เปิด 17 ทำเล บ้านใหม่ปี 66 ของ แลนด์แอนด์เฮ้าส์ ด้วยราคาเฉลี่ย 8.8 ล้าน พร้อม 5 ไฮไลท์แผนธุรกิจ ปี 66 สู่เป้าหมายรายได้ 33,000
แลนด์แอนด์เฮ้าส์ บริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของไทย ที่ทำธุรกิจมานานเกือบ 50 ปี ซึ่งแต่ละปีก็จะมีการออกมาแถลงแผนธุรกิจ และวิสัยทัศน์ โดยในปี 2566 ทีมผู้บริหารซึ่งประกอบด้วยนายนพร สุนทรจิตต์เจริญ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) นายวัชริน กสิณฤกษ์ กรรมการผู้จัดการสายงานปฏิบัติการ โครงการบ้านจัดสรร นายโชคชัย วลิตวรางค์กูร กรรมการผู้จัดการสายงานปฏิบัติการ โครงการอาคารชุด และนายวิทย์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการสายงานสนับสนุน โดยมีรายละเอียดและไฮไลท์ของการดำเนินงานในปี 2566 ดังนี้
บริษัทวางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 17 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 34,960 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบกับการเปิดโครงการใหม่ในปี 2565 แบ่งเป็นโครงการในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 13 โครงการ และต่างจังหวัด 4 โครงการ เป็นโครงการแนวราบ 16 โครงการ มูลค่า 28,460 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 1 โครงการ มูลค่า 6,500 ล้านบาท
เมื่อแยกตามประเภทสินค้าจะประกอบด้วย โครงการบ้านเดี่ยว 15 โครงการ ได้แก่ บ้านแฝด 1 โครงการ ทาวน์เฮ้าส์ 1 โครงการ และคอนโด 1 โครงการ ซึ่งบางโครงการมีสินค้ามากกว่า 1 ประเภท สำหรับแผนเปิดคอนโด 1 โครงการ มีมูลค่า 6,500 ล้านบาท คือโครงการ The Key ศรีนครินทร์ เตรียมเปิดขายในไตรมาสที่ 3 นับตั้งแต่เปิดโครงการล่าสุดในปี 2563 ที่ผ่านมา
สำหรับปี 2566 คาดว่าตลาดคอนโดจะฟื้นตัวต่อเนื่องจากปี 2565 โดยจะเป็นการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนทั้งจากเศรษฐกิจภายในประเทศที่ปรับตัวดีขึ้น ซึ่งจะช่วยเสริมสร้าง demand ในประเทศให้แข็งแกร่ง รวมถึง demand จากกลุ่มลูกค้าต่างชาติที่น่าจะทยอยกลับมาตามการเปิดประเทศ และการเดินทางที่เริ่มเข้าสู่สภาวะปกติ
สำหรับ 17 โครงการใหม่ ของแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีทำเลและไทม์ไลน์การเปิดตัวโครงการ ตามรายละเอียดต่าง ๆ ดังนี้
โครงการเปิดตัวในไตรมาส 2
จำนวนโครงการที่ดำเนินการในปี 2566 มีทั้งหมดประมาณ 87 โครงการ เป็นมูลค่า 91,320 ล้านบาท โดยเป็นสินค้าแนวราบ 78 โครงการ มูลค่า 76,450 ล้านบาท และคอนโด 9 โครงการ มูลค่า 14,870 ล้านบาท ราคาเฉลี่ยต่อยูนิตขายในปี 2566 เท่ากับ 8.8 ล้านบาท เท่ากับราคาเฉลี่ยในปี 2565
ในปี 2566 บริษัทได้เตรียมงบลงทุนไว้ทั้งหมดประมาณ 9,000 ล้านบาท ประกอบด้วย งบสำหรับการซื้อที่ดินเพื่อการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย 6,000 ล้านบาท และงบลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่อการให้เช่า 3,000 ล้านบาท
ปัจจุบัน บริษัท LHMH มีโครงการที่ดำเนินการแล้วและอยู่ระหว่างพัฒนาทั้งหมด 11 โครงการ ด้านบริษัท LH USA มีโครงการที่ดำเนินการอยู่ทั้งหมด 4 โครงการ แลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีแผนขายโรงแรมในประเทศไทยเข้ากอง REIT และมีแผนออกหุ้นกู้อีกจำนวน 14,000 ล้านบาท และคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนจะยังคงอยู่ในระดับที่ไม่เกิน 100%
ในปี 2566 แลนด์แอนด์เฮ้าส์ ตั้งเป้าหมายแผนการดำเนินงาน โดยมีเป้าหมายยอดขาย (Booking) 35,000 ล้านบาท และเป้าหมายรับรู้รายได้จากยอดโอนกรรมสิทธิ์ 33,000 ล้านบาท ส่วนรายได้จากอสังหาฯ เพื่อเช่า ตั้งเป้าหมายไว้ที่ 7,150 ล้านบาท
ขณะเดียวกันในปีที่ผ่านมา แลนด์แอนด์เฮ้าส์ ได้มีบทสรุปแผนการดำเนินงาน และภาพรวมของตลาดอสังหาฯ ตามรายละเอียดต่าง ๆ ดังนี้
1.ในปี 2565 ตลาดอสังหาฯ ประเภทบ้านเดี่ยว ซึ่งเป็นสินค้าหลักของบริษัทยังคงมีความแข็งแรงต่อเนื่อง หากพิจารณาตัวเลขจำนวนยูนิตบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดที่สร้างโดยผู้ประกอบการ และจดทะเบียนในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ในช่วงเดือน ม.ค. – ต.ค. 2565 จะเห็นว่าเติบโตประมาณ 10% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2564
ในขณะที่ จำนวนยูนิตที่เปิดขายใหม่ของสินค้าประเภทบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดในช่วงเดือน ม.ค. – พ.ย. 2565 มีจำนวน 22,855 ยูนิต ซึ่งเติบโตเกือบเท่าตัวจากช่วงเดียวกันของปี 2564 เนื่องจากฐานที่ต่ำ
2.ในปี 2565 บริษัทเปิดโครงการใหม่ 15 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 32,460 ล้านบาท โดยเป็นสินค้าแนวราบทั้งหมด เทียบกับแผนเดิมที่ตั้งไว้ 15 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 29,520 ล้านบาท
3.ปี 2565 บริษัทได้ใช้เงินลงทุนซื้อที่ดินเพื่อการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อขาย ประมาณ 4,400 ล้านบาท ซึ่งสัดส่วนยอดขายแบ่งตามประเภทสินค้า ในปี 2565 ของบริษัทฯ มีดังนี้
4.ในปี 2565 สินค้าประเภทบ้านแนวราบ ซึ่งได้แก่ บ้านเดี่ยว บ้านแฝดและทาวน์เฮ้าส์ ยังคงเป็นสินค้าหลักที่สร้างยอดขายให้กับบริษัทโดยสัดส่วนการขายของบ้านแนวราบและคอนโด คือ 92%:8%
เมื่อจำแนกตามพื้นที่ กรุงเทพฯ และปริมณฑลยังคงเป็นพื้นที่หลักในการก่อให้เกิดยอดขาย โดยสัดส่วนยอดขายของโครงการในกรุงเทพฯ และปริมณฑลเปรียบเทียบกับยอดขายของโครงการในต่างจังหวัด คือ 90%:10% สัดส่วนระดับราคาของบ้านที่สูงกว่า 10 ล้านบาทขึ้นไป มีสัดส่วนประมาณ 54% ของยอดขาย
5.ณ ต้นปี 2565 บริษัทมีจำนวนโครงการที่เปิดดำเนินการทั้งสิ้น 74 โครงการ เป็นโครงการในกรุงเทพฯ และปริมณฑล 44 โครงการ ต่างจังหวัด 30 โครงการ โครงการที่เปิดใหม่ 15 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 32,460 ล้านบาท รวมโครงการที่ดำเนินการในระหว่างปี 2565 มีจำนวนทั้งหมด 89 โครงการ มีโครงการปิดระหว่างปี 19 โครงการ
ดังนั้น ณ สิ้นปี 2565 มีโครงการที่ยกไปดำเนินการต่อในปี 2566 เป็นจำนวน 70 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 56,300 ล้านบาท ณ ต้นปี 2566 บริษัทมีจำนวนโครงการที่ดำเนินการทั้งสิ้น 70 โครงการ เป็นโครงการแนวราบ 62 โครงการ มูลค่า 47,983 ล้านบาท และคอนโด 8 โครงการ มูลค่า 8,375 ล้านบาท
6.ในช่วงปี 2562 – 2564 ตลาดคอนโดหดตัวลงอย่างต่อเนื่องทั้งในด้านดีมานด์ หรือจำนวนยูนิตที่ขายได้ และซัพพลาย หรือจำนวนยูนิตที่เปิดขายใหม่ อันเป็นผลมาจากมาตรการ LTV ที่บังคับใช้ในช่วงเมษายน 2562 ประกอบกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด -19 ที่ส่งผลกระทบต่อสภาพเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม การชะลอการเปิดตัวโครงการคอนโดของผู้ประกอบการในช่วงเวลาดังกล่าวถือว่าเป็นผลดีต่อตลาดโดยรวม เนื่องจากเป็นการช่วยระบายสินค้าคงเหลือที่ค้างอยู่ในตลาด โดยจำนวนยูนิตคงเหลือของคอนโดลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 12 ปี ในปี 2563 และลดลงต่อเนื่องในปี 2564
ในปี 2565 เมื่อสถานกาณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลายลง รวมถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเริ่มฟื้นตัว ทิศทางของตลาดคอนโดก็ปรับตัวดีขึ้นตามลำดับ โดยสะท้อนจากจำนวนยูนิตที่ขายได้ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2565 ที่เพิ่มขึ้นถึง 137% เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของปี 2564 (ที่มา: AREA) และจำนวนยูนิตจดทะเบียนในช่วงเดือน ม.ค. – ต.ค. 2565 อยู่ที่ 32,909 ยูนิต เติบโตประมาณ 16% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2564 (ที่มา: REIC)
นอกจากนี้ ผู้ประกอบการก็มีความเชื่อมั่นในการเปิดโครงการใหม่ โดยจำนวนยูนิตที่เปิดขายใหม่ในช่วงเดือน ม.ค. – พ.ย. 2565 มีทั้งหมด 52,000 ยูนิต เติบโต 128% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564
แม้ว่าสภาพเศรษฐกิจจะปรับตัวดีขึ้นจากปี 2564 แต่ตลาดคอนโดมิเนียมก็ยังมีความเปราะบาง และยังไม่กลับสู่สภาวะปกติอย่างแท้จริง บริษัทจึงยังคงระมัดระวังการเปิดโครงการประเภทคอนโดมิเนียม
ปี 2565 บริษัทไม่ได้เปิดโครงการคอนโดโครงการใหม่ เนื่องจากสภาพตลาดและบริษัทต้องการดำเนินการระบายสินค้าที่มีอยู่ในมือ อย่างไรก็ตาม ยอดขายคอนโดของบริษัทในปี 2565 เติบโตกว่าเท่าตัวเมื่อเทียบกับปี 2564 เนื่องจากฐานที่ต่ำ ( ปี 2565 = 2,240 ล้านบาท)
7.ในปี 2565 บริษัทออกหุ้นกู้ มูลค่ารวม 13,700 ล้านบาท อายุ 2-3 ปี โดยมีอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 2.61% ต่อปี ณ สิ้นปี 2565 คาดว่าหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิ อยู่ที่ประมาณ 51,000 ล้านบาท โดยมี อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน 6% และต้นทุนทางการเงินเฉลี่ย 2.24%
8.สำหรับภาพรวมอสังหาฯ เพื่อเช่าปี 2565 เป็นปีที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด -19 ปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลัง ประกอบกับการกลับมาของนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ ปัจจัยดังกล่าวส่งผลดีโดยตรงกับธุรกิจอสังหาฯ เพื่อเช่าของบริษัททั้งในส่วนโรงแรม อะพาร์ตเมนต์ และห้างสรรพสินค้าทั้งในประเทศไทย และสหรัฐอเมริกา
9.บริษัทดำเนินธุรกิจอสังหาฯ ให้เช่าในประเทศไทยและประเทศสหรัฐอเมริกา โดยธุรกิจในประเทศไทย ดำเนินงานภายใต้ชื่อบริษัท แอลเอชมอลล์แอนด์โฮเทล (LHMH) และธุรกิจในประเทศสหรัฐอเมริกา ดำเนินงานภายใต้ชื่อบริษัท แอลเอชยูเอสเอ (LHUSA) โดยประกอบด้วยโครงการห้างสรรพสินค้า โรงแรม อะพาร์ตเมนต์และพื้นที่สำนักงานให้เช่า
รายละเอียดของโครงการทั้งหมดที่แสดงเป็นรายได้ค่าเช่าในงบกำไรขาดทุน ปรากฎดังนี้
โครงการในสหรัฐอเมริกาที่เปิดดำเนินการแล้ว
10.ในปี 2565 บริษัทลงทุนในธุรกิจอสังหาฯ เพื่อการให้เช่าผ่านบริษัท LHMH และ LH USA จำนวน 3,700 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.พัฒนาศูนย์การค้า Terminal 21 Rama 3 จำนวน 350 ล้านบาท และ 2.พัฒนาธุรกิจโรงแรมและอะพาร์ตเมนต์ จำนวน 3,350 ล้านบาท
11.ปี 2565 บริษัท LHMH ได้เปิดดำเนินโครงการใหม่ 2 โครงการ ได้แก่ โรงแรม Grande Centre Point Space Pattayaและศูนย์การค้า Terminal 21 Rama 3 ในไตรมาสที่ 3 และ4 ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังไม่ได้ขายอะพาร์ตเมนต์ในสหรัฐอเมริกาตามแผนที่ตั้งไว้ เนื่องจากสถานการณ์เงินเฟ้อที่สูงขึ้นอย่างมาก ทำให้ FED ดำเนินนโยบายขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรุนแรง จึงส่งผลให้อัตราผลตอบแทนคาดหวังเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก และส่งผลกระทบต่อมายังราคาขาย
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
–แลนด์แอนด์เฮ้าส์ เดินหน้าลงทุน 11,000 ล.พร้อมระดมทุนผ่านหุ้นกู้ 12,000 ล.