Tag : condo

1512 ผลลัพธ์
คาดตลาดอสังหาฯ ปี 65 โต 15-20%  ได้ผลบวกเศรษฐกิจ-เปิดประเทศ-คลายล็อก LTV

คาดตลาดอสังหาฯ ปี 65 โต 15-20% ได้ผลบวกเศรษฐกิจ-เปิดประเทศ-คลายล็อก LTV

LPN Wisdom มองตลาดอสังหาฯ 65 โต 15-20% ได้จากปัจจัยบวกเศรษฐกิจฟื้นตัว 3.5-4% แรงหนุนการเปิดประเทศ แบงก์ชาติผ่อนคลาย LTV แต่ยังห่วงหนี้ครัวเรือนพุ่ง ความไม่แน่นอนของโควิด-19 ทุบตลาด ขณะที่บทสรุปปี 64 เปิดตัวใหม่ลดเหลือ  53,000-55,000 ยูนิต​   หลังจากตลาดอสังหาริมทรัพย์ ต้องเผชิญกับปัจจัยลบที่เข้ามาทำให้ตลาดชะลอตัวอย่างหนัก คือ การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ตลอดระยะเวลากว่า 2 ปีที่ผ่านมา แต่แนวโน้มปี 2565 ดูเหมือนว่าตลาดอสังหาฯ กำลังจะได้รับข่าวดี มีแนวโน้มเติบโตเป็นบวกเสียที จากปัจจัยบวกสำคัญ คือ การเติบโตของภาวะเศรษฐกิจไทย จากการการคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ที่คาดว่าจะเติบโตประมาณ 3.5-4% ส่งผลให้ตลาดอสังหาฯ มีแนวโน้มเติบโต 15-20%   นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยบวก​จากการที่รัฐบาลมีมาตรการเปิดประเทศ ให้มีการเดินทางท่องเที่ยวได้เพิ่มขึ้น รวมถึงมาตรการผ่อนคลายหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่ออื่นที่เกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Loan-to-Value: LTV) เป็นการชั่วคราว โดยกำหนดให้เพดานอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (LTV ratio) เป็น100% สำหรับที่อยู่อาศัยทุกประเภท ซึ่งมีผลจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565 อีกด้วย LPN Wisdom มองตลาดโต 15-20% นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลุมพินี วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด (LPN Wisdom หรือ LWS) บริษัทวิจัยและที่ปรึกษาในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือบริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) ประเมินว่า ​ ในปี 2565 ตลาดอสังหาฯ จะมีการเปิดตัวโครงการใหม่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ประมาณ 78,000-90,000 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 305,000-318,000 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้นประมาณ 15-20% เมื่อเทียบกับปี 2564 เนื่องจากผู้ประกอบการเริ่มมีความมั่นใจ ทำให้ทยอยเปิดตัวโครงการที่ถูกเลื่อนการเปิดตัวในปี 2564 มาเปิดตัวในปี 2565 รวมถึงแผนเปิดตัวโครงการใหม่ที่เพิ่มขึ้นในปี 2565   โดยในปี 2565 ที่อยู่อาศัยประเภท บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ ยังคงเป็นกลุ่มสินค้า ที่จะมีการเปิดตัวมาก​ ซึ่งจะเพิ่มขึ้นประมาณ 40-50% เมื่อเทียบกับปี 2564 เพื่อตอบรับกับความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการทำงานจากที่บ้าน (Work from Home)  ซึ่งประเมินว่าจำนวนเปิดตัวบ้านพักอาศัยจะอยู่ที่ ประมาณ 46,800-54,000 ยูนิตคิดเป็นมูลค่าประมาณ 183,000-190,800 ล้านบาท   ในขณะที่การเปิดตัวคอนโดมิเนียมในปี 2565 มีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้น 10-15%จากปี 2564 เช่นกัน เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาผู้ประกอบการอสังหาฯ ชะลอแผนการเปิดตัวคอนโด  และเร่งขายคอนโดที่คงค้างอยู่จำนวนมากออกมา  ทำให้ช่วงไตรมาส 3 ปี 2564 มีจำนวนคอนโดเหลือขายในตลาดลดลง ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีจำนวน 83,914 ยูนิต ลดลง 7.6% จาก ณ สิ้นปี 2563 ที่มียูนิตเหลือขายในตลาดอยู่ที่ 90,841 ยูนิต บ้าน3-5 ล้าน ดีมานด์สูงต่อเนื่อง ในด้านกำลังซื้อและความต้องการที่อยู่อาศัยในปี 2565 นายประพันธ์ศักดิ์ ให้ความเห็นว่า ที่อยู่อาศัยทั้งแนวราบและคอนโดระดับราคา 3-5 ล้านบาท ยังเป็นที่ต้องการของตลาด โดยเฉพาะในทำเลที่อยู่ใกล้กับแนวรถไฟฟ้าทั้งสายใหม่และสายเก่า โดยทำเลที่ได้รับการตอบรับที่จากตลาดได้แก่ ทำเลที่ติดกับส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีเขียว สีแดง และสายสีเหลือง เช่น ย่านรังสิต-นวนคร, ศรีนครินทร์-สุวรรณภูมิ, อ่อนนุช-บางนา, ดอนเมือง-พหลโยธิน เป็นต้นในขณะที่ราคาที่อยู่อาศัยในปี 2565 มีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้น ตามราคาที่ดินที่ขยับเพิ่มขึ้น ตามการพัฒนาของระบบขนส่งในระบบราง ที่เชื่อมต่อพื้นที่ระหว่างกรุงเทพฯ ชั้นในกับกรุงเทพฯ ชั้นนอก รวมไปถึงราคาวัสดุก่อสร้างที่เพิ่มขึ้น โดยคาดว่าราคาที่อยู่อาศัยจะมีการปรับตัวขึ้นมาประมาณ 5-10% ขึ้นอยู่กับทำเล  อย่างไรก็ตาม ผู้ซื้อยังคงสามารถต่อรองได้ขึ้นอยู่กับสภาพการแข่งขันของผู้ประกอบการในแต่ละทำเล   นอกจากนี้  ตลาดอสังหาฯ ในปี 2565 ยังประเมินว่ามีปัจจัยเสี่ยง ที่อาจส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะภาระหนี้ครัวเรือนที่สูง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อและความมั่นใจของผู้ซื้อที่อยู่อาศัย  ความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของสถาบันการเงิน และแนวโน้มการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธ์ “โอมิครอน” ถ้าเกิดการแพร่ระบาดอย่างรุนแรงอีกรอบ อาจส่งผลประทบต่อตลาดอสังหาฯ ในปี 2565 ได้เช่นกัน บทสรุปตลาดปี 2564 หดตัว 20% สำหรับปี 2564 คาดว่าการเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัย ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล จะมีประมาณ  53,000-55,000 ยูนิต​ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 265,000-300,000 ล้านบาท เป็นโครงการแนวราบทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ และบ้านแฝด ประมาณ 33,000-35,000 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 166,000-188,000 ล้านบาท ลดลงจากปี 2563 ประมาณ 10%-20% และเป็นการเปิดตัวโครงการคอนโดประมาณ 20,000-22,000 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 99,000-112,000 ล้านบาท ลดลง 16%-23% จากปี 2564   โดยตัวเลขการเปิดตัวโครงการใหม่ในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ในเดือน มกราคม-พฤศจิกายน 2564 มีจำนวน 52,171 ยูนิต ลดลง 23% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563 เป็นการเปิดตัวโครงการคอนโด 20,295 ยูนิต มีอัตราการขายเฉลี่ยอยู่ที่ 23% และการเปิดตัวโครงการแนวราบ 31,876 ยูนิต อัตราการขายเฉลี่ยอยู่ที่ 13% โดยในเดือนพฤศจิกายน 2564 มีการเปิดตัวโครงการใหม่สูงสุดของปี 2564 โดยมีการเปิดตัวโครงการใหม่ในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล 11,648ยูนิต มูลค่า 52,185 ล้านบาท   (คิดเป็นสัดส่วน 22.32% ของจำนวนหน่วยเปิดตัวทั้งหมดในเดือนมกราคม-พฤศจิกายน 2564)   ด้านความต้องการที่อยู่อาศัยในปี 2564 ที่อยู่อาศัยในแนวราบยังเป็นกลุ่มที่ทำยอดขายสูง โดยเฉพาะ ทาวน์เฮาส์ ในระดับราคาขายต่อหน่วย 2-5 ล้านบาท และบ้านเดี่ยว ราคาขายมากกว่า 10 ล้านบาทขึ้นไป โดยมียอดขายเปิดตัวเฉลี่ยอยู่ที่ 14% และ 22% ตามลำดับ ขณะที่คอนโดเปิดขายใหม่ระดับราคาขายต่ำกว่า 3 ล้านบาทต่อยูนิตได้รับการตอบรับที่ดีจากตลาดโดยมียอดขายเปิดตัวเฉลี่ยอยู่ที่ 27% ปี 2564 เป็นปีที่ภาคอสังหาฯ ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว มาตรการผ่อนคลายต่าง ๆ จากภาครัฐ เป็นปัจจัยที่จะหนุนอสังหาฯ ในปี 2565 ให้สามารถเติบโตได้ หลังจากที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 มาต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2563-2564    
“ออริจิ้น” จับมือ มือ “บุญภา 2020” ลุยอสังหาฯ ประเดิมโปรเจ็กต์มิกซ์ยูส 4,000 ล้า

“ออริจิ้น” จับมือ มือ “บุญภา 2020” ลุยอสังหาฯ ประเดิมโปรเจ็กต์มิกซ์ยูส 4,000 ล้า

ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จับมือ “บุญภา 2020” บริษัทของ 2 ตระกูล “สวาทยานนท์-วรเศรษฐการกิจ” ลุยธุรกิจอสังหาฯ ประเดิมโปรเจ็กต์แรก “ออริจิ้น สมาร์ท คอมเพล็กซ์ บางนา” มิกซ์ยูส 4,000 ล้าน ย่านบางนา รับการเติบโตกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออก จากนโยบายอีอีซี-เมกะโปรเจ็กต์   นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI เปิดเผยว่า ได้ร่วมกับบริษัท บุญภา 2020 จำกัดจัดตั้งบริษัทร่วมทุนจำนวน 2 บริษัท เพื่อร่วมกันพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยและโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่สร้างรายได้ประจำ ภายใต้วิสัยทัศน์ ORIGIN NEXT LEVEL โดยมีการขยายธุรกิจทั้งเชิงกว้างและเชิงลึก   ที่ผ่านมา ผู้คนอาจชินกับภาพออริจิ้นร่วมทุนกับบริษัทต่างชาติหรือบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯเป็นหลัก แต่ความเป็นจริง เราเปิดกว้างในการสร้างความร่วมมือ หรือ Synergy เพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ กับพันธมิตรทุกรูปแบบ สำหรับโครงการนำร่องที่จะพัฒนาร่วมกันโครงการแรก คือ “ออริจิ้น สมาร์ท คอมเพล็กซ์ บางนา” (Origin Smart Complex Bangna) มูลค่าโครงการรวมกว่า 4,000 ล้านบาท เป็นโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ติดถนนบางนา-ตราด บนพื้นที่รวมกว่า 8 ไร่ของกลุ่มบุญภา ภายในโครงการจะประกอบด้วย 2 โครงการย่อย ได้แก่ โครงการวัน ออริจิ้น มาสเตอร์พีซ บางนา (One Origin Masterpiece Bangna) เป็นโครงการร่วมทุนระหว่างกลุ่มบุญภาและบริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด ตัวโครงการประกอบด้วยอาคารสำนักงานและพื้นที่ค้าปลีกรวม 29 ชั้น 1 อาคาร แบบ Leasehold 3+30 ปี พื้นที่รวม (Gross Floor Area) 56,700 ตร.ม. พื้นที่ให้เช่า (Lettable Area) ประมาณ 30,000 ตร.ม. คาดว่าจะเริ่มเปิดให้บริการได้ในช่วงปี 2567 โครงการที่ 2 คือ ออริจิ้น เพลส บางนา (Origin Place Bangna) เป็นโครงการร่วมทุนระหว่างกลุ่มบุญภาและบริษัท ออริจิ้น คอนโดมิเนียม จำกัด ผู้พัฒนาโครงการกลุ่ม Smart Condominium ในเครือออริจิ้น ตัวโครงการเป็นโครงการที่อยู่อาศัย ผสมผสานระหว่างคอนโดมิเนียมและอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน (Investment Property) แบบ Freehold สูง 26 ชั้น ภายในอาคารประกอบด้วยคอนโดมิเนียมพักอาศัย 1-2 ห้องนอน ขนาด 27-55 ตร.ม. จำนวน 774 ยูนิต คาดว่าจะเริ่มเปิดขายรอบ Presales ในช่วงไตรมาส 1/2565 เริ่มก่อสร้างในช่วงไตรมาส 2/2565 และก่อสร้างแล้วเสร็จช่วงไตรมาส 2/2567   สำหรับทำเลย่านบางนา-ตราด มีศักยภาพที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่องจากการเกิดขึ้นของหลากหลายเมกะโปรเจ็คท์ อาทิ โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง ที่คาดว่าจะเกิดให้บริการช่วงกลางปี 2565 โครงการรถไฟฟ้ารางคู่ขนาดเบา บางนา-สุวรรณภูมิ โครงการเชื่อมต่อเส้นบางนากับสนามบินสุวรรณภูมิ ทำให้การเดินทางไปยังต่างจังหวัดและต่างประเทศสะดวกยิ่งขึ้น หลากหลายเมกะโปรเจ็คท์ที่อยู่อาศัย เมกะโปรเจ็คท์ด้านโลจิสติกส์ เติมเต็มย่านบางนา-ตราดให้มีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จะส่งผลให้เกิดการจ้างงานและมีความต้องการสำนักงานในทำเลที่เดินทางไป EEC ได้สะดวกอย่างเส้นบางนา-ตราด ขณะเดียวกัน กลุ่มบุญภา ก็มีที่ดินแปลงใหญ่ในย่านบางนา-ตราด ออริจิ้นเองก็ถือเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์จ้าวทำเลฝั่งตะวันออกของกรุงเทพฯ และ EEC ที่เติบโตและเชี่ยวชาญในทำเลนี้มานับสิบปี ประเมินว่าตลาดสำนักงานให้เช่าในทำเลศักยภาพยังคงมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ช่วงเวลาที่โครงการของเราก่อสร้างแล้วเสร็จตอนปี 2567 น่าจะเป็นช่วงที่ตลาดขยายตัวอย่างเต็มที่ บางนา-ตราดจะกลายเป็นสุดยอดทำเลทองที่มีความต้องการทั้งที่อยู่อาศัยและสำนักงานให้เช่ามากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามการเติบโตของเมกะโปรเจ็คท์จำนวนมหาศาล ด้านนายพิสิษฏ์พงศ์ วรเศรษฐการกิจ กรรมการบริหาร บริษัท บุญภา 2020 จำกัด กล่าวว่า บริษัทในเครือของบุญภามีประสบการณ์ในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์มาเป็นเวลาอันยาวนาน โดยเฉพาะในกลุ่ม Commercial Real Estate และ Industrial Real Estate เน้นลงทุนในที่ดินทำเลศักยภาพมาโดยตลอด ความร่วมมือกับออริจิ้นในครั้งนี้ มีความเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าจะสามารถนำความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ของทั้งสองกลุ่มมาร่วมกันพัฒนาโครงการคุณภาพที่จะสามารถส่งมอบคุณค่าให้กับลูกค้าในทำเลย่านบางนานี้ได้ โดยบริษัท บุญภา 2020 จำกัด ก่อตั้งขึ้นโดยทายาท 2 ตระกูลดัง ตระกูลสวาทยานนท์ และตระกูลวรเศรษฐการกิจ ซึ่งทั้ง 2 ตระกูล มีความเชี่ยวชาญในหลากหลายธุรกิจและอุตสาหกรรมมายาวนานกว่า 70 ปี อาทิ ธุรกิจเชือก แห อวน ธุรกิจพลาสติกและเคมี ธุรกิจบริหารและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจสิ่งทอ โดยมีรายได้รวมจากธุรกิจในเครือปีละกว่า 8,000 ล้านบาท   ปัจจุบันบริษัท บุญภา 2020 จำกัด เป็นผู้ดำเนินธุรกิจพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ โดยบริษัทในเครือดำเนินธุรกิจหลากหลาย อาทิ กลุ่มบริษัทสยามบราเดอร์ ดำเนินธุรกิจเชือก แห อวน พลาสติกและเคมีภัณฑ์ มีบริษัทที่ดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ภายใต้ชื่อโครงการต่างๆ เช่น The Master, สยามนิเวศน์, ทัศนีย์นิเวศน์, Burlington, ทรัพย์ทวี Factory Park มีธุรกิจสิ่งทอโดยบริษัทเอกรัตน์อุตสาหกรรมสิ่งทอ   นอกจากนี้ ยังดำเนินธุรกิจอาคารสำนักงานให้เช่าใน Prime Business Location เช่น อาคาร Thai CC Tower (อาคาร 34 ชั้นขนาด 110,000 ตร.ม. หน้าสถานีรถไฟฟ้าสุรศักดิ์ถนนสาทร) อาคารมหาทุนพลาซ่า (อาคาร 18 ชั้นขนาด 56,000 ตร.ม. หน้าสถานีรถไฟฟ้าเพลินจิต) อาคาร MS Siam Tower (อาคาร 38 ชั้นขนาด 80,000 ตร.ม. ริมถนนพระรามสาม) และอื่นๆ มีประสบการณ์มากมายและดำเนินธุรกิจอันมั่นคงและยาวนานมากกว่า 70 ปี
อัพเดต 5 เทรนด์ที่อยู่อาศัย-การก่อสร้าง มาแรงปี 2022

อัพเดต 5 เทรนด์ที่อยู่อาศัย-การก่อสร้าง มาแรงปี 2022

คงปฏิเสธไม่ได้ว่าการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่กินเวลานานกว่า 2 ปี รวมถึงวิกฤติโลกร้อนที่รุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ทุกบริบทของการใช้ชีวิต และการทำงาน ต้องเปลี่ยนแปลงไปตามเทรนด์โลกวิถีใหม่ ซึ่งปัจจุบันได้กลายเป็นวิถีชีวิตปกติของวันนี้ หรือ Now Normal ที่ทุกคนเริ่มคุ้นเคย เรียนรู้ที่จะวางแผน และปรับชีวิตให้เข้ากับสถานการณ์ที่คาดเดาไม่ได้ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในปีหน้าที่กำลังจะมาถึงเรายังคงต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่เชื่อว่าทุกคนจะเรียนรู้และปรับตัวรับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ ขณะที่ผู้ประกอบการธุรกิจต่าง ๆ เอง ก็ต้องหากลยุทธ์และแผนธุรกิจออกมารองรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปด้วย โดยคงต้องประเมินและวิเคราะห์ถึงเทรนด์ในอนาคตว่าจะเกิดอะไรขึ้น   สำหรับธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะด้านที่อยู่อาศัยเอง ก็ต้องพัฒนาที่อยู่อาศัยและการก่อสร้าง ให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค ที่มีพฤติกรรมการอยู่อาศัยไม่เหมือนเดิม ซึ่ง SCG ได้ทำการวิเคราะห์และประเมินพฤติกรรมการอยู่อาศัยและความต้องการของผู้บริโภคในปี 2565 ที่จะมาตอบโจทย์ภายใต้วิถีชีวิต Now Normal  โดยจะมี 5 เทรนด์สำคัญ คือ 1.Smart Living and Building การนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการออกแบบบ้าน หรือใช้สั่งเปิด-ปิด และควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ ภายในบ้าน และอาคาร เพื่อเพิ่มความสะดวกสบาย ปลอดภัย และประหยัดพลังงานมากยิ่งขึ้น เช่น ระบบสั่งการด้วยเสียง หรือเซนเซอร์ แอปพลิเคชัน ดิจิทัลแพลตฟอร์ม รวมไปถึงเครื่องใช้ภายในบ้านระบบอัตโนมัติต่างๆ 2.Health & Well-Being ในยุคนี้ เรื่องสุขอนามัยเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงเป็นอย่างมาก เพราะไม่ว่าจะโควิด-19 ฝุ่น PM 2.5 เชื้อไวรัส หรือแบคทีเรีย ต่างก็สร้างความกังวลให้เราทุกคน ดังนั้นคงจะดีไม่น้อย ถ้าเราปรับบ้าน และอาคารให้พร้อมรับมือกับความกังวลเหล่านี้ เพื่อดูแลสุขอนามัยของผู้อยู่อาศัยในระยะยาว พร้อมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับทุกคน โดยเฉพาะผู้สูงอายุ และเด็กเล็กที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ 3.Sustainable Living ความยั่งยืนเป็นอีกหนึ่งเมกะเทรนด์ที่คนทั่วโลกให้ความสำคัญ หลายคนหันมาใส่ใจและเลือกใช้วัสดุก่อสร้างที่มอบความยั่งยืน ทั้งด้านเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ประหยัดทรัพยากร ประหยัดพลังงาน และปลอดภัยต่อผู้อาศัย 4.Home Transformation ทุกวันนี้บ้านได้กลายเป็น “Multi-functional Space” ที่เป็นทั้งบ้าน ออฟฟิศ โรงเรียน ฟิตเนส ที่พักผ่อน ฯลฯ หลายคนจึงหันมาปรับและต่อเติมพื้นที่ใช้สอยให้เหมาะกับการใช้งานของสมาชิกแต่ละคน โดยเน้นให้มีความยืดหยุ่น และใช้งานได้อย่างเอนกประสงค์มากที่สุด เช่น แบ่งสัดส่วนห้องทำงาน/ห้องเรียนในห้องนอน หรือห้องนั่งเล่น จัดสรรพื้นที่ในห้องครัวเป็นโซนนั่งชิล โต๊ะทำงาน และทานอาหาร ตกแต่งสวนหน้าบ้านให้เป็นสนามเด็กเล่น พื้นที่ออกกำลังกาย มุมพักผ่อน และโรงจอดรถ เป็นต้น 5.Construction Transformation การออกแบบและก่อสร้างอาคารแห่งอนาคต กำลังถูกทรานฟอร์มด้วยเทคโนโลยี และนวัตกรรมการก่อสร้างมากมาย ซึ่งจะเข้ามาช่วยลดเวลา ลดเศษวัสดุในไซต์งานก่อสร้าง เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงมีความแม่นยำสูง และครบวงจร โดยเทคโนโลยีที่มีการนำมาใช้อย่างแพร่หลาย ได้แก่ นวัตกรรม 3D Cement Printing ใช้สร้างสรรค์ได้ทั้งงานก่อสร้าง และงานตกแต่งที่มีความซับซ้อน สามารถครีเอทลายปรินท์ได้อย่างหลากหลาย ขึ้นรูปชิ้นงานได้ตามรูปแบบที่ต้องการ เทคโนโลยี Building Information Modeling (BIM) ที่ช่วยสร้างความแม่นยำในการออกแบบ บริหารจัดการและควบคุมคุณภาพงานก่อสร้างตั้งแต่ก่อนโครงการขณะก่อสร้างและหลังจบโครงการ และ Drone นวัตกรรมประเมินพื้นที่ก่อนออกแบบผังโครงการ ช่วยลดความผิดพลาดในการก่อสร้าง เพิ่มความปลอดภัยในไซต์งาน เป็นต้น   นายนิธิ ภัทรโชค กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เอสซีจี เปิดเผยว่า โควิด-19 และโลกร้อนกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมการอยู่อาศัย และการก่อสร้างวิถีใหม่ โดยผู้คนต้องการที่อยู่อาศัยที่ปลอดภัย มีสุขอนามัย เอื้อต่อการสร้างเสริมสุขภาพที่ดี สะดวกสบาย และตอบการใช้งานที่หลากหลาย ขณะเดียวกันก็คำนึงถึงการประหยัดพลังงาน ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และความยั่งยืนเพิ่มขึ้นด้วย ทำให้ทุกคนเริ่มปรับตัว และพัฒนาวิถีชีวิตให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงสู่ยุค Now Normal ซึ่งบ้านถือเป็น Safe Space ในการใช้ชีวิต และทำทุกกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งทำงาน เรียน พักผ่อน และอีกมากมาย ​​
พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค  ผนึก “ฮ่องกงแลนด์-ซูมิโตโม-เซกิซุย”  ปั้นรายได้ 13,000 ล้าน  ใน 3 ปี

พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ผนึก “ฮ่องกงแลนด์-ซูมิโตโม-เซกิซุย” ปั้นรายได้ 13,000 ล้าน  ใน 3 ปี

พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ดึง 3 ทุนพันธมิตร “ฮ่องกงแลนด์-ซูมิโตโม ฟอร์เรสทรี-เซกิซุย เคมิคอล” สร้างรายได้ 13,000 ล้าน  ใน 3 ปีข้างหน้า ประเดิมแผนปี 65 สร้างรายได้ 5,000 ล้าน โต 5 เท่าจากปี 64 เดินหน้าปั้นโปรเจ็กต์ต่อเนื่อง   นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงภาพรวมธุรกิจของกลุ่มบริษัทในปี 2565 ว่ารายได้โดยรวมคาดว่าจะดีขึ้นกว่าปี 2564 โดยจะสามารถกลับมาฟื้นตัวได้ในระดับใกล้เคียงกับก่อนหน้าที่จะเกิดสถานการณ์โควิด-19 โดยกลยุทธ์สำคัญคือการเพิ่มรายได้จากโครงการร่วมทุนกับพันธมิตรจากต่างประเทศทั้ง 3 ราย ได้แก่  ฮ่องกงแลนด์,  ซูมิโตโม ฟอร์เรสทรี และ เซกิซุย เคมิคอล     ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายในระยะ 3 ปีข้างหน้า หรือปี 2565-2567 จะมีรายได้จากโครงการร่วมทุนรวม 13,000 ล้านบาท เติบโตและทำกำไรเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน  โดยปี 2565 ตั้งเป้าไว้ที่ 5,000 ล้านบาท ส่วนปี 2566 และ 2567 คาดจะมีรายได้อีกปีละ 4,000 ล้านบาท สำหรับปี 2565 บริษัทตั้งเป้ารายได้จากโครงการร่วมทุนเพิ่มขึ้นถึง 5 เท่าตัว เมื่อเทียบกับปีนี้ ซึ่งมีรายได้ 1,000 ล้านบาท โดยจะมาจากโครงการร่วมทุนกับ “ฮ่องกงแลนด์” จำนวน 1,400 ล้านบาท โดยในปี 2565 บริษัทจะมีการเปิดโครงการใหม่ “เลค เลเจ้นด์ บางนา-สุวรรณภูมิ” อย่างเป็นทางการในเดือนมีนาคม โดยเป็นบ้านเดี่ยวระดับราคา ราคา 30-120 ล้านบาท  และมีการขยายโครงการต่อเนื่องของ “เลค เลเจนด์ แจ้งวัฒนะ” ที่เตรียมเปิดคฤหาสน์ติดทะเลสาบเพิ่มเติมในเฟส 2  ราคาเริ่มต้น 60 ล้านบาท  พร้อมกันนี้จะมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างมากจากโครงการร่วมทุนกับ “ซูมิโตโม ฟอร์เรสทรี” ประกอบด้วยโครงการคอนโดมิเนียม “ไฮด์ เฮอริเทจ ทองหล่อ” จำนวน 2,500 ล้านบาท ที่กำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมโอนกรรมสิทธิ์ได้ในไตรมาส 2 ปี 2565 ปัจจุบันมียอดขายที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) แล้ว 2,000 ล้านบาท หรือ 40% ของรายได้จากการร่วมทุนทั้งหมด   นอกจากนี้ ยังมีโครงการ “เลค ฟอร์เรสต์” บ้านเดี่ยวระดับราคา 3.5-7 ล้านบาท คาดจะทำรายได้ให้อีก 500 ล้านบาท รวมเป็นจำนวน 3,000 ล้านบาท  และบริษัทยังมีการร่วมทุนกับ “เซกิซุย เคมิคอล” ซึ่งเป็นบ้านนวัตกรรมที่ใช้เทคโนโลยีจากประเทศญี่ปุ่น ระดับราคา 20-60 ล้านบาท ในโครงการเพอร์เฟค มาสเตอร์พีซ ทั้ง 5 ทำเล ซึ่งจะมีรายได้เข้ามาอีก 600 ล้านบาทด้วย   สำหรับกลยุทธ์ในการเติบโตของโครงการร่วมทุนนั้น บริษัทอาศัยความร่วมมือกับพันธมิตรมาช่วยเสริมความแข็งแกร่ง ทั้งโนว์ฮาวในการพัฒนาโครงการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการในระดับพรีเมี่ยม ซึ่งที่ผ่านมาสามารถสร้างสินค้าประเภทบ้านเดี่ยวระดับบนที่มีความโดดเด่น และสร้างความแตกต่างในตลาดที่อยู่อาศัย ซึ่งความร่วมมือกับพันธมิตรจากต่างประเทศทั้ง 3 ราย ยังเป็นการต่อยอดศักยภาพและสร้างการเติบโตของธุรกิจในระยะยาวได้อย่างชัดเจน
ถอดกลยุทธ์ เอพี ไทยแลนด์  สู้พิษโควิด-19 เดินหน้าสู่ยอดโอน 40,000 ล้าน

ถอดกลยุทธ์ เอพี ไทยแลนด์ สู้พิษโควิด-19 เดินหน้าสู่ยอดโอน 40,000 ล้าน

เอพี ไทยแลนด์ ลุยธุรกิจด้วยพันธกิจ “EMPOWER LIVING” ฝ่าวิกฤตโควิด-19 สร้างยอดขายกว่า 35,800 ล้านบาท  คาดปิดปี 2564 สร้างยอดโอนได้ 40,000 ล้าน ขนโครงกาพร้อมขาย​ 120 โครงการ  มูลค่าพร้อมขายกว่า 196,000 ล้าน สร้างยอด   ถึงปัจจุบันแม้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะยังไม่ยุติลง และยังมีไวรัสกลายพันธุ์เกิดเป็นสายพันธุ์ใหม่อยู่เสมอ แต่ทุกธุรกิจก็ยังคงมุ่งหาแนวทางการรับมือ และสร้างการเติบโตให้กับองค์กรของตนเองอยู่เสมอ โดยเฉพาะการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคยุคปัจจุบัน   ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ถือเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ต้องเผชิญความท้าทายรอบด้าน โดยเฉพาะพฤติกรรมผู้บริโภคที่ไม่เหมือนเดิม แต่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ต่างก็รับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้ดี และสามารถสร้างการเติบโตได้อย่างชัดเจน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ “เอพี ไทยแลนด์” ที่วันนี้ดูเหมือนจะทำผลงานได้ดีมาเป็นอันดับต้น ๆ ของวงการ   นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า  จากปี 2563 ถึง 2564 ทุกภาคธุรกิจต่างยังต้องเผชิญกับภาวะ Ripple Effect (หรือปรากฎการณ์ระลอกคลื่น) ที่ศูนย์กลางก็คือความเสียหายทางเศรษฐกิจจาก โควิด-19 อย่างเลี่ยงไม่ได้ วิกฤตโควิด-19 ได้สร้างบททดสอบ และบทเรียนอย่างมากมายให้กับผู้คนทั่วโลก และในปี 2564 นี้ถือเป็นปีที่ 30 ที่เอพี ไทยแลนด์ ดำเนินธุรกิจอยู่ในอุตสาหกรรมพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และสามารถก้าวผ่านวิกฤตมาได้อย่างแข็งแกร่งอีกครั้งหนึ่ง โดยมีพันธกิจ “EMPOWER LIVING” เป็นเจตจำนงสำคัญในการดำรงอยู่ของเอพี ไทยแลนด์ เพื่อส่งมอบคุณภาพชีวิต ที่ดี ที่ลูกค้าสามารถเลือกได้ และถือเป็นเข็มทิศหลักในการกำหนดกลยุทธ์การแข่งขัน เพื่อสร้างความได้เปรียบทางธุรกิจ ควบคู่กับความพร้อมในการปรับตัวให้สอดรับกับวิถีชีวิตใหม่ที่เปลี่ยนไปอย่างถาวร   แต่อย่างไรก็ตาม การเกิดขึ้นของโอมิครอน (Omicron) สะท้อนให้เห็นแล้วว่าศึกครั้งนี้ไม่จบในเร็ววัน โรคระบาดต้องอยู่ไปอีกระยะหนึ่งอย่างเลี่ยงไม่ได้ ควบคู่ไปกับความเปราะบางของระบบเศรษฐกิจที่ผันผวน​ ส่งผลต่อ sentiment ของผู้บริโภค การดำเนินธุรกิจในปี 2565 ยังคงตั้งอยู่บนความไม่ประมาท   เรายังคงต้องวิ่งมาราธอนที่ยังไม่เจอเส้นชัยกันไปอีกสักพักใหญ่ ถ้าออกตัวแรงไปเรื่อย ๆ ก็จะหมดแรง ถ้าวิ่งช้าก็แพ้คนอื่น  หนทางข้างหน้าต้องต่อสู่อีกยาวไกล มีเรื่องใหม่ให้เจอทุกวัน โดยคีย์สำคัญคือต้องตัดสินใจให้ไว ในแต่ละวันนี้มีเรื่องใหม่เกิดขึ้นทำให้ต้องเอาเข้ามาตัดสินใจ ซึ่งนี่คือหนึ่งในวิถีที่ทำให้เอพีผ่านวิกฤตโควิดมาได้เป็นปีที่ 2 บริหารพอร์ตพร้อมขาย ดันยอดโอน 4 หมื่นล้าน หนึ่งใน Key Drive สำคัญ ที่ทำให้เอพี ไทยแลนด์ยังคงเติบโตท่ามกลางสภาวะผันผวนของปีนี้ได้อย่างแข็งแกร่งคือ การบริหารจัดการพอร์ตสินค้าพร้อมขาย ให้กระจายไปในหลากหลายทำเล เพื่อสร้างโอกาสและความได้เปรียบในการแข่งขันที่มากขึ้น นอกจากความพร้อมของทีมงาน   โดยในปี 2564 เอพีเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งสิ้นจำนวน 24 โครงการ มูลค่าประมาณ 27,550 ล้านบาท เป็นโครงการแนวราบ  22 โครงการ มูลค่า 19,650 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม  2 โครงการ มูลค่า 7,900 ล้านบาท และเมื่อรวมกับโครงการที่อยู่ระหว่างการขาย ทำให้ปัจจุบันมีโครงการกระจายอยู่ทั่วประเทศ มากถึง 120 โครงการ  มูลค่าพร้อมขายกว่า 196,000 ล้านบาท   ข้อมูล ณ วันที่ 15 ธันวาคม 2564 เอพี ไทยแลนด์สามารถทำยอดขายจากอสังหาริมทรัพย์ในเครือ ได้มากถึง 35,800 ล้านบาท และคาดว่าปิดปี 2564 จะสามารถสร้างยอดโอนได้เกือบ 40,000 ล้านบาท ถึงแม้ตลอดปีที่ผ่านมา ประเทศไทยจะต้องเผชิญกับภาวะล็อกดาวน์ ที่ส่งผลเสถียรภาพทางเศรษฐกิจอย่างมากก็ตาม แต่เอพี ไทยแลนด์ยังคงสร้างผลการดำเนินงานที่โดดเด่นได้อย่างชัดเจน ทั้งผลการดำเนินงาน การดูแลพนักงาน และที่สำคัญการบริหารจัดการกระแสเงินสด และการรักษาสัดส่วนหนี้สิ้นต่อทุนที่ ณ ไตรมาส 3/2564 ต่ำเพียง 0.56 เท่า เมื่อเทียบกับปี 2563 ที่ 0.71 เท่า เทรนด์ HOMEBODY ดันยอดขายบ้าน ภายใต้ยุคโควิด-19 ที่ทำให้พฤติกรรมของผู้คนเลือกที่อาศัยอยู่ในบ้านมากกว่าการใช้ชีวิตนอกบ้าน ส่งผลทำให้เกิดเทรนด์การใช้ชีวิตรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า HOMEBODY หรือเทรนด์ติดบ้าน กลายเป็นความคุ้นชินของคนวันนี้ “บ้าน” ในโลกความเป็นอยู่ใหม่ จึงถูกยกระดับให้เป็นมากกว่าที่อยู่อาศัย แต่ “บ้าน” ต้องเป็นทุกอย่างให้กับทุกคนในครอบครัว ทั้งพื้นที่ทำงาน ห้องเรียนออน์ไลน์ ฟิตเนส ห้องไลฟ์สด หรือแม้กระทั่งสตูดิโอทำเพลง   จากเทรนด์ติดบ้านที่เกิดขึ้น ได้ส่งผลให้ดีมานด์บ้านเดี่ยวมีจำนวนมาก จึงส่งผลให้ยอดขายของเอพีเติบโต​ โดยยอดขายที่เกิดขึ้นกว่า 60% ถือเป็นยอดขายที่มาจากสินค้ากลุ่มบ้านเดี่ยว ซึ่งกลยุทธ์สร้างความสำเร็จในกลุ่มบ้านเดียว คือ 1. โมเดลบ้านที่ดีที่สุด คิดจากอินไซต์จริงเพื่อให้สอดรับกับความต้องการของผู้อาศัย อาทิ แปลนบ้านหน้ากว้าง ที่สามารถเพิ่มมุม Work from Home หรือ เรียนออนไลน์พร้อมรับแสงธรรมชาติ 2. นวัตกรรมบ้านที่เข้าใจชีวิต ที่ผสานเทคโนโลยีเข้ากับการออกแบบพื้นที่ส่วนตัวและพื้นที่ส่วนรวมภายในบ้านหนึ่งหลังที่มีรายละเอียดการออกแบบที่ตอบโจทย์ความปลอดภัย ความสะดวกสบาย  WORK FROM ANYWHERE จะไม่ใช่เทรนด์อีกต่อไป   นอกจากนี้ ข้อมูลจากบริษัท Morgan Stanley ระบุว่าอีก 7 ปีข้างหน้า ครึ่งหนึ่งของแรงงานในสหรัฐฯ จะเป็นฟรีแลนซ์ ซึ่งสอดคล้องกับการคาดคะเนของปีเตอร์ เลเวลส์ (Pieter Levels) สตาร์ทอัพ โปรแกรมเมอร์ และดีไซเนอร์ชาวดัตช์ ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ nomadlist.com ที่เปรียบเสมือนเข็มทิศการเดินทางไปทั่วโลกสำหรับชาว Digital Nomad ในปัจจุบัน ที่ว่าภายในปี 2578 จะมีคนทำงานอิสระที่เรียกตัวเองว่า Digital Nomad 1,000 ล้านคน จากข้อมูลปี 2562 ที่มีอยู่จำนวน 25 ล้านคน  ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มของคนรุ่นใหม่ที่การทำงานจากที่ไหนก็ได้ (Work from Anywhere) จะกลายเป็น norm ปกติของชีวิตในอนาคต ถึงแม้วิกฤตการแพร่ระบาดของโรคจะเริ่มคลี่คลายไปแล้วก็ตาม  ดังนั้น การออกแบบพื้นที่อย่างชาญฉลาดจะกลายเป็นจุดขายใหม่ที่ดึงดูด Next Generation ที่มุ่งมั่นที่จะประสบความสำเร็จได้อย่างดีที่สุด ทั้งเรื่องการทำงาน และด้านชีวิตส่วนตัว Everything Digital เสริมบริการ-งานขาย   อีกหนึ่งในโรดแมทที่เอพี  ยึดเป็นหลักสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจ คือ  Everything Digital ในด้านงานขายและงานบริการหลังการขาย ที่ได้มีการนำเทคโนโลยีมาเป็นหนึ่งในกลไกขับเคลื่อน เพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่สะดวกสบายเข้าถึงสินค้าและการอยู่อาศัยในเอพีคอมมูนิตี้ผ่านระบบดิจิตอลมากยิ่งขึ้น ซึ่งจากข้อมูลในปี 2564 พบว่าลูกค้าคอนโดเอพีกว่า 85% สอบถามข้อมูลหรือนัดหมายเยี่ยมชมโครงการผ่านดิจิตอลแพลตฟอร์มต่างๆ ของเอพีเพิ่มมากขึ้น  โดยเฉพาะ ONE CLICK NEW HOME โซลูชั่นใหม่กับการซื้ออสังหาริมทรัพย์เครือเอพี ได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อส่งตรงประสบการณ์เสมือนเดินทางไปยังชมโครงการจริง ทั้งพื้นที่ส่วนกลาง ห้องจริง วิวจริง พร้อมบรรยากาศกลางวันและกลางคืน ด้วยความละเอียดสูงสุดแบบ 360° ถือเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือในการนำเสนอสินค้าผ่านประสบการณ์โลกดิจิตอลเสมือนจริง  และช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้โดยไม่ต้องเดินทางออกจากบ้าน   รวมถึงงานบริการหลังการขายผ่าน SMART พร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์ในเครือเอพี ประสบความสำเร็จกับการเปิดตัว SMART WORLD ชีวิตที่เลือกได้ ซึ่งเป็นดิจิตอล เซอร์วิส แพลตฟอร์ม บริหารคุณภาพชีวิตหลังการอยู่อาศัยที่เอพีพัฒนาให้เป็นแอปพลิเคชันเดียวที่เอ็มพาวเวอร์ให้การใช้ชีวิตในบ้าน เป็นเรื่องง่าย ที่เลือกได้ตามไลฟ์สไตล์ของลูกค้าแต่ละคน  ด้วยชีวิตที่เลือกกับ 24 ฟังก์ชั่นกว่า 100 บริการ  ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นโดยผสมผสานวิธีคิดภายใต้หลัก Design Thinking เข้ากับการเลือกใช้เทคโนโลยีที่เสถียรและเข้าถึงได้ทุก Generation  ณ ปัจจุบัน SMART WORLD มีผู้ใช้บริการแล้วกว่า 80,000 ยูสเซอร์ มียอด  ผู้ Active User เฉลี่ย 48,000 ยูสเซอร์ต่อเดือน ถือเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมบริการที่โดดเด่นด้านพร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์ในเครือเอพี   ทั้งหมดนี้คือความสำเร็จที่เกิดขึ้น โดยมีความพร้อมขององค์กรเป็นพื้นฐาน  โดยเฉพาะเป้าหมายขององค์กร เพื่อขับเคลื่อนทีมงานไปในทิศทางเดียวกัน โครงสร้างองค์กรที่แข็งแกร่งพร้อมรับกับการปรับตัวที่รวดเร็วได้อย่างยืดหยุ่น แม้คลื่นวิกฤตจะกระทบอีกสักกี่ครั้งเอพี ไทยแลนด์ พร้อมที่จะนำความสำเร็จ และสิ่งที่เรียนรู้ในปี 2564 มาเป็นแรงขับเคลื่อน เป็นพลังในการตั้งรับความท้าทายใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในปี 2665 เพื่อส่งมอบคุณภาพชีวิตที่ดี ที่ลูกค้าสามารถเลือกได้ ด้วยนวัตกรรมสินค้าและบริการที่สร้างความแตกต่าง ทั้งด้านคุณภาพ พื้นที่ใช้สอย ความสะดวกสบาย และความปลอดภัยในการพักอาศัย เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ที่ยิ่งใหญ่นั่นคือ EMPOWER LIVING  
[PR News] เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม เปิดตัวแอปพลิเคชั่น HOME+ ผู้ช่วยเรื่องบ้านตัว 24 ชม.

[PR News] เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม เปิดตัวแอปพลิเคชั่น HOME+ ผู้ช่วยเรื่องบ้านตัว 24 ชม.

เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม  เปิดตัว แอปพลิเคชั่น HOME+ (โฮมพลัส)  ผู้ช่วยเรื่องบ้านที่รู้ใจอยู่ใกล้ตัวตลอด 24 ชั่วโมง HOME+  ฟังก์ชั่นพิเศษสะสมคะแนน เพื่อแลกสิทธิพิเศษ ของรางวัลฟรี   นายรองฤทธิ์ ธรรมสถิต ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานสนับสนุนโครงการที่อยู่อาศัย 1 บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่าได้เปิดตัว HOME+ (โฮมพลัส) แอปพลิเคชั่นใหม่ เหมือนมีผู้ช่วยเรื่องบ้านตลอด 24 ชั่วโมง  ฟังก์ชั่นพิเศษสะสมคะแนน เพื่อแลกสิทธิพิเศษ ของรางวัลฟรีและส่วนลดมากมาย  รวมถึงผู้สนใจสามารถจอกคิวนัดเข้าชมโครงการได้ เมื่อแวะชมโครงการก็ยังสะสมคะแนนได้อีก และสำหรับลูกบ้านของบริษัท แอปนี้ก็ตัวช่วยดูแลบริการหลังการขาย แจ้งซ่อม ตรวจสอบสถานะ ติดตามและประเมินผลงาน รวมถึงรับข่าวสารสิทธิพิเศษต่างๆ ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว อีกด้วย โดยพร้อมเปิดตัวแอปในวันที่ ​​ 21 ธันวาคม นี้   ฟังก์ชั่นพิเศษที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตส์ของทุกคน HELPMATE เหมือนมีผู้ช่วยที่รู้ใจ สำหรับทุกคนที่อยากมีบ้านหรือสนใจในการดูแลบ้าน เหมือนมีมืออาชีพคอยแนะนำ ในการเลือกบ้านให้ตรงตามไลฟ์สไตล์และความต้องการของทุกคน PRIVILEGE สิทธิพิเศษมากมาย เป็นความพิเศษที่แตกต่างจากแอปพลิเคชั่นอื่น ช่วยเติมเต็มการใช้ชีวิตให้เต็มความสุขกับการสะสมคะแนนฟรีๆ เพื่อแลก สิทธิพิเศษ ของรางวัล  หรือ ส่วนลด จากสินค้าและบริการมากมาย อาทิ ร้านอร่อยจาก Oishi, Shabushi, MK, Swensen’s, After You, Auntie Anne’s, Chabuton, Krispy Kreme, Dairy Queen, Gram Café&pancakes, BAR.B.Q Plaza, GAGA, Kamu, Squeeze หรือบริการจากร้านอาหารและโรงแรมชั้นนำ อย่าง The Okura Prestige Bangkok, Holiday Inn Express, Marriott Executive Apartments Mayfair Bangkok, W Bangkok, Modena, Triple Y,  Melia Koh Samui, Sheraton Samui Resort ช้อปสบายกับสินค้าและบริการที่ถูกใจสบายกระเป๋า กับ Grand Home Mart, NocNoc Com, 24 Fix, อาคเนย์ประกันชีวิต และ Shopee เป็นต้น LIFESTYLE สาระน่ารู้ ใช้ชีวิตให้มีความสุข กับข้อมูลข่าวสาร สาระน่ารู้เพื่อการอยู่อาศัย ที่คัดสรรมาเพื่อทุกคน บริการพิเศษและกิจกรรมต่างๆ สำหรับทุกคนในครอบครัวได้อย่างแท้จริง SERVICE บริการสำหรับลูกบ้าน เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม ที่เป็นตัวช่วยดูแลบริการหลังการขาย แจ้งซ่อม ตรวจสอบสถานะ ติดตามและประเมินผลงาน รวมถึงรับข่าวสารสิทธิพิเศษต่างๆ  
ดีดีพร็อพเพอร์ตี้  คาดตลาดอสังหาฯ ปี 65 มีแววฟื้น  ลุ้นมาตรการรัฐ-การคุมโควิดหนุน

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ คาดตลาดอสังหาฯ ปี 65 มีแววฟื้น ลุ้นมาตรการรัฐ-การคุมโควิดหนุน

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ สรุปภาพรวมตลาดอสังหาฯ ปี 2564 เป็นปีแห่งความท้าทาย-ผันผวนสูง จากผลกระทบของโควิด-19 แม้คนไทยส่วนใหญ่อยากมีบ้าน แต่รายได้หายในช่วงโควิด-19 ขณะที่อสังหาฯ ปี 65 รอฟื้นตัวตามเศรษฐกิจ ส่วนดีเวลลอปเปอร์ ยังคงเน้นระบายสต็อก คู่การเปิดตัวโครงการใหม่ ขณะที่ผู้บริโภคยังหวังมาตรการช่วยเหลือจากภาครัฐ เป็นปัจจัยบวกช่วยกระตุ้นตลาดให้กลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้ง   นางกมลภัทร แสวงกิจ ผู้จัดการใหญ่ประจำประเทศไทย ดีดีพร็อพเพอร์ตี้(DDproperty) เปิดเผยว่า ในปี 2564 นี้ตัวแปรสำคัญที่ส่งผลกระทบกับภาคธุรกิจหลักของประเทศ ยังคงมาจากวิกฤติโควิด-19 รวมถึงภาคอสังหาริมทรัพย์ หลังจากที่ก่อนหน้านี้เคยคาดการณ์ว่าปีนี้ จะเป็นปีที่มีแนวโน้มฟื้นตัวได้อีกครั้ง แต่สถานการณ์ที่ผันผวนยังคงเป็นอุปสรรคใหญ่ ทำให้ตลาดอสังหาฯ ปีนี้ไม่สามารถเติบโตได้ดีเท่าที่ควร ประกอบกับการแข่งขันสงครามราคาที่ดุเดือดของผู้พัฒนาอสังหาฯ อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2563 ทำให้เกิดการดูดซับกำลังซื้อจากผู้บริโภคไปแล้วพอสมควร เมื่อต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนทางการเงินจากการแพร่ระบาดฯ ที่ยืดเยื้อ จึงทำให้ผู้บริโภคส่วนใหญ่ชะลอการซื้อออกไปก่อน นางกมลภัทร กล่าวว่า แม้ว่าปีนี้ภาครัฐจะออกมาตรการที่เอื้อต่อการซื้ออสังหาฯ มากขึ้น รวมถึงมีการผ่อนคลายมาตรการควบคุมสินเชื่อที่อยู่อาศัย (Loan-to-Value: LTV) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา แต่มาตรการดังกล่าวก็ยังไม่สามารถช่วยกระตุ้นการเติบโตในตลาดอสังหาฯ ได้มากนัก เนื่องจากผู้บริโภคยังคงไม่มั่นใจกับสถานการณ์โควิด-19 และไม่มีกำลังซื้อเพียงพอจากผลกระทบของการแพร่ระบาดฯ โควิด-19 ฉุดคนไทยชะลอซื้อบ้าน สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องทางการเงินและความเชื่อมั่นในการใช้จ่ายของผู้บริโภค จึงต้องวางแผนการเงินอย่างรัดกุมในระยะยาว ผลสำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภคต่อสภาพตลาดอสังหาฯ DDproperty’s Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุด พบว่า เกือบ 3 ใน 4 ของผู้บริโภคชาวไทย หรือสัดส่วน 71% ยังมีความต้องการที่อยู่อาศัยแต่เลือกที่จะชะลอการซื้อออกไปก่อน โดย 39% วางแผนจะซื้อบ้านภายใน 1-2 ปี   อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคเผยว่าอุปสรรคสำคัญที่มีผลต่อการซื้อที่อยู่อาศัย มาจากการขาดรายได้ในช่วงโควิด-19 ถึง 66% รองลงมา สัดส่วน 63% คือ ราคาที่อยู่อาศัย ตามมาด้วยความไม่แน่นอนทางการเมือง และธนาคารไม่อนุมัติสินเชื่อบ้านในสัดส่วนเท่ากัน คือ 37% สะท้อนให้เห็นว่าปัญหาทางการเงินยังคงเป็นอุปสรรคอันดับต้น ๆ ของคนหาบ้าน   นอกจากนี้ ผู้บริโภคส่วนใหญ่ สัดส่วน 80% มองว่ารัฐบาลยังไม่ค่อยมีส่วนช่วยที่จะทำให้คนในประเทศสามารถเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยได้ โดยมาตรการเยียวยาภาคอสังหาฯ ที่ต้องการมากที่สุดจากภาครัฐ คือ การลดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านทั้งบ้านใหม่และบ้านที่กำลังผ่อนอยู่  สัดส่วน 57% เพื่อแบ่งเบาภาระผู้ที่ต้องการมีบ้านเป็นของตัวเองท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง ถอดบทเรียนอสังหาฯ ปี 64  ภาพรวมการเติบโตของภาคอสังหาฯ ที่ยังไม่ฟื้นตัวเท่าที่ควร ส่งผลให้ผู้พัฒนาอสังหาฯ ส่วนใหญ่ชะลอการเปิดโครงการใหม่ออกไปก่อน โดยเฉพาะคอนโดมิเนียม และหันมาเน้นระบายสต็อกคงค้างผ่านสงครามราคาเพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคในช่วงนี้แทน จึงทำให้ดัชนีราคาที่อยู่อาศัยในปี 2564 โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ในภาพรวมยังคงปรับตัวลดลงถึง 11% จากรอบปีก่อน นอกจากนี้ จำนวนอุปทานยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากอุปทานคงค้างในตลาดบวกกับอัตราการดูดซับที่ลดลง อย่างไรก็ดี แนวโน้มอุปทานที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่จะเป็นโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบที่มีความต้องการในตลาดสูง โดยบ้านเดี่ยวมีจำนวนอุปทานเพิ่มขึ้น 33% จากปีก่อนหน้า ทาวน์เฮ้าส์เพิ่มขึ้น 30% ส่วนคอนโดมิเนียมเพิ่มขึ้น 11%   นอกจากเทรนด์ที่อยู่อาศัยแนวราบจะได้รับความนิยมจากไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไปแล้ว เทรนด์การพัฒนาที่อยู่อาศัยยังกระจายออกไปในทำเลนอกเขตศูนย์กลางธุรกิจของกรุงเทพฯ (City Fringe) และแถบชานเมือง (Outskirts) มากขึ้น เนื่องจากเป็นทำเลที่สามารถพัฒนาที่อยู่อาศัยแนวราบในราคาที่เอื้อมได้ ประกอบกับปัจจัยบวกจากการขยายโครงข่ายรถไฟฟ้าที่เชื่อมต่อการเดินทางสู่ใจกลางเมืองได้สะดวกขึ้น ข้อมูลจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยผ่านจุดต่ำสุดแล้วในไตรมาสที่ 3 ปี 2564 ถือเป็นสัญญาณบวกที่ทุกภาคส่วนเฝ้ารอ คาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2565 จะฟื้นตัว โดยมีแรงขับเคลื่อนสำคัญมาจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจและตลาดท่องเที่ยวในประเทศที่ทยอยฟื้นตัวตามการผ่อนคลายมาตรการควบคุมของภาครัฐ และการระดมฉีดวัคซีนที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ตลาดแรงงานและกำลังซื้อของผู้บริโภคมีแนวโน้มปรับดีขึ้นตามไปด้วย จับตาอสังหาฯ ปี 65 รอเวลาฟื้นตามเศรษฐกิจ สำหรับธุรกิจอสังหาฯ ในปี 2565 คาดว่าจะเป็นปีแห่งการฟื้นตัวของตลาดอสังหาฯ ไทย โดยเริ่มเห็นสัญญาณบวกในช่วงท้ายปี 2564 แต่คาดว่าระดับราคาอสังหาฯ จะยังไม่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากนัก ควบคู่ไปกับการออกแคมเปญหรือโปรโมชั่น เพื่อดึงดูดกำลังซื้อจากผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง (Real Demand) และนักลงทุนที่มีความพร้อมและหวังผลตอบแทนในระยะยาว ในขณะที่อุปทานยังไม่มีสัญญาณล้นตลาด (Oversupply) หรือเกิดภาวะฟองสบู่ ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญที่ต้องจับตา คือ ความคืบหน้าในการควบคุมการแพร่ระบาดฯ รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและภาคอสังหาฯ จากภาครัฐ ซึ่งจะส่งผลต่อทิศทางการเติบโตโดยตรง อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยยังคงเปราะบางและมีความไม่แน่นอน ผู้ประกอบการและผู้บริโภคจึงควรติดตามสถานการณ์การระบาดฯ หลังเปิดประเทศ และมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างใกล้ชิดก่อนตัดสินใจ
IWG x รัตนากร ขยายสำนักงานให้เช่า วางเป้า 10 ปี 40 แห่งทั่วไทย

IWG x รัตนากร ขยายสำนักงานให้เช่า วางเป้า 10 ปี 40 แห่งทั่วไทย

IWG x รัตนากร แอสเซท ลงนามสัญญาแฟรนไชส์ บริหารพื้นที่สำนักงานให้เช่า 40 แห่งทั่วไทย ใน 10 ปี ตอบสนองการทำงานแบบไฮบริด ประเดิมปี 65 เปิด 5 แห่ง ได้แก่ ในเมืองพัทยา ชลบุรี ศรีราชา ระยอง     มาร์ค ดิกสัน ผู้ก่อตั้งธุรกิจและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร IWG เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 หลายธุรกิจเล็งเห็น และปรับตัวอย่างรวดเร็วเพื่อตอบรับความต้องการในการทำงานแบบไฮบริด (Hybrid working) ซึ่งมีธุรกิจจำนวนมากทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ กำลังนำมาใช้อยู่ เพื่อดึงดูดและรักษาบุคลากรที่มีความสามารถไว้ได้ ไม่เพียงเท่านั้นการปรับเปลี่ยนมาสู่โมเดลการทำงานในรูปแบบดังกล่าว ยังช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานได้อีกด้วย บรรดาธุรกิจต่าง ๆ กำลังกำหนดพื้นที่การทำงานใหม่ ให้เข้าไปใกล้ที่พักของบุคลากรมากขึ้น เพื่อให้พวกเขาสามารถทำงานได้อย่างยืดหยุ่น เป็นการเปลี่ยนแปลง ที่ตอบสนองความต้องการและความจำเป็นของบุคลากร ปัจจุบันการทำงานแบบยืดหยุ่นที่ไม่ยึดติดกับสถานที่ ได้รับความนิยมมากขึ้นในหลากหลายอาชีพ โดยเฉพาะกลุ่มคนยุคมิลเลนเนียม (เจเนอเรชั่น วาย) ซึ่งคุ้นชินกับดิจิทัลเทคโนโลยีและชื่นชอบในความคล่องตัวและยืดหยุ่นในการทำงาน การทำงานแบบไฮบริดพนักงานไม่เพียงแต่ได้ทำงานในสถานที่ที่หลากหลาย ยังใช้เวลาในการเดินทางไปทำงานลดลง สามารถทำงาน ณ สถานที่แห่งไหนก็ได้ สำนักงาน บ้าน หรือ พื้นที่ทำงานในรูปแบบ Flexible Workspace เป็นแนวทางการทำงานที่มีความยืดหยุ่นสูง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้น   ล่าสุด IWG  ได้เซ็นสัญญามอบสิทธิ์หลักในการบริหารแฟรนไชส์ระดับภูมิภาคหรือมาสเตอร์แฟรนไชส์ให้กับ รัตนากร แอสเซท ผู้ประกอบการด้านอสังหาริมทรัพย์ของไทย เป็นผู้ร่วมพัฒนาและขยายธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้ข้อตกลงแฟรนไชส์ที่ รัตนากร แอสเซท สามารถพัฒนาพื้นที่สำนักงานให้เช่าแบบยืดหยุ่น (Flexible Workspace) ได้ทุกจังหวัดทั่วทุกภูมิภาคในประเทศไทย ยกเว้นกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยในปี 2565 รัตนากร แอสเซท ร่วมมือกับ IWG เปิดศูนย์ใหม่ จำนวน 5 แห่ง ได้แก่ ในเมืองพัทยา จำนวน 2 แห่ง ในชลบุรี ศรีราชา และระยอง พื้นที่ละ 1 แห่ง ซึ่งการเปิดศูนย์แห่งใหม่นี้เป็นกลยุทธ์การขยายธุรกิจร่วมกันระหว่าง IWG และ รัตนากร แอสเซท โดยตั้งเป้าเปิดศูนย์อย่างน้อย 40 แห่งทั่วไทยภายใน 10 ปี   นายมาร์ค กล่าวว่า ความต้องการ ในการทำงานแบบไฮบริด ของหลายธุรกิจที่เพิ่มสูงขึ้นนี้ ประกอบกับการคิดทบทวนใหม่ ในกลยุทธ์การดำเนินงานด้านอสังหาริมทรัพย์ จึงเกิดเป็นความร่วมมือทางธุรกิจร่วมกับรัตนากร แอสเซท ที่จะเอื้อประโยชน์ให้เกิดการขยายธุรกิจได้รวดเร็วขึ้น ตอบสนองความต้องการของผู้คนในการทำงานแบบไฮบริดทั่วประเทศไทย และรองรับการขยายตัวของสังคมเมือง ซึ่งเป็นหนึ่งในเมกะเทรนด์ที่เกิดขึ้นทั่วโลกมาอย่างต่อเนื่อง การกระจายความเจริญจากเมืองหลวงสู่หัวเมืองใหญ่ ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน ทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคมในหลากมิติ   ปัจจุบัน IWG ผู้ให้บริการพื้นที่สำนักงานให้เช่าในรูปแบบ Flexible Workspace แถวหน้าระดับโลก เปิดดำเนินการมาเป็นเวลากว่า 30 ปี  สำหรับในประเทศไทยนั้น IWG เปิดให้บริการตั้งแต่ปี 2542 ปัจจุบันมีสาขาเปิดให้บริการในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดทั้งสิ้น 26 แห่งนับตั้งแต่ต้นปี 2564 IWG มีลูกค้าใหม่ในเครือข่ายทั่วโลกเพิ่มขึ้นถึง 2 ล้านราย เนื่องจากบริษัทต่าง ๆ รับรู้ถึงประโยชน์ของการให้พนักงานเข้าถึงสำนักงานให้เช่าระดับมืออาชีพที่มีอุปกรณ์ครบครันที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองบนทำเลไม่ไกลจากที่พักอาศัย   ด้านนายจักรรัตน์ เรืองรัตนากร กรรมการผู้จัดการ บริษัท รัตนากร แอสเซท จำกัด บริษัทอสังหาริมทรัพย์ของไทยที่มีประสบการณ์มากกว่า 20 ปี มีมูลค่าสินทรัพย์กว่า 33,000 ล้านบาท ดำเนินงานครอบคลุม ทั้งที่อยู่อาศัย พื้นที่ค้าปลีก โรงงาน และโรงแรม กล่าวว่า บริษัทมีแผนจัดหาพื้นที่สำนักงานให้เช่าในพื้นที่ซึ่งเป็นศูนย์กลางของแต่ละภูมิภาค อย่างเชียงใหม่ เชียงราย และภูเก็ต โดยศูนย์เหล่านี้จะอยู่ในโครงการมิกซ์ยูสที่มีอยู่แล้วบางส่วน รวมถึงโรงแรม คอนโดมิเนียม ห้างสรรพสินค้า และพื้นที่ค้าปลีกที่บริษัทบริหารจัดการอยู่ เพื่อให้ลูกค้าได้มีพื้นที่ทำงานที่สะดวกสบายพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ โดยจะช่วยยกระดับชีวิตของผู้คนให้ใช้ชีวิตอย่างสมดุล ทั้งการทำงานและการใช้ชีวิตส่วนตัว นี่เป็นการตอบโจทย์แนวโน้มการทำงานแบบไฮบริด คนกลุ่มนี้จะแสวงหาสถานที่ใหม่ ๆ ที่ชื่นชอบและเลือกใช้เป็นสถานที่ในการทำงานสำหรับพวกเขา ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ยังก่อให้เกิดประโยชน์แก่ธุรกิจท้องถิ่นอีกด้วย การทำธุรกิจไม่จำเป็นต้องมีสำนักงานเป็นของตัวเอง หรือทำสัญญาเช่าระยะยาวอีกต่อไป นายจักรรัตน์ กล่าวอีกว่า ​IWG เป็นโคเวิร์กกิ้งสเปซที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยแบรนด์ที่หลากหลาย ดังนั้น รัตนากร แอสเซท จึงร่วมมือกับ IWG เพราะเชื่อมั่นในธุรกิจ flexspace หรือ พื้นที่พร้อมใช้ตามความต้องการ และมองเห็นโอกาสในการเติบโตของธุรกิจนี้ การเป็นพันธมิตรทางธุรกิจระหว่างรัตนากร แอสเซท กับ IWG มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาร่วมกัน ซึ่งจะส่งผลให้รัตนากร แอสเซท สามารถขยายธุรกิจและเติบโตต่อไปในอนาคต​​
อัพเดท ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนธันวาคม 64

อัพเดท ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนธันวาคม 64

อัพเดท ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด อัพเดท ดอกเบี้ย กู้ซื้อบ้านและคอนโด เดือนธันวาคม 64  ภาพรวมแบงก์ยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้เท่าเดิม สำหรับปล่อยกู้ให้ลูกค้า เพื่อขอสินเชื่อซื้อที่อยู่อาศัย โดยแบงก์ออมสิน ออกแคมเปญอัตราดอกเบี้ยต่ำสุด 0% นาน 6 เดือน เราได้เดินทางมาถึงเดือนสุดท้ายของปี 2564 กันแล้ว เวลาผ่านไปเร็วมากในแต่ละปี  และปีนี้ก็เป็นอีกปีหนึ่งที่เราต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่ปัจจุบันสถานการณ์ก็ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง คนส่วนใหญ่ได้รับวัคซีนครบตามกำหนด ทำให้อัตราการเสียชีวิตของคนไทยลดต่ำลง   สำหรับสถานการณ์ของธุรกิจก็มีแนวโน้มที่ดีขึ้น จากนโยบายการเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ หลายธุรกิจก็เริ่มฟื้นตัวขึ้นมาบ้าง แต่หลายธุรกิจก็ยังเผชิญกับผลกระทบจากโควิด-19 ส่วนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ หลายบริษัทที่ปรับตัวได้ดี และมีการบริหารสต็อกอย่างมีประสิทธิภาพ ก็ยังคงทำยอดขายและรายได้ต่อเนื่อง แต่ก็มีหลายบริษัทที่ยังต้องฝ่าฟันกับวิกฤตครั้งนี้ต่อไป   ส่วนช่วงเดือนสุดท้ายของปีเช่นนี้ แน่นอน เป็นจังหวะของการทำตลาดการส่งเสริมการขาย โค้งสุดท้ายของปีนี้ ที่จะทำให้ผลประกอบการเป็นไปตามเป้าหมายที่ได้วางไว้ ดังนั้น เราจึงเห็นแคมเปญการตลาดออกมามากมาย รวมถึงการเปิดตัวโครงการใหม่ด้วย ใครเล็งทำเลไหน บ้านระดับราคาเท่าไร และมีความพร้อมความต้องการ ก็เป็นโอกาสดีที่จะเลือกซื้อ ซึ่งไม่เพียงแต่แคมเปญการตลาดจากฝั่งดีเวลลอปเปอร์เท่านั้น ด้านสถาบันการเงิน ก็ยังรักษาอัตราดอกเบี้ยอยู่ในภาวะต่ำ เหมาะอย่างยิ่งที่จะกู้เงินซื้อบ้านสักหลัง ใครวางแผนไว้แล้ว ก็ลองพิจารณาเปรียบเทียบกันดู ส่วนแบงก์ไหนให้ดอกเบี้ยน่าสนใจอย่างไรบ้าง ลองพิจารณากันดูได้เลย 1.ธนาคารกรุงเทพ สำหรับการธนาคารกรุงเทพ มีสินเชื่อบ้านบัวหลวง ที่ให้บริการลูกค้า 2 กลุ่ม คือ ลูกค้าพนักงานที่มีรายได้ประจำ และลูกค้าทั่วไป  โดยอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ประจำเดือนธันวาคมยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา อัตราดอกเบี้ยเฉพาะพนักงานที่มีรายได้ประจำ  วงเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท  (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1   ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.00%) หลังจากนั้น 5.2%  (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.65% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3  อัตราดอกเบี้ย 4.2% (MRR-1.75%) หลังจากนั้น 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.65%   อัตราดอกเบี้ยเฉพาะพนักงานที่มีรายได้ประจำ วงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 5 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.45% (MRR-1.50%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.58% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3  อัตราดอกเบี้ย 4.075% (MRR-1.875%) หลังจากนั้น 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.58% อัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับลูกค้าทั่วไป วงเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.50% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.00%) หลังจากนั้น  5.45% (MRR-0.50%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.87% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 4.45%(MRR-1.50%) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.45%(MRR-1.50%) หลังจากนั้น 5.45%  (MRR-0.50%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.9% อัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับลกค้าทั่วไป วงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 5 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.7%(MRR-1.25%) หลังจากนั้น 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.57% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 4.075%(MRR-1.875%) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.075% (MRR-1.875%) หลังจากนั้น 5.2%(MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.58%   -กรณีวงเงิน ตั้งแต่ 500,000 บาทแต่ไม่เกิน 1 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ย คงที่ปีแรก 4.75% หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีวงเงินต่ำกว่า ​500,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีหลักประกันสิทธิการเช่า ​คิดอัตราดอกเบี้ย​ MRR-0.75% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีหลักประกันที่ดินเปล่าเพื่อการอยู่อาศัย คิดอัตราดอกเบี้ย ​MRR-0.25% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา   หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับผู้ที่ยื่นคำขอสินเชื่อพร้อมเอกสารครบถ้วน ตั้งแต่วันที่ 14 ต.ค.- 31 ธ.ค.​ 64 โดยผู้กู้ต้องลงนามในสัญญากู้ภายใน 1 เดือน นับตั้งแต่วันที่อนุมัติสินเชื่อ​และจดทะเบียนจำนองพร้อมเบิกเงินกู้งวดแรกหรือทั้งหมดภายใน 2 เดือน นับตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญา ​ -พนักงานที่มีรายได้ประจำ หมายถึง พนักงานที่มีรายได้หลัก หรือ มีความสามารถในการชำระคืนหลัก จากรายได้ประจำ -รูปแบบการชำ​ระแบบคงที่ เลือกผ่อนได้ทุกทางเลือก/รูปแบบการผ่อนชำ​ระแบบขั้นบันได เลือกผ่อนได้เฉพาะทางเลือกที่ 1 -อัตราส่วนวงเงินกู้สูงสุดและมูลค่าหลักประกันให้เป็นไปตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย -อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบันตามประกาศของธนาคาร ณ วันที่ 17 มิ.ย. 64 เท่ากับ 5.95% ต่อปี -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยรวมทั้งหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ​​ 2.ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงไทย มีสินเชื่อสำหรับบ้านใหม่ แคมเปญ สินเชื่อบ้านกรุงไทย…สุขใจถ้วนหน้า โดยไม่คิดค่า  ธรรมเนียมยื่นกู้  โดยเดือนนี้อัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ไม่มีการเปลี่ยนเปลี่ยนแปลงจากช่วงเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา​ดังนี้ แบบทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0.75%  ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 3.82% (MRR-2.4%) ปีที่ 3 ดอกเบี้ย 3.82% (MRR-2.4%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.80% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.04% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.0%  ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 3.82% (MRR-2.4%) ปีที่ 3 ดอกเบี้ย 3.87% (MRR-2.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.90% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.08%   สินเชื่อสำหรับการกู้ซื้อบ้านที่ธนาคารออกค่าจดจำนองให้** และ ฟรี ค่าธรรมเนียมยื่นกู้ แบบทำประกัน  คิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0.75% ไม่เปลี่ยนแปลง ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 3.97% (MRR-2.25%) ปีที่ 3 ดอกเบี้ย 3.97% (MRR-2.25%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.90% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.24% แบบไม่ทำประกัน  คิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.0%  ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 3.97% (MRR-2.25%) ปีที่ 3 ดอกเบี้ย 4.02% (MRR-2.20%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.0% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา = 4.27%   การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ* : ทำประกันทางเลือกใด ทางเลือกหนึ่ง ดังนี้ 1.ทำ MRTA/GLT SP เต็มวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 10 ปี 2.ทำ MRTA/GLT SP 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลากู้ 3.ทำ MRTA/GLT SP 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลากู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 15 ปี ทั้งนี้ การทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อเป็นไปตามความสมัครใจของลูกค้า และไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ **ธนาคารออกค่าจดจำนองให้ 1% สูงสุดไม่เกินรายละ 200,000 บาท หากลูกค้าปิดบัญชีก่อน 5 ปี ธนาคารจะเรียกเก็บค่าจดจำนองคืน ***อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (EIR) คำนวณจากวงเงินกู้ 1.00 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี ผ่อนชำระ 6,500 บาท/เดือน เงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด การพิจารณาสินเชื่ออยู่ภายใต้ดุลยพินิจของธนาคาร ยื่นสมัครสินเชื่อ ภายในวันที่ 30 ธ.ค. 2564 MRR = 6.22% ต่อปี (ณ 1 เม.ย. 2564) 3.ธนาคารกรุงศรี ธนาคารกรุงศรี มีสินเชื่อบ้านกรุงศรี เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย (บ้านใหม่/บ้านมือสอง) สำหรับลูกค้าทั่วไป โดยมีแคมเปญฟรี ค่าธรรมเนียมสำรวจ และค่าประเมินอัตราดอกเบี้ยยังคงเท่าเดิมจากเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากมีระยะเวลาการใช้อัตราดอกเบี้ยตั้งแต่ 1 ก.ย.- 31 ธ.ค. 64 โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ดังนี้ สำหรับการกู้ในวงเงิน 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 5 ล้านบาท ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.9% ( MRR-3.15%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.05% (MRR-2.00%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป 4.95% (MRR-1.10%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.97% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.39% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 เดือนที่ 1-6 อัตราดอกเบี้ย 1.50% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย MRR-1.60% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.7% (MRR-1.35%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.10%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.21% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.52% สำหรับการกู้เงินในวงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.55%  (MRR-3.50%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.3%  (MRR-2.75%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 4.7% (MRR-1.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.52% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.02% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 เดือนที่ 1-6 อัตราดอกเบี้ย 1.25% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย 4.1% (MRR-1.95%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.3% (MRR-1.75%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป 4.7%  (MRR-1.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.89% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.23% หมายเหตุ * อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงการแสดงตัวอย่าง โดยคำนวณจากฐานวงเงินกู้ 2 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 5 ล้านบาท และฐานวงเงินกู้ 5 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ด้วยระยะเวลาการกู้ 10 ปี ในกรณีที่ลูกค้า ซื้อ MRTA/MLTA หากค่าเบี้ย MRTA/MLTA เปลี่ยนแปลง อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอาจเปลี่ยนแปลงได้ เงื่อนไขการรับสิทธิพิเศษสาหรับลูกค้าที่ซื้อประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ (MRTA/MLTA) -รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ต่อปี เฉพาะในปีที่ 1 จากอัตราดอกเบี้ยทุกทางเลือก ลูกค้าต้องซื้อ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการตามเงื่อนไขดังนี้ 1.ผลิตภัณฑ์ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการได้แก่ MRTA : แผนกรุงศรี เซฟตี้โลน 1 พลัส หรือ กรุงศรี เซฟตี้โลน 1 หรือ กรุงศรี เซฟตี้โลน 2 / MLTA : กรุงศรี รักบ้าน รักคุณ หรือกรุงศรี รักบ้าน รักคุณ พลัส เท่านั้น 2.กรณีผู้กู้หลักเป็นพนักงานเงินเดือนที่มีรายได้ ประจำ​ต้องซื้อ MRTA/MLTA 100% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี หรือซื้ออย่างน้อย 70% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความ คุ้มครองไม่ต่ำกว่า 20 ปี 3.กรณีผู้กู้หลักเป็นผู้ประกอบธุรกิจส่วนตัว ต้องซื้อ MRTA/MLTA อย่างน้อย 80% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 10 ปี หรือซื้อย่างน้อย 50% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี 4.กรณีมีผู้กู้ร่วม สามารถซื้อ MRTA/MLTA เฉพาะผู้กู้หลักเพียงคนเดียวได้ หรือหากผู้กู้ร่วมประสงค์ที่จะซื้อ MRTA/MLTA ด้วย ผู้กู้หลักและผู้กู้ร่วมทุกคนจะต้องมีทุนประกันขั้นต่ำในสัดส่วนที่เท่ากัน ขอสงวนสิทธิ์ในการปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย เป็นอัตราดอกเบี้ยปกติตามที่ลูกค้าได้เลือกไว้ โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ในกรณีที่บริษัทประกันไม่ อนุมัติ MRTA/MLTA หรือในกรณีที่ลูกค้าขอยกเลิก MRTA/MLTA -ตามประกาศธนาคาร ณ วันที่ 21 พ.ค. 63 อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.05% ต่อปี -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. 64 – 31 ธ.ค. 64 โดยจดจำานองและเบิกรับเงินกู้ภายในวันที่ 31 ม.ค. 65 -ค่าธรรมเนียมอื่น ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร -การพิจารณา อนุมัติสินเชื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด -วงเงินกู้อนุมัติสูงสุดเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด และไม่เกินกว่า วงเงินกู้สูงสุดต่อมูลค่าหลักประกัน (ราคาซื้อขาย) ตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์เรียกเก็บค่าเบี้ยปรับกรณีปิด ภาระหนี้ก่อนกำหนด (กรณีที่ลูกค้ารีไฟแนนซ์ไปสถาบันการเงินอื่นภายใน 3 ปีแรกนับจากวันทำสัญญา) คิดเป็น 3% ของยอดหนี้คงเหลือ 4.ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกสิกรไทย มีสินเชื่อกู้ซื้อบ้านสำหรับบ้านใหม่ให้กับลูกค้าทั่วไป โดยพิจารณาเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีรายได้ประจำ และกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการ ซึ่งเดือนนี้อัตราดอกเบี้ยไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ดังนี้ สำหรับลูกค้าที่มีรายได้ระจำ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย = n.a. อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 7.72% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 7.72% สำหรับลูกค้าผู้ประกอบการ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย = n.a. อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 8.22% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 8.22% % หมายเหตุ : -อัตราดอกเบี้ย MRR = 5.97% (ประกาศ ณ วันที่ 22 พ.ค. 63) -อัตราดอกเบี้ยข้างต้นสำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้สินเชื่อบ้านตั้งแต่ 20 ก.ค.  – 31 ธ.ค. 64 -สำหรับที่อยู่อาศัยทุกประเภทรวมอาคารพาณิชย์ยกเว้น Refinance และการปล่อยกู้เพื่อซื้อที่ดินเปล่า -มีค่าสำรวจและประเมินราคาหลักประกันโดยบริษัท โพรเกรส แอพไพรซัล หรือบริษัทประเมินที่ธนาคารรับรอง คิดขั้นต่ำ 3,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) -วงเงินให้กู้สูงสุดไม่เกิน 90% ของเราซื้อขายและไม่เกิน 90% ของราคาประเมินหลักประกัน 5.ธนาคารเกียรตินาคิน ธนาคารเกียรตินาคิน มีสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย (บ้านใหม่ : กรณีซื้อบ้านจากบริษัทพัฒนา อสังหาริมทรัพย์ที่ธนาคารกำหนด) ซึ่งคิดอัตราดอกเบี้ยในอัตราดเดิมเท่ากับเดือนที่ผ่านมา โดยธนาคารเกียรตินาคินมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ดังนี้ ดอกเบี้ยคงที่ 2 ปี แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  2.450%-2.750% ปีต่อไป ดอกเบี้ย  4.775% (MLR-1.75%) แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.650%-2.950% ปีต่อไป ดอกเบี้ย 4.775% (MLR-1.75%) ดอกเบี้ยคงที่ 3 ปี แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.60%-2.99% ปีต่อไป ดอกเบี้ย 4.775% (MLR-1.75%) แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.80%-3.19% ปีต่อไป ดอกเบี้ย 4.775% (MLR-1.75%) หมายเหตุ 1.อัตราดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับปัจจัยอ้างอิง เช่น อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR) ซึ่งธนาคารจะแจ้งให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว  โดยจะประกาศไว้ ณ สถานที่ทำการให้บริการและ​เว็บไซต์ของธนาคาร 2.MLR ณ วันที่​ 18 สิงหาคม 2563 เท่กับ​ 6.525% ต่อปี 3.เลือกทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ​(MRTA)ผ่านธนาคาร ทุนประกันภัยเท่ากับวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาเอาประกันภัยขั้นต่ำ 10 ปี กรณีที่ระยะเวลาการกู้ไม่ถึง 10 ปี ให้ระยะเวลาเอา​​​​​​ประกันภัยเท่ากับระยะเวลาการกู้ 4.กรณี Refinance ไปสถาบันการเงินอื่นก่อนครบ 3 ปี แรก คิดค่า​ Prepayment Penalty 3% ของเงินต้นคงค้าง 5.​กรณีเลือกใช้เงื่อนไขอัตราดอกเบี้ยแบบฟรีค่าจดจำนอง ​​หากลูกค้า Re-Finance หรือชำระปิดบัญชีก่อนระยะเวลาที่กำหนดไว้ ลูกค้าต้องชำระค่าจดจำนองที่ธนาคาร เคยสำรองจ่ายให้แก่ธนาคาร​ 6.ค่าประเมินหลักประกันเริ่มต้น 3,210 บาท  ค่าอากรแสตมป์ 0.05% ของวงเงินกู้ (สูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท) 7.เบี้ยประกันอัคคี ​เป็นไปตามที่บริษัทประกันภัยกำหนด ​โดยผู้กู้สามารถเลือกทำประกันกับบริษัทที่น่าเชื่อถือใดก็ได้ ​ a.อัตราส่วนวงเงินกู้ยืมสูงสุด ต่อหลักประกัน 100% ของราคาซื้อขายจริง หรือราคาประเมินธนาคาร แล้วแต่ราคาใดต่ำกว่า ยกเว้นธนาคารมีกำหนดเงื่อนไขพิเศษอื่น ๆ สำหรับบางโครงการ อาจจะได้รับอัตราส่วนวงเงินกู้ยืมสูงสุดต่อหลักประกัน​ 100% b.ระยะเวลากู้สูงสุด ​30 ปี (อายุผู้รวมระยะเวลากู้ไม่เกิน 65 ปี สำหรับพนักงานเงินเดือนประจำ และไม่เกิน 70 ปี สำหรับเจ้าของกิจการ/ธุรกิจส่วนตัว) 6.ธนาคารซีไอเอ็มบี ธนาคารซีไอเอ็มบี สินเชื่อบ้าน โฮมโลนฟอร์ยู ให้กับพนักงานประจำ ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ ผู้ประกอบการ และเจ้าของกิจการ  โดยคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับเดือนที่ผ่านมา ซึ่งธนาคารซีไอเอ็มบี มีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ดังนี้ สำหรับพนักงานประจำ รายได้ 15,000 บาท หรือเจ้าของกิจการรายได้ 30,000 บาท ประเภททำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.25% (MRR-3.10%) ระยะเวลาที่เหลือ ดอกเบี้ย 5.35% (MRR-2.00%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.25% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.07% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.55% (MRR-2.80%) หลังจากนั้น 5.35% (MRR-2.00%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.15% หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินกู้ 2 ล้านบาท ระยะเวลากู้ 15 ปี (MRR=7.35% ประกาศ ณ วันที่ 10 เมษายน 2563) -ธนาคารยังมีอัตราดอกเบี้ยสำหรับพนักงานประจำรายได้ 30,000-50,000 หรือเจ้าของกิจการรายได้ 50,000 บาทขึ้นไปไว้พิจารณาด้วย รวมถึงสินเชื่อสำหรับโครงการที่ธนาคารเป็นผู้สนับสนุน 7.ธนาคารทีทีบี ธนาคารทีทีบี มีสินเชื่อบ้านใหม่ สำหรับการซื้อบ้านหรือคอนโดจากโครงการทั่วไป จะได้รับฟรีค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย ค่าจดทะเบียนจำนอง และค่าประเมินหลักทรัพย์ ซึ่งยังคงใช้อัตราดอกเบี้ยเท่ากับเดือนพฤศจิกายนผ่านมา  โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ดังนี้ สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ทางเลือก 1 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.05% (MRR-2.23%) หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.05% ดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.46% ทางเลือก 2 (ฟรีค่าจดจำนอง) ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.4% (MRR-1.88%) หลังจากนั้น 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.4% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.57% ทางเลือก 3 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 4.65% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา ดอกเบี้ย 4.65%   หมายเหตุ สมัครผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ได้แก่ 1.สมัครประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ สไมล์โฮม หรือ สไมล์โฮม พลัส ​ 2.สมัครใช้บริการหักบัญชีอัตโนมัติผ่านบัญชีออมทรัพย์ ทีทีบี เพื่อผ่อนชำระสินเชื่อบ้าน 3.สมัครบัตรเดบิต ttb (กรณีที่คุณมีบัตรเดบิต ttb แล้ว ไม่ต้องสมัครเพิ่ม) กู้ซื้อบ้าน คอนโดใหม่ กับทีทีบี รับข้อเสนอพิเศษ ด้วยอัตราดอกเบี้ย ให้เลือก 2 แบบ ดังนี้ แบบที่ 1 สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท -รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษนาน 3 ปี -ฟรีประกันอัคคีภัยมูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท -ฟรีค่าจดทะเบียนจำนอง 1% ของเงินกู้สูงสุดถึง 200,000 บาท -ฟรี ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรม จำนอง แบบที่ 2 สมัครผลิตภัณฑ์เสริมไม่ครบทั้ง 3 ประเภท​ -ฟรีประกันอัคคีภัย มูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท -ฟรี ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรม จำนอง หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมรวมถึงสิทธิพิเศษต่าง ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร -MRR (Minimum Retail Rate : อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อยชั้นดี) = 6.28% ต่อปี ณ วันที่ 7 พ.ค. 64 -การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ (MRTA) ไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ ทำเพื่อประโยชน์หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นกับผู้กู้ในขณะที่ยังชำระหนี้ไม่ครบถ้วน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของผู้กู้และธนาคาร และไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ -สำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.-31 ธ.ค.64 และจดจำนองภายใน 31 ม.ค. 65 8.ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ มีสินเชื่อบ้านสำหรับลูกค้าทั่วไป โดยคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับช่วงเดือนที่ผ่านมา ซึ่งอัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารไทยพาณิชย์ คิดมีอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ดังนี้ แบบไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.995% ปีต่อไป MRR = 5.995% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.995% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.995% แบบทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ มากกว่าหรือเท่ากับ 70% ของวงเงินกู้ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.950% ปีต่อไป MRR = 5.995% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.950% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.983% หมายเหตุ -กรณีใช้ดอกเบี้ย​แบบทำประกัน​ Credit Life 70% กำหนดให้ทำทุนประกันไม่น้อยกว่า 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลาเอาประกัน 70% ของระยะเวลากู้ตามสัญญา โดยกำหนดให้เอาระยะเวลาขั้นต่ำ 10  ปี (กรณีระยะเวลากู้ตามสัญญาต่ำ​10 ปี กำหนดให้ระยะเวลาเอาประกันเท่ากับระยะเวลากู้ตามสัญญา) ​-ประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ รับประกันภัยโดย บมจ. ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต บริษัทนเครือกลุ่มเอฟดับบลิวดี หากต้องการสอบถามรายละเอียด เกี่ยวกับการประกันภัยเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ ศูนย์บริการลูกค้า โท​ร. 1315 ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.00 – 20.00 น. -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจรายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข ​​ก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุก​ ธนาคารเป็นเพียงนายหน้าผู้ชี้ช่อง หรือจัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันภัยเท่านั้น ​การพิจารณารับประกัน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการรับประกันภัย ของบริษัทประกันภัย -อัตราดอกเบี้ย MRR ของธนาคารไทยพาณิชย์ เท่ากับ 5.995% ต่อปี ​(ประกาศ ณ วันที่ 9 สิงหาคม 2564) ซึ่งอาจะเปลี่ยนแปลงได้ตามประกาศธนาคาร -อัตราดอกเบี้ยแท้จริงที่ระบุในตารางเป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในฉบับนี้เท่านั้น ​ซึ่งอาจะมีความแตกต่างกัน ตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีลูกค้าบอกเลือกประกันชีวิต หรือขอเวนคืนกรมธรรม์ หรือทำประกันไม่ครบกำหนดตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ​ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยวงเงินกู้ เป็นอัตราดอกเบี้ยทั่วไป  ตามประกาศธนาคาร ระยะเวลากู้ตามสัญญา วงเงิน ระยเวลาผ่อนชำระ อัตราดอกเบี้ย คุณสมบัติ เอกสารปรกอบการพิจารณา และการอนุมัติเป็นไปตามเงื่อนไข หลักเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด 9.ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์  หรือ ธอส. มีสินเชื่อสำหรับการซื้อบ้านหลากหลายประเภท โดยประเภทสินเชื่อโครงการบ้าน ธอส. เพื่อคุณ ปี 2564 ​มีการคิดอัตราดอกเบี้ย ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา  โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ดังนี้ ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.75% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.75% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.75% (MRR-1.4%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 5.4% หมายเหตุ ยื่นคำขอกู้และอนุมัติตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. 64 – 30 ธ.ค. 64   (ธนาคารสงวนสิทธิ์ในการกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดโครงการก่อนกำหนด หากธนาคารให้สินเชื่อเติมวงเงินของโครงการแล้ว) อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.15% ประกาศ ณ วันที่ 25 พฤษภาคม 2563 10.ธนาคารยูโอบี ธนาคารยูโอบี มีสินเชื่อบ้านสำหรับโคงการหมู่บ้านทั่วไป  โดยมีการคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับ​เดือนที่ผ่านมา  ธนาคารยูโอบีมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด  ดังนี้ ทางเลือก 1 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.55% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.55% (MRR-3.80%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.87% ทางเลือกที่ 2 ไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.75% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.75% (MRR-3.60%) หลังจากนั้น 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.75% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.95% ทางเลือกที่ 3 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.0% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.95% (MRR-2.40%) หลังจากนั้น 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.65% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.88% ทางเลือกที่ 4 ไม่ทำประกันคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.20% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 5.15% (MRR-2.20%) ปีที่ 4 อัตราดอกเบี้ย 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.85% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.96% หมายเหตุ -ขอสินเชื่อตั้งแต่ 1 ก.ย. – 30 ธ.ค. 64 และจดจำนองหลักประกันกับธนาคารภายใน 31 ม.ค.​ 65 -อัตราดอกเบี้ยแบบทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ผ่านธนาครยูโอบี >ทุนประกันเต็มวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันขั้นต่ำ 10 ปี หรือ >ทุนประกันขั้นต่ำ 80% ของวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันเต็มตามระยะเวลากู้ -อัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 1 ล้านบาท อายุสัญญา 15 ปี MRR=7.35% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้น เป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในสื่อโฆษณาเท่านั้น อัตราดอกเบี้ยสำหรับการทำสัญญากู้ยืมของลูกค้าแต่ละรายอาจะมีความแตกต่างกันตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีไถ่ถอนจำนองเพื่อไปใช้บริการกับสถาบันการเงินอื่น ​(Re-finance) ในช่วงระยะเวลา 3 ปีแรก นับจากวันที่กู้ จะมีค่าปรับ 3% ของยอดเงินต้นคงค้าง (เฉพาะวงเงินสินเชื่อที่มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดหาที่อยู่อาศัยเท่านั้น)​ -การอนุมัติสินเชื่อ​เป็นไปตำมหลักเกณฑ์ของธนาคาร​ -เพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้น อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบันเท่ากับ  7.35% ต่อปี ​(ตามประกาศธนาคารณ วันที่ 1 เม.ย. 64) อนึ่ง ธนาคารสามารถประกาศปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย​ MRR ได้ตามเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดอนุญาตไว้​ -อัตราค่าธรรมเนียมและค่าบริการต่าง ๆ​เป็นไปตามประกาศที่ธนาคารจัดทำไว้  และประกาศให้ทราบตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยธนาคารอาจเปลี่ยนแปลงอัตราค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ได้โดยจะแจ้งให้ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน โดยการปิดประกาศไว้ ณ ที่ทำการ หรือเว็บไซต์ของธนาคาร​ -ธนาคารยูโอบีในฐานะนายหน้าประกันภัย ​(ใบอนุญาตประกันชีวิต​เลขที่ ช.00026/2545 และใบอนุญาตประกันวินาสภัย​ เลขที่ ว.00020/2546) ทำหนี่เสนอผลิตภัณฑ์ด้านประกันภัยและเป็นผู้จัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันชีวิต/ประกันวินาศภัย และอำนวยความสะดวกในการรับชำระเบี้ยประกันเท่านั้น  รับประกันชีวิตโดยบริษัท พรูเด็นเชียลประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), รับประกันวินาศภัยโดย บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน), บริษัท แอกซ่าประกันภัย จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอ็ม เอส ไอ จี ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ​จะเป็นผู้รับผิดชอบตามเงื่อนไข ความคุ้มครองและสิทธิประโยชน์ตามที่ได้ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครองและเงื่อนไขก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง 11.ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีสินเชื่อเพื่อการซื้อที่อยู่อาศัย คือ โฮมโลน โดนใจ สินเชื่อบ้านดอกเบี้ยต่ำเริ่มต้น 1.9% (สำหรับผู้มีรายได้ 75,000 บาทขึ้นไป) โดยมีการคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับช่วงเดือนที่ผ่านมา ซึ่งธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ดังนี้ อัตราดอกเบี้ยสำหรับผู้กู้มีรายได้ตั้งแต่ 20,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 2.0% ต่อปี แบบที่ 1 ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.00% (MRR-5.35%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.80% (MRR-3.55%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป 5.10% (MRR-2.25% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.60% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.57% แบบที่ 2 ปีที่ 1-2 ดอกเบี้ยคงที่ 2.10%  (ผ่อนต่ำล้านละ 3,500 บาท 2 ปีแรก) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.20% (MRR-3.15%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป 5.10% (MRR-2.25%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.80% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.69% แบบที่ 3 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.55% (MRR-4.80%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 5.10% (MRR-2.25%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.63% แบบที่ 4 ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ยคงที่ 2.75% (ผ่อนต่ำล้านละ 3,500 บาท 3 ปีแรก) ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 5.10% (MRR-2.25%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.75% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.76% เงื่อนไข กรณีลูกค้าเลือกทำประกัน MRTA/MLTA ผ่านธนาคาร : 1.กรณีที่ลูกค้าทำประกัน MRTA/MLTA ผ่านธนาคาร ธนาคารทดรองจ่ายค่าจดจำนองให้ 1% ของวงเงินกู้อนุมัติ หรือ สูงสุดไม่เกิน 2 แสนบาท (ทั้งนี้ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเรียกเก็บเงินทดรองจ่ายค่าจดจำนองดังกล่าวคืนจากลูกค้า กรณีลูกค้าปิดบัญชีสินเชื่อ หรือ เปลี่ยนแปลงสัญญาใด ๆ ภายใน 5 ปีแรก ทุกกรณี นับจากวันทำนิติกรรมจดจำนอง) 2.กรณีสมัครทำประกันชีวิต ต้องสมัครทำ MRTA/MLTA ทุนประกัน 100% ของวงเงินสินเชื่อ ระยะความคุ้มครองขั้นต่ำ 10 ปี หมายเหตุ -โครงการจัดสรรในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เท่านั้น* -ราคาซื้อขายของหลักประกันต้องมีราคา (แนวราบ) ไม่น้อยกว่า 2.00 ล้านบาท , (แนวสูง) ไม่น้อยกว่า 2.50 ล้านบาท -ลูกค้าสามารถเลือกใช้อัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำ ล้านละ 3,500 บาท  กรณีเลือกอัตราดอกเบี้ยคงที่** -ยกเว้น ค่าประเมินราคาหลักประกัน (โครงการจัดสรรทุกโครงการที่มีราคาซื้อขาย 2 ล้านบาทขึ้นไป)*** -ระยะเวลากู้สูงสุด 40 ปี รวมอายุผู้กู้ไม่เกิน 70 ปี**** -วงเงินกู้เพิ่มสูงสุด 10% จากสัญญาซื้อขาย เพื่อซื้อเฟอร์นิเจอร์ ตกแต่งบ้าน อัตราดอกเบี้ย 1) ทำประกัน MRTA/MLTA : ปีที่ 1-3 : MRR – 2.75% = 4.60% หรือ 2) ไม่ทำประกัน MRTA/MLTA : ปีที่ 1-3 : MRR – 2.25% = 5.10% , หลังจากนั้นปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR = 7.35% ***** -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่าง อัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี MRR = 7.35% (ณ 1 เม.ย. 64) ที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในโฆษณาฉบับนี้เท่านั้น ซึ่งอาจมีความแตกต่างตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -การพิจารณาคุณสมบัติของลูกค้าแต่ละรายให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ตามที่ธนาคารกำหนด -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์การพิจารณาสินเชื่อ โดยอยู่ในดุลยพินิจของธนาคาร ทั้งนี้เงื่อนไขต่างๆเป็นไปตามประกาศธนาคาร โดยมิต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า -อัตราดอกเบี้ย และโปรโมชั่น (มีวงเงินสินเชื่อจำกัด) สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อ โดยเบิกรับเงินกู้ ตั้งแต่ 1 ต.ค. – 31 ธ.ค. 64 -สำหรับอัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 1.9% สำหรับผู้กู้ที่มีรายได้ 75,000 บาทขึ้นไป ผ่อนต่ำเดือนละ 3,500 บาท ฟรีค่าจดจำนองสินเชื่อเมื่อซื้อประกันผ่านธนาคาร ฟรีค่าประเมินหลักประกัน 12.ธนาคารออมสิน ธนาคารออมสิน มีสินเชื่อเคหะ สำหรับให้บริการผู้ที่ต้องการกู้เงินเพื่อไปซื้อบ้านหรือคอนโด ภายใต้แคมเปญ อัตราดอกเบี้ย 0% 6 เดือนแรก ภาพรวมไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเดือนพฤศจิกายน มีเพียงอัตราดอกเบี้ยปีแรกที่เปลี่ยนแปลงเล็กน้อย โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ดังนี้​ กรณีทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ยเฉลี่ย 0.75% (เดือนที่ 1-6 ดอกเบี้ย 0% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย 1.5%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.525% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.525% (MRR-2.72%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.6% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.101% กรณีไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ยเฉลี่ย 1.0% (เดือนที่ 1-6 ดอกเบี้ย 0% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย 2.0%) ปรับลดลง 1.0% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 2.0% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 4.15% ปีที่​ 3 ดอกเบี้ย 4.15% (MRR-2.095%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.1% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.286%   เงื่อนไขการใช้อัตราดอกเบี้ยโปรโมชั่น 1.ประกัน หมายถึง ประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ 2.อัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำ MRR=6.245% (ตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2563) 3.รายละเอียดเพิ่มเติมสอบถามได้จากธนาคาร   ที่มา Reviewyourliving รวบรวมจากเว็บไซต์ธนาคาร ข้อมูล ณ วันที่ 2 ธันวาคม 64   บทความที่เกี่ยวข้อง อัพเดท ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ประจำเดือนพฤศจิกายนตุลาคม 2564 อัพเดท ดอกเบี้ย รีไฟแนนซ์ สินเชื่อกู้ซื้อบ้าน เดือนตุลาคม 2564 แบงก์ไหนให้ดอกเบี้ยถูกสุด
วัน แบงค็อก ดึง 6 ผู้รับเหมาพัฒนาเฟสแรก พื้นที่ 1.3 ล้านตร.ม.เสร็จใช้ปี 66

วัน แบงค็อก ดึง 6 ผู้รับเหมาพัฒนาเฟสแรก พื้นที่ 1.3 ล้านตร.ม.เสร็จใช้ปี 66

โครงการวัน แบงค็อก อภิมหาโปรเจ็กต์ 1.2 แสนล้าน แต่งตั้ง 6 ผู้รับเหมาแนวหน้า พัฒนาเฟสแรก พื้นที่ 1.3 ล้าน ตร.ม. กำหนดแล้วเสร็จปี 66   โครงการวัน แบงค็อก​ (One Bangkok) อภิมหาโปรเจ็กต์ที่มีมูลค่าการลงทุนกว่า 120,000 ล้านบาท (เฉพาะการลงทุนพัฒนาไม่รวมค่าที่ดิน) บนพื้นที่รวมกว่า 1.83 ล้านตารางเมตร  ของตระกูลสิริวัฒนภักดี หรือ “เสี่ยเจริญ” มหาเศรษฐีของเมืองไทย  ได้แต่งตั้ง 6 บริษัทผู้รับเหมา เพื่อพัฒนางานก่อสร้างอาคารต่าง ๆ   โดยจะพัฒนาในเฟสแรก ที่ประกอบด้วยอาคารสูง 8 อาคาร และพื้นที่รีเทลและพื้นที่ไลฟ์สไตล์ 3 แห่ง บนพื้นที่รวมทั้งหมด 896,000 ตารางเมตร ที่พร้อมจะเปิดให้บริการในปี 2566 ซึ่งเมื่อรวมกับพื้นที่งานโครงสร้างใต้ดิน 500,000 ตารางเมตร จะมีพื้นที่ของโครงสร้างในส่วนนี้ทั้งหมดกว่า 1.3 ล้านตารางเมตร สำหรับผู้รับเหมาแต่ละรายมีขอบข่ายงานดังนี้ 1.ไทยโอบายาชิ (บริษัท นันทวัน จำกัด) ดูแลงานก่อสร้างอาคารสำนักงาน พื้นที่รีเทลและพื้นที่ไลฟ์สไตล์ บนพื้นที่ 200,000 ตารางเมตร   2.อิตาเลียนไทย-ไทยทาเคนาคา (จากการร่วมทุนระหว่าง บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไทยทาเคนาคาสากลก่อสร้าง จำกัด) ดูแลงานก่อสร้างอาคารสำนักงาน พื้นที่รีเทลและพื้นที่ไลฟ์สไตล์ บนพื้นที่ 280,000 ตารางเมตร   3.บริษัท พรีบิลท์ จำกัด (มหาชน) ดูแลงานก่อสร้างอาคารสำนักงาน อาคารที่อยู่อาศัย พื้นที่รีเทลและพื้นที่ไลฟ์สไตล์ บนพื้น 260,000 ตารางเมตร   4.บริษัท วิศวภัทร์ จำกัด ดูแลงานก่อสร้างโรงแรมและอาคารที่อยู่อาศัย บนพื้นที่ 80,000 ตารางเมตร   5.บริษัท กรณิศ ก่อสร้าง จำกัด ดูแลงานก่อสร้างโรงแรม 2 อาคาร บนพื้นที่ 46,000 ตารางเมตร   6.บริษัท ที.ที.เอส.เอ็นจิเนียริ่ง (2004) จำกัด ดูแลงานก่อสร้างศูนย์ประชุม บนพื้นที่ 30,000 ตารางเมตร   สำหรับโครงการวัน แบงค็อก พัฒนาภายใต้บริษัท วัน แบงค็อก โฮลดิ้งส์ จำกัด เป็นกิจการร่วมทุนระหว่างบริษัท ทีซีซี แอสเซ็ทส์ (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮลดิ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด เมื่อเสร็จสมบูรณ์ จะเป็น โครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์โดยภาคเอกชนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทยใจกลางเมือง ซึ่งเมื่อเสร็จสมบูรณ์แล้วจะประกอบด้วยอาคารสูงทั้งหมด 11 อาคาร พื้นที่รีเทลและพื้นที่ไลฟ์สไตล์ 4 แห่ง ได้แก่ อาคารสำนักงานแบบพรีเมี่ยมเกรดเอ จำนวน 5 อาคาร พื้นที่รีเทล 4 โซน โรงแรมระดับลักชัวรี่ จำนวน 5 แห่ง อาคารที่พักอาศัยระดับลักชัวรี่อีกจำนวน 3 อาคาร   นอกจากนี้ ยังมีพื้นที่ศูนย์กลางสำหรับการจัดกิจกรรมและการแสดงผลงานทางศิลปะและวัฒนธรรมที่เชื่อมต่อทั่วถึงกันทั้งโครงการ โดยมีพื้นที่ทั้งหมดมีขนาด 104 ไร่ หรือ 166,440 ตารางเมตร บนถนนวิทยุและถนนพระราม 4 โครงการ วัน แบงค็อก พร้อมเปิดให้บริการเฟสแรกในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2566 และคาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ในปี 2570   นายปณต สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ลิมิเต็ด ผู้พัฒนาโครงการวัน แบงค็อก เปิดเผยว่า ได้จับมือร่วมกับผู้รับเหมาระดับแนวหน้าของไทย เดินหน้าการก่อสร้างเฟสแรกที่สมบูรณ์แบบที่สุด เป้าหมายเพื่อให้โครงการวัน แบงค็อกได้เป็นแลนด์มาร์คระดับโลกอย่างสง่างาม พร้อมดึงดูดนักลงทุนและนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ อีกทั้งเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนและกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศให้กลับคืนสู่ภาวะปกติโดยเร็ว   เรามีความเชื่อมั่นในการผสานพลังอันแข็งแกร่งของทุกภาคส่วน และด้วยมาตรฐานการก่อสร้างที่ใส่ใจในทุกมิติ ผู้รับเหมาทั้งหมดจึงล้วนผ่านการคัดสรรโดยพิจารณาจากความเชี่ยวชาญ ชื่อเสียง และประสบการณ์ในการก่อสร้างโครงการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศ นอกจากนั้น ผู้รับเหมาทุกรายต่างได้รับการรับรองมาตรฐานระดับนานาชาติทั้งในด้านการบริหารงานก่อสร้างที่เป็นระบบ คุณภาพ และความปลอดภัย ทำให้ระยะเวลาการก่อสร้างเป็นไปอย่างรวดเร็วตามแผนงานที่กำหนดและเปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพ หากเปรียบเทียบกับโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ระดับอินเตอร์เนชั่นแนลที่มีพื้นที่ใกล้เคียงกัน บริษัทยังคงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนของประเทศ รวมถึงเป็นผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่แข็งแกร่งของกรุงเทพฯ ในภูมิภาคนี้ ตามนโยบายของกลุ่มบริษัทเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้   ด้านนางสาว ซู หลิน ซูน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารโครงการ วัน แบงค็อก กล่าวเสริมว่า โครงการ วัน  แบงค็อก ถือเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่สุดใจกลางเมือง และมีความละเอียด ซับซ้อน ดังนั้นผู้พัฒนาโครงการและ ผู้รับเหมาทั้งหมดจึงต้องมีความเชี่ยวชาญ ในการวางแผน การบริหาร การจัดการ การตรวจสอบและควบคุมมาตราฐานคุณภาพ เพื่อรับมือกับความท้าทายจากงานก่อสร้างที่อยู่ภายในพื้นที่ใจกลางเมืองเช่นนี้   โดยทุกบริษัทล้วนมีประสบการณ์ในการก่อสร้างโครงการที่มีข้อกำหนดภายใต้มาตรฐาน LEED ซึ่งเป็นมาตรฐานสำหรับการออกแบบและก่อสร้างอาคารสีเขียวที่ยั่งยืนและได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายที่สุดในโลก รวมถึงมาตรฐาน WELL ซึ่งเป็นมาตรฐานระดับสูงสุดที่ใช้กับอาคาร การออกแบบพื้นที่เพื่อสุขอนามัยของผู้อยู่อาศัย สอดคล้องกับเป้าหมายของของ วัน แบงค็อก ที่มุ่งสู่การเป็นโครงการแรกในประเทศไทยที่ได้รับการรับรองทั้งมาตรฐาน LEED for Neighborhood Development ระดับ Platinum สำหรับการพัฒนาชุมชนแวดล้อม  และมาตรฐานรับรองอาคาร WELL เพื่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของผู้อยู่อาศัยและผู้ใช้อาคาร   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -“วัน แบงค็อก” เผยโฉมมาสเตอร์แพลน บิ๊กโปรเจ็กต์ 120,000 ล้าน
[PR News]  ทอสเท็มเปิดตัว “ATIS” นวัตกรรมประตูหน้าต่างรวม 2 ฟังก์ชั่นในหนึ่งบาน

[PR News] ทอสเท็มเปิดตัว “ATIS” นวัตกรรมประตูหน้าต่างรวม 2 ฟังก์ชั่นในหนึ่งบาน

ทอสเท็ม รับเทรนด์คน Work from Home และอยู่บ้านนานขึ้น เปิดตัว “ATIS” นวัตกรรมประตูหน้าต่างอะลูมิเนียมรวม 2 ฟังก์ชั่นในบานเดียว ทั้งบานเลื่อนและกระทุ้ง ตอบโจทย์ชีวิต New Normal เจาะตลาดกลุ่ม B2C หลังเติบโตต่อเนื่องกว่า 20-30%   นายวิชา วรสายัณห์ ลีดเดอร์ กลุ่มธุรกิจ เฮาส์ซิ่งเทคโนโลยี บริษัท ลิกซิล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การเเพร่ระบาดของโควิด-19 ช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ทำให้ผู้คนต้องปรับตัว ใช้เวลาอาศัยอยู่ในบ้านเพื่อทำงานจากที่บ้าน (Work From Home) หรือทำกิจกรรมร่วมกับครอบครัวต่อวันยาวนานขึ้น ขณะเดียวกันเทรนด์การตกเเต่งบ้านก็เริ่มเปลี่ยนไป โดยผู้คนหันมาให้ความสำคัญกับความสะดวกและความสบายของพื้นที่อยู่อาศัย มีการปรับปรุง ต่อเติม ซ่อมแซมบ้าน รวมถึงสนใจการออกแบบตกแต่งบ้าน และเลือกซื้อวัสดุมาปรับปรุงบ้านด้วยตัวเองกันมากขึ้น   จากปัจจัยต่าง ๆ ดังกล่าว ทำให้บริษัทต้องปรับทิศทางการตลาด เพื่อหาเเนวทางที่ตอบโจทย์สถานการณ์ตลาดและพฤติกรรมของกลุ่มผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปให้ได้มากขึ้น จึงได้ทำการศึกษาวิจัย พัฒนาและออกแบบผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่ เพื่อเป็นผู้นำตลาดในการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อตอบโจทย์การใช้งานของผู้บริโภคในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี   ล่าสุด แบรนด์ทอสเท็ม (TOSTEM) ได้เปิดตัว​ผลิตภัณฑ์ “ATIS FRAMING THE BEAUTY OF LIVING” กรอบหน้าต่างและประตู ที่ต้องการเพิ่มความสะดวกสบายให้กับการอยู่อาศัยภายในบ้าน ซึ่งผลิตภัณฑ์ประตูหน้าต่างอะลูมิเนียมใหม่ล่าสุด เป็นการผสมผสานอย่างลงตัวระหว่างรูปแบบดีไซน์ทรงเพรียวบาง ที่ซ่อนฟังก์ชันสำคัญไว้ภายในเพื่อความสะดวกทุกการใช้งาน อาทิ หน้าต่างบานยก (Tile & Slide) ที่รวมฟังก์ชันการทำงานที่สำคัญ 2 อย่างเข้าไว้ในกรอบหน้าต่างเดียวกัน ถือเป็นรายแรกในตลาด โดยจุดเด่นสำคัญที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ ATIS ในหน้าต่างบานยก (Tile & Slide) นี้คือ ลักษณะการเปิดแบบเอียงบานเข้าด้านในห้องเพื่อรับลมธรรมชาติได้ตลอดวันแม้ในขณะที่ฝนตก  มี PSS BALANCER ที่ช่วยให้การเปิด-ปิดหน้าต่างเป็นไปอย่างนุ่มนวล เบาแรง เพราะบาลานเซอร์จะรองรับน้ำหนักบานหน้าต่างทั้งหมดไว้พร้อมด้วยนวัตกรรมผืนมุ้งกันแมลง Invisible Shield โดยใช้เส้นใยที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางขนาดเล็กกว่าทั่วไปถึง 40% ทำให้โปร่งแสงขึ้น สามารถให้ลมผ่านได้มากขึ้นถึง 20%   สำหรับภาพรวมธุรกิจของทอสเท็ม ในประเทศไทย มีอัตราการเติบโตขึ้นเท่าตัวในระยะเวลา 10 ที่ผ่านมา โดยก่อนหน้านี้ ทอสเท็มเป็นที่รู้จักในเเวดวงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เเละสถาปนิก เนื่องจากเน้นทำตลาดเเบบ B2B กับกลุ่มลูกค้าโครงการ แต่ช่วง 2 ปีที่ผ่านมาสัดส่วนรายได้จากกลุ่มลูกค้าแบบ B2C หรือกลุ่มเจ้าของบ้านมีอัตราการเติบโตขึ้นถึง 20-30% จึงเป็นโอกาสที่ดีสำหรับ ATIS ที่จะเน้นทำการตลาดกับลูกค้ากลุ่มนี้มากขึ้น เราจึงเดินหน้าพัฒนารูปแบบและช่องทางการสื่อสาร ให้ลูกค้าเห็นความแตกต่างของผลิตภัณฑ์ ด้วยฟังก์ชันที่หลากหลาย ที่ช่วยให้ลูกค้าใช้งานระบบได้สะดวก รวดเร็ว ง่ายขึ้นกว่าเดิม และตอบโจทย์พฤติกรรมของคนในยุค New Normal ทั้งโชว์รูมเสมือนจริงในช่องทางเว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย   นอกจากนี้ ATIS ยังได้เตรียมเปิดตัวโปรเจกต์พิเศษ ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันครั้งแรกกับสถาปนิก ผู้ออกแบบ และดีไซน์เนอร์ชื่อดัง มาร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนแนวคิด ในหัวข้อ "Design/Survive/Beauty“ นำโดย คุณวสุ วิรัชศิลป์ สถาปนิกผู้ก่อตั้ง VaSLab ห้องทดลองทางสถาปัตยกรรมที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ คุณปอม–ธัชมาพรรณ จันทร์จำรัสแสง ศิลปินนักวาดภาพ,  คุณผ้าป่าน-สิริมา ไชยปรีชาวิทย์ นักจัดการงานสร้างสรรค์ ผู้ก่อตั้งบริษัท Ground Control และคุณพลอย-หฤษฎี ลีละยุวพันธ์ นักออกแบบและตกแต่งภายใน โดยทั้ง 4 ท่าน จะเป็นตัวแทนของความสวยงามแห่งสุนทรียภาพการใช้ชีวิตในแต่ละด้าน มาร่วม บอกเล่าเรื่องราว แรงบันดาลใจ ตลอดจนมุมมองและความคิดการทำสิ่งต่างๆ ในคอนเซปต์ “FRAMING THE BEAUTY OF LIVING” ผ่านวิดิโอชุดพิเศษ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้กับทุกท่าน โดยจะเปิดตัวอย่างเต็มรูปแบบในช่วงต้นปีหน้า   สำหรับ ทอสเท็ม เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์ประตูหน้าต่างอะลูมิเนียมจากประเทศญี่ปุ่น และได้รับความเชื่อถือจากผู้บริโภคมายาวนานกว่า 50 ปี เริ่มขยายธุรกิจมาสร้างโรงงานผลิตในประเทศไทยเมื่อ 35 ปีที่แล้ว และปัจจุบันเป็นฐานการผลิตสินค้าอะลูมิเนียมที่ใหญ่ที่สุดของลิกซิลคอร์เปอเรชั่น (LIXIL) เริ่มทำการตลาดในประเทศไทยเมื่อ 17 ปีที่แล้ว และได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคในเมืองไทยตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา   ปัจจุบันนอกเหนือจากประเทศไทยและญี่ปุ่น ทอสเท็มยังดำเนินธุรกิจในประเทศอินโดนีเซีย อินเดีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม  ด้วยไลน์ผลิตภัณฑ์ครบวงจรตั้งแต่ หน้าต่าง-ประตูสำหรับใช้งานทั้งภายนอกและภายใน ประตูหน้าบ้าน ไปจนถึงผลิตภัณฑ์สำหรับสถาปัตยกรรมภายนอกอย่างประตูรั้ว ซึ่งทั้งหมดผ่านการรับรองคุณภาพตามมาตรฐาน JIS ประเทศญี่ปุ่น และ ASTM ประเทศสหรัฐอเมริกา
Cerocco บางนา 36 คอนโดใหม่จาก CMC เริ่มต้น 1.49 – 2.8 ลบ.

Cerocco บางนา 36 คอนโดใหม่จาก CMC เริ่มต้น 1.49 – 2.8 ลบ.

CMC เปิดตัวคอนโดใหม่ Cerocco บางนา 36 ราคาเริ่มต้น 1.49 - 2.8 ล้านบาท กระแสตอบรับดีเกินคาด ยอดจองแรงทะลุ ONLINE TRIAL SALE พร้อม OPEN HOUSE เร็วๆ นี้ บริษัท เจ้าพระยามหานคร จำกัด (มหาชน) พัฒนาโครงการใหม่บนทำเลศักยภาพย่านบางนา ตรงข้ามศูนย์การค้า เซ็นทรัล บางนา เป็นโปรเจคแรก ภายใต้ชื่อโครงการ “Cerrocco Bangna 36 (ซีร็อคโค บางนา 36)” เป็นคอนโดมิเนียม Low Rise 8 ชั้น 4 อาคาร จำนวน 752 ยูนิต มูลค่า 1,390 ล้านบาท มอบราคายูนิตพิเศษ 1.49 ล้านบาท จากราคา 1.89 ล้านบาท เปิดจองสิทธิรอบ Online Trial Sale มีลูกค้าสนใจลงทะเบียนจองสิทธิทะลุเป้ากว่า 50%  ซึ่งขณะนี้ทางโครงการได้ดำเนินการเร่งเตรียมเปิดสำนักงานขายเพื่อรองรับลูกค้าที่สนใจ Walk- In เยี่ยมชม พร้อมกับเตรียมแผนจัดงาน Open House เร็วๆ นี้     โครงการ “Cerrocco Bangna 36 (ซีร็อคโค บางนา 36)” คอนโดมิเนียมใหม่ ตรงข้าม Central Plaza บางนา ออกแบบด้วยสถาปัตยกรรมสไตล์ Moroccan ในคอนเซ็ป “The Oasis Of Bangna” สัมผัสกลิ่นอายการอยู่อาศัยสไตล์รีสอร์ทในทุกวัน มีห้องพักให้เลือกแบบ 1 Bedroom ครัวปิดแยกส่วนทุกยูนิต ขนาด 25.26 - 37.82 ตารางเมตร     เพียบพร้อม Facilities มากมาย เช่น Oasis Pool ขนาด 5.5 * 25 เมตร จำนวน 2 สระ, Fitness, Co-Working Space, Passion Studio Room และ Sauna แยกชาย-หญิง สะดวกทุกการเดินทางใกล้รถไฟฟ้า BTS บางนา /MRT ศรีเอี่ยม และทางด่วน 2 สาย ซึ่งโครงการตั้งอยู่ฝั่งขาเข้าของถนนบางนา-ตราด ทำให้เดินทางเข้าใจกลางเมืองได้สะดวก ที่สำคัญใกล้กับโรงพยาบาลบางนา 1 และอยู่ตรงข้ามกับศูนย์กลางค้า Central Plaza บางนา และ Big C บางนา รวมถึงใกล้ Mega บางนา, ไบเทค บางนา, อาคารสำนักงานขนาดใหญ่, โรงพยาบาลเอกชน และสถานศึกษาชั้นนำทั้งหลักสูตรไทยและนานาชาติ ซึ่งคาดว่าจะดำเนินก่อสร้างแล้วเสร็จภายในปี 2566   ข้อมูลรายละเอียดโครงการเพิ่มเติมที่ FB Page: Cerocco Bangna Website: www.CMC.co.th สอบถามโทร.1172 กด 36   บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ แบงก์ช่วยลูกหนี้สินเชื่อบ้านโดนพิษโควิด-19 6 ไฮไลท์ศูนย์ฯ สิริกิติ์โฉมใหม่ ที่พร้อมใช้งาน ก.ย.65  
แบงก์ช่วยลูกหนี้สินเชื่อบ้านโดนพิษโควิด-19  เดินหน้าต่อมาตรการช่วยค่างวดถึงปี 65

แบงก์ช่วยลูกหนี้สินเชื่อบ้านโดนพิษโควิด-19 เดินหน้าต่อมาตรการช่วยค่างวดถึงปี 65

บทสรุปมาตรการแบงก์รัฐ- เอกชน กับมาตรการช่วยเหลือลูกค้ากู้ซื้อบ้านปี 64 พร้อมเดินช่วยลูกหนี้ต่อปีหน้า สารพัด​แนวทาง อาทิ แบ่งจ่ายค่างวด 25%-75% พักชำระเงินต้น และจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยรายเดือน หวังต่อลมหายใจลูกหนี้ได้รับผลกระทบจาก​​โควิด-19        นายกิตติ พัฒนพงศ์พิบูล  ประธานสมาคมสินเชื่อที่อยู่อาศัย เปิดเผยว่า  จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า (COVID-19)  ที่ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจ และภาคอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงภาวะหนี้ครัวเรือนของประชาชนที่มีการปรับตัวสูงขึ้น  ทำให้สถาบันการเงินที่ให้บริการด้านสินเชื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่ออื่น ๆ ของรัฐและเอกชน  ได้ออกมาตรการให้ความช่วยเหลือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและผลกระทบดังกล่าวอย่างต่อเนื่องในปี 2564  โดยสถาบันการเงินแต่ละแห่ง ได้มีมาตรการช่วยเหลือประชาชนมากมายหลายมาตรการ อาทิ การแบ่งจ่ายงวดผ่อนชำระ การพักชำระเงินต้น การจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยรายเดือน เป็นต้น   สมาคมสินเชื่อที่อยู่อาศัย และสถาบันการเงินสมาชิก  มุ่งหวังให้มาตรการช่วยเหลือลูกค้าสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ โควิด-19  ของสถาบันการเงินสมาชิกทุกแห่ง  สามารถเข้าถึงต้องการของลูกค้า และ สอดคล้องกับปัญหาของลูกหนี้แต่ละกลุ่มในครั้งนี้ จะช่วยให้ลูกหนี้ทุกกลุ่มสามารถประคับประคองธุรกิจให้ผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกันเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินในระบบเศรษฐกิจของประเทศให้มั่นคง ยั่งยืน นายพงษ์ศักดิ์  คำนวนศิริ  รองกรรมการผู้จัดการ กลุ่มงานสินเชื่อ   ธนาคารอาคารสงเคราะห์ กล่าวว่า ธนาคาร ได้ออกมาตรการให้ความช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 มาตั้งแต่ปี 2563  ภายใต้โครงการ “ธอส.รวมไทย สร้างชาติ”  โดยได้ขยายระยะเวลาความช่วยเหลือให้กับลูกค้าเดิมที่อยู่ระหว่างการใช้มาตรการ ต่อไปถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564   ผ่าน  5 มาตรการ ประกอบด้วย   มาตรการที่ 9, 10, 11 : แบ่งจ่ายเงินงวดผ่อนชำระ (ตัดเงินต้น ตัดดอกเบี้ย) เหลือ 25% หรือ 50% หรือ 75% ของเงินงวดผ่อนชำระในปัจจุบัน โดยทั้ง 5 มาตรการ ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าที่มีสถานะบัญชีปกติ สถานะ NPL และลูกหนี้สถานะ NPL ที่อยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างหนี้   มาตรการที่ 13 : พักชำระเงินต้น และจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยรายเดือน สำหรับลูกค้าที่มีสถานะบัญชีปกติ (ไม่เป็น NPL ไม่อยู่ขั้นตอนของกฎหมาย และไม่อยู่ระหว่างทำข้อตกลงประนอมหนี้) และต้องเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการประกอบอาชีพ หรือทำธุรกิจ หรือการค้า เนื่องจากโควิด-19   มาตรการที่ 14 : พักชำระเงินต้น และจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยรายเดือน พร้อมลดดอกเบี้ยลงเหลือ 3.90% ต่อปี  สำหรับลูกหนี้ที่สถานะ NPL และลูกหนี้ NPL ที่อยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างหนี้  ทั้งนี้ ลูกค้าที่เข้าร่วมมาตรการจะต้องเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการประกอบอาชีพ หรือทำธุรกิจ หรือการค้า เนื่องจาก โควิด-19 และไม่สามารถผ่อนชำระเงินงวดให้ธนาคารได้ตามสัญญาเงินกู้ หรือตามข้อตกลงปรับโครงสร้างหนี้ หรือ ตามคำพิพากษา   โดยในเฟสแรกที่มาตรการสิ้นสุดเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ธนาคารได้ช่วยเหลือลูกหนี้ซึ่งกู้เงินกับธนาคารรวม 183,000 ล้านบาท และได้ให้ลูกหนี้ลงทะเบียนเพื่อได้รับการช่วยเหลือต่อ ในเดือนพฤศจิกายนคิดเป็นมูลค่าวงเงินสินเชื้อ 113,600 ล้านบาท ซึ่งในปี 2565 ธนาคารจะมีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยต่อเนื่อง ทั้งการลดดอกเบี้ย การแบ่งจ่ายตามความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ ด้านนายอิสระ วงศ์รุ่ง รองผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กลุ่มลูกค้าบุคคล  กล่าวว่า ในบทบาทการเป็นธนาคารเพื่อสังคม หรือ Social Bank ของธนาคารออมสิน เล็งเห็นแล้วว่า ประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศไทยล้วนแล้วแต่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติ โควิด-19 ทำให้มีคนตกงาน ขาดรายได้ หรือบางคนยังมีงานทำ แต่อาจถูกลดเงินเดือน ขณะที่ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ยังคงเท่าเดิม หรือเพิ่มขึ้น   ดังนั้น ธนาคารจึงได้มี มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ค้างชำระไม่เกิน 90 วัน เป็นการพักชำระเงินต้น และจ่ายเฉพาะดอกเบี้ย 25%-100% หรือ พักชำระเงินต้นและดอกเบี้ย ถึง ธันวาคม 2564  และมาตรการรวมหนี้ (Debt Consolidation) เป็นการรวมภาระหนี้ สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่อรายย่อยประเภทอื่น เช่น สินเชื่อธุรกิจบัตรเครดิต สินเชื่อบุคคล สินเชื่อพัฒนากลุ่มอาชีพ สินเชื่อฐานราก เป็นต้น เพื่อลดภาระดอกเบี้ย และแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายแต่ละเดือนให้มีสภาพคล่องไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน   นอกจากนี้ ธนาคารได้มีมาตรการช่วยเหลือลูกค้าและประชาชนทั่วไป ในด้านของสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ผ่านแคมเปญ “สินเชื่อบ้านกู้ปีนี้ ผ่อนปีหน้า” ดอกเบี้ย 0% นาน 6 เดือน และภายใน 6 เดือนนี้ ยังไม่ต้องผ่อนเงินงวดคืนให้ออมสิน เป็นการแบ่งเบาภาระให้ผู้กู้มีเงินสดไว้ใช้จ่ายในช่วง 6 เดือนแรก จะช่วยให้ผ่านวิกฤตหรือความยากลำบากไปด้วยกัน โดยลูกค้าจะต้องได้รับการอนุมัติและจัดทำนิติกรรมสัญญาให้แล้วเสร็จภายใน 30 ธันวาคม 2564   ขณะเดียวกัน จากสถานการณ์น้ำท่วมตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา ธนาคารได้ให้ความช่วยเหลือลูกค้าเพิ่มเติมที่มีสินเชื่อกับธนาคารทุกประเภท เช่น ลูกค้าที่มีสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยกับธนาคารออมสิน จะได้รับการให้พักชำระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยนาน 3 เดือน โดยลูกค้าสามารถติดต่อสาขาธนาคารออมสินที่มีบัญชีสินเชื่ออยู่ได้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 พร้อมทั้งยังมีมาตรการความช่วยเหลืออื่น ๆ ที่ธนาคารได้ดูแลลูกค้าทุกกลุ่มอย่างต่อเนื่อง   สำหรับปี 2565 ธนาคารจะมีการดำเนินช่วยเหลือลูกหนี้ประเภทต่างอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านการรวมหนี้ข้ามธนาคาร การให้วงเงินสินเชื่อประเภทต่าง ๆ ในทุกกลุ่มลูกค้าด้วย ล่าสุด ธนาคารออมสินยังมีแคมเปญการกู้เงินซื้ออสังหาฯ ด้วยอัตราดอกเบี้ย 0% และปลอดเงินต้นเป็นระยะเวลา 6 เดือน ซึ่งลูกค้าจะเริ่มต้นผ่อนชำระในปีหน้า   นายชัยยศ   ตันพิสุทธิ์   ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บมจ.ธนาคารกสิกรไทย   กล่าวว่า  ธนาคารมีมาตรการช่วยเหลือลูกค้าสินเชื่อของธนาคารกสิกรไทยที่ประสบปัญหาจากสถานกาณ์ โควิด-19  ด้วยกัน  3 ทางเลือก คือ   1. ผ่อนชำระเฉพาะดอกเบี้ย และลดอัตราดอกเบี้ย 0.10% เป็นระยะเวลา 3 เดือน  2. ลดยอดผ่อนต่องวด 50% เป็นระยะเวลา 3 เดือน  และ  3. เลื่อนการชำระค่างวด (เงินต้นและดอกเบี้ย) เป็นระยะเวลา 3 เดือน   โดยธนาคารจะแจ้งผลการอนุมัติผ่านทาง SMS ภายใน 10 วันทำการ หลังจากลูกค้าลงทะเบียนเรียบร้อยแล้ว  (กรณีลงทะเบียนสำเร็จ ก่อนวันครบกำหนด 10 วัน ธนาคารจะเริ่มปรับยอดผ่อนภายในรอบบัญชีนั้น  หากลงทะเบียนสำเร็จหลังจากนั้น ธนาคารจะปรับยอดผ่อนในรอบบัญชีถัดไป) ทั้งนี้  ลูกค้าสามารถชำระหนี้มากกว่าเงื่อนไขที่เข้าร่วมมาตรการได้  เพื่อลดยอดหนี้หรือดอกเบี้ยผ่าน K Plus โดยไม่ต้องแจ้งธนาคาร และสามารถสมัครเข้าร่วมมาตรการได้ตั้งแต่บัดนี้  ถึง 31 ธันวาคม 2564   สำหรับข้อมูล ณ 30 กันยายนที่ผ่านมา ธนาคารทั้งระบบได้ช่วยลูกค้าแบ่งเบาภาระจากผลกระทบโควิด-19 รวม 622,000 ราย วงเงินรวม 820,000 ล้านบาท ในส่วนธนาคารกสิกรได้ช่วยลูกค้าคิดเป็นวงเงินรวม 142,000 ล้านบาท   ส่วนนายอภิรัฐ เหล่าสินชัย  ผู้จัดการศูนย์สินเชื่ออุปโภคบริโภค บมจ.ธนาคารกรุงเทพ  กล่าวว่า  ในส่วนของธนาคารกรุงเทพ  มีมาตรการช่วยเหลือลูกค้าของธนาคารที่ประสบปัญหาโควิด-19 ผ่านสินเชื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่ออเนกประสงค์ที่ใช้ที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกัน  โดยมีมาตรการลดภาระการชำระหนี้ให้กับลูกค้าผ่าน 4 มาตรการคือ  1. การปรับลดค่างวด  2. พักชำระเฉพาะเงินต้น และพิจารณาให้ชำระดอกเบี้ยเพียงบางส่วน  3. พักชำระเฉพาะเงินต้น และพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ย และ 4. พักชำระค่างวด  เพื่อให้ลูกค้าสามารถวางแผนทางการเงินของตนเองในสถานการณ์นี้ และร่วมฝ่าวิกฤตการเงินร่วมไปกับลูกค้าของธนาคาร   โดยธนาคารกรุงเทพจะช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบโควิด-19 ต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปี 2565 ซึ่งปีหน้าจะเพิ่มความเข้มข้นในการช่วยเหลือ ภายใต้แนวทางความยั่งยืน อาทิ การเพิ่มระยะเวลาผ่อนชำระให้นานขึ้น โดยดูจากสภาพปัญหา และความสามารถในการผ่อนชำระของลูกค้าแต่ละราย   สำหรับนางสาวพัชรินทร์  สุงสุวรรณ ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารสายงาน Retail Lending  Product Management  ธนาคารไทยพาณิชย์  กล่าวว่า ธนาคารได้มีมาตรการช่วยเหลือลูกค้าสินเชื่อที่อยู่อาศัยมาโดยตลอดตั้งแต่ระยะที่ 1 จนถึงปัจจุบัน เพื่อลดผลกระทบจากโควิด-19  ระยะที่ 3 โดยเสนอมาตรการที่เหมาะสมกับลูกค้า แต่ละราย ตามความสามารถในการชำระหนี้  เช่น การปรับลดค่างวดและหรือขยายระยะเวลาการผ่อนชำระ การพักเงินต้นและจ่ายดอกเบี้ยบางส่วน เพื่อให้ลูกหนี้สามารถทยอยคืนเป็นขั้นบันไดตามความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ ทั้งนี้ ลูกค้าสามารถขอเข้ารับมาตรการช่วยเหลือได้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564   “ธนาคารมีเจตนารมณ์แน่วแน่ในการสนับสนุนให้ทุกภาคส่วนก้าวผ่านวิกฤตดังกล่าวไปด้วยกัน ด้วยการ ทำตัวเราให้แข็งแรง ช่วยเหลือลูกค้าให้อยู่รอด และสนับสนุนสังคมให้อยู่ได้  จึงได้ดำเนินการเชิงรุกในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้แบบเบ็ดเสร็จ โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อนำลูกค้าที่ได้รับผลกระทบที่อยู่ในโครงการช่วยเหลือไปสู่การแก้ปัญหาในระยะยาว โดยลูกค้าที่ผ่านกระบวนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้แบบเบ็ดเสร็จจะได้รับการติดตามอย่างใกล้ชิด และคาดว่าจะสามารถฟื้นตัวไปพร้อม ๆ กับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ”   นายสีห์โสภณ ตติยะวรนันท์ ผู้ช่วยสายงาน Retail Lending  ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์  เปิดเผยว่า  ธนาคารมีความเป็นห่วงลูกค้าโดยออกมาตราการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด -19 (สำหรับลูกค้าที่ยังไม่เป็น NPL) โดยมีมาตรการช่วยเหลือลูกค้าสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่มีที่อยู่อาศัย เป็นหลักประกัน ดังนี้ 1.พักชำระค่างวด (เงินต้นและดอกเบี้ย) 3 งวด   2.ลดค่างวด 3 งวด  และพิจารณากาลดอัตราดอกเบี้ยให้ตามความเหมาะสมของลูกค้าแต่ละราย  และ 3.ขยายระยะเวลาการพักชำระหนี้หรือการลดค่างวด ทั้งนี้ธนาคารพิจารณาการช่วยเหลือเป็นรายกรณีไป โดยสามารถสมัครเข้าร่วมโครงการได้ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564      
พฤกษา เรียลเอสเตท  อัดแคมเปญพร้อมเปิด 9 โครงการใหม่ Q4  ดันเป้ารายได้ 32,000 ล้าน

พฤกษา เรียลเอสเตท อัดแคมเปญพร้อมเปิด 9 โครงการใหม่ Q4 ดันเป้ารายได้ 32,000 ล้าน

“พฤกษา เรียลเอสเตท” ลุยทำตลาด ปั้นยอดขายและรายได้โค้งท้ายปี เตรียมเปิด 9 โครงการใหม่  8,540 ล้าน พร้อมโอน 7 คอนโดมูลค่า 6,000 ล้าน มั่นใจผลงานทั้งปีตามเป้าหมาย ทำรายได้ 32,000 ล้านบาท   "พฤกษา เรียลเอสเตท" ถือว่าเป็น 1 ในผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยรายใหญ่ของไทย ซึ่งมีทั้งโครงการคอนโดมิเนียม ทาวน์เฮ้าส์ และบ้านเดี่ยว กระจายอยู่ทั่วทุกมุมของกรุงเทพฯ และปริมณฑล และมีสินค้าหลากหลายราคา แต่สินค้าที่ถือเป็นพระเอกหลัก คงเป็นกลุ่มระดับระคาต่ำกว่า 5 ล้านบาท เพราะ "พฤกษา เรียลเอสเตท" มีสินค้ากลุ่มนี้อยู่ในพอร์ตจำนวนมาก แต่จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่มีรุนแรงต่อเนื่องมาตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคส่วนใหญ่ และที่ได้รับผลกระทบหนักก็คือ กลุ่มลูกค้าระดับกลาง-ล่าง เพราะเป็นกลุ่มที่มีความอ่อนไหวต่อภาวะเศรษฐกิจมากกว่ากลุ่มอื่น   ผลกระทบของโควิด-19 ส่งผลกระทบให้เห็นอย่างชัดเจน จากผละประกอบการของ "พฤกษา เรียลเอสเตท" ในช่วงไตรมาส 3 ที่ลดลงต่ำกว่าไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ซึ่งนอกจากเป็นผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แล้ว ช่วงไตรมาส 3 ของทุกปีก็ถือเป็นช่วงโลว์ซีซั่นของการขายอสังหาฯ ด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ถือว่าเป็นช่วงเวลาสำคัญ ที่หลายบริษัทใช้เป็นโอกาสในการสร้างยอดขายและรายได้ ให้กลับมาเติบโตตามเป้าหมายได้อีกครั้ง เพราะเป็นจังหวะโค้งท้ายของปีที่ผู้บริโภคจะตัดสินใจซื้อบ้านหรือคอนโด และผู้ประกอบการก็พร้อมจะจัดโปรโมชั่นส่งเสริมการขาย  เพื่อทำยอดขายและรายได้ให้ได้ตามแผนที่วางไว้ตั้งแต่ต้นปี ซึ่งเป้าหมายยอยขายปีนี้วางไว้ 28,000 ล้านบาท รายได้ 32,000 ล้านบาท กับการเปิดโครงการใหม่ 31 โครงการ มูลค่า 21,580 ล้านบาท Q4 ลุยโอน 7 โปรเจ็กต์ เปิดใหม่อีก 9 แผนการสร้างยอดขายและรายได้ในช่วงโค้งท้ายของปี “พฤกษา เรียลเอสเตท” ได้เตรียม 3 กลยุทธ์สำคัญไว้ดังนี้ 1.โอน7 คอนโดมูลค่า 6,000 ล้าน เพิ่มรายได้ ในไตรมาสสุดท้าย บริษัทจะเริ่มโอนคอนโดรวม 7 โครงการ มูลค่ากว่า 6,000 ล้านบาท ได้แก่ เดอะรีเสิร์ฟ สาทร, เดอะไพรเวซี่ เตาปูนอินเตอร์เชนจ์,  แชปเตอร์ ทองหล่อ 25, แชปเตอร์วัน โฟลว์ บางโพ, เดอะไพรเวซี่ S101, พลัมคอนโด สุขุมวิท 97.1 และเดอะทรี พัฒนาการ-เอกมัย 2.เปิด 9 โครงการใหม่ High Value Project ในทำเลเด่น โดยมีมูลค่ารวม 8,540 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการทาวน์เฮ้าส์​ 5 โครงการ มูลค่า 3,620 ล้านบาท บ้านเดี่ยว 3 โครงการมูลค่า 4,010 ล้านบาท และคอนโด 1 โครงการมูลค่า 910 ล้านบาท 3.โปรโมท กลยุทธ์แคมเปญดิจิทัล และโปรโมชั่น ต่อเนื่อง ที่ผ่านมาการทำตลาดออนไลน์ของพฤกษา ถือว่าประสบความสำเร็จและสามารถเพิ่มยอดขายกลับมาได้มากพอสมควร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งมีการล็อกดาวน์กลุ่มลูกค้าไม่สามารถเดินทางไปเยี่ยมชมโครงการได้ ซึ่งที่ผ่านมาเว็บไซต์ของพฤกษา มีลูกค้าใหม่เข้าเยี่ยมชมคิดเป็น 92% จากผู้ชม 5.7 ล้านคน เติบโต 93% เมื่อเทียบกับปีก่อน นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า ไตรมาสสุดท้ายได้เตรียมจัดแคมเปญ “ลดเด็ด ยกกำลัง 3”​ เพื่อขานรับนโยบายการผ่อนปรนมาตรการ LTV  ซึ่งจะทำให้ลูกค้าสามารถกู้ได้ 100% ไม่ต้องวางเงินดาวน์แล้ว พฤกษายังช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ได้แก่ 1.แคมเปญจัด ใหญ่! ลดใหญ่  แห่งปี 2.ไม่งอก! ไม่มีค่าใช้งอก เพราะฟรีค่าโอน อยู่ฟรี ฟรีค่าส่วนกลาง สูงสุด 3 ปี* 3.พิเศษ! ปลดล็อก LTV กู้สุงสุด 110% ฟรีดาวน์ พร้อมสิทธิและข้อเสนอพิเศษเพิ่มเติมจากธนาคารพันธมิตร โดยมีโครงการบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม คอนโดพร้อมอยู่กว่า 140 โครงการ 1,500 ยูนิต ที่เข้าร่วมด้วยราคาเริ่มต้น 1.29 ล้านบาท ถึง 31 ธ.ค. 64 ภาพรวมตลาดอสังหาฯ ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา มีมูลค่า 223,614 ล้านบาท เติบโต 7%  โดยตลาดบ้านเดี่ยวเติบโตสูงขึ้นอย่างชัดเจนถึง 30% ในขณะที่เซกเมนต์อื่นยังติดลบ หรือทรงตัว Q3 โดยโควิดทุบยอดขาย-รายได้ สำหรับผลประกอบการในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา เป็นไปตามภาพรวมของธุรกิจอสังหาฯ ที่โดยส่วนใหญ่จะมียอดขายและรายลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งผลประกอบการของ “พฤกษา เรียลเอสเตท” ก็มีทิศทางเดียวกัน และมีไฮไลท์ผลการดำเนินงานดังนี้ -ยอดขายมีมูลค่า 5,902 ล้านบาท ลดลง 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งทำได้ 6,584 ล้านบาท และลดลง 18% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ของปี 2564 ที่มีมูลค่า 7,225 ล้านบาท -รายได้มีมูลค่า 5,970 ล้านบาท ลดลง 6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ที่มีมูลค่า 6,353 ล้านบาท และลดลง 6% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ที่มีมูลค่า 6,334 ล้านบาท -กำไรสุทธิ 331 ล้านบาท ลดลง 45% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีมูลค่า 603 ล้านบาท และลดลง 22% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าที่มีมูลค่า 427 ล้านบาท -สินค้าคงค้างในไตรมาส 3 มีมูลค่า 7,411 ล้านบาท ลดลงถึง 57% นับตั้งแต่ไตรมาส 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งมีสินค้าคงค้างมูลค่า 17,223 ล้านบาท   สำหรับช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมาบริษัทเปิดตัวโครงการใหม่ 7 โครงการมูลค่า 4,192 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการคอนโด 1 โครงการมูลค่า 4,192 ล้านบาท และทาวนเฮ้าส์ 6 โครงการมูลค่า 3,708 ล้านบาท 9 เดือนยอดขายโต 24%  แม้ว่าผลการดำเนินงานเฉพาะในไตรมาส 3 ของ​ “พฤกษา เรียลเอสเตท” จะชะลอตัวลง แต่หากนับรวมการดำเนินงานมาตั้งแต่ต้นปี หรือช่วง 9 เดือนแรกที่ผ่านมา ยังถือว่าเป็นไปตามแผนงานและเป้าหมายที่บริษัทได้วางไว้ โดยมีไฮไลท์ผลการดำเนินงานดังนี้ -ยอดขาย 9 เดือนแรกได้ 20,067 ล้านบาท เติบโต 24% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ทำรายได้ 19,192 ล้านบาท -รายได้ช่วง 9 เดือน มูลค่า 19,192 ล้านบาท ลดลง 2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ที่มีมูลค่า 19.661 ล้านบาท -กำไรสุทธิ 1,364 ล้านบาท ลดลง 30% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาซึ่งมีกำไรสุทธิ 1,942 ล้านบาท   นายปิยะ กล่าวอีกว่า ช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา บริษัทเปิดโครงการใหม่ไปแล้ว 22 โครงการ มูลค่า 13,040  ล้านบาท  ซึ่งสถานการณ์ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมายังค่อนข้างมีความกดดัน มีปัจจัยลบจากภาวะเศรษฐกิจและการล็อกดาวน์ ทำให้ต้องเลื่อนการเปิดโครงการออกไป แต่ภาพรวมผลประกอบการยังคงอยู่ในเกณฑ์ที่ดี  และสามารถลดสินค้าคงค้างลงไปได้ถึง 57% จากปีก่อน   โดยปัจจุบันบริษัทมียอดขายที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) ที่ 22,958 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการคอนโด มูลค่า 19,367 ล้านบาท บ้านเดี่ยว มูลค่า 973 ล้านบาท และทาวน์เฮ้าส์ มูลค่า 2,618 ล้านบาท โดยจะรับรู้ต่อเนื่องตั้งแต่ปีนี้ไปจนถึงปี 2568   สำหรับทิศทางธุรกิจอสังหาฯ ในอนาคตมองว่า ยังมีปัจจัยบวกสำคัญ คือ  การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลแก และ​เศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัว ซึ่งเป็นผลมาจากจีดีพีมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่าปี 2565 เศรษฐกิจจะเติบโตในอัตรา 4.5  จากปีนี้ที่คาดว่าจะมีจีดีพี 1.0 และยังมีปัจจัยบวกจากการเปิดประเทศ รวมถึงมาตรการปลดล็อก LTV ด้วย   แต่ขณะเดียวกันปัจจัยที่ยังกังวลจะยังเป็น 3 เรื่องสำคัญ คือ 1.ความเสี่ยงจากการกลายพันธุ์ของโควิด-19 2.กำลังซื้อยังต่ำในกลุ่มระดับกลางและล่าง และ​ 3.ภาวะหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ระดับสูง 89.6% และหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ซึ่งมีอัตรา 3.7%    
เอพี ไทยแลนด์  ลุย 2 เดือนสุดท้าย เปิด 12 โครงการแนวราบ  หลัง​ 9 เดือนแรกทำกำไร 3,549 ล้าน         

เอพี ไทยแลนด์ ลุย 2 เดือนสุดท้าย เปิด 12 โครงการแนวราบ หลัง​ 9 เดือนแรกทำกำไร 3,549 ล้าน         

เอพี ไทยแลนด์  เดินหน้าเปิดโปรเจ็กต์ใหม่โค้งท้ายปี 2 เดือนเปิดแนวราบ​​ 12 โครงการ มูลค่า 8,570 ล้านบาท ​หลังผลประกอบการ 9 เดือนแรก ทำรายรายได้รวม 30,324 ล้านกำไรสุทธิ 3,549 ล้าน   นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์  บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงาน 9 เดือนที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้รวมจากสินค้าแนวราบ กลุ่มคอนโดมิเนียม (รวม 100% JV) และธุรกิจอื่นๆ รวมทั้งสิ้น 30,324 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 3,549 ล้านบาท ด้านสัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนอยู่ในระดับต่ำมากเพียง 0.56 เท่า ซึ่งทั้งหมดล้วนสะท้อนถึงความสามารถ ในการบริหารจัดการภายในองค์กร ควบคู่ไปกับการบริหารพอร์ตสินค้า และการบริหารกระแสเงินสดที่รัดกุมและมีประสิทธิภาพท่ามกลางภาวะผันผวนที่เกิดขึ้น โดยบริษัทฯ สามารถสร้างยอดขายรวม ณ สิ้นเดือนตุลาคม 64 ได้มากถึง 31,210 ล้านบาท คิดเป็น 88% จากเป้าหมายยอดขาย 35,500 ล้านบาท เป็นสัดส่วนยอดขายจากโครงการแนวราบ 28,594 ล้านบาท   สำหรับภาพรวมอสังหาริมทรัพย์โค้งสุดท้ายของปี 2564 ถือเป็นอีกหนึ่งปีที่ธุรกิจอสังหาฯ ต้องเผชิญกับความท้าทายและภาวะผันผวนที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์การแพร่ระบาด โดยเฉพาะมาตราการการล็อกดาวน์ที่เกิดขึ้นในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมา   คาดว่าสถานการณ์ต่างๆ จะเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น ทั้งกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และเซนทิเมนต์ ของผู้บริโภค และจากการผ่อนคลายมาตรการ LTV ไปถึงปีสิ้นปี 2565 ก็ถือเป็นสัญญาณบวกที่ดี นอกจากจะกระตุ้นภาคธุรกิจอสังหาฯ  ให้ฟื้นกลับแล้ว ยังช่วยขับเคลื่อนภาคธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องได้อีกด้วย     โดยในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปี บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการแนวราบใหม่​อีก​ 12 โครงการ มูลค่ารวม 8,570 ล้านบาท แบ่งเป็นทาวน์โฮม 9 โครงการ มูลค่ารวม 5,010 ล้านบาท ด้วยจุดขาย “พลิกแนวคิดชีวิตแนวตั้ง” กับทาวน์โฮมแบรนด์บ้านกลางเมือง และพลีโน่ พร้อมบ้านเดี่ยวแบรนด์เซนโทร (CENTRO)  3  โครงการใหม่ มูลค่า 3,560 ล้านบาท กับการเน้นย้ำจุดยืน “บ้านที่เข้าใจชีวิต” ปี 2564 ถือเป็นอีกปีที่ซุปเปอร์สตาร์ของภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์คือสินค้ากลุ่มแนวราบ สะท้อนได้จากตัวเลขทั้งยอดขายและยอดโอนของบริษัทฯ ที่ยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยเป็นการเติบโตแบบ Organic Growth ที่สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพขององค์กรได้อย่างชัดเจน ถึงแม้ในไตรมาส 3 ที่ผ่านมาเราทุกคนจะต้องเผชิญกับการล็อกดาวน์ที่ส่งผลต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจอย่างมาก แต่บริษัทฯ ยังคงรักษาสถานะ การเติบโตได้อย่างคงที่ โดย   สำหรับปี​ 2564 บริษัทมีแผนพัฒนาโครงการใหม่รวมทั้งสิ้น  24 โครงการ มูลค่าประมาณ 27,550 ล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นโครงการแนวราบจำนวน 22 โครงการ มูลค่าประมาณ 19,650 ล้านบาท และคอนโดมิเนียมจำนวน 2 โครงการ มูลค่าประมาณ 7,900 ล้านบาท เปิดตัวไปแล้วทั้งสิ้น 12 โครงการ มูลค่า 18,980 ล้านบาท คงเหลือเปิดตัวอีกจำนวน 12 โครงการ  มูลค่ารวม 8,570  ล้านบาท
อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ประจำเดือนพฤศจิกายน 2564

อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ประจำเดือนพฤศจิกายน 2564

อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน อัพเดท ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ประจำเดือนพฤศจิกายน 2564 ภาพรวมธนาคารยังตรึงดอกเบี้ยเท่ากับช่วงก่อนหน้า เพื่อกระตุ้นยอดสินเชื่อ โดยแบงก์ออมสินจัดแคมเปญดอกเบี้ยถูกสุด 0% ใน 6 เดือนแรก ส่งผลให้ดอกเบี้ยเฉลี่ยปีแรก 0.75% เท่ากับแบงก์กรุงไทย เริ่มต้นเดือนพฤศจิกายน 2564 ประเทศไทยได้เปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนตามประกาศของรัฐบาลไทย เกี่ยวกับการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับภาวะเศรษฐกิจไทย ที่กำลังจะฟื้นตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากการแพร่ระบาดไม่ลุกลามหรือรุนแรงไปกว่านี้   เมื่อเศรษฐกิจดีขึ้น เงินหมุนเวียนเข้าสู่ระบบมากขึ้น กำลังซื้อของคนไทยก็น่าจะเพิ่มมากขึ้น และคงมีความเชื่อมั่นต่ออนาคตของตนเอง ว่าจะมีรายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง หากสถานการณ์เป็นอย่างนี้แน่นอนว่า การจับจ่ายใช้สอยของประชาชนคนไทย ก็คงมีมากขึ้นตามมา ทำให้นักการตลาดคงต้องจัดแคมเปญออกมาสร้างยอดขายกันมากขึ้นด้วย   สำหรับใครที่มีความต้องการซื้อบ้านหรือคอนโดมิเนียม โดยประเมินสถานการณ์และฐานะทางการเงินของตนเองแล้วว่าสามารถหามาผ่อนชำระได้ตลอดอายุสัญญา และวางแผนว่าจะซื้อที่อยู่อาศัยของตนเอง ช่วงเวลานี้ก็เป็นโอกาสที่ดี เพราะอัตราดอกเบี้ยอยู่ในเกณฑ์ต่ำ แถมด้วยโปรโมชั่นจากดีเวลลอปเปอร์มีออกมามากมายด้วย และมีข่าวแว่ว ๆ จากดีเวลลอปเปอร์บางรายที่ออกมาส่งสัญญาณว่า อนาคตราคาบ้านและคอนโดขยับเพิ่มขึ้นแน่ ๆ เพราะช่วงที่ผ่านมาเป็นจุดต่ำสุดของตลาดอสังหาฯ แล้ว ดังนั้นใครสนใจก็รีบพิจารณากันโดยเร็ว   ส่วนใครตัดสินใจได้แล้วว่าจะซื้อบ้านหรือคอนโดจากแบรนด์ที่ชื่นชอบ ก็ลองมาดูกันว่าแต่ละธนาคารมีการให้สินเชื่อกู้ซื้อบ้านในอัตราเท่าไรบ้าง สำหรับเดือนพฤศจิกายนนี้ ซึ่งจะว่าไปแล้วภาพรวมก็ยังไม่ได้แตกต่างจากเดือนที่ผ่านมาเท่าไรนัก ส่วนใหญ่อัตราดอกเบี้ยยังคงที่ แต่มาอัพเดทกันอีกทีว่าแบงค์ไหนให้อัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านเท่าไรกันบ้าง 1.ธนาคารกรุงเทพ สำหรับการธนาคารกรุงเทพ มีสินเชื่อบ้านบัวหลวง ที่ให้บริการลูกค้า 2 กลุ่ม คือ ลูกค้าพนักงานที่มีรายได้ประจำ และลูกค้าทั่วไป  โดยอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด เดือนพฤศจิกายนยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา อัตราดอกเบี้ยเฉพาะพนักงานที่มีรายได้ประจำ  วงเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท  (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1   ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.00%) หลังจากนั้น 5.2%  (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.65% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3  อัตราดอกเบี้ย 4.2% (MRR-1.75%) หลังจากนั้น 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.65% อัตราดอกเบี้ยเฉพาะพนักงานที่มีรายได้ประจำ วงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 5 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.45% (MRR-1.50%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.58% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3  อัตราดอกเบี้ย 4.075% (MRR-1.875%) หลังจากนั้น 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.58% อัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับลูกค้าทั่วไป วงเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.50% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.00%) หลังจากนั้น  5.45% (MRR-0.50%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.87% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 4.45%(MRR-1.50%) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.45%(MRR-1.50%) หลังจากนั้น 5.45%  (MRR-0.50%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.9% อัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับลกค้าทั่วไป วงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 5 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.7%(MRR-1.25%) หลังจากนั้น 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.57% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 4.075%(MRR-1.875%) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.075% (MRR-1.875%) หลังจากนั้น 5.2%(MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.58%   -กรณีวงเงิน ตั้งแต่ 500,000 บาทแต่ไม่เกิน 1 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ย คงที่ปีแรก 4.75% หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีวงเงินต่ำกว่า ​500,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีหลักประกันสิทธิการเช่า ​คิดอัตราดอกเบี้ย​ MRR-0.75% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีหลักประกันที่ดินเปล่าเพื่อการอยู่อาศัย คิดอัตราดอกเบี้ย ​MRR-0.25% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา   หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับผู้ที่ยื่นคำขอสินเชื่อพร้อมเอกสารครบถ้วน ตั้งแต่วันที่ 14 ต.ค.- 31 ธ.ค.​ 64 โดยผู้กู้ต้องลงนามในสัญญากู้ภายใน 1 เดือน นับตั้งแต่วันที่อนุมัติสินเชื่อ​และจดทะเบียนจำนองพร้อมเบิกเงินกู้งวดแรกหรือทั้งหมดภายใน 2 เดือน นับตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญา ​ -พนักงานที่มีรายได้ประจำ หมายถึง พนักงานที่มีรายได้หลัก หรือ มีความสามารถในการชำระคืนหลัก จากรายได้ประจำ -รูปแบบการชำ​ระแบบคงที่ เลือกผ่อนได้ทุกทางเลือก/รูปแบบการผ่อนชำ​ระแบบขั้นบันได เลือกผ่อนได้เฉพาะทางเลือกที่ 1 -อัตราส่วนวงเงินกู้สูงสุดและมูลค่าหลักประกันให้เป็นไปตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย -อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบันตามประกาศของธนาคาร ณ วันที่ 17 มิ.ย. 64 เท่ากับ 5.95% ต่อปี -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยรวมทั้งหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ​​ 2.ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงไทย มีสินเชื่อสำหรับบ้านใหม่ แคมเปญ สินเชื่อบ้านกรุงไทย…สุขใจถ้วนหน้า โดยไม่คิดค่า  ธรรมเนียมยื่นกู้  โดยเดือนนี้มีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด มีการเปลี่ยนเปลี่ยนแปลงจากช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา​ดังนี้ แบบทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0.75%  ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 3.82% (MRR-2.4%) ปรับเพิ่ม 0.15% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.67% (MRR-2.55%) ปีที่ 3 ดอกเบี้ย 3.82% (MRR-2.4%) ปรับเพิ่ม 0.15% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.67% (MRR-2.55%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.80% ปรับเพิ่ม 0.11% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 2.69% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.04% ปรับเพิ่มขึ้น 0.02% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 4.02% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.0%  ไม่เปลี่ยนแปลง ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 3.82% (MRR-2.4%) ปรับเพิ่ม 0.15% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.67% (MRR-2.55%)  3.67% (MRR-2.55%) ปีที่ 3 ดอกเบี้ย 3.87% (MRR-2.35%) ปรับเพิ่ม 0.2% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.67% (MRR-2.55%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.90% ปรับเพิ่มขึ้น 0.12% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 2.78% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.08% เพิ่มขึ้น 0.04% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 4.04%   สินเชื่อสำหรับการกู้ซื้อบ้านที่ธนาคารออกค่าจดจำนองให้** และ ฟรี ค่าธรรมเนียมยื่นกู้ แบบทำประกัน  คิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0.75% ไม่เปลี่ยนแปลง ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 3.97% (MRR-2.25%) ปรับลดลง 0.2% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย  4.17% (MRR-2.05%) ปีที่ 3 ดอกเบี้ย 3.97% (MRR-2.25%) ปรับลดลง 0.2% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย  4.17% (MRR-2.05%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.90% ปรับลดลง 0.13% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 3.03% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.24% ปรับเพิ่มขึ้น 0.12% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 4.12% แบบไม่ทำประกัน  คิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.0%  ไม่เปลี่ยนแปลง ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 3.97% (MRR-2.25%) ปรับลดลง 0.2% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย  4.17% (MRR-2.05%) ปีที่ 3 ดอกเบี้ย 4.02% (MRR-2.20%) ปรับลดลง 0.15% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 4.17% (MRR-2.05%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.0% ปรับลดลง 0.11% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 3.11% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา = 4.27% ปรับเพิ่มขึ้น 0.12% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 4.15%   การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ* : ทำประกันทางเลือกใด ทางเลือกหนึ่ง ดังนี้ 1.ทำ MRTA/GLT SP เต็มวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 10 ปี 2.ทำ MRTA/GLT SP 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลากู้ 3.ทำ MRTA/GLT SP 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลากู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 15 ปี ทั้งนี้ การทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อเป็นไปตามความสมัครใจของลูกค้า และไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ **ธนาคารออกค่าจดจำนองให้ 1% สูงสุดไม่เกินรายละ 200,000 บาท หากลูกค้าปิดบัญชีก่อน 5 ปี ธนาคารจะเรียกเก็บค่าจดจำนองคืน ***อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (EIR) คำนวณจากวงเงินกู้ 1.00 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี ผ่อนชำระ 6,500 บาท/เดือน เงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด การพิจารณาสินเชื่ออยู่ภายใต้ดุลยพินิจของธนาคาร ยื่นสมัครสินเชื่อ ภายในวันที่ 30 ธ.ค. 2564 MRR = 6.22% ต่อปี (ณ 1 เม.ย. 2564) 3.ธนาคารกรุงศรี ธนาคารกรุงศรี มีสินเชื่อบ้านกรุงศรี เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย (บ้านใหม่/บ้านมือสอง) สำหรับลูกค้าทั่วไป โดยมีแคมเปญฟรี ค่าธรรมเนียมสำรวจ และค่าประเมินอัตราดอกเบี้ยยังคงเท่าเดิมจากเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากมีระยะเวลาการใช้อัตราดอกเบี้ยตั้งแต่ 1 ก.ย.- 31 ธ.ค. 64 โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ดังนี้ สำหรับการกู้ในวงเงิน 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 5 ล้านบาท ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.9% ( MRR-3.15%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.05% (MRR-2.00%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป 4.95% (MRR-1.10%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.97% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.39% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 เดือนที่ 1-6 อัตราดอกเบี้ย 1.50% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย MRR-1.60% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.7% (MRR-1.35%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.10%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.21% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.52% สำหรับการกู้เงินในวงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.55%  (MRR-3.50%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.3%  (MRR-2.75%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 4.7% (MRR-1.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.52% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.02% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 เดือนที่ 1-6 อัตราดอกเบี้ย 1.25% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย 4.1% (MRR-1.95%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.3% (MRR-1.75%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป 4.7%  (MRR-1.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.89% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.23%   หมายเหตุ * อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงการแสดงตัวอย่าง โดยคำนวณจากฐานวงเงินกู้ 2 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 5 ล้านบาท และฐานวงเงินกู้ 5 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ด้วยระยะเวลาการกู้ 10 ปี ในกรณีที่ลูกค้า ซื้อ MRTA/MLTA หากค่าเบี้ย MRTA/MLTA เปลี่ยนแปลง อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอาจเปลี่ยนแปลงได้ เงื่อนไขการรับสิทธิพิเศษสาหรับลูกค้าที่ซื้อประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ (MRTA/MLTA) -รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ต่อปี เฉพาะในปีที่ 1 จากอัตราดอกเบี้ยทุกทางเลือก ลูกค้าต้องซื้อ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการตามเงื่อนไขดังนี้ 1.ผลิตภัณฑ์ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการได้แก่ MRTA : แผนกรุงศรี เซฟตี้โลน 1 พลัส หรือ กรุงศรี เซฟตี้โลน 1 หรือ กรุงศรี เซฟตี้โลน 2 / MLTA : กรุงศรี รักบ้าน รักคุณ หรือกรุงศรี รักบ้าน รักคุณ พลัส เท่านั้น 2.กรณีผู้กู้หลักเป็นพนักงานเงินเดือนที่มีรายได้ ประจำ​ต้องซื้อ MRTA/MLTA 100% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี หรือซื้ออย่างน้อย 70% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความ คุ้มครองไม่ต่ำกว่า 20 ปี 3.กรณีผู้กู้หลักเป็นผู้ประกอบธุรกิจส่วนตัว ต้องซื้อ MRTA/MLTA อย่างน้อย 80% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 10 ปี หรือซื้อย่างน้อย 50% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี 4.กรณีมีผู้กู้ร่วม สามารถซื้อ MRTA/MLTA เฉพาะผู้กู้หลักเพียงคนเดียวได้ หรือหากผู้กู้ร่วมประสงค์ที่จะซื้อ MRTA/MLTA ด้วย ผู้กู้หลักและผู้กู้ร่วมทุกคนจะต้องมีทุนประกันขั้นต่ำในสัดส่วนที่เท่ากัน ขอสงวนสิทธิ์ในการปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย เป็นอัตราดอกเบี้ยปกติตามที่ลูกค้าได้เลือกไว้ โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ในกรณีที่บริษัทประกันไม่ อนุมัติ MRTA/MLTA หรือในกรณีที่ลูกค้าขอยกเลิก MRTA/MLTA -ตามประกาศธนาคาร ณ วันที่ 21 พ.ค. 63 อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.05% ต่อปี -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. 64 – 31 ธ.ค. 64 โดยจดจำานองและเบิกรับเงินกู้ภายในวันที่ 31 ม.ค. 65 -ค่าธรรมเนียมอื่น ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร -การพิจารณา อนุมัติสินเชื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด -วงเงินกู้อนุมัติสูงสุดเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด และไม่เกินกว่า วงเงินกู้สูงสุดต่อมูลค่าหลักประกัน (ราคาซื้อขาย) ตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์เรียกเก็บค่าเบี้ยปรับกรณีปิด ภาระหนี้ก่อนกำหนด (กรณีที่ลูกค้ารีไฟแนนซ์ไปสถาบันการเงินอื่นภายใน 3 ปีแรกนับจากวันทำสัญญา) คิดเป็น 3% ของยอดหนี้คงเหลือ 4.ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกสิกรไทย มีสินเชื่อกู้ซื้อบ้านสำหรับบ้านใหม่ให้กับลูกค้าทั่วไป โดยพิจารณาเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีรายได้ประจำ และกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการ ซึ่งเดือนนี้อัตราดอกเบี้ยไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนตุลาคมที่ผ่านมา โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ดังนี้ สำหรับลูกค้าที่มีรายได้ระจำ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย = n.a. อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 7.72% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 7.72% สำหรับลูกค้าผู้ประกอบการ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย = n.a. อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 8.22% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 8.22% % หมายเหตุ : -อัตราดอกเบี้ย MRR = 5.97% (ประกาศ ณ วันที่ 22 พ.ค. 63) -อัตราดอกเบี้ยข้างต้นสำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้สินเชื่อบ้านตั้งแต่ 20 ก.ค.  – 31 ธ.ค. 64 -สำหรับที่อยู่อาศัยทุกประเภทรวมอาคารพาณิชย์ยกเว้น Refinance และการปล่อยกู้เพื่อซื้อที่ดินเปล่า -มีค่าสำรวจและประเมินราคาหลักประกันโดยบริษัท โพรเกรส แอพไพรซัล หรือบริษัทประเมินที่ธนาคารรับรอง คิดขั้นต่ำ 3,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) -วงเงินให้กู้สูงสุดไม่เกิน 90% ของเราซื้อขายและไม่เกิน 90% ของราคาประเมินหลักประกัน 5.ธนาคารเกียรตินาคิน ธนาคารเกียรตินาคิน มีสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย (บ้านใหม่ : กรณีซื้อบ้านจากบริษัทพัฒนา อสังหาริมทรัพย์ที่ธนาคารกำหนด) ซึ่งคิดอัตราดอกเบี้ยในอัตราดเดิมเท่ากับเดือนที่ผ่านมา โดยธนาคารเกียรตินาคินมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ดังนี้ ดอกเบี้ยคงที่ 2 ปี แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  2.450%-2.750% ปีต่อไป ดอกเบี้ย  4.775% (MLR-1.75%) แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.650%-2.950% ปีต่อไป ดอกเบี้ย 4.775% (MLR-1.75%) ดอกเบี้ยคงที่ 3 ปี  แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.60%-2.99% ปีต่อไป ดอกเบี้ย 4.775% (MLR-1.75%) แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.80%-3.19% ปีต่อไป ดอกเบี้ย 4.775% (MLR-1.75%) หมายเหตุ 1.อัตราดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับปัจจัยอ้างอิง เช่น อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR) ซึ่งธนาคารจะแจ้งให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว  โดยจะประกาศไว้ ณ สถานที่ทำการให้บริการและ​เว็บไซต์ของธนาคาร 2.MLR ณ วันที่​ 18 สิงหาคม 2563 เท่กับ​ 6.525% ต่อปี 3.เลือกทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ​(MRTA)ผ่านธนาคาร ทุนประกันภัยเท่ากับวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาเอาประกันภัยขั้นต่ำ 10 ปี กรณีที่ระยะเวลาการกู้ไม่ถึง 10 ปี ให้ระยะเวลาเอา​​​​​​ประกันภัยเท่ากับระยะเวลาการกู้ 4.กรณี Refinance ไปสถาบันการเงินอื่นก่อนครบ 3 ปี แรก คิดค่า​ Prepayment Penalty 3% ของเงินต้นคงค้าง 5.​กรณีเลือกใช้เงื่อนไขอัตราดอกเบี้ยแบบฟรีค่าจดจำนอง ​​หากลูกค้า Re-Finance หรือชำระปิดบัญชีก่อนระยะเวลาที่กำหนดไว้ ลูกค้าต้องชำระค่าจดจำนองที่ธนาคาร เคยสำรองจ่ายให้แก่ธนาคาร​ 6.ค่าประเมินหลักประกันเริ่มต้น 3,210 บาท  ค่าอากรแสตมป์ 0.05% ของวงเงินกู้ (สูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท) 7.เบี้ยประกันอัคคี ​เป็นไปตามที่บริษัทประกันภัยกำหนด ​โดยผู้กู้สามารถเลือกทำประกันกับบริษัทที่น่าเชื่อถือใดก็ได้ ​ a.อัตราส่วนวงเงินกู้ยืมสูงสุด ต่อหลักประกัน 100% ของราคาซื้อขายจริง หรือราคาประเมินธนาคาร แล้วแต่ราคาใดต่ำกว่า ยกเว้นธนาคารมีกำหนดเงื่อนไขพิเศษอื่น ๆ สำหรับบางโครงการ อาจจะได้รับอัตราส่วนวงเงินกู้ยืมสูงสุดต่อหลักประกัน​ 100% b.ระยะเวลากู้สูงสุด ​30 ปี (อายุผู้รวมระยะเวลากู้ไม่เกิน 65 ปี สำหรับพนักงานเงินเดือนประจำ และไม่เกิน 70 ปี สำหรับเจ้าของกิจการ/ธุรกิจส่วนตัว) 6.ธนาคารซีไอเอ็มบี ธนาคารซีไอเอ็มบี สินเชื่อบ้าน โฮมโลนฟอร์ยู ให้กับพนักงานประจำ ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ ผู้ประกอบการ และเจ้าของกิจการ  โดยคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับเดือนที่ผ่านมา ซึ่งธนาคารซีไอเอ็มบี มีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ดังนี้ สำหรับพนักงานประจำ รายได้ 15,000 บาท หรือเจ้าของกิจการรายได้ 30,000 บาท ประเภททำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.25% (MRR-3.10%) ระยะเวลาที่เหลือ ดอกเบี้ย 5.35% (MRR-2.00%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.25% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.07% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.55% (MRR-2.80%) หลังจากนั้น 5.35% (MRR-2.00%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.15% หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินกู้ 2 ล้านบาท ระยะเวลากู้ 15 ปี (MRR=7.35% ประกาศ ณ วันที่ 10 เมษายน 2563) -ธนาคารยังมีอัตราดอกเบี้ยสำหรับพนักงานประจำรายได้ 30,000-50,000 หรือเจ้าของกิจการรายได้ 50,000 บาทขึ้นไปไว้พิจารณาด้วย รวมถึงสินเชื่อสำหรับโครงการที่ธนาคารเป็นผู้สนับสนุน 7.ธนาคารทีทีบี ธนาคารทีทีบี มีสินเชื่อบ้านใหม่ สำหรับการซื้อบ้านหรือคอนโดจากโครงการทั่วไป จะได้รับฟรีค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย ค่าจดทะเบียนจำนอง และค่าประเมินหลักทรัพย์ ซึ่งยังคงใช้อัตราดอกเบี้ยเท่ากับเดือนตุลาคมที่ผ่านมา  โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ดังนี้ สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ทางเลือก 1 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.05% (MRR-2.23%) หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.05% ดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.46% ทางเลือก 2 (ฟรีค่าจดจำนอง) ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.4% (MRR-1.88%) หลังจากนั้น 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.4% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.57% ทางเลือก 3 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 4.65% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา ดอกเบี้ย 4.65%   หมายเหตุ สมัครผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ได้แก่ 1.สมัครประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ สไมล์โฮม หรือ สไมล์โฮม พลัส ​ 2.สมัครใช้บริการหักบัญชีอัตโนมัติผ่านบัญชีออมทรัพย์ ทีทีบี เพื่อผ่อนชำระสินเชื่อบ้าน 3.สมัครบัตรเดบิต ttb (กรณีที่คุณมีบัตรเดบิต ttb แล้ว ไม่ต้องสมัครเพิ่ม) กู้ซื้อบ้าน คอนโดใหม่ กับทีทีบี รับข้อเสนอพิเศษ ด้วยอัตราดอกเบี้ย ให้เลือก 2 แบบ ดังนี้ แบบที่ 1 สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท -รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษนาน 3 ปี -ฟรีประกันอัคคีภัยมูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท -ฟรีค่าจดทะเบียนจำนอง 1% ของเงินกู้สูงสุดถึง 200,000 บาท -ฟรี ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรม จำนอง แบบที่ 2 สมัครผลิตภัณฑ์เสริมไม่ครบทั้ง 3 ประเภท​ -ฟรีประกันอัคคีภัย มูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท -ฟรี ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรม จำนอง หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมรวมถึงสิทธิพิเศษต่าง ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร -MRR (Minimum Retail Rate : อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อยชั้นดี) = 6.28% ต่อปี ณ วันที่ 7 พ.ค. 64 -การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ (MRTA) ไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ ทำเพื่อประโยชน์หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นกับผู้กู้ในขณะที่ยังชำระหนี้ไม่ครบถ้วน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของผู้กู้และธนาคาร และไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ -สำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.-31 ธ.ค.64 และจดจำนองภายใน 31 ม.ค. 65 8.ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ มีสินเชื่อบ้านสำหรับลูกค้าทั่วไป โดยคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับช่วงเดือนที่ผ่านมา ซึ่งอัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารไทยพาณิชย์  คิดมีอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ดังนี้ แบบไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.995% ปีต่อไป MRR = 5.995% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.995% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.995% แบบทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ มากกว่าหรือเท่ากับ 70% ของวงเงินกู้ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.950% ปีต่อไป MRR = 5.995% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.950% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.983% หมายเหตุ -กรณีใช้ดอกเบี้ย​แบบทำประกัน​ Credit Life 70% กำหนดให้ทำทุนประกันไม่น้อยกว่า 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลาเอาประกัน 70% ของระยะเวลากู้ตามสัญญา โดยกำหนดให้เอาระยะเวลาขั้นต่ำ 10  ปี (กรณีระยะเวลากู้ตามสัญญาต่ำ​10 ปี กำหนดให้ระยะเวลาเอาประกันเท่ากับระยะเวลากู้ตามสัญญา) ​-ประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ รับประกันภัยโดย บมจ. ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต บริษัทนเครือกลุ่มเอฟดับบลิวดี หากต้องการสอบถามรายละเอียด เกี่ยวกับการประกันภัยเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ ศูนย์บริการลูกค้า โท​ร. 1315 ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.00 – 20.00 น. -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจรายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข ​​ก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุก​ ธนาคารเป็นเพียงนายหน้าผู้ชี้ช่อง หรือจัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันภัยเท่านั้น ​การพิจารณารับประกัน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการรับประกันภัย ของบริษัทประกันภัย -อัตราดอกเบี้ย MRR ของธนาคารไทยพาณิชย์ เท่ากับ 5.995% ต่อปี ​(ประกาศ ณ วันที่ 21 พฤษภาคม 2563) ซึ่งอาจะเปลี่ยนแปลงได้ตามประกาศธนาคาร -อัตราดอกเบี้ยแท้จริงที่ระบุในตารางเป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในฉบับนี้เท่านั้น ​ซึ่งอาจะมีความแตกต่างกัน ตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีลูกค้าบอกเลือกประกันชีวิต หรือขอเวนคืนกรมธรรม์ หรือทำประกันไม่ครบกำหนดตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ​ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยวงเงินกู้ เป็นอัตราดอกเบี้ยทั่วไป  ตามประกาศธนาคาร ระยะเวลากู้ตามสัญญา วงเงิน ระยเวลาผ่อนชำระ อัตราดอกเบี้ย คุณสมบัติ เอกสารปรกอบการพิจารณา และการอนุมัติเป็นไปตามเงื่อนไข หลักเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด 9.ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์  หรือ ธอส. มีสินเชื่อสำหรับการซื้อบ้านหลากหลายประเภท โดยประเภทสินเชื่อโครงการบ้าน ธอส. เพื่อคุณ ปี 2564 ​มีการคิดอัตราดอกเบี้ย ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา  โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ดังนี้ ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.75% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.75% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.75% (MRR-1.4%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 5.4% หมายเหตุ ยื่นคำขอกู้และอนุมัติตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. 64 – 30 ธ.ค. 64   (ธนาคารสงวนสิทธิ์ในการกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดโครงการก่อนกำหนด หากธนาคารให้สินเชื่อเติมวงเงินของโครงการแล้ว) อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.15% ประกาศ ณ วันที่ 25 พฤษภาคม 2563 10.ธนาคารยูโอบี ธนาคารยูโอบี มีสินเชื่อบ้านสำหรับโคงการหมู่บ้านทั่วไป  โดยมีการคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับ​เดือนที่ผ่านมา  ธนาคารยูโอบีมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด  ดังนี้ ทางเลือก 1 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.55% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.55% (MRR-3.80%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.87% ทางเลือกที่ 2 ไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.75% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.75% (MRR-3.60%) หลังจากนั้น 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.75% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.95% ทางเลือกที่ 3 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.0% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.95% (MRR-2.40%) หลังจากนั้น 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.65% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.88% ทางเลือกที่ 4 ไม่ทำประกันคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.20% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 5.15% (MRR-2.20%) ปีที่ 4 อัตราดอกเบี้ย 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.85% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.96% หมายเหตุ -ขอสินเชื่อตั้งแต่ 1 ก.ย. – 30 ธ.ค. 64 และจดจำนองหลักประกันกับธนาคารภายใน 31 ม.ค.​ 65 -อัตราดอกเบี้ยแบบทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ผ่านธนาครยูโอบี >ทุนประกันเต็มวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันขั้นต่ำ 10 ปี หรือ >ทุนประกันขั้นต่ำ 80% ของวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันเต็มตามระยะเวลากู้ -อัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 1 ล้านบาท อายุสัญญา 15 ปี MRR=7.35% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้น เป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในสื่อโฆษณาเท่านั้น อัตราดอกเบี้ยสำหรับการทำสัญญากู้ยืมของลูกค้าแต่ละรายอาจะมีความแตกต่างกันตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีไถ่ถอนจำนองเพื่อไปใช้บริการกับสถาบันการเงินอื่น ​(Re-finance) ในช่วงระยะเวลา 3 ปีแรก นับจากวันที่กู้ จะมีค่าปรับ 3% ของยอดเงินต้นคงค้าง (เฉพาะวงเงินสินเชื่อที่มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดหาที่อยู่อาศัยเท่านั้น)​ -การอนุมัติสินเชื่อ​เป็นไปตำมหลักเกณฑ์ของธนาคาร​ -เพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้น อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบันเท่ากับ  7.35% ต่อปี ​(ตามประกาศธนาคารณ วันที่ 1 เม.ย. 64) อนึ่ง ธนาคารสามารถประกาศปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย​ MRR ได้ตามเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดอนุญาตไว้​ -อัตราค่าธรรมเนียมและค่าบริการต่าง ๆ​เป็นไปตามประกาศที่ธนาคารจัดทำไว้  และประกาศให้ทราบตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยธนาคารอาจเปลี่ยนแปลงอัตราค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ได้โดยจะแจ้งให้ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน โดยการปิดประกาศไว้ ณ ที่ทำการ หรือเว็บไซต์ของธนาคาร​ -ธนาคารยูโอบีในฐานะนายหน้าประกันภัย ​(ใบอนุญาตประกันชีวิต​เลขที่ ช.00026/2545 และใบอนุญาตประกันวินาสภัย​ เลขที่ ว.00020/2546) ทำหนี่เสนอผลิตภัณฑ์ด้านประกันภัยและเป็นผู้จัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันชีวิต/ประกันวินาศภัย และอำนวยความสะดวกในการรับชำระเบี้ยประกันเท่านั้น  รับประกันชีวิตโดยบริษัท พรูเด็นเชียลประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), รับประกันวินาศภัยโดย บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน), บริษัท แอกซ่าประกันภัย จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอ็ม เอส ไอ จี ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ​จะเป็นผู้รับผิดชอบตามเงื่อนไข ความคุ้มครองและสิทธิประโยชน์ตามที่ได้ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครองและเงื่อนไขก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง 11.ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีสินเชื่อเพื่อการซื้อที่อยู่อาศัย คือ โฮมโลน โดนใจ สินเชื่อบ้านดอกเบี้ยต่ำเริ่มต้น 1.9% (สำหรับผู้มีรายได้ 75,000 บาทขึ้นไป) โดยมีการคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับช่วงเดือนที่ผ่านมา ซึ่งธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ดังนี้ อัตราดอกเบี้ยสำหรับผู้กู้มีรายได้ตั้งแต่ 20,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 2.0% ต่อปี แบบที่ 1 ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.00% (MRR-5.35%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.80% (MRR-3.55%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป 5.10% (MRR-2.25% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.60% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.57% แบบที่ 2 ปีที่ 1-2 ดอกเบี้ยคงที่ 2.10%  (ผ่อนต่ำล้านละ 3,500 บาท 2 ปีแรก) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.20% (MRR-3.15%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป 5.10% (MRR-2.25%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.80% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.69% แบบที่ 3 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.55% (MRR-4.80%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 5.10% (MRR-2.25%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.63% แบบที่ 4 ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ยคงที่ 2.75% (ผ่อนต่ำล้านละ 3,500 บาท 3 ปีแรก) ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 5.10% (MRR-2.25%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.75% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.76% เงื่อนไข กรณีลูกค้าเลือกทำประกัน MRTA/MLTA ผ่านธนาคาร : 1.กรณีที่ลูกค้าทำประกัน MRTA/MLTA ผ่านธนาคาร ธนาคารทดรองจ่ายค่าจดจำนองให้ 1% ของวงเงินกู้อนุมัติ หรือ สูงสุดไม่เกิน 2 แสนบาท (ทั้งนี้ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเรียกเก็บเงินทดรองจ่ายค่าจดจำนองดังกล่าวคืนจากลูกค้า กรณีลูกค้าปิดบัญชีสินเชื่อ หรือ เปลี่ยนแปลงสัญญาใด ๆ ภายใน 5 ปีแรก ทุกกรณี นับจากวันทำนิติกรรมจดจำนอง) 2.กรณีสมัครทำประกันชีวิต ต้องสมัครทำ MRTA/MLTA ทุนประกัน 100% ของวงเงินสินเชื่อ ระยะความคุ้มครองขั้นต่ำ 10 ปี หมายเหตุ -โครงการจัดสรรในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เท่านั้น* -ราคาซื้อขายของหลักประกันต้องมีราคา (แนวราบ) ไม่น้อยกว่า 2.00 ล้านบาท , (แนวสูง) ไม่น้อยกว่า 2.50 ล้านบาท -ลูกค้าสามารถเลือกใช้อัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำ ล้านละ 3,500 บาท  กรณีเลือกอัตราดอกเบี้ยคงที่** -ยกเว้น ค่าประเมินราคาหลักประกัน (โครงการจัดสรรทุกโครงการที่มีราคาซื้อขาย 2 ล้านบาทขึ้นไป)*** -ระยะเวลากู้สูงสุด 40 ปี รวมอายุผู้กู้ไม่เกิน 70 ปี**** -วงเงินกู้เพิ่มสูงสุด 10% จากสัญญาซื้อขาย เพื่อซื้อเฟอร์นิเจอร์ ตกแต่งบ้าน อัตราดอกเบี้ย 1) ทำประกัน MRTA/MLTA : ปีที่ 1-3 : MRR – 2.75% = 4.60% หรือ 2) ไม่ทำประกัน MRTA/MLTA : ปีที่ 1-3 : MRR – 2.25% = 5.10% , หลังจากนั้นปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR = 7.35% ***** -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่าง อัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี MRR = 7.35% (ณ 1 เม.ย. 64) ที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในโฆษณาฉบับนี้เท่านั้น ซึ่งอาจมีความแตกต่างตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -การพิจารณาคุณสมบัติของลูกค้าแต่ละรายให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ตามที่ธนาคารกำหนด -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์การพิจารณาสินเชื่อ โดยอยู่ในดุลยพินิจของธนาคาร ทั้งนี้เงื่อนไขต่างๆเป็นไปตามประกาศธนาคาร โดยมิต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า -อัตราดอกเบี้ย และโปรโมชั่น (มีวงเงินสินเชื่อจำกัด) สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อ โดยเบิกรับเงินกู้ ตั้งแต่ 1 ต.ค. – 31 ธ.ค. 64 -สำหรับอัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 1.9% สำหรับผู้กู้ที่มีรายได้ 75,000 บาทขึ้นไป ผ่อนต่ำเดือนละ 3,500 บาท ฟรีค่าจดจำนองสินเชื่อเมื่อซื้อประกันผ่านธนาคาร ฟรีค่าประเมินหลักประกัน 12.ธนาคารออมสิน ธนาคารออมสิน มีสินเชื่อเคหะ สำหรับให้บริการผู้ที่ต้องการกู้เงินเพื่อไปซื้อบ้านหรือคอนโด ภายใต้แคมเปญ อัตราดอกเบี้ย 0% 6 เดือนแรก ภาพรวมไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเดือนตุลาคม มีเพียงอัตราดอกเบี้ยปีแรกที่เปลี่ยนแปลงเล็กน้อย โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ดังนี้​ กรณีทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ยเฉลี่ย 0.75% (เดือนที่ 1-6 ดอกเบี้ย 0% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย 1.5%)  ลดลง 0.75% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดอัตราดอกเบี้ย 1.5% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.525% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.525% (MRR-2.72%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.6% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.101% กรณีไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ยเฉลี่ย 1.0% (เดือนที่ 1-6 ดอกเบี้ย 0% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย 2.0%) ปรับลดลง 1.0% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 2.0% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 4.15% ปีที่​ 3 ดอกเบี้ย 4.15% (MRR-2.095%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.1% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.286%   เงื่อนไขการใช้อัตราดอกเบี้ยโปรโมชั่น 1.ประกัน หมายถึง ประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ 2.อัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำ MRR=6.245% (ตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2563) 3.รายละเอียดเพิ่มเติมสอบถามได้จากธนาคาร   ที่มา Reviewyourliving รวบรวมจากเว็บไซต์ธนาคาร ข้อมูล ณ วันที่ 1 พ.ย. 64   บทความที่เกี่ยวข้อง อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนตุลาคม 64 อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน เดือนกันยายน 2564  
7 บทสรุปตลาดที่อยู่อาศัยใน EEC  ครึ่งปีแรก 64 ลดทั้งดีมาน์และซัพพลาย​

7 บทสรุปตลาดที่อยู่อาศัยใน EEC ครึ่งปีแรก 64 ลดทั้งดีมาน์และซัพพลาย​

โครงการที่อยู่อาศัยในพื้นที่ 3 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา ซึ่งอยู่ในโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ  EEC ก็ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ไม่ต่างจากพื้นที่ของจังหวัดอื่น ๆ แถมยังเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม)  ด้วย ทำให้ได้รับผลกระทบด้านกำลังซื้อ และความมั่นใจต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์เป็นอย่างมากด้วย สะท้อนได้จากการชะลอตัวลงของทั้งฝั่งดีมานด์และซัพพลาย    โดยล่าสุด ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) หรือ REIC ได้สรุปสถานการณ์ตลาดอสังหาฯ ในส่วนที่อยู่อาศัยของพื้นที่ 3 จังหวัดดังกล่าว ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564 พบว่าทั้งซัพพลายและดีมานด์หดตัวลงอย่างต่อเนื่อง 1.ใบอนุญาตจัดสรรที่ดินลด แต่ใบอนุญาติก่อสร้างเพิ่ม -การออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดิน ในช่วงครึ่งปีแรก จำนวนโครงการ ลดลง 22.8% และจำนวนยูนิตลดลง 15.7% -การออกใบอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยปรับตัวเพิ่มขึ้น  7.1%  ซึ่งเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากฐานที่ต่ำมากในช่วงที่ไม่ปกติ -การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย จำนวนยูนิตลดลง​ 21.9% และมูลค่าลดลง 18.1%   โครงการที่อยู่อาศัยที่ได้รับอนุญาตจัดสรรที่ดินจากกรมที่ดินจำนวน  71 โครงการ 7,090 ยูนิต จำนวนโครงการลดลง 22.8%  และจำนวนยูนิตลดลง 15.7% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2563 ซึ่งมี  92  โครงการ  8,409 ยูนิต ในจำนวน 7,090 ยูนิต 2.ทาวน์เฮ้าส์ได้ใบอนุญาตจัดสรรที่ดินมากสุด ใบอนุญาตจัดสรรที่ดินมากที่สุด เรียงตามลำดับดังนี้ -ทาวน์เฮ้าส์ ​จำนวน  3,682 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 51.9% ของจำนวนการออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินทั้งหมด บ้านแฝด  จำนวน  1,676 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 23.6% -บ้านเดี่ยว จำนวน  1,667 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน  23.5% -ส่วนที่เหลือเป็น อาคารพาณิชย์ และที่ดินจัดสรร ตามลำดับ 3.ชลบุรี ออกใบอนุญาตจัดสรรมากสุด เมื่อพิจารณารายจังหวัดในพื้นที่ EEC ในครึ่งแรกปี 2564 จังหวัดที่มีการออกใบอนุญาตจัดสรรมากที่สุด เรียงลำดับได้ดังนี้ อันดับ 1 จังหวัดชลบุรี มีจำนวน 3,704 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน​ 52.2% ของการออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินทั้งหมด และมีการออกใบอนุญาตจัดสรรเพิ่มขึ้น​ 9.2% อันดับ 2 จังหวัดระยอง มีจำนวน 2,782 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 39.2% มีการออกใบอนุญาตจัดสรรลดลง 7.3% อันดับ 3 จังหวัดฉะเชิงเทรา มีจำนวน 604 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 8.5% มีการออกใบอนุญาตจัดสรรลดลงมากถึง 70.0% 4.ใบอนุญาตก่อสร้างเพิ่ม 7.1% การออกใบอนุญาตก่อสร้าง ทั้งที่เป็นบ้านที่ประชาชนสร้างเอง บ้านในโครงการจัดสรร และอาคารชุด มีจำนวนประมาณ 17,049 ยูนิต เพิ่มขึ้น 7.1% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2563 แบ่งออกเป็น -การออกใบอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยแนวราบจำนวนประมาณ 13,895  ยูนิต ลดลง 1.8% -การออกใบอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยอาคารชุด จำนวนประมาณ 3,154  ยูนิต เพิ่มขึ้น 78.9%  เมื่อเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2563 5.ชลบุรี ออกใบอนุญาตก่อสร้างกว่า 10,000 ยูนิต จังหวัดที่มีการออกใบอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยมากที่สุด อันดับ 1 จังหวัดชลบุรี มีการออกใบอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยประมาณ 10,389 ยูนิตคิดเป็นสัดส่วน  60.9%  ของการออกใบอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยทั้งหมด อันดับ 2 จังหวัดระยอง มีการออกใบอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยประมาณ 3,722 ยูนิตคิดเป็นสัดส่วน 21.8% ของการออกใบอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยทั้งหมด อันดับ 3 จังหวัดฉะเชิงเทรา มีการออกใบอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยประมาณ 2,938 ยูนิตคิดเป็นสัดส่วน17.2% ของการออกใบอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยทั้งหมด 6.ครึ่งปีแรก 64 โอนกรรมสิทธิ์ลดลง 21.9% การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย มีจำนวน 16,045 ยูนิต ลดลง 21.9% จากช่วงเดียวกันของปี 2563 มีจำนวน 20,550 ยูนิต มีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ 37,855 ล้านบาท  ลดลง 18.1% ​ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2563 มีมูลค่า 46,209 ล้านบาท 7.ชลบุรี โอนกรรมสิทธิ์กว่า 30,000 ล้าน เมื่อพิจารณารายจังหวัดที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย อันดับ 1 จังหวัดชลบุรี มีจำนวน 12,489 ยูนิต ลดลง 5.3% และมีมูลค่า 30,436 ล้านบาท ลดลง 3.6% อันดับ 2 จังหวัดระยอง มีจำนวน 2,794 ยูนิต ลดลง 47.5% และมีมูลค่า 5,874 ล้านบาท ลดลง ​43.8% อันดับ 3 จังหวัดฉะเชิงเทรา มีจำนวน 762 ยูนิต ลดลง 62.6%  และมีมูลค่า 1,545  ล้านบาท ลดลง 63.1% ประเมินสถานการณ์ภาพรวมปี 2564 การขอใบอนุญาตจัดสรรที่ดิน  จะมีอัตราขยายตัวอยู่ในช่วง -17.5% ถึง -0.8% การขอใบอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัย จะมีอัตราขยายตัวอยู่ในช่วง  -9.2% ถึง 11.0% ยูนิตการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย จะมีอัตราขยายตัวอยู่ในช่วง​ -37.8% ถึง -24.0% มูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย ​ จะมีอัตราขยายตัวอยู่ในช่วง​ 9.5% ถึง 33.8% เนื่องจากราคาที่อยู่อาศัยต่อยูนิตปรับตัวสูงขึ้น เมื่อเทียบกับปี 2563    
เดอะ ลิฟวิ่น รามคำแหง ประกาศแต่งตั้ง JWS เป็นผู้รับเหมาหลัก พร้อมลุยเต็มสูบหลังคลายล็อกดาวน์

เดอะ ลิฟวิ่น รามคำแหง ประกาศแต่งตั้ง JWS เป็นผู้รับเหมาหลัก พร้อมลุยเต็มสูบหลังคลายล็อกดาวน์

เดอะ ลิฟวิ่น รามคำแหง ประกาศแต่งตั้ง JWS เป็นผู้รับเหมาหลัก พร้อมลุยเต็มสูบหลังคลายล็อกดาวน์ ริสแลนด์ ประเทศไทย ลุยเดินหน้าก่อสร้างโครงการ เดอะ ลิฟวิ่น รามคำแหง คอนโดมิเนียมไฮไรส์ มูลค่าโครงการ 4,900 ล้านบาท บนทำเลย่าน EBD เส้นรามคำแหง ห่าง MRT Interchange ลำสาลี เพียง 100 เมตร ล่าสุดประกาศแต่งตั้ง บริษัท เจ ดับบลิว เอส คอนสตรัคชั่น จำกัด เป็นผู้รับเหมาหลักดูแลงานก่อสร้าง มั่นใจแล้วเสร็จไตรมาส 2 ปี 2567     ดร.วอลเต้อร์ หลง ผู้อำนวยการโครงการ เดอะ ลิฟวิ่น รามคำแหง กล่าวว่า โครงการมีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะส่งมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าของโครงการ เพื่อมอบประสบการณ์การพักอาศัย ภายใต้คอนเซปต์ ชีวิตไร้ขีดจำกัด หรือ LIVING BEYOND BOUNDARY รองรับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตแบบวิถีใหม่ที่หลากหลายได้อย่างลงตัว โดยเฉพาะในด้านการก่อสร้าง ซึ่งถือเป็นรากฐานที่สำคัญ ทางโครงการได้คัดสรร บริษัทผู้รับเหมาที่มีความชำนาญ มีประสบการณ์และมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยในการสร้างอาคาร จึงได้ประกาศแต่งตั้ง บริษัท เจ ดับบลิว เอส คอนสตรัคชั่น จำกัด ซึ่งมีชื่อเสียงชั้นนำในระดับประเทศ เป็นผู้ก่อสร้างโครงการ โดยมี นายวุฒิชัย สิริพลังคานนท์ ประธาน บริษัท เจ ดับบลิว เอส คอนสตรัคชั่น จำกัด ร่วมลงนามในสัญญาแต่งตั้งเป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้างโครงการ เดอะ ลิฟวิ่น รามคำแหง เมื่อเร็วๆ นี้   เดอะ ลิฟวิ่น รามคำแหง (The Livin Ramkhamhaeng) เป็นคอนโดมิเนียมไฮไรส์สูง 42 ชั้น มูลค่าโครงการ 4,900 ล้านบาท บนเนื้อที่กว่า 8 ไร่ บริเวณแยกลำสาลี ใกล้ MRT สถานี Interchange ลำสาลี เพียง 100 เมตร ซึ่งสามารถเชื่อมต่อรถไฟฟ้า MRT 3 สาย ทั้งสายสีส้ม, สายสีเหลือง และสกายวอลค์ สายสีน้ำตาล พร้อมไฮไลท์พื้นที่ส่วนกลางถึง 3 ชั้น รวมกว่า 1,900 ตารางเมตร มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน นอกจากนี้ ยังมีพื้นที่สีเขียวให้ได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติมากถึง 6,000 ตารางเมตร โดยคาดว่าน่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในไตรมาส 2 ปี 2567  ซึ่งในวันที่ 30 ตุลาคมนี้ จะมีพิธีทางศาสนาเพื่อความเป็นสิริมงคลในการก่อสร้างตัวอาคารหลัก   หากท่านใดสนใจเข้าร่วมหรือเยี่ยมชมโครงการ สามารถติดต่อได้ที่ โทร. 085-505-1286 Line ID : @thelivinram Website : www.livinram.com/th   บทความที่น่าสนใจ ริสแลนด์ ยักษ์อสังหาฯ จีนไม่หยุด ปั้นโปรเจ็กต์คอนโด 15,000 ล้าน  
ธนาคารแห่งประเทศไทย ผ่อนคลายมาตรการ LTV ชั่วคราว กระตุ้นเศรษฐกิจภาคอสังหาฯ

ธนาคารแห่งประเทศไทย ผ่อนคลายมาตรการ LTV ชั่วคราว กระตุ้นเศรษฐกิจภาคอสังหาฯ

ผ่อนคลายมาตรการ LTV ชั่วคราว   [วันที่ 21 ตุลาคม 2564] นางรุ่ง มัลลิกะมาส ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโควิด 19 ที่ยืดเยื้อ แม้มีแนวโน้มจะทยอยฟื้นตัวได้จากความคืบหน้าในการกระจายวัคซีนและการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาด ทำให้เปิดประเทศได้เร็วกว่าคาด แต่การฟื้นตัวยังเปราะบางจากความไม่แน่นอนสูง และฐานะการเงินของบางภาคธุรกิจ และครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบหนัก โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว ขณะที่ภาคอสังหาริมทรัพย์อยู่ในภาวะซบเซาจากอุปสงค์ที่อ่อนแอ และภาคก่อสร้างที่ได้รับผลจากการระบาด ธปท. ประเมินแล้วเห็นว่า เพื่อกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และพยุงการจ้างงาน จึงควรเร่งเพิ่มเม็ดเงินใหม่เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ซึ่งมีธุรกิจเกี่ยวเนื่องจำนวนมาก โดยเฉพาะจากกลุ่มที่ยังมีฐานะการเงินเข้มแข็งหรือรองรับการก่อหนี้เพิ่มได้ ผ่านการผ่อนคลายหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่ออื่นที่เกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (มาตรการ LTV) เป็นการชั่วคราว    สาระสำคัญการ ผ่อนคลายมาตรการ LTV ชั่วคราว ในครั้งนี้ มีดังนี้ 1. กำหนดให้ เพดานอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (LTV ratio) เป็นร้อยละ 100 (กู้ได้เต็มมูลค่าหลักประกัน) สำหรับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (รวมสินเชื่ออื่น นอกเหนือจากเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย และมีที่อยู่อาศัยนั้นเป็นหลักประกันหรือสินเชื่อ Top-up แล้ว) ทั้งกรณี (1) มูลค่าหลักประกันต่ำกว่า 10 ล้านบาท ตั้งแต่สัญญากู้หลังที่ 2 เป็นต้นไป1  และ (2) กรณีมูลค่าหลักประกันตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป ตั้งแต่สัญญากู้หลังที่ 1 เป็นต้นไป   2. การผ่อนคลายนี้ให้เป็นการชั่วคราว สำหรับสัญญาเงินกู้ที่ทำสัญญาตั้งแต่วันที่ 20 ตุลาคม 2564 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565   ธปท. คาดว่าการผ่อนคลายมาตรการ LTV ในครั้งนี้ จะช่วยดึงเม็ดเงินใหม่เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ที่มีความสำคัญและมีธุรกิจเกี่ยวเนื่อง คิดเป็นกว่าร้อยละ 9.8 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) และมีการจ้างงานรวมกว่า 2.8 ล้านคน    ภายใต้แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่ยังเปราะบาง ประกอบกับในปัจจุบัน สถาบันการเงินมีมาตรฐานการให้สินเชื่อที่รัดกุม โดยคำนึงถึงความสามารถในการชำระหนี้ของผู้กู้ในระยะยาวเป็นหลัก ธปท. จึงประเมินว่า ความเสี่ยงต่อเสถียรภาพระบบการเงินที่จะมาจากการเก็งกำไรในภาคอสังหาริมทรัพย์ ในระยะหนึ่งปีข้างหน้ามีจำกัด ทั้งนี้ ธปท. จะติดตามสถานการณ์การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และภาคอสังหาริมทรัพย์ มาตรฐานการให้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของสถาบันการเงิน และความสามารถของประชาชนในการกู้หรือซื้อที่อยู่อาศัยได้ในราคาที่เหมาะสม เพื่อให้สามารถปรับเปลี่ยนมาตรการได้อย่างเท่าทันและเหมาะสมต่อไป   1) LTV ของสัญญากู้หลังแรก ของที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 10 ล้านบาท ปัจจุบันกำหนดไว้ที่ร้อยละ 100 จึงไม่ผ่อนคลายเพิ่มเติม​ ที่มา : ธนาคารแห่งประเทศไทย   บทความที่น่าสนใจ อัพเดท ดอกเบี้ย กู้ซื้อบ้านและคอนโด เดือนตุลาคม 64 อัพเดท ดอกเบี้ย รีไฟแนนซ์ สินเชื่อกู้ซื้อบ้าน เดือนตุลาคม 64  
“สามเสน-ราชวัตร” ย่านนี้มีเรื่องราว

“สามเสน-ราชวัตร” ย่านนี้มีเรื่องราว

สามเสน-ราชวัตร ย่านนี้มีเรื่องราว เมื่อพูดถึงย่านที่เรียกว่า “ใจกลางเมือง”  ในแต่ละยุค แต่ละสมัย ก็มีการให้คำนิยามที่แตกต่างกันออกไป ตามบริบทของพื้นที่ ลักษณะของทำเล และบรรยากาศแวดล้อมของทำเลนั้น ๆ   บนย่านที่เคยเจริญรุ่งเรืองในยุคสมัยหนึ่ง เมื่อเวลาผ่านไป ความเจริญของเมืองและวิถีของผู้คนที่เปลี่ยนไป ก็ทำให้พื้นที่ที่เคยเป็นใจกลางเมือง หรือศูนย์กลางธุรกิจ ก็ถูกขยับขยายอาณาเขตไปยังทำเลที่ไม่เหมือนเดิม   รีวิวฉบับนี้ เราจะพาไปทำความรู้จักกับ “ทุ่งสามเสน” ย่านเก่าแก่และสำคัญของกรุงเทพมหานคร ที่ครั้งหนึ่งเคยมีประวัติความเป็นมายาวนาน ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยากันเลยทีเดียว อย่าเพิ่งตกใจว่าเราจะเล่าประวัติศาสตร์เก่าแก่ยาวยืดเป็นร้อยๆ หน้า  แต่เราแค่เพียงอยากจะบอกว่า พื้นที่ในย่านนี้เป็นทำเลสำคัญที่รวบรวมเรื่องราวต่างๆ ไว้มากมาย และในแต่ละช่วงเวลาที่ผ่านมา ก็มีรูปแบบความเจริญที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนในแต่ละยุคแต่ละสมัย  ทำให้พื้นที่ “ทุ่งสามเสน” มีเสน่ห์ที่ไม่เหมือนใคร   บุกเบิกทุ่งสามเสน “ทุ่งสามเสน” ครั้งหนึ่งเคยเป็นอู่ข้าวอู่น้ำ ของชาวพระนคร ด้วยการเป็นพื้นที่ทำนา แต่ได้รับการพัฒนาให้เป็นแหล่งที่อยู่อาศัย โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ทรงสร้างพระราชวังดุสิตเป็นที่ประทับ มีการสร้างถนนขยายรอบเขตพระนคร เปลี่ยนการคมนาคมทางน้ำมาเป็นทางบก มีถนนสายหลักเชื่อมโยงสถานที่สำคัญไว้ด้วยกัน และมีสถานีรถไฟสามเสน ที่เป็นเครื่องยืนยันได้ถึงความสำคัญของพื้นที่แถบนี้ได้เป็นอย่างดี     นับแต่นั้นมาย่านนี้ก็กลายเป็นทำเลทองของการอยู่อาศัย โดยมีทั้งพระราชวัง พระที่นั่ง คฤหาสน์ของข้าราชบริพารและขุนนางมากมาย อีกทั้งยังมีหน่วยงานราชการ กระทรวง ทบวง กรมฯ ต่างๆ รวมถึงการเข้ามาของต่างชาติในแต่ละช่วงที่ไทยมีการติดต่อการค้ากับต่างชาติ ทำให้พื้นที่บริเวณนี้มีการผสมผสานทางศิลปวัฒนธรรมระหว่างไทยและต่างชาติอย่างมากมาย  สะท้อนออกมาให้ได้เห็น ผ่านโบราณสถาน วัด ศาสนสถาน อาคารของหน่วยงานราชการ หรือแม้แต่ตึกรามบ้านช่องต่างๆ ที่มีความลงตัวของสถาปัตยกรรมทั้งของไทยและต่างชาติ     นอกจากนี้ เรายังได้เห็นการผสมผสานทางวัฒนธรรม ในรูปแบบของวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ ของผู้คนในชุมชน ย่านทุ่งสามเสน ที่สะท้อนออกมาในรูปแบบของวัฒนธรรมด้านอาหารการกินอีกด้วย สังเกตได้จาก ในย่านนี้ มีร้านอาหารชื่อดังที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน ทั้งอาหารไทย จีน เวียดนาม ซึ่งถ้าลองกลับไปสืบค้นดูก็จะรู้ว่า บริเวณนี้เคยเป็นพื้นที่อยู่อาศัยของชาวต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็น ชาวโปรตุเกส ชาวเขมร ชาวจีน และชาวญวน ที่เข้ามาตั้งรกรากและทำมาหากินจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว   ... นับตั้งแต่การมีพระราชวังดุสิตเป็นต้นมา ทุ่งสามเสนแห่งนี้ก็ถูกพัฒนากลายเป็นที่อยู่อาศัยไปจนหมด ไม่เหลือท้องทุ่งนา เหมือนทุ่งอื่นๆ อีกต่อไป     ทำเลทองของการอยู่อาศัย ย้อนเวลากลับมาสู่ภาคปัจจุบัน พื้นที่ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็น “ใจกลางเมือง” หรือ “ศูนย์กลางความเจริญ” อย่างทุ่งสามเสน  ปัจจุบันได้กลายเป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งของ “เขตดุสิต” แม้ว่าจะไม่ได้ถูกนิยามไว้เหมือนในอดีต แต่พื้นที่สามเสนปัจจุบัน ก็ยังคงมีเสน่ห์และเอกลักษณ์เฉพาะตัว ที่หาได้ยากในทำเลอื่นๆ ซึ่งเราจะพาไปค้นหาว่า ทำไมบริเวณในแถบนี้ถึงเป็นทำเลทองและมีความน่าสนใจ เหมาะสมเป็นทำเลของการอยู่อาศัยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน     พื้นที่บริเวณนี้ เชื่อมโยงถึงกันด้วยถนนสายหลักหลายสาย โดยมีถนนสามเสน เป็นถนนสายหลักที่ตัดเลียบไปตามแนวแม่น้ำเจ้าพระยา ในขณะที่ถนนนครราชสีมา ถนนพระราม 5 ถนนสวรรคโลก และถนนกำแพงเพชร 5  จะอยู่ถัดเข้ามาตามลำดับ โดยมีถนนที่ตัดผ่านเพื่อเชื่อมแยกต่างๆ เข้าด้วยกันดังนี้ ถนนศรีอยุธยา ถนนราชวิถี ถนนสุโขทัย ถนนนครไชยศรี แต่ด้วยความที่พื้นที่ในบริเวณนี้ส่วนใหญ่เป็นที่ดินทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์จากที่เล่าไว้ข้างต้น รวมถึงเป็นหน่วยงานราชการสำคัญ ๆ ซะมากมาย ดังนั้นพื้นที่ชุมชนจึงค่อนข้างกระจุกตัวอยู่ในแถบสามเสนช่วงแยกซังฮี้  และตลอดแนวถนนนครไชยศรี (ราชวัตร) เป็นจำนวนมาก เพราะมีทั้งตลาดสด ร้านค้า ร้านดังมากมายที่ยังดำเนินกิจการกันมาอย่างยาวนานหลายสิบปี โดยเฉพาะในแถบราชวัตรด้วยแล้ว ก็ถือเป็นอีกย่านที่มีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องอาหารการกิน และความศิวิไลซ์นำสมัยมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เลยทีเดียว     ต้องยอมรับว่า ในยุคหนึ่งการเดินทางไปเลือกซื้อของและทานอาหารในย่านราชวัตร เป็นเครื่องแสดงความทันสมัยและความมั่งคั่ง แทบไม่ต่างจากการไปช้อปปิ้งที่ “สยาม” ในปัจจุบัน บรรยากาศของราชวัตรจึงคราคร่ำไปด้วยร้านอาหารรสเลิศ และร้านรวงที่มีข้าวของที่ดีที่สุด มาดึงดูดเงินจากข้าราชการ คหบดีทั้งหลาย กลายเป็นย่านการค้าสำคัญที่ใครๆ ก็อยากจับจองเป็นเจ้าของ เชื่อว่าในขณะนั้นคงต้องใช้เงินจำนวนไม่น้อยเลยถึงจะได้มีหน้าร้านหรือมีบ้านอยู่ในราชวัตร .... ปัจจุบันศูนย์กลางธุรกิจการค้ามีการขยายตัวไปยังพื้นที่อื่นๆ มากมาย แต่บรรยากาศที่คึกคักในย่านราชวัตรก็ไม่ได้เงียบเหงาลงไปเลย กลับยังมีเรื่องราวสืบต่อกันมาผ่านร้านดังในอดีตถึงปัจจุบัน     บรรยากาศในย่านนี้จะมีกลิ่นอายความเป็น “พื้นที่ใจกลางเมืองเก่า” อยู่ไม่น้อย แต่ด้วยความที่มีถนนสายหลักหลายสายจึงเชื่อมต่อเข้าสู่ “พื้นที่ใจกลางเมืองใหม่” ได้อย่างง่ายดาย เป็นการผสมผสานวิถีชีวิตคนเมืองไว้อย่างแนบเนียนจนไม่สามารถแยกจากกันได้ จากสถานีรถไฟสามเสน ที่แสดงให้เห็นถึงการคมนาคมที่ทันสมัยที่สุดในยุคหนึ่ง สู่สถานีรถไฟฟ้าตัวแทนของความเจริญในด้านการคมนาคมในปัจจุบัน ก็ไม่ได้หนีห่างออกจากพื้นที่ในแถบนี้เลย สิ่งอำนวยความสะดวกที่เพียบพร้อมสำหรับการอยู่อาศัยก็มีล้อมรอบไว้อย่างครบถ้วน ทั้งยังเป็นแหล่งงานราชการและเอกชน เป็นศูนย์รวมสถานศึกษาชั้นนำ ใกล้สถานพยาบาลใหญ่ทั้งรัฐและเอกชน รวมถึงมีความโดดเด่นด้านไลฟ์สไตล์สำหรับทุกช่วงวัย  เพราะเพียงแค่ข้ามแนวทางรถไฟมาเล็กน้อยก็เข้าสู่บรรยากาศใจกลางเมืองที่เร่งรีบ ย่านที่เป็นศูนย์กลางธุรกิจ และฮิปที่สุดของปัจจุบัน อย่างอารีย์     คอนโดใหม่ สามเสน-ราชวัตร บรรยากาศย่านเก่าที่เคยคึกคักมากเมื่อ 50 ปีก่อนของ สามเสน-ราชวัตร ทุกวันนี้กลับกลายเป็นแหล่งรวมของกินอร่อย ราคาดี ที่ผ่านการพิสูจน์ฝีมือมานานกว่าชั่วอายุคน บริเวณโดยรอบถูกแวดล้อมไปด้วยอาหารการกินสารพัด โดยมีถนนราชวัตร (ชื่อเดิมของถนนนครไชยศรี) เป็นไฮไลท์สำคัญ เพราะตลอดริมถนนตั้งแต่ สามเสน ศรีย่าน ราชวัตรมีร้านระดับตำนานอยู่เต็มไปหมด และยังคลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากมาย จึงไม่เรื่องไม่ง่ายนัก ถ้านึกอยากจะมองหาซื้อที่หรือเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยซักแห่งในย่านนี้   คงดีจะไม่น้อยถ้ามีโอกาสได้อาศัยอยู่ในย่านนี้ เพราะความดีงามของการได้อาศัยอยู่ในทำเลย่านสามเสน-ราชวัตร อาจไม่ได้หมายถึงการอยู่ในศูนย์กลางธุรกิจ ติดรถไฟฟ้า แต่มันอาจจะหมายถึงการได้อยู่ท่ามกลางเรื่องเล่าที่มีชีวิต และอาจจะได้เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวที่จะมีต่อไปอนาคต     “ศุภาลัย พรีเมียร์ สามเสน-ราชวัตร” คอนโดมิเนียมใหม่ล่าสุดบนย่านเก่าแก่ ที่เลือกปักหมุดบนทำเลที่ดีที่สุดริมถนนนครไชยศรี ซึ่งจัดว่าเป็น Rare Item ของย่านนี้ เพื่อตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัย เพราะนอกจากเรื่องความอุดมสมบูรณ์ของอาหารการกิน ทำเล สามเสน-ราชวัตร ยังสามารถตอบโจทย์ในส่วนอื่นๆ ได้ครบทุกองค์ประกอบการอยู่อาศัย ทั้งเรื่องใกล้แหล่งงานราชการ ใกล้แหล่งธุรกิจเอกชน และการเดินทางที่สะดวก มีพร้อมด้วยโรงเรียนชั้นนำ รวมถึงโรงพยาบาลชื่อดังทั้งรัฐและเอกชน ก็เพียงพอที่จะทำให้เราตัดสินใจเป็นเจ้าของคอนโดมิเนียมแห่งนี้   ศุภาลัยเลือกที่ดินตรงข้ามกับกรมสรรพสามิต ปักหมุดคอนโดมิเนียมใหม่ ผสานเข้ากับอัตลักษณ์ของย่านเดิม แต่เพิ่มเติมความสะดวกสบายของคนรุ่นใหม่ไว้อย่างครบถ้วน ภายในคอนโดมิเนียมรูปทรงตัว L รวบรวมแบบห้องชุดไว้หลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่ 1-3 ห้องนอน ขนาด 38 – 123.5 ตร.ม. พร้อมช่วยให้ชีวิตสะดวกสบายและปลอดภัยมากขึ้นด้วย Smart Living อาทิ Auto Parking, Home Automation, Smart kitchen, Digital Door Lock, Security Access Control ทุกยูนิตเน้นความเป็นส่วนตัว กับจำนวนเพื่อนบ้านเพียง 248 ยูนิต และพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่บริเวณด้านหน้าโครงการ เพื่อเพิ่มความร่มรื่นและเพิ่มระยะห่างจากถนน ให้ความเป็นส่วนตัวกับบรรยากาศภายในมากขึ้น     Facility ภายในโครงการ ศุภาลัย พรีเมียร์ สามเสน-ราชวัตร พร้อมตอบโจทย์ทุกช่วงวัยให้ได้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ ภายในอาคารประกอบไปด้วย สระว่ายน้ำ สระเด็ก ห้อง Fitness ห้อง Co-Living บนชั้นดาดฟ้าของอาคาร เพื่อได้ชมบรรยากาศวิวเมืองที่สวยงามได้เต็มตา รวมไปถึงสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้พิการ/ทุพพลภาพ ในพื้นที่ส่วนกลางก็มีพร้อมเช่นกัน อาทิ ทางลาดในบริเวณพื้นที่ต่างระดับ ที่จอดรถผู้พิการ ลิฟต์ผู้พิการ เป็นต้น     สำหรับผู้ที่สนใจโครงการ ศุภาลัย พรีเมียร์ สามเสน-ราชวัตร สามารถลองทะเบียนจองได้ที่ https://bit.ly/3aUhBEp เพื่อเป็นเจ้าของห้องก่อนใครในราคาเริ่มต้น 3.92 ล้านบาท* รายละเอียดเพิ่มเติม www.supalai.com   บทความน่าสนใจ ศุภาลัย เดินหน้าลุยตลาดคอนโด เตรียมเปิด 4 โปรเจ็กต์ใหม่ อัพเดท ดอกเบี้ย รีไฟแนนซ์ สินเชื่อกู้ซื้อบ้าน เดือนตุลาคม 2564 Blockchain คืออะไร? เกี่ยวอะไรกับ Bitcoin – Crypto [VDO]    
ศุภาลัย เดินหน้าลุยตลาดคอนโด เตรียมเปิด 4 โปรเจ็กต์ใหม่

ศุภาลัย เดินหน้าลุยตลาดคอนโด เตรียมเปิด 4 โปรเจ็กต์ใหม่

ศุภาลัย เดินหน้าทำตลาดคอนโด เตรียมเปิดโปรเจ็กต์ใหม่โค้งท้ายปี 4 โปรเจ็กต์ ประเดิม “ศุภาลัย พรีเมียร์ สามเสน-ราชวัตร” หลังกวาดยอดขาย 9  เดือนกลุ่มคอนโดพร้อมอยู่พร้อมโอนกว่า 3,800 ล้าน มั่นใจปี 64 ทำผลงานได้ตามเป้าหมายพร้อมใช้งบ 8,000 ซื้อที่ดินปั้นโปรเจ็กต์ต่อเนื่อง   นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ไตรมาส 4 ของปีนี้ บริษัทเตรียมเปิดโครงการคอนโดมิเนียม 4 โครงการ ซึ่งโครงการแรก คือ โครงการ​​ศุภาลัย พรีเมียร์ สามเสน-ราชวัตร ​ซึ่งกลุ่มเป้าหมายหลักคือผู้ที่อยู่อาศัยในย่านราชวัตร ซึ่งที่ผ่านมาพบว่าลูกค้าส่วนใหญ่มีความต้องการอยู่ในทำเลเดิม แต่ยังไม่เคยมีโครงการเข้ามาพัฒนา ถ้าคอนโดเปิดในทำเลใหม่ ๆ ที่ไม่เคยมีจะสามารถสร้างดีมานด์ใหม่ได้   โดยช่วง 9 เดือนแรก บริษัทไม่ได้ทำการเปิดตัวโครงการคอนโดเลย เนื่องจากรอช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเปิดตัว แต่แม้ว่าไม่มีการเปิดตัวโครงการใหม่ แต่ยอดขายในกลุ่มคอนโดยังทำได้ 3,810 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา และคาดว่ายอดขายคอนโดตลอดทั้งปีนี้น่าจะใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ​ขณะเดียวกันบริษัทยังทำตลาดกลุ่มคอนโดสร้างเสร็จพร้อมอยู่ที่สำคัญ 4 โครงการ ได้แก่ โครงการศุภาลัย ริวา แกรนด์, ศุภาลัย พรีเมียร์ เจริญนคร, ศุภาลัย เวอเรนด้า สถานีภาษีเจริญ และศุภาลัย โอเรียนทัล สุขุมวิท 39 ที่มีการโอนกรรมสิทธ์อย่างต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา   ส่วนในช่วง​ 9 เดือน บริษัทยอดขายโครงการแนวราบได้ 13,743 ล้านบาท ทำให้มียอดขายรวม ​17,553 ล้านบาท จากเป้าหมายยอดขายในปีนี้​ 27,000 ล้านบาท  ซึ่งยอดขายโครงการแนวราบปีนี้  คาดว่าน่าจะทำ Record high และทำให้ได้ยอดขายรวมปีนี้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ด้วย  โดยกลยุทธ์หลักในการทำตลาดช่วงที่ผ่านมา บริษัทมีการขยายโครงการไปยังตลาดต่างจังหวัดมากขึ้น นอกจากนี้ ยังพัฒนาโครงการแนวราบ ทำให้สัดส่วนปัจจุบันโครงการแนวราบมีมากถึง 70%  รวมถึงการทำตลาดและจัดโปรโมชั่นในโครงการกลุ่มพร้อมเข้าอยู่พร้อมโอน ​ สำหรับโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมเข้าอยู่ ที่บริษัททำตลาดอย่างโครงการ ศุภาลัย ริวา แกรนด์ มูลค่าโครงการ 6,800 ล้านบาท สามารถทำยอดขายได้แล้ว 5,450 ล้านบาท คิดเป็น 80% โครงการตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ​บนพื้นที่ 11 ไร่  มีอาคารชุดพักอาศัย 3 อาคาร ประกอบด้วย อาคาร A สูง 37 ชั้น อาคาร B และ C สูง 36 ชั้น (รวมดาดฟ้า)  โดยมีห้องพัก 706 ยูนิต ร้านค้า 14 ยูนิต  มีห้องพักตั้งแต่แบบ 1 - 3 ห้องนอน และ Penthouse 4 ห้องนอน ขนาด 53.5 - 433 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 4.59  ล้านบาท  ที่จอดรถกว่า 130% ของจำนวนยูนิต​ เราเสียเวลาในช่วงเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม จึงได้เตรียมเอาโครงการพร้อมอยู่พร้อมโอนมาทำโปรโมชั่น เพื่อให้เกิดยอดขาย โดยเฉพาะโครงการคอนโดที่ปกติจะมียอดขายมากสุดตอนพรีเซล เพราะลูกค้าต้องการได้ราคาดีที่สุด และยอดขายจะมามากอีกครั้งช่วงที่โครงการสร้างเสร็จ เพราะลูกค้าต้องการเห็นห้องจริง และลูกค้าบางส่วนไม่แน่ใจในการกู้ต้องการเห็นโครงการเสร็จแล้ว ที่ปกติยอดขายจะเริ่มดีก่อนตึกเสร็จประมาณ 3-4 เดือน นอกจากการเปิดตัวโครงการคอนโด 4 โครงการในไตรมาสสุดท้าย บริษัทยังเตรียมเปิดตัวโครงการแนวราบอีก 11 โครงการ ทำให้​ไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ บริษัทเปิดโครงการใหม่ 15 โครงการ  จากแผนเดิมที่ทั้งปีจะเปิดโครงการทั้งหมด 31 โครงการ รวมมูลค่า 34,000 ล้านบาท เฉพาะไตรมาส 3 ที่ผ่านมาเปิดโครงการไปได้ 7 โครงการ ซึ่งเดิมวางแผนเปิดมากกว่านี้ แต่ติดปัญหาการปิดแคมป์คนงานก่อสร้างโครงการ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19   ส่วนงบประมาณซื้อที่ดินในปีนี้บริษัทเตรียมไว้ 8,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันยังมีงบประมาณเหลือในการซื้อที่ดินเพิ่ม โดยมีแนวโน้มว่าบริษัทจะใช้งบประมาณซื้อที่ดินมากกว่าเป้าหมายที่ได้วางไว้ หากมีราคาที่ดินที่เหมาะสม เพราะปัจจุบันราคาที่ดินยังทรงตัว ไม่ได้ปรับเพิ่มขึ้นหรือลดราคาลง ถึงแม้ว่าการแข่งขันในการซื้อที่ดินของผู้ประกอบการจะไม่สูงเหมือนช่วงก่อนหน้านี้ก็ตาม นายไตรเตชะ กล่าวถึงสถานการณ์ตลาดคอนโดของไทยปัจจุบันว่า  ตลาดเริ่มชะลอตัวลงตั้งแต่ปี 2561 ​เนื่องจากกลุ่มลูกค้าต่างชาติลดลง โดยปี 2561 มีสัดส่วน 17% ปี 2562 มีสัดส่วน 15% และปี 2563 มีสัดส่วน 3% ลดลงอย่างต่อเนื่อง ยอดขายของคอนโดในช่วงปีที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งเป็นผลจากกลุ่มลูกค้าต่างชาติหายไป และกลุ่มลูกค้าเก็กกำไรที่คาดว่าน่าจะมีประมาณ 10% ที่หายไป ทำให้ภาพรวมตลาดคอนโดลดลงอย่างมาก แต่คาดว่าในปี 2565 หากการเดินทางกลับมาได้ปกติ และสถานการณ์ต่าง ๆ ปรับตัวดีขึ้น ตลาดคอนโดน่าจะกลับมาเติบโตอีกครั้ง ปัจจุบันลูกค้าคอนโดในกลุ่มเรียลดีมานด์ลดลงเพราะโครงการเปิดใหม่ลดลง ซึ่งคอนโดขายก่อนโอน ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันลูกค้าไม่มั่นใจว่าจะสามารถโอนได้จริงหรือไม่ หรือจะขอสินเชื่อธนาคารได้หรือเปล่า การซื้อโครงการสร้างเสร็จเพราะลูกค้ารู้ว่าสามารถขอยื่นกู้ได้เลย หรือสามารถตรวจสอบได้ว่าจะสามารถกู้ผ่านหรือไม่    
อัพเดทดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์  สินเชื่อกู้ซื้อบ้าน เดือนตุลาคม 2564 แบงก์ไหนให้ดอกเบี้ยถูกสุด

อัพเดทดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ สินเชื่อกู้ซื้อบ้าน เดือนตุลาคม 2564 แบงก์ไหนให้ดอกเบี้ยถูกสุด

อัพเดทดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ปัจจุบันเริ่มปรับตัวดีขึ้น รัฐบาลเริ่มมีการคลายมาตรการล็อกดาวน์ และขยายเวลาเคอร์ฟิวไปถึงเวลา 22.00 ทำให้หลายคนเริ่มออกมาใช้ชีวิตแบบปกติใหม่ ต้องสวมแมสก์ ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยเจลแอลกอฮอล์ และการเว้นระยะห่างทางสังคม เพื่อความปลอดภัย ไม่ได้รับเชื้อไวรัสโควิด-19 แม้ว่าสถานการณ์จะเริ่มดีขึ้น แต่ภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อโดยรวมยังไม่ฟื้นตัวเป็นปกติ หลายธุรกิจยังต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวให้กลับมามียอดขายและรายได้เหมือนเดิม และประชาชนทั่วไปหลายคนก็ยังไม่ได้มีรายได้กลับมาเท่าเดิมก่อนที่จะเกิดโควิด-19 ระบาด หลายคนและหลายธุรกิจจึงยังต้องรักษาสภาพคล่องทางการเงินให้มีประสิทธิภาพ และบริหารกระแสเงินสดให้ดีที่สุด เพราะอนาคตมีแต่เรื่องที่ไม่แน่นอน   สำหรับใครที่ต้องการเงิน หรือต้องการลดภาระจากการเป็นหนี้ที่อยู่อาศัย ซึ่งได้กู้เงินมาก่อนหน้านี้ และมีคุณสมบัติครบถ้วนที่จะรีไฟแนนซ์บ้านหรือคอนโด รวมถึงอสังหาฯ อื่น ๆ วิธีการรีไฟแนนซ์ก็เป็นทางออกหนึ่งที่ช่วยได้ แต่ถ้าจะรีไฟแนนซ์แล้ว มาดูกันก่อนว่าแบงก์ไหน มีอัตราดอกเบี้ยเท่าไรกันบ้างที่คิดกับลูกค้า สำหรับเดือนตุลาคมนี้ มีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างไร เราได้อัพเดทดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้านจากทุกแบงก์มาให้พิจารณาแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่อัตราดอกเบี้ยไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากเดิมมากนัก 1.ธนาคารกรุงเทพ สำหรับการธนาคารกรุงเทพ  มีสินเชื่อบ้านบัวหลวง ที่ให้บริการรีไฟแนนซ์บ้าน  กรณีหลักทรัพย์เป็นที่อยู่อาศัยทั่วไป เฉพาะวงเงินอนุมัติตั้งแต่ 2 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งอัตราดอกเบี้ยของเดือนตุลาคม​นี้  ไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา โดยมีอัตราดอกเบี้ยให้เลือกด้วยกัน 3 ทางเลือก  ได้แก่ ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 กรณีทำประกัน Home 1st Plus ดอกเบี้ย 2.00% กรณีไม่ทำประกัน  อัตราดอกเบี้ย 2.25% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 2.95% (MRR-3.00) หลังจากนั้น 4.45% ​(MRR-1.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.13-3.22% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 3.66-3.72% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 กรณีทำประกัน Home 1st Plus ดอกเบี้ย 2.325% (MRR-3.625%)  กรณีไม่ทำประกัน ดอกเบี้ย 2.575% (MRR-3.375%) ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 2.575% (MRR-3.375%) หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย  4.45% (MRR-1.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.12-3.20 อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 3.66-3.72% ทางเลือกที่ 3 ฟรีค่าจดจำนอง ปีที่ 1 กรณีทำประกัน Home 1st Plus ดอกเบี้ย 2.825% (MRR-3.125%) กรณีไม่ทำประกัน ดอกเบี้ย  3.075% (MRR-2.875%) ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 3.075% (MRR-2.875%) หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย 4.45%  (MRR-1.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.45-3.53% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 3.86-3.92% หมายเหตุ -MRR = 5.95% ประกาศ ณ วันที่ 17 มิ.ย. 64 -วงเงินกู้สูงสุด เท่ากับ 100% ภาระหนี้คงค้าง และไม่เกินอัตราส่วนสินเชื่อสูงสุดตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย -ระยะเวลากู้สูงสุด 30 ปี (เฉพาะพนักงานประจำสูงสุด 35 ปี) รวมอายุผู้กู้สูงสุด 65 ปี -ค่าธรรมเนียม คิดค่าสำรวจและประเมินหลักประกัน 3,210 บาท (ธนาคารจะคืนค่าสำรวจและค่าประเมินหลักประกันหลังจากลูกค้าได้รับอนุมัติและเบิกใช้สินเชื่อแล้ว) -อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปี ตลาดอายุสัญญาวงเงินกู้ 2 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี -รายละเอียดและเงื่อนไขอื่น โปรดสอบถามจากธนาคาร -กรณีแสดงวัตถุประสงค์ เช่น เพื่อการต่อเติม/ซ่อมแซม/ตกแต่งที่พักอาศัย ซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ ค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา หรือการจัดหาสินค้าหรือบริการเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนตัว เป็นต้น​ -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับผู้ที่ยื่นคำขอสินเชื่อพร้อมเอกสารครบถ้วน ตั้งแต่วันที่ 5 ก.ค. 64 - 30 ก.ย. 64 โดยผู้กู้ต้องลงนามในสัญญากู้ภายใน 1 เดือน นับแต่วันที่อนุมัติสินเชื่อและจดจำนองภายใน 2 เดือนนับแต่วันที่ ลงนามในสัญญากู้ -อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบัน ตามประกาศของธนาคาร ณ วันที่ 17 มิ.ย. 64 เท่ากับ 5.95% ต่อปี -อัตราดอกเบี้ย กรณีฟรีค่าธรรมเนียมจดจำนอง หากลูกค้ายกเลิก และไถ่ถอนหลักประกัน ก่อนระยะเวลา 3 ปี ไม่ว่ากรณีชำระหนี้ด้วยเงินสด หรือ รีไฟแนนซ์ธนาคารจะเรียกคืนค่าธรรมเนียมจดจำนองจากผู้กู้ -ธนาคารจะโอนเงินคืนค่าสำรวจและประเมินหลักประกันเข้าบัญชีเงินฝากสะสมทรัพย์ที่ลูกค้า ใช้หักชำระค่างวดกับธนาคารภายใน 60 วัน หลังจากลูกค้าได้รับอนุมัติและเบิกใช้สินเชื่อกับธนาคารแล้ว พิเศษ รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ยพิเศษปีแรก 0.25% เพียงสมัครสินเชื่อบ้านบัวหลวงพร้อมประกันชีวิตคุ้มครองเครดิต โฮมเฟิสต์ พลัส (ฉบับปรับปรุง) -กรณีจำนวนเงินเอาประกันภัยเต็มวงเงินกู้ และระยะเวลาเอาประกันภัยขั้นต่ำ 10 ปี หรือเท่ากับระยะเวลาในสัญญากู้ -กรณีจำนวนเงินเอาประกันภัยอย่างน้อย 70% ของวงเงินกู้ และระยะเวลาเอาประกันภัยอย่างน้อย 70% ของระยะเวลาในสัญญากู้ (เฉพาะลูกค้าที่ทำสัญญากู้ตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป) *ข้อมูล ณ วันที่ 4 ตุลาคม ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า 2.ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงไทย มีสินเชื่อรีไฟแนนซ์บ้าน ซึ่งอัตราดอกเบี้ยเดือนกันยายน มีการเปลี่ยนแปลงจากช่วงเดือนที่ผ่านมา   ดังนี้ แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.22% = 3.0% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี  =3.0% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.15% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-2.97% = 3.25% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.25% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.23% หมายเหตุ การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ* : ทำประกันทางเลือกใด ทางเลือกหนึ่ง ดังนี้ 1.ทำ MRTA/GLT SP เต็มวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 10 ปี 2.ทำ MRTA/GLT SP 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลากู้ 3.ทำ MRTA/GLT SP 70% ของวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 15 ปี ทั้งนี้ การทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อเป็นไปตามความสมัครใจของลูกค้า และไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ ***อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (EIR) คำนวณจากวงเงินกู้ 1.00 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี ผ่อนชำระ 6,500 บาท/เดือน เงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด การพิจารณาสินเชื่ออยู่ภายใต้ดุลยพินิจของธนาคาร ยื่นสมัครสินเชื่อ ภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2564 MRR = 6.22% ต่อปี (ณ 1 เม.ย. 2564) 3.ธนาคารกรุงศรี ธนาคารกรุงศรี มีแคมเปญการให้บริการสินเชื่อรีไฟแนนซ์กับลูกค้า คือ  ฟรี! ค่าประเมินหลักทรัพย์ ฟรี! ค่าจดจำนอง ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. – 31 ธ.ค. 64 โดยอัตราดอกเบี้ย ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา ซึ่งคิดดอกเบี้ยตามรายละเอียด ดังนี้​ สำหรับวงเงินตั้งแต่ 1 -1.5 ล้านบาท ทางเลือก 1 ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0.75% ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย MRR-1.85% ปีที่ 4-5 ดอกเบี้ย MRR-1.50% หลังจากนั้น MRR-1.50% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.05% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.66% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-2 ดอกเบี้ย 2.90% ปีที่ 3 ดอกเบี้ย MRR-3.15% ปีที่ 4-5 ดอกเบี้ย MRR-1.50% หลังจากนั้น MRR-1.50% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 2.90% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.65% ทางเลือกที่ 3* ฟรีค่าจดจำนอง ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0.50% ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย MRR-1.35% ปีที่ 4-5 ดอกเบี้ย MRR-1.50% หลังจากนั้น MRR-1.50% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.30% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.78% สำหรับวงเงินตั้งแต่ 1.5 ล้านบาทขึ้นไป ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0.75% ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย MRR-2.15% = 3.9% ปีที่ 4-5 ดอกเบี้ย MRR-1.75% = 4.3% หลังจากนั้น MRR-1.75% = 4.3% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 2.85% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.45% ทางเลือก 2 ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.75% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 2.20% ปีที่ 3-5 ดอกเบี้ย MRR-1.75% = 4.3% หลังจากนั้น MRR-1.75% =4.3% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 2.75% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.40% ทางเลือกที่ 3 ปีที่ 1-5  ดอกเบี้ย MRR-2.70% = 3.35% หลังจากนั้น MRR-2.70% = 3.35% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.35% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.35% ทางเลือกที่ 4* ฟรีค่าจดจำนอง ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0.50% ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย MRR-1.65% = 4.4% ปีที่ 4-5 ดอกเบี้ย MRR-1.75% = 4.3% หลังจากนั้น MRR-1.75% = 4.3% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.10% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.57% สำหรับวงเงินกู้อนุมัติ 3 ล้านบาทขึ้นไป ทางเลือกที่ 5 ปีที่ 1-5 อัตราดอกเบี้ย 3.50% หลังจากนั้น MRR-1.75%= 4.3% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3.50% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.67%   หมายเหตุ *เฉพาะลูกค้าที่ซื้อ MRTA/MLTA ตามเงื่อนไขที่กำหนดเท่านั้น จึงจะสามารถเลือกรับดอกเบี้ยทางเลือกฟรีค่าจดจำนองได้โปรดอ้างอิงตาม Product Catalog_ประกัน (สาขากลาง) / Product Catalog_ประกัน(สาขาภูมิภาค) และ ใบข้อเสนอ (QE) ** อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงการแสดงตัวอย่าง โดยคำนวณจากฐานวงเงินกู้ 1.5 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 1 ล้านบาทแต่ไม่ถึง 1.5 ล้านบาท และฐานวงเงินกู้ 3 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 1.5 ล้านบาทขึ้นไป ด้วยระยะเวลาการกู้ 10 ปี ในกรณีที่ลูกค้าซื้อ MRTA/MLTA หาก ค่าเบี้ย MRTA/MLTA เปลี่ยนแปลง อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอาจเปลี่ยนแปลงได้ เงื่อนไขการรับสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าที่ซื้อประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ (MRTA/MLTA) -กรณีลูกค้าเลือกรับอัตราดอกเบี้ยทางเลือกที่ 3 (วงเงินกู้อนุมัติตั้งแต่ 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 1.5 ล้านบาท) หรือทางเลือกที่ 4 (วงเงินกู้อนุมัติตั้งแต่ 1.5 ล้านบาทขึ้นไป) ฟรีค่าจดจำนองตามเงื่อนไขที่กำหนด -กรณีลูกค้าเลือกรับอัตราดอกเบี้ยทางเลือกที่ 1-2 (วงเงินกู้อนุมัติตั้งแต่ 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 1.5 ล้านบาท) หรือทางเลือกที่ 1-3(วงเงินกู้อนุมัติตั้งแต่ 1.5 ล้านบาทขึ้นไป) หรือทางเลือกที่ 5(วงเงินกู้อนุมัติตั้งแต่ 3 ล้านบาทขึ้นไป) รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ต่อปีเฉพาะในปีที่ 1 ทั้ง 2 กรณีลูกค้าต้องซื้อ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการตามเงื่อนไขดังนี้1) -MRR =6.05% (ณ 21พ.ค.63) -ยื่นขอสินเชื่อตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.-31 ธ.ค.64 และจดจำนอง และเบิกเงินกู้ภายในวันที่ 31 ม.ค. 65 -รายละเอียดและเงื่อนไขเพิ่มเติม สอบถามได้จากธนาคาร​ 4.ธนาคารกสิกรไทย อัตราดอกเบี้ยบ้านของธนาคารกสิกรไทย ในเดือนตุลาคมนี้ มีการเปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา  โดยธนาคารกสิกรไทยมีบริการสินเชื่อบ้านรีไฟแนนซ์ ดังนี้ ปีที่ 1 MRR = 5.97% ปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนที่ผ่านมาลดให้ลูกค้าสูงสุด 1.50% จากอัตราดอกเบี้ยเดิมของลูกค้า* และเป็นแบบอัตราดอกเบี้ยลอยตัว​ อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.97% ปรับเพิ่มจากเดือนที่ผ่านมาคิด ​อัตราดอกเบี้ย MRR-1.50% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.97% ปรับเพิ่มจากเดือนที่ผ่านมาคิด ​อัตราดอกเบี้ย MRR-1.50% หมายเหตุ -MRR = 5.97% ( ณ วันที่ 22 พ.ค.63) -สำหรับผู้ที่ยื่นกู้สินเชื่อบ้านตั้งแต่ 20 กรกฎาคม-ธันวาคม​ 64 5.ธนาคารเกียรตินาคิน ธนาคารเกียรตินคิน มีแคมเปญ KKP Home Loan Refinance สำหรับลูกค้าบ้านรีไฟแนนซ์ประจำเดือนตุลาคม ในอัตราที่ไม่เปลี่ยนแปลงจากช่วงเดือนที่ผ่านมา ดังนี้ ทางเลือก ดอกเบี้ยคงที่ 2 ปี แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย 2.590% ปีต่อไป MLR-1.75% = 4.775% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย 2.790% ปีต่อไป MLR-1.75% = 4.775% ทางเลือก ดอกเบี้ยแบบลอยตัว แบบทำประกัน ปีที่ 1-3  ดอกเบี้ย 2.790% ปีต่อไป MLR-1.75% = 4.775% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3  ดอกเบี้ย 2.990% ปีต่อไป MLR-1.75% หมายเหตุ 1.อัตราดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับปัจจัยอ้างอิง​ เช่น อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดีประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา​ (MLR) ซึ่งธนาคารจะแจ้งให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว โดยจะประกาศไว้​ ณ สถานที่ทำการให้บริการและเว็บไซต์ของธนาคาร 2.MLR ณ วันที 18 สิงหาคม​ 2563 เท่ากับ 6.525% ตอ่ ปี 3) เลือก​ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ (MRTA)​ ผ่านธนาคาร ทุนประกันภัยเท่ากับวงเงินกู้โดยมรีะยะเวลาเอาประกันภัย ​​0 ปี กรณีที่ระยะเวลาการกู้ไม่ถึง 10 ปีให้ระยะเวลาเอาประกันภัยเท่ากับระยะเวลาการกู้ 4.กรณี Refinance ไปสถาบันการเงินอื่นก่อนครบ​ 3 ปีแรก คิดค่า Prepayment Penalty 3% ของเงินต้นคงค้าง​ 5.กรณีเลือกใช้เงื่อนไขอัตราดอกเบี้ยแบบฟรีค่าจดจำนอง หากลูกค้า​ Re-Finance หรือชำระปิดบัญชีก่อนระยะเวลาที่กำหนดไว้ทุกกรณี ลูกค้าต้องชำระคืนค่าจดจำนองที่ธนาคารเคยสำรองจ่ายให้ แก่ธนาคาร​ 6.ค่าประเมินหลักประกันเริ่มต้น​ 3,210 บาท ค่าอากรแสตมป์ ร้อยละ​ 0.05 ของวงเงินกู้ (สูงสุดไม่เกิน​ 10,000 บาท) 7.เบี้ยประกันอัคคีภัยเป็นไปตามที่บริษัทประกันภัยกำหนด โดยผู้กู้สามารถเลือกทำประกันกับบริษัทประกันภัยที่เชื่อถือ​ (a) อัตราส่วนวงเงินกู้ยืมสูงสุดต่อ หลักประกัน 100% ของราคาประเมิน (b) ระยะเวลากู้สูงสุด​ 30 ปี (อายุผู้กู้รวมระยะเวลากู้ไม่เกิน  65 ปีสำหรับพนักงานเงินเดือนประจำ และไม่เกิน 70 ปีสำหรับเจ้าของกิจการ/ธุรกิจส่วนตัว) 6.ธนาคารซีไอเอ็มบี ธนาคารซีไอเอ็มบี มีสินเชื่อรีไฟแนนซ์ ที่ให้อัตราดอกเบี้ยเท่ากับช่วงเดือนที่ผ่านมา โดยประเภทสินเชื่อรีไฟแนนซ์ และขอวงเงินเพิ่ม (กรณีไม่ขอวงเงินเพิ่มมีอัตราดอกเบี้ยเฉพาะสอบถามได้จากทางธนาคาร) มีอัตราการคิดดอกเบี้ย ดังนี้ สำหรับพนักงานประจำ รายได้ 30,000 บาทขึ้นไป แบบทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  (MRR-3.66%) = 3.69% ระยะเวลาที่เหลือ ดอกเบี้ย (MRR-2.00%) =5.35% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.69% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.93% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย   (MRR-3.36%) = 3.99% หลังจากนั้น (MRR-2.00%) = 5.35% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.99% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.01% สำหรับพนักงานเงินเดือน 15,000 บาท หรือเจ้าของกิจการรายได้ 30,000 บาท ขึ้นไป ทางเลือก 2 แบบทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย MRR-3.36% = 3.99% ระยะเวลาที่เหลือ ดอกเบี้ย MRR-2.00% = 5.35% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.99% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.01% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย MRR-3.06% = 4.29% ระยะเวลาที่เหลือ ดอกเบี้ย MRR-2.00% = 5.35% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.29% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.08% หมายเหตุ อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินกู้ 2 ล้านบาท ระยะเวลากู้ 15 ปี (MRR=7.35% ประกาศ ณ วันที่ 10 เมษายน 2563) กรณีไม่ขอวงเงินเพิ่ม สอบถามรายละเอียดกับทางธนาคารโดยตรง 7.ธนาคารทีทีบี ธนาคารทีทีบีมีแคมเปญสินเชื่อบ้านรีไฟแนนซ์ ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงอัตราการคิดดอกเบี้ย สำหรับเดือนตุลาคม ​ดังนี้ สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ทางเลือก 1 ปีที่ 1-3 คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-3.53% =2.75% หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย (MRR-1.63%)=4.65% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.75% ดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.02% ทางเลือก 2 (ฟรีค่าจดจำนอง) ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 3.18% หลังจากนั้น (MRR-1.63%)= 4.65% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี อัตรา 3.10% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.14% ทางเลือก 3 (สมัครผลิตภัณฑ์ไม่ครบทั้ง 3 ประเภท) ปีที่ 1-3 คิดอัตราดอกเบี้ย (MRR-2.74) = 3.54% หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีดอกเบี้ย 3.54% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.29%   สมัครผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ได้แก่ 1.สมัครประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อบ้าน สไมล์ โฮม หรือ สไมล์ โฮม พลัส 2.สมัครใช้บริการ หักบัญชีอัตโนมัติผ่านบัญชีออมทรัพย์ทีทีบีเพื่อผ่อนช าระสินเชื่อบ้าน 3.สมัครบัตรเดบิต ทีทีบี (กรณีที่มีบัตรเดบิต ทีทีบีแล้ว ไม่ต้องสมัครเพิ่ม) ช่วยคุณประหยัดดอกเบี้ยได้มากขึ้น ผ่อนต่อเดือนน้อยลง และเป็นเจ้าของบ้านได้เร็วขึ้น เมื่อรีไฟแนนซ์บ้านกับทีทีบี รับข้อเสนอพิเศษ ด้วยอัตราดอกเบี้ยให้เลือก 2 แบบ ดังนี้ แบบที่ 1 สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท  รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษ นาน 3 ปี  ฟรี! ค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย มูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท  ฟรี! ค่าจดทะเบียนจำนอง มูลค่า 1% ของเงินกู้สูงสุด 200,000 บาท  ฟรี! ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรมจำนอง แบบที่ 2 สมัครผลิตภัณฑ์เสริมไม่ครบทั้ง 3 ประเภท ฟรี! ค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย มูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท ฟรี! ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรมจำนอง หมายเหตุ : -อัตราดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมรวมถึงสิทธิพิเศษต่าง ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร -MRR (Minimum Retail Rate : อัตราดอกเบี้ย ลูกค้ารายย่อยชั้นดี) = 6.28% ต่อปี ณ วันที่ 7 พ.ค. 2564 -การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อบ้าน (MRTA) ไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ ทำเพื่อประโยชน์หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นกับผู้กู้ในขณะที่ยังชำระหนี้ไม่ครบถ้วน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของผู้กู้และธนาคาร และไม่มีผลต่อการ พิจารณาสินเชื่อ -สำหรับลูกค้าที่ยื่นที่ยื่นกู้ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน​-31 ธันวาคม 64 และจดจำนองภายในวันที่ 31 มกราคม​ 65 8.ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ มีสินเชื่อทั่วไปที่รีไฟแนนซ์จากสถาบันการเงินอื่น โดยเดือนตุลาคม ​ยังคงอัตราดอกเบี้ยเท่ากับเดือนที่ผ่านมา ดังนี้ แบบไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.15% ปีต่อไป MRR-0.72%= 5.275% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.15% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.242% แบบทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ มากกว่าหรือเท่ากับ 70% ของวงเงินกู้ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.90% ปีต่อไป MRR-0.72% = 5.275% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.90% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.174% หมายเหตุ -กรณีใช้ดอกเบี้ย​แบบทำประกัน​ Credit Life 70% กำหนดให้ทำทุนประกันไม่น้อยกว่า 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลาเอาประกัน 70% ของระยะเวลากู้ตามสัญญา โดยกำหนดให้เอาระยะเวลาขั้นต่ำ 10  ปี (กรณีระยะเวลากู้ตามสัญญาต่ำ​10 ปี กำหนดให้ระยะเวลาเอาประกันเท่ากับระยะเวลากู้ตามสัญญา) ​-ประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ รับประกันภัยโดย บมจ. ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต บริษัทนเครือกลุ่มเอฟดับบลิวดี หากต้องการสอบถามรายละเอียด เกี่ยวกับการประกันภัยเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ ศูนย์บริการลูกค้า โท​ร. 1315 ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.00 – 20.00 น. -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจรายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข ​​ก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุก​ ธนาคารเป็นเพียงนายหน้าผู้ชี้ช่อง หรือจัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันภัยเท่านั้น ​การพิจารณารับประกัน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการรับประกันภัย ของบริษัทประกันภัย -อัตราดอกเบี้ย MRR ของธนาคารไทยพาณิชย์ เท่ากับ 5.995% ต่อปี ​(ประกาศ ณ วันที่ 21 พฤษภาคม 2563) ซึ่งอาจะเปลี่ยนแปลงได้ตามประกาศธนาคาร -อัตราดอกเบี้ยแท้จริงที่ระบุในตารางเป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในฉบับนี้เท่านั้น ​ซึ่งอาจะมีความแตกต่างกัน ตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีลูกค้าบอกเลือกประกันชีวิต หรือขอเวนคืนกรมธรรม์ หรือทำประกันไม่ครบกำหนดตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ​ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยวงเงินกู้ เป็นอัตราดอกเบี้ยทั่วไป  ตามประกาศธนาคาร ระยะเวลากู้ตามสัญญา วงเงิน ระยเวลาผ่อนชำระ อัตราดอกเบี้ย คุณสมบัติ เอกสารปรกอบการพิจารณา และการอนุมัติเป็นไปตามเงื่อนไข หลักเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด 9.ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สำหรับธนาคารอาคารสงเคราะห์ หรือ ธอส. มีสินเชื่อบ้านสุขสันต์  เพื่อให้ลูกค้าใช้บริการรีไฟแนนซ์  โดยอัตราดอกเบี้ยสำหรับเดือนตุลาคม ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า ​​โดยมีรายละเอียดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ แบบที่ 1 สำหรับกลุ่มลูกค้าสวัสดิการ ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 1.99% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.16%= 2.99% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.65%=3.5% หลังจากนั้น ดอกเบี้ย MRR-1.0%= 5.15% แบบที่ 2 สำหรับกลุ่มลูกค้ารายย่อย ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.09% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย  MRR-3.06%= 3.09% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-2.55%=3.6% หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 5.65% (MRR-1.0%) เพิ่มขึ้นจากเดือนที่ผ่านมาที่คิดดอกเบี้ย =5.15%   หมายเหตุ -นิยามคำว่า “อาคาร” หมายถึง บ้านเดี่ยว บ้านแฝดทาวน์เฮ้าส์ และอาคารพาณิชย์เพื่อที่อยู่อาศัย ยกเว้นแฟลต และบ้านเช่า -ยกเว้น ค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ร้อยละ 0.1 ของวงเงินทำนิติกรรม -ยื่นคำขอกู้และอนุมัติตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม ถึง​30 ธันวาคม 2564 อนุมัติและทำนิติกรรมภายใน​ 31 มกราคม ​2565 (ทั้งนี้ธนาคารสงวนสิทธิ์ในการกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดโครงการก่อนกำหนด หากธนาคารให้สินเชื่อเต็มวงเงินของโครงการแล้ว) -MRR = 6.15% ประกาศ ณ วันที่ 25 พ.ค. 64 10.ธนาคารยูโอบี สำหรับธนาคารยูโอบี มีแคมเปญสินเชื่อบ้านรีไฟแนนซ์ UOB Home Loan - รีไฟแนนซ์ ​(รวมวงเงินกู้เพิ่มอเนกประสงค์​)  สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อตั้งแต่ ​1 ตุลาคม​- 30 ธันวาคม​ 2564 และจดจำนองหลักประกันกับธนาคารภายในวันที่ 31 มกราคม 2565 ซึ่งอัตราดอกเบี้ยในเดือนตุลาคม ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า​ รายละเอียดดังนี้ ทางเลือก 1 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.89% ลดลง 0.4% จากเดือนที่ผ่านมาที่คิดดอกเบี้ย 3.29% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย (MRR-4.46%)= 2.89% ลดลง 0.4% จากเดือนที่ผ่านมา ที่คิดดอกเบี้ย (MRR-4.06%)=3.29% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.89% ลดลง 0.4% จากเดือนก่อนหน้าที่ดอกเบี้ย 3.29% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.60% ลดล 0.17% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 4.77% ทางเลือกที่ 2 ไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.99% ลดลง 0.5% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.49% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย (MRR-4.36%) = 2.99% ลดลง 0.5% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกบี้ย (MRR-3.86%) = 3.49% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.99% ลดลง 0.5% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.49% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.64% ลดลง 0.21% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 4.85% ทางเลือก 3 แบบทำประกัน ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 1.99% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย (MRR-2.36%) = 4.99% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.99% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.60% ทางเลือก 4 แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.09% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย (MRR-2.26%) = 5.09% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.09% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.64%   หมายเหตุ 1.อัตราดอกเบี้ยแบบทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ​ (MRTA) ผ่านธนาคารยูโอบี -ทุนประกันเต็มวงเงินกู้และมีระยะเวลาเอาประกันขั้นต่ำ ​10 ปีหรือ​ -ทุนประกันขั้นต่ำ ​80% ของวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันเต็มระยะเวลากู้​ 2.อัตราดอกเบี้ย สำหรับสินเชื่อรีไฟแนนซ์วงเงิน​ 1 ล้านบาทอายุสัญญา​ 15 ปี MRR = 7.35% ต่อปีอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้สำหรับโฆษณาเท่านั้น อัตราดอกเบี้ยสำหรับทำสัญญากู้ยืม​ของลูกค้าแต่ละรายอาจมีความแตกต่างตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย​ 3.อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับวงเงินเพิ่มไม่เกิน​ 50% ของวงเงินกู้รวมทั้ง ทั้งนี้ไม่นับรวมวงเงินกู้สินเชื่ออื่นเพื่อชำระค่าเบี้ย​ประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินชื่อ ​ (MRTA) วงเงินกู้รีไฟแนนซ์สูงสุด รวมส่วนกู้เพิ่มต้องไม่เกิน 95% ของราคาประเมิน ขึ้นอยู่กับรายได้ ประเภทของลูกค้า / ประเภทและที่ตั้งของหลักประกัน/ ราคาหลักประกัน / จำนวนสัญญากู้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของลูกค้า วงเงินกู้รีไฟแนนซ์อนุมัติ รวมส่วนกู้เพิ่มต้องไม่เกินวงเงินกู้รีไฟแนนซ์ 4.กรณีกู้โดยไม่รวมวงเงินกู้เพิ่มอเนกประสงค์และรายละเอียดเพิ่มเติมกรุณาติดต่อธนาคารโดยตรง 11.ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีแคมเปญสินเชื่อรีไฟแนนซ์ ดอกเบี้ยต่ำ!! เพียง 0.59% ต่อปี ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา โดยคิดดอกเบี้ยดังนี้ แบบที่ 1 สำหรับผู้กู้รายได้ตั้งแต่ 75,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 0.59% ต่อปี แบบที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย MRR-6.76% = 0.59% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.37% = 3.98% ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.85% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.67% แบบที่ 2 ปีที่ 1 ดอกเบี้ยคงที่ 0.79% หรือ ผ่อนล้านละ 3,5000 บาท ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ยคงที่ MRR-3.32% = 4.03% ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.95% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.74% แบบที่ 3 ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย MRR-5.35%=2.00% ปีที่ 3 MRR-3.55%=3.80% ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.60% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.57% แบบที่ 4 ปีที่ 1-2 ดอกเบี้ยคงที่ 2.10% หรือ ผ่อนต่ำล้านละ 3,500 บาท ปีที่ 3 ดอกเบี้ย MRR-3.45% = 3.90% ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.70% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.64% แบบที่ 5 ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย MRR-4.75% = 2.60% ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.60% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.63% แบบที่ 6 ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ยคงที่ 2.80% หรือ ผ่อนล้านละ 3,500 บาท ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.80% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.76% แบบที่ 2 สำหรับผู้มีรายได้ตั้งแต่ 20,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 0.79% ต่อปี แบบที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย MRR-6.56% = 0.79% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.32% = 4.03% ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.95% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.74% แบบที่ 2 ปีที่ 1 ดอกเบี้ยคงที่ 0.99% หรือ ผ่อนล้านละ 3,5000 บาท ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ยคงที่ MRR-3.27% = 4.08% ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.05% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.81% แบบที่ 3 ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย MRR-5.25%=2.10% ปีที่ 3 MRR-3.45%=3.9% ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.70% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.64% แบบที่ 4 ปีที่ 1-2 ดอกเบี้ยคงที่ 2.20% หรือ ผ่อนต่ำล้านละ 3,500 บาท ปีที่ 3 ดอกเบี้ย MRR-3.35% = 4.00% ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.80% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.70% แบบที่ 5 ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย MRR-4.65% = 2.70% ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.70% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.69% แบบที่ 6 ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ยคงที่ 2.90% หรือ ผ่อนล้านละ 3,500 บาท ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.90% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.82%   ข้อกำหนดและเงื่อนไข 1.สิทธิพิเศษสำหรับลูกค้า Refinance ดอกเบี้ยเริ่มต้น 0.59% ต่อปี สำหรับลูกค้าที่มีรายได้ตั้งแต่ 75,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป หรืออัตราดอกเบี้ย 0.79% ต่อปี สำหรับลูกค้าที่มีรายได้ตั้งแต่ 20,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป และเบิกรับเงินกู้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม​- 31 ธันวาคม 2564 2.วงเงินกู้เริ่มต้น 1.0 ล้านบาท และราคาประเมินหลักประกัน (แนวราบ) ไม่น้อยกว่า 2.0 ล้านบาท หรือ (แนวสูง) ไม่น้อยกว่า 2.5 ล้านบาท (โครงการจัดสรรทุกโครงการ) 3.อัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขดังกล่าว สำหรับหลักประกันที่ได้รับการจัดสรรทุกโครงการในเขตกรุงเทพฯ  และปริมณฑล ยกเว้น ที่ดินว่างเปล่า, อาคารพาณิชย์ 4.กรณีลูกค้าทำประกัน MRTA/MLTA ธนาคารทดรองจ่ายค่าจดจำนองให้ 1% ของวงเงินกู้อนุมัติ หรือสูงสุดไม่เกิน 2 แสนบาท (ทั้งนี้ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเรียกเก็บเงินทดรองจ่ายค่าจดจำนองดังกล่าวคืนจากลูกค้า กรณีลูกค้าปิดบัญชีสินเชื่อ หรือเปลี่ยนแปลงสัญญาใด ๆ ภายใน 5 ปีแรกทุกกรณี นับจากวันทำนิติกรรมจดจำนอง) 5.กรณีสมัครทำประกันชีวิต ต้องสมัครทำ MRTA/MLTA ทุนประกัน 100% ของวงเงินสินเชื่อ ระยะความคุ้มครองขั้นต่ำ 10 ปี 6.ลูกค้าสามารถเลือกใช้อัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำล้านละ 3,500 บาท ได้ในแบบอัตราดอกเบี้ยแบบคงที่เท่านั้น 7.อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างอัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี MRR = 7.350% (ณ วันที่ 1 เม.ย. 64) ที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในโฆษณาฉบับนี้เท่านั้น ซึ่งอาจมีความแตกต่างตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย 8.อัตราดอกเบี้ย หลักเกณฑ์และเงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด 12 ธนาคารออมสิน ธนาคาออมสิน มีสินเชื่อเคหะ รีไฟแนนซ์ โดยมีอัตราดอกเบี้ย 0% สูงสุด 9 เดือนแรก ซึ่งถือว่าเริ่มต้นแคมเปญในเดือนตุลาคม ดังนี้ แบบทำประกัน แบบที่ 1 ปีที่ 1ดอกเบี้ยเฉลี่ย 0.5% (เดือนที่ 1-6 ดอกเบี้ย 0% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย 1% ) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.5% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย (MRR-2.745%) = 3.5% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.5% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.061% แบบที่ 2 ปีที่ 1ดอกเบี้ยเฉลี่ย 0.5% (เดือนที่ 1-9 ดอกเบี้ย 0% เดือนที่ 10-12 ดอกเบี้ย 1.8% ) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.525% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย (MRR-2.72%) = 3.525% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.5% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.059% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1ดอกเบี้ยเฉลี่ย 0.5% (เดือนที่ 1-6 ดอกเบี้ย 0% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย 1.75% ) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.063% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย (MRR-2.182%) = 4.063% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.0% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.248%   หมายเหตุ -สินเชื่อกรณีไถ่ถอนจำนองจากสถาบันการเงินอื่น (Re-Finance) และกู้เพิ่มเติมเพื่อการอุปโภคบริโภค (Re-Plus) -อัตราดอกเบี้ย 0% สูงสุด 9 เดือนแรก ถ้าจดจำนองภายในวันที่ 29 ตุลาคม 2564 หลังจากนั้นผ่อนต่ำปีแรกล้านละ 2,000 บาทต่อเดือน อัตราดอกเบี้ย 0% สูงสุด 6 เดือน หลังจากนั้นผ่อนต่ำล้านละ 1,500 บาทต่อเดือน -ฟรี ค่าบริการสินเชื่อ และ ค่านิติกรรมสัญญา -ฟรี ค่าจดจำนอง สูงสุด 50,000 บาทสำหรับ วงเงินสินเชื่อเคหะคงเหลือตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป   ที่มา : Reviewyourliving รวบรวมข้อมูลจากเว็บไซต์ธนาคาร ณ วันที่ 4 ตุลาคม 2564   บทความที่เกี่ยวข้อง อัพเดท ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนตุลาคม 64 อัพเดท ดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ บ้านและคอนโด เดือนกันยายน 64 แลงก์ไหนให้ถูกสุด
อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนตุลาคม 64

อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนตุลาคม 64

อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน อัพเดท ดอกเบี้ย กู้ซื้อบ้านและคอนโด เดือนตุลาคม 64 ธนาคารส่วนใหญ่ยังคงดอกเบี้ยเท่ากับเดือนกันยายน โอกาสดีของคนอยากซื้อบ้านและคอนโดช่วงโค้งท้ายปี ​ ตอนนี้เราได้เดินทางมาถึงโค้งสุดท้ายของปี เพราะเข้าสู่ไตรมาส 4 ของปี 2564 แล้ว ซึ่งถือว่าเป็นช่วงที่พีคสุดของหลายธุรกิจ ในการจะทำการตลาดและสร้างยอดขาย ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ก็เช่นเดียวกัน ถือเป็นไฮซีซั่นที่ดีเวลลอปเปอร์จะโหมแคมเปญการตลาด และการเปิดตัวโครงการใหม่ เพื่อมาสร้างยอดขายและรายได้ก่อนปิดปีงบประมาณ   ปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้ยอดขายและรายได้ของดีเวลลอปเปอร์ได้ตามเป้า ก็คงเป็นเรื่องอัตราดอกเบี้ยการกู้ซื้อบ้าน เพราะยิ่งดอกเบี้ยต่ำเท่าไร ก็ทำให้คนซื้อมีภาระการผ่อนชำระที่ไม่สูงมาก เมื่อเทียบกับดอกเบี้ยที่สูงกว่า ยิ่งกู้ระยะเวลานาน ๆ ดอกเบี้ยต่ำก็ทำให้ต้นทุนดอกเบี้ยโดยรวมต่ำไปได้   ถึงเวลานี้ ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโดมิเนียม อยู่ในเรทเท่าไรกันบ้างในแต่ละธนาคาร มีการขยับปรับเปลี่ยนจากช่วงเดือนที่แล้วอย่างไร เรามาอัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ประจำเดือนตุลาคม 2564  ซึ่งภาพรวมส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก ​เรียกได้ว่าเป็นจังหวะที่ดี หากใครคิดอยากมีบ้านหรือคอนโดเป็นของตนเอง​ 1.ธนาคารกรุงเทพ สำหรับการธนาคารกรุงเทพ มีสินเชื่อบ้านบัวหลวง ที่ให้บริการลูกค้า 2 กลุ่ม คือ ลูกค้าพนักงานที่มีรายได้ประจำ และลูกค้าทั่วไป (อัตราดอกเบี้ยยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา) อัตราดอกเบี้ยเฉพาะพนักงานที่มีรายได้ประจำ  วงเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท  (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1   ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.00%) หลังจากนั้น 5.2%  (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.65% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3  อัตราดอกเบี้ย 4.2% (MRR-1.75%) หลังจากนั้น 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.65% อัตราดอกเบี้ยเฉพาะพนักงานที่มีรายได้ประจำ วงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 5 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.45% (MRR-1.50%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.48% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3  อัตราดอกเบี้ย 4.075% (MRR-1.875%) หลังจากนั้น 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.58% อัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับลูกค้าทั่วไป วงเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.50% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.00%) หลังจากนั้น  5.45% (MRR-0.50%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.87% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 4.45%(MRR-1.50%) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.45%(MRR-1.50%) หลังจากนั้น 5.45%  (MRR-0.50%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.9% อัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับลกค้าทั่วไป วงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 5 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.7%(MRR-1.25%) หลังจากนั้น 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.57% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 4.075%(MRR-1.875%) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.075% (MRR-1.875%) หลังจากนั้น 5.2%(MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.58%   -กรณีวงเงิน ตั้งแต่ 500,000 บาทแต่ไม่เกิน 1 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ย คงที่ปีแรก 4.75% หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีวงเงินต่ำกว่า ​500,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีหลักประกันสิทธิการเช่า ​คิดอัตราดอกเบี้ย​ MRR-0.75% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีหลักประกันที่ดินเปล่าเพื่อการอยู่อาศัย คิดอัตราดอกเบี้ย ​MRR-0.25% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา   หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับผู้ที่ยื่นคำขอสินเชื่อพร้อมเอกสารครบถ้วน ตั้งแต่วันที่ 5 ก.ค. 64 – 30 ก.ย.​ 64 โดยผู้กู้ต้องลงนามในสัญญากู้ภายใน 1 เดือน นับตั้งแต่วันที่อนุมัติสินเชื่อ​และจดทะเบียนจำนองพร้อมเบิกเงินกู้งวดแรกหรือทั้งหมดภายใน 2 เดือน นับตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญา -พนักงานที่มีรายได้ประจำ หมายถึง พนักงานที่มีรายได้หลัก หรือ มีความสามารถในการชำระคืนหลัก จากรายได้ประจำ -รูปแบบการชำ​ระแบบคงที่ เลือกผ่อนได้ทุกทางเลือก/รูปแบบการผ่อนชำ​ระแบบขั้นบันได เลือกผ่อนได้เฉพาะทางเลือกที่ 1 -อัตราส่วนวงเงินกู้สูงสุดและมูลค่าหลักประกันให้เป็นไปตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย -อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบันตามประกาศของธนาคาร ณ วันที่ 17 มิ.ย. 64 เท่ากับ 5.95% ต่อปี -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยรวมทั้งหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ​​ * ข้อมูลจากเว็บไซต์ธนาคาร ณ วันที่ 4 ต.ค. 64 ยังไม่ได้ปรับเปลี่ยนข้อมูลจากเดือนก่อนหน้า 2.ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงไทย มีสินเชื่อสำหรับบ้านใหม่ แคมเปญ สินเชื่อบ้านกรุงไทย…สุขใจถ้วนหน้า โดยไม่คิดค่า  ธรรมเนียมยื่นกู้  โดยเดือนนี้ อัตราดอกเบี้ยมีการเปลี่ยนเปลี่ยนแปลงจากช่วงเดือนกันยายน​​ที่ผ่านมา ซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยดังนี้ แบบทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0.75%  ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 3.67% (MRR-2.55%) ปีที่ 3 ดอกเบี้ย 3.67% (MRR-2.55%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 4.72%  (MRR-1.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.69% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.04% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.0% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 3.67% (MRR-2.55%) ปีที่ 3 ดอกเบี้ย 3.67% (MRR-2.55%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 4.72% (MRR-1.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.78% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.04% สินเชื่อสำหรับการกู้ซื้อบ้านที่ธนาคารออกค่าจดจำนองให้** และ ฟรี ค่าธรรมเนียมยื่นกู้ แบบทำประกัน คิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0.75% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 4.17% (MRR-2.05%) ปีที่ 3 ดอกเบี้ย 4.17% (MRR-2.05%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 4.72% (MRR-1.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.03% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.12% แบบไม่ทำประกัน  คิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.0% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 4.17% (MRR-2.05%) ปีที่ 3 ดอกเบี้ย 4.17% (MRR-2.05%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 4.72% (MRR-1.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.11% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา = 4.15%   การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ* : ทำประกันทางเลือกใด ทางเลือกหนึ่ง ดังนี้ 1.ทำ MRTA/GLT SP เต็มวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 10 ปี 2.ทำ MRTA/GLT SP 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลากู้ 3.ทำ MRTA/GLT SP 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลากู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 15 ปี ทั้งนี้ การทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อเป็นไปตามความสมัครใจของลูกค้า และไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ **ธนาคารออกค่าจดจำนองให้ 1% สูงสุดไม่เกินรายละ 200,000 บาท หากลูกค้าปิดบัญชีก่อน 5 ปี ธนาคารจะเรียกเก็บค่าจดจำนองคืน ***อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (EIR) คำนวณจากวงเงินกู้ 1.00 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี ผ่อนชำระ 6,500 บาท/เดือน เงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด การพิจารณาสินเชื่ออยู่ภายใต้ดุลยพินิจของธนาคาร ยื่นสมัครสินเชื่อ ภายในวันที่ 30 มิ.ย. 2564 MRR = 6.22% ต่อปี (ณ 1 เม.ย. 2564) 3.ธนาคารกรุงศรี ธนาคารกรุงศรี มีสินเชื่อบ้านกรุงศรี เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย (บ้านใหม่/บ้านมือสอง) สำหรับลูกค้าทั่วไป โดยมีแคมเปญฟรี ค่าธรรมเนียมสำรวจ และค่าประเมินอัตราดอกเบี้ยยังคงเท่าเดิมจากเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากมีระยะเวลาการใช้อัตราดอกเบี้ยตั้งแต่ 1 ก.ย.- 31 ธ.ค. 64 สำหรับการกู้ในวงเงิน 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 5 ล้านบาท ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.9% ( MRR-3.15%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.05% (MRR-2.00%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป 4.95% (MRR-1.10%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.97% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.39% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 เดือนที่ 1-6 อัตราดอกเบี้ย 1.50% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย MRR-1.60% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.7% (MRR-1.35%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.10%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.21% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.52% สำหรับการกู้เงินในวงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.55%  (MRR-3.50%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.3%  (MRR-2.75%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 4.7% (MRR-1.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.52% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.02% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 เดือนที่ 1-6 อัตราดอกเบี้ย 1.25% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย 4.1% (MRR-1.95%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.3% (MRR-1.75%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป 4.7%  (MRR-1.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.89% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.23%   หมายเหตุ * อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงการแสดงตัวอย่าง โดยคำนวณจากฐานวงเงินกู้ 2 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 5 ล้านบาท และฐานวงเงินกู้ 5 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ด้วยระยะเวลาการกู้ 10 ปี ในกรณีที่ลูกค้า ซื้อ MRTA/MLTA หากค่าเบี้ย MRTA/MLTA เปลี่ยนแปลง อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอาจเปลี่ยนแปลงได้ เงื่อนไขการรับสิทธิพิเศษสาหรับลูกค้าที่ซื้อประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ (MRTA/MLTA) -รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ต่อปี เฉพาะในปีที่ 1 จากอัตราดอกเบี้ยทุกทางเลือก ลูกค้าต้องซื้อ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการตามเงื่อนไขดังนี้ 1.ผลิตภัณฑ์ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการได้แก่ MRTA : แผนกรุงศรี เซฟตี้โลน 1 พลัส หรือ กรุงศรี เซฟตี้โลน 1 หรือ กรุงศรี เซฟตี้โลน 2 / MLTA : กรุงศรี รักบ้าน รักคุณ หรือกรุงศรี รักบ้าน รักคุณ พลัส เท่านั้น 2.กรณีผู้กู้หลักเป็นพนักงานเงินเดือนที่มีรายได้ ประจำ​ต้องซื้อ MRTA/MLTA 100% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี หรือซื้ออย่างน้อย 70% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความ คุ้มครองไม่ต่ำกว่า 20 ปี 3.กรณีผู้กู้หลักเป็นผู้ประกอบธุรกิจส่วนตัว ต้องซื้อ MRTA/MLTA อย่างน้อย 80% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 10 ปี หรือซื้อย่างน้อย 50% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี 4.กรณีมีผู้กู้ร่วม สามารถซื้อ MRTA/MLTA เฉพาะผู้กู้หลักเพียงคนเดียวได้ หรือหากผู้กู้ร่วมประสงค์ที่จะซื้อ MRTA/MLTA ด้วย ผู้กู้หลักและผู้กู้ร่วมทุกคนจะต้องมีทุนประกันขั้นต่ำในสัดส่วนที่เท่ากัน ขอสงวนสิทธิ์ในการปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย เป็นอัตราดอกเบี้ยปกติตามที่ลูกค้าได้เลือกไว้ โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ในกรณีที่บริษัทประกันไม่ อนุมัติ MRTA/MLTA หรือในกรณีที่ลูกค้าขอยกเลิก MRTA/MLTA -ตามประกาศธนาคาร ณ วันที่ 21 พ.ค. 63 อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.05% ต่อปี -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. 64 – 31 ธ.ค. 64 โดยจดจำานองและเบิกรับเงินกู้ภายในวันที่ 31 ม.ค. 65 -ค่าธรรมเนียมอื่น ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร -การพิจารณา อนุมัติสินเชื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด -วงเงินกู้อนุมัติสูงสุดเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด และไม่เกินกว่า วงเงินกู้สูงสุดต่อมูลค่าหลักประกัน (ราคาซื้อขาย) ตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์เรียกเก็บค่าเบี้ยปรับกรณีปิด ภาระหนี้ก่อนกำหนด (กรณีที่ลูกค้ารีไฟแนนซ์ไปสถาบันการเงินอื่นภายใน 3 ปีแรกนับจากวันทำสัญญา) คิดเป็น 3% ของยอดหนี้คงเหลือ 4.ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกสิกรไทย มีสินเชื่อกู้ซื้อบ้านสำหรับบ้านใหม่ให้กับลูกค้าทั่วไป โดยพิจารณาเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีรายได้ประจำ และกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการ ซึ่งเดือนนี้อัตราดอกเบี้ยไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนกันยายนที่ผ่านมา ดังนี้ สำหรับลูกค้าที่มีรายได้ระจำ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย = n.a. อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 7.72% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 7.72% สำหรับลูกค้าผู้ประกอบการ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย = n.a. อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 8.22% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 8.22% % หมายเหตุ : -อัตราดอกเบี้ย MRR = 5.97% (ประกาศ ณ วันที่ 22 พ.ค. 63) -อัตราดอกเบี้ยข้างต้นสำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้สินเชื่อบ้านตั้งแต่ 20 ก.ค.  – 31 ธ.ค. 64 -สำหรับที่อยู่อาศัยทุกประเภทรวมอาคารพาณิชย์ยกเว้น Refinance และการปล่อยกู้เพื่อซื้อที่ดินเปล่า -มีค่าสำรวจและประเมินราคาหลักประกันโดยบริษัท โพรเกรส แอพไพรซัล หรือบริษัทประเมินที่ธนาคารรับรอง คิดขั้นต่ำ 3,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) -วงเงินให้กู้สูงสุดไม่เกิน 90% ของเราซื้อขายและไม่เกิน 90% ของราคาประเมินหลักประกัน 5.ธนาคารเกียรตินาคิน ธนาคารเกียรตินาคิน มีสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย (บ้านใหม่ : กรณีซื้อบ้านจากบริษัทพัฒนา อสังหาริมทรัพย์ที่ธนาคารกำหนด) โดยคิดอัตราดอกเบี้ยในอัตราดเดิมเท่ากับเดือนที่ผ่านมา ดังนี้ ดอกเบี้ยคงที่ 2 ปี แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  2.450%-2.750% ปีต่อไป ดอกเบี้ย  4.775% (MLR-1.75%) แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.650%-2.950% ปีต่อไป ดอกเบี้ย 4.775% (MLR-1.75%) ดอกเบี้ยคงที่ 3 ปี แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.60%-2.99% ปีต่อไป ดอกเบี้ย 4.775% (MLR-1.75%) แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.80%-3.19% ปีต่อไป ดอกเบี้ย 4.775% (MLR-1.75%) หมายเหตุ 1.อัตราดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับปัจจัยอ้างอิง เช่น อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR) ซึ่งธนาคารจะแจ้งให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว  โดยจะประกาศไว้ ณ สถานที่ทำการให้บริการและ​เว็บไซต์ของธนาคาร 2.MLR ณ วันที่​ 18 สิงหาคม 2563 เท่กับ​ 6.525% ต่อปี 3.เลือกทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ​(MRTA)ผ่านธนาคาร ทุนประกันภัยเท่ากับวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาเอาประกันภัยขั้นต่ำ 10 ปี กรณีที่ระยะเวลาการกู้ไม่ถึง 10 ปี ให้ระยะเวลาเอา​​​​​​ประกันภัยเท่ากับระยะเวลาการกู้ 4.กรณี Refinance ไปสถาบันการเงินอื่นก่อนครบ 3 ปี แรก คิดค่า​ Prepayment Penalty 3% ของเงินต้นคงค้าง 5.​กรณีเลือกใช้เงื่อนไขอัตราดอกเบี้ยแบบฟรีค่าจดจำนอง ​​หากลูกค้า Re-Finance หรือชำระปิดบัญชีก่อนระยะเวลาที่กำหนดไว้ ลูกค้าต้องชำระค่าจดจำนองที่ธนาคาร เคยสำรองจ่ายให้แก่ธนาคาร​ 6.ค่าประเมินหลักประกันเริ่มต้น 3,210 บาท   ค่าอากรแสตมป์ 0.05% ของวงเงินกู้ (สูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท) 7.เบี้ยประกันอัคคี ​เป็นไปตามที่บริษัทประกันภัยกำหนด ​โดยผู้กู้สามารถเลือกทำประกันกับบริษัทที่น่าเชื่อถือใดก็ได้ ​ a.อัตราส่วนวงเงินกู้ยืมสูงสุด ต่อหลักประกัน 100% ของราคาซื้อขายจริง หรือราคาประเมินธนาคาร แล้วแต่ราคาใดต่ำกว่า ยกเว้นธนาคารมีกำหนดเงื่อนไขพิเศษอื่น ๆ สำหรับบางโครงการ อาจจะได้รับอัตราส่วนวงเงินกู้ยืมสูงสุดต่อหลักประกัน​ 100% b.ระยะเวลากู้สูงสุด ​30 ปี (อายุผู้รวมระยะเวลากู้ไม่เกิน 65 ปี สำหรับพนักงานเงินเดือนประจำ และไม่เกิน 70 ปี สำหรับเจ้าของกิจการ/ธุรกิจส่วนตัว) 6.ธนาคารซีไอเอ็มบี ธนาคารซีไอเอ็มบี สินเชื่อบ้าน โฮมโลนฟอร์ยู ให้กับพนักงานประจำ ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ ผู้ประกอบการ และเจ้าของกิจการ  โดยคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับเดือนที่ผ่านมา ดังนี้ สำหรับพนักงานประจำ รายได้ 15,000 บาท หรือเจ้าของกิจการรายได้ 30,000 บาท ประเภททำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.25% (MRR-3.10%) ระยะเวลาที่เหลือ ดอกเบี้ย 5.35% (MRR-2.00%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.25% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.07% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.55% (MRR-2.80%) หลังจากนั้น 5.35% (MRR-2.00%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.15% หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินกู้ 2 ล้านบาท ระยะเวลากู้ 15 ปี (MRR=7.35% ประกาศ ณ วันที่ 10 เมษายน 2563) -ธนาคารยังมีอัตราดอกเบี้ยสำหรับพนักงานประจำรายได้ 30,000-50,000 หรือเจ้าของกิจการรายได้ 50,000 บาทขึ้นไปไว้พิจารณาด้วย รวมถึงสินเชื่อสำหรับโครงการที่ธนาคารเป็นผู้สนับสนุน 7.ธนาคารทีทีบี ธนาคารทีทีบี มีสินเชื่อบ้านใหม่ สำหรับการซื้อบ้านหรือคอนโดจากโครงการทั่วไป จะได้รับฟรีค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย ค่าจดทะเบียนจำนอง และค่าประเมินหลักทรัพย์ ซึ่งยังคงใช้อัตราดอกเบี้ยเท่ากับเดือนกันยายนที่ผ่านมา  ดังนี้ สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ทางเลือก 1 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.05% (MRR-2.23%) หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.05% ดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.46% ทางเลือก 2 (ฟรีค่าจดจำนอง) ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.4% (MRR-1.88%) หลังจากนั้น 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.4% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.57% ทางเลือก 3 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 4.65% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา ดอกเบี้ย 4.65%   หมายเหตุ สมัครผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ได้แก่ 1.สมัครประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ สไมล์โฮม หรือ สไมล์โฮม พลัส ​ 2.สมัครใช้บริการหักบัญชีอัตโนมัติผ่านบัญชีออมทรัพย์ ทีทีบี เพื่อผ่อนชำระสินเชื่อบ้าน 3.สมัครบัตรเดบิต ttb (กรณีที่คุณมีบัตรเดบิต ttb แล้ว ไม่ต้องสมัครเพิ่ม) กู้ซื้อบ้าน คอนโดใหม่ กับทีทีบี รับข้อเสนอพิเศษ ด้วยอัตราดอกเบี้ย ให้เลือก 2 แบบ ดังนี้ แบบที่ 1 สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท -รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษนาน 3 ปี -ฟรีประกันอัคคีภัยมูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท -ฟรีค่าจดทะเบียนจำนอง 1% ของเงินกู้สูงสุดถึง 200,000 บาท -ฟรี ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรม จำนอง แบบที่ 2 สมัครผลิตภัณฑ์เสริมไม่ครบทั้ง 3 ประเภท​ -ฟรีประกันอัคคีภัย มูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท -ฟรี ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรม จำนอง หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมรวมถึงสิทธิพิเศษต่าง ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร -MRR (Minimum Retail Rate : อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อยชั้นดี) = 6.28% ต่อปี ณ วันที่ 7 พ.ค. 64 -การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ (MRTA) ไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ ทำเพื่อประโยชน์หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นกับผู้กู้ในขณะที่ยังชำระหนี้ไม่ครบถ้วน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของผู้กู้และธนาคาร และไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ -สำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.-31 ธ.ค.64 และจดจำนองภายใน 31 ม.ค. 65 8.ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ มีสินเชื่อบ้านสำหรับลูกค้าทั่วไป โดยคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับช่วงเดือนที่ผ่านมา ดังนี้ แบบไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.995% ปีต่อไป MRR = 5.995% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.995% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.995% แบบทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ มากกว่าหรือเท่ากับ 70% ของวงเงินกู้ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.950% ปีต่อไป MRR = 5.995% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.950% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.983% หมายเหตุ -กรณีใช้ดอกเบี้ย​แบบทำประกัน​ Credit Life 70% กำหนดให้ทำทุนประกันไม่น้อยกว่า 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลาเอาประกัน 70% ของระยะเวลากู้ตามสัญญา โดยกำหนดให้เอาระยะเวลาขั้นต่ำ 10  ปี (กรณีระยะเวลากู้ตามสัญญาต่ำ​10 ปี กำหนดให้ระยะเวลาเอาประกันเท่ากับระยะเวลากู้ตามสัญญา) ​-ประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ รับประกันภัยโดย บมจ. ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต บริษัทนเครือกลุ่มเอฟดับบลิวดี หากต้องการสอบถามรายละเอียด เกี่ยวกับการประกันภัยเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ ศูนย์บริการลูกค้า โท​ร. 1315 ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.00 – 20.00 น. -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจรายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข ​​ก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุก​ ธนาคารเป็นเพียงนายหน้าผู้ชี้ช่อง หรือจัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันภัยเท่านั้น ​การพิจารณารับประกัน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการรับประกันภัย ของบริษัทประกันภัย -อัตราดอกเบี้ย MRR ของธนาคารไทยพาณิชย์ เท่ากับ 5.995% ต่อปี ​(ประกาศ ณ วันที่ 21 พฤษภาคม 2563) ซึ่งอาจะเปลี่ยนแปลงได้ตามประกาศธนาคาร -อัตราดอกเบี้ยแท้จริงที่ระบุในตารางเป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในฉบับนี้เท่านั้น ​ซึ่งอาจะมีความแตกต่างกัน ตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีลูกค้าบอกเลือกประกันชีวิต หรือขอเวนคืนกรมธรรม์ หรือทำประกันไม่ครบกำหนดตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ​ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยวงเงินกู้ เป็นอัตราดอกเบี้ยทั่วไป  ตามประกาศธนาคาร ระยะเวลากู้ตามสัญญา วงเงิน ระยเวลาผ่อนชำระ อัตราดอกเบี้ย คุณสมบัติ เอกสารปรกอบการพิจารณา และการอนุมัติเป็นไปตามเงื่อนไข หลักเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด * ข้อมูลจากเว็บไซต์ธนาคาร ณ วันที่ 4 ต.ค. 64 ยังไม่ได้ปรับเปลี่ยนข้อมูลจากเดือนก่อนหน้า 9.ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์  หรือ ธอส. มีสินเชื่อสำหรับการซื้อบ้านหลากหลายประเภท โดยประเภทสินเชื่อโครงการบ้าน ธอส. เพื่อคุณ ปี 2564 ​มีการคิดอัตราดอกเบี้ย ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา  ดังนี้ ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.75% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.75% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.75% (MRR-1.4%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 5.4% หมายเหตุ ยื่นคำขอกู้และอนุมัติตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. 64 – 30 ธ.ค. 64   (ธนาคารสงวนสิทธิ์ในการกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดโครงการก่อนกำหนด หากธนาคารให้สินเชื่อเติมวงเงินของโครงการแล้ว) อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.15% ประกาศ ณ วันที่ 25 พฤษภาคม 2563 10.ธนาคารยูโอบี ธนาคารยูโอบี มีสินเชื่อบ้านสำหรับโคงการหมู่บ้านทั่วไป  โดยมีการคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับ​เดือนที่ผ่านมา ดังนี้ ทางเลือก 1 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.55% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.55% (MRR-3.80%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.87% ทางเลือกที่ 2 ไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.75% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.75% (MRR-3.60%) หลังจากนั้น 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.75% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.95% ทางเลือกที่ 3 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.0% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.95% (MRR-2.40%) หลังจากนั้น 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.65% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.88% ทางเลือกที่ 4 ไม่ทำประกันคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.20% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 5.15% (MRR-2.20%) ปีที่ 4 อัตราดอกเบี้ย 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.85% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.96% หมายเหตุ -ขอสินเชื่อตั้งแต่ 1 ก.ย. – 30 ธ.ค. 64 และจดจำนองหลักประกันกับธนาคารภายใน 31 ม.ค.​ 65 -อัตราดอกเบี้ยแบบทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ผ่านธนาครยูโอบี >ทุนประกันเต็มวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันขั้นต่ำ 10 ปี หรือ >ทุนประกันขั้นต่ำ 80% ของวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันเต็มตามระยะเวลากู้ -อัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 1 ล้านบาท อายุสัญญา 15 ปี MRR=7.35% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้น เป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในสื่อโฆษณาเท่านั้น อัตราดอกเบี้ยสำหรับการทำสัญญากู้ยืมของลูกค้าแต่ละรายอาจะมีความแตกต่างกันตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีไถ่ถอนจำนองเพื่อไปใช้บริการกับสถาบันการเงินอื่น ​(Re-finance) ในช่วงระยะเวลา 3 ปีแรก นับจากวันที่กู้ จะมีค่าปรับ 3% ของยอดเงินต้นคงค้าง (เฉพาะวงเงินสินเชื่อที่มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดหาที่อยู่อาศัยเท่านั้น)​ -การอนุมัติสินเชื่อ​เป็นไปตำมหลักเกณฑ์ของธนาคาร​ -เพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้น อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบันเท่ากับ  7.35% ต่อปี ​(ตามประกาศธนาคารณ วันที่ 1 เม.ย. 64) อนึ่ง ธนาคารสามารถประกาศปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย​ MRR ได้ตามเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดอนุญาตไว้​ -อัตราค่าธรรมเนียมและค่าบริการต่าง ๆ​เป็นไปตามประกาศที่ธนาคารจัดทำไว้  และประกาศให้ทราบตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยธนาคารอาจเปลี่ยนแปลงอัตราค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ได้โดยจะแจ้งให้ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน โดยการปิดประกาศไว้ ณ ที่ทำการ หรือเว็บไซต์ของธนาคาร​ -ธนาคารยูโอบีในฐานะนายหน้าประกันภัย ​(ใบอนุญาตประกันชีวิต​เลขที่ ช.00026/2545 และใบอนุญาตประกันวินาสภัย​ เลขที่ ว.00020/2546) ทำหนี่เสนอผลิตภัณฑ์ด้านประกันภัยและเป็นผู้จัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันชีวิต/ประกันวินาศภัย และอำนวยความสะดวกในการรับชำระเบี้ยประกันเท่านั้น  รับประกันชีวิตโดยบริษัท พรูเด็นเชียลประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), รับประกันวินาศภัยโดย บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน), บริษัท แอกซ่าประกันภัย จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอ็ม เอส ไอ จี ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ​จะเป็นผู้รับผิดชอบตามเงื่อนไข ความคุ้มครองและสิทธิประโยชน์ตามที่ได้ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครองและเงื่อนไขก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง 11.ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีสินเชื่อเพื่อการซื้อที่อยู่อาศัย คือ โฮมโลน โดนใจ สินเชื่อบ้านดอกเบี้ยต่ำเริ่มต้น ใ1.9% (สำหรับผู้มีรายได้ 75,000 บาทขึ้นไป) โดยมีการคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับช่วงเดือนที่ผ่านมา ดังนี้ อัตราดอกเบี้ยสำหรับผู้กู้มีรายได้ตั้งแต่ 20,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 2.0% ต่อปี แบบที่ 1 ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.00% (MRR-5.35%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.80% (MRR-3.55%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป 5.10% (MRR-2.25% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.60% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.57% แบบที่ 2 ปีที่ 1-2 ดอกเบี้ยคงที่ 2.10%  (ผ่อนต่ำล้านละ 3,500 บาท 2 ปีแรก) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.20% (MRR-3.15%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป 5.10% (MRR-2.25%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.80% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.69% แบบที่ 3 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.55% (MRR-4.80%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 5.10% (MRR-2.25%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.63% แบบที่ 4 ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ยคงที่ 2.75% (ผ่อนต่ำล้านละ 3,500 บาท 3 ปีแรก) ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 5.10% (MRR-2.25%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.75% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.76% เงื่อนไข กรณีลูกค้าเลือกทำประกัน MRTA/MLTA ผ่านธนาคาร : 1.กรณีที่ลูกค้าทำประกัน MRTA/MLTA ผ่านธนาคาร ธนาคารทดรองจ่ายค่าจดจำนองให้ 1% ของวงเงินกู้อนุมัติ หรือ สูงสุดไม่เกิน 2 แสนบาท (ทั้งนี้ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเรียกเก็บเงินทดรองจ่ายค่าจดจำนองดังกล่าวคืนจากลูกค้า กรณีลูกค้าปิดบัญชีสินเชื่อ หรือ เปลี่ยนแปลงสัญญาใด ๆ ภายใน 5 ปีแรก ทุกกรณี นับจากวันทำนิติกรรมจดจำนอง) 2.กรณีสมัครทำประกันชีวิต ต้องสมัครทำ MRTA/MLTA ทุนประกัน 100% ของวงเงินสินเชื่อ ระยะความคุ้มครองขั้นต่ำ 10 ปี หมายเหตุ -โครงการจัดสรรในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เท่านั้น* -ราคาซื้อขายของหลักประกันต้องมีราคา (แนวราบ) ไม่น้อยกว่า 2.00 ล้านบาท , (แนวสูง) ไม่น้อยกว่า 2.50 ล้านบาท -ลูกค้าสามารถเลือกใช้อัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำ ล้านละ 3,500 บาท  กรณีเลือกอัตราดอกเบี้ยคงที่** -ยกเว้น ค่าประเมินราคาหลักประกัน (โครงการจัดสรรทุกโครงการที่มีราคาซื้อขาย 2 ล้านบาทขึ้นไป)*** -ระยะเวลากู้สูงสุด 40 ปี รวมอายุผู้กู้ไม่เกิน 70 ปี**** -วงเงินกู้เพิ่มสูงสุด 10% จากสัญญาซื้อขาย เพื่อซื้อเฟอร์นิเจอร์ ตกแต่งบ้าน อัตราดอกเบี้ย 1) ทำประกัน MRTA/MLTA : ปีที่ 1-3 : MRR – 2.75% = 4.60% หรือ 2) ไม่ทำประกัน MRTA/MLTA : ปีที่ 1-3 : MRR – 2.25% = 5.10% , หลังจากนั้นปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR = 7.35% ***** -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่าง อัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี MRR = 7.35% (ณ 1 เม.ย. 64) ที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในโฆษณาฉบับนี้เท่านั้น ซึ่งอาจมีความแตกต่างตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -การพิจารณาคุณสมบัติของลูกค้าแต่ละรายให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ตามที่ธนาคารกำหนด -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์การพิจารณาสินเชื่อ โดยอยู่ในดุลยพินิจของธนาคาร ทั้งนี้เงื่อนไขต่างๆเป็นไปตามประกาศธนาคาร โดยมิต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า -อัตราดอกเบี้ย และโปรโมชั่น (มีวงเงินสินเชื่อจำกัด) สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อ โดยเบิกรับเงินกู้ ตั้งแต่ 1 ต.ค. – 31 ธ.ค. 64 -สำหรับอัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 1.9% สำหรับผู้กู้ที่มีรายได้ 75,000 บาทขึ้นไป ผ่อนต่ำเดือนละ 3,500 บาท ฟรีค่าจดจำนองสินเชื่อเมื่อซื้อประกันผ่านธนาคาร ฟรีค่าประเมินหลักประกัน 12.ธนาคารออมสิน ธนาคารออมสิน มีสินเชื่อเคหะ สำหรับให้บริการผู้ที่ต้องการกู้เงินเพื่อไปซื้อบ้านหรือคอนโด โดยเป็นสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยใหม่ ภายใต้แคมเปญใหม่ อัตราดอกเบี้ย 0% 6 เดือนแรก ทำให้อัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด สำหรับเดือนตุลาคมนี้ มีการเปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า ดังนี้​ กรณีทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ยเฉลี่ย 1.5% ปรับลดลงจากเดือนก่อนหน้า 1.99% จากที่คิดดอกเบี้ยอัตรา ​3.49% (หมายเหตุ ดอกเบี้ยปีแรก ในตารางแก้ไขเป็น 1.5%) (เดือนที่ 1-6 ดอกเบี้ย 0% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย 1.5%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.525% ปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า 0.035% จากที่คิดดอกเบี้ยอัตรา ​3.49% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.525% (MRR-2.72%) ปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า 0.035% จากที่คิดดอกเบี้ยอัตรา ​3.49% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.6% ปรับลดลง 0.89% จากเดือนก่อนหน้าที่คิด 3.49% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.101% กรณีไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ยเฉลี่ย 2.0 ปรับลดลง 1.99% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.99% (เดือนที่ 1-6 ดอกเบี้ย 0% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย 2.0%) ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 4.15% ปรับเพิ่มขึ้น 0.16% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.99% ปีที่​ 3 ดอกเบี้ย 4.15% (MRR-2.095%) ปรับเพิ่มขึ้น 0.16% จากเดือนก่อนหน้าที่คิด ดอกเบี้ย 3.99% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.1% ปรับลดลง 0.89% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.99% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.286%   เงื่อนไขการใช้อัตราดอกเบี้ยโปรโมชั่น 1.ประกัน หมายถึง ประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ 2.อัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำ MRR=6.245% (ตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2563) 3.รายละเอียดเพิ่มเติมสอบถามได้จากธนาคาร   บทความที่เกี่ยวข้อง อัพเดท ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านเดือนกันยายน 2564
สัมมากร ลุยตลาดลักชัวรี่ขายบ้าน 30 ล้าน สู้โควิด-19 เดินหน้าปั๊มยอดขายทั้งปีโต 20%

สัมมากร ลุยตลาดลักชัวรี่ขายบ้าน 30 ล้าน สู้โควิด-19 เดินหน้าปั๊มยอดขายทั้งปีโต 20%

“สัมมากร” ครึ่งแรกกวาดรายได้กว่า 716 ล้าน ขณะที่ไตรมาส 3 ยอดขายโต 20% หลังปรับกลยุทธ์สู้โควิด-19 ล่าสุดจับมือ “แอสเซท โปร” ขยายตลาดลักชัวรี่ ปั้นโปรเจ็กต์ “โพรวิเดนซ์ เลน เอกมัย-รามอินทรา” บ้านเดี่ยวเริ่มต้น 30 ล้าน ​เล็งเปิดอีก 2 โครงการปลายปี 350 ล้าน   นายณพน เจนธรรมนุกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท สัมมากร จำกัด (มหาชน) หรือ SAMCO เปิดเผยว่า ช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้​ บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 716.39 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 6.52% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของ​​​​ปี 2563 ที่มีรายได้รวมจำนวน 672.52 ล้านบาท และตลอดปี 2563 มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,701.50 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาส 3 สามารถสร้างยอดขายเติบโต 28% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้ว่าตลอดทั้งปีนี้จะมีสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19  ซึ่งส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์   เหตุผลสำคัญที่ส่งผลให้การดำเนินงานของบริษัทในช่วงที่ผ่านมายังเติบโตได้ เป็นเพราะบริษัทได้ติดตามและประเมินผลกระทบต่าง ๆ เพื่อปรับแผนการดำเนินงานให้ทันต่อสถานการณ์ดังกล่าวเสมอ ไม่ว่าจะเป็นภาพรวมขององค์กรและสินค้า ที่มีการปรับเปลี่ยนทั้งภาพลักษณ์ ฟังก์ชั่น ดีไซน์ ให้มีความทันสมัย สามารถตอบโจทย์ความต้องการแต่ละเซกเมนต์ ของตลาด  และตลาดยังมีกลุ่มลูกค้าเรียลดีมานด์ ตอนนี้ตลาดมีการแข่งขันค่อนข้างมาก โดยเฉพาะช่วงสถานการณ์ที่มีปัจจัยลบเข้ามาส่งผลกระทบ ทำให้กลุ่มผู้ประกอบการต่างต้องหาวิธีเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจของตนเองให้ยังดำเนินต่อไป  ซึ่งที่ผ่านมาเรามีการปรับตัวอยู่เสมอ โดยเฉพาะเรื่องการพัฒนาระบบภายในเพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพและเท่าทันต่อความต้องการของลูกค้า ทั้งในด้านการพัฒนาโครงการและการทำแคมเปญตลาด สำหรับแผนธุรกิจในไตรมาสสุดท้าย บริษัทได้เริ่มจัดทำแคมเปญการตลาด ขณะเดียวกันได้วางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ในช่วงปลายปีอีก 2 โครงการ รวมมูลค่า 350 ล้านบาท ในย่านเอกมัยและรามอินทรา  ซึ่งปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอรับรู้รายได้ 200-300 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้ปีนี้มีรายได้รวมเติบโตกว่าปีที่ผ่านมา 20%   ล่าสุด บริษัทได้ขยายฐานลูกค้าไปสู่กลุ่มลูกค้าระดับบน  ด้วยการลงทุนสัดส่วน 51% กับ บริษัท แอสเซท โปร กรุ๊ป จำกัด ในสัดส่วน 49% พัฒนาโครงการโพรวิเดนซ์ เลน เอกมัย-รามอินทรา (PROVIDENCE LANE Ekkamai-Ramintra) บ้านเดี่ยวระดับลักชัวรี่ 3 ชั้น จำนวน 12 ยูนิต มีขนาดตั้งแต่ 64.5 – 100.4 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 428 - 712 ตารางเมตร พร้อมลิฟท์และสระว่ายน้ำส่วนตัว บนทำเลเอกมัย-รามอินทรา ขนาดพื้นที่โครงการกว่า 3 ไร่ มูลค่าโครงการกว่า 500 ล้านบาท  ซึ่งถือเป็นการขยายตลาดบ้านหรูครั้งแรกของบริษัทในรอบ 50 ปี โดยมีราคา​ราคาขายเริ่มต้น 30 ล้านบาท เตรียมเปิดพรีเซลในวันที่ 9 -10 ตุลาคมนี้   สำหรับโครงการ PROVIDENCE LANE Ekkamai-Ramintra ถูกพัฒนาภายใต้คอนเซ็ปต์ “Defining Me” เพื่อตอบโจทย์ผู้ที่ใส่ใจและให้ความสำคัญกับความเป็นตัวเอง สนุกสนานกับทุกสิ่งที่ทำ เปรียบเหมือนจิตรกรที่กำลังแต่งแต้มผลงานมาสเตอร์พีซบนผืนผ้าใบ ด้วยรูปแบบดีไซน์ Bauhaus (บาวเฮ้าส์) ผสมผสานระหว่างฟังก์ชั่นที่ทันสมัยกับความสวยงามของศิลปะ สะท้อนให้เห็นถึงรสนิยมของผู้พักอาศัยที่ต้องการความต่างอย่างลงตัว เน้นเจาะกลุ่มนิชมาร์เก็ตคนรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นคนโสดหรือกำลังเริ่มสร้างครอบครัว ​ ด้าน นางสาวอลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) จำกัด (CBRE) ที่ปรึกษาด้านงานขาย กล่าวว่า ​จากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ได้ส่งผลต่อสภาวะเศรษฐกิจและมีผลกระทบต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยรวมที่ชะลอตัว ทั้งนี้ตลาดบ้านเดี่ยวถือว่าเป็นตลาดที่ได้รับผลกระทบน้อยกว่าตลาดคอนโดมิเนียมเพราะเป็นตลาดของผู้อยู่อาศัยเอง (End User) เป็นหลัก   ตลาดบ้านเดี่ยวโดยเฉพาะระดับลักชัวรี่ที่มีราคาตั้งแต่ 30 ล้านบาทขึ้นไป ยังค่อนข้างคึกคัก มีการเปิดตัวสูงถึง 439 หลังในปี 2563 และมียอดขายอยู่ในเกณฑ์คงที่ประมาณ 60–68% ปัจจัยสำคัญเพราะเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง ประกอบกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้คนเห็นความสำคัญของบ้านมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องพื้นที่และฟังก์ชั่นการใช้งาน ทำเลที่ได้รับความนิยมมากอันดับต้น  คือ กรุงเทพฯ ชั้นในฝั่งตะวันออกและตอนเหนือ โดยทำเลกรุงเทพฯ ชั้นในฝั่งตะวันออกมีโครงการมากสุดถึง 1,073 หลัง ส่วนฝั่งเหนือ  มีซัพพลายน้อยกว่าด้วยข้อจำกัดของที่ดิน ทำให้มีอัตราการดูดซับดีที่สุดและมียอดขายไปแล้ว 87%   ในด้านพฤติกรรมของผู้บริโภคเนื่องด้วยสถานการณ์ปัจจุบันส่งผลลูกค้ากลุ่มนี้ให้ความสำคัญเรื่องพื้นที่ใช้สอยและฟังก์ชั่นต่างๆ ที่ต้องสามารถปรับเปลี่ยนเพื่อรองรับกิจกรรมที่หลากหลาย มีพื้นที่สีเขียวที่เชื่อมต่อกับพื้นที่ภายในบ้าน มีการนำเอานวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาช่วยอำนวยความสะดวก อาทิ ERV (Energy Recovery Ventilator) เครื่องแลกเปลี่ยนอากาศ  ที่ช่วยดูดความร้อนออกจากบ้านและเติมความเย็นเข้าไปในตัวบ้านทำให้บ้านเย็น เป็นต้น และอีกสิ่งที่ขาดไม่ได้คือเรื่องทำเล ลูกค้ากลุ่มนี้จะให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมรอบโซนที่อยู่อาศัย เน้นใกล้เมืองที่สามารถเดินทางเข้าออกได้  หลายทาง เชื่อมต่อไปยังโซนต่างๆ ได้ง่าย และมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน