Tag : condo

1512 ผลลัพธ์
สถาพร เอสเตท  รีเฟรชแบรนด์ใหม่สู่ “SE”  ปูทางเข้าจดทะเบียนใน SET

สถาพร เอสเตท รีเฟรชแบรนด์ใหม่สู่ “SE” ปูทางเข้าจดทะเบียนใน SET

สถาพร เอสเตท สถาพร เอสเตท บุกทำเลใจกลาง CBD จับตลาด Mid to High  พร้อมรีเฟรชแบรนด์ใหม่ “SE” หวังสร้างการจดจำ เข้าถึงง่าย​ ปูทางเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ในปี 68 เดินหน้าปั้นโปรเจ็กต์ปีละ 3,000 ล้าน   “สถาพร เอสเตท” บริษัทผู้พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว และทาวน์โฮม ที่เริ่มต้นการพัฒนาโครงการมานานกว่า 28 ปี เริ่มแรกพัฒนาโครงการในโซนจังหวัดสมุทรปราการ พื้นที่ตอนเหนือและตะวันออกของกรุงเทพฯ เป็นหลัก ภายใต้การบริหารงานของ นายสุนทร สถาพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท สถาพร เอสเตท จำกัด หรือ SE   แต่สำหรับปี 2565 สถาพร เอสเตท ได้ขยับทำเลการพัฒนาโครงการเข้ามาในเมืองมากขึ้น เพราะมองเห็นโอกาส และช่องว่างทางการตลาด รวมถึงการพัฒนาโครงการในระดับราคาที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นกลุ่ม Mid to High เพราะกำลังซื้อสูง หลังจากปีที่ผ่านมาได้ศึกษาตลาด และศึกษากลุ่มลูกค้า และได้รับการตอบรับที่ดี อย่างเช่น โครงการเดอะ เชดด์ สาทร 1 ที่สามารถทำยอดขายไปได้แล้วเกือบ 50% ถือเป็นโครงการคอนโดแห่งแรกที่บุกตลาดในย่านศูนย์กลางธุรกิจ (CBD) ในปีนี้จึงพร้อมที่จะบุกตลาดอย่างต่อเนื่อง สถาพร เอสเตท ปั้นคอนโดใจกลาง CBD กลยุทธ์สำคัญของปี 2565  คือ การพัฒนาโครงการคอนโดในย่านศูนย์กลางธุรกิจ หรือ CBD ซึ่งวางแผนเปิดตัวโครงการเดอะ คราวน์ เรสซิเดนท์เซส (THE CROWN Residences) คอนโดไฮไรซ์ระดับลักซ์ชัวรี่ บนถนนพระราม 4  ซึ่งแม้ว่าตลาดเส้นทางของถนนเส้นนี้ จะมีการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่มากมาย แต่สถาพร เอสเตท กลับมองว่าตลาดยังมีโอกาสและศักยภาพในการที่พัฒนาโครงการขึ้น จากมองเห็นใน 3 ปัจจัยสำคัญ 1.ที่ดินใจกลาง CBD มีจำกัด พื้นที่ใจกลางเมืองที่เป็นย่านใจกลางธุรกิจ ปัจจุบันที่ดินนอกจากจะมีราคาแพงแล้ว ยังหาซื้อมาพัฒนาได้ยาก เนื่องจากถูกจับจองไว้หมดแล้ว และเจ้าของที่ดินบางรายก็ไม่อยากขาย ทำให้คอนโดหลายโครงการ ถูกพัฒนาในรูปแบบสิทธิการเช่าถือครองกรรมสิทธิ์ หรือ Leasehold เพราะเจ้าของที่ดินยังมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินผืนนั้น   การที่สถาพร เอสเตท สามารถซื้อที่ดินมาพัฒนาโครงการได้ จึงถือว่าเป็นข้อได้เปรียบในการแข่งขันสำคัญ เพราะ​ผู้ซื้อสามารถมีสิทธิ์ในการถือกรรมสิทธิ์คอนโดนั้นตลอดไป ซึ่งเป็นการพัฒนาโครงการในรูปแบบซื้อขาดหรือ Freehold 2.ทำเลยังมีช่องว่างให้แข่งขัน หัวใจความสำเร็จสำคัญของธุรกิจอสังหาฯ คือ เรื่องทำเลที่ตั้ง ซึ่งโครงการเดอะ คราวน์ เรสซิเดนท์เซส ตั้งอยู่บนถนนพระราม 4 อยู่ระหว่างสถานทีรถไฟฟ้า MRT สถานีคลองเตยและสวนลุมพินี ในระยะการเดินประมาณ​ 400 เมตร ที่ถือว่ายังไม่มีคู่แข่งในพื้นที่รัศมีดังกล่าว แม้ว่าโดยรอบสถานีของรถไฟฟ้า ทั้งสถานีคลองเตยและสวนลุมพินีจะมีโครงการที่เปิดตัวก่อนหน้า และกำลังจะเปิดตัวขายก็ตาม แต่ถือว่าไม่ได้อยู่ในรัศมี 400 เมตร 3.ดีมานด์สูงจากแหล่งงานโดยรอบ แม้ว่าช่วงที่ผ่านมา ตลาดคอนโดจะเปิดตัวน้อย อย่างในปีที่ผ่านมาเปิดตัวใหม่ประมาณ 70,000-80,000 ยูนิต  แต่ทิศทางตลาดคอนโดเริ่มปรับตัวดีขึ้น ภายหลังจากการแพร่ระบาดโควิด-19 เริ่มลดระดับความรุนแรงลง ส่งผลให้คนเริ่มหันกลับมาซื้อคอนโดเพื่อใช้อยู่อาศัย และการซื้อเพื่อลงทุน เห็นได้จากไตรมาสแรกที่ผ่านมา ภาพรวมตลาดคอนโดมียอดขายประมาณ 29,000-30,000 ยูนิต   ไม่ใช่แค่สัญญาณการฟื้นตัวของตลาดคอนโดในปี 2565 ที่ปรับตัวดีขึ้นเท่านั้น แต่หากวัดจากทำเลที่ตั้ง ซึ่งอยู่ท่ามกลางแหล่งงานขนาดใหญ่ทั้งปัจจุบันและอนาคต การพัฒนาโครงการในทำเลนี้ ก็สามารถรองรับกับความต้องการของพนักงานต่าง ๆ เหล่านั้นได้ด้วย โดยเฉพาะการตั้งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับโครงการวัน แบงค็อก (One Bangkok) อภิมหาโปรเจ็กต์มูลค่ากว่า 120,000 ล้านบาท ของตระกูลสิริวัฒนะภักดี  ที่จะมีทั้งศูนย์การค้า โรงแรม สำนักงานให้เช่า และคอนโด แม้ว่าจะมีพื้นที่พักอาศัย แต่คาดว่าจะไม่สามารถรองรับ ความต้องการที่อยู่อาศัยของคนในพื้นที่นี้ได้เพียงพอ   ขณะที่พื้นที่ใกล้เคียงยังมีอาคารสำนักงาน ห้างสรรพสินค้า และสถานศึกษาอีกมากมาย ที่จะเข้ามาเป็นดีมานด์สำหรับโครงการได้อย่างเพียงพอ ที่สำคัญโครงการนี้มีจำนวนห้องชุดเพียง 183 ยูนิต ซึ่งถือว่ามีจำนวนไม่มาก รีเฟรชแบรนด์เตรียมจดทะเบียนใน SET สถาพร เอสเตท ในปีนี้ได้รีเฟรชแบรนด์ ด้วยการปรับสีและรูปแบบโลโก้ให้มีความทันสมัย เห็นแล้วสามารถจดจำได้ง่าย และรู้ว่าเป็นบริษัทอะไร ซึ่งได้ใช้ตัวอักษรย่อ  SE มาเป็นหนึ่งในองค์ประกอบของโลโก้  โดยตัวอักษรย่อ SE ได้ถูกใช้ครั้งแรกเมื่อ 4 ปีที่ผ่าน แต่ครั้งนี้ปรับโลโกใหม่ให้ดูทันสมัยมากขึ้น   นอกเหนือจากการรีเฟรชแบรนด์ เพื่อให้ผู้ที่พบเห็นสามารถจดจำได้ง่ายแล้ว เป้าหมายในอนาคต อักษรย่อ SE จะเป็นตัวย่อของบริษัทใน SET Index หรือตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยด้วย ซึ่งถือเป็นแผนงานในอนาคตที่บริษัทต้องการก้าวไปถึง ปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินการขั้นตอนต่าง ๆ แต่คาดว่าน่าจะสามารถนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้ประมาณปี 2568   สำหรับรูปแบบโลโก้ใหม่ ถูกดีไซน์เพื่อชูแนวคิดหลักในการดำเนินธุรกิจ นั่นคือ “PASSION FOR LIVING WELL” โดยสื่อถึงความมุ่งมั่นในการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี โดยใส่ใจและให้ความสำคัญในทุกรายละเอียดของการออกแบบ ตั้งแต่รูปแบบดีไซน์ที่มองเห็น ไปจนถึงทุกสัมผัสที่อาจมองไม่เห็น แต่รับรู้ได้ด้วยความรู้สึก ผสมผสานกับการพัฒนาเทคโนโลยี และการนำนวัตกรรมสิ่งแวดล้อมเข้ามาใช้ เพื่อตอบสนองชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ทั้งในวันนี้และวันข้างหน้า เปิด 3 โปรเจ็กต์จับกลุ่ม Mid to High แผนการเปิดตัวโครงการใหม่ในปี 2565  บริษัทได้เตรียมเปิดตัว 3 โครงการใหม่ รวมมูลค่ากว่า 3,306 ล้านบาท ได้แก่ 1.โครงการเดอะ คราวน์ เรสซิเดนท์เซส (THE CROWN Residences) คอนโดไฮไรซ์ลักซ์ชัวรี่ สูง 32 ชั้น จำนวนห้องชุด 183 ยูนิต มูลค่ากว่า 2,016 ล้านบาท โครงการอยู่ติดถนนพระราม 4 ใกล้สถานีรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ทั้งสถานีลุมพินี และคลองเตย รวมถึงจุดขึ้น - ลง ทางด่วนพิเศษเฉลิมมหานคร เพียง 5 นาที ในราคา 6 - 20 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย 250,000 บาทต่อตารางเมตร   2.โครงการดิ อิเธอร์นิตี้ โกร์ฟ สายไหม – พหลฯ (THE ETERNITY GROVE SAIMAI – PHAHOL​) โครงการบ้านเดี่ยว ภายใต้แนวคิด “Make it yours” จำนวน 92 ยูนิต มูลค่าโครงการ 560 ล้านบาท โครงการตั้งอยู่ใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียวทั้ง สถานีคูคต และสถานี กม.25 ประมาณ 3 กิโลเมตร ในราคาเริ่มต้น 5.9 ล้านบาท มีกำหนดเปิดพรีเซลล์ในเดือนกรกฎาคมนี้   3.โครงการ ดิ อิเธอร์นิตี้ พระราม 9 - วงแหวน (THE ETERNITY RAMA 9 - WONGWAEN) โครงการบ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี่ ใจกลางย่านพระราม 9 - วงแหวน เพียง 70 ยูนิต มูลค่าโครงการ 730 ล้านบาท ในราคาเริ่มต้น 9 ล้านบาท โดยกำหนดเปิดพรีเซลล์ในช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้ 3 กลยุทธ์ปั้นโปรเจ็กต์ปีละ 3,000 ล้าน โดยปี 2565 นี้ สถาพร เอสเตท ตั้งเป้ายอดขายไว้กว่า 2,400 ล้านบาท โดยแบ่งสัดส่วนสำหรับโครงการแนวสูงอยู่ที่ 1,386 ล้านบาท หรือคิดเป็น 58% และโครงการแนวราบอยู่ที่ 1,014 ล้านบาท หรือคิดเป็น 42% พร้อมตั้งเป้ายอดโอนกรรมสิทธิ์ไว้กว่า 1,280 ล้านบาท   การพัฒนาโครงการในอนาคต ยังวางกรอบการลงทุนให้มีมูลค่าโครงการปีละประมาณ 3,000 ล้านบาท อย่างน้อยปีละ 3 โครงการ พร้อมกับได้บริหารธุรกิจระหว่างบ้านแนวราบและคอนโด (Balance Portfolio) ให้มีสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน โดยใช้ 3 กลยุทธ์สำคัญในการรุกตลาดที่ตอบโจทย์ความต้องการในทุกด้านของการอยู่อาศัย  ได้แก่ 1.ไม่ปั๊มโครงการ สถาพร เอสเตท จะออกแบบ (DESIGN) โครงการแต่ละแห่งไม่ซ้ำกัน โดยยึดการออกแบบให้เหมาะสมกับทำเล และความต้องการของลูกค้าในแต่ละพื้นที่ ซึ่งจะมุ่งเน้นการอยู่อาศัยให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมต่าง เช่น วางผังบ้านหันหน้าไปทางทิศเหนือ-ทิศใต้ และวางผังโครงการอาคารคลับเฮาส์ รวมกับซุ้มด้านหน้าโครงการ เพื่อช่วยลดเสียง มลภาวะที่จะเข้ามาภายในโครงการ และสร้างความเป็นส่วนตัวให้กับผู้อยู่อาศัย  การเลือกใช้วัสดุสมัยใหม่ ที่มีรูปแบบสถาปัตยกรรมที่แตกต่าง และหรูหรา เพื่อให้บ้านมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว หรือบ้านในรูปแบบ LIVE GREEN, BE WELL เพื่อตอบไลฟ์สไตล์ลูกค้ากลุ่ม “GREEN EXPERIENCER” 2.ปรับเปลี่ยนพื้นที่ตามไลฟสไตล์ เรื่องของการใช้งาน หรือ FUNCTIONAL สถาพร เอสเตท จะเน้นการพัฒนาพื้นที่ให้ครอบคลุมทุกฟังก์ชั่นการใช้งาน นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมสิ่งแวดล้อมเข้ามาใช้ในโครงการต่าง ๆ เพื่อความสะดวกสบาย ไม่ว่าจะเป็น การปรับเปลี่ยนพื้นที่ชั้น 2 ของบ้านให้เป็นห้องนอนเพิ่ม หรือปรับเปลี่ยนห้องอเนกประสงค์ให้เป็นห้องพักผ่อน หรือมุมสำหรับ Work From Home และยังพัฒนาพื้นที่สำหรับลูกค้าที่มีความต้องการแตกต่างกัน เช่น ที่จอดรถ และสระว่ายน้ำสำหรับเด็กและผู้ใหญ่ เพื่อตอบ  ไลฟ์สไตล์ในแบบ “HUMAN TOUCH LIVABLE” 3.ส่วนกลางตอบโจทย์การอยู่อาศัย พื้นที่ส่วนกลางของโครงการ เป็นอีกจุดสำคัญที่ สถาพร เอสเตท เน้นการพัฒนาพื้นที่ส่วนกลางให้มีความครบครัน (PRODUCT FACILIITY)เพื่อให้สามารถตอบรับกับทุกไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัย ได้แก่ สระว่ายน้ำทรงอิสระ (Free Form) ที่มีความต่อเนื่องกับสวนส่วนกลาง, พื้นที่สำหรับส่งเสริมพัฒนาการของเด็ก, ทางเดินสำหรับออกกำลังกายของผู้อยู่อาศัยภายในโครงการ  เพื่อตอบวิถีชีวิตแบบ “WELL BEING LIFESTYLE” ทั้งหมด คือแผนงานและกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจในปี 2565 ที่ยังมองว่าตลาดยังมีโอกาส และสามารถสร้างการเติบโตให้กับบริษัทได้ แม้ว่าปีนี้จะยังมีปัจจัยลบอยู่บ้าง เช่น ค่าวัสดุก่อสร้างและต้นทุนที่เพิ่มขึ้น แต่จากช่วงก่อนหน้านี้ ได้มีการวางแผนและเตรียมตัวไว้แล้ว ก็น่าจะผ่านพ้นไปได้ และตลาดคงจะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องด้วย ​ซึ่งคงทำให้ทำยอดขายและรายได้ตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ ​​​   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -“วัน แบงค็อก” ดึง 6 ผู้รับเหมาพัฒนาเฟสแรก พื้นที่ 1.3 ล้านตร.ม.เสร็จใช้ปี 66
[PR News] แสนสิริจับมือ​ขายหัวเราะ ส่ง​แคมเปญ “บ้านนี้ ฮะ ฮะ ฮ่า”  กวาดยอดขาย 8,200 ล้าน

[PR News] แสนสิริจับมือ​ขายหัวเราะ ส่ง​แคมเปญ “บ้านนี้ ฮะ ฮะ ฮ่า” กวาดยอดขาย 8,200 ล้าน

แสนสิริจับมือ​ขายหัวเราะ แสนสิริจับมือ​ขายหัวเราะ ขนทัพแก๊งการ์ตูนทั้ง “หนูหิ่น ปังปอนด์ บ.ก.วิติ๊ด” จัดแคมเปญ  “โปรอารมณ์ดี” โกยยอดขายกว่า 8,200 ล้าน​ ดันยอดขายรวมปีนี้ 35,000 ​ล้าน   นางสาวชลีรัตน์ ต่อจรัส ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดองค์กร บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แสนสิริ สานต่อกลยุทธ์ Partnership Game หลังจากประสบความสำเร็จในปีที่ผ่านมากับการจับมือกับบาร์บีคิว พลาซ่า  ที่สร้างกระแส talk of the town กวาดยอดขายทะลุเป้ากว่า 7,000 ล้านบาท   ในปีนี้ แสนสิริจับมือขายหัวเราะ ​ แบรนด์คาแรคเตอร์การ์ตูนดังของไทย ส่งแคมเปญ “บ้านนี้ ฮะ ฮะ ฮ่า” เพื่อรุกตลาดเจาะกลุ่มลูกค้าเรียลดีมานด์ ในกลุ่มเซ็กเมนท์ affordable ซึ่งสอดคล้องกับแผนกลยุทธ์การเปิดตัวโครงการใหม่ของแสนสิริในปีนี้ ที่มีสัดส่วนมากกว่า 50% อาทิ สิริ เพลส, คอนโดมี เดอะ มูฟ เป็นต้น ผ่านคาแรกเตอร์การ์ตูนขายหัวเราะที่ทำให้คนเข้าถึงแบรนด์และเข้าใจจุดเด่นของแสนสิริได้ง่ายขึ้น เป็นครั้งแรกที่มีการครีเอทภาพคาแรคเตอร์การ์ตูนของคุณเศรษฐา  ทวีสิน ซีอีโอ มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสื่อสารผ่านแคมเปญนี้ด้วย  สำหรับทิศทางกลยุทธ์การรุกตลาดอสังหาฯในไตรมาส 2 นี้ แคมเปญ “บ้านนี้ ฮะ ฮะ ฮ่า” จะสร้างประสบการณ์ความสุขและเสียงหัวเราะให้กับคนไทยอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ผ่านแก๊งคาแรคเตอร์ตัวการ์ตูนของ ขายหัวเราะที่คนไทยรู้จักกันดีอย่าง หนูหิ่น, ปังปอนด์, บ.ก.วิติ๊ด มาเล่าความต้องการที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ ในฐานะ End-User ตัวแทนของคนอยากมีบ้านอย่างเข้าถึงอินไซต์ของลูกค้า ตั้งแต่ดีไซน์-ฟังก์ชัน-บริการ ที่เป็นจุดเด่นเหนือคู่แข่งของแสนสิริ ตลอดจนกิจกรรม CSR ที่แสนสิริช่วยเหลือสังคมอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับโปรโมชั่น “โปรอารมณ์ดี” กับข้อเสนอพิเศษ โดยตั้งเป้าสร้างยอดขายจากแคมเปญนี้กว่า 8,200 ล้านบาท นางสาวชลีรัตน์  กล่าวอีกว่า แสนสิริ เชื่อมั่นว่าความร่วมมือกับขายหัวเราะ จะช่วยผลักดันให้ยอดขายรวมแสนสิริเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ที่ 35,000 ล้านบาทในปีนี้ ตลอดจนสามารถขยายฐานลูกค้าได้อย่างครอบคลุมทุกกลุ่มทุกเจเนอเรชั่นมากขึ้น ผ่านกลุ่มลูกค้าของขายหัวเราะ   ด้านนางสาวพิมพ์พิชา อุตสาหจิต กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทเครือบันลือกรุ๊ป กล่าวว่า แสนสิริ เป็นแบรนด์อสังหาฯ ที่กล้าทำการตลาดรูปแบบใหม่ ๆ สามารถสร้างกระแสความสนใจจากคนไทยได้อยู่เสมอ  ซึ่งนับว่าเป็นครั้งแรกขายหัวเราะที่ได้มาร่วมมือกับแบรนด์อสังหาฯ   แสนสิริจับมือขายหัวเราะ ครั้งนี้จะเป็นการร่วมกันสร้างความสุข ผ่านคาแรคเตอร์ตัวการ์ตูนในเครือขายหัวเราะ ในฐานะ End-User มากกว่าจะเป็นแค่พรีเซ็นเตอร์ อย่างหนูหิ่น บ.ก.วิติ๊ด ปังปอนด์ รวมไปถึงคาแรคเตอร์การ์ตูนอื่น ๆ ที่คนไทยคุ้นเคยตั้งแต่นางยักษ์, เทพารักษ์, โจรมุมตึก ฯลฯ ไปจนถึงแก๊กความขำอื่น ๆ  มาเล่าเรื่องราวของแบรนด์แสนสิริ โดยสร้างสรรค์คอนเทนต์ออกมาหลากรูปแบบและหลายแพลตฟอร์ม เผยแพร่ไปยังช่องทางแสนสิริและขายหัวเราะ”   สำหรับแคมเปญ “บ้านนี้ ฮะ ฮะ ฮ่า” สร้างสรรค์ในรูปแบบสื่อที่มีความหลากหลายและในหลากหลายแพลตฟอร์ม ทั้งคลิปวิดีโอสั้น, นสพ.แทบลอยด์ การจัดกิจกรรมร่วมกับลูกบ้าน รวมถึงการนำการ์ตูนและแก๊กมุกตลกต่าง ๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ของขายหัวเราะ มาผสมผสานกับภาพโครงการแสนสิริ เพื่อบอกเล่าความเป็นแบรนด์แสนสิริ   นอกจากนี้ ยังมีการสร้างกระแสไวรัลโซเชียล ผ่าน Story telling กับตัวการ์ตูนต่าง ๆ ให้ออกมาโลดแล่นบน โลกจริง อาทิ Troop แก๊งการ์ตูนบุกเมืองแจกแท็บลอยด์กลางสี่แยก, Installation Arts ตามโครงการต่างๆ  ของแสนสิริทั้งบ้านเดี่ยว คอนโดมิเนียม และทาวน์โฮม, กิจกรรม DIY ทำเสื้อใหม่กับขายหัวเราะ ให้ลูกบ้านรณรงค์รักษ์โลกลดโลกร้อน โดยนำเสื้อเก่ามาสร้างสีสันใหม่ด้วยสติ๊กเกอร์แก๊งค์ขายหัวเราะ เป็นต้น     อ่านข่าวเพิ่มเติม -แสนสิริ เปิด 18 คอนโด มูลค่า 11,000 ล้าน จับตลาดเรียลดีมานด์กลุ่ม Affordable
เปิดวิชั่น  “พีระพงศ์ จรูญเอก”  นายก สมาคมอาคารชุดไทย​ คนใหม่

เปิดวิชั่น “พีระพงศ์ จรูญเอก” นายก สมาคมอาคารชุดไทย​ คนใหม่

นายกสมาคมอาคารชุด สมาคมอาคารชุดไทย ถือเป็นหนึ่งสมาคมในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทย ที่ถือว่ามีบทบาทและส่วนสำคัญ ในการเป็นเสียงสะท้อนความต้องการของผู้ประกอบการ และผู้บริโภคส่วนใหญ่ของคนที่ต้องการซื้ออสังหาฯ ประเภทคอนโดมิเนียม ที่ผ่านก็มีบทบาทสำคัญในการผลักดัน และส่งเสริมการเติบโตให้กับตลาดคอนโดในหลายด้านด้วยกัน    ล่าสุด ได้มีการจัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2564 เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2565 ที่โรงแรมอโนมา แกรนด์ กรุงเทพฯ ซึ่งหนึ่งในวาระสำคัญครั้งนี้ คือ การเลือกนายกสามาคมคนใหม่ เพื่อสานงานต่อจากนายกสมาคมคนเดิม คือ ดร.อาภา อรรถบูรณ์วงศ์ ซึ่งจากมติที่ประชุมได้คัดเลือกให้ นายพีระพงศ์​ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ​ดำรงตำแหน่งนายกสมาคมอาคารชุดไทย  วาระประจำปี 2565-2566 ในการประชุมใหญ่ ปี 65 คอนโดกำลังฟื้นตัว นายกสมาคมอาคารชุดไทยคนใหม่ ได้ฉายภาพทิศทางของธุรกิจคอนโดภายหลังจากเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ว่า ปัจจุบันตลาดคอนโดได้ผ่านพ้นจุดต่ำสุดในช่วงที่ผ่านมาแล้ว และกำลังจะเข้าสู่การฟื้นตัว แม้ว่าที่ผ่านมาความต้องการของคนส่วนใหญ่คือ การอยู่อาศัยในบ้านแนวราบมากขึ้น เพราะต้องการพื้นที่ใช้สอย แต่จากปัจจุบันราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลต่อค่าใช้จ่ายด้านการเดินทางของคนส่วนใหญ่ ก็จะทำให้เกิดความต้องการในตลาดคอนโดกลับคืนมาด้วย 9 เดือนต่อจากนี้ตลาดคอนโดจะทยอยฟื้นตัวดีขึ้นเรื่อย ๆ  ในทุกไตรมาสนับตั้งแต่ไตรมาสแรก ภาพรวมอสังหาฯ เริ่มปรับตัวดีถึงแม้จะเจอโควิดสายพันธุ์โอไมครอน เห็นได้จากยอดขายไตรมาสแรกเพิ่มมากขึ้น ที่ผ่านมาคอนโดไม่ได้เปิดโครงการใหม่ และยังระบายสต็อกกันไปจำนวนมาก​ โดยตลาดคอนโดคาดว่าจะฟื้นตัวในปี 2566 ถ้าเทียบปีฐานคือ 2562 ก่อนเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19  แต่ช่วงต้นปีนี้ที่เกิดความขัดแย้งระหว่างยูเครนและรัสเซีย ส่งผลให้ราคาพลังงาน ค่าขนส่ง และเหล็กปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากเป็นต้นทุนซึ่งจะแปรผันตามราคาน้ำมัน  และทำให้ภาพรวมของค่าก่อสร้างปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 5-10%   อย่างไรก็ตาม ต้นทุนค่าก่อสร้างมีสัดส่วน 1ใน 3 ของราคาขาย ซึ่งส่งผลกระทบกับอัตรากำไรขั้นต้นมากกว่า ที่จะปรับราคาเพิ่มขึ้น ผู้ประกอบการอาจจะต้องยอมรับกับมาร์จิ้นที่ลดลงบ้าง และควรปรับราคาเมื่อมีความต้องการเพิ่มมากขึ้นกว่านี้ เนื่องจากปัจจุบันความต้องการยังถือว่าเปราะบาง ซึ่งแนวโน้มราคาน่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นในปีหน้าในอัตรา 3-4% หรืออาจจะถึง 5% จากภาวะปกติที่มีการปรับราคาขึ้นในอัตราเฉลี่ย 7-8%   นายพีระพงศ์ เชื่อว่า ปีนี้ราคาคอนโดยังเหมือนเดิม  เพราะเราปรับตัวด้วยการไปลดการออกแบบที่ฟุ่มเฟือย อย่างเช่น การลดพื้นที่ส่วนการลง เช่น สระว่ายน้ำเหลือ 10-20 เมตร จากเมื่อก่อนทำขนาด 50 เมตร ต้องยอมรับมาร์จิ้นลดลง เช่นเคยได้มาร์จิ้น 30% เอาแค่ 28% ก็พอ หรือเคยได้ 35% เอาแค่ 33% ก็พอ เพราะยังมี​สต็อกเหลืออยู่ ​ และหลังจากที่กำลังออกจากโควิด-19 ก็มาเจอรัสเซีย ยูเครน  แล้วยังเจอต้นทุนค่าครองชีพที่สูงขึ้น ทั้งอาหาร น้ำมัน​ ทำให้อารมณ์ในการซื้อน้อยลง กระทบดีมานด์  เพราะปัจจัยเสี่ยงที่สุดของคอนโดในปี 2565 คือ เรื่องของกำลังซื้อ ​ คอนโดคิดใหม่ ทำห้องใหญ่ขึ้น​ การพัฒนาคอนโดหลังจากนี้ สิ่งที่ผู้ประกอบการต้องพิจารณา คือ วิธีการออกแบบคอนโดให้ตรงกับไลฟ์สไตล์และความต้องการของกลุ่มลูกค้า ที่อาจจะต้องทำห้องให้ใหญ่ขึ้น เพื่อรองรับกับความต้องการใช้พื้นที่เพื่อทำกิจกรรมของผู้อยู่อาศัยมากขึ้น เหมือนการใช้ชีวิตในบ้าน ทั้งใช้ในการทำงาน การเรียน และขายของออนไลน์ เพราะปัจจุบันหลายบริษัทให้พนักงานทำงานจากที่บ้านได้ ​ถือเป็นเรื่องใหม่ที่เกิดหลังจากโควิด-19   นายกสมาคมอาคารชุด กล่าวอีกว่า จากความต้องการของกลุ่มลูกค้าดังกล่าว ส่งผลให้ผู้พัฒนาโครงการคอนโดต้องมีขนาดห้อง 50 ตร.ม. จากปกติพัฒนาขนาดไม่เกิน 30 ตร.ม. และต้องขยายไปยังทำเลที่เป็นส่วนต่อขยายของรถไฟฟ้า ทั้งในสายปัจจุบันและสายที่เกิดขึ้นใหม่ ๆ ในทำเลที่สามารถเดินมาขึ้นรถไฟฟ้าได้ประมาณ 100 เมตร  เพื่อชิงส่วนแบ่งทางการตลาดจากกลุ่มบ้านแนวราบ ที่เป็นกลุ่มทาวน์เฮ้าส์ราคา 3 ล้านบาท แต่อยู่ห่างจากสถานีรถไฟฟ้า 2-3 กิโลเมตร ส่วนคอนโดขนาดเล็กหรือคอนโดจิ๋วยังมีดีมานด์อยู่ แต่กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่เป็นคนโสด หรือมีแฟนอยู่กันแค่ 2 คน   ดังนั้น ผู้ประกอบการที่ทำคอนโดต้องปรับตัว จับเทรนด์ให้ได้ว่า หลังโควิดลูกค้าต้องการอะไร เพราะหลายคนกลับไปอยู่ทาวน์เฮ้าส์แถววงแหวนรอบนอก ไม่อยู่ซิตี้คอนโดอีกต่อไป การทำคอนโด 2 ห้องนอน ราคา 3 ล้านแต่อยู่ติดสถานี จะเป็นตัวเลือกแข่งกับตลาดทาวน์เฮ้าส์ได้ จากกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลง ผู้ประกอบการต้องพยายาททำให้ราคาถูกที่สุดเท่าที่จะทำได้  โดยระดับราคา 70,000-80,000 บาทต่อตร.ม. ยังเป็นราคาที่ผู้บริโภคยังพอรับได้ในเวลานี้ สำหรับพื้นที่คอนโดห้องขนาดเล็ก อาจต้องทำพื้นที่เพื่อให้บริการแก่ลูกค้าใช้ประชุมออนไลน์ได้ โดยเสียงไม่ตีกัน จากเดิมเคยทำโคเวิร์คกิ้งสเปซแบบโล่ง ๆ เปลี่ยนเป็นไพเวทสเปซมากขึ้น  ส่วนห้องที่ใช้ชีวิตประจำวัน จะทำเพดานสูงเพื่อทำให้นั่งได้นานขึ้น เพราะความอึดอัดแปรผันกับความสูงของเพดาน ดังนั้น​ ยิ่งทำเพดานยิ่งสูงจะทำให้มีความรู้สึกเหมือนการอยู่บ้าน เช่น เดิมเพดานสูง 2.50 เมตร ปรับเพิ่มเป็น 4 เมตรขึ้นไป เป็นต้น ส่วนระดับราคาที่ลูกค้าสามารเข้าถึงได้ง่ายไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อยูนิต ทั้งนี้เพราะกำลังซื้อคนลดลง การพัฒนาคอนโดต่อจากนี้ จะแตกต่างไปจากเดิม จากนิวนอร์มอลมาเป็นเน็กซ์นอลมอล เช่น มีที่ล้างมือก่อนเข้าคอนโด มีน้ำยาฉีดฆ่าเชื้อในส่วนกลาง ลิฟท์  มีระบบกรองอากาศที่ดี ซึ่งต้องออกแบบมาเป็นโปรดักส์ ​ราคาน้ำมันดันราคาที่ดินพุ่ง50% จากปัจจัยราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น ส่วนหนึ่งส่งผลดีต่อตลาดเช่าคอนโดในเมืองปรับตัวดีขึ้น  เพราะเมื่อเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายในการเดินทางจะเท่ากับค่าเช่าคอนโด ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้คอนโดกลับมาได้  ขณะที่บ้านจัดสรรมีราคาสูง จากความต้องการที่เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ราคาที่ดินปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 50%  ด้วย ส่งผลให้ราคาบ้านช่วงโควิดสูงขึ้นประมาณปีละ 5-10%   สมมติเคยซื้อที่ดิน 1 ไร่ ราคา 6 ล้านบาท กลับไปซื้ออีกครั้งราคาจะขยับไปไร่ละ 9 ล้านบาท จนกลายเป็นเรื่องปกติ สมมติถ้าปีที่แล้วราคาบ้านจาก 6.5 ล้านบาท ถ้าไม่ซื้อปีที่แล้ว กลับไปซื้อปีนี้ ราคาบ้านจะกลายเป็น 7.2 ล้าน   ทั้งหมดก็เป็นมุมมองของนายกสมาคมอาคารชุดคนใหม่ ที่จะเข้ามาเป็นกระบอกเสียง ในการสื่อสารกับหน่วยงานภาครัฐ หากต้องการได้รับการส่งเสริมสนับสนุน รวมถึงการทำงานร่วมกับหน่วยงาน สมาคม และองค์กรต่าง ๆ เพื่อช่วยผลักดัน และพัฒนาตลาดคอนโดให้เติบโต และยังมีส่วนสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศต่อไปด้วย คงต้องดูกันต่อไปว่า บทบาทนายกสมาคมคนใหม่จะมีอะไรออกมาให้เห็นได้บ้าง เพราะต้องยอมรับฝีมือของ "พีระพงศ์​ จรูญเอก" ที่มีความสามารถในด้านการบริหารงาน สามารถนำพาออริจิ้น และบริษัทในเครือเติบโตอย่างมากมายมาแล้ว     อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -อสังหาฯ ปีหน้ายังเหนื่อย เพราะ LTV มาผิดเวลา?  
Niche Mono Mega Space Bangna คอนโดสูงพร้อมอยู่แห่งแรก ยืนหนึ่งบนถนนบางนา-ตราด

Niche Mono Mega Space Bangna คอนโดสูงพร้อมอยู่แห่งแรก ยืนหนึ่งบนถนนบางนา-ตราด

Niche Mono Mega Space Bangna ถ้าพูดถึงคอนโดมิเนียม High Rise พร้อมอยู่ ติดถนนบางนา-ตราด ณ เวลานี้ คงไม่มีใครไม่รู้จัก “Niche Mono Mega Space Bangna” (นิช โมโน เมกา สเปซ บางนา) ซึ่งถือว่าเป็นคอนโดมิเนียมที่เพิ่งจะสร้างเสร็จแห่งแรกและแห่งเดียวบนถนนเส้นนี้  ดังนั้นรีวิวฉบับนี้ เราจะพาทุกคนไปทัวร์ซุกซอกทุกมุมของโครงการ Niche Mono Mega Space Bangna แห่งนี้ เพื่อให้ได้เห็นภาพจริง และบรรยากาศจริงกันให้เต็มตากันไปเลย   ด้วยความที่ตัวโครงการ Niche Mono Mega Space Bangna ตั้งอยู่ติดถนนบางนา-ตราดฝั่งขาเข้า บนทำเลที่มีความพร้อมด้านสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบครัน ซึ่งจัดว่าเป็นศูนย์กลางของโซนกรุงเทพฯ ตะวันออก และยังเป็นพื้นที่ที่มีความสามารถจะพัฒนาเป็น New CBD แห่งใหม่ได้ในอนาคต บวกกับศักยภาพในด้านการคมนาคมที่สะดวก และยังอยู่ในแผนพัฒนารถไฟฟ้าสายสีเงิน (บางนา-สุวรรณภูมิ) ซึ่งจะทำให้การเดินทางในอนาคตมีความสะดวกมากยิ่งขึ้นไปอีก ด้วยปัจจัยเหล่านี้เอง ก็ไม่น่าแปลกใจหากคอนโดมิเนียมจาก บริษัท เสนา จำกัด (มหาชน) เป็นที่น่าสนใจมากเป็นพิเศษ   ทำไมต้อง Niche Mono Maga Space Bangna อย่างที่เกริ่นไปแล้วว่า โครงการ Niche Mono Maga Space Bangna เป็นคอนโดมิเนียม High Rise ที่สร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่แล้ว ในช่วงตั้งแต่ต้นปี 65 จึงเริ่มมีการทยอยโอนห้องและมีลูกบ้านย้ายเข้าอยู่แล้วบางส่วน ถ้าใครกำลังมองหาและต้องการที่อยู่อาศัยในย่านนี้ บอกได้ว่าไม่ควรพลาดไปเยี่ยมชมดูซักครั้ง ไม่แน่ว่าจะถูกใจได้ไม่ยาก   “เพราะเชื่อว่าการพักผ่อนที่ดี จะสร้างแรงบันดาลใจใหม่ๆ ให้ชีวิตเสมอ” ทางเสนาฯจึงเลือกใช้แนวคิด “GOOD SLEEP Concept” ในการออกแบบและพัฒนาพื้นที่ให้ตอบโจทย์การอยู่อาศัยเพื่อการพักผ่อนอย่างแท้จริง อีกทั้งยังคงคอนเซปต์ Made From Her ที่เป็นจุดแข็งของเสนาฯ ผสานเข้ากับแนวคิด GeoFit จาก Hankyu Hanshin Properties Corp. บริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่มีชื่อเสียงในประเทศญี่ปุ่น ไว้อย่าลงตัวในทุกรายละเอียดของโครงการ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ส่วนกลางที่มีจำนวนมากถึง 26 รายการ เป็นพื้นที่มากถึง 3 ชั้น ซึ่งมาพร้อมกับพื้นที่จอดรถกว้างขวางและสามารถรองรับได้มาถึง 70% หรือ 556 คัน (รวมซ้อนคัน)     นอกจากเรื่องทำเลที่ตั้งของโครงการบนถนนบางนา-ตราดแล้ว เรื่องสิ่งอำนวยความสะดวกรอบๆ โครงการก็ถือได้ว่าเพียบพร้อมสำหรับการอยู่อาศัย ทั้งห้างสรรพสินค้า สถานศึกษา และสถานพยาบาลชั้นนำมากมาย รวมถึงอาคารสำนักงานสำคัญอีกไม่น้อย เช่น MEGA บางนา, เซ็นทรัล บางนา, โรงเรียนนานาชาติบางกอกพัฒนา, โรงเรียนราชวินิตบางแก้ว, โรงพยาบาลปิยมินทร์, โรงพยาบาลบางนาเยนเนอรัล เป็นต้น ประกอบกับรอบๆ โครงการไม่มีอาคารสูงอยู่ในระยะบล็อควิวเลยทำให้ได้วิวที่เปิดโล่ง เนื่องจากด้านหนึ่งติดกับ Lake Side โครงการบ้านจัดสรรแนวราบขนาดใหญ่ ขณะที่อีกด้านค่อนข้างเปิดโล่ง ในอนาคตสามารถมองเห็นวิวสวนป่าจากโครงการ The Forestias ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล และด้วยความที่บรรยากาศไม่ได้พลุกพล่านจนเกินไป จึงทำให้โครงการ Niche Mono Mega Space Bangna ให้บรรยากาศการอยู่อาศัยที่เหมาะกับการพักผ่อนอย่างแท้จริง   ห้างสรรพสินค้า MEGA บางนา Makro ศรีนครินทร์ Big C ศรีนครินทร์ Index บางนา Central Plaza บางนา Foodland ศรีนครินทร์ Jas Urban พาราไดซ์พาร์ค สถานศึกษา รร.ราชวินิตบางแก้ว รร.นานาชาติคอนคอร์เดียน รร.นานาชาติบางกอกพัฒนา ม.รามคำแหง 2 รร.เซนโยเซฟ บางนา รร.นานาชาติเบิร์คลีย์ สถานพยาบาล รพ.ปิยมินทร์ รพ.บางนาเยนเนอรัล รพ.บางนา 1 รพ.ศิครินทร์ รพ.ไทยนครินทร์   ได้มากกว่าด้วย Double Space และ Triple Facilities เพื่อให้ตอบโจทย์การพักผ่อนมากที่สุด การจัดสรรพื้นที่ส่วนกลางภายในตัวโครงการจึงถูกออกแบบโดยคำนึงถึงความต้องการของลูกบ้านหลากหลายสไตล์ เพื่อให้ได้ใช้พื้นที่ส่วนกลางได้อย่างเต็มที่ โดยมี Facilities ในรูปแบบต่างๆ ไว้บริการมากถึง 26 รายการ แบ่งออกเป็น 3 ชั้นซึ่งเน้นการออกแบบมาให้กลมกลืนกับธรรมชาติ รวมถึงตั้งใจผสานความเป็น Social Community & Activity ไว้ด้วยกัน   เริ่มตั้งแต่บริเวณชั้นล่างสุดของอาคารเป็น Socialize Zone มีพื้นที่สีเขียวรอบโครงการและเชื่อมต่อกับภายในได้อย่างกลมกลืน จะเห็นได้ชัดว่าทางโครงการตั้งใจออกแบบ Space ให้เหมาะกับการใช้พื้นที่รวมกัน เช่น บริเวณ Lobby ด้านหน้าที่เป็นส่วนพื้นที่รับแขกด่านแรกเมื่อก้าวเข้ามาจากจุด Drop Off  ใกล้ๆ กันกับมีห้อง Green Park Co-Meeting ที่เทียบได้กับ Co-Working Space ในหลายๆ ที่ จากมุมนั่งทำงานในห้องนี้สามารถมองเห็นวิวสีเขียวของ Urban-Courtyard ได้อย่างเต็มตา     ในขณะที่ถัดเข้าไปด้านในจะเจอกับ Chill Out Terrace ที่เป็นเสมือน Semi-Outdoor Lobby ให้ลูกบ้านได้มานั่งเล่นพักผ่อน รับประทานอาหาร หรือพบปะสังสรรค์กันในบรรยากาศสบายๆ ไม่เป็นทางการมาก เพราะบริเวณนี้มีทางเดินเชื่อมต่อไปยังร้านสะดวกซื้อภายในโครงการ  และมีห้อง Laundry อยู่ถัดเข้าไปทางด้านในของอาคารอีกด้วย บริเวณนี้ยังเชื่อมต่อกับพื้นที่สีเขียวที่เรียกว่า Garden Lobby สวนร่มรื่นที่เป็นทั้งพื้นที่พักผ่อนและใช้ทำกิจกรรมต่างๆ ตามอัธยาศัย     ถัดขึ้นมาที่บริเวณชั้น 9 จะเป็นส่วนของ Facilities ที่จัดว่าเป็น Active Zone ที่ลูกบ้านสามารถผ่อนคลายกับกิจกรรมต่างๆ อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะผู้ที่ชื่นชอบการออกกำลังกายที่ชั้น 9 นี้จะประกอบไปด้วย Sky Fitness ที่มีเครื่องเล่นไว้สำหรับรองรับการออกกำลังกายหลากหลายรูปแบบทั้ง Weight Training, Cardio, Yoga รวมถึง Sky Infinity Edge Pool ระบบน้ำเกลือขนาดใหญ่ รองรับการใช้งานเพื่อการว่ายน้ำออกกำลังกายได้จริง นอกจากนี้เพื่อตอบโจทย์การอยู่อาศัยแบบครอบครัว ยังมีสนามเด็กเล่นติดกับสระว่ายน้ำเพื่อให้เด็กๆ ได้วิ่งเล่นออกกำลังกายไปพร้อมๆ กัน     Facilities บนชั้น 41 และ Roof Top : Private Zone เป็นอีก Highlight พิเศษที่เพิ่มความหรูหราเป็นส่วนตัว ห้องแรกเป็น Co-Kitchen ครัวส่วนกลางที่พร้อมรองรับการจัดปาร์ตี้ส่วนตัว หรือนัดเพื่อนๆ มาเข้าครัวทำอาหารร่วมกัน ถัดมาจะเป็นห้อง Cinema Space สำหรับการชมหนังเรื่องโปรด นอกจากนี้ยังมี Reading Lounge, Sky Lounge, Sunrise & Sunset Court และ Moon Terrace เพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ของลูกบ้านได้อย่างครบครัน   Good Sleep Concept ห้องชุดเพื่อการนอนหลับที่ดี สำหรับคุณโดยเฉพาะ อย่างที่บอกไปในตอนต้นแล้วว่า โครงการ Niche Mono Mega Space Bangna มีแนวคิดในการออกแบบที่เชื่อว่า การนอนหลับที่ดีจะช่วยสร้างแรงบันดาลใจใหม่ๆ ได้ ดังนั้นฟังก์ชันภายในห้องชุดจึงถูกออกแบบมาเพื่อให้ครอบคลุมทุกความต้องการของการอยู่อาศัยได้อย่างครบถ้วน จากจุดแข็งภายใต้คอนเซปต์ Made From Her ของเสนา การลงรายละเอียดแม้กระทั่งดีเทลเล็กๆ จึงไม่ถูกมองข้ามแม้แต่จุดเดียว ตั้งแต่ขนาดห้องเริ่มต้นที่กว้างถึง 30 ตร.ม. พร้อมเฟอร์นิเจอร์ Built-in ในสไตล์ GeoFit  ของ Hankyu Hanshin Properties Corp. เพื่อเพิ่มประโยชน์ใช้สอยให้มากกว่าแค่ความสวยงาม พื้นที่ห้องนอนที่กว้างมากพอให้มีระยะห่างจากหน้าต่างเพื่อลดการถูกรบกวนจากมลภาวะทางเสียง หัวเตียง slope 5 องศาที่ออกแบบมาให้เหมาะกับสรีระ พื้นที่จัดเก็บของทั้งใต้เตียง ช่องเก็บหนังสือ การติดตั้ง Dimming Light เพื่อสร้างบรรยากาศการพักผ่อน รวมถึงการเสริมกรอบผ้าม่านช่วยทำให้ห้องมืดสนิทไร้แสงรบกวนจากภายนอกเพื่อการนอนหลับพักผ่อนได้อย่างเต็มที่ที่สุด รวมถึงการติดตั้ง Master Switch บริเวณทางเข้าออกห้อง เพื่อให้แน่ใจว่าไฟทุกดวงในห้องปิดทั้งหมดแล้ว ซึ่งรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้เป็นสิ่งที่ทางโครงการใส่ใจลงไปในการออกแบบเพื่อให้ผู้อยู่อาศัยอยู่สบายและมีความสะดวกมากที่สุดนั่นเอง   สำหรับโครงการ Niche Mono Mega Space Bangna มียูนิตให้เลือกด้วยกัน 3 Type ทุกยูนิตเป็นแบบ Fully Furnished เฟอร์นิเจอร์ครบพร้อมเข้าอยู่ได้ทันที เช่น ตู้เก็บของ Built-in, ตู้เก็บรองเท้า, ตู้เสื้อผ้า, โซฟา, ชั้นวางทีวี, เตียง, ชุดโต๊ะกินข้าว, เคาน์เตอร์ครัวพร้อม Hob & Hood, ตู้แขวนในห้องน้ำ, สุขภัณฑ์, ฉากกั้นอาบน้ำ และเครื่องปรับอากาศ   1 Bedroom 30 ตร.ม. ถึงจะเป็นห้องขนาดเริ่มต้น แต่ก็ไม่ได้เล็กเลยสำหรับการอยู่อาศัยในคอนโดปัจจุบัน ซึ่งการวาง Layout ห้องก็ออกแบบมาให้เป็นสัดส่วน มีฟังก์ชันการใช้งานแต่ละพื้นที่ได้อย่างลงตัว แยกพื้นที่Living  และห้องนอน ไว้ในโซนฝั่งเดียวกัน บริเวณห้องนอนได้เป็นกระจกเข้ามุมเปิดรับแสงและวิวจากในห้องนอนได้มากขึ้น ในขณะที่ห้องครัวเป็นครัวปิดติดระเบียงเหมาะสำหรับคนชอบทำครัว เพราะช่วงเรื่องระบายกลิ่นได้ดี     1 Bedroom Plus 34.9 ตร.ม. เป็นห้องที่มีการแบ่งพื้นที่ใช้งานได้เป็นสัดส่วนชัดเจนมากขึ้น ห้องนอนและห้องนั่งเล่นกว้างขวางและสามารถเชื่อต่อเข้าหากันด้วยกระจกบานเลื่อนขนาดใหญ่  พร้อมห้องอเนกประสงค์ที่คุณสามารถเลือกใช้ได้ตามไลฟ์สไตล์ที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นห้องทำงาน ห้องนอนเล็ก หรือห้องอ่านหนังสือ พิเศษด้วยห้องน้ำแบบ 3 ฟังก์ชัน ที่ออกแบบตามการใช้งาน แก้ปัญหาการแย่งกันใช้ห้องน้ำในเวลาเร่งรีบ     2 Bedroom 50 ตร.ม. ห้องขนาดใหญ่สุดในโครงการเหมาะกับการอยู่อาศัยแบบครอบครัว โดดเด่นด้วยพื้นที่ครัวปิด ที่สามารถทำอาหารได้โดยไม่ต้องกลัวกลิ่นรบกวน Layout ห้องแบ่งห้องนอนไว้ออกเป็น 2 ด้านโดยมี Living Area อยู่ตรงกลาง เพื่อเพิ่มความเป็นส่วนตัวให้แต่ละห้อง รวมถึงขนาดห้องที่กว้างมาพอให้แต่ละห้องสามารถวางเตียงขนาดใหญ่ได้สบายๆ รวมถึงในห้องนอนใหญ่ยังได้พื้นที่สำหรับทำ Walk in Closet เพิ่มด้วย นอกจากนี้ยังได้ห้องน้ำแบบ 3 ฟังก์ชันอีกเช่นเดียวกัน  และด้วยการออกแบบที่ให้เฟอร์นิเจอร์พร้อมฟังก์ชันการใช้งานที่สามารถตอบโจทย์ชีวิตประจำวันได้รอบด้าน ห้องนี้จึงเป็นอีกแบบห้องที่คุ้มค่าและอยากแนะนำ     บริษัท เสนา นับว่าเป็นดีเวลลอปเปอร์รายแรกๆ ที่เข้ามาบุกตลาดอสังหาริมทรัพย์ในทำเลบางนา ซึ่งนับว่า Niche Mono Mega Space Bangna เป็นคอนโดมิเนียม High Rise รายแรกและรายเดียวที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่แล้วในปัจจุบัน แถมที่ตั้งของโครงการยังสะดวกในการเดินทางขึ้นทางด่วนกาญจนาภิเษก เข้าเมืองหรือไปที่ต่างๆ ของกรุงเทพก็ไม่ยาก บริเวณรอบๆ ยังแวดล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน ประกอบกับการแนวคิดในการออกแบบโครงการที่ให้ความสำคัญทั้งในเรื่องของการพักผ่อนที่ต้องการให้ผู้อยู่อาศัยได้ผ่อนคลายไปกับช่วงเวลาพักผ่อนได้อย่างแท้จริง อีกทั้งก็ตอบโจทย์ชีวิตแบบคนเมืองได้หลากสไตล์ในราคาเริ่มต้น 2.49 ล้าน* ซึ่งจัดว่าเป็นราคาที่จับต้องได้ไม่ยาก เมื่อเทียบกับโครงการอื่นๆ ในระแวกเดียวกันแล้ว ถือว่ามีราคาต่อตารางเมตรที่ถูกกว่า และได้ห้องที่ใหญ่กว่า   สำหรับใครที่สนใจ และกำลังต้องการเป็นเจ้าของคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่บนทำเลศักยภาพอย่างบางนา ไม่ควรมองข้ามโครงการ Niche Mono Mega Space Bangna และสามารถเข้าไปเยี่ยมชมบรรยากาศของโครงการจริงได้แล้ว พร้อมรับข้อเสนอสุดพิเศษ จอง 2,999 บาท* ฟรีค่าใช้จ่ายวันโอน* ทุกยูนิต กันไปเลย ลงทะเบียน https://bit.ly/3vaKwxL  หรือนัดหมายได้ที่  1775 กด 65   บทความที่เกี่ยวข้อง รีวิวห้องตัวอย่างโครงการ นิช โมโน เมกะ สเปซ บางนา ทุกพื้นที่สำหรับคุณ  
[PR News] LPN เปิดตัวโครงการใหม่ 1,200 ล้าน   “ลุมพินี เพลส แจ้งวัฒนะ – ปากเกร็ด สเตชั่น”

[PR News] LPN เปิดตัวโครงการใหม่ 1,200 ล้าน “ลุมพินี เพลส แจ้งวัฒนะ – ปากเกร็ด สเตชั่น”

ลุมพินี เพลส แจ้งวัฒนะ LPN เดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่ มูลค่า 1,200 ล้านบาท “ลุมพินี เพลส แจ้งวัฒนะ - ปากเกร็ด สเตชั่น” คอนโดมิเนียม High-Rise แห่งใหม่ บนถนนแจ้งวัฒนะ           นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) เปิดเผยว่า LPN ได้เริ่มเปิดตัวคอนโดมิเนียมโครงการใหม่บนถนนแจ้งวัฒนะ ในชื่อ “ลุมพินี เพลส แจ้งวัฒนะ - ปากเกร็ด สเตชั่น”  มูลค่าโครงการ 1,200 ล้านบาท เป็นโครงการแบบ High-Rise สูง 26 ชั้น จำนวนรวม  536 ยูนิต ตั้งอยู่บนทำเลใกล้ห้างเซ็นทรัลแจ้งวัฒนะ และสถานีรถไฟฟ้าสายสีชมพู แจ้งวัฒนะ-ปากเกร็ด 28 เพียง 300 เมตร โดยห้องชุดออกแบบสไตล์ Modern Luxury ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ด้วยห้องพักอาศัย 3 แบบ แบบสตูดิโอ ขนาด 23.50-24 ตร.ม. แบบ 1 ห้องนอน ขนาด 28-28.50 ตร.ม. และแบบ 1 ห้องนอน พลัส ขนาด 34-35 ตร.ม. ในราคาเริ่มต้นที่ 2 ล้านบาท โดยจะเริ่มก่อสร้างในเดือน มิถุนายนนี้ และคาดว่าแล้วเสร็จในเดือน กุมภาพันธ์​ 2567 จากข้อมูลของ LPN พบว่า คอนโดบนทำเลแจ้งวัฒนะที่เปิดขายมาตั้งแต่ปี 2560-2565 เหลืออยู่ประมาณ 2,375 ยูนิตเท่านั้น     ทั้งนี้ LPN ได้วางกระบวนการพัฒนาที่อยู่อาศัยภายใต้แนวคิด “น่าอยู่” (LIVABLE) โดยตั้งเป้าการพัฒนาให้แบรนด์ “เพลส” คือ คอนโด ที่น่าอยู่ ผ่านการคิด ออกแบบและพัฒนาโครงการ ให้น่าอยู่ในทุกมิติ สามารถปรับพื้นที่การอยู่อาศัย การทำงาน และการใช้ชีวิตส่วนตัวให้น่าอยู่ภายใต้ข้อจำกัดของการใช้ชีวิตยุคใหม่ เพื่อตอบสนองกลุ่มเป้าหมายรุ่นใหม่ ภายใต้จุดยืน 3 องค์ประกอบดังนี้ LIVABLE DESIGN การออกแบบที่น่าอยู่ ในการนำเสนอการออกแบบห้องที่เน้นฟังก์ชันที่ปรับเปลี่ยนได้ เพิ่มความเป็นสัดส่วนแต่คงความเป็นส่วนตัว ตอบรูปแบบการใช้ชีวิตของลูกค้าได้มากขึ้น   LIVABLE PLACE การออกแบบส่วนกลางที่ตอบทุกมิติการใช้ชีวิต ทั้งไลฟ์สไตล์และการทำงาน ที่ลงตัวกับการพักผ่อนและมุมแอคทีฟไปพร้อมๆ กัน   LIVABLE LIFE พร้อมส่งมอบชีวิตน่าอยู่ บนทำเลที่น่าอยู่ พร้อมบริการครบครัน เพื่อที่คุณลูกค้าจะได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในทุกด้าน
ศุภาลัย  กวาดยอดขายไตรมาสแรก 8,852 ล้าน โตสวนกระแสสร้างพรีเซลแนวราบนิวไฮด์  

ศุภาลัย กวาดยอดขายไตรมาสแรก 8,852 ล้าน โตสวนกระแสสร้างพรีเซลแนวราบนิวไฮด์  

ศุภาลัย ศุภาลัย กวาดยอดขายไตรมาสแรก 8,852 ล้าน โตสวนกระแส สร้างพรีเซลแนวราบนิวไฮด์ สูงกว่า 39% พร้อมเดินหน้าเปิด 7 โครงการ มูลค่า​ 9,700 ล้าน ดัน​ยอดขายทะลุเป้า 28,000 ล้าน และเป้ารายได้ 29,000   นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2565 ที่ผ่านมาศุภาลัยมียอดขายรวม​ 8,852 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% เมื่อเทียบกับยอดขายรวม Q1/2564 อยู่ที่ 7,229 ล้านบาท โดยสามารถทำยอดขายสินค้าแนวราบในกลุ่มสินค้าบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม ทั้งกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัดมากถึง 6,328 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ที่ผ่านมา   สำหรับทำเลยอดนิยมที่สร้างยอดขายในกลุ่มสินค้าแนวราบได้มากเป็นอับดับต้น ๆ คือ พื้นที่จังหวัดกรุงเทพฯ โซนเหนือและตะวันออก รวมถึงในจังหวัดชลบุรี ระยอง และภูเก็ต  ขณะที่สินค้ากลุ่มคอนโดมิเนียม บริษัทสามารถทำยอดขายในโครงการที่เปิดใหม่และสร้างเสร็จพร้อมอยู่ได้มูลค่าที่ 2,524 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 55% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 และเพิ่มขึ้น 28% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ที่ผ่านมา   นายไตรเตชะ กล่าวว่า ไตรมาสแรก ที่ผ่านมาศุภาลัยได้สร้างยอดขายที่มีตัวเลขเติบโตอย่างแข็งแกร่ง  ด้วยปัจจัยบวกจากการพัฒนาด้านกลยุทธ์การขาย เพิ่มสินค้าใหม่และสร้างความแตกต่าง การบริหารจัดการให้มีสินค้าพร้อมขาย รวมถึงการโอนกรรมสิทธิ์อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังมีปัจจัยเรื่องความต้องการที่อยู่อาศัยในทุกระดับราคาของลูกค้าที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะตลาดระดับกลาง ราคา 4 - 6 ล้านบาท และตลาดระดับบนขึ้นไปยังคงได้รับการตอบรับที่ดี สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นและกำลังซื้อของลูกค้าเริ่มฟื้นตัว ตั้งแต่ครึ่งปีหลัง 2564 ต่อเนื่องมาถึงไตรมาสแรก ปี 2565 นับเป็นการเติบโตที่ยอดเยี่ยมในทุกกลุ่มที่อยู่อาศัย  ช่วง 3 เดือนแรก บริษัทได้เปิดตัวโครงการใหม่แล้ว ทั้งหมด 6 โครงการ ในพื้นที่กรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ซึ่งเป็นโครงการแนวราบ 5 โครงการ และโครงการคอนโดมิเนียม 1 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 11,010 ล้านบาท ในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2565 ศุภาลัยยังเตรียมเดินหน้าพัฒนาโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง ทั้งจังหวัดกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัดรวม 7 โครงการ มูลค่า 9,700 ล้านบาท ซึ่งจากยอดขายสินค้าแนวราบที่ดีในช่วงไตรมาสแรก จึงมีแผนโฟกัสเปิดตัวโครงการแนวราบมากขึ้นถึง 6 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 8,700 ล้านบาท พร้อมไฮไลท์ที่น่าสนใจเปิดตัวโครงการแนวราบแบรนด์ใหม่ระดับ Luxury และโครงการคอนโดมิเนียม ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้า Gen Y ในทำเลย่านฝั่งธนฯ จำนวน 1 โครงการ มูลค่าประมาณ 1,000 ล้านบาท นอกจากนี้ ศุภาลัยยังมีโครงการคอนโดสร้างเสร็จใหม่ 7 โครงการ จะสามารถทยอยโอนกรรมสิทธิ์ได้ตามแผน  ซึ่งจะช่วยผลักดันให้ปีนี้สามารถทำยอดขายได้ 28,000 ล้านบาท และรายได้ 29,000 ล้านบาทได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ ​และอาจจะสูงเกินจากเป้าหมายที่วางไว้ด้วย   สำหรับภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในไตรมาส 2 และช่วงครึ่งปีหลัง 2565 มองว่าเศรษฐกิจโดยรวมน่าจะเติบโตและมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ทั้งในด้านดีมานด์กลุ่มลูกค้ายังคงมีความต้องการที่อยู่อาศัยต่อเนื่อง มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ ของภาครัฐ อัตราดอกเบี้ยสินเชื่ออยู่ในระดับต่ำ รวมถึงซัพพลายการเปิดตัวของสินค้าใหม่แนวราบยังคงเป็นตลาดที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก ส่วนคอนโดพร้อมอยู่ในกรุงเทพฯ และหัวเมืองท่องเที่ยวในต่างจังหวัด ยังเป็นสินค้าที่ตอบโจทย์ลูกค้าตลาดระดับกลางถึงบน พร้อมอัดแคมเปญและโปรโมชันที่น่าสนใจให้เข้าถึงลูกค้าที่มีกำลังซื้อที่อยู่อาศัยกันอย่างคึกคัก   ปี 2565 ยังเป็นปีที่ท้าทายและเป็นปีที่ดีต่อเนื่อง ศุภาลัยยังคงเดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่ตามแผนงานที่วางไว้ พร้อมปรับตัวก้าวผ่านทุกสถานการณ์ รวมทั้งสร้างสรรค์สินค้าและนวัตกรรมต่างๆ การบริการอย่างครบวงจร เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าต่อไป   ข่าวที่เกี่ยวข้อง -ศุภาลัย ทุบสถิติปี 64 New High Record ทำรายได้ – กำไร สูงสุดในรอบ 3 ทศวรรษ
3 วิธีซื้อคอนโด หลังแรก และ เทคนิคเก็บเงิน สำหรับเด็กจบใหม่

3 วิธีซื้อคอนโด หลังแรก และ เทคนิคเก็บเงิน สำหรับเด็กจบใหม่

วิธีซื้อคอนโด สิ่งหนึ่งที่เป็นความฝันของทุก ๆ คน คือ การมีบ้านหรือคอนโดมิเนียมเป็นของตนเอง แต่การจะซื้อบ้านหรือคอนโดสักห้อง คงต้องใช้ระยะเวลาพอสมควรในการจะเก็บเงิน เพื่อใช้ในการดาวน์และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ และคงต้องมีอายุการทำงานมาระยะหนึ่ง เพื่อให้มีคุณสมบัติเพียงพอจะขอกู้เงินกับธนาคารด้วย คุณสมบัติและเงื่อนไขเหล่านี้ อาจจะเป็นปัญหาสำหรับเด็กจบใหม่ กลุ่ม First Jobber หรือคนที่เพิ่งจะเริ่มต้นทำงานได้ไม่นาน อาจจะขอกู้เงินกับธนาคารไม่ได้ หรืออาจจะกู้ได้แต่ได้รับการอนุมัติวงเงินไม่เพียงพอที่จะซื้อที่อยู่อาศัยที่อยากได้ ​​ซึ่งเรามีเทคนิคในการเลือกซื้อคอนโดหลังแรก สำหรับเด็กใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นทำงาน เพราะคนรุ่นใหม่นิยมจะเลือกซื้อเป็นบ้านหลังแรก และเป็นที่อยู่อาศัยที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ รวมถึงกำลังซื้อของคนกลุ่มนี้ 3 วิธีซื้อคอนโด หลังแรก สิ่งที่ต้องพิจารณาเพื่อเลือกซื้อคอนโด ให้ตอบโจทย์และตรงใจกลุ่มคนรุ่นใหม่ กลุ่มคนเพิ่งเริ่มต้นทำงานมากที่สุด มี วิธีซื้อคอนโด ดังนี้ 1.หาตัวเลือกคอนโดที่ใช่ วิธีสิ่งที่ควรพิจารณาเป็นอันดับต้นๆ คือ ทำเล ควรเป็นโครงการที่อยู่ในโซนไม่ไกลจากที่ทำงาน หรือสามารถเดินทางได้สะดวก หากเป็นทำเลที่มีแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกในอนาคต ก็จะเป็นโครงการที่มีแนวโน้มที่จะมีมูลค่าที่สูงขึ้นและมีความต้องการซื้อที่เพิ่มขึ้น ทำให้เราสามารถขายต่อหรือปล่อยเช่าในอนาคตได้ง่ายหากมีเหตุจำเป็น   การเปรียบเทียบระหว่างการซื้อคอนโดมือ 1 และมือ 2 ก็เป็นสิ่งที่สำคัญ โดยข้อดีของคอนโดมือ 1 คือ ความใหม่และทันสมัย รวมไปถึงส่วนกลางต่าง ๆ ของคอนโด ที่ยังไม่ค่อยเสื่อมสภาพ เพราะเพิ่งสร้างเสร็จใหม่ ๆ นั่นเอง อีกทั้งมีตัวเลือกที่หลากหลายกว่า โดยเฉพาะตามแนวรถไฟฟ้า ซึ่งมีโครงการเปิดใหม่เป็นจำนวนมาก ทั้งที่กำลังสร้างอยู่และสร้างเสร็จแล้ว แต่ข้อเสีย คือ ราคาขายต่อตารางเมตรที่ค่อนข้างแพงกว่าคอนโดมือ 2 และหากเราเลือกโครงการที่กำลังสร้างอยู่ เราก็จะยังไม่เห็นห้องจริง วิวจริง นอกจากนี้คอนโดมือ 1 ก็อาจจะมีค่าส่วนกลางที่แพงกว่า   ส่วนข้อดีของคอนโดมือ 2 คือ ราคาถูก ประหยัดงบ และอาจได้ของดีอย่างคาดไม่ถึง หากเลือกให้ดี เราอาจได้ทำเลดีๆ พร้อมราคาเบาๆ ก็ได้ จึงเหมาะกับคนที่มีภาระหน้าที่ หรือเงินอาจจะไม่มากมายนัก แต่ข้อเสีย คือ ความเก่า ซึ่งหากตรวจสอบไม่ดี ก็อาจจะมีปัญหาตามมาอีกมากมาย ก็ลองเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียให้ดี 2.วางแผนการเงิน วิธีซื้อคอนโด สิ่งที่ต้องเตรียมตัว เตรียมใจก่อนจะซื้อคอนโดคือการคำนวณ “ความสามารถในการกู้” ของตนเอง ซึ่งเราสามารถคำนวณได้ผ่านโปรแกรมการคำนวณสินเชื่อของธนาคารต่าง  ๆ ตามเว็บไซต์ของธนาคาร ซึ่งมีอยู่หลากหลาย อาทิ  HOME.SCB | ธนาคารไทยพาณิชย์ คำนวณสินเชื่อ จะทำให้เรารู้ว่าวงเงินกู้เท่านี้ ต้องมีรายได้ต่อเดือน และยอดผ่อนชำระต่อเดือนเท่าไหร่ หรือถ้าเรามีเงินเดือนเท่านี้ เราจะได้วงเงินกู้เท่าไหร่ และต้องผ่อนชำระต่อเดือนเท่าไหร่ เช่น หากเรามีเงินเดือน 20,000 บาท อัตราดอกเบี้ย 5% ต่อปี ระยะเวลาผ่อน 30 ปี จากโปรแกรมคำนวณข้างต้น เราจะได้วงเงินกู้อยู่ที่ประมาณ 1.3 ล้านบาท และยอดผ่อนชำระต่อเดือนจะอยู่ 7,000 บาท ก็จะทำให้เราสามารถประเมินความสามารถในการกู้และการผ่อนชำระในเบื้องต้นได้   เงื่อนไขการได้รับสินเชื่ออาจจะแตกต่างไปจากการคำนวณเบื้องต้นได้ ขึ้นอยู่กับอัตราดอกเบี้ย ณ ช่วงเวลานั้น รวมไปถึงธนาคารอาจพิจารณาภาระหนี้สินต่าง ๆ ของผู้กู้ประกอบด้วย เพราะยอดผ่อนต่อเดือนสูงสุดไม่ควรเกิน 40% ของรายได้ เช่น หากเรามีกู้เงินเพื่อซื้อรถไปก่อนแล้ว เมื่อรวมยอดผ่อนรถและผ่อนคอนโดแล้วหากเกิน 40% ของรายได้ วงเงินในการกู้คอนโดของเราอาจได้ไม่เต็มจำนวน   ดังนั้นก่อนตัดสินใจซื้อคอนโด ต้องไม่ลืมพิจารณาฐานะการเงิน และความสามารถในการผ่อนชำระให้รอบคอบก่อน อย่ากู้จนเกินตัว หรือซื้อคอนโดในมูลค่าที่สูงเกินกว่าเราจะผ่อนไหว เพราะในท้ายที่สุด หากเกิดเหตุสะดุดทางการเงินขึ้นมา คอนโดนี้ก็จะกลายเป็นภาระที่หนักอึ้งให้เราก็เป็นได้   หากเป็นคอนโดที่ยังสร้างไม่เสร็จ ต้องมีการเตรียมเงินดาวน์ไว้ด้วย โดยปกติเงินดาวน์จะอยู่ที่ 10% – 30% ของราคาขาย และยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าใช้จ่ายในวันโอนกรรมสิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นค่าธรรมเนียมการจดจำนอง 1% ของวงเงินกู้ ค่าธรรมเนียมการโอน 2% ของราคาประเมินของกรมที่ดิน (ส่วนใหญ่ผู้ซื้อกับโครงการจะแบ่งจ่ายคนละครึ่งหรือ 1%) ค่าอากร จำนวน 0.05% ของวงเงินกู้ รวมไปถึงค่าธรรมเนียมอื่นๆ ตามระเบียบของกรมที่ดิน และยังมีค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายให้กับโครงการด้วย เช่น เงินกองทุนสำรองส่วนกลาง ค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย ค่าส่วนกลางรายปี เป็นต้น   นอกจากนี้ยังต้องเตรียมเงินไว้สำหรับตบแต่งห้องและซื้อเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ อีกด้วย ซึ่งจะเห็นว่ากว่าจะเป็นเจ้าของคอนโดสักห้องนึงนั้น ต้องเตรียมการและมีการวางแผนการเงินมาเป็นอย่างดีเลยทีเดียว 3.ซื้อจากผู้ขายที่น่าเชื่อถือ วิธีซื้อคอนโด การศึกษาข้อมูลโครงการก็เป็นเรื่องที่สำคัญมาก หากซื้อคอนโดมือ 1 เราต้องพิจารณาความน่าเชื่อถือของดีเวลล็อปเปอร์ ความเหมาะสมของราคาและคุณภาพ ความคืบหน้างานก่อสร้าง หรือหากเป็นโครงการที่สร้างเสร็จแล้วก็ต้องดูเรื่องการบริหารโครงการว่ามีสภาพแวดล้อมเป็นอย่างไร มีการจัดการที่ดีหรือไม่ ความเป็นอยู่ในโครงการเป็นอย่างไร หรือขอคำแนะนำจากที่ปรึกษาอสังหาฯ หรือใช้นายหน้ามืออาชีพที่เชื่อถือได้   หากเป็นการซื้อคอนโดมือ 2 เราต้องเข้าไปดูสภาพห้อง ทำเล เพื่อนบ้าน สภาพแวดล้อมของคอนโด รวมไปถึงการบริหารของนิติบุคคลด้วยตัวเอง อาจใช้บริการผ่านนายหน้ามืออาชีพที่น่าเชื่อถือ จะช่วยลดความเสี่ยงและช่วยให้การซื้อคอนโดดำเนินไปอย่างราบรื่นและสะดวกขึ้น เพราะมีตัวกลางที่คอยให้คำแนะนำและประสานจัดการเรื่องเอกสาร การติดต่อหน่วยงาน ต่างๆ รวมไปถึงการจ่ายเงิน และการดำเนินการในวันโอนให้ด้วย   แม้ First Jobber จะเพิ่งเริ่มทำงานมีเงินเดือน แต่หากมีการวางแผนการการเงินที่ดีและรัดกุม มีที่ปรึกษาที่เชี่ยวชาญ และมีการศึกษาหาข้อมูลที่มากพอ ก็จะทำให้การซื้อคอนโดหลังแรกเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น หากได้คอนโดที่ดี สอดคล้องกับสถานะทางการเงินของเรา ย่อมช่วยสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีได้ ทั้งในแง่การประหยัดเวลาไปทำงาน การใช้ชีวิตที่สะดวกสบายมากขึ้น และไม่เป็นภาระทางการเงินจนมากเกินไป และในท้ายที่สุดการซื้อคอนโดนี้ก็จะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เพราะเราสามารถปล่อยเช่า หรือขายต่อได้ในอนาคต 10 ขั้นตอนเก็บเงินซื้อคอนโด นอกจาก 3 วิธีเลือกซื้อคอนโดหลังแรก ที่คนเพิ่งเริ่มต้นทำงานต้องใช้พิจารณาประกอบการตัดสินใจแล้ว สิ่งสำคัญต่อมาก็คงเป็น การหาเงินมาซื้อคอนโด ซึ่งเรามีเทคนิคการเก็บเงินมาแนะนำ ถ้าหากทำตามทั้ง 10 ขั้นตอนนี้ รับรองว่าจะมีเงินก้อนมาซื้อคอนโดแน่นอน 1.เลือกซื้อคอนโดในราคาที่เหมาะสมกับรายได้ ราคาของคอนโด ที่เลือกซื้อต้องมีความเหมาะสมกับรายได้หรือฐานเงินเดือน เนื่องจากจะส่งผลต่อการตั้งงบในการเก็บเงิน และค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่ตามมา 2.คำนวณเงินก้อนแรกที่ต้องเก็บในการซื้อคอนโด การซื้อคอนโดแบบผ่อนกับธนาคาร​ จะมีค่าใช้จ่ายก้อนแรกที่ต้องเตรียมเป็นเงินสดเอาไว้ก่อน ดังนี้ -ค่าจองยูนิตที่ต้องการ อยู่ที่ประมาณ​ 5,000-50,000 บาท ขึ้นอยู่กับราคาของโครงการคอนโดที่เลือก -ค่าทำสัญญา อยู่ที่ประมาณ 30,000-100,000 บาท ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขหรือโปรโมชั่นตามที่โครงการกำหนด -เงินดาวน์ หรือค่าผ่อนดาวน์ในกรณีที่โครงการอยู่ในระหว่างก่อสร้าง หากคิดรวมกับค่าจอง ค่าทำสัญญา และค่าผ่อนดาวน์ จะต้องไม่น้อยกว่า 10% ของราคาห้อง -ค่าใช้จ่าย ณ วันโอน ได้แก่ ค่าโอนกรรมสิทธิ์ 2%, ค่ากองทุนส่วนกลาง ประมาณ 500 บาทต่อตารางเมตร, ค่าอากรแสตมป์ 0.05% ของวงเงินกู้, ค่าจดจำนอง 1% หากวงเงินเกิน 3 ล้านบาท หรือ 0.01% หากวงเงินไม่เกิน 3 ล้าน, ค่าประเมินราคา ขึ้นอยู่กับธนาคาร เป็นต้น ซึ่งบางโครงการคอนโดอาจมีโปรโมชันฟรีทุกค่าใช้จ่าย หรือราคาปรับลดลงตามประกาศโครงการของรัฐบาล 3.ตั้งเป้าหมายและทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย เพื่อให้ได้เงินก้อนแรก  ขั้นตอนต่อไปก็จะเป็น การตั้งเป้าหมายเก็บเงินซื้อคอนโด  โดยการตั้งเป้าหมายของการเก็บเงินซื้อคอนโด จะต้องรู้ก่อนว่าจำนวนเงินที่โดยประมาณที่ต้องเก็บมีจำนวนเท่าไร  เช่น ต้องเก็บเงินก้อนแรก 410,000 บาท โดยมีรายได้เดือนละ 35,000 บาท แบ่งเก็บเดือนละ 40% (ตกเดือนละ 14,000 บาท) จะใช้เวลาประมาณ 30 เดือน จะได้เงินก้อนแรกสำหรับซื้อคอนโด 4.แยกบัญชีใช้จ่ายและบัญชีสำหรับเก็บเงินซื้อคอนโด การเปิดบัญชีใหม่สำหรับเก็บเงินโดยเฉพาะ จะช่วยสร้างวินัยในการใช้เงินได้มากขึ้น และเก็บเอาไว้อย่างปลอดภัยไม่ให้นำออกมาใช้จ่ายอย่างไม่จำเป็น จนทำให้แผนการเก็บเงินซื้อคอนโดต้องเลื่อนระยะเวลาออกไปจากที่ตั้งเป้าไว้  โดยบัญชีที่ใช้เก็บเงินควรเป็นบัญชีเงินฝากที่ให้ดอกเบี้ยสูง จะช่วยให้คุณได้รับความคุ้มค่าในการฝากเงินได้มากยิ่งขึ้น 5.ปรับลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออก ในการเก็บเงินก้อนใหญ่ ให้สังเกตดูว่าในแต่ละเดือน มีค่าใช้จ่ายอะไรบ้างที่ดูแล้วไม่มีความจำเป็น หรือเป็นสิ่งที่อาจไม่ต้องจ่ายทุกเดือนก็ได้ ซึ่งหากว่าคุณสามารถปรับเปลี่ยน ปรับลดค่าใช้จ่ายเหล่านี้ออกไปได้ ก็จะช่วยให้การเงินในแต่ละเดือนมีสภาพคล่องที่ดีได้ 6.จัดการหนี้สินเก่าให้ได้มากที่สุด ระหว่างที่เก็บเงินซื้อคอนโด ควรแบ่งเงินส่วนหนึ่งออกไปจัดการหนี้สินเก่าให้หมดด้วย เนื่องจากการมีหนี้สินค้างชำระหรือติดแบล็คลิสต์อยู่ จะส่งผลต่อการขอสินเชื่อเพื่อซื้อคอนโดที่อาจได้รับการอนุมัติวงเงินน้อยลง หรือไม่ผ่านการอนุมัติได้  และนอกจากการจัดการหนี้เดิมแล้ว ก็ต้องพยายามไม่สร้างหนี้ใหม่เพิ่มเติม เพราะอาจต้องนำเงินสดที่ได้มาจ่ายหนี้ไปเรื่อย ๆ จนทำให้การเก็บเงินล่าช้าไปจากที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้ 7.สร้างเครดิตทางการเงินให้ดี หากมีบัตรเครดิตแล้วใช้งานในระหว่างที่เก็บเงินซื้อคอนโดอยู่ ให้สร้างวินัยทางการเงินที่ดีด้วยการชำระยอดการใช้งานบัตรเครดิตให้ตรงเวลา หรือเลือกให้ตัดยอดการใช้งานจากบัญชีอัตโนมัติก็ได้  วิธีนี้จะช่วยสร้างเครดิตทางการเงิน ให้คุณมีประวัติการชำระหนี้ดีบนฐานข้อมูลของบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด ซึ่งมีผลต่อการอนุมัติเชื่อเพื่อซื้อคอนโดในอนาคตด้วย 8.หาวิธีสร้างผลตอบแทนจากการออมเงินให้มากขึ้น เมื่อเก็บเงินไว้ได้ในระยะหนึ่งแล้ว จะทำให้คุณมีเงินก้อนที่สามารถนำไปต่อยอดเพื่อสร้างผลตอบแทนได้ ด้วยการนำไป ลงทุนในระยะสั้นแบบ 0-3 ปี ที่สามารถรักษาสภาพคล่องทางเงินและรักษาเงินต้นได้ เช่น กองทุนรวม ตราสารหนี้ เป็นต้น  แต่ในการลงทุนก็ต้องศึกษาเงื่อนไขอย่างละเอียด ดูความเสี่ยงที่รับได้ และผลตอบแทนที่จะได้รับให้ดีก่อน 9.หาวิธีสร้างรายได้จากช่องทางอื่น หากว่าใครต้องการเก็บเงินซื้อคอนโดให้รวดเร็วยิ่งขึ้น การหารายได้เสริมจากช่องทางอื่น ก็อาจเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยให้การเก็บเงินซื้อคอนโด สามารถลดระยะเวลาไปจากเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้  ด้วยการมองหาช่องทางที่คิดว่ามีโอกาสทำเงิน เช่น รับของมาขาย ทำสินค้าขาย ขายอาหาร เป็นต้น โดยเริ่มจากการลงทุนน้อยๆ ก่อนเพื่อดูความต้องการของตลาด และลู่ทางที่จะทำกำไรได้  หรือใช้ทักษะการทำงานที่มีอยู่เพิ่มรายได้ด้วยการรับงานฟรีแลนซ์ ที่สามารถเลือกทำในวันหยุดหรือในเวลาว่างก็ได้เช่นกัน 10.เลือกสินเชื่อเพื่อซื้อคอนโดที่ตอบโจทย์ เมื่อผ่านขั้นตอนการเก็บเงินซื้อคอนโดมาครบทุกข้อ และสามารถจ่ายเงินก้อนแรกในการซื้อคอนโดได้แล้ว ขั้นตอนสุดท้ายก่อนการเป็นเจ้าของห้องชุด นั่นคือ การขอสินเชื่อกับธนาคาร ที่ตอบโจทย์ทางการเงินของคุณ โดยเลือกดูจาก -วงเงินสินเชื่อที่ได้รับการอนุมัติ -อัตราดอกเบี้ยที่คุ้มค่า -ระยะเวลาในการผ่อนชำระที่เหมาะสม -โครงการสินเชื่อที่ตรงกับคุณสมบัติของผู้ขอสินเชื่อ หากเลือกได้เหมาะสมและคุ้มค่าที่สุด ก็จะช่วยให้คุณสามารถวางแผนค่าใช้จ่ายต่อเดือนที่คล่องตัวมากยิ่งขึ้น รวมถึงมีเงินเหลือใช้สำหรับค่าใช้จ่ายอื่นๆ มากยิ่งขึ้นอีกด้วย   ทั้งหมดนี้ ก็เป็นวิธีซื้อคอนโด และเทคนิคในการเก็บเงิน ซึ่งหากทำตามคำแนะนำทั้งหมดนี้ เชื่อว่าทุกคนจะสามารถซื้อคอนโดได้ตามที่ใจต้องการได้อย่างแน่นอน   CR : นิภาพันธ์ พูนเสถียรทรัพย์ CFP®, ACC นักวางแผนการเงินอิสระ นักเขียนและวิทยากร  SCB, ธอส.   บทความน่าสนใจ -6 ข้อกฎหมายพื้นฐานควรรู้ ถ้าคิดจะซื้อคอนโด -ทางเลือกซื้อคอนโด สำหรับคนงบน้อย -ซื้อคอนโด มีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง?
อัปเดตดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ บ้านและคอนโด เมษายน 65

อัปเดตดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ บ้านและคอนโด เมษายน 65

อัพเดทดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ แม้ว่าช่วงต้นเดือนเมษายนของปีนี้ อากาศจะไม่ร้อนมากนัก แถมบางวันออกจะเย็นด้วยซ้ำ แต่ขึ้นชื่อว่าเดือนเมษายน อากาศยังไงก็น่าจะร้อนสุดของปีอยู่แล้ว แต่หากใครรู้สึกร้อนใจกว่าอากาศ โดยเฉพาะเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ที่อาจจะรู้สึกว่ามีภาระค่าใช้จ่ายหลายอย่าง ที่สำคัญการผ่อนบ้านหรือคอนโดมิเนียม ซึ่งแต่ละเดือนอาจจะต้องเสียดอกค่อนข้างมาก หรือผ่อนต่อเดือนค่อนข้างเยอะ วิธีการหนึ่งที่น่าจะเป็นทางออกที่ดีช่วงแบ่งเบา  คือ การรีไฟแนนซ์บ้านหรือคอนโด เพื่อหาอัตราดอกเบี้ยที่ถูกลง หรืออาจจะขอวงเงินเพิ่มเติม มาใช้จับจ่ายใช้สอยในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวอย่างนี้   ใครที่คุณสมบัติครบตามหลักเกณฑ์ของธนาคาร และมีความสามารถในการผ่อนชำระ แล้วอยากจะลองรีไฟแนนซ์บ้านหรือคอนโด ก็ต้องเลือกธนาคารที่ให้ดอกเบี้ยถูกลง ซึ่ง Reviewyourliving ได้รวบรวมและอัพเดทดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้านและคอนโด ของเดือนเมษายน 2565 เอาไว้ให้แล้ว โดยภาพรวมส่วนใหญ่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในภาวะทรงตัว ไม่ได้เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าเท่าไรนัก แล้วธนาคารไหนให้อัตราดอกเบี้ยเท่าไร ไปดูกัน อัปเดตดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ บ้านและคอนโด 1.ธนาคารกรุงเทพ สำหรับการธนาคารกรุงเทพ  มีสินเชื่อบ้านบัวหลวง ที่ให้บริการรีไฟแนนซ์บ้าน  กรณีหลักทรัพย์เป็นที่อยู่อาศัยทั่วไป เฉพาะวงเงินอนุมัติตั้งแต่ 2 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งอัตราดอกเบี้ยของเดือนเมษายน 2565 ​นี้  ไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา โดยมีอัตราดอกเบี้ยให้เลือกด้วยกัน 3 ทางเลือก  ได้แก่ ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 กรณีทำประกัน Home 1st Plus ดอกเบี้ย 2.00% กรณีไม่ทำประกัน  อัตราดอกเบี้ย 2.25% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 2.95% (MRR-3.00%) หลังจากนั้น 4.45% ​(MRR-1.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.13-3.22% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 3.66-3.72% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 กรณีทำประกัน Home 1st Plus ดอกเบี้ย 2.325% (MRR-3.625%)  กรณีไม่ทำประกัน ดอกเบี้ย 2.575% (MRR-3.375%) ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 2.575% (MRR-3.375%) หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย  4.45% (MRR-1.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.12-3.20% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 3.66-3.72% ทางเลือกที่ 3 ฟรีค่าจดจำนอง ปีที่ 1 กรณีทำประกัน Home 1st Plus ดอกเบี้ย 2.825% (MRR-3.125%) กรณีไม่ทำประกัน ดอกเบี้ย  3.075% (MRR-2.875%) ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 3.075% (MRR-2.875%) หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย 4.45%  (MRR-1.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.45-3.53% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 3.86-3.92% หมายเหตุ -MRR = 5.95% ประกาศ ณ วันที่ 17 มิ.ย. 64 -วงเงินกู้สูงสุด เท่ากับ 100% ภาระหนี้คงค้าง และไม่เกินอัตราส่วนสินเชื่อสูงสุดตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย -ระยะเวลากู้สูงสุด 30 ปี (เฉพาะพนักงานประจำสูงสุด 35 ปี) รวมอายุผู้กู้สูงสุด 65 ปี -ค่าธรรมเนียม คิดค่าสำรวจและประเมินหลักประกัน 3,210 บาท (ธนาคารจะคืนค่าสำรวจและค่าประเมินหลักประกันหลังจากลูกค้าได้รับอนุมัติและเบิกใช้สินเชื่อแล้ว) -อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปี ตลาดอายุสัญญาวงเงินกู้ 2 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี -รายละเอียดและเงื่อนไขอื่น โปรดสอบถามจากธนาคาร -กรณีแสดงวัตถุประสงค์ เช่น เพื่อการต่อเติม/ซ่อมแซม/ตกแต่งที่พักอาศัย ซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ ค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา หรือการจัดหาสินค้าหรือบริการเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนตัว เป็นต้น​ -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับผู้ที่ยื่นคำขอสินเชื่อพร้อมเอกสารครบถ้วน ตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ. 65 – 31 มี.ค. 65 โดยผู้กู้ต้องลงนามในสัญญากู้ภายใน 1 เดือน นับแต่วันที่อนุมัติสินเชื่อและจดจำนองภายใน 2 เดือนนับแต่วันที่ ลงนามในสัญญากู้ -อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบัน ตามประกาศของธนาคาร ณ วันที่ 17 มิ.ย. 64 เท่ากับ 5.95% ต่อปี -อัตราดอกเบี้ย กรณีฟรีค่าธรรมเนียมจดจำนอง หากลูกค้ายกเลิก และไถ่ถอนหลักประกัน ก่อนระยะเวลา 3 ปี ไม่ว่ากรณีชำระหนี้ด้วยเงินสด หรือ รีไฟแนนซ์ธนาคารจะเรียกคืนค่าธรรมเนียมจดจำนองจากผู้กู้ -ธนาคารจะโอนเงินคืนค่าสำรวจและประเมินหลักประกันเข้าบัญชีเงินฝากสะสมทรัพย์ที่ลูกค้า ใช้หักชำระค่างวดกับธนาคารภายใน 60 วัน หลังจากลูกค้าได้รับอนุมัติและเบิกใช้สินเชื่อกับธนาคารแล้ว พิเศษ รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ยพิเศษปีแรก 0.25% เพียงสมัครสินเชื่อบ้านบัวหลวงพร้อมประกันชีวิตคุ้มครองเครดิต โฮมเฟิสต์ พลัส (ฉบับปรับปรุง) -กรณีจำนวนเงินเอาประกันภัยเต็มวงเงินกู้ และระยะเวลาเอาประกันภัยขั้นต่ำ 10 ปี หรือเท่ากับระยะเวลาในสัญญากู้ -กรณีจำนวนเงินเอาประกันภัยอย่างน้อย 70% ของวงเงินกู้ และระยะเวลาเอาประกันภัยอย่างน้อย 70% ของระยะเวลาในสัญญากู้ (เฉพาะลูกค้าที่ทำสัญญากู้ตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป) -ข้อมูลในเว็บไซต์ยังไม่เปลี่ยนแปลง , ระยะเวลาการให้สินเชื่อ 1 ก.พ.-31 มี.ค.65 2.ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงไทย มีสินเชื่อรีไฟแนนซ์บ้าน แคมเปญครบรอบ 56 ปีของธนาคาร  ซึ่งอัตราดอกเบี้ยเดือนเมษายน​ มีการคิดอัตราดอกเบี้ย  ดังนี้ ดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้าน กรณีฟรีค่าธรรมเนียมยื่นกู้ แบบทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 0.56% ลดลง 0.19% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดอัตรา 0.75% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.00% =4.22% เพิ่มขึ้น 0.6% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดMRR-2.60%=3.62 อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี  =3.00% เพิ่มขึ้น 0.3% จากเดือนก่อนหน้าที่คิด 2.70% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.27% เพิ่มขึ้น 0.26% จากเดือนก่อนหน้าที่คิด 4.01% ไม่ทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 0.81% (เดือนที่ 1-9=0.56% เดือนที่ 10-12=1.56%) ลดลง 0.19% จากเดือนก่อนหน้าที่คิด 1.0% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.00=4.22% เพิ่มขึ้น 0.55% จากเดือนก่อนหน้าที่คิด MRR-2.55%=3.67% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี  = 3.08% เพิ่มขึ้น 0.28% จากเดือนก่อนหน้าที่คิด 2.80% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.30% เพิ่มขึ้น 0.25% จากเดือนก่อนหน้าที่คิด 4.05%   หมายเหตุ -สามารถเลือกผ่อนชำระในอัตราล้านละ 3,000 บาทต่อเดือนในช่วงปีที่ 1 ได้ การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ* : ทำประกันทางเลือกใด ทางเลือกหนึ่ง ดังนี้ 1.ทำ MRTA/GLT SP เต็มวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 10 ปี 2.ทำ MRTA/GLT SP 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลากู้ 3.ทำ MRTA/GLT SP 70% ของวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 15 ปี ทั้งนี้ การทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อเป็นไปตามความสมัครใจของลูกค้า และไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ ***อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (EIR) คำนวณจากวงเงินกู้ 1.00 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี ผ่อนชำระ 6,500 บาท/เดือน เงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด การพิจารณาสินเชื่ออยู่ภายใต้ดุลยพินิจของธนาคาร ยื่นสมัครสินเชื่อ ภายในวันที่ 31 มีนาคม 2565 MRR = 6.22% ต่อปี (ณ 1 เม.ย. 2564) -การเปรียบเทียบของเดือนเมษายเทียบกับเดือนมีนาคมในรูปแบบอัตราดอกเบี้ยคงที่ -ยื่นสินเชื่อภายในวันที่ 30 เมษายน 2565 และทำนิติกรรมจำนองภายใน 30 วัน 3.ธนาคารกรุงศรี อัพเดทดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ สำหรับธนาคารกรุงศรี มีแคมเปญการให้บริการสินเชื่อรีไฟแนนซ์กับลูกค้า คือ  ฟรี ค่าประเมินหลักทรัพย์ ฟรี ค่าจดจำนอง ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.- 30 เมษายน​ 65  โดยอัตราดอกเบี้ย ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา ซึ่งคิดดอกเบี้ยตามรายละเอียด ดังนี้​ สำหรับวงเงินตั้งแต่ 1 -1.5 ล้านบาท ทางเลือก 1 ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 2.90% ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย MRR-3.15%=2.90% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 2.90% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.65% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0.75% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 4.20% ปีที่ 3 ดอกเบี้ย MRR-1.85%=4.2% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.05% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.66% ทางเลือกที่ 3* ฟรีค่าจดจำนอง ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0.50% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 4.70% ปีที่ 3 ดอกเบี้ย MRR-1.35%=4.7% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.30% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.78% สำหรับวงเงินตั้งแต่ 1.5 ล้านบาทขึ้นไป ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.75% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย MRR-3.85%=2.2% ปีที่ 3 ดอกเบี้ย MRR-1.75% = 4.3% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 2.75% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.40% ทางเลือก 2 ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย 3.0% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.0% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.60% ทางเลือก 3 ปีที่ 1-3  ดอกเบี้ย MRR-2.70% = 3.35% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.35% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.35% ทางเลือก 4* ฟรีค่าจดจำนอง ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย 3.25% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.25% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.74% ทางเลือกที่ 5 ฟรีค่าจดจำนอง ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 0.50% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.25% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.05% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3.25% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.61%   หมายเหตุ -สินเชื่อฟรีค่าจดจำนอง เฉพาะลูกค้าที่ซื้อ MRTA/MLTA ตามเงื่อนไขที่กำหนดเท่านั้น จึงจะสามารถเลือกรับดอกเบี้ยทางเลือกฟรีค่าจดจำนองได้โปรดอ้างอิงตาม Product Catalog_ประกัน (สาขากลาง) / Product Catalog_ประกัน(สาขาภูมิภาค) และ ใบข้อเสนอ (QE) -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงการแสดงตัวอย่าง โดยคำนวณจากฐานวงเงินกู้ 1.5 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 1 ล้านบาทแต่ไม่ถึง 1.5 ล้านบาท และฐานวงเงินกู้ 3 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 1.5 ล้านบาทขึ้นไป ด้วยระยะเวลาการกู้ 10 ปี ในกรณีที่ลูกค้าซื้อ MRTA/MLTA หาก ค่าเบี้ย MRTA/MLTA เปลี่ยนแปลง อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอาจเปลี่ยนแปลงได้ เงื่อนไขการรับสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าที่ซื้อประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ (MRTA/MLTA) -กรณีลูกค้าเลือกรับอัตราดอกเบี้ยทางเลือกที่ 3 (วงเงินกู้อนุมัติตั้งแต่ 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 1.5 ล้านบาท) หรือทางเลือกที่ 4 (วงเงินกู้อนุมัติตั้งแต่ 1.5 ล้านบาทขึ้นไป) ฟรีค่าจดจำนองตามเงื่อนไขที่กำหนด -กรณีลูกค้าเลือกรับอัตราดอกเบี้ยทางเลือกที่ 1-2 (วงเงินกู้อนุมัติตั้งแต่ 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 1.5 ล้านบาท) หรือทางเลือกที่ 1-3(วงเงินกู้อนุมัติตั้งแต่ 1.5 ล้านบาทขึ้นไป) หรือทางเลือกที่ 5(วงเงินกู้อนุมัติตั้งแต่ 3 ล้านบาทขึ้นไป) รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ต่อปีเฉพาะในปีที่ 1 ทั้ง 2 กรณีลูกค้าต้องซื้อ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการตามเงื่อนไขดังนี้ 1.ผลิตภัณฑ์​MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการได้แก่ MRTA : แผนกรุงศรี เซฟตี้โลน 1 พลัส หรือกรุงศรี เซฟตี้โลน 1 หรือ กรุงศรีเซฟตี้โลน 2 MLTA : กรุงศรีรักบ้าน รักคุณ หรือกรุงศรีรักบ้าน รักคุณ พลัส เท่านั้น 2.กรณีผู้กู้หลักเป็นพนักงานเงินเดือนที่มีรายได้ประจำ ต้องซื้อ MRTA/MLTA 100% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี หรือซื้ออย่างน้อย 70% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 20 ปี 3.กรณีผู้กู้หลักเป็นผู้ประกอบธุรกิจส่วนตัว ต้องซื้อ MRTA/MLTA อย่างน้อย 80% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 10 ปี หรืออย่างน้อย 50% ของวงเงินกุ้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี 4.กรณีมีผู้กู้ร่วม สามารถซื้อ MRTA/MLTA เฉพาะผู้กู้หลักคนเดียวได้ หรือหากผู้กู้ร่วมประสงค์ที่จะซื้อ MRTA/MLTA ด้วย ผู้กู้หลักและผู้กู้ร่วมทุกคนจะต้องมีทุนประกันขั้นต่ำในสัดส่วนที่เท่ากัน -MRR =6.05% (ณ 21 พ.ค.63) -ยื่นขอสินเชื่อตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-30 เม.ย.65 และจดจำนอง และเบิกเงินกู้ภายในวันที่ 31 พ.ค. 65 -ธนาคารสงวนสิทธิ์เรียกเก็บค่าเบี้ยปรับกรณีปิดภาระหนี้ก่อนกำหนด (กรณีที่ลูกค้ารีไฟแนนซ์ไปสถาบันการเงินอื่นภายใน 3 ปีแรกนับจากวันทำสัญญา) -รายละเอียดและเงื่อนไขเพิ่มเติม สอบถามได้จากธนาคาร​ 4.ธนาคารกสิกรไทย อัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้านของธนาคารกสิกรไทย  ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงจากเดือนมีนาคม 2565 ที่ผ่านมา  โดยธนาคารกสิกรไทยมีบริการสินเชื่อบ้านรีไฟแนนซ์ ดังนี้ ปีที่ 1 MRR = 5.97% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.97% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.97% หมายเหตุ -MRR = 5.97% ( ณ วันที่ 22 พ.ค.63) -สำหรับผู้ที่ยื่นกู้สินเชื่อบ้านตั้งแต่ 1 ม.ค.- 31 มี.ค.65, ข้อมูลในเว็บไซต์ธนาคารยังไม่ได้เปลี่ยนแปลง 5.ธนาคารเกียรตินาคิน ธนาคารเกียรตินาคิน มีแคมเปญ KKP Home Loan Refinance สำหรับลูกค้าบ้านรีไฟแนนซ์ประจำเดือนเมษายน 2565 ในอัตราที่ไม่เปลี่ยนแปลงจากช่วงเดือนที่ผ่านมา ดังนี้ ทางเลือก ดอกเบี้ยคงที่ 2 ปี แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย 2.59% ปีต่อไป MLR-1.75% = 4.775% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย 2.79% ปีต่อไป MLR-1.75% = 4.775% ทางเลือก ดอกเบี้ยแบบลอยตัว แบบทำประกัน ปีที่ 1-3  ดอกเบี้ย 2.79% ปีต่อไป MLR-1.75% = 4.775% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3  ดอกเบี้ย 2.99% ปีต่อไป MLR-1.75% = 4.775% หมายเหตุ 1.อัตราดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับปัจจัยอ้างอิง​ เช่น อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดีประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา​ (MLR) ซึ่งธนาคารจะแจ้งให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว โดยจะประกาศไว้​ ณ สถานที่ทำการให้บริการและเว็บไซต์ของธนาคาร 2.MLR ณ วันที 18 สิงหาคม​ 2563 เท่ากับ 6.525% ตอ่ ปี 3.เลือก​ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ (MRTA)​ ผ่านธนาคาร ทุนประกันภัยเท่ากับวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาเอาประกันภัยขั้นต่ำ 1​​0 ปี กรณีที่ระยะเวลาการกู้ไม่ถึง 10 ปีให้ระยะเวลาเอาประกันภัยเท่ากับระยะเวลาการกู้ 4.กรณี Refinance ไปสถาบันการเงินอื่นก่อนครบ​ 3 ปีแรก คิดค่า Prepayment Penalty 3% ของเงินต้นคงค้าง​ 5.กรณีเลือกใช้เงื่อนไขอัตราดอกเบี้ยแบบฟรีค่าจดจำนอง หากลูกค้า​ Re-Finance หรือชำระปิดบัญชีก่อนระยะเวลาที่กำหนดไว้ทุกกรณี ลูกค้าต้องชำระคืนค่าจดจำนองที่ธนาคารเคยสำรองจ่ายให้ แก่ธนาคาร​ 6.ค่าประเมินหลักประกันเริ่มต้น​ 3,210 บาท ค่าอากรแสตมป์ ร้อยละ​ 0.05 ของวงเงินกู้ (สูงสุดไม่เกิน​ 10,000 บาท) 7.ค่าธรรมเนียมติดตามทวงถามหนี้ : ค้างชำระ 1 งวด 50 บาท/รอบการทวงถามหนี้ ค้างชำระมากกว่า 1 งวด 100 บาท/รอบการทวงถามหนี้ 8.เบี้ยประกันอัคคีภัย เป็นไปตามที่บริษัทประกันภัยกำหนด โดยผู้กู้สามารถเลือกทำประกันภัยกับบริษัทที่น่าเชื่อถือใดก็ได้ 6.ธนาคารซีไอเอ็มบี ธนาคารซีไอเอ็มบี มี อัพเดทดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ ที่ให้อัตราดอกเบี้ยเท่ากับช่วงเดือนที่ผ่านมา โดยประเภทสินเชื่อรีไฟแนนซ์ และขอวงเงินเพิ่ม (กรณีไม่ขอวงเงินเพิ่มมีอัตราดอกเบี้ยเฉพาะสอบถามได้จากทางธนาคาร) มีอัตราการคิดดอกเบี้ย ดังนี้ สำหรับพนักงานประจำ รายได้ 30,000 บาทขึ้นไป แบบทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  (MRR-3.66%) = 3.69% ระยะเวลาที่เหลือ ดอกเบี้ย (MRR-2.00%) =5.35% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.69% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.93% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย   (MRR-3.36%) = 3.99% หลังจากนั้น (MRR-2.00%) = 5.35% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.99% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.01% สำหรับพนักงานเงินเดือน 15,000 บาท หรือเจ้าของกิจการรายได้ 30,000 บาท ขึ้นไป ทางเลือก 2 แบบทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย MRR-3.36% = 3.99% ระยะเวลาที่เหลือ ดอกเบี้ย MRR-2.00% = 5.35% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.99% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.01% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย MRR-3.06% = 4.29% ระยะเวลาที่เหลือ ดอกเบี้ย MRR-2.00% = 5.35% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.29% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.08% หมายเหตุ อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินกู้ 2 ล้านบาท ระยะเวลากู้ 15 ปี (MRR=7.35% ประกาศ ณ วันที่ 10 เมษายน 2563) กรณีไม่ขอวงเงินเพิ่ม สอบถามรายละเอียดกับทางธนาคารโดยตรง 7.ธนาคารทีทีบี ธนาคารทีทีบีมีแคมเปญสินเชื่อบ้านรีไฟแนนซ์ ซึ่งเราได้อัพเดทดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ ของธาคารสำหรับเดือนเมษายน ​โดยพบข้อมูลว่า ในเดือนนี้ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเดือนมีนาคม 2565 ดังนี้ สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ทางเลือก 1 ปีที่ 1-3 คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-3.53% =2.75% หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย (MRR-1.63%)=4.65% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.75% ดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.02% ทางเลือก 2 (ฟรีค่าจดจำนอง) ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.18%=3.1% หลังจากนั้น (MRR-1.63%)= 4.65% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี อัตรา 3.10% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.14% ทางเลือก 3 (สมัครผลิตภัณฑ์ไม่ครบทั้ง 3 ประเภท) ปีที่ 1-3 คิดอัตราดอกเบี้ย (MRR-2.74%) = 3.54% หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีดอกเบี้ย 3.54% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.29% สมัครผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ได้แก่ 1.สมัครประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อบ้าน สไมล์ โฮม หรือ สไมล์ โฮม พลัส 2.สมัครใช้บริการ หักบัญชีอัตโนมัติผ่านบัญชีออมทรัพย์ทีทีบีเพื่อผ่อนช าระสินเชื่อบ้าน 3.สมัครบัตรเดบิต ทีทีบี (กรณีที่มีบัตรเดบิต ทีทีบีแล้ว ไม่ต้องสมัครเพิ่ม) ช่วยคุณประหยัดดอกเบี้ยได้มากขึ้น ผ่อนต่อเดือนน้อยลง และเป็นเจ้าของบ้านได้เร็วขึ้น เมื่อรีไฟแนนซ์บ้านกับทีทีบี รับข้อเสนอพิเศษ ด้วยอัตราดอกเบี้ยให้เลือก 2 แบบ ดังนี้ แบบที่ 1 สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท  รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษ นาน 3 ปี  ฟรี! ค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย มูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท  ฟรี! ค่าจดทะเบียนจำนอง มูลค่า 1% ของเงินกู้สูงสุด 200,000 บาท  ฟรี! ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรมจำนอง แบบที่ 2 สมัครผลิตภัณฑ์เสริมไม่ครบทั้ง 3 ประเภท ฟรี! ค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย มูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท ฟรี! ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรมจำนอง หมายเหตุ : -อัตราดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมรวมถึงสิทธิพิเศษต่าง ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร -MRR (Minimum Retail Rate: อัตราดอกเบี้ย ลูกค้ารายย่อยชั้นดี) = 6.28% ต่อปี ณ วันที่ 7 พ.ค. 2564 -การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อบ้าน (MRTA) ไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ ทำเพื่อประโยชน์หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นกับผู้กู้ในขณะที่ยังชำระหนี้ไม่ครบถ้วน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของผู้กู้และธนาคาร และไม่มีผลต่อการ พิจารณาสินเชื่อ -สำหรับลูกค้าที่ยื่นที่ยื่นกู้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.​-30 มิ.ย. 65 และจดจำนองภายในวันที่ 31 ก.ค. 65 8.ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ มีสินเชื่อทั่วไปที่รีไฟแนนซ์จากสถาบันการเงินอื่น โดยเดือนมีนาคม 2565  ​ยังคงอัตราดอกเบี้ยเท่ากับเดือนที่ผ่านมา ดังนี้ แบบไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.15% ปีต่อไป MRR-0.72%= 5.275% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.15% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.242% แบบทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ มากกว่าหรือเท่ากับ 70% ของวงเงินกู้ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.90% ปีต่อไป MRR-0.72% = 5.275% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.90% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.174% หมายเหตุ -กรณีใช้ดอกเบี้ย​แบบทำประกัน​ Credit Life 70% กำหนดให้ทำทุนประกันไม่น้อยกว่า 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลาเอาประกัน 70% ของระยะเวลากู้ตามสัญญา โดยกำหนดให้เอาระยะเวลาขั้นต่ำ 10 ปี (กรณีระยะเวลากู้ตามสัญญาต่ำ​10 ปี กำหนดให้ระยะเวลาเอาประกันเท่ากับระยะเวลากู้ตามสัญญา) ​-ประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ รับประกันภัยโดย บมจ. ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต บริษัทนเครือกลุ่มเอฟดับบลิวดี หากต้องการสอบถามรายละเอียด เกี่ยวกับการประกันภัยเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ ศูนย์บริการลูกค้า โท​ร.1315 ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.00 – 20.00 น. -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจรายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข ​​ก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุก​ ธนาคารเป็นเพียงนายหน้าผู้ชี้ช่อง หรือจัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันภัยเท่านั้น ​การพิจารณารับประกัน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการรับประกันภัย ของบริษัทประกันภัย -อัตราดอกเบี้ย MRR ของธนาคารไทยพาณิชย์ เท่ากับ 5.995% ต่อปี ​(ประกาศ ณ วันที่ 9 ส.ค.2564) ซึ่งอาจะเปลี่ยนแปลงได้ตามประกาศธนาคาร -อัตราดอกเบี้ยแท้จริงที่ระบุในตารางเป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในฉบับนี้เท่านั้น ​ซึ่งอาจะมีความแตกต่างกัน ตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีลูกค้าบอกเลือกประกันชีวิต หรือขอเวนคืนกรมธรรม์ หรือทำประกันไม่ครบกำหนดตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ​ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยวงเงินกู้ เป็นอัตราดอกเบี้ยทั่วไป  ตามประกาศธนาคาร ระยะเวลากู้ตามสัญญา วงเงิน ระยเวลาผ่อนชำระ อัตราดอกเบี้ย คุณสมบัติ เอกสารปรกอบการพิจารณา และการอนุมัติเป็นไปตามเงื่อนไข หลักเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด -ข้อมูลในเว็บไซต์ธนาคารยังไม่เปลี่ยนแปลง, ระยะเวลาขอสินเชื่อ 1 ม.ค.-31 มี.ค.65 9.ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สำหรับธนาคารอาคารสงเคราะห์ หรือ ธอส. ถือว่าเป็นธนาคารสำหรับการให้สินเชื่อเพื่อซื้อบ้านและคอนโด รวมถึงสินเชื่ออื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องโดยตรง มีสินเชื่อให้เลือกมากมายหลายประเภท สำหรับการรีไฟแนนซ์บ้านจากสถาบันการเงินอื่นก็เช่นกันมีหลากหลายประเภท โดยในส่วนสินเชื่อบ้านสุขสันต์ เพื่อให้ลูกค้าใช้บริการรีไฟแนนซ์  โดยอัตราดอกเบี้ยสำหรับเดือนเมษายน 2565 ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า ​​โดยมีรายละเอียดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ แบบที่ 1 สำหรับกลุ่มลูกค้าสวัสดิการ ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 1.99% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.16%= 2.99% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.65%=3.5% หลังจากนั้น ดอกเบี้ย MRR-1.0%= 5.15% แบบที่ 2 สำหรับกลุ่มลูกค้ารายย่อย ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.09% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย  MRR-3.06%= 3.09% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-2.55%=3.6% หลังจากนั้น ดอกเบี้ย MRR-0.5%=5.65%   หมายเหตุ -นิยามคำว่า “อาคาร” หมายถึง บ้านเดี่ยว บ้านแฝดทาวน์เฮ้าส์ และอาคารพาณิชย์เพื่อที่อยู่อาศัย ยกเว้นแฟลต และบ้านเช่า -ยกเว้น ค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ร้อยละ 0.1 ของวงเงินทำนิติกรรม -ยื่นคำขอกู้และอนุมัติตั้งแต่วันที่ 4 ม.ค.-30 ธ.ค.​65 อนุมัติและทำนิติกรรมภายใน​ 30 ธ.ค.​​ 65 (ทั้งนี้ธนาคารสงวนสิทธิ์ในการกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดโครงการก่อนกำหนด หากธนาคารให้สินเชื่อเต็มวงเงินของโครงการแล้ว) -MRR = 6.15% ประกาศ ณ วันที่ 25 พ.ค. 64 10.ธนาคารยูโอบี สำหรับธนาคารยูโอบี มีแคมเปญสินเชื่อบ้านรีไฟแนนซ์ UOB Home Loan – รีไฟแนนซ์ ​วงเงินกู้เพิ่มอเนกประสงค์ (ส่วนสินเชื่อประเภทรีไฟแนนซ์ไม่รวมวงเงินกู้เพิ่มอเนกประสงค์ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมกับทางธนาคาร​)  ซึ่งอัตราดอกเบี้ยในเดือนเมษายน 65 ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า​ รายละเอียดดังนี้ ทางเลือก 1 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.89% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย (MRR-4.46%)= 2.89% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.89% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.60% ทางเลือกที่ 2 ไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.99% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย (MRR-4.36%) = 2.99% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.99% ลดลง อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.64% ทางเลือก 3 แบบทำประกัน ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 1.99% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย (MRR-2.36%) = 4.99% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.99% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.60% ทางเลือก 4 แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.09% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย (MRR-2.26%) = 5.09% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.09% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.64% หมายเหตุ 1.อัตราดอกเบี้ยแบบทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ​ (MRTA) ผ่านธนาคารยูโอบี -ทุนประกันเต็มวงเงินกู้และมีระยะเวลาเอาประกันขั้นต่ำ ​10 ปีหรือ​ -ทุนประกันขั้นต่ำ ​80% ของวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันเต็มระยะเวลากู้​ 2.อัตราดอกเบี้ย สำหรับสินเชื่อรีไฟแนนซ์วงเงิน​ 1 ล้านบาทอายุสัญญา​ 15 ปี MRR = 7.35% ต่อปีอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้สำหรับโฆษณาเท่านั้น อัตราดอกเบี้ยสำหรับทำสัญญากู้ยืม​ของลูกค้าแต่ละรายอาจมีความแตกต่างตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย​ 3.อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับวงเงินเพิ่มไม่เกิน​ 50% ของวงเงินกู้รวมทั้ง ทั้งนี้ไม่นับรวมวงเงินกู้สินเชื่ออื่นเพื่อชำระค่าเบี้ย​ประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินชื่อ ​ (MRTA) วงเงินกู้รีไฟแนนซ์สูงสุด รวมส่วนกู้เพิ่มต้องไม่เกิน 95% ของราคาประเมิน ขึ้นอยู่กับรายได้ ประเภทของลูกค้า / ประเภทและที่ตั้งของหลักประกัน/ ราคาหลักประกัน / จำนวนสัญญากู้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของลูกค้า วงเงินกู้รีไฟแนนซ์อนุมัติ รวมส่วนกู้เพิ่มต้องไม่เกินวงเงินกู้รีไฟแนนซ์ 4.กรณีกู้โดยไม่รวมวงเงินกู้เพิ่มอเนกประสงค์และรายละเอียดเพิ่มเติมกรุณาติดต่อธนาคารโดยตรง 5.สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อตั้งแต่ ​1 เม.ย.​- 30 มิ.ย.​ 65 และจดจำนองหลักประกันกับธนาคารภายในวันที่ 27 ก.ค.​65 11.ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มี อัพเดทดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ กับแคมเปญสินเชื่อรีไฟแนนซ์ บ้านและคอนโด ดอกเบี้ยต่ำ เพียง 0.59% ต่อปี ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา โดยคิดดอกเบี้ยดังนี้ แบบที่ 1 สำหรับผู้กู้รายได้ตั้งแต่ 75,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 0.59% ต่อปี แบบที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย MRR-6.76% = 0.59% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.37% = 3.98% ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.85% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.67% แบบที่ 2 ปีที่ 1 ดอกเบี้ยคงที่ 0.79% หรือ ผ่อนล้านละ 3,5000 บาท ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ยคงที่ MRR-3.32% = 4.03% ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.95% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.74% แบบที่ 3 ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย MRR-5.35%=2.00% ปีที่ 3 MRR-3.55%=3.80% ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.60% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.57% แบบที่ 4 ปีที่ 1-2 ดอกเบี้ยคงที่ 2.10% หรือ ผ่อนต่ำล้านละ 3,500 บาท ปีที่ 3 ดอกเบี้ย MRR-3.45% = 3.90% ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.70% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.64% แบบที่ 5 ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย MRR-4.75% = 2.60% ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.60% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.63% แบบที่ 6 ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ยคงที่ 2.80% หรือ ผ่อนล้านละ 3,500 บาท ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.80% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.76% แบบที่ 2 สำหรับผู้มีรายได้ตั้งแต่ 20,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 0.79% ต่อปี แบบที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย MRR-6.56% = 0.79% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.32% = 4.03% ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.95% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.74% แบบที่ 2 ปีที่ 1 ดอกเบี้ยคงที่ 0.99% หรือ ผ่อนล้านละ 3,5000 บาท ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ยคงที่ MRR-3.27% = 4.08% ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.05% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.81% แบบที่ 3 ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย MRR-5.25%=2.10% ปีที่ 3 MRR-3.45%=3.9% ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.70% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.64% แบบที่ 4 ปีที่ 1-2 ดอกเบี้ยคงที่ 2.20% หรือ ผ่อนต่ำล้านละ 3,500 บาท ปีที่ 3 ดอกเบี้ย MRR-3.35% = 4.00% ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.80% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.70% แบบที่ 5 ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย MRR-4.65% = 2.70% ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.70% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.69% แบบที่ 6 ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ยคงที่ 2.90% หรือ ผ่อนล้านละ 3,500 บาท ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.90% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.82% ข้อกำหนดและเงื่อนไข 1.สิทธิพิเศษสำหรับลูกค้า Refinance ดอกเบี้ยเริ่มต้น 0.59% ต่อปี สำหรับลูกค้าที่มีรายได้ตั้งแต่ 75,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป หรืออัตราดอกเบี้ย 0.79% ต่อปี สำหรับลูกค้าที่มีรายได้ตั้งแต่ 20,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป และเบิกรับเงินกู้ตั้งแต่วันนี้ถึง 30 เม.ย.65 2.วงเงินกู้เริ่มต้น 1.0 ล้านบาท และราคาประเมินหลักประกัน (แนวราบ) ไม่น้อยกว่า 2.0 ล้านบาท หรือ (แนวสูง) ไม่น้อยกว่า 2.5 ล้านบาท (โครงการจัดสรรทุกโครงการ) 3.อัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขดังกล่าว สำหรับหลักประกันที่ได้รับการจัดสรรทุกโครงการในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ยกเว้น ที่ดินว่างเปล่า, อาคารพาณิชย์ 4.กรณีลูกค้าทำประกัน MRTA/MLTA ธนาคารทดรองจ่ายค่าจดจำนองให้ 1% ของวงเงินกู้อนุมัติ หรือสูงสุดไม่เกิน 2 แสนบาท (ทั้งนี้ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเรียกเก็บเงินทดรองจ่ายค่าจดจำนองดังกล่าวคืนจากลูกค้า กรณีลูกค้าปิดบัญชีสินเชื่อ หรือเปลี่ยนแปลงสัญญาใด ๆ ภายใน 5 ปีแรกทุกกรณี นับจากวันทำนิติกรรมจดจำนอง) 5.กรณีสมัครทำประกันชีวิต ต้องสมัครทำ MRTA/MLTA ทุนประกัน 100% ของวงเงินสินเชื่อ ระยะความคุ้มครองขั้นต่ำ 10 ปี 6.ลูกค้าสามารถเลือกใช้อัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำล้านละ 3,500 บาท ได้ในแบบอัตราดอกเบี้ยแบบคงที่เท่านั้น 7.อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างอัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี MRR = 7.35% (ณ วันที่ 1 เม.ย. 64) ที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในโฆษณาฉบับนี้เท่านั้น ซึ่งอาจมีความแตกต่างตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย 8.อัตราดอกเบี้ย หลักเกณฑ์และเงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด 12 ธนาคารออมสิน อัพเดทดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ สำหรับธนาคาออมสิน มีสินเชื่อเคหะ เพื่อซื้อ สร้างต่อเติม หรือ รีไฟแนนซ์ (นอกจากนี้ธนาคารยังมีสินเชื่อรีไฟแนนซ์ พร้อมแคมเปญฟรีค่าธรรมเนียมจดจำนอง สำหรับเงินกู้ตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป และแคมเปญกู้เพิ่มเติมเพื่อการอุปโภคบริโภคกับธนาคาร รายละเอียดสามารถสอบถามได้จากทางธนาคาร) สำหรับอัตราดอกเบี้ยประจำเดือนเมษายน สำหรับลูกค้าทั่วไปที่ต้องการรีไฟแนนซ์ มีอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ แบบทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.345% =2.9% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.6% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.126% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.250% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย (MRR-2.72%) = 3.525% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.10% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.310%   หมายเหตุ -ยื่นกู้ภายในวันที่ 30 เมษายน 65 อนุมัติและจัดทำนิติกรรมสัญญาให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 พ.ค.65 -MRR=6.245% ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 25 พ.ค.63 -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา (EIR) คำนวณจากวงเงินกู้ 1 ล้านบาท ระยะเวลาผ่อนชำระ 20 ปี แบบผ่อนเท่ากันทุกงวด -ทำประกัน หมายถึง การทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ โดยหลักเกณฑ์ เงื่อนไข เป็นไปตามธนาคารกำหนด -เงื่อนไขการใช้อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อเคหะตามโปรโมชั่น สมัครบริการ MyMo และผลิตภัณฑ์/บริการอื่นของธนาคารอย่างน้อย 2 ประเภท ได้แก่ บัตรอิเล็กทรอนิกส์/บัตรเครดิต หรือสินเชื่อบัตรเงินสด/ชำระสินเชื่อหักผ่านบัญชี/ประกันชีวิตเพื่อประกันสินเชื่อ ทั้งนี้ หากลูกค้าใช้ผลิตภัณฑ์/บริการอื่นตามที่กำหนดอยู่แล้ว สามารถใช้อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวได้ และกรณีไม่มี Smartphone ให้สมัครผลิตภัณฑ์/บริการอื่นของธนาครตามที่กำหนดแทนได้ -กรณีฟรีค่าธรรมเนียมจดจำนองให้ตามที่จ่ายจริง (รวมทุกสัญญาที่กู้ในคราวเดียวกัน) และลูกค้าต้องสำรองจ่ายค่าจดจำนองแก่กรมที่ดินไปก่อนโดยธนาคารจะโอนเงินหลังหักภาษี ณ ที่จ่าย 1% ของเงินค่าธรรมเนียมจดจำนองคืนภายใน 30 วัน -กรณีผู้กู้ชำระคืนเงินกู้เสร็จสิ้น หรือไถ่ถอนจำนองก่อนครบกำหนด (Prepayment) ภายในระยะเวลา 3 ปี นับแต่วันที่ทำสัญญากู้เงิน ผู้กู้ต้องเสียค่าธรรมเนียมตามที่ธนาคารกำหนด (ปัจจุบันร้อยละ 3.0 ของยอดเงินคงเหลือ) ทั้งนี้ กรณีเลือกอัตราดอกเบี้ยกรณีไถ่ถอนจำนองสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยจากสถาบันการเงินอื่น (Re-Finance) และฟรีค่าธรรมเนียมจดจำนอง ผู้กู้จะต้องชำระค่าจดจำนองคืนแก่ธนาคารเต็มจำนวน -หลักเกณฑ์เงื่อนไขอื่น ๆ ให้เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด โดยธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์เงื่อนไขโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า​     ที่มา : Reviewyourliving รวบรวมข้อมูลจากเว็บไซต์ธนาคาร ณ วันที่ 5 เมษายน 2565   อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง ธปท. ออกเกณฑ์​​คิด ดอกเบี้ย-ค่าบริการ-เบี้ยปรับ ผลิตภัณฑ์-บริการทางการเงิน ฉบับใหม่เพื่อความเหมาะสม-เป็นธรรม อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนเมษายน 2565 อัพเดทดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ สินเชื่อกู้ซื้อบ้าน เดือนมีนาคม 2565 แบงก์ไหนให้ดอกเบี้ยถูกสุด
[PR News] แอสเซทไวส์ กวาดยอดขาย Q1 กว่า 3,250 ล้าน เดินหน้าไตรมาส 2 เปิดอีก 3 โปรเจ็กต์ใหม่

[PR News] แอสเซทไวส์ กวาดยอดขาย Q1 กว่า 3,250 ล้าน เดินหน้าไตรมาส 2 เปิดอีก 3 โปรเจ็กต์ใหม่

แอสเซทไวส์ แอสเซทไวส์ ประเดิมยอดขายพรีเซลไตรมาสแรก 3,250 ล้านบาท  คิดเป็น 33% จากเป้าหมายทั้งปีที่ 10,000 ล้าน พร้อมดินหน้าไตรมาส 2 เปิด 3 โครงการใหม่ ทั้งแนวราบและคอนโด  หวังสร้างสถิติใหม่ยอดขายทะลุหมื่นล้าน​   นายกรมเชษฐ์  วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) (ASW)  เปิดเผยว่า ในไตรมาสแรกที่ผ่านมา บริษัทสามารถทำยอดขายได้ 3,250 ล้านบาท เติบโต 79% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา และคิดเป็นสัดส่วน 33% ของเป้าหมายยอดขายในปีนี้ ที่คาดว่าจะทำได้ 10,000 ล้านบาท   สำหรับยอดขายไตรมาสแรกมูลค่า 3,250 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายจากกลุ่มคอนโดมิเนียมสัดส่วน 96% และกลุ่มบ้านจัดสรร 4%  โดยคิดเป็นสัดส่วนยอดขายจากโครงการพร้อมอยู่ (Ready to move) 46% และกลุ่มโครงการที่เพิ่งเปิดขายหรืออยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง (On Construction) 54% โดยในปีนี้ แอสเซทไวส์ วางแผนเปิดโครงการใหม่ 7 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 12,400 ล้านบาท โดยในไตรมาส 2 แอสเซสไวส์ วางแผนเปิดตัวใหม่ 3 โครงการ ได้แก่ 1.โครงการแนวราบ Esta Rangsit Khlong 2 จำนวน 153 ยูนิต มูลค่า 680 ล้านบาท   2.โครงการคอนโดมิเนียม Atmoz Flow Minburi จำนวน 739 ยูนิต มูลค่า 1,350 ล้านบาท และ 3.โครงการคอนโดมิเนียม Atmoz Portrait Srisaman จำนวน 678 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,150 ล้านบาท   ปัจจุบันแอสเซทไวส์ได้พัฒนาโครงการคอนโดและบ้านจัดสรรมาแล้วกว่า 39 โครงการ ภายใต้แบรนด์ เคฟ (KAVE), แบรนด์ แอทโมซ (ATMOZ), แบรนด์ โมดิซ (MODIZ), แบรนด์ เอสต้า (ESTA) และ แบรนด์ ดิ ออเนอร์ (THE HONOR) รวมมูลค่าโครงการกว่า 38,500 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จและโครงการพร้อมอยู่ จำนวน 31 โครงการ   ส่วนโครงการที่แอสเซสไวส์กำลังเปิดขายและอยู่ระหว่างการพัฒนา มีจำนวน 8 โครงการ โดยปัจจุบันมียอดรอรับรู้รายได้ (Backlog) มูลค่ารวมกว่า 7,338 ล้านบาท โดยจะทยอยรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง แอสเซทไวส์   เพิ่มทางเลือกแลกเงินดิจิทัล จับมือ​ “Bitkub” ขยายฐานลูกค้า  New Gen  
อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนเมษายน 2565

อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนเมษายน 2565

อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน เข้าสู่เดือนเมษายน 2565 เดือนที่ร้อนที่สุดแห่งปี แต่พิเศษสำหรับปีนี้ อากาศเย็นกว่าปกติมาตั้งแต่ต้นเดือน เป็นความเปลี่ยนแปลงที่ไม่พบเจอบ่อยครั้งนัก สำหรับเดือนเมษายนก็ถือเป็นเดือนแรกของไตรมาส 2 ของปี 2565 ซึ่งเวลาผ่านไปเร็วมาก เชื่อว่าเผลออีกแป๊ปเดียวเราคงก้าวเข้าสู่ครึ่งปีหลังแน่นอน และตอนนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ก็ยังคงอยู่กับเราไม่ได้ไปไหน ทำให้เรายังคงต้องระมัดระวังตัวเอง ภายใต้มาตรการด้านการสาธารณสุขอยู่เสมอ   ส่วนบรรยากาศของสภาพเศรษฐกิจและกำลังซื้อ ก็ดูเหมือนจะมีทิศทางที่ดีขึ้น กิจกรรมทางเศรษฐกิจหลายอย่างเริ่มกลับมาฟื้นตัวขึ้นแล้ว รวมถึงทิศทางตลาดอสังหาริมทรัพย์ ที่ดูเหมือนมีสัญญาณการฟื้นตัวปรับไปในทิศทางที่ดี เห็นได้จากความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการ ที่ออกมาเปิดตัวโครงการใหม่กันต่อเนื่อง ​ประกอบกับมาตรการภาครัฐที่กระตุ้นตลาดอสังหาฯ ก็ขยายระยะเวลาออกไปจนถึงสิ้นปี จึงนับเป็นโอกาสดีสำหรับคนที่มีความพร้อม และต้องการซื้อบ้านหรือคอนโดมิเนียมเพื่อการอยู่อาศัย   เมื่อคิดจะซื้อบ้าน แน่นอนคนส่วนใหญ่เลือกจะขอสินเชื่อกับทางธนาคาร ซึ่ง​ตอนนี้อัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด​ ของธนาคารต่าง ๆ ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำ เป็นโอกาสของคนที่มีความพร้อมและมีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัย ในการรับอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว   ส่วนธนาคารไหนให้อัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เท่าไรบ้างนั้น Reviewyourliving ได้อัพเดทสถานการณ์ ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ของเดือนเมษายน 2565 รวบรวมไว้ให้แล้ว ซึ่งภาพรวมทั้งหมดยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้เท่าเดิม อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด  1.ธนาคารกรุงเทพ สำหรับธนาคารกรุงเทพ มีสินเชื่อบ้านบัวหลวง ที่ให้บริการลูกค้า 2 กลุ่ม คือ ลูกค้าพนักงานที่มีรายได้ประจำ และลูกค้าทั่วไป  โดยอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ประจำเดือนเมษายน 2565 ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา อัตราดอกเบี้ยเฉพาะพนักงานที่มีรายได้ประจำ  วงเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท  (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1   ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.00%) หลังจากนั้น 5.2%  (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.65% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3  อัตราดอกเบี้ย 4.2% (MRR-1.75%) หลังจากนั้น 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.65% อัตราดอกเบี้ยเฉพาะพนักงานที่มีรายได้ประจำ วงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 5 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.45% (MRR-1.50%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.48% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3  อัตราดอกเบี้ย 4.075% (MRR-1.875%) หลังจากนั้น 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.48% อัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับลูกค้าทั่วไป วงเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.50% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.00%) หลังจากนั้น  5.45% (MRR-0.50%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.87% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 4.45%(MRR-1.50%) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.45%(MRR-1.50%) หลังจากนั้น 5.45%  (MRR-0.50%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.9% อัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับลกค้าทั่วไป วงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 5 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.7%(MRR-1.25%) หลังจากนั้น 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.57% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 4.075%(MRR-1.875%) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.075% (MRR-1.875%) หลังจากนั้น 5.2%(MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.58%   -กรณีวงเงิน ตั้งแต่ 500,000 บาทแต่ไม่เกิน 1 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ย คงที่ปีแรก 4.75% หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีวงเงินต่ำกว่า ​500,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีหลักประกันสิทธิการเช่า ​คิดอัตราดอกเบี้ย​ MRR-0.75% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีหลักประกันที่ดินเปล่าเพื่อการอยู่อาศัย คิดอัตราดอกเบี้ย ​MRR-0.25% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา   หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับผู้ที่ยื่นคำขอสินเชื่อพร้อมเอกสารครบถ้วน ตั้งแต่วันที่ 5 ม.ค.- 31 มี.ค. 65 โดยผู้กู้ต้องลงนามในสัญญากู้ภายใน 1 เดือน นับตั้งแต่วันที่อนุมัติสินเชื่อ​และจดทะเบียนจำนองพร้อมเบิกเงินกู้งวดแรกหรือทั้งหมดภายใน 2 เดือน นับตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญา ​ -พนักงานที่มีรายได้ประจำ หมายถึง พนักงานที่มีรายได้หลัก หรือ มีความสามารถในการชำระคืนหลัก จากรายได้ประจำ -รูปแบบการชำ​ระแบบคงที่ เลือกผ่อนได้ทุกทางเลือก/รูปแบบการผ่อนชำ​ระแบบขั้นบันได เลือกผ่อนได้เฉพาะทางเลือกที่ 1 -อัตราส่วนวงเงินกู้สูงสุดและมูลค่าหลักประกันให้เป็นไปตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย -อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบันตามประกาศของธนาคาร ณ วันที่ 17 มิ.ย. 64 เท่ากับ 5.95% ต่อปี -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยรวมทั้งหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ​​-ข้อมูลในเว็บไซต์ ณ วันที่ 4 เมษายน 2565 ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง 2.ธนาคารกรุงไทย อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด สำหรับธนาคารกรุงไทย  ในเดือนนี้ธนาคารมีแคมเปญใหม่ เป็นสินเชื่อในโอกาสครบรอบ 56 ปีธนาคารกรุงไทย ​ซึ่งเดือนนี้อัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด  มีเปลี่ยนเปลี่ยนแปลงจากช่วงเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา ​​ดังนี้ แบบทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0.56% ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย 4.22% (MRR-2.0%) เพิ่มขึ้น 0.4% จากที่เดือนที่ผ่านมาคิด 3.82% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.0% เพิ่มขึ้น 0.2% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย 2.80% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.27% เพิ่มขึ้น 0.07% จากเดือนก่อนหน้าที่คิด 4.20% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ยเฉลี่ย 0.81% (เดือนที่ 1-9 คิด 0.56% เดือนที่ 10-12 คิดดอกเบี้ย 1.56%) ลดลง 0.19% จากเดือนก่อนหน้าที่คิด 1.0% ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย 3.0% ลดลง 0.82% จากเดือนก่อนหน้าที่คิด 3.82% (MRR-2.4%) ปีที่ 3 ดอกเบี้ย 3.08% ลดลง 0.79% จากเดือนก่อนหน้าที่คิด 3.87% (MRR-2.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 4.30% เพิ่มขึ้น 1.4% จากเดือนก่อนหน้าที่คิด 2.90% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.24%   หมายเหตุ : 1.การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ *ทำประกันทางเลือกใด ทางเลือกหนึ่ง ดังนี้ -ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ (MRTA / GLTSP) เต็มวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 10 ปี -ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ (MRTA / GLTSP) 70% ของวงเงินกู้ และระยะเวลากู้ -ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ (MRTA / GLTSP) 70% ของวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 15 ปี (การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ เป็นไปตามความสมัครใจของลูกค้า และไม่มีผลต่อการอนุมัติสินเชื่อ) 2.อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (EIR)**คำนวณจากวงเงินกู้ 1.00 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี ผ่อนชำระ 6,600 บาท/เดือน MRR = 6.22% ต่อปี (ณ 1 เม.ย. 2564) 3.สามารถขอสินเชื่อ Home For Cash แบบมีกำหนดระยะเวลา (Term Loan) เพิ่มเติม สำหรับวัตถุประสงค์ : เพื่ออุปโภคบริโภค / ปรับปรุง ต่อเติม ซ่อมแซมที่อยู่อาศัย /ชำระค่าเบี้ยประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ อัตราดอกเบี้ย MRR ต่อปี ตลอดอายุสัญญา 4.เงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด การพิจารณาสินเชื่ออยู่ภายใต้ดุลยพินิจของธนาคาร ยื่นสมัครสินเชื่อ ภายในวันที่ 30 เมษายน 2565 และทำนิติกรรมจำนองภายใน 30 วัน 5.การผ่อนชำระ : สามารถเลือกผ่อนชำระในอัตราล้านละ 3,000 บาท ต่อเดือน ในช่วงปีที่ 1 ได้   ทั้งนี้ ธนาคารสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขรายการส่งเสริมการขาย โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า 3.ธนาคารกรุงศรี ธนาคารกรุงศรี มีสินเชื่อบ้านกรุงศรี เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย (บ้านใหม่/บ้านมือสอง) สำหรับลูกค้าทั่วไป โดยมีแคมเปญฟรี ค่าธรรมเนียมสำรวจ และค่าประเมินอัตราดอกเบี้ยยังคงเท่าเดิมจากเดือนที่ผ่านมา โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ สำหรับการกู้ในวงเงิน 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 5 ล้านบาท ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.9% ( MRR-3.15%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.05% (MRR-2.00%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป 4.95% (MRR-1.10%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.97% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.39% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 เดือนที่ 1-6 อัตราดอกเบี้ย 1.50% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย MRR-1.60% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.7% (MRR-1.35%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.10%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.21% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.52% สำหรับการกู้เงินในวงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.55%  (MRR-3.50%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.3%  (MRR-2.75%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 4.7% (MRR-1.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.52% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.02% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 เดือนที่ 1-6 อัตราดอกเบี้ย 1.25% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย 4.1% (MRR-1.95%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.3% (MRR-1.75%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป 4.7%  (MRR-1.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.89% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.23%   หมายเหตุ * อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงการแสดงตัวอย่าง โดยคำนวณจากฐานวงเงินกู้ 2 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 5 ล้านบาท และฐานวงเงินกู้ 5 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ด้วยระยะเวลาการกู้ 10 ปี ในกรณีที่ลูกค้า ซื้อ MRTA/MLTA หากค่าเบี้ย MRTA/MLTA เปลี่ยนแปลง อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอาจเปลี่ยนแปลงได้ เงื่อนไขการรับสิทธิพิเศษสาหรับลูกค้าที่ซื้อประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ (MRTA/MLTA) -รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ต่อปี เฉพาะในปีที่ 1 จากอัตราดอกเบี้ยทุกทางเลือก ลูกค้าต้องซื้อ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการตามเงื่อนไขดังนี้ 1.ผลิตภัณฑ์ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการได้แก่ MRTA : แผนกรุงศรี เซฟตี้โลน 1 พลัส หรือ กรุงศรี เซฟตี้โลน 1 หรือ กรุงศรี เซฟตี้โลน 2 / MLTA : กรุงศรี รักบ้าน รักคุณ หรือกรุงศรี รักบ้าน รักคุณ พลัส เท่านั้น 2.กรณีผู้กู้หลักเป็นพนักงานเงินเดือนที่มีรายได้ ประจำ​ต้องซื้อ MRTA/MLTA 100% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี หรือซื้ออย่างน้อย 70% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความ คุ้มครองไม่ต่ำกว่า 20 ปี 3.กรณีผู้กู้หลักเป็นผู้ประกอบธุรกิจส่วนตัว ต้องซื้อ MRTA/MLTA อย่างน้อย 80% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 10 ปี หรือซื้อย่างน้อย 50% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี 4.กรณีมีผู้กู้ร่วม สามารถซื้อ MRTA/MLTA เฉพาะผู้กู้หลักเพียงคนเดียวได้ หรือหากผู้กู้ร่วมประสงค์ที่จะซื้อ MRTA/MLTA ด้วย ผู้กู้หลักและผู้กู้ร่วมทุกคนจะต้องมีทุนประกันขั้นต่ำในสัดส่วนที่เท่ากัน ขอสงวนสิทธิ์ในการปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย เป็นอัตราดอกเบี้ยปกติตามที่ลูกค้าได้เลือกไว้ โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ในกรณีที่บริษัทประกันไม่ อนุมัติ MRTA/MLTA หรือในกรณีที่ลูกค้าขอยกเลิก MRTA/MLTA -ตามประกาศธนาคาร ณ วันที่ 21 พ.ค. 63 อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.05% ต่อปี -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 30 เม.ย. 65 โดยจดจำนองและเบิกรับเงินกู้ภายในวันที่ 31 พ.ค. 65 -ค่าธรรมเนียมอื่น ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร -การพิจารณา อนุมัติสินเชื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด -วงเงินกู้อนุมัติสูงสุดเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด และไม่เกินกว่า วงเงินกู้สูงสุดต่อมูลค่าหลักประกัน (ราคาซื้อขาย) ตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์เรียกเก็บค่าเบี้ยปรับกรณีปิด ภาระหนี้ก่อนกำหนด (กรณีที่ลูกค้ารีไฟแนนซ์ไปสถาบันการเงินอื่นภายใน 3 ปีแรกนับจากวันทำสัญญา) คิดเป็น 3% ของยอดหนี้คงเหลือ   4.ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกสิกรไทย มีสินเชื่อกู้ซื้อบ้านสำหรับบ้านใหม่ให้กับลูกค้าทั่วไป โดยพิจารณาเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีรายได้ประจำ และกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการ ซึ่งเดือนนี้อัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ สำหรับลูกค้าที่มีรายได้ระจำ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย = n.a. อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 7.72% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 7.72% สำหรับลูกค้าผู้ประกอบการ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย = n.a. อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 8.22% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 8.22% หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ย MRR = 5.97% (ประกาศ ณ วันที่ 22 พ.ค. 2563) ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ย MRR ให้อ้างอิงอัตราดอกเบี้ยตามประกาศของธนาคาร ณ วันที่ลูกค้ายื่นใบสมัครสินเชื่อ -อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวสำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 31 มีนาคม 2565 โดยสามารถยื่นกู้ได้สำหรับที่อยู่อาศัยทุกประเภท ยกเว้นการกู้เพื่อซื้อที่ดินเปล่า -รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม 0.25% ในปีแรก หากทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองสินเชื่อบ้านตามเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด -กรณียื่นกู้บ้านในโครงการจัดสรรที่ธนาคารสนับสนุน ธนาคารฯมีอัตราดอกเบี้ยพิเศษ สอบถามรายละเอียดและเงื่อนไขเพิ่มเติมได้ที่ K-Contact Center 02-8888888 ต่อ 887 -​​-ข้อมูลในเว็บไซต์ ณ วันที่ 4 เมษายน 2565 ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง   5.ธนาคารเกียรตินาคิน ธนาคารเกียรตินาคิน มีสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย (KKP Home Loan เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย) กรณี บ้านใหม่ : ซื้อบ้านจากบริษัทพัฒนา อสังหาริมทรัพย์ที่ธนาคารกำหนด ซึ่งคิดอัตราดอกเบี้ยในอัตราเดิมเท่ากับเดือนที่ผ่านมา โดยธนาคารเกียรตินาคินมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ ดอกเบี้ยคงที่ 2 ปี แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  2.45%-2.75% ปีต่อไป ดอกเบี้ย  4.775% (MLR-1.75%) แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.65%-2.95% ปีต่อไป ดอกเบี้ย 4.775% (MLR-1.75%) ดอกเบี้ยคงที่ 3 ปี แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.60%-2.99% ปีต่อไป ดอกเบี้ย 4.775% (MLR-1.75%) แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.80%-3.19% ปีต่อไป ดอกเบี้ย 4.775% (MLR-1.75%)   หมายเหตุ 1.อัตราดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับปัจจัยอ้างอิง เช่น อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR) ซึ่งธนาคารจะแจ้งให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว  โดยจะประกาศไว้ ณ สถานที่ทำการให้บริการและ​เว็บไซต์ของธนาคาร 2.MLR ณ วันที่​ 18 สิงหาคม 2563 เท่กับ​ 6.525% ต่อปี 3.เลือกทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ​(MRTA)ผ่านธนาคาร ทุนประกันภัยเท่ากับวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาเอาประกันภัยขั้นต่ำ 10 ปี กรณีที่ระยะเวลาการกู้ไม่ถึง 10 ปี ให้ระยะเวลาเอา​​​​​​ประกันภัยเท่ากับระยะเวลาการกู้ 4.กรณี Refinance ไปสถาบันการเงินอื่นก่อนครบ 3 ปี แรก คิดค่า​ Prepayment Penalty 3% ของเงินต้นคงค้าง 5.​กรณีเลือกใช้เงื่อนไขอัตราดอกเบี้ยแบบฟรีค่าจดจำนอง ​​หากลูกค้า Re-Finance หรือชำระปิดบัญชีก่อนระยะเวลาที่กำหนดไว้ ลูกค้าต้องชำระค่าจดจำนองที่ธนาคาร เคยสำรองจ่ายให้แก่ธนาคาร​ 6.ค่าประเมินหลักประกันเริ่มต้น 3,210 บาท  ค่าอากรแสตมป์ 0.05% ของวงเงินกู้ (สูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท) 7.เบี้ยประกันอัคคี ​เป็นไปตามที่บริษัทประกันภัยกำหนด ​โดยผู้กู้สามารถเลือกทำประกันกับบริษัทที่น่าเชื่อถือใดก็ได้ ​ a.อัตราส่วนวงเงินกู้ยืมสูงสุด ต่อหลักประกัน 100% ของราคาซื้อขายจริง หรือราคาประเมินธนาคาร แล้วแต่ราคาใดต่ำกว่า ยกเว้นธนาคารมีกำหนดเงื่อนไขพิเศษอื่น ๆ สำหรับบางโครงการ อาจจะได้รับอัตราส่วนวงเงินกู้ยืมสูงสุดต่อหลักประกัน​ 100% b.ระยะเวลากู้สูงสุด ​30 ปี (อายุผู้รวมระยะเวลากู้ไม่เกิน 65 ปี สำหรับพนักงานเงินเดือนประจำ และไม่เกิน 70 ปี สำหรับเจ้าของกิจการ/ธุรกิจส่วนตัว) 6.ธนาคารซีไอเอ็มบี ธนาคารซีไอเอ็มบี สินเชื่อบ้าน โฮมโลนฟอร์ยู อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรก 4.05% ให้กับพนักงานประจำ ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ ผู้ประกอบการ และเจ้าของกิจการ  โดยคิดอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เท่ากับเดือนที่ผ่านมา ซึ่งธนาคารซีไอเอ็มบี มีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ สำหรับพนักงานประจำ รายได้ 15,000 บาท หรือเจ้าของกิจการรายได้ 30,000 บาท ประเภททำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.25% (MRR-3.1%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.25% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.07% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.55% (MRR-2.8%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.15% หมายเหตุ -สำหรับซื้อบ้านและคอนโดจากโครงการทั่วไป -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินกู้ 2 ล้านบาท ระยะเวลากู้ 15 ปี (MRR=7.35% ประกาศ ณ วันที่ 9 ธันวาคม 2564) -ธนาคารยังมีอัตราดอกเบี้ยสำหรับพนักงานประจำรายได้ 30,000-50,000 หรือเจ้าของกิจการรายได้ 50,000 บาทขึ้นไปไว้พิจารณาด้วย รวมถึงสินเชื่อสำหรับโครงการที่ธนาคารเป็นผู้สนับสนุน 7.ธนาคารทีทีบี ธนาคารทีทีบี มีสินเชื่อบ้านใหม่ สำหรับการซื้อบ้านหรือคอนโดจากโครงการทั่วไป ภายใต้แคมเปญดอกเบี้ยพิเศษเริ่มต้นเฉลี่ย 3 ปีแรก 4.05% ต่อปี จะได้รับฟรีค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย ค่าจดทะเบียนจำนอง และค่าประเมินหลักทรัพย์ ซึ่งอัพเดทอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ของเดือนมีนาคม ยังคงใช้ในอัตราเท่ากับเดือนที่ผ่านมา  โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ทางเลือก 1 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.05% (MRR-2.23%) หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.05% ดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.46% ทางเลือก 2 (ฟรีค่าจดจำนอง) ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.4% (MRR-1.88%) หลังจากนั้น 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.4% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.57% ทางเลือก 3 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 4.65% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา ดอกเบี้ย 4.65% รายละเอียดเงื่อนไข สมัครผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ได้แก่ 1.สมัครประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ สไมล์โฮม หรือ สไมล์โฮม พลัส ​ 2.สมัครใช้บริการหักบัญชีอัตโนมัติผ่านบัญชีออมทรัพย์ ทีทีบี เพื่อผ่อนชำระสินเชื่อบ้าน 3.สมัครบัตรเดบิต ttb (กรณีที่คุณมีบัตรเดบิต ttb แล้ว ไม่ต้องสมัครเพิ่ม) กู้ซื้อบ้าน คอนโดใหม่ กับทีทีบี รับข้อเสนอพิเศษ ด้วยอัตราดอกเบี้ย ให้เลือก 2 แบบ ดังนี้ แบบที่ 1 สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท -รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษนาน 3 ปี -ฟรีประกันอัคคีภัยมูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท -ฟรีค่าจดทะเบียนจำนอง 1% ของเงินกู้สูงสุดถึง 200,000 บาท -ฟรี ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรม จำนอง แบบที่ 2 สมัครผลิตภัณฑ์เสริมไม่ครบทั้ง 3 ประเภท​ -ฟรีประกันอัคคีภัย มูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท -ฟรี ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรม จำนอง หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมรวมถึงสิทธิพิเศษต่าง ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อบ้าน (MRTA) ไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อทำเพื่อประโยชน์หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นกับผู้กู้ในขณะที่ยังชำระหนี้ไม่ครบถ้วน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของผู้กู้และธนาคาร และไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย 3 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการพิจารณาอนุมัติวงเงินกู้และอัตราดอกเบี้ยตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของธนาคาร -ธนาคารขอสงวนสิทธิเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่แจ้งไว้ในเอกสารฉบับนี้ โดยไม่ ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า -ในกรณีที่ธนาคารเป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนจำนองหลักประกันแทนผู้กู้หากผู้กู้มีความประสงค์จะไถ่ถอนหลักประกันและชำระหนี้คืนทั้งหมดภายในระยะเวลา 5 ปี นับแต่วันเบิกใช้เงินกู้ ครั้งแรก ผู้กู้ตกลงคืนเงินค่าธรรมเนียมจดจำนองหลักประกันตามจำนวนเงินที่ธนาคารได้ช าระไปให้แก่ธนาคาร ในวันที่ผู้กู้ได้ชำระหนี้ทั้งหมดเสร็จสิ้น (ค่าธรรมเนียมจดจำนอง 1% สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท) -กค้าต้องสำรอง จ่ายค่าจดจำนองแก่กรมที่ดินก่อน โดยธนาคารจะโอนเงินคืนเข้าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ที่ลูกค้าใช้หักชำระค่างวดกับธนาคารภายใน 30 วันทำการนับจากวันที่ลูกค้าจดจำนอง -MRR = 6.28% ตามประกาศธนาคาร https://www.ttbbank.com/th/rates/loan-interest-rates -สำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 ถึง 30 มิถุนายน 2565 และจดจำนอง ภายใน 31 กรกฎาคม 2565 8.ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ มีสินเชื่อบ้านสำหรับลูกค้าทั่วไป โดยคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับช่วงเดือนที่ผ่านมา  คิดอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ แบบไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.995% ปีต่อไป MRR = 5.995% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.995% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.995% แบบทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ มากกว่าหรือเท่ากับ 70% ของวงเงินกู้ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.95% ปีต่อไป MRR = 5.995% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.95% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.983% หมายเหตุ -กรณีใช้ดอกเบี้ย​แบบทำประกัน​ Credit Life 70% กำหนดให้ทำทุนประกันไม่น้อยกว่า 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลาเอาประกัน 70% ของระยะเวลากู้ตามสัญญา โดยกำหนดให้เอาระยะเวลาขั้นต่ำ 10  ปี (กรณีระยะเวลากู้ตามสัญญาต่ำ​10 ปี กำหนดให้ระยะเวลาเอาประกันเท่ากับระยะเวลากู้ตามสัญญา) ​-ประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ รับประกันภัยโดย บมจ. ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต บริษัทนเครือกลุ่มเอฟดับบลิวดี หากต้องการสอบถามรายละเอียด เกี่ยวกับการประกันภัยเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ ศูนย์บริการลูกค้า โท​ร. 1315 ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.00 – 20.00 น. -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจรายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข ​​ก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุก​ ธนาคารเป็นเพียงนายหน้าผู้ชี้ช่อง หรือจัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันภัยเท่านั้น ​การพิจารณารับประกัน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการรับประกันภัย ของบริษัทประกันภัย -อัตราดอกเบี้ย MRR ของธนาคารไทยพาณิชย์ เท่ากับ 5.995% ต่อปี ​(ประกาศ ณ วันที่ 9 สิงหาคม 2564) ซึ่งอาจะเปลี่ยนแปลงได้ตามประกาศธนาคาร -อัตราดอกเบี้ยแท้จริงที่ระบุในตารางเป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในฉบับนี้เท่านั้น ​ซึ่งอาจะมีความแตกต่างกัน ตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีลูกค้าบอกเลือกประกันชีวิต หรือขอเวนคืนกรมธรรม์ หรือทำประกันไม่ครบกำหนดตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ​ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยวงเงินกู้ เป็นอัตราดอกเบี้ยทั่วไป  ตามประกาศธนาคาร ระยะเวลากู้ตามสัญญา วงเงิน ระยะเวลาผ่อนชำระ อัตราดอกเบี้ย คุณสมบัติ เอกสารปรกอบการพิจารณา และการอนุมัติเป็นไปตามเงื่อนไข หลักเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด ​​-ข้อมูลในเว็บไซต์ ณ วันที่ 4 เมษายน 2565 ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง   9.ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์  หรือ ธอส. มีสินเชื่อสำหรับการซื้อบ้านหลากหลายประเภท โดยประเภทสินเชื่อโครงการบ้าน ธอส. เพื่อคุณ ปี 2565 ​มีการคิดอัตราดอกเบี้ย ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากแคมเปญสิ้นสุดเดือนธันวาคม 2565  โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.15% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.9% (MRR-2.25%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.75% (MRR-1.4%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ยตลอดอายุสัญญา  5.4% หมายเหตุ -ยื่นคำขอกู้และอนุมัติตั้งแต่วันที่ 2 ม.ค.-30 ธ.ค.65   (ธนาคารสงวนสิทธิ์ในการกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดโครงการก่อนกำหนด หากธนาคารให้สินเชื่อเติมวงเงินของโครงการแล้ว) -อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.15% ประกาศ ณ วันที่ 25 พฤษภาคม 2563 -ยกเว้น ค่าธรรมเนียมยื่นกู้ 0.1% ของวงเงินกู้และทุกบัญชีเงินกู้ภายใต้หลักประกันเดียวกัน 10.ธนาคารยูโอบี ธนาคารยูโอบี มีสินเชื่อบ้านสำหรับโครงการหมู่บ้านทั่วไป  โดยอัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ด้วยการคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับเดือนที่ผ่าน  ซึ่งธนาคารยูโอบีมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด  ดังนี้ ทางเลือก 1 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.35% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.35% (MRR-4.0%) อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.79% ทางเลือกที่ 2 ไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.55% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.55% (MRR-3.80%) หลังจากนั้น 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.87% ทางเลือกที่ 3 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.8% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.75%  (MRR-2.60%) หลังจากนั้น 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.45% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.8% ทางเลือกที่ 4 ไม่ทำประกันคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.0% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.95%  (MRR-2.24%) ปีที่ 4 อัตราดอกเบี้ย 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.65% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.96% หมายเหตุ -ขอสินเชื่อตั้งแต่ 1 เม.ย.- 30 มิ.ย. 65 และจดจำนองหลักประกันกับธนาคารภายใน 27 ก.ค.​ 65 -อัตราดอกเบี้ยแบบทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ผ่านธนาคารยูโอบี >ทุนประกันเต็มวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันขั้นต่ำ 10 ปี หรือ >ทุนประกันขั้นต่ำ 80% ของวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันเต็มตามระยะเวลากู้ -อัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 1 ล้านบาท อายุสัญญา 15 ปี MRR=7.35% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้น เป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในสื่อโฆษณาเท่านั้น อัตราดอกเบี้ยสำหรับการทำสัญญากู้ยืมของลูกค้าแต่ละรายอาจะมีความแตกต่างกันตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีไถ่ถอนจำนองเพื่อไปใช้บริการกับสถาบันการเงินอื่น ​(Re-finance) ในช่วงระยะเวลา 3 ปีแรก นับจากวันที่กู้ จะมีค่าปรับ 3% ของยอดเงินต้นคงค้าง (เฉพาะวงเงินสินเชื่อที่มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดหาที่อยู่อาศัยเท่านั้น)​ -การอนุมัติสินเชื่อ​เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของธนาคาร​ -เพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้น อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบันเท่ากับ  7.35% ต่อปี ​(ตามประกาศธนาคารณ วันที่ 1 เม.ย. 64) อนึ่ง ธนาคารสามารถประกาศปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย​ MRR ได้ตามเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดอนุญาตไว้​ -อัตราค่าธรรมเนียมและค่าบริการต่าง ๆ​เป็นไปตามประกาศที่ธนาคารจัดทำไว้  และประกาศให้ทราบตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยธนาคารอาจเปลี่ยนแปลงอัตราค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ได้โดยจะแจ้งให้ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน โดยการปิดประกาศไว้ ณ ที่ทำการ หรือเว็บไซต์ของธนาคาร​ -ธนาคารยูโอบีในฐานะนายหน้าประกันภัย ​(ใบอนุญาตประกันชีวิต​เลขที่ ช.00026/2545 และใบอนุญาตประกันวินาศภัย​ เลขที่ ว.00020/2546) ทำหน้าที่นำเสนอผลิตภัณฑ์ด้านประกันภัยและเป็นผู้จัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันชีวิต/ประกันวินาศภัย และอำนวยความสะดวกในการรับชำระเบี้ยประกันเท่านั้น  รับประกันชีวิตโดยบริษัท พรูเด็นเชียลประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), รับประกันวินาศภัยโดย บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน), บริษัท แอกซ่าประกันภัย จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอ็ม เอส ไอ จี ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ​จะเป็นผู้รับผิดชอบตามเงื่อนไข ความคุ้มครองและสิทธิประโยชน์ตามที่ได้ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครองและเงื่อนไขก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง 11.ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีสินเชื่อเพื่อการซื้อที่อยู่อาศัย คือ โฮมโลน โดนใจ สินเชื่อบ้านดอกเบี้ยต่ำเริ่มต้น 1.9% (สำหรับผู้มีรายได้ 75,000 บาทขึ้นไป) โดยมีการคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับช่วงเดือนที่ผ่านมา ซึ่งธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ อัตราดอกเบี้ยสำหรับผู้กู้มีรายได้ตั้งแต่ 20,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 2.0% ต่อปี แบบที่ 1 ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.00% (MRR-5.35%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.80% (MRR-3.55%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป 5.10% (MRR-2.25% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.60% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.57% แบบที่ 2 ปีที่ 1-2 ดอกเบี้ยคงที่ 2.10%  (ผ่อนต่ำล้านละ 3,500 บาท 2 ปีแรก) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.20% (MRR-3.15%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป 5.10% (MRR-2.25%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.80% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.69% แบบที่ 3 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.55% (MRR-4.80%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 5.10% (MRR-2.25%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.63% แบบที่ 4 ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ยคงที่ 2.75% (ผ่อนต่ำล้านละ 3,500 บาท 3 ปีแรก) ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 5.10% (MRR-2.25%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.75% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.76% เงื่อนไข กรณีลูกค้าเลือกทำประกัน MRTA/MLTA ผ่านธนาคาร : 1.กรณีที่ลูกค้าทำประกัน MRTA/MLTA ผ่านธนาคาร ธนาคารทดรองจ่ายค่าจดจำนองให้ 1% ของวงเงินกู้อนุมัติ หรือ สูงสุดไม่เกิน 2 แสนบาท (ทั้งนี้ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเรียกเก็บเงินทดรองจ่ายค่าจดจำนองดังกล่าวคืนจากลูกค้า กรณีลูกค้าปิดบัญชีสินเชื่อ หรือ เปลี่ยนแปลงสัญญาใด ๆ ภายใน 5 ปีแรก ทุกกรณี นับจากวันทำนิติกรรมจดจำนอง) 2.กรณีสมัครทำประกันชีวิต ต้องสมัครทำ MRTA/MLTA ทุนประกัน 100% ของวงเงินสินเชื่อ ระยะความคุ้มครองขั้นต่ำ 10 ปี หมายเหตุ -โครงการจัดสรรในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เท่านั้น* -ราคาซื้อขายของหลักประกันต้องมีราคา (แนวราบ) ไม่น้อยกว่า 2.00 ล้านบาท , (แนวสูง) ไม่น้อยกว่า 2.50 ล้านบาท -ลูกค้าสามารถเลือกใช้อัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำ ล้านละ 3,500 บาท  กรณีเลือกอัตราดอกเบี้ยคงที่** -ยกเว้น ค่าประเมินราคาหลักประกัน (โครงการจัดสรรทุกโครงการที่มีราคาซื้อขาย 2 ล้านบาทขึ้นไป)*** -ระยะเวลากู้สูงสุด 40 ปี รวมอายุผู้กู้ไม่เกิน 70 ปี**** -วงเงินกู้เพิ่มสูงสุด 10% จากสัญญาซื้อขาย เพื่อซื้อเฟอร์นิเจอร์ ตกแต่งบ้าน อัตราดอกเบี้ย 1) ทำประกัน MRTA/MLTA : ปีที่ 1-3 : MRR – 2.75% = 4.60% หรือ 2) ไม่ทำประกัน MRTA/MLTA : ปีที่ 1-3 : MRR – 2.25% = 5.10% , หลังจากนั้นปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR = 7.35% ***** -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่าง อัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี MRR = 7.35% (ณ 1 เม.ย. 64) ที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในโฆษณาฉบับนี้เท่านั้น ซึ่งอาจมีความแตกต่างตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -การพิจารณาคุณสมบัติของลูกค้าแต่ละรายให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ตามที่ธนาคารกำหนด -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์การพิจารณาสินเชื่อ โดยอยู่ในดุลยพินิจของธนาคาร ทั้งนี้เงื่อนไขต่าง ๆเป็นไปตามประกาศธนาคาร โดยมิต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า -อัตราดอกเบี้ย และโปรโมชั่น (มีวงเงินสินเชื่อจำกัด) สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อ โดยเบิกรับเงินกู้ ตั้งแต่วันนี้- 31 เม.ย. 65 -สำหรับอัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 1.9% สำหรับผู้กู้ที่มีรายได้ 75,000 บาทขึ้นไป ผ่อนต่ำเดือนละ 3,500 บาท ฟรีค่าจดจำนองสินเชื่อเมื่อซื้อประกันผ่านธนาคาร ฟรีค่าประเมินหลักประกัน 12.ธนาคารออมสิน ธนาคารออมสิน มีสินเชื่อเคหะ สำหรับให้บริการผู้ที่ต้องการกู้เงินเพื่อไปซื้อบ้านหรือคอนโด ภายใต้แคมเปญ ผ่อนต่ำปีแรก ล้านละ 2,500 บาทต่อเดือน สำหรับลูกค้าทั่วไป โดยยื่นกู้ภายในวันที่ 30 เมษายน 2565 อนุมัติและจัดทำนิติกรรมสัญญาให้แล้วเสร็จภายใน 31 พฤษภาคม 2565 โดยมีรายละเอียด ​ดังนี้​ กรณีทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 2.0% เพิ่มขึ้น 1.25% จากเดือนที่ผ่านมา เพราะมีแคมเปญดอกเบี้ย 0% ใน 6 เดือนแรก ทำให้เดือนที่ผ่านมามีดอกเบี้ยเฉลี่ยปีแรก 0.75% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 2.9% (MRR-3.345%) ลดลง 0.425% จากเดือนที่ผ่านมามีอัตราดอกเบี้ย 3.525% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.6% ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.126% เพิ่มขึ้น 0.025% จากเดือนที่ผ่านมามีอัตราดอกเบี้ย 4.101% กรณีไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 2.25% เพิ่มขึ้น 1.25% จากเดือนที่ผ่านมา ซึ่งมีอัตราดอกเบี้ย​ 1.0% จากแคมเปญเดือนที่ 1-6 ดอกเบี้ย 0% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย 2.0% ​ ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย 3.525% (MRR-2.72%) ลดลง 0.625% จากเดือนที่ผ่านมา คิดอัตราดอกเบี้ย  4.15% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.995% (MRR-1.25%) เพิ่มขึ้น 1.895% จากเดือนที่ผ่านมามีอัตราดอกเบี้ย 3.1% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.31% เพิ่มขึ้น 0.024% จากเดือนที่ผ่านมามีอัตราดอกเบี้ย 4.286%   เงื่อนไขการผ่อนชำระ -ปีที่ 1 ผ่อนชำระ 2,500 บาทต่อเดือน ปีที่ 2 ผ่อนชำระ 4,500 บาทต่อเดือน ปีที่ 3 ผ่อนชำระ 5,500 บาทต่อเดือน หมายเหตุ -ยื่นกู้ภายในวันที่ 30 เมษายน 2565 อนุมัติและจัดทำนิติกรรมสัญญาให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2565 -อัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำ MRR=6.245% (ตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2563) -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา (EIR) คำนวณจากวงเงินกู้ 1 ล้านบาท ระยะเวลาผ่อนชำระ 20 ปี ผ่อนเท่ากันทุกงวด -ทำประกัน หมายถึง การทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ โดยหลักเกณฑ์ เงื่อนไข เป็นไปตามธนาคารกำหนด -เงื่อนไขการใช้อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อเคหะตามโปรโมชั่น สมัครบริการ MyMo และผลิตภัณฑ์ / บริการอื่น ของธนาคารอย่างน้อย 2 ประเภท ได้แก่ บัตรอิเล็กทรอนิกส์ / บัตรเครดิต หรือสินเชื่อบัตรเงินสด / ชำระสินเชื่อหักผ่านบัญชี / ประกันชีวิตเพื่อประกันสินเชื่อ ทั้งนี้ หากลูกค้าใช้ผลิตภัณฑ์ / บริการอื่นตามที่กำหนดอยู่แล้ว สามารถใช้อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวได้ และกรณีไม่มี Smartphone ให้สมัครผลิตภัณฑ์ / บริการอื่นของธนาคารตามที่กำหนดทดแทนได้ -*กรณี ฟรี ค่าธรรมเนียมจดจำนอง ให้ตามที่จ่ายจริง (รวมทุกสัญญาที่กู้ในคราวเดียวกัน) และลูกค้าต้องสำรองจ่ายค่าจดจำนองแก่กรมที่ดินไปก่อน โดยธนาคารจะโอนเงินหลังหักภาษี ณ ที่จ่าย 1% ของเงินค่าธรรมเนียมจดจำนองคืนภายใน 30 วัน -กรณีผู้กู้ชำระคืนเงินกู้เสร็จสิ้น หรือไถ่ถอนจำนองก่อนครบกำหนด (Prepayment) ภายในระยะเวลา 3 ปี นับแต่วันที่ทำสัญญากู้เงิน ผู้กู้ต้องเสียค่าธรรมเนียมตามที่ธนาคารกำหนด (ปัจจุบันร้อยละ 3.00 ของยอดเงินต้นคงเหลือ) ทั้งนี้ กรณีเลือกอัตราดอกเบี้ยกรณีไถ่ถอนจำนองสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยจากสถาบันการเงินอื่น (Re-Finance) และฟรีค่าธรรมเนียมจดจำนอง ผู้กู้จะต้องชำระค่าจดจำนองคืนแก่ธนาคารเต็มจำนวน -หลักเกณฑ์เงื่อนไขอื่น ๆ ให้เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด โดยธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์เงื่อนไขโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า   หมายเหตุ Reviewyourliving รวบรวมข้อมูลจากเว็บไซต์ธนาคาร ณ​ วันที่ 4 เมษายน 2565   บทความที่เกี่ยวข้อง ธปท. ออกเกณฑ์​​คิด ดอกเบี้ย-ค่าบริการ-เบี้ยปรับ ผลิตภัณฑ์-บริการทางการเงิน ฉบับใหม่เพื่อความเหมาะสม-เป็นธรรม อัพเดทดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ สินเชื่อกู้ซื้อบ้าน เดือนมีนาคม 2565 แบงก์ไหนให้ดอกเบี้ยถูกสุด อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนมีนาคม 2565
บ้านและคอนโดราคาไม่เกิน 3 ล้าน มีโครงการเปิดใหม่ที่ไหนบ้าง?

บ้านและคอนโดราคาไม่เกิน 3 ล้าน มีโครงการเปิดใหม่ที่ไหนบ้าง?

บ้านและคอนโดราคาไม่เกิน 3 ล้าน  ปัจจัยส่งผลดีต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2565 ที่เห็นได้อย่างชัดเจนที่สุด คงเป็นการขยายระยะเวลาของมาตรการลดค่าจดทะเบียนการโอน และค่าจดทะเบียนจำนอง สำหรับผู้ซื้อบ้านและคอนโดมิเนียมราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ทั้งบ้านใหม่และบ้านมือสอง  ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 18 มกราคม 2565 ถึง 31 ธันวาคม 2565 นี้ ตามที่ได้มีประกาศในราชกิจจานุเบกษาไปก่อนหน้านี้แล้ว ​ สำหรับอัตราค่าธรรมเนียมการโอนและค่าจำนอง บ้านและคอนโดไม่เกิน 3 ล้านบาท มีรายละเอียดและเงื่อนไขของอัตราที่ปรับลดดังนี้ -ค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ จากอัตราปกติ 2.00% ลดเหลือ 0.01% -ค่าธรรมเนียมการจำนอง จากอัตราปกติ 1.00 % ลดเหลือ 0.01% -มาตรการสำหรับการซื้อที่อยู่อาศัยประเภท บ้านเดี่ยว บ้านแฝดและบ้านแถว อาคารพาณิชย์ หรือที่ดินพร้อมอาคาร และห้องชุด ที่จดทะเบียนอาคารชุด(คอนโด) ตามกฎหมาย -ราคาซื้อขาย และราคาประเมินกรมที่ดิน และวงเงินจำนองไม่เกิน 3 ล้านบาท ต้องมีการโอนซื้อขายและจดจำนองในคราวเดียวกัน จึงจะได้ลดค่าธรรมเนียม ได้รับลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอน และจำนองอสังหาริมทรัพย์ ที่เป็นอาคารที่อยู่อาศัย หรืออาคารพาณิชย์ หรือที่ดินพร้อมอาคารที่อยู่อาศัย หรืออาคารพาณิชย์ หรือห้องชุด ทั้งมือหนึ่งและมือสอง -ผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ต้องเป็นบุคคลธรรมดาที่มีสัญชาติไทย   สำหรับโครงการที่เข้าเกณฑ์  ก็คงเป็นโครงการสร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่ ที่ได้เปิดตัวไปก่อนหน้านี้แล้ว แต่อย่างไรก็ตาม โครงการที่เปิดตัวใหม่ในปีนี้ หากก่อสร้างแล้วเสร็จและสามารถส่งมอบลูกค้าได้ทัน ก็จะได้รับอานิสงค์ของมาตรการนี้ไปด้วย โดยเฉพาะบ้านแนวราบที่ก่อสร้างได้เร็ว และคอนโดที่เป็นโลว์ไรซ์   แล้วโครงการที่เปิดตัวใหม่ในปีนี้ มีโครงการไหนบ้างที่เข้าหลักเกณฑ์ คือ เป็นโครงการระดับไม่เกิน 3 ล้านบาท ที่จะเข้ามาเป็นตัวเลือกใหม่ ๆ ให้กับลูกค้าได้บ้าง วันนี้ Reviewyourliving ได้สำรวจรวบรวมมาไว้เป็นตัวอย่าง ให้ผู้ที่อยากซื้อบ้านและคอนโดราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ได้เลือกหาและจับจอง   แต่แม้ว่าจะซื้อหรือโอนบ้านและคอนโดราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทไม่ทันภายในปีนี้  ตลาดบ้านและคอนโดกลุ่มนี้ ก็นับว่าเป็นตลาดสำคัญที่มีดีมานด์สูง เพราะฐานรายได้ของคนไทยส่วนใหญ่ มีกำลังซื้อบ้านและคอนโดในระดับราคาเท่านี้เป็นหลัก  ซึ่งนับวันดีเวลลอปเปอร์ก็พัฒนาบ้านและคอนโดราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ออกมาได้น้อยลง ทั้ง ๆ พราะต้องยอมรับว่าราคาที่ดินพุ่งสูงมากขึ้น ไม่นับรวมกับต้นทุนอื่น ๆ ที่ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วย  แม้จะมีความต้องการสูงในตลาดบ้านและคอนโดในระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทก็ตาม รวม บ้านและคอนโดราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท เสนา ส่ง 3 แบรนด์ต่ำ 3 ล้าน ในบรรดาดีเวลลอปเปอร์รายใหญ่ในตลาดอสังหาฯ  บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ถือเป็นหนึ่งในผู้เล่นสำคัญของตลาดบ้านและคอนโดราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท เพราะมีการพัฒนาโครงการในกลุ่มสินค้าดังกล่าวออกมาค่อนข้างมาก โดยเฉพาะบ้านและคอนโด ระดับราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท ถือว่าเป็นเจ้าตลาดเลยก็ว่าได้   สำหรับปี 2565 บริษัทมีแผนขยายธุรกิจที่อยู่อาศัยด้วยการเปิดตัวโครงการใหม่รวม 49 โครงการ 27,480 ล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดมิเนียม  21 โครงการและแนวราบ 28 โครงการ ในจำนวน 49 โครงการ เป็นโครงการภายใต้​การควบรวมกิจการบริษัท เจ.เอส.พี พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ JSP จำนวน 25 โครงการ มูลค่า 8,980 ล้านบาท ซึ่งในปีนี้ “เสนา” วางเป้าหมายยอดขายไว้​​ 13,979 ล้านบาท และ​เป้าหมายยอดโอน 12,186 ล้านบาท   ส่วนใครที่ต้องการซื้อบ้านและคอนโด ราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ในปีนี้ “เสนา” ก็เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ ที่มีบ้านระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ออกมารองรับความต้องการถึง 17 โครงการ นอกจากนี้ ยังมีโครงการภายใต้การพัฒนาของแบรนด์ เจ.เอส.พี. อีกถึง 20 โครงการด้วย   โครงการของ “เสนา” ที่มีบ้านระดับราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ในปีนี้มี 3 แบรนด์หลัก​ ได้แก่ 1.แบรนด์ Flexi เป็นคอนโด ระดับราคา 1.39 - 2 ล้านบาทต้น ๆ ซึ่งเปิด 7 โครงการ ใน 7 ทำเลสำคัญ ได้แก่ รัตนาธิเบศร์ สาทร เตาปูน สุขสวัสดิ์ 13 บางนา เจริญนคร 70 และสาทร-กัลปพฤกษ์  2.แบรนด์เสนาคิทท์ (SENA Kith) คอนโดระดับราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท ซึ่งมีแผนเปิดใหม่จำนวน 9 โครงการ ในทำเลต่าง ๆ ดังนี้ เวสต์เกต รังสิต คลอง 4 บางกระดี รัจนาธิเบศร์ บางนา 29 เทพารักษ์ 2 นวนคร และอ้อมน้อย และ 3.แบรนด์เสนา วีว่า (SENA Viva) กับโครงการเสนาวีว่า เทพารักษ์ บางบ่อ ราคาเริ่มต้น 2.29 ล้านบาท ขณะที่โครงการในส่วนของ เจ.เอส.พี. ภายใต้แบรนด์ซีรี่ส์ เจ เช่น เจ บิซ (J Biz) เจ ซิตี้ (J City) เจ คอนโด (J Condo) เป็นต้น​ มีจำนวน 16 โครงการ ซึ่งมีระดับราคาเริ่มต้น 1.89-4.29 ล้านบาท  และโครงการภายใต้แบรนด์ไมอามี่ อีก 4 โครงการ ในทำเลบางปู มีระดับราคาเริ่มต้นเพียง 899,000-1.4 ล้านบาท ​ พฤกษา ประเดิม 4 โปรเจ็กต์ สำหรับบริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) มีแผนการเปิดโครงการใหม่ ที่เน้นตลาดแนวราบ โดยรุกกลุ่มเรียลดีมานด์เซ็กเม้นต์รายได้ระดับกลางถึงสูงมากขึ้น วางแผนเปิดโครงการใหม่ 31 โครงการ มูลค่า 16,300 ล้านบาท แบ่งเป็น ทาวน์เฮาส์ 22 โครงการ บ้านเดี่ยว 6 โครงการ และคอนโด 3 โครงการ ตั้งเป้ายอดขายปี 2565 อยู่ที่ 31,000 ล้านบาท และยอดโอน 33,000  ล้านบาท   ส่วนโครงการระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท  มี 4 โครงการ มาแนะนำ ดังนี้ 1.โครงการพฤกษาวิลล์ พหลโยธิน-คลองหลวง (2)   มูลค่า 873 ล้านบาท จำนวน 372 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 1.95 ล้านบาท พรีเซลล์วันที่ 28-29 พฤษภาคม ทำเลที่ตั้งติดถนนคลองหลวง-พหลโยธิน ใกล้รถไฟฟ้าสายสีแดง   2.โครงการบ้านพฤกษา บางนา-ศรีวารี  มูลค่าโครงการ 1,013 ล้านบาท จำนวน 443 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 1.73 ล้านบาท พรีเซลล์วันที่ 28-29 พฤษภาคม ทำเล 3.โครงการบ้านพฤกษา รังสิต-คลองสี่ (2)  มูลค่าโครงการ 544 ล้านบาท จำนวน 393 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 1.25 ล้านบาท พรีเซลล์วันที่ 21-22 พฤษภาคม 4.โครงการบ้านพฤกษา บางนา-ศรีนครินทร์  มูลค่าโครงการ 1,198 ล้านบาท จำนวน 496 ยูนิต ทาวน์เฮ้าส์เริ่มต้น 1.99 ล้านบาท บ้านแฝดราคาเริ่มต้น 3.7 ล้านบาท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค เปิด 1 โปรเจ็กต์ สำหรับบริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน)  มีแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ปีนี้ จำนวน 12 โครงการ รวมจำนวน  1,670 ยูนิต มูลค่าโครงการ 14,775 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นบ้านเดี่ยว ซึ่งมีราคาสูง แต่ก็มีโครงการที่จับตลาดระดับกลางลงล่างด้วยเช่นกัน  ซึ่งโครงการสำหรับผู้ที่มีงบไม่เกิน 3 ล้านบาท สามารถเลือกซื้อได้นั้น มีโครงการเดียวเท่านั้น คือ โครงการ โมดิ วิลล่า บางใหญ่ (2) ทาวน์เฮ้าส์ มูลค่าโครงการ 880 ล้านบาท จำนวน 331 ยูนิต ซึ่งจะเปิดตัวในช่วงไตรมาส 4 เอสซี แอสเสท ส่ง V compound  ลุยตลาด​ บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ปีนี้วางแผน​เปิดโครงการใหม่สูงสุดเป็นสถิติใหม่ ด้วยจำนวน 27 โครงการ รวมมูลค่า  40,000 ล้านบาท  เป็นโครงการแนวราบ 25 โครงการ มูลค่า 33,500 ล้านบาท ซึ่งมากกว่า 70% เป็นบ้านเดี่ยวราคามากกว่า 10 ล้านบาท  และเปิดคอนโด​ 2 โครงการ​ มูลค่า 6,500 ล้านบาท บนทำเล รถไฟฟ้า BTS 2 สถานี คือ วงเวียนใหญ่ และ  ทองหล่อ เพื่อสร้างรายได้ ตามเป้าหมาย 22,000 ล้านบาท  และยอดขายให้ได้ตามเป้าหมายมูลค่า  22,000  ล้านบาท   ส่วนโครงการของเอสซี สำหรับคนที่มีงบไม่เกิน 3 ล้านบาท ซื้อบ้านและคอนโด โครงการไหนได้บ้างนั้น มี 2  โครงการมาแนะนำ ดังนี้ คือ  1.โครงการ  V compound บางนา-ศรีนครินทร์ โครงการบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม จำนวน 95 ยูนิต ราคาเริ่ม 3 ล้านบาท  และ 2.โครงการ V compound รังสิต ซึ่งเตรียมเปิดตัวในช่วงเดือนตุลาคมนี้ ​ เฟรเซอร์ ส่ง โกลเด้นทาวน์จับตลาดต่ำ 3 ล้าน สำหรับ บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม (ประเทศไทย) จำกัด   มีแผนเปิดโครงการใหม่ 25 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 29,500 ล้านบาท  ตั้งเป้ารายได้ 13,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13%  โดยแบรนด์โกลเด้นทาวน์ เป็นโครงการระดับราคา 2-5 ล้านบาท ถือเป็นระดับราคาต่ำสุดของเฟรเซอร์ พร็อพเพอร์ตี้ โฮม ส่วนที่เหลือจะเป็นบ้านระดับราคาตั้งแต่ 6 ล้านบาทขึ้นไปจนถึง 120 ล้านบาท ซึ่งในปีนี้บริษัทมุ่งเน้นไปจับตลาดระดับบน กลุ่มบ้านแพงมากขึ้น เพราะมองว่า เป็นตลาดที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจน้อยที่สุด และยังเป็นมีกำลังซื้อสูง ส่วนแผนเปิดโครงการโกลเด้นทาวน์ในปีนี้วางไว้ทั้งหมด 10 โครงการ (ม.ค. - ธ.ค. 2565) โดยเปิดไปแล้ว 1โครงการเป็นแบบ VIP คือ โกลเด้น  ทาวน์  ฟิวเจอร์ - รังสิต  มูลค่าโครงการ 736 ล้านบาท จำนวน 269 ยูนิต ส่วนโครงการอื่น ๆ ยังไม่ได้ประกาศออกมาว่าจะเปิดในทำเลใดบ้าง ออริจิ้นเปิด 9 โปรเจ็กต์รับตลาดต่ำ 3 ล้าน สำหรับบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) วางแผนเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน  31 โครงการ  มูลค่า 42,000 ล้านบาท เพื่อสร้างยอดขายให้ได้ตามเป้าหมายหมายปีนี้​ 35,000 ล้านบาท และเป้าหมายรายได้ (โอนกรรมสิทธิ์ ) มูลค่า 17,500 ล้านบาท   ส่วนผู้ที่มีงบไม่เกิน 3 ล้านบาท สามารถซื้อบ้านและคอนโด ของออริจิ้น ในโครงการใหม่ที่เปิดตัวในปีนี้ มีที่ไหนบ้าง จากจำนวน 31 โครงการ  โดยจากการสำรวจพบว่ามีจำนวนทั้งหมด 9 โครงการ ดังนี้ 1.โครงการโซ ออริจิ้น พหล 69 สเตชั่น (So Origin Phahol 69 Station) ราคาเริ่มต้น 2.79 ลบ. 2.โครงการออริจิ้น เพลส บางนา (Origin Place Bangna) ราคาเริ่มต้น อยู่เอง 2.19 ลบ. // IP 2.99 ลบ. 3.โครงการออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ สิรินธร สเตชั่น (Origin Plug & Play Sirindhorn Station) ราคาเริ่มต้น 1.89 ลบ. 4.โครงการออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ ศรีนครินทร์ (Origin Plug & Play Srinakarin) (ยังทำราคาไม่เสร็จ) 5.โครงการออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ นนทบุรี สเตชั่น (Origin Plug & Play Nonthaburi Station) ราคาเริ่มต้น 1.69 ลบ. 6.โครงการออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ อี22 สเตชั่น (Origin Plug & Play E22 Station) ราคาเริ่มต้น 1.59 ลบ. 7.โครงการบริกซ์ตัน เพ็ท แอนด์ เพลย์ พหลโยธิน 50 สเตชั่น (Brixton Pet & Play Phahol 50 Station) ราคาเริ่มต้น 1.99 ลบ. 8.โครงการบริกซ์ตัน ระยอง (Brixton Rayong) ราคาเริ่มต้น 1.39 ลบ. 9.โครงการบริกซ์ตัน แคมปัส บางแสน (Brixton Campus Bangsaen) ราคาเริ่มต้น 1.69 ลบ. เอพี เปิดพลีโน่ ทาวน์-แอสปาย สำหรับบริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ​มีแผนพัฒนาโครงการใหม่ รวมจำนวน 65 โครงการ มูลค่าประมาณ 78,000 ล้านบาท แบ่งเป็นทาวน์โฮม 29 โครงการ มูลค่า 25,200 ล้านบาท บ้านเดี่ยว 26 โครงการ มูลค่า 35,600 ล้านบาท คอนโด 5 โครงการ มูลค่าประมาณ 13,000 ล้านบาท และโครงการในต่างจังหวัด 5 โครงการ มูลค่า 4,200 ล้านบาท ส่วนโครงการบ้านและคอนโด หากมีงบประมาณไม่เกิน 3 ล้านบาท สามารถเลือกซื้อได้ในแบรด์พลีโน่ ทวน์ ซึ่งเบื้องต้นเปิดตัว โครงการพลีโน่ ทาวน์ บางนา ทาวน์โฮม 2 ชั้นและบ้านแฝด จำนวน 351 ยูนิต ราคา 1.99-4.99 ล้านบาท  แบรนด์คอนโด แอสปาย ซึ่งเปิดตัวแล้ว​ 1 โครงการ คือ ASPIRE ปิ่นเกล้า–อรุณอมรินทร์ จำนวน 395 ยูนิต เริ่ม 2.89 ล้านบาท (เริ่ม 94,000 บาท/ตร.ม.) โนเบิล ส่งแบรนด์ นิว รับกำลังซื้อต่ำกว่า 3 ล้าน สำหรับบริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)  มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ปีนี้  จำนวน 18 โครงการ มูลค่า​ 47,700 ล้านบาท เพื่อสร้างเป้าหมายยอดรายได้ 29,000 ล้านบาท และมีเป้าหมายยอดขาย  28,000  ล้านบาท ซึ่งแผนปีนี้ได้เพิ่มสัดส่วนของการพัฒนาโครงการแนวราบ โครงการคอนโดแบบ Low Rise ในพอร์ตให้มากขึ้น เพื่อขยายพอร์ตให้มีสินค้ากระจายและรองรับกลุ่มลูกค้าได้หลากหลาย ซึ่งมีโครงการประเภทแนวราบ และคอนโดแบบ Low Rise จำนวน 12 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 18,800 ล้านบาท  โครงการประเภทแนวสูงจำนวน 6 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 28,900 ล้านบาท   โดยลูกค้าที่มีงบไม่เกิน 3 ล้านบาท สามารถเลือกซื้อโครงการคอนโด ภายใต้แบรนด์นิว (Nue) ของโนเบิลได้ ซึ่งได้เปิดตัวแล้ว 5 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 15,000 ล้านบาท แต่โครงการที่อยู่ภายใต้งบประมาณไม่เกิน 3 ล้านบาท มี 4 โครงการ ได้แก่ 1.โครงการ นิว โนเบิล ดิสทริค อาร์ 9 (Nue Noble District R9) มูลค่าโครงการประมาณ 6,200 ล้านบาท   ราคาเริ่มต้นเพียง 2.9 ล้านบาท 2.โครงการ นิว โนเบิล เมกา พลัส บางนา (Nue Noble Mega Plus Bangna) มูลค่าโครงการประมาณ 3,000 ล้านบาท ราคาเริ่มต้นเพียง 1.89 ล้านบาท 3.โครงการ นิว โนเบิล ซี-สแควร์ สวนหลวง สเตชั่น (Nue Noble Z-Square Suan Luang Station) มูลค่าโครงการประมาณ 700 ล้านบาท ราคาเริ่มต้นเพียง 1.79 ล้านบาท 4.โครงการ นิว โนเบิล คอนเน็กซ์ คอนโด ดอนเมือง (Nue Noble Connex Condo Donmueang) มูลค่าโครงการประมาณ 2,200 ล้านบาท ราคาเริ่มต้นเพียง 1.09 ล้านบาท ศุภาลัย เปิด 9 โปรเจ็กต์ ส่วนบริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ปีนี้วางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 34 โครงการ แบ่งเป็น โครงการแนวราบ 31 โครงการ และโครงการคอนโดมิเนียม 3 โครงการ ​มูลค่า  40,000 ล้านบาท เพื่อสร้างรายได้ตามเป้าหมาย  29,000 ล้านบาท และยอดขายตามเป้าหมาย​ 28,000  ล้านบาท   โครงการเปิดใหม่ปี 2565 สำหรับรองรับผู้ที่มีงบไม่เกิน 3 ล้านบาท รวม 9 โครงการ มูลค่า 7,200 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการคอนโดฯ ในกรุงเทพฯ จำนวน 2 โครงการ มูลค่า 4,200 ล้านบาท ​โครงการแนวราบในกรุงเหพฯ จำนวน 3 โครงการ มูลค่า 1,000 ล้านบาท และ โครงการแนวราบในต่างจังหวัด จำนวน 4 โครงการ มูลค่า 2,000 ล้านบาท   ทั้งหมดก็เป็นตัวอย่างบ้านและคอนโด ในระดับราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ที่สามารถเลือกซื้อเลือกจับจองได้ ตามความต้องการ มีหลากหลายทำเล รูปแบบบ้าน และหลายแบรนด์ ใครชอบโครงการของใคร ก็ไปเลือกดูกันตามต้องการ ที่สำคัญมากกว่าราคา คือ คุณภาพ เลือกให้ดี อย่าเลือกเพราะราคาและโปรโมชั่นเท่านั้น เพราะบ้านอยู่กับเราไปอีก 20-30 ปี หรือตลอดอายุเรา ถ้าไม่อยากมีปัญหาตามมาปวดหัวภายหลัง   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง เสนา ดีเวลลอปเมนท์  กับ 3 กลยุทธ์สู่เป้ารายได้กว่า 12,000 ล้าน ก้าวต่อไป เปิด 2 แบรด์ใหม่ จับตลาดต่ำล้าน เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม ปรับแผนธุรกิจปี 65 เพิ่มพอร์ต บ้านหรู ปูทางโตอย่างยั่งยืน เล็งรายได้คอนโด 20% พฤกษา เตรียมงบลงทุน 10,000 ล้านปี 65 พร้อมขยายธุรกิจ “พร็อพเทค-เฮลท์เทค” ​ เอพี ไทยแลนด์ เดินแผนพัฒนาสูงสุดในตลาด ประเดิม Q1 เปิดแนวราบ 11 โครงการ มูลค่า 9,590 ล้าน
10 ไอเดีย เปลี่ยนผนังห้องธรรมดาด้วยเทปกาวง่ายๆ ทำได้เอง

10 ไอเดีย เปลี่ยนผนังห้องธรรมดาด้วยเทปกาวง่ายๆ ทำได้เอง

10 ไอเดีย เปลี่ยนผนังห้องธรรมดาด้วยเทปกาวง่ายๆ ทำได้เอง ในช่วงที่ต้องทำงานแบบ work from home นี้ การอยู่ในห้องทั้งวันหลายคนคงจะเกิดอาการเบื่อ อาจจะต้องมีการปรับเปลี่ยนบรรยากาศภายในห้อง หรือลองตกแต่งสิ่งรอบๆ ข้างบ้าง เพื่อเป็นการเพิ่มความน่าสนใจให้กับห้องเดิมที่เราเห็นอยู่ทุกวันจนชินตา ครั้งนี้เรามีไอเดียมานำเสนอ ใช้อุปกรณ์ไม่เยอะ และสามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยตัวเอง ที่สำคัญใช้งบประมาณไม่มาก ก็สามารถเปลี่ยนบรรยากาศจากห้องเดิมให้เหมือนได้ห้องใหม่กันไปเลย   ครั้งนี้เราเลือกวิธีการอย่างง่าย ที่เชื่อว่าทุกคนสามารถทำได้ด้วยตัวเอง อย่างการทาสีผนัง บางคนอาจจะรู้สึกว่าเป็นงานที่ยากเพราะไม่เคยทำ แต่จริงๆ แล้วเราสามารถทำได้ด้วยตัวเองเพียงแค่ใช้เทปกาวเป็นตัวช่วยสร้างแพทเทิร์นลวดลายต่างๆ เพื่อเปลี่ยนสีผนังห้อง และปรับบรรยากาศให้ห้องของเราน่าอยู่มากยิ่งขึ้น แล้วจะมีแพทเทิร์นลวดลายอะไรบ้างไปดูพร้อมๆ กันเลยดีกว่า   10 ไอเดีย เปลี่ยนผนังห้องธรรมดาด้วยเทปกาวง่ายๆ ทำได้เอง   1.Color blocking การทาสีบล็อกแบบนี้เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการทาผนังโดยใช้เทปกาว เนื่องจากส่วนใหญ่แล้วผนังจะมีสีเดียวกัน และยังเป็นลายที่มีการใช้เทปกาวก็จำนวนน้อยกว่าเทคนิคอื่นๆ เหมาะสำหรับห้องที่เปิดกว้างและมีพื้นที่ผนังโล่งกว้าง การทาสีบล็อกแบบนี้เป็นวิธีที่ดีอีกรูปแบบนึงในการไม่ทำให้พื่นที่ดูว่างโล่งจนเกินไป     2.Triangle pattern หากว่าคุณกำลังมองหาการออกแบบลวดลายฝาผนังที่เรียบง่าย สบายตา แต่ในขณะเดียวกันก็ยังดูมีดีไซน์เก๋ไม่น่าเบื่อจนเกินไป ลายสามเหลี่ยมนี้ก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดี ซึ่งแพทเทิร์นนี้อาจจะใช้เวลาทาสีนานมากขึ้นอีกหน่อย เนื่องจากต้องรอให้สีแต่ละส่วนแห้งก่อนจึงจะทาสีในส่วนถัดไปได้ แต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็น่าประทับใจไม่น้อยเลยทีเดียว ลองเลือกชุดสีที่ใกล้เคียงกัน หรือเลือกใช้สีที่เป็นคู่ตรงข้ามกันหากคุณต้องการความฉูดฉาดโดดเด่นไม่ซ้ำใคร รับรองว่าจากผนังบานเรียบๆ จะป๊อปขึ้นทันตา     3.Vertical stripes ลายทางแนวตั้งก็เป็นอีกหนึ่งลายที่นิยมใช้กันมาก เนื่องจากมีความดึงดูดสายตา และสามารถช่วยให้ห้องที่มีเพดานต่ำดูสูงขึ้นได้ ส่วนใหญ่เรามักจะเลือกใช้เทปกาวให้มีขนาดเท่าๆ กัน หรือกะระยะแบ่งความกว้างให้สม่ำเสมอ แต่ถ้าอยากจะลองเปลี่ยนความกว้างของแถบสีแต่ละแถบให้กว้างขึ้น หรือเป็นแพทเทิร์นแบบไม่เท่ากันเพื่อเพิ่มความน่าสนใจให้กับผนังก็น่าสนใจไม่น้อย แม้กระทั่งการเลือกทาแถบสีไปจนถึงบนเพดานเลยก็สวยไปอีกแบบ     4.Horizontal stripes เทคนิคการทาสีเป็นแถบแนวนอนนั้นเหมือนกับการใช้กระดาษกาวแบ่งแถบสีเส้นแนวตั้งเลย แค่เปลี่ยนจากการใช้เทปกาวแปะขึ้นลงก็สลับเป็นซ้ายขวาแทน ลวดลายแพทเทิร์นแนวนอนนี้เป็นอีกรูปแบบที่ดีในการช่วยให้ห้องแคบรู้สึกกว้างขึ้น นอกจากนี้การใช้ลายทางกว้างเท่ากันก็ช่วยให้ความรู้สึกสว่างและโปร่ง สบายตามากขึ้นด้วย ซึ่งเราอาจจะเพิ่มลูกเล่นของสีเข้าไปโดยใช้เฉดสีต่างๆ ของสีเดียวกันก็จะสร้างเอฟเฟกต์แบบ Ombre หรือการไล่สีให้กับผนังธรรมดาสวยขึ้นได้ โดยให้เริ่มด้วยสีที่เข้มที่สุดอยู่ด้านล่างแล้วค่อยๆ ไล่เฉดสีขึ้นไป และใช้สีที่สว่างที่สุดทาด้านบน     5.Geometric blocks หากคุณเบื่อกับแพทเทิร์นง่ายๆ ลายเดิมๆ แล้ว ลองเลือกใช้รูปแบบของรูปทรงเรขาคณิตมาช่วยให้ผนังดูสดใส และมีลวดลายที่ซับซ้อนมากยิ่งขึ้นได้ ทั้งรูปทรงสี่เหลี่ยมขนาดต่างๆ วางทับซ้อนกัน หรือรูปสามเหลี่ยมที่หลากหลายมาใช้ หรือแม้แต่การนำรูปทรงในแบบต่างๆ มามิกซ์แอนด์แมทช์เข้าด้วยกัน และลองใช้สีโทนตรงข้ามกัน ทั้งโทนร้อนหรือโทนเย็นมาสร้างลูกเล่นเพิ่มเข้าไปให้กับผนังขาวๆ มีรูปแบบที่ดูน่าสนใจยิ่งขึ้น     6.Paint a trellis วิธีการของลวดลายแบบตาข่ายนี้ เป็นการทาสีให้เป็นช่องบนผนัง ซึ่งเป็นวิธีที่ดีในการสร้างความรู้สึกให้เหมือนกับมีสวนอยู่ในห้อง โดยเราจะใช้เทปกาวสร้างลวดลายตาข่ายเพื่อหลอกตา เพียงแค่กะระยะห่างให้เท่าๆ กัน แล้วเลือกทาสีเฉพาะช่องที่เว้นไว้ จากนั้นเราสามารถลองวาดเถาวัลย์ พวกไม้เลื้อยอย่าง Wisteria หรือแม้แต่เลือกหาไม้ประดับทั้งของไม้จริง และไม้ประดิษฐ์มาประดับเพิ่ม ก็เป็นทางเลือกที่ทำให้ห้องดูร่มรื่มและสบายตาได้อีก     7.Herringbone pattern ลวดลายกางปลานี้คนส่วนใหญ่มักจะนำไปเป็นลายสำหรับปูพื้นห้อง เพราะเป็นลายที่เพิ่มความหรูหรา และเป็นแพทเทิร์นที่สวยงาม เพียงแค่ใช้วัสดุจากไม้เข้ามา ก็ทำให้บรรยากาศของห้องดูคลาสสิค อีกทั้งยังเป็นรูปแบบที่นิยมกันมาอย่างยาวนาน ครั้งนี้เราลองเปลี่ยนจากลวดลายบนพื้นมาเป็นลวดลายกางปลาบนผนังดูบ้าง โดยเราสามารถวาดได้ด้วยตัวเอง เป็นเส้นทะแยงไปมาอย่างเป็นระเบียบ แต่ถ้าอยากได้เส้นของลายกางปลาเท่าๆ กัน ก็แค่ใช้เทปกาวแปะเป็นแนวเฉียงสลับกัน ทั้งนี้อาจจะใช้สีที่คล้ายกับไม้ด้วยก็ได้ หรือลองเลือกเป็นสีโทนอ่อนไม่เข้มจนเกินไป ก็จะเพิ่มความน่าสนใจได้เช่นกัน     8.Diamond pattern ลวดลายเพชรนี้ก็เป็นแพทเทิร์นอีกรูปแบบหนึ่งที่สามารถใช้เทปกาวในการสร้างสรรค์งานศิลปะลงบนผนังได้ไม่ยาก และเป็นอีกลายที่คลาสสิค เพียงแค่ใช้เทปกาวแปะเป็นแนวเฉียงสลับซ้ายขวาในแนวทะแยงมุมในมุมที่เท่าๆ กัน แล้วทางสีในช่องที่ต้องการได้เลย แค่นี้ก็เป็นอีกทางเลือกที่ดีสำหรับห้องที่เปิดโล่งและมีพื้นที่เยอะที่จะทำให้ห้องสดใสขึ้นมาได้ทันที     9.Argyle ลวดลายนี้เป็นการเพิ่มความยากและเลเวลอัพการทาผนังให้ดูมืออาชีพมายิ่งขึ้น เพราะเป็นแพทเทิร์นที่กินเวลากว่ารูปแบบของ Diamond pattern ในขั้นเริ่มต้นอาจจะมีความคล้ายกัน แต่อาจจะใช้เทปกาวเยอะกว่า และมีความซับซ้อนมากกว่าในการเลือกสี และการเลือกเว้นระยะของแถบสีให้มีเส้นเล็กหรือใหญ่เพื่อสร้างลวดลายที่ซับซ้อนมากขึ้น รวมถึงการเลือกทาสีในเฉดเดียวกันแต่มีความเข้มอ่อนไม่เท่ากันในแต่ละช่อง ซึ่งต้องอาศัยการวางแผนที่ดี แต่เมื่อเสร็จแล้ว แพทเทิร์นนี้จะช่วยให้ห้องดูโมเดิร์นขึ้นมาได้     10.Gingham ผนังลายตารางถือเป็นแพทเทิร์นยอดฮิตสุดคลาสสิคอีกอันนึงที่น่ารัก สดใส และนิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยมักจะเลือกใช้สีอ่อนไม่ว่าจะเป็นสีโทนร้อนหรือโทนเย็นก็ได้หมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเลือกสีพาสเทลมาใช้กับลายตารางก็จะเพิ่มความหวานให้กับห้องได้ เนื่องจากเรามักจะเลือกสีที่มาใช้ตัดกับพื้นสีขาวเดิมของผนัง แค่นี้ก็จะช่วยให้ไม่ดูทึบและหนักเกินไป เราสามารถทาได้ทั้งผนังในบางผนังของห้อง หรือจะทาแค่ครึ่งเดียวของผนังก็น่าสนใจเช่นกัน ซึ่งเป็นอีกแพทเทิร์นยอดนิยมที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับในทุกๆ งานศิลปะจริงๆ   เป็นอย่างไรบ้างกับไอเดียการออกแบบเพ้นท์ผนังด้วยเทปกาวที่เรานำมาฝากในครั้งนี้ ใครที่กำลังเบื่อกับสีผนังห้องเรียบๆ แบบเดิม ก็สามารถนำไปปรับใช้ให้เข้ากับผนังที่มีหรือส่วนอื่นๆ ในบ้านได้ ไม่ว่าจะเป็นห้องนั่งเล่น ห้องโถง ห้องนอน หรือแม้แต่ห้องครัว ไม่ต้องกลัวว่าจะทำเองไม่ได้ ลองเลือกลวดลายง่ายๆ เป็นการเริ่มต้นก่อน เราเชื่อว่าทุกคนสามารถทำตามได้อย่างแน่นอน และจะยิ่งเพิ่มความภาคภูมิใจได้เมื่อเสร็จแล้ว เพราะทุกอย่างเราได้ทำด้วยสองมือของตัวเอง   cr. fromhousetohome   บทความที่น่าสนใจ แต่งห้องนอน 12 ราศี ให้ถูกโฉลก  เฮง ๆ ปัง ๆ กับ  “หมอช้าง” ของแต่งบ้านเสริมฮวงจุ้ย ความรัก หาคู่แท้  
อีสเทอร์น สตาร์  เปิด 4 โครงการ 3,000 ล้าน  ลุยตลาดอสังหาฯ ท่ามกลางปัจจัยลบ

อีสเทอร์น สตาร์ เปิด 4 โครงการ 3,000 ล้าน ลุยตลาดอสังหาฯ ท่ามกลางปัจจัยลบ

อีสเทอร์น สตาร์ อีสเทอร์น สตาร์  เปิดแผนธุรกิจปีเสือ ผุด 4 โครงการใหม่ มูลค่า 3,000 ล้าน พร้อมวางเป้ารายได้-ยอดขาย 1,700 ล้าน ชี้ตลาดอสังหาฯ ยังเผชิญปัจจัยลบ ทั้งโควิด-19 ผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ หนี้ครัวเรือนสูง แต่ยังมีปัจจัยบวกจากมาตรการรัฐ   ดร.ต่อศักดิ์ เลิศศรีสกุลรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ ESTAR เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา  บริษัทได้ปรับกลยุทธ์ด้านการขายและการตลาดหันมาใช้ช่องทางสื่อออนไลน์ทุกรูปแบบ พร้อมเร่งสร้างการรับรู้รายได้จากการขายและโอนโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ​   นอกจากนี้ บริษัทได้รุกตลาดแนวราบมากขึ้น ด้วยการเปิดโครงการใหม่ คือเวลาน่า อะโมด้า อู่ตะเภา-บ้านฉาง ใน จ.ระยอง โครงการบ้านเดี่ยว ราคา 4.5-6.5 ล้านบาท บนพื้นที่ 27 ไร่ จำนวน 104 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 540 ล้านบาท ส่งผลให้ผลประกอบการบริษัทในปี 2564 มียอดขาย 1,334 ล้านบาท และยอดรายได้อยู่ที่ 1,326 ล้านบาท  มีผลกำไรสุทธิ 19 ล้านบาท   ดร.ต่อศักดิ์ กล่าวต่อว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2565 ยังต้องเผชิญปัจจัยลบ คือการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ และผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวส่งผลต่อรายได้และกำลังซื้อของลูกค้า ภาวะหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง การเพิ่มขึ้นของหนี้เสีย (NPL) ทำให้การปล่อยสินเชื่อยังคุมเข้ม ราคาวัสดุก่อสร้างปรับตัวสูงขึ้น ตลอดจนกำลังซื้อจากนักลงทุนต่างชาติยังไม่กลับมา แต่ยังมีปัจจัยบวก จากนโยบายภาครัฐที่ช่วยกระตุ้นตลาดอสังหาฯ เช่น การผ่อนคลายมาตรการ LTV การลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง ปริมาณบ้านคงค้างที่ลดลงจากการชะลอตัวในการเปิดการขายโครงการใหม่ในปีที่ผ่านมา แต่เชื่อมั่นว่ากำลังซื้อที่อยู่อาศัยอย่างแท้จริงยังคงมีอยู่ในตลาดสำหรับบ้านแนว ราบและคอนโดมิเนียมในระดับราคากลาง-ล่าง   โดยแผนธุรกิจในปี 2565  บริษัทวางเป้าหมายยอดขาย และเป้าหมายยอดรายได้ที่ราว 1,700 ล้านบาท  ซึ่งมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ จำนวน 4 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียม จำนวน 2 โครงการ ภายใต้แบรนด์ “Quintara  Lite” เป็นคอนโดมิเนียมซีรีย์ใหม่ในราคาเริ่มต้นไม่ถึง 2 ล้านบาท  ตั้งอยู่ในพื้นที่ใจกลางเมืองย่านรัชดาและสุขุมวิท  ส่วนที่จังหวัดระยองมีจะเปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยว 2 โครงการ ราคาเริ่มต้นต่ำกว่า 3 ล้านบาท ในพื้นที่โครงการอีสเทอร์น สตาร์ ฟอร์เรสโต้ อ.บ้านฉาง จ.ระยอง  
รวมแหล่งตรวจเครดิตบูโร เช็คความพร้อมก่อนสร้างหนี้ ​

รวมแหล่งตรวจเครดิตบูโร เช็คความพร้อมก่อนสร้างหนี้ ​

ตรวจเครดิตบูโร การตรวจเช็คเครดิตบูโร ถือเป็นหนึ่งเรื่องสำคัญ ของคนที่คิดจะก่อหนี้ก้อนโต อย่างเช่น การขอสินเชื่อธนาคาร เพื่อกู้ซื้อบ้าน หรือคอนโดมิเนียมสักห้อง เพราะธนาคารจะดูข้อมูลของผู้ขอกู้ ว่ามีคุณสมบัติครบถ้วนตามหลักเกณฑ์การให้สินเชื่อหรือไม่ หรือก็คือ จะต้องตรวจดูข้อมูลย้อนหลัง ว่ามีพฤติกรรมการชำระหนี้ในอดีตอย่างไร มีภาระหนี้สินปัจจุบันมากน้อยแค่ไหน จะได้ประเมินและวัดความสามารถในการผ่อนชำระหนี้กับทางธนาคารนั่นเอง ปัจจุบันการตรวจเครดิตบูโร ไม่ใช่เรื่องยาก สามารถทำได้ด้วยตนเอง และมีช่องทางการตรวจเครดิตบูโรหลากหลายช่องทางมาก ซึ่งวันนี้ได้รวบรวมข้อมูลมาให้ใว้แล้ว สะดวกที่ไหน สะดวกอย่างไร ก็ใช้บริการกันได้ตามความสะดวกเลย​ รวมแหล่งตรวจเช็คเครดิตบูโร 1.ศูนย์ตรวจเครดิตบูโร ปัจจุบันศูนย์ตรวจเครดิตบูโรส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่จังหวัดกรุงเทพฯ​ เป็นหลัก โดยมีศูนย์ตรวจที่ให้บริการตามพื้นที่ต่าง ๆ ดังนี้   -ศูนย์ตรวจเครดิตบูโร ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สำนักงานใหญ่  อาคาร 2 ชั้น 2  เลขที่ 63 ถนนพระราม 9 เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ 10310 เปิดให้บริการวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 9.00 – 16.30 น. หยุดวันนักขัตฤกษ์ ให้บริการกับบุคคลธรรมดาของตนเองและมอบอำนาจ / เครดิตสกอริ่ง (บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล) / นิติบุคคล / นิติบุคคล (มอบอำนาจ) / ชาวต่างชาติ  นิติบุคคลยังใช้บริการผ่านไปรษณีย์ลงทะเบียนได้ด้วย   -ศูนย์ตรวจเครดิตบูโร – อาคารเพิร์ล แบงก์ค็อกชั้น 3 (โซนธนาคาร) (BTS อารีย์ ทางออก 1) เปิดให้บริการวันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 9.00 น. – 18.00 น. หยุดวันหยุดนักขัตฤกษ์ ให้บริการเฉพาะบุคคลธรรมดาของตนเองและมอบอำนาจ / เครดิตสกอริ่ง (บุคคลธรรมดา) / ชาวต่างชาติ   -ศูนย์ตรวจเครดิตบูโร – สถานีรถไฟฟ้า BTS ศาลาแดง (ภายในสถานี)  เปิดให้บริการวันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 9.00 น. – 18.00 น. หยุดวันหยุดนักขัตฤกษ์ ให้บริการเฉพาะบุคคลธรรมดาของตนเองและมอบ อำนาจ / เครดิตสกอริ่ง (บุคคลธรรมดา) / ชาวต่างชาติ   -ศูนย์ตรวจเครดิตบูโร – ท่าวังหลัง (บริเวณทางเข้า-ออก ท่าเรือ และใกล้ประตู 8 ของโรงพยาบาลศิริราช) เปิดให้บริการวันจันทร์ –  ศุกร์ เวลา 9.00 น. – 18.00 น ให้บริการเฉพาะบุคคลธรรมดาของตนเองและมอบอำนาจ / เครดิตสกอริ่ง (บุคคลธรรมดา) / ชาวต่างชาติ   -ศูนย์ตรวจเครดิตบูโร – สถานีรถไฟฟ้า BTS หมอชิต (ภายในสถานี) เปิดให้บริการวันจันทร์ –  อาทิตย์ เวลา 9.00 น. – 18.00 น. ให้บริการเฉพาะบุคคลธรรมดาของตนเองและมอบอำนาจ / เครดิตสกอริ่ง (บุคคลธรรมดา) / ชาวต่างชาติ   -ศูนย์ตรวจเครดิตบูโร – สถานีรถไฟฟ้า BTS ชิดลม (ภายในสถานี) เปิดให้บริการวันจันทร์ –  อาทิตย์ เวลา 9.00 น. – 18.00 น. ให้บริการเฉพาะบุคคลธรรมดาของตนเองและมอบอำนาจ / เครดิตสกอริ่ง (บุคคลธรรมดา) / ชาวต่างชาติ   -ศูนย์ตรวจเครดิตบูโร ห้างเจเวนิว (นวนคร) ชั้น 3 ติดประกันสังคม เปิดให้บริการวันจันทร์ –  อาทิตย์ เวลา 9.00 น. – 18.00 น. ให้บริการเฉพาะบุคคลธรรมดาของตนเองและมอบอำนาจ / เครดิตสกอริ่ง (บุคคลธรรมดา) / ชาวต่างชาติ 2.Application เช่น Bureou OK สำหรับการตรวจเครดิตบูโร ยังสามารถทำได้สะดวกและง่าย ๆ ผ่าน แอป ได้แก่ แอป Bureou OK  ของ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติฯ การตรวจข้อมูลเครดิตและเครดิตสกอริ่ง ผ่านแอป Bureau OK  มีขั้นตอนต่าง ๆ ดังนี้ ขั้นตอนการลงทะเบียนใช้บริการ Bureau OK 1.ลงทะเบียนโดยใช้บัตรประชาชนของตนเอง ยื่นให้กับเจ้าหน้าที่ เตรียมหมายเลขโทรศัพท์มือถือ (เพื่อรับรหัส OTP ยืนยันตัวตน)  และอีเมลของตนเอง สำหรับยืนยันการใช้บริการ 2.ดาวน์โหลดแอป Bureau OK  ได้ทั้งระบบปฏิบัติการ Android และ iOS 3.สร้างบัญชีผู้ใช้งานและเข้าระบบได้เลย​ – บริการตรวจข้อมูลเครดิตและเครดิตสกอริ่ง รับรายงานรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (NCB e-Credit Report) ทางอีเมลได้ทันที – บริการอื่น ๆ เช่น รายงานแบบสรุป ดูประวัติการตรวจย้อนหลัง เช็กภาระหนี้สินของตนเอง การอ่านรายงาน ข่าวสารข้อมูลเครดิตบูโร – สอบถามปัญหา ข้อสงสัยเกี่ยวกับเครดิตบูโร ค่าบริการ -รายงานข้อมูลเครดิต 100 บาท -รายงานข้อมูลเครดิตและเครดิตสกอริ่ง 200 บาท -สามารถเลือกชำระค่าบริการผ่าน QR Code หรือบัตรเครดิต/บัตรเดบิตได้ในแอปทันที   ข้อมูล 21 มี.ค. 65*ปิดปรับปรุงระบบบริการแอปพลิเคชัน “บูโร โอเค” เป็นการชั่วคราว เพื่อพัฒนาระบบและเพิ่มประสิทธิภาพระบบบริการให้ดียิ่งขึ้น 3.ตู้ตรวจเครดิตบูโรด้วยตนเอง สำหรับคนที่อยู่ในเขตกรุงเทพฯ  สามารถตรวจเครดิตบูโรได้ด้วยตนเอง ผ่านตู้คีออส ซึ่งเป็นตู้ตรวจเครดิตบูโรด้วยตนเอง ซึ่งสามารถรับรายงานทางอีเมล ได้ทันที โดยตู้ตั้งอยู่ตามสถานที่ต่าง ๆ ดังนี้   1.Bureau Lab (บูโรแล็บ) –ภายในสถานี BTS ชิดลม และหมอชิต –ท่าเรือวังหลัง อยู่บริเวณทางเข้า-ออก ท่าเรือ และใกล้ประตู 8 ของโรงพยาบาลศิริราช 2.สถานีกลางบางซื่อ  ด้านหลังเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ ประตูทางเข้า 1  จุดติดตั้งนาฬิกาประจำสถานี หรือนาฬิกาหน้าปัดหมายเลข 9 3.ศูนย์การค้า ดิ อเวนิว รัชโยธิน กรุงเทพฯ ชั้น 4 4.ที่ทำการไปรษณีย์ทั่วประเทศ ที่ทำการไป​รษณีย์ และเคาน์เตอร์บริการไปรษณีย์ ทุกแห่งทั่วประเทศ  เป็นอีกสถานที่ที่สามารถตรวจเช็คข้อมูลเครดิตบูโรได้ โดยใช้บัตรประชาชนของตนเอง พร้อมค่าบริการรายงานข้อมูลเครดิต 150 บาทไปยื่นขอรับได้ แต่เฉพาะรายการลูกค้าบุคคลธรรมดา ยื่นขอตรวจของตนเองเท่านั้นหาก ซึ่งจะรับรายงานทางไปรษณีย์ลงทะเบียน ภายใน 7 วันทำการ แต่หากต้องการตรวจเครดิตบูโรแบบสรุป สามารถรอรับได้ทันที  และไม่เสียค่าบริการ  สามารถตรวจสอบสาขาที่ให้บริการเพิ่มเติม ที่ www.thailandpost.co.th  5.Internet Banking สำหรับ Internet Banking ก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางในการตรวจเครดิตบูโร แต่จะมีเฉพาะธนาคารกรุงศรีอยุธยา และธนาคารกรุงไทย เพียง 2 แห่งเท่านั้นที่ท่านสามารถยื่นคำขอรายงานเครดิตบูโรได้ผ่านช่องทาง Internet Banking ได้ด้วยตนเอง 6.Mobile Banking ในยุคปัจจุบันคนส่วนใหญ่ มักจะมีแอปพลิเคชั่นเพื่ออำนวยความสะดวก รวมถึงแอปของธนาคาร เพื่อทำธุรกรรมทางการเงินต่าง ๆ  และหนึ่งในนั้นก็คือ การขอข้อมูลเครดิตบูโรผ่านแอปธนาคารด้วย ซึ่งปัจจุบันมี 4 ธนาคารที่เปิดให้บริการผ่านโมบาย แอป ดังนี้ แอป MyMo ธนาคารออมสิน ให้บริการตรวจข้อมูลเครดิตและเครดิตสกอริ่ง ผ่านโมบายแอป MyMo ธนาคารออมสิน  เลือกวิธีรับรายงานได้ 2 รูปแบบ 1.รับรายงานรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (NCB e-Credit Report) ทางอีเมล ภายใน 24 ชั่วโมง ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่เครดิตบูโรกำหนด 2.รับผลทางไปรษณีย์ลงทะเบียนภายใน 7 วันทำการ (ข้อมูลรูปแบบเอกสาร) สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม 1143 MyMo Call Center   หมายเหตุ -กรณีชื่อ-นามสกุล อีเมล เบอร์โทรศัพท์มือถือ และที่อยู่ของท่านมีการเปลี่ยนแปลง กรุณาปรับแก้ไขในระบบให้ถูกต้องก่อนใช้บริการ -อัปเดต Mymo เป็นเวอร์ชันล่าสุดก่อนทำรายการ   -แอป KKP Mobile Application ให้บริการตรวจข้อมูลเครดิตและเครดิตสกอริ่ง ผ่าน KKP Mobile Application ธนาคารเกียรตินาคินภัทร (แบบเรียลไทม์)   -แอป  Krungthai Next ให้บริการตรวจรายงานข้อมูลเครดิตและเครดิตสกอริ่ง ผ่านโมบายแอป ”Krungthai Next” รับรายงานรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (NCB e-Credit report) ทางอีเมล ภายใน 24 ชั่วโมง  แต่ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่เครดิตบูโรกำหนด ซึ่งสามารถเลือกวิธีรับผลได้ดั่งใจ 2 วิธี 1.รับผลทางอีเมลภายใน 24ชั่วโมง* (ข้อมูลเครดิตรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์) 2.รับผลทางไปรษณีย์ลงทะเบียนภายใน 7 วันทำการ (ข้อมูลเครดิตรูปแบบเอกสาร)   หมายเหตุ : – หากไม่ได้รับภายในกำหนด โปรดติดต่อ consumer@ncb.co.th – บริการยื่นคำขอตรวจเครดิตบูโรผ่านเคาน์เตอร์สาขา และ ATM ของธนาคารกรุงไทย พร้อมรับผลทางไปรษณีย์ลงทะเบียนได้เช่นเดิม   -แอป ttb touch การตรวจเครดิตบูโรผ่านโมบายแอป “ttb touch” (ธนาคารทีทีบี)  สามารถรับรายงานข้อมูลเครดิตรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (E-Credit report) ทางอีเมลภายใน 3 วันทำการ (ข้อมูลเครดิตรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์) หรือรับผลทางไปรษณีย์ลงทะเบียนภายใน 7 วันทำการ (ข้อมูลเครดิตรูปแบบเอกสาร)   หมายเหตุ -กรณีชื่อ-สกุล อีเมล เบอร์โทรศัพท์มือถือ และที่อยู่ของท่านมีการเปลี่ยนแปลง กรุณาปรับแก้ไขในระบบให้ถูกต้อง ก่อนใช้บริการ -หากไม่ได้รับภายในกำหนด โปรดติดต่อ consumer@ncb.co.th -บริการยื่นคำขอตรวจเครดิตบูโรผ่านเคาน์เตอร์สาขา และ ATM ของธนาคารทีเอ็มบี พร้อมรับผลทางไปรษณีย์ลงทะเบียนได้เช่นเดิม 7.เคาน์เตอร์ธนาคาร สำหรับคนที่อาจจะไม่ชอบใช้เทคโนโลยี หรือไม่ถนัด ก็สามารถเดินทางไปที่ธนาคาร เพื่อขอตรวจเครดิตบูโร หรือประวัติเครดิตได้ด้วย โดยการยื่นคำขอตรวจเครดิตบูโร ผ่านเคาน์เตอร์ 5 ธนาคารทั่วประเทศได้ดังนี้ -ธนาคารกรุงไทย -ธนาคารอาคารสงเคราะห์ -ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ -ธนาคารกรุงศรี -ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร   โดยธนาคารจะทำหน้าที่เป็นตัวแทน บริษัท ข้อมูลเครดิตฯ ในการรับคำขอตรวจสอบ และรับชำระค่าตรวจสอบ ซึ่งจะให้บริการเฉพาะเจ้าของข้อมูลที่เป็นบุคคลธรรมดา และต้องมายื่นขอตรวจสอบด้วยตนเองเท่านั้น โดยบริษัท ข้อมูลเครดิตฯ​จะเป็นผู้ตรวจสอบข้อมูล และจัดส่งรายงานข้อมูลเครดิตทางไปรษณีย์ลงทะเบียนให้แก่ผู้ขอ ภายใน 1 สัปดาห์นับจากวันที่ท่านได้ยื่นคำขอที่ธนาคาร   ขั้นตอนการขอยื่นคำขอตรวจสอบข้อมูลเครดิตที่เคาน์เตอร์ธนาคาร 1.เจ้าของข้อมูลบุคคลธรรมดา กรอกแบบคำขอตรวจสอบข้อมูลเครดิตที่ธนาคาร หรือขอแบบฟอร์มจากเจ้าหน้าที่ธนาคารสาขาที่ท่านติดต่อ และลงลายมือชื่อให้ครบถ้วน พร้อมแนบหลักฐาน ดังต่อไปนี้ กรณีบุคคลสัญชาติไทย บัตรประจำตัวประชาชน/บัตรอื่นที่หน่วยงานราชการออกให้ที่แสดงเลขที่บัตรประจำตัวประชาชน (ตัวจริง) กรณีบุคคลต่างด้าว 1.หนังสือเดินทาง/ใบสำคัญถิ่นที่อยู่ (ตัวจริง) 2.ยื่นเอกสารในข้อ 1 และชำระค่าธรรมเนียมการตรวจสอบข้อมูลเครดิตต่อเจ้าหน้าที่ธนาคาร 3.ธนาคาร จะออกหลักฐานการรับชำระเงินค่าธรรมเนียม และค่าจัดส่งเอกสาร ให้แก่ท่านเก็บไว้เป็นหลักฐาน 4.บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จะจัดส่งรายงานข้อมูลเครดิตให้แก่ท่านภายใน 7 วันทำการนับจากวันที่ยื่นคำขอ ที่ธนาคาร   หมายเหตุ :  ในแบบฟอร์มการขอตรวจสอบ กรุณาระบุที่อยู่ของท่านที่จะให้บริษัทจัดส่งรายงานให้ครบถ้วน และชัดเจน รวมทั้งหมายเลขโทรศัพท์ของท่านในกรณีที่บริษัทต้องการสอบถามเพิ่มเติม 8.ตู้เบิกเงินสด (ATM) เราสามารถตรวจเครดิตบูโรผ่านตู้ ATM ของธนาคารได้ด้วย  โดยต้องเป็นบัตรเอทีเอมของธนาคารนั้น ซึ่งเจ้าของบัตรใช้บริการได้ กับตู้ ATM ของธนาคารต่าง ๆดังนี้ -ธนาคารกรุงไทย (KTB) สำหรับลูกค้าของธนาคารที่ถือบัตร ATM และบัตรเดบิต -ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) สำหรับลูกค้าของธนาคารที่ถือบัตร ATM, บัตรเดบิต และบัตรเครดิต (ที่ใช้เป็นบัตรเอทีเอ็ม) โดยผู้ขอจะได้รับรายงานทางไปรษณีย์ลงทะเบียนภายใน 1 สัปดาห์ 9.ช่องทางออนไลน์ของเครดิตบูโร (NCB) นอกจากนี้ บริษัท ข้อมูลเครดิตฯ ยังมีบริการสอบถามข้อมูลต่าง ๆ รวมถึงการเช็คเครดิตบูโร กับช่างออนไลน์และโซเชียลมีเดีย ได้แก่ เว็บไซต์ www.ncb.co.th ช่องทางไอจี เฟสบุ๊ค ยูทูป ไลน์แอด ilovebureau และอีเมล consumer@ncb.co.th ซึ่งสามารถติดต่อเพื่อขอตรวจเช็คเครดิตบูโร และข้อมูลอื่น ๆ ได้ตลอด 24 ชั่วโมง   ทั้งหมดนี้ ก็เป็นแหล่งการตรวจเครดิตบูโร ที่ทุกคนอยากรู้ว่าตนเองมีประวัติการชำระหนี้อย่างไร หรือมีหนี้อยู่มากน้อยแค่ไหน ก็สามารถตรวจสอบกันได้ โดยเฉพาะคนที่กำลังวางแผนก่อหนี้ก่อนใหญ่ ควรจะตรวจสอบและเตรียมความพร้อมให้ดีที่สุด   CR : บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร)  
ไขข้อสงสัย? บ้านแบบไหนเหมาะกับ การติดโซลาร์เซลล์ และ 7 เรื่องควรรู้

ไขข้อสงสัย? บ้านแบบไหนเหมาะกับ การติดโซลาร์เซลล์ และ 7 เรื่องควรรู้

การติดโซลาร์เซลล์ การติดโซลาร์เซลล์ บนหลังคาอาคาร หรือที่พักอาศัย เป็นแนวทางหนึ่งที่เข้ามาช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าได้อย่างมาก โดยเฉพาะหากคิดถึงความคุ้มค่าในระยะยาว เพราะเป็นการลงทุนครั้งเดียว และเป็นการใช้พลังงานธรรมชาติที่ไม่ต้องลงทุนเพิ่มเติม ยกเว้นแต่การดูแลรักษา และการซ่อมบำรุงตามอายุการใช้งาน โดยเฉพาะตอนนี้อากาศเมืองไทยร้อนกันสุด ๆ แดดแรงแทบจะเผาผิวเราให้ไหม้ได้เลย ถ้าขืนไปยืนอยู่กลางแดดนาน ๆ โดยไม่ได้มีการป้องกัน ทำให้คนส่วนใหญ่เลือกจะอยู่แต่ภายในอาคาร เปิดเครื่องปรับอากาศเย็น ๆ เพื่อความสบายตัว ลดความเสี่ยงออกไปสัมผัสอากาศร้อนภายนอก   เมื่อต้องอยู่แต่ภายในอาคาร หรือบ้านเรือน ที่พักอาศัย แถมต้องเปิดเครื่องปรับอากาศ หรือ พัดลมเป็นเวลานาน ๆ แน่นอน ค่าไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้นแน่นอน แม้ว่าจะใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าแบบประหยัดไฟเบอร์ 5 ก็ตาม แต่ช่วงหน้าร้อนแบบนี้ ค่าไฟฟ้าสูงขึ้นสูงสุดของปี การติดโซลาร์เซลล์ จึงน่าจะเป็นตัวช่วยที่ดีในการประหยัดค่าไฟฟ้า บ้านแบบไหนเหมาะกับ การติดโซลาร์เซลล์ ระบบโซลาร์เซลล์ หรือระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ถือเป็นพลังงานทางเลือกที่ได้รับความนิยมมากขึ้น​ เพราะนอกจากจะเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมแล้ว ปัจจุบันราคายังถูกลงกว่าในอดีตค่อนข้างมาก และยิ่งในระยะยาวก็มีความคุ้มค่า เพราะเป็นการลงทุนครั้งเดียว ไม่นับรวมกับการซ่อมบำรุง และในอนาคตโซลาร์จะเป็นหนึ่งในพลังงานที่สามารถทดแทนพลังงานหลักได้หากมีความต้องการใช้ไฟฟ้าที่มากขึ้น   ปัจจุบันดีเวลลอปเปอร์ที่พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย ก็ใชระบบโซลาร์เซลล์ ที่มีการติดตั้งตามอาคารหรือบ้านมาเป็นหนึ่งจุดขายสำคัญ เพราะช่วยทำให้คนที่อยู่บ้านลดค่าใช้จ่ายจากค่าไฟฟ้าลงได้มาก ทำให้ระบบโซลาร์เซลล์ ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนบ้านไหนที่ยังไม่ได้ติดตั้งโซลาร์เซลล์ แล้วมีความสนใจที่จะนำมาติดตั้งบ้าง คงต้องศึกษาข้อมูลและวัดความคุ้มค่าดูก่อน เพื่อใช้เป็นเกณฑ์ปรกอบการตัดสินใจ เพราะแม้ว่าปัจจุบันราคาโซลาร์เซลล์จะถูกลง แต่ก็ต้องใช้งบประมาณมากพอสมควร ​   สำหรับบ้านที่จะติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ เพื่อใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ควรมีพื้นที่บนหลังคาหรือดาดฟ้าที่รับแสงได้ดี โดยทิศใต้จะรับแสงได้ดีที่สุด ส่วนทิศเหนือจะรับแสงได้น้อยที่สุด การติดตั้งจะใช้พื้นที่ประมาณ 14 – 18 ตารางเมตรขึ้นไป และพื้นที่ติดตั้งต้องรับน้ำหนักได้ประมาณ 20 กิโลกรัมต่อตารางเมตรขึ้นไปด้วย ซึ่งบ้านที่เหมาะกับการติดตั้งระบบโซลาร์จะเป็นบ้านแบบไหนบ้าง มาดูกัน -บ้านที่มีการใช้ไฟระหว่างวันมาก เช่น บ้านที่มีผู้อยู่อาศัยช่วงเวลากลางวัน อาคารโฮมออฟฟิศ ร้านอาหารที่มีการเปิดแอร์ตลอดวัน ส่วนใครที่ใช้รถยนต์ไฟฟ้า การชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์ช่วงกลางวันถือว่าเหมาะมาก เพราะเป็นช่วงที่สามารถใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ได้เต็มที่ ช่วยลดการใช้ไฟจากการไฟฟ้าได้เป็นอย่างดี -เจ้าของบ้านที่อยากมีส่วนร่วมในการใช้พลังงานสะอาด และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยการติดตั้งระบบโซลาร์จะช่วยลดการเกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจกได้ นอกจากนี้ การติดโซลาร์เซลล์ยังช่วยให้บ้านเย็นขึ้นด้วย เพราะเหมือนมีหลังคาอีกชั้นช่วยบังแดดไว้ -บ้านที่ต้องการประหยัดค่าไฟในระยะยาว การติดโซลาร์ เป็นการตอบรับการมาของโลกยุคดิจิทัล ที่ค่าไฟมีแนวโน้มสูงขึ้นทุกปี โดยบ้านที่มีค่าไฟเกิน 3,000 บาทต่อเดือน มีความเหมาะสมที่จะติดโซลาร์เซลล์ 7 ข้อต้องรู้ในการติดตั้งโซลาร์เซลล์ สำหรับบ้านไหน หรืออาคารไหน ที่ต้องการจะติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ หรือโซลาร์รูฟท็อป คงต้องทำการศึกษาหาข้อดีข้อเสีย วางแผนด้านการติดตั้ง เพราะว่าจะต้องมีขั้นตอนการขออนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการวางแผนงบประมาณ  ข้อมูลด้านการใช้งาน การดูแล และบำรุงรักษา เพื่อจะได้เข้าใจระบบการทำงาน ลดปัญหาที่จะเกิดขึ้นภายหลังด้วย โดยแนวทางการติดโซลาร์เซลล์  มี 7 เรื่องสำคัญที่จะต้องทำความเข้าใจ และต้องปฏิบัติ ดังนี้ 1.เช็คพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าในบ้านด้วย บิลค่าไฟฟ้าย้อนหลัง 3 เดือน – 1 ปี ก่อนจะหาสเปคแผงโซลาร์เซลล์ หรือคิดว่าบ้านเราจะต้องติดตั้งกี่แผงดี? หยุดความคิดนั้นก่อน เพราะสิ่งที่ต้องทำอันดับหนึ่งคือต้องคำนวนว่าบ้านเราใช้ไฟฟ้ามากน้อยแค่ไหน ด้วยการดูบิลค่าไฟฟ้าย้อนหลัง 3 เดือน – 1 ปี เพราะพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าของเราจะเป็นเหมือนแนวทางให้เราสามารถตัดสินใจได้ว่าเราจะติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ที่มีกำลังผลิตเท่าไร 2.สำรวจปริมาณการใช้ไฟฟ้าทั้งกลางวันและกลางคืน ลองดูว่าปริมาณที่เราใช้ไฟฟ้าในตอนกลางวันมากน้อยแค่ไหน เอามาเปรียบเทียบกับปริมาณการใช้ไฟฟ้าในตอนกลางคืน เราจะได้เห็นว่าถ้าเราจะสามารถลดค่าไฟฟ้าช่วงกลางวันไปได้เท่าไรหากติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป 3.เช็คค่าใช้จ่ายในการติดตั้ง สำหรับค่าใช้จ่ายในการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ ขอเปรียบเทียบกับข้อมูล ดังนี้ หากเราต้องการติดตั้งโซลาร์เซลล์ที่มีกำลังติดตั้ง 1,000 วัตต์ จะมีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นที่ 25,000 บาท ถึง 35,000 บาท ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่รวมทุกๆอย่างแล้วทั้ง ค่าบริการติดตั้ง ค่าใช้จ่ายในการขออนุญาตติดตั้ง ทั้งนี้ การติดตั้ง 1,000 วัตต์หรือ 1 กิโลวัตต์ สามารถลดค่าไฟฟ้าได้ประมาณ 500-800 บาทต่อเดือน 4.สำรวจพื้นที่สำหรับติดตั้งและการยื่นเรื่องขออนุญาตติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ เมื่อเราสำรวจการใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน และเลือกปริมาณในการผลิตแล้ว ให้เราแจ้งขออนุญาตติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ที่เขตโยธาท้องถิ่นที่เราอาศัยอยู่ ทางเขตโยธาจะส่งวิศวกรมาสำรวจหลังคาบ้านของเราว่ามีความพร้อมติดตั้งหรือไม่ หรือจะต้องซ่อมแซมหลังคา หรือต้องเพิ่มเติมอะไรเพื่อให้ติดตั้งแผงได้โดยปลอดภัย หลังจากเช็คความพร้อมของหลังคาบ้านแล้ว เราจะต้องทำเรื่องขออนุญาตการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) หรือการไฟฟ้านครหลวง(กฟน.)ในเขตพื้นที่ ที่บ้านเราตั้งอยู่โดยส่งแบบแปลน 2 แบบไปให้การไฟฟ้าฯ พิจารณา แบบที่1 เรียกว่า “ส่งแบบ Single Line Diagram” เป็นแปลนระบบไฟฟ้า และ 2 เป็นแปลนอินเวอร์เตอร์ 5.ยื่นเรื่องกับคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน เมื่อเราได้รับการพิจารณาจากเขตโยธาท้องถิ่น และการไฟฟ้าฯเรียบร้อยแล้ว ให้เรานำเอกสารที่ได้รับมายื่นเรื่องต่อไปที่ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เพราะเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่ รับเรื่องและให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการขอใบอนุญาตการประกอบกิจการ พลังงานตามประเภท ขนาดและลักษณะของกิจการพลังงาน ตลอดจน ตรวจสอบการและสนับสนุนการดำเนินการตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการออกใบอนุญาตทั้งก่อนและหลังในเขตพื้นที่ที่รับผิดชอบ กกพ.จะพิจารณาว่าเราสามารถติดตั้งโซลาร์เซลล์ได้หรือไม่ 6.เริ่มติดตั้งโซลาร์เซลล์  ขั้นตอนที่ 6 นี้เป็นขั้นตอนที่สำคัญเพราะเราจะต้องเริ่มขึ้นหลังคาแล้ว โดยเราจะต้องเตรียมตัวดังนี้ -เลือกทีมช่างที่มีความชำนาญการ เลือกใช้บริษัทที่มีความน่าเชื่อถือ มีประวัติการติดตั้ง และเคยรับงานมากน้อยแค่ไหน ลักษณะงานขนาดเล็กใหญ่แค่ไหน -เลือกใช้อินเวอร์เตอร์ที่มีคุณภาพ -เลือกแผงโซลาร์เซลล์และรุ่นของแผงที่เหมาะสม เมื่อช่างมาติดตั้ง เราจะต้องเช็คว่าสิ่งที่ช่างแนะนำก่อนหน้านี้ กับอุปกรณ์ที่นำมาติดจริงตรงกันหรือไม่  อย่างไรก็ดียังไม่ต้องกังวลไป เพราะจะมีวิศวกรจากโยธาเขตท้องถิ่นมาตรวจเช็คอีกครั้ง ว่าอุปกรณ์ได้มาตรฐานหรือไม่ 7.การใช้งาน การดูแลรักษา และการรีไซเคิล เมื่อติดตั้งแล้วเสร็จ ก็เป็นหน้าที่ของเราเจ้าของบ้านที่จะเป็นคนดูแลรักษา เบื้องต้นคือการล้างแผงโซลาร์เซลล์ไม่ให้มีฝุ่นหรือสิ่งสกปรกมาเกาะเพราะจะลดประสิทธิภาพการผลิตพลังงานไฟฟ้าของแผงโซลาร์เซลล์เพียงแค่ใช้น้ำสะอาดฉีดล้างและใช้ผ้าเช็ดให้แห้ง แผงโซลาร์เซลล์จะสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าให้กับบ้านเรานานประมาณ 25 ปีโดยมาตรฐาน  (หากดูแลรักษาดีสามารถใช้งานนานถึง 30 ปี) เมื่อแผงโซลาร์หมดอายุการใช้งานแล้วก็จะต้องนำแผงเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลแผงโซลาร์ซึ่งปัจจุบันมีเทคโนโลยีนำร่องที่สามารถรีไซเคิลแผงโซลาร์เซลล์ได้แล้ว   ทั้งหมดนี้เป็นข้อมูลสำหรับการใช้พิจาณา และประกอบการตัดสินใจ รวมถึงขั้นตอนการดำเนินการติดตั้ง  ซึ่งบ้านไหนจะติดตั้งโซลาร์เซลล์ ก็ควรหาข้อมูลให้รอบด้าน ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ และดำเนินการต่าง ๆ ให้ถูกต้อง เพื่อที่จะได้มีพลังงานได้ใช้ในต้นทุนที่ประหยัดลง   CR : SCB, Greenpace Thailand อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง SENA ส่ง “ทาวน์โฮมติดโซลาร์” 1 กิโลวัตต์ รับกระแส Work Form Home
LANDMARK @ MRTA STATION  โครงการมิกซ์ยูส บนถนนพระราม 9  

LANDMARK @ MRTA STATION โครงการมิกซ์ยูส บนถนนพระราม 9  

ใช้ชีวิตมีระดับสไตล์ Urban Millennials Living   ใช้ชีวิตไฮบริด แอนด์ มัลติฟังก์ชั่น ที่พระราม9 ใน Concept “WHY CHOOSE, WHEN YOU CAN HAVE IT ALL” รวมทุกความสะดวกสบายไว้ภายในโครงการเดียว  บริหารโดย Siamese Asset LANDMARK @ MRTA STATION โครงการมิกซ์ยูส บนถนนพระราม 9   LANDMARK @MRTA STATION โครงการมิกซ์ยูสที่รวมเอา ที่อยู่อาศัย ทำงาน ช้อปปิ้ง ไว้ในที่เดียวบนถนนพระราม9 เมื่อการเดินทางเข้าออกเมืองมีความเสียเวลามาก จะดีแค่ไหนหากมีบ้าน และที่ทำงานอยุ่ในที่เดียวกันแต่ถ้าจะต้องเดินทางก็ใกล้รถไฟฟ้า MRT สถานีพระราม 9 ห่างประมาณ 5 นาที  ในอนาคตรถไฟฟ้าใต้ดินส่วนขยายสายสีส้มเสร็จ จะห่างจากโครงการเพียง350 ม. สำหรับรถส่วนตัวก็ไม่ไกลจากจุดขึ้นลงทางด่วนศรีรัช โครงการมิกซ์ยูส LANDMARK @MRTA STATION มาพร้อมอาคารสำนักงาน ที่พักอาศัยและคอมมูนิตี้มอลล์  ครบจบในที่เดียวจริงๆ บนที่ดิน 13ไร่  ยูนิตที่พักอาศัยรวม 1,980 ยูนิต ประกอบด้วย Tower A ส่วนพื้นที่โรงแรม Tower B Siamese Tower อาคารสูง 38 ชั้น มาพร้อม Hospitality Service การบริการที่ได้มาตรฐานจาก Concierge services, Housekeeping, Laundry, Room Service. Tower C Siamese Residence อาคารสูง 29 ชั้น จำนวน 584 ยูนิต แบ่งเป็น Residential 543 ยูนิต Commercial 8 ยูนิต และส่วนออฟฟิศ 15 ยูนิต ซึ่งทุกฟังก์ชั่นของการใช้งานจะได้รับมาตรฐาน และ Facilities ที่เป็นมาตรฐานระดับโลก ในพื้นที่Commercial Zone ประกอบด้วยร้านค้า ร้านอาหาร และพื้นที่ขนาดใหญ่ที่รองรับการจัดงาน ประชุม สัมมนา และกิจกรรมต่างๆในอนาคต   LANDMARK @MRTA STATION ส่วนห้องพักที่เป็นห้องสไตล์​ลอฟท์ทุกยูนิต​ ​ เพดาน​สูงถึง 4.4 ม.โปร่งสบาย มีแบบห้องให้เลือก 3 แบบ 1 ห้องนอน 37.5-46 ตร.ม. 2 ห้องนอน 53-72 ตร.ม. 3 ห้องนอน 80-90 ตร.ม.   ตกแต่งครบแบบ Fully Fitted ที่จอดรถ 898 คัน ราคา 3.9-9.7 ล้านบาท หรือ 110,000 บาท/ตร.ม. ราคาเฉลี่ย 120,000 บาท/ตร.ม. ความคืบหน้าในการก่อสร้างโดยรวม 20% คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จทั้งโครงการในปี 2567 บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ  7 ปัจจัยเลือกซื้อที่อยู่อาศัย ของคนยุคดิจิทัล ไนท์แฟรงค์ มองตลาดอสังหาฯ 65 บ้าน 10 ล้านมาแรง ​คอนโด จ่อเปิดตัวใหม่ 10,000 ยูนิต ส่อง ตลาดคอนโด ปี 65 กับปัจจัยน่ากังวล หลัง Q4/64 ยอดขายใหม่ทำได้แค่ 25%        
7 ปัจจัยเลือกซื้อที่อยู่อาศัย ของคนยุคดิจิทัล

7 ปัจจัยเลือกซื้อที่อยู่อาศัย ของคนยุคดิจิทัล

ปัจจัยเลือกซื้อที่อยู่อาศัย นับตั้งแต่มีการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 วิถีชีวิตของคนในยุคปัจจุบัน ก็เปลี่ยนไปมากมาย ไม่ใช่แค่ไลฟ์สไตล์เวลาอยู่นอกบ้าน ที่จะต้องสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือให้สะอาดบ่อย ๆ เข้าสถานที่ต่าง ๆ ต้องตรวจวัดอุณหภูมิ และการเว้นระยะห่างทางสังคม แต่การอยู่อาศัยในบ้านก็เปลี่ยนแปลงไป ในลักษณะเช่นเดียวกัน เมื่อพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคนยุคโควิด-19 เปลี่ยนไปเช่นนี้ ย่อมส่งผลถึงการเลือกที่อยู่อาศัย ซึ่งให้ความสำคัญกับบ้านที่เข้ามาตอบสนองวิถีชีวิต ภายใต้สถานการณ์โรคระบาดเช่นนี้ ซึ่งมีแนวทางการเลือกอยู่อาศัยในบ้านที่ไม่ได้เหมือนในอดีตแล้ว  จึงถือเป็นหน้าที่สำคัญที่บรรดาดีเวลลอปเปอร์ จะต้องพัฒนาที่อยู่อาศัยออกมา ให้ตรงกับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไป   จากแบบสอบถาม DDproperty’s Thailand Consumer Sentiment Study ล่าสุด ที่เผยให้เห็นทัศนคติและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปจากผลกระทบของโควิด-19 โดย 2 ใน 3 ของผู้บริโภค หรือ สัดส่วน 66% เห็นว่า ต้องหลีกเลี่ยงการอยู่ในพื้นที่แออัด  ขณะที่ความเห็นเกือบครึ่ง หรือสัดส่วน 42%  เลือกที่จะหลีกเลี่ยงการไปรับประทานอาหารนอกบ้านบ่อย ๆ โดยเกือบ 1 ใน 3 ของผู้บริโภค หรือสัดส่วน 31% ยังคงกังวลใจเกี่ยวกับการแพร่ระบาด เนื่องจากผู้ใกล้ชิดจะได้รับผลกระทบ และมีเพียง 1% เท่านั้นที่ผู้บริโภคมองว่าโควิด-19 ไม่ได้มีผลต่อการดำเนินชีวิตของพวกเขาเลย   สำหรับผลกระทบต่อการอยู่อาศัย ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาด ที่ส่งผลในเรื่องการเลือกซื้อที่อยู่อาศัย จาก​ แบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัย DDproperty’s Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุด  ระบุว่า ผลกระทบของโควิด-19 ที่กลายมาเป็นปัจจัยเร่งให้ผู้บริโภคเปลี่ยนมุมมองและพฤติกรรมการเลือกที่อยู่อาศัยไปจากก่อนยุค New Normal โดยมองหาบ้านที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตยุคใหม่ด้วยเช่นกัน  ซึ่งสรุปออกมาเป็น 7 ปัจจัยเลือกซื้อที่อยู่อาศัย หรือก็คือ ปัจจัยที่ผู้บริโภคใช้เป็นเกณฑ์ตัดสินใจในการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยนั่นเอง 7 ปัจจัยเลือกซื้อที่อยู่อาศัย ของคนยุคดิจิทัล 1.Work from Home กับการลาออกครั้งใหญ่ ในช่วงมีการแพร่ระบาดหนัก ๆ มาตรการทำงานจากที่บ้าน หรือ Work from Home เป็นวิธีหลักที่แทบทุกองค์กรนำมาใช้ เพื่อให้ธุรกิจยังเดินหน้าขณะที่พนักงานก็ปลอดภัย ไม่เสี่ยงต่อการได้รับเชื้อโรค มีหลายองค์กรที่ใช้มาตรการ Work from Home นานนับปี ทำให้ปัจจุบันพนักงานจำนวนมาก คุ้นชินกับวิถีชีวิตแบบนี้ และยังมองว่าเป็นแนวทางการทำงานที่ปลอดภัย ทั้งต่อตัวเองและบุคคลในครอบครัวด้วย   การสำรวจพบว่า ผู้บริโภคมากกว่าครึ่ง (59%) ตั้งใจหางานที่อนุญาตให้ Work from Home ได้มากขึ้น เนื่องจากเห็นความสำคัญของการได้ใช้ชีวิตกับครอบครัวและต้องการรักษาระยะห่างในสังคม นอกจากนี้ในช่วง Work from Home ที่ผ่านมา ผู้บริโภคต่างได้ปรับปรุงพื้นที่ใช้สอยเพื่อสร้างบรรยากาศที่บ้านให้รองรับการทำงานออนไลน์ไปแล้ว จึงอาจยังไม่เห็นความจำเป็นในการกลับไปทำงานที่ออฟฟิศ ในสหรัฐอเมริกา พบว่า เกิดกระแสการลาออกระลอกใหญ่ของมนุษย์เงินเดือน (The Great Resignation) หลังจากสถานการณ์โรคระบาดคลี่คลาย และมีการกลับมาทำงานที่ออฟฟิศเหมือนเดิม ในประเทศไทยก็มีโอกาสจะเกิดขึ้นแบบนี้ได้เช่นกัน​ หากองค์กรให้พนักงานกลับมาทำงานที่ออฟฟิศเหมือนเดิม ขณะที่ยังมีการแพร่ระบาดของโรคจำนวนมาก 2.คนเลือกซื้ออสังหาฯ ผ่านโลกออนไลน์ มากขึ้น ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19  เครื่องมือทางการตลาดสำคัญอย่างหนึ่ง ที่ทุกองค์กรหยิบมาใช้ คือ การตลาดออนไลน์ ซึ่งเป็นเครื่องมือเข้าถึงคนได้ง่ายและปลอดภัย บริษัทอสังหาริมทรัพย์แทบจะทุกบริษัทก็ได้เอาการลาดออนไลน์ มาใช้เป็นช่องทางการซื้อขายที่อยู่อาศัย หรือบริหารการตลาด  ทำให้ออนไลน์ที่เดิมเป็นเพียงแหล่งค้นหาข้อมูลโครงการที่อยู่อาศัย กลายมาเป็นเครื่องมือในการซื้อขายสำคัญ ​ โดยมากกว่าครึ่งของผู้บริโภคเลือกใช้ช่องทางออนไลน์ในการคัดเลือกโครงการที่อยู่อาศัยที่สนใจ (54%) และเยี่ยมชมโครงการเสมือนจริง (52%) นอกจากนี้ยังพบว่า 1 ใน 5 ของผู้บริโภค (20%) มีการเซ็นสัญญาซื้อขายผ่านออนไลน์ สะท้อนให้เห็นการปรับตัวและใช้ประโยชน์จากโลกออนไลน์ทั้งในฝั่งผู้ซื้อและผู้ขายได้เป็นอย่างดี แน่นอนว่า หากโครงการไหนไม่มีช่องทางออนไลน์  คงไม่ไดอยู่ในลิสต์ที่ผู้บริโภคจะเลือกซื้อแน่นอน 3.Cryptocurrency เพิ่มโอกาสให้คนรุ่นใหม่ซื้อบ้าน   การเข้ามามีบทบาทของสกุลเงินดิจิทัล หรือ Cryptocurrency ที่นอกจากจะเป็นการลงทุนที่เห็นผลตอบแทนเร็วแล้ว ผลตอบแทนจากการลงทุนในสกุลเงินนี้ยังถือเป็นช่องทางที่สร้างโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้เป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยที่มีราคาสูงได้ง่ายขึ้นอีกด้วย จากแบบสอบถามฯ พบว่า มากกว่าครึ่งของผู้บริโภค (57%) สนใจที่จะใช้สกุลเงินดิจิทัลในการซื้อบ้าน/คอนโดฯ โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ซึ่งเปิดรับเทคโนโลยีและเรียนรู้สิ่งใหม่ได้เร็วนั้น มีแนวโน้มสนใจซื้อบ้านด้วยสกุลเงินดิจิทัลสูงตามไปด้วย โดยกลุ่มช่วงอายุ 22-29 ปี ให้ความสนใจถึง 71% ในขณะที่ช่วงอายุ 30-39 ปี สนใจถึง 61% 4.“มาตรการภาครัฐ” ปัจจัยบวกกระตุ้นซื้อบ้าน   มาตรการภาครัฐ ถือเป็นปัจจัยบวกกระตุ้นความต้องการซื้อบ้าน และปัจจัยเลือกซื้อที่อยู่อาศัย จากสภาพเศรษฐกิจยังคงไม่ฟื้นตัว ผู้บริโภคจึงเลือกที่จะวางแผนการเงินอย่างรัดกุมและชะลอการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออกไปก่อน เพราะต้องการรักษากระแสเงินสดเอาไว้ มาตรการจากภาครัฐที่ออกมา อาทิ การลดค่าโอนกรรมสิทธิ์และค่าจดจำนองทั้งบ้านใหม่และบ้านมือสอง การผ่อนคลายมาตรการควบคุมสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (LTV) ชั่วคราวของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้กลายเป็นปัจจัยบวกที่มีแนวโน้มจะส่งผลให้ความต้องการซื้อของผู้บริโภคเติบโต   โดย 7 ใน 10 ของผู้บริโภคเผยว่าตั้งใจจะซื้อที่อยู่อาศัยในอนาคต หลังจากที่ผู้บริโภคได้มีการปรับตัวและเรียนรู้ที่จะอยู่กับโควิด-19 ได้ดีขึ้น ประกอบกับช่วงที่ผ่านมาต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างที่อยู่อาศัยเริ่มปรับตัวสูงขึ้น และผู้พัฒนาอสังหาฯ มีแนวโน้มปรับราคาขายเพิ่มขึ้นเช่นกัน รวมไปถึงผลกระทบจากปัญหาความขัดแย้งนอกประเทศที่อาจส่งผลให้แนวโน้มราคาสินค้าและภาวะเงินเฟ้อในไทยปรับตัวสูงขึ้น ได้กลายเป็นอีกปัจจัยเร่งให้เกิดการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย เห็นได้จากการที่ผู้บริโภควางแผนซื้อที่อยู่อาศัยภายใน 2 ปีมีถึง 45% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากผลสำรวจรอบที่แล้ว (39%) สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการซื้อบ้านที่มีแนวโน้มสูงขึ้น 5.วางแผนรองรับแผนเกษียณ   คนวางแผนซื้อบ้านเพื่อรองรับแผนเกษียณ เป็นอีกปัจจัยที่มาช่วยตัดสินใจการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยของคนยุคปัจจุบัน เพราะจากการสอบถาม  พบผู้บริโภคมากกว่า 3 ใน 4 (78%) ที่เป็นเจ้าของบ้านอยู่แล้วยังคงต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเพิ่ม โดยมองว่าการซื้ออสังหาฯ เพิ่มนั้นไม่ได้ตอบโจทย์การอยู่อาศัยเท่านั้น แต่วางแผนต่อยอดการใช้ชีวิตเพื่อความมั่นคงในอนาคตด้วย โดยเป้าหมายยอดนิยมของการซื้อบ้านเพิ่มอันดับต้น ๆ ของผู้บริโภค คือ ซื้อไว้รองรับแผนเกษียณอายุในอนาคต (31%) ตามมาด้วยการซื้อให้ญาติหรือพี่น้อง (28%) และซื้อปล่อยเช่าสร้างรายได้ระยะยาว (26%) นอกจากนี้ ยังพบว่า 46% ของผู้บริโภคที่เป็นเจ้าของบ้านปัจจุบันนั้นยังมีแผนที่จะซื้อที่อยู่อาศัยเพิ่มภายในช่วง 1 ปีข้างหน้านี้ สะท้อนให้เห็นว่ากลุ่มผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อและมีความพร้อมทางการเงินกลับมามีความมั่นใจที่จะจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น 6.บ้านต้องส่งเสริม “สุขภาพ” ปัจจัยเรื่องของสุขภาพ เป็นเทรนด์ที่มีมาก่อนหน้าจะเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แล้ว เมื่อเกิดสถานการณ์โรคระบาดขึ้น ยิ่งเข้ามาตอกย้ำเพิ่มน้ำหนักในเรื่องนี้มากขึ้น คนส่วนใหญ่​เกือบ 2 ใน 3 ของผู้บริโภคปัจจุบัน (63%) หันมาให้ความสำคัญกับไลฟ์สไตล์ที่ส่งเสริมการสร้างสุขภาพที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นในกลุ่มผู้สูงอายุ เนื่องจากมองว่าการมีร่างกายที่แข็งแรงและพฤติกรรมสุขภาพที่ดีจะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย และช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัส นอกจากการดูแลสุขภาพแล้ว ผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังตระหนักถึงความสำคัญของการมีสถานบริการสุขภาพอยู่ใกล้ที่อยู่อาศัยแม้ว่าการแพร่ระบาดฯ จะหมดไปก็ตาม โดยแผนการดูแลสุขภาพในอนาคตของผู้บริโภคถึง 88% เผยว่าต้องการเช่าหรือซื้อที่อยู่อาศัยที่อยู่ใกล้โรงพยาบาลมากที่สุด ตามมาด้วย 45% มองหาที่อยู่อาศัยใกล้ร้านขายยา และ 37% มองหาที่อยู่อาศัยใกล้ศูนย์บริการด้านสุขภาพเฉพาะทาง เพื่อวางแผนรองรับการใช้ชีวิตระยะยาวที่ต้องการความสะดวกสบายในการเดินทางไปพบแพทย์หรือตรวจเช็กสุขภาพ 7.รถยนต์ไฟฟ้าตัวแปรสำคัญเมื่อคิดซื้อบ้าน   รถยนต์ไฟฟ้าเป็นเทรนด์ที่ยังมาแรงไม่มีตก ยิ่งช่วงที่ผ่านมาราคาเชื้อเพลิงปรับตัวขึ้นสูง และภาครัฐมีการกำหนดทิศทางการพัฒนาและขับเคลื่อนมาตรการสนับสนุนฯ รถยนต์ไฟฟ้าที่ชัดเจนมากขึ้น ทำให้คนสนใจการใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น และนับจากนี้จะเป็นปัจจัยสำคัญที่คนจะเลือกซื้อบ้าน ด้วยการดูว่าโครงการมีการเตรียมอุปกรณ์รองรับกับการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าหรือไม่  ตัวแปรสำคัญเมื่อคิดซื้อบ้าน เมื่อน ส่งผลให้กระแสความสนใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้าในไทยกลับมาอีกครั้ง จากผลสำรวจ พบว่า โดย 2 ใน 3 ของคนหาบ้าน (67%) เผยว่ายินดีที่จะจ่ายเงินเพิ่มขึ้นเพื่อซื้อบ้าน/คอนโดฯ ที่มีจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ารองรับ เนื่องจากผู้บริโภคคำนึงถึงความยั่งยืนของการใช้ชีวิตในอนาคต การซื้อที่อยู่อาศัยแต่ละครั้งถือเป็นเรื่องใหญ่ จึงต้องคิดอย่างรอบคอบ มองไปถึงฟังก์ชั่นการใช้งานที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตในระยะยาวให้ได้มากที่สุด นอกจากนี้ รถยนต์ไฟฟ้ายังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเติมน้ำมันที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายได้อีกทางหนึ่ง ถือเป็น ปัจจัยเลือกซื้อที่อยู่อาศัย สำคัญในสถานการณ์เช่นนี้   ทั้งหมดนี้ ก็คงกล่าวได้ว่า เป็น 7 ปัจจัยเลือกซื้อที่อยู่อาศัย ที่สำคัญซึ่งผู้บริโภคยุคการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะใช้เป็นเกณฑ์ในการเลือกซื้อที่อยู่อาศัย หรือใช้ตัดสินใจว่าจะเลือกซื้อโครงการไหนดี ในขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการก็เอาปัจจัยทั้งหมด มาเป็นแนวทางการพัฒนาโครงการในอนาคตด้วย เพราะต้องตอบสนองความต้องการของลูกค้า เพื่อสร้างยอดขายและกำไรอย่างต่อเนื่องนั่นเอง   CR: DDproperty   บทความที่เกี่ยวข้อง 7 วิธีปรับปรุงบ้านเพื่อผู้สูงอายุ ด้วยตัวเอง
ไนท์แฟรงค์  มองตลาดอสังหาฯ 65 บ้าน 10 ล้านมาแรง  ​คอนโด จ่อเปิดตัวใหม่ 10,000 ยูนิต

ไนท์แฟรงค์ มองตลาดอสังหาฯ 65 บ้าน 10 ล้านมาแรง ​คอนโด จ่อเปิดตัวใหม่ 10,000 ยูนิต

ไนท์แฟรงค์ มองตลาดอสังหาฯ 65 ส่งสัญญาณบวก บ้าน 10 ล้านอัพดาวรุ่ง เหตุกลุ่มลูกค้ากำลังซื้อสูง ซัพพลายน้อย ขณที่ตลาดคอนโด จ่อเปิดตัว 10,000 ยูนิต แต่ยังห่วงปัญหาเงินเฟ้อ ราคาต้นทุนพุ่ง กดดันภาวะตลาดและกำลังซื้อ แม้รัฐกระตุ้นตลาดยืดระยะเวลา มาตรการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอนถึงสิ้นปี   หลังจากตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย ได้รับผลกระทบอย่างหนัก จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เกิดขึ้นในช่วง 1-2 ปีแรก จนถึงปี 2565 ในปัจจุบัน ตลาดอสังหาฯ ก็ปรับตัวได้ดีขึ้น สภาพตลาดเริ่มมีทิศทางฟื้นตัว เห็นได้จากการที่ผู้ประกอบการอสังหาฯ ประกาศแผนธุรกิจที่จะรุกตลาดกันอย่างหนัก และแผนการเปิดตัวโครงการจำนวนมาก จากช่วง 2 ปีที่ผ่านมาได้หยุดและชะลอแผนการเปิดตัวโครงการใหม่   นายสัญชัย คูเอกชัย ผู้อำนวยการและหัวหน้าส่วนงานวิจัยและที่ปรึกษา บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด ได้ฉายภาพตลาดอสังหาฯ ในปี 2565 ว่า ตลาดอสังหาฯ ที่มีแนวโน้มเติบโตดีและส่งสัญญาณเป็นบวก คือกลุ่มบ้านระดับราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป ​ส่วนตลาดคอนโดมิเนียมก็มีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น หลังจากที่ผู้ประกอบการหยุดพัฒนาโครงการ และปีนี้ได้ประกาศแผนการเปิดตัวโครงการมากขึ้น   แต่อย่างไรก็ตาม ปัจจัยน่าจับตายังคงมีให้เห็น โดยเฉพาะเรื่องของต้นทุนด้านต่าง ๆ ที่แนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นจากปัจจัยเรื่องสภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งจะส่งผลให้ราคาขายของอสังหาฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามมาด้วย แม้ว่าปัจจัยบวกที่จะช่วยกระตุ้นตลาดยังมีอีกหลายประการ เช่น มาตรการของภาครัฐ การผ่อนปรนมาตรการ LTV ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รวมถึงพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ตลาดบ้าน 10 ล้านขึ้น โตต่อเนื่อง แนวโน้มตลาดบ้านระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป ในปี 2565 ส่งสัญญาณบวก และเป็นตลาดที่แข็งแกร่งจากศักยภาพของกลุ่มผู้มีกำลังซื้อสูง แม้ปี 2564 ที่ผ่านมาดีเวลลอปเปอร์ พัฒนาโครงการแนวรามมากขึ้น  แต่บ้านระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป ยังมีการพัฒนาออกมาไม่มากนัก ​แต่ความต้องการบ้านระดับราคา 10 ล้านบาท ยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ถือว่าเป็นกลุ่มสำคัญที่สามารถทำรายได้ให้กับดีเวลลอปเปอร์​ที่พัฒนาโครงการบ้านแนวราบกลุ่มนี้ในระยะที่ผ่านมา แม้ความต้องการของบ้านกลุ่มนี้จะมีค่อนข้างจำกัด   สาเหตุสำคัญที่ทำให้บ้านยังคงได้รับการตอบรับที่ดี เป็นผลจากการระบาดของโควิด-19 ที่ทำให้พฤติกรรมการอยู่อาศัยและการใช้ชีวิตแบบ New Normal  คนมีความต้องการพื้นที่อยู่อาศัยจากเดิมมากขึ้น และยังคงสอดคล้องกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน  รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีที่นำมาใช้กับบ้าน รวมไปถึงทำเลโครงการอยู่ในโซนที่เดินทางง่าย บทสรุปตลาดบ้านราคา 10 ล้านอัพ ช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้ความต้องที่การอยู่อาศัย เปลี่ยนแปลงไป ผู้คนต้องอยู่อาศัยในบ้านกันมากขึ้น และอยู่ด้วยกันหลายคน มาตรการหนึ่งของการลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 คือ การเว้นระยะห่างทางสังคม ส่งผลให้ความต้องการพื้นที่อยู่อาศัยที่มากขึ้น ประกอบกับการต้องทำกิจกรรมต่าง ๆ ภายในบ้าน ดังนั้น ตลาดบ้านแนวราบจึงกลายเป็นพระเอกสำคัญของตลาดอสังหาฯ ที่ยังสามารถสร้างการเติบโตได้   ในปี 2565 ทิศทางตลาดก็ยังไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงไปจากที่ผ่านมา ผู้คนส่วนใหญ่ยังคงต้องอยู่อาศัยในบ้าน และต้องการพื้นที่การทำกิจกรรมต่าง ๆ มากขึ้น ซึ่งในบรรดาตลาดบ้านแนวราบ ที่น่าจับตามองและมีทิศทางการเติบโตอย่างน่าสนใจ คือ กลุ่มบ้านระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป เพราะฐานลูกค้าสำคัญเป็นกลุ่มคนกำลังซื้อสูง ซึ่งไม่ได้รับผลกระทบมากนักจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว หรือภาวะเงินเฟ้อ เมื่อเทียบกับฐานลูกค้ากลุ่มอื่น โดยบทสรุปของตลาดบ้านระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไปที่น่าสนใจในปี 2564 และแนวโน้มภาวะตลาดในปี 2565 มีดังนี้   1.จำนวนใบอนุญาตบ้านในระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป ที่ได้รับการอนุญาตให้ทำการจัดสรรที่ดิน (ทั้งโครงการ) พบว่า ตั้งแต่ปี 2560 ถึง ปี 2564 มีการอนุญาตจัดสรรที่ดิน สำหรับกลุ่มบ้านที่มีระดับราคาขาย 10 ล้านบาทขึ้นไป จำนวนทั้งสิ้น 10,087 ยูนิต   2.ปี 2564 พบว่ามีใบอนุญาตจัดสรรที่ดินในกลุ่มบ้านระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป​ อยู่ที่ 1,785 ยูนิต   3.สิ้นปี 2564 บ้านระดับราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาท ขึ้นไป มีเหลือขายประมาณ 197 โครงการ มีจำนวนสะสมทั้งสิ้น 20,434 ยูนิต   4.อัตราการขายช่วงสิ้นปี 2564 มีอัตราการขายเพิ่มขึ้น 11% เมื่อเทียบจากปีก่อนหน้าที่ 61% โดยมีจำนวนยูนิตขายได้ทั้งสิ้น 14,766 ยูนิต คิดเป็นอัตราการขาย 72%   5.ตลอดทั้งปี 2564 มีจำนวนยูนิตขายได้ใหม่ 3,100 ยูนิต ซึ่งเป็นจำนวนค่อนข้างสูง เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2563 สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มการเติบโตของตลาดที่ดีมาอย่างต่อเนื่อง เป็นโอกาสอันดีของดีเวลลอปเปอร์ที่จะพัฒนาบ้านระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไปออกมาทำตลาด   6.ความต้องการบ้านระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป -บ้านที่มีระดับราคาขายระหว่าง 10-20 ล้านบาท มีดีมานด์สูงสุดเพิ่มมาอยู่ที่ 8,043 ยูนิต -บ้านที่มีระดับราคาขายระหว่าง 21-30 ล้านบาท มีดีมานด์อยู่ที่ 2,816 ยูนิต -บ้านที่มีระดับราคาขายระหว่าง 31-40 ล้านบาท มีดีมานด์อยู่ที่ 2,102 ยูนิต   7.อัตราการขายของกลุ่มบ้านระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป -บ้านที่มีราคาสูงกว่า 100 ล้านบาท อัตราการขายสูงสุดอยู่ที่ 90% เพราะจำนวนบ้านในระดับราคานี้มีอยู่จำกัด ทำให้อัตราการขายสูงที่สุด -บ้านราคา 51-60 ล้านบาท มีอัตราการขายอยู่ในอัตรา 83% -บ้านราคา 31-40 ล้านบาท มีอัตราการขายอยู่ในอัตรา 82% -บ้านราคา 61-70 ล้านบาท อัตราการขายต่ำที่สุด และมีความต้องการต่ำที่สุด 8.แนวโน้มตลาดบ้านราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป ในปี 2565  ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากฐานกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้สูง ยังมีความต้องการ และพฤติกรรมการใช้ชีวิตตามวิถี New Normal   9.กลุ่มผู้ซื้อ Gen Y คือกลุ่มอายุ 22-38 ปี จะเข้ามาหนุนตลาดบ้านระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป ให้เติบโต เป็นกลุ่มผู้ที่จะเข้ามาซื้อบ้านในระดับราคาดังกล่าวเพิ่มมากขึ้น ​เนื่องจากช่วงวัยของกลุ่มผู้ซื้อกำลังเปลี่ยนไป เป็นช่วงอายุที่อยู่ในระหว่างการเปลี่ยนแปลง เช่น ต้องการขยายครอบครัวหรือสร้างครอบครัว รวมไปถึงการทำเป็นออฟฟิศในบ้านพร้อมอยู่อาศัยไปด้วย ซึ่งรูปแบบบ้านประเภทดังกล่าวมีฟังก์ชั่นการใช้งานที่ตรงไลฟ์สไตล์กลุ่มผู้ซื้อได้อย่างดี   นอกจากนี้ กลุ่ม Gen Y ยังเป็นกลุ่มที่เน้นประกอบอาชีพธุรกิจส่วนตัวส่วนมากกว่าการเป็นพนักงานเงินเดือน หรือแม้แต่การรับช่วงกิจการต่อการครอบครัว จากผลวิจัยพบว่าโครงการบ้านในรูปแบบทาวน์โฮมและบ้านแฝดเริ่มที่จะได้รับการตอบรับจากคนในช่วงกลุ่มวัยดังกล่าวขึ้นมาบ้าง   10.ตลาดน่าจะมีการแข่งขันที่เพิ่มมากขึ้น จากจำนวนโครงการที่จะพัฒนาออกมาขาย เนื่องมาจากรัฐบาลออกประกาศกำหนดอัตราภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างโดยไม่มีการลดหย่อนภาษี ส่งผลให้ดีเวลลอปเปอร์ต้องวางแผนงาน พัฒนาที่ดินที่เก็บไว้ในมือออกมา เพื่อทยอยพัฒนาที่ดินที่เก็บไว้ในมือออกมา   11.บ้านระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป ยังมีความท้าทายในการพัฒนา จากภาวะต้นทุนที่สูงขึ้น ​​ไม่ว่าจะเป็นราคาค่าวัสดุก่อสร้าง ค่าแรงพนักงาน ค่าใช้จ่ายของมาตราการโรคระบาดให้แก่พนักงาน รวมถึงต้นทุนของค่าภาษีที่ดินที่ต้องจ่าย 100%   นอกจากนี้ สิ่งสำคัญในการออกแบบบ้านรองรับกับอนาคต ควรมีการออกแบบให้สอดรับกับเทคโนโลยีให้สะดวกต่อการใช้ชีวิตรวมถึงเทคโนโลยีที่จะช่วยในเรื่องของการประหยัดพลังงานภายในบ้าน ซึ่งจะเห็นว่าในบางโครงการได้มีการนำมาใช้บ้างแล้ว หรือการออกแบบที่ผสมผสานกับธรรมชาติเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมส่งผลที่ดีต่อคุณภาพชีวิต การออกแบบที่รองรับอนาคตหรือที่เรียกว่า Sustainable นั้นจะเป็นสิ่งที่กลุ่มผู้ซื้อให้ความสำคัญมากขึ้นเพราะคุ้มค่าแก่การลงทุนในการซื้ออยู่อาศัย อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการควรศึกษาพฤติกรรมของกลุ่มผู้บริโภคเพื่อโฟกัสกลุ่มเป้าหมายในแต่ละช่วงวัยเพื่อให้สามารถตอบรับกับการใช้ชีวิตได้อย่างเหมาะสมและครอบคลุม ส่องตลาดคอนโด 65 จ่อเปิด 10,000 ยูนิต ส่วนตลาดคอนโดมิเนียมในปี 2565 นี้ เชื่อว่ามีแนวโน้มทยอยกลับมาฟื้นตัวและมีความคึกคักมากขึ้น เนื่องจากดีเวอลอปเปอร์รายใหญ่มีแผนเปิดตัวโครงการมากขึ้น โดยคาดว่าจะมีโครงการเปิดใหม่ประมาณ 10,000 ยูนิต ในไตรมาสแรกของปี 2565   แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยที่น่ากังวล ที่ต้องเฝ้าจับตามอง เพราะจะเป็นปัจจัยลบที่มาฉุดการเติบโตของตลาดได้ คือ -การระบาดของโควิค 19 สายพันธุ์ “โอมิครอน” หากมีการแพร่ระบาดที่รุนแรงและส่งผลให้จำนวนผู้เสียชีวิตและผู้ป่วยหนักมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ อาจส่งผลให้รัฐบาลต้องออกคำสั่งให้กลับเข้าสู่การล็อคดาวน์อีกครั้ง -ภาวะเงินเฟ้อที่จะส่งผลต่อราคาสินค้าอุปโภคและบริโภค รวมถึงราคาวัสดุก่อสร้างให้เพิ่มสูงขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจยังชะลอตัว -แนวโน้มของราคาขายคอนโดจึงมีโอกาสที่ปรับตัวสูงขึ้นในปี 2565 และหากโครงการอยู่ในทำเลที่ดี โอกาสในการต่อราคาของผู้ซื้อจะทำได้ยากขึ้น จึงอาจจะส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลงได้   ส่วนปัจจัยบวกสนับสนุนตลาดคอนโดในปี 2565 คือ มาตราการช่วยเหลือและกระตุ้นกำลังซื้อของรัฐบาล อาทิ การลดค่าโอน-จำนองที่ยืดระยะเวลาออกไป เป็นมาตรการที่กระตุ้นกลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง ซึ่งคนกลุ่มนี้ยังเป็นกำลังซื้อหลักในช่วงเวลานี้ โดยระดับราคาคอนโดที่กลุ่มเรียลดีมานด์ให้ความสนใจอยู่ในช่วงราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีของผู้ประกอบการ ที่จะทำโปรโมชั่นราคา เพื่อให้สอดรับกับมาตราการลดค่าโอน-จำนองของรัฐบาล เป็นการระบายสต็อกที่ยังคงเหลืออยู่ออกไป บทสรุปคอนโด​ Q4/64 เพิ่ม 62.7% สำหรับสถานการณ์คอนโดในช่วงไตรมาส 4 ปี 2564 ที่ผ่านมา พบว่า มีซัพพลายทั้ง 11,252 ยูนิต เพิ่มขึ้น 62.7% จากช่วงเดียวกันของปี 2563 และเพิ่มขึ้น 79.5% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ปี 2564 โดยคอนโดที่มีสะสมในช่วงไตรมาส 4 ดังกล่าวมีจำนวนมากคิดเป็นสัดส่วนถึง​เกือบ 56% ของจำนวนทั้งปี 2564  ที่มีจำนวนทั้งสิ้น 20,015 ยูนิต ​   สาเหตุสำคัญที่ผู้ประกอบการ เปิดตัวคอนโดมจำนวนมากขึ้นในไตรมาสสุดท้ายของปี 2564 จากเดิมที่ไตรมาส 1-3 มีการชะลอตัวการเปิดโครงการใหม่ เป็นเพราะ -รัฐบาลผ่อนคลายและยกเลิกมาตราการล็อคดาวน์ พร้อมทั้งเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะในรูปแบบ Test & Go -ธนาคารแห่งประเทศไทยมีผ่อนปรนมาตราการ LTV เป็นการชั่วคราวจนถึงสิ้นปี 2565   2 ปัจจัยสำคัญดังกล่าว ส่งผลให้ดีเวลลอปเปอร์ มองว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการเปิดโครงการใหม่ โดยเป็นการเปิดที่เน้นจับกลุ่มเรียลดีมานด์ ที่เป็นกำลังซื้อหลักในเวลานี้เท่านั้น ซึ่งเน้นทำตลาดคอนโดระดับราคา 3 ล้านบาท   -ชานเมืองเปิดตัวโครงการใหม่สูงสุดคิดเป็น 76% หรือ 7,117 ยูนิต  ส่วนบริเวณรอบเขตศูนย์กลางธุรกิจ (City Fringe) เปิดตัวคิดเป็น 13% และบริเวณศูนย์กลางธุรกิจ (CBD) เปิดตัวใหม่คิดเป็นสัดส่วน 11%   -จำนวนคอนโดที่เปิดขายใหม่ ยังเป็นกลุ่มดีเวลลอปเปอร์รายใหญ่สูงถึง 70% จากจำนวนที่เปิดขายทั้งหมด โดยคอนโดที่เปิดขายในไตรมาสนี้อยู่ในระดับราคาตั้งแต่ 900,000  – 3.5 ล้านบาท หากแยกตามเกรดจะแบ่งเป็นคอนโดเกรด C สัดส่วน 63% แสดงให้เห็นว่านักพัฒนาเลือกที่จะเปิดขายคอนโดในระดับราคาเฉลี่ยที่ประมาณ 80,000 – 100,000 บาท/ตร.ม. เพราะเป็นสินค้นที่ได้รับความสนใจจากกลุ่มที่เป็นกำลังซื้อหลัก และคอนโดเกรด B สัดส่วน 37%   -ส่วนของจำนวนคอนโดที่ขายได้ใหม่ในไตรมาส 4 ปี 2564 อยู่ที่ 2,835 ยูนิต คิดเป็นอัตราการขายอยู่ที่ 25.2% ซึ่งอัตราการขายลดลง 8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกับในปีก่อนหน้า และลดลง 12.8% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ปี 2564   สาเหตุอัตราการขายใหม่ลดลง เนื่องมาจากจำนวนยูนิตเปิดขายใหม่นั้นมีค่อนข้างมาก ในขณะที่ยูนิตขายได้กลับมีน้อย เพราะเป็นโครงการที่ขายเพียงใบจองเท่านั้น แม้ว่าจะมียูนิตขายที่น้อยแต่ก็มั่นใจได้ว่าห้องที่ถูกขายไปนั้นจะไม่ได้รับการยกเลิก เนื่องจากโครงการมีการประเมินศักยภาพลูกค้ามากขึ้นเพื่อให้สามารถปิดการขายได้จริง ส่งผลให้ในอนาคตยอดปฏิเสธสินเชื่ออาจจะลดลง -กลุ่มผู้ซื้อส่วนใหญ่เป็นกลุ่มกำลังซื้อระดับกลาง ที่ยังมีรายได้แน่นอนและมีมากกว่ากลุ่มนักลงทุน เนื่องจากโครงการที่เปิดขายจะอยู่ในโซนชานเมืองซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยเป็นหลัก ทำให้กลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัย (Real Demand) ที่มีความพร้อมในการซื้อให้ความสนใจโครงการ โดยเฉพาะห้องที่มีระดับราคาไม่เกิน 3 ล้าน   -ระดับราคาขายคอนโดในกรุงเทพฯ ณ ไตรมาส 4 ปี 2564 ปรับตัวลดลงในทุกพื้นที่  โดยบริเวณศูนย์กลางธุรกิจราคาปรับลดลง 4.6% ปีต่อปีอยู่ที่ 239,689 บาท/ตร.ม.  ในบริเวณรอบเขตศูนย์กลางธุรกิจลดลง 6.3% ปีต่อปีอยู่ที่ 115,659 บาท/ตร.ม. และย่านชานเมืองลดลง 8.2% ปีต่อปี อยู่ที่ 63,258 บาท/ตร.ม.   ทั้งนี้ สาเหตุมาจากบางโครงการที่เปิดขายมานานและยังไม่สามารถปิดการขายได้ ทำการลดราคาขายลงหรือบางโครงการก็ลดราคาลง เพื่อให้สอดคล้องกับมาตราการลดค่าโอน-จำนอง ในราคาไม่เกิน 3 ล้าน ซึ่งเป็นกลุ่มราคาที่ยังคงมีตลาดรองรับ ส่งผลให้ยูนิตเหลือขายในตลาดได้มีการระบายสต็อกออกไปบ้างบางส่วน ราคาขายคอนโดอาจเริ่มขึ้นจากสภาวะเงินเฟ้อ  
เอพี ไทยแลนด์  เดินแผนพัฒนาสูงสุดในตลาด  ประเดิม Q1 เปิดแนวราบ 11 โครงการ มูลค่า 9,590 ล้าน

เอพี ไทยแลนด์ เดินแผนพัฒนาสูงสุดในตลาด ประเดิม Q1 เปิดแนวราบ 11 โครงการ มูลค่า 9,590 ล้าน

เอพี ไทยแลนด์ เดินหน้าตามแผนปั้นโปรเจ็กต์สูงสุดในอุตสาหกรรม ประเดิมไตรมาสแรกเปิดตัว 11 แนวราบใหม่ มูลค่า 9,590 ล้านบาท  พร้อมทาวน์โฮมโมเดลใหม่ใน 7 ทำเล​กับ 4 แบรนด์คุณภาพจาก บ้านกลางเมือง – แกรนด์ พลีโน่ -  พลีโน่ – พลีโน่ ทาวน์  พร้อมเดินเครื่องสินค้าบ้านเดี่ยวเติบโตต่อเนื่อง เตรียมเปิดตัว CENTRO 4 โครงการ​ พรีเซลพร้อมกันในวันที่ 26 - 27 มีนาคมนี้   นายเมธา รักธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาธุรกิจ กลุ่มสินค้าทาวน์โฮม บริษัท​เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในไตรมาสแรกของปีนี้  กลุ่มสินค้าแนวราบวางแผนเปิดโครงการใหม่ รวมทั้งสิ้น 11 โครงการ มูลค่า 9,590 ล้านบาท  โดยเปิดตัวภายใต้แบรนด์ “เซนโทร” (CENTRO) 4 โครงการใหม่ และพร้อมเปิดตัว 7 ทาวน์โฮมใหม่ที่มาพร้อมกับ 7 แบบบ้านใหม่  ซึ่งจะเปิดพรีเซลทั้ง 11 โครงการนี้ในวันที่ 26 -27 มีนาคมนี้ โดยแผนธุรกิจในภาพใหญ่ของปี 2565 นี้กลุ่มธุรกิจสินค้าทาวน์โฮม ได้ตั้ง เป้าเปิดตัว 20 แบบบ้านใหม่ ใน 6 แบรนด์ทาวน์โฮม  ซึ่งใน ไตรมาส 1 นี้ นำร่องด้วยการเปิดตัว 7 แบบบ้านใหม่ใน 7 โครงการใหม่ มูลค่าโครงการรวม  4,470 ล้านบาท ที่ปรับโฉมใหม่ทั้งหมด ทั้งมิติงานสถาปัตยกรรมและพื้นที่ภายใน ได้แก่ ทาวน์โฮมแบรนด์บ้านกลางเมืองกับแบบบ้าน LAPIZ   ทาวน์โฮม 3 ชั้น หน้ากว้าง 5 เมตร ขนาดที่ดิน 17.5 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 136 ตร.ม. ในโครงการ 1.บ้านกลางเมือง สาทร-กัลปพฤกษ์ จำนวน  70 ยูนิต ราคา 4.99 - 9 ล้านบาท   2.บ้านกลางเมือง สุขสวัสดิ์-พระราม 3 จำนวน 46 ยูนิต  ราคาเริ่ม 4.79 ล้านบาท  ทาวน์โฮมแบรนด์พลีโน่ กับแบบบ้าน DAVIN ทาวน์โฮม 2 ชั้น หน้ากว้าง 5.7 เมตร ขนาดที่ดิน 17.5 ตร.วา ขึ้นไป พื้นที่ใช้สอย 104 ตร.ม. ในโครงการ   3.พลีโน่ ราชพฤกษ์-สาทร จำนวน 158 ยูนิต ราคาเริ่ม   2.99 ล้านบาท แบบบ้าน VIVID ทาวน์โฮม 2ชั้น หน้ากว้าง 5.5 เมตร  ขนาดที่ดิน 17.5 ตร.วา ขึ้นไป พื้นที่ใช้สอย 106.45 ตร.ม. ในโครงการ   4.พลีโน่ วิภาวดี-ดอนเมือง จำนวน 235  ยูนิต ราคา 2.99-5.59 ล้านบาท แบบบ้าน BEAMING ทาวน์โฮม 2 ชั้น หน้ากว้าง 7 เมตร  ขนาดที่ดิน 25 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 132 ตร.ม. ในโครงการ   5.พลีโน่  เพชรเกษม-สาย 4 จำนวน 227  ยูนิต และบ้านแฝดแบรนด์แกรนด์ พลีโน่ กับแบบบ้าน JANETTE หน้ากว้าง 9.4 เมตร ขนาดที่ดิน 35.35 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 145  ตร.ม. ในโครงการ   6.แกรนด์ พลีโน่ ศาลายา-บรมฯ จำนวน 212 ยูนิต สุดท้ายกับแบรนด์น้องใหม่   7.พลีโน่ ทาวน์ บางนา จำนวน 351 ยูนิต ราคา 1.99-4.99 ล้านบาท กับแบบบ้าน 2 ดีไซน์ใหม่ GROSSO ทาวน์โฮม 2 ชั้น หน้ากว้าง 5 เมตร ขนาดที่ดิน 16.5 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 91 ตร.ม. และ SHAWN บ้านแฝดโมเดลใหม่ หน้ากว้าง 11.4 เมตร ขนาดที่ดิน 35.35 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 145ตร.ม.   ด้านนายรัชต์ชยุตม์ นันทโชติโสภณ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาธุรกิจกลุ่มสินค้าบ้านเดี่ยว  กล่าวว่า กลุ่มสินค้าบ้านเดี่ยว ในไตรมาส 1 นี้ ได้เปิดตัวแบบบ้านดีไซน์ใหม่ ภายใต้แบรนด์ “เซนโทร” (CENTRO)  โดยในวันที่ 26-27 มีนาคมนี้ เตรียมเปิดให้ชมบ้านตัวอย่างใน 4 ทำเล ได้แก่ 1.CENTRO ปิ่นเกล้า บ้านเดี่ยว 4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 4 ที่จอดรถ พร้อมเรือนรับรอง พื้นที่ใช้สอย 389 ตร.ม. ราคา 9.5-15 ล้านบาท   2.CENTRO ดอนเมือง-แจ้งวัฒนะ บ้านเดี่ยว 4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 3 ที่จอดรถ พื้นที่ ใช้สอย 289ตร.ม. พร้อมห้องแม่บ้าน ราคา 7.99-12 ล้านบาท   3.CENTRO บางนา-ศรีนครินทร์ บ้านเดี่ยว 4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 3 ที่จอดรถ พื้นที่ใช้สอย 252ตร.ม. ราคา 7.79-15 ล้านบาท   4.CENTRO รามอินทรา จตุโชติ 2 บ้านเดี่ยว 4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 3 ที่จอดรถ พร้อมห้องแม่บ้าน พื้นที่ใช้สอย 289 ตร.ม. พร้อมห้องแม่บ้าน ราคา 6.99-12 ล้านบาท   สำหรับแผนธุรกิจของเอพีในปี 2565 มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่สูงที่สุดในอุตสาหกรรม โดยมีแผนพัฒนาโครงการใหม่ รวมทั้งสิ้นจำนวน 65 โครงการ มูลค่าประมาณ 78,000 ล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นทาวน์โฮม จำนวน 29 โครงการ มูลค่า 25,200 ล้านบาท บ้านเดี่ยว จำนวน 26 โครงการ มูลค่า 35,600 ล้านบาท คอนโดมิเนียมจำนวน 5 โครงการ มูลค่าประมาณ 13,000 ล้านบาท และโครงการในต่างจังหวัด จำนวน   5 โครงการ มูลค่า 4,200 ล้านบาท   โดยตั้งเป้ายอดขาย 50,000 ล้านบาท เป้ารายได้รวม 100% JV ที่  47,000 ล้านบาท ซึ่ง ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2565 บริษัทฯ สามารถสร้างยอดขายได้แล้วกว่า 9,100 ล้านบาท  
[PR News] ASW จ่ายปันผลปี 64 รวม 0.54706 บาทต่อหุ้น  พร้อมแจกวอร์แรนต์ ASW-W1 กำหนดราคาใช้สิทธิ 12 บาท

[PR News] ASW จ่ายปันผลปี 64 รวม 0.54706 บาทต่อหุ้น พร้อมแจกวอร์แรนต์ ASW-W1 กำหนดราคาใช้สิทธิ 12 บาท

แอสเซทไวส์  ประกาศจ่ายปันผลปี 2564 อัตรารวม 0.54706 บาทต่อหุ้น เตรียมกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีหลังของปีที่ผ่านมา อัตรา 0.40 บาทต่อหุ้นในวันที่ 11 มี.ค.นี้ พร้อมแจกวอร์แรนต์ ASW-W1 แก่ผู้ถือหุ้นเดิม อัตรา 3 หุ้นเดิม ต่อ 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิครั้งที่ 1 กำหนดราคาใช้สิทธิ 12 บาทต่อหุ้น เตรียมเปิดตัว 7 โครงการใหม่ วางเป้าหมายรายได้รวมปีนี้ 6,000 ล้านบาท เติบโตสูงสุดเป็นประวัติการณ์             นายกรมเชษฐ์  วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASW  เปิดเผยว่า หลังจากบริษัทฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปีที่ผ่านมา ได้มุ่งขยายธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ผลักดันการเติบโตอย่างยั่งยืนควบคู่กับการเป็นหุ้นปันผลที่สร้างผลตอบแทนที่ดีแก่นักลงทุน ซึ่งความสำเร็จจากผลการดำเนินงานในปี 2564 สามารถเอาชนะความท้าทายจากปัจจัยลบโควิด-19 ทำรายได้รวม 5,034 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% และมีกำไรสุทธิ 951 ล้านบาท  เพิ่มขึ้น 9% จากปีก่อน ดังนั้น ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ จึงมีมติให้เสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2565 ที่กำหนดจัดในวันที่ 20 เมษายน 2565 อนุมัติการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นประจำปี 2564 ในอัตรารวมหุ้นละ 0.54706 บาท ซึ่งเป็นการจ่ายเงินปันผลงวดผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2564 ไปแล้ว คิดเป็น 0.14706 บาทต่อหุ้นในรูปแบบของหุ้นปันผลและเงินสด คงเหลือจ่ายปันผลจากงวดผลการดำเนินงานครึ่งปีหลังของปี 2564 เป็นเงินสดอีกจำนวน 0.40 บาทต่อหุ้น ซึ่งจะกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 11 มีนาคม 2565 และจ่ายเงินปันผลในวันที่ 5 พฤษภาคม 2565   ทั้งนี้ บอร์ดบริษัทฯ ยังมีมติอนุมัติการจัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิหรือวอแรนท์ ครั้งที่ 1 (ASW-W1) จำนวนไม่เกิน 285,373,707 หน่วย ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้นในอัตรา 3 หุ้นสามัญเดิม ต่อ 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิ โดยมีอายุ 2 ปีนับจากวันที่ได้ออกใบสำคัญแสดงสิทธิ ที่กำหนดอัตราใช้สิทธิตามใบแสดงสิทธิ ASW-W1 ในอัตรา 1 หน่วยต่อ 1 หุ้นสามัญ ในราคาใช้สิทธิ 12 บาทต่อหุ้น นอกจากนี้ จะขออนุมัติผู้ถือหุ้นเพื่อเพิ่มทุนจดทะเบียนบริษัทฯ อีกจำนวน 506,985,818.00 บาท จากทุนจดทะเบียนเดิม 856,121,119.00 บาท เป็นทุนจดทะเบียน 1,363,106,937.00 บาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 506,985,818 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1 บาท รองรับการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนแบบมอบอำนาจทั่วไปให้แก่บุคคลในวงจำกัดจำนวน 85,612,111 หุ้น การออกและเสนอขาย ASW-W1 จำนวน 285,373,707 หุ้น เพื่อนำเงินที่ได้มาใช้ลงทุนในโครงการที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบันจำนวน 6 โครงการ ได้แก่ โครงการแอทโมซ โอเอซิส อ่อนนุช, แอทโมซ โฟลว์ มีนบุรี และดิ ออเนอร์ โยธินพัฒนา เป็นต้น   รวมถึงพัฒนาโครงการใหม่อีก 7 โครงการทั้งโครงการคอนโดมิเนียมและโครงการบ้านแนวราบ มูลค่าโครงการรวม 12,400 ล้านบาท โดยในปี 2565 วางเป้าหมายยอดขาย (พรีเซล)  10,000 ล้านบาท และยอดรับรู้รายได้ (รายได้รวม) 6,000 ล้านบาท เติบโตประมาณ 19% พร้อมก้าวสู่ความเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศ  
บ้านมือสอง  ยอดประกาศขายพุ่ง ทั้งจำนวนและมูลค่า  หลังได้อานิสงค์มาตรการรัฐหนุน

บ้านมือสอง ยอดประกาศขายพุ่ง ทั้งจำนวนและมูลค่า หลังได้อานิสงค์มาตรการรัฐหนุน

ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เปิดเผยข้อมูล​การประกาศขายผ่านเว็บไซต์ตลาดนัดบ้านมือสอง (www.taladnudbaan.com) บริษัทภาคเอกชนที่มีปริมาณการประกาศขายเป็นจำนวนมาก และข้อมูลที่อยู่อาศัยมือสองของสถาบันการเงินของรัฐและเอกชน บริษัทบริหารสินทรัพย์ภาครัฐและเอกชน และกรมบังคับคดี ช่วงไตรมาส 4 ปี 64 พบมีการขยายตัวทั้งจำนวนและมูลค่า จากไตรมาสก่อนหน้า   ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคาร และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) เปิดเผยว่า ตลาดที่อยู่อาศัยมือสอง ในไตรมาส 4 ปี 2564 ที่ผ่านมา มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า ทั้งในด้านจำนวนและมูลค่า โดยประเภทที่มีการประกาศขายมากที่สุด ได้แก่ “บ้านเดี่ยว” ในด้านระดับราคา พบว่า ระดับราคา 5.00 – 7.50 ล้านบาท เป็นระดับราคาที่มีทั้งจำนวนยูนิตและมูลค่าเฉลี่ยต่อเดือนเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3 (QoQ) มากที่สุด โดยกรุงเทพฯ เป็นจังหวัดที่มีการประกาศขายของที่อยู่อาศัยมือสองมากที่สุด​ 62% ในด้านมูลค่า และ 41% ในด้านจำนวนยูนิตประกาศขายเฉลี่ยต่อเดือนในไตรมาสนี้   ปัจจัยที่ทำให้ตลาดที่อยู่อาศัยมือสองขยายตัวดังกล่าว เนื่องจากได้​อานิสงส์ที่ภาครัฐได้มีการต่ออายุมาตรการกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยการลดค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์และการจดจำนองสำหรับที่อยู่อาศัยที่ไม่เกิน 3 ล้านบาท โดยเพิ่มเติมการให้สิทธิครอบคลุมมาถึงที่อยู่อาศัยมือสองจากเดิมที่มีผลเฉพาะที่อยู่อาศัยสร้างใหม่ โดยมีระยะเวลาสิ้นสุดมาตรการดังกล่าวไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565  นอกจากนั้น ยังได้รับผลดีจากการประกาศผ่อนปรนมาตรการ LTV เป็นการชั่วคราว จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565 ของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งคาดว่ามาตรการดังกล่าวข้างต้น จะส่งผลให้ตลาดที่อยู่อาศัยมือสองในปี 2565 ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง พ.ย.64 ประกาศขายกว่า 1.49 แสนยูนิต ในช่วงไตรมาส 4 ปี 2564 พบว่า มีจำนวนประกาศขายเฉลี่ยต่อเดือน 145,753 ยูนิต ปรับตัวเพิ่มขึ้น 12.3% และมีมูลค่าเฉลี่ยต่อเดือน 990,224 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 14.8% เมื่อเทียบกับช่วงไตรมาส 3 ปี 2564 ซึ่งมีจำนวนยูนิต​เฉลี่ยต่อเดือน 129,732 ยูนิต​​และมีมูลค่าเฉลี่ยต่อเดือน 862,455 ล้านบาท โดยในไตรมาส 4 ปี 2564 พบว่า เดือนที่มีจำนวนและมูลค่าที่อยู่อาศัยมือสองประกาศขายมากที่สุด ได้แก่ เดือนพฤศจิกายน ซึ่งมีจำนวน 149,529 ยูนิต มูลค่า 1,061,435 ล้านบาท      เมื่อพิจารณาภาพรวมทั้งปี 2564 พบว่า มีจำนวนประกาศขายเฉลี่ยต่อเดือน 126,237 ยูนิต และมีมูลค่าเฉลี่ยต่อเดือน 855,317 ล้านบาท โดยมีจำนวนและมูลค่าที่อยู่อาศัยมือสองประกาศขายสะสมมากที่สุดในเดือนพฤศจิกายน 2564 (ดูตารางที่ 1 และ แผนภูมิที่ 1 - 2) ตารางที่ 1 จำนวนหน่วยและมูลค่าเฉลี่ยต่อเดือนของที่อยู่อาศัยมือสองที่ประกาศขาย ทั่วประเทศ หมายเหตุ : เป็นข้อมูลเบื้องต้น รวบรวมและประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์   แผนภูมิที่ 1 จำนวนหน่วยที่อยู่อาศัยมือสองที่ประกาศขาย เฉลี่ยต่อเดือน ทั่วประเทศ หมายเหตุ : เป็นข้อมูลเบื้องต้น รวบรวมและประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์   แผนภูมิที่ 2 มูลค่าที่อยู่อาศัยมือสองที่ประกาศขาย เฉลี่ยต่อเดือน ทั่วประเทศ (หน่วย : ล้านบาท) หมายเหตุ : เป็นข้อมูลเบื้องต้น รวบรวมและประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ บ้านเดี่ยวประกาศขายมากสุด14.4% เมื่อพิจารณาการขยายตัวของจำนวนที่อยู่อาศัยมือสอง ที่ประกาศขายในแต่ละประเภท พบว่า ในไตรมาส 4 ปี 2564  ที่อยู่อาศัยมือสองทุกประเภทมีจำนวนเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3 ปี 2564 โดยบ้านเดี่ยวประกาศขายเพิ่มขึ้นมากที่สุด 14.4% รองลงมาเป็นทาวน์เฮ้าส์ เพิ่มขึ้น 12.5% ห้องชุด เพิ่มขึ้น 11.0% บ้านแฝด เพิ่มขึ้น 5.1% และอาคารพาณิชย์ เพิ่มขึ้น 4.0%   ในด้านมูลค่าเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า พบว่า ทาวน์เฮ้าส์มีมูลค่าประกาศขายเพิ่มขึ้นมากที่สุด 18.1% รองลงมาเป็นบ้านเดี่ยว มีมูลค่าเพิ่มขึ้น 16.8% บ้านแฝด เพิ่มขึ้น 16.1% ห้องชุด เพิ่มขึ้น 12.0% แต่อาคารพาณิชย์กลับมีมูลค่าลดลง -3.0% (ดูตารางที่ 2 – 3 และแผนภูมิที่ 3 – 4) ตารางที่ 2 จำนวนหน่วยที่อยู่อาศัยมือสองที่ประกาศขาย เฉลี่ยต่อเดือน ทั่วประเทศ แยกตามประเภทที่อยู่อาศัย หมายเหตุ : เป็นข้อมูลเบื้องต้น รวบรวมและประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์   ตารางที่ 3 มูลค่าที่อยู่อาศัยมือสองที่ประกาศขาย เฉลี่ยต่อเดือน ทั่วประเทศ แยกตามประเภทที่อยู่อาศัย หมายเหตุ : เป็นข้อมูลเบื้องต้น รวบรวมและประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ แผนภูมิที่ 3 จำนวนหน่วยและมูลค่าที่อยู่อาศัยมือสองที่ประกาศขาย เฉลี่ยต่อเดือน ทั่วประเทศแยกตามประเภทที่อยู่อาศัย หมายเหตุ : เป็นข้อมูลเบื้องต้น รวบรวมและประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์   แผนภูมิที่ 4 อัตราขยายตัว (QoQ) จำนวนหน่วยและมูลค่าที่อยู่อาศัยมือสองที่ประกาศขาย เฉลี่ยต่อเดือน ทั่วประเทศแยกตามประเภทที่อยู่อาศัย หมายเหตุ : เป็นข้อมูลเบื้องต้น รวบรวมและประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์   ที่อยู่อาศัยมือสองที่ประกาศขายในช่วงไตรมาส 4 ปี 2564 จำนวนยูนิตเฉลี่ย 145,753 ยูนิตต่อเดือน พบว่า บ้านเดี่ยว มีสัดส่วนจำนวนที่ประกาศขายมากที่สุด 38.5% รองลงมาเป็น ห้องชุด 32.1% ทาวน์เฮ้าส์ 25.2% อาคารพาณิชย์  2.7% และเป็นบ้านแฝด 1.6%   หากพิจารณาจากมูลค่าเฉลี่ย 990,224 ล้านบาทต่อเดือน จะเห็นได้ว่าบ้านเดี่ยวเป็นประเภทที่มีสัดส่วนมูลค่าประกาศขายมากที่สุด 52.1% รองลงมาเป็น ห้องชุด 33.5% ทาวน์เฮ้าส์ 11.5% อาคารพาณิชย์ 2.0% ส่วนบ้านแฝด เป็นประเภทที่มีมูลค่าประกาศขายน้อยที่สุดเพียง 0.8% (ดูตารางที่ 4 และแผนภูมิที่ 5)   ตารางที่ 4 สัดส่วนจำนวนหน่วยและมูลค่าที่อยู่อาศัยมือสองที่ประกาศขาย เฉลี่ยต่อเดือน ทั่วประเทศแยกตามประเภทที่อยู่อาศัย หมายเหตุ : เป็นข้อมูลเบื้องต้น รวบรวมและประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์   แผนภูมิที่ 5 สัดส่วนจำนวนหน่วยและมูลค่าที่อยู่อาศัยมือสองที่ประกาศขายเฉลี่ยต่อเดือน ทั่วประเทศแยกตามประเภทที่อยู่อาศัย หมายเหตุ : เป็นข้อมูลเบื้องต้น รวบรวมและประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ บ้าน 3-5 ล้านประกาศขายมากสุด จำนวนยูนิตเฉลี่ยต่อเดือน ของที่อยู่อาศัยมือสอง ในช่วงไตรมาส 4 ปี 2564 พบว่า 3 อันดับแรกที่ประกาศขายเพิ่มขึ้น ได้แก่ ระดับราคา 5.01 – 7.50 ล้านบาท มีจำนวนหน่วยเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3 ปี 2564 (QoQ) 32.9% รองลงมาอันดับสอง ระดับราคา 7.51 – 10.00 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31.0% และอันดับสาม ระดับราคาไม่เกิน 1.00 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.9%   สอดคล้องกับมูลค่าเฉลี่ยต่อเดือน ที่เพิ่มขึ้น 3 ลำดับแรก ได้แก่ ระดับราคา 5.01 – 7.50 ล้านบาท มีจำนวนมูลค่าเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3 ปี 2564 32.9% รองลงมาอันดับสอง ระดับราคา 7.51 – 10.00 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.8% และอันดับสาม ระดับราคาไม่เกิน 1.00 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.1% (ดูตารางที่ 5 – 6 และแผนภูมิที่ 6 - 7)   ตารางที่ 5 จำนวนหน่วยที่อยู่อาศัยมือสองที่ประกาศขาย เฉลี่ยต่อเดือน ทั่วประเทศ แยกตามระดับราคา หมายเหตุ : เป็นข้อมูลเบื้องต้น รวบรวมและประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์   ตารางที่ 6 มูลค่าที่อยู่อาศัยมือสองที่ประกาศขาย เฉลี่ยต่อเดือน ทั่วประเทศ แยกตามระดับราคา หมายเหตุ : เป็นข้อมูลเบื้องต้น รวบรวมและประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์   แผนภูมิที่ 6 อัตราขยายตัว (QoQ) จำนวนหน่วยที่อยู่อาศัยมือสองที่ประกาศขาย เฉลี่ยต่อเดือน ทั่วประเทศแยกตามระดับราคา หมายเหตุ : เป็นข้อมูลเบื้องต้น รวบรวมและประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์   แผนภูมิที่ 7 อัตราขยายตัว (QoQ) มูลค่าที่อยู่อาศัยมือสองที่ประกาศขาย เฉลี่ยต่อเดือน ทั่วประเทศแยกตามระดับราคา หมายเหตุ : เป็นข้อมูลเบื้องต้น รวบรวมและประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์   สำหรับสัดส่วนระดับราคาบ้านมือสองที่ประกาศขายในช่วงไตรมาส 4 ปี 2564 สูงสุด 3 อันดับแรก ในด้านจำนวนหน่วย พบว่า อันดับแรก ระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาท มีสัดส่วนมากที่สุด 17.3% อันดับสอง ระดับราคาไม่เกิน 1.00 ล้านบาท มีสัดส่วน 15.9% และอันดับสาม ระดับราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาท มีสัดส่วน 15.7% ซึ่งสัดส่วนจำนวนหน่วยทั้ง 3 ระดับราคาดังกล่าวรวมกันมีสัดส่วนรวม 48.9%   แต่สำหรับสัดส่วนมูลค่านั้น พบว่า 3 อันดับแรกที่มีสัดส่วนมากที่สุด ได้แก่ ระดับราคามากกว่า 10 ล้านบาท มีสัดส่วนมากถึง  61.4% อันดับสอง ระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาท มีสัดส่วน  10.1 และอันดับสาม ระดับราคา 5.01 – 7.50 ล้านบาท มีสัดส่วน  9.5% ซึ่งสัดส่วนมูลค่าทั้ง 3 ระดับราคาดังกล่าวรวมกันมากถึง  81.0% (ดูตารางที่ 7 และแผนภูมิที่ 8)   ตารางที่ 7 สัดส่วนจำนวนหน่วยและมูลค่าที่อยู่อาศัยมือสองที่ประกาศขาย เฉลี่ยต่อเดือน ทั่วประเทศแยกตามระดับราคา หมายเหตุ : เป็นข้อมูลเบื้องต้น รวบรวมและประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์   แผนภูมิที่ 8 สัดส่วนจำนวนหน่วยและมูลค่าที่อยู่อาศัยมือสองที่ประกาศขายเฉลี่ยต่อเดือน ทั่วประเทศแยกตามระดับราคา หมายเหตุ : เป็นข้อมูลเบื้องต้น รวบรวมและประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ กรุงเทพฯขายเฉลี่ยเดือนละ 6 แสนล้าน หากจัดอันดับตามมูลค่าเฉลี่ยต่อเดือนของที่อยู่อาศัยมือสองที่มีการประกาศขายในไตรมาส 4 ปี 2564 พบว่า 10 จังหวัดที่มีมูลค่าเฉลี่ยต่อเดือนสูงสุด ได้แก่ กรุงเทพฯ  ภูเก็ต นนทบุรี สมุทรปราการ ชลบุรี เชียงใหม่ ปทุมธานี สุราษฎร์ธานี ประจวบคีรีขันธ์ และสมุทรสาคร อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพฯ ​จังหวัดเดียว มีมูลค่าเฉลี่ยต่อเดือนถึง 616,614 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนมากถึง 62.3% เมื่อเทียบกับมูลค่าทั้งประเทศ และมีหน่วยประกาศขายเฉลี่ยต่อเดือน 60,269 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน  41.3%   ส่วนอันดับที่ 2 – 10 มีสัดส่วนมูลค่าและจำนวนหน่วยไม่ถึงร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับมูลค่าและจำนวนหน่วยทั่วประเทศ แต่ 10 จังหวัดนี้ มีมูลค่ารวมกันมากถึง 90.9% ส่วนจังหวัดที่เหลืออีก 67 จังหวัด มีสัดส่วนมูลค่ารวมกันเพียง 9.1% (มีสัดส่วนจำนวนหน่วยรวมกัน 23.8%) (ดูตารางที่ 8 – 10 และแผนภูมิที่ 9) ตารางที่ 8 จังหวัดที่มูลค่าที่อยู่อาศัยมือสองประกาศขายเฉลี่ยต่อเดือนสูงสุด 10 อันดับแรกในไตรมาส 4 ปี 2564 หมายเหตุ : เป็นข้อมูลเบื้องต้น รวบรวมและประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์   ตารางที่ 9 อัตราขยายตัว (QoQ) 10 จังหวัดที่มีมูลค่าที่อยู่อาศัยมือสองประกาศขายเฉลี่ยต่อเดือนสูงสุดในไตรมาส 4 ปี 2564 หมายเหตุ : เป็นข้อมูลเบื้องต้น รวบรวมและประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์   แผนภูมิที่ 9 อัตราขยายตัว (QoQ) ของมูลค่าเฉลี่ยต่อเดือน หมายเหตุ : เป็นข้อมูลเบื้องต้น รวบรวมและประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์   ตารางที่ 10 สัดส่วนจำนวนหน่วยและมูลค่าเฉลี่ยต่อเดือนของ 10 จังหวัดแรกที่มีมูลค่าสูงสุดในไตรมาส 4 ปี 2564 หมายเหตุ : เป็นข้อมูลเบื้องต้น รวบรวมและประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์  
KEEN Centre Sriracha คอนโดหรูสไตล์ญี่ปุ่น ใจกลางย่าน Little Osaka เมืองไทย

KEEN Centre Sriracha คอนโดหรูสไตล์ญี่ปุ่น ใจกลางย่าน Little Osaka เมืองไทย

KEEN Centre Sriracha คอนโดหรูสไตล์ญี่ปุ่น ใจกลางย่าน Little Osaka เมืองไทย รีวิวฉบับนี้ เราจะพาไปเที่ยวเมืองท่าที่สำคัญทางภาคตะวันออกอย่าง “ศรีราชา” อำเภอหนึ่งที่ได้รับความสนใจ ทั้งในด้านของเศรษฐกิจ และสังคม รวมถึงการลงทุนด้วย จากการที่ชลบุรีเป็นหนึ่งในจังหวัดที่อยู่ในแผนพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC นักลงทุนต่างชาติจึงหลั่งไหลมาเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่นที่รวมตัวกันอาศัยอยู่ในศรีราชาเป็นจำนวนมากเป็นอันดับ 2 รองจากย่านอโศก-พร้อมพงษ์ ของกรุงเทพฯ เลยทีเดียว   นอกจากจะไปทำความรู้จักกับศรีราชาแล้ว เราจะพาไปเยี่ยมชมโครงการ KEEN Centre Sriracha คอนโดหรูริมถนนสุขุมวิทแบบทุกซอกทุกมุม คอนโดสไตล์ญี่ปุ่นที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองทุกความต้องการของชาวญี่ปุ่น แถมยังเหมาะกับการลงทุนที่อยากมีคอนโดเพื่อการปล่อยเช่า แบบเจาะตลาดญี่ปุ่นโดยเฉพาะกันไปเลย พร้อมโปรโมชั่นดีๆ ที่เอามาฝากกันในตอนท้ายด้วยค่ะ   ทำไมศรีราชาถึงน่าสนใจ? ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา พื้นที่ในโซน “ศรีราชา” เรียกได้ว่าฮอตฮิตในวงอสังหาริมทรัพย์เป็นอย่างมาก จะเห็นได้ว่ามีการเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ตอบรับกับการเติบโตของเมืองอย่างรวดเร็วในการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจ ซึ่งเป็นทั้งแหล่งอุตสาหกรรม เป็นเมืองท่าติดทะเล ที่มีท่าเรือใหญ่ และเป็นเมืองหนึ่งใน “โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก” หรือ EEC (Eastern Economic Corridor) ทำให้พื้นที่ในแถบนี้เกิดการขยายตัว มีทั้งห้างสรรพสินค้าเปิดใหม่ คอมมิวนิตี้มอลล์ รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกในรูปแบบต่างๆ เกิดขึ้นตามมาแบบก้าวกระโดดกันเลยทีเดียว แน่นอนว่าเมื่อเมืองมีการขยายตัว “ที่อยู่อาศัย” ก็มีความต้องการมากขึ้นเช่นกัน     ด้วยทำเลที่ตั้งที่นับว่า “ศรีราชา” มีความเป็นเมืองท่าที่สำคัญด้านเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว เพราะถูกแวดล้อมไปด้วยนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ มากมาย เช่น นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร, นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง, นิคมอุตสาหกรรมยามาโตะ อินดัสทรีส์, นิคมอุตสาหกรรมเหมราชอีสเทิร์นซีบอร์ด, บมจ. ไทยออยล์ รวมถึงเป็นแหล่งขนส่งหลักทางเรือ มีทั้งท่าเรือศรีราชาฮาเบอร์, ท่าเรือสยามซีพอร์ต และ ท่าเรือแหลมฉบัง ประกอบกับบริษัทต่างๆ ที่อยู่ในนิคมอุตสาหกรรมส่วนใหญ่เป็นบริษัทญี่ปุ่น จึงมีชาวญี่ปุ่นเข้ามาตั้งถิ่นฐานเพื่อทำงานเป็นจำนวนมาก จนกลายเป็นชุมชนชาวญี่ปุ่นขนาดใหญ่ในบริเวณใจกลางเมืองศรีราชา ร้านค้า ร้านอาหารต่างๆ ตกแต่งและมีป้ายเป็นภาษาญี่ปุ่นเกือบทั้งหมด ทำให้บรรยากาศโดยรวมในตัวเมืองศรีราชา โดยเฉพาะบริเวณซอยศรีราชานคร มีความคล้ายคลึงกับย่านช้อปปิ้งในโอซาก้ามาก จนได้รับการขนานนามว่าเป็น “Little Osaka”   ความพร้อมรอบด้าน เพื่อการอยู่อาศัย พื้นที่ใจกลางเมืองศรีราชา หนึ่งในบริเวณที่ชาวญี่ปุ่นให้ความนิยมมากที่สุด ด้วยเป็นบริเวณที่อยู่ใกล้ทะเล มีวิวทิวทัศน์ที่ดี ประกอบกับการเดินทางที่สะดวกแบบสุดๆ เพราะมีถนนสายหลักอย่างถนนสุขุมวิทตัดผ่านใจกลางเมือง และยังมีถนนสายอื่นๆ ทั้งสายเลี่ยงเมือง และถนนรองอื่นๆ ล้อมรอบ ทำให้การเดินทางไปสู่แหล่งงาน รวมถึงการเดินทางไปสนามบิน และเข้ากรุงเทพฯ เป็นเรื่องง่ายและใช้เวลาเดินทางไม่มากจนเกินไป นอกจากนี้บริเวณใจกลางเมืองศรีราชาคับคั่งไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ มากมาย   ด้วยความที่เป็นพื้นที่ตัวเมืองชั้นในที่ขึ้นชื่อว่าเจริญที่สุด เพราะมีทั้งห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ถึง 2 แห่ง คือ โรบินสัน ศรีราชา ที่อยู่คู่เมืองมายาวนาน และเซ็นทรัล ศรีราชา ที่เพิ่งเปิดตัวไปไม่นานนี้ ในขณะที่คอมมิวนิตี้มอลล์อื่นๆ ที่สร้างมาเพื่อเอาใจชาวญี่ปุ่นอีกไม่น้อย เช่น AEON Shopping Centerและ J-Park Nihon Mura หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า “เจปาร์ค” อเวนิวที่จำลองบรรยากาศหมู่บ้านญี่ปุ่นมาแบบเต็มๆ พร้อมร้านอาหาร และร้านค้ามากมาย นอกจากห้างสรรพสินค้าและมอลล์ขนาดใหญ่แล้ว บริเวณถนนศรีราชานคร โซนหลังโรบินสันศรีราชา ยังเป็นแหล่งรวมร้านอาหาร ร้านคาราโอเกะ หรือแหล่งแฮงค์เอ้าท์ของชาวญี่ปุ่นขนาดแท้ รับรองว่าถ้าหลงเข้าไปในย่านนี้แล้ว ทั้งเสียงเพลง เสียงพูดคุยด้วยภาษาญี่ปุ่น และบรรยากาศแสงสีต่างๆ ก็เหมือนกับได้ไปเที่ยวเมืองโอซาก้าเลยทีเดียว     สำหรับการอยู่อาศัยที่มีโรงพยาบาลชั้นนำอยู่ใกล้ๆ ก็นับว่าเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่จำเป็น ซึ่งในตัวเมืองศรีราชามีโรงพยาบาลเอกชนเปิดให้บริการอยู่หลายแห่ง เช่น โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีราชา, โรงพยาบาลพญาไท ศรีราชา และยังมีโรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ซึ่งเป็นโรงพยาบาลรัฐขนาดใหญ่ประจำเมืองศรีราชาอีกแห่ง   เรื่องสถานศึกษา ก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญในการเลือกที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะกับกลุ่มที่มีครอบครัว และมีลูกในวัยเรียน เมืองศรีราชามีโรงเรียนชั้นนำอย่าง โรงเรียนดาราสมุทร และโรงเรียนอัสสัมชัญศรีราชา ที่เราคุ้นชื่อกันเป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังมีโรงเรียนสมาคมไทย-ญี่ปุ่น ศรีราชา ซึ่งได้รับความนิยมในหมู่คนญี่ปุ่นด้วย     ซึ่งสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่ว่ามา เป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มชาวต่างชาติ รวมถึงกลุ่มคนที่ต้องการย้ายทำเลที่อยู่อาศัยใหม่ด้วยแล้ว การเลือกอาศัยในย่านที่มีความเพียบพร้อมไปด้วยความสะดวกรอบด้าน ก็จะทำให้การปรับตัวให้คุ้นชินกับสภาพแวดล้อมใหม่เป็นไปได้ง่ายยิ่งขึ้น   KEEN Centre Sriracha คอนโดหรูสไตล์ญี่ปุ่น ทั้งน่าอยู่และน่าลงทุน อย่างที่บอกไปแล้วว่าเราจะพามาดูโครงการคอนโดมิเนียมหรูจากบริษัท โกลด์ไชน์ จำกัด ซึ่งเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของภาคตะวันออก ซึ่งเลือกปักหมุดริมถนนสุขุมวิท บนทำเลศักยภาพใจกลางเมืองศรีราชาเพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายหลักคือ กลุ่มนักลงทุน และกลุ่มผู้อยู่อาศัยชาวญี่ปุ่นที่มาทำงานในพื้นที่ใกล้เคียง รวมถึงกลุ่มคนที่อยากหาซื้อคอนโดไว้อยู่เอง ซึ่งตัวโครงการเน้นการออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยการพักผ่อนอย่างผ่อนคลาย พร้อมบรรยากาศที่ใกล้ชิดธรรมชาติด้วยการออกแบบที่เรียบง่ายสไตล์ Modern-Japanese   KEEN Centre Sriracha เป็นคอนโดมิเนียม High Rise สูง 38 ชั้น ที่ให้ความรู้สึกเหมือนได้อาศัยอยู่ในประเทศญี่ปุ่นเลยทีเดียว นับตั้งแต่ก้าวเข้าสู่ตัวอาคาร เราจะได้เห็นการตกแต่งภายในที่สะท้อนถึงกลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่นในทุกๆ รายละเอียด ตั้งแต่การเลือกโทนสีที่อบอุ่น การเลือกใช้วัสดุธรรมชาติเป็นหลัก เช่น ไม้ และหิน มาตกแต่งภายใน รวมถึงการออกแบบพื้นที่ส่วนกลาง และการจัดสวนในสไตล์เซน และด้วยทำเลที่ตั้งที่อยู่ใจกลางเมืองศรีราชา ใกล้กับทะเล ก็ทำให้วิวจากมุมต่างๆ ของตัวอาคารมีความสวยงามแตกต่างกันออกไป เนื่องจากโครงการ KEEN Centre Sriracha แทบจะเป็นอาคารสูงตึกเดียวในบริเวณนี้ จึงไม่มีอาคารข้างเคียงมาบล็อกวิวเลย     ปัจจุบันตัวโครงการสร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่แล้ว จำนวนยูนิตรวมทั้งหมด 628 ยูนิต แบ่งเป็นห้องพักให้เลือกในรูปแบบต่างๆ ดังนี้ Type A แบบ 1 ห้องนอน ขนาด 35 ตร.ม., Type B แบบ 1 ห้องนอน ขนาด 40 ตร.ม., Type C แบบ 2 ห้องนอน ขนาด 65 ตร.ม. และ Penthouse ซึ่งขายหมดไปแล้ว ครั้งนี้เราได้มีโอกาสไปชมห้องตัวอย่างในมุมต่างๆ ของอาคาร บริเวณชั้น 1 ประกอบไปด้วยล็อบบี้ขนาดใหญ่ตกแต่งสไตล์ญี่ปุ่น, Day Lounge กว้างขวางเพื่อรองรับการพบปะสังสรรค์ หรือใช้เป็นพื้นที่ทำงานพร้อมบริการอินเตอร์เน็ต wifi และห้อง Kids Room พื้นที่สำหรับเด็กๆ พร้อมเครื่องเล่นเสริมการเรียนรู้เพื่อรองรับการอยู่อาศัยแบบครอบครัว ในขณะที่พื้นที่ด้านนอกรอบๆ อาคาร จัดเป็นสวนสวยสไตล์ Zen     พื้นที่ชั้น 2-7 จะเป็นส่วนของที่จอดรถซึ่งสามารถรองรับได้มากถึง 45%  ในขณะที่พื้นที่ส่วนพักอาศัยจะเริ่มที่ชั้น 8 ซึ่งแบ่งเป็น Facility ด้วย ได้แก่ Co Working Space, Fitness ขนาดใหญ่กว่า 170 ตร.ม. พร้อมอุปกรณ์ครบครัน, ห้องชงชาสไตล์ญี่ปุ่น ซึ่งเงียบสงบเหมาะกับช่วงเวลาผ่อนคลายระหว่างวัน,Sport Lounge ห้องพักผ่อนอีกห้องตรงข้ามกับ Fitness เพื่อการพบปะหลังการออกำลังกาย,  Private Theatre เพื่ออรรถรสการชมภาพยนตร์แบบส่วนตัว, Golf Simulator เอาใจคนรักกีฬากอลฟให้ได้ฝึกซ้อมวงสวิงได้ทุกวัน และสวนกลางแจ้งพร้อมมุมพักผ่อนในบรรยากาศใกล้ชิดธรรมชาติ        พื้นที่ชั้น 9-37 เป็นพื้นที่ของห้องพักอาศัยในรูปแบบต่างๆ ซึ่งทางโครงการขายเป็นแบบห้องตกแต่งเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ไฟฟ้าพร้อมอยู่อาศัยทุกห้อง     ขึ้นไปที่บริเวณชั้น 38 จะเป็นพื้นที่ของ Facility ทั้งหมด ประกอบไปด้วย สระว่ายน้ำระบบควบคุมอุณหภูมิขนาดใหญ่ พร้อมสระเด็ก ซึ่งเปิดรับวิวอ่าวศรีราชาแบบ 180 องศา และไฮไลท์ของโครงการ Onsen แบบญี่ปุ่นพร้อมห้อง Sauna และ Stream แยกชายหญิง ซึ่งจัดว่าเป็นพื้นที่ Onsen ในคอนโดที่มีขนาดใหญ่ และได้มาตรฐานเช่นเดียวกับที่ญี่ปุ่นเลยทีเดียว และถัดจากชั้น 38 ขึ้นไป ยังมี Sky Garden พร้อมมุมนั่งพักผ่อนชมวิวเมืองได้อย่างเต็มตา     จะเห็นได้ว่า การออกแบบพื้นที่ส่วนกลางเกือบทั้งหมด ตั้งใจเจาะตลาดกลุ่มผู้ที่ชื่นชอบสไตล์การอาศัยสไตล์ญี่ปุ่น รวมถึงชาวญี่ปุ่นที่เข้ามาทำงานในพื้นที่ใกล้เคียงด้วย ดังนั้นจึงไม่แปลกถ้าโครงการ KEEN Centre Sriracha จะมีศักยภาพในการปล่อยเช่าที่โดดเด่น เนื่องจากเป็นที่ชื่นชอบของกลุ่มผู้บริหารระดับกลางถึงระดับสูงชาวญี่ปุ่น ที่เข้ามาทำงานตามนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ ในพื้นที่รอบๆ ประกอบกับการตกแต่งพร้อมเข้าอยู่ และบริการทำความสะอาดภายในห้องพักฟรี สัปดาห์ละ 2 ครั้ง ซึ่งรวมอยู่ในค่าใช้จ่ายส่วนกลางแล้ว จึงตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าเช่าระดับไฮเอนด์ได้เป็นอย่างดี โดยสังเกตุได้ว่าปัจจุบันมีกลุ่มผู้เช่าที่เข้ามาอาศัยในโครงการเป็นชาวญี่ปุ่นเป็นจำนวนมาก   Walking Thru KEEN Centre Sriracha ครั้งนี้เรามีโอกาสได้เยี่ยมชมห้องตัวอย่างทั้ง 3 Type และเก็บภาพในห้องมาให้ชมกัน โดยเริ่มกันที่ห้อง Type A ขนาดประมาณ 35 ตร.ม. ซึ่งจัดว่าเป็นห้องขนาดเริ่มต้น เน้นการออกแบบพื้นที่ใช้สอยที่เชื่อมต่อถึงกัน ด้วยการใช้ประตูกระจกบานเลื่อนแบ่งพื้นที่ห้องนอนและห้องนั่งเล่นออกจากกันหากต้องการเพิ่มความเป็นส่วนตัว โดยที่ไม่ทำให้พื้นที่ภายในห้องอึดอัดจนเกินไป พร้อมด้วยเฟอร์นิเจอร์ Built-in, ชุดเครื่องนอน และเครื่องใช้ไฟฟ้าครบครันมากถึง 38 รายการที่พร้อมสำหรับการอยู่อาศัย และการปล่อยเช่า       ด้วยการออกแบบเพื่อตอบโจทย์การอยู่อาศัยได้จริง ฟังก์ชั่นการใช้งานต่างๆ ของเฟอร์นิเจอร์สามารถใช้งานได้จริง มีพื้นที่เก็บของเป็นจำนวนมาก รวมถึงวัสดุและโทนสีที่เลือกใช้จึงดูเรียบง่ายสบายตา ซึ่งห้องขนาดเริ่มต้นนี้มีพื้นที่ใช้สอยกำลังพอดีสำหรับการอยู่อาศัยแบบ 1-2 คน     สำหรับห้องต่อมา Type B ขนาด 40 ตร.ม. เป็นห้องขนาดกลางที่มีพื้นที่ใช้สอยกว้างขึ้นมาอีกหน่อย ซึ่งนับว่าเป็นขนาดที่เหมาะกับการปล่อยเช่าให้กับชาวญี่ปุ่นที่มาอยู่แค่คนเดียวมากที่สุด เนื่องจากขนาดห้องกำลังพอดี และมีการแบ่งพื้นที่การใช้สอยเป็นสัดส่วน เพิ่มความเป็นส่วนตัวมากขึ้นด้วยการกั้นผนังห้องนอนแยกออกจากพื้นที่นั่งเล่นอย่างชัดเจน การตกแต่งภายในห้องยังคงความมินิมอลสไตล์ญี่ปุ่น เน้นความเรียบง่ายและโทนสีสบายตา พร้อมเฟอร์นิเจอร์, ชุดเครื่องนอน และเครื่องใช้ไฟฟ้ารวมกว่า 40 รายการ     รูปแบบ Layout ของห้อง Type B จะมีความลึกมากกว่าห้อง Type A เล็กน้อย ดังนั้นระยะห่างจากพื้นที่ครัวกับห้องนั่งเล่นจึงกว้างขึ้น สามารถขยับพื้นที่การวางโซฟาได้ขนาดใหญ่ขึ้น หรือจะเพิ่มชั้นวางของเข้าไปตกแต่งเพิ่มเติมได้อีก ซึ่งเฟอร์นิเจอร์ที่แถมมาให้พร้อมห้องอย่างที่เห็นในภาพ ทางโครงการเลือกมาได้อย่างลงตัวและเหมาะกับการอยู่อาศัยมากอยู่แล้วจนแทบจะไม่ต้องตกแต่งอะไรเพิ่มเติมเลย     มาถึงห้องแบบสุดท้ายที่เราได้เยี่ยมชมในครั้งนี้ ห้อง Type C ขนาด 65 ตร.ม. ซึ่งเป็นห้องแบบ 2 ห้องนอน ซึ่งออกแบบมาตอบโจทย์การอยู่อาศัยแบบครอบครัว หรือกลุ่มคนที่ต้องการพื้นที่ใช้สอยมากขึ้น ตำแหน่งห้องแบบ 2 ห้องนอนนี้จะเป็นตำแหน่งห้องมุม ทำให้บริเวณห้องนั่งเล่น สามารถเปิดรับวิวได้อย่างเต็มที่ รวมถึงในห้องนอนทั้ง 2 ห้องด้วย ซึ่งห้องนี้ก็ตกแต่งเฟอร์นิเจอร์ และเครื่องใช้ไฟฟ้ามาให้มากถึง 62 รายการเลยทีเดียว ซึ่งพร้อมสำหรับการเข้าพักอาศัยได้ทันที       ตั้งแต่เดินเข้าห้องมาที่โซนแรก ก็เรียกความประทับใจได้เลย ด้วยพื้นที่โถงกลางห้องที่กว้างขวาง มีพื้นที่ครัวที่ใหญ่ขึ้น และมีพื้นที่สำหรับวางโต๊ะกินข้าวที่เป็นสัดส่วนขึ้น เช่นเดียวกับพื้นที่นั่งเล่น ที่เข้ากันได้พอดีกับวิวจากห้องมุม ทำให้ได้เห็นวิวกว้างเต็มตา ด้วยรายการเครื่องใช้ไฟฟ้าที่แถมมาพิเศษพร้อมห้องขนาด 2 ห้องนอนนี้ จะมีเครื่องอบผ้ามาเพิ่ม ซึ่งต่างจากห้อง Type อื่นๆ ที่ให้มาแค่เครื่องซักผ้าเท่านั้น และการจัดวางก็มีตู้แยกมาให้เป็นสัดส่วน ไม่ได้วางไว้ที่บริเวณเคาน์เตอร์ครัวแบบห้องอื่นๆ     สำหรับห้องนอนใหญ่ หรือ Master Bedroom เป็นห้องขนาดใหญ่อยู่ด้านในสุด พร้อมห้องน้ำในตัว มีความเป็นส่วนตัวสูง ภายในห้องนอนมีการแบ่งส่วนโซนพื้นที่ใช้สอยไว้เป็นสัดส่วน บริเวณห้องน้ำกว้างขวางมาก มีทั้งส่วน Shower และอ่างอาบน้ำแบบ Sexy Bath เช่นเดียวกับห้องที่เราได้ชมก่อนหน้า แต่จะมีพื้นที่ Walk in Closet ที่เป็นสัดส่วนมากขึ้น และมีขนาดของตู้เสื้อผ้าที่ใหญ่ขึ้นด้วย     ส่วนห้องนอนเล็ก ทางโครงการจัดวางเตียงขนาด 3.5 ฟุตพร้อมโต๊ะทำงาน และตู้เสื้อผ้ามาให้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งหากไม่ต้องการใช้เป็นห้องนอน ก็สามารถปรับเปลี่ยนเป็นห้องทำงาน หรือห้องอเนกประสงค์อื่นๆ ได้เช่นกัน ห้องนอนเล็กนี้ไม่ได้มีห้องน้ำในตัว แต่จะใช้ร่วมกันกับห้องน้ำแขก ซึ่งอยู่ทางด้านฝั่งตรงข้ามของห้องนอนนั่นเอง ถึงแม้ในห้องน้ำเล็กจะไม่ได้มีอ่างอาบน้ำเหมือนกันห้องอื่นๆ แต่ก็มีการกั้นพื้นที่ Shower ไว้เป็นสัดส่วนเรียบร้อย     อย่างที่เห็นในภาพรวมทั้งหมดแล้วว่า โครงการ KEEN Centre Sriracha นั้นมีความโดดเด่นรอบด้าน ตั้งแต่เรื่องทำเลที่ตั้งที่อยู่ใจกลางตัวเมืองชั้นในของศรีราชา ในจุดที่อุดมสมบูรณ์และมีสิ่งอำนวความสะดวกเพียบพร้อมที่สุดของย่านนี้ รวมถึงการเดินทางที่สะดวกเนื่องจากตั้งอยู่บนริมถนนสายสุขุมวิท ซึ่งเป็นถนนสายหลัก ไม่ว่าจะเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัว หรือการใช้บริการระบบขนส่งหลักก็ทำได้ไม่ยาก เนื่องจากมีรถสาธารณะหลักๆ ผ่านหน้าโครงการทั้งหมด นอกจากนี้การที่ทางโครงการขายห้องมาให้แบบ Fully Furnished แล้ว พร้อมกับของแถมอื่นๆ อีกหลายรายการ ยิ่งเพิ่มความพร้อมสำหรับการเข้าอยู่ และเพื่อการปล่อยเช่ามากขึ้นไปอีก ประกอบกับการที่มี Facility ส่วนกลางจัดเต็มเป็นจำนวนมาก และออกแบบมาตอบโจทย์การอยู่อาศัยสไตล์ญี่ปุ่นเป็นหลัก จึงเป็นหนึ่งในโครงการที่เป็นขวัญใจกลุ่มผู้เช่าชาวญี่ปุ่น Expat ประจำย่านเลยทีเดียว   ด้วยอัตราการปล่อยเช่าที่ผ่านมาของย่านศรีราชา เป็นแหล่งที่สามารถทำกำไรได้ค่อนข้างดี เนื่องจากเป็นที่ต้องการของตลาด ทางโครงการเองก็มีการจัดราคาโปรโมชั่นพิเศษ ในราคาเริ่มต้น 3.19 ล้านบาท* ซึ่งมาพร้อมกับของแถมสุดปัง ครอบคลุมทุกการอยู่อาศัย จึงทำให้เชื่อได้ว่าสามารถทำราคาค่าเช่าได้ค่อนข้างดี และการได้เป็นเจ้าของห้องเพื่อการปล่อยเช่านี้ จะสามารถให้ผลตอบแทนสูงประมาณ 9-11% ต่อปี* กันเลยทีเดียว (จากราคาโปรโมชั่น)   รายละเอียดโปรโมชั่นพิเศษ คีน เซ็นเตอร์ ศรีราชา จัดโปรโมชั่นร้อนแรง ลดสูงสุด 1.2 ล้านบาท จาก 4.4 เหลือ 3.19 ล้านบาท*!! พร้อมรับโปรโมชั่น 6 steps มูลค่ากว่า 415,900 บาท ประกอบด้วย หนึ่งห้องนอน 42 ตร.ม. เฟอร์นิเจอร์แต่งครบ 40 รายการ มูลค่า 240,000 บาท เครื่องใช้ไฟฟ้า 3 รายการ ได้แก่โทรทัศน์ ขนาด 50 นิ้ว ตู้เย็นขนาด 7.9 คิว และเครื่องซักผ้าขนาด 7 กิโลกรัม รวมมูลค่า 65,000 บาท Japanese Package 11 รายการ ได้แก่ ชุดภาชนะจานชาม ช้อนส้อม แก้วน้ำ หม้อหุงข้าว ตู้เซฟ เตาอบ ไมโครเวฟ กาต้มน้ำ ไม้แขวนเสื้อ และแพ็คเกจช่องโทรทัศน์ญี่ปุ่น 1 ปี เพื่อปล่อยเช่าได้ทันทีโดยไม่ต้องไปหาซื้อเอง รวมมูลค่า 30,000 บาท ฟรีค่าส่วนกลาง 1 ปี มูลค่ากว่า 28,000 บาท ฟรีค่ากองทุน มูลค่ากว่า 21,000  บาท ฟรีค่าโอน 1% มูลค่า 31,900  บาท ห้องมีจำนวนจำกัด ลงทะเบียนนัดหมายเข้าชมโครงการได้ที่ www.keen-sriracha.com สอบถามโทร 093 474 2422     บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ CPN เปิด “เซ็นทรัล ศรีราชา” 6 ไฮไลท์ “เซ็นทารา เรสซิเดนซ์ฯ” 7 บทสรุปตลาดที่อยู่อาศัยใน EEC    
อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนมีนาคม 2565

อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนมีนาคม 2565

อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน  เข้าสู่เดือนสุดท้ายของไตรมาสแรกปี 2565 แล้ว บรรยากาศบ้านเมือง มีทิศทางที่ดีขึ้น คนทั่วไปออกมาใช้ชีวิตเป็นปกติ กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มขยับเพิ่มมากขึ้น แม้ว่าการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะยังคงมีอยู่ อัตราการติดเชื้อก็มีตัวเลขสูงพอควร แต่ความรุนแรงไม่มากเท่าอดีต อัตราการเสียชีวิตเริ่มคงที่ ถือเป็นสัญญาณที่ดี ว่าตอนนี้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่มากพอสมควร จากอัตราการได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มของคนไทยที่มากพอสมควร   ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2565 สัญญาณการฟื้นตัวปรับไปในทิศทางที่ดี เห็นได้จากความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการ ที่ออกมาประกาศแผนธุรกิจของปี 2565 ซึ่งแต่ละรายไม่ได้ลดระดับความร้อนแรงลงเลย ในทางตรงกันข้ามกลับบุกตลาดหนักมากขึ้น หลังจาก 2 ปีที่ชะลอแผนไป สาเหตุหนึ่งคงเป็นเพราะมองว่าอะไร ๆ ก็น่าจะดีขึ้น และมีปัจจัยบวกสนับสนุนตลาดอยู่หลายประเด็น   หนึ่งในประเด็นที่ช่วยผลักดันตลาด ก็คือ อัตราดอกเบี้ยการให้สินเชื่อกู้ซื้อบ้านและคอนโดมิเนียม ของสถาบันการเงินยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำ ทำให้เป็นโอกาสของคนที่มีความพร้อมและมีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัย ในการรับอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว ส่วนธนาคารไหนให้อัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เท่าไรบ้างนั้น Reviewyourliving ได้อัพเดทสถานการณ์ ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ของเดือนมีนาคม 2565 รวบรวมไว้ให้แล้ว ซึ่งภาพรวมทั้งหมดยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้เท่าเดิม อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด  1.ธนาคารกรุงเทพ สำหรับธนาคารกรุงเทพ มีสินเชื่อบ้านบัวหลวง ที่ให้บริการลูกค้า 2 กลุ่ม คือ ลูกค้าพนักงานที่มีรายได้ประจำ และลูกค้าทั่วไป  โดยอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ประจำเดือนมีนาคม 2565 ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา อัตราดอกเบี้ยเฉพาะพนักงานที่มีรายได้ประจำ  วงเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท  (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1   ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.00%) หลังจากนั้น 5.2%  (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.65% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3  อัตราดอกเบี้ย 4.2% (MRR-1.75%) หลังจากนั้น 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.65% อัตราดอกเบี้ยเฉพาะพนักงานที่มีรายได้ประจำ วงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 5 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.45% (MRR-1.50%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.48% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3  อัตราดอกเบี้ย 4.075% (MRR-1.875%) หลังจากนั้น 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.48% อัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับลูกค้าทั่วไป วงเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.50% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.00%) หลังจากนั้น  5.45% (MRR-0.50%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.87% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 4.45%(MRR-1.50%) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.45%(MRR-1.50%) หลังจากนั้น 5.45%  (MRR-0.50%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.9% อัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับลกค้าทั่วไป วงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 5 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.7%(MRR-1.25%) หลังจากนั้น 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.57% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 4.075%(MRR-1.875%) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.075% (MRR-1.875%) หลังจากนั้น 5.2%(MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.58%   -กรณีวงเงิน ตั้งแต่ 500,000 บาทแต่ไม่เกิน 1 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ย คงที่ปีแรก 4.75% หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีวงเงินต่ำกว่า ​500,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีหลักประกันสิทธิการเช่า ​คิดอัตราดอกเบี้ย​ MRR-0.75% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีหลักประกันที่ดินเปล่าเพื่อการอยู่อาศัย คิดอัตราดอกเบี้ย ​MRR-0.25% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา   หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับผู้ที่ยื่นคำขอสินเชื่อพร้อมเอกสารครบถ้วน ตั้งแต่วันที่ 5 ม.ค.- 31 มี.ค. 65 โดยผู้กู้ต้องลงนามในสัญญากู้ภายใน 1 เดือน นับตั้งแต่วันที่อนุมัติสินเชื่อ​และจดทะเบียนจำนองพร้อมเบิกเงินกู้งวดแรกหรือทั้งหมดภายใน 2 เดือน นับตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญา ​ -พนักงานที่มีรายได้ประจำ หมายถึง พนักงานที่มีรายได้หลัก หรือ มีความสามารถในการชำระคืนหลัก จากรายได้ประจำ -รูปแบบการชำ​ระแบบคงที่ เลือกผ่อนได้ทุกทางเลือก/รูปแบบการผ่อนชำ​ระแบบขั้นบันได เลือกผ่อนได้เฉพาะทางเลือกที่ 1 -อัตราส่วนวงเงินกู้สูงสุดและมูลค่าหลักประกันให้เป็นไปตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย -อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบันตามประกาศของธนาคาร ณ วันที่ 17 มิ.ย. 64 เท่ากับ 5.95% ต่อปี -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยรวมทั้งหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ​​ 2.ธนาคารกรุงไทย อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด สำหรับธนาคารกรุงไทย มีสินเชื่อสำหรับบ้านใหม่ กรุงไทย SURE  โดยไม่คิดค่า  ธรรมเนียมยื่นกู้  โดยเดือนนี้อัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด  ไม่เปลี่ยนเปลี่ยนแปลงจากช่วงเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา ​​ดังนี้ แบบคงที่ 1 ปี ฟรีค่าธรรมเนียมยื่นกู้ แบบทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0.75% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 3.82% (MRR-2.4%) ปีที่ 3 ดอกเบี้ย 3.82% (MRR-2.4%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.80% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.20% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.0% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 3.82% (MRR-2.4%) ปีที่ 3 ดอกเบี้ย 3.87% (MRR-2.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.90% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.24% แบบลอยตัว แบบทำประกัน ปีที่ 1-3  ดอกเบี้ย 2.77%  (MRR-3.45%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.77% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.22% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย 2.87% (MRR-3.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.87% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.26%   สินเชื่อสำหรับการกู้ซื้อบ้านที่ธนาคารออกค่าจดจำนองให้** และ ฟรี ค่าธรรมเนียมยื่นกู้ แบบคงที่ แบบทำประกัน  คิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0.75% ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย 4.32% (MRR-1.9%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.13% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.32% แบบไม่ทำประกัน  คิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.0% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 4.32% (MRR-1.9%) ปีที่ 3 ดอกเบี้ย 4.32% (MRR-1.9%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.23% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา = 4.35% แบบลอยตัว แบบทำประกัน  คิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย 3.12% (MRR-3.10%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.12% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.35% แบบไม่ทำประกัน  คิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย 3.22% (MRR-3.0%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.22% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 3.38%   การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ* : ทำประกันทางเลือกใด ทางเลือกหนึ่ง ดังนี้ 1.ทำ MRTA/GLT SP เต็มวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 10 ปี 2.ทำ MRTA/GLT SP 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลากู้ 3.ทำ MRTA/GLT SP 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลากู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 15 ปี ทั้งนี้ การทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อเป็นไปตามความสมัครใจของลูกค้า และไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ **ธนาคารออกค่าจดจำนองให้ 1% สูงสุดไม่เกินรายละ 200,000 บาท หากลูกค้าปิดบัญชีก่อน 5 ปี ธนาคารจะเรียกเก็บค่าจดจำนองคืน ***อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (EIR) คำนวณจากวงเงินกู้ 1.00 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี ผ่อนชำระ 6,500 บาท/เดือน เงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด การพิจารณาสินเชื่ออยู่ภายใต้ดุลยพินิจของธนาคาร ยื่นสมัครสินเชื่อ ภายในวันที่ 30 มี.ค.65 MRR = 6.22% ต่อปี (ณ 1 เม.ย. 2564) 3.ธนาคารกรุงศรี ธนาคารกรุงศรี มีสินเชื่อบ้านกรุงศรี เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย (บ้านใหม่/บ้านมือสอง) สำหรับลูกค้าทั่วไป โดยมีแคมเปญฟรี ค่าธรรมเนียมสำรวจ และค่าประเมินอัตราดอกเบี้ยยังคงเท่าเดิมจากเดือนที่ผ่านมา โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ สำหรับการกู้ในวงเงิน 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 5 ล้านบาท ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.9% ( MRR-3.15%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.05% (MRR-2.00%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป 4.95% (MRR-1.10%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.97% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.39% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 เดือนที่ 1-6 อัตราดอกเบี้ย 1.50% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย MRR-1.60% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.7% (MRR-1.35%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.10%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.21% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.52% สำหรับการกู้เงินในวงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.55%  (MRR-3.50%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.3%  (MRR-2.75%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 4.7% (MRR-1.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.52% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.02% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 เดือนที่ 1-6 อัตราดอกเบี้ย 1.25% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย 4.1% (MRR-1.95%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.3% (MRR-1.75%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป 4.7%  (MRR-1.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.89% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.23%   หมายเหตุ * อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงการแสดงตัวอย่าง โดยคำนวณจากฐานวงเงินกู้ 2 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 5 ล้านบาท และฐานวงเงินกู้ 5 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ด้วยระยะเวลาการกู้ 10 ปี ในกรณีที่ลูกค้า ซื้อ MRTA/MLTA หากค่าเบี้ย MRTA/MLTA เปลี่ยนแปลง อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอาจเปลี่ยนแปลงได้ เงื่อนไขการรับสิทธิพิเศษสาหรับลูกค้าที่ซื้อประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ (MRTA/MLTA) -รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ต่อปี เฉพาะในปีที่ 1 จากอัตราดอกเบี้ยทุกทางเลือก ลูกค้าต้องซื้อ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการตามเงื่อนไขดังนี้ 1.ผลิตภัณฑ์ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการได้แก่ MRTA : แผนกรุงศรี เซฟตี้โลน 1 พลัส หรือ กรุงศรี เซฟตี้โลน 1 หรือ กรุงศรี เซฟตี้โลน 2 / MLTA : กรุงศรี รักบ้าน รักคุณ หรือกรุงศรี รักบ้าน รักคุณ พลัส เท่านั้น 2.กรณีผู้กู้หลักเป็นพนักงานเงินเดือนที่มีรายได้ ประจำ​ต้องซื้อ MRTA/MLTA 100% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี หรือซื้ออย่างน้อย 70% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความ คุ้มครองไม่ต่ำกว่า 20 ปี 3.กรณีผู้กู้หลักเป็นผู้ประกอบธุรกิจส่วนตัว ต้องซื้อ MRTA/MLTA อย่างน้อย 80% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 10 ปี หรือซื้อย่างน้อย 50% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี 4.กรณีมีผู้กู้ร่วม สามารถซื้อ MRTA/MLTA เฉพาะผู้กู้หลักเพียงคนเดียวได้ หรือหากผู้กู้ร่วมประสงค์ที่จะซื้อ MRTA/MLTA ด้วย ผู้กู้หลักและผู้กู้ร่วมทุกคนจะต้องมีทุนประกันขั้นต่ำในสัดส่วนที่เท่ากัน ขอสงวนสิทธิ์ในการปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย เป็นอัตราดอกเบี้ยปกติตามที่ลูกค้าได้เลือกไว้ โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ในกรณีที่บริษัทประกันไม่ อนุมัติ MRTA/MLTA หรือในกรณีที่ลูกค้าขอยกเลิก MRTA/MLTA -ตามประกาศธนาคาร ณ วันที่ 21 พ.ค. 63 อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.05% ต่อปี -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 30 เม.ย. 65 โดยจดจำนองและเบิกรับเงินกู้ภายในวันที่ 31 พ.ค. 65 -ค่าธรรมเนียมอื่น ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร -การพิจารณา อนุมัติสินเชื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด -วงเงินกู้อนุมัติสูงสุดเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด และไม่เกินกว่า วงเงินกู้สูงสุดต่อมูลค่าหลักประกัน (ราคาซื้อขาย) ตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์เรียกเก็บค่าเบี้ยปรับกรณีปิด ภาระหนี้ก่อนกำหนด (กรณีที่ลูกค้ารีไฟแนนซ์ไปสถาบันการเงินอื่นภายใน 3 ปีแรกนับจากวันทำสัญญา) คิดเป็น 3% ของยอดหนี้คงเหลือ 4.ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกสิกรไทย มีสินเชื่อกู้ซื้อบ้านสำหรับบ้านใหม่ให้กับลูกค้าทั่วไป โดยพิจารณาเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีรายได้ประจำ และกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการ ซึ่งเดือนนี้อัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ สำหรับลูกค้าที่มีรายได้ระจำ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย = n.a. อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 7.72% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 7.72% สำหรับลูกค้าผู้ประกอบการ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย = n.a. อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 8.22% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 8.22% หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ย MRR = 5.97% (ประกาศ ณ วันที่ 22 พ.ค. 2563) ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ย MRR ให้อ้างอิงอัตราดอกเบี้ยตามประกาศของธนาคาร ณ วันที่ลูกค้ายื่นใบสมัครสินเชื่อ -อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวสำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 31 มีนาคม 2565 โดยสามารถยื่นกู้ได้สำหรับที่อยู่อาศัยทุกประเภท ยกเว้นการกู้เพื่อซื้อที่ดินเปล่า -รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม 0.25% ในปีแรก หากทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองสินเชื่อบ้านตามเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด -กรณียื่นกู้บ้านในโครงการจัดสรรที่ธนาคารสนับสนุน ธนาคารฯมีอัตราดอกเบี้ยพิเศษ สอบถามรายละเอียดและเงื่อนไขเพิ่มเติมได้ที่ K-Contact Center 02-8888888 ต่อ 887 5.ธนาคารเกียรตินาคิน ธนาคารเกียรตินาคิน มีสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย (KKP Home Loan เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย) กรณี บ้านใหม่ : ซื้อบ้านจากบริษัทพัฒนา อสังหาริมทรัพย์ที่ธนาคารกำหนด ซึ่งคิดอัตราดอกเบี้ยในอัตราเดิมเท่ากับเดือนที่ผ่านมา โดยธนาคารเกียรตินาคินมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ ดอกเบี้ยคงที่ 2 ปี แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  2.45%-2.75% ปีต่อไป ดอกเบี้ย  4.775% (MLR-1.75%) แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.65%-2.95% ปีต่อไป ดอกเบี้ย 4.775% (MLR-1.75%) ดอกเบี้ยคงที่ 3 ปี แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.60%-2.99% ปีต่อไป ดอกเบี้ย 4.775% (MLR-1.75%) แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.80%-3.19% ปีต่อไป ดอกเบี้ย 4.775% (MLR-1.75%)   หมายเหตุ 1.อัตราดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับปัจจัยอ้างอิง เช่น อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR) ซึ่งธนาคารจะแจ้งให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว  โดยจะประกาศไว้ ณ สถานที่ทำการให้บริการและ​เว็บไซต์ของธนาคาร 2.MLR ณ วันที่​ 18 สิงหาคม 2563 เท่กับ​ 6.525% ต่อปี 3.เลือกทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ​(MRTA)ผ่านธนาคาร ทุนประกันภัยเท่ากับวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาเอาประกันภัยขั้นต่ำ 10 ปี กรณีที่ระยะเวลาการกู้ไม่ถึง 10 ปี ให้ระยะเวลาเอา​​​​​​ประกันภัยเท่ากับระยะเวลาการกู้ 4.กรณี Refinance ไปสถาบันการเงินอื่นก่อนครบ 3 ปี แรก คิดค่า​ Prepayment Penalty 3% ของเงินต้นคงค้าง 5.​กรณีเลือกใช้เงื่อนไขอัตราดอกเบี้ยแบบฟรีค่าจดจำนอง ​​หากลูกค้า Re-Finance หรือชำระปิดบัญชีก่อนระยะเวลาที่กำหนดไว้ ลูกค้าต้องชำระค่าจดจำนองที่ธนาคาร เคยสำรองจ่ายให้แก่ธนาคาร​ 6.ค่าประเมินหลักประกันเริ่มต้น 3,210 บาท  ค่าอากรแสตมป์ 0.05% ของวงเงินกู้ (สูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท) 7.เบี้ยประกันอัคคี ​เป็นไปตามที่บริษัทประกันภัยกำหนด ​โดยผู้กู้สามารถเลือกทำประกันกับบริษัทที่น่าเชื่อถือใดก็ได้ ​ a.อัตราส่วนวงเงินกู้ยืมสูงสุด ต่อหลักประกัน 100% ของราคาซื้อขายจริง หรือราคาประเมินธนาคาร แล้วแต่ราคาใดต่ำกว่า ยกเว้นธนาคารมีกำหนดเงื่อนไขพิเศษอื่น ๆ สำหรับบางโครงการ อาจจะได้รับอัตราส่วนวงเงินกู้ยืมสูงสุดต่อหลักประกัน​ 100% b.ระยะเวลากู้สูงสุด ​30 ปี (อายุผู้รวมระยะเวลากู้ไม่เกิน 65 ปี สำหรับพนักงานเงินเดือนประจำ และไม่เกิน 70 ปี สำหรับเจ้าของกิจการ/ธุรกิจส่วนตัว) 6.ธนาคารซีไอเอ็มบี ธนาคารซีไอเอ็มบี สินเชื่อบ้าน โฮมโลนฟอร์ยู ให้กับพนักงานประจำ ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ ผู้ประกอบการ และเจ้าของกิจการ  โดยคิดอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เท่ากับเดือนที่ผ่านมา ซึ่งธนาคารซีไอเอ็มบี มีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ สำหรับพนักงานประจำ รายได้ 15,000 บาท หรือเจ้าของกิจการรายได้ 30,000 บาท ประเภททำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.25% (MRR-3.1%) ระยะเวลาที่เหลือ ดอกเบี้ย 5.35% (MRR-2.0%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.25% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.07% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.55% (MRR-2.8%) หลังจากนั้น 5.35% (MRR-2.0%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.15% หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินกู้ 2 ล้านบาท ระยะเวลากู้ 15 ปี (MRR=7.35% ประกาศ ณ วันที่ 9 ธันวาคม 2564) -ธนาคารยังมีอัตราดอกเบี้ยสำหรับพนักงานประจำรายได้ 30,000-50,000 หรือเจ้าของกิจการรายได้ 50,000 บาทขึ้นไปไว้พิจารณาด้วย รวมถึงสินเชื่อสำหรับโครงการที่ธนาคารเป็นผู้สนับสนุน 7.ธนาคารทีทีบี ธนาคารทีทีบี มีสินเชื่อบ้านใหม่ สำหรับการซื้อบ้านหรือคอนโดจากโครงการทั่วไป ภายใต้แคมเปญดอกเบี้ยพิเศษเริ่มต้นเฉลี่ย 3 ปีแรก 4.05% ต่อปี จะได้รับฟรีค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย ค่าจดทะเบียนจำนอง และค่าประเมินหลักทรัพย์ ซึ่งอัพเดทอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ของเดือนมีนาคม ยังคงใช้ในอัตราเท่ากับเดือนที่ผ่านมา  โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ทางเลือก 1 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.05% (MRR-2.23%) หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.05% ดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.46% ทางเลือก 2 (ฟรีค่าจดจำนอง) ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.4% (MRR-1.88%) หลังจากนั้น 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.4% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.57% ทางเลือก 3 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 4.65% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา ดอกเบี้ย 4.65% รายละเอียดเงื่อนไข สมัครผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ได้แก่ 1.สมัครประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ สไมล์โฮม หรือ สไมล์โฮม พลัส ​ 2.สมัครใช้บริการหักบัญชีอัตโนมัติผ่านบัญชีออมทรัพย์ ทีทีบี เพื่อผ่อนชำระสินเชื่อบ้าน 3.สมัครบัตรเดบิต ttb (กรณีที่คุณมีบัตรเดบิต ttb แล้ว ไม่ต้องสมัครเพิ่ม) กู้ซื้อบ้าน คอนโดใหม่ กับทีทีบี รับข้อเสนอพิเศษ ด้วยอัตราดอกเบี้ย ให้เลือก 2 แบบ ดังนี้ แบบที่ 1 สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท -รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษนาน 3 ปี -ฟรีประกันอัคคีภัยมูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท -ฟรีค่าจดทะเบียนจำนอง 1% ของเงินกู้สูงสุดถึง 200,000 บาท -ฟรี ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรม จำนอง แบบที่ 2 สมัครผลิตภัณฑ์เสริมไม่ครบทั้ง 3 ประเภท​ -ฟรีประกันอัคคีภัย มูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท -ฟรี ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรม จำนอง หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมรวมถึงสิทธิพิเศษต่าง ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อบ้าน (MRTA) ไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อทำเพื่อประโยชน์หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นกับผู้กู้ในขณะที่ยังชำระหนี้ไม่ครบถ้วน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของผู้กู้และธนาคาร และไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย 3 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการพิจารณาอนุมัติวงเงินกู้และอัตราดอกเบี้ยตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของธนาคาร -ธนาคารขอสงวนสิทธิเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่แจ้งไว้ในเอกสารฉบับนี้ โดยไม่ ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า -ในกรณีที่ธนาคารเป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนจำนองหลักประกันแทนผู้กู้หากผู้กู้มีความประสงค์จะไถ่ถอนหลักประกันและชำระหนี้คืนทั้งหมดภายในระยะเวลา 5 ปี นับแต่วันเบิกใช้เงินกู้ ครั้งแรก ผู้กู้ตกลงคืนเงินค่าธรรมเนียมจดจำนองหลักประกันตามจำนวนเงินที่ธนาคารได้ช าระไปให้แก่ธนาคาร ในวันที่ผู้กู้ได้ชำระหนี้ทั้งหมดเสร็จสิ้น (ค่าธรรมเนียมจดจำนอง 1% สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท) -กค้าต้องสำรอง จ่ายค่าจดจำนองแก่กรมที่ดินก่อน โดยธนาคารจะโอนเงินคืนเข้าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ที่ลูกค้าใช้หักชำระค่างวดกับธนาคารภายใน 30 วันทำการนับจากวันที่ลูกค้าจดจำนอง -MRR = 6.28% ตามประกาศธนาคาร https://www.ttbbank.com/th/rates/loan-interest-rates -สำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 ถึง 30 มิถุนายน 2565 และจดจำนอง ภายใน 31 กรกฎาคม 2565 8.ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ มีสินเชื่อบ้านสำหรับลูกค้าทั่วไป โดยคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับช่วงเดือนที่ผ่านมา  คิดอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ แบบไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.995% ปีต่อไป MRR = 5.995% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.995% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.995% แบบทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ มากกว่าหรือเท่ากับ 70% ของวงเงินกู้ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.95% ปีต่อไป MRR = 5.995% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.95% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.983% หมายเหตุ -กรณีใช้ดอกเบี้ย​แบบทำประกัน​ Credit Life 70% กำหนดให้ทำทุนประกันไม่น้อยกว่า 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลาเอาประกัน 70% ของระยะเวลากู้ตามสัญญา โดยกำหนดให้เอาระยะเวลาขั้นต่ำ 10  ปี (กรณีระยะเวลากู้ตามสัญญาต่ำ​10 ปี กำหนดให้ระยะเวลาเอาประกันเท่ากับระยะเวลากู้ตามสัญญา) ​-ประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ รับประกันภัยโดย บมจ. ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต บริษัทนเครือกลุ่มเอฟดับบลิวดี หากต้องการสอบถามรายละเอียด เกี่ยวกับการประกันภัยเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ ศูนย์บริการลูกค้า โท​ร. 1315 ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.00 – 20.00 น. -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจรายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข ​​ก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุก​ ธนาคารเป็นเพียงนายหน้าผู้ชี้ช่อง หรือจัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันภัยเท่านั้น ​การพิจารณารับประกัน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการรับประกันภัย ของบริษัทประกันภัย -อัตราดอกเบี้ย MRR ของธนาคารไทยพาณิชย์ เท่ากับ 5.995% ต่อปี ​(ประกาศ ณ วันที่ 9 สิงหาคม 2564) ซึ่งอาจะเปลี่ยนแปลงได้ตามประกาศธนาคาร -อัตราดอกเบี้ยแท้จริงที่ระบุในตารางเป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในฉบับนี้เท่านั้น ​ซึ่งอาจะมีความแตกต่างกัน ตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีลูกค้าบอกเลือกประกันชีวิต หรือขอเวนคืนกรมธรรม์ หรือทำประกันไม่ครบกำหนดตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ​ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยวงเงินกู้ เป็นอัตราดอกเบี้ยทั่วไป  ตามประกาศธนาคาร ระยะเวลากู้ตามสัญญา วงเงิน ระยะเวลาผ่อนชำระ อัตราดอกเบี้ย คุณสมบัติ เอกสารปรกอบการพิจารณา และการอนุมัติเป็นไปตามเงื่อนไข หลักเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด 9.ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์  หรือ ธอส. มีสินเชื่อสำหรับการซื้อบ้านหลากหลายประเภท โดยประเภทสินเชื่อโครงการบ้าน ธอส. เพื่อคุณ ปี 2565 ​มีการคิดอัตราดอกเบี้ย ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากแคมเปญสิ้นสุดเดือนธันวาคม 2565  โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.15% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.9% (MRR-2.25%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.75% (MRR-1.4%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ยตลอดอายุสัญญา  5.4% หมายเหตุ -ยื่นคำขอกู้และอนุมัติตั้งแต่วันที่ 2 ม.ค.-30 ธ.ค.65   (ธนาคารสงวนสิทธิ์ในการกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดโครงการก่อนกำหนด หากธนาคารให้สินเชื่อเติมวงเงินของโครงการแล้ว) -อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.15% ประกาศ ณ วันที่ 25 พฤษภาคม 2563 -ยกเว้น ค่าธรรมเนียมยื่นกู้ 0.1% ของวงเงินกู้และทุกบัญชีเงินกู้ภายใต้หลักประกันเดียวกัน 10.ธนาคารยูโอบี ธนาคารยูโอบี มีสินเชื่อบ้านสำหรับโครงการหมู่บ้านทั่วไป  โดยอัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ด้วยการคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับเดือนที่ผ่าน  ซึ่งธนาคารยูโอบีมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด  ดังนี้ ทางเลือก 1 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.35% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.35% (MRR-4.0%) อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.79% ทางเลือกที่ 2 ไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.55% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.55% (MRR-3.80%) หลังจากนั้น 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.87% ทางเลือกที่ 3 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.8% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.75%  (MRR-2.60%) หลังจากนั้น 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.45% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.8% ทางเลือกที่ 4 ไม่ทำประกันคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.0% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.95%  (MRR-2.24%) ปีที่ 4 อัตราดอกเบี้ย 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.65% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.96% หมายเหตุ -ขอสินเชื่อตั้งแต่ 1 ม.ค.- 31 มี.ค. 65 และจดจำนองหลักประกันกับธนาคารภายใน 29 เม.ย.​ 65 -อัตราดอกเบี้ยแบบทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ผ่านธนาคารยูโอบี >ทุนประกันเต็มวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันขั้นต่ำ 10 ปี หรือ >ทุนประกันขั้นต่ำ 80% ของวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันเต็มตามระยะเวลากู้ -อัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 1 ล้านบาท อายุสัญญา 15 ปี MRR=7.35% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้น เป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในสื่อโฆษณาเท่านั้น อัตราดอกเบี้ยสำหรับการทำสัญญากู้ยืมของลูกค้าแต่ละรายอาจะมีความแตกต่างกันตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีไถ่ถอนจำนองเพื่อไปใช้บริการกับสถาบันการเงินอื่น ​(Re-finance) ในช่วงระยะเวลา 3 ปีแรก นับจากวันที่กู้ จะมีค่าปรับ 3% ของยอดเงินต้นคงค้าง (เฉพาะวงเงินสินเชื่อที่มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดหาที่อยู่อาศัยเท่านั้น)​ -การอนุมัติสินเชื่อ​เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของธนาคาร​ -เพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้น อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบันเท่ากับ  7.35% ต่อปี ​(ตามประกาศธนาคารณ วันที่ 1 เม.ย. 64) อนึ่ง ธนาคารสามารถประกาศปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย​ MRR ได้ตามเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดอนุญาตไว้​ -อัตราค่าธรรมเนียมและค่าบริการต่าง ๆ​เป็นไปตามประกาศที่ธนาคารจัดทำไว้  และประกาศให้ทราบตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยธนาคารอาจเปลี่ยนแปลงอัตราค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ได้โดยจะแจ้งให้ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน โดยการปิดประกาศไว้ ณ ที่ทำการ หรือเว็บไซต์ของธนาคาร​ -ธนาคารยูโอบีในฐานะนายหน้าประกันภัย ​(ใบอนุญาตประกันชีวิต​เลขที่ ช.00026/2545 และใบอนุญาตประกันวินาศภัย​ เลขที่ ว.00020/2546) ทำหน้าที่นำเสนอผลิตภัณฑ์ด้านประกันภัยและเป็นผู้จัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันชีวิต/ประกันวินาศภัย และอำนวยความสะดวกในการรับชำระเบี้ยประกันเท่านั้น  รับประกันชีวิตโดยบริษัท พรูเด็นเชียลประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), รับประกันวินาศภัยโดย บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน), บริษัท แอกซ่าประกันภัย จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอ็ม เอส ไอ จี ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ​จะเป็นผู้รับผิดชอบตามเงื่อนไข ความคุ้มครองและสิทธิประโยชน์ตามที่ได้ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครองและเงื่อนไขก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง 11.ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีสินเชื่อเพื่อการซื้อที่อยู่อาศัย คือ โฮมโลน โดนใจ สินเชื่อบ้านดอกเบี้ยต่ำเริ่มต้น 1.9% (สำหรับผู้มีรายได้ 75,000 บาทขึ้นไป) โดยมีการคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับช่วงเดือนที่ผ่านมา ซึ่งธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ อัตราดอกเบี้ยสำหรับผู้กู้มีรายได้ตั้งแต่ 20,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 2.0% ต่อปี แบบที่ 1 ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.00% (MRR-5.35%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.80% (MRR-3.55%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป 5.10% (MRR-2.25% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.60% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.57% แบบที่ 2 ปีที่ 1-2 ดอกเบี้ยคงที่ 2.10%  (ผ่อนต่ำล้านละ 3,500 บาท 2 ปีแรก) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.20% (MRR-3.15%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป 5.10% (MRR-2.25%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.80% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.69% แบบที่ 3 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.55% (MRR-4.80%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 5.10% (MRR-2.25%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.63% แบบที่ 4 ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ยคงที่ 2.75% (ผ่อนต่ำล้านละ 3,500 บาท 3 ปีแรก) ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 5.10% (MRR-2.25%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.75% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.76% เงื่อนไข กรณีลูกค้าเลือกทำประกัน MRTA/MLTA ผ่านธนาคาร : 1.กรณีที่ลูกค้าทำประกัน MRTA/MLTA ผ่านธนาคาร ธนาคารทดรองจ่ายค่าจดจำนองให้ 1% ของวงเงินกู้อนุมัติ หรือ สูงสุดไม่เกิน 2 แสนบาท (ทั้งนี้ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเรียกเก็บเงินทดรองจ่ายค่าจดจำนองดังกล่าวคืนจากลูกค้า กรณีลูกค้าปิดบัญชีสินเชื่อ หรือ เปลี่ยนแปลงสัญญาใด ๆ ภายใน 5 ปีแรก ทุกกรณี นับจากวันทำนิติกรรมจดจำนอง) 2.กรณีสมัครทำประกันชีวิต ต้องสมัครทำ MRTA/MLTA ทุนประกัน 100% ของวงเงินสินเชื่อ ระยะความคุ้มครองขั้นต่ำ 10 ปี หมายเหตุ -โครงการจัดสรรในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เท่านั้น* -ราคาซื้อขายของหลักประกันต้องมีราคา (แนวราบ) ไม่น้อยกว่า 2.00 ล้านบาท , (แนวสูง) ไม่น้อยกว่า 2.50 ล้านบาท -ลูกค้าสามารถเลือกใช้อัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำ ล้านละ 3,500 บาท  กรณีเลือกอัตราดอกเบี้ยคงที่** -ยกเว้น ค่าประเมินราคาหลักประกัน (โครงการจัดสรรทุกโครงการที่มีราคาซื้อขาย 2 ล้านบาทขึ้นไป)*** -ระยะเวลากู้สูงสุด 40 ปี รวมอายุผู้กู้ไม่เกิน 70 ปี**** -วงเงินกู้เพิ่มสูงสุด 10% จากสัญญาซื้อขาย เพื่อซื้อเฟอร์นิเจอร์ ตกแต่งบ้าน อัตราดอกเบี้ย 1) ทำประกัน MRTA/MLTA : ปีที่ 1-3 : MRR – 2.75% = 4.60% หรือ 2) ไม่ทำประกัน MRTA/MLTA : ปีที่ 1-3 : MRR – 2.25% = 5.10% , หลังจากนั้นปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR = 7.35% ***** -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่าง อัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี MRR = 7.35% (ณ 1 เม.ย. 64) ที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในโฆษณาฉบับนี้เท่านั้น ซึ่งอาจมีความแตกต่างตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -การพิจารณาคุณสมบัติของลูกค้าแต่ละรายให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ตามที่ธนาคารกำหนด -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์การพิจารณาสินเชื่อ โดยอยู่ในดุลยพินิจของธนาคาร ทั้งนี้เงื่อนไขต่าง ๆเป็นไปตามประกาศธนาคาร โดยมิต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า -อัตราดอกเบี้ย และโปรโมชั่น (มีวงเงินสินเชื่อจำกัด) สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อ โดยเบิกรับเงินกู้ ตั้งแต่ 1 ม.ค.- 31 มี.ค. 65 -สำหรับอัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 1.9% สำหรับผู้กู้ที่มีรายได้ 75,000 บาทขึ้นไป ผ่อนต่ำเดือนละ 3,500 บาท ฟรีค่าจดจำนองสินเชื่อเมื่อซื้อประกันผ่านธนาคาร ฟรีค่าประเมินหลักประกัน 12.ธนาคารออมสิน ธนาคารออมสิน มีสินเชื่อเคหะ สำหรับให้บริการผู้ที่ต้องการกู้เงินเพื่อไปซื้อบ้านหรือคอนโด ภายใต้แคมเปญ ผ่อนต่ำปีแรก ล้านละ 2,500 บาทต่อเดือน สำหรับลูกค้าทั่วไป โดยยื่นกู้ภายในวันที่ 30 เมษายน 2565 อนุมัติและจัดทำนิติกรรมสัญญาให้แล้วเสร็จภายใน 31 พฤษภาคม 2565 โดยมีรายละเอียด ​ดังนี้​ กรณีทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 2.0% เพิ่มขึ้น 1.25% จากเดือนที่ผ่านมา เพราะมีแคมเปญดอกเบี้ย 0% ใน 6 เดือนแรก ทำให้เดือนที่ผ่านมามีดอกเบี้ยเฉลี่ยปีแรก 0.75% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 2.9% (MRR-3.345%) ลดลง 0.425% จากเดือนที่ผ่านมามีอัตราดอกเบี้ย 3.525% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.6% ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.126% เพิ่มขึ้น 0.025% จากเดือนที่ผ่านมามีอัตราดอกเบี้ย 4.101% กรณีไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 2.25% เพิ่มขึ้น 1.25% จากเดือนที่ผ่านมา ซึ่งมีอัตราดอกเบี้ย​ 1.0% จากแคมเปญเดือนที่ 1-6 ดอกเบี้ย 0% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย 2.0% ​ ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย 3.525% (MRR-2.72%) ลดลง 0.625% จากเดือนที่ผ่านมา คิดอัตราดอกเบี้ย  4.15% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.995% (MRR-1.25%) เพิ่มขึ้น 1.895% จากเดือนที่ผ่านมามีอัตราดอกเบี้ย 3.1% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.31% เพิ่มขึ้น 0.024% จากเดือนที่ผ่านมามีอัตราดอกเบี้ย 4.286%   เงื่อนไขการผ่อนชำระ -ปีที่ 1 ผ่อนชำระ 2,500 บาทต่อเดือน ปีที่ 2 ผ่อนชำระ 4,500 บาทต่อเดือน ปีที่ 3 ผ่อนชำระ 5,500 บาทต่อเดือน หมายเหตุ -ยื่นกู้ภายในวันที่ 30 เมษายน 2565 อนุมัติและจัดทำนิติกรรมสัญญาให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2565 -อัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำ MRR=6.245% (ตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2563) -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา (EIR) คำนวณจากวงเงินกู้ 1 ล้านบาท ระยะเวลาผ่อนชำระ 20 ปี ผ่อนเท่ากันทุกงวด -ทำประกัน หมายถึง การทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ โดยหลักเกณฑ์ เงื่อนไข เป็นไปตามธนาคารกำหนด -เงื่อนไขการใช้อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อเคหะตามโปรโมชั่น สมัครบริการ MyMo และผลิตภัณฑ์ / บริการอื่น ของธนาคารอย่างน้อย 2 ประเภท ได้แก่ บัตรอิเล็กทรอนิกส์ / บัตรเครดิต หรือสินเชื่อบัตรเงินสด / ชำระสินเชื่อหักผ่านบัญชี / ประกันชีวิตเพื่อประกันสินเชื่อ ทั้งนี้ หากลูกค้าใช้ผลิตภัณฑ์ / บริการอื่นตามที่กำหนดอยู่แล้ว สามารถใช้อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวได้ และกรณีไม่มี Smartphone ให้สมัครผลิตภัณฑ์ / บริการอื่นของธนาคารตามที่กำหนดทดแทนได้ -*กรณี ฟรี ค่าธรรมเนียมจดจำนอง ให้ตามที่จ่ายจริง (รวมทุกสัญญาที่กู้ในคราวเดียวกัน) และลูกค้าต้องสำรองจ่ายค่าจดจำนองแก่กรมที่ดินไปก่อน โดยธนาคารจะโอนเงินหลังหักภาษี ณ ที่จ่าย 1% ของเงินค่าธรรมเนียมจดจำนองคืนภายใน 30 วัน -กรณีผู้กู้ชำระคืนเงินกู้เสร็จสิ้น หรือไถ่ถอนจำนองก่อนครบกำหนด (Prepayment) ภายในระยะเวลา 3 ปี นับแต่วันที่ทำสัญญากู้เงิน ผู้กู้ต้องเสียค่าธรรมเนียมตามที่ธนาคารกำหนด (ปัจจุบันร้อยละ 3.00 ของยอดเงินต้นคงเหลือ) ทั้งนี้ กรณีเลือกอัตราดอกเบี้ยกรณีไถ่ถอนจำนองสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยจากสถาบันการเงินอื่น (Re-Finance) และฟรีค่าธรรมเนียมจดจำนอง ผู้กู้จะต้องชำระค่าจดจำนองคืนแก่ธนาคารเต็มจำนวน -หลักเกณฑ์เงื่อนไขอื่น ๆ ให้เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด โดยธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์เงื่อนไขโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า   ที่มา Reviewyourliving รวบรวมจากเว็บไซต์ธนาคาร ข้อมูล ณ วันที่ 2 มี.ค.65 บทความที่เกี่ยวข้อง อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนกุมภาพันธ์ 2565 อัพเดทดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ สินเชื่อกู้ซื้อบ้าน เดือนกุมภาพันธ์ 2565 แบงก์ไหนให้ดอกเบี้ยถูกสุด
แสนสิริ  เปิด 18 คอนโด มูลค่า 11,000 ล้าน  จับตลาดเรียลดีมานด์กลุ่ม Affordable

แสนสิริ เปิด 18 คอนโด มูลค่า 11,000 ล้าน จับตลาดเรียลดีมานด์กลุ่ม Affordable

แสนสิริ ลุยตลาดคอนโด ปี 65 เปิด 18 โครงการใหม่  รวม 11,000 ล้าน หวังยอดขาย 14,000 โต 26%  มั่นใจตลาดส่งสัญญาณฟื้นตัว จากปัจจัยหนุนรอบด้าน และอสังหาฯ ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว รอเวลาเศรษฐกิจ-การท่องเที่ยวฟื้นตัวในปี 66   นายองอาจ สุวรรณกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงแผนธุรกิจกลุ่มคอนโดมิเนียมว่า ในปี 2564 ที่ผ่านมาแสนสิริสามารถสร้างยอดขายและยอดโอนคอนโด สูงกว่าเป้าหมายที่วางเอาไว้ ซึ่งเป็นผลจากกลยุทธ์ในเรื่องของการรุกตลาดกลุ่มราคาที่เข้าถึงได้ง่าย (Affordable Segment) การเจาะตลาดกลุ่มคนรุ่นใหม่ และการพัฒนาโครงการคอนโดสไตล์รีสอร์ทกลางเมือง ซึ่งทั้งหมดเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง ทำให้ปี 2565 บริษัทวางแผนการพัฒนาโครงการคอนโดอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ แสนสิริ มองว่าอสังหาฯ ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว จากปัจจัยสนับสนุน ไม่ว่าจะเป็นอัตราการฉีดวัคซีน 2 โดส มากกว่า 85% แสดงให้เห็นว่าการติดเชื้อปัจจุบันไม่รุนแรง มีการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ ผ่านเมกะโปรเจ็กต์ การท่องเที่ยวเริ่มฟื้นตัว ภาวะเศรษฐกิจน่าจะกลับมาเหมือนก่อนโควิด-19 ได้ในช่วงไตรมาส 2 ปี 2566 ซึ่งต่อจากนี้การโอนคอนโดน่าจะกลับมาปีละ 3 แสนยูนิต จากปีที่ผ่านมาโอนได้แค่ 2 แสนกว่ายูนิต แสนสิริ เตรียมเปิดคอนโด 18 โปรเจ็กต์ สำหรับปี 2565 แสนสิริ เปิดตัวคอนโดมิเนียมใหม่จำนวน 18 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 11,000 ล้านบาท ครอบคลุมในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด แบ่งเป็นกรุงเทพฯ 14 โครงการ และต่างจังหวัดอีก 4 โครงการ  การเปิดตัวคอนโดในปีนี้จะจับตลาด 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่ม Affordable จำนวน 12 โครงการสัดส่วน 60% กลุ่ม Medium จำนวน 4 โครงการ สัดส่วน 20% และกลุ่ม Premium จำนวน 2 โครงการ สัดส่วน 20%   ไฮไลท์การพัฒนาคอนโดในปีนี้ เน้นการทำตลาดคอนโดในระดับราคาเข้าถึงได้ ในกลุ่ม Affordable ภายใต้ 3 แบรนด์ หลักได้แก่ 1.Condo ME (คอนโด มี) โครงการใหม่ 5 ทำเลในปีนี้  2. เดอะ มูฟ อีก 2 โครงการใหม่ และ 3.ดีคอนโด เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ต้องการซื้ออยู่อาศัยจริง ในราคาที่เข้าถึงได้ง่าย   กลุ่ม Medium พัฒนาภายใต้แบรนด์เดอะ เบส ซึ่งจะเปิดตัวด้วยกัน 5 โครงการ รวมมูลค่า 7,230 ล้านบาท อาทิ เดอะ เบส ริเวอร์วิว, เดอะ เบส สุขุมวิท 71 โดยจะเปิดตัว “เดอะ เบส ไฮท์ - เชียงใหม่” และเดอะ ไลน์ ส่วนกลุ่ม Premium เปิดตัวในกลุ่ม​Holiday Home ซึ่งโครงการแรกเตรียมเปิดตัวโครงการ HAY Hua Hin  หลังจากนั้นจะขยายไปยังเมืองท่องเที่ยวอื่น ๆ เช่น เชียงใหม่ ขอนแก่น และหาดใหญ่ ส่วนโครงการลักชัวรี่ อยู่ระหว่างการศึกษาว่าจะใช้แบรนด์อะไรในการพัฒนา วางเป้ายอดขายปี 65 โต 26% แสนสิริ วางแผนระยะยาวในช่วง 3 ปี แสนสิริวางแผนเปิดตัวคอนโดรวมมูลค่า 70,000 ล้านบาท พร้อมเป้าหมายยอดขายรวม 58,000 ล้านบาท  วางเป้าหมายยอดขายคอนโดในปีนี้วางไว้ที่ 14,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26%% จากปีที่ผ่านมา ทำยอดขายได้ 11,100 ล้านบาท ซึ่งปี 2564 สามารถทำยอดขายได้สูงกว่าเป้าหมายเดิมที่วางไว้ 1% โดยมียอดขายที่ 11,100 ล้านบาท   ขณะที่ยอดโอนคอนโดในปีนี้วางเป้าไว้ที่ 13,000 ล้านบาท ต่ำกว่าปีที่ผ่านมาซึ่งทำได้ 14,200 ล้านบาท โดยยอดโอนในปี 2564 ทำได้สูงกว่าเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ว่าจะทำได้ 13,000 ล้านบาท หรือสูงกว่าเป้าหมายเดิม 10% รายได้จากโอนแบ่งเป็นโครงการจากการพัฒนาของแสนสิริมูลค่า 8,500 ล้านบาท และโครงการร่วมทุน มูลค่า 4,500 ล้านบาท   โดยการโอนในปีนี้จะมาจากแผนการเปิดตัวคอนโดใหม่ และโครงการที่จะโอนปีนี้ 6 โครงการ มูลค่ารวม 11,300 ล้านบาท ได้แก่ คอนโด มี นวนคร ที่ปิดการขายและมียอดโอนแล้วกว่า 90% คอนโดมี สมุทรสาคร  คอนโด มี บางพลี คอนโด มี อ่อนนุช และ XT พญาไท ที่มียอดขายแล้ว 50%