การจัดโปรโมชั่นลด แลก แจก แถม ของตลาดบ้านและคอนโดมิเนียม ในช่วงเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แน่นอนว่า ทำให้ผู้ประกอบการต้องชะลอการเปิดตัวโครงการใหม่ โดยเฉพาะโครงการคอนโด และเลือกจะหันมาระบายสต็อกในมือแทน เพื่อสร้างยอดขายและกระแสเงินสด มากกว่าจะทุ่มงบลงไปสร้างโครงการใหม่
ผลจากการเน้นระบายสต็อก และการชะลอการเปิดตัวโครงการใหม่ ทำให้จำนวนคอนโดใหม่คงลดจำนวนอย่างมากมายในปีนี้ แต่ว่าจะลดลงเท่าไรนั้น ทาง บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด ได้จัดทำรายงานตลาดคอนโดมิเนียมในกรุงเทพมหานคร ณ ไตรมาสที่ 2 ปี 2563
ตลาดคอนโดใหม่ในกรุงเทพมฯ ไตรมาส 2 ที่ผ่านมา มีจำนวนเปิดขายใหม่ทั้งสิ้น 4,022 ยูนิต จำนวนยูนิตเปิดขายใหม่ลดลงใน 73.2% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ที่มีจำนวนเปิดขายใหม่ 14,988 ยูนิต และหากเปรียบเทียบกับไตรมาสแรกของปีนี้ มีจำนวนลดลง 35.6% จากจำนวนเปิดเปิดขายใหม่จำนวน 6,246 ยูนิต
สำหรับคอนโดใหม่ที่เปิดขายในไตรมาสที่ 2 ส่วนใหญ่เป็นคอนโดเกรดซี มีระดับราคาขายต่ำกว่าตารางเมตรละ 80,000 บาท ซึ่งมีสัดส่วน 71% รองลงมา เป็นคอนโด เกรดบี ที่มีระดับราคาขายตารางเมตรละ 80,000 – 100,000 บาท คิดเป็นสัดส่วน 29% ซึ่งคอนโดระดับราคาขายสูงกว่าตารางเมตรละ 100,000 บาทไม่มีเปิดขายเลย
ด้านทำเลที่ตั้ง พบว่าคอนโดใหม่ที่เปิดขาย ส่วนใหญ่ตั้งอยู่บริเวณชานเมืองกรุงเทพฯ คิดเป็นสัดส่วน 75% รองลงมา เป็นคอนโดที่ตั้งอยู่บริเวณรอบเขตศูนย์กลางธุรกิจ (City Fringe) คิดเป็น 25% ส่วนทำเลศูนย์กลางธุรกิจ (CBD) ไม่พบคอนโดใหม่เปิดขาย
ช่วงไตรมาสที่ 2 ปีนี้ เป็นช่วงที่ตลาดคอนโดใหม่เปิดขายในกรุงเทพฯ ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงมากกว่าไตรมาสแรก จากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้กำลังซื้อลดลงอย่างชัดเจน ในโครงการคอนโดที่เปิดขายใหม่ในไตรมาสที่ 2 โดยมียูนิตขายได้ใหม่เพียง 581 ยูนิต จากจำนวนที่เปิดขายใหม่ทั้งสิ้น 4,022 ยูนิต ซึ่งเป็นอัตราการขายที่ต่ำที่สุดในรอบ 10 ปี
สำหรับราคาขายของคอนโดใหม่ในกรุงเทพฯ ช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ ปรับตัวลดลงในทุกพื้นที่ จากไตรมาสแรกที่ผ่านมา และปีที่ผ่านมา
นางสาวริษิณี สาริกบุตร ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและที่ปรึกษา บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับแนวโน้มตลาดคอนโดในกรุงเทพฯ ว่า ทิศทางตลาดคอนโดยังมีความท้าทายอยู่มาก ถึงแม้ว่าปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 จะมีแนวโน้มดีขึ้น และผู้ประกอบการเริ่มหันมาเปิดขายโครงการใหม่ ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นมา คาดว่าในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ของปีนี้ ผู้ประกอบการจะเริ่มกลับมาเปิดขายโครงการใหม่
โดยประเมินว่า ในช่วงครึ่งปีหลังน่าจะมีจำนวนยูนิตใหม่ออกมาประมาณ 15,000 – 20,000 ยูนิต ซึ่งทำให้ภาพรวมจำนวนยูนิตเปิดขายใหม่ของทั้งปีนี้มีประมาณ 25,000 – 30,000 ยูนิต โดยยูนิตเปิดขายใหม่จะมีระดับราคาขายประมาณ 1.5 – 3 ล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความต้องการมากที่สุด หรือระดับราคาขาย 60,000 – 80,000 บาทต่อตารางเมตร และกลุ่มผู้ซื้อคือ ผู้ที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง (Real Demand) เป็นหลัก และอาจมีนักลงทุนบ้าง