Tag : condo

1512 ผลลัพธ์
โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จ่ายปันผลเพิ่มหุ้นละ 0.08 บาท พร้อมแผนปี 65 เปิดโครงการใหม่ 47,700 ล้าน

โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จ่ายปันผลเพิ่มหุ้นละ 0.08 บาท พร้อมแผนปี 65 เปิดโครงการใหม่ 47,700 ล้าน

โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ ประกาศจ่ายปันผลงวดครึ่งปีหลังปี 64  หุ้นละ 0.08 บาท รวมทั้งปีจ่าย 0.43 บาทต่อหุ้น จ่อขึ้น XD 9 พ.ค.65 แม้ปี 64 ทำรายได้ลด 32% เหลือ 7,430 ล้าน แต่ยังทำกำไรกว่า 932 ล้าน​ หลังเจอล็อกดาวน์ประเทศ ปี 65 ยังเดินหน้าเปิดโปรเจ็กต์ใหม่ 18 โครงการ  มูลค่ารวม 47,700 ล้าน     นายธงชัย บุศราพันธ์ รองประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท  โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOBLE  เปิดเผยว่าที่ประชุมคณะกรรมการเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2565 มีมติอนุมัติการจัดสรรกำไรสุทธิงวดปี 2564 เพื่อจ่ายเงินปันผลสำหรับผลประกอบการครึ่งปีหลังของปี 2564 ให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตรา 0.08 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็นผลประกอบการทั้งปี 2564 ที่อัตรารวม 0.43 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราผลตอบแทนปันผล (Dividend Yield) ที่ประมาณ 7%   โดยจะนำเสนอเข้าที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 28 เมษายน 2565 เพื่อทำการอนุมัติและกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 10 พฤษภาคม 2565  และกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) ในวันที่ 9 พฤษภาคม 2565 เพื่อกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 26 พฤษภาคม 2565 เจอพิษล็อกดาวน์ รายได้ปี 64 ลด 32% สำหรับผลการดำเนินงานปี 2564  บริษัทมีรายได้รวม 7,430 ล้านบาท ลดลง 32%  และกำไรสุทธิอยู่ที่ 932 ล้านบาท ลดลง 50% เมื่อเทียบจากปีก่อน  ส่วนอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ลดลงอยู่ที่ระดับกว่า 12.5% และอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) อยู่ที่ระดับ 33.0% ลดลงจากปีก่อน เนื่องจากมีการทำแคมเปญสำหรับโครงการที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่   รวมถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 จนส่งผลให้เศรษฐกิจในประเทศหยุดชะงักจากมาตรการคุ้มเข้มเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ จนนำไปสู่การออกมาตรการล็อกดาวน์ รวมถึงการปิดแคมป์คนงาน ซึ่งปัจจัยดังกล่าวนอกจากส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อภาคการดำเนินธุรกิจด้วยเช่นเดียวกัน ในช่วงเดือนเมษายน 2564 ภาครัฐได้คุมเข้มมาตรการล็อกดาวน์ และการปิดแคมป์คนงาน ส่งผลต่อ Sentiment ของกลุ่มผู้ประกอบการอสังหาฯ รวมถึงกลุ่มผู้บริโภคและฉุดให้กำลังผู้บริโภคลดลง ขณะที่ภาคธุรกิจโดยเฉพาะกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้ง NOBLE ต้องเลื่อนแผนเปิดตัวโครงการใหม่ออกไป และปรับกลยุทธ์มุ่งเน้นทยอยการขายโครงการเดิมที่มีในพอร์ต เพื่อระบายโครงการเดิมเพื่อเป็นการลดความเสี่ยงทางการเงิน   อย่างไรก็ตามภาคอสังหาฯเริ่มกลับมาฟื้นตัวในช่วงไตรมาส 4/2564 จากนโยบายกระตุ้นมาตรการของภาครัฐ ทั้งการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ รวมถึงมาตรการผ่อนคลายหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่ออื่นที่เกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (มาตรการ LTV) เป็นการชั่วคราว โดยกำหนดให้เพดานอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (LTV ratio) เป็น 100 % (จากเดิม 70% - 90%)  ซึ่งส่งผลเชิงบวกต่อภาคธุรกิจอสังหาฯ​​ ขณะที่ยอดขาย ในปี 2564 อยู่ที่ระดับ 8,035 ล้านบาท เติบโตขึ้นกว่า 22% จากปี 2563 จากการขายโครงการที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่  5,700 ล้านบาท และมาจากการขายโครงการเปิดใหม่และโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างอีกประมาณ 2,335 ล้านบาท แบ่งเป็นลูกค้าภายในประเทศ 71% และลูกค้าต่างชาติ 29%   สำหรับยอดขายกลุ่มลูกค้าต่างชาติ บริษัทมีส่วนแบ่งตลาด​​ 52% ของยอดขายรวมทุกผู้ประกอบการในการขายคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯและปริมณฑล ส่วนปี 2564 บริษัทเปิดตัวโครงการใหม่ 3 โครงการ มูลค่า 6,900 ล้านบาท ได้แก่ โครงการโนเบิล ฟอร์ม ทองหล่อ โครงการนิว โนเบิล เซ็นเตอร์ บางนา และโครงการนิว โนเบิล คอนเนค เฮ้าส์ ดอนเมือง แผนธุรกิจปี 65  เปิด 18 โปรเจ็กต์ สำหรับทิศทางธุรกิจในปี 2565  บริษัทวางเป้ายอดขาย  28,000 ล้านบาท และรายได้  11,000 ล้านบาท พร้อมทั้งเตรียมเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 18 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 47,700 ล้านบาท โดยบางโครงการเป็นโครงการที่เลื่อนเปิดมาจากปี 2564   ทั้งนี้บริษัทได้วางเป้าหมาย เพื่อขยายพอร์ตสัดส่วนของการพัฒนาโครงการแนวราบ และโครงการคอนโดแบบ Low Rise มากขึ้น เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงและกระจายสินค้าให้หลากหลาย ครอบคลุมทุกทิศของกรุงเทพฯ อาทิ โซนราชพฤกษ์ เอกมัย บางนา และกรุงเทพกรีฑา เป็นต้น   โดยช่วงต้นปี 2565 บริษัท ได้เปิดตัวโครงการพร้อมกัน 5 โครงการ  ได้แก่ โครงการนิว โนเบิล ดิสทริค อาร์ 9 โครงการนิว โนเบิล เมกา พลัส บางนา และโครงการนิว โนเบิล ซี-สแควร์ สวนหลวง สเตชั่น ซึ่งทั้ง 3 โครงการเป็นโครงการติดห้างสรรพสินค้า นอกจากนี้ ยังมีโครงการนิว โนเบิล อีโว อารีย์ และโครงการนิว โนเบิล คอนเน็กซ์ คอนโด ดอนเมือง ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี สะท้อนจากยอดขายสองเดือนแรกสำหรับ 5 โครงการรวมมูลค่ากว่า 4,000 ล้านบาท และรวมยอดขายจากทุกโครงการเป็นมูลค่ากว่า 5,000 ล้านบาท ขณะเดียวกันบริษัทฯยังมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง   ในปี 2565  บริษัทยังวางแผนลงทุนในสหราชอาณาจักร ด้วยการการลงทุนซื้อสินทรัพย์อย่างต่อเนื่อง โดยกลยุทธ์จะเปลี่ยนการลงทุนเข้าซื้อสินทรัพย์ทั้งอาคาร มาเป็นการซื้อแบบ Bulk ยูนิต หรือการซื้อเป็นจำนวนหลาย ๆ ห้อง (Bulk Deal) แทน เนื่องจากการซื้อเป็นจำนวนยูนิตจะมีการแข่งขั้นที่น้อยกว่าการซื้อทั้งอาคาร   โดยได้วางเป้าหมายจะซื้อสินทรัพย์อสังหาฯ ในประเทศอังกฤษ จำนวน 550 ยูนิต ภายใต้วงเงินลงทุน 100 ล้านปอนด์สเตอร์ลิง ( NOBLE จะลงทุน 45% ตามสัดส่วน) ในเบื้องต้นคาดว่าภายในไตรมาสแรกของปีนี้จะมีการซื้อสินทรัพย์จำนวน 70 ยูนิต   อ่านข่าวเพิ่มเติม 5 ไฮไลท์แผนธุรกิจปี 64 “โนเบิล” กับแนวทางสู่ Top5 ผู้นำอสังหาฯ ไทย
[PR News] GLAND จับมือหัวเว่ย  ร่วมพัฒนา Smart Digital Township & Intelligent Connectivity

[PR News] GLAND จับมือหัวเว่ย ร่วมพัฒนา Smart Digital Township & Intelligent Connectivity

GLAND จับมือหัวเว่ย ยกระดับอสังหาฯไทย ก้าวสู่ยุคดิจิทัลอย่างสมบูรณ์แบบ ร่วมพัฒนา Smart Digital Township & Intelligent Connectivity ด้วยเทคโนโลยีระดับโลก เดินหน้านโยบายไทยแลนด์ 4.0   นางสาวนภารัตน์ ศรีวรรณวิทย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แกรนด์ คาแนล แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ GLAND เปิดเผยว่า บริษัทได้ลงนามบันทึกข้อตกลงการเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์  กับบริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัดเพื่อเดินหน้าพัฒนาออฟฟิศอัจฉริยะและดิจิทัลสเปซ ตอกย้ำพื้นที่แห่งการใช้ชีวิตและการทำงานในอนาคต ผสานโลก Physical และ Digital เชื่อมโยง ICT และ IOT สู่วงการอสังหาริมทรัพย์อย่างเต็มรูปแบบ   การได้ร่วมมือกับหัวเว่ยในครั้งนี้ ถือเป็นการช่วยเติมเต็ม และนำเอาความรู้ความเชี่ยวชาญของหัวเว่ย มาช่วยเพิ่มศักยภาพความแข็งแกร่งและสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ให้กับมิกซ์ยูสโปรเจ็ค ต่าง ๆ อาทิ อาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า ที่อยู่อาศัย และ โรงแรม ในอนาคต ของ GLAND รวมถึงบริษัทในเครือในอนาคต เพื่อสร้างเมืองแห่งการอยู่อาศัยอัจฉริยะ เป็น Smart Digital Township ที่ทันสมัย สร้างการเติบโตอย่างก้าวกระโดดให้ธุรกิจ และ ยกระดับวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยให้ทันต่อโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ประเทศไทย กำลังมุ่งสู่การก้าวสู่ยุคสังคมดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ โดยประเทศไทยจะกลายเป็น ดิจิทัลฮับที่สำคัญของภูมิภาคอาเซียน ภายใต้นโยบาย Thailand 4.0 ของภาครัฐ รวมถึงเป็น ตลาดยุทธศาสตร์ที่สำคัญในด้านการค้าการลงทุนจากต่างประเทศ GLAND ซึ่งถือหุ้นใหญ่โดยบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) เป็นผู้พัฒนาและบริหารอสังหาริมทรัพย์ โดยมีสินทรัพย์หลักอยู่ในโครงการ เดอะ แกรนด์ พระราม 9 (The Grand Rama 9) พื้นที่ใจกลางเมืองบนพื้นที่ประมาณ 73 ไร่ ตั้งอยู่บนถนนพระราม 9 ติดถนนรัชดาภิเษก ซึ่งเป็นทำเลศักยภาพสูงในย่านธุรกิจแห่งใหม่ (The New CBD) ของกรุงเทพฯ โดยโครงการมีองค์ประกอบหลักอยู่ 3 ธุรกิจ ได้แก่ อาคารสำนักงานให้เช่าที่อยู่ภายใต้การบริหาร 3 แห่ง ได้แก่ 1. จี ทาวเวอร์ 2.เดอะไนน์ ทาวเวอร์ และ 3.ยูนิลีเวอร์ เฮ้าส์ ด้วยพื้นที่เช่าสุทธิในทุกโครงการรวมกันกว่า 145,000 ตารางเมตร  โครงการคอนโดมิเนียมเพื่อขาย เบ็ล แกรนด์ พระราม 9 ซึ่งได้ทำการขายและโอนเสร็จสิ้นทั้งโครงการแล้ว และพื้นที่ค้าปลีกให้เช่าสุทธิในอาคารสำนักงานและคอนโดมิเนียมรวมกันกว่า 20,000 ตารางเมตร   นอกจากนี้ GLAND มีที่ดินที่รอการพัฒนาอยู่อีก 4 แห่ง รวมกันกว่า 190 ไร่ ซึ่งตั้งอยู่บนทำเลที่ศักยภาพสูงในกรุงเทพฯ เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจในระยะยาว โดยที่ดินดังกล่าวประกอบด้วย 1.ที่ดินเปล่าในโครงการ เดอะ แกรนด์ พระราม 9 2. ที่ดินบริเวณพหลโยธิน ซึ่งที่ดินทั้งสองแห่งอยู่ระหว่างการสรุปแผนการพัฒนาโครงการมิกซ์ยูส นอกจากนี้ยังมี 3. ที่ดินบริเวณดอนเมือง โดยได้นำที่ดินบางส่วนไปพัฒนาโครงการนิรติ ดอนเมือง ซึ่งเริ่มเปิดขายและโอนในปี 2564 และ 4.ที่ดินบริเวณกำแพงเพชร ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษาแนวทางการพัฒนาโครงการในอนาคต ดร.ชวพล จริยาวิโรจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด ได้กล่าวถึงความร่วมมือในครั้งนี้ว่า  หัวเว่ยและทาง GLAND เป็นพันธมิตรที่ทำงานร่วมกันมาอย่างใกล้ชิดและยาวนาน นับตั้งแต่เราเริ่มธุรกิจในไทยอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2542 โดยสำนักงานใหญ่ของหัวเว่ย เทคโนโลยี่ ประเทศไทย ตั้งอยู่ในอาคารจีทาวเวอร์ แกรนด์ ซึ่งเป็นอาคารในเครือของ GLAND   นอกจากนี้ หัวเว่ยยังได้นำร่องเปิดตัวศูนย์ Huawei Open Lab Bangkok ในปี 2560 ที่อาคารเดียวกัน เพื่อช่วยพัฒนาทักษะดิจิทัลในประเทศไทย สร้างสรรค์นวัตกรรม และรองรับเป้าหมายของประเทศในการขึ้นเป็นศูนย์กลางดิจิทัลระดับอาเซียน เราหวังว่าความร่วมมือระหว่างหัวเว่ยและ GLAND ครั้งนี้  จะช่วยเสริมความอัจฉริยะให้แก่ภาคอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทย ซึ่งถือเป็นการตอบโจทย์พันธกิจของหัวเว่ยในการเป็นผู้สนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล รวมทั้งนำเทคโนโลยีดิจิทัลไปสู่ทุกคน บ้านทุกหลัง และองค์กรทุกแห่ง เพื่อสร้างประเทศไทยอัจฉริยะที่เชื่อมโยงกันอย่างเต็มรูปแบบ ความร่วมมือระหว่าง  GLAND และ หัวเว่ย ที่จะพัฒนา ecosystem ที่ครบวงจร ผ่านทาง 5 องค์ประกอบสำคัญ ในการสร้าง Smart Digital Township ผ่านอสังหาฯต่างๆ ของ GLAND ได้แก่ 1.Smart Building พัฒนาอาคารอัจฉริยะด้วยเทคโนโลยีระดับโลก ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกสบายด้านการใช้งานต่อผู้ใช้อาคาร และ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม   2.Smart Asset Management การบริหารจัดการสินทรัพย์ด้วย เทคโนโลยี 5G, เทคโนโลยีแอคเซสพอยท์ Wi-Fi 6 ความเร็วระดับอัลตร้าไฮสปีด, โมดูล IoT และ กล้องตรวจจับอัจฉริยะ   3.Smart Hospitality and Retail เชื่อมโยงระบบ Fiber Backbone สู่การเป็นโรงแรมและศูนย์การค้าอัจฉริยะแห่งโลกอนาคต   4.Smart Campus and Living ระบบอาคารและพื้นที่อยู่อาศัย ที่มุ่งเน้นด้านความปลอดภัย รวมถึงระบบที่จอดรถอัจฉริยะ   5.Intelligent Connectivity การเชื่อมต่ออัจฉริยะด้วยระบบ AI หรือปัญญาประดิษฐ์, VDO & Imaging Technology และ ไฟเบอร์ออพติก รวมถึง พื้นที่เก็บข้อมูลในคลาวด์  
เอพี ไทยแลนด์  ลุย​ตลาดคอนโดแมส ส่ง แอสปาย โฉมใหม่  ประเดิมครึ่งปีแรกเปิด​ 3 โครงการ  6,800 ล้าน

เอพี ไทยแลนด์ ลุย​ตลาดคอนโดแมส ส่ง แอสปาย โฉมใหม่ ประเดิมครึ่งปีแรกเปิด​ 3 โครงการ 6,800 ล้าน

เอพี ไทยแลนด์ เดินหน้าตลาดคอนโดปี 65 ส่ง 5 โครงการใหม่ มูลค่า  13,000 ล้าน พร้อมกับเป้ารายได้ ​12,300 ล้าน  ประเดิมครึ่งปีแรก 3 โปรแจ็กต์แบรนด์แอสปาย มูลค่า 6,800 ล้าน หลังปรับโฉมใหม่ หวังครองแชมป์ตลาดแมส กับการมาของ 3 จุดขายที่มั่นใจ ในภาวะกำลังซื้อและเศรษฐกิจชะลอตัว   เอพี ไทยแลนด์ นับเป็นดีเวลอปเปอร์อสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ ที่ในปีนี้เตรียมรุกตลาดอย่างหนัก เพื่อสร้างการเติบโตทั้งด้านยอดขายและรายได้ จากการประกาศแผนธุรกิจในปี 2565 ก่อนหน้านี้ บริษัทได้วางแผนเปิดตัวโครงการใหม่มากที่สุดถึง 65 โครงการ มูลค่า 78,000 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดขาย 50,000 ล้านบาท และยอดรับรู้รายได้ 47,000 ล้านบาท   โครงการส่วนใหญ่ที่เปิดยังเป็นโครงการแนวราบ ไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด แต่ที่สำคัญ คือ เอพี ไทยแลนด์ ยังมีแผนพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ออกมาทำตลาด มากถึง  5 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 13,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 65% ตั้งเป้ายอดขายคอนโดทั้งปีที่ 12,000 ล้านบาท และตั้งเป้ารายได้กลุ่มสินค้าคอนโดรวม (100% JV) ที่ 12,300 ล้านบาท   ในแผนการเปิดตัวคอนโดทั้ง 5 โครงการปีนี้ เอพี ไทยแลนด์ได้วางแผนช่วงครึ่งปีแรกนี้ จะเปิดตัว​ 3 โครงการ มูลค่ารวม 6,800 ล้านบาท ประเด็นสำคัญ คือ การเปิดตัวแบรนด์แอสปาย (ASPIRE) ที่มีการปรับโฉมใหม่ทั้งหมด เป็นแบรนด์ที่จับตลาดแมส มีราคาขายต่อยูนิต 1.99-2.89 ล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่ของตลาดอสังหาฯ  ที่มีความอ่อนไหวต่อภาวะเศรษฐกิจ และกำลังซื้อที่ชะลอตัวลงพอสมควร  คำถามสำคัญก็คือ อะไรคือปัจจัยที่ทำให้ เอพี ไทยแลนด์ มั่นใจต่อการเปิดตัวโครงการแอสปายครั้งนี้ ว่ากลุ่มเป้าหมายดังกล่าวจะยังมีกำลังซื้อที่ดี  สามารถสร้างยอดขายและรายได้ให้กับเอพี ไทยแลนด์ได้ เอพี มองตลาดคอนโดฟื้นตัว นางสาวกมลทิพย์ บำรุงชาติอุดม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานธุรกิจคอนโดมิเนียม บริษัท​ เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) มองสถานการณ์ตลาดคอนโดในปีนี้น่าจะปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้น หากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทรงตัวหรือไม่รุนแรงไปกว่าปัจจุบัน เพราะปีนี้ตลาดคอนโดเริ่มเข้าใกล้ภาวะสมดุลของดีมานด์และซัพพลาย จากช่วง 2 ปีที่ผ่านมาผู้ประกอบการมีการระบายสต็อกออกไปค่อนข้างมาก  ปีนี้​เป็นปีต่อเนื่องที่ ตลาดคอนโดขับเคลื่อนด้วยเรียลดีมานด์ในประเทศ ทำให้ผู้ซื้อได้ในราคาที่คุ้มค่า ถ้าเศรษฐกิจดี คอนโดจะปรับราคาเพิ่มขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจ ปีนี้ยังมีมาตรการของรัฐบาลที่ออกมาช่วยกระตุ้นตลาดคอนโด อาทิ การลดค่าธรรมเนียมการโอน ค่าจดจำนอง และการผ่อนคลายมาตรการ LTV ส่งผลต่อ เซ็นติเมนท์ที่ดีขึ้น ขณะเดียวกัน ยังมองเห็นว่าตลาดคอนโดยังมีกลุ่มลูกค้าเรียลดีมานด์ในประเทศ ที่มีความต้องการซื้อคอนโดเพื่ออยู่จริงยังคงมีอยู่ เห็นได้จากยอดขายตั้งแต่ช่วงต้นปีจนถึง 15 ก.พ. 65 สามารถทำยอดขายได้แล้วกว่า1,080 ล้านบาท เติบโตกว่า 250% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยเป็นยอดขายจากโครงการเดิมที่เปิดตัวมาก่อนหน้า เนื่องจากเอพี ไทยแลนด์ยังไม่มีการเปิดโครงการใหม่ ปรับโฉมแอสปายใหม่ พร้อม 3 จุดขาย เอพี ไทยแลนด์ ได้มีการปรับแบรนด์โพสิชั่นนิ่ง  แอสปาย ใหม่ ภายใต้จุดยืน “LIVE AS YOU ASPIRE อิสระในทุกมิติของชีวิต”  โดยตั้งเป้าการพัฒนาให้แอสปาย คือคอนโดในกลุ่มแมสเซกเมนต์ที่ดีที่สุด จากกระบวนการทำงาน ที่เรียกว่า AP Empathy Design ซึ่งเป็นการหาความต้องการจริงของกลุ่มลูกค้าในแต่ละทำเล เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าได้จริง ๆ และตอบสนองความต้องการนั้นไปในแต่ละทำเล ​ซึ่งทำให้แบรนด์แอสปาย มี 3 จุดขายใหม่ ได้แก่ 1.Modular Layout การออกแบบห้องที่มีดีไซน์ใหม่กว่า ​ 40 รูปแบบ โดยเน้นความยืดหยุ่นปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการ ตามรูปแบบการใช้ชีวิตไฮบริดของคนปัจจุบัน ที่ไม่ได้ทำอาชีพเดียว หรือมีกิจกรรมเพียงอย่างเดียว คนหนึ่งคนอาจจะมีหลายหน้าที่และบทบาทแต่กต่างกันไป ทำให้มีความต้องการใช้พื้นที่แตกต่างกัน​ และในแต่ละทำเล รูปแบบดีไซน์ฟังก์ชั่นห้องก็จะแตกต่างกันไปด้วย เพื่อให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตของกลุ่มเป้าหมายแต่ละทำเล 2.The Best of ‘ME’ Space   มีการออกแบบให้แต่ละโครงการในแต่ละทำเล มีพื้นที่ส่วนกลาง ที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์และพฤติกรรมของลูกค้าในแต่ละทำเล ที่ผ่านมาบางโครงการมีพื้นที่ส่วนกลางให้กับลูกบ้าน แต่ไม่ตรงกับความต้องการที่จะใช้งาน ทำให้ลูกบ้านไม่ได้ใช้พื้นที่ส่วนกลางนั้น เช่น แอสปาย ปิ่นเกล้า-อรุณอัมรินทร์ กลุ่มเป้าหมายเป็นบุคลากรทางการแพทย์  จึงจัดทำพื้นที่ส่วนกลางที่เน้นความรีแลกซ์ และเน้นความเป็นส่วนตัว 3.Entry - Level Price การกำหนดราคาของแต่ละทำเล จะเน้นการขายในราคาที่คุ้มค้า โดยโครงการแอสปาย ปิ่นเกล้า-อรุณอัมรินทร์ มีราคาขายเริ่มต้นตารางเมตรละ 94,000 บาท แอสปาย รัชโยธิน  ราคาขายเริ่มต้นตารางเมตรละ 79,600 บาทและสุขุมวิท - พระราม 4 ราคาขายเริ่มต้นตารางเมตรละ 99,000 บาท 3 จุดขายใหม่จะเป็น wining point ที่จะทำให้แอสปายโฉมใหม่ในปีนี้ เหนือกว่าคู่แข่ง ในเซ็กเมนต์เดียวกัน หรือเหนือกว่าคู่แข่งในตลาดที่มีอยู่ อัตราผลตอบแทนเช่า 5% นอกเหนือจากการวิเคราะห์ความต้องการของกลุ่มลูกค้าแล้ว เอพี ไทยแลนด์ มองว่า อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในคอนโดยังสูง โดยเฉพาะผลตอบแทนการปล่อยเช่า (Rental Yield) ถึง 4.5 – 5% ในทำเลที่ได้เข้าไปพัฒนาโครงการ ทำเล MRT สถานีบางยี่ขัน - บางขุนนนท์ – แยกไฟฉาย ผลตอบแทน 4.5 – 5% ทำเลในโซนอรุณอมรินทร์ ถือเป็นทำเลศูนย์กลางการแพทย์และสถาบันการศึกษาชั้นนำทำเลหนึ่ง ซึ่งที่ดินหามาพัฒนาได้ยาก เนื่องจากที่ดินติดถนนอรุณอมรินทร์ ที่มีขนาดเหมาะสมกับการพัฒนาคอนโดมีจำกัด โครงการแอสปาย ปิ่นเกล้า - อรุณอมรินทร์  เป็นโครงการใหม่เพียงโครงการเดียวบนช่วงถนนเส้นดังกล่าว  ซึ่งในย่านนั้นมีความต้องการสูง เห็นได้จากยอดขายรวมถึง 75% จากทั้งหมด 11 โครงการที่เปิดขายในแนวโครงข่าย MRT สถานีบางยี่ขัน - บางขุนนนท์ - แยกไฟฉาย และยังเป็นโอกาสของตลาดปล่อยเช่าในลูกค้ากลุ่มนักศึกษา-บุคคลากรทางการแพทย์ที่น่าจับตามอง โดยอัตราการปล่อยเช่าปีล่าสุดที่ 8,000 - 15,000 บาทต่อเดือน ด้วยผลตอบแทนการปล่อยเช่า  ถึง 4.5 – 5% ตลาดคอนโดรัศมี 1.5 กม.จาก BTS รัชโยธิน ทำให้ย่านรัชโยธินเป็นทำเลศักยภาพในการลงทุน ทั้งเพื่ออยู่อาศัยเองและการปล่อยเช่าในอนาคต ซึ่งได้ผลบวกจากรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีเขียว (หมอชิต - สะพานใหม่ - คูคต) เปิดทำการ  จากการสำรวจซัพพลายพบ 15 โครงการ จำนวน 9,024 ยูนิต มียอดขายแล้วกว่า 87% ในขณะที่ 3 ปีที่ผ่านมาพบการเปิดโครงการใหม่ลดลงต่อเนื่อง และสินค้าคงเหลือขายปัจจุบัน พบราคาขายเฉลี่ย 125,000 - 150,000 บาท/ตารางเมตร   โดยอัตราผลตอบแทนจากการปล่อยเช่า (Rental Yield) ในย่านนี้ที่มีอัตราที่ดีเช่นกันที่ประมาณ 5% และพบภาพรวมอัตราการปล่อยเช่าปีล่าสุดที่ 9,000 - 20,000 บาทต่อเดือน  และ ตลาดคอนโดโซนพระราม 4 - สุขุมวิท ในรัศมี 1.5 กิโลเมตรจาก BTS พระโขนง ตลาดคอนโดในย่านพระราม 4-สุขุมวิท ​พบยอดขายรวมที่เกิดขึ้น 76% จากทั้งสิ้น 21 โครงการ  โดยภาพรวมอัตราการปล่อยเช่าปีล่าสุด อยู่ที่ 9,500 - 20,000 บาทต่อเดือน  หรือผลตอบแทนการปล่อยเช่า (Rental Yield) ถึง 5% ทำให้ภาพรวมตลาดของคอนโดในทำเลนี้ เป็นที่สนใจของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง​​​​ เอพี ไทยแลนด์วางเป้ารายได้คอนโด 12,300 ล. ณ  วันที่ 15 ก.พ. 65 บริษัทฯ มีสินค้าคอนโดมิเนียมอยู่ระหว่างการขายจำนวน 15 โครงการ มูลค่าคงเหลือขาย 27,530 ล้านบาท และมีสินค้าคอนโดรอรับรู้รายได้รวมโครงการร่วมทุน (Backlog) มูลค่ามากถึง 18,300 ล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดเอพี มูลค่า 1,500 ล้านบาท และเป็นโครงการร่วมทุน มูลค่า 16,800 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้ภายในปีนี้ มูลค่า 9,790 ล้านบาท ที่เหลือจะทยอยรับรู้ไปจนถึงปี 2567   ในปีนี้เอพี ไทยแลนด์ ยังเตรียมรับรู้รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ 3 คอนโดใหม่ ได้แก่ แอสปาย เอราวัณ ไพร์ม LIFE สาทร เซียร์รา และ RHYTHM เอกมัย เอสเตท มูลค่ารวม 12,800 ล้านบาท  รวมถึงยังมีสินค้าสร้างเสร็จพร้อมขาย 6,550 ล้าบาท แบ่งเป็นโคงการของเอพี ไทยแลนด์พัฒนามูลค่า 400 ล้านบาท และโครงการร่วมทุนมูลค่าประมาณ 6,100 ล้านบาท ซึ่งจะรองรับยอดขายได้ถึงปี 2566 ปีนี้กลุ่มคอนโดวางเป้ายอดขาย 12,000 ล้านบาท  และรายได้ 12,300 ล้านบาท  สำหรับปี2564 ที่ผ่านมา เอพี ไทยแลนด์  มีรายได้รวมจากสินค้าแนวราบและกลุ่มคอนโดฯ (100% JV) มากถึง 40,015 ล้านบาท และด้านกำไรสุทธิปี 64 (Net Profit) สูงถึง 4,543 ล้านบาท โตกว่า 7.5% และสำหรับความท้าทายของตลาดคอนโดในปีนี้ คือ ทิศทางของตลาดยังคงปรับเปลี่ยนตามพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว  กลุ่มลูกค้าเรียลดีมานด์ในเซกเมนต์กลางถึงกลางล่างที่มองหาคอนโดใหม่ในทำเลซิตี้โซนได้ทยอยปรับตัวดีขึ้นตามลำดับ และหลายดีเวลลอปเปอร์ต่างกระโดดลงมาแข่งขันในตลาดมากขึ้น ปีนี้ผู้ประกอบการยังมองว่าเป็นปีที่ท้าทาย นอกเหนือจากการคาดการณ์ที่แม่นยำ การเลือกที่ดินที่ใช่ การพัฒนาตอบโจทย์อินไซต์ลูกค้าในแต่ละโลเกชั่นจริง ๆ จะทำให้คอนโดตอบโจทย์​ ชนะคู่แข่ง และมีตลาดรองรับอยู่ได้   อ่านข่าวเพิ่มเติม เอพี ไทยแลนด์ เดินแผนธุรกิจปี 65 ที่สุดตลาด เปิดตัว 65 โครงการ มูลค่า 78,000 ล้าน
เซ็นทรัลพัฒนา ทุ่มงบ 120,000 ล้านบาทใน 5 ปี ตั้งเป้า องค์กร Mixed-use Developer รายแรกสู่ Net Zero ปี 2050

เซ็นทรัลพัฒนา ทุ่มงบ 120,000 ล้านบาทใน 5 ปี ตั้งเป้า องค์กร Mixed-use Developer รายแรกสู่ Net Zero ปี 2050

เซ็นทรัลพัฒนา องค์กรยั่งยืนระดับโลก เดินหน้าวิสัยทัศน์ Imagining better futures for all สร้าง Sustainable Ecosystem ที่แข็งแกร่ง ทุ่มงบ 120,000 ล้านบาทใน 5 ปี ยกระดับคุณภาพชีวิตผู้คน ตั้งเป้า องค์กร Mixed-use Developer รายแรกสู่ Net Zero ปี 2050 เซ็นทรัลพัฒนา ทุ่มงบ 120,000 ล้านบาทใน 5 ปี ตั้งเป้า องค์กร Mixed-use Developer รายแรกสู่ Net Zero ปี 2050 บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน)  ผู้พัฒนาธุรกิจศูนย์การค้าเซ็นทรัล, ที่พักอาศัย, อาคารสำนักงาน และโรงแรมทั่วประเทศ เดินหน้าวิสัยทัศน์ Imagining better futures for all สร้าง Sustainable Ecosystem ที่แข็งแกร่งและยั่งยืน ด้วยบทบาทของ ‘Place Maker’ นักพัฒนาพื้นที่แห่งอนาคต ที่บุกเบิกสร้างเมืองและความเจริญทั่วประเทศชูแผนธุรกิจ 5 ปี (2022-2026) ทุ่มงบ 120,000 ล้านบาท ด้วย 3 กลยุทธ์สู่ความยั่งยืน ด้วยการ Synergy ผนึกกำลังธุรกิจมิกซ์ยูส คู่ค้า ชุมชน ทุกฝ่าย, บุกเบิกสร้างมาตรฐานใหม่ของพื้นที่การใช้ชีวิตแห่งอนาคต และมุ่งสู่องค์กรแห่งการสร้างโอกาส พัฒนา ‘คน’ พัฒนาเมืองและประเทศ และยกระดับวงการอสังหาฯ และรีเทลของไทย นางสาววัลยา จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้เผยวิสัยทัศน์การดำเนินธุรกิจ พร้อมประกาศ Brand Commitment for Better Futures เพื่อมุ่งมั่นสร้างสรรค์คุณภาพชีวิตและอนาคตที่ดีให้กับผู้คน สังคม และโลกของเรา ตอกย้ำการเป็นบริษัทยั่งยืนในระดับโลก พร้อมเผย Brand Identity ใหม่ทั้ง Corporate และศูนย์การค้าทั่วประเทศ สะท้อนอัตลักษณ์ความภูมิใจท้องถิ่น และแตกต่างโมเดิร์นได้แนวคิดจากเอเจนซี่ด้านดีไซน์ระดับโลก นางสาววัลยา จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา กล่าวว่า “ตลอดระยะกว่า 40 ปี เซ็นทรัลพัฒนารู้สึกภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของผู้คน ได้อยู่เคียงข้างและช่วยพัฒนาประเทศชาติมาโดยตลอด จนกลายเป็นภาพจำของการเป็น ‘Center of Life’ ศูนย์กลางการใช้ชีวิตของทุกคนและทุกชุมชนที่โครงการเราไปตั้งอยู่ ในวันนี้ภายใต้บทบาทของการเป็น ‘Place Maker’ นักพัฒนาที่ต้องการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คนทุกแห่ง สร้างพื้นที่ที่จะเป็นอนาคตที่ดีให้กับทุกคน โดยเชื่อมโยง 2 สิ่งที่สำคัญคือ ‘People’ คนและชุมชนที่เป็นพลังขับเคลื่อนสังคมและสร้างความเปลี่ยนแปลง และ ‘Planet’ สิ่งแวดล้อมและโลกใบนี้ เข้ามาอยู่ใน Sustainable Ecosystem ที่แข็งแกร่งและยั่งยืนของเรา” โดยภายใต้วิสัยทัศน์ใหม่ เซ็นทรัลพัฒนาเดินหน้าสร้าง Better Futures ด้วย 3 กลยุทธ์สำคัญ ได้แก่ กลยุทธ์ที่ 1: SYNERGY for new solutions ผนึกกำลังทุกฝ่าย สร้างแพลตฟอร์มยกระดับการใช้ชีวิตและธุรกิจอย่างครบวงจร 1.1     Synergy within Retail-Led Mixed-Use Development: ผนึกกำลังทุกองค์ประกอบที่แข็งแกร่งของเซ็นทรัลพัฒนา มอบประสบการณ์ที่ Seamless โดยให้ศูนย์การค้าเป็นธุรกิจหลัก (Retail-Led Mixed-use development) ทั้งศูนย์การค้า, ที่อยู่อาศัย, อาคารสำนักงาน และโรงแรม โดยในอีก 5 ปี (2022-2026) บริษัทฯ จะมีโครงการอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ อยู่ในมากกว่า 30 จังหวัด ซึ่งจะทำให้จำนวนโครงการทั้งหมด (รวมปัจจุบันและอนาคต) ได้แก่ ศูนย์การค้า 50 แห่ง ทั้งในและต่างประเทศ และคอมมูนิตี้มอลล์ 16 แห่ง (อยู่ระหว่างการศึกษาการขยาย), โครงการที่พักอาศัย 68 แห่ง, อาคารสำนักงาน 13 แห่ง และโรงแรม 37 แห่ง โดยมากกว่า 50% ของโครงการทั้งหมดจะเป็นรูปแบบมิกซ์ยูสที่มีมากกว่า 1 ธุรกิจ และมีศูนย์การค้าเป็นหัวใจสำคัญ โดยเร่งขยายการเติบโตของทุกๆ ธุรกิจพร้อมกันไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทั้งหมดจะเชื่อมโยงยกระดับการใช้ชีวิตทุกรูปแบบทั้ง shop-work-stay-play-live ด้วยโครงการรีเทลที่เติมเต็มทุกฟอร์แมตและเทรนด์ใหม่ๆ, โครงการที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพและเชื่อมโยงสิทธิประโยชน์ในเครือเพื่อลูกบ้านเซ็นทรัล พร้อมเชื่อมต่อออฟฟิศให้เป็นสถานที่ที่ทำงานที่ดีที่สุดเพราะใกล้ศูนย์การค้าและโรงแรม รวมถึงปั้นโรงแรมแบรนด์น้องใหม่ เพื่อยกระดับทำให้ทุกเมืองเป็นเมืองท่องเที่ยว นอกจากนี้ ยังได้ตั้งทีม Business & Digital Transformation ลงทุน 450 ล้านบาทในปี 2022 เพื่อทรานฟอร์มสู่การเป็น Omnichannel Platform ซึ่งมากกว่าการเชื่อม offline และ online แต่ยังเชื่อมโยงทุกธุรกิจใน ecosystem เข้าด้วยกัน และเชื่อมโยงธุรกิจที่อยู่กับเราไปยังลูกค้าด้วยเป็น B2B2C สร้างประสบการณ์ใหม่ให้ลูกค้าในอนาคต 1.2     Synergy with business partners: มุ่งมั่นสร้างความเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับธุรกิจของคู่ค้า พร้อมจัดตั้งทีม Partner Champions ที่จะเป็น Business Consultant ในการเป็น End-to-End Solutions ให้กับคู่ค้าอย่างครบวงจร ได้แก่ การช่วยเหลือการเติบโตและขยายสาขาด้วยโมเดล Co-investment, Funding, และ Franchise การช่วยเหลือด้าน Business Operation ต่างๆ, การใช้ Big Data จาก The 1 และ The 1 Biz, และ Retail Omnichannel เพื่อส่งเสริมและผลักดันธุรกิจของคู่ค้า, รวมไปถึงการจัดการ Transaction และบริการต่างๆ ที่จะช่วยพันธมิตรทุกราย 1.3     Synergy with communities: ทุกโครงการของเซ็นทรัลพัฒนามีส่วนสะท้อนอัตลักษณ์ Local Essence ของชุมชน ทั้งได้ด้าน Art & Culture รวมไปถึง Local Wealth การสร้างและกระจายรายได้ให้กับชุมชน นอกจากนี้ ยังเป็นแพลตฟอร์มยกระดับ SMEs และอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในแบบ Cross-Region ให้ผู้ประกอบการ, เกษตรกร และอาชีพต่างๆ ได้เข้าถึงพื้นที่การขายและลูกค้า โดยรวมแล้วไม่ต่ำกว่า 40,000 ตร.ม. หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 300 ล้านบาทต่อปี กลยุทธ์ที่ 2: PIONEER for better lives สร้างมาตรฐานใหม่ของพื้นที่แห่งการใช้ชีวิตที่ดีในอนาคต ต่อไปนี้ภายในทุกโครงการใหม่ของเซ็นทรัลพัฒนาจะมีการบริหารจัดการที่ใส่ใจหัวใจสำคัญ 2 ด้านเพื่อการใช้ชีวิตของทุกคนอย่างยั่งยืน ได้แก่ Green & Energy ด้วย Green Building Standard มาตรฐานอาคารเขียวระดับสากล, ติดตั้งเซลล์ผลิตพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ในทุกโครงการ, พัฒนาอาคารอัจฉริยะหรือ Building Automation, การเพิ่มจุด EV Charging และ Recycle Station สนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดและแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน เป็นต้น Health & Wellness พื้นที่ที่มีส่วนช่วยยกระดับการใช้ชีวิตของผู้คน ด้วยการตอกย้ำแผนแม่บทและมาตรการด้านความสะอาดและความปลอดภัย, การเพิ่มพื้นที่สีเขียวทั้ง indoor-outdoor, การออกแบบที่ตอบสนองคนทุกกลุ่ม (Inclusive Design) ให้เป็นพื้นที่ที่ทุกคนมาใช้ได้จริง รวมถึงพื้นที่เพื่อชุมชน เช่น ลานออกกำลังกาย, สนามเด็กเล่น, ศูนย์การเรียนรู้, ศูนย์ฉีดวัคซีน, พื้นที่รับบริจาคโลหิต, พื้นที่เพื่อ well-being สำหรับชุมชน เป็นต้น กลยุทธ์ที่ 3: OPPORTUNITIES with Purpose ขับเคลื่อนสังคมและธุรกิจ เปิดโอกาสให้ทุกคน เป็นองค์กรแห่งการสร้าง ‘โอกาส’ พัฒนาคน พัฒนาเมือง พัฒนาประเทศ และยกระดับวงการอสังหาฯ และรีเทลของไทย เทียบเท่าระดับโลก เพื่อสร้างอนาคตที่ดีกว่าร่วมกัน ให้คนได้มาเรียนรู้ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ จับคู่ทางธุรกิจ และขยายไปทั้งในและต่างประเทศ ผ่านโครงการ Central Pattana Lead และ Retail Academy สร้าง Local Wealth ให้เกิดการจ้างงานในพื้นที่ ขยายความเจริญจากส่วนกลางสู่ท้องถิ่น และยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในจังหวัด ให้คนรุ่นใหม่ได้เข้ามาร่วมงานกับเซ็นทรัลพัฒนา ผ่านโปรแกรมให้ได้ทดลองไอเดียใหม่ๆ เช่น Retail Hackathon ซึ่งนำไปต่อยอดจริง ให้โอกาสอย่างทั่วถึงกับกลุ่มคนที่หลากหลาย LGBTQ+ ข้อจำกัดทางร่างกาย บุคคลพิเศษ และมีความเป็น Global Citizen ให้ความสำคัญกับ Global Values อาทิ Human Rights, Equality, Diversity เป็นต้น จากกลยุทธ์ทั้งหมดนำไปสู่การสร้าง Big impact ในเชิงเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อมของทุกเจเนอร์เรชั่น โดยนางสาววัลยากล่าวต่อไปว่า “ภายใต้วิสัยทัศน์ใหม่ เราจึงมุ่งมั่นที่จะทำตาม Brand Commitment สำคัญคือการเดินหน้าสร้าง Sustainable Ecosystem ที่แข็งแกร่งและยั่งยืน เพื่อผู้คนและโลก ยืนหยัด สร้างพื้นที่ที่มีคุณภาพ ส่งเสริมการใช้ชีวิตในทุกมิติ สร้างสรรค์สิ่งที่ที่ดีเพื่ออนาคตที่ยั่งยืนสำหรับคนไทยและประเทศไทย โดยมีเป้าหมายที่ชัดเจน ได้แก่ ยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนและชุมชนทั่วประเทศ: โดยปัจจุบัน เซ็นทรัลพัฒนามีส่วนช่วยสร้างเงินสะพัดในระบบเศรษฐกิจเทียบเท่าประมาณ 1% ของ GDP ของประเทศมาอย่างต่อเนื่อง และในอีก 5 ปีข้างหน้า จะยังคงเติบโตเช่นนี้ และทำให้เกิดการจ้างงานไม่ต่ำกว่า 150,000 ตำแหน่ง ที่อยู่ใน sustainable ecosystem ของเซ็นทรัลพัฒนา ตั้งเป้าเป็นองค์กร Mixed-use Developer รายแรกสู่ Net Zero ภายในปี 2050 ด้วยแผนระยะยาวตั้งเป็น Net Zero Carbon Emission ให้ได้ผ่านการลดการใช้พลังงานให้ได้ 50% ลดการใช้ CFC และสารที่ทำลายชั้นบรรยากาศ และส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดหรือ Clean Energy ให้ได้อีก 50% นอกจากนี้เรายังตั้งเป้าปลูกต้นไม้เพิ่มพื้นที่สีเขียวทั้งภายในและภายนอกโครงการให้ได้ถึง 1 ล้านต้นโดยเร็วอีกด้วย” บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ขับเคลื่อนสู่อนาคตภายใต้เจตจำนงค์ของแบรนด์ Imagining better futures for all ด้วยการสร้างและพัฒนาพื้นที่ที่มีคุณภาพเพื่อดูแลคนและชุมชน รวมถึงสิ่งแวดล้อม ให้เติบโตควบคู่ไปกับการเดินหน้าทางเศรษฐกิจและขับเคลื่อนประเทศไทย ที่ผ่านมา บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจเพื่อความยั่งยืนมาอย่างต่อเนื่อง โดยเป็นบริษัทอสังหาฯ หนึ่งเดียวในไทยที่เป็นสมาชิกดัชนีความยั่งยืนระดับโลก DJSI World ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 และ DJSI Emerging Markets ต่อเนื่องเป็นปีที่ 8 นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้เปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาใหม่ เพื่อสะท้อน Commitment for better futures โปรดรับชมได้ทาง https://youtu.be/ZrUKWsxGZks   บทความหน้าสนใจ The Forestias – เมืองต้นแบบกลางป่าใหญ่ในกรุงเทพฯ 6 วิธีช้อปปิ้งในห้าง-ซุปเปอร์มาร์เก็ต ให้ปลอดภัยจากโควิด-19  
ศุภาลัย  ทุบสถิติปี 64 New High Record  ทำรายได้ – กำไร สูงสุดในรอบ 3 ทศวรรษ

ศุภาลัย ทุบสถิติปี 64 New High Record ทำรายได้ – กำไร สูงสุดในรอบ 3 ทศวรรษ

ศุภาลัย โชว์ผลงานปี 64 สร้าง New High Record ทุบสถิติกวาดรายได้ – กำไร เกินเป้าที่ตั้งไว้ สูงสุดรอบ 30 ปี  โกยกำไร 7,070 ล้าน โตกว่า 66 % และรายได้รวมสูงถึง 29,647 ล้าน เพิ่มขึ้น 41%  ชี้เป็นผลสำเร็จจากการเงินแข็งแกร่งและแผนกลยุทธ์ปรับตัวรับมือที่รวดเร็วให้ทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง พัฒนาผลิตภัณฑ์ตอบโจทย์ลูกค้า ปี 65 พร้อมเดินหน้าสร้างยอดขาย 28,000 ล้าน และรายได้ 29,000 ล้าน  จากการเปิดตัว 34 โครงการใหม่   นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานรอบปี 2564 ศุภาลัยทุบสถิติกำไรสุทธิสูงสุด สร้าง New High New Record สูงสุดในรอบ 3 ทศวรรษ สามารถสร้างผลกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 66% หรือ 7,070 ล้านบาท รวมถึงรายได้รวมเติบโตแบบก้าวกระโดดสูงสุดเช่นกัน 29,647 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา เกินเป้าหมายที่วางไว้ 28,000 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นตัวเลขสูงสุดเป็นประวัติการณ์ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท โดยแบ่งเป็นรายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์อสังหาฯ  28,938 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42% จากปี 2563 โดยแบ่งเป็นรายได้จากบ้านและทาวน์เฮาส์ 51% และอาคารชุด 49% โดยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2564 ศุภาลัยมีรายได้รวม 11,126 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37% และกำไร 2,879  ล้านบาท เพิ่มขึ้น 54% สวนกระแสอย่างก้าวกระโดดสูงสุด เติบโตจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า มาจากยอดรับรู้รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุด และโครงการแนวราบที่ก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมเข้าอยู่ และการรักษาเสถียรภาพทางการเงิน (Cash Flow Management) ส่งผลให้อัตราหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ระดับ 43% ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564 ลดลงจากระดับ 55% ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2563 ปัจจัยสร้างความสำเร็จ สำหรับปัจจัยสำคัญที่มีส่วนผลักดันศุภาลัย สามารถสร้างการเติบโตอย่างผู้นำและยั่งยืน ทั้งด้านรายได้และกำไร  มาจาก -ทีมงานที่มีศักยภาพและแข็งแกร่ง นำหลักการทำงานแบบ Agile มาปรับใช้ภายในองค์กร เพื่อพัฒนาสินค้าและบริการขององค์กรได้อย่างรวดเร็ว -การพัฒนาผลิตภัณฑ์ สร้างสรรค์รูปแบบผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ตรงตามความต้องการของลูกค้า -การบริการอย่างครบวงจรบนแพลตฟอร์มออนไลน์ สร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ผ่านการขายแบบออนไลน์ให้แก่ลูกค้า ได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว เช่น Supalai Online Booking , Supalai Private Tours และพัฒนา Living Solution Platform ผ่านแอปพลิเคชัน Supalai Sabai จัดการทุกเรื่องบ้านยกระดับการอยู่อาศัยแบบครบวงจร -การบริหารต้นทุนและ Cash Flow อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ความสามารถในการทำกำไรแข็งแกร่ง -ส่งเสริม Waste management ในกระบวนการก่อสร้าง กำหนดแนวทางการทำงานเพื่อลดปริมาณความสูญเสียของวัสดุก่อสร้างได้อย่างเหมาะสม และสามารถจัดการกับเศษวัสดุก่อสร้างให้เกิดมูลค่าสูงสุด รวมทั้งลดผลกระทบที่มีต่อสิ่งแวดล้อม ผลงานในปี 2564 ที่ปรากฏออกมานั้นคุ้มค่ากับการวางแผนกลยุทธ์และความทุ่มเท เพราะศุภลายประสบความสำเร็จเกินเป้าจากแผนการดำเนินงานที่ตั้งไว้ ท่ามกลางวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้น โดยสามารถสร้างสถิติครั้งใหม่ New High ตั้งแต่เปิดบริษัท เติบโตทางด้านรายได้และกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ รวมทั้งยอดขายและโอนกรรมสิทธิ์โครงการสร้างเสร็จ พร้อมเข้าอยู่ โดยปีที่ผ่านมาศุภาล้ยตั้งเป้าหมายยอดขาย 27,000 ล้านบาท และเป้าหมายรายได้ 28,000 ล้านบาท ซึ่งปี 2564 ถือเป็นปีที่ท้าทายเป็นอย่างมากในการบริหารจัดการธุรกิจ เพื่อให้เป็นไปตามกลยุทธ์ธุรกิจที่วางไว้ว่า ก้าวไปข้างหน้า..เติบโตอย่างผู้นำ และยั่งยืน ทั้งด้านรายได้ และกำไร  จากแผนการเปิดตัวโครงการแนวราบและคอนโดมิเนียม รวม 23 โครงการใหม่ ที่สามารถเจาะกลุ่มลูกค้าทุก  เซ็กเมนต์ ครอบคลุมทุกพื้นที่ โดยทำเลยอดนิยมที่สร้างยอดขายได้ทะยานสูงเป็นลำดับต้นๆ คือ กรุงเทพฯ และปริมณฑล ชลบุรี และระยอง ที่กำลังซื้อยังคงมีอยู่อย่างเหนียวแน่น โดยสินค้าแนวราบเป็นสินค้าเบอร์หนึ่งที่ได้รับความนิยมมากขึ้นต่อเนื่องในปัจจุบัน   อีกทั้งการพัฒนาผลิตภัณฑ์ เปิดตัวแบรนด์ใหม่ พร้อมแบบบ้านใหม่ ฟังก์ชันใหม่ ให้ตอบโจทย์ลูกค้า มากที่สุด อาทิ โครงการศุภาลัย เอเลแกนซ์ บรมราชชนนี 121 และโครงการคอนโดมิเนียม ศุภาลัย พรีเมียร์ สามเสน - ราชวัตร ควบคู่ไปกับแผนการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่ ในช่วงไตรมาส 2 และ 3 ของปี 2564 รวมทั้งสิ้น 3 โครงการด้วยกัน ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า คือ ศุภาลัย พรีเมียร์ เจริญนคร ศุภาลัย ริวา แกรนด์ และศุภาลัย เวอเรนด้า สถานีภาษีเจริญ   ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลประกอบการงวดปี 2564 ให้แก่ผู้ถือหุ้น ในอัตราหุ้นละ 1.25 บาท โดยกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) 27 เม.ย. 65 และจ่ายปันผล วันที่ 12 พ.ค. 65   นายไตรเตชะ กล่าวอีกว่า ในปี 2565 ศุภาลัยเร่งเสริมศักยภาพการบริหารจัดการมุ่งมั่นพัฒนากลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ เพื่อผลักดันยอดขายให้สู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยตั้งเป้าหมายยอดขาย 28,000 ล้านบาท และเป้าหมายรายได้ 29,000 ล้านบาท จากการเปิดตัวโครงการใหม่ 34 โครงการ แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 31 โครงการ และโครงการคอนโดมิเนียม 3 โครงการ คิดเป็นมูลค่ารวม 40,000 ล้านบาท พร้อมรุกเปิดตลาดอสังหาฯ ในจังหวัดใหม่ๆ เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภค พร้อมด้วยทำเลศักยภาพ อาทิ ฉะเชิงเทรา ลำพูน นครสวรรค์ นครปฐม และ ประจวบคีรีขันธ์ เพื่อครอบคลุมความต้องการของผู้บริโภคทั่วทุกภูมิภาค สำหรับที่อยู่อาศัยแนวราบยังมีโอกาสเติบโตในทิศทางที่ดี เนื่องจากยังเป็นกลุ่ม Real Demand ที่มีความต้องการของที่อยู่อาศัยสูง พร้อมมุ่งพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคใหม่มากขึ้น รวมไปถึงการพัฒนารูปแบบการซื้อที่ดินสำหรับพัฒนาโครงการใหม่ในอนาคตของบริษัท ความสำเร็จของปี 2564 เป็นแรงผลักดันสำคัญให้ศุภาลัยมุ่งมั่นการดำเนินธุรกิจอสังหาฯ ตามหลักธรรมภิบาลและเน้นการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์พร้อมการให้บริการลูกค้าที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ลูกค้าทุกกลุ่มทุกวัย   New Record ที่สุดใน 3 ทศวรรษนี้ อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง ศุภาลัย วาง 4 กลยุทธ์ ทำรายได้ New High 28,000 ล้านบาท
[PR News] เสนา ส่ง “เสนาคิทท์”บุก 4 โลเคชั่นจับตลาดลูกค้าเรียลดีมานด์

[PR News] เสนา ส่ง “เสนาคิทท์”บุก 4 โลเคชั่นจับตลาดลูกค้าเรียลดีมานด์

เสนา นำร่อง 4 โครงการ แบรนด์เสนาคิทท์ รวมมูลค่ากว่า 2,000 ล้าน จับกลุ่มลูกค้าจริง รายได้ไม่เกินเดือนละ 20,000 บาท ชูจุดเด่นตั้งในทำเลใกล้แหล่งงาน นิคมอุตสาหกรรม ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ได้เปิดตัวโครงการภายใต้แบรนด์​ “เสนาคิทท์” นำร่องด้วยกัน 4 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาทใน 4 ทำเล ได้แก่​ โครงการร่วมทุนเสนา ฮันคิว ฮันชิน จำนวน 2 โครงการ เสนาคิทท์ รังสิต – ติวานนท์  ,เสนาคิทท์ ศรีนครินทร์ - ศรีด่าน และภายใต้การพัฒนาของเสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำนวน 2 โครงการ เสนาคิทท์ เอ็มอาร์ที – บางแค (เฟส 2) และ เสนาคิทท์ รังสิต - คลอง 4   โดยปีที่ผ่านมาแบรนด์ เสนาคิทท์ เป็นภาพสะท้อนความสำเร็จของเสนามาอย่างต่อเนื่อง กลยุทธ์หนึ่งที่สำคัญของแบรนด์ เสนาคิทท์ คือ  ตั้งอยู่ในทำเลใกล้แหล่งงาน ย่านนิคมอุตสาหกรรม เดินทางสะดวก  จับกลุ่มเป้าหมายลูกค้าที่มีฐานรายได้ไม่ถึง 20,000 บาทต่อเดือน  ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่เดิมอาจจะเช่าหอพัก อพาร์ตเม้นท์เพื่ออยู่อาศัยใกล้แหล่งงาน คอนซูมเมอร์ เพนพอย์ของลูกค้าที่มีรายได้จำกัด การตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยยุคนี้อาจเป็นเรื่องยากในการก่อจะก่อภาระค่าใช้จ่ายต่อเดือนเพิ่มขึ้น แบรนด์ “เสนาคิทท์” จึงเป็นการพัฒนาโปรดักส์ เพื่อให้เข้าถึงและเติมเต็มชีวิตของลูกค้าในกลุ่มนี้ให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น ตามพฤติกรรมของลูกค้าแต่ละโลเคชัน สำหรับรายละเอียดของทั้ง 4  โครงการ มีดังนี้ 1.เสนาคิทท์ รังสิต – ติวานนท์   โครงการพัฒนาอยู่ติดถนนติวานนท์ เป็นคอนโดโลว์ไรซ์สูง 8 ชั้น บนเนื้อที่ 6 ไร่เศษ  จำนวน 3 อาคาร ทั้งหมด 735 ยูนิต มูลค่าโครงการ 661 ล้านบาท มีแบบห้องให้เลือก 3 แบบ คือ แบบ 1 ห้องนอน 26 ตาราเมตร มี Walk-in Closet ในห้องนอน ส่วนอีกแบบ 1 ห้องนอน 26 ตารางเมตร ราคาเริ่ม 899,000 บาท  เน้นห้องครัวกว้างติดระเบียง และแบบ 2 ห้องนอน 38 ตารางเมตร ทุกยูนิตถูกดีไซน์กั้นเป็นสัดส่วนทั้งฟังก์ชันและพื้นที่ส่วนกลางลงตัว ทั้งคลับเฮ้าส์ ฟิตเนส สระว่ายน้ำ  Co-working space  และสวนส่วนกลาง ระบบ CCTV เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมระบบควบคุมรถเข้า-ออก ,Key card Access และระบบลิฟต์ล็อคชั้น 2.เสนาคิทท์ ศรีนครินทร์ - ศรีด่าน โครงการอยู่ในซอยด่านสำโรง 9 ถนนสุขุมวิท 113 ใกล้รถไฟฟ้าสายสีเหลือง (ลาดพร้าว – สำโรง) สถานีศรีด่าน เพียง 500 เมตร คอนโดโลว์ไรซ์สูง 8 ชั้น บนเนื้อที่ 3 ไร่เศษ จำนวน 3 อาคาร ทั้งหมด 645 ยูนิต มูลค่าโครงการ 708 ล้านบาท มีแบบห้องให้เลือก 4 แบบ คือ แบบ 1 ห้องนอน 22 ตารางเมตร  แบบ 1 ห้องนอน 26 ตารางเมตร แบบ 1 ห้องนอนพลัส 33 ตารางเมตร และแบบ 2 ห้องนอน 43 ตารางเมตร ราคาเริ่ม 999,000 บาท  เฟอร์นิเจอร์ครบ และพื้นที่สวนกลาง ทั้งคลับเฮ้าส์ ฟิตเนส สระว่ายน้ำ  Co-working space  และสวนส่วนกลาง  ระบบ CCTV เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมระบบควบคุมรถเข้า-ออก ,Key card Access และระบบลิฟต์ล็อคชั้น 3.เสนาคิทท์ เอ็มอาร์ที – บางแค (เฟส 2) โครงการอยู่ในซอยถนนเทิดไท ใกล้รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน สถานีบางแค พัฒนาเป็นคอนโดโลว์ไรซ์สูง 8 ชั้น จำนวน 2 อาคาร รวม 378 ยูนิต บนเนื้อที่ 3 ไร่เศษ มูลค่าโครงการ 393 ล้านบาท มีแบบห้องให้เลือก 5 แบบ คือ แบบ A 1 ห้องนอน 26 ตารางเมตร แบบ B 1 ห้องนอน 26 ตารางเมตร แบบ C 1 ห้องนอน 28 ตารางเมตร  แบบ D 2 ห้องนอน 34.5 ตารางเมตร และแบบ E 2 ห้องนอน 35 ตารางเมตร ราคาเริ่ม 1.05 ล้านบาท   กั้นห้องเป็นสัดส่วน  พร้อม Walk-in Closet  พื้นที่ส่วนกลางมีคลับเฮ้ส์ ฟิตเนส สระว่ายน้ำ 4.เสนาคิทท์ รังสิต - คลอง 4 โครงการติดถนนใหญ่ลำลูกกาคลอง 4 ใกล้ Market Village คอนโด สูง 5 ชั้น จำนวน 8 อาคาร รวม 343 ยูนิต เนื้อที่โครงการ 4ไร่เศษ มูลค่าโครงการ 315 ล้านบาท ขนาดเริ่มต้น 26 ตรม. 1 ห้องนอน ราคาเริ่ม 899,000 บาท  กั้นห้องเป็นสัดส่วน มีพื้นที่แต่งตัวด้วยฟังก์ชั่นใหม่ "Walk- In Closet" ระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชม. พร้อมบริการหลังการขายบนแพลตฟอร์ม "SENA 360 Application"  
พฤกษา เตรียมงบลงทุน 10,000 ล้านปี 65 พร้อมขยายธุรกิจ “พร็อพเทค-เฮลท์เทค” ​

พฤกษา เตรียมงบลงทุน 10,000 ล้านปี 65 พร้อมขยายธุรกิจ “พร็อพเทค-เฮลท์เทค” ​

พฤกษา เดินหน้าลุยธุรกิจอสังหาฯ -เทคโนโลยี เตรียมงบ 10,000 ล้าน ปั้นโปรเจ็กต์ที่อยู่อาศัย พร้อมแสวงหาโอกาสในธุรกิจตามเทรนด์โลก เปิดรับทุกรูปแบบพันธมิตรร่วมทุน ลุยพร็อพเทคและเฮลท์เทค วางเป้ายอดขายอสังหาฯ 31,000 ล้าน  โต 23% และยอดโอน ­33,000 ล้าน โต​ 18%   พฤกษา วาง 4 กลยุทธ์ลุยธุรกิจปี 65 นายอุเทน โลหชิตพิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง (มหาชน) เปิดเผยถึงทิศทางในการดำเนินธุรกิจปี 2565 ว่า ได้วางงบลงทุนไว้ 10,000 ล้านบาท เพื่อใช้สำหรับธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจเฮลท์แคร์ 6,500 ล้านบาท และการลงทุนใน Corporate Venture Fund เป็นการมองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ที่นอกเหนือจากธุรกิจอสังหาฯ  ตามเทรนด์โลกอนาคต ในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งการลงทุน การร่วมเป็นพันธมิตร (Partnership) และการทำ Outside-in Innovation ด้วยงบประมาณการลงทุนอีก 3,500 ล้านบาท ระยะเวลาการใช้งบประมาณภายใน 3 ปี   โดยการดำเนินธุรกิจของพฤกษาในปีนี้ ได้วาง 4 กลยุทธ์สำคัญ ได้แก่ 1.ปรับ Portfolio   มุ่งลดสินค้าคงค้าง และเพิ่มสัดส่วนกลุ่มลูกค้าเรียลดีมานด์บ้านระดับพรีเมียม 2.เสริมแกร่งธุรกิจหลัก ด้วยการจัดสรรที่ดินในมือ 157 ผืน มูลค่า 15,400 ล้านบาท  โดยปีนี้ยังวางแผนซื้อที่ดินเพิ่มเติมอีก 3,000-5,000 ล้านบาท และการบริหารโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา 145 โครงการ และมียูนิตพร้อมอยู่ที่พร้อมขายสร้างรายได้ 2,300 ยูนิต 3.ความร่วมมือ (Synergy) ทั้งกับธุรกิจอสังหาฯ และโรงพยาบาลวิมุต ในเครือเองที่จะเปิดให้บริการศูนย์ดูแลผู้ป่วยและผู้สูงวัยในโครงการต่าง ๆ 4.การสร้างความเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยการนำนวัตกรรมมาใช้ในการดำเนินธุรกิจ คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล ตามหลัก ESG และการลงทุนใน Corporate Venture Fund เพื่อมองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ตามเทรนด์โลกอนาคต ในรูปแบบต่าง ๆ ที่มุ่งเน้นใน 2 ด้านที่จะมาสนับสนุนธุรกิจหลัก   ได้แก่ -PropTech เช่น โซลูชั่นที่มุ่งส่งเสริมการสร้างประสบการณ์ที่ดีของลูกค้า การขายและการตลาดดิจิทัล Smart Home IOT Senior Living / Nursing Home เป็นต้น -Health Tech มุ่งเน้นแพลตฟอร์ม เกี่ยวกับบริการทางการแพทย์ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต การบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานธุรกิจสุขภาพ (Healthcare Supply Chain) อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดต้องคำนึงถึงการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน (Sustainability)  โดยในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ได้ลงทุนในบริษัทชั้นนำด้านธุรกิจ Clinical Laboratories, Digital Heath และ Genomic Labs ที่สิงคโปร์ อีกทั้งยังมีการจัด Bootcamp เพื่อคัดเลือกทีม External Venture Building จากทีมที่สมัครเข้ามามากกว่าร้อยทีม และขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้เกี่ยวกับการลงทุนสตาร์ทอัพในต่างประเทศ  คาดว่าจะเริ่มลงทุนในเดือนมีนาคมนี้ และทั้งหมดนี้จะเป็นการต่อห่วงโซ่ธุรกิจของพฤกษา โฮลดิ้ง ให้แข็งแกร่งขึ้นจากความร่วมมือกันระหว่างองค์กรและ Innovation Technology ของบริษัท Startup ได้เป็นอย่างดี  พฤกษา โฮลดิ้ง มีความแข็งแกร่งในด้านการเงิน ปัจจุบันมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานกว่า 11,900 ล้านบาท  ปัจจุบัน พฤกษา โดยมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุน ( Net Gearing) อยู่ที่ 0.36x ได้รับอันดับเครดิตองค์กร หรือ ทริสเรทติ้งที่ระดับ A ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต Stable หรือ คงที่ และด้วยผลประกอบการในปีที่ผ่านมา ทำให้บริษัทฯ มีมติจ่ายเงินปันผลประจำปี 2564 ในอัตราหุ้นละ 0.96  บาท โดยจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้วในอัตราหุ้นละ 0.31 บาท   จึงคงเหลือจ่ายเงินปันผลในรอบนี้ในอัตราหุ้นละ 0.65  บาท โดยจะนำเสนอขออนุมัติต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นในเดือนเมษายน 2565 พฤกษา เปิด 31 โปรเจ็กต์ปั้นรายได้ 3.3 หมื่นล้าน นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปี 2565 ได้วางแผนเปิดโครงการใหม่ 31 โครงการ มูลค่าประมาณ 16,300 ล้านบาท ประกอบด้วย ทาวน์เฮาส์ 22 โครงการ บ้านเดี่ยว 6 โครงการ และคอนโดมิเนียม 3 โครงการ ตั้งเป้ายอดขายปี 2565 อยู่ที่ 31,000 ล้านบาท เติบโต 23% และยอดโอน 33,000 ล้านบาท เติบโต 18%  โดยจะมีคอนโดอีก 7 โครงการที่จะโอนกรรมสิทธิ์เป็นรายได้ในปีนี้มูลค่า 2,900 ล้านบาท พฤกษาเน้นตลาดแนวราบ โดยใช้บิสิเนสโมเดลใหม่ที่เน้นตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าและเลือกเปิดโครงการที่มีศักยภาพสูง โดยรุกกลุ่มเรียลดีมานด์เซ็กเม้นต์รายได้ระดับกลางถึงสูงมากขึ้น สำหรับผลประกอบการปี 2564 ที่ผ่านมา​ สามารถทำยอดขายได้ 25.4 พันล้านบาท เติบโต 16% ซึ่งกลุ่มบ้านเดี่ยวเติบโตสูงถึง 23% เมื่อเทียบกับปี 2563 และทำรายได้ 28 พันล้านบาท  เปิดโครงการใหม่ตามแผนทั้งสิ้นรวม 31 โครงการ มูลค่า 21.1 พันล้านบาท   นอกจากนี้ ในช่วง 8 ไตรมาสที่ผ่านมา บริษัทสามารถลดสินค้าคงค้างไปได้ จาก 23,300 ล้านบาท เหลือเพียง 7,500 ล้านบาท จากการใช้กลยุทธ์ราคาและโปรโมชั่น  ซึ่งในไตรมาสแรกของปีนี้  พฤกษา เรียลเอสเตทยังคงจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายต่อเนื่องด้วย แคมเปญ “มั่งมีศรีสุข” มอบอั่งเปาและข้อเสนอพิเศษ อาทิ อยู่ฟรี สูงสุดนาน 24 เดือน สิทธิส่วนกลางฟรี สูงสุดนาน 36 เดือน หรือ ฟรีทุกค่าใช้จ่ายวันโอน รวมมูลค่าสูงสุด 4 ล้านบาท  ระหว่างวันนี้ – 31 มี.ค. 2565 บริษัทสร้างยอดขายอสังหาฯ เพิ่มขึ้นในทุกประเภท ทั้ง ทาวน์เฮาส์ บ้านเดี่ยว และคอนโด  จากการปรับบิซิเนสโมเดลใหม่ ใช้กลยุทธ์ยึดความต้องการลูกค้าเป็นศูนย์กลาง    พฤกษา วางเป้าธุรกิจเฮลท์แคร์ 700 ล้าน นายแพทย์กฤตวิทย์ เลิศอุตสาหกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรงพยาบาลวิมุต โฮลดิ้ง จำกัด  กล่าวว่า ​“โรงพยาบาลวิมุต เปิดให้บริการตั้งแต่ พฤษภาคม 2564 มีความพร้อมในการให้บริการในทุกศูนย์สุขภาพ มีทีมแพทย์เฉพาะทางที่ชำนาญการ เปิดบริการเป็นโรงพยาบาลเฉพาะทางระดับตติยภูมิ  นอกจากนี้ ยังเป็นศูนย์ฉีดวัคซีนที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ ในปีนี้วิมุตมุ่งเน้นการพัฒนานวัตกรรม ด้าน Digital Healthtech เช่น Application, Telemedicine และการบริการที่ตอบรับการดูแลผู้ป่วยกลุ่ม NCDs เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และเทรนด์การใช้ชีวิตของผู้สูงอายุ ล่าสุดได้ออกโปรแกรม Total Senior Solution เพื่อดูแลผู้สูงอายุแบบครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นบริการดูแลผู้สูงอายุถึงบ้าน โดยแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว การร่วมกับพฤกษาปรับฟังก์ชั่นบ้านให้เหมาะกับผู้สูงวัย การออกแบบให้มีทางลาดสำหรับรถเข็น การติดตั้งราวจับภายในบ้าน ที่นั่งอาบน้ำ พื้นกันกระแทก โดยเริ่มทำแล้วในโครงการของพฤกษา สำหรับความคืบหน้าโครงการ ViMUT Health Center ซึ่งเป็นโรงพยาบาลขนาด 50 เตียง ได้เริ่มดำเนินการแห่งแรกแล้ว ที่โครงการพฤกษา อเวนิว บางนา-วงแหวน จะเปิดให้บริการในเดือนสิงหาคม 2565 นอกจากนี้ ยังมีแผนที่พัฒนาศูนย์ดูแลผู้สูงอายุในโครงการคอนโดมิเนียมของพฤกษาทำเลในเมืองที่มีศักยภาพในอนาคตอีกด้วย สำหรับรายได้ของธุรกิจสุขภาพของพฤกษาปีนี้น่าจะมีรายได้ 700 ล้านบาท เติบโต 2-3 เท่าจากปีที่ผ่านมา  
แอสคอทท์ ทองหล่อ เซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ มาตรฐานโรงแรม 5 ดาว

แอสคอทท์ ทองหล่อ เซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ มาตรฐานโรงแรม 5 ดาว

แอสคอทท์ ทองหล่อ เซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ มาตรฐานโรงแรม 5 ดาว เปลี่ยนจากที่ต้องซื้อยู่เอง แล้วย้ายมาอยู่เซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ที่ดูแลเราแบบโรงแรม 5 ดาว ไม่ต้องดูแลรักษา ทำความสะอาดห้อง พร้อมมีการบริการ ที่เหมือนอยู่โรงแรมชั้นนำ โดยบริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)  เปิดตัวธุรกิจใหม่ บุกตลาด “Serviced Apartment” ร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำระดับโลก “The Ascott Limited” หรือ “Ascott” เตรียมเปิดตัว 4 โครงการใหม่ รวม 1,400 ยูนิต มูลค่าโครงการกว่า 1 หมื่นล้านบาท และโครงการที่พาเรามาเยี่ยมชมวันนี้ แอสคอทท์ ทองหล่อ   โครงการแอสคอทท์ ทองหล่อ บางกอก  โครงการความร่วมมือกับ แอสคอทท์ (Ascott) ซึ่งเป็นอันดับหนึ่งในผู้ประกอบการธุรกิจเซอร์วิสเรสซิเดนซ์ระดับลักชัวรี่ชั้นนำของโลก  มีมูลค่าโครงการ 1,035 ล้านบาทเป็นโครงการเซอร์วิสอพาร์ตเม้นท์บนถนนสุขุมวิท Ascott Thonglor Bangkok  ความสูง 41 ชั้น มีห้องพักทั้งหมด 451 ห้องพัก ตั้งแต่ห้องพักขนาดเริ่มต้นที่ 35 ตร.ม. ไปจนถึงห้องพักอาศัย 3 ห้องนอนขนาด 140 ตร.ม. ห้อง 35 ตรม.ให้ได้เลือกเข้าพักมากถึง 225 ห้อง ทุกห้อง มาพร้อมเฟอร์นิเจอร์พร้อมเข้าอยู่ได้เลย     รวมถึง พื้นที่ส่วนกลางที่ สระน้ำ ฟิตเนส โยคะสตูดิโอ เลานจ์ และห้องเล่นสำหรับเด็ก บาร์ริมสระ ห้องซาวน่า ห้องอบไอน้ำ และห้องอาหารที่เปิดให้บริการตลอดทั้งวัน  นอกจากนี้ยังมีระบบสาธารณูปโภคภายในโครงการ อาทิ ไฟฟ้า, น้ำประปา, โทรศัพท์, ระบบบำบัดน้ำเสีย และ ระบบป้องกันอัคคีภัย พร้อมระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง     อีกทั้งยังใกล้แหล่งไลฟ์สไตล์ และสถานที่สำคัญ รวมทั้งห้างสรรพสินค้าชั้นนำ เช่น เมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ เอกมัย, เอท ทองหล่อ, เอ็มโพเรี่ยม, เอ็มควอเทียร์, เจ อเวนิว ทองหล่อ และ โรงพยาบาลสุขุมวิท อีกด้วย โครงการตั้งอยู่ริมถนนใหญ่สุขุมวิทบริเวณปากซอยสุขุมวิท 59 ใกล้สถานีรถไฟฟ้า BTS ทองหล่อ เพียงแค่ 200 เมตร  650 เมตรถึงปากซอยเอกมัย Ascott Thonglor Bangkok  เหมาะมากกับทั้ง Expat และพนักงานทั่วไปที่ทำงานในย่านนี้   บทความน่าสนใจ Ideo Chula-Samyan ใกล้ MRT สามย่าน 400 เมตร รีวิวคอนโดใกล้บีทีเอสพระโขนง IDEO Sukhumvit-Rama 4      
เอสซี แอสเสท  ชู 3 ยุทธศาสตร์  ปั้นรายได้แสนล้าน  ประเดิมปี 65 ลุยเปิด 27 โปรเจ็กต์ใหม่

เอสซี แอสเสท ชู 3 ยุทธศาสตร์  ปั้นรายได้แสนล้าน ประเดิมปี 65 ลุยเปิด 27 โปรเจ็กต์ใหม่

เอสซี แอสเสท ลุยสร้างรายได้เติบโตต่อเนื่องรวมสี่ปีกว่า 100,000 ล้านบาท ด้วยโรดแมป  “SC Thriving for Good” กวาดรายได้ทั้งธุรกิจอสังหาฯ และมองหาโอกาสในธุรกิจใหม่ ขณะแผนปี 65 เตรียมปักหมุดโปรเจ็กต์ใหม่  27 โครงการ มูลค่า 40,000 ล้าน สูงสุดในประวัติศาสตร์บริษัท   นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จากัด (มหาชน) หรือ SC เปิดเผยถึงโรดแมปการดำเนินธุรกิจภายในระยะ 4 ปี (2565-2568) ภายใต้แนวคิด “SC Thriving for Good” เติบโต เชื่อมต่อ ยั่งยืน บนวิถีโลกใหม่ เป็นองค์กรที่สร้างคุณค่า เชื่อมต่อ solutions สู่ผู้คนและสิ่งแวดล้อม พร้อมสร้างรายได้เติบโตต่อเนื่อง 4 ปี รวมกว่า 100,000 ล้านบาท หลังจากในช่วงปี 2563-2564 เอสซี แอสเสทได้รอดผ่านวิกฤตที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดี​ เอสซี แอสเสท ชู 3 ยุทธศาสตร์สู่รายได้แสนล้าน ยุทธศาสตร์ 1: Thriving  “เติบโต บนสมรภูมิเดิม และน่านน้ำใหม่” เป้าหมายด้านการเติบโตของเอสซี แอสเสท คือ ทุกปีจะต้องสร้างรายได้เติบโตอย่างต่อเนื่องตลอด 4 ปี เพื่อให้มีรายได้รวม 100,000 ล้านบาท ซึ่งปีนี้เป็นปีแรกที่เอสซี แอสเสท ตั้งเป้าหมายว่าจะทำรายได้เกิน 20,000 ล้านบาท และในปี 2568 มีรายได้แตะ 30,000 ล้านบาท พร้อมกับการเป็นแบรนด์ที่ 1 ในใจของกลุ่มลูกค้าด้วย   โดยรายได้หลักจะมาจากธุรกิจพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยสัดส่วน 80% และธุรกิจใหม่ที่บริษัทกำลังจะขยายเพิ่มอีก 20% ซึ่งในส่วนของธุรกิจใหม่ จะเป็นการหาโอกาสจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะเป็น Work from Anywhere และ Home is everything ซึ่งคือการทำงานจากที่ใดก็ได้ และสามารถสร้างรายได้จากที่บ้านได้ ซึ่งธุรกิจใหม่ที่จะขยายไป ได้แก่ Workation Hotel การลงทุนในธุรกิจอพาร์ทเมนท์ในสหรัฐอเมริกา รวมถึงธุรกิจอื่น ๆ ที่เตรียมเปิดตัวในเร็ว ๆ นี้อีกด้วย เป้าหมายแนวราบสร้างรายได้ 20,000 ล้านบาท ในปี 2025 และเป็นแบรนด์บ้านเดี่ยวอันดับ 1 ในใจผู้คน แนวสูงจะเป็นแบรนด์คอนโดอันดับ 1 สำหรับคน Gen Y พร้อมกับเปิดโครงการใหม่รวม 20,000 ล้านบาท  ใน 4 ปี ยุทธศาสตร์ 2: Connecting  การ “เชื่อมต่อ ทุกสิ่งถึงกัน สร้างคุณค่าที่มากกว่า” กับ 3 การเชื่อมต่อที่สำคัญ ได้แก่ เชื่อมต่อที่ 1 ตั้งแต่ปี 2561 เอสซี แอสเสท ได้นำเทคโนโลยีเข้ามาเชื่อมต่อการพัฒนาคุณภาพสินค้าและบริการ โดยปีที่ผ่านมามีการพัฒนาให้บ้านของเอสซี แอสเสท มีความฉลาดขึ้นกับ “RueJai IOS” ซึ่งปีนี้จะพัฒนาให้ดีขึ้น ด้วยการติดตั้งลำโพงอัจฉริยะ เพื่อให้สามารถสั่งงานต่าง ๆ ภายในบ้านได้ด้วยเสียงด้วย นอกจากนี้ ยังได้ร่วมกับ กลุ่มเอสซีจีติดตั้งระบบ Active Airflow & Air Quality Control ที่เป็นระบบการทำงานอัตโนมัติ นำอากาศเสียออกจากตัวบ้าน รวมถึง การดักจับสัญญาณควัน และแจ้งเตือนไปยังรปภ. ขณะที่แอปพลิเคชั่น RueJai พัฒนาไปสู่เวอร์ชั่น 3.0 การติดตั้งจุดชาร์ตรถหลังานไฟฟ้า เชื่อมต่อที่ 2 การนำเทคโนโลยี Blockchain ภายใต้ชื่อ SC MORNING COIN ที่เชื่อมต่อกับหน่วยงานภายนอก ที่จะทำให้พนักงานในองค์กร ลูกค้า และพันธมิตรทางธุรกิจ ให้ได้รับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ การใช้เทคโนโลยี Blockchain ทำแล้วเราไม่ได้เปรีย แต่ถ้าเราไม่ทำเราจะเสียเปรียบเชื่อมต่อที่ 3 การสื่อสารภายใน ให้พนักงาน 1,200 คน ได้รับการติดต่อสื่อสารเชื่อมถึงกัน เพื่อการทำงานที่คล่องตัว และได้ทุกสถานการณ์ โดยจะใช้ดาต้าเป็นเครื่องมือสำคัญ ทั้งด้านการทำงานภายใน และการพัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์กับความต้องการของลูกค้า ​  ยุทธศาสตร์ 3: Sustaining “ยั่งยืน สร้างคุณค่า สู่ผู้คนและสิ่งแวดล้อม” กับ 3 คุณค่าที่สำคัญ ได้แก่ 1.การพัฒนาคุณภาพสินค้าให้มีมาตรฐาน 2.การส่งมอบคุณภาพชีวิตทั้งคู่ค้า และพนักงาน เพื่อให้เอสซี แอสเสท เป็นองค์กรธุรกิจอสังหาฯ ที่น่าทำงานอันดับ 1 และ 3.การสร้างคุณค่าสู่สิ่งแวดล้อม กับนโยบายการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gases) ลง 20% ภายในปี 2568 เอสซี แอสเสท แผนปี ​ 2022 เปิด 27 โปรเจ็กต์ ในปี 2565 เอสซี แอสเสท ตั้งเป้าหมายรายได้และยอดขาย 22,000 ล้านบาท โดยมีการเปิดโครงการใหม่สูงเป็นสถิติใหม่ 27 โครงการ มูลค่า 40,000 ล้านบาท  แบ่งเป็นแนวราบ 25 โครงการ มูลค่า 33,500 ล้านบาท ซึ่งมากกว่า 70%  เป็นบ้านเดี่ยวราคามากกว่า 10 ล้านบาท โดยมีโครงการบ้านเดี่ยวระดับ 50 ล้านบาทด้วยในปีนี้ ส่วนคอนโดวางแผนเปิด 2 โครงการใหม่ มูลค่า 6,500 ล้านบาท บนทำเลใกล้รถไฟฟ้า BTS 2 สถานี คือ วงเวียนใหญ่ และทองหล่อ ซึ่งจะมีการเปิดโครงการในทุกแบรนด์และทุกทำเลทั่วกรุงเทพฯ และมีแบรนด์คอนโดใหม่เพิ่มเข้ามา 2 แบรนด์ จับกลุ่มลูกค้า Gen Y แม้กลุ่ม Gen X จะมีกำลังซื้อมากสุด แต่ต่อไปดีมานด์มากที่สุด คือ เจนวาย เราตั้งใจว่า 4 ปี เปิด 20,000 ล้านบาท 10 โคงการ 10 ทำเล ตอนนี้เรามีที่ดินเกือบครึ่งในการพัฒนาแล้ว​ จากแผนการเปิดตัวในปีนี้ จะส่งผลให้กลุ่มแอสซี แอสเสท มีโครงการพัฒนาเพื่อขายรวมทั้งสิ้น 78 โครงการ มูลค่า 69,000 ล้านบาท มีสัดส่วนแนวราบ 70% และแนวสูง 30%  พร้อมเตรียมงบลงทุนที่ดินใหม่ในปีนี้ 11,500 ล้านบาท เพื่อรองรับการเติบโตอย่างต่อเนื่องไปถึงปี 2568 อสังหาฯ 65 ยังแข่งรุนแรง สำหรับแนวโน้มธุรกิจอสังหาฯ ในปีนี้ นายณัฐพงศ์ มองว่า ที่ผ่านมาภาพรวมธุรกิจได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และในปีนี้ผู้ประกอบการรายใหญ่จะลุยทำธุรกิจกันมากขึ้น ส่งผลให้การแข่งขันจะรุนแรง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่ สำหรับตลาดแนวราบยังมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง และน่าจะเติบโตได้ดีตามวิถีโลกใหม่  ซึ่งปีที่ผ่านมายอดขายบ้านเติบโตถึง 29% มีมูลค่ากว่า 120,000 ล้านบาท  แต่อาจจะมีความท้ายทายในเรื่องการก่อสร้าง ที่ขาดแคลนแรงงงานที่ผู้ประกอบการทุกรายต้องบริหารจัดการให้ดี   นายณัฐพงศ์ กล่าวอีกว่า ตลาดคอนโดปีนี้ไม่แย่กว่าปีที่แล้ว เพราะในภาวะที่เกิดโควิด-19 ตลาดก็ยังไปได้ดี มีการระบายสต็อกลงไปได้ส่วนหนึ่ง และปีนี้มีความหวังว่าต่างชาติมีโอกาสจะเข้ามาในช่วงครึ่งปีหลัง เพราะหลายประเทศเริ่มประกาศไม่ใส่หน้ากาก แต่ปีหน้าตลาดคอนโดดีขึ้นอย่างแน่นอน ตลาดแนวราบยังเติบโตอย่างน่าตื่นเต้น คนต้องการพื้นที่ จากเดิมอสังหาฯ เน้น โลเกชั่น โลเกชั่น โลเกชั่น แต่ปัจจุบันต้องการสเปซ สเปซ สเปซ ​สิ่งที่เราทำไปตอบโจทย์ความต้องการใหม่เหล่านี้ทันที ปัจจุบันบริษัทมีความพร้อม เนื่องจากมีสภาพคล่องสูง มีเงินสดและวงเงินพร้อมเบิกใช้กว่า 10,000 ล้านบาท และแม้ว่าที่ผ่านมาจะลงทุนจำนวนมาก แต่หนี้สินไม่ได้สูง ทำให้เมื่อเกิดอะไรขึ้นก็ตามบริษัทสามารถรับมือได้   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง เอสซี แอสเสท ลุย Q2 เปิดบ้านแนวราบ 1,145 ล้าน เดินหน้ารักษาแชมป์บ้านเดี่ยว ถอดกลยุทธ์ “เอสซี แอสเสท” ใช้ความยืดหยุ่น สร้างพอร์ตธุรกิจให้เติบโต พร้อมเพิ่มรายได้ประจำ    
ชีวาทัย  เดินแผนธุรกิจปี 65 สู่รายได้ 3,000 ล้าน  ปั้นโปรเจ็กต์ใหม่-ขยายสู่ธุรกิจขายบ้านมือสอง

ชีวาทัย เดินแผนธุรกิจปี 65 สู่รายได้ 3,000 ล้าน ปั้นโปรเจ็กต์ใหม่-ขยายสู่ธุรกิจขายบ้านมือสอง

ชีวาทัย เดินหน้าแผนธุรกิจปี 65 เตรียมเจรจาซื้อที่ดิน 6 แปลง ปั้นโครงการใหม่มูลค่า 5,000 ล้าน พร้อมวางเป้าทำรายได้ 2,800-3,000 ล้าน หลังตุน Backlog ในมือ 1,800 ล้าน ขณะเดียวกันมองหาโอกาสธุรกิจสร้างรายได้เพิ่ม และกระจายความเสี่ยง ประมูลทรัพย์มือสอง จากกรมบังคับคดี  รีโนเวทขายใหม่ทำกำไรขั้นต้น 30%   นายบุญ ชุน เกียรติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชีวาทัย จำกัด (มหาชน) หรือ CHEWA เปิดเผยว่า ภาพรวมของปี 2565 ยังเป็นปีที่มีความท้าทายในการดำเนินธุรกิจ จากผลกระทบ​การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด – 19 ที่รุนแรงและต่อเนื่องยาวนานตั้งแต่ปีที่ผ่ามา ส่งผลกระทบต่อทั้งประเทศ  นอกจากนี้ ยังมีปัญหากำลังซื้อของผู้บริโภค ที่ยังมีปัญหาหนี้ครัวเรือนที่สูง ทำให้ถึงแม้ว่ามีความต้องการซื้อบ้านและคอนโดมิเนียม แต่กำลังซื้ออาจจะมีไม่เพียงพอ รวมถึงยังต้องการสินค้าราคาถูก ทำให้ผู้ประกอบการต้องแข่งขันด้านราคาที่อยู่อาศัย เกิดเป็นสงครามราคา และภาวการณ์แข่งขันที่รุนแรง ซึ่งในบางทำเลก็อาจจะเกิดภาวะโอเว่อร์ซัพพลาย จากการเปิดตัวกันจำนวนมาก ในโครงการบ้านแนวราบ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีปัจจัยลบเกิดขึ้น แต่สัญญาณในเชิงบวกต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ก็ยังมีให้เห็น ไม่ว่าจะเป็น การปรับตัวเข้ากับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่มองว่าเป็นเรื่องปกติในชีวิต กลุ่มคนระดับกลางยังมีกำลังซื้อที่ดี และมีความต้องการซื้ออสังหาฯ ดอกเบี้ยธนาคารยังอยู่ในอัตราต่ำ ยังมีการทำงานจากที่บ้าน (Work from Home)  ทำให้เกิดความต้องการบ้านแนวราบ แนวโน้มกลุ่มลูกค้าต่างชาติจะกลับเข้ามาในประเทศเพิ่มขึ้น และแผนการพัฒนาโครงการของผู้ประกอบการจะมีเพิ่มมากขึ้น ชีวาทัย แผนปี 65 สร้างรายได้ 3,000 ล้าน สำหรับแผนธุรกิจปี 2565 เบื้อต้นบริษัทเปิดตัวโครงการใหม่ 1 โครงการ คือ โครงการชีวาทัย ฮอลล์มาร์ค ลาดพร้าว-โชคชัย 4 (เฟส2) จำนวน 380 ยูนิต มูลค่าโครงการ 994 ล้านบาท เป็นคอนโดมิเนียมโลวไรซ์ สไตล์ Loft ที่ตั้งอยู่บนทำเลย่านลาดพร้าว มีห้องให้เลือกตั้งแต่ 26.0-45.50 ตร.ม. ปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายและรับรู้รายได้ในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ โดยจะเปิดการขายในช่วงเดือนเมษายนนี้   นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาและศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดซื้อที่ดินจำนวน​ 6 แปลง เพื่อพัฒนาโครงการรวมมูลค่า 5,000 ล้านบาท เพื่อใช้ในการพัฒนาโครงการ  คอนโดโลว์ไรซ์ แบรนด์ชีวาทัย ฮอลล์มาร์ค  2-3 โครงการ มูลค่าประมาณ 2,800 ล้านบาท บ้านเดี่ยว แบรนด์ชีวารมย์ 2 โครงการ มูลค่า 1,500 ล้านบาท และทาวน์โฮม แบรนด์ชีวาโฮม 1 โครงการ มูลค่าประมาณ 700 ล้านบาท โดยหากการเจรจาซื้อที่ดินเป็นผลสำเร็จจะเปิดตัวภายในปีนี้ แต่หากไม่สำเร็จจะเปิดตัวในปีต่อไป   ส่วนเป้าหมายรายได้ปี 2565 คาดว่าจะทำได้ 2,800-3,000 ล้านบาท เนื่องจากปีนี้จะมี 2 โครงการใหม่มูลค่า 2,581 ล้านบาท ที่จะรับรู้รายได้ในปีนี้เป็นปีแรก ได้แก่ โครงการชีวาทัย  ฮอลล์มาร์ค ลาดพร้าว-โชคชัย 4 (เฟส2) มูลค่า 994 ล้านบาท และโครงการชีวาทัย ปิ่นเกล้า มีจำนวน 593 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,587 ล้านบาท   รวมถึงยังมีโครงการเดิมที่ยังมียอดขายรอรับรู้รายได้  (Backlog) ทยอยรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่องมูลค่า 1,800 ล้านบาท และคาดว่าปีนี้จะมีอัตรากำไรเติบโต 4-10% ซื้อบ้านมือ 2 รีโนเวทปั้นรายได้ 400 ล้าน ชีวาทัย มองหาโอกาสทางการตลาด และการลดความเสี่ยง จากการดำเนินธุรกิจพัฒนาโครงการบ้านและคอนโด ด้วยการขยายธุรกิจใหม่ CHEWA RENUE ซึ่งเป็นการซื้อทรัพย์มือ 2 ที่กรมบังคับคดี เพื่อนำมารีโนเวทใหม่ และนำออกขาย นายบุญ กล่าวว่า ธุรกิจนี้มีความน่าสนใจ เพราะหลายทำเลไม่สามารถหาซื้อที่ดินมาพัฒนาโครงการได้แล้ว และถึงแม้หาซื้อได้ก็จะมีราคาแพง ทำให้พัฒนาโครงการออกมาแล้วราคาบ้านจะสูง ซึ่งการขยายมาธุรกิจดังกล่าว จะช่วยการกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ เพิ่มรายได้ให้กับบริษัท และยังเป็นทางเลือกให้กับกลุ่มลูกค้าที่สามารถเลือกซื้อที่อยู่อาศัยในทำเลที่ดีได้ โดยบริษัทคาดว่าจะสามารถทำรายได้จากธุรกิจดังกล่าวมูลค่า 400 ล้านบาท ภายในระยะ 3 ปีนับจากนี้ หลายโครงการอยู่ในทำเลที่ดี แต่ลูกค้ามีปัญหาการเงิน ทำให้บ้านถูกยึด เราไปประมูลแล้วนำมารีโนเวทขาย ซึ่งลูกค้าหลายคนก็ไม่มายด์ที่จะซื้อบ้านมือ 2 สำหรับทรัพย์ที่จะประมูลจากกรมบังคับคดี จะมีทั้งในส่วนของบ้านเดี่ยว และคอนโด โดยราคาคอนโดจะอยู่ประมาณ 2-3 ล้านบาท บ้านเดี่ยวระดับราคา 4-5 ล้านบาท ซึ่งหากการประมูลไม่มีคู่แข่งจะได้ราคาลดลงมาถึง 50% เมื่อบริษัทซื้อมาจะใช้ระยะเวลาประมาณ รีโนเวท กำไรขั้นต้น 30% กำไรสุทธิ 20%   ข่าวที่เกี่ยวข้อง ชีวาทัย เดินหน้าระบาสสต็อก ตุนเงินสดสร้างรายได้​ 2,500 ล้าน
อัพเดทดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ สินเชื่อกู้ซื้อบ้าน เดือนกุมภาพันธ์ 2565 แบงก์ไหนให้ดอกเบี้ยถูกสุด

อัพเดทดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ สินเชื่อกู้ซื้อบ้าน เดือนกุมภาพันธ์ 2565 แบงก์ไหนให้ดอกเบี้ยถูกสุด

อัพเดทดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ ถือว่าปี 2565 เป็นช่วงจังหวะที่ดี สำหรับกลุ่มคนที่มีความพร้อมทั้งด้านการเงินและการงาน ในการจะเลือกซื้อบ้านหรือคอนโดมาไว้ครอบครอง แม้ว่าภาวะการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะยังคงมีอยู่ แต่เชื่อว่าจะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะปัจจัยสนับสนุนมีหลายอย่าง หนึ่งในปัจจัยสำคัญ คือ อัตราดอกเบี้ยการกู้ซื้อบ้าน ยังอยู่ในอัตราที่ไม่สูง แม้ว่าราคาวัสดุก่อสร้าง และต้นทุนอื่น ๆ จะเริ่มขยับเพิ่มขึ้นแล้วก็ตาม   นอกจาก อัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน จะยังอยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำแล้ว อัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้าน และคอนโด ก็อยู่ในทิศทางเดียวกัน โดยนับตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้วมาจนถึงปัจจุบัน อัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้าน และคอนโด แทบไม่ได้ขยับเพิ่มขึ้นเลย จึงถือเป็นโอกาสดีสำหรับผู้ที่ซื้อบ้านมาแล้วครบกำหนดระยะเวลา 3 ปี และสามารถที่จะลองหาอัตราดอกเบี้ยที่ถูกกว่าเดิม เพื่อลดภาระค่าผ่อนชำระ และบางส่วนอาจจะสามารถกู้เงินเพิ่มมาใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็นได้อีกด้วย  ลองมาดูกันว่าอัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้าน และคอนโด ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2565 แต่ละธนาคารมีเท่าไรกันบ้าง มาอัพเดทกันดู อัพเดทดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ บ้านและคอนโด 1.ธนาคารกรุงเทพ สำหรับการธนาคารกรุงเทพ  มีสินเชื่อบ้านบัวหลวง ที่ให้บริการรีไฟแนนซ์บ้าน  กรณีหลักทรัพย์เป็นที่อยู่อาศัยทั่วไป เฉพาะวงเงินอนุมัติตั้งแต่ 2 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งอัตราดอกเบี้ยของเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ​นี้  ไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา โดยมีอัตราดอกเบี้ยให้เลือกด้วยกัน 3 ทางเลือก  ได้แก่ ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 กรณีทำประกัน Home 1st Plus ดอกเบี้ย 2.00% กรณีไม่ทำประกัน  อัตราดอกเบี้ย 2.25% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 2.95% (MRR-3.00%) หลังจากนั้น 4.45% ​(MRR-1.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.13-3.22% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 3.66-3.72% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 กรณีทำประกัน Home 1st Plus ดอกเบี้ย 2.325% (MRR-3.625%)  กรณีไม่ทำประกัน ดอกเบี้ย 2.575% (MRR-3.375%) ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 2.575% (MRR-3.375%) หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย  4.45% (MRR-1.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.12-3.20% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 3.66-3.72% ทางเลือกที่ 3 ฟรีค่าจดจำนอง ปีที่ 1 กรณีทำประกัน Home 1st Plus ดอกเบี้ย 2.825% (MRR-3.125%) กรณีไม่ทำประกัน ดอกเบี้ย  3.075% (MRR-2.875%) ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 3.075% (MRR-2.875%) หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย 4.45%  (MRR-1.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.45-3.53% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 3.86-3.92% หมายเหตุ -MRR = 5.95% ประกาศ ณ วันที่ 17 มิ.ย. 64 -วงเงินกู้สูงสุด เท่ากับ 100% ภาระหนี้คงค้าง และไม่เกินอัตราส่วนสินเชื่อสูงสุดตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย -ระยะเวลากู้สูงสุด 30 ปี (เฉพาะพนักงานประจำสูงสุด 35 ปี) รวมอายุผู้กู้สูงสุด 65 ปี -ค่าธรรมเนียม คิดค่าสำรวจและประเมินหลักประกัน 3,210 บาท (ธนาคารจะคืนค่าสำรวจและค่าประเมินหลักประกันหลังจากลูกค้าได้รับอนุมัติและเบิกใช้สินเชื่อแล้ว) -อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปี ตลาดอายุสัญญาวงเงินกู้ 2 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี -รายละเอียดและเงื่อนไขอื่น โปรดสอบถามจากธนาคาร -กรณีแสดงวัตถุประสงค์ เช่น เพื่อการต่อเติม/ซ่อมแซม/ตกแต่งที่พักอาศัย ซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ ค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา หรือการจัดหาสินค้าหรือบริการเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนตัว เป็นต้น​ -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับผู้ที่ยื่นคำขอสินเชื่อพร้อมเอกสารครบถ้วน ตั้งแต่วันที่ 5 ม.ค. 65 - 31 ม.ค. 65 โดยผู้กู้ต้องลงนามในสัญญากู้ภายใน 1 เดือน นับแต่วันที่อนุมัติสินเชื่อและจดจำนองภายใน 2 เดือนนับแต่วันที่ ลงนามในสัญญากู้ -อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบัน ตามประกาศของธนาคาร ณ วันที่ 17 มิ.ย. 64 เท่ากับ 5.95% ต่อปี -อัตราดอกเบี้ย กรณีฟรีค่าธรรมเนียมจดจำนอง หากลูกค้ายกเลิก และไถ่ถอนหลักประกัน ก่อนระยะเวลา 3 ปี ไม่ว่ากรณีชำระหนี้ด้วยเงินสด หรือ รีไฟแนนซ์ธนาคารจะเรียกคืนค่าธรรมเนียมจดจำนองจากผู้กู้ -ธนาคารจะโอนเงินคืนค่าสำรวจและประเมินหลักประกันเข้าบัญชีเงินฝากสะสมทรัพย์ที่ลูกค้า ใช้หักชำระค่างวดกับธนาคารภายใน 60 วัน หลังจากลูกค้าได้รับอนุมัติและเบิกใช้สินเชื่อกับธนาคารแล้ว พิเศษ รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ยพิเศษปีแรก 0.25% เพียงสมัครสินเชื่อบ้านบัวหลวงพร้อมประกันชีวิตคุ้มครองเครดิต โฮมเฟิสต์ พลัส (ฉบับปรับปรุง) -กรณีจำนวนเงินเอาประกันภัยเต็มวงเงินกู้ และระยะเวลาเอาประกันภัยขั้นต่ำ 10 ปี หรือเท่ากับระยะเวลาในสัญญากู้ -กรณีจำนวนเงินเอาประกันภัยอย่างน้อย 70% ของวงเงินกู้ และระยะเวลาเอาประกันภัยอย่างน้อย 70% ของระยะเวลาในสัญญากู้ (เฉพาะลูกค้าที่ทำสัญญากู้ตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป) 2.ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงไทย มีสินเชื่อรีไฟแนนซ์บ้าน ซึ่งอัตราดอกเบี้ยเดือนกุมภาพันธ์ มีการคิดอัตราดอกเบี้ย  ดังนี้ ดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้าน กรณีฟรีค่าธรรมเนียมยื่นกู้ แบบคงที่ ทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 0.75% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.60% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.50% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี  =2.70% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.01% แบบคงที่ ไม่ทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 1.0% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.55% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.25% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี  =2.80% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.05% แบบลอยตัว ทำประกัน   ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.55% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี  =2.67% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.03% แบบลอยตัว ไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.45% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี  =2.77% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.06% ดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้าน กรณีธนาคารออกค่าจดจำนองให้ และฟรีค่าธรรมเนียมยื่นกู้ แบบคงที่ ทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 0.75% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.10% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.00% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี  =3.03% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.12% แบบคงที่ ไม่ทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 1.0% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.05% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.00% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี  =3.13% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.16% แบบลอยตัว ทำประกัน   ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.20% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี  =3.02% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.15% แบบลอยตัว ไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.10% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี  =3.12% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.19% หมายเหตุ การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ* : ทำประกันทางเลือกใด ทางเลือกหนึ่ง ดังนี้ 1.ทำ MRTA/GLT SP เต็มวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 10 ปี 2.ทำ MRTA/GLT SP 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลากู้ 3.ทำ MRTA/GLT SP 70% ของวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 15 ปี ทั้งนี้ การทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อเป็นไปตามความสมัครใจของลูกค้า และไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ ***อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (EIR) คำนวณจากวงเงินกู้ 1.00 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี ผ่อนชำระ 6,500 บาท/เดือน เงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด การพิจารณาสินเชื่ออยู่ภายใต้ดุลยพินิจของธนาคาร ยื่นสมัครสินเชื่อ ภายในวันที่ 31 มีนาคม 2565 MRR = 6.22% ต่อปี (ณ 1 เม.ย. 2564) 3.ธนาคารกรุงศรี ธนาคารกรุงศรี มีแคมเปญการให้บริการสินเชื่อรีไฟแนนซ์กับลูกค้า คือ  ฟรี ค่าประเมินหลักทรัพย์ ฟรี ค่าจดจำนอง ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 31 มี.ค. 65 โดยอัตราดอกเบี้ย ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา ซึ่งคิดดอกเบี้ยตามรายละเอียด ดังนี้​ สำหรับวงเงินตั้งแต่ 1 -1.5 ล้านบาท ทางเลือก 1 ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 2.90% ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย MRR-3.15% หลังจากนั้น MRR-1.50% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 2.90% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.65% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0.75% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 4.20% ปีที่ 3 ดอกเบี้ย MRR-1.85% หลังจากนั้น MRR-1.50% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.05% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.66% ทางเลือกที่ 3* ฟรีค่าจดจำนอง ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0.50% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 4.70% ปีที่ 3 ดอกเบี้ย MRR-1.35% หลังจากนั้น MRR-1.50% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.30% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.78% สำหรับวงเงินตั้งแต่ 1.5 ล้านบาทขึ้นไป ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.75% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย MRR-3.85% ปีที่ 3 ดอกเบี้ย MRR-1.75% = 4.3% หลังจากนั้น MRR-1.75% = 4.3% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 2.75% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.40% ทางเลือก 2 ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย 3.0% หลังจากนั้น MRR-1.75% =4.3% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.0% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.60% ทางเลือก 3 ปีที่ 1-3  ดอกเบี้ย MRR-2.70% = 3.35% หลังจากนั้น MRR-2.70% = 3.35% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.35% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.35% ทางเลือก 4* ฟรีค่าจดจำนอง ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย 3.25% หลังจากนั้น MRR-1.75% = 4.3% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.25% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.74% ทางเลือกที่ 5 ฟรีค่าจดจำนอง ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 0.50% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.25% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.05% หลังจากนั้น MRR-1.75%= 4.3% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3.25% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.61%   หมายเหตุ -สินเชื่อฟรีค่าจดจำนอง เฉพาะลูกค้าที่ซื้อ MRTA/MLTA ตามเงื่อนไขที่กำหนดเท่านั้น จึงจะสามารถเลือกรับดอกเบี้ยทางเลือกฟรีค่าจดจำนองได้โปรดอ้างอิงตาม Product Catalog_ประกัน (สาขากลาง) / Product Catalog_ประกัน(สาขาภูมิภาค) และ ใบข้อเสนอ (QE) -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงการแสดงตัวอย่าง โดยคำนวณจากฐานวงเงินกู้ 1.5 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 1 ล้านบาทแต่ไม่ถึง 1.5 ล้านบาท และฐานวงเงินกู้ 3 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 1.5 ล้านบาทขึ้นไป ด้วยระยะเวลาการกู้ 10 ปี ในกรณีที่ลูกค้าซื้อ MRTA/MLTA หาก ค่าเบี้ย MRTA/MLTA เปลี่ยนแปลง อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอาจเปลี่ยนแปลงได้ เงื่อนไขการรับสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าที่ซื้อประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ (MRTA/MLTA) -กรณีลูกค้าเลือกรับอัตราดอกเบี้ยทางเลือกที่ 3 (วงเงินกู้อนุมัติตั้งแต่ 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 1.5 ล้านบาท) หรือทางเลือกที่ 4 (วงเงินกู้อนุมัติตั้งแต่ 1.5 ล้านบาทขึ้นไป) ฟรีค่าจดจำนองตามเงื่อนไขที่กำหนด -กรณีลูกค้าเลือกรับอัตราดอกเบี้ยทางเลือกที่ 1-2 (วงเงินกู้อนุมัติตั้งแต่ 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 1.5 ล้านบาท) หรือทางเลือกที่ 1-3(วงเงินกู้อนุมัติตั้งแต่ 1.5 ล้านบาทขึ้นไป) หรือทางเลือกที่ 5(วงเงินกู้อนุมัติตั้งแต่ 3 ล้านบาทขึ้นไป) รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ต่อปีเฉพาะในปีที่ 1 ทั้ง 2 กรณีลูกค้าต้องซื้อ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการตามเงื่อนไขดังนี้ 1.ผลิตภัณฑ์​MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการได้แก่ MRTA : แผนกรุงศรี เซฟตี้โลน 1 พลัส หรือกรุงศรี เซฟตี้โลน 1 หรือ กรุงศรีเซฟตี้โลน 2 MLTA : กรุงศรีรักบ้าน รักคุณ หรือกรุงศรีรักบ้าน รักคุณ พลัส เท่านั้น 2.กรณีผู้กู้หลักเป็นพนักงานเงินเดือนที่มีรายได้ประจำ ต้องซื้อ MRTA/MLTA 100% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี หรือซื้ออย่างน้อย 70% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 20 ปี 3.กรณีผู้กู้หลักเป็นผู้ประกอบธุรกิจส่วนตัว ต้องซื้อ MRTA/MLTA อย่างน้อย 80% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 10 ปี หรืออย่างน้อย 50% ของวงเงินกุ้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี 4.กรณีมีผู้กู้ร่วม สามารถซื้อ MRTA/MLTA เฉพาะผู้กู้หลักคนเดียวได้ หรือหากผู้กู้ร่วมประสงค์ที่จะซื้อ MRTA/MLTA ด้วย ผู้กู้หลักและผู้กู้ร่วมทุกคนจะต้องมีทุนประกันขั้นต่ำในสัดส่วนที่เท่ากัน -MRR =6.05% (ณ 21 พ.ค.63) -ยื่นขอสินเชื่อตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-30 เม.ย.65 และจดจำนอง และเบิกเงินกู้ภายในวันที่ 31 พ.ค. 65 -ธนาคารสงวนสิทธิ์เรียกเก็บค่าเบี้ยปรับกรณีปิดภาระหนี้ก่อนกำหนด (กรณีที่ลูกค้ารีไฟแนนซ์ไปสถาบันการเงินอื่นภายใน 3 ปีแรกนับจากวันทำสัญญา) -รายละเอียดและเงื่อนไขเพิ่มเติม สอบถามได้จากธนาคาร​ 4.ธนาคารกสิกรไทย อัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้านของธนาคารกสิกรไทย ในเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา  โดยธนาคารกสิกรไทยมีบริการสินเชื่อบ้านรีไฟแนนซ์ ดังนี้ ปีที่ 1 MRR = 5.97% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.97% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.97% หมายเหตุ -MRR = 5.97% ( ณ วันที่ 22 พ.ค.63) -สำหรับผู้ที่ยื่นกู้สินเชื่อบ้านตั้งแต่ 1 ม.ค.- 31 มี.ค.65 5.ธนาคารเกียรตินาคิน ธนาคารเกียรตินาคิน มีแคมเปญ KKP Home Loan Refinance สำหรับลูกค้าบ้านรีไฟแนนซ์ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ในอัตราที่ไม่เปลี่ยนแปลงจากช่วงเดือนที่ผ่านมา ดังนี้ ทางเลือก ดอกเบี้ยคงที่ 2 ปี แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย 2.59% ปีต่อไป MLR-1.75% = 4.775% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย 2.79% ปีต่อไป MLR-1.75% = 4.775% ทางเลือก ดอกเบี้ยแบบลอยตัว แบบทำประกัน ปีที่ 1-3  ดอกเบี้ย 2.79% ปีต่อไป MLR-1.75% = 4.775% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3  ดอกเบี้ย 2.99% ปีต่อไป MLR-1.75% หมายเหตุ 1.อัตราดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับปัจจัยอ้างอิง​ เช่น อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดีประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา​ (MLR) ซึ่งธนาคารจะแจ้งให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว โดยจะประกาศไว้​ ณ สถานที่ทำการให้บริการและเว็บไซต์ของธนาคาร 2.MLR ณ วันที 18 สิงหาคม​ 2563 เท่ากับ 6.525% ตอ่ ปี 3.เลือก​ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ (MRTA)​ ผ่านธนาคาร ทุนประกันภัยเท่ากับวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาเอาประกันภัยขั้นต่ำ 1​​0 ปี กรณีที่ระยะเวลาการกู้ไม่ถึง 10 ปีให้ระยะเวลาเอาประกันภัยเท่ากับระยะเวลาการกู้ 4.กรณี Refinance ไปสถาบันการเงินอื่นก่อนครบ​ 3 ปีแรก คิดค่า Prepayment Penalty 3% ของเงินต้นคงค้าง​ 5.กรณีเลือกใช้เงื่อนไขอัตราดอกเบี้ยแบบฟรีค่าจดจำนอง หากลูกค้า​ Re-Finance หรือชำระปิดบัญชีก่อนระยะเวลาที่กำหนดไว้ทุกกรณี ลูกค้าต้องชำระคืนค่าจดจำนองที่ธนาคารเคยสำรองจ่ายให้ แก่ธนาคาร​ 6.ค่าประเมินหลักประกันเริ่มต้น​ 3,210 บาท ค่าอากรแสตมป์ ร้อยละ​ 0.05 ของวงเงินกู้ (สูงสุดไม่เกิน​ 10,000 บาท) 7.ค่าธรรมเนียมติดตามทวงถามหนี้ : ค้างชำระ 1 งวด 50 บาท/รอบการทวงถามหนี้ ค้างชำระมากกว่า 1 งวด 100 บาท/รอบการทวงถามหนี้ 8.เบี้ยประกันอัคคีภัย เป็นไปตามที่บริษัทประกันภัยกำหนด โดยผู้กู้สามารถเลือกทำประกันภัยกับบริษัทที่น่าเชื่อถือใดก็ได้ 6.ธนาคารซีไอเอ็มบี ธนาคารซีไอเอ็มบี มีสินเชื่อรีไฟแนนซ์ ที่ให้อัตราดอกเบี้ยเท่ากับช่วงเดือนที่ผ่านมา โดยประเภทสินเชื่อรีไฟแนนซ์ และขอวงเงินเพิ่ม (กรณีไม่ขอวงเงินเพิ่มมีอัตราดอกเบี้ยเฉพาะสอบถามได้จากทางธนาคาร) มีอัตราการคิดดอกเบี้ย ดังนี้ สำหรับพนักงานประจำ รายได้ 30,000 บาทขึ้นไป แบบทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  (MRR-3.66%) = 3.69% ระยะเวลาที่เหลือ ดอกเบี้ย (MRR-2.00%) =5.35% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.69% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.93% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย   (MRR-3.36%) = 3.99% หลังจากนั้น (MRR-2.00%) = 5.35% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.99% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.01% สำหรับพนักงานเงินเดือน 15,000 บาท หรือเจ้าของกิจการรายได้ 30,000 บาท ขึ้นไป ทางเลือก 2 แบบทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย MRR-3.36% = 3.99% ระยะเวลาที่เหลือ ดอกเบี้ย MRR-2.00% = 5.35% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.99% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.01% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย MRR-3.06% = 4.29% ระยะเวลาที่เหลือ ดอกเบี้ย MRR-2.00% = 5.35% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.29% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.08% หมายเหตุ อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินกู้ 2 ล้านบาท ระยะเวลากู้ 15 ปี (MRR=7.35% ประกาศ ณ วันที่ 10 เมษายน 2563) กรณีไม่ขอวงเงินเพิ่ม สอบถามรายละเอียดกับทางธนาคารโดยตรง 7.ธนาคารทีทีบี ธนาคารทีทีบีมีแคมเปญสินเชื่อบ้านรีไฟแนนซ์ ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงอัตราการคิดดอกเบี้ย สำหรับเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ​ดังนี้ สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ทางเลือก 1 ปีที่ 1-3 คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-3.53% =2.75% หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย (MRR-1.63%)=4.65% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.75% ดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.02% ทางเลือก 2 (ฟรีค่าจดจำนอง) ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.18%=3.1% หลังจากนั้น (MRR-1.63%)= 4.65% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี อัตรา 3.10% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.14% ทางเลือก 3 (สมัครผลิตภัณฑ์ไม่ครบทั้ง 3 ประเภท) ปีที่ 1-3 คิดอัตราดอกเบี้ย (MRR-2.74%) = 3.54% หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีดอกเบี้ย 3.54% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.29% สมัครผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ได้แก่ 1.สมัครประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อบ้าน สไมล์ โฮม หรือ สไมล์ โฮม พลัส 2.สมัครใช้บริการ หักบัญชีอัตโนมัติผ่านบัญชีออมทรัพย์ทีทีบีเพื่อผ่อนช าระสินเชื่อบ้าน 3.สมัครบัตรเดบิต ทีทีบี (กรณีที่มีบัตรเดบิต ทีทีบีแล้ว ไม่ต้องสมัครเพิ่ม) ช่วยคุณประหยัดดอกเบี้ยได้มากขึ้น ผ่อนต่อเดือนน้อยลง และเป็นเจ้าของบ้านได้เร็วขึ้น เมื่อรีไฟแนนซ์บ้านกับทีทีบี รับข้อเสนอพิเศษ ด้วยอัตราดอกเบี้ยให้เลือก 2 แบบ ดังนี้ แบบที่ 1 สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท  รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษ นาน 3 ปี  ฟรี! ค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย มูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท  ฟรี! ค่าจดทะเบียนจำนอง มูลค่า 1% ของเงินกู้สูงสุด 200,000 บาท  ฟรี! ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรมจำนอง แบบที่ 2 สมัครผลิตภัณฑ์เสริมไม่ครบทั้ง 3 ประเภท ฟรี! ค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย มูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท ฟรี! ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรมจำนอง หมายเหตุ : -อัตราดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมรวมถึงสิทธิพิเศษต่าง ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร -MRR (Minimum Retail Rate: อัตราดอกเบี้ย ลูกค้ารายย่อยชั้นดี) = 6.28% ต่อปี ณ วันที่ 7 พ.ค. 2564 -การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อบ้าน (MRTA) ไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ ทำเพื่อประโยชน์หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นกับผู้กู้ในขณะที่ยังชำระหนี้ไม่ครบถ้วน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของผู้กู้และธนาคาร และไม่มีผลต่อการ พิจารณาสินเชื่อ -สำหรับลูกค้าที่ยื่นที่ยื่นกู้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.​-30 มิ.ย. 65 และจดจำนองภายในวันที่ 31 ก.ค. 65 8.ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ มีสินเชื่อทั่วไปที่รีไฟแนนซ์จากสถาบันการเงินอื่น โดยเดือนกุมภาพันธ์ 2565  ​ยังคงอัตราดอกเบี้ยเท่ากับเดือนที่ผ่านมา ดังนี้ แบบไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.15% ปีต่อไป MRR-0.72%= 5.275% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.15% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.242% แบบทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ มากกว่าหรือเท่ากับ 70% ของวงเงินกู้ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.90% ปีต่อไป MRR-0.72% = 5.275% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.90% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.174% หมายเหตุ -กรณีใช้ดอกเบี้ย​แบบทำประกัน​ Credit Life 70% กำหนดให้ทำทุนประกันไม่น้อยกว่า 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลาเอาประกัน 70% ของระยะเวลากู้ตามสัญญา โดยกำหนดให้เอาระยะเวลาขั้นต่ำ 10 ปี (กรณีระยะเวลากู้ตามสัญญาต่ำ​10 ปี กำหนดให้ระยะเวลาเอาประกันเท่ากับระยะเวลากู้ตามสัญญา) ​-ประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ รับประกันภัยโดย บมจ. ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต บริษัทนเครือกลุ่มเอฟดับบลิวดี หากต้องการสอบถามรายละเอียด เกี่ยวกับการประกันภัยเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ ศูนย์บริการลูกค้า โท​ร.1315 ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.00 – 20.00 น. -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจรายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข ​​ก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุก​ ธนาคารเป็นเพียงนายหน้าผู้ชี้ช่อง หรือจัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันภัยเท่านั้น ​การพิจารณารับประกัน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการรับประกันภัย ของบริษัทประกันภัย -อัตราดอกเบี้ย MRR ของธนาคารไทยพาณิชย์ เท่ากับ 5.995% ต่อปี ​(ประกาศ ณ วันที่ 9 ส.ค.2564) ซึ่งอาจะเปลี่ยนแปลงได้ตามประกาศธนาคาร -อัตราดอกเบี้ยแท้จริงที่ระบุในตารางเป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในฉบับนี้เท่านั้น ​ซึ่งอาจะมีความแตกต่างกัน ตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีลูกค้าบอกเลือกประกันชีวิต หรือขอเวนคืนกรมธรรม์ หรือทำประกันไม่ครบกำหนดตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ​ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยวงเงินกู้ เป็นอัตราดอกเบี้ยทั่วไป  ตามประกาศธนาคาร ระยะเวลากู้ตามสัญญา วงเงิน ระยเวลาผ่อนชำระ อัตราดอกเบี้ย คุณสมบัติ เอกสารปรกอบการพิจารณา และการอนุมัติเป็นไปตามเงื่อนไข หลักเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด 9.ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สำหรับธนาคารอาคารสงเคราะห์ หรือ ธอส. ถือว่าเป็นธนาคารสำหรับการให้สินเชื่อเพื่อซื้อบ้านและคอนโด รวมถึงสินเชื่ออื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องโดยตรง มีสินเชื่อให้เลือกมากมายหลายประเภท สำหรับการรีไฟแนนซ์บ้านจากสถาบันการเงินอื่นก็เช่นกันมีหลากหลายประเภท โดยในส่วนสินเชื่อบ้านสุขสันต์ เพื่อให้ลูกค้าใช้บริการรีไฟแนนซ์  โดยอัตราดอกเบี้ยสำหรับเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า ​​โดยมีรายละเอียดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ แบบที่ 1 สำหรับกลุ่มลูกค้าสวัสดิการ ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 1.99% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.16%= 2.99% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.65%=3.5% หลังจากนั้น ดอกเบี้ย MRR-1.0%= 5.15% แบบที่ 2 สำหรับกลุ่มลูกค้ารายย่อย ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.09% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย  MRR-3.06%= 3.09% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-2.55%=3.6% หลังจากนั้น ดอกเบี้ย MRR-0.5%=5.65%   หมายเหตุ -นิยามคำว่า “อาคาร” หมายถึง บ้านเดี่ยว บ้านแฝดทาวน์เฮ้าส์ และอาคารพาณิชย์เพื่อที่อยู่อาศัย ยกเว้นแฟลต และบ้านเช่า -ยกเว้น ค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ร้อยละ 0.1 ของวงเงินทำนิติกรรม -ยื่นคำขอกู้และอนุมัติตั้งแต่วันที่ 4 ม.ค.-30 ธ.ค.​65 อนุมัติและทำนิติกรรมภายใน​ 30 ธ.ค.​​ 65 (ทั้งนี้ธนาคารสงวนสิทธิ์ในการกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดโครงการก่อนกำหนด หากธนาคารให้สินเชื่อเต็มวงเงินของโครงการแล้ว) -MRR = 6.15% ประกาศ ณ วันที่ 25 พ.ค. 64 10.ธนาคารยูโอบี สำหรับธนาคารยูโอบี มีแคมเปญสินเชื่อบ้านรีไฟแนนซ์ UOB Home Loan - รีไฟแนนซ์ ​วงเงินกู้เพิ่มอเนกประสงค์ (ส่วนสินเชื่อประเภทรีไฟแนนซ์ไม่รวมวงเงินกู้เพิ่มอเนกประสงค์ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมกับทางธนาคาร​)  ซึ่งอัตราดอกเบี้ยในเดือนกุมภาพันธ์ 65 ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า​ รายละเอียดดังนี้ ทางเลือก 1 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.89% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย (MRR-4.46%)= 2.89% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.89% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.60% ทางเลือกที่ 2 ไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.99% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย (MRR-4.36%) = 2.99% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.99% ลดลง อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.64% ทางเลือก 3 แบบทำประกัน ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 1.99% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย (MRR-2.36%) = 4.99% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.99% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.60% ทางเลือก 4 แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.09% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย (MRR-2.26%) = 5.09% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.09% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.64% หมายเหตุ 1.อัตราดอกเบี้ยแบบทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ​ (MRTA) ผ่านธนาคารยูโอบี -ทุนประกันเต็มวงเงินกู้และมีระยะเวลาเอาประกันขั้นต่ำ ​10 ปีหรือ​ -ทุนประกันขั้นต่ำ ​80% ของวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันเต็มระยะเวลากู้​ 2.อัตราดอกเบี้ย สำหรับสินเชื่อรีไฟแนนซ์วงเงิน​ 1 ล้านบาทอายุสัญญา​ 15 ปี MRR = 7.35% ต่อปีอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้สำหรับโฆษณาเท่านั้น อัตราดอกเบี้ยสำหรับทำสัญญากู้ยืม​ของลูกค้าแต่ละรายอาจมีความแตกต่างตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย​ 3.อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับวงเงินเพิ่มไม่เกิน​ 50% ของวงเงินกู้รวมทั้ง ทั้งนี้ไม่นับรวมวงเงินกู้สินเชื่ออื่นเพื่อชำระค่าเบี้ย​ประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินชื่อ ​ (MRTA) วงเงินกู้รีไฟแนนซ์สูงสุด รวมส่วนกู้เพิ่มต้องไม่เกิน 95% ของราคาประเมิน ขึ้นอยู่กับรายได้ ประเภทของลูกค้า / ประเภทและที่ตั้งของหลักประกัน/ ราคาหลักประกัน / จำนวนสัญญากู้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของลูกค้า วงเงินกู้รีไฟแนนซ์อนุมัติ รวมส่วนกู้เพิ่มต้องไม่เกินวงเงินกู้รีไฟแนนซ์ 4.กรณีกู้โดยไม่รวมวงเงินกู้เพิ่มอเนกประสงค์และรายละเอียดเพิ่มเติมกรุณาติดต่อธนาคารโดยตรง 5.สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อตั้งแต่ ​1 ม.ค.​- 31 มี.ค.​ 65 และจดจำนองหลักประกันกับธนาคารภายในวันที่ 29 เม.ย. 65 11.ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีแคมเปญสินเชื่อรีไฟแนนซ์ บ้านและคอนโด ดอกเบี้ยต่ำ เพียง 0.59% ต่อปี ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา โดยคิดดอกเบี้ยดังนี้ แบบที่ 1 สำหรับผู้กู้รายได้ตั้งแต่ 75,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 0.59% ต่อปี แบบที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย MRR-6.76% = 0.59% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.37% = 3.98% ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.85% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.67% แบบที่ 2 ปีที่ 1 ดอกเบี้ยคงที่ 0.79% หรือ ผ่อนล้านละ 3,5000 บาท ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ยคงที่ MRR-3.32% = 4.03% ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.95% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.74% แบบที่ 3 ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย MRR-5.35%=2.00% ปีที่ 3 MRR-3.55%=3.80% ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.60% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.57% แบบที่ 4 ปีที่ 1-2 ดอกเบี้ยคงที่ 2.10% หรือ ผ่อนต่ำล้านละ 3,500 บาท ปีที่ 3 ดอกเบี้ย MRR-3.45% = 3.90% ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.70% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.64% แบบที่ 5 ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย MRR-4.75% = 2.60% ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.60% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.63% แบบที่ 6 ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ยคงที่ 2.80% หรือ ผ่อนล้านละ 3,500 บาท ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.80% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.76% แบบที่ 2 สำหรับผู้มีรายได้ตั้งแต่ 20,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 0.79% ต่อปี แบบที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย MRR-6.56% = 0.79% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.32% = 4.03% ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.95% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.74% แบบที่ 2 ปีที่ 1 ดอกเบี้ยคงที่ 0.99% หรือ ผ่อนล้านละ 3,5000 บาท ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ยคงที่ MRR-3.27% = 4.08% ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.05% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.81% แบบที่ 3 ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย MRR-5.25%=2.10% ปีที่ 3 MRR-3.45%=3.9% ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.70% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.64% แบบที่ 4 ปีที่ 1-2 ดอกเบี้ยคงที่ 2.20% หรือ ผ่อนต่ำล้านละ 3,500 บาท ปีที่ 3 ดอกเบี้ย MRR-3.35% = 4.00% ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.80% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.70% แบบที่ 5 ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย MRR-4.65% = 2.70% ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.70% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.69% แบบที่ 6 ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ยคงที่ 2.90% หรือ ผ่อนล้านละ 3,500 บาท ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.90% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.82% ข้อกำหนดและเงื่อนไข 1.สิทธิพิเศษสำหรับลูกค้า Refinance ดอกเบี้ยเริ่มต้น 0.59% ต่อปี สำหรับลูกค้าที่มีรายได้ตั้งแต่ 75,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป หรืออัตราดอกเบี้ย 0.79% ต่อปี สำหรับลูกค้าที่มีรายได้ตั้งแต่ 20,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป และเบิกรับเงินกู้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-31 มี.ค.65 2.วงเงินกู้เริ่มต้น 1.0 ล้านบาท และราคาประเมินหลักประกัน (แนวราบ) ไม่น้อยกว่า 2.0 ล้านบาท หรือ (แนวสูง) ไม่น้อยกว่า 2.5 ล้านบาท (โครงการจัดสรรทุกโครงการ) 3.อัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขดังกล่าว สำหรับหลักประกันที่ได้รับการจัดสรรทุกโครงการในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ยกเว้น ที่ดินว่างเปล่า, อาคารพาณิชย์ 4.กรณีลูกค้าทำประกัน MRTA/MLTA ธนาคารทดรองจ่ายค่าจดจำนองให้ 1% ของวงเงินกู้อนุมัติ หรือสูงสุดไม่เกิน 2 แสนบาท (ทั้งนี้ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเรียกเก็บเงินทดรองจ่ายค่าจดจำนองดังกล่าวคืนจากลูกค้า กรณีลูกค้าปิดบัญชีสินเชื่อ หรือเปลี่ยนแปลงสัญญาใด ๆ ภายใน 5 ปีแรกทุกกรณี นับจากวันทำนิติกรรมจดจำนอง) 5.กรณีสมัครทำประกันชีวิต ต้องสมัครทำ MRTA/MLTA ทุนประกัน 100% ของวงเงินสินเชื่อ ระยะความคุ้มครองขั้นต่ำ 10 ปี 6.ลูกค้าสามารถเลือกใช้อัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำล้านละ 3,500 บาท ได้ในแบบอัตราดอกเบี้ยแบบคงที่เท่านั้น 7.อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างอัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี MRR = 7.35% (ณ วันที่ 1 เม.ย. 64) ที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในโฆษณาฉบับนี้เท่านั้น ซึ่งอาจมีความแตกต่างตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย 8.อัตราดอกเบี้ย หลักเกณฑ์และเงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด 12 ธนาคารออมสิน ธนาคาออมสิน มีสินเชื่อเคหะ เพื่อซื้อ สร้างต่อเติม หรือ รีไฟแนนซ์ พร้อมแคมเปญ ฟรีค่าบริการสินเชื่อ ค่านิติกรรมสัญญา และค่าจดจำนอง ซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยประจำเดือนกุมภาพันธ์ สำหรับลูกค้าทั่วไป ดังนี้ แบบทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.34% =2.905% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.6% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.126% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.250% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย (MRR-2.72%) = 3.525% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.10% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.310%   หมายเหตุ -MRR=6.245% ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 25 พ.ค.63 -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา (EIR) คำนวณจากวงเงินกู้ 1 ล้านบาท ระยะเวลาผ่อนชำระ 20 ปี แบบผ่อนเท่ากันทุกงวด -ทำประกัน หมายถึง การทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ โดยหลักเกณฑ์ เงื่อนไข เป็นไปตามธนาคารกำหนด -เงื่อนไขการใช้อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อเคหะตามโปรโมชั่น สมัครบริการ MyMo และผลิตภัณฑ์/บริการอื่นของธนาคารอย่างน้อย 2 ประเภท ได้แก่ บัตราอิเล็กทรอนิกส์/บัตรเครดิต หรือสินเชื่อบัตรเงินสด/ชำระสินเชื่อหักผ่านบัญชี/ประกันชีวิตเพื่อประกันสินเชื่อ ทั้งนี้ หากลูกค้าใช้ผลิตภัณฑ์/บริการอื่นตามที่กำหนดอยู่แล้ว สามารถใช้อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวได้ และกรณีไม่มี Smartphone ให้สมัครผลิตภัณฑ์/บริการอื่นของธนาครตามที่กำหนดแทนได้ -กรณีฟรีค่าธรรมเนียมจดจำนองให้ตามที่จ่ายจริง (รวมทุกสัญญาที่กู้ในคราวเดียวกัน) และลูกค้าต้องสำรองจ่ายค่าจดจำนองแก่กรมที่ดินไปก่อนโดยธนาคารจะโอนเงินหลังหักภาษี ณ ที่จ่าย 1% ของเงินค่าธรรมเนียมจดจำนองคืนภายใน 30 วัน -กรณีผู้กู้ชำระคืนเงินกู้เสร็จสิ้น หรือไถ่ถอนจำนองก่อนครบกำหนด (Prepayment) ภายในระยะเวลา 3 ปี นับแต่วันที่ทำสัญญากู้เงิน ผู้กู้ต้องเสียค่าธรรมเนียมตามที่ธนาคารกำหนด (ปัจจุบันร้อยละ 3.0 ของยอดเงินคงเหลือ) ทั้งนี้ กรณีเลือกอัตราดอกเบี้ยกรณีไถ่ถอนจำนองสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยจากสถาบันการเงินอื่น (Re-Finance) และฟรีค่าธรรมเนียมจดจำนอง ผู้กู้จะต้องชำระค่าจดจำนองคืนแก่ธนาคารเต็มจำนวน -หลักเกณฑ์เงื่อนไขอื่น ๆ ให้เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด โดยธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์เงื่อนไขโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า​   ที่มา : Reviewyourliving รวบรวมข้อมูลจากเว็บไซต์ธนาคาร ณ วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2565   บทความที่เกี่ยวข้อง อัพเดทดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ สินเชื่อกู้ซื้อบ้าน เดือนตุลาคม 2564 แบงก์ไหนให้ดอกเบี้ยถูกสุด อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนกุมภาพันธ์ 2565
ส่อง ตลาดคอนโด ปี 65 กับปัจจัยน่ากังวล หลัง Q4/64 ยอดขายใหม่ทำได้แค่ 25%

ส่อง ตลาดคอนโด ปี 65 กับปัจจัยน่ากังวล หลัง Q4/64 ยอดขายใหม่ทำได้แค่ 25%

ตลาดคอนโด ไตรมาส 4 ปี 64 ดีเวลลอปเปอร์แห่เปิดใหม่กว่า 11,252 ยูนิต แต่อัตราขายได้ยังต่ำแค่ 25.2% แถมราคาขายยังลด เหตุผู้ประกอบการเร่งระบายสต็อก ลดราคา อัดโปรโมชั่น ส่วนแนวโน้มตลาดคอนโด ปี 65 เริ่มสัญญาณการฟื้นตัว แต่ยังมีปัจจัยกังวล ทั้งเงินเฟ้อ ราคาสินค้าพุ่ง การระบาดของโควิด-19   ตลาดคอนโดมิเนียมในช่วง 2 ที่ผ่านมา ถือว่าได้รับผลกระทบอย่างหนัก จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 มีการประเมินว่าภาพรวมปี 2564 ตลาดคอนโตติดลบไปถึง 30% ทั้งในส่วนของการเปิดตัวโครงการใหม่ และการขาย   ขณะที่ผู้ประกอบการหลายรายต่างก็มองว่า ที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาต่ำสุดของตลาดคอนโดแล้ว ในปี 2565 น่าจะเป็นการฟื้นตัวของตลาดคอนโด ให้กลับมาเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไปอีกครั้ง โดยอยู่ภายใต้สมมติฐานที่ว่าการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ไม่กลับมารุนแรงจะควบคุมไม่อยู่อีกครั้ง   อย่างไรก็ตาม คงจะไม่มีใครสามารถฟันธงลงไปได้ว่า ตลาดคอนโดในปี 65 จะมีภาพที่ชัดเจนออกมาอย่างไร ซึ่งทุกอย่างล้วนแต่อยู่ภายใต้การประเมินจากปัจจัยและสถานการณ์ต่าง ๆ ทั้งสิ้น ซึ่งสุดท้ายแล้วคงต้องติดตามสถานการณ์กันต่อไปอย่างต่อเนื่อง แต่เพื่อให้มองเห็นภาพในอนาคต คงต้องย้อนกลับไปดูสถิติและสถานการณ์ของตลาดคอนโด ที่เกิดขึ้นในช่วงไตรมาส 4 ที่ผ่ามา ว่าบนสรุปเป็นอย่างไร เพื่อที่จะได้ประเมินทิศทางต่อไปของตลาดคอนโดในปี 65 ได้ชัดเจนเพิ่มมากขึ้น​ ตลาดคอนโด Q 4/64 ได้ปัจจัยบวกหนุนให้เปิดเพิ่ม นายณัฎฐา คหาปนะ รองกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าสำนักงานไนท์แฟรงค์ ภูเก็ต บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า สถานการณ์ตลาดคอนโดไตรมาส 4 ปี 2564 พบว่ามีการเคลื่อนไหวในด้านจำนวนมากขึ้น จากเดิมที่มีการชะลอตัวการเปิดโครงการใหม่ตลอดทั้งปี โดยผู้ประกอบการเริ่มกลับมาเปิดขายโครงการมากขึ้นในไตรมาสนี้ เนื่องจากรัฐบาลผ่อนปรนและยกเลิกมาตราการการล็อคดาวน์และเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะมาตราการลดระยะเวลาการกักตัวในรูปแบบ Test & Go   นอกจากนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยได้มีมาตราการผ่อนปรน LTV เป็นการชั่วคราวจนถึงสิ้นปี 2565 ซึ่งส่งผลบวกต่อกลุ่มนักลงทุนและผู้ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในการขอสินเชื่อกับธนาคาร โดยผู้ประกอบการมองว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการเปิดขายโครงการใหม่ แม้ว่าภาพรวมตลาดคอนโดในไตรมาส 4 นี้ จะมีสัญญาณที่ดีขึ้น แต่การแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์ “โอมิครอน” ทำให้ผู้ประกอบการต้องวางแผนกลยุทธ์ตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อจับกลุ่มเรียลดีมานด์ซึ่งเป็นกำลังซื้อหลักในเวลานี้เท่านั้น ตลาดคอนโด Q4/64 เปิดกว่า 1.1 หมื่นยูนิต ตลาดคอนโดในกรุงเทพฯ ช่วงไตรมาส 4 ปี 2564 มีจำนวนทั้งสิ้น 11,252 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 56% ของจำนวนทั้งปี 2564 ซึ่งมีจำนวนทั้งสิ้น 20,015 ยูนิต   โดยในไตรมาส 4 ปี 2564  มีจำนวนคอนโดขายใหม่เพิ่มขึ้น​ 62.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น​ 79.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า โดยจำนวนคอนโดที่เปิดตัวใหม่ ตั้งอยู่ในเขตต่าง ๆ ดังนี้ -บริเวณชานเมือง 7,117 ยูนิต สัดส่วน​ 76% หรือ -บริเวณรอบเขตศูนย์กลางธุรกิจ (City Fringe) สัดส่วน 13% -บริเวณศูนย์กลางธุรกิจ (CBD) สัดส่วน 11% ตามลำดับ โดยจำนวนที่เปิดขายใหม่ยังเป็นกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่สูงถึง 70% จากจำนวนที่เปิดขายทั้งหมด ส่วนที่เหลือเป็นโครงการของผู้ประกอบการรายกลางและรายย่อย  ซึ่งคอนโดที่เปิดขายใหม่ในไตรมาสนี้อยู่ในระดับราคา 0.9 – 3.5 ล้านบาท หากแยกตามเกรดจะพบว่ามีสัดส่วน ดังนี้ -คอนโด เกรดซี สัดส่วน 63% -คอนโด เกรดบี สัดส่วน ​37% แสดงให้เห็นว่าผู้ประกอบการเลือกที่จะเปิดขายคอนโดมิเนียมในระดับราคาเฉลี่ยที่ประมาณ 80,000-100,000 บาท/ตร.ม. เพราะเป็นสินค้าที่ได้รับความสนใจจากกลุ่มที่เป็นกำลังซื้อหลักในช่วงนี้ ตลาดคอนโด ขายได้ใหม่ยังต่ำแค่ 25.2% ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2564 เป็นช่วงที่ประเทศไทยผ่านพ้นสถานการณ์การแพร่ระบาดหนักของโควิค-19 เนื่องจากการเร่งฉีดวัคซีนให้กับประชาชนในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้รัฐบาลสามารถลดจำนวนผู้เสียชีวิต และผู้ป่วยหนักให้ต่ำกว่าจุดวิกฤตได้  ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจ รวมถึงตลาดคอนโดเริ่มกลับมามีการเคลื่อนไหว จากการที่ผู้ประกอบการได้กลับมาทยอยเปิดขายโครงการใหม่มากขึ้น   จำนวนยูนิตขายได้ใหม่ในไตรมาส 4 ปี 2564 มีคอนโดขายได้ใหม่อยู่ที่ 2,835 ยูนิต  คิดเป็นอัตราการขายได้ 25.2% จากจำนวนที่เปิดขายใหม่ทั้งสิ้น 11,252 ยูนิต   การขายลดลงในอัตรา 8.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อนหน้า และลดลง​12.8% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา สาเหตุมาจาก  จำนวนยูนิตเปิดขายใหม่มีค่อนข้างมาก  ในขณะที่ยูนิตขายได้กลับมีน้อยเพราะเป็นโครงการที่ขายเพียงใบจองเท่านั้น แม้ว่าจะมียูนิตขายที่น้อยแต่ก็มั่นใจได้ว่าห้องที่ถูกขายไปนั้นจะไม่ได้รับการยกเลิก เนื่องจากโครงการมีการประเมินศักยภาพลูกค้ามากขึ้นเพื่อให้สามารถปิดการขายได้จริง ส่งผลให้ในอนาคตยอดปฏิเสธสินเชื่ออาจจะลดลง   โดยกลุ่มผู้ซื้อส่วนใหญ่เป็นกลุ่มกำลังซื้อระดับกลางที่ยังมีรายได้แน่นอนและมีมากกว่ากลุ่มนักลงทุน เนื่องจากโครงการที่เปิดขายจะอยู่ในโซนชานเมืองซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยเป็นหลัก ทำให้กลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัย (Real Demand) ที่มีความพร้อมในการซื้อค่อนข้างให้ความสนใจโครงการ โดยเฉพาะห้องที่มีระดับราคาไม่เกิน 3 ล้าน ราคาขายคอนโดปรับตัวลดลงทุกพื้นที่ ราคาเสนอขายคอนโดในกรุงเทพฯ ​ณ ไตรมาสที่ 4 ปี 2564 ปรับตัวลดลงในทุกพื้นที่ จากไตรมาสที่ 3 ปี 2564 -ราคาเสนอขายคอนโดบริเวณศูนย์กลางธุรกิจอยู่ที่ 239,689 บาท ต่อ ตารางเมตร ลดลง 4.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อนหน้า และลดลง​ 0.4% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า -ราคาเสนอขายคอนโดบริเวณรอบเขตศูนย์กลางธุรกิจ (City Fringe) อยู่ที่ 115,659 บาท ต่อ ตารางเมตร ลดลง 6.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อนหน้า และลดลง​ 1.1 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ​ -ราคาเสนอขายของคอนโดบริเวณชานเมืองกรุงเทพฯ ​อยู่ที่ 63,258 บาท ต่อ ตารางเมตร ลดลง 8.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อนหน้า และลดลง​ 2.1% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า   สาเหตุสำคัญที่ราคาคอนโด​ในไตรมาสที่ 4 ปี 2564 ปรับตัวลดลง -การลดราคาขาย พร้อมจัดโปรโมชั่น​ สำหรับโครงการที่เปิดการขายมานานและยังไม่สามารถปิดการขายได้ -การลดราคา เพื่อให้สอดคล้อ งกับมาตราการลดค่าโอน – จำนอง ในราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท -การระบายสต็อกของบางโครงการ ​ ตลาดคอนโดกรุงเทพฯ ปี 65 ส่งสัญญาณฟื้น ตลาดคอนโด ตลอดทั้งปี 2564 นับเป็นปีที่ค่อนข้างหนักสำหรับผู้ประกอบการพัฒนาคอนโด เมื่อเทียบกับปี 2563 ที่ผ่านมา จากการแพร่ระบาดของโควิค-19 ที่มีผู้ติดเชื้อจำนวนมาก ทำให้รัฐบาลต้องประกาศล็อคดาวน์ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทุกภาคส่วน   สำหรับปี 2565 นี้ เชื่อว่าตลาดคอนโดมีแนวโน้ม ทยอยกลับมาฟื้นตัวและมีความคึกคักมากขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการรายใหญ่มีแผนเปิดตัวโครงการมากขึ้น โดยคาดว่าจะมีโครงการเปิดใหม่อยู่เฉลี่ยประมาณ 10,000 ยูนิต ในไตรมาสแรกของปี 2565 อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยเสี่ยงที่น่ากังวล 1.การระบาดของโควิค-19 สายพันธุ์ “โอมิครอน” หากมีการแพร่ระบาดที่รุนแรง ส่งผลให้มีจำนวนผู้เสียชีวิตและผู้ป่วยหนักมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ อาจส่งผลให้รัฐบาลต้องออกคำสั่งให้กลับเข้าสู่การล็อคดาวน์อีกครั้ง 2. ภาวะเงินเฟ้อที่จะส่งผลต่อราคาสินค้าอุปโภคและบริโภค รวมถึงราคาวัสดุก่อสร้างให้เพิ่มสูงขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจยังชะลอตัว   ทั้งนี้ในส่วนของตลาดอสังหาริมทรัพย์ รัฐบาลได้มีมาตราการช่วยเหลือและกระตุ้นกำลังซื้อ อาทิ การลดค่าโอน-จำนองที่ยืดระยะเวลาออกไปเป็นมาตราการที่กระตุ้นกลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงซึ่งคนกลุ่มนี้ยังเป็นกำลังซื้อหลักในช่วงเวลานี้   เมื่อพิจารณาถึงภาพรวมของราคาขายคอนโด มีแนวโน้มที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น อันเนื่องมาจากต้นทุนในการพัฒนาของผู้ประกอบการเริ่มสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นราคาที่ดินรวมถึงราคาวัสดุก่อสร้าง อาจจะเริ่มเห็นหลายโครงการเปิดขายโครงการในราคาต่อราคาเมตรที่สูงขึ้นในปีนี้ และหากโครงการอยู่ในทำเลที่ดี โอกาสในการต่อราคาของผู้ซื้อจะทำได้ยากขึ้น   อย่างไรก็ตาม แม้โครงการจะมีราคาขายที่สูงขึ้น  แต่หากการพัฒนารูปแบบโครงการ และอยู่ในทำเลที่เหมาะสม ก็จะเป็นตัวกำหนดให้ได้รับความสนใจจากผู้ซื้อได้เช่นกัน โดยแนวทางการพัฒนาที่อยู่อาศัยในปี 2565 คาดว่าจะมีการออกแบบเพื่อรองรับความเป็นส่วนตัวและให้ความสำคัญในด้านสุขภาพ รวมถึงการมีเทคโนโลยีที่อำนวยความสะดวกต่อการดำเนินชีวิตให้ง่ายขึ้น คอนโดระดับราคาตั้งแต่ 0.9 - 3 ล้านบาท เป็นราคาที่ได้รับความสนใจจากกลุ่มเรียลดีมานด์ซึ่งเป็นกำลังซื้อหลักในช่วงเวลานี้ ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีของผู้ประกอบการที่จะเร่งระบายสต็อกออกไป โดยการทำโปรโมชั่นราคาเพื่อให้สอดรับกับมาตราการลดค่าโอน-จำนองของรัฐบาล เพื่อให้สามารถเข้าถึงกลุ่มผู้ซื้อกลุ่มนี้ ทั้งเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น   ระดับราคาคอนโดที่กลุ่มเรียลดีมานด์ให้ความสนใจ อยู่ในช่วงราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีของผู้ประกอบการที่จะทำโปรโมชั่นราคา เพื่อให้สอดรับกับมาตราการลดค่าโอน-จำนองของรัฐบาล และเป็นการระบายสต็อกที่ยังคงเหลืออยู่ออกไป   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง 10 บิ๊กอสังหาฯ กวาดยอดขายบ้านและคอนโด ไตรมาส 2 กว่า 51,650 ล้าน
อสังหาฯ ลุยต่อ “ดิจิทัลแอสเซท” ปี 65  ขน NFT- คริปโทฯ เจาะไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่

อสังหาฯ ลุยต่อ “ดิจิทัลแอสเซท” ปี 65 ขน NFT- คริปโทฯ เจาะไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่

คริปโทเคอร์เรนซี ปี 2565 ได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้น และกลายเป็นกระแสที่มีการพูดถึงกันอย่างมาก ตั้งแต่ต้นปีเลยทีเดียว ไม่เฉพาะกับคนที่เทรดเหรียญดิจิทัล หรืออยู่ในแวดวงการเงินดิจิทัลเท่านั้น แต่เป็นประเด็นที่แทบทุกธุรกิจต่างพูดถึงกัน เพราะมีทั้งกระแสข่าวว่ากรมสรรพากรที่จะออกมาจัดเก็บภาษี ข่าวการออกมาเบรก ไม่ให้มีการนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้เป็นสื่อกลางในการชำระค่าสินค้าและบริการ (Means of Payment)   จากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)   สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และกระทรวงการคลัง จึงทำให้หลายธุรกิจกังวลใจ และมีการชะลอการนำเอาคริปโทเคอร์เรนซีมาใช้ธุรกิจของตนเอง ต้องรอความชัดเจนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดก่อน   แต่อย่างไรก็ตาม โลกของดิจิทัล สินทรัพย์ดิจิทัล และการเงินดิจิทัล เป็นสิ่งที่ทุกธุรกิจไม่สามารถปฏิเสธได้ เพราะเรื่องดังกล่าวกำลังเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผู้บริโภคยุคปัจจุบัน ในแวดวงอสังหาริมทรัพย์เอง แม้ว่าจะเป็นสินค้ามีมูลค่าสูง ที่ผู้บริโภคหนึ่งคนอาจจะซื้อมาครอบครองได้เพียง 1 ครั้งในชีวิต แต่ธุรกิจอสังหาฯ โดยเฉพาะตลาดที่อยู่อาศัยไม่ได้มีแค่เรื่องการซื้อขายบ้านหรือคอนโดมิเนียมเท่านั้น ในกระบวนการและขั้นตอนต่าง ๆ ของธุรกิจอสังหาฯ ยังมีอีกมากมาย นับตั้งแต่กระบวนการก่อนซื้อไปจนถึงการบริการหลังการขาย ทำให้ดีเวลลอปเปอร์ต้องก้าวเข้าสู่โลกการเงินดิจิทัล สินทรัพย์ดิจิทัล และวงการคริปโทเคอร์เรนซี ในรูปแบบต่าง     ๆ   ปัจจุบันมีบริษัทอสังหาฯ มากกว่า 20 บริษัทที่ก้าวเข้ามาสู่วงการ และการเงินดิจิทัล ซึ่งมีแผนธุรกิจและแผนงานแตกต่างกันไป แต่ล้วนมุ่งสู่การนำเอามาช่วยสร้างการเติบโต และตอบโจทย์ทางการตลาด โดยเฉพาะการตอบโจทย์ผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป คริปโท ฯ ในแวดวงอสังหาฯ ปี 65 บูทิค เปิดขาย NFT 99 แบบภายใน 24 ชั่วโมง บริษัท บีสโปค ไลฟ์ ไซเอนซ์ จำกัด (“บีสโปค”) ภายใต้บริษัท บูทิค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่ดำเนินธุรกิจด้านโรงแรมและศูนย์การค้า ได้เดินหน้าเข้าสู่วงการ Non-Fungible Token (NFTs) เป็นครั้งแรก ด้วยการเปิดตัว NFT ชุดแรกของ CannaThai420 ที่มีจำนวนจำกัดบนบล็อกเชน Ethereum โดย NFT ชุด Seed Plant ทั้ง 99 แบบที่ไม่ซ้ำกันเลยนั้น ทำยอดขายกว่า 22 Ethereum ภายในระยะเวลาเพียง 24 ชั่วโมง นับเป็นการประสบความสำเร็จก้าวแรกของโครงการ CannaThai420 ที่เพิ่งริเริ่มขึ้นได้เพียง 2 เดือนเท่านั้น โดย NFT ชุดแรกของ CannaThai420 หรือ Seed Plant NFTs วางจำหน่ายบนเว็บไซต์ http://www.CannaThai420.com เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2565 เวลา 13.00 น. ที่ผ่านมา ทางบูทิคได้ปล่อยขาย NFT ครั้งแรกรวม 99 แบบ จากทั้งหมด 120 แบบที่ผลิตในชุด Seed Plant ครั้งนี้ โดยส่วนที่เหลืออีก 21 แบบนั้น จะถูกเก็บไว้ในคลังของ CannaThai420 เนื่องจากวงจรการปลูกต้นกัญชาแม่พันธุ์ไม่จำเป็นต้องเริ่มจากการเพาะเมล็ดพันธุ์ซ้ำแล้ว ดังนั้น Seed Plant NFT ที่สร้างขึ้นจึงจะยังคงเป็นสิ่งที่หายากและเป็นที่ต้องการภายในระบบนิเวศของ CannaThai420 ตัวอย่างเช่น Seed Plant NFT จะเป็นบันไดขั้นแรกในการค้นหาแม่พันธุ์กัญชาที่แข็งแรงและมีค่าที่สุด ซึ่งเรียกว่า Royal Alpha Family ซึ่งประกอบด้วย 1 อัลฟ่าควีน (Alpha Queen) และ 9 อัลฟ่าปริ๊นเซส (Alpha Princesses) ซึ่งหมายความว่า ผู้ถือ Seed Plant NFT มีโอกาสที่จะเป็นผู้ถือครองพืชกัญชาที่ทรงคุณค่าและทรงพลังที่สุดในประเทศไทย ในรูปแบบของสะสมดิจิตอล NFT อีกด้วย ASW ใช้ Popcoin เจาะไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ ขณะที่นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASW เปิดเผยว่า บริษัทได้ให้ความสำคัญกับ Digital Transformation โดยสิ่งหนึ่งที่สนใจก็คือ “ดิจิทัลแอสเซท” ที่กำลังเป็นเทรนด์และมีบทบาทสำคัญกับคนรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นลูกค้าหลักของแอสเซทไวส์ ที่ผ่านมาจึงได้ตั้งบริษัทในเครือ บริษัท ดิจิโทไนซ์ จำกัด ด้วยความร่วมมือจากพันธมิตรทางธุรกิจอย่าง บริษัท ฟิวเจอร์คอมเพเทเร่ จำกัด ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ขับเคลื่อนเหรียญ Popcoin เพื่อรองรับการศึกษาและลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset) รวมถึงแสวงหาโอกาสในการใช้เทคโนโลยี และแพลตฟอร์มที่ทันสมัย เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในธุรกิจให้รับกับเทรนด์อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับแอสเซทไวส์ มองว่าเหรียญ Popcoin ซึ่งถือเป็น Utility Token ที่จะเป็นตัวกลางในการใช้งานต่าง ๆ บนแพลตฟอร์ม มีระบบที่น่าเชื่อถือ เป็นเครื่องมือที่มีศักยภาพในการเติมเต็มความต้องการ สร้างโอกาสทางการตลาดให้แก่ผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดใน Popcoin Ecosystem ทั้งแบรนด์ ผู้สร้างคอนเทนต์ และโดยเฉพาะผู้บริโภค ดังนั้น Popcoin จึงไม่ใช่แค่เหรียญคริปโทเคอร์เรนซีเท่านั้น แต่เป็นคอมมูนิตี้ขนาดใหญ่ที่เชื่อมโยงคนแต่ละกลุ่มเข้าด้วยกัน ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นแพลตฟอร์มที่มีพลังที่จะช่วยให้แอสเซทไวส์ใกล้ชิดกับลูกบ้าน และคนรุ่นใหม่ได้มากกว่าที่เคย พร้อมเข้าถึงความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงจุดและวัดผลได้จริง   โดยเหรียญ Popcoin เป็นสมาร์ทมาร์เก็ตติ้งแพลตฟอร์มเอนเตอร์เทนเมิร์ช ที่เกิดจากความร่วมมือของบริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) หรือ RS Group, บริษัท โฟร์ท แอปเปิ้ล จํากัด, บริษัท ฟิวเจอร์คอมเพเทเร่ จำกัด และบริษัทพันธมิตรชั้นนำแนวหน้าของไทย  ซึ่ง Popcoin จะเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญ ที่พลิกโฉมการทำกลยุทธ์ทางการตลาดของแอสเซทไวส์ เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับกิจกรรม และสร้างสิทธิประโยชน์รูปแบบใหม่ ๆ ให้กับลูกค้า โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้า Kave Condo ซึ่งเป็นนักศึกษา คนรุ่นใหม่ที่มีความเข้าใจและคุ้นเคยกับการใช้สกุลเงินคริปโทฯ อีกทั้งยังสามารถนำเหรียญ Popcoin มาต่อยอดในกิจกรรมต่าง ๆ  ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของลูกบ้าน ซึ่งอนาคตอันใกล้ จะได้เห็นการมีส่วนร่วมดี ๆ  บนแพลตฟอร์ม Popcoin เพื่อเปิดประสบการณ์การใช้ชีวิตให้กับลูกบ้านในทุกมิติ อนันดาฯ ขน15 โครงการแจก KUB COIN  ด้านบริษัท อนันดา ดีเวล ลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) จับกระแส “Digital Asset” มาอย่างต่อเนื่องล่าสุดได้ส่ง 2 แคมเปญ “อนันดา ครบ คุ้ม KUB” และ “Fabulous Offer” ได้นำโครงการคอนโดเข้าร่วมแคมเปญ 15 โครงการ สำหรับรับฟรี KUB COIN เมื่อซื้อคอนโดทุกยูนิต   โดยอนันดาฯ มองว่ากลุ่ม GEN C เป็นกลุ่มผู้บริโภคในยุคใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีเพื่อการสื่อสารเป็นหลัก ชอบความสะดวกสบาย สนใจสิ่งที่มีสไตล์เฉพาะตัว เป็นกลุ่ม Cash Smart หรือ กลุ่มคนที่ฉลาดในการบริหารเงิน นิยมให้เงินทำงาน รู้จักวางแผนการใช้เงินเพื่ออนาคต รวมไปถึงมีการลงทุนในมุมต่างๆ เช่น ลงทุนในหุ้น และกองทุน ซึ่งในยุคปัจจุบันเริ่มให้ความสนใจในเรื่องคริปโทเคอเรนซี่  หรือ NFT ที่กำลังมาแรง คนเหล่านี้เป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของอนันดา  ที่มีความสนใจในด้านดังกล่าว สำหรับแคมเปญ “อนันดา ครบ คุ้ม KUB”  มีโครงการคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่กว่า 11 โครงการ ภายใต้แบรนด์  ไอดีโอ โมบิ, ไอดีโอ,  เอลลิโอ และ ยูนิโอ เริ่ม 1.59 – 14.9 ล้านบาท* ส่วนแคมเปญ “Fabulous Offer” กับห้องแต่งครบ พร้อมเข้าอยู่ มีแบรนด์ แอชตัน และ ไอดีโอ คิว โดยมีโครงการเข้าร่วมแคมเปญ 4 โครงการ ซึ่งแคมเปญมีระยะเวลาตั้งแต่วันนี้ – 15 กุมภาพันธ์นี้ ริชชี่-เอสซี เตรียมก้าวสู่โลกคริปโทฯ หลายบริษัทอาจจะมีการเดินหน้าการเข้าสู่โลกคริปโทฯ อย่างเป็นรูปธรรมแล้ว แต่ก็มีบางบริษัทที่อยู่ระหว่างการศึกษา และบางบริษัทก็เริ่มนำร่องการนำเอาคริปโทฯ เข้ามาใช้บ้างแล้ว แม้จะไม่เต็มรูปแบบ เพราะต้องรอความชัดเจนในหลายเรื่อง รวมถึงความพร้อมต่าง ๆ ด้วย สำหรับเอสซี แอสเสท หรือบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)  เริ่มศึกษาและเตรียมความพร้อมก้าวสู่โลกคริปโทฯ รวมถึงสินทรัพย์ดิจิทัลนรูปแบบต่างๆ ล่าสุด  ร่วมมือกับ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) Creative Economy Agency (Public Organization) หรือ CEA จัดเสวนา NFT 101 presented by SC Asset เปิดชั้นเรียนกับเซียน NFT แบ่งปันความรู้ตั้งแต่ระดับพื้นฐานจนถึงเคล็ดลับสำคัญในการเป็นผู้เล่นของตลาด ซึ่งงานดังกล่าว​ส่วนหนึ่งของงาน Bangkok Design Week 2022 โดยจัดขึ้นในวันพฤหัสบดีที่ 10 กุมภาพันธ์ 2565 เวลา 16.00 – 18.00 น. ผ่านระบบออนไลน์ FB Live :Bangkok Design Week หรือที่ FB Page : SC Asset   นอกจากนี้ เอสซี แอสเสท ยังอยู่ระหว่างการศึกษาเกี่ยวกับทำระดมทุนด้วยวิธี ICO เนื่องจากมีสินทรัพย์ ประเภทอาคารที่สร้างรายได้ประจำมูลค่ารวมกว่า 6,000 ล้านบาท  และวางแผนการออก SC Morning Coin ซึ่งเป็นเหรียญดิจิทัล ใช้ในแพลตฟอร์ม สำหรับพนักงานลูกค้า คู่ค้าและนักลงทุน ต่อยอดจาก SC token ที่ปัจจุบันใช้กันภายในองค์กรอยู่แล้วด้วย   ขณะที่บริษัท ริชี่เพลซ 2002 จำกัด (มหาชน) หรือ RICHY  ได้เริ่มนำร่องเปิดรับการซื้อขายอสังหาฯ ของบริษัทบ้างแล้ว แม้ว่าช่วงแรกจะขายได้เพียง 1 ยูนิต แต่ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี เพราะบริษัทยังไม่ได้เริ่มทำการตลาดและการประชาสัมพันธ์อย่างจริงจัง   ดร.อาภา อรรถบูรณ์วงศ์ ประธานกรรมการบริหาร เปิดเผยว่า บริษัทได้เปิดช่องทางการรับชำระเงินค่าสินค้าด้วยสกุลเงินดิจิตัล   เพื่อนำมาต่อยอดจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในอนาคต เนื่องจากสินทรัพย์ดิจิทัลกำลังได้รับความนิยม และเป็นที่ยอมรับของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของบริษัทฯอยู่แล้ว   ทั้งหมดเป็นเพียงส่วนหนึ่งของผู้ประกอบการอสังหาฯ ที่ได้เข้ามาสู่วงการคริปโทฯ และสินทรัพย์ดิจิทัล ยังมีผู้ประกอบการอีกหลายรายที่กำลังวางแผน และเตรียมความพร้อม รวมถึงความชัดเจนในการก้าวเข้ามาสู่วงการนี้ ซึ่งคงมีข่าวออกมาอย่างต่อเนื่องให้เราได้ติดตามกัน   บทความที่เกี่ยวข้อง แอสเซทไวส์   เพิ่มทางเลือกแลกเงินดิจิทัล จับมือ​ “Bitkub” ขยายฐานลูกค้า  New Gen ซื้อบ้าน-คอนโด ด้วย Cryptocurrency
อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนกุมภาพันธ์ 2565

อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนกุมภาพันธ์ 2565

อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน ปี 2565 ผ่านไปแล้ว 1 เดือน ขณะนี้เราได้ก้าวสู่เดือนที่ 2 คือ เดือนธันวาคม 2565 ที่มีเทศกาลวันขึ้นปีใหม่ของจีน หรือ วันตรุษจีน ซึ่งในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ ก็เริ่มกลับมาครึกครื้นมากขึ้น จากบรรยากาศของการประกาศแผนธุรกิจ ของดีเวลลอปเปอร์ชั้นนำ ที่พร้อมจะลุยธุรกิจในปีนี้ ซึ่งส่วนใหญ่จะมองภาพบวกว่าธุรกิจอสังหาฯ จะกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นกว่าช่วงที่ผ่านมา   ปัจจัยหนึ่งที่สนับสนุนให้ตลาดอสังหาฯ ปีนี้น่าจะฟื้นตัวตามที่คาดหวังกันไว้ คือ อัตราดอกเบี้ยการกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ยังอยู่ในอัตราที่ต่ำเมื่อเทียบกับช่วงที่ตลาดอสังหาฯ บูมกันมาก ๆ จึงถือว่าเป็นจังหวะที่ดี หากผุ้ที่มีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง และมีความพร้อมด้านฐานะการเงิน หรือการงาน   ลองมาดูกันว่าเดือนกุมภาพันธ์ 2565 อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ในเดือนนี้จะมีอัตราดอกเบี้ยเท่าไรกันบ้าง  ซึ่งในภาพรวมแล้วส่วนใหญ่ดอกเบี้ยยังอยู่ในอัตราคงที่เท่ากับช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา แต่รายละเอียดเป็นอย่างไร ติดตามได้ในบทความนี้เลย​​ อัพเดทอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด  1.ธนาคารกรุงเทพ สำหรับธนาคารกรุงเทพ มีสินเชื่อบ้านบัวหลวง ที่ให้บริการลูกค้า 2 กลุ่ม คือ ลูกค้าพนักงานที่มีรายได้ประจำ และลูกค้าทั่วไป  โดยอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา อัตราดอกเบี้ยเฉพาะพนักงานที่มีรายได้ประจำ  วงเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท  (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1   ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.00%) หลังจากนั้น 5.2%  (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.65% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3  อัตราดอกเบี้ย 4.2% (MRR-1.75%) หลังจากนั้น 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.65% อัตราดอกเบี้ยเฉพาะพนักงานที่มีรายได้ประจำ วงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 5 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.45% (MRR-1.50%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.48% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3  อัตราดอกเบี้ย 4.075% (MRR-1.875%) หลังจากนั้น 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.48% อัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับลูกค้าทั่วไป วงเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.50% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.00%) หลังจากนั้น  5.45% (MRR-0.50%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.87% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 4.45%(MRR-1.50%) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.45%(MRR-1.50%) หลังจากนั้น 5.45%  (MRR-0.50%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.9% อัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับลกค้าทั่วไป วงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 5 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.7%(MRR-1.25%) หลังจากนั้น 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.57% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 4.075%(MRR-1.875%) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.075% (MRR-1.875%) หลังจากนั้น 5.2%(MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.58%   -กรณีวงเงิน ตั้งแต่ 500,000 บาทแต่ไม่เกิน 1 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ย คงที่ปีแรก 4.75% หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีวงเงินต่ำกว่า ​500,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีหลักประกันสิทธิการเช่า ​คิดอัตราดอกเบี้ย​ MRR-0.75% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีหลักประกันที่ดินเปล่าเพื่อการอยู่อาศัย คิดอัตราดอกเบี้ย ​MRR-0.25% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา   หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับผู้ที่ยื่นคำขอสินเชื่อพร้อมเอกสารครบถ้วน ตั้งแต่วันที่ 5 ม.ค.- 1 มี.ค. 65 โดยผู้กู้ต้องลงนามในสัญญากู้ภายใน 1 เดือน นับตั้งแต่วันที่อนุมัติสินเชื่อ​และจดทะเบียนจำนองพร้อมเบิกเงินกู้งวดแรกหรือทั้งหมดภายใน 2 เดือน นับตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญา ​ -พนักงานที่มีรายได้ประจำ หมายถึง พนักงานที่มีรายได้หลัก หรือ มีความสามารถในการชำระคืนหลัก จากรายได้ประจำ -รูปแบบการชำ​ระแบบคงที่ เลือกผ่อนได้ทุกทางเลือก/รูปแบบการผ่อนชำ​ระแบบขั้นบันได เลือกผ่อนได้เฉพาะทางเลือกที่ 1 -อัตราส่วนวงเงินกู้สูงสุดและมูลค่าหลักประกันให้เป็นไปตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย -อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบันตามประกาศของธนาคาร ณ วันที่ 17 มิ.ย. 64 เท่ากับ 5.95% ต่อปี -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยรวมทั้งหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ​​ 2.ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงไทย มีสินเชื่อสำหรับบ้านใหม่ กรุงไทย SURE  โดยไม่คิดค่า  ธรรมเนียมยื่นกู้  โดยเดือนนี้อัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด  ไม่เปลี่ยนเปลี่ยนแปลงจากช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา ​​ดังนี้ แบบคงที่ 1 ปี ฟรีค่าธรรมเนียมยื่นกู้ แบบทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0.75% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 3.82% (MRR-2.4%) ปีที่ 3 ดอกเบี้ย 3.82% (MRR-2.4%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.80% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.20% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.0% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 3.82% (MRR-2.4%) ปีที่ 3 ดอกเบี้ย 3.87% (MRR-2.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.90% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.24% แบบลอยตัว แบบทำประกัน ปีที่ 1-3  ดอกเบี้ย 2.77%  (MRR-3.45%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.77% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.22% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย 2.87% (MRR-3.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.87% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.26%   สินเชื่อสำหรับการกู้ซื้อบ้านที่ธนาคารออกค่าจดจำนองให้** และ ฟรี ค่าธรรมเนียมยื่นกู้ แบบคงที่ แบบทำประกัน  คิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0.75% ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย 4.32% (MRR-1.9%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.13% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.32% แบบไม่ทำประกัน  คิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.0% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 4.32% (MRR-1.9%) ปีที่ 3 ดอกเบี้ย 4.32% (MRR-1.9%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.23% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา = 4.35% แบบลอยตัว แบบทำประกัน  คิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย 3.12% (MRR-3.10%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.12% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.35% แบบไม่ทำประกัน  คิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย 3.22% (MRR-3.0%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.22% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 3.38%   การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ* : ทำประกันทางเลือกใด ทางเลือกหนึ่ง ดังนี้ 1.ทำ MRTA/GLT SP เต็มวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 10 ปี 2.ทำ MRTA/GLT SP 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลากู้ 3.ทำ MRTA/GLT SP 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลากู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 15 ปี ทั้งนี้ การทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อเป็นไปตามความสมัครใจของลูกค้า และไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ **ธนาคารออกค่าจดจำนองให้ 1% สูงสุดไม่เกินรายละ 200,000 บาท หากลูกค้าปิดบัญชีก่อน 5 ปี ธนาคารจะเรียกเก็บค่าจดจำนองคืน ***อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (EIR) คำนวณจากวงเงินกู้ 1.00 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี ผ่อนชำระ 6,500 บาท/เดือน เงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด การพิจารณาสินเชื่ออยู่ภายใต้ดุลยพินิจของธนาคาร ยื่นสมัครสินเชื่อ ภายในวันที่ 30 มี.ค.65 MRR = 6.22% ต่อปี (ณ 1 เม.ย. 2564) 3.ธนาคารกรุงศรี ธนาคารกรุงศรี มีสินเชื่อบ้านกรุงศรี เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย (บ้านใหม่/บ้านมือสอง) สำหรับลูกค้าทั่วไป โดยมีแคมเปญฟรี ค่าธรรมเนียมสำรวจ และค่าประเมินอัตราดอกเบี้ยยังคงเท่าเดิมจากเดือนที่ผ่านมา โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ สำหรับการกู้ในวงเงิน 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 5 ล้านบาท ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.9% ( MRR-3.15%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.05% (MRR-2.00%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป 4.95% (MRR-1.10%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.97% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.39% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 เดือนที่ 1-6 อัตราดอกเบี้ย 1.50% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย MRR-1.60% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.7% (MRR-1.35%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.10%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.21% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.52% สำหรับการกู้เงินในวงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.55%  (MRR-3.50%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.3%  (MRR-2.75%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 4.7% (MRR-1.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.52% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.02% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 เดือนที่ 1-6 อัตราดอกเบี้ย 1.25% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย 4.1% (MRR-1.95%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.3% (MRR-1.75%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป 4.7%  (MRR-1.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.89% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.23%   หมายเหตุ * อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงการแสดงตัวอย่าง โดยคำนวณจากฐานวงเงินกู้ 2 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 5 ล้านบาท และฐานวงเงินกู้ 5 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ด้วยระยะเวลาการกู้ 10 ปี ในกรณีที่ลูกค้า ซื้อ MRTA/MLTA หากค่าเบี้ย MRTA/MLTA เปลี่ยนแปลง อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอาจเปลี่ยนแปลงได้ เงื่อนไขการรับสิทธิพิเศษสาหรับลูกค้าที่ซื้อประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ (MRTA/MLTA) -รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ต่อปี เฉพาะในปีที่ 1 จากอัตราดอกเบี้ยทุกทางเลือก ลูกค้าต้องซื้อ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการตามเงื่อนไขดังนี้ 1.ผลิตภัณฑ์ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการได้แก่ MRTA : แผนกรุงศรี เซฟตี้โลน 1 พลัส หรือ กรุงศรี เซฟตี้โลน 1 หรือ กรุงศรี เซฟตี้โลน 2 / MLTA : กรุงศรี รักบ้าน รักคุณ หรือกรุงศรี รักบ้าน รักคุณ พลัส เท่านั้น 2.กรณีผู้กู้หลักเป็นพนักงานเงินเดือนที่มีรายได้ ประจำ​ต้องซื้อ MRTA/MLTA 100% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี หรือซื้ออย่างน้อย 70% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความ คุ้มครองไม่ต่ำกว่า 20 ปี 3.กรณีผู้กู้หลักเป็นผู้ประกอบธุรกิจส่วนตัว ต้องซื้อ MRTA/MLTA อย่างน้อย 80% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 10 ปี หรือซื้อย่างน้อย 50% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี 4.กรณีมีผู้กู้ร่วม สามารถซื้อ MRTA/MLTA เฉพาะผู้กู้หลักเพียงคนเดียวได้ หรือหากผู้กู้ร่วมประสงค์ที่จะซื้อ MRTA/MLTA ด้วย ผู้กู้หลักและผู้กู้ร่วมทุกคนจะต้องมีทุนประกันขั้นต่ำในสัดส่วนที่เท่ากัน ขอสงวนสิทธิ์ในการปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย เป็นอัตราดอกเบี้ยปกติตามที่ลูกค้าได้เลือกไว้ โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ในกรณีที่บริษัทประกันไม่ อนุมัติ MRTA/MLTA หรือในกรณีที่ลูกค้าขอยกเลิก MRTA/MLTA -ตามประกาศธนาคาร ณ วันที่ 21 พ.ค. 63 อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.05% ต่อปี -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 30 เม.ย. 65 โดยจดจำนองและเบิกรับเงินกู้ภายในวันที่ 31 พ.ค. 65 -ค่าธรรมเนียมอื่น ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร -การพิจารณา อนุมัติสินเชื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด -วงเงินกู้อนุมัติสูงสุดเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด และไม่เกินกว่า วงเงินกู้สูงสุดต่อมูลค่าหลักประกัน (ราคาซื้อขาย) ตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์เรียกเก็บค่าเบี้ยปรับกรณีปิด ภาระหนี้ก่อนกำหนด (กรณีที่ลูกค้ารีไฟแนนซ์ไปสถาบันการเงินอื่นภายใน 3 ปีแรกนับจากวันทำสัญญา) คิดเป็น 3% ของยอดหนี้คงเหลือ 4.ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกสิกรไทย มีสินเชื่อกู้ซื้อบ้านสำหรับบ้านใหม่ให้กับลูกค้าทั่วไป โดยพิจารณาเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีรายได้ประจำ และกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการ ซึ่งเดือนนี้อัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ สำหรับลูกค้าที่มีรายได้ระจำ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย = n.a. อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 7.72% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 7.72% สำหรับลูกค้าผู้ประกอบการ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย = n.a. อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 8.22% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 8.22% หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ย MRR = 5.97% (ประกาศ ณ วันที่ 22 พ.ค. 2563) ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ย MRR ให้อ้างอิงอัตราดอกเบี้ยตามประกาศของธนาคาร ณ วันที่ลูกค้ายื่นใบสมัครสินเชื่อ -อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวสำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 31 มีนาคม 2565 โดยสามารถยื่นกู้ได้สำหรับที่อยู่อาศัยทุกประเภท ยกเว้นการกู้เพื่อซื้อที่ดินเปล่า -รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม 0.25% ในปีแรก หากทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองสินเชื่อบ้านตามเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด -กรณียื่นกู้บ้านในโครงการจัดสรรที่ธนาคารสนับสนุน ธนาคารฯมีอัตราดอกเบี้ยพิเศษ สอบถามรายละเอียดและเงื่อนไขเพิ่มเติมได้ที่ K-Contact Center 02-8888888 ต่อ 887 5.ธนาคารเกียรตินาคิน ธนาคารเกียรตินาคิน มีสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย (KKP Home Loan เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย) กรณี บ้านใหม่ : ซื้อบ้านจากบริษัทพัฒนา อสังหาริมทรัพย์ที่ธนาคารกำหนด ซึ่งคิดอัตราดอกเบี้ยในอัตราเดิมเท่ากับเดือนที่ผ่านมา โดยธนาคารเกียรตินาคินมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ ดอกเบี้ยคงที่ 2 ปี แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  2.45%-2.75% ปีต่อไป ดอกเบี้ย  4.775% (MLR-1.75%) แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.65%-2.95% ปีต่อไป ดอกเบี้ย 4.775% (MLR-1.75%) ดอกเบี้ยคงที่ 3 ปี แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.60%-2.99% ปีต่อไป ดอกเบี้ย 4.775% (MLR-1.75%) แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.80%-3.19% ปีต่อไป ดอกเบี้ย 4.775% (MLR-1.75%) หมายเหตุ 1.อัตราดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับปัจจัยอ้างอิง เช่น อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR) ซึ่งธนาคารจะแจ้งให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว  โดยจะประกาศไว้ ณ สถานที่ทำการให้บริการและ​เว็บไซต์ของธนาคาร 2.MLR ณ วันที่​ 18 สิงหาคม 2563 เท่กับ​ 6.525% ต่อปี 3.เลือกทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ​(MRTA)ผ่านธนาคาร ทุนประกันภัยเท่ากับวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาเอาประกันภัยขั้นต่ำ 10 ปี กรณีที่ระยะเวลาการกู้ไม่ถึง 10 ปี ให้ระยะเวลาเอา​​​​​​ประกันภัยเท่ากับระยะเวลาการกู้ 4.กรณี Refinance ไปสถาบันการเงินอื่นก่อนครบ 3 ปี แรก คิดค่า​ Prepayment Penalty 3% ของเงินต้นคงค้าง 5.​กรณีเลือกใช้เงื่อนไขอัตราดอกเบี้ยแบบฟรีค่าจดจำนอง ​​หากลูกค้า Re-Finance หรือชำระปิดบัญชีก่อนระยะเวลาที่กำหนดไว้ ลูกค้าต้องชำระค่าจดจำนองที่ธนาคาร เคยสำรองจ่ายให้แก่ธนาคาร​ 6.ค่าประเมินหลักประกันเริ่มต้น 3,210 บาท  ค่าอากรแสตมป์ 0.05% ของวงเงินกู้ (สูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท) 7.เบี้ยประกันอัคคี ​เป็นไปตามที่บริษัทประกันภัยกำหนด ​โดยผู้กู้สามารถเลือกทำประกันกับบริษัทที่น่าเชื่อถือใดก็ได้ ​ a.อัตราส่วนวงเงินกู้ยืมสูงสุด ต่อหลักประกัน 100% ของราคาซื้อขายจริง หรือราคาประเมินธนาคาร แล้วแต่ราคาใดต่ำกว่า ยกเว้นธนาคารมีกำหนดเงื่อนไขพิเศษอื่น ๆ สำหรับบางโครงการ อาจจะได้รับอัตราส่วนวงเงินกู้ยืมสูงสุดต่อหลักประกัน​ 100% b.ระยะเวลากู้สูงสุด ​30 ปี (อายุผู้รวมระยะเวลากู้ไม่เกิน 65 ปี สำหรับพนักงานเงินเดือนประจำ และไม่เกิน 70 ปี สำหรับเจ้าของกิจการ/ธุรกิจส่วนตัว) 6.ธนาคารซีไอเอ็มบี ธนาคารซีไอเอ็มบี สินเชื่อบ้าน โฮมโลนฟอร์ยู ให้กับพนักงานประจำ ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ ผู้ประกอบการ และเจ้าของกิจการ  โดยคิดอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เท่ากับเดือนที่ผ่านมา ซึ่งธนาคารซีไอเอ็มบี มีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ สำหรับพนักงานประจำ รายได้ 15,000 บาท หรือเจ้าของกิจการรายได้ 30,000 บาท ประเภททำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.25% (MRR-3.1%) ระยะเวลาที่เหลือ ดอกเบี้ย 5.35% (MRR-2.0%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.25% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.07% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.55% (MRR-2.8%) หลังจากนั้น 5.35% (MRR-2.0%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.15% หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินกู้ 2 ล้านบาท ระยะเวลากู้ 15 ปี (MRR=7.35% ประกาศ ณ วันที่ 9 ธันวาคม 2564) -ธนาคารยังมีอัตราดอกเบี้ยสำหรับพนักงานประจำรายได้ 30,000-50,000 หรือเจ้าของกิจการรายได้ 50,000 บาทขึ้นไปไว้พิจารณาด้วย รวมถึงสินเชื่อสำหรับโครงการที่ธนาคารเป็นผู้สนับสนุน 7.ธนาคารทีทีบี ธนาคารทีทีบี มีสินเชื่อบ้านใหม่ สำหรับการซื้อบ้านหรือคอนโดจากโครงการทั่วไป ภายใต้แคมเปญดอกเบี้ยพิเศษเริ่มต้นเฉลี่ย 3 ปีแรก 4.05% ต่อปี จะได้รับฟรีค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย ค่าจดทะเบียนจำนอง และค่าประเมินหลักทรัพย์ ซึ่งยังคงใช้อัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เท่ากับเดือนที่ผ่านมา  โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ทางเลือก 1 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.05% (MRR-2.23%) หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.05% ดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.46% ทางเลือก 2 (ฟรีค่าจดจำนอง) ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.4% (MRR-1.88%) หลังจากนั้น 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.4% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.57% ทางเลือก 3 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 4.65% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา ดอกเบี้ย 4.65% รายละเอียดเงื่อนไข สมัครผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ได้แก่ 1.สมัครประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ สไมล์โฮม หรือ สไมล์โฮม พลัส ​ 2.สมัครใช้บริการหักบัญชีอัตโนมัติผ่านบัญชีออมทรัพย์ ทีทีบี เพื่อผ่อนชำระสินเชื่อบ้าน 3.สมัครบัตรเดบิต ttb (กรณีที่คุณมีบัตรเดบิต ttb แล้ว ไม่ต้องสมัครเพิ่ม) กู้ซื้อบ้าน คอนโดใหม่ กับทีทีบี รับข้อเสนอพิเศษ ด้วยอัตราดอกเบี้ย ให้เลือก 2 แบบ ดังนี้ แบบที่ 1 สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท -รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษนาน 3 ปี -ฟรีประกันอัคคีภัยมูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท -ฟรีค่าจดทะเบียนจำนอง 1% ของเงินกู้สูงสุดถึง 200,000 บาท -ฟรี ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรม จำนอง แบบที่ 2 สมัครผลิตภัณฑ์เสริมไม่ครบทั้ง 3 ประเภท​ -ฟรีประกันอัคคีภัย มูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท -ฟรี ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรม จำนอง หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมรวมถึงสิทธิพิเศษต่าง ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อบ้าน (MRTA) ไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อทำเพื่อประโยชน์หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นกับผู้กู้ในขณะที่ยังชำระหนี้ไม่ครบถ้วน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของผู้กู้และธนาคาร และไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย 3 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการพิจารณาอนุมัติวงเงินกู้และอัตราดอกเบี้ยตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของธนาคาร -ธนาคารขอสงวนสิทธิเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่แจ้งไว้ในเอกสารฉบับนี้ โดยไม่ ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า -ในกรณีที่ธนาคารเป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนจำนองหลักประกันแทนผู้กู้หากผู้กู้มีความประสงค์จะไถ่ถอนหลักประกันและชำระหนี้คืนทั้งหมดภายในระยะเวลา 5 ปี นับแต่วันเบิกใช้เงินกู้ ครั้งแรก ผู้กู้ตกลงคืนเงินค่าธรรมเนียมจดจำนองหลักประกันตามจำนวนเงินที่ธนาคารได้ช าระไปให้แก่ธนาคาร ในวันที่ผู้กู้ได้ชำระหนี้ทั้งหมดเสร็จสิ้น (ค่าธรรมเนียมจดจำนอง 1% สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท) -กค้าต้องสำรอง จ่ายค่าจดจำนองแก่กรมที่ดินก่อน โดยธนาคารจะโอนเงินคืนเข้าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ที่ลูกค้าใช้หักชำระค่างวดกับธนาคารภายใน 30 วันทำการนับจากวันที่ลูกค้าจดจำนอง -MRR = 6.28% ตามประกาศธนาคาร https://www.ttbbank.com/th/rates/loan-interest-rates -สำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 ถึง 30 มิถุนายน 2565 และจดจำนอง ภายใน 31 กรกฎาคม 2565 8.ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ มีสินเชื่อบ้านสำหรับลูกค้าทั่วไป โดยคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับช่วงเดือนที่ผ่านมา  คิดอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ แบบไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.995% ปีต่อไป MRR = 5.995% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.995% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.995% แบบทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ มากกว่าหรือเท่ากับ 70% ของวงเงินกู้ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.95% ปีต่อไป MRR = 5.995% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.95% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.983% หมายเหตุ -กรณีใช้ดอกเบี้ย​แบบทำประกัน​ Credit Life 70% กำหนดให้ทำทุนประกันไม่น้อยกว่า 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลาเอาประกัน 70% ของระยะเวลากู้ตามสัญญา โดยกำหนดให้เอาระยะเวลาขั้นต่ำ 10  ปี (กรณีระยะเวลากู้ตามสัญญาต่ำ​10 ปี กำหนดให้ระยะเวลาเอาประกันเท่ากับระยะเวลากู้ตามสัญญา) ​-ประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ รับประกันภัยโดย บมจ. ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต บริษัทนเครือกลุ่มเอฟดับบลิวดี หากต้องการสอบถามรายละเอียด เกี่ยวกับการประกันภัยเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ ศูนย์บริการลูกค้า โท​ร. 1315 ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.00 – 20.00 น. -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจรายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข ​​ก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุก​ ธนาคารเป็นเพียงนายหน้าผู้ชี้ช่อง หรือจัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันภัยเท่านั้น ​การพิจารณารับประกัน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการรับประกันภัย ของบริษัทประกันภัย -อัตราดอกเบี้ย MRR ของธนาคารไทยพาณิชย์ เท่ากับ 5.995% ต่อปี ​(ประกาศ ณ วันที่ 9 สิงหาคม 2564) ซึ่งอาจะเปลี่ยนแปลงได้ตามประกาศธนาคาร -อัตราดอกเบี้ยแท้จริงที่ระบุในตารางเป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในฉบับนี้เท่านั้น ​ซึ่งอาจะมีความแตกต่างกัน ตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีลูกค้าบอกเลือกประกันชีวิต หรือขอเวนคืนกรมธรรม์ หรือทำประกันไม่ครบกำหนดตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ​ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยวงเงินกู้ เป็นอัตราดอกเบี้ยทั่วไป  ตามประกาศธนาคาร ระยะเวลากู้ตามสัญญา วงเงิน ระยะเวลาผ่อนชำระ อัตราดอกเบี้ย คุณสมบัติ เอกสารปรกอบการพิจารณา และการอนุมัติเป็นไปตามเงื่อนไข หลักเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด 9.ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์  หรือ ธอส. มีสินเชื่อสำหรับการซื้อบ้านหลากหลายประเภท โดยประเภทสินเชื่อโครงการบ้าน ธอส. เพื่อคุณ ปี 2565 ​มีการคิดอัตราดอกเบี้ย ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากแคมเปญสิ้นสุดเดือนธันวาคม 2565  โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.15% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.9% (MRR-2.25%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.75% (MRR-1.4%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ยตลอดอายุสัญญา  5.4% หมายเหตุ -ยื่นคำขอกู้และอนุมัติตั้งแต่วันที่ 2 ม.ค.-30 ธ.ค.65   (ธนาคารสงวนสิทธิ์ในการกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดโครงการก่อนกำหนด หากธนาคารให้สินเชื่อเติมวงเงินของโครงการแล้ว) -อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.15% ประกาศ ณ วันที่ 25 พฤษภาคม 2563 -ยกเว้น ค่าธรรมเนียมยื่นกู้ 0.1% ของวงเงินกู้และทุกบัญชีเงินกู้ภายใต้หลักประกันเดียวกัน 10.ธนาคารยูโอบี ธนาคารยูโอบี มีสินเชื่อบ้านสำหรับโครงการหมู่บ้านทั่วไป  โดยมีการคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับเดือนที่ผ่าน  ซึ่งธนาคารยูโอบีมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด  ดังนี้ ทางเลือก 1 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.35% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.35% (MRR-4.0%) อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.79% ทางเลือกที่ 2 ไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.55% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.55% (MRR-3.80%) หลังจากนั้น 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.87% ทางเลือกที่ 3 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.8% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.75%  (MRR-2.60%) หลังจากนั้น 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.45% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.8% ทางเลือกที่ 4 ไม่ทำประกันคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.0% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.95%  (MRR-2.24%) ปีที่ 4 อัตราดอกเบี้ย 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.65% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.96% หมายเหตุ -ขอสินเชื่อตั้งแต่ 1 ม.ค.- 31 มี.ค. 65 และจดจำนองหลักประกันกับธนาคารภายใน 29 เม.ย.​ 65 -อัตราดอกเบี้ยแบบทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ผ่านธนาคารยูโอบี >ทุนประกันเต็มวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันขั้นต่ำ 10 ปี หรือ >ทุนประกันขั้นต่ำ 80% ของวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันเต็มตามระยะเวลากู้ -อัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 1 ล้านบาท อายุสัญญา 15 ปี MRR=7.35% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้น เป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในสื่อโฆษณาเท่านั้น อัตราดอกเบี้ยสำหรับการทำสัญญากู้ยืมของลูกค้าแต่ละรายอาจะมีความแตกต่างกันตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีไถ่ถอนจำนองเพื่อไปใช้บริการกับสถาบันการเงินอื่น ​(Re-finance) ในช่วงระยะเวลา 3 ปีแรก นับจากวันที่กู้ จะมีค่าปรับ 3% ของยอดเงินต้นคงค้าง (เฉพาะวงเงินสินเชื่อที่มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดหาที่อยู่อาศัยเท่านั้น)​ -การอนุมัติสินเชื่อ​เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของธนาคาร​ -เพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้น อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบันเท่ากับ  7.35% ต่อปี ​(ตามประกาศธนาคารณ วันที่ 1 เม.ย. 64) อนึ่ง ธนาคารสามารถประกาศปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย​ MRR ได้ตามเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดอนุญาตไว้​ -อัตราค่าธรรมเนียมและค่าบริการต่าง ๆ​เป็นไปตามประกาศที่ธนาคารจัดทำไว้  และประกาศให้ทราบตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยธนาคารอาจเปลี่ยนแปลงอัตราค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ได้โดยจะแจ้งให้ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน โดยการปิดประกาศไว้ ณ ที่ทำการ หรือเว็บไซต์ของธนาคาร​ -ธนาคารยูโอบีในฐานะนายหน้าประกันภัย ​(ใบอนุญาตประกันชีวิต​เลขที่ ช.00026/2545 และใบอนุญาตประกันวินาศภัย​ เลขที่ ว.00020/2546) ทำหน้าที่นำเสนอผลิตภัณฑ์ด้านประกันภัยและเป็นผู้จัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันชีวิต/ประกันวินาศภัย และอำนวยความสะดวกในการรับชำระเบี้ยประกันเท่านั้น  รับประกันชีวิตโดยบริษัท พรูเด็นเชียลประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), รับประกันวินาศภัยโดย บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน), บริษัท แอกซ่าประกันภัย จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอ็ม เอส ไอ จี ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ​จะเป็นผู้รับผิดชอบตามเงื่อนไข ความคุ้มครองและสิทธิประโยชน์ตามที่ได้ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครองและเงื่อนไขก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง 11.ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีสินเชื่อเพื่อการซื้อที่อยู่อาศัย คือ โฮมโลน โดนใจ สินเชื่อบ้านดอกเบี้ยต่ำเริ่มต้น 1.9% (สำหรับผู้มีรายได้ 75,000 บาทขึ้นไป) โดยมีการคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับช่วงเดือนที่ผ่านมา ซึ่งธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ อัตราดอกเบี้ยสำหรับผู้กู้มีรายได้ตั้งแต่ 20,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 2.0% ต่อปี แบบที่ 1 ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.00% (MRR-5.35%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.80% (MRR-3.55%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป 5.10% (MRR-2.25% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.60% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.57% แบบที่ 2 ปีที่ 1-2 ดอกเบี้ยคงที่ 2.10%  (ผ่อนต่ำล้านละ 3,500 บาท 2 ปีแรก) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.20% (MRR-3.15%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป 5.10% (MRR-2.25%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.80% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.69% แบบที่ 3 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.55% (MRR-4.80%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 5.10% (MRR-2.25%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.63% แบบที่ 4 ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ยคงที่ 2.75% (ผ่อนต่ำล้านละ 3,500 บาท 3 ปีแรก) ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 5.10% (MRR-2.25%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.75% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.76% เงื่อนไข กรณีลูกค้าเลือกทำประกัน MRTA/MLTA ผ่านธนาคาร : 1.กรณีที่ลูกค้าทำประกัน MRTA/MLTA ผ่านธนาคาร ธนาคารทดรองจ่ายค่าจดจำนองให้ 1% ของวงเงินกู้อนุมัติ หรือ สูงสุดไม่เกิน 2 แสนบาท (ทั้งนี้ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเรียกเก็บเงินทดรองจ่ายค่าจดจำนองดังกล่าวคืนจากลูกค้า กรณีลูกค้าปิดบัญชีสินเชื่อ หรือ เปลี่ยนแปลงสัญญาใด ๆ ภายใน 5 ปีแรก ทุกกรณี นับจากวันทำนิติกรรมจดจำนอง) 2.กรณีสมัครทำประกันชีวิต ต้องสมัครทำ MRTA/MLTA ทุนประกัน 100% ของวงเงินสินเชื่อ ระยะความคุ้มครองขั้นต่ำ 10 ปี หมายเหตุ -โครงการจัดสรรในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เท่านั้น* -ราคาซื้อขายของหลักประกันต้องมีราคา (แนวราบ) ไม่น้อยกว่า 2.00 ล้านบาท , (แนวสูง) ไม่น้อยกว่า 2.50 ล้านบาท -ลูกค้าสามารถเลือกใช้อัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำ ล้านละ 3,500 บาท  กรณีเลือกอัตราดอกเบี้ยคงที่** -ยกเว้น ค่าประเมินราคาหลักประกัน (โครงการจัดสรรทุกโครงการที่มีราคาซื้อขาย 2 ล้านบาทขึ้นไป)*** -ระยะเวลากู้สูงสุด 40 ปี รวมอายุผู้กู้ไม่เกิน 70 ปี**** -วงเงินกู้เพิ่มสูงสุด 10% จากสัญญาซื้อขาย เพื่อซื้อเฟอร์นิเจอร์ ตกแต่งบ้าน อัตราดอกเบี้ย 1) ทำประกัน MRTA/MLTA : ปีที่ 1-3 : MRR – 2.75% = 4.60% หรือ 2) ไม่ทำประกัน MRTA/MLTA : ปีที่ 1-3 : MRR – 2.25% = 5.10% , หลังจากนั้นปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR = 7.35% ***** -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่าง อัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี MRR = 7.35% (ณ 1 เม.ย. 64) ที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในโฆษณาฉบับนี้เท่านั้น ซึ่งอาจมีความแตกต่างตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -การพิจารณาคุณสมบัติของลูกค้าแต่ละรายให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ตามที่ธนาคารกำหนด -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์การพิจารณาสินเชื่อ โดยอยู่ในดุลยพินิจของธนาคาร ทั้งนี้เงื่อนไขต่าง ๆเป็นไปตามประกาศธนาคาร โดยมิต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า -อัตราดอกเบี้ย และโปรโมชั่น (มีวงเงินสินเชื่อจำกัด) สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อ โดยเบิกรับเงินกู้ ตั้งแต่ 1 ม.ค.- 31 มี.ค. 65 -สำหรับอัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 1.9% สำหรับผู้กู้ที่มีรายได้ 75,000 บาทขึ้นไป ผ่อนต่ำเดือนละ 3,500 บาท ฟรีค่าจดจำนองสินเชื่อเมื่อซื้อประกันผ่านธนาคาร ฟรีค่าประเมินหลักประกัน 12.ธนาคารออมสิน ธนาคารออมสิน มีสินเชื่อเคหะ สำหรับให้บริการผู้ที่ต้องการกู้เงินเพื่อไปซื้อบ้านหรือคอนโด ภายใต้แคมเปญ ผ่อนต่ำปีแรก ล้านละ 2,500 บาทต่อเดือน สำหรับลูกค้าทั่วไป โดยยื่นกู้ภายในวันที่ 30 เมษายน 2565 อนุมัติและจัดทำนิติกรรมสัญญาให้แล้วเสร็จภายใน 31 พฤษภาคม 2565 โดยมีรายละเอียด ​ดังนี้​ กรณีทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 2.0% เพิ่มขึ้น 1.25% จากเดือนที่ผ่านมา เพราะมีแคมเปญดอกเบี้ย 0% ใน 6 เดือนแรก ทำให้เดือนที่ผ่านมามีดอกเบี้ยเฉลี่ยปีแรก 0.75% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 2.9% (MRR-3.345%) ลดลง 0.425% จากเดือนที่ผ่านมามีอัตราดอกเบี้ย 3.525% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.6% ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.126% เพิ่มขึ้น 0.025% จากเดือนที่ผ่านมามีอัตราดอกเบี้ย 4.101% กรณีไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 2.25% เพิ่มขึ้น 1.25% จากเดือนที่ผ่านมา ซึ่งมีอัตราดอกเบี้ย​ 1.0% จากแคมเปญเดือนที่ 1-6 ดอกเบี้ย 0% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย 2.0% ​ ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย 3.525% (MRR-2.72%) ลดลง 0.625% จากเดือนที่ผ่านมา คิดอัตราดอกเบี้ย  4.15% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.995% (MRR-1.25%) เพิ่มขึ้น 1.895% จากเดือนที่ผ่านมามีอัตราดอกเบี้ย 3.1% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.31% เพิ่มขึ้น 0.024% จากเดือนที่ผ่านมามีอัตราดอกเบี้ย 4.286%   เงื่อนไขการผ่อนชำระ -ปีที่ 1 ผ่อนชำระ 2,500 บาทต่อเดือน ปีที่ 2 ผ่อนชำระ 4,500 บาทต่อเดือน ปีที่ 3 ผ่อนชำระ 5,500 บาทต่อเดือน หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำ MRR=6.245% (ตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2563) -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา (EIR) คำนวณจากวงเงินกู้ 1 ล้านบาท ระยะเวลาผ่อนชำระ 20 ปี ผ่อนเท่ากันทุกงวด -ทำประกัน หมายถึง การทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ โดยหลักเกณฑ์ เงื่อนไข เป็นไปตามธนาคารกำหนด -เงื่อนไขการใช้อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อเคหะตามโปรโมชั่น สมัครบริการ MyMo และผลิตภัณฑ์ / บริการอื่น ของธนาคารอย่างน้อย 2 ประเภท ได้แก่ บัตรอิเล็กทรอนิกส์ / บัตรเครดิต หรือสินเชื่อบัตรเงินสด / ชำระสินเชื่อหักผ่านบัญชี / ประกันชีวิตเพื่อประกันสินเชื่อ ทั้งนี้ หากลูกค้าใช้ผลิตภัณฑ์ / บริการอื่นตามที่กำหนดอยู่แล้ว สามารถใช้อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวได้ และกรณีไม่มี Smartphone ให้สมัครผลิตภัณฑ์ / บริการอื่นของธนาคารตามที่กำหนดทดแทนได้ -*กรณี ฟรี ค่าธรรมเนียมจดจำนอง ให้ตามที่จ่ายจริง (รวมทุกสัญญาที่กู้ในคราวเดียวกัน) และลูกค้าต้องสำรองจ่ายค่าจดจำนองแก่กรมที่ดินไปก่อน โดยธนาคารจะโอนเงินหลังหักภาษี ณ ที่จ่าย 1% ของเงินค่าธรรมเนียมจดจำนองคืนภายใน 30 วัน -กรณีผู้กู้ชำระคืนเงินกู้เสร็จสิ้น หรือไถ่ถอนจำนองก่อนครบกำหนด (Prepayment) ภายในระยะเวลา 3 ปี นับแต่วันที่ทำสัญญากู้เงิน ผู้กู้ต้องเสียค่าธรรมเนียมตามที่ธนาคารกำหนด (ปัจจุบันร้อยละ 3.00 ของยอดเงินต้นคงเหลือ) ทั้งนี้ กรณีเลือกอัตราดอกเบี้ยกรณีไถ่ถอนจำนองสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยจากสถาบันการเงินอื่น (Re-Finance) และฟรีค่าธรรมเนียมจดจำนอง ผู้กู้จะต้องชำระค่าจดจำนองคืนแก่ธนาคารเต็มจำนวน -หลักเกณฑ์เงื่อนไขอื่น ๆ ให้เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด โดยธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์เงื่อนไขโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า   ที่มา Reviewyourliving รวบรวมจากเว็บไซต์ธนาคาร ข้อมูล ณ วันที่ 1 ก.พ.65 บทความที่เกี่ยวข้อง อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนมกราคม 2565
เอพี ไทยแลนด์ เดินแผนธุรกิจปี 65 ที่สุดตลาด เปิดตัว 65 โครงการ มูลค่า  78,000 ล้าน

เอพี ไทยแลนด์ เดินแผนธุรกิจปี 65 ที่สุดตลาด เปิดตัว 65 โครงการ มูลค่า 78,000 ล้าน

เอพี ไทยแลนด์ เดินหน้าแผนธุรกิจปี 65 มุ่งสู่ความเป็นที่สุดกับแผนเปิดตัวโครงการที่มากสุดถึง 65 โครงการ มูลค่า 78,000 ล้าน ตั้งเป้ายอดขาย 50,000 ล้านบาท พร้อมรับรู้รายได้ 47,000 ล้าน หลังปี 64 สามารถฝ่าวิกฤตโควิด-19  เตรียมกวาดรายได้ยอดโอน  40,000 ล้าน พร้อมขึ้นเบอร์ 1 ตลาดบ้านเดี่ยว   แม้ว่าในปีที่ผ่านมาจะเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ได้รับผลกระทบ แต่ธุรกิจอสังหาฯ ยังถือเป็นหนึ่งคีย์สำคัญ ในการช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ จากข้อมูลศูนย์วิจัยกรุงศรีฯ ระบุว่า ธุรกิจอสังหาฯ มีมูลค่าตลาดคิดเป็นสัดส่วน 8% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยทำให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบจำนวนมาก เกิดการจ้างงานและรายได้เพิ่มขึ้น พร้อมไปกับการสนับสนุนให้กับอุตสาหกรรมอื่น อาทิ ธุรกิจก่อสร้าง ธุรกิจวัสดุก่อสร้าง ธุรกิจสถาบันการเงิน ธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้า และธุรกิจเฟอร์นิเจอร์และการตกแต่งได้เติบโตไปพร้อมกัน และหากย้อนกลับดูผลประกอบการของ 5 บริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมพัฒนาอสังหาฯ ของไทย ยังพบการเติบโตของตัวเลขในอัตราที่เป็นบวก   นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ท่ามกลางวิกฤตโรคระบาดที่เกิดขึ้นตลอด 2 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยต้องเผชิญกับภาวะซบเซา และส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงกำลังซื้อของผู้บริโภคในหลาย ๆ เซกเตอร์อย่างเลี่ยงไม่ได้   สำหรับธุรกิจอสังหาฯ ตลอด 2 ปีที่ผ่านมาเราพบว่าความต้องการซื้อและเช่าในตลาดอสังหาฯ ยังมีอยู่ เพียงแต่มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบไปตามสถานการณ์ หากเทียบกับสถานการณ์น้ำท่วมใหญ่ปี 2554 ซึ่งในปีนั้นเศรษฐกิจไทยต้องเผชิญภาวะตกต่ำ แต่อสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มคอนโดมิเนียมกลับขายดีมาก ซึ่งวิกฤตโควิด-19 ครั้งนี้ก็คล้ายเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในแง่ที่อสังหาริมทรัพย์ไม่ได้ถูกทำลายลงไป เพียงแต่ทรานฟอร์มไปตามพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปตามสภาวะเวลา   ในส่วนของเอพี ไทยแลนด์คาดว่าในปี 2564 จะมียอดโอนอสังหาฯ มากที่สุดในตลาดประมาณ 40,000 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ เพื่ออยู่อาศัย ยังคงเป็นธุรกิจหลักที่นำพาให้อุตสาหกรรมนี้สามารถขับเคลื่อนผ่านวิกฤตในทุกยุคสมัยมาได้อย่างสวยงาม   3 กลยุทธ์ยอดโอน 40,000 ล้านปี 64 สำหรับปีที่ผ่านมา ถือเป็นอีกหนึ่งปีที่เอพี ไทยแลนด์สามารถฝ่าฟันวิกฤตมาได้ ถือเป็นปีแห่งความแข็งแกร่ง และยังคงสามารถรักษาการเติบโตท่ามกลางการ Reset ครั้งใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้ 3 กลยุทธ์สำคัญที่สร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน ได้แก่ 1.การบริหารจัดการพอร์ตสินค้าพร้อมขาย ให้กระจายไปในหลากหลายทำเล เพื่อสร้างโอกาสและความได้เปรียบในการแข่งขันที่มากกว่า โดยในปีที่ผ่านมาเอพีมีโครงการมากกว่า 117 โครงการ กระจายขายทั่วประเทศไทย และสามารถสร้างยอดขายได้มากถึง 35,050 ล้านบาท โดยสินค้าแนวราบ ทั้งบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมยังคงเป็นแรงสำคัญในการสร้างการเติบโต นอกจากนั้น ยังสามารถปิดการขายโครงการแนวราบได้จำนวนมาก 2.Cash Flow Management การบริหารจัดการกระแสเงินสด ตลอดระยะเวลาของการเผชิญวิกฤตการณ์โรคระบาด บริษัทฯ คงรักษาเสถียรภาพทางการเงินได้อย่างดีเยี่ยม ส่งผลให้สัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนต่ำลงอย่างต่อเนื่อง โดย ณ สิ้นปี 64 บริษัทฯ มีสัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนที่ต่ำเพียง 0.58 เท่า 3.Digital Competency การสร้างความได้เปรียบด้วย Digital ซึ่งถือเป็นหนึ่งในโรดแมพสำคัญที่เอพีใช้เป็นคีย์ในการเคลื่อนธุรกิจท่ามกลาง   การเปลี่ยนแปลงมาอย่างต่อเนื่องในทุก ๆ Touchpoint ของการดำเนินธุรกิจ ทั้งกับลูกค้า คู่ค้า พนักงาน ปี 65 ที่สุดของเอพี ไทยเลนด์   สำหรับในปี 2565 เอพี ไทยแลนด์ มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่สูงที่สุดในอุตสาหกรรม จำนวนทั้งสิ้น 65 โครงการ มูลค่ากว่า 78,000 ล้านบาท ถือเป็นจำนวนโครงการใหม่ที่มากที่สุดตั้งแต่เคยดำเนินธุรกิจมา แบ่งเป็นทาวน์โฮม 29 โครงการ มูลค่า 25,200 ล้านบาท บ้านเดี่ยวจำนวน  26 โครงการ มูลค่า 35,600 ล้านบาท คอนโดมิเนียม 5 โครงการ มูลค่า 13,000 ล้านบาท และโครงการในต่างจังหวัด 5 โครงการ มูลค่า 4,200 ล้านบาท  ส่งผลให้ทั้งปีเอพี ไทยแลนด์จะมีโครงการพร้อมขายทั้งกทม.และต่างจังหวัดมากกว่าถึง 182 โครงการ มูลค่ากว่า 149,000 ล้านบาท โดยไฮไลต์ที่น่าสนใจในปี 2565 คือ ตลาดทาวน์โฮม -ตั้งเป้าหมายการเติบโตมากขึ้นกว่า 30% ด้วยการมีทาวน์โฮมในทุกเซกเมนต์ ประกอบด้วย  1.การเปิดตัว 20 แบบบ้านใหม่ จาก 6 แบรนด์ทาวน์โฮม  และ 2.เตรียมเพิ่มส่วนแบ่งตลาดบ้านแฝด 3 ชั้นและ 2 ชั้นเพิ่มขึ้น -ชูจุดขายด้วยบ้านหน้ากว้างสูงสุด 11 เมตร แบรนด์บ้านกลางเมือง The Edition และแกรนด์ พลีโน่  3.บุกตลาดทาวน์โฮม 2 ชั้นในเขตปริมณฑล ด้วยแบรนด์น้องใหม่ PLENO TOWN ด้วยราคาเริ่มต้น 1.89 ล้านบาท ตลาดบ้านเดี่ยว -วางแผนเป็นผู้นำในธุรกิจบ้านเดี่ยวอย่างต่อเนื่อง ด้วยส่วนแบ่งตลาด (Market Share) มากสุดเป็นอันดับ 1 ด้วยจำนวนยูนิตที่ขายได้มากสุดในตลาดบ้านเดี่ยวในเมืองและปริมณฑล (รอบปี 2558 - ครึ่งแรกปี 2564)  ผ่าน 3 แบรนด์​ ได้แก่ THE PALAZZO คฤหาสน์หรูในเซกเมนต์ซูเปอร์ลักชัวรี่ THE CITY บ้านเดี่ยวดีไซน์ใหม่เซกเมนต์ไฮเอนด์ และ CENTRO บ้านเดี่ยวดีไซน์โมเดิร์นสำหรับการเริ่มต้นครอบครัวเซกเมนต์กลางบน     -การบุกไปยังตลาดใหม่ในพื้นที่เขตปริมณฑล อย่างสมุทรสาคร และสมุทรปราการ ด้วยการเปิดตัวสินค้าใหม่ บ้านเดี่ยวระดับราคา 3-5 ล้านบาท ภายใต้ชื่อแบรนด์ใหม่ เพื่อมุ่งเจาะกลุ่ม Gen M และ Gen Z กับแบบบ้านดีไซน์ใหม่   คอนโดมิเนียม ตลาดคอนโดถือว่าได้ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว แต่ยังคงต้องดูในปีหน้าว่าจะกลับมาเติบโตมากน้อยเพียงใด แต่เชื่อว่าปี 65 เราจะเริ่มเห็นบางเซกเมนต์ที่ดีขึ้น อย่างเซกเมนต์กลางถึงกลางล่าง และถ้ากิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับสู่ปกติ การจราจรกลับมาติดขัดเหมือนเดิม น่าเป็นโอกาสที่ดีที่มีต่อตลาดคอนโด -เปิดตัว 5 คอนโดมิเนียมใหม่ มูลค่า 13,000 ล้านบาท -ชู ASPIRE เป็น Fighting Brand หลักบุกลุยตลาดแมส ด้วยราคาเริ่มต้นเพียง 1.99 ล้านบาท หรือเฉลี่ยเริ่มต้น 84,000 บาท/ตร.ม. ใน 4 ทำเล ได้แก่ 1.Aspire ปิ่นเกล้า-อรุณอมรินทร์ ซึ่งพร้อมเปิดพรีเซลในวันที่ 19-20 มีนาคมนี้ 2.Aspire รัชโยธิน  3.Aspire สุขุมวิท-พระราม 4 และ 4.Aspire อ่อนนุช สเตชั่น พร้อมด้วย LIFE พหล-ลาดพร้าว -ในปีนี้ยังเตรียมเปิด 3 คอนโดพร้อมอยู่ ที่ตอบทุกเซกเมนต์กับ 1.RHYTHM  เอกมัย เอสเตท  2.LIFE สาทร เชียร์ร่า และ 3.ASPIRE เอราวัณ ไพร์ม   "แน่นอนว่า บทเรียนที่เราเรียนรู้มาตลอด 2 ปีของการแพร่ระบาด วิธีการทุกอย่างที่เราเคยทำและเรียนรู้ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วทั้งสิ้น เรายังคงต้องเผชิญอยู่กับความท้าทายใหม่ ๆ โรคระบาดยังคงอยู่กับเราอย่างเลี่ยงไม่ได้ คาดว่าครึ่งปีแรกของปี 65 น่าจะยังคงไม่ต่างจากปีนี้ แต่เชื่อว่าช่วงครึ่งปีหลังถ้าทุกอย่างเป็นไปตามที่หวัง โลกรับมือกับโอมิครอนได้ดีขึ้น ยารักษาผลิตออกมาใช้งานได้จริง ก็เชื่อว่าเศรษฐกิจทั่วโลกน่าจะดีขึ้นเป็นลำดับ"  
โนเบิล  กวาดยอดจองหุ้นกู้ 1,800 ล้าน  ระดมทุนปั้นโปรเจ็กต์ 47,700 ล้าน รับอสังหาฯ ฟื้นตัว

โนเบิล กวาดยอดจองหุ้นกู้ 1,800 ล้าน ระดมทุนปั้นโปรเจ็กต์ 47,700 ล้าน รับอสังหาฯ ฟื้นตัว

หุ้นกู้ โนเบิล  เผยยอดขายหุ้นกู้ทะลุเป้า ทำได้ 1,800 ล้าน แม้มีสถานการณ์โควิด-19 เตรียมนำเงิน​ที่ได้ซื้อที่ดินปั้นโปรเจ็กต์แนวราบ พร้อมใช้เป็นทุนหมุนเวียนต่อยอดธุรกิจ เปิดโปรเจ็กต์ใหม่ 18 โครงการ มูลค่า  47,700 ล้าน  รองรับอสังหาฯ ฟื้นตัว   นายอรรถวิทย์ เฉลิมทรัพยากร กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการเงิน บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOBLE  เปิดเผยว่า แม้ว่าจะมีสถานการณ์โควิด-19 แต่​นักลงทุนยังมั่นใจในการดำเนินธุรกิจของโนเบิล มีการจองซื้อหุ้นกู้มาเป็นจำนวนมาก เกินกว่าจำนวนที่บริษัทตั้งเป้าไว้​ ส่งผลให้ต้องนำหุ้นกู้ที่สำรองเพื่อการเสนอขายเพิ่มเติมหรือ Greenshoe option จำนวน 300 ล้านบาทมาใช้ รวมเป็นมูลค่าหุ้นกู้ที่ออกและเสนอขายทั้งสิ้น 1,800 ล้านบาท หุ้นกู้โนเบิลต่อยอดธุรกิจ โดยเสนอขายหุ้นกู้ระหว่างวันที่ 25-27 มกราคม 2565 ที่ผ่านมา  ซึ่งโนเบิล มีแผนจะนำเงินส่วนหนึ่งไปใช้ในการซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการในแนวราบที่ยังเติบโตได้ดี ส่วนที่เหลือจะเก็บไว้เพื่อชำระคืนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดในช่วงเดือนมิถุนายน 2565 และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินกิจการ และในปีนี้โนเบิล ได้เตรียมความพร้อมรับมือกับการฟื้นตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ ด้วยการเตรียมเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 18 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 47,700 ล้านบาท ซึ่งโนเบิล มีเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนของการพัฒนาโครงการแนวราบ รวมถึงเพิ่มโครงการคอนโดมิเนียมแบบ Low Rise ในพอร์ตให้มากขึ้น เพื่อขยายพอร์ตให้มีสินค้าที่สามารถรองรับกลุ่มลูหกค้าได้หลากหลาย และครอบคลุมในหลายทำเล   กลุ่มผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า ปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนให้การตอบรับหุ้นกู้ของโนเบิลเป็นอย่างดีนั้น มาจากชื่อเสียงของโนเบิลมีประวัติการชำระหนี้ที่ดี ผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง รวมถึงแบรนด์สินค้าซึ่งเป็นที่ยอมรับในตลาดคอนโดมิเนียม ตลอดจนมียอดขายรอการรับรู้รายได้หรือ Backlog จำนวนมากที่จะช่วยประกันรายได้ในอนาคตของบริษัท ได้เป็นอย่างดี   นอกจากนี้ โนเบิลยังได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากทริสเรทติ้งที่ระดับ BBB และได้รับการปรับแนวโน้มอันดับเครดิตเป็น “Stable” ในปีที่ผ่านมา ในขณะที่หุ้นกู้ของบริษัทฯ ได้รับการปรับอันดับความน่าเชื่อถือขึ้นมาเป็น BBB แม้ในปี 2564 ที่ผ่านมาจะมีความไม่แน่นอนจากสถานการณ์โควิด-19 สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนการตัดสินใจของนักลงทุนในการลงทุนในหุ้นกู้ของโนเบิล ในครั้งนี้   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง 7 บิ๊กอสังหาฯ ระดมทุน ผ่าน "หุ้นกู้" 2 เดือนเฉียด 10,000 ล้าน
7 บิ๊กอสังหาฯ ระดมทุน ผ่าน “หุ้นกู้”  2 เดือนเฉียด 10,000 ล้าน

7 บิ๊กอสังหาฯ ระดมทุน ผ่าน “หุ้นกู้” 2 เดือนเฉียด 10,000 ล้าน

หุ้นกู้ 7 บิ๊กอสังหาฯ ออกรวมมูลค่าเฉียด 10,000 ล้าน เสนอดอกเบี้ย 3.1-7.5% นำเงินต่อยอดพัฒนาโครงการ พร้อมลุยธุรกิจปี 65 หลังจากปีที่ผ่านมามีการรดมทุนผ่านหุ้นกู้กว่า 270,000 ล้าน การระดมทุนเพื่อมาดำเนินธุรกิจ นอกจากจะมาจากส่วนของเจ้าของกินการและกรรมการ ที่จะนำออกมาใช้แล้ว การกู้ยืมเงินทุนกับสถาบันการเงิน ก็เป็นวิธีปกติที่ทุกธุรกิจเลือกที่จะใช้กัน แต่บางครั้งการกู้ยืมเงินกับสถาบันการเงิน ก็อาจจะไม่ได้คล่องตัวมากนัก หรือเจ้าของธุรกิจคงต้องมีหลักทรัพย์ หรือมีคุณสมบัติที่ดีพอในการจะไปกู้เงิน  นอกเหนือจากการกู้ยืมเงินกับสถาบันการเงินแล้ว วิธีการระดมทุนเพื่อมาใช้ดำเนินธุรกิจ หรือขยายกิจการ ก็ยังมีอีกหลายวิธี หนึ่งในวิธีที่บริษัทชั้นนำนิยมทำ โดยเฉพาะบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ คือ การระดมทุนผ่าน หุ้นกู้   โดยหุ้นกู้โดยทั่วไป จะมีการกำหนดมูลค่าไว้ที่หน่วยละ 1,000 บาท และหุ้นกู้ส่วนใหญ่มักกำหนดมูลค่าการซื้อขั้นต่ำไว้ที่ 100,000 บาท หรืออาจมากกว่านั้นในกรณีการขายให้นักลงทุนสถาบัน หรือนักลงทุนรายใหญ่  โดยผู้ซื้อหุ้นกู้จะมีสถานะเป็นเจ้าหนี้ ในขณะที่ผู้ออกหุ้นกู้จะมีสถานะเป็นลูกหนี้ที่มาขอยืมเงินพร้อมสัญญาว่าจะจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้คืนให้ผู้กู้ในอัตราที่แน่นอน ตามระยะเวลาของสัญญาการกู้เงิน เช่น หุ้นกู้อายุ 3 ปีจนถึง 10 ปี   สำหรับผลตอบแทนของหุ้นกู้จะอยู่ในรูปของดอกเบี้ย การจ่ายดอกเบี้ยจะจ่ายปีละ 2 ครั้ง หรือทุก ๆ 6 เดือน แต่สำหรับหุ้นกู้บางรุ่นอาจจ่ายปีละ 4 ครั้ง หรือทุก ๆ 3 เดือนก็ได้ และดอกเบี้ยที่ได้รับจากหุ้นกู้ต้องเสียภาษีหัก ณ ที่จ่ายที่ 15% เช่นเดียวกับรายได้จากดอกเบี้ยชนิดอื่น ๆ   ในแวดวงธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ บรรดาดีเวลลอปเปอร์จำนวนมากก็เลือกใช้วิธีการขายหุ้นกู้ เป็นหนึ่งในเครื่องมือทางการเงิน สำหรับการระดมทุนเพื่อมาต่อยอดธุรกิจ พัฒนาโครงการใหม่ เสริมสภาพคล่องทางธุรกิจ โดยในช่วงปี 2564 ที่ผ่านมา พบว่า บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ มีการระดมทุนผ่านการขายหุ้นกู้กว่า 270,000 ล้านบาทเลยทีเดียว สำหรับปี 2565 เฉพาะแค่ 2 เดือนแรก ก็พบว่ามีบริษัทอสังหาฯ เสนอขายหุ้นกู้แล้วเกือบ 10,000 ล้านบาท ยังไม่นับรวมบริษัท แลนด์​ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ที่ประกาศแผนว่าจะระดมทุนผ่านหุ้นกู้อีก 14,000 ล้านบาท ซึ่งยังไม่ได้ระบุว่าจะเริ่มเสนอขายเมื่อใดด้วย 5 ประโยชน์หุ้นกู้ รู้ไว้ก่อนจ่ายเงินซื้อ* สิ่งหนึ่งที่นักลงทุนให้ความสนใจในการลงทุนหรือซื้อหุ้นกู้นั้น คือ ผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ย ที่สูงกว่าอัตราเงินฝากธนาคาร แม้ว่าระยะเวลาการไถ่ถอนคืนจะมีระยะเวลาหลายปีก็ตาม แต่หากวัดจากอัตราดอกเบี้ยที่ได้รับ นักลงทุนที่มีเงินออมหรือไม่จำเป็นต้องรีบใช้เงิน จึงเลือกที่จะมาลงทุนในหุ้นกู้มากกว่า แต่อย่างไรก็ตาม  นักลงทุนที่ตัดสินใจซื้อหุ้นกู้ควรคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ ที่จะได้รับจากการลงทุน ก่อน​ ได้แก่ 1.อัตราผลตอบแทน   หุ้นกู้ของบริษัทเอกชน มักจะเสนออัตราผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลที่มีลักษณะและอายุคงเหลือใกล้เคียงกัน ผลตอบแทนสส่วนที่เพิ่มสูงขึ้นนี้ จะเป็นการชดเชยให้กับความเสี่ยงที่เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากหุ้นกู้ที่ออกโดยบริษัทเอกชนถือว่ามีความเสี่ยงในด้านการผิดนัดชำระหนี้ มากกว่าพันธบัตรรัฐบาล 2.เป็นแหล่งรายได้ประจำ   เนื่องจากหุ้นกู้และตราสารหนี้จ่ายดอกเบี้ยเป็นงวดๆ แก่ผู้ลงทุน และจะจ่ายคืนเงินต้นเมื่อครบกำหนดของอายุกุ้นกู้ หากนักลงทุนที่ต้องการรายได้ประจำ โดยที่เงินต้นของการลงทุนนั้นยังคงอยู่ครบ จึงอาจพิจารณาลงทุนในหุ้นกู้และตราสารหนี้อื่น ๆ ไว้ในพอร์ตการลงทุน ​​ 3.ความมั่นคงปลอดภัยของเงินลงทุน  นักลงทุนควรพิจารณาอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ที่ท่านลงทุน โดยอันดับความน่าเชื่อถือที่สูง ก็ถือว่ามีความปลอดภัยสูง หรือแปลได้ว่า มีความเสี่ยงที่จะไม่ได้รับชำระเงินคืนค่อนข้างต่ำ อันดับความน่าเชื่อถือนี้จะประเมินจากประวัติทางการเงินและความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ออกหุ้นกู้ ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กำหนดให้หุ้นกู้ที่ออกขายในประเทศไทยจะต้องได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ 4.การกระจายความเสี่ยงของการลงทุน  หุ้นกู้อาจถือว่าเป็นเครื่องมือการลงทุนที่ตอบสนองต่อวัตถุประสงค์ของความต้องการของนักลงทุนในเรื่องการกระจายความเสี่ยง โดยนักลงทุนสามารถกระจายการลงทุนไปสู่ธุรกิจประเภทต่าง ๆ โดยมีอันดับความน่าเชื่อถือที่หบากหลายได้ 5.สามารถซื้อขายเปลี่ยนมือได้   หุ้นกู้ สามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนมือกันได้ในตลาดรอง โดยไม่ต้องรอให้ถึงวันครบกำหนดอายุ อย่างไรก็ตาม สภาพคล่องการซื้อขายอาจแตกต่างไปตามขนาดและเงื่อนไขของแต่ละหุ้นกู้ บิ๊กอสังหาฯ​เสนอขายหุ้นกู้เฉียด 10,000 ล้าน สำหรับในช่วงเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ 2565 บริษัทอสังหาฯ ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ได้มีการเสนอขายหุ้นกู้ให้กับประชาชนทั่วไป และนักลงทุนสถาบัน 7 บริษัท รวมวงเงินเบื้องต้น 9,950 ล้านบาท โดยมีผลตอบแทนเป็นอัตราดอกเบี้ยตั้งแต่ 3.1-7.5% ต่อปี อนันดา ขายหุ้นได้ตามเป้า 5,000 ล้าน บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ANAN ได้เสนอขายหุ้นกู้รุ่น 1 อายุ 1 ปี 6 เดือน ผลตอบแทน 4.50% ต่อปี และรุ่นอายุ 2 ปี 6 เดือน ผลตอบแทน 5.40% ต่อปี ซึ่งได้เสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไปและผู้ลงทุนสถาบัน ในวันที่ 11-13 มกราคม 2565 ผ่านสถาบันการเงิน 7 แห่ง ที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ได้แก่  ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย ซีมิโก้ จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด   สำหรับหุ้นกู้ของบริษัทได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อจากบริษัท ทริส เรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2564 ที่ระดับ "BBB-" เช่นเดียวกับอันดับเครดิตองค์กร และมีแนวโน้ม "คงที่" (Stable) โดยตั้งเป้าเสนอขายหุ้นกู้ 5,000 ล้านบาท ซึ่งภายหลังจากการเปิดจำหน่ายก็สามารถขายได้ตามเป้าที่วางเอาไว้ แม้ว่าในสภาวะที่ตลาดตราสารหนี้ยังคงได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง ซึ่งในเดือนกุมภาพันธ์ 2565 บริษัทฯ มีแผนไถ่ถอนหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ ที่ถึงกำหนด 5 ปี จำนวน 770 ล้านบาทและเดือนมีนาคม 2565 จำนวน 230 ล้านบาท หุ้นกู้ดิจิทัล “แสนสิริ” ขายเกลี้ยงไม่ถึง 4 วิ. บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) (SIRI) ได้มีการเสนอขายหุ้นกู้ในนรูปแบบใหม่ ด้วยการซื้อผ่านแอปพลิเคชั่น “เป๋าตัง” ที่มีมูลค่าเสนอขาย 2,000 ล้านบาท ในวันที่ 18 มกราคมที่ผ่านมา โดยให้ผลตอบแทนดอกเบี้ยคงที่ 3.10% ต่อปี ระยะเวลาลงทุนเพียง 2 ปี 6 เดือน รับดอกเบี้ยทุก 3 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ เมื่อเปิดขายหุ้นกู้สามารถมียอดจองซื้อเต็มมูมูลค่าเสนอขาย 2,000 ล้านบาท ในระยะเวลาเพียง 3 นาที 38 วินาที โดยเป็นหุ้นกู้ดิจิทัลแสนสิริตามแผนการเสนอขาย 1,000 ล้านบาท และมีหุ้นกู้สำรองเพื่อการเสนอขายเพิ่มเติม (กรีนชู) อีกจำนวน 1,000 ล้านบาท  จากนักลงทุนจำนวน 5,800 ราย ซึ่งเป็นนักลงทุนรายย่อยที่เข้าถึงหุ้นกู้ดิจิทัลแสนสิริ แกรนด์ แอสเสทฯ ขายหุ้นกู้ ดอกเบี้ย 7% บริษัท ​แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (GRAND) ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อออกและเสนอขายหุ้นกู้มีประกันมูลค่าไม่เกิน 1,000 ล้านบาท อายุ 1 ปี 6 เดือน ซึ่งผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนวันครบกำหนดไถ่ถอน มีอัตราดอกเบี้ยคงที่ 7%  ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ โดยเสนอขายให้ผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือผู้ลงทุนรายใหญ่ ระหว่างวันที่ 24-26 ม.ค.65 ผ่าน บล.โกลเบล็ก บล.กรุงไทย ซีมีโก้ และ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) โดยบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ "BB-" แนวโน้มอันดับเครดิต"Negative" เมื่อวันที่ 19 มี.ค.64   สำหรับหลักประกัน ได้แก่ หลักประกันประเภทอสังหาริมทรัพย์มูลค่าไม่น้อยกว่า 1.05 เท่าของมูลค่าหุ้นกู้ที่จำหน่ายได้ ได้แก่ ที่ดินระยอง และห้องชุดโครงการไฮด์ สุขุมวิท 11 และ หลักประกันประเภทหุ้น มูลค่าไม่น้อยกว่า 0.54 เท่า ของมูลค่าหุ้นกู้ที่จำหน่ายได้ ได้แก่ หุ้นสามัญของบมจ.โรงแรมรอยัลออคิด(ประเทศไทย)  (ROH)  บริษัทมีวัตถุประสงค์จะนำเงินที่ได้มาใช้ชำระคืนหนี้สถาบันการเงิน จำนวน 380 ล้านบาท และที่เหลือ 620 ล้านบาทใช้ชำระคืนหนี้หุ้นกู้ที่จะครบกำหนดเดือน ก.พ.65 จำนวน 1,489 ล้านบาท โนเบิล ขายหุ้นระดมทุนพัฒนาโครงการใหม่ บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOBLE   หลังจากได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลเพื่อขออนุญาตและเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. ไปเมื่อช่วงเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ขณะนี้บริษัทได้รับอนุญาตให้เสนอขายหุ้นกู้จากสำนักงาน ก.ล.ต. เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยเป็นการออกและเสนอขายหุ้นกู้ให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป และผู้ลงทุนสถาบัน อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ย 4.60% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก ๆ 3 เดือน จองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณทุก ๆ 100,000 บาท เสนอขายระหว่างวันที่ 25-27 มกราคม 2565 นี้ โดยวัตถุประสงค์ในการออกหุ้นกู้ครั้งนี้เพื่อขยายการลงทุนและการพัฒนาโครงการใหม่ ๆ โดยเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในแนวราบมากขึ้นรวมถึงการลงทุนในบริษัทร่วมทุน ทั้งนี้บริษัทฯและหุ้นกู้ที่ออกในครั้งนี้ ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2565 ที่ระดับ “BBB” แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” ซึ่งหุ้นกู้ที่ออกครั้งนี้และหุ้นกู้ชุดอื่น ๆ ของบริษัทฯ ในปัจจุบันได้รับการเพิ่มอันดับเครดิตจากเดิมที่ระดับ “BBB-” มาที่ระดับ “BBB” เช่นเดียวกัน ไรมอนแลนด์ ขายหุ้นกู้ 300 ล้าน บริษัท  ไรมอนแลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ ​ RML ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อออกและเสนอขายหุ้นกู้มีประกันของบริษัท ครั้งที่ 1/2565 มูลค่าไม่เกิน 300 ล้านบาท อายุ 1 ปี 3 เดือน ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2566 มีอัตราดอกเบี้ยคงที่  6.25% ต่อปี ชำระดอกเบี้ยทุก 3 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ เสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือ ผู้ลงทุนรายใหญ่ ระหว่างวันที่ 8-10 ก.พ.65 โดยมีผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ได้แก่ บล.คิงส์ฟอร์ด บล.ยูโอบีเคย์เฮียน (ประเทศไทย) บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด จัดอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ CCC(tha) เมื่อวันที่ 29 ธ.ค.64 ซึ่งบริษัทมีวัตถุประสงค์จะนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นกู้ครั้งนี้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจในปี 65-66 ไซมิส ขายหุ้นกู้ 1,200 ล้าน ต่อยอดธุรกิจ บริษัท ไซมิส แอสเสท จำกัด (มหาชน) หรือ SA ได้ออกหุ้นกู้จำนวน 2 ชุด วงเงินไม่เกิน 1,200 ล้านบาท  โดยแบ่งเป็นชุดที่ 1 หุ้นกู้ ผลตอบแทน 6.25% อายุ 2 ปี 6 เดือน มีหลักประกัน จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน และชุด 2​ หุ้นกู้ ผลตอบแทน 6.8% อายุ 2 ปี ไม่มีหลักประกัน จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน โดยเปิดขายระหว่างวันที่ 11 และ 14 – 15 ก.พ.นี้   โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำเงินไปต่อยอดในธุรกิจต่าง ๆ เช่น Recurring Income, F&B, Cloud Kitchen, AMC, Technology, Wellness, พัฒนาโครงการแนวราบต่าง ๆ และบางส่วนนำเงินไปไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนครบกำหนด  โดยธุรกิจใหม่ๆ นี้ จะสร้างรายได้เพื่อการเติบโตแบบยั่งยืน  อีกทั้งจะทำให้มีการกระจายแหล่งที่มาของรายได้ ตอบโจทย์แผนธุรกิจระยะยาว ออลอินสไปร์ ระดมขายหุ้นกู้ 450 ล้าน บริษัท ​ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ALL ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อออกและเสนอขายหุ้นกู้มีประกันของบริษัท ครั้งที่ 1/2565 มูลค่าไม่เกิน 450 ล้านบาท ชุดที่ 1 หุ้นกู้อายุ 2 ปี ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2567 มีอัตราดอกเบี้ยคงที่ 7.00% ต่อปี ชำระดอกเบี้ยทุก 3 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ และชุดที่ 2 หุ้นกู้อายุ 3 ปี ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2568 มีอัตราดอกเบี้ยคงที่ 7.50% ต่อปี ชำระดอกเบี้ยทุก 3 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้   โดยหุ้นกู้ดังกล่าวจะเสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือผู้ลงทุนรายใหญ่ ระหว่างวันที่ 17-18 และ 21-22 ก.พ.65 ผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ได้แก่  บล.เอเอสแอล บล.บียอนด์ บล.คันทรี่กรุ๊ป  และ บล.อาร์เอชบี (ประเทศไทย) สำหรับหลักประกัน ได้แก่ ที่ดินเปล่ารวมถึงส่วนควบบนที่ดินที่จะมีขึ้นในอนาคต และ กรรมสิทธิ์ห้อง โครงการ The Excel Ratchada 18 และโครงการ The Excel Ladprao-Sutthisan โดยดำรงมูลค่าทรัพย์สินที่เป็นประกันในอัตราส่วนไม่น้อยกว่า 1:1 เท่า บริษัทมีวัตถุประสงค์นำเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นกู้ครั้งนี้ เพื่อใช้ชำระคืนหุ้นกู้ ALL222A ที่จะครบกำหนด 28 ก.พ.65 ประมาณ 413 ล้านบาท เพื่อใช้เป็นเงินหมุนเวียนในกิจการ และในโครงการที่มีอยู่ปัจจุบัน ประมาณ 37 ล้านบาท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ วางแผนขายหุ้นกู้ 14,000 ล้าน สำหรับบริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH ​มีแผนที่จะออกหุ้นกู้อีกจำนวน 14,000 ล้านบาทในปี 2565 นี้ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนจะอยู่ในระดับที่ลดลงจากสิ้นปี 2564 โดยอยู่ในระดับที่ไม่เกิน 100% ซึ่งในปี 2564 บริษัทได้มีการออกหุ้นกู้มูลค่ารวม 16,000 ล้านบาท ระยะเวลา 2-3 ปี อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 1.40% ต่อปี โดยปัจจุบันยังไม่มีรายละเอียดการจำหน่ายหุ้นกู้ออกมา ​​   ที่มา : *ดีดี พร็อพเพอร์ตี้ www.set.or.th, Reviewyourliving รวมรวม
Atmoz Sriracha “Twist Happiness” ทำให้วันธรรมดา ไม่ธรรมดา

Atmoz Sriracha “Twist Happiness” ทำให้วันธรรมดา ไม่ธรรมดา

แอทโมซ ศรีราชา Atmoz Sriracha "Twist Happiness" ที่จะช่วยเปลี่ยนโหมดวันธรรมดาของคุณ ให้กลายเป็นวันสุดพิเศษ ใช้ชีวิตเหมือนอยู่บนเรือสำราญเพราะการออกแบบตัวอาคาร รูปทรงเหมือนเรือสำราญ Atmoz Sriracha  “Twist Happiness”  ทำให้วันธรรมดา ไม่ธรรมดา แอทโมซ ศรีราชา Atmoz Srirachaโครงการตั้งอยู่ที่ ศรีราชา ติดถนนสุขุมวิท ใกล้นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง บริษัทเอกชนต่าง ๆ สถานศึกษาใหญ่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศรีราชาตั้งอยู่ตรงข้าม ห่างไปไม่ไกลห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลศรีราชา และโรงพยาบาลกรุงเทพ อีกยังไม่ไกลสนามบินอู่ตะเภา ในอนาคตรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินเสร็จ จะยิ่งสะดวกขึ้น   แอทโมซ ศรีราชา Atmoz Sriracha โครงการนี้วางแผนไปถึง น้องๆที่ ศึกษาในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศรีราชา ที่มีสาขา ภาควิชา เฉพาะที่สามารถทำงานต่อใน นิคมอุตสาหกรรม โรงงานได้เลย เพราะฉะนั้นการวางแผนจะอยู่อาศัยที่นี้ได้ยาวๆ   แอทโมซศรีราชา (Atmoz Sriracha) โครงการคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์สไตล์ Modern Mid-Century สูง 8 ชั้น 3 อาคาร จำนวน 539 ยูนิต บนพื้นที่ประมาณ 3-3-71.3 ไร่ ห้องชุดแบ่งออกเป็น 4 Type ห้อง 1 bedroom                     ขนาด 22 – 23 ตร.ม. ห้อง 1 bedroom Extra          ขนาด 24 – 25 ตร.ม. ห้อง 1 bedroom Exclusive   ขนาด 27 – 34 ตร.ม. ห้อง 1 bedroom Plus            ขนาด 35 – 46 ตร.ม. ขายพร้อมเฟอร์นิเจอร์แบบ Fully Furnished แอทโมซ ศรีราชา (Atmoz Sriracha)ส่วนกลางครบมากกว่า 20 รายการ ใน 5 โซน ที่เปิดให้บริการตลอด 24 ชม. ELEGANT CLUB INSPIRATION ROOM, CO-CREATIVE SPACE และ SUNKEN COURTYARD มาพร้อมCRUISE CLUB ที่รวบรวมความสนุกสนานไว้มากมาย ได้แก่ GAME ROOM, KARAOKE & THEATER ROOM, LAP POOL และ CO-KITCHEN & PARTY ROOM ROOF CLUB นอกจากนี้ยังมี ROOF CLUB พื้นที่ชั้นดาดฟ้า อย่าง GLAMPING ZONE และ ENERGETIC ZONE   สิ่งอำนวยความสะดวกครบ ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.59 ล้านบาท ให้ชมห้องตัวอย่างแล้ว โครงการพัฒนาโดย  บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับ Atmoz  Atmoz แจ้งวัฒนะ คอนโดสไตล์รีสอร์ท Atmoz Ratchada-Huaikwang-แอทโมซ รัชดา-ห้วยขวาง : รีวิวคอนโด Atmoz Ladprao 15 – แอทโมซ ลาดพร้าว 15 : รีวิวคอนโด  
4 สูตร (ไม่) ลับ “Be-Think-Do-Say” สร้างแบรนด์ “อสังหาฯ” ให้เป็นผู้นำธุรกิจ

4 สูตร (ไม่) ลับ “Be-Think-Do-Say” สร้างแบรนด์ “อสังหาฯ” ให้เป็นผู้นำธุรกิจ

ต้องยอมรับว่าจากการเข้ามาของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้โลกเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ทั้งชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนทั่วไป รวมถึงการดำเนินธุรกิจของธุรกิจต่าง ๆ ที่ต้องปรับเปลี่ยนตามให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคด้วย และไม่เพียงแต่การดำเนินธุรกิจที่จะต้องตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคให้ได้เท่านั้น   แต่การดำเนินธุรกิจต้องสามารถก้าวขึ้นมาเป็นแบรนด์ผู้นำตลาด หรือ LEADERSHIP BRAND เพื่อครองใจตลาดและผู้บริโภคให้ได้ เพราะยุคปัจจุบันผู้บริโภคจงรักภักดีต่อแบรนด์ลดน้อยลง และไม่ได้รักหรือชอบสิ่งใดสิ่งหนึ่งแต่เพียงอย่างเดียว ผู้บริโภคพร้อมจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตัวเองได้ตลอดเวลาด้วย   สำหรับการสร้างแบรนด์ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์  แม้ว่าคนส่วนใหญ่เลือกซื้อบ้านหรือคอนโดมิเนียม จากทำเลที่ตั้ง วัสดุก่อสร้าง ราคาหรือโปรโมชั่น แต่เรื่องของแบรนด์ก็ถือว่ามีความสำคัญ เพราะจะสะท้อนกลับมาถึงสิ่งต่าง ๆ ดังกล่าว ที่จะทำให้ลูกค้าเกิดความเชื่อมั่นว่า เป็นสินค้าที่มีคุณภาพดี ราคายุติธรรม การสร้างแบรนด์อสังหาฯ ในยุคปัจจุบันจึงเป็นสิ่งจำเป็นไม่แพ้กับธุรกิจอื่น ๆ โดยสูตรลับการสร้างแบรนด์ที่สำคัญ ประกอบด้วย “Be-Think-Do-Say” ที่ถือว่าเป็นหัวใจที่จะทำให้แบรนด์เป็นที่ยอมรับและเข้าไปนั่งในใจของลูกค้า ซึ่ง “ดลชัย บุณยะรัตเวช ประธานและประธานบริหารฝ่ายกลยุทธ์ บริษัท อินสปิริตี้ พาร์ทเนอร์ชิพ จำกัด ​ ได้มาถ่ายทอดเคล็ดลับดังกล่าว ในหัวข้อ “Brand Leadership & Brand Portfolio Management” ภายในงาน TerraHint Brand Series 2021 – Develop the leadership brand in a game changing way พลิกเกม เปลี่ยนแบรนด์สู่ผู้นำ   Consumer Paradox ผู้บริโภคหลายใจในยุคโควิด ปัจจุบันการก้าวสู่แบรนด์ผู้นำ หรือ LEADERSHIP BRAND อาจจะไม่ใช่เรื่องยาก เพราะโลกมีการเปลี่ยนแปลง สังคมและสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลง ที่ส่งผลให้การดำเนินธุรกิจเปลี่ยนแปลงไปมาก ทำให้การสร้างแบรนด์ได้รับปัจจัยสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอิทธิพลจากการเปลี่ยนแปลงจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19   สำหรับคำว่า LEADERSHIP BRAND มีความหมายว่า เป็นแบรนด์ที่มีอำนาจในการสื่อสาร IDENTITY หรืออัตลักษณ์ของตัวเองอย่างสม่ำเสมอ และสามารถแสดงความโดดเด่น หรือพิเศษอย่างมั่นคง และที่สำคัญจะต้องสื่อสารในสิ่งที่ ตัวเองเชื่อ และสัญญากับสังคมได้ สามารถจะส่งมอบคุณค่าของแบรนด์ได้ตลอดเวลา แต่สิ่งสำคัญเราจะสร้างแบรนด์ เพื่อครองใจตลาดและผู้บริโภค ในยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ภายใต้ยุค New Normal โดยเฉพาะพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป   โดยปัจจุบัน พบว่า พฤติกรรมผู้บริโภคในยุค New Normal มีการเปลี่ยนแปลงใน 4 มุมด้วยกัน ดังนี้ 1.Changing the Channel ช่องทางในการติดต่อสื่อสารที่เปลี่ยนแปลง  มีความเป็นดิจิตอลมากขึ้น แต่ขณะเดียวกันการติดต่อแบบ Physical ก็ยังจำเป็น เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม สองโลกต้องไปด้วยกัน 2.Shift  to Value การใช้จ่ายที่คิดแล้วคิดอีก เพราะเงินหายาก กว่าจะซื้ออะไรได้จะคิดมากขึ้น 3.Healthy, safety and Local คนให้คนสำคัญกับเรื่องของสุขภาพ การนอนหลับที่ดี การมีสมาธิ และความปลอดภัย การใช้จ่ายภายในประเทศ 4.Shock to Loyalty รอยัลตี้ของแบรนด์น้อยลง  ผู้บริโภคยุคปัจจุบัน พร้อมจะเปลี่ยนไปซื้อสินค้าแบรนด์อื่นได้ง่ายขึ้น เพราะเน้นในเรื่องของความสะดวสบาย อะไรที่ใกล้ตัวและสะดวกก็จะเลือกซื้อแบรนด์นั้น จากพฤติกรรมผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพมากขึ้น คำนึงถึงเรื่องความปลอดภัย ส่งผลให้เกิดพฤติกรรมผู้บริโภค ที่ถือว่าเป็น​เทรนด์ใหม่ คือ Consumer paradox ซึ่งหมายถึง ผู้บริโภคมีความต้องการ 2 อย่างในตัวเอง ไม่ได้มีความต้องการด้านเดียว มักจะมี 2 มุมเสมอ และบางครั้งก็ขัดแย้งกันเอง ซึ่งแบรน์จะต้องตอบสนองเขาให้ได้ เป็นเทรนด์ที่ผู้บริโภคยุคปัจจุบันมีความหลายใจ บางครั้ง อยากได้ Digital world แล้วก็อยากได้ Physical world ด้วย บางครั้งก็อยากได้ Social time และก็อยากได้เวลาของตัวเองด้วย ดังนั้น แบรนด์จะต้องมีความเข้าใจผู้บริโภคตลอดเวลา ผู้บริโภคเปลี่ยนไป ทั้ง Demographic จิตวิทยา  ค่านิยม  แบรนด์จึงอยู่เฉยไม่ได้ ต้องจับให้ได้และต้องเข้าใจ  เพราะแบรนด์คือการสร้างความสัมพันธ์ (Brand is a relationship) ระหว่างธุรกิจกับผู้บริโภค ถ้าความสัมพันธ์ไม่แข็งแรงแบรนด์ก็ไปต่อไม่ได้ เพราะฉะนั้น Brand ต้องเป็น Paradox หมายถึงการมี 2 มิติ มีเพียงมิติเดียวไม่ได้ เพื่อตอบสนองความต้องการ 2 มิติของผู้บริโภค เหมือนหยิน-หยาง มีจุดแข็งและจุดอ่อนนุ่ม ทุกอย่างต้องมี 2 มิติเสมอ  เป็นเทรนด์ใหม่ของการสร้างแบรนด์ 4 สูตรสร้างแบรนด์ “Be-Think-Do-Say”​ ส่วนองค์ประกอบหลักในการสร้างแบรนด์ มีด้วยกัน 3 มุม ที่จะต้องรู้ ประกอบด้วย 1.BRADD PURPOSE เป้าหมายของแบรนด์เราต้องรู้ว่า คุณค่าและกลยุทธ์องค์กร เป็นอย่างไร และต้องมีความชัดเจน 2.CONSUMER NEEDS ที่เปลี่ยนแปลงไปจากอดีต 3.WORLD NEEDS เป็นอย่างไร หลังจากสังคมเกิดโรคระบาดขึ้น แบรนด์สามารถปรับตัวเข้ากับสังคมใหม่ได้อย่างไร การสร้างแบรนด์จะต้องนำเอาองค์ประกอบทั้ง 3 มาพิจารณา และสามารถปรับให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นให้ได้ ซึ่งวิธีการทำงานในสร้างแบรนด์ที่ถูกต้อง  จะต้องเริ่มต้นด้วย 1.DEFINE ว่าบริบทเป็นอย่างไร ความท้าทายเป็นอย่างไร กลุ่มเป้าหมายเป็นอย่างไร 2.ALIGN การนำเอาทุกอย่างมาปรับให้เข้ากัน ทั้งองค์กร สิ่งแวดล้อม กลุ่มเป้าหมาย 3.PROJECT เมื่อนำทุกอย่างมาจัดการให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน หรือ ALIGN เข้าด้วยกันแล้ว จึงทำเป็นแบรนด์ให้เป็นแฟลตฟอร์มออกไป เมื่อทุกอย่างนิ่งแล้วทำเป็น PROJECT โดยเฉพาะแบรนด์อสังหาริมทรัพย์​ ถ้าเรามีกลยุทธ์แบรนด์ที่นิ่ง ทุกอย่างสัมพันธ์กันหมดแล้ว สามารถทำโปรเจ็กต์ที่ถูกต้อง   สำหรับวิธีการสร้างแบรนด์ เพื่อก้าวไปสู่ความเป็นผู้นำ จะต้องประกอบไปด้วย 4 องค์ประกอบสำคัญ คือ “Be-Think-Do-Say” 1.Be : Brand essence, Brand purpose, Brand positioning การสร้างแบรนด์ต้องเริ่มต้นด้วยกความเข้าใจ Being ตัวเองก่อน คำว่า Being ไม่ใช่แค่บุคลิกภาพ แต่รวมถึง Spirit  จิตวิญญาณของแบรนด์ว่าเป็นอย่างไร 2.Think: Brand idea, Brand portfolio/architecture, Brand identity เมื่อรู้จักตัวเองแล้วจะรู้วิธีคิด ว่าอสังหาฯ ​จะต้องมีไอเดียอย่างไร มีคอนเซ็ปต์อย่างไร 3.Do: Brand culture, Brand expression , Brand behavior เมื่อได้ไอเดียและคอนเซ็ปต์แล้ว แต่อย่างสื่อสารการตลาด แต่ต้องทำให้เห็นก่อน Doing จึงหมายถึง คุณจะต้องสร้างวัฒนธรรมแบรนด์ให้ชัดเจน พนักงานทุกคนต้องเข้าใจ การแสดงออกจะเป็นอย่างไร ต้องวางแผนให้ดี Portfolio จะเป็นอย่างไร สินค้าจะมีอะไรบ้าง 4.Say : Brand communication, Brand narrative, Identity expression หลังจากทำกระบวนการในขั้นตอน Do แล้วค่อยสื่อสารการตลาด หรือ Saying ออกไป ซึ่งถือเป็นอันดับสุดท้ายของการสร้างแบรนด์ ค้นหาตัวตนของแบรนด์ ในการสร้างแบรนด์สู่การเป็นผู้นำ จุดเริ่มต้นต้องค้นหาตัวตนที่แท้จริง หรือ Be authentic ของแบรนด์ให้ได้  ต้องเข้าใจตัวตนของแบรนด์อสังหาฯ​ ที่แท้จริงของคุณว่าเป็นอย่างไร คำว่า​ authentic ซึ่งหมายถึง ตัวจริง ของแท้ คุณจะต้องหาจิตวิญญาณที่แท้จริงของตัวเองให้ชัดเจน ซึ่งวิธีการหาจะใช้การเริ่มต้นด้วยการตั้งคำถาม We are….. Why we are…..    เป็นคำถามที่ต้องถามตัวเอง เราเป็นใครกันแน่? โดยมีเคล็ดลับในการหาคำตอบให้กับตนเอง ด้วยการตั้งคำถาม Who are you เพราะการที่คุณเป็นอะไร มันจะสะท้อนสิ่งที่คุณทำ คุณครีเอท และมาจากคนที่รู้จักคุณ​ เป็น 3 มุม ที่บ่งบอกว่าตัวคุณเป็นใคร  ผู้บริโภคคุณเป็นใคร สิ่งที่คุณอยากครีเอทคืออะไร สิ่งที่จะอยากทำคืออะไร  อันนี้เป็นตัวบ่งบอกว่าคุณ คือ ใคร   นอกจากนี้ ยังจะต้องสร้างภาพแบรนด์ให้มีความเป็นมนุษย์ให้ได้ เพื่อสร้างบุคลิกของแบรนด์ หรือวัฒนธรรมของตนเองให้ตลอดรอดฝั่ง เพราะยุคนี้  UNIQUE SELLING POINT ไม่มีแล้ว  ทุกอย่างมันเหมือนกันหมด เทคโนโลยีมันตามกันทัน เราจะทำอย่างไร ที่จะสร้างบ้านให้แตกต่าง สิ่งที่อยากแนะนำให้แบรนด์อสังหาฯ ทำคือ SPIRITUAL IDENTITY อัตลักษณ์ทางจิตวิญญาณ เป็นเทรนด์ใหม่ล่าสุด ถ้าทุกแบรนด์เข้าใจ จะไปต่อได้ง่ายและโดดเด่น แสดงความเป็น LEADSHIP ได้ง่าย ค้นหาตัวตนจากบทบาทที่แสดง อีกวิธีในการค้นหาตัวตนของแบรนด์ ด้วยการค้นหาบทบาทที่แบรนด์กำลังแสดง หรือ BRAND ARCHETYPES บทบาทของแบรนด์ ถ้าสมมุตว่าแบรนด์กำลังเล่นละครอยู่ คุณกำลังแสดง​บทบาทไหนอยู่ เป็นตัวละครแบบไหน ในโลกนี้มีจะมี 12 บทพื้นฐานที่คนแสดงออกมา แต่การทำงานจริงอาจจะมีมากกว่านี้ ขึ้นอยู่กับบริบทที่จะเกิดขึ้น เช่น ถ้าเป็นบท Creator ​ก็เป็นคนมีความคิด ถ้าเป็น Explorer  คุณก็เป็นคนที่ชอบค้นพบอะไรใหม่ ๆ Outlaw ชอบแหกกฎ Jester เป็นคนสนุกสนาน Lover  คนโรแมนติกสวยงาม Caregiver  มอบความรักความเอาใจใส่ให้กับคน Everyman คนง่าย ๆ สบาย ๆ ติดดิน Innocent เป็นคนไม่มีพิษไม่มีภัย Ruler ผู้นำ  Sage นักปราชญ  Magicianคนชอบเสกอะไรใหม่  Hero คามเป็นผู้นำ   นอกจากนี้ ในการสร้างแบรนด์สิ่งสำคัญที่นักสร้างแบรนด์ต้องทำ คือ การเล่นกับสมองผู้บริโภค ทั้ง 2 ด้าน คือ ​ แบรดน์ที่ดีจะต้องเล่นกับสมองซีกขวา อารมณ์ ความรู้สึก จิตนาการ  ส่วนโปรดักส์และฟังก์ชั่น ต้องเล่นกับสมองซีกซ้าย หมายถึงว่า  ถ้าแบรนด์อสังหาฯ สร้างแบรนด์ให้โดนใจ โดนความรู้สึก  ทุกอย่างต้องไปด้วยกันทั้งสมองซีกซ้ายและขวา หรือ ต้องมี Head กับ Heart คือ มีทั้งลอจิกส์และความรู้สึก (หัวใจ) คน   แบรนด์แอปเปิ้ล Think different เขาเล่นสองบทบาท คือ บท Creator และ Rebel นักขบถ สตีฟ จอบส์ เขาเป็นนักสร้างสรรค์และนักขบถด้วย แบรนด์อิเกีย เป็นแบรนด์ Regular guy  คือ เป็นแบรนด์ง่าย ๆ ติดดิน แต่มุมที่สอง มีความเป็น Creator   ค้นหา Big idea สร้างตัวตน เมื่อเข้าใจตัวตนของแบรนด์แล้วว่าเป็นใคร สิ่งที่ต้องทำต่อมา คือ กระบวนการ Think ด้วย การหา Big idea  ที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้ไปทำอะไรต่อไป การหา Big idea สามารถหาได้ 2 มุม คือ มุมที่เด่น Differentiated Value และ มุมที่คุณมี โดน Relevance Value โดย Big idea จะเป็นตัวกลางเชื่อมระหว่างทั้ง 2 เรื่องดังกล่าว ​ Big idea ที่ดี จะต้องมี 2 ด้านดังกล่าว ซึ่งอาจะเปรียบเทียบได้ว่าจะต้องมีทั้ง Head และ Heart คือ หัวใจและสมอง ซึ่งหัวใจต้องมีความชัดเจน ตรงโดดเด่นไม่เหมือนคนอื่น ต้องเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย   สำหรับ Big idea มีประโยชน์ในการใช้งานทั้งภายในองค์กร และภายนอกองค์กร ประโยชน์ของ Big idea ที่ใช้ภายในองค์กร คือ 1.Team attitude คือการสร้างทีมของคุณ ให้มีทัศนคติเดียวกัน 2.Product innovation and design สามารถสร้างสินค้า ดีไซน์สินค้า และกลยุทธ์สินค้าภายใน 3.Internal communication สื่อสารภายในองค์กรให้ทุกคนเข้าใจว่าแบรนด์เป็นอย่างไร 4.Organiztion Identity อัตลักษณ์ขององค์กร ต้องแสดงกายภาพ แบบไหน การแสดงออกอย่างไร ว่าเป็นคนในองค์กรนี้   ประโยชน์ของ Big idea ที่ใช้ภายนอกองค์กร  คือ 1.Brand representative behavior อย่างเซล หรือแอมบาสเดอร์ ที่จะออกไปพบสังคม จะต้องทำตัวอย่างไร​ 2.Products delivery การส่งมอบสินค้าจะเป็นอย่างไร 3.External narrative การสร้างเรื่องราวภายนอกจะเป็นอย่างไร การโฆษณาประชาสัมพันธ์​ 4.Expression identity (Look and feel) การแสดงออก รูป รส กลิ่นเสียง จะเป็นอย่างไร ทำก่อน "พูด" ให้แบรนด์มีพลัง​ เมื่อเรามีไอเดียแล้ว ต้องรู้วิธีการทำงาน อย่าเพิ่งสื่อสารออกไป ต้องทำให้เห็นจริงก่อน หรือ Do provide value อย่ารีบพูด "Actions speak louder than words" อย่ารีบสร้างสโลแกน ทำให้เห็นก่อน สมัยนี้แนวทางการสร้างแบรนด์ไม่ใช่ Story telling แต่เป็น Story doing ทำแบรนด์ให้จับต้องได้ แล้วจะชนะเกมทุกอย่างในยุคนี้ Show…don’t tell ทำทุกอย่างให้เห็น ด้วยกลยุทธ์ของการบริหารแบรนด์ หรือ  Brand Portfolio Strategy   การบริหารแบรนด์อย่างไรให้เป็นผู้นำ  จะต้องบริหารแบรนด์ให้มีพลัง ด้วยใช้กลยุทธ์  Brand Portfolio Strategy เริ่มต้นจากการตั้งคำถามมีแบรนด์ไปเพื่อใคร ทำแบรนด์ไปทำไม มีสินค้าเพื่อใคร จะต้องมีแบรนด์ลูกด้วยหรือไม่ ต้องจัดพอร์ตสินค้าให้มีความชัดเจน ผู้บริโภคจะได้เข้าใจและสามารถเข้าถึงแบรนด์ได้ ซึ่งโดยปกติบนโลกนี้โครงสร้างของแบรนด์ หรือ Brand Architectures จะมีแบบมาตรฐานด้วยกัน 3 รูปแบบ 1.Masterbrand หมายถึง ทุกแบรนด์ในองค์กรใช้ชื่อแบรนด์แม่มาช่วยในการดำเนินธุรกิจ เช่น กลุ่ม HYATT 2.Endossed หมายถึง แบรนด์แม่สร้างแบรนด์ลูก แล้วแบรนด์แม่มาช่วยสนับสนุนในการสร้างแบรนด์ เช่น กลุ่ม MARRIOTT 3.Individual หรือ House of brand หมายถึง บริษัทพัฒนาแบรนด์ออกมา โดยมีชื่อไม่เหมือนกัน ไม่ได้ใช้ชื่อเชื่อมโยงกัน แต่ออกมาจากบริษัทแม่เดียวกัน เช่น กลุ่ม STARWOOD ได้เวลาส่งเสียง สร้างแบรนด์ให้ดัง หลังจากได้ทำกระบวนการ Be-Think-Do แล้ว ก็มาถึงกระบวนการสุดท้าย คือ Say ที่หมายถึงการสื่อสารการตลาด ให้ผู้บริโภคและคนภายนอกได้รู้จักแบรนด์ ซึ่งการสื่อสารในทุก ๆ สื่อ จะต้องสื่อสารเรื่องหลักเรื่องเดียวกัน นอกจากใจความสำคัญแล้ว ลีลา บุคลิกลักษณะของการสื่อสาร ต้องออกมาเหมือนกันด้วย โดยจะต้องสื่อสารออกมาในลักษณะ เป็นการสื่อสารออกมาจากคน ๆ เดียวกัน ในทุกสื่อทุกช่องทาง​   แนวทางการสื่อสารสำหรับแบรนด์ผู้นำ จะต้องประกอบด้วย 4 องค์ประกอบ ดังนี้ -What I VALUE the most แสดงให้ลูกค้าเห็นว่าแบรนด์ให้คุณค่ากับอะไร เป้าหมายคืออะไร สิ่งที่แบรนด์เห็นว่าเป็นสิ่งสำคัญคืออะไร -What I want to be KNOWN for แบรนด์อยากให้ลูกค้าทุกคน เห็นว่าแบรนด์เป็นอย่างไร แบรนด์จะโดดเด่นตรงไหน -How I will LEAD แบรนด์จะตัวอย่างที่ดีให้กับสังคมอย่างไร ต้องทำให้เห็น ​ -What I expect FROM YOU แบรนด์ต้องการให้ผู้บริโภคคิดอย่างไร ทำอย่างไรต่อไปกับชีวิตของตนเอง เช่น เป็นตัวของตัวเองที่สุด แสดงความรักต่อความครอบครัวมากที่สุด ไม่ใช่แค่ขายของ   ในการเล่าเรื่องของแบรนด์จะต้องทำให้เห็น ให้ผู้บริโภคจินตนาการเห็นกายภาพที่ชัดเจน ว่าแบรนด์มีลักษณะอย่างไร เห็นแล้วรู้ได้ทันทีว่าเป็นแบรนด์ของเรา แบรนด์จึงต้องมีอัตลักษณ์ที่ชัดเจน และนำเอาไปใช้ในทุก ๆ สื่อ นอกจากนี้ ต้องทำให้คนในองค์กรทุกแผนก รวมถึงสินค้า การตลาด ต้องสื่อสารออกมาให้มีความสอดคล้องกันทั้งหมด เหมือนออกมาจากบุคคลคนเดียวกัน   Say คือ การสร้าง communication และการแสดงออก  เมื่อได้กระบวนการทั้งหมด ผู้บริโภคจะรู้สึกเข้าใจ Brand โดยอัตโนมัติ เพราะแบรนด์นามธรรม เป็นการแสดงอารมณ์ ความรู้สึก และความรับรู้ที่ผู้บริโภครู้สึกได้ทางอารมณ์ ส่วนสินค้า คือ เหตุผล ดังนั้น เมื่อทำกระบวนการ Be-Think-Do-Say ผู้บริโภคจะรับรู้และรู้สึกได้เอง   การทำธุรกิจต้องมี Business strategy แต่ก่อนทำ Marketing strategy ต้องลงทุนทำ Brand strategy ซึ่ง strategy จะเป็นตัวเชื่อมระหว่าง Business strategy กับ Marketing strategy เพื่อไม่ให้หลงทาง ซึ่ง Brand strategy จะช่วยกำหนดตัวตน จุดยืน เป็นเข็มทิศให้กับ การตลาดทำงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด Brand strategy เป็นตัวกลางในการเชื่อม Business กับ strategy เพราะ Marketing is what you do branding is what you are คุณต้องรู้ตัวว่าคุณเป็นใครก่อน ที่คุณจะทำอะไร ทั้งหมดนี้ คือ กระบวนการสร้างแบรนด์ ที่จะก้าวไปสู่การเป็นผู้นำ ซึ่งอาจจะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ง่าย แต่สิ่งสำคัญกว่าการขึ้นเป็นผู้นำ คือ การรักษาความเป็นผู้นำ และการครองใจผู้บริโภค สามารถตอบสนองความต้องการให้เขาได้อย่างตรงจุด และอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการรักษาคุณภาพของสินค้าและบริการ ที่แบรนด์นำเสนอให้กับลูกค้าด้วย  
“รัชดา-วงศ์สว่าง” น่าอยู่อย่างไร?

“รัชดา-วงศ์สว่าง” น่าอยู่อย่างไร?

“รัชดา-วงศ์สว่าง” น่าอยู่อย่างไร?   พื้นที่ในย่าน “รัชดา-วงศ์สว่าง” โซนที่เรียกได้ว่า เป็นพื้นที่ของการอยู่อาศัยขนาดใหญ่มานาน เนื่องจากการขยายตัวของชุมชน จากโซนบางซื่อมาจนถึงวงศ์สว่างจะเห็นได้ว่ามีหมู่บ้านเก่าแก่เกิดขึ้นมากมาย ประกอบกับในบริเวณนี้ยังเป็นแหล่งงานขนาดใหญ่ ด้วยเหตุที่มีสำนักงานใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) ใกล้กับชุมทางรถไฟบางซื่อ ใกล้สถานีขนส่งหมอชิต แล้วยังมีพื้นที่ของหน่วยงานภาครัฐอีกมากมาย บริเวณนี้จึงมีการพัฒนาที่อยู่อาศัยมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน   สะดวกเดินทาง “รัชดา-วงศ์สว่าง” น่าอยู่อย่างไร? “แยกวงศ์สว่าง” เป็นแยกสำคัญที่เป็นจุดเชื่อมต่อถนนสายสำคัญเข้าด้วยกัน โดยมี “ถนนวงศ์สว่าง” และ “ถนนรัชดาภิเษก”  ตัดกับ “ถนนกรุงเทพ-นนทบุรี” ซึ่งมีรถไฟฟ้าสายสีม่วงยาวตลอดสาย จากแหล่งที่อยู่อาศัยเดิมที่เป็นบ้านแนวราบ และอาคารพาณิชย์เสียเป็นส่วนใหญ่ ก็มีเริ่มมีโครงการคอนโดมิเนียมผุดขึ้นมากมายตามแนวรถไฟฟ้า ที่ดินในโซนนี้จึงถูกพัฒนาเกือบเต็มพื้นที่ และอาจมีการชะลอตัวเล็กน้อยในช่วงที่รถไฟฟ้า MRT ทั้ง 2 สายยังไม่เชื่อมต่อถึงกัน   หลังจากที่รถไฟฟ้าสายสีม่วงได้เชื่อมการเดินทางกับรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินเสร็จสมบูรณ์ ก็ทำให้ทำเลในย่านวงศ์สว่างกลับมาเป็นที่น่าจับตาอีกครั้ง นอกจากนี้ การใช้รถส่วนตัวก็เป็นอีกทางเลือกที่ยังคงสะดวกมากเช่นกัน ด้วยเป็นทำเลที่มีจุดขึ้นลงทางด่วนอยู่ไม่ไกล แถมยังมีหลายด่านให้เลือกใช้ เช่น ด่านประชาชื่น, ด่านรัชดาภิเษก และด่านบางกรวย ในขณะที่ถนนรัชดาภิเษกซึ่งถือเป็นถนนวงแหวนรอบในของกรุงเทพฯ ก็เป็นถนนสายสำคัญที่ตัดผ่านใจกลางเมือง ใจกลางย่านธุรกิจ ทั้งฝั่งธนบุรีและพระนคร ไปจนถึงนนทบุรีกันเลยทีเดียว     และ “สถานีกลางบางซื่อ” ซึ่งเป็นศูนย์กลางการเดินทางระบบรางขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศไทยและอาเซียน ก็เป็นอีกชุมสายของการเดินทางที่สำคัญไม่แพ้กัน เพราะเป็นทั้งชุมทางของรถไฟฟ้าทั้ง 3 สาย รถไฟฟ้าสายสีแดงเข้ม, รถไฟฟ้าสายสีแดงอ่อน และรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน อีกทั้งยังเป็นสถานีรถไฟหลักแห่งใหม่ของไทย แทนสถานีหัวลำโพงเดิม และในอนาคตจะเป็นสถานีรองรับระบบรถไฟฟ้าความเร็วสูงอีกด้วย ความเป็นศูนย์กลางการเดินทางระบบรางที่สำคัญนี่เอง จะทำให้การเดินทางไปยังภาคส่วนต่างๆ ของประเทศไทยมีความสะดวกมากยิ่งขึ้นไปอีก   “ศุภาลัย ลอฟท์ รัชดา-วงศ์สว่าง” คอนโดมิเนียมติดใจกลางเมือง   อย่างที่เกริ่นกันไปแล้วในเรื่องความเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของย่าน  “รัชดา-วงศ์สว่าง” ดังนั้นเราจะพาไปทำความรู้จักกับโครงการใหม่ล่าสุดจาก บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ที่กำลังจ่อคิวเปิดตัวในเร็ววันนี้     โครงการศุภาลัย ลอฟท์ รัชดา-วงศ์สว่าง ปักหมุดริมถนนรัชดาภิเษก (ขาเข้า) ช่วงระหว่างแยกวงศ์สว่าง และแยกประชานุกูล เป็นจุดที่สามารถเดินทางได้สะดวก ไม่ว่าจะเดินทางเข้าสู่ใจกลางรัชดา ศูนย์รวมธุรกิจขนาดใหญ่ที่ได้รับการขนานนามว่า New CBD ของกรุงเทพฯ ตลอดเส้นทางที่ถนนรัชดาภิเษกตัดผ่านเราจะเห็นอาคารสำนักงานขนาดใหญ่มากมายที่เราคุ้นเคย  อีกทั้งหน่วยงานราชการ โรงพยาบาล โรงเรียน มหาวิทยาลัย รวมไปถึงแหล่งช้อปปิ้ง แฮงค์เอ้าท์มากมายเต็มไปหมด อาทิ ธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักงานใหญ่ (SCB), อเวนิว รัชโยธิน, เมเจอร์ รัชโยธิน, ตึกช้าง, สำนักงานอัยการสูงสุด, โรงเรียนสาธิต มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม, มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม, ศาลแพ่ง, ศาลอาญา, เมืองไทยภัทร คอมเพล็กซ์, บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต, เตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ รัชดา, เดอะ สตรีท รัชดา, CW Tower, บิ๊กซี เอ็กซ์ตร้า รัชดา, เอสพลานาด รัชดา, ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย, ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, สถานทูตจีน, อาคารทรู ทาวน์เวอร์, เซ็นทรัล พระราม9, ฟอร์จูน ทาวน์เวอร์, G Tower ฯลฯ   ในขณะที่จากทางแยกวงศ์สว่างไป ยังมีแหล่งงานขนาดใหญ่อย่าง สำนักงานใหญ่ ปูนซีเมนต์ไทย, การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า พระนครเหนือ, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร เป็นต้น     ถ้าจะบอกว่าตำแหน่งที่ตั้งของโครงการศุภาลัย ลอฟท์ รัชดา-วงศ์สว่าง มีความเหมาะสมสำหรับการอยู่อาศัยก็คงจะไม่เกินเลยนัก โดยเฉพาะกับกลุ่มวัยทำงานที่กำลังมองหาคอนโดมิเนียมใกล้แหล่งงาน มีการเดินทางสะดวก และมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันสามารถตอบโจทย์การอยู่อาศัยได้อย่างรอบด้าน ถึงแม้ว่าในปัจจุบันบริเวณใกล้ๆ ที่ตั้งโครงการจะไม่มีร้านสะดวกซื้อในระยะที่เดินถึง และบางคนอาจจะมองว่าขาดความอุดมสมบูรณ์ในเรื่องอาหารการกินไปบ้าง แต่ในความเป็นจริงแล้วถ้าขับรถหรือขยับออกไปทางแยกวงศ์สว่างซักนิด ก็จะเจอกับแหล่งช้อปปิ้งหลักของคนในย่านนี้อย่าง “วงศ์สว่างทาวน์เซ็นเตอร์”  หรือที่รู้จักและเรียกกันติดปากว่า “Big C วงศ์สว่าง” ซึ่งอยู่คู่แยกวงศ์สว่างมาอย่างยาวนาน และปัจจุบันพื้นที่ทั้งหมดกำลังมีการปรับปรุงโฉมครั้งใหญ่ คาดว่าจะมีร้านค้าชั้นนำมากขึ้น รวมถึงร้านอาหารชื่อดังก็จะตามมาเปิดให้บริการอีกมากมาย  ซึ่งบรรยากาศโดยรอบนี้น่าจะเปลี่ยนแปลงไปไม่น้อยเลยทีเดียว นอกจากนี้ก็ยังมีร้านอาหาร และคาเฟ่ ให้เลือกอีกพอสมควร และก็อยู่ไม่ห่างจากโครงการมากนัก หรือถ้าหากยังคิดว่าอยากให้ใกล้กว่านี้ เมื่อโครงการแล้วเสร็จ พื้นที่ร้านค้าภายในโครงการจะมีร้านสะดวกซื้ออย่าง 7-11 ให้บริการด้วย เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้ลูกบ้านไม่ต้องเหนื่อยเดินให้ไกลอีกต่อไป   HIGHLAND LIVELIHOOD – เปิดรับวิวมุมสูงแบบเต็มตา โครงการศุภาลัย ลอฟท์ รัชดา-วงศ์สว่าง เป็นคอนโดมิเนียม High Rise สูง 18 ชั้น จำนวน 3 อาคาร ที่มีแนวคิดในการออกแบบเพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตบนที่สูงได้อย่างเต็มที่ จัดเต็มด้วย Roof TopFacilities ส่วนกลางที่ยกขึ้นไปไว้บนชั้น 18 ซึ่งเป็นชั้นบนสุดของอาคาร พร้อมเชื่อมต่อพื้นที่ส่วนกลางบนดาดฟ้าทั้ง 3 อาคารด้วย Jogging Track ยาว 340 เมตร เพื่อให้ลูกบ้านทุกคนได้ใช้ Facility ได้อย่างอิสระเต็มที่ และเพิ่มมุมมองการเปิดรับวิวเมืองได้กว้างเต็มสายตา โดยมีสระว่ายน้ำ ระบบน้ำเกลือ ความยาว 30 เมตร, Kids Zone และ Relaxing Pavillion อยู่บนอาคาร A ส่วน Fitness, Co-Living Spaceและ Backyard Garden จะอยู่บนอาคาร B และบนอาคาร C จะเป็นพื้นที่ของ Co-Working Space ที่จะมาตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมืองในปัจจุบันที่ต้องการพื้นที่สำหรับสร้างสรรค์แรงบันดาลในการทำงานอย่างไม่รู้จบ     พื้นที่ส่วนกลางภายในโครงการไม่ได้จำกัดอยู่แต่บนชั้นดาดฟ้าเท่านั้น ด้วยไอเดียการออกแบบที่ต้องการเน้นความเรียบง่าย สงบ แต่ในขณะเดียวกันก็แฝงความหรูหราเอาไว้ด้วย โทนสีที่ใช้จึงเป็น Mono Tone และคุมธีมภายในเน้นใช้ Meterial หินลายธรรมชาติเป็นหลัก ให้ฟิลแบบการพักผ่อนในรีสอร์ท พร้อมด้วยพื้นที่สีเขียวกว่า 3 ไร่ และเสริมด้วย Green Wall สอดแทรกธรรมชาติในทุกส่วนของโครงการ ในขณะที่รูปแบบการใช้ชีวิตแบบ New Normal ก็ถูกจัดเป็นส่วนหนึ่งที่ทางโครงการให้ความสำคัญ ด้วยการออกแบบให้มีจุด Delivery Pick Up แยกเป็นสัดส่วนในทุกอาคาร, มีห้องเก็บพัสดุ และประตูอัตโนมัติเพื่อลดการสัมผัส   ยังไม่หมดแต่เพียงเท่านี้ พื้นที่ภายในโครงการยังใส่ใจการออกแบบแบบ Universal Design เพื่อรองรับผู้พิการ หรือผู้ที่ต้องใช้ Wheel Chair ให้สามารถใช้ชีวิตได้สะดวกสบายยิ่งขึ้น แถมยังเตรียมพร้อมรองรับการใช้รถไฟฟ้าที่กำลังได้รับความสนใจมากขึ้นด้วย จุดจอด EV Charger ภายในโครงการ หรือถ้าหากไม่สะดวกจะใช้รถส่วนตัว ทางโครงการก็จัดเตรียม Shuttle Bus ไว้บริการรับ-ส่ง ถึง MRT สถานีวงค์สว่างไว้ให้เรียบร้อยเลยทีเดียว     นอกจากนี้ การออกแบบและว่า Layout ห้องก็มีให้เลือกหลากหลายตามความต้องการ โดยมีไฮไลท์ อยู่ที่แปลนห้อง 1 ห้องนอน ซึ่งเป็นแบบห้องที่เพิ่ม Favorite Corner แยกจากห้องนอน สามารถใช้เป็นห้องทำงานเพื่อให้ตอบโจทย์การใช้ชีวิตแบบ New Normal ที่ต้อง WFH กันมากขึ้น พร้อมด้วยเพดานสูงถึง 2.7 เมตร ทำให้บรรยากาศภายในห้องกว้างและโปร่งสบายมากขึ้น รวมถึงยังมีแบบห้องที่น่าสนใจอื่นๆ ทั้งห้องแบบ Loft และแบบ 2 ห้องนอนที่เหมาะกับครอบครัวขนาดเล็ก หรือกลุ่มคนที่กำลังต้องการขยับขยายที่อยู่ใหม่เพื่อสร้างครอบครัว     ปัจจุบัน ณ ที่ตั้งโครงการ ได้เปิด Sale Gallery ให้เข้าสัมผัสบรรยากาศของห้องตัวอย่างได้แล้ว ซึ่งมีให้เข้าชมด้วยกัน 2 Type ในขนาด 35 ตร.ม. เหมือนกัน แต่ต่างกันที่ Layout ห้อง ซึ่งทำออกมาได้น่าสนใจทั้งคู่เลย พื้นที่ใช้สอยกำลังดี ฟังก์ชันที่จัดไว้ก็เหมาะกับการอยู่อาศัย 1-2 คน หรือกลุ่มคนทำงานที่ต้องการที่อยู่อาศัยใกล้ๆ แหล่งงานและเดินทางสะดวก           ถ้าหากว่าคุณกำลังมองหาคอนโดมิเนียมที่เดินทางสะดวกสบาย มีบรรยากาศที่เหมาะสมในการอยู่อาศัย ไม่ว่าจะไว้อยู่อาศัยเองหรือเพื่อการปล่อยเช่า โครงการศุภาลัย ลอฟท์ รัชดา-วงศ์สว่าง ก็น่าจะเป็นคอนโดมิเนียมที่ต้องเก็บไว้พิจารณาในลำดับต้นๆ เลยก็ว่าได้ ด้วยความเป็นโครงการใหม่ล่าสุดของย่านนี้ และเอกลักษณ์ของแบรนด์ที่สามารถตอบโจทย์กลุ่มคนทำงานได้เป็นอย่างดี ในราคาเริ่มต้น 1.7 ล้านบาท*   ถ้าไม่รีบตัดสินใจจับจอง โอกาสพลาดการเป็นเจ้าของน่าจะมีสูง!!   บทความน่าสนใจ “สามเสน-ราชวัตร” ย่านนี้มีเรื่องราว เตาปูน ของเราน่าอยู่ [VDO Review Around] ศุภาลัย เดินหน้าลุยตลาดคอนโด เตรียมเปิด 4 โปรเจ็กต์ใหม่    
อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนมกราคม 2565

อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนมกราคม 2565

อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน เราได้ก้าวสู่ศักราชใหม่ 2565 กันมาพักนึงแล้ว สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ก็ยังคงอยู่กับเราเหมือนเดิม ทำให้เราต้องระมัดระวังตัวเอง การ์ดอย่าตก แม้ความร้ายแรงของโรคจะไม่เหมือนในระยะแรกก็ตาม   ผลกระทบสำคัญอย่างหนึ่งที่ยังคงมีอยู่กับเรา คือ ภาวะสินค้าราคาแพงขึ้นมากมายหลายรายการ ซึ่งการเพิ่มขึ้นก็คงมีหลายปัจจัย ขึ้นอยู่กับแต่ละชนิดสินค้า ส่วนหนึ่งก็เป็นผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 นั่นแหละ แม้ว่าจะมีสินค้าหลายรายการปรับราคาเพิ่มขึ้น  แต่สำหรับในธุรกิจการเงิน อัตราดอกเบี้ยยังถือว่าต่ำอยู่มาก โดยเฉพาะอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน เพราะกำลังซื้อที่ลดลง ทำให้ธนาคารต้องรักษาอัตราดอกเบี้ยเอาไว้ไม่ให้สูง เพื่อเป็นแรงจูงใจให้ลูกค้ามาใช้บริการ   สำหรับภาพรวมอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโดมิเนียมใหม่ ประจำเดือนมกราคม 2565 ในภาพรวมยังถือว่าธนาคารส่วนใหญ่ ยังคงรักษาอัตราดอกเบี้ยเท่ากับช่วงเดือนที่ผ่านมา มีเพียงบางธนาคารที่มีการปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ซึ่งเชื่อว่าหากสถานการณ์บ้านเมืองและภาวะเศรษฐกิจดีขึ้น อัตราดอกเบี้ยคงขยับเพิ่มขึ้นตามไปด้วย จะว่าไปจังหวะนี้เป็นช่วงเวลาที่ดี หากใครที่อยากจะซื้อบ้านหรือคอนโด และมีความสามารถจะผ่อนได้ในระยะยาว และมีกำลังซื้อที่แท้จริง ก็อย่าปล่อยเวลาให้ผ่านไป แต่หากยังไม่มีแผน หรือดูสถานะทางการเงินหรือการทำงานแล้ว  ยังไม่ค่อยมั่นใจ จะรอไปก่อนเราก็ไม่ว่ากัน   มาดูกันว่า อัตราดอกเบี้ยส่วนใหญ่ที่ธนาคารปล่อยให้ลูกค้ากู้ซื้อบ้านมีอัตราเท่าไรกันบ้าง 1.ธนาคารกรุงเทพ สำหรับการธนาคารกรุงเทพ มีสินเชื่อบ้านบัวหลวง ที่ให้บริการลูกค้า 2 กลุ่ม คือ ลูกค้าพนักงานที่มีรายได้ประจำ และลูกค้าทั่วไป  โดยอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ประจำเดือนมกราคม 2565 มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย อัตราดอกเบี้ยเฉพาะพนักงานที่มีรายได้ประจำ  วงเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท  (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1   ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.00%) หลังจากนั้น 5.2%  (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.65% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3  อัตราดอกเบี้ย 4.2% (MRR-1.75%) หลังจากนั้น 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.65%   อัตราดอกเบี้ยเฉพาะพนักงานที่มีรายได้ประจำ วงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 5 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.45% (MRR-1.50%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.48% ลดลงจากเดือนก่อนหน้า 0.17% ที่คิดอัตราดอกเบี้ย 4.65% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3  อัตราดอกเบี้ย 4.075% (MRR-1.875%) หลังจากนั้น 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.48% ลดลงจากเดือนก่อนหน้า 0.17% ที่คิดอัตราดอกเบี้ย 4.65% อัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับลูกค้าทั่วไป วงเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.50% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.00%) หลังจากนั้น  5.45% (MRR-0.50%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.87% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 4.45%(MRR-1.50%) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.45%(MRR-1.50%) หลังจากนั้น 5.45%  (MRR-0.50%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.9% อัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับลกค้าทั่วไป วงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 5 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.7%(MRR-1.25%) หลังจากนั้น 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.57% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 4.075%(MRR-1.875%) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.075% (MRR-1.875%) หลังจากนั้น 5.2%(MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.58%   -กรณีวงเงิน ตั้งแต่ 500,000 บาทแต่ไม่เกิน 1 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ย คงที่ปีแรก 4.75% หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีวงเงินต่ำกว่า ​500,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีหลักประกันสิทธิการเช่า ​คิดอัตราดอกเบี้ย​ MRR-0.75% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีหลักประกันที่ดินเปล่าเพื่อการอยู่อาศัย คิดอัตราดอกเบี้ย ​MRR-0.25% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา   หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับผู้ที่ยื่นคำขอสินเชื่อพร้อมเอกสารครบถ้วน ตั้งแต่วันที่ 5 ม.ค.- 1 มี.ค. 65 โดยผู้กู้ต้องลงนามในสัญญากู้ภายใน 1 เดือน นับตั้งแต่วันที่อนุมัติสินเชื่อ​และจดทะเบียนจำนองพร้อมเบิกเงินกู้งวดแรกหรือทั้งหมดภายใน 2 เดือน นับตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญา ​ -พนักงานที่มีรายได้ประจำ หมายถึง พนักงานที่มีรายได้หลัก หรือ มีความสามารถในการชำระคืนหลัก จากรายได้ประจำ -รูปแบบการชำ​ระแบบคงที่ เลือกผ่อนได้ทุกทางเลือก/รูปแบบการผ่อนชำ​ระแบบขั้นบันได เลือกผ่อนได้เฉพาะทางเลือกที่ 1 -อัตราส่วนวงเงินกู้สูงสุดและมูลค่าหลักประกันให้เป็นไปตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย -อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบันตามประกาศของธนาคาร ณ วันที่ 17 มิ.ย. 64 เท่ากับ 5.95% ต่อปี -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยรวมทั้งหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ​​ 2.ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงไทย มีสินเชื่อสำหรับบ้านใหม่ กรุงไทย SURE  โดยไม่คิดค่า  ธรรมเนียมยื่นกู้  โดยเดือนนี้อัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด  ไม่เปลี่ยนเปลี่ยนแปลงจากช่วงเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ​​ดังนี้ แบบคงที่ 1 ปี ฟรีค่าธรรมเนียมยื่นกู้ แบบทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0.75%  ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 3.82% (MRR-2.4%) ปีที่ 3 ดอกเบี้ย 3.82% (MRR-2.4%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.80% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.20% เพิ่มขึ้น 0.20% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดอัตรา 4.04% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.0%  ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 3.82% (MRR-2.4%) ปีที่ 3 ดอกเบี้ย 3.87% (MRR-2.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.90% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.24% เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า 0.16% ที่คิดอัตราดอกเบี้ย 4.08% แบบลอยตัว แบบทำประกัน ปีที่ 1-3  ดอกเบี้ย 2.77%  (MRR-3.45%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.77% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.22% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย 2.87% (MRR-3.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.87% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.26%   สินเชื่อสำหรับการกู้ซื้อบ้านที่ธนาคารออกค่าจดจำนองให้** และ ฟรี ค่าธรรมเนียมยื่นกู้ แบบคงที่ แบบทำประกัน  คิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0.75% ไม่เปลี่ยนแปลง ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย 4.32% (MRR-1.9%)  เพิ่มขึ้น 0.35% จากเดือนก่อนหน้าคิด 3.97% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.13% เพิ่มขึ้น 0.23% จากเดือนก่อนหน้าคิด 2.90% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.32% เพิ่มขึ้น 0.06% จากเดือนก่อนหน้าคิดอัตรา 4.24%   แบบไม่ทำประกัน  คิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.0%  ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 4.32% (MRR-1.9%) เพิ่มขึ้น 0.35% จากเดือนก่อนหน้าที่คิด​ 3.97% ปีที่ 3 ดอกเบี้ย 4.32% (MRR-1.9%) เพิ่มขึ้น 0.3% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 4.02% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.23% เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า 0.23% ที่คิดดอกเบี้ย 3.0% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา = 4.35% เพิ่มขึ้น 0.08% จากเดือนก่อนหน้าที่คิด 4.27%   แบบลอยตัว แบบทำประกัน  คิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย 3.12% (MRR-3.10%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.12% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.35%   แบบไม่ทำประกัน  คิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย 3.22% (MRR-3.0%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.22% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 3.38%   การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ* : ทำประกันทางเลือกใด ทางเลือกหนึ่ง ดังนี้ 1.ทำ MRTA/GLT SP เต็มวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 10 ปี 2.ทำ MRTA/GLT SP 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลากู้ 3.ทำ MRTA/GLT SP 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลากู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 15 ปี ทั้งนี้ การทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อเป็นไปตามความสมัครใจของลูกค้า และไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ **ธนาคารออกค่าจดจำนองให้ 1% สูงสุดไม่เกินรายละ 200,000 บาท หากลูกค้าปิดบัญชีก่อน 5 ปี ธนาคารจะเรียกเก็บค่าจดจำนองคืน ***อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (EIR) คำนวณจากวงเงินกู้ 1.00 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี ผ่อนชำระ 6,500 บาท/เดือน เงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด การพิจารณาสินเชื่ออยู่ภายใต้ดุลยพินิจของธนาคาร ยื่นสมัครสินเชื่อ ภายในวันที่ 30 มี.ค.65 MRR = 6.22% ต่อปี (ณ 1 เม.ย. 2564) 3.ธนาคารกรุงศรี ธนาคารกรุงศรี มีสินเชื่อบ้านกรุงศรี เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย (บ้านใหม่/บ้านมือสอง) สำหรับลูกค้าทั่วไป โดยมีแคมเปญฟรี ค่าธรรมเนียมสำรวจ และค่าประเมินอัตราดอกเบี้ยยังคงเท่าเดิมจากเดือนที่ผ่านมา โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ดังนี้ สำหรับการกู้ในวงเงิน 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 5 ล้านบาท ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.9% ( MRR-3.15%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.05% (MRR-2.00%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป 4.95% (MRR-1.10%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.97% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.39% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 เดือนที่ 1-6 อัตราดอกเบี้ย 1.50% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย MRR-1.60% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.7% (MRR-1.35%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.10%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.21% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.52% สำหรับการกู้เงินในวงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.55%  (MRR-3.50%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.3%  (MRR-2.75%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 4.7% (MRR-1.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.52% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.02% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 เดือนที่ 1-6 อัตราดอกเบี้ย 1.25% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย 4.1% (MRR-1.95%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.3% (MRR-1.75%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป 4.7%  (MRR-1.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.89% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.23%   หมายเหตุ * อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงการแสดงตัวอย่าง โดยคำนวณจากฐานวงเงินกู้ 2 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 5 ล้านบาท และฐานวงเงินกู้ 5 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ด้วยระยะเวลาการกู้ 10 ปี ในกรณีที่ลูกค้า ซื้อ MRTA/MLTA หากค่าเบี้ย MRTA/MLTA เปลี่ยนแปลง อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอาจเปลี่ยนแปลงได้ เงื่อนไขการรับสิทธิพิเศษสาหรับลูกค้าที่ซื้อประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ (MRTA/MLTA) -รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ต่อปี เฉพาะในปีที่ 1 จากอัตราดอกเบี้ยทุกทางเลือก ลูกค้าต้องซื้อ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการตามเงื่อนไขดังนี้ 1.ผลิตภัณฑ์ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการได้แก่ MRTA : แผนกรุงศรี เซฟตี้โลน 1 พลัส หรือ กรุงศรี เซฟตี้โลน 1 หรือ กรุงศรี เซฟตี้โลน 2 / MLTA : กรุงศรี รักบ้าน รักคุณ หรือกรุงศรี รักบ้าน รักคุณ พลัส เท่านั้น 2.กรณีผู้กู้หลักเป็นพนักงานเงินเดือนที่มีรายได้ ประจำ​ต้องซื้อ MRTA/MLTA 100% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี หรือซื้ออย่างน้อย 70% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความ คุ้มครองไม่ต่ำกว่า 20 ปี 3.กรณีผู้กู้หลักเป็นผู้ประกอบธุรกิจส่วนตัว ต้องซื้อ MRTA/MLTA อย่างน้อย 80% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 10 ปี หรือซื้อย่างน้อย 50% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี 4.กรณีมีผู้กู้ร่วม สามารถซื้อ MRTA/MLTA เฉพาะผู้กู้หลักเพียงคนเดียวได้ หรือหากผู้กู้ร่วมประสงค์ที่จะซื้อ MRTA/MLTA ด้วย ผู้กู้หลักและผู้กู้ร่วมทุกคนจะต้องมีทุนประกันขั้นต่ำในสัดส่วนที่เท่ากัน ขอสงวนสิทธิ์ในการปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย เป็นอัตราดอกเบี้ยปกติตามที่ลูกค้าได้เลือกไว้ โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ในกรณีที่บริษัทประกันไม่ อนุมัติ MRTA/MLTA หรือในกรณีที่ลูกค้าขอยกเลิก MRTA/MLTA -ตามประกาศธนาคาร ณ วันที่ 21 พ.ค. 63 อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.05% ต่อปี -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 30 เม.ย. 65 โดยจดจำนองและเบิกรับเงินกู้ภายในวันที่ 31 พ.ค. 65 -ค่าธรรมเนียมอื่น ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร -การพิจารณา อนุมัติสินเชื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด -วงเงินกู้อนุมัติสูงสุดเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด และไม่เกินกว่า วงเงินกู้สูงสุดต่อมูลค่าหลักประกัน (ราคาซื้อขาย) ตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์เรียกเก็บค่าเบี้ยปรับกรณีปิด ภาระหนี้ก่อนกำหนด (กรณีที่ลูกค้ารีไฟแนนซ์ไปสถาบันการเงินอื่นภายใน 3 ปีแรกนับจากวันทำสัญญา) คิดเป็น 3% ของยอดหนี้คงเหลือ 4.ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกสิกรไทย มีสินเชื่อกู้ซื้อบ้านสำหรับบ้านใหม่ให้กับลูกค้าทั่วไป โดยพิจารณาเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีรายได้ประจำ และกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการ ซึ่งเดือนนี้อัตราดอกเบี้ยไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ดังนี้ สำหรับลูกค้าที่มีรายได้ระจำ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย = n.a. อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 7.72% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 7.72% สำหรับลูกค้าผู้ประกอบการ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย = n.a. อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 8.22% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 8.22% หมายเหตุ : -อัตราดอกเบี้ย MRR = 5.97% (ประกาศ ณ วันที่ 22 พ.ค. 63) -อัตราดอกเบี้ยข้างต้นสำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้สินเชื่อบ้านตั้งแต่ 20 ก.ค.  – 31 ธ.ค. 64 -สำหรับที่อยู่อาศัยทุกประเภทรวมอาคารพาณิชย์ยกเว้น Refinance และการปล่อยกู้เพื่อซื้อที่ดินเปล่า -มีค่าสำรวจและประเมินราคาหลักประกันโดยบริษัท โพรเกรส แอพไพรซัล หรือบริษัทประเมินที่ธนาคารรับรอง คิดขั้นต่ำ 3,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) -วงเงินให้กู้สูงสุดไม่เกิน 90% ของเราซื้อขายและไม่เกิน 90% ของราคาประเมินหลักประกัน *ข้อมูลภายในเว็บไซต์ ณ วันที่ 13 ม.ค. 65 ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า 5.ธนาคารเกียรตินาคิน ธนาคารเกียรตินาคิน มีสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย (บ้านใหม่ : กรณีซื้อบ้านจากบริษัทพัฒนา อสังหาริมทรัพย์ที่ธนาคารกำหนด) ซึ่งคิดอัตราดอกเบี้ยในอัตราเดิมเท่ากับเดือนที่ผ่านมา โดยธนาคารเกียรตินาคินมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ดังนี้ ดอกเบี้ยคงที่ 2 ปี แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  2.450%-2.750% ปีต่อไป ดอกเบี้ย  4.775% (MLR-1.75%) แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.650%-2.950% ปีต่อไป ดอกเบี้ย 4.775% (MLR-1.75%) ดอกเบี้ยคงที่ 3 ปี แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.60%-2.99% ปีต่อไป ดอกเบี้ย 4.775% (MLR-1.75%) แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.80%-3.19% ปีต่อไป ดอกเบี้ย 4.775% (MLR-1.75%) หมายเหตุ 1.อัตราดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับปัจจัยอ้างอิง เช่น อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR) ซึ่งธนาคารจะแจ้งให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว  โดยจะประกาศไว้ ณ สถานที่ทำการให้บริการและ​เว็บไซต์ของธนาคาร 2.MLR ณ วันที่​ 18 สิงหาคม 2563 เท่กับ​ 6.525% ต่อปี 3.เลือกทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ​(MRTA)ผ่านธนาคาร ทุนประกันภัยเท่ากับวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาเอาประกันภัยขั้นต่ำ 10 ปี กรณีที่ระยะเวลาการกู้ไม่ถึง 10 ปี ให้ระยะเวลาเอา​​​​​​ประกันภัยเท่ากับระยะเวลาการกู้ 4.กรณี Refinance ไปสถาบันการเงินอื่นก่อนครบ 3 ปี แรก คิดค่า​ Prepayment Penalty 3% ของเงินต้นคงค้าง 5.​กรณีเลือกใช้เงื่อนไขอัตราดอกเบี้ยแบบฟรีค่าจดจำนอง ​​หากลูกค้า Re-Finance หรือชำระปิดบัญชีก่อนระยะเวลาที่กำหนดไว้ ลูกค้าต้องชำระค่าจดจำนองที่ธนาคาร เคยสำรองจ่ายให้แก่ธนาคาร​ 6.ค่าประเมินหลักประกันเริ่มต้น 3,210 บาท  ค่าอากรแสตมป์ 0.05% ของวงเงินกู้ (สูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท) 7.เบี้ยประกันอัคคี ​เป็นไปตามที่บริษัทประกันภัยกำหนด ​โดยผู้กู้สามารถเลือกทำประกันกับบริษัทที่น่าเชื่อถือใดก็ได้ ​ a.อัตราส่วนวงเงินกู้ยืมสูงสุด ต่อหลักประกัน 100% ของราคาซื้อขายจริง หรือราคาประเมินธนาคาร แล้วแต่ราคาใดต่ำกว่า ยกเว้นธนาคารมีกำหนดเงื่อนไขพิเศษอื่น ๆ สำหรับบางโครงการ อาจจะได้รับอัตราส่วนวงเงินกู้ยืมสูงสุดต่อหลักประกัน​ 100% b.ระยะเวลากู้สูงสุด ​30 ปี (อายุผู้รวมระยะเวลากู้ไม่เกิน 65 ปี สำหรับพนักงานเงินเดือนประจำ และไม่เกิน 70 ปี สำหรับเจ้าของกิจการ/ธุรกิจส่วนตัว) 6.ธนาคารซีไอเอ็มบี ธนาคารซีไอเอ็มบี สินเชื่อบ้าน โฮมโลนฟอร์ยู ให้กับพนักงานประจำ ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ ผู้ประกอบการ และเจ้าของกิจการ  โดยคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับเดือนที่ผ่านมา ซึ่งธนาคารซีไอเอ็มบี มีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ดังนี้ สำหรับพนักงานประจำ รายได้ 15,000 บาท หรือเจ้าของกิจการรายได้ 30,000 บาท ประเภททำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.25% (MRR-3.10%) ระยะเวลาที่เหลือ ดอกเบี้ย 5.35% (MRR-2.00%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.25% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.07% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.55% (MRR-2.80%) หลังจากนั้น 5.35% (MRR-2.00%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.15% หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินกู้ 2 ล้านบาท ระยะเวลากู้ 15 ปี (MRR=7.35% ประกาศ ณ วันที่ 9 ธันวาคม 2564) -ธนาคารยังมีอัตราดอกเบี้ยสำหรับพนักงานประจำรายได้ 30,000-50,000 หรือเจ้าของกิจการรายได้ 50,000 บาทขึ้นไปไว้พิจารณาด้วย รวมถึงสินเชื่อสำหรับโครงการที่ธนาคารเป็นผู้สนับสนุน 7.ธนาคารทีทีบี ธนาคารทีทีบี มีสินเชื่อบ้านใหม่ สำหรับการซื้อบ้านหรือคอนโดจากโครงการทั่วไป จะได้รับฟรีค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย ค่าจดทะเบียนจำนอง และค่าประเมินหลักทรัพย์ ซึ่งยังคงใช้อัตราดอกเบี้ยเท่ากับเดือนที่ผ่านมา  โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ดังนี้ สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ทางเลือก 1 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.05% (MRR-2.23%) หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.05% ดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.46% ทางเลือก 2 (ฟรีค่าจดจำนอง) ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.4% (MRR-1.88%) หลังจากนั้น 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.4% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.57% ทางเลือก 3 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 4.65% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา ดอกเบี้ย 4.65% หมายเหตุ สมัครผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ได้แก่ 1.สมัครประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ สไมล์โฮม หรือ สไมล์โฮม พลัส ​ 2.สมัครใช้บริการหักบัญชีอัตโนมัติผ่านบัญชีออมทรัพย์ ทีทีบี เพื่อผ่อนชำระสินเชื่อบ้าน 3.สมัครบัตรเดบิต ttb (กรณีที่คุณมีบัตรเดบิต ttb แล้ว ไม่ต้องสมัครเพิ่ม) กู้ซื้อบ้าน คอนโดใหม่ กับทีทีบี รับข้อเสนอพิเศษ ด้วยอัตราดอกเบี้ย ให้เลือก 2 แบบ ดังนี้ แบบที่ 1 สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท -รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษนาน 3 ปี -ฟรีประกันอัคคีภัยมูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท -ฟรีค่าจดทะเบียนจำนอง 1% ของเงินกู้สูงสุดถึง 200,000 บาท -ฟรี ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรม จำนอง แบบที่ 2 สมัครผลิตภัณฑ์เสริมไม่ครบทั้ง 3 ประเภท​ -ฟรีประกันอัคคีภัย มูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท -ฟรี ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรม จำนอง หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมรวมถึงสิทธิพิเศษต่าง ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร -MRR (Minimum Retail Rate : อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อยชั้นดี) = 6.28% ต่อปี ณ วันที่ 7 พ.ค. 64 -การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ (MRTA) ไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ ทำเพื่อประโยชน์หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นกับผู้กู้ในขณะที่ยังชำระหนี้ไม่ครบถ้วน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของผู้กู้และธนาคาร และไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ 8.ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ มีสินเชื่อบ้านสำหรับลูกค้าทั่วไป โดยคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับช่วงเดือนที่ผ่านมา ซึ่งอัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารไทยพาณิชย์ คิดมีอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ดังนี้ แบบไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.995% ปีต่อไป MRR = 5.995% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.995% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.995% แบบทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ มากกว่าหรือเท่ากับ 70% ของวงเงินกู้ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.950% ปีต่อไป MRR = 5.995% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.950% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.983% หมายเหตุ -กรณีใช้ดอกเบี้ย​แบบทำประกัน​ Credit Life 70% กำหนดให้ทำทุนประกันไม่น้อยกว่า 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลาเอาประกัน 70% ของระยะเวลากู้ตามสัญญา โดยกำหนดให้เอาระยะเวลาขั้นต่ำ 10  ปี (กรณีระยะเวลากู้ตามสัญญาต่ำ​10 ปี กำหนดให้ระยะเวลาเอาประกันเท่ากับระยะเวลากู้ตามสัญญา) ​-ประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ รับประกันภัยโดย บมจ. ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต บริษัทนเครือกลุ่มเอฟดับบลิวดี หากต้องการสอบถามรายละเอียด เกี่ยวกับการประกันภัยเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ ศูนย์บริการลูกค้า โท​ร. 1315 ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.00 – 20.00 น. -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจรายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข ​​ก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุก​ ธนาคารเป็นเพียงนายหน้าผู้ชี้ช่อง หรือจัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันภัยเท่านั้น ​การพิจารณารับประกัน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการรับประกันภัย ของบริษัทประกันภัย -อัตราดอกเบี้ย MRR ของธนาคารไทยพาณิชย์ เท่ากับ 5.995% ต่อปี ​(ประกาศ ณ วันที่ 9 สิงหาคม 2564) ซึ่งอาจะเปลี่ยนแปลงได้ตามประกาศธนาคาร -อัตราดอกเบี้ยแท้จริงที่ระบุในตารางเป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในฉบับนี้เท่านั้น ​ซึ่งอาจะมีความแตกต่างกัน ตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีลูกค้าบอกเลือกประกันชีวิต หรือขอเวนคืนกรมธรรม์ หรือทำประกันไม่ครบกำหนดตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ​ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยวงเงินกู้ เป็นอัตราดอกเบี้ยทั่วไป  ตามประกาศธนาคาร ระยะเวลากู้ตามสัญญา วงเงิน ระยะเวลาผ่อนชำระ อัตราดอกเบี้ย คุณสมบัติ เอกสารปรกอบการพิจารณา และการอนุมัติเป็นไปตามเงื่อนไข หลักเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด 9.ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์  หรือ ธอส. มีสินเชื่อสำหรับการซื้อบ้านหลากหลายประเภท โดยประเภทสินเชื่อโครงการบ้าน ธอส. เพื่อคุณ ปี 2565 ​มีการคิดอัตราดอกเบี้ย ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา เพราะในปีที่ผ่านมา เป็นโครงการบ้านธอส. เพื่อคุณ ปี 2564 ทำให้มีการปรับปรุงอัตราดอกเบี้ยใหม่  โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ดังนี้ ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.15% เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 2.75% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.9% (MRR-2.25%) เพิ่มขึ้น 0.15% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.75% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.75% (MRR-1.4%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ยตลอดอายุสัญญา  5.4% หมายเหตุ -ยื่นคำขอกู้และอนุมัติตั้งแต่วันที่ 2 ม.ค.-30 ธ.ค.65   (ธนาคารสงวนสิทธิ์ในการกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดโครงการก่อนกำหนด หากธนาคารให้สินเชื่อเติมวงเงินของโครงการแล้ว) -อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.15% ประกาศ ณ วันที่ 25 พฤษภาคม 2563 -ยกเว้น ค่าธรรมเนียมยื่นกู้ 0.1% ของวงเงินกู้และทุกบัญชีเงินกู้ภายใต้หลักประกันเดียวกัน 10.ธนาคารยูโอบี ธนาคารยูโอบี มีสินเชื่อบ้านสำหรับโครงการหมู่บ้านทั่วไป  โดยมีการคิดอัตราดอกเบี้ย เปลี่ยนแปลงจาก​เดือนที่ผ่านมาเล็กน้อย ซึ่งธนาคารยูโอบีมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด  ดังนี้ ทางเลือก 1 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.35% ลดลง 0.2%  จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.55% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.35% (MRR-4.0%) ลดลง 0.2% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.55% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.35% ลดลง 0.2% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.79% ลดลง 0.08% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 4.87% ทางเลือกที่ 2 ไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.55% ลดลง 0.2% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.75% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.55% (MRR-3.80%) ลดลง 0.2% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย  3.75% หลังจากนั้น 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.55% ลดลง 0.2% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.75% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.87% ลดลง 0.08% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 4.95% ทางเลือกที่ 3 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.8% ลดลง 0.2% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.0% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.75%  (MRR-2.60%) ลดลง 0.2% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 4.95% หลังจากนั้น 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.45% ลดลง 0.2% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.65% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.8% ลดลง 0.08% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 4.88% ทางเลือกที่ 4 ไม่ทำประกันคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.0% ลดลง 0.2% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.20% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.95%  (MRR-2.24%) ลดลง 0.2% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย  5.15% ปีที่ 4 อัตราดอกเบี้ย 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.65% ลดลง 0.2% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.85% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.96% หมายเหตุ -ขอสินเชื่อตั้งแต่ 1 ม.ค.- 31 มี.ค. 65 และจดจำนองหลักประกันกับธนาคารภายใน 29 เม.ย.​ 65 -อัตราดอกเบี้ยแบบทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ผ่านธนาคารยูโอบี >ทุนประกันเต็มวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันขั้นต่ำ 10 ปี หรือ >ทุนประกันขั้นต่ำ 80% ของวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันเต็มตามระยะเวลากู้ -อัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 1 ล้านบาท อายุสัญญา 15 ปี MRR=7.35% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้น เป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในสื่อโฆษณาเท่านั้น อัตราดอกเบี้ยสำหรับการทำสัญญากู้ยืมของลูกค้าแต่ละรายอาจะมีความแตกต่างกันตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีไถ่ถอนจำนองเพื่อไปใช้บริการกับสถาบันการเงินอื่น ​(Re-finance) ในช่วงระยะเวลา 3 ปีแรก นับจากวันที่กู้ จะมีค่าปรับ 3% ของยอดเงินต้นคงค้าง (เฉพาะวงเงินสินเชื่อที่มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดหาที่อยู่อาศัยเท่านั้น)​ -การอนุมัติสินเชื่อ​เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของธนาคาร​ -เพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้น อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบันเท่ากับ  7.35% ต่อปี ​(ตามประกาศธนาคาร ณ วันที่ 1 เม.ย. 64) อนึ่ง ธนาคารสามารถประกาศปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย​ MRR ได้ตามเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดอนุญาตไว้​ -อัตราค่าธรรมเนียมและค่าบริการต่าง ๆ​เป็นไปตามประกาศที่ธนาคารจัดทำไว้  และประกาศให้ทราบตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยธนาคารอาจเปลี่ยนแปลงอัตราค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ได้โดยจะแจ้งให้ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน โดยการปิดประกาศไว้ ณ ที่ทำการ หรือเว็บไซต์ของธนาคาร​ -ธนาคารยูโอบีในฐานะนายหน้าประกันภัย ​(ใบอนุญาตประกันชีวิต​เลขที่ ช.00026/2545 และใบอนุญาตประกันวินาศภัย​ เลขที่ ว.00020/2546) ทำหน้าที่เสนอผลิตภัณฑ์ด้านประกันภัยและเป็นผู้จัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันชีวิต/ประกันวินาศภัย และอำนวยความสะดวกในการรับชำระเบี้ยประกันเท่านั้น  รับประกันชีวิตโดยบริษัท พรูเด็นเชียลประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), รับประกันวินาศภัยโดย บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน), บริษัท แอกซ่าประกันภัย จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอ็ม เอส ไอ จี ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ​จะเป็นผู้รับผิดชอบตามเงื่อนไข ความคุ้มครองและสิทธิประโยชน์ตามที่ได้ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครองและเงื่อนไขก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง 11.ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีสินเชื่อเพื่อการซื้อที่อยู่อาศัย คือ โฮมโลน โดนใจ สินเชื่อบ้านดอกเบี้ยต่ำเริ่มต้น 1.9% (สำหรับผู้มีรายได้ 75,000 บาทขึ้นไป) โดยมีการคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับช่วงเดือนที่ผ่านมา ซึ่งธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ดังนี้ อัตราดอกเบี้ยสำหรับผู้กู้มีรายได้ตั้งแต่ 20,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 2.0% ต่อปี แบบที่ 1 ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.00% (MRR-5.35%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.80% (MRR-3.55%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป 5.10% (MRR-2.25% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.60% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.57% แบบที่ 2 ปีที่ 1-2 ดอกเบี้ยคงที่ 2.10%  (ผ่อนต่ำล้านละ 3,500 บาท 2 ปีแรก) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.20% (MRR-3.15%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป 5.10% (MRR-2.25%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.80% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.69% แบบที่ 3 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.55% (MRR-4.80%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 5.10% (MRR-2.25%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.63% แบบที่ 4 ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ยคงที่ 2.75% (ผ่อนต่ำล้านละ 3,500 บาท 3 ปีแรก) ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 5.10% (MRR-2.25%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.75% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.76% เงื่อนไข กรณีลูกค้าเลือกทำประกัน MRTA/MLTA ผ่านธนาคาร : 1.กรณีที่ลูกค้าทำประกัน MRTA/MLTA ผ่านธนาคาร ธนาคารทดรองจ่ายค่าจดจำนองให้ 1% ของวงเงินกู้อนุมัติ หรือ สูงสุดไม่เกิน 2 แสนบาท (ทั้งนี้ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเรียกเก็บเงินทดรองจ่ายค่าจดจำนองดังกล่าวคืนจากลูกค้า กรณีลูกค้าปิดบัญชีสินเชื่อ หรือ เปลี่ยนแปลงสัญญาใด ๆ ภายใน 5 ปีแรก ทุกกรณี นับจากวันทำนิติกรรมจดจำนอง) 2.กรณีสมัครทำประกันชีวิต ต้องสมัครทำ MRTA/MLTA ทุนประกัน 100% ของวงเงินสินเชื่อ ระยะความคุ้มครองขั้นต่ำ 10 ปี หมายเหตุ -โครงการจัดสรรในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เท่านั้น* -ราคาซื้อขายของหลักประกันต้องมีราคา (แนวราบ) ไม่น้อยกว่า 2.00 ล้านบาท , (แนวสูง) ไม่น้อยกว่า 2.50 ล้านบาท -ลูกค้าสามารถเลือกใช้อัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำ ล้านละ 3,500 บาท  กรณีเลือกอัตราดอกเบี้ยคงที่** -ยกเว้น ค่าประเมินราคาหลักประกัน (โครงการจัดสรรทุกโครงการที่มีราคาซื้อขาย 2 ล้านบาทขึ้นไป)*** -ระยะเวลากู้สูงสุด 40 ปี รวมอายุผู้กู้ไม่เกิน 70 ปี**** -วงเงินกู้เพิ่มสูงสุด 10% จากสัญญาซื้อขาย เพื่อซื้อเฟอร์นิเจอร์ ตกแต่งบ้าน อัตราดอกเบี้ย 1) ทำประกัน MRTA/MLTA : ปีที่ 1-3 : MRR – 2.75% = 4.60% หรือ 2) ไม่ทำประกัน MRTA/MLTA : ปีที่ 1-3 : MRR – 2.25% = 5.10% , หลังจากนั้นปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR = 7.35% ***** -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่าง อัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี MRR = 7.35% (ณ 1 เม.ย. 64) ที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในโฆษณาฉบับนี้เท่านั้น ซึ่งอาจมีความแตกต่างตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -การพิจารณาคุณสมบัติของลูกค้าแต่ละรายให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ตามที่ธนาคารกำหนด -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์การพิจารณาสินเชื่อ โดยอยู่ในดุลยพินิจของธนาคาร ทั้งนี้เงื่อนไขต่างๆเป็นไปตามประกาศธนาคาร โดยมิต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า -อัตราดอกเบี้ย และโปรโมชั่น (มีวงเงินสินเชื่อจำกัด) สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อ โดยเบิกรับเงินกู้ ตั้งแต่ 1 ม.ค.- 31 มี.ค. 65 -สำหรับอัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 1.9% สำหรับผู้กู้ที่มีรายได้ 75,000 บาทขึ้นไป ผ่อนต่ำเดือนละ 3,500 บาท ฟรีค่าจดจำนองสินเชื่อเมื่อซื้อประกันผ่านธนาคาร ฟรีค่าประเมินหลักประกัน 12.ธนาคารออมสิน ธนาคารออมสิน มีสินเชื่อเคหะ สำหรับให้บริการผู้ที่ต้องการกู้เงินเพื่อไปซื้อบ้านหรือคอนโด ภายใต้แคมเปญ อัตราดอกเบี้ย 0% 6 เดือนแรก ภาพรวมไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ​ โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ดังนี้​ กรณีทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ยเฉลี่ย 0.75% (เดือนที่ 1-6 ดอกเบี้ย 0% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย 1.5%)  ลดลง 0.75% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดอัตราดอกเบี้ย 1.5% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.525% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.525% (MRR-2.72%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.6% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.101% กรณีไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ยเฉลี่ย 1.0% (เดือนที่ 1-6 ดอกเบี้ย 0% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย 2.0%) ปรับลดลง 1.0% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 2.0% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 4.15% ปีที่​ 3 ดอกเบี้ย 4.15% (MRR-2.095%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.1% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.286%   เงื่อนไขการใช้อัตราดอกเบี้ยโปรโมชั่น 1.ประกัน หมายถึง ประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ 2.อัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำ MRR=6.245% (ตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2563) 3.รายละเอียดเพิ่มเติมสอบถามได้จากธนาคาร   ที่มา Reviewyourliving รวบรวมจากเว็บไซต์ธนาคาร ข้อมูล ณ วันที่ 13 ม.ค.65   บทความที่เกี่ยวข้อง อัพเดท ดอกเบี้ย กู้ซื้อบ้านและคอนโด เดือนธันวาคม 64 อัพเดท ดอกเบี้ย กู้ซื้อบ้านและคอนโด เดือนพฤศจิกายน 64  
ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้  ชู 2 คีย์ซัคเซส กวดยอดขาย 64   สร้าง New High กว่า 3 หมื่นล้าน

ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ชู 2 คีย์ซัคเซส กวดยอดขาย 64  สร้าง New High กว่า 3 หมื่นล้าน

ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ กวาดยอดขายบ้าน-คอนโดปี 64 ทำ New High ใหม่ ทะลุเป้า 17% โกยยอดกว่า 30,250 ล้าน จาก 2 คีย์ซัคเซส  "ความเข้าใจลูกค้า-ความสามารถในการปรับตัว" ปี 65  เตรียส่งเมกะโปรเจ็กต์ เดินหน้าต่อสร้างรายได้-ยอดขาย   นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI  เปิดเผยว่า  ในปี  2564 ที่ผ่านมา บริษัทมียอดขาย (Presales) โครงการที่อยู่อาศัยประมาณ 30,250 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ที่ 29,000 ล้านบาท และมีอัตราการเติบโต 17% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563 ยอดขายดังกล่าวถือเป็นสถิติ New High ใหม่ของบริษัทอีกด้วย    สำหรับยอดขายดังกล่าว แบ่งเป็นยอดขายจากกลุ่มบ้านจัดสรร 28% และกลุ่มคอนโดมิเนียม 72% หากแบ่งตามสถานะโครงการ จะพบว่ามียอดขายจาก โครงการพร้อมอยู่ (Ready to move) คิดเป็นสัดส่วน 65% และกลุ่มโครงการที่เพิ่งเปิดขายหรืออยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง (Ongoing) สัดส่วน 35%  ปี 2564 นับเป็นปีที่ไม่ง่ายสำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ มีปัจจัยภายนอกหลายอย่างเกิดขึ้นต่อเนื่องตลอดทั้งปี ทั้งการแพร่ระบาดของ COVID-19 ระลอก 2-3 มาตรการล็อคดาวน์ มาตรการปิดแคมป์ก่อสร้าง  สำหรับปัจจัยความสำเร็จของบริษัทในปีที่ผ่านมาด ยังคงเป็นเรื่องความเข้าใจความต้องการของผู้บริโภค (Customer Insight) และความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับทุกสถานการณ์  บริษัทมีการสร้างลูกเล่นใหม่ๆ ในการเข้าถึงและตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ยังคงมองหาที่อยู่อาศัยใหม่ เช่น การจัดมหกรรมคอนโดออนไลน์ในรูปแบบ Property Live การเจาะเซ็กเมนท์ใหม่​ ส่งผลให้ทั้งโครงการพร้อมอยู่และโครงการเปิดตัวใหม่ยังตอบสนองดีมานด์ได้อย่างดี จนทำยอดขายทั้งปีได้สูงกว่าเป้าหมายดังกล่าว ​    ในปีที่ผ่านมา บริษัทยังได้เปิดตัวคอนโดมิเนียมหลากหลายแบรนด์ใหม่อย่างต่อเนื่อง  อาทิ บริกซ์ตัน (Brixton) เจาะตลาดเฉพาะกลุ่มในราคาที่เข้าถึงได้ (Affordable Niche) เช่น คอนโดมิเนียมสำหรับคนรักสัตว์เลี้ยง คอนโดมิเนียมสำหรับนักศึกษา ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ (Origin Plug & Play) เจาะตลาดกลุ่มสตาร์ทอัพ ออริจิ้น เวลเนส เรสซิเดนซ์ เจาะตลาดกลุ่มผู้สูงวัย (Silver Age) และแฮมป์ตัน (Hampton) โดยทุกแบรนด์ได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี ขณะเดียวกัน โครงการบ้านจัดสรรภายใต้บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) ก็สามารถสร้างยอดขายระดับ All Time High ได้ต่อเนื่องทุกปี ตามแผนเติบโตของบริษัท  นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า สำหรับภาพรวมปี 2565 นั้น ยังคงมีหลากหลายสถานการณ์ที่ยังต้องจับตาอย่างใกล้ชิด อาทิ การแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน และสายพันธุ์ใหม่ๆ ที่อาจเกิดขึ้น มาตรการต่างๆ ของภาครัฐที่อาจตามมาจากการแพร่ระบาด สถานการณ์เงินเฟ้อทั้งในระดับประเทศและระดับโลก อย่างไรก็ดี บริษัทประเมินว่าภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จะยังมีโอกาสเติบโตได้มากกว่าปี 2564  เราอยู่กับสถานการณ์โควิด-19 มาราวๆ 2 ปี ทุกภาคส่วนมีภูมิคุ้มกันและขีดความสามารถในการปรับตัวสูงขึ้น ประชาชนส่วนใหญ่ในขณะนี้อยู่ระหว่างการทยอยฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ซึ่งน่าจะส่งผลต่อความมั่นใจในการกลับมาดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจในระยะยาวตามปกติมากขึ้น โดยบริษัท​และผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายอื่นๆ เอง ก็ยังปรับตัวได้อย่างแข็งแกร่งในปี 2564 จึงเชื่อมั่นว่า หากทุกฝ่ายยังคงตื่นตัว จริงจังต่อการป้องกัน แก้ไข และปรับตัวรับมือความท้าทาย ภาพรวมตลาดปี 2565 ก็ยังน่าจะขับเคลื่อนไปได้มากกว่าปี 2564  บริษัทได้เตรียมแผนธุรกิจไว้หลายด้านตลอดปี 2565 รวมถึงจะมี “เมกะโปรเจ็กต์” ที่จะมาพลิกเกมการดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และสร้างอีกระดับของการใช้ชีวิตให้แก่ผู้บริโภค คาดว่าจะเปิดเผยรายละเอียดต่างๆ ได้ในช่วงปลาย ก.พ.-กลาง มี.ค.65 นี้
พิษโควิด-19 ทุบยอดโอนคอนโดต่างชาติลด “จีน” ยังครองเบอร์1 มูลค่า 17,800 ล้าน

พิษโควิด-19 ทุบยอดโอนคอนโดต่างชาติลด “จีน” ยังครองเบอร์1 มูลค่า 17,800 ล้าน

ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่าได้รับผลกระทบหนักจากภาวการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 โดยเฉพาะตลาดคอนโดมิเนียม ที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการอยู่อาศัยของคนในยุคปัจจุบัน ซึ่งต้องการพื้นที่การใช้ชีวิตที่มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการทำงานจากที่บ้าน (Work from Home) หรือการเรียนออนไลน์ ซึ่งการอยู่อาศัยในคอนโดไม่ตอบโจทย์เสียแล้ว   ขณะเดียวกันตลาดคอนโดที่พึ่งพิงกลุ่มลูกค้าต่างชาติ ในสัดส่วน  20-30% ก่อนที่จะเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งถือเป็นฐานลูกค้าสำคัญที่เข้ามาผยุงตลาดคอนโดไว้ได้หายออกไปเกือบจะเป็นศูนย์ เพราะลูกค้าต่างชาติไม่สามารถเดินทางเข้ามาซื้อคอนโดได้ ทำให้ตลาดคอนโดดูแย่ลงไปมาก   แน่นอนว่าตลอดช่วง 2 ปีกว่าของการแพร่ระบาด  ยอดขายใหม่ของคอนโดในกลุ่มต่างชาติแทบจะไม่มี แล้วยอดขายที่ซื้อไปก่อนหน้านั้น กลุ่มลูกค้าต่างชาติมีการโอนกรรมสิทธิ์กันหรือไม่ หรือมีการทิ้งดาวน์ไปเลย เป็นคำถามที่เชื่อว่าหลายคนยังคงสงสัยกัน ว่าภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ลูกค้าต่างชาติจะยังต้องการเป็นเจ้าของคอนโดในเมืองไทยหรือไม่   โดยศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ได้ทำการรวบรวมสถิติการถือครองกรรมสิทธิ์ห้องชุด (คอนโดมิเนียม) ของคนต่างชาติในภาพรวมทั้งประเทศ ผ่านสถิติการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในช่วงปี 2561 ถึงปี 2563 พบว่า มียอดการโอนกรรมสิทธิ์คอนโด 3 ปีสะสมรวม 1,408,431 ตร.ม. แต่เมื่อเข้าสู่ไตรมาส 1 ของปี 2564  ภาพรวมสถานการณ์การโอนกรรมสิทธิ์คอนโด ให้คนต่างชาติทั่วประเทศยังคงลดลงอย่างต่อเนื่องจนถึงไตรมาสที่ 3   ใน 9 เดือนแรกของปี 2564 คอนโดราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ยังคงเป็นที่นิยมของคนต่างชาติ โดยมีการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดทั่วประเทศให้ชาวจีนสูงสุดอันดับ 1 คิดเป็นมูลค่า 17,800 ล้านบาท หรือ 59.9% ของการโอนกรรมสิทธิ์ของชาวต่างชาติทั้งหมด เมื่อเปรียบเทียบจำนวนหน่วยที่มีการโอนกรรมสิทธิ์พบว่าอัตราเฉลี่ยในช่วงที่มีการระบาดของโควิด-19 กับค่าเฉลี่ยในช่วงก่อนมีการระบาด จำนวนหน่วยโอนเฉลี่ยลดลง 37.5% ค่าเฉลี่ยมูลค่าลดลงถึง 28.5% ปี 64 โอนคอนโดต่างชาติ ลดลงต่อเนื่อง 3 ไตรมาส ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) รายงานว่า ภาพรวมสถานการณ์การโอนกรรมสิทธิ์คอนโดให้คนต่างชาติทั่วประเทศในไตรมาส 3 ปี 2564 ยังคงหดตัวอย่างต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 3 นับตั้งแต่ไตรมาส 1 ปี 2564 ทั้งจำนวนยูนิต มูลค่า และขนาดพื้นที่ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยังไม่คลี่คลาย   ในไตรมาส 3 ปี 2564 ประเทศไทยประสบปัญหาการแพร่ระบาดของสายพันธุ์เดลต้า​ ทำให้มีตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันเพิ่มสูงขึ้นเป็นหลักหมื่นคน ภาครัฐจึงมีการยกระดับมาตรการจำกัดการเดินทางทั่วประเทศอย่างเข้มงวด รวมไปถึงการล็อคดาวน์ในพื้นที่สีแดงเข้มเพื่อควบคุมการแพร่ระบาด ทำให้จำนวนการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดของคนต่างชาติหดตัวอย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาส 3 ปี 2564 มีจำนวนหน่วยทั้งหมด 1,755 ยูนิต ลดลง 13.1% จากไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) และลดลง 6.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า (YoY)   ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบจำนวนยูนิตที่มีการโอนกรรมสิทธิ์เฉลี่ย ในช่วงที่มีการระบาดของโควิด-19 (ปี 2563-2564) จำนวน 2,059 ยูนิต​ต่อไตรมาส กับในช่วงก่อนมีการระบาด (ปี 2561-2562)  ซึ่งมีค่าเฉลี่ย 3,296 ยูนิตต่อไตรมาส พบว่าจำนวนโอนเฉลี่ย ช่วงที่มีการระบาดลดลง 37.5% (ดูแผนภูมิที่ 1 และ 2)   สำหรับมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดให้คนต่างชาติในไตรมาส 3 ปี 2564 ทั่วประเทศ พบว่ามีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 9,265 ล้านบาท ลดลง 2.8% จากไตรมาสก่อนหน้า (QoQ)  และลดลง 1.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า (YoY) ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับจำนวนยูนิต (ดูแผนภูมิที่ 3 และ 4) และเมื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยในช่วงที่มีการระบาดของ โควิด-19 (ปี 2563-2564) ซึ่งมีมูลค่า 9,637 ล้านบาทต่อไตรมาส กับค่าเฉลี่ยในช่วงก่อนการระบาด (ปี 2561-2562) มูลค่า 13,483 ล้านบาทต่อไตรมาส พบว่าค่าเฉลี่ยในช่วงการแพร่ระบาดลดลงถึง 28.5% ที่มา : กรมที่ดินรวบรวมและประมวลผลโดย : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ที่มา : กรมที่ดิน รวบรวมและประมวลผลโดย : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ที่มา : กรมที่ดิน รวบรวมและประมวลผลโดย : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์   พื้นที่การโอนกรรมสิทธิ์คอนโดให้คนต่างชาติในไตรมาส 3 ปี 2564 มีจำนวน 79,233 ตารางเมตร ลดลง 7.6% จากไตรมาสก่อนหน้า (QoQ)  แต่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยคือ เพิ่มขึ้น 0.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า (YoY)  และเมื่อเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยในช่วงที่มีการระบาดของโควิด-19 (ปี 2563-2564) ซึ่งมีพื้นที่ 86,365 ตารางเมตรต่อไตรมาส กับค่าเฉลี่ยในช่วงก่อนการระบาด (ปี 2561-2562) ซึ่งมีพื้นที่ 133,394 ตารางเมตรต่อไตรมาส พบว่าในช่วงที่มีการแพร่ระบาดมีพื้นที่ลดลงถึง 35.3% ที่มา : กรมที่ดิน รวบรวมและประมวลผลโดย : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์   สำหรับสัดส่วนการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดให้คนต่างชาติเปรียบเทียบกับการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดทั่วประเทศ จะพบว่า ​ จำนวนยูนิตที่โอนกรรมสิทธิ์คอนโดให้คนต่างชาติ เมื่อเทียบกับจำนวนหน่วยที่โอนกรรมสิทธิ์คอนโดทั้งหมดทั่วประเทศในไตรมาส 3 ปี 2564 มีสัดส่วน 9.3% ในขณะที่มูลค่าคอนโด มีสัดส่วน 16.7% และพื้นที่คอนโด มีสัดส่วน12.0% ต่างชาตินิยมคอนโดไม่เกิน 3 ล้าน ในไตรมาส 3 ปี 2564 มีจำนวนยูนิตการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดให้คนต่างชาติมากที่สุดในช่วงระดับราคา ไม่เกิน 3 ล้านบาท มีจำนวน 792 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 45.1% ของจำนวนยูนิตทั้งหมดจำนวน 1,755 ยูนิต รองลงมาคือ ระดับราคา 3.01 – 5  ล้านบาท มีจำนวน 454 ยูนิต (25.9%) ระดับราคา 5.01 – 7.5  ล้านบาท มีจำนวน 277 ยูนิต​ (15.8%) ระดับราคามากกว่า 10  ล้านบาทขึ้นไป มีจำนวน 130 ยูนิต (7.4%) และระดับราคา 7.51 – 10 ล้านบาท มีจำนวนน้อยที่สุด คือ 102 ยูนิต (5.8%) ตามลำดับ ซึ่งเมื่อพิจารณาย้อนหลังไปจนถึงปี 2561 พบว่ามีแนวโน้มไปในทิศทางเดียวกัน โดยคอนโดราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ยังคงเป็นที่นิยมของคนต่างชาติเป็นส่วนใหญ่ (ดูแผนภูมิที่ 6) แผนภูมิที่ 6 สัดส่วนจำนวนหน่วยโอนกรรมสิทธิ์คอนโดให้คนต่างชาติ ทั่วประเทศ แยกตามระดับราคา ที่มา : กรมที่ดิน  รวบรวมและประมวลผลโดย : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์   ในไตรมาส 3 ปี 2564 มีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดให้คนต่างชาติมากที่สุดในระดับราคามากกว่า 10 ล้านบาท จำนวน 3,445 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 37.2%  รองลงมาคือ ระดับราคา 3.01 – 5 ล้านบาท มีมูลค่า 1,862 ล้านบาท (20.1%) ระดับราคา 5.01 – 7.5 ล้านบาท มีมูลค่า 1,651 ล้านบาท (17.8%) ระดับราคาไม่เกิน 3  ล้านบาท มีมูลค่า 1,439 ล้านบาท (15.5%) และระดับราคา 7.51 – 10 ล้านบาท มีมูลค่าน้อยที่สุด คือ 868 ล้านบาท (9.4%) ตามลำดับ (ดูแผนภูมิที่ 7) แผนภูมิที่ 7 สัดส่วนมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดให้คนต่างชาติ ทั่วประเทศ แยกตามระดับราคา ที่มา : กรมที่ดิน รวบรวมและประมวลผลโดย : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ จีนยังเป็นแชมป์ ซื้อคอนโดเมืองไทย ในบรรดาชาวต่างชาติที่เข้ามาซื้อคอนโดเมืองไทย และมีการโอนกรรมสิทธิ์มากที่สุด ยังเป็นกลุ่มลูกค้าชาวจีน  ถือเป็นสัญชาติที่มีการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมากที่สุดทั่วประเทศ โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 มีการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดให้ชาวจีนไปแล้วทั้งหมด 3,760 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วนที่สูงถึง 61.4% ของจำนวนยูนิตทั้งหมด  ส่วนอีก 4 สัญชาติที่มีการโอนมากรองลงมา ได้แก่ รัสเซีย จำนวน 228 ยูนิต (สัดส่วน 3.7%) ถัดมาคือ สหรัฐอเมริกา จำนวน 197 ยูนิต (สัดส่วน 3.2%) สหราชอาณาจักร จำนวน 194 ยูนิต (สัดส่วน 3.2%) และฝรั่งเศส จำนวน 172 ยูนิต (สัดส่วน 2.8%) ตามลำดับ   หากพิจารณาย้อนหลังไปจนถึงปี 2561 จะพบว่า ชาวจีน ยังคงเป็นสัญชาติที่นิยมซื้อคอนโดในประเทศไทยเป็นส่วนใหญ่ โดยมีสัดส่วนในแต่ละปีสูงกว่า 50%  ของยูนิตทั้งหมด และลำดับรองลงมาส่วนใหญ่เป็นชาวยุโรป โดยมีสัดส่วนไม่ถึง 7%  โดยสัญชาติที่นิยมเข้ามาซื้อคอนโดในประเทศไทยตั้งแต่ ปี 2561 จนถึง 9 เดือนแรกของปี 2564 ที่มีจำนวนหน่วยสะสมสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน รัสเซีย สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และ สหรัฐอเมริกา ตามลำดับ (ดูแผนภูมิที่ 8) แผนภูมิที่ 8 หน่วยโอนกรรมสิทธิ์คอนโดให้คนต่างชาติ ทั่วประเทศ  เรียงตามสัญชาติสูงสุด 10 อันดับ ที่มา : กรมที่ดิน  รวบรวมและประมวลผลโดย : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์   ใน 9 เดือนแรกของปี 2564 มีการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดทั่วประเทศให้ชาวจีน เป็นมูลค่าสูงสุด จำนวน 17,800 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนที่สูงถึง 59.9E ของมูลค่าทั้งหมด ส่วน 4 สัญชาติที่มีมูลค่าการโอนรองลงมาคือ วานูอาตู จำนวน 1,011 ล้านบาท (สัดส่วน 3.4%) ถัดมาคือ สหรัฐอเมริกา จำนวน 864 ล้านบาท (สัดส่วน 2.9%) สหราชอาณาจักร จำนวน 732 ล้านบาท (สัดส่วน 2.5%) และฝรั่งเศส จำนวน 711 ล้านบาท (สัดส่วน 2.4%) ตามลำดับ เป็นที่น่าสังเกตว่า ชาววานูอาตู มีมูลค่ารับโอนกรรมสิทธิ์คอนโดสะสมใน 9 เดือนแรกของปี 2564 สูงสุดเป็นลำดับที่ 2 แต่มีจำนวนหน่วยสะสมเพียง 23 หน่วย ซึ่งคิดเป็นมูลค่าคอนโดเฉลี่ยต่อหน่วยสูงถึง 44 ล้านบาท ต่างชาตินิยมคอนโด 43 ตร.ม.​ คอนโดที่ชาวต่างชาติโอนกรรมสิทธิ์ใน 9 เดือนแรกของปี 2564 โดยเฉลี่ยมีขนาด 43 ตารางเมตร มูลค่าเฉลี่ย 4.9 ล้านบาทต่อยูนิต หรือประมาณตารางเมตรละ 114,000 บาท สหรัฐอเมริกาเป็นสัญชาติที่โอนคอนโดขนาดใหญ่สุดเฉลี่ย 54.8 ตารางเมตร และสิงคโปร์เป็นสัญชาติที่โอนคอนโดมูลค่าต่อยูนิตสูงสุด เฉลี่ย 5.1 ล้านบาทต่อหน่วย (ดูตารางที่ 1) ทั้งนี้ แม้ประเทศวานูอาตูจะมีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดเฉลี่ยสูงถึง 44 ล้านบาท แต่ด้วยจำนวนหน่วยซึ่งมีเพียง 23 ยูนิต จึงไม่อยู่ใน 10 ประเทศที่มีหน่วยการโอนกรรมสิทธิ์สูงสุด 5 จังหวัดต่างชาติโอนคอนโดสูงสุด ใน 9 เดือนแรกของปี 2564 จังหวัดที่มีจำนวนยูนิตโอนกรรมสิทธิ์คอนโดให้คนต่างชาติสะสมมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ จังหวัดกรุงเทพฯ ชลบุรี ภูเก็ต เชียงใหม่ และประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งส่วนใหญ่จะกระจุกตัวอยู่ใน 2 จังหวัดแรก คือ กรุงเทพฯ มีจำนวน 3,246 ยูนิต (สัดส่วน 53.0%) และชลบุรี จำนวน 1,738 ยูนิต (สัดส่วน 28.4%) ตามลำดับ โดยทั้ง 2 จังหวัดมีสัดส่วนรวมกันสูงถึง 81.4%  ของทั่วประเทศ (ดูแผนภูมิที่ 9)   แผนภูมิที่ 9 หน่วยโอนกรรมสิทธิ์คอนโดให้คนต่างชาติ ทั่วประเทศ เรียงตามจังหวัดสูงสุด 5 อันดับ ที่มา : กรมที่ดิน  รวบรวมและประมวลผลโดย : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์   จังหวัดที่มีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดให้คนต่างชาติสูงสุด 5 อันดับแรก ใน 9 เดือนแรกของปี 2564 ได้แก่ จังหวัดกรุงเทพฯ ชลบุรี ภูเก็ต ประจวบคีรีขันธ์ และนนทบุรี โดยใน 2 จังหวัดแรก คือ กรุงเทพฯ มีมูลค่า 21,764 ล้านบาท (สัดส่วน 73.2%) และชลบุรี มีมูลค่า 4,137 ล้านบาท (สัดส่วน 13.9%) ตามลำดับ ซึ่งทั้ง 2 จังหวัด มีสัดส่วนมูลค่ารวมกันสูงถึง87.1%  ของทั้งประเทศ   สำหรับข้อมูลทั้งหมด แสดงให้เห็นว่า ตลาดคอนโดในกลุ่มลูกค้าต่างชาติ ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ไม่ต่างจากกลุ่มลูกค้าชาวไทย แต่กลุ่มชาวต่างชาติส่วนใหญ่ ก็ยังต้องการที่จะซื้อคอนโดในเมืองไทย ไม่ได้หายออกจากตลาดไปทั้งหมด แม้ว่าตัวเลขจะจำนวนลดลงก็ตาม เพราะปัญหาใหญ่ที่ชาวต่างชาติต้องเผชิญ คือ การไม่สามารถเดินทางไปมาระหว่างประเทศได้ ซึ่งเชื่อว่าหากการแพร่ระบาดเบาบางลง สามารถเดินทางระหว่างประเทศได้ ตัวเลขด้านยอดขายและการโอนคอนโดในกลุ่มลูกค้าต่างชาติ น่าจะฟื้นตัวดีขึ้น เพราะตลาดคอนโดไทยยังได้เปรียบกับหลายประเทศในภูมิภาค โดยเฉพาะเรื่อของราคา ที่สำคัญเมืองไทยยังน่าอยู่อาศัย และมีศักภาพรองรับชาวต่างชาติได้อีกมากมายหลายเรื่อง
[PR News] “EZVIZ” รุ่น C6W คว้ารางวัลสุดยอดนวัตกรรมสมาร์ทโฮมโซลูชั่นอัจฉริยะภายในบ้านแห่งปี จาก  “IoT Innovator Award 2021”

[PR News] “EZVIZ” รุ่น C6W คว้ารางวัลสุดยอดนวัตกรรมสมาร์ทโฮมโซลูชั่นอัจฉริยะภายในบ้านแห่งปี จาก “IoT Innovator Award 2021”

ผลิตภัณฑ์กล้องสมาร์ทโฮมอัจฉริยะ อีซี่วิซ  รุ่น “C6W” สามารถคว้ารางวัลชนะเลิศ และเป็นผู้ชนะประเภท Home Automation เพียงผู้เดียว จากเวทีการประกวด “IoT Innovator Award 2021” ที่จัดขึ้นโดย Compass Intelligence บริษัทที่ปรึกษาและวิจัยด้านการตลาด IoT จากสหรัฐฯ เพื่อยกย่องให้กล้องวงจรปิดภายในบ้าน EZVIZ C6W เป็นสุดยอดนวัตกรรมสมาร์ทโฮมโซลูชั่นอัจฉริยะภายในบ้านที่ดีที่สุด   จากความโดดเด่นด้านการผสานมิติแห่งการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่มีสไตล์ เข้ากับเทคโนโลยีกล้องวงจรปิดแบบฟลูฟังก์ชั่น (Full Fuction) ขับเคลื่อนด้วยระบบเอไอเทคโนโลยีอัจฉริยะ เพิ่มความสามารถซูมอัตโนมัติสูงสุด 4 เท่าเมื่อตรวจพบความเคลื่อนไหวแบบเรียลไทม์ พร้อมคุณภาพวีดิโอ 2K (4 ล้านพิกเซล) ที่คมชัดทุกรายละเอียด ปรับหมุนได้ทั้งแนวตั้ง 340° และแนวนอน 75° (Pan and tilt camera) ไร้สายติดตั้งง่าย ควบคุมและสั่งผ่านได้อย่างสะดวกรวดเร็วผ่าน EZVIZ App และฟังก์ชั่น “การสื่อสารสองทาง” ที่ติดตั้งไมโครโฟนและลำโพงมาในตัว และสามารถจัดการกล้องผ่านสมาร์ทโฟน ​