Siri

แสนสิริ เดินหน้าโปรเจ็กต์ “กรุงเทพกรีฑา คอมมูนิตี้” เปิดอีก 3 โครงการ 9,300 ล้าน

กรุงเทพกรีฑา คอมมูนิตี้

4 เหตุผล แสนสิริ เดินหน้าพัฒนาโปรเจ็กต์คอนเซ็ปต์ “คอมมูนิตี้” ยึดโซนตะวันออก ปั้น “กรุงเทพกรีฑา คอมมูนิตี้” มูลค่า 30,000 ล้าน ปีนี้เปิดอีก 3 โปรเจ็กต์ 9,300 ล้าน ต่อยอดควาสำเร็จจาก T77 หนุนเป้าหมายรายได้ 24,000 ล้าน

 

ดูเหมือนว่าการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ในรูปแบบของ “คอมมูนิตี้” ด้วยคอนเซ็ปต์การสร้างชุมชนที่พักอาศัย ซึ่งมีหลายโครงการ หลายระดับราคา พัฒนาอยู่ในพื้นที่เดียวกัน จะเป็นรูปแบบที่น่าสนใจสำหรับดีเวลลอปเปอร์ เพราะสามารถสร้างความได้เปรียบในการดำเนินธุรกิจ และยังทำผลกำไรได้สูงกว่าการพัฒนาในลักษณะโครงการเดี่ยว ๆ

 

แต่การจะพัฒนาโครงการในลักษณะดังกล่าวได้ ผู้ประกอบการจะต้องมีความสามารถในการจัดหาที่ดิน ซึ่งไม่ใช่แค่ปริมาณที่ดินซึ่งมีจำนวนมากเท่านั้น แต่ต้องอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพ สำหรับการพัฒนาที่อยู่อาศัยด้วย  คงต้องมีแบรนด์โครงการหลายระดับราคา และหลายกลุ่มเป้าหมาย  ที่สำคัญต้องสามารถพัฒนาคอนเซ็ปต์ ให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า รวมถึงสร้างโครงการให้มีความน่าสนใจด้วย

 

ปัจจุบันมีผู้ประกอบการหลายรายที่พัฒนาโครงการในคอนเซ็ปต์ “คอมมูนิตี้”  หรือการมีหลายโครงการย่อยในโครงการใหญ่ ในลักษณะของการมิกซ์โครงการหลากหลายรูปแบบ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) โดยล่าสุด พัฒนาโครงการ กรุงเทพกรีฑา คอมมูนิตี้ บนเนื้อที่ 500 ไร่

 

นายอุทัย  อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฎิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า กรุงเทพฯ กำลังเติบโตสู่เมืองขยาย เกิดเป็น “คอมมูนิตี้ ในเมืองใหญ่” คล้ายการเติบโตเมืองใหญ่ทั่วโลก เช่น ย่านการเติบโตต่าง ๆ ของประเทศญี่ปุ่น อาทิ ย่านอาซาคูซะ ย่านชิบูย่า ย่านกินซ่า ย่านชินจูกุ การจับกลุ่มของเมืองย่อยหรือ Cluster จะเกาะกลุ่มด้วยโลเคชั่นใกล้สถานีรถไฟฟ้าต่อขยายออกไปเรื่อย ๆ สิ่งอำนวยความสะดวกจะไม่รวมอยู่ในศูนย์กลางกรุงเทพชั้นใน แต่จะกระจายออกไปยังพื้นที่อยู่อาศัยโดยรอบกรุงเทพฯประกอบกับโครงข่ายการคมนาคมที่ทำให้การเดินทางเข้าสู่เมืองง่ายมากขึ้น

 

โดยโครงการในคอนเซ็ปต์คอมมูนิตี้ ที่ประสบความสำเร็จและพัฒนามาก่อนหน้านี้ คือ ​โครงการ T77 คอมมูนิตี้ บนเนื้อที่กว่า 50 ไร่ ในซอยสุขุมวิท 77 ซึ่งภายในโครงการประกอบด้วยโครงการคอนโดมิเนียม จำนวน 6 โครงการ ได้แก่ Blocs Sukhumvit 77, THE BASE Sukhumvit 77, THE BASE Park West, THE BASE Park East, hasu HAUS และ mori HAUS มีอีก 1 โครงการทาวน์เฮ้าส์ ได้แก่ Garden Square โดยคาดว่ามีจำนวนผู้พักอาศัยรวมกว่า 10,000 ครอบครัว

 

นอกจากที่พักอาศัยที่ “แสนสิริ” พัฒนาขึ้นแล้ว ในโครงการ T77 ยังมี Park Court Grand Apartment  ​อพาร์ทเมนท์ระดับพรีเมียมจากมั่นคงเคหะการ  และศูนย์การค้า Habito (ฮาบิโตะ) ไลฟ์สไตล์คอมมูนิตี้มอลล์แห่งแรกจากแสนสิริ โรงเรียนนานาชาติอย่าง Bangkok International Preparatory and Secondary School (บางกอกเพรพ)

Khun Arnut Sansiri

4 เหตุผลปั้นโปรเจ็กต์ “คอมมูนิตี้”

สำหรับข้อดีของการพัฒนาโครงการในรูปแบบคอมมูนิตี้ ที่แตกต่างจากการพัฒนาโครงการเดี่ยว ๆ ว่า สิ่งสำคัญคงจะเป็น 4 เหตุผลนี้ คือ

1.ต้นทุนที่ดินคุ้มค่า-มีมูลค่าเพิ่มในอนาคต

การพัฒนาโครงการในลักษณะนี้ แสนสิริ วางคอนเซ็ปต์ของการจัดซื้อที่ดินต้องมีขนาดเริ่มต้น 300 ไร่ แล้วจะทยอยซื้อเพิ่มในพื้นที่รอบข้าง เพื่อให้ได้มีแปลงที่ดินขนาดใหญ่ เพื่อการพัฒนาโครงการหลายโครงการได้ ซึ่งเมื่อการซื้อที่ดินขนาดใหญ่ จะมีโอกาสได้ราคาที่ถูกกว่าซื้อแปลงเล็ก ขณะเดียวกันที่ดินเมื่อซื้อมาแล้วยังไม่ได้พัฒนา จะได้มูลค่าเพิ่มขึ้นตามราคาของที่ดินที่ปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี ทำให้ต้นทุนเฉลี่ยของที่ดินในการพัฒนาโครงการถูกกว่าโครงการเดี่ยว ๆ

 

นายอาณัติ  กิตติกุลเมธี รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาโครงการแนวราบ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ราคาที่ดินของโครงการกรุงเทพกีฑา คอมมูนิตี้ ซึ่งซื้อมาเมื่อ 5-6 ปีก่อน ปัจจุบันปรับเพิ่มขึ้นแล้วกว่าเท่าตัว ขณะที่ราคาที่ดินในโซนกรุงเทพกรีฑาพุ่งขึ้นถึง 150% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา และราคาที่ดินช่วงต้นถนนกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ (ศรีนครินทร์-ร่มเกล้า) ล่าสุดอยู่ที่ตารางวาละ 140,000 บาท  ​

2.การวางผัง-ออกแบบโครงการได้สวยงาม

จุดขายสำคัญของโครงการบ้านแนวราบ นอกจากตัวบ้านที่จะต้องสวยงามและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าแล้ว สิ่งหนึ่งที่ถูกใช้เป็นเกณฑ์ในการตัดสินใจซื้อบ้าน คือ พื้นที่ส่วนกลางของโครงการ และระบบสาธารณูปโภคภายในโครงการ การที่เป็นโครงการขนาดใหญ่ ทำให้สามารถวางผังโครงการได้สวยงาม และมีการวางระบบสาธารณูปโภคภายในได้ดีกว่า เพราะเป็นการแชร์ต้นทุนการพัฒนาพื้นที่ส่วนกลางของแต่ละโครงการย่อย

Sansiri Krungthepkreetha Final.026

3.ต้นทุนต่ำกว่ากำไรมากกว่า

จากการที่แต่ละโครงการได้มีการแชร์ระบบสาธารณูปโภค เช่น ถนน ที่ใช้ร่วมกัน ทำให้ต้นทุนการพัฒนาถูกกว่าโครงการที่พัฒนาเดี่ยว ๆ ตามหลักการของ Economy of scale นั่นเอง เพราะแค่อำนาจการต่อรองเรื่องการซื้อที่ดิน หรือการจัดซื้อวัสดุต่าง ๆ เพื่อนำมาใช้ในโครงการขนาดใหญ่แบบนี้ ก็ย่อมจะได้ราคาสิ่งของต่าง ๆ คุ้มค่ากว่า หรือแม้แต่ประโยชน์จากราคาที่ดินที่ซื้อมาในอดีต แล้วพัฒนาขายในปัจจุบัน จากราคาตลาดที่เพิ่มขึ้น ก็ทำให้โครงการได้เปรียบ  แน่นอนย่อมส่งผลทำให้กำไรของโครงกาขนาดใหญ่สูงกว่า อย่างน้อย ๆ อัตรากำไรขั้นต้นจะมากกว่า ไม่ต่ำกว่า 2%

4.อัตราการขายดีกว่า

การมีหลายโครงการรวมอยู่ในโครงการเดียวกัน แม้ว่าจะใช้ทีมเซลล์ขายคนละทีม แต่การเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างกัน เป็นกลยุทธ์ที่ช่วยส่งเสริมให้การขายดีขึ้น เพราะหากลูกค้าเข้ามาดูโครงการแล้วมีความต้องการที่ไม่ตรงโจทย์กับโครงการนั้น เซลล์สามารถส่งต่อลูกค้าไปให้โครงการอื่น ๆ ในเครือได้ รวมถึง โครงการสามารถนำเสนอบ้านในระดับราคาตามศักยภาพในการซื้อของลูกค้าได้  เพราะมีสินค้าหลายระดับราคา ซึ่งโครงการกรุงเทพกรีฑา คอมมูนิตี้ มีบ้านขายตั้งแต่ราคา 12-95 ล้านบาท ​

โครงการกรุงเทพกรีฑา คอมมูนิตี้ มีอัตราการขายเฉลี่ยเดือนละ 8 ยูนิต ซึ่งถือว่าสูงมาก มีราคาขายเฉลี่ย 14-35 ล้านบาท แต่ละโปรเจ็กต์น่าจะรับรู้รายได้ปีละ 1,000 ล้านบาท ​

Sansiri Krungthepkreetha Final.023

 กรุงเทพกรีฑา คอมมูนิตี้ มีบ้านอะไรบ้าง 

สำหรับ โครงการ กรุงเทพกรีฑา คอมมูนิตี้” (Krungthep Kreetha Community) บนเนื้อที่ประมาณ 500 ไร่ โดยเปิดโครงการไปแล้ว 2โครงการ ได้แก่ ​ โครงการบ้านเดี่ยว เศรษฐสิริ กรุงเทพกรีฑา และเศรษฐสิริ กรุงเทพกรีฑา 2 บนพื้นที่รวม 155 ไร่ มูลค่าโครงการรวม 7,500 ล้านบาท ซึ่งทั้ง 2 โครงการปิดการขายเรียบร้อยแล้ว   ส่วนในปีนี้จะเปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยวระดับบนในปีนี้อีก 3 โครงการ มูลค่ารวม 9,300 ล้านบาท  ได้แก่

-นาราสิริ กรุงเทพกรีฑา พื้นที่โครงการ 57 ไร่ มูลค่าโครงการ 4,000 ล้านบาท จำนวน 86 ยูนิต วางแผนเปิดตัวในเดือนตุลาคมนี้

 

-บุราสิริ กรุงเทพกรีฑา พื้นที่ 85 ไร่ มูลค่าโครงการ 4,000 ล้านบาท จำวน 276 ยูนิต ภายใต้ความร่วมมือกับบริษัท โตคิว คอร์ปอเรชั่น จำกัด ประเทศญี่ปุ่น ที่ให้ความสนใจพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยร่วมกันในทำเลนี้ ซึ่งจะเปิดตัวในช่วงเดือนกรกฎาคมนี้

 

-โครง​การ “บูก้าน กรุงเทพกรีฑา” พื้นที่ 19 ไร่ มูลค่าโครงการ 1,300 ล้านบาท โครงการบ้านเดี่ยวขนาด 3 ชั้น พร้อมลิฟท์และสระน้ำส่วนตัว จำนวน 48 ยูนิต เป็นการต่อยอดความสำเร็จจากโครงการแรก ที่ได้รับการตอบรับดี กับโครงการบูก้าน โยธินพัฒนา

 

ภายในโครงการยังมีพื้นที่สำหรับการพัฒนาโครงการในอนาคตอีก ประมาณ  180 ไร่ สำกรับการพัฒนาโครงการใหม่ได้อีก 3-4 โปรเจ็กต์ ซึ่ง “แสนสิริ” วางแผนพัฒนาระหว่างปี 2566-2568 ซึ่งภายในโครงการทั้งหมด คาดว่าจะมีโครงการบ้านรวม 8-9  โครงการ  มูลค่ารวม 30,000 ล้านบาท

Sansiri Krungthepkreetha Final.016

สำหรับปีนี้ แสนสิริ วางเป้าหมายรับรู้รายได้และยอดขาย จากโครงการแนวราบ 24,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาทำรายได้ 22,400 ล้านบาท  ซึ่งในช่วง 5 เดือนแรกที่ผ่านมา ​ แสนสิริ มียอดขายจากโครงการแนวราบแล้วไปแล้ว 8,600 ล้านบาท หรือคิดเป็นเกือบ 40% จากเป้ายอดขายในปีนี้  ส่วน 3 โครงการใหม่ที่จะเปิดตัวในโครงการกรุงเทพกรีฑา คอมมูนิตี้ คาดว่าจะรับรู้รายได้ 500 ล้านบาท

 

ในปีหน้า แสนสิริ ยังวางแผนพัฒนาโครงการในคอนเซ็ปต์ คอมมูนิตี้ ต่อ โดยจะอยู่ในย่านบางบัวทอง ใกล้ห้างเซ็นทรัลเวสต์เกต ซึ่งมีที่ดินรองรับแล้วประมาณ 200 ไร่ และยังจะมีการซื้อที่ดินเพิ่มเติมมาพัฒนาด้วย ซึ่งต้องดูว่าจะมีรูปแบบอย่างไร และมีแบรนด์โครงการอะไรบ้าง

 

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

แสนสิริ ปั้นทาวน์โฮม เมืองท่องเที่ยวในฝัน เปิดสิริ เพลส 6 โครงการ 4,200 ล้าน​

[PR News] แสนสิริจับมือ​ขายหัวเราะ ส่ง​แคมเปญ “บ้านนี้ ฮะ ฮะ ฮ่า” กวาดยอดขาย 8,200 ล้าน

บทความ ข่าวโปรโมชั่น ล่าสุด