทางธุรกิจมาทำให้เกิดเป็นรูปธรรม ด้วยราคาค่าเช่าพื้นที่ซึ่งเป็นไปได้สำหรับผู้เริ่มธุรกิจ รวมถึงการเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้มาแสดงออกความสามารถทางศิลปะและการแสดงอย่างสร้างสรรค์ ผู้คนในชุมชนแวดล้อมได้มีอาชีพ รวมถึงชาวไร่ชาวสวนได้มีพื้นที่จำหน่ายผลผลิตทางการเกษตรแบบออร์แกนิคสดใหม่จากไร่กับผู้ซื้อโดยตรงในราคาพิเศษ” นายชยดิฐ กล่าวเสริม “โอเอซิส – เอาท์ดอร์ อารีน่า & ครีเอทีฟ มาร์เก็ต” คือ “รีเทล เอาท์ดอร์” รูปแบบใหม่ของไทย ซึ่งผสมผสานสุดยอดประสบการณ์และไลฟ์สไตล์หลากหลาย บนพื้นที่ใช้งานรวม 30,000 ตร.ม. แบ่งเป็นพื้นที่หลัก 2 ส่วน ได้แก่ เอาท์ดอร์ อารีน่า (Outdoor Arena) – พื้นที่ขนาดใหญ่กว่า 10,000 ตร.ม. สำหรับจัดงานอีเว้นท์ คอนเสิร์ต และเอ็นเตอร์เทนเมนต์ทุกรูปแบบทุกเทศกาล จุผู้ชมได้มากถึง 30,000 คน สามารถรองรับ การแสดงได้ตั้งแต่ขนาดเล็ก กลาง ไปถึงใหญ่ โดยพื้นที่ส่วนนี้มีศักยภาพเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะเป็นศูนย์กลางจัดการแสดงกลางแจ้งทั้งระดับประเทศและระดับโลก เพราะเดินทางสะดวกและอยู่ใจกลางเมืองย่านธุรกิจ ซึ่งเป็นย่านที่มีสีสัน เป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คที่ผู้คนจะหลั่งไหลเข้ามาแสวงหาความสนุกสนานในช่วงเทศกาลตลอดทั้งปี โดยขณะนี้มีผู้ให้ความสนใจเช่าพื้นที่จัดการแสดงและงานเฉลิมฉลองแล้วหลายรายทั้งไทยและเทศ ครีเอทีฟ มาร์เก็ต (Creative Market) – พื้นที่ขนาดใหญ่กว่ 20,000 ตร.ม. ชูคอนเซ็ปต์เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมโดยนำ “ตู้คอนเทนเนอร์” มารีไซเคิล ปัจจุบันกำลังเป็นเทรนด์ฮิตทั่วโลก และในประเทศไทยเอง เริ่มที่จะมีการนำตู้คอนเทนเนอร์มาสร้างเป็นตลาดถาวรแล้ว โดยพื้นที่ส่วนนี้ได้มีการจัดสรรเพื่อรองรับหลายจุดประสงค์ คือ พื้นที่ร้านค้า ร้านอาหาร สินค้าแฟชั่น ผลิตภัณฑ์พืชผักออร์แกนิคจากชาวไร่ชาวนา รวมกว่า 500 ร้านค้า พื้นที่สำหรับศิลปินและคนรุ่นใหม่ได้แสดงความสามารถในรูปแบบ “สตรีทอาร์ต” ที่หมุนเวียนกันมาสร้างสีสัน พื้นที่ให้สมาชิกในครอบครัวได้มาสังสรรค์ และทำกิจกรรมร่วมกัน เช่น ออกกำลังกาย ขี่จักรยาน และพาสัตว์เลี้ยงมาเดินเล่น เป็นต้น “เราต้องการให้ ‘โอเอซิส เอาท์ดอร์ อารีน่า & ครีเอทีฟ มาร์เก็ต’ เป็นพื้นที่เติมเต็มประสบการณ์และไลฟ์สไตล์เอาท์ดอร์ ให้คนเมืองได้มาชมสุดยอดการแสดง และเพลิดเพลินไปกับไอเดียสร้างสรรค์ต่างๆ กระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการสนับสนุนธุรกิจแบบ ‘อีโค โซเชียล เอ็นเตอร์ไพรส์’ เป็นอีกหนึ่งพลังขับเคลื่อนความสุขของผู้คนในสังคมต่อไป” นายชยดิฐ กล่าวสรุป
เอ-ลิสท์ ดีเวลลอปเมนท์ สยายปีกรุกธุรกิจอสังหาฯ เดินหน้าพัฒนาบ้านหรูใจกลางเมือง พร้อมเปิดตัว “VILLAZZO 10” บ้านเดี่ยวกลางเมืองย่านเอกมัย เจาะกลุ่ม Super Luxury

เอ-ลิสท์ ดีเวลลอปเมนท์ สยายปีกรุกธุรกิจอสังหาฯ เดินหน้าพัฒนาบ้านหรูใจกลางเมือง พร้อมเปิดตัว “VILLAZZO 10” บ้านเดี่ยวกลางเมืองย่านเอกมัย เจาะกลุ่ม Super Luxury

กลุ่มบริษัท “วินสัน” ผู้ประกอบธุรกิจในวงการพิมพ์สกรีนระดับแนวหน้าของเมืองไทย แตกไลน์ธุรกิจส่งบริษัท เอ-ลิสท์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด รุกตลาดอสังหาริมทรัพย์ เดินหน้าพัฒนาบ้านหรูใจกลางเมือง พร้อมเปิดตัวโครงการใหม่ล่าสุด “VILLAZZO 10” บ้านเดี่ยวกลางเมืองย่านเอกมัย-ทองหล่อ ราคาเริ่มต้นที่ 45 ล้านบาท  มูลค่าโครงการกว่า 330 ล้านบาท เจาะตลาดครอบครัวไฮเอนด์ นายวิน จิระกรานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ-ลิสท์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ในเครือ วินสัน กรุ๊ป เปิดเผยว่า วินสัน กรุ๊ป บริษัทระดับแนวหน้าในกลุ่มธุรกิจการพิมพ์สกรีนแบบครบวงจร ที่มีความเชี่ยวชาญมาเกือบ 40 ปี ซึ่งปัจจุบันได้ส่งไม้ต่อให้สองหัวเรือใหญ่ทายาทรุ่นที่สองนำโดย นายเอกรินทร์ จิระกรานนท์ และนายพีรวัฒน์ วรรณศิริกุล ดำเนินงานต่อ โดยรายได้รวมทั้งกลุ่มประมาณ 600 ล้านบาทในปี 2557 และเพิ่มขึ้นอีก 10% เป็น 660 ล้านบาทในปี 2558 จากความสำเร็จด้วยดีในธุรกิจ ทางกลุ่มวินสัน ได้มองหาธุรกิจใหม่ๆ ที่มีความน่าสนใจและมีแนวโน้มที่จะเติบโตสูง จึงส่งตนซึ่งเป็นทายาทอีกหนึ่งคนเข้ามาบุกเบิกในตลาดอสังหาฯโดยตนมีความมั่นใจในประสบการณ์ที่ได้คลุกคลีกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มาเกือบทุกรูปแบบ ทั้งด้าน การออกแบบสถาปัตยกรรม การวิจัยการตลาด และการเป็นที่ปรึกษาด้านการพัฒนาโครงการ มากว่า 15 ปี จึงพร้อมที่จะเดินหน้าสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างเต็มรูปแบบโดยได้เปิดตัว บริษัท เอ-ลิสท์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัดขึ้น ด้วยทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท (ชำระเต็ม) ในปี 2556 วินสันกรุ๊ปฉลองครบรอบ 36 ปีด้วยการเปิดตัวโครงการแรกของ เอ-ลิสท์ ดีเวลลอปเมนท์ ในย่าน สาทร-พระราม 3 โครงการ REDWOOD The Urban Habitat ทาวน์โฮม สไตล์บ้านเดี่ยวสูง 3 ชั้น หน้ากว้าง 6 เมตร ราคา 7.75 - 8.55 ล้านบาท ที่ออกแบบให้มีความแตกต่างโดยการสร้าง Private Courtyard ไว้ภายในบ้านเพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่ต้องการอยู่ใจกลางเมืองและยังได้อยู่ใกล้ชิดธรรมชาติ ถือเป็นการชิมลางครั้งแรกในตลาดอสังหาริมทรัพย์ ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีและสามารถขายหมดได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว นายวิน กล่าวต่อว่า “หลังจากประสบความสำเร็จในโครงการแรก ทางบริษัทได้วางนโยบายในการพัฒนาโครงการต่อๆ ไป โดยเน้นในเรื่องของทำเลที่ตั้งโครงการที่มีศักยภาพ และการการออกแบบโครงการที่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง โดยโครงการล่าสุด เราเลือกที่ดินในย่านเอกมัยซึ่งเป็นทำเลที่อยู่อาศัยที่ดีที่สุดที่เหมาะกับกลุ่มลูกค้าที่มีไลฟ์สไตล์ในย่านทองหล่อ เดินทางสะดวกสบายใกล้ทางด่วนและรถไฟฟ้า มาพัฒนาโครงการ “VILLAZZO 10” บ้านเดี่ยวสูง 4 ชั้น สไตล์โมเดิร์น ในเอกมัยซอย 10 ในราคา 45-70 ล้านบาท ด้วยจำนวนเพียงแค่ 6 ยูนิต พร้อม Private Facilities ครบครันที่เหนือกว่าคอนโด Penthouse ในย่านสุขุมวิท ที่จะตอบรับความต้องการของผู้ที่ชื่นชอบไลฟ์สไตล์ของสังคมเมือง แต่ยังต้องการความส่วนตัวในการพักอาศัยที่ไม่ถูกรบกวนด้วยตึกสูง และยังสัมผัสธรรมชาติได้อย่างใกล้ชิด โดยโครงการนี้เราได้มอบหมายให้ บริษัท สถาปนิก 49 จำกัด (A49) เป็นที่ปรึกษาด้านการออกแบบโครงการ “VILLAZZO 10” ด้านนายเมธินทร์ จันทรอุไร กรรมการบริหาร บริษัท สถาปนิก 49 จำกัด (A49) กล่าวถึงแนวคิดในการออกแบบโครงการ “VILLAZZO 10” ว่า เราออกแบบด้วยแนวความคิดหลักคือการผสมผสานความเรียบหรูของสถาปัตยกรรมกับความเป็นส่วนตัวของผู้อยู่อาศัย โดยออกแบบให้เป็นบ้านเดี่ยวสไตล์โมเดิร์นที่มีการเลือกใช้วัสดุระดับพรีเมียมทั้งหลัง มีการจัดวางช่องเปิดที่จำกัดมุมมองจากภายนอก แต่ยังคำนึงถึงมุมมองจากภายในไปยังพื้นที่สีเขียวส่วนตัว พร้อมทั้งจัดเตรียมพื้นที่ Private Facilities สระว่ายขนาดใหญ่และสวนส่วนตัวทุกหลัง นอกจากนี้ทางเจ้าของโครงการได้กำหนดโจทย์ให้มีการออกแบบพื้นที่ใช้สอยภายในบ้านให้มีขนาดใหญ่พิเศษเพื่อให้เหมาะสมกับฐานะและความต้องการของครอบครัวขนาดใหญ่ พร้อมทั้งรองรับการใช้งานของผู้สูงอายุ ด้วยการติดตั้งลิฟท์ให้ทุกหลังอีกด้วย โครงการ VILLAZZO 10 บ้านเดี่ยวสุดหรูเพียง 6 ยูนิต ขนาดที่ดินเริ่มต้นที่ 48 – 72 ตารางวา พื้นที่ใช้สอยใหญ่พิเศษทุกหลังขนาด 600 – 780 ตารางเมตร ประกอบด้วย 5 ห้องนอน 6 ห้องน้ำ 4 ที่จอดรถ โซนทำงานของแม่บ้านแยกเป็นส่วนตัว ห้องรับแขกและห้องทานอาหารโถงสูง 4.5 เมตร ลิฟท์โดยสารส่วนตัว พร้อมสระว่ายน้ำที่ยาวอย่างน้อย 15 เมตรทุกหลัง ซึ่งยาวกว่าสระของคอนโดมิเนียมหลายๆแห่งอีกด้วย นายวินกล่าวว่า “ทางบริษัทฯ จะเปิดตัว Sales Gallery เพื่อเชิญลูกค้า VVIP เข้ามาชมรายละเอียดโครงการก่อนใคร โดยสำนักงานขายนี้ตั้งอยู่บนชั้นสองของ เอกมัยช้อปปิ้งมอลล์ ปากซอยเอกมัย 10 ในวันเสาร์ที่ 21 พฤศจิกายนนี้ โดยในวันงานจะมีโปรโมชั่นสุดพิเศษเป็น ตั๋วเครื่องบิน First Class 4 ที่นั่งไปกลับเมืองมิลาน ประเทศอิตาลี หลังจากนั้นจะจัดงาน Pre Sales อย่างเป็นทางการในช่วงไตรมาสแรกของปีหน้าเมื่อได้เริ่มงานก่อสร้างแล้ว โดยคาดว่าโครงการจะแล้วเสร็จประมาณไตรมาสที่สามของปี 2560 ในปัจจุบันภาพรวมตลาดบ้านเดี่ยวที่ระดับราคา 40 ล้านบาทขึ้นไป เป็นตลาดที่ไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจไม่ดี มีโครงการเกิดขึ้นหลายแห่งโดยเฉพาะตามชานเมืองรอบนอก เห็นได้ว่าภายในปี 2556-2558 มีจำนวนเพียงประมาณ 10 โครงการ รวมอุปทานจำนวน 340 ยูนิต มูลค่ารวมประมาณ 1.8 หมื่นล้านบาท ทั้งยังพบว่า โครงการระดับนี้ในบริเวณใจกลางเมือง มีเพียงแค่ ร้อยละ 15 ของมูลค่าตลาดไฮเอนด์เท่านั้น เหตุที่มีจำนวนโครงการระดับนี้ค่อนข้างน้อย เนื่องจากจากปัจจัยค่าที่ดินที่พุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ สำหรับคู่แข่งสำคัญของตลาดนี้ คือ Penthouse Condominium ระดับ Luxury ใจกลางเมือง ที่มีราคาพุ่งสูงไปถึง 2 - 3 แสนบาทต่อตารางเมตรแล้ว แต่ถ้าเปรียบเทียบกับของเราที่ราคาเพียงประมาณ 8 หมื่นบาทต่อตารางเมตร พร้อมสระว่ายน้ำส่วนตัว โครงการ VILLAZZO 10 ถือเป็น Smart Luxury Choice เลยทีเดียว” ด้านแผนการดำเนินงานต่อจากนี้ นายวิน กล่าวว่า  “เราเป็นบริษัทที่มีความชัดเจนสูงในเรื่องการพัฒนาโครงการที่มีเอกลักษณ์และคำนึงถึงประโยชน์ใช้สอยที่เหมาะสมกับวิถีชีวิตคนเมืองที่เป็นความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เรามีการคิดโมเดลการใช้สอยพื้นที่แบบใหม่ๆทุกครั้งเพื่อให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายและศักยภาพของที่ดินแปลงนั้นๆ บริษัทได้วางแผนในการพัฒนาโครงการอย่างน้อยปีละหนึ่งโครงการ ด้วยมูลค่าไม่ต่ำกว่า 200 ล้านบาท และมีเป้าหมายที่จะสะสมยอดขายให้ถึง 1.5 พันล้านบาทในห้าปีข้างหน้า”
BTS เพิ่มสถานี “ศึกษาวิทยา” รับเมืองขยาย-คนใช้บริการแน่น

BTS เพิ่มสถานี “ศึกษาวิทยา” รับเมืองขยาย-คนใช้บริการแน่น

หลังรถไฟฟ้าบีทีเอสเปิดใช้บริการมาร่วม 16 ปี นับจากปี 2542 ถึงปัจจุบันมีระยะทางรวม 30.95 กิโลเมตร มีสถานีให้บริการทั้งหมด 34 สถานี และมีผู้ใช้บริการมากกว่า 2 พันล้านเที่ยว ล่าสุด "บีทีเอสซี-บมจ.ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ" เตรียมควักเงิน 450 ล้านบาท จากกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งมวลชนทางราง บีทีเอสโกรท (BTSGIF) ก่อสร้างสถานีแห่งใหม่ "ศึกษาวิทยา" เพิ่มเติม หลังจากสภาพพื้นที่เปลี่ยนแปลงไปมากในช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมา "สุรพงษ์ เลาหะอัญญา" กรรมการบริหาร บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ และกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า เหตุผลที่บริษัทสร้างสถานีศึกษาวิทยา (S4) เพิ่ม เนื่องจากปัจจุบันพื้นที่บริเวณดังกล่าวมีการเปลี่ยนแปลงและมีศักยภาพมากหลังจากมีรถไฟฟ้าบีทีเอสเปิดให้บริการมีการพัฒนามีการเติบโตของที่อยู่อาศัย และอาคารสำนักงานใหม่เกิดมากขึ้น อีกทั้งจะช่วยรองรับปริมาณผู้โดยสารที่มาใช้บริการสถานีช่องนนทรีที่ปัจจุบันมีผู้โดยสารหนาแน่นทั้งนี้สถานีที่จะสร้างใหม่ได้มีการวางโครงสร้างไว้แล้วตั้งแต่เริ่มก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีลม แต่เนื่องจากช่วงเวลานั้นจากการประเมินพบว่า จะไม่คุ้มค่าในการลงทุน จึงชะลอสถานีนี้ไว้ก่อน "ตอนนี้เรามองว่าพื้นที่ดังกล่าวเริ่มมีศักยภาพ มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลง และการลงทุนต่าง ๆ ส่งผลให้มีตึก อาคาร และที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น คนก็เข้าไปอาศัยในพื้นที่มากขึ้น ที่สำคัญจะช่วยบรรเทาคนที่มาใช้บริการสถานีช่องนนทรีที่เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน จะเพิ่มความสะดวกให้แก่ประชาชนที่มาใช้บริการ" สำหรับความคืบหน้าล่าสุด "สุรพงษ์" บอกว่า อยู่ระหว่างการจัดหาผู้รับเหมามาก่อสร้าง คาดว่าจะได้บริษัทรับเหมาภายในเดือนมกราคมหรือกุมภาพันธ์ 2559 จะเริ่มก่อสร้างปี 2560-2561 ใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างประมาณ 12-18 เดือน โดยการก่อสร้างนี้ไม่ต้องมีการทำการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) ใหม่ เนื่องจากได้มีการศึกษาสถานีไว้ตั้งแต่เริ่มโครงการแล้ว นายสุรพงษ์กล่าวอีกว่า โดยจุดก่อสร้างจะอยู่กึ่งกลางระหว่างสถานีช่องนนทรี (S3) กับสถานีสุรศักดิ์ (S5) จุดที่ตั้งสถานีจะอยู่บนถนนสาทรเหนือ-ใต้ บริเวณปากซอยสาทร 12 ด้านหน้าธนาคารยูโอบี สำนักงานใหญ่สาทร และโรงแรมแอสคอทท์ ในพื้นที่เขตบางรักและเขตสาทร จะใช้เงินทุนประมาณ 450 ล้านบาท และจากการประมาณการของบริษัทที่ปรึกษา การสร้างสถานีศึกษาวิทยาจะทำให้จำนวนเที่ยวการเดินทางเพิ่มขึ้นประมาณ 9,500-12,000 เที่ยวต่อวัน นายสุรพงษ์กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ จะทำให้รายได้ค่าโดยสารของบีทีเอสเพิ่มขึ้นประมาณ 94 ล้านบาทต่อปี ทั้งนี้ เมื่อหักค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่เกี่ยวข้อง ในส่วนของรายได้ค่าโดยสารจะเพิ่มขึ้นประมาณ 70 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ในอนาคตอันใกล้อาจจะเห็นบีทีเอสซีสร้างอีกสถานีใหม่เพิ่ม คือ สถานีเสนาร่วม (N6) อยู่ระหว่างสถานีอารีย์ (N5) กับสถานีสะพานควาย (N7) ซึ่งสถานีนี้ได้กำหนดไว้ในแนวเส้นทางตั้งแต่แรก คาดว่าจะสร้างได้เร็วเหมือนกับสถานีศึกษาวิทยา เพื่อรองรับการเติบโตของเมืองในย่านดังกล่าว ที่ปัจจุบันเริ่มมีการสร้างอาคารสำนักงานและที่อยู่อาศัยใหม่เกิดขึ้นมากมาย ไม่แพ้ย่านใจกลางเมือง รวมถึงผู้ใช้บริการก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปีเช่นกัน ที่มา : ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ไอคอนสยามจัดงานสุดยิ่งใหญ่อลังการแห่งปี ฉลองเปิดตัว ‘เดอะ เรสซิเดนซ์ แอท แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ’ โครงการที่พักอาศัยที่หรูหราที่สุดแห่งหนึ่งในโลก

ไอคอนสยามจัดงานสุดยิ่งใหญ่อลังการแห่งปี ฉลองเปิดตัว ‘เดอะ เรสซิเดนซ์ แอท แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ’ โครงการที่พักอาศัยที่หรูหราที่สุดแห่งหนึ่งในโลก

เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2558 ที่ผ่านมา บริษัท ดิ ไอคอนสยาม ซูเปอร์ลักซ์ เรสซิเดนซ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด จัดงานยิ่งใหญ่อลังการที่สุดงานหนึ่งแห่งปี เฉลิมฉลองการเปิดตัว ‘เดอะ เรสซิเดนซ์ แอท แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ’ โครงการที่พักอาศัยแบรนด์ ‘แมนดาริน โอเรียนเต็ล’ แห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นโครงการที่พักอาศัยที่หรูหราที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ที่กำลังสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ในการพัฒนาโครงการที่พักอาศัยสุดหรูหราในประเทศไทย ทำลายทุกสถิติความหรูหราและราคา  ตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายที่มีอยู่ทั่วโลก ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มีไลฟ์สไตล์และมองหามาตรฐานความหรูหราระดับสูงสุด โดยภายในงานได้รับเกียรติจากแขกผู้มีเกียรติ บุคคลสำคัญระดับซูเปอร์วีไอพี และเซเลบริตี้แถวหน้าของเมืองไทย กว่า 200 ท่าน อาทิ คุณศุภชัย เจียรวนนท์, คุณชวัลวัฒน์ อริยวรารมย์, คุณชฎาทิพ จูตระกูล, คุณหมาก ปริญ สุภารัตน์ และ คุณญาญ่า อุรัสยา เสปอร์บันด์ เข้าร่วมงาน และชมการแสดงแสงสีเสียงสุดยิ่งใหญ่ตระการตาบนผืนน้ำเจ้าพระยาพร้อมบทเพลงขับกล่อมอันแสนไพเราะจากนักร้องคุณภาพชื่อดัง เจนนิเฟอร์ คิ้ม พร้อมเข้าชมห้องตัวอย่างของโครงการสุดหรูแห่งนี้ที่เปิดให้เข้าชมเป็นครั้งแรก นางทิพพาภรณ์ เจียรวนนท์ อริยวรารมย์ กรรมการ บริษัท ดิ ไอคอนสยาม ซูเปอร์ลักซ์ เรสซิเดนซ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า “งานเฉลิมฉลองการเปิดตัวโครงการ ‘เดอะ เรสซิเดนซ์ แอท แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ’ ในวันนี้ เพื่อแสดงความขอบคุณแขกผู้มีเกียรติที่ให้ความสนใจในโครงการ ตลอดจนเพื่อชื่นชมยินดีกับการสร้างมาตรฐานใหม่แห่งความเป็นเลิศในการพัฒนาที่อยู่อาศัยในประเทศไทย โดยเดอะ เรสซิเดนซ์ แอท แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพ ได้รับการออกแบบและก่อสร้างด้วยมาตรฐานความหรูหราระดับสูงสุด เมื่อประกอบกับทำเลที่ตั้งที่สวยงามมีมนต์เสน่ห์ ทำให้โครงการที่พักอาศัยแห่งนี้ จัดอยู่ในกลุ่มที่พักอาศัยที่ดีที่สุดในโลก ซึ่งโครงการที่พักอาศัยแห่งนี้ จะช่วยยกระดับชื่อเสียงและเกียรติภูมิของกรุงเทพฯ ให้สูงขึ้นไปอีกขั้น ในฐานะเมืองสำหรับที่พักอาศัย ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลที่เราได้ประกาศเปิดให้ผู้สนใจจองซื้อได้แล้ว พร้อมกันในกรุงเทพฯ ฮ่องกง และลอนดอน ซึ่งถือเมืองหลวงของแหล่งที่พักอาศัยระดับหรูหราแถวหน้าของโลก” โครงการ ‘เดอะ เรสซิเดนซ์ แอท แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ’ เป็นโครงการที่พักอาศัยสุดหรูหรา แบบฟรีโฮลด์ ติดริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา จำนวน 1 อาคารความสูง 52 ชั้นจำนวน 146 ยูนิต เป็นอาคารที่พักอาศัยที่มีความเป็นส่วนตัวสูง ตั้งอยู่บนพื้นที่โครงการไอคอนสยาม แลนด์มาร์คแห่งใหม่ของประเทศไทย ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเยื้องกับโรงแรมระดับตำนาน แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ โดยโครงการจะได้รับการบริหารจัดการ พร้อมทั้งให้บริการและอำนวยความสะดวกแก่ผู้พักอาศัย โดยแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพ ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือ เพื่อเติมเต็มไลฟ์สไตล์ที่สุดแห่งความหรูหรา “มากกว่าชื่อเสียงระดับตำนานของแบรนด์แมนดาริน โอเรียนเต็ลแล้ว โครงการที่พักอาศัยสุดหรูแห่งนี้ยังให้ความรู้สึกใกล้ชิดกับธรรมชาติ พร้อมกับมนต์เสน่ห์ของกลิ่นไอความเป็นไทย ผสมผสานกับการออกแบบและก่อสร้างที่ได้มาตรฐานระดับโลก ตลอดจนความพิถีพิถันและใส่ใจแม้แต่ในรายละเอียดที่เล็กที่สุด เป็นการผสมผสานที่ยอดเยี่ยมและลงตัวที่ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในโครงการเดียว ทำให้โครงการที่พักอาศัยของเรามีความพิเศษที่แตกต่างอย่างเป็นเอกลักษณ์ และสามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่สุดหรูหราได้อย่างไม่มีใครเหมือน” นางทิพพาภรณ์ กล่าว มร. ริชาร์ด เบเกอร์ รองประธานกรรมการบริหาร และผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติงานภูมิภาคเอเชีย แมนดาริน โอเรียนเต็ล โฮเต็ล กรุ๊ป กล่าวว่า “วันนี้ ชื่อเสียงระดับตำนานของแมนดาริน    โอเรียนเต็ล จะสามารถเป็นมรดกตกทอดของผู้ซื้อที่พักอาศัยในโครงการที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้ ในเมืองที่มีสีสันน่าตื่นเต้นเร้าใจที่สุดแห่งหนึ่งของเอเชีย พันธสัญญาของแบรนด์เรา คือ ความมุ่งมั่นตั้งใจที่เหนือกว่าในการบริหารที่พักอาศัยและการให้บริการด้วยมาตรฐานที่เป็นเลิศที่สุด มาตรฐานที่ทำให้  ชื่อแมนดาริน โอเรียนเต็ลเป็นสัญลักษณ์ของมาตรฐานความหรูหราชั้นยอด ทั่วโลก” นางทิพพาภรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “คุณภาพของที่พักอาศัยแต่ละยูนิตเทียบเท่าหรือเหนือกว่าที่พักอาศัยที่ดีที่สุดของโลก ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของเราอยู่ในหลากหลายประเทศทั่วโลก เป็นกลุ่มคนผู้ซึ่งมีรสนิยมและไลฟ์สไตล์ระดับหรูหรา มีความพิถีพิถันในการเลือกสรรสิ่งพิเศษที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง ซึ่งการตัดสินใจซื้อที่พักอาศัยในโครงการ เดอะ เรสซิเดนซ์ แอท แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ นี้ จะมีทั้งกลุ่มคนที่เล็งเห็นว่าห้องชุดพักอาศัยแห่งนี้เป็นทรัพย์สินที่มีคุณค่าควรคู่กับการมีไว้ในครอบครอง และกลุ่มคนที่ตัดสินใจซื้อเพื่อเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เนื่องด้วยทำเลที่ตั้งที่มีมนต์เสน่ห์น่าประทับใจ และด้วยชื่อเสียงระดับตำนานของแบรนด์แมนดาริน โอเรียนเต็ล โดยได้รับความสนใจจากลูกค้าจอง  ที่พักอาศัยสุดหรูของเราล่วงหน้า เป็นจำนวนกว่า 30 ยูนิตจากทั้งหมด 146  ยูนิต” “ความเป็นส่วนตัว ความรู้สึกโอ่โถง และพื้นที่ส่วนกลางที่กว้างขวางคือสิ่งสำคัญที่สุดที่ให้ความรู้สึกหรูหรา ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลที่เราจัดให้แต่ละยูนิตมีทางเข้าลิฟต์โดยสารที่เป็นส่วนตัว มีเพดานห้องที่สูง   ถึง 3.20 เมตร และมีพื้นที่ส่วนกลางต่อยูนิตที่ใหญ่กว่าคอนโดมิเนียมเกรดเอส่วนใหญ่ในกรุงเทพฯ ประมาณสามเท่า” นางทิพพาภรณ์ กล่าว ผู้พักอาศัยในโครงการจะได้รับความสะดวกสบายจากสิ่งอำนวยความสะดวกที่หลากหลาย ครอบคลุมพื้นที่ 3,000 ตารางเมตร จำนวน 4 ชั้น ซึ่งรวมถึงสกายพาวิลเลียนสุดเอ็กซคลูซีฟบนชั้น 36 ประกอบ ด้วยเลาจน์ บิสซิเนสเซ็นเตอร์ และห้องสมุด ส่วนคลับเฮาส์สำหรับผู้พักอาศัยตั้งอยู่บนชั้น 4 และชั้น 5 สามารถมองเห็นทัศนียภาพอันสวยงามน่าประทับใจของวิวแม่น้ำเจ้าพระยา มีพื้นที่รับประทานอาหารที่เป็นส่วนตัว มีสระว่ายน้ำลอยฟ้าแบบไร้ขอบ (infinity-edge lap pool) อ่างจากุซซี่ ฟิตเนส เซ็นเตอร์สุดล้ำสมัย สนามกอล์ฟจำลอง ห้องเล่นเกม และห้องสื่อต่างๆ โดยเดอะ เรสซิเดนซ์ แอท แมนดาริน   โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ ยังเป็นโครงการที่พักอาศัยโครงการแรกที่ริเริ่มนำระบบจอดรถอัตโนมัติในอาคารที่พักอาศัยมาใช้เป็นโครงการแรกในกรุงเทพฯ ซึ่งจะช่วยให้ผู้พักอาศัยสามารถจอดรถทิ้งไว้ที่ล็อบบี้ทางเข้าได้ โดยมีลิฟต์อัจฉริยะอำนวยความสะดวกนำรถไปจอดให้ สิทธิประโยชน์พิเศษเพิ่มเติมสำหรับผู้พักอาศัย นอกเหนือจากการได้ครอบครองกรรมสิทธิ์ห้องชุดสุดหรูหรา ก็คือการได้เป็นสมาชิก Residences Elite Programme ของแมนดาริน โอเรียนเต็ล โดยอัตโนมัติ ซึ่งมอบสิทธิพิเศษที่ครอบคลุมทั่วโลก และการยอมรับในระดับพิเศษ เมื่อเข้าพักในโรงแรมในเครือแมนดาริน โอเรียนเต็ล นอกจากนั้น ผู้พักอาศัยในโครงการยังได้รับสิทธิพิเศษและการยอมรับระดับวีไอพี เมื่อใช้บริการหรือช้อปกับร้านค้าภายในโครงการไอคอนสยาม ราคาขายห้องชุดพักอาศัยในโครงการ เริ่มต้นที่ประมาณ 350,000 บาทต่อตารางเมตร มีขนาดห้องตั้งแต่ประมาณ 130 – 230 ตารางเมตรต่อยูนิต ห้องเพนท์เฮาส์ และดูเพล็กซ์เพนท์เฮาส์ ขนาดตั้งแต่ 380 – 710 ตารางเมตร ราคาขายเริ่มต้นที่ประมาณ 550,000 บาทต่อตารางเมตร ตัวอาคารอยู่ห่างจากริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาเพียง 45 เมตร แต่ละยูนิตสามารถมองเห็นวิวแม่น้ำที่สวยงาม และสวนสวยที่ร่มรื่นเขียวขจีขนาด 4,600 ตารางเมตร ได้อย่างไม่มีอะไรมาบดบัง ห้องชุดพักอาศัยทุกยูนิตเป็นแบบ Fully Fitted และเพิ่มเติมกว่านั้นลูกค้าสามารถเลือกซื้อเป็นแบบ Fully Furnished หรือห้องชุดพักอาศัยที่ตกแต่งพร้อมเข้าอยู่ได้ ซึ่งออกแบบและตกแต่งโดยนักออกแบบตกแต่งภายในชื่อดังของโลก จอยซ์ แวง ซึ่งมีผลงานออกแบบตกแต่งภายในโครงการดังๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม แมนดาริน โอเรียนเต็ล แลนด์มาร์ก ในฮ่องกง แมนดาริน โอเรียนเต็ล ลอนดอน ซินเทียนตี้ เพนท์เฮาส์ และสำนักงานใหญ่เคเอชเอช แขกผู้มีเกียรติ บุคคลสำคัญระดับซูเปอร์วีไอพี และเซเลบริตี้แถวหน้าของเมืองไทย ที่เข้าร่วมงาน ต่างแสดงความชื่นชมและประทับใจในความหรูหราสง่างามของโครงการเดอะ เรสซิเดนซ์ แอท แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ และภาคภูมิใจที่โครงการเดอะ เรสซิเดนซ์ แอท แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ แห่งนี้ จะเป็นโครงการที่พักอาศัยที่หรูหราที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ในมาตรฐานที่เทียบเท่าหรือเหนือกว่าโครงการที่พักอาศัยที่ดีที่สุดในนิวยอร์ค ลอนดอน โตเกียว หรือเซี่ยงไฮ้ โครงการเดอะ เรสซิเดนซ์ แอท แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ มีกำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2561
SENA รุกธุรกิจพลังงานทดแทนเต็มเหนี่ยว เปิดตัวบริษัทน้องใหม่ SENA SOLAR ENERGY จ่อรับรายได้โซลาร์กว่า 50 MW ในเดือนม.ค.59 เปิดแผน 3 ปี คว้างานติดตั้งแผงโซลาร์ ขนาดรวม 100 MW

SENA รุกธุรกิจพลังงานทดแทนเต็มเหนี่ยว เปิดตัวบริษัทน้องใหม่ SENA SOLAR ENERGY จ่อรับรายได้โซลาร์กว่า 50 MW ในเดือนม.ค.59 เปิดแผน 3 ปี คว้างานติดตั้งแผงโซลาร์ ขนาดรวม 100 MW

บมจ.เสนาดีเวลลอปเม้นท์ (SENA) ผู้นำอสังหาฯชั้นแนวหน้าของเมืองไทย เปิดตัวบริษัทน้องใหม่ “SENA SOLAR ENERGY” พร้อมทีมผู้บริหาร “ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์” เผยเตรียมรุกธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์เต็มเหนี่ยว จ่อรับรู้รายได้โซลาร์กว่า 50 MW ในเดือนม.ค.59 นี้ พร้อมลุยต่อ โซลาร์ฟาร์ม โซลาร์ รูฟ และอยู่ระหว่างเสนอราคารับงานติดตั้งโซลาร์ให้หน่วยงานราชการ เปิดแผนธุรกิจ 3 ปี ติดตั้งแผงโซลาร์ ขนาดกำลังการผลิตรวม 100 MW ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการบริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (SENA) ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ชั้นแนวหน้าของเมืองไทย แถลงข่าวเปิดตัวผู้บริหารบริษัท SENA SOLAR ENERGY และทิศทางธุรกิจพลังงานทดแทนของบริษัทในอนาคตว่า หลังจากที่บริษัทได้รุกเข้าธุรกิจพลังงานทดแทน เพื่อต่อยอดธุรกิจอสังหาฯ โดยก่อนหน้านี้ได้ขยายการลงทุนและเข้าสู่ธุรกิจพลังงานทดแทน ผ่านการร่วมลงทุนโครงการโซลาร์ฟาร์ม ร่วมกับบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ ซึ่งถือเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจพลังงาน และร่วมกับพันธมิตรยักษ์ใหญ่อย่าง First Solar ติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป ที่โครงการบ้านและโฮมออฟฟิศ เพื่อให้ลูกค้ามีรายได้จากการขายไฟให้รัฐ หรือใช้ไฟฟรีนาน 25 ปี  นับว่าเป็นการแสดงถึงการดำเนินธุรกิจในปี 2558 ของ SENA ตามกลยุทธ์ “ไฟนีออน” ที่จะส่องสว่างชัดเจนในด้านการเปิดตัวธุรกิจรูปแบบใหม่ เพื่อต่อยอดธุรกิจหลักของบริษัท แสดงให้เห็นถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทที่รุกเข้าสู่ธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์อย่างชัดเจน “ในวันนี้ ทาง SENA ก็ได้เข้าไปเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ในบริษัท เอท โซลาร์ จำกัด (Eight Solar)หรือ WE Solar เดิม โดยมีผู้บริหารและทีมงานมืออาชีพที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมติดตั้งโซลาร์รูฟ โดยมีคุณสุเมธ บุญบรรดารสุข ผู้บริหาร บริษัท วัฒนสุข เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด เป็นผู้ก่อตั้งบริษัท เพื่อดำเนินงานด้านการติดตั้งและวางระบบ (EPC) โซลาร์รูฟท็อปมายาวนาน เข้ามาเสริมทัพเพื่อให้ บริษัท เสนา โซลาร์ เอนเนอร์ยี่ จำกัด ซึ่งนับเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่ทำให้การดำเนินงานด้านพลังงานแสงอาทิตย์ของ SENA SOLAR ENERGY ครบวงจร” ผศ.ดร.เกษรา กล่าว MR.José Luis Martín , Advisor to CEO, SENA SOLAR ENERGY กล่าวว่า ในฐานะที่มีประสบการณ์ยาวนานในการดำเนินงานเกี่ยวกับพลังงานทดแทน โดยเฉพาะในส่วนของธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ เชื่อว่าจะเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับการบริหารงานที่ SENA SOLAR ENERGY ซึ่งในอนาคต มั่นใจว่า SENA จะกลายเป็นผู้ประกอบการอสังหาฯ ชั้นแนวหน้าของเมืองไทย ที่เป็นเจ้าตลาดพลังงานทดแทนได้อย่างสมบูรณ์แบบ เนื่องจากมีเสนาฯ มีความมุ่งมั่นและตั้งใจในการทำธุรกิจด้านพลังงานทดแทนโดยได้มีการวางแผนงานตลอดจนโครงสร้างไว้อย่างชัดเจน อีกทั้งยังมีการสนับสนุนจากภาครัฐในเรื่องการรับซื้อกระแสไฟฟ้าที่ผลิตได้จากเอกชนในระยะยาวถึง 25 ปี ซึ่งนับว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่แสดงให้เห็นว่าภาครัฐต้องการให้มีการใช้พลังงานทดแทนอย่างจริงจังด้วย นายสุเมธ บุญบรรดารสุข ผู้ก่อตั้ง บริษัท เอท โซลาร์ จำกัด (EIGHT SOLAR) กล่าวว่า “มั่นใจว่าความร่วมมือกับเสนาฯในครั้งนี้ จะเป็นประโยชน์กับทั้งสองฝ่าย โดยเหตุผลสำคัญที่ร่วมมือกับเสนาฯ เพราะเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจโดยคนไทยมาอย่างยาวนานกว่า 30 ปี ทั้งยังมีคณะผู้บริหารที่มีความพร้อมด้านประสบการณ์ ความรู้ และความสามารถ ตลอดจนเจตนารมณ์ในการทำธุรกิจด้านพลังงานทดแทนอย่างชัดเจน นอกจากนี้ ทางเสนาฯ ก็มีความจริงจังที่จะดำเนินงานในด้านพลังงานแสงอาทิตย์ โดยมีโครงการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์กว่า 50 เมกะวัตต์ที่พร้อมจะจ่ายไฟในต้นปีหน้า” ในส่วนของ Eight Solar เป็นบริษัทในเครือของ บริษัท เอ็น.ซี.อาร์ รับเบอร์ อินดัสตรี้ จำกัด ที่ดำเนินธุรกิจมากว่า 55 ปี และ Eight Solar ถือเป็นผู้ประกอบการที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในการติดตั้งและวางระบบวิศวกรรม (EPC) โซลาร์รูฟท็อป ซึ่งได้รับอนุญาตจากการพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) โดยที่ผ่านมามีการติดตั้งโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ณ อ.ทับสะแก จ.ประจวบคีรีขันธ์ ขนาดกำลังการผลิต 5 เมกะวัตต์ ให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) นอกจากนี้ ยังได้ติดตั้งระบบผลิตกระแสไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาให้กับผู้ใช้ตามบ้านพักอาศัยอีกเป็นจำนวนมาก นายสุเมธ กล่าวเพิ่มเติมว่า “ทาง Eight Solar ยังได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้แทนจำหน่าย Inverter ของ ABB อย่างเป็นทางการเจ้าแรกในประเทศไทย ซึ่งเป็น Inverter ที่ผลิตในยุโรป ผ่านการรับรองจากการไฟฟ้านครหลวง (MEA) และ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) และเป็นตัวแทนจำหน่ายแผงโซลาร์และอุปกรณ์เกี่ยวกับการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ยักษ์ใหญ่ 1 ใน 3 ของโลก อย่างบริษัท  First Solar  ด้วย ซึ่งความพร้อมของทีมงานมืออาชีพ และพันธมิตรชั้นนำจะช่วยเสริมให้การดำเนินธุรกิจพลังงานในครั้งนี้ ดำเนินไปอย่างแข็งแกร่ง และเติบโต” นายสุธรรม โอฬารกิจอนันต์ ประธานฝ่ายการเงิน ของ SENA SOLAR ENERGY กล่าวถึงแผนการดำเนินธุรกิจของบริษัท “ทางบริษัทเริ่มต้นดำเนินธุรกิจด้าน Solar Business โดยต้นเดือนมกราคม 2559 จะเริ่มรับรู้รายได้ จาก Solar Farm และ Solar Roof ที่กำลังผลิตกว่า 50 เมกะวัตต์ และตั้งเป้าหมายกำลังผลิตรวม 100 เมกะวัตต์ ภายใน 3 ปี จากการเป็นผู้สนับสนุนโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินสำหรับหน่วยงานราชการและสหกรณ์ภาคการเกษตร และ การติดตั้งให้กับลูกค้าทั่วไปทั้งที่เป็นเจ้าของบ้าน เจ้าของโครงการ รวมถึงเจ้าของธุรกิจบางประเภทที่ต้องการติดตั้งโซลาร์รูฟในโครงการ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม สร้างรายได้สม่ำเสมอ รวมถึงเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายจากใบเรียกเก็บเงินค่าไฟฟ้า  เนื่องจากลูกค้าสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าเพื่อมาใช้เองได้  รวมถึงได้รับค่าบริการสำหรับการควบคุมดูแลและบำรุงรักษาหลังการติดตั้ง (O&M) ” ทั้งนี้ ถือเป็นความสมบูรณ์พร้อมด้าน Solar Business ของบริษัทฯ เพราะเราดำเนินงานทั้งในรูปแบบ Solar Farm และ Solar Rooftop ตั้งแต่กระบวนการติดตั้ง ตลอดจนการบริการหลังการขาย ส่งผลให้บริษัทสามารถให้บริการที่ครบวงจรสร้างความสะดวกสบายให้แก่ลูกค้า นอกจากนี้ ในด้านงานปฏิบัติการและบำรุง (O&M - Operation and Maintenance) ทางผู้บริหารมั่นใจว่า จากประสบการณ์ของทีมผู้บริหารตลอดจนทีมงาน O&M จาก Eight Solar จะสามารถสร้างความต่อเนื่องและสมบูรณ์ของงานให้สามารถทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างแน่นอน
The Cube (รามคำแหง) กระแสแรงหลังสร้างเสร็จโอนแล้วกว่า 85%

The Cube (รามคำแหง) กระแสแรงหลังสร้างเสร็จโอนแล้วกว่า 85%

นายวิชิต  อำนวยรักษ์สกุล  กรรมการผู้จัดการ  บริษัท วีทูเอ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด  ผู้พัฒนาและบริหารงาน โครงการ เดอะคิวบ์ รามคำแหง (The Cube Ramkhamhaeng) ปลื้มยอดการโอนกระแสดีหลังโครงการฯ สร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่ ส่งผลให้ไตรมาสสุดท้ายปี 2558 มียอดโอนกรรมสิทธิ์รวมแล้วกว่า 85% โดยชี้แจงว่า โครงการเดอะคิวบ์ รามคำแหง ที่สร้างเสร็จแล้วและอยู่ในทำเลที่ดีที่สุดย่านรามคำแหงและบางกะปิ ช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคที่ต้องการคอนโดมิเนียมที่สมบูรณ์พร้อมที่จะหิ้วกระเป๋าเข้าอยู่ได้หลังโอนกรรมสิทธิ์เรียบร้อยแล้ว ส่วนที่ยังไม่ได้โอนฯ นั้นอยู่ระหว่างการยื่นเอกสารขอสินเชื่อกับธนาคาร และจากที่รัฐบาลมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ในภาพรวมให้ประกอบกับโปรโมชั่นพิเศษของโครงการฯ ที่การันตีผู้เช่าให้ 5 เดือน เดือนละ 10,000 บาท หากเจ้าของห้องต้องการซื้อคอนโดฯ เพื่อลงทุนทำให้ยอดการโอนฯ สูงขึ้น นับว่าส่งผลดีต่อเนื่องให้โครงการเดอะคิวบ์  2 ทำเล อย่าง The Cube แจ้งวัฒนะ (สร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่ต้นปี 2559) และ The Cube ประชาอุทิศ (อยู่ระหว่างดำเนินงานก่อสร้างพร้อมอยู่กลางปี 2559) มียอดการจองและเข้าชมโครงการฯ เพิ่มขึ้นจากเดิมถึง 20% อีกด้วย  และสำหรับผู้สนใจคอนโดฯ ของโครงการเดอะคิวบ์ (รามคำแหง) ยังมีห้องขนาด 28 ตร.ม. ตำแหน่งห้องดีและวิวสวย ที่ผู้ซื้อผ่อนดาวน์ไม่ไหวคืนให้กับโครงการฯ จึงนำมาจัดโปรโมชั่นพิเศษให้กับลูกค้าส่งท้ายปีในราคาเริ่มต้น 1.49 ล้านบาท โดยคาดว่าสิ้นปี 2558 จะมียอดโอนกรรมสิทธิ์ 95% เป็นอย่างน้อย เดอะคิวบ์ (รามคำแหง) คอนโดมิเนียมทำเลสวยอยู่สบายสูง 8 ชั้น รวม 2 อาคาร พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกบนถนนรามคำแหง ซอย 89/2  (ฝั่งตรงข้ามท่าเรือเดอะมอลล์ บางกะปิ) ในอนาคตจะอยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้าลำสาลีที่สุด เพียง 150 เมตร  เป็นจุดเชื่อมต่อของรถไฟฟ้าสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) และรถไฟฟ้าสายสีส้ม (ตลิ่งชัน-มีนบุรี) และสะดวกในการเดินทางทั้งทางรถและทางเรือ  ใกล้ห้างสรรพสินค้า อาทิ เดอะมอลล์ บางกะปิ ตลาดตะวันนา แมคโคร โลตัส บิ๊กซี มหาวิทยาลัยรามคำแหง มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (ABAC)  รพ.รามคำแหง  รพ.สมิติเวช  ศรีนครินทร์ เป็นต้น สอบถามรายละเอียดโครงการเพิ่มเติมและชมห้องตัวอย่างได้ทุกวัน (ไม่เว้นวันหยุด) โทร. 088-446-0007-8, 0-2731-6577-8 หรือข้อมูลเบื้องต้น  www.thecube-condo.com  หรือติดตามความเคลื่อนไหวโครงการต่าง ๆ ของโครงการฯ ทางเฟซบุ๊ค  www.facebook.com/The Cube-Condo
เครือควอลิตี้เฮ้าส์ ยึดทำเลโซนภาคตะวันออก เดินหน้ารุกตลาดแนวราบ ส่ง “คาซ่า วิลล์ บ้านบึง” ลุยตลาด หลัง คาซ่า เลเจ้นด์ บ้านบึงประสบความสำเร็จได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี

เครือควอลิตี้เฮ้าส์ ยึดทำเลโซนภาคตะวันออก เดินหน้ารุกตลาดแนวราบ ส่ง “คาซ่า วิลล์ บ้านบึง” ลุยตลาด หลัง คาซ่า เลเจ้นด์ บ้านบึงประสบความสำเร็จได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี

เครือควอลิตี้เฮ้าส์ เดินหน้าพัฒนาโครงการในโซนภาคตะวันออกต่อเนื่อง หลังประสบความสำเร็จจากกลุ่มสินค้าประเภทคอนโดมิเนียม ทั้งแบรนด์ เดอะทรัสต์ เดอะพอยต์ และคาซ่า คอนโด พร้อมขยายฐานจับกลุ่มลูกค้าแนวราบเพิ่ม ส่งคาซ่า วิลล์ บ้านบึง บ้านเดี่ยวแนวคิดใหม่ลงตลาด หลังโครงการคาซ่า เลเจ้นด์ บ้านบึง ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี มั่นใจปีนี้ยอดขายรวมของโครงการในโซนภาคตะวันออกเติบโตตามเป้า 3,000 ล้านบาท นายไพโรจน์  วัฒนวโรดม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาโครงการคุณภาพ ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียม เปิดเผยว่า “เป็นที่ทราบกันดีว่า ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เป็นภาคธุรกิจหลักที่มีส่วนช่วยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ มีมูลค่าตลาดรวมประมาณ 12-13% ของจีดีพี จะเห็นได้ว่าในช่วงที่ผ่านมามีมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐในหลายๆ ด้าน ทั้งด้านคมนาคม, ด้านการลงทุนภาคธุรกิจ, ด้านการท่องเที่ยว รวมถึงการขยายตัวของสังคมเมืองและกลุ่มธุรกิจ ส่งผลให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด โดยเฉพาะจังหวัดหัวเมืองใหญ่ ระยอง, ชลบุรี, ประจวบคีรีขันธ์, ภูเก็ต, เชียงใหม่ เป็นต้น โดยเฉพาะในภาคตะวันออก จังหวัดระยองและจังหวัดชลบุรี นับเป็นจังหวัดที่มีจีดีพีสูงที่สุดเป็นอันดับ 1 และ 2 ของประเทศ เนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีความพร้อมด้านอุตสาหกรรมและการลงทุน มีนิคมอุสาหกรรมเป็นจำนวนมาก มีท่าเรือน้ำลึก 2 แห่ง คือ ท่าเรือแหลมฉบังและมาบตาพุด และยังเป็นแหล่งงานขนาดใหญ่ของประเทศอีกด้วย ซึ่งจากผลสำรวจของศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย (AREA) เคยวิเคราะห์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ของจังหวัดชลบุรีโดยทำการวิเคราะห์แยกเป็น 8 พื้นที่ คือ 1.พื้นที่อำเภอเมืองชลบุรี 2. พื้นที่บางแสน-บางพระ 3. พื้นที่ศรีราชา 4.พื้นที่แหลมฉบัง 5. พื้นที่บ่อวิน 6.พื้นที่พัทยาฝั่งตะวันออกของถนนสุขุมวิท (ติดเนินเขา) 7.พื้นที่พัทยาฝั่งตะวันตกของถนนสุขุมวิท (ติดทะเล) และ 8.พื้นที่สัตหีบ ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย มองว่าพื้นที่ที่มีความคึกคักมากที่สุดคือพื้นที่พัทยาฝั่งติดทะเล รองลงมาจะเป็นพื้นที่อำเภอศรีราชา และมีพื้นที่ศักยภาพในเขตอื่นๆ อีกหลายแห่ง ซึ่งตรงกับผลสำรวจของทางควอลิตี้เฮ้าส์ เนื่องจากจังหวัดชลบุรีเป็นเมืองเศรษฐกิจอันดับต้นๆ ของประเทศ อีกทั้งยังเป็นแหล่งท่องเที่ยว, แหล่งงาน ทำให้ยังมีความต้องการที่อยู่อาศัยอีกเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในกลุ่มระดับราคากลาง – ล่าง บริษัท จึงได้มีการเข้าไปพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยว, บ้านแฝด, ทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียม ในหลายพื้นที่ อาทิ พัทยา, ตัวเมืองชลบุรี, ศรีราชา, บ่อวิน และล่าสุดคือที่บ้านบึง กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นคนในพื้นที่นั้นๆ คนที่มาทำงานในนิคมอุตสาหกรรม รวมถึงชาวต่างชาติที่มาทำงานในพื้นที่ อย่างเช่น อำเภอศรีราชาชาวต่างชาติส่วนใหญ่จะเป็นชาวญี่ปุ่นที่มาทำงานในนิคมอุตสาหกรรม และในทำเลดังกล่าวบริษัทได้พัฒนาทั้งบ้านเดี่ยว และคอนโดมิเนียมเพื่อเจาะลูกค้ากลุ่มนี้ ก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีมียอดขายเป็นที่น่าพอใจ นายไพโรจน์  กล่าวต่อว่า ปัจจุบันโครงการทั้งหมดที่ควอลิตี้เฮ้าส์ได้พัฒนาในจังหวัดชลบุรี มีจำนวน 12 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 8,455 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยว 5 โครงการ ได้แก่ โครงการ คาซ่า แกรนด์ ศรีราชา มูลค่าโครงการ 400 ล้านบาท, โครงการ คาซ่า แกรนด์ มิตรสัมพันธ์ มูลค่าโครงการ 565 ล้านบาท, โครงการ คาซ่า เลเจ้นด์ บ้านบึง มูลค่าโครงการ 480 ล้านบาท, โครงการคาซ่า วิลล์ บ้านบึง มูลค่าโครงการ 703 ล้านบาท และโครงการ เดอะทรัสต์ วิลล์ บ้านโพธิ์ มูลค่าโครงการ 840 ล้านบาท (เปิดขายเดือนตุลาคม 2558) ทาวน์โฮม 1 โครงการ ได้แก่ โครงการเดอะทรัสต์ ทาวน์โฮม บ่อวิน มูลค่าโครงการ 441 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 6 โครงการ ได้แก่ โครงการคาซ่า คอนโด ศรีราชา มูลค่าโครงการ 500 ล้านบาท, โครงการเดอะทรัสต์ คอนโด พัทยาเหนือ มูลค่าโครงการ 1,200 ล้านบาท, โครงการ เดอะทรัสต์ คอนโด พัทยากลาง มูลค่าโครงการ 836 ล้านบาท, โครงการเดอะทรัสต์ คอนโด พัทยาใต้ มูลค่าโครงการ 1,014 ล้านบาท, โครงการเดอะทรัสต์ คอนโด อมตะ-ชลบุรี มูลค่าโครงการ 850 ล้านบาท และโครงการ เดอะพอยต์ คอนโด แหลมฉบัง มูลค่าโครงการ 626 ล้านบาท โดยโครงการล่าสุดในจังหวัดชลบุรีที่เปิดตัวคือ โครงการคาซ่า เลเจ้นด์ บ้านบึง ตั้งบนพื้นที่ขนาด 21-0-16.4 ไร่ พัฒนาในรูปแบบบ้านเดี่ยว จำนวนรวม 87 ยูนิต มูลค่าโครงการ 480 ล้านบาท เป็นบ้านขนาด 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ (พร้อมห้องแม่บ้าน) พื้นที่ใช้สอย 166 ตารางเมตร บนที่ดินขนาด 50 ตารางวา ราคาเริ่มต้น 4.99 บาท โครงการออกแบบด้วยคอนเซ็ปต์ Modern Contemporary ภายในโครงการครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย อาทิ สวนร่มรื่นขนาดใหญ่, คลับเฮ้าส์ พร้อมสระว่ายน้ำ และห้องออกกำลังกายพร้อมอุปกรณ์ทันสมัยครบครัน ดูแลความปลอดภัยด้วยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและกล้อง CCTV ตลอด 24 ชั่วโมง โครงการตั้งอยู่ใจกลางอำเภอเมืองบ้านบึง เดินทางสะดวกด้วยถนนมอเตอร์เวย์ กรุงเทพ-ชลบุรี สามารถไปได้ทั้งพนัสนิคม, ชลบุรี และระยอง และโครงการคาซ่า วิลล์ บ้านบึง ตั้งบนพื้นที่ขนาด 39 ไร่ จำนวนรวม 211 ยูนิต มูลค่าโครงการ 703 ล้านบาท แบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 33 ยูนิต และบ้านแนวคิดใหม่ 178 ยูนิต โดยบ้านเดี่ยว 2 ชั้น ตั้งบนพื้นที่ขนาด 50 ตารางวา ขนาด 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 1 ห้องครัว 2 ที่จอดรถ พื้นที่ใช้สอย 140 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 4.29 ล้านบาท และบ้านแนวคิดใหม่ 2 ชั้น ขนาด 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 1 ห้องครัว 2 ที่จอดรถ ตั้งบนที่ดินขนาด 36 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 130 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 2.79 ล้านบาท พัฒนาในรูปแบบบ้านเดี่ยวสไตล์โมเดิร์น ออกแบบด้วยคอนเซ็ปต์ Life is Perfect เป็นบ้านแนวคิดใหม่ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ สร้างสรรค์ให้พื้นที่ใช้สอยทุกตารางเมตรให้เกิดประโยชน์สูงสุดสำหรับทุกๆ กิจกรรม เพิ่มรายละเอียดให้ทุกห้องโปร่ง โล่ง สบาย ครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการ อาทิ Modern Clubhouse สโมสรกว้าง โครงการตั้งบนทำเลศักยภาพ ติดถนนใหญ่บ้านบึง-แกลง เดินทางสะดวกด้วยถนนมอเตอร์เวย์ กรุงเทพ-ชลบุรี สามารถไปได้ทั้งพนัสนิคม, ชลบุรี, ระยอง อีกทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกรอบๆ โครงการยังครบครัน อาทิ โรงเรียน, โรงพยาบาล, นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร, นิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง, เทสโก้โลตัส, บิ๊กซีซุปเปอร์เซ็นเตอร์ ในปี 2558 นี้ บริษัทฯ ได้ตั้งเป้ายอดขายไว้ 3,000 ล้านบาท และยอดโอน 2,500 ล้านบาท โดยปัจจุบันทำได้ 60-70% ของเป้าที่ตั้งไว้ และมองว่าภายในสิ้นปีนี้จะสามารถทำยอดขายรวมถึงยอดรับรู้รายได้ ได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ เนื่องจากในช่วงไตรมาส 4 ของทุกปี จะมีความคึกคักในส่วนของกำลังซื้อ บวกกับความเชื่อมั่นของกลุ่มลูกค้าที่มีต่อแบรนด์ บริษัทฯจะสามารถดำเนินธุรกิจได้ตามเป้าที่ตั้งไว้
เปิดตัว ‘โชว์ ดีซี’ ศูนย์การค้าและเอ็นเตอร์เทนเมนต์สุดหรูครบวงจรแห่งแรกของไทย ครั้งแรกกับแนวคิดค้าปลีกและบันเทิงรูปแบบใหม่ “ช้อป & เอ็นจอย”

เปิดตัว ‘โชว์ ดีซี’ ศูนย์การค้าและเอ็นเตอร์เทนเมนต์สุดหรูครบวงจรแห่งแรกของไทย ครั้งแรกกับแนวคิดค้าปลีกและบันเทิงรูปแบบใหม่ “ช้อป & เอ็นจอย”

บริษัท โชว์ ดีซี คอร์ป จำกัด แถลงเปิด ‘โชว์ ดีซี’ ศูนย์การค้าและเอ็นเตอร์เทนเมนต์สุดหรูครบวงจรแห่งแรกของไทย ปักธงแลนด์มาร์คแห่งใหม่ใจกลางกรุงเทพฯ เตรียมเปิดในเดือนมิถุนายน 2559 ทุ่มงบลงทุนทั้งสิ้น 9,500 ล้านบาท ตั้งเป้าดึงนักท่องเที่ยว 100,000 คนต่อวัน ชูแนวคิดค้าปลีกสุดล้ำ “ช้อป & เอ็นจอย” (Shop & Enjoy) โดดเด่นไม่ซ้ำใครรายแรกในประเทศไทย ผสมผสานความบันเทิงอันตื่นตาตื่นใจเข้ากับร้านค้าและร้านอาหารไว้อย่างครบครัน รวมถึง “K-Town” (เมืองเกาหลี) ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ‘โชว์ ดีซี’ ตั้งอยู่ใกล้ถนนพระราม 9 บนพื้นที่ 27 ไร่ มีพื้นที่ภายในอาคาร 150,000 ตารางเมตร นายชยดิษฐ์ หุตานุวัชร์ ประธาน บริษัท โชว์ ดีซี คอร์ป จำกัด กล่าวว่า “เราเป็นรายแรกในประเทศไทยที่นำเอาแนวคิด ‘ช้อป & เอ็นจอย’ (หรือซื้อหาสินค้าพร้อมสรรพกับความบันเทิง) มาใช้ โดยผสมผสานสุดยอดประสบการณ์ช้อปปิ้งและการกินดื่มเอาไว้ในที่เดียว เพื่อลูกค้าและผู้เยี่ยมชมได้ดื่มด่ำไปกับการช้อปปิ้ง    การกินดื่ม และการชื่นชมวัฒนธรรมทั้งของประเทศไทยและประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชีย ไฮไลท์สำคัญของโชว์ ดีซี จะอยู่ที่สินค้าและบริการสุดอินเทรนด์จากเกาหลีซึ่งโดดเด่นไม่มีใครเหมือน นอกจากนี้ ลูกค้าของเรายังจะได้เพลิดเพลินไปกับเอ็นเตอร์เทนเมนต์ชั้นนำของไทย ไม่ว่าจะเป็น ‘ศูนย์การประชุมและการแสดง’ ซึ่งรองรับผู้ชมได้ 5,000 คน บนพื้นที่ 5,000 ตร.ม. ‘สปอร์ต อารีนา’ สนามแข่งขันกีฬาเพื่อความบันเทิงแห่งเอเชีย รองรับผู้ชมได้ 1,500 ที่นั่ง รวมถึง การแสดงพิเศษส่งเสริมวัฒนธรรม ‘หิมพานต์ อวตาร’ มหัศจรรย์ตำนานวรรณคดีไทยเสมือนจริงในรูปแบบ 4D โดยใช้เทคโนโลยีแสง สี เสียงสุดล้ำแบบโฮโลกราฟฟิค ที่ยิ่งใหญ่อลังการบนพื้นที่ 5,000 ตร.ม.” โชว์ ดีซี (SHOW DC) มีที่มาจากภาษาอังกฤษคือ Show Destination Center ซึ่งหมายถึง ศูนย์การค้าและเอ็นเตอร์เทนเมนต์สุดหรูครบวงจรนั่นเอง “ขณะนี้พื้นที่ให้เช่าของโชว์ ดีซี มีผู้เช่าแล้ว 60% โดยหนึ่งในบรรดาผู้เช่ารายใหญ่ ได้แก่ ‘YG Entertainment’   ซึ่งเป็นค่ายบันเทิงยักษ์ใหญ่ของเกาหลี ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของศิลปิน ‘K-Pop’ ชื่อก้องโลก อย่าง ‘BIGBANG’ (วงบิ๊กแบง) ‘Psy’ (ไซ กังนัมสไตล์) และ ‘2NE1’ (ทูเอนีวัน) ทั้งนี้ YG Entertainment ได้จับจองพื้นที่ 5,000 ตร.ม. บนชั้นดาดฟ้า เพื่อเตรียมเปิดศูนย์วัฒนธรรมและความบันเทิงสไตล์ ‘K-Pop’ ให้ทุกคนได้พักผ่อนและเพลิดเพลินไปกับคลับสุดฮิปอีกด้วย” นายชยดิษฐ์ กล่าว “โชว์ ดีซี เน้นนำเสนอความหลากหลายของเอเชีย ดังนั้น เราจึงไม่พลาดที่จะสร้างสรรค์พื้นที่ 10,000 ตร.ม. ให้เป็น ‘เอเชียนฟู้ดสตรีท’ ซึ่งรวบรวมอาหารขึ้นชื่อรสเยี่ยมมากมายของเอเชียมาไว้ในที่เดียว นอกจากนี้ ภายในส่วนของ ‘K-Town’ เราได้จัดสรรพื้นที่ขนาดใหญ่ให้กับ ‘K-Fashion’ และ ‘K-Beauty’ แหล่งรวมสินค้าแฟชั่นความงาม รวมถึงบริการเพื่อความงามจากเกาหลีที่ครบครันมากที่สุดในประเทศไทย อีกทั้งยังมีร้านอาหารของศิลปินดังเกาหลี มาเปิดให้แฟนๆ ได้ลิ้มลอง เช่น ‘Psy Ramen’ (ไซ ราเม็ง) ของไซ กังนัมสไตล์   และ ร้าน ‘After Rain’ ของ ‘Rain’ นักร้องหนุ่มผู้มีชื่อเสียงโด่งดังระดับโลก” นายชยดิษฐ์ กล่าวเสริม นางประภาวัลย์ เวลาดีวงณ์ รองประธาน บริษัท โชว์ ดีซี คอร์ป จำกัด กล่าวว่า “เรายังมีสิ่งที่น่าสนใจอีกมากมาย ที่คาดว่าจะสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติได้ราว 50,000 คนต่อวัน ทั้งนี้ โชว์ ดีซี คือ     ค้าปลีกรายแรกในประเทศไทยที่ออกแบบการอำนวยความสะดวกต่างๆ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจำนวนมหาศาล โดยเราได้ทุ่มทุนสร้างที่จอดรถบัสขนาดใหญ่ รวมไปถึงจัดการวางแผนเส้นทางการเดินชมของผู้มาใช้บริการภายในศูนย์การค้าอย่างเป็นระบบ ซึ่งมั่นใจได้ว่าลูกค้าทั้งชาวไทยและเทศทุกท่านจะได้รับความสะดวกสบายตลอดเวลาที่มาโชว์ ดีซี อย่างแน่นอน” “ภายใน 5 ปีข้างหน้า เราคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวมาเยือนประเทศไทยถึง 37 ล้านคนต่อปี ในการสร้างสรรค์   ไลฟ์สไตล์แลนด์มาร์คระดับโชว์ ดีซีนั้น เรามั่นใจว่าบริการของเราจะมอบความสะดวกสบายให้กับลูกค้า  ชาวไทยและนักท่องเที่ยวจำนวนมากได้ เราจึงเชื่อว่าภายในระยะเวลาไม่นาน โชว์ ดีซี จะช่วยแบ่งเบาภาระให้กับแหล่งท่องเที่ยวดั้งเดิมของไทยที่ต้องรองรับนักท่องเที่ยวที่หนาแน่นมากจนเกินไปได้” นางประภาวัลย์ กล่าว “การที่โชว์ ดีซี จะเป็นจุดหมายปลายทางที่รวบรวมสินค้าและบริการไว้อย่างครบครัน จะช่วยให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติสามารถเลือกช้อปสินค้าและใช้บริการต่างๆ ได้อย่างสะดวกสบายในที่เดียว โดยช่วยลดเวลาการเดินทางบนท้องถนน และลดปัญหาการจราจรติดขัดให้กับคนกรุงเทพฯ อีกด้วย ทั้งนี้ นักท่องเที่ยวสามารถมั่นใจได้ว่าจะได้รับสินค้าและบริการที่มีคุณภาพในราคายุติธรรม รวมถึงจะได้สัมผัสประสบการณ์ทางวัฒนธรรมภายในโชว์ ดีซี เช่น การแสดงวัฒนธรรมไทยต่างๆ ซึ่งเราใส่ใจในทุกรายละเอียดเพื่อให้ทุกอย่างสมจริงและได้มาตรฐานสูงสุดให้สมกับที่เป็นมรดกของชาติไทยอย่างแท้จริง” นางประภาวัลย์ กล่าว หนึ่งในความสะดวกสบายสุดเอ็กซ์คลูซีฟที่โชว์ ดีซี เตรียมไว้ต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ คือ “VIP Traveller Lounge” (วีไอพี แทรเวเลอร์ เลาจ์) เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ใช้เวลาผ่อนคลายในวันสุดท้ายที่ประเทศไทย หลังจากเช็คเอาท์จากโรงแรมที่พักแล้ว “นักท่องเที่ยวสามารถใช้บริการฝากกระเป๋าเดินทาง อาบน้ำ หรือพักผ่อน หลักจากเช็คเอาท์จากโรงแรมที่พักและในขณะรอเครื่องบินไฟลท์ค่ำ นอกจากนี้ โชว์ ดีซี ยังได้เตรียมบริการรถรับส่งฟรีไปยังสนามบินในกรุงเทพฯ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวอีกด้วย” นางประภาวัลย์ กล่าว โชว์ ดีซี ตั้งอยู่บนถนนจตุรทิศ สะดวกต่อการเดินทางด้วยหลากหลายเส้นทางรถยนต์และรถไฟฟ้า โดยอยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์มักกะสัน สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินเพชรบุรีและพระราม 9 รวมถึงใกล้ทางด่วนศรีรัชฯ ขาลงด่านพระราม 9 และขาขึ้นด่านอโศก 1 “การเกิดขึ้นของโชว์ ดีซี จะช่วยสนับสนุนนโยบายของภาครัฐ ในการสร้างสรรค์แหล่งช้อปปิ้งและเอ็นเตอร์เทนเมนต์สุดหรูครบวงจรน่าตื่นตาตื่นใจใหม่ๆ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ พร้อมทั้งยกระดับประสบการณ์การท่องเที่ยวในประเทศไทย โชว์ ดีซี ในฐานะแลนด์มาร์คแห่งใหม่ที่สำคัญของอาเซียน จะช่วยเสริมแกร่งภาพลักษณ์ให้กับประเทศไทย ให้กลายเป็นจุดศูนย์กลางการช้อปปิ้งและความบันเทิงแห่งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนต่อไป” นายชยดิษฐ์ กล่าวสรุป
สยามเซ็นเตอร์ได้รับเลือกเป็น 1 ใน 5 ศูนย์การค้าที่ออกแบบดีที่สุดในโลกโดยสมาคมศูนย์การค้าระหว่างประเทศ

สยามเซ็นเตอร์ได้รับเลือกเป็น 1 ใน 5 ศูนย์การค้าที่ออกแบบดีที่สุดในโลกโดยสมาคมศูนย์การค้าระหว่างประเทศ

บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด เจ้าของและผู้บริหารโครงการที่มีชื่อเสียงระดับโลก เช่น สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่ ฯลฯ และเป็นหนึ่งในพันธมิตรเจ้าของไอคอนสยาม อภิมหาโครงการเมือง สัญลักษณ์ใหม่ของประเทศไทย เปิดเผยวันนี้ว่า สยามเซ็นเตอร์ได้รับเลือกเป็นหนึ่งใน 5 ศูนย์การค้าที่ออกแบบดีที่สุดของโลก โดยสมาคมชั้นนำของโลกทางด้านธุรกิจค้าปลีก คือ สมาคมศูนย์การค้าระหว่างประเทศ (International Council of Shopping Centers – ICSC) สยามเซ็นเตอร์เป็น 1 ใน 5 ศูนย์การค้าจากทั่วโลกที่ได้รับเกียรติให้รับรางวัลไอซีเอสซี วีว่า อวอร์ด (ICSC VIVA Award) ประจำปี 2558 ในสาขาการออกแบบและพัฒนา โดยได้รับการยกย่องในฐานะ   ที่มีการออกแบบโดดเด่นที่สุด หลังจากที่ในปี 2557 สยามเซ็นเตอร์ได้รับเลือกให้เป็นผู้ชนะและได้รับรางวัลโกลด์ อวอร์ด จากเวทีเอเชีย แปซิฟิก ช็อปปิ้ง เซ็นเตอร์ อวอร์ด จากการออกแบบสยามเซ็นเตอร์โฉมใหม่ที่สร้างสรรค์ล้ำสมัย สยามเซ็นเตอร์เปลี่ยนโฉมใหม่อย่างเต็มรูปแบบในปี 2556 โดยใช้งบลงทุนกว่า 1,800 ล้านบาท ซึ่งเป็นการลงทุนโดยสยามพิวรรธน์ และเจ้าของแบรนด์ 300 แบรนด์ ในโครงการที่เป็นการริเริ่มความร่วมมือกันครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในวงการค้าปลีกของประเทศไทย นางชฎาทิพ จูตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด กล่าวว่า “เรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับรางวัลจากไอซีเอสซี เราอยากจะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยทำให้กรุงเทพฯ เป็นจุดหมายปลายทางสำหรับการช็อปปิ้งชั้นนำของโลก ด้วยการเป็นผู้นำความคิดสร้างสรรค์ที่ล้ำสมัย ที่นำเสนอไอเดียแปลกใหม่ในการพัฒนาและออกแบบโครงการต่างๆ ของเรา สยามเซ็นเตอร์เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางด้านไลฟ์สไตล์รายแรกๆ ของโลกที่บุกเบิกแนวคิดค้าปลีกแปลกใหม่แบบปฏิวัติวงการ ด้วยความร่วมมือระหว่างผู้พัฒนาศูนย์การค้า ผู้ประกอบการร้านค้าย่อย และเจ้าของแบรนด์ เพื่อสร้างสรรค์ภาพลักษณ์ที่โดดเด่นและสอดคล้องกลมกลืนเป็นเอกภาพทั้งศูนย์การค้า รวมถึงร้านค้าคอนเซ็ปต์ที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับรูปโฉมและบรรยากาศภายในที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของสยามเซ็นเตอร์ ซึ่งความร่วมมือดังกล่าวครอบคลุมไปทั้งสยามเซ็นเตอร์ ทำให้ลูกค้าสามารถมั่นใจได้เลยว่า ไม่ว่าลูกค้าจะมาใช้บริการร้านค้าหรือร้านอาหารใดก็ตามในสยามเซ็นเตอร์ ลูกค้าจะได้สัมผัสกับประสบการณ์แปลกใหม่ที่ปฏิวัติวงการและเหนือความคาดหมายอย่างแน่นอน” นางชฎาทิพกล่าวว่า สยามพิวรรธน์ได้ตัดสินใจลงทุนครั้งใหญ่เพื่อเปลี่ยนโฉมสยามเซ็นเตอร์ สอดคล้องกับพัฒนาการของธุรกิจค้าปลีก “ซึ่งไม่ได้เป็นแค่เรื่องของการค้าปลีกอย่างเดียวอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องของการนำเสนอประสบการณ์แปลกใหม่ที่ไม่ธรรมดา ในสถานที่ที่ผู้คนสามารถที่จะได้รับแรงบันดาลใจ รู้สึกตื่นเต้นและสนุกสนานเพลิดเพลินไปพร้อมๆ กัน” “กลยุทธ์เพื่อความสำเร็จของสยามพิวรรธน์ สำหรับศูนย์การค้าในเครือทุกแห่งก็คือจะต้องเป็นผู้นำด้านแนวคิดสร้างสรรค์แปลกใหม่ที่ล้ำเทรนด์ในธุรกิจค้าปลีก จะต้องสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา ต้องเป็นรายแรกหรือสร้างปรากฏการณ์ครั้งแรกเสมอ และต้องทำสิ่งที่มาตรฐานระดับโลก ในฐานะ ‘ผู้นำความคิดสร้างสรรค์ที่ล้ำสมัย’” นางชฎาทิพ กล่าว นางชฎาทิพ เปิดเผยว่า หลังจากที่เปิดตัวสยามเซ็นเตอร์โฉมใหม่ภายใต้แนวคิดและดีไซน์ใหม่ที่ได้รับรางวัลนี้ มีผู้เข้ามาใช้บริการในสยามเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นลูกค้าที่เข้ามาจับจ่ายใช้สอยจริงๆ เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน และมีอัตราการใช้จ่ายเฉลี่ยต่อลูกค้าเพิ่มขึ้นด้วย “นับตั้งแต่ปฏิวัติวงการด้วยการเปิดตัวสยามเซ็นเตอร์แนวคิดใหม่ จำนวนคนที่เข้ามาใช้บริการที่สยามเซ็นเตอร์เพิ่มขึ้นเกือบ 12,000 คนต่อวัน เมื่อเทียบกับเมื่อปีที่แล้ว นอกจากนั้น ในบรรดาผู้ที่เข้ามาใช้บริการที่สยามเซ็นเตอร์ จำนวนคนที่ใช้จ่ายเงินช็อปปิ้งจริงๆ ในห้างก็เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดถึง 34%” “ยิ่งไปกว่านั้นคือ การใช้จ่ายเฉลี่ยของนักช็อปแต่ละคน ที่เข้ามาใช้จ่ายในสยามเซ็นเตอร์ เพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัว โดยทุกวันนี้ยอดใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคน ต่อการเข้ามาใช้บริการหนึ่งครั้ง ซึ่งสะท้อนความสำเร็จของความร่วมมือกันระหว่างร้านค้าปลีก เจ้าของแบรนด์ และสยามพิวรรธน์ ในการสร้างความตื่นเต้นเร้าใจ แปลกใหม่ และเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจให้แก่ผู้มาเยือน” นางชฎาทิพ กล่าว นางชฎาทิพ กล่าวเสริมว่า “ความสำเร็จของสยามเซ็นเตอร์ตอกย้ำความเชื่อของเราที่ว่าการเป็นผู้นำความคิดสร้างสรรค์ที่ล้ำสมัย จะเป็นตัวขับเคลื่อนความสำเร็จของสยามพิวรรธน์ และการเติบโตในอนาคตของเราจะมาจากการนำเสนอแนวคิดแปลกใหม่ที่ล้ำเทรนด์ รวมไปถึงนำเสนอแนวคิดด้าน   ไลฟ์สไตล์และค้าปลีกที่เป็นครั้งแรกในประเทศไทย รวมถึงเป็นครั้งแรกในโลกอีกด้วย” เมื่อเร็วๆ นี้ สยามพิวรรธน์ยังคว้า 2 รางวัลสำคัญของวงการ ได้แก่ รางวัลศูนย์การค้าที่ยอดเยี่ยมของประเทศไทย จากการโหวตของนักท่องเที่ยวชาวจีน ซึ่งเป็นการจัดขึ้นโดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย โดยสยามเซ็นเตอร์ได้รับเลือกเป็นศูนย์การค้าที่ดีที่สุดประจำปี 2558 ในขณะที่สยามพารากอนได้รับการยกย่องให้ติดอันดับอยู่ในท๊อปเท็น 10 อันดับแรกของศูนย์การค้าที่ดีที่สุดในโลก จากการโหวตของนักท่องเที่ยวชาวจีน รางวัลดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อส่งเสริมบริการและแหล่งท่องเที่ยวของประเทศไทยในกลุ่มชาวจีน รวมทั้งสนับสนุนให้กำลังใจผู้ประกอบการที่ให้บริการด้านการท่องเที่ยว เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวชาวจีนได้ดียิ่งขึ้น
The Niche Pride คอนโดฯสุดหรู Pre-Sales 2 วัน ยอดขายทะลัก 800 ลบ. SENA เตรียมปรับราคาขึ้นในเดือน ก.ย.อีก 5% สอดคล้องราคาตลาดในทำเลเพชรบุรี-รัชดาที่พุ่งพรวด 28%

The Niche Pride คอนโดฯสุดหรู Pre-Sales 2 วัน ยอดขายทะลัก 800 ลบ. SENA เตรียมปรับราคาขึ้นในเดือน ก.ย.อีก 5% สอดคล้องราคาตลาดในทำเลเพชรบุรี-รัชดาที่พุ่งพรวด 28%

บมจ. เสนาดีเวลลอปเม้นท์ (SENA) และบริษัท ไนท์แฟรงค์ ชาร์เตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ปลื้มกระแสตอบรับโครงการคอนฯ สุดหรู  "The Niche Pride" ที่ตั้งตระหง่านบนถนนเพชรบุรี ใกล้ถนน "ทองหล่อ-เพชรบุรี-พระราม 9" เปิด Pre-Sale แค่ 2 วัน ยอดขายทะลุเป้ากว่า  800 ล้านบาท เตรียมปรับราคาขึ้นอีก 5% ภายในเดือนกันยายนนี้ สอดคล้องราคาคอนโดฯในทำเลเพชรบุรี-รัชดาที่พุ่งพรวด 28% ในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์  กรรมการบริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (SENA)   เปิดเผยว่า โครงการคอนโดมิเนียมสุดหรู ใจกลางเมือง "เดอะนิช ไพรด์ ทองหล่อ-เพชรบุรี" ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่   3 ไร่เศษ ท่ามกลางบรรยากาศที่มีความสงบและเป็นส่วนตัว โดยมีเพียง 1 อาคาร 33 ชั้น จำนวน 667 ยูนิตเท่านั้น ขนาดห้องเริ่มต้น 1 ห้องนอน  30 ตร.ม. ราคาเริ่มเพียง 2.59 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 2,230 ล้านบาท ซึ่งบริษัทได้เปิด Pre-Sales ในวันเสาร์ที่ 8 และวันอาทิตย์ที่ 9 ส.ค.ที่ผ่านมา ปรากฏว่าได้รับการตอบรับจากลูกค้าอย่างดีเยี่ยมโดยมียอดจองกว่า 800 ล้านบาท หรือคิดเป็น 40% ของจำนวนโครงการ และบริษัทเตรียมปรับราคาขายขึ้นอีก 5% ภายในเดือนกันยายนนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับราคาในตลาด ทั้งนี้ โครงการ "เดอะนิช ไพรด์ ทองหล่อ-เพชรบุรี"  มีจุดเด่นในเรื่องของทำเลที่ตั้ง ตัวอาคารตั้งบนถนนเพชรบุรี เชื่อมทุกความสะดวกสบายในการเดินทาง ใกล้ถนนทองหล่อ ถนนอโศก และถนนพระราม 9 เชื่อมต่อสนามบินสุวรรณภูมิ สิ่งอำนายความสะดวกแบบครบครัน ทั้งร้านสะดวกซื้อ เซเว่น อีเลฟเว่น ภายในโครงการ และรายล้อมด้วยห้างสรรพสินค้า โรงเรียน และโรงพยาบาลชั้นนำ สามารถตอบโจทย์ชีวิตคนเมืองได้อย่างลงตัว ขณะเดียวกันยังมีความโดดเด่นเรื่องของการออกแบบดีไซน์ตัวอาคารที่นำความงดงามจากธรรมชาติมาผสมผสานอย่างลงตัว ภายนอกอาคารออกแบบด้วยลวดลายเปลือกไม้ Cedar Crust เพิ่มมนต์เสน่ห์ให้อารมณ์แห่งการพักผ่อน พร้อมสวนสวยขนาดใหญ่ ตั้งแต่ทางเข้าจนถึงทุกสัมผัสของการใช้ชีวิตภายในโครงการ อีกทั้งยังดีไซน์ทุกตารางนิ้ว เพื่อรองรับการอยู่อาศัยอย่างแท้จริง ด้วยการคำนึงถึงความคล่องตัวในทุกฟังก์ชั่นของการใช้งาน เต็มตากับวิวเมืองด้วย Unblock View ซึ่งทุกห้องสามารถเปิดรับวิวธรรมชาติและวิวเมืองได้หลากหลายอารมณ์ นอกจากนี้ ยังเพิ่มบรรยากาศที่จะทำให้คุณผ่อนคลายด้วยการโอบล้อมของธรรมชาติรอบตัว เพลิดเพลินกับสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการ ทั้งสระว่ายน้ำยาว 35 เมตร พร้อม Jacuzzi และสระเด็ก ห้องฟิตเนส ซาวน่า Exclusive Lounge และสวนสวยสไตล์ Tropical ขนาดใหญ่ เพื่อการพักผ่อนอย่างลงตัว ขณะที่นายพนม กาญจนเทียมเท่า กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไนท์แฟรงค์ ชาร์เตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่าคอนโดฯ บริเวณถนนเพชรบุรี-รัชดา และย่านสุขุมวิท-พระโขนง ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2558 ยังปรับตัวเพิ่มขึ้นทั้งจำนวนอุปทานและราคา โดยคอนโดฯย่านสุขุมวิท-พระโขนง มีราคาเฉลี่ยสูงถึง 226,344 บาทต่อตารางเมตร ในปี 2558 ราคาปรับเพิ่มสูงกว่าปี 2557 ถึง 50% ขณะที่คอนโดฯบริเวณถนนเพชรบุรี-รัชดา มีราคาเฉลี่ยสูงถึง 110,454 บาทต่อตารางเมตรในปี 2558 ราคาปรับเพิ่มสูงกว่าปี 2557 ถึง 28%  ทั้งนี้ บริเวณพื้นที่เพชรบุรี-รัชดา มีจำนวนหน่วยคอนโดฯ ที่เปิดขายโครงการตั้งแต่ปี 2551-ครึ่งปีแรกของปี 2558 รวม 46,363 ยูนิต โดยในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ มีจำนวนคอนโดฯ เปิดขายใหม่ประมาณ 4,593 ยูนิต
AP แตกไลน์บ้านกลางเมือง จับตลาดพรีเมี่ยม ชูจุดต่างเพิ่มพื้นที่และฟังก์ชั่น ประเดิมทำเลแรก “บ้านกลางเมือง พระราม 2”

AP แตกไลน์บ้านกลางเมือง จับตลาดพรีเมี่ยม ชูจุดต่างเพิ่มพื้นที่และฟังก์ชั่น ประเดิมทำเลแรก “บ้านกลางเมือง พระราม 2”

AP ตอกย้ำเจ้าตลาดทาวน์เฮ้าส์ 3 ชั้นในเมือง สบช่องว่างตลาดเดินหน้าขยายพอร์ตสินค้า ประเดิมตลาดครึ่งปีหลังส่งบ้านแนวคิดใหม่ภายใต้โมเดล X-TREND ลงจับตลาดระดับพรีเมี่ยม ชูจุดต่างสร้างมูลค่าเพิ่มที่มากขึ้นทั้งพื้นที่ใช้สอย ฟังก์ชั่นการใช้งานในแพ็คเกจราคาที่คุ้มค่า ลั่นมั่นใจกำลังซื้อด้วยตัวเลขซัพพลาย-ดีมานด์ไม่สอดคล้องกัน ปักธงทำเลแรกกับ บ้านกลางเมือง พระราม 2 หนึ่งเดียวบนทำเลที่ดีที่สุดใจกลางพระราม 2 ราคา 7-9 ล้านบาท เปิดขาย 12-13 กันยายน 2558 นี้ คุณวิทยากร จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สยางานกุลยุทธ์การตลาด บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) เผยว่า ตลาดบ้านระดับพรีเมี่ยมบนโลเคชั่นในเมืองยังขยายตัวต่อเนื่อง โดนเฉพาะดีมานด์บ้านแนวราบที่เป็นสินค้าเรียลดีมานด์ ที่ผ่านมา AP ได้พัฒนาบ้านแนวราบที่หลากหลายครอบคลุมตั้งแต่กลุ่มบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ จับเซกเมนต์ลูกค้าครอบครัวคนเมืองกุล่มแมสจนถึงลักชัวรี่ และถ้ามองถึงส่วนแบ่งตลาดแนวราบของ AP ตลอดที่ผ่านมาจะพบว่า AP มีความโดดเด่นอย่างมากในตลาดทาวน์เฮ้าส์ 3 ชั้นในเมือง โดยครงส่วนแบ่งตลาดมากถึง 43% ดังนั้น AP จึงพร้อมนำความชำนาญในการพัฒนาที่อยู่อาศัย แตกไลน์สินค้าใหม่ภายใต้แบรนด์ บ้านกลางเมือง เพื่อเจาะตลาดครอบครัวในเมืองระดับพรีเมี่ยมที่มองหาที่อยู่อาศัยที่มีระดับ พร้อมพื้นที่ใช้สอยและฟังก์ชั่นการใช้งานที่มากขึ้น แวดล้อมด้วยการเดินทางที่หลากหลาย และในปีนี้ AP พร้อมเปิดตัวโครงการแรก บ้านกลางเมือง พระราม 2 ภายใต้คอนเซ็ปท์บ้านแนวคิดใหม่ X-TREND ขยายความสุขได้ดั่งใจบนพื้นที่ที่เพิ่มขึ้น ด้วยศักยภาพทำเลพระราม 2 ที่สามารถเชื่อมต่อ CBD อย่าง สาทร-สีลม ได้อย่างสะดวก ทำมห้เกิดการแข่งขันที่ดุเดือดในทำเลดังกล่าว แต่จากการสำรวจซัพพลายพบเฉพาะสินค้าทาวน์เฮ้าส์และบ้านเดี่ยวเท่านั้น ในขณะที่ไลฟ์สไตล์ครอบครัวเมืองในปัจจุบันเน้นประโยชน์จากพื้นที่ใช้สอยในบ้าน แต่ไม่ต้องการพื้นที่สวนมากนัก ดังนั้น AP จึงใช้ช่องว่างทางธุรกิจนี้ ต่อยอดพัฒนา บ้านแฝดในเมือง รวมจุดแข็ง "เพิ่มฟังก์ชั่นความเรียบหรูแบบบ้านเดี่ยว" และ "ขยายสเปซเต็มพื้นที่แบบทาวน์เฮ้าส์" ในแพ็คเกจราคาขายที่กลุ่มเป้าหมายมองหา "AP ได้ขยายสเปซในบ้านใหม่ ด้วยการจัดสรรพื้นที่ใช้สอยในบ้านแบบเต็มพื้นที่ ตอนรับผู้มาเยือนด้วยส่วน Living Room ที่ให้ความรู้สึกโปร่งสบาย เชื่อมต่อ Dining Area และส่วนครัวถึงกันได้อย่างลงตัว พร้อมให้ความสำคัญกับการใช้ชีวิตร่วมกันของครอบครัวคนเมืองขนาดใหญ่ (2-3 เจเนอเรชั่น) ด้วยห้องนอนชัเน 1 เตรียมไว้สำหรับผู้สูงอายุ ที่สามารถดัดแปลงเป็นห้องอเนกประสงค์และ Triple Master Bedroom ห้องนอนพร้อม Walk-in-closet (และห้องน้ำในตัวทุกห้อง) ที่ชั้น 2 และ 3 อีกทั้งยังเพิ่ม Multiplied Living Space ที่ชั้น 2 สามารถปรับฟังก์ชั่นพร้อมรองรับทุกกิจกรรมของสมาชิกในครอบครัว" สำหรับโครงการ บ้านกลางเมือง พระราม 2 ภายใต้โมเดล X-TREND เพิ่มคุณค่าทุกตารางนิ้วในบ้าน จะมีพื้นที่ใช้สอย 222 ตารางเมตร หน้ากว้าง 11 เมตร 3 ชั้น 4 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ 1 พื้นที่อเนกประสงค์  (Multiplied Living Space) ที่จอดรถ 3 คัน มูลค่าโครงการ 380 ล้านบาท ให้ความเป็นส่วนตัวด้วยยูนิตที่น้อยเพียง 50 ยูนิต ระดับราคา 7-9 ล้านบาท
เรียลแอสเสทฯ ก้าวกระโดดรุกตลาด “บ้านเดี่ยว” ปั้นแบรนด์ “วิรัณยา” ชูจุดขาย “บ้านที่มีหัวใจ” ประเดิมทำเลแรก วงแหวน-อ่อนนุช มูลค่าโครงการ 1,172 ลบ. ราคาเริ่มต้น 5.59 ลบ.

เรียลแอสเสทฯ ก้าวกระโดดรุกตลาด “บ้านเดี่ยว” ปั้นแบรนด์ “วิรัณยา” ชูจุดขาย “บ้านที่มีหัวใจ” ประเดิมทำเลแรก วงแหวน-อ่อนนุช มูลค่าโครงการ 1,172 ลบ. ราคาเริ่มต้น 5.59 ลบ.

บจ.เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์  ลุยเปิดตัวบ้านเดี่ยวโครงการแรก ภายใต้ชื่อแบรนด์ “วิรัณยา” บนทำเลศักยภาพย่าน วงแหวน-อ่อนนุช  ภายใต้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องราวดีๆที่ถ่ายทอดผ่านสายฝน  ยังมั่นใจในตัวสินค้าและศักยภาพของทำเล  ชูจุดขาย “บ้านที่มีหัวใจ”  ด้วยราคาเริ่มต้นที่ 5.59 ลบ. พร้อมวางเป้ายอดขายไว้มากกว่า   80  ลบ. ภายในสิ้นปีนี้  คาดสิ้นปีนี้ยอดขายรวมทุกโครงการอยู่ที่  1,700 ลบ. เติบโต  60 % จากปีที่แล้ว   นายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ กรรมการผู้จัดการ  บจ.เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ครอบคลุมทั้ง คอนโดมิเนียม  เซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์  ทาวน์โฮม โฮมออฟฟิต และบ้านเดี่ยว เผยเกี่ยวกับการเปิดตัว “วิรัณยา (Viranya)” วงแหวน-อ่อนนุช  บ้านเดี่ยวโครงการแรกจากเรียลแอสเสทฯ ว่า “เรียลแอสเสทฯ ได้ศึกษาวิจัยถึงศักยภาพที่ดินและพบว่าที่ดินทำเลในย่านวงแหวน-อ่อนนุช เป็นย่านที่มีการเติบโตและมีการขยายตัวของเมืองสูง  การคมนาคมสามารถเชื่อมต่อได้หลากหลายเส้นทาง รวมทั้งยังแวดล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เหมาะสำหรับการพัฒนาเป็นที่อยู่อาศัย  ด้วยปัจจัยบวกดังกล่าวทำให้เรามีการพัฒนาโครงการ “บ้านเดี่ยว” และนำแบรนด์ใหม่ “วิรัณยา” ลงในพื้นที่นี้ “วิรัณยา” (Viranya)” วงแหวน-อ่อนนุช นับเป็นโครงการที่ 9 จากเรียลแอสเสทฯ และเป็นผลงานบ้านเดี่ยวแบรนด์แรกของบริษัทฯ  โดยเราให้ความทุ่มเทในทุกๆรายละเอียดของกระบวนการพัฒนาและออกแบบภายใต้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องราวดีๆที่ถ่ายทอดผ่านสายฝน  ซึ่งก่อกำเนิดความเจริญงอกงาม ความสดชื่น และความสุขให้กับผู้อยู่อาศัย  ภายใต้แนวคิด “บ้านที่มีหัวใจ” เน้นการออกแบบที่สอดประสานธรรมชาติกับการอยู่อาศัยและกิจกรรมของทุกๆคนในครอบครัวได้อย่างลงตัว โครงการ “วิรัณยา” มีมูลค่าโครงการ 1,172 ลบ. ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 5.59 ลบ. แนวคิดในการออกแบบเป็นสไตล์ Modern ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพย่านวงแหวน-อ่อนนุช  ถนนเลียบวงแหวนกาญจนาภิเษก มีพื้นที่โครงการทั้งหมดประมาณ 43-1-65 ไร่ จำนวน 169 ยูนิต ประกอบด้วยบ้าน 3 แบบ ได้แก่ แบบ Floretta ขนาดพื้นที่ใช้สอย 141 ตร.ม.3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ แบบ Blooma ขนาดพื้นที่ใช้สอย 154 ตร.ม. 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ และ แบบ Matura ขนาดพื้นที่ใช้สอย 171 ตร.ม. 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ ภายในถูกออกแบบให้ลงตัวแบบ Multi-Purpose รวมทุกกิจกรรมความสุขของทุกคนในครอบครัว พร้อมเพิ่มมุมมองที่กว้างกว่าและเชื่อมต่อสวนหน้าบ้านด้วยกระจกเข้ามุม ตัวบ้านถูกออกแบบให้ดูกว้างเพื่อให้มีพื้นที่สำหรับทำกิจกรรมภายในครอบครัวได้มากขึ้น   สภาพแวดล้อมภายในโครงการมีบรรยากาศที่ร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่ พร้อมระบบความปลอดภัยแบบ Next Generation Security Entrance และกล้อง CCTV ทั่วโครงการ นอกจากนั้นยังมีสโมสร 2 ชั้นขนาดใหญ่ ฟิตเนสและสระว่ายน้ำ สวนภายในโครงการเชื่อมต่อให้เป็น Jogging Track ให้สามารถออกกำลังกายท่ามกลางธรรมชาติ  ในด้านการเดินทางยังสะดวกสบาย เข้าเมืองได้หลายเส้นทาง ทั้งจากวงแหวนพระราม 9 และบางนา ใกล้ทางด่วนวงแหวนฝั่งใต้ ทางด่วนฉลองรัช และทางด่วนบูรพาวิถี และยังใกล้กับสิ่งอำนวยความสะดวกและสาธารณูปโภค อาทิ โรงพยาบาล, สถานศึกษา และห้างสรรพสินค้า IKEA , เซ็นทรัล บางนา, พาราไดซ์ พาร์ค และซีคอน สแควร์ เป็นต้น นายสกุลธร กล่าวเพิ่มเติมถึงผลประกอบการของเรียลแอสเสทฯในปีนี้ ว่า ปัจจุบันเรียลแอสเสทฯมีโครงการทั้งหมด  9 โครงการ ประกอบด้วย โครงการคอนโดมิเนียมเดอะสเตจ  (เตาปูนอินเตอร์เชนจ์) 1 โครงการ  ทาวน์โฮม 4  โครงการ ได้แก่เพล็กซ์ 3 โครงการ (บางนา วัชรพล นวมินทร์) และสตอรี่ส์  (วงแหวน –อ่อนนุช)  1โครงการ โฮมออฟฟิศ  2 โครงการ ได้แก่ เอ็นเตอร์ไพรซ์ ปาร์ค และ เดอะพรีเที่ยม  (บางนา)  เซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ ปารค์ ไนน์ทีน 19 (เอกมัย 19)  1 โครงการ และล่าสุดโครงการบ้านเดี่ยววิรัณยา (วงแหวน-อ่อนนุช) อีก 1 โครงการ   ซึ่งในปีนี้บริษัทฯมียอดขายรวมมากกว่า 1,700  ลบ. โดยได้มาจากคอนโดมิเนียม 600 ลบ. ทาวน์โฮม 720 ลบ. โฮมออฟฟิศ 300 ลบ. และจากบ้านเดี่ยว  80 ลบ.   ด้านยอดโอนรวมทั้งหมด  1,000 ลบ. เติบโตขึ้นจากปีที่แล้ว 30%  สำหรับมุมมองตลาดอสังหาฯในช่วงครึ่งปีหลัง ผมมองว่าจากภาวะเศษฐกิจจะยังมีการชะลอตัว แต่บริษัทฯมีความมั่นใจในศักยภาพของที่ดินที่เรามีอยู่ เรายังสามารถเติบโตได้ตามเป้าที่วางไว้อย่างแน่นอน นอกจากนั้นในครึ่งปีหลังเรายังมุ่งหวังจะมอบความสุขในทุกมิติของการอยู่อาศัยภายใต้สโลแกน  We build real matters  for living  เราสร้างสิ่งสำคัญในการใช้ชีวิต โดยใส่ใจความต้องการที่แท้จริงของมนุษย์ผ่านมิติต่างๆเช่น การสร้างสังคมคุณภาพ  การออกแบบไลฟ์สไตล์ การออกแบบนวัตกรรมใหม่ๆ ความปลอดภัย และการใส่ใจในเรื่องคุณภาพ ซึ่งที่ผ่านมาเราได้จัดเตรียมกิจกรรมเพื่อมอบสิทธิพิเศษให้กับสมาชิกครอบครัว Real Family  ตลอดทั้งปี  เพราะเราเชื่อว่าบ้านไม่ได้เป็นเพียงที่อยู่อาศัย แต่บ้านเป็นศูนย์รวมของความรัก ความอบอุ่นภายของสมาชิกในครอบครัว” โครงการ “วิรัณยา (Viranya)” วงแหวน-อ่อนนุช พร้อมเปิด Exclusive VIP day  ในวันที่ 22-23 สิงหาคมนี้  ด้วยราคาเริ่มต้นที่ 5.59 ลบ. พร้อมข้อเสนอโปรโมชั่นพิเศษสุด  จองในงานรับส่วนลด 50,000 บาท สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 1232 หรือ https://www.realasset.co.th/singlehouse/viranya
เน็กซัส จับมือ คบคิดดอทคอม จัดงาน SMART Living 2015

เน็กซัส จับมือ คบคิดดอทคอม จัดงาน SMART Living 2015

เน็กซัส จับมือกับ คบคิดดอทคอม จัดงาน SMART Living 2015 งานเดียวที่รวมทั้ง คอนโด บ้านพักอาศัย สุดหรู คอนโดตากอากาศ ให้ผู้ที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัยเลือกได้อย่างหลากหลาย และลงตัวมากที่สุด โดยงานจะจัดขึ้นที่บริเวณแฟชั่นฮอลล์ชั้น 1 สยามพารากอน ระหว่างวันที่ 20-23 สิงหาคม 2558 ในงานจะประกอบไปด้วยคอนโด บ้านพักอาศัยสุดหรู และคอนโดตากอากาศจำนวน 18 โครงการ จากบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำถึง 8 บริษัท มูลค่ารวมทั้งสิ้นกว่า 32,000 ล้านบาท โดยแต่ละโครงการนำเอา โปรโมชั่นพิเศษสุดมานำเสนอให้กับผู้ซื้อเพื่องานนี้โดยเฉพาะ ทั้งยังเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้ามากขึ้นโดยมีการจัดบูธคอนโดรีเซลไว้ในงานด้วย การจัดงานในครั้งนี้ จะมีโครงการใหม่ที่นำมาเปิดตัวอย่างเป็นทางการหลายโครงการ เช่น 749 Residence บ้านหรูบนทำเลที่ดีที่สุดบนถนนสุขุมวิท ซอย 49/1 โครงการบารานี พาร์คบ้านเดี่ยวสไตล์       คอร์ทยาร์ด บนถนนร่มเกล้า และ เอสเพน คอนโดมิเนียม คอนโดใหม่ บนถนนลาซาล นางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรมการผู้จัดการบริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด กล่าวถึงการจัดงานในครั้งนี้ว่า “สำหรับงาน SMART Living 2015 นี้มีความแตกต่างจากงานรวมอสังหาริมทรัพย์อื่น คือ มีสินค้าที่หลากหลาย มีทั้งคอนโดและบ้านที่คัดสรรมาแล้วทุกทำเล และเราอยากให้งานนี้เป็นงานที่ผู้ซื้อเข้ามาเลือกสรรคอนโดอย่างคุ้มค่าและชาญฉลาด ตามคอนเซ็ปต์ที่เราได้วางไว้ คือ “SMART” โดยโครงการที่พักอาศัยที่มาร่วมงาน มีราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 1 ล้านต้นๆ จนถึง 70 ล้านบาทเลยทีเดียว ครอบคลุมทั้งกรุงเทพ และต่างจังหวัด และที่ขาดไม่ได้สำหรับงานของ เน็กซัส ก็คือ คอนโดรีเซล ที่มีครบทุกราคา ทุกทำเล มาให้ลูกค้าเลือกอย่างครบครัน” นอกจาก สามโครงการที่นำมาเปิดตัวครั้งแรกที่งานนี้แล้ว ยังมีโครงการที่จะมาร่วมงานกับเราเพิ่มเติม อาทิ โครงการในเครือ SC Asset 5 โครงการ, Issara Collection และ BLU จากกลุ่ม ชาญอิสสระ, Park 24, The Unique Sukhumvit 62, The Reserve & The Editor จากพฤกษา และ โครงการในเครือ ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ การจัดงาน SMART Living 2015 ในครั้งนี้ยังได้รับความร่วมมือจาก ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) ซึ่งจับมือเป็นพันธมิตรเข้าร่วมกับเรา ด้วยการนำสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษหลากหลายรูปแบบเพื่อให้เหมาะสมกับผู้ซื้อมานำเสนอในงานอีกด้วย
ผู้ถือหุ้น SENA รับข่าวดี 3 เด้ง! ปันผลเป็นเงินสด-รับสิทธิ์ซื้อหุ้นเพิ่มทุน-อัพไซด์ราคาหุ้น

ผู้ถือหุ้น SENA รับข่าวดี 3 เด้ง! ปันผลเป็นเงินสด-รับสิทธิ์ซื้อหุ้นเพิ่มทุน-อัพไซด์ราคาหุ้น

ผู้ถือหุ้น SENA รับข่าวดี 3 เด้ง! ปันผลเป็นเงินสด-รับสิทธิ์ซื้อหุ้นเพิ่มทุน-อัพไซด์ราคาหุ้น ครึ่งปีแรกกำไรสุทธิกว่า 111 ลบ.สวนกระแสเศรษฐกิจ เดินหน้าเปิดโครงการใหม่อีก 4-5 โครงการตามแผน   ผู้ถือหุ้น SENA เฮรับข่าวดี 3 เด้ง! บอร์ดไฟเขียวจ่ายปันผลเป็นเงินสดสำหรับงวดผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรกของปี"58 ในอัตรา 0.050604 บาท/หุ้น เด้งที่ 2 รับสิทธิซื้อหุ้นเพิ่มทุน RO เด้งที่ 3 อนาคตหุ้นมีอัพไซด์ราคาค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับราคาในกระดาน พร้อมโชว์ผลงานครึ่งปีแรกของปี"58 กำไรสุทธิ  111 ล้านบาท สวนกระแสเศรษฐกิจ "ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์"ประกาศพร้อมเดินหน้าเปิดโครงการใหม่อีก 4-5 โครงการ ตามแผน มั่นใจการสยายปีกเข้าสู่ธุรกิจพลังงานทดแทน หนุนธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน หนุนผลงานปี"59 เติบโตก้าวกระโดด ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการบริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (SENA) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2558 (สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2558) มีรายได้รวม 976.44 ล้านบาท กำไรสุทธิ 111.33 ล้านบาท และคณะกรรมการของบริษัทมีมติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลเป็นเงินสด สำหรับงวดผลการดำเนินงาน 6 เดือนแรกของปีนี้ ในอัตรา 0.050604  บาท/หุ้น "การประกาศจ่ายปันผลเป็นเงินสดสำหรับงวดผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรกของปีนี้ ถือเป็นการให้โบนัสสำหรับผู้ถือหุ้นที่ให้ความไว้วางใจ เสนาฯด้วยดีเสมอมา และผู้ถือหุ้นยังได้รับสิทธิซื้อหุ้นเพิ่มทุนในส่วนที่ขายให้กับ RO ที่เราเตรียมนำเงินที่ได้ไปรุกธุรกิจพลังงานทดแทนเพื่อต่อยอดธุรกิจอสังหาฯ และเพิ่มแหล่งที่มาของรายได้ที่เป็น Recurring Income เพิ่มมากขึ้น ซึ่งนักวิเคราะห์หลายสำนักประเมินว่า เป็นการขยายโอกาสทางธุรกิจ และทำให้ราคาหุ้นมีอัพไซด์ได้อีกมาก เมื่อเทียบกับราคาในปัจจุบัน"ผศ.ดร.เกษรากล่าว ก่อนหน้านี้ คณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติขายหุ้นเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 262 ล้านหุ้น ขายผู้ถือหุ้นเดิม (RO) ในราคาส่วนลดไม่เกิน 50% ของราคาตลาด โดยมีเป้าหมายเพื่อเข้าลงทุนใน TTRE สัดส่วน 99.9995% รุกคืบเข้าสู่ธุรกิจไฟฟ้าพลังงานทดแทน ผ่านการร่วมทุนกับบริษัท บี.กริมเพาเวอร์ จำกัด ในโครงการโซลาร์ฟาร์มกำลังการผลิต 46.5 เมกกะวัตต์ มูลค่าโครงการ 3,336 ล้านบาทเพื่อกระจายความเสี่ยงและสร้างความมั่นคงให้บริษัทยิ่งขึ้น เนื่องจากเป็นธุรกิจที่เสี่ยงน้อย และสร้างรายได้สม่ำเสมอในระยะยาว ผศ.ดร.เกษรา กล่าวว่า ตั้งแต่ต้นปีสามารถทำยอดขายอสังหาฯได้แล้วกว่า 2.5-2.6  พันล้านบาท ทำให้มั่นใจว่าทั้งปีจะทำได้ 4.5 พันล้านบาท ตามเป้าหมาย โดยในช่วงที่เหลือของปีบริษัทจะเปิดโครงการแนวราบอีก 4-5 โครงการ มูลค่ารวม 3-4 พันล้านบาท หลังจากเปิดโครงการคอนโดมิเนียมเดอะนิช ไพร์ด ทองหล่อ-เพชรบุรี มูลค่า 2.23 พันล้านบาทไปแล้ว ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา"ผศ.ดร.เกษรา   กรรมการบริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ กล่าวอีกว่า ยังคงเป้าหมายรายได้ในปีนี้ไว้ที่ระดับ 3 พันล้านบาท  โดยปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) อยู่กว่า 2 พันล้านบาท ซึ่งทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ 1 พันล้านบาท อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าแนวโน้มเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงในปีนี้ ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้ออสังหาริมทรัพย์ และตัวแปรที่สำคัญอีกประเด็นหนึ่งที่กดดันคือ ปัญหาหนี้ครัวเรือน ซึ่งส่งผลให้ลูกค้าบางรายได้รับการปฏิเสธสินเชื่อจากสถาบันการเงิน แต่ด้วยกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจที่เรียกว่า "ไฟนีออน" เชื่อมั่นว่าจะสามารถปรับตัวได้ทันกับสถานการณ์ ขณะที่บทวิเคราะห์ บริษัท เอเอสแอล จำกัด ระบุว่า แนวโน้มธุรกิจของ SENA คาดว่าจะเติบโตอย่างโดดเด่นในปี  2559 ทั้งจากธุรกิจอสังหาฯเดิม และพลังงานทดแทน โดยแนะนำให้ "ซื้อ" ด้วยมูลค่าที่เหมาะสมในปี 2559 ที่ 4.80 บาท/หุ้น ด้วยวิธี PER  อิง P/E ที่ 9 เท่า คิดเป็นอัพไซด์สูงถึง 40.4% และคาดการณ์อัตราเงินปันผลปี 2515-2516 ที่ 3.2% และ 4.3% ตามลำดับ  บริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮาส์ จำกัด (มหาชน) แนะนำ "ซื้อ" SENA ราคาเป้าหมายที่ 4.94 บาท/หุ้น เพื่อให้สอดคล้องกับธุรกิจโซล่าร์ที่จะเข้ามาในปีหน้า และ Backlog คอนโดฯที่มีมาก รวมถึงการขายโครงการเดิมที่น่าจะสดใสขึ้น ทำให้เราคาดว่า SENA จะเป็นหนึ่งในบริษัทที่กำไรโตโดดเด่นมากในปีหน้าถึง +50% YoY                  บริษัทหลักทรัพย์เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) ระบุว่า การก้าวสู่ธุรกิจโซลาร์ฟาร์ม และโซลาร์รูฟ เพื่อเพิ่มความมั่นคงให้กับรายได้และกำไรจะเห็นผลเต็มปีในปี 2559 และหนุนให้กำไรในปี 2559 กลับมาเติบโตสูง 38% yoy โดยราคายังมี upside 35% เทียบกับ FV ปี 2559 ที่ 4.80 บาท จึงแนะนำให้ "ซื้อ"
“ออริจิ้น” โชว์ยอดพรีเซลครึ่งปีแรกกว่า 2,600 ล้านบาท เร่งต่อจิ๊กซอว์ โครงการ “ ไนท์บริดจ์ ”

“ออริจิ้น” โชว์ยอดพรีเซลครึ่งปีแรกกว่า 2,600 ล้านบาท เร่งต่อจิ๊กซอว์ โครงการ “ ไนท์บริดจ์ ”

บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้  หรือ ORI  เร่งวางกลยุทธ์การตลาดกระตุ้นยอดขาย โชว์ตัวเลขยอดพรีเซลครึ่งปีแรกทะลุ 2,600 ล้านบาท  ก่อนตบเท้าเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในไตรมาส 3/2558 นี้ พร้อมต่อจิ๊กซอว์ โครงการไนท์บริดจ์ กำหนดยุทธ์ศาสตร์ปักหมุด ผุดโครงการใหม่ ตามแนวรถไฟฟ้า หลังพบ “ไนท์บริดจ์ สกายซิตี้ สะพานใหม่ ” ประสบความสำเร็จเกินคาดเพียงเดือนเศษ ยอดขายทะลุ 86% ด้าน ผู้บริหาร “ พีระพงศ์ จรูญเอก ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เตรียมดันโปรเจกต์ยักษ์ “ ไนท์บริดจ์ ดิ โอเชียน ศรีราชา ” ทำตลาด High End ภายในไตรมาส3 นี้ พร้อมสบช่องทางสร้างอาณาจักรคอนโดฯ ย่านเกษตร ในเร็วๆ นี้ นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้ประกอบการธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ประเภทคอนโดมิเนียมตามแนวสถานีขนส่งมวลชนระบบรางในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เปิดเผยว่า  บริษัทฯมียอดพรีเซลคอนโดมิเนียมในช่วงครึ่งปีแรก (ม.ค 58- มิ.ย 58) ที่ระดับ 2,600 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งมียอดพรีเซลอยู่ที่ 863 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตของยอดพรีเซลถึง 201% สาเหตุหลักที่บริษัทฯ มียอดพรีเซลที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากแผนกลยุทธ์การขยายโครงการใหม่ของบริษัทฯตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันรวม 5 โครงการ ประกอบด้วยโครงการ Pause สุขุมวิท 103, โครงการ Pause สุขุมวิท 107, โครงการ Pause สุขุมวิท 115, โครงการ  Pause ID สุขุมวิท 107 และ โครงการไนท์บริจด์ สกาย ซิตี้ สะพานใหม่ โดยคิดเป็นมูลค่าโครงการรวมทั้งหมด  3,175 ล้านบาท  ประกอบกับการเลือกทำเลในแต่ละแห่งที่บริษัทฯมุ่งเน้นยุทธศาสตร์ตามทำเลที่ตั้งแนวรถไฟฟ้า ทำให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ ซึ่งถือเป็นการตอบโจทย์ ตามคอนเซ็ปต์กลยุทธ์ บลูโอเชี่ยน ได้ตรงตามความต้องการของบริษัทฯ เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคได้มากที่สุด “ การเลือกยุทธ์ศาสตร์กำหนดทำเลที่ตั้ง เป็นหัวใจหลักของการดำเนินธุรกิจที่อยู่อาศัย ซึ่งORI เล็งเห็นถึงความสำคัญในจุดนี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคให้ตรงจุด นอกจากนี้บริษัทฯ ยังเน้นรูปแบบการดีไซด์ที่ทันสมัยให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ ลูกค้ากลุ่มคนรุ่นใหม่ ขณะเดียวกัน ORI  ยังมีจุดแข็งทีเหนือคู่แข่ง นั่นคือการ การพัฒนาคอนโดมิเนียม แบบ Low Rise  ที่สามารถทำยอดขาย และ ปิดโครงการได้รวดเร็ว ซึ่งจากจุดเด่นดังกล่าว สะท้อนออกมาให้เห็นถึงยอดขาย และ ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ที่มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยกลยุทธ์การมองตลาดตามคอนเซ็ปต์บลูโอเชี่ยน คือ ทำเลศักยภาพใหม่ ที่มีคู่แข่งน้อยราย เช่น ส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสุขุมวิท – สมุทรปราการ ส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าพหลโยธิน – สะพานใหม่ หรือตลาดในนิคมอุตสาหกรรมที่มีกำลังซื้อสูง เช่น ศรีราชา และการที่บริษัทฯ มีช่องทางการทำการตลาดต่างประเทศ ประกอบกับโอกาสการเข้าสู่ AEC ที่บริษัทฯ เน้นเพิ่มกลุ่มลูกค้าชาวญี่ปุ่น จีน และสิงคโปร์ โดยบริษัทฯ มีทีมเซลล์อินเตอร์ที่มีศักยภาพสูงและมีพันธมิตรทางการค้าในต่างประเทศที่ช่วยส่งเสริมการขับเคลื่อนของบริษัทฯ ” นายพีระพงศ์ กล่าว โครงการ “ ไนท์บริดจ์ สกายซิตี้ สะพานใหม่ ” เป็นอีกหนึ่งโครงการที่สามารถตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคย่านสะพานใหม่ ได้เป็นอย่างดี โดยจะเห็นได้จากยอดการจองซื้อโครงการล่าสุดที่สูงถึง 86% หลังจากที่เปิดการขายอย่างเป็นทางการเพียงเดือนเศษ ทั้งนี้เป็นเพราะความต้องการที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมย่านดังกล่าว ยังคงมีดีมานความต้องการอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง ORI ก็ถือเป็นบริษัทฯอสังหาริมทรัพย์แห่งแรก ที่เข้าไปเจาะตลาด และเปิดการขายคอนโดฯเป็นรายแรกในย่านสะพานใหม่ ประกอบกับ จุดเด่นของโครงการนี้คืออยู่ ติดกับสถานีรถไฟฟ้าสายหยุด (สายสีเขียว) โดยบริษัทฯคาดว่าจะปิดการขายได้ภายในเร็วๆนี้ และคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จไตรมาส 3/2560 นายพีระพงศ์  กล่าวเพิ่มเติมว่า จากคอนเซ็ปต์ การทำคอนโดมิเนียมแบบบลูโอเชี่ยน ทำให้บริษัทฯ เห็นถึงความต้องการที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียนที่มีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้บริษัทฯ มีแผนที่จะเปิดตัวโครงการ “ ไนท์บริดจ์ ดิ โอเชียน ศรีราชา ” ในช่วงปลายไตรมาส 3/2558 นี้ โดยโครงการดังกล่าว บริษัทฯ จะเน้นรูปแบบการดีไซต์ และฟังก์ชันที่เป็นไลฟ์สไตล์ของคนญี่ปุ่น มาประยุกต์ใช้ เพื่อเจาะตลาดกลุ่มลูกค้าประเทศดังกล่าว ทั้งนี้ บริษัทฯ เชื่อว่าหากเปิดขายโครงการ “ ไนท์บริดจ์ ดิ โอเชียน ศรีราชา ” จะได้การตอบรับที่ดีจากคนญี่ปุ่นอย่างแน่นอน โดยบริษัทฯ กำหนดเปิดการขายไว้ช่วงปลายไตรมาส 3 นี้ และคาดว่าจะมียอดจองซื้อเข้ามากว่า 70% ของมูลค่าโครงการ 2,500 ล้านบาท “ จากการเดินทางไปโรดโชว์โครงการคอนโดมิเนียมของบริษัทฯ ณ ประเทศญี่ปุ่น ตลอดระยะเวลา 3-4 ปีที่ผ่านมา พบว่ากลุ่มลูกค้าชาวญี่ปุ่นให้ความสนใจ  และต้องการที่พักอาศัยประเภทคอนโดมิเนียมในประเทศไทยในสัดส่วนที่เพิ่มสูงขึ้น โดยจะเห็นได้จากสัดส่วนลูกค้าของบริษัทฯ ที่ปัจจุบันลูกค้าชาวญี่ปุ่นมีสัดส่วนถึง  87 % เมื่อเทียบกับสัดส่วนลูกค้าต่างชาติทั้งหมดของบริษัทฯ ซึ่งจากสัดส่วนดังกล่าว ทำให้บริษัทฯ ผุดโครงการ “ ไนท์บริดจ์ ดิ โอเชียน ศรีราชา ” เพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าชาวญี่ปุ่น ”        นายพีระพงศ์ กล่าว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI) ยังได้กล่าวอีกว่า ในเร็วๆนี้ บริษัทฯ มีแผนที่จะขยายโครงการคอนโดมิเนียม ภายใต้ โครงการ “ ไนท์บริดจ์ ” เพื่อตอกย้ำความสำเร็จ บนย่านเกษตร – สะพานใหม่ ซึ่งบริษัทฯ เล็งเห็นว่าย่านดังกล่าวเป็นแหล่งทำเลทอง และ เป็นแหล่งชุมชนที่อยู่อาศัย ที่ยังคงมีดีมานความต้องการ คอนโดมิเนียมอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้หากบริษัทฯ ดำเนินการเปิดโครงการดังกล่าวได้ตามแผนยุทธ์ศาสตร์ที่วางไว้ ก็จะทำให้ORI สามารถสร้างอาณาจักรคอนโดมิเนียมย่านเกษตร – สะพานใหม่ ได้อีกแห่ง หลังจากที่ประสบความสำเร็จในการสร้างอาณาจักรคอนโดมิเนียมย่านบางนามาแล้ว อย่างไรก็ตามด้วยความสำเร็จจากตัวเลขอัตราการเติบโต ส่งผลให้บริษัทฯ เตรียมเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ ด้วยทุนจดทะเบียนจำนวน  301 ล้านบาท  โดยจะขายหุ้นสามัญให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก จำนวน 180  ล้านหุ้น  มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท และเตรียมเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในหมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ภายในไตรมาส 3 นี้ “ภายในระยะเวลาการดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ด้านคอนโดมิเนียมกว่า 5 ปี บริษัทฯ มีโครงการที่พัฒนาทั้งหมด 22 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 13,600 ล้านบาท ทั้งนี้ยังมีแผนผุดโครงการในอนาคตเพิ่มอีก 5 โครงการ มูลค่ารวมทุกโครงการประมาณ 17,000 ล้านบาท โดยบริษัทฯ มีอัตราการเติบโตของผลการดำเนินงานที่โตต่อเนื่องอย่างก้าวกระโดด ซึ่งระยะเวลาที่ผ่านมาบริษัทฯได้พิสูจน์ให้เห็นถึงศักยภาพในการบริหารงานอย่างมืออาชีพ มีความแข็งแกร่ง และพร้อมพาบริษัทฯ เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ ”
ควอลิตี้เฮ้าส์ เผยที่อยู่อาศัยโซนศรีราชายังเติบโต เชื่อดีมานด์กลุ่มลูกค้าพื้นที่ยังดีต่อเนื่อง หลังเปิดขาย “คาซ่า คอนโด ศรีราชา” เฟสแรกกวาดยอดไปแล้ว 50%

ควอลิตี้เฮ้าส์ เผยที่อยู่อาศัยโซนศรีราชายังเติบโต เชื่อดีมานด์กลุ่มลูกค้าพื้นที่ยังดีต่อเนื่อง หลังเปิดขาย “คาซ่า คอนโด ศรีราชา” เฟสแรกกวาดยอดไปแล้ว 50%

ควอลิตี้เฮ้าส์ เผยแนวโน้มตลาดที่อยู่อาศัย ในพื้นที่โซนศรีราชายังเติบโต ทั้งจากกลุ่มลูกค้าในพื้นที่ ที่ซื้ออยู่อาศัยจริง และกลุ่มที่ซื้อลงทุนปล่อยเช่า รวมทั้งกลุ่มชาวต่างชาติโดยเฉพาะชาวญี่ปุ่นที่เข้ามาทำงานในนิคมอุตสาหกรรม พิสูจน์จากยอดขายโครงการล่าสุด “คาซ่า คอนโด ศรีราชา” คอนโดมิเนียมใหม่สไตล์ ZEN ที่เปิดขายเฟสแรก 2 ตึก เพียงแค่ 2 เดือนกวาดยอดขายไปแล้ว 50% เตรียมกระตุ้นยอดขายต่อเนื่อง ในเดือนสิงหาคมส่งโปรโมชั่นพิเศษ จอง + สัญญา ฟรีดาวน์ ห้องแต่งครบเริ่ม 2.89 ลบ.* นายไพโรจน์ วัฒนวโรดม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา จังหวัดชลบุรีมีการขยายตัวของกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นอย่างมาก นับได้ว่าเป็นจังหวัดที่มีจำนวนนิคมอุตสาหกรรมสูงเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ เนื่องจากจังหวัดชลบุรีเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพด้านการลงทุนและการขนส่ง ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากท่าเรือน้ำลึก อีกทั้งยังมีการสนับสนุนจากนโยบายของภาครัฐในด้านคมนาคม ซึ่งจากข้อมูลพบว่าธุรกิจอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ที่ลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่นี้ คือ ธุรกิจอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้ประกอบการชาวญี่ปุ่น อีกทั้งยังมีชาวญี่ปุ่นที่เข้ามาทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมอีกจำนวนมาก ส่งผลให้ตลาดที่อยู่อาศัยชาวญี่ปุ่นในจังหวัด โดยเฉพาะพื้นที่ศรีราชาเติบโตต่อเนื่องตามอัตราการเพิ่มขึ้นของพื้นที่อุตสาหกรรมและคนทำงาน จากผลการสำรวจพบว่าในปัจจุบันมีชาวญี่ปุ่นอาศัยและทำงานในบริเวณพื้นที่ศรีราชาประมาณกว่า 15,000 คน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านๆมาราว 10-15% ทำให้ในบริเวณนี้มีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับการอยู่อาศัยครบครันสำหรับชาวญี่ปุ่นครบครัน ไม่ว่าจะเป็น ร้านอาหารญี่ปุ่น, ซูเปอร์มาร์เก็ต, ร้านเช่าหนังสือภาษาญี่ปุ่น ,รายการโทรทัศน์ที่ชาวญี่ปุ่นสามารถดูได้, แหล่งบันเทิงต่างๆ รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐาน อาทิ ธนาคาร, โรงพยาบาล, โรงเรียน เป็นต้น บริษัทฯ เล็งเห็นถึงโอกาสในส่วนนี้จึงได้ลงทุนและพัฒนาโครงการคาซ่า คอนโด ศรีราชา ขึ้น โดยตั้งเป้าสัดส่วนกลุ่มลูกค้าชาวไทย 60% และชาวต่างชาติโดยเน้นกลุ่มลูกค้าชาวญี่ปุ่น 40% สำหรับโครงการคาซ่า คอนโด ศรีราชา เป็นคอนโดมิเนียมหรูสไตล์ญี่ปุ่นใจกลางเมืองศรีราชา ออกแบบภายใต้แนวคิด Urban reflection of Japanese heritage แรงบันดาลใจของชีวิตเมืองที่สะท้อนเสน่ห์ความหรูหราแต่เรียบง่ายแบบญี่ปุ่นไว้อย่างลงตัว คาซ่า คอนโด ศรีราชา ตั้งอยู่บนพื้นที่ขนาด 5-3-3 ไร่ เป็นคอนโดมิเนียม Low Rise สูง 8 ชั้น จำนวน 3 อาคาร 140 ยูนิต มูลค่าโครงการ 470 ล้านบาท มีห้องชุดให้เลือก 2 แบบ คือ ห้องชุดแบบ 1 ห้องนอน และห้องชุดแบบ 2 ห้องนอน พร้อมอ่างจากุชชี่ในตัว พื้นที่ใช้สอยขนาด 45-70 ตารางเมตร ขึ้นอยู่กับแบบและตำแหน่งของห้องชุด แต่ละห้องออกแบบและตกแต่งพร้อมเข้าอยู่อาศัย ราคาเริ่มต้น 2.89 ล้านบาท ในด้านสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการ ได้มีการจัดเตรียมไว้ให้อย่างครบครัน อาทิ คลับเฮ้าส์พร้อมสระว่ายน้ำขนาดใหญ่, สวนส่วนกลางสไตล์ Zen Garden ให้กลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่น, สโมสรออกกำลังกาย พร้อมห้องอาบน้ำแบบออนเซ็น มั่นใจได้ในระบบรักษาความปลอดภัย ด้วยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย พร้อมกล้อง CCTV ตลอด 24 ชั่วโมง ผู้อยู่อาศัยสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกสบาย ด้วยทำเลที่ตั้งที่ใกล้แหล่งอำนวยความสะดวกรอบโครงการ อาทิ J-Park, Home Pro, โรบินสัน, สวนเสือศรีราชา, โรงเรียนอัสสัมชัญ ศรีราชา, โรงเรียนภาษาและวัฒนธรรมญี่ปุ่น วาเซดะ, โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีราชา, โรงพยาบาลพญาไท ศรีราชา เป็นต้น ความโดดเด่นของคาซ่า คอนโด ศรีราชา ที่แตกต่างจากคู่แข่งขันในตลาดจะเป็นเรื่องของ product ที่มีความโดดเด่น เนื่องจากคอนโดมีจำนวนยูนิตเพียง 140 ยูนิต แบ่งเป็น 3 อาคาร อาคาร A มี 49 ยูนิต อาคาร B มี 49 ยูนิต และอาคาร C มี 42 ยูนิต แต่ละชั้นจะมีเพียงแค่ 7 ยูนิต เท่านั้น ทำให้คาซ่า คอนโด ศรีราชา มีความเป็นส่วนตัวมากกว่าโครงการอื่นๆ ห้องชุดแต่ละห้องยังเป็น single corridor ที่นอกจะให้ความเป็นส่วนตัวแล้ว ในด้านการออกแบบนี้ทางโครงการได้คำนึงถึงทิศทางของแสงและลม ห้องทุกห้องจะมีการถ่ายเทอากาศที่ดี ให้ผู้อยู่อาศัยรู้สึกโล่งโปร่งสบายอีกทั้งยังสามารถประหยัดพลังงานได้อีกด้วย นอกจากนี้ ยังมีการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้กับโครงการ อาทิ ประตูระบบคีย์การ์ด, ห้องน้ำ สุขภัณฑ์ระบบอัตโนมัติ เป็นต้น และอีก 1 จุดเด่นในด้านของ product คือเรื่องของที่จอดรถที่ทางโครงการได้จัดเตรียมไว้ให้ถึง 60% ของจำนวนห้อง ให้ผู้อยู่อาศัยใช้ชีวิตได้สะดวกสบายยิ่งขึ้น นายไพโรจน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ซึ่งหลังเปิดตัวโครงการมาได้ประมาณเกือบ 2 เดือน “คาซ่า คอนโด ศรีราชา” เฟสแรกสามารถกวาดยอดขายไปแล้วกว่า50% ถือว่าได้รับการตอบรับจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเป็นอย่างดี โดยหลังจากนี้จะเดินหน้ากระตุ้นยอดขายต่อเนื่อง พร้อมจัดโปรโมชั่นพิเศษในเดือนสิงหาคมนี้ สำหรับผู้ที่สนใจ จองพร้อมทำสัญญา ฟรีเงินดาวน์ ห้องออกแบบตกแต่งครบ ในราคาเริ่มต้นที่ 2.89 ลบ.* เพื่อให้ได้ยอดขายตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 200 ล้านบาท ภายในสิ้นปี สอบถามรายละเอียดโครงการเพิ่มเติม โทร 1388 หรือ www.qh.co.th  
CITI CONDO EXPO by BC ปิดฉากสวย จากดีมานด์คอนโดเมืองพุ่ง ขึ้นแท่นโบรกเกอร์มือหนึ่งตลาดอสังหาฯ ชูจุดแข็ง ดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง เต็มรูปแบบ

CITI CONDO EXPO by BC ปิดฉากสวย จากดีมานด์คอนโดเมืองพุ่ง ขึ้นแท่นโบรกเกอร์มือหนึ่งตลาดอสังหาฯ ชูจุดแข็ง ดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง เต็มรูปแบบ

BANGKOK CITISMART ปลื้ม! เดินหน้ารุกตลาดโบรกเกอร์อย่างต่อเนื่อง หลังประสบความสำเร็จจากการจัดงาน CITI CONDO EXPO by BC มหกรรมคอนโดเมืองครั้งยิ่งใหญ่ มีลูกค้าให้การตอบรับอย่างดีสร้างยอดขายได้กว่า 500 ล้านบาทโดยเฉพาะโครงการสุดคุ้มค่าที่หาไม่ได้อีกแล้ว อย่าง RHYTHM สาทร21 (The Slow Collection) คอนโดมิเนียมวิวแม่น้ำ สวยที่สุดในสาทรของเอพี หรือโครงการที่เป็นเพิ่ง Sold Out อย่างRHYTHM รางน้ำ คอนโดมิเนียมบนพื้นดินแห่งสุดท้ายของรางน้ำ รวมไปถึงโครงการที่เป็นไฮไลท์ในโซนซูเปอร์พรีเมี่ยม อย่าง โครงการนิมิต หลังสวน (NimitLungsuan) และโซน 3ล้าน อย่าง Aspire สุขุมวิท48 ก็มีลูกค้าสนใจเป็นจำนวนมากเช่นกัน ทั้งนี้ คาดว่าเป็นผลจากความต้องการคอนโดมิเนียมในเมืองในตลาดที่ยังมีสูงนั้นเอง พร้อมชูจุดแข็ง ทำการตลาดแบบ ดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง สร้างความแตกต่างและเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้า ภาพรวมตลาดอสังหาฯ ยังไปได้ผลจากการตอบรับของลูกค้ายังแรง ขยล ตันติชาติวัฒน์ ผู้อำนวยการ บริษัท กรุงเทพ ซิตี้สมาร์ท จำกัด (Mr.Kayon Tantichatiwat, General Manager, BANGKOK CITISMART Co., Ltd.) เปิดเผยว่า ผลจากการตอบรับของลูกค้าสะท้อนภาพตลาดอสังหาฯรวมยังไปได้ดี  จากปัจจัยไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ต้องการอยู่คอนโดเมืองมากขึ้น โดยเฉพาะแนวรถไฟฟ้า     ซึ่งกว่า 85% ของคอนโดพร้อมอยู่เป็นเรียลดีมานด์ที่ต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงอีกทั้งรูปแบบของการจัดงานลักษณะเช่นนี้สะท้อนว่า คนชั้นกลางยังมีกำลังซื้อแต่แค่รอจังหวะช่วงโปรโมชั่นเท่านั้น รุกดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง เต็มรูปแบบ "เบอร์หนึ่ง" ตลาดโบรกเกอร์ อสังหาฯ BANGKOK CITISMARTให้บริการจัดหาอสังหาริมทรัพย์ เพื่อซื้อ-ขาย-เช่าในรูปแบบที่ต้องการ  โดยมุ่งเน้นผ่านทางการทำดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งโดยใช้กลยุทธ์และยุทธวิธีการตลาดออนไลน์แบบ 360/Integratedเพื่อให้ลูกค้ามั่นใจได้ว่าการฝากขายไม่สูญเปล่าและตรงกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด เป็นการเพิ่มช่องทางและโอกาสให้กับลูกค้าได้เพิ่มมากขึ้นโดยปัจจุบัน ลูกค้าสามารถเข้าถึงเว็บไซต์ได้สะดวกทุกที่ทุกเวลา เพราะมีระบบรองรับทุกแพลตฟอร์มมีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษเพื่อรองรับลูกค้าทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ อีกทั้ง มีระบบค้นหาข้อมูลที่ง่าย สามารถหาอสังหาริมทรัพย์ใน Stock ที่มีกว่า 8,000 รายการได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ พิเศษ ขยายโปรโมชั่น ลดทุกยูนิต ต่อติดชีวิตเมืองถึงสิ้นเดือนนี้ ทั้งนี้ เนื่องจากลูกค้าให้ความสนใจโครงการภายในงาน CITI CONDO EXPO by BC ที่ผ่านมาอย่างล้นหลาม และมีบางคนจองไม่ทันภายในวันงานบริษัทฯ จึงขยายโปรโมชั่น ลดทุกยูนิต ต่อติดชีวิตเมืองเพื่อให้ลูกค้าได้รับสิทธิพิเศษ ในราคาพิเศษเหมือนในวันงานได้จนถึง 31 ส.ค. นี้สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร 02.661.8999 หรือทางเว็บไซต์ www.bkkcitismart.com