Tag : condo

1512 ผลลัพธ์
มองตลาดคอนโดฯ พร้อม 5 กลยุทธ์ เอาตัวรอดปี 2563 ท่ามกลางไวรัสโค-19

มองตลาดคอนโดฯ พร้อม 5 กลยุทธ์ เอาตัวรอดปี 2563 ท่ามกลางไวรัสโค-19

สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้ทุกธุรกิจหยุดชะงัก หรือไม่ก็ต้องปรับตัวสารพัด เพื่อให้ยังสามารถไปต่อได้   ธุรกิจขนาดใหญ่และต้องมีปฏิสัมพันธ์กับคนอย่างธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ตอนนี้ก็ปรับตัว มุ่งสู่การทำตลาดและการขายในรูปแบบ “ออนไลน์” เพราะลูกค้าไม่ออกจากบ้านและไม่สามารถเดินทางมาเยี่ยมชมโครงการได้ สินค้าที่มีขนาดใหญ่และมูลค่าสูงอย่าง “บ้านหรือคอนโดมิเนียม” ซึ่งต้องได้เห็นหรือสัมผัสกับโครงการจริง จึงลำบากเอามากๆ 2563 ปีที่ยากลำบากของตลาดคอนโดฯ  สำหรับตลาดอสังหาฯ กลุ่มสินค้าที่ดูว่าจะได้รับผลกระทบหนักสุด คงเป็นตลาดคอนโดฯ เพราะไม่เพียงแต่มาตรการ “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” ที่รัฐบาลได้รณรงค์แถมพ่วงด้วยมาตรการ “เคอร์ฟิว” ก่อนหน้าตลาดคอนโดฯ​ ยังได้รับผลกระทบจากมาตรการ LTV ที่ส่งผลทั้งตลาดคนซื้อจริง กลุ่มนักลงทุน และกลุ่มชาวต่างชาติ ตลาดคอนโดฯ​ จึงได้ชะลอตัวลงมาอย่างต่อเนื่อง เมื่อเจอสารพัดปัจจัยลบมากระทบต่อตลาดคอนโดฯ  แล้วทิศทางต่อไปของตลาดจะเป็นอย่างไร  บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด ได้ออกบทวิจัย พร้อมมองภาพรวมตลาดคอนโดฯ ในปี 2563  ว่า จะเป็นปีที่ยากกว่าปี  2562  โดยผลการสำรวจสำนักงานขายโครงการคอนโดฯ ในกรุงเทพฯ พบว่า ยอดการเข้าเยี่ยมชมโครงการลดลงไปประมาณ 15-20%  จากปีก่อนหน้า อันเนื่องมาจากโควิด-19  ซึ่งการดำเนินธุรกิจต้องใช้ความระมัดระวังมากขึ้นไปอีก และยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 จะลากยาวไปนานแค่ไหน   จากการรวบรวมแผนการเปิดขายโครงการคอนโดฯ ของบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ 20 ราย ยังพบว่า  บริษัทต่างๆ ดังกล่าวได้ปรับแผนการดำเนินงานในปีนี้  โดยเปิดขายโครงการคอนโดฯ ลดลง ซึ่งคาดว่าทั้ง 20 บริษัทจะมีการเปิดขายโครงการฯ เพียง 52 โครงการ  และคาดว่าจะมีจำนวนยูนิตเปิดขายประมาณ 13,000 – 15,000 ยูนิตเท่านั้น  หากรวมกับบริษัทรายย่อยต่างๆ คาดว่าปี 2563 น่าจะมีจำนวนยูนิตคอนโดฯ เปิดขายใหม่ไม่เกิน 20,000 ยูนิต ซึ่งลดลงมากกว่า 65% เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2561 5 กลยุทธ์ฝ่าวิกฤตโควิด-19  สำหรับแนวทางการทำตลาดและการขาย ภายใต้สถานการณ์โควิด-19 ในปี 2563 นี้  ทางไนท์แฟรงค์ ได้รวบรวมข้อมูลและเสนอแนะแนวทางสำหรับปีนี้ไว้ด้วยกัน 5 กลยุทธ์ คือ 1.ชะลอการเปิดตัวโครงการ ผู้ประกอบการหลายรายเริ่มตัดสินใจไม่เปิดขายคอนโดฯ ในปีนี้ อันได้แก่ บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์, บริษัท แผ่นดินทอง, บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ฯลฯ  หรือผู้ประกอบการบางรายอาจเปิดตัวโครงการเพียง 1 โครงการ อันได้แก่ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด จะเปิดขายคอนโดมิเนียม เพียง 1 โครงการ คือ โครงการ ไอดิโอ พหล-สะพานควาย ส่วนบริษัท เอส ซี แอสเสทฯ จะทำการเปิดขายโครงการ The Crest Park Residences ตั้งอยู่บริเวณห้าแยกลาดพร้าว มีจำนวนห้องพัก 429 ห้อง 2.มุ่งเน้นไปพัฒนาโครงการแนวราบ หลายบริษัทยังคงต้องดำเนินธุรกิจต่อไป เพื่อสร้างการเติบโต โดยมุ่งเน้นไปยังตลาดที่มีความต้องการที่แท้จริง หรือตลาด Real Demand ซึ่งเป็นกลุ่มตลาดบ้านแนวราบ ทิศทางของปีนี้จึงเห็นหลายบริษัทมุ่งไปพัฒนาโครงการแนวราบ ประเภทบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮ้าส์ แทนการเปิดขายคอนโดฯ อาทิ บริษัท เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ฯ เตรียมรุกตลาดทาวน์โฮม ในปีนี้ 3.ขยายการลงทุนไปยังต่างจังหวัด ตลาดเรียลดีมานด์อีกตลาด คือ ตลาดต่างจังหวัด เพราะคนซื้อส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนในพื้นที่ ซึ่งล้วนแต่มีความต้องการที่อยู่อาศัยแท้จริง หลายบริษัทจึงขยายตลาดไปยังต่างจังหวัดเพิ่ม บางรายก็เพิ่งจะไป บางรายก็มุ่งเน้นทำตลาดอย่างจริงจังมากขึ้น  อาทิ  บริษัท เอพี ไทยแลนด์ฯ ได้ปรับกลยุทธ์เพื่อรุกตลาดอสังหาฯ ต่างจังหวัด และเปิดแบรนด์ใหม่ในการทำตลาดระดับราคา 1-2 ล้านบาท โดยจะเปิดใน 4-5 ภูมิภาค ภูมิภาคละ 1 โครงการ และโครงการแรกจะเปิดในจังหวัดนครศรีธรรมราช 4. ขนคอนโดฯ เหลือขายมาปล่อยเช่าระยะยาว จากแนวโน้มการชะลอตัวของตลาดคอนโดฯ ที่มีมาต่อเนื่องหลายปี  ส่งผลทำให้สต็อกคอนโดฯ ของหลายบริษัทมีเหลืออยู่ในจำนวนมาก แม้ว่าจะพยายามจะระบายออกไปก็ตาม แต่เมื่อมาเจอสถานการณ์โควิด-19 จึงส่งผลให้การระบายสต็อกยิ่งยากไปอีก สิ่งหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นทางช่วยผยุงให้บริษัทมีรายได้ และการลดต้นทุนจากสต็อกในมือ คือ การนำเอาห้องชุดของคอนโดฯ ที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่ มาปล่อยเช่า ด้วยการรวมเป็นพอร์ตใหญ่ 50-100 ห้อง แล้วนำเสนอขายต่อให้นักลงทุนรายใหญ่ต่อไป บริษัทที่ทำกลยุทธ์ดังกล่าวชัดเจน น่าจะเป็นบริษัท แอล พี เอ็นฯ โครงการนำร่องคือ ลุมพินี ทาวน์ชิป รังสิต-คลอง 1 ลุมพินี พระราม 3 – ริเวอร์ไรน์ และ ลุมพินี เพลส พหลโยธิน 32 5.ชะลอการขาย เตรียมปัดฝุ่นขายใหม่ ผู้ประกอบการบางรายที่ได้เปิดขายโครงการมาแล้ว แต่โครงการดังกล่าวขายไม่ได้ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจ โรคระบาดไวรัสโควิด-19 ได้ทำการหยุดการขายชั่วคราว และรอสถานการณ์ให้ดีขึ้นเพื่อนำมาเปิดขายใหม่  ได้แก่ โครงการ เดอะทรี จรัญ-บางพลัด  ซึ่งเปิดขายไปในช่วงกลางปี  2562 ทำยอดขายไปได้เพียง 20% ทางบริษัท พฤกษา เรียลเอสเตทฯ  จึงตัดสินใจปิดโครงการ โดยเลื่อนการเปิดตัวใหม่ในจังหวะเวลาที่เหมาะสม และได้โอนกลุ่มลูกค้าที่ซื้อในโครงการไปยัง โครงการอีก 4 โครงการที่มีอยู่ในบริเวณพื้นที่ดังกล่าว เพื่อเพิ่มยอดขายในโครงการที่เปิดตัวไปแล้วและพร้อมขายในตลาด นอกจากนี้ยังมีโครงการคอนโดมิเนียมจากผู้ประกอบการรายย่อยที่ทำการหยุดการขายไปในภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว โครงการดังกล่าวได้แก่ โครงการ แอล เค ทาวเวอร์ ของบริษัท ลิ้งค์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด โครงการตั้งอยู่บนถนนนวลจันทร์ และโครงการเมย์แฟร์ เพลส วิคทอรี่ โมนูเม้นท์ ของบริษัท พีทีเอฟ เรียลตี้ จำกัด โครงการตั้งอยู่บนถนนวิภาวดีรังสิต ย้อนมองตลาดคอนโดฯ​ 62 สำหรับตลาดคอนโดฯ ในปี  2562 ที่ผ่านมา มีจำนวนยูนิตขายสะสมทั้งสิ้น 525,223 ยูนิต คิดเป็นอัตราการขายที่  84.3% จากจำนวนทั้งสิ้น 623,381 ยูนิต โดยอัตราการขายลดลงจากปี 2561 ซึ่งมีอัตราการขายอยู่ที่ 85.8% จำนวนยูนิตคอนโดฯ ที่ขายได้ใหม่ในปี 2562 มี จำนวนเพียง 39,919 ยูนิต ซึ่งลดลงในอัตรา​ 31.2%  ส่วนจำนวนยูนิตที่ขายได้ใหม่เฉลี่ยต่อปี ในระยะเวลา 5 ปี มีประมาณ 58,000 ยูนิตต่อปี   สาเหตุหลักที่ทำให้อัตราการขายลดลง มาจากมาตรการ LTV ที่ออกมาได้ตัดวงจรกำลังซื้อ ทั้งของนักลงทุน นักเก็งกำไร ลูกค้าต่างชาติ และลดทอนโอกาสของผู้ที่จะซื้อที่อยู่อาศัย เนื่องจากธนาคารพาณิชย์จะต้องพิจารณาเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อ ประกอบกับนโยบายการห้ามนำเงินออกนอกประเทศของรัฐบาลจีน ทำให้สภาพคล่องที่จะเข้ามาซื้อโครงการคอนโดมิเนียมที่เปิดขายในปีที่ผ่านมา ต้องชะลอตัวอย่างมาก   กลุ่มผู้ซื้อคอนโดฯ ในปี  2562 ประกอบด้วยกลุ่มผู้ซื้อที่ซื้อเพื่ออยู่จริง คิดเป็นสัดส่วน 70-80% โดยกลุ่มนี้จะสนใจซื้อคอนโดฯ ที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่ นอกจากนี้ยังมีกลุ่มนักลงทุนคิดเป็นสัดส่วน 20-30% โดยนักลงทุนมักสนใจซื้อคอนโดฯ ที่ตั้งอยู่ในบริเวณแนวรถไฟฟ้า  ทั้งที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง หรือสร้างเสร็จแล้ว จำนวนยูนิตคอนโดฯ ที่ขายได้ในปี 2562 ส่วนใหญ่จะเป็นโครงการที่สร้างเสร็จแล้ว  และมีระดับราคาขายต่ำกว่า 3 ล้านบาท  ส่วนโครงการที่เพิ่งเปิดขายใหม่ยังขายได้  แต่อัตราการขายได้จะช้ากว่า อีกปัจจัยที่ทำให้ยอดขายคอนโดฯ ในปี 2562 ลดลง มาจากกำลังซื้อจากต่างชาติลดลง โดยเฉพาะกำลังซื้อจากจีนลดลง เนื่องจากเศรษฐกิจค่อนข้างชะลอตัว และคาดการณ์ว่ากำลังซื้อจากต่างชาติและชาวจีน  จะยังคงลดลงอย่างต่อเนื่องในปีนี้  สาเหตุหลักมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19  ซึ่งคนต่างชาติหยุดการเดินทางระหว่างประเทศ  โดยจำนวนยูนิตคอนโดฯ เหลือขายในช่วงปลายปี 2562 มีประมาณ 98,158 ยูนิต ปี 62 คอนโดฯ เปิดใหม่ 130 โครงการ จากผลวิจัยไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย ในปี  2562 มีโครงการคอนโดฯ เปิดขายใหม่ทั้งสิ้น 130 โครงการ มีจำนวนทั้งสิ้น 57,722 ยูนิต โดยจำนวนยูนิตเปิดขายใหม่ลดลงในอัตรา16.3% จากปี  2561 ที่มีจำนวนยูนิตเปิดขายใหม่อยู่ที่ 68,900 ยูนิต  ในจำนวนยูนิตที่เปิดขายใหม่ในปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่ตั้งอยู่บริเวณชานเมืองกรุงเทพฯ สัดส่วนถึง 61% รองลงมาได้แก่บริเวณรอบใจกลางเมือง (City Fringe) สัดส่วน 24%  ส่วนพื้นที่บริเวณศูนย์กลางธุรกิจ (CBD) มีสัดส่วนเพียง 15% เท่านั้น ในส่วนของราคาเสนอขาย (Asking Price) คอนโดฯ ในกรุงเทพฯ พบว่า มีระดับราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นในทุกพื้นที่  โดยช่วงปลายปี 2562 ราคาเสนอขายคอนโดฯ ในบริเวณศูนย์กลางธุรกิจอยู่ที่ 268,000 บาท ต่อ ตารางเมตร ปรับตัวเพิ่มขึ้นในอัตรา 2.8% จากปี 2561 มีราคาขายอยู่ที่ 260,761 บาท ต่อตารางเมตร  ส่วนราคาเสนอขายบริเวณรอบเขตศูนย์กลางธุรกิจ   มีราคาเสนอขายอยู่ที่ 149,500 บาท ต่อ ตารางเมตร ปรับตัวเพิ่มขึ้นในอัตรา 2.7% จากปีก่อนหน้า ซึ่งอยู่ที่ 145,556 บาท ต่อตารางเมตร ส่วนราคาเสนอขายของคอนโดฯ บริเวณชานเมืองกรุงเทพฯ มีราคาเสนอขายอยู่ที่ 81,000 บาท ต่อ ตารางเมตร ปรับตัวเพิ่มขึ้นในอัตรา 2.3% จากปี 2561 ซึ่งอยู่ที่ 79,158 บาท ต่อตารางเมตร   ถึงแม้ราคาเสนอขายจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่เนื่องในสภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย  พบว่าโครงการคอนโดฯ หลายๆ โครงการได้มีส่วนลด และกิจกรรมส่งเสริมการขาย เพื่อดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาซื้อห้องพักในโครงการ โดยเฉพาะโครงการที่พัฒนาโดยผู้ประกอบการบางรายที่ได้ตั้งราคาเกินความจริง (Overprice) มักให้ส่วนลดที่มากกว่าโครงการที่ตั้งราคาอย่างเหมาะสม โดยพบว่า โครงการคอนโดฯ ที่ตั้งอยู่บริเวณศูนย์กลางธุรกิจ เสนอส่วนลดในอัตรา 2.5 -6% จากราคาเสนอขาย ส่วนคอนโดฯ ที่ตั้งอยู่บริเวณชานเมืองกรุงเทพฯ เสนอส่วนลดค่อนข้างสูงในอัตรา 5-13% จากราคาเสนอขาย ส่วนคอนโดฯ ที่ตั้งอยู่บริเวณรอบเขตศูนย์กลางธุรกิจเสนอส่วนลดในอัตรา  3- 6% จากราคาเสนอขาย และ ผู้ประกอบการที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์จะเสนอส่วนลดในอัตราที่น้อยกว่าผู้ประกอบการรายย่อยทั่วๆไป ในที่สุดแล้วตลาดคอโดฯ ในปีนี้จะเป็นอย่างไรนั้น  คงไม่ม่ใครให้คำตอบชัดเจนได้ แต่ทุกคนก็ได้แต่หวังว่าสถาการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 จะได้รับการแก้ไขได้เร็วที่สุด และปัญหายุติลงโดยเร็ว ซึ่งหลังจากนั้น เราคงได้เห็นภาพชัดเจนว่าตลาดจะฟื้นตัวได้มากน้อยแค่ไหน 
ออริจิ้น จัดเคมเปญใหม่  Q2 ให้ลูกค้าเว้นระยะผ่อนนาน 3 ปี

ออริจิ้น จัดเคมเปญใหม่  Q2 ให้ลูกค้าเว้นระยะผ่อนนาน 3 ปี

“ออริจิ้น” ขน 23 โครงการบ้าน-คอนโดฯ ลุยตลาดไตรมาส 2 จัดแคมเปญ “Keep Your Distance” ให้ลูกค้าเว้นระยะผ่อนนานสูงสุด 3 ปี ฟรีค่าใช้จ่ายวันโอน เครื่องใช้ไฟฟ้าสูงสุด 5 รายการ ฟรีค่าส่วนกลางสูงสุด 3 ปี และดอกเบี้ยสุดพิเศษจากธนาคารพันธมิตร พร้อมลุยออนไลน์ครบวงจร ด้ววยกลยุทธ์ “Always Online” สู้ภัย COVID-19   นายเกรียงไกร กรีบงการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น คอนโดมิเนียม จำกัด ในเครือบริษัท  ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI   เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาส 2 นี้ บริษัทในเครือออริจิ้นได้นำโครงการต่างๆ รวม 23 โครงการ มาจัดแคมเปญ “Keep Your Distance” ให้ผู้บริโภคได้ “เว้นระยะผ่อน” เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงโครงการที่อยู่อาศัยได้ง่ายขึ้น ด้านนายสิริพงศ์ ศรีสว่างวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พาร์ค ลักชัวรี่ จำกัด  กล่าวว่า บริษัทนำโครงการคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ระดับลักชัวรี่เข้าร่วมแคมเปญ Keep Your Distance 2 โครงการ ได้แก่ 1.ไนท์บริดจ์ ไพร์ม สาทร  และ 2.พาร์ค ออริจิ้น พร้อมพงษ์  โดยลูกค้าจะได้รับสิทธิ์อยู่ฟรีนานสูงสุด 2 ปี ฟรีค่าส่วนกลางสูงสุด 3 ปี ในราคาเริ่มต้นเพียง 4.99 ล้านบาท*   นอกจากนี้ ภายใต้สถานการณ์ COVID-19 เครือออริจิ้นยังได้อำนวยความสะดวกให้แก่ผู้บริโภค ที่สนใจโครงการด้วยกลยุทธ์ “Always Online” ให้ลูกค้าสามารถทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับการซื้อ-ขายคอนโดมิเนียม 15 โครงการที่เข้าร่วมแคมเปญได้อย่างครบวงจร  ผ่านช่องทางออนไลน์ โดยไม่จำเป็นต้องไปที่โครงการด้วยตัวเอง เริ่มต้นจากการเปิดช่องทางจอง 3 แพลทฟอร์ม ได้แก่ 1.LINE Official Account และ LINE My Shop ภายใต้ชื่อ @OriginProperty และ @PARKLUXURY 2.Official Store บน Lazada ภายใต้ชื่อ Origin Property และ 3.Official Store บน Shopee ภายใต้ชื่อ Origin Property พร้อมสิทธิ์จองคอนโดออนไลน์ในราคาเพียง 1,999 บาท และผู้ที่จอง 2 โครงการภายใต้พาร์ค ลักชัวรี่ผ่านช่องทางออนไลน์ จะได้รับบริการตรวจห้องและฆ่าเชื้อไวรัส COVID-19 ฟรีอีกด้วย   ขณะเดียวกัน ยังให้ลูกค้าสามารถยื่นทำสัญญา ตรวจรับมอบห้อง ทำเรื่องโอนกรรมสิทธิ์ ผ่านช่องทางออนไลน์ได้เช่นกัน โดยยื่นเรื่องต่างๆ เข้ามาผ่านทาง LINE Official Account จากนั้นจะมีทีมงานบริการจัด-ส่งเอกสารต่างๆ ให้ถึงที่ มีบริการตรวจความเรียบร้อยของห้องและอัปเดตความคืบหน้าผ่านช่องทาง LINE และแอปพลิเคชั่น Origin Connect เช่นเดียวกับการโอนกรรมสิทธิ์ที่ผู้บริโภคไม่จำเป็นต้องเดินทางไปกรมที่ดินด้วยตัวเอง วันนี้ทั้ง Mindset และ Customer Journey ของผู้บริโภคเกี่ยวกับการซื้ออสังหาริมทรัพย์กำลังเปลี่ยนแปลงไป ชีวิตในช่วง COVID-19 และหลัง COVID-19 จะพึ่งพาแพลทฟอร์มออนไลน์มากขึ้นส่วนนางศุภลักษณ์ จันทร์พิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บริทาเนีย จำกัด กล่าวว่า บริทาเนียได้นำโครงการบ้านจัดสรรเข้าร่วมแคมเปญ “Keep Your Distance” จำนวน 8 โครงการ  โดยกลุ่มบ้านจัดสรร มอบสิทธิ์อยู่ฟรีสูงสุด 2 ปี ฟรีค่าใช้จ่าย ณ วันโอน นอกจากนี้ ในแต่ละโครงการยังมีสิทธิพิเศษเพิ่มเติมแตกต่างกันไป อาทิ ฟรีแอร์ทุกห้องนอน  ค่าจองเพียง 999 บาท และสามารถจองได้ที่สำนักงานขายโครงการ หรือใน Official Store บน Lazada ภายใต้ชื่อ Origin Property ขณะที่กลุ่มคอนโดมิเนียม สามารถจองได้ทั้งที่สำนักงานขายโครงการ หรือผ่าน Lazada, Shopee และ LINE Official Account ชื่อ @OriginProperty และ @PARKLUXURY ถึง 30 มิถุนายนนี้
อนันดาฯ ดิ้นสู่โควิด-19 ชูกลยุทธ์ใหม่ THE GAME CHANGER 

อนันดาฯ ดิ้นสู่โควิด-19 ชูกลยุทธ์ใหม่ THE GAME CHANGER 

“อนันดาฯ” ปรับกลยุทธ์สู้โควิด-19  ชู THE GAME CHANGER  บุกทุกแพลตฟอร์ม  พร้อมอัดโปรโมชั่นพิเศษกระตุ้นยอดขายผ่านแคมเปญ MOVE NOW  กับ 32 โครงการพร้อมอยู่ติดรถไฟฟ้า     นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า  จากวิกฤตการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19  ได้สร้างปรากฏการณ์ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในตลาดอย่างต่อเนื่อง รวดเร็ว ส่งผลกระทบรุนแรง โดยเฉพาะพฤติกรรมการบริโภคของลูกค้าที่เปลี่ยนไป  ซึ่งไม่มีความแน่นอน ไม่สามารถคาดการณ์ได้ วันนี้วิกฤตไวรัสโควิด-19 คือสิ่งที่ดึงทุกอย่างจากอนาคตให้เข้ามาหาเราเร็วมากขึ้น เพราะทุกอย่างจากนี้จะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป ทั้งรูปแบบของการดำเนินธุรกิจ และการใช้ชีวิตของผู้คนในยุคหลังจากวิกฤตไวรัสโควิด-19 หมดไป บริษัทได้มีการเตรียมความพร้อมรับมือกับวิกฤตดังกล่าวอยู่ตลอดเวลา  ด้วยการปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจใหม่ THE GAME CHANGER คือ แผนกลยุทธ์หลักทางธุรกิจที่พัฒนามาเพื่อให้สอดคล้องและตอบรับกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยมีเป้าหมายเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่มีรูปแบบการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป มีความต้องการด้านบริการที่สะดวกสบาย เข้าถึงง่าย  สามารถตอบโจทย์ครบในทุกช่องทางและทุกรูปแบบ (CONVENIENCE) และที่สำคัญในเรื่องของความคุ้มค่า ตรงใจกับการใช้งานและความต้องการ (BEST DEAL) โดยหลักการของกลยุทธ์ THE GAME CHANGER ประกอบด้วยแกนสำคัญ 3 แกนคือ 1.ANANDA iSTORE   รูปแบบการขายออนไลน์ทั้ง 3 ช่องทาง ตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยผ่านออนไลน์ทั้งโครงการบ้าน-คอนโดใกล้รถไฟฟ้า ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งเป็นกลยุทธ์การสร้างแพลตฟอร์มใหม่ ที่ตอบโจทย์ลูกค้าผ่าน ONLINE CHANNEL ที่ง่ายต่อการใช้งานและตอบสนองความต้องการอย่างแท้จริง โดยเน้นการให้ข้อมูลของโครงการ ข้อเสนอสุดพิเศษ และช่องทางการชำระเงินที่ง่ายและมีความปลอดภัยรวมถึงการให้บริการอย่างใกล้ชิดแบบ 24 ชั่วโมง โดยผ่าน 3 ช่องทางหลัก ได้แก่  1. ANANDA ONLINE BOOKING  2. FACEBOOK ANANDA DEVELOPMENT และ 3. LINE OA “CHAT & SHOP  2.CEO GO LIVE เป็นการสร้างความเชื่อมั่นและการให้ความไว้วางใจ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในเวลานี้ แสดงจุดยืนความจริงใจให้ลูกค้ามั่นใจได้ว่าตั้งแต่วันแรกที่จองซื้อ จนกระทั้งถึงวันส่งมอบและย้ายเข้าอยู่ในโครงการ และเน้นย้ำว่าจะส่งมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าจริงและไม่ทิ้งกัน ลูกค้าจะได้รับการดูแลด้วยความจริงใจจากบริษัทอย่างต่อเนื่อง  โดย CEO GO LIVE คือ การนำเสนอในรูปแบบใหม่โดยให้ CEO ได้ใกล้ชิดกับลูกบ้าน ลูกค้าและกลุ่มแฟนคลับอนันดาฯ มากยิ่งขึ้นโดย CEO จะมาช่วย Youtuber (ภาคจำเป็น) บนโลกออนไลน์ ทำกิจกรรมต่างๆ กับ CEO   3.REAL – TERTAINMENT (REAL ESTATE + ENTERTAINMENT) การขายแบบเดิมไม่สามารถตอบสนองลูกค้าได้อีกต่อไป บริษัทจึงสร้างและพัฒนาศักยภาพของทุกคนในองค์กรให้ “ขายได้ ขายเป็น” เพื่อตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าได้ทันที ปูพื้นฐานความเป็น DIGITAL SALES ให้กับทุกคนในองค์กรให้กลายเป็นนักขายสินค้าออนไลน์มืออาชีพ ขยายรูปแบบจากออนกราวด์สู่ออนไลน์ผ่านทุก Social  & Digital platform บนโลกออนไลน์ เช่น  Application ZOOM, LINE , TIK TOK  เป็นต้น   ล่าสุด อนันดาฯ เปิดตัวแคมเปญ “Ananda MOVE NOW!” กับ 32 โครงการพร้อมอยู่ ทั้งคอนโดใกล้รถไฟฟ้า บ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์พร้อมอยู่ทุกยูนิตกับดีลพิเศษ* ภายใต้แบรนด์ คอนโดมีเนียม “แอชตัน” “ไอดีโอ คิว” “ไอดีโอ โมบิ” “ไอดีโอ” “เอลลิโอ” “ยูนิโอ” บ้านเดี่ยว และทาวน์เฮ้าส์ “อาร์เทล” “แอริ” “เอโทล” “ยูนิโอ ทาวน์” และ “เออร์บานิโอ” ในราคาเริ่มต้น 1.29 – 39.9* พร้อมโปรโมชั่นจากแต่ละโครงการ อาทิ อยู่ฟรียาวๆ สูงสุด 2 ปี รับส่วนลดสูงสุด 3 ล้านบาท ฟรีค่าใช้จ่ายวันโอนฯ ฟรีค่าส่วนกลางสูงสุด 2 ปี (เงื่อนไขตามบริษัทฯ กำหนด)  ตั้งแต่วันนี้ – 15 พฤษภาคม  2563 นอกจากนี้ เพิ่มความมั่นใจในคุณภาพห้อง ด้วยการเพิ่มประกันห้องชุดเพิ่ม 1 ปี สำหรับโครงการ IDEO  และ IDEO MOBI ที่ร่วมรายการ      
แสนสิริ ผนึก พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ฝ่าวิกฤติ COVID-19

แสนสิริ ผนึก พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ฝ่าวิกฤติ COVID-19

“แสนสิริ” จับมือ “พลัส พร็อพเพอร์ตี้” เดินหน้าฝ่าวิกฤติ COVID-19 ประกาศนโยบาย “Sansiri Care…เพราะเราห่วงใย” ดูแลลูกบ้าน พันธมิตร และพนักงานกว่า 100,000 ครอบครัว ทั้งมาตาการเชิงรับและเชิงรุก     นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า  แสนสิริ ได้ร่วมมือกับ พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ประกาศนโยบาย “Sansiri Care…เพราะเราห่วงใย” ครอบคลุมภาพรวมวงจรการดำเนินธุรกิจ (Business Ecosystem) ด้วยการนำแนวคิดวิธีการบริหารงานอย่างต่อเนื่อง (Business Continuity Plan – BCP) มาปรับใช้กับสถานการณ์ปัจจุบัน พร้อมยกระดับมาตรการทั้งแผนเชิงรุกและเชิงรับเพื่อรับมือสถานการณ์แพร่การระบาดที่เพิ่มขึ้นของเชื้อไวรัส COVID-19 ด้วยมาตรการเพื่อความปลอดภัยและอุ่นใจแบบเต็มขั้นแก่ครอบครัวแสนสิริ ผู้มีส่วนร่วมกับองค์กรในทุกระดับตั้งแต่ลูกบ้าน ลูกค้า พันธมิตร ตลอดจนคนงานก่อสร้าง แม่บ้าน และพนักงานรักษาความปลอดภัย แสนสิริและพลัส พร็อพเพอร์ตี้ เรากำลังดูแลลูกบ้านจนถึงพนักงานรักษาความปลอดภัยกว่าแสนครอบครัว  เพื่อให้พวกเขาได้ใช้ชีวิตการอยู่อาศัยที่สะดวกสบาย  และปลอดภัยมากที่สุด ด้วย 3 มาตรการสูงสุดในการป้องกัน ดูแล และรับมือ ที่ครอบคลุมด้านความสะอาด การอำนวยความสะดวก และการเตรียมความพร้อม 3 มาตรการตั้งมือรับโควิด-19 สำหรับแผนเชิงรับ 3 มาตรการดูแลลูกค้า รับมือสถานการณ์ระบาดของเชื้อไวรัส COVID- 19 ประกอบด้วย 1.มาตรการป้องกัน ยกระดับมาตรการทำความสะอาดและความปลอดภภัยแบบเต็มขึ้นสูงสุด โดยจัดทำแนวทางการปฏิบัติงาน (protocal) เพื่อควบคุมมาตรฐานและกำกับดูแลในทุกหน่วยงานและพื้นที่ปฏิบัติงาน -โครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง ร่วมมือกับพันธมิตรดูแลทั้งวิศวกรโครงการ คนงานก่อสร้าง ตั้งจุดคัดกรองวัดไข้ สวมหน้ากากตลอดเวลาปฏิบัติงาน พร้อมจัดเจลแอลกอฮอล์ -โครงการที่สร้างเสร็จพร้อมส่งมอบและโอนแก่ลูกค้า เช็ดและทำความสะอาดห้องและบ้านด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อทุกครั้ง อบโอโซนฆ่าเชื้อก่อนการตรวจรับมอบที่อยู่อาศัย พร้อมป้ายรับรองผ่านการฆ่าเชื้อเรียบร้อย  เพื่อมั่นใจ ปลอดภัยและอุ่นใจสูงสุด -โครงการที่มีลูกบ้านพักอาศัย ภายใต้การบริหารของพลัส พร็อพเพอร์ตี้ สำนักงานขายทั่วประเทศ และ SIRI CAMPUS สำนักงานใหญ่ คัดกรองวัดไข้วัดอุณหภูมิลูกบ้านและพนักงานที่ให้บริการทุกคนเพื่อคัดกรองผู้ป่วย แจกหน้ากากอนามัย สวมหน้ากากตลอดเวลาที่ปฏิบัติงานและล้างมือก่อนการให้บริการทุกครั้ง พร้อมจัดเจลหรือสเปรย์แอลกอฮอล์ทั้งในโครงการ -สำนักงานขาย พื้นที่ส่วนกลาง ทำความสะอาดพื้นที่ส่วนกลาง ทุก 1-2 ชั่วโมง ฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อและอบโอโซนในโครงการ ตลอดจนป้อมรปภ. ห้องพักแม่บ้าน ห้องและบ้านตัวอย่าง พื้นที่ส่วนกลาง สำนักงานนิติ สำนักงานช่าง นอกจากนี้ สำหรับสำนักงานขาย ทำความสะอาดพื้นที่ตลอดชุดโต๊ะเก้าอี้ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อทุกครั้งที่มีลูกค้าเยี่ยมชมโครงการ เพื่อเตรียมรับลูกค้าใหม่ เสริฟน้ำขวดส่วนตัว และจัดแอลกอฮอลล์พกพาสำหรับพนักงานขาย เมื่อพาลูกค้าเยี่ยมชมโครงการ 2.มาตรการดูแล อำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิตแก่ลูกบ้านกับ Sansiri Privilege ยกระดับการให้บริการตั้งแต่ บริการทำความสะอาด การดูแลสุขภาพ และความสะดวกในการสั่งสินค้า Delivery ของ Sansiri Family ใน Home Service Application Virtual Hospital บริการปรึกษาแพทย์แบบออนไลน์ฟรี จากโรงพยาบาลสมิติเวช พร้อมบริการส่งยาฟรีและส่วนลดค่ายา 20% ตลอดจนบริการฉีดพ่นฆ่าเชื้อในที่พักอาศัยพร้อมส่วนลด 5% และการจัดเตรียมตู้จำหน่ายสินค้าประจำแต่ละโครงการจำหน่ายเฉพาะสินค้าและของใช้จำเป็น เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ข้าวสาร เจลล้างมือ ปลากระป๋อง นม เป็นต้น 3.มาตรการรับมือ จัดมาตรการดูแลลูกค้าที่ต้องกักตัว 14 วันในที่พักอาศัยให้ใช้ชีวิตได้สะดวกปลอดภัย โดยไม่ต้องออกมาภายนอกที่พักอาศัยตลอดระยะเวลา เช่น จัดทำคู่มือ QR code  การดูแลตัวเองแก่ลูกบ้าน การอำนวยความสะดวกจัดส่งอาหาร การซื้อของจากซูเปอร์ หรือจัดส่งของอื่นๆไปยังหน้าห้องลูกบ้านแบบ Contactless Delivery 2 ช่วงเวลา เช้าและเย็น การจัดการเก็บขยะ วันละ 2 รอบ ให้กับลูกบ้านเพื่อลดอัตราความเสี่ยง   รวมถึง แจ้งเตือนลูกบ้านให้เข้ารับการตรวจหาเชื้ออีกครั้งหลังจากผ่านช่วงระยะเวลากักตัว 14 วัน อำนวยความสะดวกในทุกขั้นตอนหากต้องการพบแพทย์ ตั้งแต่การจัดการลิฟท์ และทำความสะอาดลิฟท์ทันทีหลังจากลูกบ้านใช้บริการ ตลอดจนอำนวยความสะดวกขนย้ายผู้ป่วยหากพบการติดเชื้อ 4 แผนเชิงรุกมาตรการดูแลลูกค้า นอกจากมาตรการเชิงรับ ที่แสนสิริและพลัส พร็อพเพอร์ตี้ ได้วางมาตรการร่วมกันแล้ว ยังได้วางมาตรการเชิงรุกด้วยกลยุทธ์การตลาดแบบ Omni-Channel ครบวงจร ตอบโจทย์ลูกค้าคนรุ่นใหม่ รวมถึงตอบโจทย์พฤติกรรมการใช้สื่อบนหลากหลายแพลตฟอร์ม เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าเรียลดีมานด์รายใหม่ที่ยังรองรับในช่วงสภาวการณ์ COVID-19 รวมถึงช่วยเหลือลูกค้าให้ลูกค้ามีบ้านได้ง่ายขึ้นอีกด้วย บริษัทฯ ยังเตรียมความพร้อมให้แก่ลูกค้าด้วยมาตรการความปลอดภัยสุงสุดแก่ลูกค้าที่เข้าเยี่ยมชมโครงการและการขายที่สำนักงานขายในทุกวัน ด้วยมาตรการ Private Tour เยี่ยมชมโครงการ ไม่ปะปนกับลูกค้ารายอื่นโดยมีเว้นระยะห่างตามหลัก Social Distancing” สำหรับ 4 มาตรการเชิงรุกรับมือไวรัสโควิด -19  ได้แก่ 1.Multi-channel and Online Booking ซื้อขายครบในทุกช่องทาง ผ่าน Virtual Sales ช่องทางในการค้นหาข้อมูล ติดต่อสอบถามและเยี่ยมชมโครงการเสมือนลูกค้าได้ไปชมโครงการจริง อาทิ Sansiri LINE Official Account, Facebook @Sansiri PLC, เว็บไซต์ www.sansiri.com, และในช่องทางใหม่ “24 Hrs. Online Booking” พรีเซลแบบออนไลน์เรียลไทม์ 100%  ครั้งแรกในไทย 2.แสนสิริ ผ่อนให้ 24 เดือน  เพื่อช่วยให้ลูกค้ามีบ้านง่าย ไม่มีภาระค่าใช้จ่ายในการผ่อนที่อยู่อาศัยได้นานตลอดระเวลา 2 ปี เพราะแสนสิริผ่อนให้ ทั้งต้น ทั้งดอก นานสูงสุด 24 เดือน (ตั้งแต่ 3   เม.ย. – 30 มิ.ย. 63) ครอบคลุมถึง 62 โครงการพร้อมอยู่ ทั่วประเทศ พร้อมฟรีค่าโอนและค่าจดจำนอง ฟรีค่าส่วนกลาง พร้อมโปรโมชั่นในทุกโครงการ อาทิ ฟรีค่าส่วนกลางนานสูงสุด 1 ปี พร้อมรับ Gift Voucher สูงสุด 100,000 บาท สำหรับโครงการบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม และฟรีค่าส่วนกลางนาน 2 ปี สำหรับคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ 3.กู้ง่าย ได้บ้าน ผนึกพันธมิตรทางการเงินชั้นนำ ให้บริการคำปรึกษาด้านการเงิน  เพื่อให้ลูกค้ามีบ้านได้เป็นของตัวเองง่ายขึ้น ตลอดจนวางแผนทางการเงินในการซื้อบ้านและที่อยู่อาศัยภายใต้โครงการจากแสนสิริ ตั้งแต่การเตรียมข้อมูลเคล็ดลับด้านการเงิน ที่ครบทุกด้านการตัดสินใจ เพื่อให้ลูกค้าสามารถเตรียมตัวได้ง่ายๆ ด้วยตัวเอง ที่รวบรวมเอาอินไซต์ข้อมูลต่างๆ มาพัฒนาเพื่อดูแลอยู่เคียงข้างลูกค้าตั้งแต่วันแรกไปจนกระทั่งได้รับการอนุมัติการกู้จากธนาคาร 4.Private Tour มาตรการล่าสุดด้านความปลอดภัย สำหรับลูกค้าเข้าเยี่ยมชมโครงการแบบ By Appointment เยี่ยมชมโครงการที่สำนักงานขายดดยนัดหมายล่วงหน้า ยกระดับให้รัดกุมมากยิ่งขึ้นเพื่อความอุ่นใจและปลอดภัยสูงสุด โดยมีเว้นระยะห่างตามหลัก Social Distancing   ด้านการดูแลพนักงานของแสนสิริ และ พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ที่ SIRI CAMPUS สำนักงานใหญ่ ได้มีการฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อและอบโอโซน จุดคัดกรองวัดไข้ สวมหน้ากากตลอดเวลาที่ปฏิบัติงาน การปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงาน Work from Home หรือ Work from Site ใกล้บ้าน สำหรับพนักงานที่มีความเสี่ยงจากการเดินทางสาธารณะ แบ่งช่วงเวลาการรับประมานอาหารเพื่อลดความหนาแน่น ตลอดจนช้อนและภาชนะแยกชุด   การจัดตั้งทีมงานเฉพาะกิจ (COVID-Info) เพื่อรับมือและให้คำปรึกษากับพนักงาน และพันธมิตรที่มีความกังวลอย่างทันท่วงที ตลอดจนการตรวจหาเชื้อไวรัส COVID-19 โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายจากโรงพยาบาลชั้นนำ พร้อมดูแลรักษาค่าพยาบาลให้ทั้งหมดหากพบพนักงานติดเชื้อ ให้กับพนักงานที่มีความเสี่ยง  และการจัดตั้ง Sansiri Care Relief Fund โดยเงินบริจาคจากคณะผู้บริหารเริ่มต้นที่ 5 ล้านบาท เพื่อการดูแลครอบครัวของพนักงานผู้ได้ผลกระทบจากการติดเชื้อไวรัส COVID-19 หรือตกงานเพราะผลกระทบจากเศรษฐกิจ  
How to #save ประหยัดค่าไฟช่วงหน้าร้อน

How to #save ประหยัดค่าไฟช่วงหน้าร้อน

ฤดูร้อนปีนี้แวะมาทักทายกันตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ และดูท่าจะอยู่กับเราไปอีกหลายเดือน เชื่อว่าหลายคนต้องรู้สึกแบบเดียวกันแน่เลย ว่าฤดูร้อนปีนี้อากาศร้อนกว่าปีที่ผ่านมาอย่างชัดเจน แค่ก้าวพ้นหลังคาก็เหงื่อแตกแสบผิวไปหมด แถมด้วยสถานการณ์ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ (COVID-19) ทำให้แทบไม่อยากออกจากบ้านไปไหน ยิ่งอยู่บ้านนานๆ ช่วงอากาศร้อนแบบนี้ ค่าไฟก็ยิ่งทวีคูณ เรียกได้ว่าโลกร้อนขึ้นไม่พอ ยังต้องเสียเงินเพิ่มขึ้นอีกต่างหาก! แต่เรามี วิธีประหยัดค่าไฟฟ้าในบ้าน และประหยัดเงินในกระเป๋าคุณด้วย   8 เครื่องใช้ไฟฟ้า กับ วิธีประหยัดค่าไฟในบ้าน หลอดไฟ หลอดไฟที่ให้แสงสว่างในบ้านเรา มักมีอายุการใช้งานยาวนานจนลืมใส่ใจดูแล แต่หารู้ไม่ว่า! ควรเป็นสิ่งแรกที่ต้องหันกลับมาสำรวจ เพราะเราต้องกดสวิตซ์เปิดไฟทุกวัน และเป็นส่วนหนึ่งในการประหยัดค่าไฟได้ โดยเริ่มจาก   เลือกหลอดไฟที่ได้รับการรับรองมาตรฐานว่าประหยัดไฟ และกำลังวัตต์เหมาะสมกับการใช้งาน อาทิ หลอดฟลูออเรสเซนต์แบบผอม หลอดคอมแพ็กฟลูออเรสเซนต์ (หลอดตะเกียบ) โคมไฟแบบสะท้อนแสง เป็นต้น หลอดไฟ LED จะใช้พลังงานไฟฟ้าต่ำให้แสงสว่างเท่าหลอดไฟแบบฟลูออเรสเซนต์-หลอดไส้ ให้ความร้อนน้อยกว่าหลอดฟลูออเรสเซนต์ และอายุการใช้งานยาวนาน ทำความสะอาดอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง เพราะฝุ่นอาจเกาะจนทำให้ประสิทธิภาพการส่องสว่างลดลง สังเกตบริเวณขาหลอดไฟ หากเริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล สีดำ ให้รีบเปลี่ยนหลอดไฟ เพื่อป้องกันไฟฟ้าลัดวงจร ตู้เย็น ทุกบ้านต้องมีตู้เย็นแน่นอน เพียงแค่ขนาดจะแตกต่างกันออกไปตามความต้องการใช้งานของแต่ละครอบครัว นอกจากจะเลือกใช้ตู้เย็นแบบประหยัดไฟแล้ว เมื่ออายุการใช้งานนานขึ้นก็ต้องคอยตรวจสอบประสิทธิภาพการทำงานด้วย   วางตู้เย็นให้ห่างจากผนังอย่างน้อย 15 เซนติเมตร เพื่อช่วยระบายความร้อนได้ดีกว่า และทำให้ประหยัดไฟได้มากกว่า ตรวจสอบการทำงานของตู้เย็น เช่น ขอบยางประตูตู้ปิดสนิท ข้างตู้เย็นถ้ามีมีไอน้ำเกาะ หรือมีหยดน้ำเกาะแสดงว่าฉนวนเสื่อม ตั้งอุณภูมิช่องธรรมดาประมาณ 3-6 องศาเซลเซียส และช่องฟรีซไม่ต่ำกว่า -15 องศาเซลเซียส หลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้ตู้เย็นทำงานหนักขึ้น อาทิ ปล่อยให้น้ำแข็งเกาะช่องฟรีซหนาเกินไป นำของร้อนแช่ในตู้เย็น เปิด-ปิดตู้เย็นบ่อย และเก็บอาหารในตู้เย็นจนแน่นตู้มากเกินไป เครื่องซักผ้า หากเป็นเครื่องซักผ้าส่วนตัวที่บ้านเราเอง ก็จะดูเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ถูกใช้งานไม่บ่อยมากนักเมื่อเทียบกับเครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดอื่นๆ ที่เปิดใช้กันทุกวัน แต่ถ้าใช้แบบไม่ถูกวิธีก็กินไฟเหมือนกันครับ เรามาดูวิธีประหยัดค่าไฟสำหรับเครื่องซักผ้ากัน   ปริมาณผ้าที่ซักพอเหมาะกับขนาดถังของเครื่อง ไม่มากและไม่น้อยจนเกินไป เครื่องซักผ้าบางรุ่นจะสามารถเลือกซักระบบน้ำอุ่นได้ เพื่อใช้สำหรับผ้าที่เปื้อนไขมันมากๆ แต่ถ้าเป็นการซักผ้าธรรมดาแนะนำให้ใช้น้ำอุณภูมิปกติจะประหยัดไฟมากกว่าการซักด้วยน้ำอุ่น หลีกเลี่ยงอบผ้า เพราะกินไฟมาก ให้เลี่ยงไปใช้การตากผ้าปกติแทน โทรทัศน์ บ้านไหนต้องเปิดโทรทัศน์รับชมข่าวสารและความบันเทิงต่างๆ ทุกวันบ้างครับ? ไม่ว่าจะมีจอเล็กหรือจอใหญ่ก็มีวิธีประหยัดค่าไฟเหมือนกัน ดังนี้   ไม่ปรับจอสว่างจนเกินไป เปิดระดับเสียงที่พอดี ถ้าไม่มีคนดูก็ปิด ไม่เปิดควรเปิดทิ้งไว้ เตารีด เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้ความร้อนถือเป็นเครื่องที่กินไฟมากในการใช้งานแต่ละครั้ง ดังนั้นควรจะรู้จักวิธีการใช้งานอย่างถูกต้อง เพื่อให้เราประหยัดค่าไฟได้มากที่สุด   เสียบปลั๊กเตารีดในเตารับที่แน่นหนา ฉนวนยางที่หุ้มสายไฟต้องอยู่ในสภาพสมบูรณ์ เพราะเตารีดต้องใช้กระแสไฟฟ้าจำนวนมาก ควรรีดผ้าครั้งเดียวหลายชิ้นจนเสร็จครั้งเดียว จะช่วยประหยัดไฟได้มากกว่าการรีดผ้าครั้งละไม่กี่ชิ้น โดยขณะที่เตารีดยังไม่ร้อนมากให้เริ่มรีดจากผ้าเนื้อบางก่อน ไม่ควรพรมน้ำบนผ้ามากเกินไปจนแฉะ เพราะจะทำให้เตารีดต้องใช้ความร้อนหนักขึ้น ก่อนรีดผ้าเสร็จประมาณ 2-3 นาที ให้ดึงปลั๊กออกก่อน เพราะกว่าเตารีดจะเย็นลงต้องใช้เวลาสักระยะ ไมโครเวฟ เตาอบ หนึ่งในเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้ความร้อน หากใช้งานไม่ถูกวิธีก็จะเสียความร้อนโดยเปล่าประโยชน์ อาหารสุกช้าลง และยังต้องใช้ไฟเพิ่มขึ้นด้วย โดยวิธีใช้ให้ประหยัด คือ   ควรใช้ภาชนะ ก้นแบน เนื้อโลหะ เพราะจะรับความร้อนได้ดี ทำให้อาหารสุกง่ายขึ้น ขณะอบอาหารอย่าเปิดตู้อบบ่อย ๆ ถอดปลั๊กออกทันทีเมื่อใช้งานเสร็จ เตาไฟฟ้า กระทะไฟฟ้า นิยมใช้กันมากในคอนโดฯ หรืออพาร์ทเม้นท์ เพราะใช้งานสะดวก ประหยัดพื้นที่ แต่ก็ได้ขึ้นชื่อว่ากินไฟมากพอตัวเลยครับ แต่พอจะมีวิธีใช้ให้กินไฟไม่มากเกินไปอยู่บ้าง ได้แก่   เลือกใช้รุ่นที่มีระบบตัดไฟอัตโนมัติ สายไฟ เต้าเสียบ ต้องอยู่ในสภาพสมบูรณ์ก่อนใช้งาน เนื่องจากจะมีการนำความร้อนมาก ปิดเตาก่อนอาหารสุก 5 นาที ถอดปลั๊กออกทันทีเมื่อใช้งานเสร็จ เครื่องปรับอากาศ สุดท้ายจะไม่เอ่ยถึงเลยไม่ได้เด็ดขาด สำหรับเครื่องปรับอากาศที่ทุกบ้านต้องใช้งานกันอย่างหนักหน่วง โดยเฉพาะช่วงหน้าร้อน แม้จะแลกมากับค่าไฟที่เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวก็ตาม แม้จะเลี่ยงการใช้งานไม่ได้ก็มาดูวิธีใช้อย่างประหยัดกันครับ   เลือกเครื่องปรับอากาศขนาดเหมาะสมกับพื้นที่ห้อง และเป็นเครื่องที่ได้รับการรับรองมาตรฐานประหยัดไฟ ติดตั้งเครื่องปรับอากาศเว้นระยะห่างจากเพดานให้พอดี เพื่อระบายความร้อนจากตัวเครื่องได้ดีขึ้น ทำความสะอาดฟิลเตอร์แอร์ และบำรุงรักษาเครื่องอยู่เสมอ จะช่วยลดการทำงานหนักของเครื่องปรับอากาศได้ ตั้งอุณหภูมิไม่ควรต่ำกว่า 26 องศาเซลเซียส ปิดประตู หน้าต่างให้มิดชิด เพื่อไม่ให้ความเย็นรั่วไหลออกนอกห้อง และยังช่วยไม่ให้ความร้อนจากภายนอกเข้ามา ช่วยลดภาระการทำงานของเครื่องปรับการ   วีธีการเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยเรื่องของการประหยัดค่าไฟบ้านเท่านั้น แต่ยังช่วย #Save ความปลอดภัยให้บ้านเราได้อีกทางหนึ่งด้วยนะครับ เพราะหากเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหลายในบ้านเราได้มาตรฐาน มีความปลอดภัย ก็จะป้องกันการเกิดไฟฟ้าลัดวงจร สาเหตุหลักของกาเกิดอัคคีภัยได้อีกด้วย และอย่าลืม! หลังการใช้งานปิดสวิตซ์ ถอดปลั๊กทุกครั้งด้วยนะครับ   ลองไปดูวิธีการอื่นๆ เพื่อการประหยัดไฟในบ้านกัน จัดห้องนอนให้เย็นสบายโดยไม่เปิดแอร์ สาเหตุหลักที่ทำให้แอร์ไม่เย็นฉ่ำ คำนวน BTU แอร์ ให้เหมาะกับขนาดห้อง    
อสังหาฯ ไทยจะเปลี่ยนไปอย่างไร?  หลังวิกฤตโควิด-19

อสังหาฯ ไทยจะเปลี่ยนไปอย่างไร? หลังวิกฤตโควิด-19

เน็กซัส ชี้โควิด-19 สร้าง Covid Shock จุดเปลี่ยนอสังหาฯ พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแบบพลิกฝ่ามือ ทุกคนถูก Fast Forward เข้าสู่โลกอนาคตเพียงพริบตา ปีนี้ซัพพลายเก่าจะถูกเร่งขาย ในขณะที่ซัพพลายใหม่  จะเข้าสู่ตลาดไม่เกิน 30,000 ยูนิต   ถือเป็นโอกาสทองของคนเงินเย็นที่พร้อมช้อนซื้อสินค้าดีราคาประหยัด  ส่งสัญญาณไปยังภาครัฐช่วยพิจารณามาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ทั้งมาตรการการโอน ผ่อนปรนภาษีธุรกิจเฉพาะ และ LTV พร้อมเสนอผ่อนปรนกฎการถือครองกรรมสิทธิ์ ชาวต่างชาติเพื่อช่วยดีเวลลอปเปอร์ไทย   นางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด  ประเมินสถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์หลังวิกฤตโควิด-19  ว่า ในช่วงปีนี้เป็นช่วงเวลาแห่งการระบายสต๊อกเก่า ข้อมูลจากเน็กซัสพบว่าซัพพลายของคอนโดมิเนียมคงค้างในกรุงเทพฯ ตั้งแต่ปลายปี 2562 มีประมาณ 60,000 ยูนิต คาดว่าในปีนี้ตลาดจะสามารถดูดซับไปได้ประมาณ 80% โดยเราจะเริ่มเห็นการลดราคาจากดีเวลลอปเปอร์ ซึ่งราคาที่ลดลงจะอยู่ในเรทเหมาะสมและค่อนข้างดี เป็นระดับราคาที่ดีเวลลอปเปอร์ยอมรับได้และคุ้มค่าที่จะซื้อในฝั่งผู้บริโภค   คาดการณ์ว่ากลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่จะกลับมาได้รับความสนใจเร็วที่สุดหลังวิกฤติโควิด-19 คือ คอนโดฯ​ ราคาไม่เกิน 4 ล้านบาท เพราะเป็นระดับราคาที่คนกรุงเทพฯ​ ส่วนใหญ่รับได้ และเป็นเรียลดีมานด์ที่ต้องการอยู่อาศัยเลย ส่วนอีกตลาดที่จะฟื้นตัวเร็ว คือ สินค้าในระดับลักซ์ชัวรี ที่ถึงแม้คนส่วนใหญ่จะมีเงินลดลง แต่ยังมีกำลังซื้อมากพอที่จะจ่ายได้ โดยตัวผู้บริโภคเองจะเลือกซื้อสินค้าที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ใหม่ของตัวเอง และมีฟังก์ชั่นที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการ เช่น การปรับให้มีห้องทำงานที่เหมาะกับการทำงานที่บ้านได้ เป็นต้น อสังหาฯ ไทยหลังวิกฤตโควิด-19     หากประเมินภาพเชิงลบที่สุด คือ หากวิกฤติโควิด-19 ยังดำเนินต่อไปและไม่สามารถลดปริมาณผู้ติดเชื้อได้ ผู้ประกอบการภาคเอกชนจะอยู่ได้ยาวที่สุดอีกเพียงแค่ 3 เดือนเท่านั้น และจะเป็นงานหนักสำหรับดีเวลลอปเปอร์ เพราะเมื่อภาคธุรกิจขาดสภาพคล่อง จะเริ่มเห็นแนวโน้มการปิดตัวลงของผู้ประกอบการจำนวนมาก ทำให้เม็ดเงิน ในกระเป๋าของผู้บริโภคลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลต่อการตัดสินใจชะลอการซื้อ จะกระทบต่อตลาด อสังหาริมทรัพย์มากขึ้นตามไปด้วย   หากประเมินในภาพบวกเพิ่มขึ้น คือ หากเราสามารถควบคุมจำนวนผู้ติดเชื้อได้  และจำนวนผู้ติดเชื้อค่อยๆ ลดลงจนอยู่ในระดับที่น่าพอใจ ประเมินว่าในช่วงไตรมาส 2 นี้ ตลาดก็อาจจะ ยังไม่สดใสนัก แต่จะเห็นแนวโน้มที่จะค่อยๆ ดีขึ้นตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มปรับตัว กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้บ้าง แต่จะเห็นว่าทุกอย่างจะกลับมาดีขึ้นอย่างจริงจังในไตรมาส 3 โดยผู้ประกอบการ หลายรายจะเริ่มกลับมามีกิจกรรมทางการตลาด เพราะอย่างไรก็ตามธุรกิจต้องดำเนินไป   ไตรมาสที่4 จะดีที่สุด และคาดว่าจะเป็นไตรมาสที่รัฐบาลหันกลับมาพิจารณาให้ความสำคัญกับภาคอสังหาฯ โดยมีมาตรการช่วยเหลือ และผ่อนปรนต่างๆ ออกมาเพื่อสนับสนุนให้อสังหาฯ ยังคงเดินต่อไปได้ ในไตรมาส 4 หากภาครัฐออกมาตรการเพื่อสนับสนุนภาคอสังหาฯ  จะเห็นตลาดรีบาวด์กลับมาอย่างชัดเจน  ไม่ว่าจะเป็น มาตรการลดค่าโอน ที่ขยายให้ครอบคลุมทั้งตลาดอสังหาฯ การยืดหยุ่นภาษีธุรกิจเฉพาะ การผ่อนปรนมาตรการ LTV รวมถึงการผ่อนคลายกฎเกณฑ์การถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดินของชาวต่างชาติ โดยอาจปรับให้สามารถซื้อที่ดินหรือบ้านในโครงการจัดสรรที่พัฒนาเพื่อที่อยู่อาศัยได้ ซึ่งกำลังซื้อจากต่างชาติจะช่วยให้ตลาดอสังหาฯ ไทยกลับมาได้เร็วมากยิ่งขึ้น เทรนด์การอยู่อาศัยในปี 2564   เนื่องจากปีนี้ ผู้ประกอบการจำเป็นต้องเร่งระบายสต๊อกเก่า ดังนั้นจะส่งผลให้ซัพพลายใหม่ที่จะออกมา น่าจะไม่เกิน 30,000 ยูนิต จากปกติในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ตลาดคอนโดฯ ในกรุงเทพฯ จะมีซัพพลายใหม่ออกมาเฉลี่ยปีละ 52,000 ยูนิต และเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 11%ทุกปี ซึ่งผลจาก Covid Shock ในครั้งนี้ส่งผลให้ยอดสะสมของคอนโดฯ จะลดลง ถือเป็นการปรับฐานใหม่อีกครั้งสำหรับอสังหาฯ ในกรุงเทพฯ   การปรับฐานในครั้งนี้  ไม่เพียงแค่เรื่องจำนวนคอนโดฯ เท่านั้น แต่ยังปรับไปถึงเรื่องการเปลี่ยนฟังก์ชั่นการใช้งานในคอนโดฯ หรือบ้านด้วย เพราะการใช้ชีวิตของคนเปลี่ยนไป ทำให้การออกแบบที่อยู่อาศัยต้องตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ใหม่ อาทิ การเริ่มคุ้นชินกับการทำงานที่บ้าน ดังนั้นดีเวลลอปเปอร์จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเรื่องฟังก์ชั่นภายในบ้านหรือคอนโดฯ เช่น ให้ความสำคัญกับห้องทำงานมากพอกับห้องนอน เป็นต้น   ในส่วนกลางที่เคยให้ความสำคัญกับการมี Co-working space หรือ Co-kitchen แต่ด้วยสถานการณ์โควิด-19 ทำให้คนเรามีระยะห่างมากขึ้น มีความนิ่ง อยู่กับตัวเอง และรักความสะอาดมากกว่าเดิม ดังนั้นสินค้าใหม่ของดีเวลลอปเปอร์ที่จะผลิตออกมา จะชูจุดขายเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัว เช่น ห้องครัว หรือห้องทำงาน แบบรองรับคนเพียงคนเดียวจะเป็นรูปแบบที่ถูกได้รับความสำคัญมากอย่างยิ่ง เพราะคนใช้ชีวิตกับตัวเองมากขึ้น รวมถึงการให้น้ำหนักไปกับ Living Room หรือห้องทำงานมากกว่าห้องนอน เพราะเมื่อคนทำงานอยู่ที่บ้าน มักใช้เวลาในห้องเหล่านี้มากกว่าห้องนอน โดยคาดว่าจะเห็นสินค้าใหม่ๆ รูปแบบนี้ออกมาจากดีเวลลอปเปอร์ในช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า ตลาดรีเทล-อาคารสำนักงานกระทบหนัก กลุ่มรีเทลเป็นอีกกลุ่มสำคัญที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ผู้เช่าที่เคยเช่าพื้นที่ขายของในห้างสรรพสินค้า อาคารสำนักงาน หรือแม้แต่คอมมูนิตี้มอลล์ต่างๆ จะเริ่มคุ้นชินกับการขายของผ่านออนไลน์ ดังนั้น ต่อจากนี้ไปหน้าร้านจะถูกลดบทบาทความสำคัญลง ผู้เช่าคุ้นชินกับการขายของผ่านโลกออนไลน์มากยิ่งขึ้น มีทักษะด้านออนไลน์เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้การมีหน้าร้านหรือการเช่าพื้นที่ขนาดใหญ่จะถูกลดทอนขนาดการเช่าลง แต่เน้นเรื่องการให้บริการออนไลน์ และการส่งเดลิเวอรี่หรือให้ลูกค้าไปรับสินค้าที่หน้าร้านแทนมากยิ่งขึ้น   ทำให้กลุ่มธุรกิจส่วนนี้ ต้องวางแผนการปรับตัวอย่างมากเพื่อให้พื้นที่เช่ายังคงเป็นที่ต้องการอยู่ ร้านค้าจะเป็นดิสเพลย์ที่ให้ประสบการณ์หลังจากศึกษาข้อมูลออนไลน์ หรือเข้ามาเพื่อรับบริการหลังการขายต่างๆ มากกว่า การตกแต่งภายในของพื้นที่อาจมีความจำเป็นน้อยลง นอกจากนี้พื้นที่ค้าปลีกอาจมี Stand alone เพื่อบริการเดลิเวอรี่มากขึ้น ไม่จำเป็นต้องอยู่ในห้างสรรพสินค้าใหญ่อีกต่อไป   สำหรับตลาดอาคารสำนักงานนั้น เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ได้รับผลกระทบเช่นกัน เนื่องจากปีที่ผ่านมาและอีก 2 ปีข้างหน้า ตลาดอาคารสำนักงานในกรุงเทพฯ จะมีซัพพลายใหม่ออกมาอีกนับเป็นล้านตารางเมตร จากอาคารที่กำลังก่อสร้าง กว่า 40 อาคาร พื้นที่ประมาณ 1.61 ล้านตารางเมตร และจะแล้วเสร็จพร้อมกันในปี 2564 - 2566 แต่พฤติกรรมของคนได้ถูกปรับเปลี่ยนไปแล้ว เพราะการทำงานที่บ้านเริ่มได้รับการยอมรับ และมีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดเทรนด์ต่อไป แม้ว่าเหตุการณ์โควิดจะผ่านไปแล้วก็ตาม ส่งผลให้บริษัทต้องการพื้นที่ออฟฟิศลดลง ทั้งจำนวนที่นั่ง โต๊ะทำงาน และห้องประชุม และจะส่งผลกระทบต่อเจ้าของอาคารอย่างชัดเจน เทรนด์ที่เปลี่ยนไปเหล่านี้ล้วนเป็นไลฟ์สไตล์ใหม่  เทรนด์ใหม่ที่ออกมาท้าทายโลกของเราอย่าง Fast Forward แบบที่เราเองก็ไม่นึกมาก่อน ผู้ประกอบการต้องเตรียมความพร้อมที่จะรับมือและต้องปรับตัว อาทิเช่น 1.Facilities ปรับปรุงระบบ Facilities ของอาคารให้สามารถสนับสนุนการทำงาน  ข้ามไปข้ามมาระหว่างที่อาคารสำนักงาน (Head Office) กับการทำงานนอกสถานที่ (Home) โดย Facilities ที่สำคัญ ได้แก่ ระบบทางด้าน IT ที่จะต้องมีความพร้อมในขั้นสูงสุด และพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนระบบให้ได้อย่างรวดเร็วตามกระแสการใช้งาน 2.Flexibility เนื่องจากเทรนด์สมัยใหม่ ผู้เช่าหลายๆ รายต้องการความยืดหยุ่นในการใช้พื้นที่ ปรับลด-เพิ่ม ได้ตามความต้องการ ผู้ประกอบการที่เข้าใจในรูปแบบของผู้เช่า อาจจะต้องปรับรูปแบบของสัญญาเช่าและพื้นที่เช่าให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น 3.Fair Price จากการที่ Supply & Demand กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งยิ่งใหญ่ ในขณะที่ Supply กำลังจะมีคู่แข่งเข้ามาในตลาดที่มากขึ้น ทางด้าน Demand ก็กำลังจะเปลี่ยนรูปแบบของความต้องการ แน่นอนเลยคือตลาด จะพบกับการแข่งขันที่ดุเดือด สิ่งที่จะเห็นได้คือ สงครามราคา ดังนั้นผู้ประกอบการที่ปรับตัวและพร้อมที่จะแข่งขัน ในเรื่องราคาและบริการได้ก่อนผู้ประกอบการรายอื่น ก็จะสามารถผ่านช่วงเวลาท้าทายช่วงนี้ไปได้อย่างไม่ลำบาก  
โกลเด้นแลนด์ กระจายความเสี่ยงธุรกิจ ฝ่าวิกฤตโควิด-19 กวาดรายได้กว่า 3,500 ล้านบาท

โกลเด้นแลนด์ กระจายความเสี่ยงธุรกิจ ฝ่าวิกฤตโควิด-19 กวาดรายได้กว่า 3,500 ล้านบาท

โกลเด้นแลนด์ ปิดยอดธุรกิจในช่วง 3 เดือนแรก ยังทำได้ 3,500 ล้านบาท  ใกล้เคียงกับไตรมาสที่ผ่านมา  จากการปรับกลยุทธ์รับมือสถานการณ์โควิด-19 ทั้งเปลี่ยนรูปแบบการขายไปสู่ออนไลน์ และเพิ่มมาตรการดูแลลูกค้า คู่ค้า พันธมิตร และการกระจายความเสี่ยงธุรกิจ ทั้งพอร์ตที่อยู่อาศัยและรีเทล    นายธนพล ศิริธนชัย ประธานอำนวยการ บริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ โกลเด้นแลนด์ เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ว่า สามารถทำยอดรับรู้รายได้ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 – 31 มีนาคม 2563 เป็นจำนวน 3,500 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับไตรมาสที่ผ่านมา โดยเป็นผลจากการปรับกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะการรับมือกับสถานการณ์โควิด-19  รวมถึงการกระจายความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ   “บริษัทฯ มีการกระจายความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ โดยแบ่งรายได้ออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ โครงการแนวราบ มีโครงการทาวน์โฮม นีโอโฮม และบ้านเดี่ยว ซึ่งเป็นการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนระยะสั้น สร้างรายได้ทันที และโครงการเชิงพาณิชย์ ซึ่งมีรายได้จากค่าเช่า ได้แก่ อาคารสำนักงาน  และรีเทล เป็นการลงทุนเพื่อผลตอบแทนระยะยาว ส่งผลให้บริษัทฯ มีความยืดหยุ่นของรายได้ ท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบรุนแรงกับธุรกิจแทบทุกด้าน"   สำหรับกลยุทธ์การสร้างพอร์ตธุรกิจหลากหลายรูปแบบ การกระจายความเสี่ยงพิสูจน์แล้วว่า ช่วยให้องค์กรผ่านพ้นในทุกวิกฤตได้  ซึ่งในสถานการณ์โควิด-19 ในปัจจุบัน บริษัทฯ ยังได้ปรับกลยุทธ์การดำเนินงานในแต่ละด้านเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ดังนี้ กลยุทธ์ด้านโครงการแนวราบ เนื่องจากความเข้มข้นของสถานการณ์ทำให้ลูกค้าเข้าชมโครงการได้ลำบากมากขึ้น ทางบริษัทฯ จึงได้ปรับรูปแบบการขายไปสู่ออนไลน์มากขึ้นเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายให้กว้างขึ้น อีกทั้งยังลดขั้นตอนเอกสาร และอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าไม่ต้องเข้ามาที่โครงการ สำหรับการก่อสร้างยังคงดำเนินการต่อ เนื่องจากบริษัทฯ มี Backlog รอโอนที่สะสมมาตั้งแต่ปี 2562 และนับเป็นช่วงเวลาที่ดีที่โครงการจะได้ปรับปรุงบ้านของลูกบ้าน และส่วนกลางของโครงการให้มีสภาพที่ดียิ่งขึ้น สิ่งที่น่าสนใจท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ คือ ลูกค้ามีความสนใจโครงการแนวราบมากขึ้น สังเกตจากปริมาณลูกค้าที่ติดต่อเข้ามาที่โครงการยังมีอย่างต่อเนื่อง และเป็นลูกค้าที่มีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยจริง กลยุทธ์ด้านโครงการเชิงพาณิชย์ สำหรับศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์ บริษัทฯ มีมาตรการในการช่วยเหลือผู้เช่า โดยการไม่เก็บค่าเช่า และค่าส่วนกลาง 100% สำหรับร้านค้าที่ต้องปิดให้บริการตามคำสั่งภาครัฐ และลดค่าเช่า 50% สำหรับร้านค้าที่ยังเปิดให้บริการ นอกจากนี้ยังช่วยเหลือผู้เช่าส่วนอาคารสำนักงานทั้งอาคารปาร์คเวนเชอร์ อีโคเพล็กซ์ สาทรสแควร์  เอฟวายไอ เซ็นเตอร์ และมิตรทาวน์ออฟฟิศทาวเวอร์ที่ได้รับผลกระทบ เพื่อเป็นส่วนช่วยให้พันธมิตร ร้านค้า และผู้เช่า ทุกรายสามารถผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน กลยุทธ์ด้านการบริหารจัดการ การบริหารค่าใช้จ่ายอย่างรัดกุม และการจัดการกระแสเงินสดอย่างรอบคอบ เป็นหัวใจสำคัญของการบริหารจัดการในขณะนี้ และทำให้เรามั่นใจว่า บริษัทฯ สามารถดำเนินธุรกิจผ่านพ้นช่วงวิกฤตนี้ไปได้ สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า คือ การดูแลพนักงานไม่ให้ได้รับผลกระทบทางด้านการเงิน  และดูแลความปลอดภัยของพนักงานเป็นสำคัญ อาทิ การแจกหน้ากากอนามัย และผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อ ฯลฯ พร้อมยกระดับระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ด้วยนโยบายการทำงานจากบ้าน (Work from home) โดยทางบริษัทฯ ได้สนับสนุนด้านอุปกรณ์ และเทคโนโลยีอย่างเต็มที่ และยังกระตุ้นให้พนักงานฝึกอบรมเพื่อการพัฒนาตัวเองทางออนไลน์อย่างต่อเนื่อง”   “วิกฤติโควิด-19 นี้เราต้องมีสติในการรับมือกับปัญหา ในทุกวิกฤตมีโอกาสเสมอ เป็นโอกาสให้ได้เรียนรู้ วิกฤตครั้งนี้ไม่มีใครคาดการณ์ได้ว่าจะจบลงเมื่อไร เราต้องดูแลพนักงาน และพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อเป็นกำลังสำคัญให้ธุรกิจของเราผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้ อย่าปล่อยให้วิกฤตผ่านไปโดยไร้ค่า เรียนรู้ จดจำ และทุกคนต้องเชื่อมั่น และร่วมมือกันปรับตัวให้ทัน โกลเด้นแลนด์ขอเป็นกำลังใจให้ทุกฝ่ายผ่านพ้นวิกฤติได้ในที่สุด”
มองแนวโน้มตลาดอสังหาฯ EEC ในสถานการณ์โควิด-19 ปี 2563

มองแนวโน้มตลาดอสังหาฯ EEC ในสถานการณ์โควิด-19 ปี 2563

การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ตั้งแต่ต้นปีนี้  ได้ส่งผลกระทบไปยังทุกภาคส่วน ทั้งวิถีชีวิตของประชาชน และธุรกิจต่างๆ ซึ่งในส่วนของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์นั้น ก็ได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้   ล่าสุด ทางศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ดำเนินการรวบรวมและวิเคราะห์สถานการณ์ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยใน 3 จังหวัด “โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก” หรือ EEC ได้แก่ จังหวัดชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา ปี 2562 และประเมินแนวโน้มภาพรวมปี 2563 ตามปัจจัยประกอบต่างๆ ที่เกิดขึ้นว่าจะมีแนวโน้มและทิศทางเป็นเช่นไร ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า  ภาพรวมในปี 2562 สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยใน 3 จังหวัด “โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก” หรือ EEC ได้แก่ จังหวัดชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา ในด้านอุปทานมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2561 ทั้งการขออนุญาตจัดสรรที่ดิน และการออกใบอนุญาตก่อสร้างอาคาร    แต่ในด้านอุปสงค์การโอนกรรมสิทธิ์มีจำนวนยูนิตลดลงเล็กน้อย แต่มูลค่าเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2561 แสดงให้เห็นว่าที่อยู่อาศัยที่โอนในปี 2562 มีราคาเฉลี่ยต่อยูนิตสูงกว่าปี 2561 และเป็นที่สังเกตว่า ในพื้นที่อำเภอสัตหีบ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่รัฐบาลประกาศให้เป็น “เมืองการบินภาคตะวันออก” มีผู้ประกอบการให้ความสนใจลงทุกพัฒนาโครงการอาคารชุดเพิ่มมากขึ้น ปี 63 อสังหาฯ หดตัวตามเศรษฐกิจ-พิษโควิด   สำหรับในปี 2563 ตลาดที่อยู่อาศัยจะมีปัจจัยลบรุมเร้ามากกว่าปัจจัยบวก สาเหตุจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อ COVID-19 และภาวะภัยแล้งรุนแรง มีผลทำให้เศรษฐกิจของประเทศหดตัว ส่งผลให้มีการเลิกจ้างแรงงานจำนวนมาก และรายได้ของเกษตรกรลดลง กระทบกับกำลังซื้อที่อยู่อาศัยในวงกว้าง แม้ว่าในปีนี้จะมีปัจจัยบวกในด้านอัตราดอกเบี้ยขาลง ราคาน้ำมันลดลง มาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาลที่มีผลไปถึงสิ้นปี 2563 และมีการผ่อนปรนเกณฑ์ LTV ของธนาคารแห่งประเทศไทยก็ตาม   ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ จึงคาดการณ์ว่า ในปี 2563 ตลาดที่อยู่อาศัยจะมีการหดตัวตามภาวะเศรษฐกิจ ทั้งในด้านอุปทานและอุปสงค์ โดยในด้านอุปทานการขออนุญาตจัดสรรที่ดินคาดว่าจะหดตัว 17.8% และการออกใบอนุญาตก่อสร้างคาดว่าจะหดตัว 15.3% เมื่อเทียบกับปี 2562 โดยอาคารชุดจะหดตัวมากกว่าที่อยู่อาศัยแนวราบ ส่วนในด้านอุปสงค์การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยคาดว่าจำนวนยูนิตจะหดตัว 11.9% และมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์จะหดตัว 21.5% จัดสรรใหม่ปี 62 มีกว่า 2 หมื่นยูนิต ภาพรวมในปี 2562 ทั้งปี มีการออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินเพื่อที่อยู่อาศัยใน EEC จำนวน 175 โครงการ 21,814 ยูนิต  จำนวนโครงการเพิ่มขึ้น 2.9% และจำนวนยูนิต เพิ่มขึ้น 22.6%  เมื่อเทียบกับปี 2561 โดยใบอนุญาตจัดสรรที่ดินส่วนใหญ่เป็นทาวน์เฮ้าส์มากที่สุด จำนวน 14,066 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 64.5% ของจำนวนการออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินทั้งหมด รองลงมาเป็นบ้านเดี่ยวจำนวน 3,978 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 18.2% และบ้านแฝดจำนวน 3,461 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 15.9% เป็น อาคารพาณิชย์จำนวน 218 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 1.0% และที่เหลือเป็นที่ดินจัดสรร ตามลำดับ เมื่อพิจารณารายจังหวัดในพื้นที่ EEC ในปี 2562 จังหวัดที่มีการออกใบอนุญาตจัดสรรมากที่สุด ได้แก่ 1.จังหวัดระยอง มีสัดส่วน 44.5% ของการออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินทั้งหมด ส่วนใหญ่อยู่ในอำเภอปลวกแดงอำเภอนิคมพัฒนาและอำเภอเมืองระยอง 2.จังหวัดชลบุรี มีสัดส่วน 44.4% ส่วนใหญ่อยู่ในอำเภอศรีราชา อำเภอนิคมเมืองชลบุรี และอำเภอพานทอง ตามลำดับ 3.จังหวัดฉะเชิงเทรา มีสัดส่วน 11.1% ส่วนใหญ่อยู่ในอำเภอบางปะกงอำเภอเมืองฉะเชิงเทราและอำเภอแปลงยาวตามลำดับ   สำหรับแนวโน้มการออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินใน 3 จังหวัดEEC ในปี 2563 ศูนย์ข้อมูลฯ คาดว่าจะมีจำนวนประมาณ 17,938 ยูนิต ลดลงจากปี 2562 17.8% โดยมีช่วงคาดการณ์อยู่ประมาณ 16,145-16,938 ยูนิตและลดลงจากปี 2562 ระหว่าง -26.0% ถึง -9.5% ใบอนุญาตสร้างคอนโดฯ พุ่ง 151.6% ภาพรวมในปี 2562 ทั้งปีมีการออกใบอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัย มีจำนวนประมาณ 41,949 ยูนิต เพิ่มขึ้น 35.0% เมื่อเทียบกับปี 2561 แบ่งเป็นที่อยู่อาศัยแนวราบ จำนวน 29,845 ยูนิต เพิ่มขึ้น 14.3% และอาคารชุด จำนวน 11,649 ยูนิต เพิ่มขึ้นมากถึง 151.6%   เมื่อพิจารณารายจังหวัดในพื้นที่ EEC ในปี 2562 จังหวัดที่มีการออกใบอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยมากที่สุด ได้แก่ 1.จังหวัดชลบุรี มีการออกใบอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยประมาณ 26,527 ยูนิตคิดเป็นสัดส่วน  63.9% ของการออกใบอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยทั้งหมด โดยแบ่งเป็นที่อยู่อาศัยแนวราบจำนวน 17,803 ยูนิต และอาคารชุดจำนวน 8,724 ยูนิตส่วนใหญ่อยู่ในอำเภอศรีราชา อำเภอเมืองชลบุรี และอำเภอสัตหีบ ตามลำดับ 2.จังหวัดระยอง มีการออกใบอนุญาตก่อสร้างประมาณ 10,378 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 25.0% โดยแบ่งเป็นที่อยู่อาศัยแนวราบจำนวน 7,480 ยูนิต และอาคารชุดจำนวน 2,898 ยูนิต ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในอำเภอเมืองระยอง อำเภอปลวกแดง และอำเภอแกลง ตามลำดับ 3.จังหวัดฉะเชิงเทรา มีการออกใบอนุญาตก่อสร้างประมาณ 4,590 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 11.1% โดยแบ่งเป็นที่อยู่อาศัยแนวราบจำนวน 4,562 ยูนิต และอาคารชุดจำนวน 28 ยูนิต ส่วนใหญ่อยู่ในอำเภอเมืองฉะเชิงเทรา อำเภอแปลงยาว และอำเภอพนมสารคาม   สำหรับแนวโน้มการออกใบอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยใน 3 จังหวัด EEC ปี 2563 ศูนย์ข้อมูลฯ คาดว่าจะมีจำนวนประมาณ 35,166 ยูนิต ลดลง 15.3% โดยมีช่วงคาดการณ์อยู่ประมาณ 31,649 -37,275 ยูนิตและขยายตัวลดลงระหว่าง  23.7% ถึง 10.2% เมื่อเทียบกับปี 2562 ซึ่งมีจำนวน 41,494 ยูนิต โดยคาดว่าจะมีการขออนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยอาคารชุดลดลง 43.7% และที่อยู่อาศัยแนวราบคาดว่าจะลดลง 4.1% จำนวนโอนลดแต่มูลค่าเพิ่มขึ้น ภาพรวมในปี 2562 ทั้งปี มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย มีจำนวน 50,675 ยูนิต และมีมูลค่า 99,905 ล้านบาท ซึ่งจำนวนยูนิตลดลงเล็กน้อย 0.3%  แต่มูลค่าเพิ่มขึ้น 5.9% เมื่อเทียบกับปี 2561 ซึ่งมีจำนวน 50,825 ยูนิต และมูล่า 94,377 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยประเภทที่อยู่อาศัยแนวราบ จำนวน 36,718 ยูนิต มีมูลค่า 69,316 ล้านบาท และอาคารชุด จำนวน13,957 ยูนิตมีมูลค่า 30,589 ล้านบาท   เมื่อพิจารณารายจังหวัดที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยแนวราบมากที่สุด ได้แก่ 1.จังหวัดชลบุรีมีจำนวน 21,888 ยูนิต และมีมูลค่า 45,010 ล้านบาท (ส่วนใหญ่อยู่ในอำเภอศรีราชา บางละมุง และเมืองชลบุรี) 2.จังหวัดระยองมีจำนวน 10,967 ยูนิต และมีมูลค่า 17,381 ล้านบาท (ส่วนใหญ่อยู่ในอำเภอเมืองระยอง อำเภอปลวกแดง และบ้านฉาง) 3.จังหวัดฉะเชิงเทรามีจำนวน 3,863 ยูนิต และมีมูลค่า 6,924 ล้านบาท (ส่วนใหญ่อยู่ในอำเภอเมืองฉะเชิงเทรา บางปะกง และบ้านโพธิ์)   ส่วนจังหวัดที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยอาคารชุดมากที่สุด ได้แก่ 1.จังหวัดชลบุรี มีจำนวน 12,705 ยูนิต และมีมูลค่า 29,096 ล้านบาท (ส่วนใหญ่อยู่ในอำเภอบางละมุง ศรีราชา และสัตหีบ) 2.จังหวัดระยอง มีจำนวน 711 ยูนิต และมีมูลค่า 963 ล้านบาท (ส่วนใหญ่อยู่ในอำเภอเมืองระยอง แกลง และปลวกแดง) 3.จังหวัดฉะเชิงเทรา มีจำนวน 541ยูนิต และมีมูลค่า 530 ล้านบาท (ส่วนใหญ่อยู่ในอำเภอเมืองฉะเชิงเทรา บ้านโพธิ์ และบางปะกง) ทั้งนี้ ในปี 2562 การโอนกรรมสิทธิ์บ้านสร้างใหม่ (หรือบ้านที่โอนจากนิติบุคคล) มีจำนวน 28,817 ยูนิต และโอนกรรมสิทธิ์บ้านมือสอง (บ้านที่โอนจากบุคคลธรรมดา) มีจำนวน 21,858 ยูนิต ทำให้สัดส่วนจำนวนยูนิตโอนกรรมสิทธิ์บ้านสร้างใหม่ต่อบ้านมือสองในปี 2562 เท่ากับ 57: 43 ขณะที่มูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ของบ้านสร้างใหม่ต่อบ้านมือสองมีสัดส่วน 64: 36 สำหรับแนวโน้มการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยใน 3 จังหวัด EEC ในปี 2563 ศูนย์ข้อมูลฯ  คาดว่าจะมีจำนวนประมาณ  44,657 ยูนิตลดลง 11.9%  จากปี 2562โดยมีช่วงคาดการณ์อยู่ที่ประมาณ  40,191 - 49,123 ยูนิต และมีมูลค่า 78,443 ล้านบาท ลดลง 21.5% จากปี 2562 โดยมีช่วงคาดการณ์อยู่ที่ประมาณ  70,599 - 86,288 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2562
มั่นคง เดินแผนธุรกิจ 5 ปี รักษาธุรกิจให้โตในภาวะผลกระทบ  Covid-19

มั่นคง เดินแผนธุรกิจ 5 ปี รักษาธุรกิจให้โตในภาวะผลกระทบ Covid-19

มั่นคงเคหะการ เดินหน้าตามแผนธุรกิจ 5 ปี เน้นปรับตัวและรูปแบบการดำเนินงาน รับมือผลกระทบ ไวรัสโควิด-19  ดึงเทคโนโลยีออนไลน์ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคปัจจุบัน   แจงไตรมาสแรกของปี 2563 ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย สามารถทำยอดขายได้กว่า 500 ล้านบาท ในขณะที่ยอดจอง Pre-Approve และ Backlog เพิ่มขึ้นถึง 80% ด้านธุรกิจเพื่อเช่าและการบริการ ยังคงมีรายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง  สิ้นปี 2562  รายได้เพิ่มขึ้น 30% เตรียมขายทรัพย์สินกว่า 2,000 ล้านบาท เข้ากองทรัสต์ เพื่อการบริหารจัดการสภาพคล่องทางการเงิน นายวรสิทธิ์ โภคาชัยพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มั่นคงเคหะการจำกัด (มหาชน)  หรือ MK  เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของทุกภาคธุรกิจ ในส่วนของบริษัทได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวไม่มากนัก  เนื่องจากได้เตรียมพร้อมรับมือ และปรับเปลี่ยนแผนงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การปรับการทำงานของทีมงาน​ การปรับการขายที่ดึงเอาเทคโนโลยี  Virtual Tour 360 องศา มาใช้  ให้ลูกค้าชมบ้านเสมือนจริงแม้ไม่ได้เดินทางมาที่โครงการ  และยังสามารถเลือกเป็นเจ้าของผ่านช่องทาง Line ได้อีกด้วย   นอกจากนี้ กลุ่มลูกค้าของบริษัท ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง และกว่า 70% เป็นลูกค้าไม่ติดภาระสัญญากู้เงินที่อยู่อาศัย ประกอบกับสินค้าของบริษัทอยู่ในระดับราคา 3-5 ล้านบาท จึงทำให้ได้รับผลกระทบ   ไม่มากหนัก ยิ่งไปกว่านั้นยังออกโปรโมชั่นต่างๆ ที่ช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อบ้านได้ง่ายขึ้น ทำให้บริษัทฯ ยังสามารถ   ทำยอดขายได้อย่างต่อเนื่อง   "ในไตรมาสแรกของปีนี้บริษัทสามารถสร้างยอดขายได้กว่า 500 ล้านบาท ซึ่งหากนับรวมยอดจอง Pre-Approve และ Backlog แล้ว สามารถทำยอดขายคิดเป็น 35% ของเป้าตลอดทั้งปี 2563 และช่วง 2 เดือนแรกที่ผ่านมา บริษัทมียอดจอง Pre-Approve และ Backlog  ประมาณ  90 ล้านบาทต่อสัปดาห์ เพิ่มขึ้น 80%" ส่วนภาพรวมธุรกิจเพื่อเช่าและการบริการในปี 2562 มีรายได้รวม 530 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% จากปี 2561 เป็นผลจากความแข็งแกร่งของแผนธุรกิจ 5 ปี  ที่มุ่งสร้างสมดุลรายได้เพื่อความมั่นคง  นับว่าเป็นแผนการดำเนินงานของบริษัทซึ่งดำเนินมาถูกทางแล้ว  แม้ในภาพรวมของการขายอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย  จะชะลอตัวไปบ้างด้วยปัจจัยต่างๆ แต่ด้วยแผนธุรกิจของบริษัท ทำให้เรามีรายได้จากธุรกิจเพื่อเช่าและการบริการ หรือธุรกิจรายได้ประจำเข้ามาเสริมและช่วยรักษาสมดุล   สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจโรงงานและคลังสินค้าให้เช่า โครงการบางกอกฟรีเทรดโซน ที่บริหารงานโดย บริษัท พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด  ยังคงทำผลงานได้ดี ในปี 2562 ที่ผ่านมามีผู้เช่าแล้วกว่า 90% ของพื้นที่เช่า, ธุรกิจโครงการ พาร์ค คอร์ท (Park Court) สุขุมวิท 77 คอนโดมิเนียมและอพาร์ตเมนต์ระดับลักซ์ชัวรี่ไฮเอนด์ให้เช่า ยังสามารถรักษาอัตราเช่าให้อยู่ที่ 80% ของจำนวนห้องเช่าทั้งหมด, ธุรกิจสนามกอล์ฟ ฟลอร่า วิลล์ กอล์ฟ แอนด์ คันทรีคลับ, ธุรกิจบริการด้านดูแลจัดการบริหารโครงการอสังหาริมทรัพย์ โดย บริษัท ยัวร์ส พร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์ จำกัด รวมไปถึงธุรกิจโครงการสถานพยาบาล สถานฟื้นฟู และเวชศาสตร์ชะลอวัย (Wellness Center) ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีแนวโน้มการเติบโต และมีแผนจะเปิดตัวช่วงปลายปี 2563   ในส่วนของหุ้นกู้และตั๋วแลกเงินที่จะครบกำหนดในช่วงปีนี้ บริษัทได้มีการเตรียมแผนการเงินเพื่อเสริมสภาพคล่องไว้ล่วงหน้าแล้ว โดยในช่วงปลายปีที่ผ่านมาบริษัทได้ระดมออกหุ้นกู้ 3 ปี 11 เดือน เป็นจำนวนเงิน 1,565 ล้านบาท  อีกทั้งได้มีการขายทรัพย์สินที่ไม่อยู่ในแผนพัฒนาในอนาคตอันใกล้เป็นจำนวนเงินกว่า 2,600 ล้านบาทในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา นอกเหนือจากนี้ยังมีทรัพย์สินที่ไม่มีภาระผูกพันอีกมากกว่า 2,500 ล้านบาท ทำให้บริษัทฯ มีความยืดหยุ่นเพื่อใช้เป็นช่องทางในการเสริมสภาพคล่อง สำหรับปีนี้ได้เตรียมที่จะขายทรัพย์สินในส่วนของโรงงานและคลังสินค้าให้เช่ากว่า 130,000 ตารางเมตร มูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท เข้ากองทรัสต์ เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์  โดยทาง กลต.ได้อนุมัติให้จัดตั้งบริษัทจัดการกองทรัสต์ดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว และคาดว่ากองทรัสต์จะเสนอขายต่อประชาชนได้ในไตรมาส 3 นี้  ทั้งนี้เมื่อปีที่ผ่านมาบริษัทสามารถรักษาอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุน (Interest bearing debt ratio) ให้ยังคงอยู่ในระดับที่เหมาะสม โดย ณ สิ้นปี มีสัดส่วนเท่ากับ 1.3 เท่า ซึ่งถือว่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม   ในปีนี้ถือว่าเป็นปีที่ท้าทายด้วยปัจจัยหลายๆ ด้าน ทั้งปัจจัยจากไวรัสโควิด-19 และสภาวะเศษฐกิจทั้งหลาย แต่บริษัทยังคงเดินหน้าสานต่อนโยบายสร้างความสมดุลของรายได้  ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายและธุรกิจที่สร้างรายได้  อย่างสม่ำเสมอทั้งเช่าและการบริการ และมุ่งมองหาโอกาสในการพัฒนาโครงการที่มีศักยภาพ เพื่อขยายในส่วนของธุรกิจเพื่อสร้างรายได้ ตามแผนการดำเนินธุรกิจ 5 ปี พร้อมขยับสัดส่วนกำไรของทั้ง 2 ฝั่งให้อยู่ที่  50:50 ภายใน ปี 2564 เพื่อเป็นการเพิ่มความมั่นคงให้บริษัทฯ ตามแผนที่วางไว้
บทวิเคราะห์ ไวรัส “โควิด-19” กับก้าวย่างที่ไม่ง่ายของอสังหาฯไทย

บทวิเคราะห์ ไวรัส “โควิด-19” กับก้าวย่างที่ไม่ง่ายของอสังหาฯไทย

สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา หรือ ไวรัส COVID-19 ที่ส่งผลอย่างมากต่อทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย ทั้งนี้ภาคอสังหาริมทรัพย์เป็นภาคเศรษฐกิจหนึ่งที่ได้รับผลกระทบอย่างมาก คำถามที่อยู่ในใจของเรา คือ “แล้วภาคอสังหาริมทรัพย์จะเดินหน้าต่อไปอย่างไร”   ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า  คำถามนี้เป็นคำถามที่ไม่มีใครทราบคำตอบที่แน่นอน แต่ในเบื้องต้นลองมาพิจารณาข้อมูลล่าสุด ของศูนย์ข้อมูลฯ  กัน เนื่องจากจะเป็นโจทย์ที่สำคัญในการขับเคลื่อนภาคอสังหาฯ ด้านที่อยู่อาศัยในปี 2563 ยอดขายใหม่ลดฮวบ ! 30% จากข้อมูลการสำรวจตลาดที่อยู่อาศัยจาก 26 จังหวัดหลักทั่วประเทศ  ของศูนย์ข้อมูลฯ ที่สรุปตัวเลขเบื้องต้นออกมา พบว่า “ยอดขายได้ใหม่” ในช่วงครึ่งหลังของปี 2562 ขายได้ประมาณ 54,000 ยูนิต ลดลงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนประมาณ  30% และยังพบว่ามีการปรับตัวลดลงของ “อัตราการดูดซับ” เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน  โดยลดลงเหลือ 2.54% จาก 4.11% ในปีก่อน ภาวะเช่นนี้ได้สะท้อนให้เห็นว่า สถานการณ์ด้านการขายอสังหาฯ ด้านที่อยู่อาศัยครึ่งหลังของปี 2562 มีการชะลอตัวที่ชัดเจน หลังจากที่มีการใช้มาตรการตั้งแต่เดือนเมษายน 2562 ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2562 ก็มีภาวะที่ชะลอตัวเช่นกัน  ส่งผลให้สถาบันการเงินมีการเข้มงวด การพิจารณาการให้สินเชื่อที่อยู่อาศัยมากขึ้น   ประเด็นที่มีการจับตามองของทุกภาคส่วนคือ ปริมาณที่อยู่อาศัยเหลือขาย โดยผลการสำรวจพบว่า “ยูนิตที่อยู่อาศัยเหลือขาย” ทั่วประเทศ ณ สิ้นปี 2562 มีประมาณ 300,000 ยูนิต ซึ่งมีจำนวนยูนิตเพิ่มขึ้นกว่าปีก่อนประมาณ 10% ทั้งที่การเปิดตัวของโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ในปี 2562 ลดลงกว่าปีก่อนหน้าถึงประมาณ 20% นับว่าเพิ่มมากกว่าที่ศูนย์ข้อมูลฯ ได้คาดไว้ ซึ่งประเด็นสำคัญคงเป็นผลมาจากภาวการณ์ของตลาดดังเช่นที่กล่าวมาข้างต้น   หากพิจารณาแยกสถานะของการก่อสร้างของที่อยู่อาศัยเหลือขาย พบว่ามี “ยูนิตเหลือขายที่สร้างเสร็จแล้ว” ประมาณ 68,000 ยูนิต หรือเพิ่มขึ้นกว่าปีก่อนประมาณ 12% แต่หากมองแยกประเภทที่อยู่อาศัยจะเห็นได้ว่ามี “อาคารชุด (คอนโดมิเนียม) เหลือขายที่สร้างเสร็จแล้ว” เพียงประมาณ 30,000 ยูนิต หรือเพิ่มขึ้นกว่าปีก่อนเพียง 2% ซึ่ง 2 ใน 3 อยู่ในกรุงเทพฯและปริมณฑล จึงอาจกล่าวได้ว่าไม่ผิดปกติอะไร โดยอาคารชุดที่สร้างเสร็จเหล่านี้ส่วนหนึ่งมาจากโครงการที่ทยอยก่อสร้างเสร็จตามแผน   ดังนั้น จึงอาจกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า ยูนิตเหลือขายที่สร้างเสร็จแล้ว ที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่จะเป็นบ้านแนวราบ โดยจำนวนรวม 38,000 ยูนิต มีการเพิ่มสูงกว่าปีก่อนถึง 21% ตามกระแสของการพัฒนาที่อยู่อาศัยในปัจจุบันที่ผู้ประกอบการทุกค่ายมุ่งไปสู่ Real Demand กันเป็นส่วนใหญ่ ทั้งนี้ ผู้ประกอบการต้องให้ความสำคัญกับตัวเลขนี้ในการวางแผนทางธุรกิจอย่างมาก เพราะจะกระทบต่อสภาพคล่องและต้นทุนในการประการ   อย่างไรก็ตาม เรายังต้องให้ความสำคัญกับ “ยูนิตเหลือขายที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง” อีกประมาณ 98,000 ยูนิต ที่เป็นอาคารชุดประมาณ 47,000 ยูนิต ซึ่งประมาณ 3 ใน 4 อยู่ในกรุงเทพฯและปริมณฑล  และบ้านแนวราบประมาณ 51,000 ยูนิต ซึ่งประมาณครึ่งหนึ่งอยู่ในกรุงเทพฯและปริมณฑล โดยยูนิตเหลือขายเหล่านี้อยู่กำลังก่อสร้าง และกำลังจะเสร็จในอีก 1 – 2 ปีข้างหน้า ซึ่งผู้ประกอบการต้องทำการขายให้ได้ก่อนที่จะก่อสร้างเสร็จ และนี่คืออีกหนึ่งภาระที่หนักอึ้งของผู้ประกอบการภายใต้สถานการณ์ในปัจจุบัน ที่มีสถานการณ์โรคระบาด และภาวะเศรษฐกิจที่กำลังจะเข้าสู่ภาวะถดถอย ยอดโอนทั่วประเทศขยายตัว 2.7% ในภาวะที่ดูเหมือนว่าการขายในตลาดที่อยู่อาศัยในปัจจุบัน  ยังดูซบเซาลงอย่างมาก แต่ยังมีสัญญานที่ดีในเรื่องการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ จะเห็นได้ว่าในปี 2562 ตัวเลขยูนิตโอนกรรมสิทธิ์ทั่วประเทศยังคงขยายตัวอยู่ประมาณ 2.7% และมีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์กลับสูงถึง 4.3% โดยเป็นการขยายตัวของยูนิตการโอนกรรมสิทธิ์จากบ้านแนวราบถึง 4.4% ส่วนอาคารชุดแทบจะไม่ลดลงเลย คือลดลงเพียง 0.6% เท่านั้น สำหรับยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศในเดือนมกราคม 2563 ก็ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปี 2562 ซึ่งมียอดลดลงเพียง 0.5% เท่านั้น แต่มีมูลค่าสูงขึ้น 3.9% โดยยูนิตโอนกรรมสิทธิ์ของบ้านแนวราบขยายตัว2.8% แต่ยูนิตการโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุดมีการเคลื่อนไหวลดลง  6.9% ซึ่งส่วนใหญ่ลดลงจากการโอนกรรมสิทธิ์ของคนต่างชาติเนื่องจากภาวะโรคระบาดไวรัส COVID-19 สิ่งนี้ได้สะท้อนให้เห็นได้ว่า การโอนกรรมสิทธิ์ของคนในประเทศของเรายังแข็งแรง และจะเป็นแรงขับเคลื่อนภาคอสังหาริมทรัพย์ของไทยต่อไป   สำหรับสถานการณ์โอนกรรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ  ในภาพรวมทั้งปี 2563 ซึ่งได้รับผลกระทบที่รุนแรง จากไวรัส COVID-19 และส่งผลรุนแรงต่อเศรษฐกิจของประเทศ อาจส่งผลให้ภาพรวมยูนิตโอนกรรมสิทธิ์ลดลงในช่วงประมาณ 333,000 – 312,000 ยูนิต หรือลดลง 11.1% ถึง 16.7% และมูลค่าโอนกรรมสิทธิ์ลดลงในช่วงประมาณ 755,000 – 726,000 ล้านบาท หรือลดลง 13.8% ถึง 17.1% ซึ่งจะมียูนิต ที่ต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับ 5 ปีก่อนหน้า แม้ว่ายังคงมีนโยบายกระตุ้นภาคอสังหาฯ ในการลดค่าธรรมเนียมการโอน และค่าจดจำนองให้เหลือประเภทละ 0.01% อยู่ถึงปลายปี   อย่างไรก็ตาม จากแนวทางเชิงนโยบายของรัฐบาล ที่จะใช้ภาคอสังหาฯ เป็นเครื่องจักรสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นขึ้นมาโดยเร็ว เนื่องจากสามารถสร้างการจ้างงานได้จำนวนมากแล้ว ทำให้เชื่อว่า รัฐบาลจะออกนโยบายและมาตรการใหม่ๆ ในการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมา หลังจากภาวการณ์แพร่ระบาดในภาวะวิกฤต  ในช่วงเดือนมีนาคม – เมษายน 2563 ได้ผ่านไป แนะรัฐกระตุ้น Real Demands ทั้งนี้ ศูนย์ข้อมูลฯ ขอสนับสนุนนโยบายต่างๆ ที่ผ่านมาของรัฐบาล และขอเสนอเป็นแนวทางเพื่อพิจารณาเพิ่มเติมในการเสริมสร้างให้ภาคอสังหาฯ  กลับมาแข็งแรง โดยมีความเห็นว่าการสร้าง Demand ใหม่ๆ เข้ามาหนุนเสริมตลาดเป็นเรื่องที่สำคัญ โดยส่งเสริมให้กลุ่มที่มีกำลังซื้อและมีเงินเก็บ นำเงินออกมาลงทุนในการซื้อที่อยู่อาศัย ในภาวะที่ดอกเบี้ยต่ำมากในปัจจุบัน  พร้อมไปกับการเสริมสร้างแรงจูงใจและความมั่นใจให้กับ Real Demands เข้ามาซื้อที่อยู่อีกครั้งหนึ่งเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อเป็นการระบาย Supply ส่วนเกินออกไปได้เร็วขึ้น   การกระตุ้นให้เกิดการโอนกรรมสิทธิ์ ผู้ซื้อที่อยู่อาศัยชาวไทย โดยพิจารณาพิจารณาเลื่อนการใช้มาตรการ  Macroprudential และสร้างโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินกู้ของประชาชนให้ง่ายขึ้น นับเป็นปัจจัยสำคัญ และสำหรับกลุ่มผู้ซื้อชาวต่างชาติ อาจพิจารณาเร่งการโอนกรรมสิทธิ์ โดยใช้มาตรการจูงใจในด้านวีซ่าเพื่อการอยู่อาศัย และการลดค่าธรรมเนียมบางประการในช่วงสั้นๆ ประกอบกัน การย่างเท้าเพื่อก้าวเดินหน้าแต่ละก้าวของภาคอสังหาริมทรัพย์ในวันนี้นับเป็นเรื่องที่ยาก แต่เมื่อย่างก้าวแรกไปให้ได้แล้ว ก้าวต่อไปจะง่ายขึ้น เนื่องจากโมเมนตั้มของระบบเศรษฐกิจจะผลักผลักดันให้การขับเคลื่อนไปได้อย่างลื่นไหลได้อย่างดี ขอให้กำลังใจต่อผู้ประกอบการอวังหาริมทรัพย์ทุกบริษัท และขอให้มีความอดทนและรอบคอบกับสถานการณ์เช่นนี้ แล้วเราจะผ่านมันไปด้วยกัน  
เปิดแผนธุรกิจ ไรมอน แลนด์ ลุยตลาดเชิงรุก สู้วิกฤตโควิด-19

เปิดแผนธุรกิจ ไรมอน แลนด์ ลุยตลาดเชิงรุก สู้วิกฤตโควิด-19

ไรมอน แลนด์ กางแผนธุรกิจปี 63 ปฏิวัติโครงสร้างธุรกิจ ฝ่าวิกฤตโควิด-19 ทำการตลาดเชิงรุก เน้นอสังหาฯ เพื่อการลงทุน ในคอนโดฯ ปล่อยเช่าเป็นเซอร์วิส อพาร์ตเม้นท์ และจับตลาดคอนโดฯ ระดับลักซ์ชัวรี่ พร้อมเพิ่มรายได้จากธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม    นายไลโอเนล ลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ RML เปิดเผยว่า จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19  ภาพรวมของภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกที่ชะลอตัว  และตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2563 มีปัจจัยที่ส่งผลกระทบในทางลบ  ในระยะสั้นถึงระยะกลาง ซึ่งแผนธุรกิจในปีนี้ บริษัทจะปรับกลยุทธ์ในการรับมือกับผลกระทบของไวรัสโควิด-19โดยไม่เน้นการกระจายการลงทุน  ขณะเดียวกันได้เน้นให้ความสำคัญในการดูแลพนักงาน นักลงทุน และลูกค้า ควบคู่ไปด้วย   อย่างไรก็ตาม แม้ว่าปีนี้จะมีปัจจัยลบมากมาย แต่ยังมีปัจจัยบวกให้เห็นบ้าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอัตราดอกเบี้ยต่ำ และมีแนวโน้มลดดลง  มาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ของรัฐบาล การผ่อนปรนเกณฑ์ LTV ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งอาจเป็นปีที่น่าสนใจ สำหรับนักลงทุนที่มีความพร้อม. และเน้นการลงทุนในระยะกลางถึงระยะยาว  เพราะเป็นโอกาสดีที่จะได้ลงทุนในอสังหาฯ ที่ถูกลง มีโอกาสรับผลตอบแทนที่คุ้มค่า ทั้งในแง่ของการเพิ่มขึ้นของราคาในอนาคต ตลอดจนรายได้จากให้เช่า แผน ไรมอนแลนด์ เน้นทำตลาดเชิงรุก โดยกลยุทธ์การทำธุรกิจของบริษัทในปีนี้ มุ่งเน้นการทำตลาดเชิงรุก (Strategic Marketing) สร้างโอกาสการเติบโตในธุรกิจหลัก  โดยบริษัทออกโปรดักส์ สำหรับการลงทุนในคอนโดฯ​เพื่อปล่อยเช่า ในโครงการคอนโดฯ ระดับลักซ์ชัวรี่ บนทำเลใจกลางเมือง อาทิ เดอะ ลอฟท์ อโศก (The Lofts Asoke) เดอะ ดิโพลแมท 39 (The Diplomat 39) และ  เดอะ ดิโพลแมท สาทร (The Diplomat Sathorn) ภายใต้การบริหารงานจาก Klapsons The River Residences Bangkok  และบริษัท อสังหา เรียลตี้ บริษัทย่อยของ RML ขณะเดียวกัน บริษัทวางแผนส่งเสริมการขายผ่านช่องทาง Online ด้วยกลยุทธ์ O2O (Online to Offline) เพื่อให้ลูกค้าสามารถรับชมโครงการระดับลักซ์ชัวรี่ผ่านระบบ Online ก่อนตัดสินใจเข้าชมโครงการจริง เพื่อกระตุ้นความต้องการซื้อและเข้าถึงลูกค้าโดยตรง และในช่วงสถานการณ์ปัจจุบัน. ยังเป็นช่องทางที่สามารถสร้างความปลอดภัยด้านสุขภาพให้กับลูกค้าอีกด้วย ซึ่งคาดว่าจะสามารถผลักดันยอดขายโครงการได้เพิ่มมากขึ้น โควิด-19 พ่นพิษ เลื่อนเปิดโรงแรมครึ่งปีหลัง สำหรับแผนการเปิดโครงการใหม่  บริษัทวางแผนเปิดตัวโครงการคอนโดฯ ระดับลักซ์ชัวรี่  1โครงการ บนถนนสุขุมวิท ซอย 38  โดยเป็นการร่วมทุนกับโตเกียว ทาเทโมโนะ (Tokyo Tatemono) ซึ่งเป็นธุรกิจยักษ์ใหญ่และก่อตั้งมาอย่างยาวนานในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งโครงการดังกล่าว ถือเป็นโครงการที่ 3 ในการร่วมทุนกับโตเกียว ทาเทโมโนะ   ด้านธุรกิจสร้างรายได้ประจำ (Recurring Income) ประกอบด้วย ธุรกิจร้านอาหารและธุรกิจโรงแรม ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์แพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 บริษัทจึงเลื่อนเปิดตัวโรงแรม HOTEL KITCH จากเดิมในเดือนเมษายน 2563 เป็นช่วงครึ่งปีหลังแทน โดยโรงแรมHOTEL KITCH เป็นคอนเซ็ปต์ใหม่และบริหารโรงแรมด้วยตนเอง จำนวน 72 ห้อง และมีแผนจะเปิดตัวโรงแรมใหม่อีก 1 แห่ง ตั้งอยู่ในย่านสุขุมวิท จำนวน 300 ห้อง เน้นคอนเซ็ปต์ที่ทันสมัยโดยการใช้เทคโนโลยีมานำเสนอ เล็งจับมือพันธมิตร ลุยธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ส่วนธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ( Food & Beverage ) เพื่อจัดการความเสี่ยงของธุรกิจ ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการวางแผนในการวางกลยุทธ์ใหม่ของร้านอาหารบ้านหญิง และกำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการร่วมทุนกับพันธมิตรทางธุรกิจ F&B ซึ่งหากมีรายละเอียดแผนงานที่แน่ชัดจะแจ้งให้ทราบในลำดับต่อไป ขณะที่ตัวเลขยอดขายรอโอน (Backlog) ของบริษัททั้งหมด ณ สิ้นปี 2562 มีมูลค่ารวม 8,010.5 ล้านบาท   ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นไป ขณะที่ในปีนี้ยอดโอนส่วนใหญ่มาจากโครงการ The Lofts Silom ที่คาดว่าลูกค้าจะทยอยโอนกรรมสิทธิ์ตั้งแต่ต้นปี ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 80%  บริษัทจะยังลงทุนในการทำกลยุทธ์ทางการตลาดในการสร้างแบรนด์ ไรมอน แลนด์ ในฐานลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ   บริษัทยังคงมุ่งมั่นที่จะร่วมมือกับพันธมิตรธุรกิจ นักลงทุน และลูกค้าของเรา ให้ผ่านช่วงเวลานี้ไปพร้อม ๆ กัน  
แสนสิริ ทำยอดขายไตรมาสแรก 11,000 ล้าน เดินหน้าบุกทำตลาดออนไลน์ต่อ

แสนสิริ ทำยอดขายไตรมาสแรก 11,000 ล้าน เดินหน้าบุกทำตลาดออนไลน์ต่อ

แสนสิริโชว์ยอดขายไตรมาสแรก ทำยอดพุ่ง 11,000 ล้าน  คิดเป็น 40%  ของเป้ารวมทั้งปี 63   ประกาศลุยต่อไตรมาส 2 ขนอสังหาฯ พร้อมอยู่ทำตลาด และขายผ่านทุกช่องทาง     นายอุทัย  อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยว่า บริษัทสามารถสร้างยอดขายไตรมาสแรกของปี 2563 ได้สูงถึง 11,000 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นยอดขายที่สูงที่สุดในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในขณะนี้ และคิดเป็นการสร้างยอดขายได้ถึง 40% จากเป้าหมายยอดขายทั้งปีที่วางไว้ 29,000 ล้านบาท เป็นการสร้างยอดขายที่ประสบความสำเร็จและรวดเร็วได้ภายในไตรมาสแรกของปีนี้  รวมทั้งยังเติบโตขึ้นเกือบ 70% จากช่วงไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ความสำเร็จของยอดขายดังกล่าว เป็นผลมาจากแสนสิริเป็น “แบรนด์อันดับหนึ่งของคนอยากมีบ้าน” ที่ได้รับรางวัลผู้นำแบรนด์อสังหาฯ ทรงพลังที่สุดต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 จากผลการวิจัยเชิงลึกของ Terra BKK นอกจากนี้ ยังรวมถึงการบริการ ทั้งในส่วนของ Sansiri Service ที่ให้บริการทั้งก่อนและหลังการขาย  LIV-24  การบริการที่ดูแลความปลอดภัยส่งตรงจากศูนย์ควบคุมแบบเรียลไทม์ 24 ชั่วโมง มาตรฐานแสนสิริ พร้อมเจ้าหน้าที่พร้อมดูแลทุกจุดในโครงการ  การให้สิทธิพิเศษจากแสนสิริ แฟมิลี่  รวมถึงภาพรวมดีมานต์ที่อยู่อาศัยที่ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง   ขณะเดียวกัน บริษัทยังประสบความสำเร็จ จากการนำเสนอขายหุ้นกู้มูลค่า 4,000 ล้านบาทในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้มีสภาพคล่องที่สูงจากการนำเงินทุนที่ได้มาพัฒนาโครงการใหม่อย่างมีประสิทธิภาพและขยายการลงทุนได้อย่างเต็มที่  รวมถึงบริษัทยังมี Presale Backlog ที่พร้อมเป็นยอดขายที่สำคัญให้กับแสนสิริในปีนี้และรองรับการเติบโตระยะยาวใน 4 ปี อีกถึง 49,100 ล้านบาท   สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในช่วงไตรมาส 2 บริษัทยังมีโครงการที่อยู่อาศัยพร้อมเข้าอยู่ในทุกรูปแบบ ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม มิกซ์โปรดักส์ และคอนโดมิเนียม ที่ครอบคลุมในทุกระดับราคา เริ่มตั้นตั้งแต่ 990,000 บาท ขณะเดียวกันยังได้เตรียมพร้อม และมีมาตรการป้องกัน เพื่อความปลอดภัยของลูกค้าในการเข้ามาใน Sale Gallery ของแสนสิริ   ส่วนในไตรมาสที่ 2 บริษัทได้เตรียมเปิดตัวแคมเปญใหม่  ที่จะช่วยกระตุ้นตลาดและตอบรับกลุ่มลูกค้าได้ดีเช่นเดียวกับไตรมาสแรก รวมถึงการรุกการขายในทุกช่องทาง โดยได้เตรียมต่อยอด “24 Hrs. Pre-Sale Online Booking” พรีเซลแบบออนไลน์เรียลไทม์ 100%  ครั้งแรกในไทย ที่ประสบความสำเร็จจากการนำร่องเปิดขายที่โครงการ เดอะ ไลน์ พหลโยธิน พาร์ค ในสัปดาห์ที่ผ่านมา   โดยลูกค้าสามารถเลือกซื้อโครงการคุณภาพพร้อมอยู่ด้วยตนเอง ผ่านช่องทางออนไลน์แบบเรียลไทม์ 24 ชั่วโมง สะดวก ง่าย ปลอดภัย และคุ้มค่า ด้วยระบบติดต่อและรับคำปรึกษาจากที่ปรึกษาการขาย Online Agent ผ่าน Live Chat หรือ VDO Call รวมถึงเจ้าหน้าที่คอยดูแลและให้ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับโครงการ ระบบธุรกรรมการเงิน ที่สามารถชำระเงินจองผ่านบัตรเครดิตที่มีความปลอดภัยสูง โดยไม่เสียค่าธรรมเนียม   แสนสิริ ยังขนทัพโครงการพร้อมอยู่อีก 10 โครงการ ใน 10 สุดยอดทำเล ให้ลูกค้าสามารถเลือกซื้อและชมโครงการได้ทาง Sansiri 24 Online Booking พร้อมโปรโมชั่นพิเศษลุ้นรับส่วนลดสูงสุดถึง 1 ล้านบาท โดยแสนสิริ ได้เริ่มนำเอาเทคโนโลยีออนไลน์  เข้ามาทำการตลาดเพื่ออำนวยความสะดวก และตอบโจทย์พฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของลูกค้า ในปี 2552  ซึ่งเริ่มนำ Digital Sales Kit มาใช้  รวมถึงพัฒนา Home Service Application ขึ้น และยังขยายฐานการตลาดเพิ่มช่องทางการขายออนไลน์ สู่แพลตฟอร์มอื่น โดยร่วมกับลาซาด้าเปิด “แสนสิริ ออฟฟิเชียล สโตร์ บน LazMall” ที่ปัจจุบันสร้างยอดขายแล้วกว่า 100 ล้านบาท   ก่อนหน้านี้ แสนสิริ ได้เปิดบริการ Online Booking สำหรับลูกค้าที่สนใจจองโครงการเป็นรอบพิเศษที่ทำควบคู่กับกลยุทธ์การตลาดโปรโมชั่นและราคาที่ดึงดูดเปิดการขายผ่านช่องทางออนไลน์มาแล้วหลายโครงการ อาทิ kawa HAUS, oka HAUS, EDGE Central Pattaya และ THE BASE Phetkasem โดยทุกโครงการมียอดจองมากกว่า 90% ของจำนวนที่เปิดจอง   สำหรับแนวทางการเตรียมความพร้อมรับมือ Covid-19 บริษัทโดยได้ผนึก พลัส พร็อพเพอร์ตี้  วางมาตรการเน้นย้ำความปลอดภัยและสุขอนามัยของลูกบ้าน ลูกค้า พนักงานและพันธมิตร ซึ่งนับเป็นหัวใจสำคัญ โดยชูแนวทาง “Sansiri Care เพราะเราห่วงใย” เตรียมความพร้อมในการป้องกันและเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยยกระดับ 3 มาตรการแบบเต็มขั้น ได้แก่   -มาตรการการป้องกัน การดูแล และการรับมือ ครอบคลุมทั้งในด้านความสะอาด -การอำนวยความสะดวกและเตรียมพร้อมรับมือ -การจัดตั้งทีมงานศึกษาและติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดอย่างใกล้ชิด  
พฤกษาปรับกลยุทธ์การขายสู้โควิด-19 ลุยทุกช่องทางออนไลน์  พร้อมอัดแคมเปญพิเศษดันยอดขาย

พฤกษาปรับกลยุทธ์การขายสู้โควิด-19 ลุยทุกช่องทางออนไลน์ พร้อมอัดแคมเปญพิเศษดันยอดขาย

พฤกษา ลุยตลาดออนไลน์ สู้โควิด-19 ที่ทวีความรุแรง พร้อมจับตาสถานสถานการณ์รายววัน เดินหน้าอัดสารพัดแคมเปญและโปรโมชั่นกระตุ้นยอดขาย    นางสุพัตรา เป้าเปี่ยมทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่าจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่มีความรุนแรงขึ้น ซึ่งบริษัทฯ ได้มีการติดตามและประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเป็นรายวัน บริษัทฯ จึงได้เร่งปรับกลยุทธ์การขายโดยเน้นในทุกช่องทางออนไลน์ และมีการจัดแคมเปญพิเศษเพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อ และเป็นการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของลูกค้าในช่วงนี้   ไม่ว่าจะเป็น   -Online Booking กดจองซื้อบ้านได้ง่ายๆ ตลอด 24 ชม. ผ่าน pruksa.com ที่มีการคัดยูนิตสวย ทั้งทาวน์เฮาส์ บ้านเดี่ยว คอนโด หลายหลายทำเล ในราคาและเงื่อนไขสุดพิเศษ (Hot Deals) โดยลูกค้าสามารถจองโครงการ และชำระเงินด้วยบัตรเครดิตผ่านระบบ Online ได้ทันที   -จัดแคมเปญพิเศษร่วมกับ Shopee เพียงซื้อ Voucher สำหรับจองโครงการพลัมคอนโด พหลโยธิน 89  ในราคา 4,000 บาท จะได้รับส่วนลดราคาห้อง  10% สำหรับยูนิตที่ร่วมรายการ โดยสามารถซื้อ Voucher ได้ตั้งแต่วันนี้  - 30 เมษายน  2563  พิเศษ !! รับเพิ่มทองคำมูลค่าสูงสุด 2 บาท เพียงโอนในภายใน 31 พฤษภาคม 2563   -ลูกค้าสามารถเยี่ยมชมโครงการผ่าน Facebook Live : Pruksa family club ที่เสมือนชมโครงการด้วยตนเอง และสามารถจองผ่านช่องทางออนไลน์ได้เช่นกัน   -เพิ่มช่องทางการขายผ่านแอพลิเคชั่น Line พร้อมทีมเซลล์คอยซัพพอร์ตผ่าน Live เมื่อต้องการชมห้องตัวอย่างจริง   -บริการผ่อนดาวน์ชำระค่างวดบ้านผ่าน The Living App โดยสามารถเช็คจำนวนงวดผ่อนชำระคงเหลือ พร้อมรับใบเสร็จผ่าน App ได้ทันที     สำหรับลูกค้าที่สนใจเข้าชมโครงการที่สำนักงานขายด้วยตนเอง ยังสามารถเข้าชมโครงการได้ตามตามเวลาทำการปกติ จนกว่าจะมีคำสั่งการเปลี่ยนแปลงจากรัฐบาล โดยบริษัทฯ มีมาตรการรับมือกับไวรัสโควิด-19 อย่างเข้มข้น โดยคำนึงถึงสุขอนามัยของลูกค้าและพนักงานเป็นสำคัญ   นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีบริการให้คำปรึกษาในด้านของการขอสินเชื่อรวมถึงการวางแผนทางการเงินเพื่อให้ลูกค้าทุกคนสามารถมีบ้านได้ในช่วงสถานการณ์นี้  ลูกค้าสามารถนัดหมายเข้าเยี่ยมชมโครงการและสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมผ่าน Contact Center โทร. 1739 หรือ ผ่าน www.pruksa.com ได้ตลอด 24 ช.ม.  
เปิดข้อมูลโอนกรรมสิทธิ์คอนโดฯ ปี 2562  จีนยังครองแชมป์เบอร์ 1

เปิดข้อมูลโอนกรรมสิทธิ์คอนโดฯ ปี 2562 จีนยังครองแชมป์เบอร์ 1

คนต่างด้าวโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุด ปี 2562 มูลค่ารวมกว่า 16% ของตลาดรวม  ชาวจีน เป็นสัญชาติที่มีสัดส่วนมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์สูงสุด 55.4%    ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยช่วงที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่า นอกจากกลุ่มลูกค้าคนไทยซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าหลักแล้ว ชาวต่างชาติก็เป็นกลุ่มลูกค้าสำคัญ  ที่ได้เข้ามามีส่วนทำให้ตลาดอสังหาฯ เมืองไทยเจริญเติบโต โดยเฉพาะตลาดคอนโดมิเนียม เพราะกฎหมายไทยสามารถให้ลูกค้าชาวต่างชาติ  ถือครองกรรมสิทธิ์ห้องชุดได้มากถึง 49% แต่ช่วงปีที่ผ่านมาดูเหมือนว่าตลาดลูกค้าชาวต่างชาติ  เริ่มชะลอตัวลงจากมาตรการ LTV  ส่งผลให้ยอดขายใหม่ในตลาดกลุ่มลูกค้าต่างชาติต่อตลาดคอนโดฯ ลงลงตามไปด้วย   ส่วนการซื้อคอนโดฯ ไปก่อนหน้านี้ ปีที่ผ่านมาก็ถึงเวลาที่จะต้องโอนกรรมสิทธิ์  เพราะโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จและพร้อมเข้าอยู่ ซึ่งปีที่ผ่านมากลุ่มลูกค้าต่างชาติ  มีการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดฯ มากน้อยแค่ไหนนั้น  ทางศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ได้จัดทำรายงานมานำเสนอ เพื่อให้เห็นว่ามาตรการที่ออกมา ได้ส่งผลต่อตลาดอสังหาฯ มากน้อยแค่ไหน และบรรดาลูกค้าต่างชาติมีความเชื่อมั่นอย่างไรบ้าง   สำหรับภาพรวมการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของลูกค้าต่างชาติในปี 2562 พบว่า ตลอดปีที่ผ่านมามีการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของคนต่างด้าวทั่วประเทศ จำนวน 13,232 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 10.5% เมื่อเทียบกับจำนวนห้องชุดที่โอนกรรมสิทธิ์ทั้งหมด มีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์  52,070 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน​ 16.4%  และมีจำนวนพื้นที่ห้องชุด 521,725 ตารางเมตร คิดเป็นสัดส่วน 12.0%   หากเปรียบเทียบกับปี 2561 พบว่า ปี 2562 ต่างชาติมีจำนวนการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดลดลง 9.9%  มูลค่าลดลง 12.0%  พื้นที่ห้องชุดลดลง 13.4% โดยห้องชุดที่ชาวต่างชาติโอนกรรมสิทธิ์ในปี 2562 มีมูลค่าเฉลี่ยต่อยูนิต 3.94 ล้านบาท และพื้นที่เฉลี่ยต่อยูนิต 39.4 ตารางเมตร     กรุงเทพฯ เมืองที่ชาวจีนซื้อคอนโดฯ มากสุด จังหวัดที่คนต่างชาติซื้อห้องชุดมากที่สุด จะอยู่ในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และในจังหวัดท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งชาวจีน เป็นสัญชาติที่มีสัดส่วนมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดทั่วประเทศมากที่สุดในปี 2562 โดยมีสัดส่วนถึง 55.4% ของมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของคนต่างชาติทั้งหมดทั่วประเทศ มีมูลค่า 52,070 ล้านบาท รองลงมาเป็นรัสเซีย มีสัดส่วน  4.6% สหราชอาณาจักร มีสัดส่วน  3.1% ญี่ปุ่นมีสัดส่วน 3.0%  และฝรั่งเศส มีสัดส่วน 2%   ในปี 2562 จังหวัดที่มีจำนวนยูนิตที่ชาวต่างชาติโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1.กรุงเทพฯ จำนวน 5,481 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 41.4% ของยูนิตทั้งหมด 2.ชลบุรี จำนวน 4,740 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 35.8% 3.สมุทรปราการ จำนวน 1,104 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 8.3% 4.เชียงใหม่ จำนวน 729 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 5.5% 5.ภูเก็ต จำนวน 519 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 3.9%   เมื่อเทียบกับปี 2561 จังหวัดที่มีจำนวนยูนิตที่คนต่างชาติโอนกรรมสิทธิ์ลดลง ได้แก่ กรุงเทพฯ โดยลดลง 22.6%  ชลบุรี ลดลง 2.1% และเชียงใหม่ ลดลง 37.3% ตามลำดับ ส่วนในจังหวัดสมุทรปราการและภูเก็ต มีจำนวนยูนิตเพิ่มขึ้น 83.4% และ 7.5% ตามลำดับ   จังหวัดที่มีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของคนต่างชาติสูงสุด 5 อันดับแรก คือ 1.กรุงเทพฯ  มีมูลค่า 31,628 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 60.7% ของจำนวนมูลค่าทั้งหมด 2.ชลบุรี มีมูลค่า 12,202 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 23.4% 3.ภูเก็ต มีมูลค่า 2,596 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 5.0% 4.สมุทรปราการ มีมูลค่า 2,489 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 4.8% 5.เชียงใหม่ มีมูลค่า 1,683 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 3.2%   เมื่อเทียบกับปี 2561 จังหวัดที่มีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ลดลง ได้แก่ กรุงเทพฯ ลดลง 19.4% ชลบุรี ลดลง 0.9% และเชียงใหม่ ลดลง 43.9% ตามลำดับ ส่วนในจังหวัดภูเก็ตและสมุทรปราการ มีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์เพิ่มขึ้น 8.2% และ 113.5% ตามลำดับ   จังหวัดที่มีพื้นที่การโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของคนต่างชาติสูงสุด 5 อันดับแรก คือ 1.กรุงเทพฯ มีพื้นที่  224,280 ตารางเมตร คิดเป็นสัดส่วน 43.0% ของจำนวนพื้นที่ทั้งหมด 2.ชลบุรี มีพื้นที่ 178,515 ตารางเมตร คิดเป็นสัดส่วน 34.2% 3.เชียงใหม่ มีพื้นที่ 33,117 ตารางเมตร คิดเป็นสัดส่วน 6.3% 4.สมุทรปราการ มีพื้นที่ 32,900 ตารางเมตร คิดเป็นสัดส่วน 6.3% 5.ภูเก็ต มีพื้นที่ 27,287 ตารางเมตร คิดเป็นสัดส่วน 5.2% เมื่อเทียบกับปี 2561 จังหวัดที่มีพื้นที่การโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของคนต่างชาติลดลง ได้แก่ กรุงเทพฯ ลดลง 25.6% ชลบุรี ลดลง 3.5% และเชียงใหม่ ลดลง 35.5% ตามลำดับ ส่วนในจังหวัดสมุทรปราการ และภูเก็ต มีจำนวนพื้นที่เพิ่มขึ้น 78.0% และ 7.4% ตามลำดับ   เมื่อพิจารณาจังหวัดที่มีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดให้คนต่างชาติสูงสุดในปี 2562 จะพบว่า -กรุงเทพฯ มีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์สูงสุดในเขตห้วยขวาง วัฒนา คลองเตย พระโขนง และคลองสาน ตามลำดับ -ชลบุรี มีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์สูงสุดในอำเภอบางละมุง สัตหีบ และศรีราชา ตามลำดับ โดยกว่า 88.5% จะอยู่ในอำเภอบางละมุง -ภูเก็ต มีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์สูงสุดในอำเภอถลาง กะทู้ และเมืองภูเก็ต ตามลำดับ -สมุทรปราการ มีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์สูงสุดในอำเภอเมืองสมุทรปราการ เป็นส่วนใหญ่ โดยมีสัดส่วนสูงถึง 96.6% -เชียงใหม่ มีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์สูงสุดในอำเภอเมืองเชียงใหม่ เป็นส่วนใหญ่ โดยมีสัดส่วนสูงถึง 92.0% รองลงมาคือ แม่ริม สัดส่วน 5.0% จีนครองแชมป์โอนคอนโดฯ มากสุด ในปี 2562 จีน เป็นสัญชาติที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดมากที่สุด ทั้งจำนวนยูนิต มูลค่า และพื้นที่ห้องชุด โดยมีการโอนมากถึง 7,506 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 56.7% ของห้องชุดที่มีการโอนกรรมสิทธิ์โดยชาวต่างชาติทั้งหมด มีมูลค่า 28,860 ล้านบาท  คิดเป็นสัดส่วน 55.4% ของมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์โดยชาวต่างชาติทั้งหมด  และพื้นที่ห้องชุด 254,546 ตารางเมตร คิดเป็นสัดส่วน  48.8% ของพื้นที่การโอนห้องชุดโดยชาวต่างชาติทั้งหมด   ชาวต่างชาติที่มีการรับโอนกรรมสิทธิ์มากที่สุดรองลงมา ได้แก่ สัญชาติรัสเซีย สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และญี่ปุ่น ตามลำดับ  พื้นที่เฉลี่ยต่อหน่วย ในกลุ่มสัญชาติที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุด  ซึ่งมีพื้นที่เฉลี่ยต่อยูนิตมากที่สุด 5 อันดับแรกในปี 2562 ได้แก่ จีน รัสเซีย สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และญี่ปุ่น  โดยเฉพาะชาวสหราชอาณาจักร มีการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดขนาดพื้นที่เฉลี่ยต่อยูนิตใหญ่ที่สุด 51.1 ตารางเมตร ส่วนจีนมีขนาดพื้นที่เฉลี่ยต่อยูนิตต่ำสุดคือ 33.9 ตารางเมตร แสดงให้เห็นว่าแม้ชาวจีนจะซื้อห้องชุดมากที่สุด แต่เป็นการซื้อห้องขนาดเล็ก มูลค่าเฉลี่ยต่อหน่วย ญี่ปุ่นมีการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดในราคาเฉลี่ยต่อยูนิตสูงสุดคือ 4.2 ล้านบาท ในขณะที่รัสเซียมีราคาเฉลี่ยต่อยูนิตต่ำสุดคือ 3.0 ล้านบาท  ซึ่งการที่ชาวญี่ปุ่นซื้อห้องชุดในราคาเฉลี่ยต่อยูนิตแพงที่สุด มีความเป็นไปได้ว่าเป็นเพราะ ชาวญี่ปุ่นมักจะเลือกพักอาศัยอยู่ในทำเลสุขุมวิทตอนต้น เช่น นานา ซึ่งเป็นย่านใจกลางธุรกิจซึ่งราคาคอนโดฯ จะแพงกว่าในทำเลอื่นๆ มูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดแยกรายจังหวัด เมื่อพิจารณาสัญชาติที่มีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดสูงสุด แยกตามจังหวัด ในปี 2562 พบว่า กรุงเทพฯ ชาวจีนเป็นสัญชาติที่โอนกรรมสิทธิ์มากที่สุด จำนวน 19,784 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 62.6% ของมูลค่าการโอนในจังหวัด แต่มูลค่าลดลงจากปี 2561  5.0%  รองลงมาเป็น มาเลเซีย สิงคโปร์ ญี่ปุ่น และไต้หวันซึ่ง 4 สัญชาตินี้มีสัดส่วนการโอนรวมกันเพียง 11.6% และมีเพียงมาเลเซียที่มีมูลค่าการโอนเพิ่มขึ้นจากปี 2561 แต่อีก 3 สัญชาติมีมูลค่าการโอนลดลง ชลบุรี   ชาวจีน ยังเป็นสัญชาติที่มีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดมากที่สุดถึง 5,255 ล้านบาท  สัดส่วน  43.1% เพิ่มขึ้นจากปี 2561  5.0%  รองลงมาคือ รัสเซีย สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และญี่ปุ่น โดย 4 สัญชาตินี้มีสัดส่วนรวมกัน 25.2% และรัสเซียเป็นสัญชาติเดียวที่มีมูลค่าการโอนลดลงจากปี 2561 ภูเก็ต  รัสเซียเป็นสัญชาติที่มีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดมากที่สุด 831 ล้านบาท (สัดส่วน 32.0%) เพิ่มขึ้นจากปี 2561 27.7% รองลงมาคือ จีน สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และสหรัฐอเมริกา ซึ่ง 4 สัญชาตินี้มีสัดส่วนรวมกัน 30.3% โดยสหรัฐอเมริกาเป็นสัญชาติเดียวที่มีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดเพิ่มขึ้นจากปี 2561 สมุทรปราการ ชาวจีนมากที่สุด จำนวน 1,980 ล้านบาท (สัดส่วน 79.6%) เพิ่มขึ้นจากปี 2561 130.4% รองลงมาเป็น ฮ่องกง ญี่ปุ่น ไต้หวัน และสหราชอาณาจักร ซึ่งทั้ง 4 สัญชาติ มีสัดส่วนรวมกันเพียง 14.0%  โดยทั้ง 4 สัญชาติมีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดเพิ่มขึ้นจากปี 2561 เชียงใหม่ ชาวจีน เป็นสัญชาติที่มีมูลค่าการโอนมากที่สุด 1,111 ล้านบาท (สัดส่วน 66.0%) ลดลงจากปี 2561  46.4% รองลงมาเป็น เกาหลีใต้ สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และสหรัฐอเมริกา ซึ่งทั้ง 4 สัญชาติ มีสัดส่วนรวมกัน 17.9% โดยฝรั่งเศส เป็นสัญชาติเดียวที่มูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดเพิ่มขึ้นจากปี 2561 ต่างชาติโอนคอนโดฯ ราคา 2.01-3 ล้านเยอะสุด  ในปี 2562 จำนวนยูนิตห้องชุดที่โอนกรรมสิทธิ์ให้คนต่างด้าวมากที่สุด จะอยู่ในระดับราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาท มีจำนวน 3,657 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 27.6% ของจำนวนยูนิตที่โอนทั้งหมด 13,232 ยูนิต โดยเพิ่มขึ้นจากปี 2561  20.8% ซึ่งเป็นระดับราคาเดียวที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่วนในระดับราคาอื่น ๆ มีการปรับตัวลดลงทั้งหมด ระดับราคาที่มีจำนวนยูนิตโอนรองลงมาคือ 3.01 – 5.00 ล้านบาท มีจำนวน 3,162 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน​ 23.9% ส่วนระดับราคาที่มีจำนวนหน่วยน้อยที่สุดคือ 7.51 – 10.00 ล้านบาท มีจำนวน 499 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 3.8%   มูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดให้คนต่างด้าว ในปี 2562 มีสัดส่วนสูงสุดอยู่ในระดับราคา มากกว่า 10 ล้านบาท โดยมีมูลค่า 13,424 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 25.8% ของมูลค่าที่โอนทั้งหมด 52,070 ล้านบาท รองลงมาคือระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาท มีมูลค่า 12,128 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 23.3% ส่วนระดับราคาที่มีสัดส่วนมูลค่าน้อยที่สุดคือไม่เกิน1 ล้านบาท มีมูลค่า 701 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 1.3% ทั้งนี้ ในทุกระดับราคามีการปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับปี 2561 ยกเว้นระดับราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาท ที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น 20.2%    
ORI กวาดยอดขายกว่า 4,500 ล. พร้อมออก 3 มาตรการรับมือโควิด-19

ORI กวาดยอดขายกว่า 4,500 ล. พร้อมออก 3 มาตรการรับมือโควิด-19

“ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้”  คาดปิดยอดขายไตรมาสแรกได้มากกว่า 4,500 ล้าน สวนกระแสปัจจัยลบ ไวรัส COVID-19 พร้อมเดินหน้า 3 มาตรการเข้าสู้ มั่นใจทำผลงานทั้งปีได้ตามเป้าหมาย 21,500 ล้าน   นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI เปิดเผยว่า สถานการณ์ของภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมทุกกลุ่มในปีนี้ ถือเป็นสถานการณ์แห่งความท้าทาย เนื่องจากมีปัจจัยภายนอกที่ควบคุมได้ยากอย่าง COVID-19 เข้ามากระทบ อย่างไรก็ดี ยอดขายของบริษัทตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 24 มีนาคม 2563 ยังถือว่าเป็นไปได้อย่างยอดเยี่ยมภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว  โดยมียอดขายประมาณ  4,500 ล้านบาท หรือคิดเป็น 21% ของเป้ายอดขายทั้งปี 2563   ทั้งนี้ ยอดขายดังกล่าวแบ่งเป็นยอดขายจากกลุ่มธุรกิจคอนโดมิเนียม ทั้งโครงการที่เพิ่งเปิดขายเมื่อปี 2562 และโครงการสร้างเสร็จพร้อมอยู่ (Ready to move) รวมกว่า 3,000 ล้านบาท และจากกลุ่มธุรกิจบ้านจัดสรร อีกกว่า 1,500 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่มาจากกระแสตอบรับที่ดีของโครงการเปิดตัวใหม่ 2 โครงการ ได้แก่ โครงการบริทาเนีย สายไหม และโครงการแกรนด์บริทาเนีย วงแหวน-รามอินทรา “เราได้ทำแผนการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง หรือ Business Continuity Plan มาตั้งแต่ต้นปี พยายามทำการบ้านอย่างหนักมากในช่วงก่อนหน้านี้ เพื่อให้ผู้บริโภคยังคงมั่นใจ ไว้ใจ เข้าใจ และสามารถเข้าถึงโครงการของเราได้อย่างปลอดภัย ไม่มีผลกระทบต่อสุขภาพ ทั้งผ่านมาตรการการจัดการ COVID-19 อย่างเข้มงวดในบริเวณสำนักงานขาย ตลอดจนการติดต่อสื่อสารกับลูกค้าผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆ ทำให้เรายังคงได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค”     นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า ปี 2563 ถือเป็นปีแห่งความท้าทาย โดยเฉพาะจากเรื่อง COVID-19 ที่สถานการณ์ยังมีความเปลี่ยนแปลงและมีมาตรการใหม่ๆ จากภาครัฐออกมาอย่างต่อเนื่อง บริษัทให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าว จึงได้จัดประชุมผู้บริหารอยู่เป็นประจำ เพื่อให้สามารถออกมาตรการใหม่ๆ ได้อย่างทันท่วงที และในช่วงเวลานี้ บริษัทตระหนักดีว่าทุกภาคส่วนจำเป็นต้องมีความเข้าอกเข้าใจ (Empathy) ซึ่งกันและกัน   เพื่อให้ผ่านสถานการณ์อันยากลำบากไปได้ จึงพิจารณามาตรการใหม่ๆ เพื่อคน 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.มาตรการเพื่อผู้บริโภค ทั้งเพื่อกลุ่มที่กำลังพิจารณาจะซื้อโครงการของออริจิ้น และกลุ่มที่ปัจจุบันเป็นลูกบ้านออริจิ้นแล้ว 2.มาตรการเพื่อพนักงาน โดยมีมาตรการที่ได้เริ่มดำเนินการไปแล้ว เช่น การเปิดให้พนักงานบางส่วนที่ไม่ต้องทำงานเกี่ยวข้องกับลูกค้าโดยตรง สามารถ Work From Home ได้ตั้งแต่เมื่อวันจันทร์ที่ 23 มีนาคมที่ผ่านมา 3.มาตรการเชิงธุรกิจ เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการธุรกิจ เดินหน้าจับมือพันธมิตรใหม่ๆ ในรูปแบบ Open Platform เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้บริโภค พร้อมทั้งพิจารณาปรับปรุงแผนให้ธุรกิจยังคงสามารถขับเคลื่อนไปได้ภายใต้ทุกสถานการณ์ โดยคาดว่าจะเริ่มเห็นมาตรการใหม่ๆ ในทั้ง 3 ด้านดังกล่าว ออกมาอย่างต่อเนื่องในเดือน เมษายนนี้   สำหรับปี 2563 บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งสิ้น 14 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 20,000 ล้านบาท โดยเปิดตัวไปแล้ว 2 โครงการในช่วงไตรมาส 1 คือ โครงการ บริทาเนีย สายไหม มูลค่าโครงการ 1,400 ล้านบาท และ โครงการ แกรนด์ บริทาเนีย วงแหวน-รามอินทรา มูลค่าโครงการ 1,900 ล้านบาท   “ตามปกติแล้ว ช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์คือช่วงไตรมาส 3 และไตรมาส 4 เราจึงเชื่อมั่นว่า ด้วยยอดขายที่สามารถทำได้อย่างยอดเยี่ยมในไตรมาส 1 ประกอบกับยอดขายในไตรมาส 3 และ 4 ซึ่งสถานการณ์น่าจะคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้นแล้ว เราจะยังสามารถทำยอดขายได้ 21,500 ล้านบาทตามเป้า”    
ดีเวลลอปเปอร์ ต้องรอด!! ออกมาตรการสู้ไวรัสโควิด-19

ดีเวลลอปเปอร์ ต้องรอด!! ออกมาตรการสู้ไวรัสโควิด-19

ตอนนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ขยายวงกว้างมากขึ้น แถมจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แม้ไม่รุนแรงเหมือนหลายประเทศ แต่ก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะจบลง และไม่รู้จะจบเมื่อไรด้วย   ไม่เพียงแต่ไวรัสโควิด-19 จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนโดยทั่วไป แต่ยังได้กระทบไปถึงธุรกิจต่างๆ แทบจะทุกธุรกิจไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อมก็ตาม ทำให้เจ้าของกิจการพยายามหาหนทาง เพื่อที่จะอยู่รอดให้ได้ในสถานการณ์ปัจจุบัน   สำหรับแวดวงอสังหาริมทรัพย์ ผู้ประกอบการโดนผลกระทบมาต่อเนื่อง จากมาตรการ LTV ปัญหาค่าเงินบาท ปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัว กำลังซื้อหดหาย ซ้ำร้ายปีนี้มาเจอกับไวรัสโควิด-19 เป็นแรงหนุนเพิ่มปัญหาให้หนักเข้าไปอีก แต่ผู้ประกอบการต่างพยายามดิ้นรน หาหนทางรอดเพื่อสู้กับปัญหา หลายรายยังมองว่าทุกวิกฤติมีโอกาส หากมีกำลังใจและต่อสู้กับปัญหาอย่างเต็มที่ มาดูกันว่าตอนนี้ผู้ประกอบการอสังหาฯ  ใช้อะไรในการสู้กับวิกฤตครั้งนี้บ้าง เพอร์เฟค จับมือ วิริยะ มอบประกันโควิด-19    พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค มอบประกันคุ้มครองไวรัสโคโรนา โดย วิริยะประกันภัย สำหรับลูกค้าที่ซื้อบ้านและทาวน์โฮม รวมถึง ลูกค้าที่เข้าเยี่ยมชมทุกโครงการ ภายในเดือนเมษายนนี้ นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ได้ร่วมกับ บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) มอบความคุ้มครองให้แก่ลูกค้าของ พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ด้วยแผนประกันโควิดชีลด์  ติดปุ๊ปรับปั๊ป เมื่อตรวจพบว่าติดเชื้อโควิด-19 รับเงินก้อนทันที 100,000 บาท หากนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลจากโควิด-19 มีค่าชดเชยรายวัน วันละ 300 บาท สูงสุด 14 วัน พร้อมคุ้มครองการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุอีก 100,000 บาท   โดยลูกค้าที่ซื้อบ้านและทาวน์โฮมที่โอนกรรมสิทธิ์ภายในเดือนเมษายนนี้ จะได้รับความคุ้มครองดังกล่าว เป็นระยะเวลา 1 ปี  เพื่อให้ความอุ่นใจในช่วงที่โควิด-19 มีการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว  นอกจากนี้ ลูกค้าที่เข้าเยี่ยมชมโครงการของพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ทุกโครงการ ภายในเดือนเมษายนนี้ จะได้รับสิทธิ์ความคุ้มครองนาน 30 วัน โดยไม่มีค่าใช้จ่าย หากตรวจพบว่าติดเชื้อโควิด-19 รับทันที 30,000 บาท พร้อมค่าชดเชยรายวันกรณีนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลและประกันชีวิตด้วยเช่นกัน เป็นการส่งมอบความห่วงใยแก่ลูกค้าที่มีความกังวลเรื่องการระบาดของไวรัสโควิด-19 ในขณะนี้ LPN ให้พนักงาน Work from Home LPN ออกนโยบาย Work from Home ลดความเสี่ยงติดเชื้อไวรัสโควิด-19 หลังพบอัตราการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในระยะที่ผ่านมา เตรียมแผนรับมือและจัดตั้งทีมเฉพาะกิจ ให้พนักงานสามารถทำงานที่บ้านได้อย่างราบรื่น เน้นย้ำเรื่องการสื่อสารในภาวะวิกฤต ต้องรวดเร็วและถูกต้อง   นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) เปิดเผยว่า  จากสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ระบาดทั่วโลกและมีอัตราการระบาดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในประเทศไทยในระยะเวลาที่ผ่านมา LPN ได้ติดตามและเฝ้าดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด และเตรียมมาตรการ Work from Home เพื่อให้พนักงานสามารถทำงานที่บ้าน เป็นการลดความแออัดและลดโอกาสในการแพร่เชื้อ   โดยบริษัทได้ประกาศคิกออฟมาตรการดังกล่าว เริ่มต้นวันแรกในวันที่ 17 มีนาคม 2563 ซึ่งได้ลดสัดส่วนจำนวนพนักงานประจำสำนักงานใหญ่ให้เหลือ 50% สลับกับพนักงานที่ทำงานที่บ้าน โดยบริษัทได้เตรียมพร้อมในแง่ระบบการทำงาน มีการใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อความคล่องตัวในการสื่อสารและการประชุมร่วมกัน รวมถึงสนับสนุนอุปกรณ์การทำงาน เพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ในส่วนของสำนักงานขายและนิติบุคคลตามโครงการต่างๆ ยังปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ โดยมีแผนรองรับหากเกิดภาวะฉุกเฉิน   มาตรการ Work from Home 50% ในครั้งนี้ ถือเป็นการเตรียมความพร้อมของบริษัท หากประเทศไทยเข้าสู่ภาวะติดเชื้อโควิด-19 ระยะ 3 และจำเป็นต้องปิดสำนักงานทั้งหมด เพื่อให้ลูกค้าสามารถมั่นใจได้ว่า LPN จะยังคงดำเนินงานได้แบบไม่มีสะดุด จะยังคงให้บริการลูกค้าอย่างสมบูรณ์ที่สุด   ในส่วนของการดูแลพนักงานนั้น นอกเหนือจากนโยบาย Work from Home ที่ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อของพนักงานแล้ว LPN ยังได้ยกเลิกระบบสแกนนิ้วที่อาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อ รวมถึงได้ทำการพ่นยาฆ่าเชื้อที่สำนักงานใหญ่ นอกจากนี้ ยังมีระบบเฝ้าระวังและติดตามพร้อมให้การดูแลหากพนักงานติดเชื้อโควิด-19 และมีการซื้อประกันโควิด-19 ให้กับกลุ่มพนักงานผู้ปฏิบัติงานประจำโครงการต่างๆ อีกด้วย   ที่ผ่านมา บริษัทได้เชิญวิทยากรจากกรมคุมโรคติดต่อ กระทรวงสาธารณสุข มาจัดอบรมแก่พนักงานและบริษัทในเครือ ในการดูแลตัวเอง และแนวทางการปฏิบัติหากเกิดกรณีพนักงานหรือเจ้าของร่วมในโครงการต่างๆ ติดเชื้อโควิด-19 จึงถือว่า LPN มีการเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่ต่อสถานการณ์ขณะนี้ แสนสิริ ขายคอนโดฯ ออนไลน์ รับดีมานด์ลูกค้าช่วง COVID-19 แสนสิริ เปิดขายคอนโดฯ ออนไลน์ ผ่าน “Sansiri 24 Online Booking” รับไลฟ์สไตล์ลูกค้าในยุคดิจิทัล และดีมานด์ลูกค้าไม่ออกจากบ้านช่วง COVID-19 ขน 10 โปรเจ็กต์ 70 ยูนิตจัดราคาพิเศษ   นายปิติ จารุกำจร รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมและบริหารกลยุทธ์โครงการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ได้รุกตลาดผ่านกลยุทธ์การขายและบริการออนไลน์ “Sansiri 24 Online Booking” เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์ลูกค้าในยุคดิจิทัล ตอบโจทย์ดีมานด์ในตลาดที่ยังมีอยู่สูง ซึ่งต้องการซื้อที่อยู่อาศัยพร้อมเข้าอยู่ได้ทันที ผ่านช่องทางการตลาดออนไลน์ที่อำนวยความสะสวกให้กับลูกค้าได้ซื้อคอนโดฯพร้อมอยู่ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องออกจากบ้าน   รวมถึงเพิ่มโอกาสรองรับดีมานด์ลูกค้าช่วง COVID-19 อีกด้วย ซึ่งบริษัทยังจัดโปรโมชั่นราคาพิเศษ  ให้ลูกค้าเลือกซื้อยูนิตที่ชอบ และชมโครงการได้เสมือนกับมาที่โครงการ โดยมีเจ้าหน้าฝ่ายขายติดต่อกลับทันที เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกหลังการจอง โดยมีโครงการของแสนสิริเข้ารวม 10 โครงการ จำนวน 70 ยูนิตพิเศษ ซึ่งลูกค้าสามารถซื้อคอนโดฯ ได้ง่าย ทุกที่ตลอด 24 ชั่วโมง   “แสนสิริ ยังมีบริการ Sansiri Service เพื่อมอบประสบการณ์ดีที่แตกต่างแก่ลูกค้า โดยพร้อมดูแลตลอดทุกช่วงการอยู่อาศัย ที่ทำให้บ้านได้มากกว่าบ้าน ตั้งแต่บริการโอน ดูแลบริหารโครงการโดยพลัส พร็อพเพอร์ตี้ อุ่นใจมากกว่าด้วยบริการ LIV-24 ปลอดภัย 24 ชม. บริการ Move-In Experience เตรียมความพร้อมก่อนการเข้าอยู่อาศัยอย่างครบวงจรผ่าน และไลฟ์สไตล์พริวิเล็จมากมายจากแสนสิริ แฟมิลี่”  “อัลติจูด แจกประกันลูกค้าเยี่ยมชมโครงการ  “อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์” รับมือไวรัสโควิด-19 เตรียมแจกประกันภัย สำหรับผู้เข้าชมโครงการ   นายชยพล หรรรุ่งโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ภายใต้แบรนด์ ‘ALTITUDE’ เปิดเผยว่า ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้แม้จะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโดยรวมที่ชะลอตัว และจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่กระทบกับทั้งประเทศไทยและทั่วโลก บริษัทฯ ได้ตระหนักและคำนึงถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยมีการปรับตัวในการดำเนินธุรกิจมาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา   โดยให้ความสำคัญด้านความปลอดภัยกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วน จึงได้ซื้อประกันภัยโควิด-19 มอบให้กับพนักงาน และผู้เข้าเยี่ยมชมโครงการของอัลติจูด ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โดยผู้ต้องการเข้าชมโครงการต้องลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ของบริษัท www.altiude.co.th เค.อี. เน้นความสะอาดสูงสุด รับมือโควิด-19 เค.อี.แลนด์ เน้นความสะอาดสูงสุด รับมือไวรัสโควิด-19 พร้อมออก 7 มาตรการให้พนักงานปฎิบัติ พร้อมเฝ้าระวัง-ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด    นางศุภานวิต เอี่ยมสกุลรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เค.อี. และผู้บริหารกองทรัสต์ BKER เปิดเผยว่า บริษัทได้เตรียมมาตรการรับมือไวรัสโควิด-19 เพื่อสุขภาพและความปลอดภัย ของร้านค้า ผู้เช่า ลูกค้าที่มาใช้บริการศูนย์การค้า คริสตัล ดีไซน์ เซ็นเตอร์ (ซีดีซี)  เดอะ คริสตัล (เอกมัย-รามอินทรา, ราชพฤกษ์, ชัยพฤกษ์) เพลินนารี่ มอลล์, เดอะซีน (ทาวน์อินทาวน์)  อมอรินี่, แอมพาร์ค (จุฬา)  สัมมากร (รามคำแหง, ราชพฤกษ์, รังสิต) และพนักงานทุกคน   โดยออกประกาศมาตรการป้องกันและเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยกำชับทุกหน่วยงานให้เข้มงวดและดำเนินมาตรการป้องกันสูงสุด ทั้งการเฝ้าระวัง การป้องกัน และการควบคุม ตามที่กระทรวงสาธารณสุขและราชกิจจานุเบกษา ประกาศให้โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 (Coronavirus Disease 2019 : COVID-19) เป็นโรคติดต่ออันตราย   สำหรับมาตรการการดูแลความสะอาดของสถานที่อย่างต่อเนื่อง มีดังนี้ 1.การฉีดพ่นทำความสะอาดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อและการเช็ดทำความสะอาดบริเวณพื้นที่ส่วนกลาง 2.ให้บริการเจลแอลกอฮอล์ล้างมือในจุดต่างๆ บริเวณทางเข้า-ออกหน้าลิฟท์ บันไดเลื่อน ห้องน้ำ โดยเติมแอลกอฮอล์ไม่ให้ขาด 3.เพิ่มความถี่ในการทำความสะอาดจุดสัมผัสต่างๆ ในพื้นที่ที่ใช้ร่วมกัน เช่น ปุ่มลิฟท์โดยสาร ราวบันไดเลื่อน 4.ทำความสะอาดห้องน้ำด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ เช่น ก๊อกน้ำ ชักโครก สายฉีดชำระ ทุกครึ่งชั่วโมง 5.จัดเตรียมอุปกรณ์ทำความสะอาดภายในห้องน้ำส่วนกลางให้มีเพียงพอ 6.กำหนดให้พนักงาน ร้านค้าผู้เช่า สวมหน้ากากอนามัย และหากพบมีอาการป่วย ไอ เป็นไข้ ให้หยุดปฏิบัติงานทันที โดยให้พบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย และรักษาจนกว่าจะหาย หรือกรณีเดินทางกลับจากต่างประเทศจะให้หยุดงานเพื่อเฝ้าระวัง 14 วัน 7.กรณีฉุกเฉินหรือมีข้อสงสัยเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 นอกจากนี้ ยังมีการรณรงค์และขอความร่วมมือจากร้านค้าผู้เช่า โดยการให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการป้องกันเชื้อไวรัสดังกล่าว โดยร่วมกับทุกร้านค้าทำความสะอาดพื้นที่ภายในร้าน (Big Cleaning) เพื่อสร้างความปลอดภัยและความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าที่มาใช้บริการ และพนักงานของร้านค้าผู้เช่าด้วย   ทั้งนี้ บริษัทฯ จะติดตามสถานการณ์และเตรียมความพร้อมในการเสริมมาตรการต่างๆ เพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับร้านค้าผู้เช่า ลูกค้าที่มาใช้บริการ และพนักงานทุกคนอย่างดีที่สุด เพื่อให้ทุกฝ่ายร่วมผ่านพ้นวิกฤติครั้งนี้ไปพร้อมกัน
รวมโปรโมชั่น “บ้าน-คอนโดฯ” สู้ไวรัสโควิด-19

รวมโปรโมชั่น “บ้าน-คอนโดฯ” สู้ไวรัสโควิด-19

ระยะเวลาปี 2563 เดินทางมาเกือบจะหมดไตรมาสแรกของปีกันแล้ว แวดวงอสังหาริมทรัพย์ดูเหมือนจะเงียบเหงา ดีเวลลอปเปอร์ส่วนใหญ่แทบไม่มีใครเปิดโครงการใหม่ออกขาย ส่วนใหญ่จะกินบุญเก่ากับโครงการเดิมๆ ที่เปิดขายมาก่อนหน้า เพราะสถานการณ์ปีนี้ เต็มไปด้วยปัจจัยลบที่ส่งผลกระทบต่อเนื่องมาจากปีที่ผ่านมา  และต้นปีนี้ยังมีปัญหาไวรัสโควิด-19 มาซ้ำเติมให้เจ็บหนักกันไปอีก   สิ่งหนึ่งที่ดีเวลลอปเปอร์ทำกันตอนนี้ คงหนีไม่พ้นการจัดโปรโมชั่น เพื่อเรียกยอดขาย และหาแนวทางในการกระตุ้นยอดขายให้มากขึ้น จากสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยปัจจัยลบ มาดูกันว่าตอนนี้มีโปรโมชั่นจากผู้ประกอบการอะไรออกมากันบ้าง เมเจอร์ จัด LAST CHANCE!! LUCKY NO.9 เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จัดโปร LAST CHANCE!! LUCKY NO.9  ส่งท้ายกับ คอนโดฯ 8 โครงการ ทำเลใจกลางเมือง ใกล้รถไฟฟ้า ราคาพิเศษเริ่ม 2.9 ล้านบาท รับโปรโมชั่นฟรี 9 รายการ พร้อมลุ้นรับ On Top ส่วนลดเพิ่มสูงสุด 200,000 บาท   นางสาวเพชรลดา พูลวรลักษณ์ กรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทประสบความสำเร็จจากแคมเปญ “LUCKY NO.9 เฮง 9 ต่อ รับฟรี 9 อย่าง” จึงได้จัดแคมเปญต่อเนื่องโอกาสสุดท้าย สำหรับผู้ที่ต้องการเลือกซื้อคอนโดฯ ใจกลางเมืองใกล้รถไฟฟ้า กับแคมเปญ LAST CHANCE!! LUCKY NO.9  ฟรี! โปรโมชั่นกว่า 9 รายการ ด้วยฟรีค่าโอนฯ, ส่วนกลาง, เงินกองทุน, ประกันและติดตั้งมิเตอร์ไฟ, บัตรกำนัลเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ไฟฟ้า, ที่พักสุดชิคจาก Centra Maris Resort Jomtien และแก็ตเจต โดนใจ IPhone 11   โดยบริษัทได้คัดสรร 8 โครงการ พร้อมอยู่ มาจัดแคมเปญครั้งนี้  อาทิ  โครงการเอ็ม จตุจักร ใกล้ BTS หมอชิต และ สะพานควาย, MRT จตุจักร และ กำแพงเพชร  โครงการมาเอสโตร19 รัชดา19 – วิภา ทำเลใจกลางรัชดาฯ ใกล้ MRT สถานีรัชดาภิเษก โครงการมาเอสโตร 03 รัชดา – พระราม 9 ใกล้ MRT สถานีพระราม 9, สถานีศูนย์วัฒนธรรม Airport Link สถานีมักกะสัน และใกล้จุดขึ้นลงทางด่วนพิเศษศรีรัช  โครงการมาเอสโตร 14 สยาม – ราชเทวี ทำเลศักยภาพ 'ราชเทวี' ใกล้รถไฟฟ้า BTS ราชเทวี เพียง 300 เมตร สถานีเดียวถึงสยาม นอกจากนี้ยังมีโครงการเมทริส พระราม 9 - รามคำแหง ทำเลติดริม ถ.พระราม 9 และถนนรามคำแหง ใกล้ MRT รามคำแหง 12  โครงารเมทริส พัฒนาการ – เอกมัย ตั้งอยู่บนถนนพัฒนาการ ใกล้ทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ โครงการเอ็ม ทองหล่อ 10 ใกล้ BTS ทองหล่อ และโครงการมาเอสโตร 01 สาทร-เย็นอากาศ ทำเลย่านธุรกิจ ใกล้ BTS ศาลาแดง และ MRT ลุมพินี   ขณะเดียวกันในวันที่ 21-22 มีนาคมนี้ บริษัทได้เพิ่มข้อเสนอสุดพิเศษ ลุ้นรับส่วนลด On Top สูงสุดถึง 200,000 บาท** ในงาน Event ที่ Sales Gallery สำหรับ 6 โครงการ ได้แก่  เอ็ม จตุจักร, มาเอสโตร19 รัชดา19 – วิภา, มาเอสโตร 03 รัชดา – พระราม 9, มาเอสโตร 14  สยาม – ราชเทวี, เมทริส พระราม 9 – รามคำแหง และเมทริส พัฒนาการ – เอกมัย  อีกด้วย   ตลาดอสังหาฯ ปีนี้ยังคงเติบโต แต่ไม่ได้หวือหวามากนัก มั่นใจว่าตลาดยังมีเรียลดีมานด์ มีความต้องการที่อยู่อาศัยอย่างแท้จริง  เอ็น.ซี. เฮ้าส์ซิ่ง จัด NC EXPO 2020 เอ็น.ซี. เฮ้าส์ซิ่ง  เปิดแคมเปญใหญ่ NC EXPO 2020   Hot Price Hot Zone  ผนึก 8 แบงค์ มอบอัตราดอกเบี้ยพิเศษ ชูมหกรรมบ้าน เอ็น.ซี  9 แบรนด์คุณภาพ รีบจอง ภายใน 31 มีนาคมนี้   นายสมนึก ตันฑเทอดธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี. เฮ้าส์ซิ่ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึง แคมเปญใหญ่ต้นปี 2020  “NC EXPO 2020 Hot Price Hot Zone” นำโครงการบ้าน-คอนโดฯ พร้อมอยู่ 9 โครงการทุกทำเล จัดราคาพิเศษ และได้รับแคมเปญพิเศษ อาทิ G1 GOLD  ซื้อบ้านได้ทอง  สูงสุด 20 บาท  G2 GIFT ซื้อบ้านรับของแถม ครบคุ้ม อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า G3 GIFT VOUCHER ตกแต่งบ้าน มูลค่าสูง ถึง 100,000 บาท G4 GIVE AWAY ซึ่งเป็นการร่วมสมทบเงินมอบส่วนหนึ่ง เพื่อโครงการรักษ์โลก  ทุกยอดโอน 1 ล้านบาท ร่วมบริจาคสนับสนุน ด้านการคัดแยกขยะลดปัญหาสิ่งแวดล้อม และ G5 GET MORE  รับส่วนลดสูงสุด 2 ล้านบาท  ฟรีทุกค่าใช้จ่ายวันโอนกรรมสิทธ์ ทุกรายการ กรณีโอนเร็ว ภายในเดือนมีนาคม รับ iPhone 11 Pro Max ,IPad gen 7,Apple Wach ,Air Pods ความมั่นใจแคมเปญใหญ่ NC EXPO 2020 Hot Price Hot Zone จะสามารถทำยอดขายกว่า  270 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทยังได้ร่วมกับ 8 สถาบันการเงิน ให้อัตราดอกเบี้ยพิเศษ ได้แก่ ธนาคารไทยพาณิชย์กู้สูงสุด 110% ธนาคารออมสิน ดอกเบี้ยพิเศษ 2.7% 3 ปี ธนาคารกสิกรไทย รับดอกเบี้ย 3.32%นาน 3 ปี ธนาคารทหารไทย รับดอกเบี้ย 2.89 % 3 ปี ฟรีค่าประกันอัคคีภัย ธนาคารกรุงไทย ดอกเบี้ยพิเศษ 0.99% ปีแรก ธนาคารกรุงศรี รับดอกเบี้ยคงที่ 1% นาน 1 ปี พร้อมฟรี จดจำนอง ธนาคารอาคารสงเคราะห์ กู้ได้วงเงินสูงสุด 110%  และ LH Bank รับดอกเบี้ยเริ่มเต้น 2.9% หรือผ่อนต่ำล้านละ 3,500 บาท  (2ปีแรก ) “อัลติจูด” แจกประกันโควิด-19   “อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์” ลุยตลาดแนวราบ เจาะกลุ่มผู้ซื้อที่อยู่อาศัยเพื่ออยู่จริง เตรียมแจกประกันภัยโควิด-19 สำหรับผู้เข้าชมโครงการ ตั้งเป้ายอดขาย 2,000 ล้านบาท     นายชยพล หรรรุ่งโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ภายใต้แบรนด์ "ALTITUDE" เปิดเผยว่า ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้แม้จะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโดยรวมที่ชะลอตัว และจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่กระทบกับทั้งประเทศไทยและทั่วโลก บริษัทฯ ได้ตระหนักและคำนึงถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยมีการปรับตัวในการดำเนินธุรกิจมาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ซึ่งในปี 2563 จึงยังเน้นย้ำกลยุทธ์การเติบโตด้วยธุรกิจร่วมทุนและรับจัดการและพัฒนาสินทรัพย์ (Turnkey Asset Development) เป็นการขับเคลื่อนธุรกิจด้วยโครงการร่วมทุนและร่วมค้า เพื่อเป็นการแก้เกมเศรษฐกิจช่วงขาลง   สำหรับเป้าหมายยอดขายปี 2563 ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 2,000 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา นับเป็นการเติบโตแบบก้าวกระโดดจากปี 2561 ซึ่งเป็นผลมาจากการดำเนินตามกลยุทธ์ธุรกิจ และกลยุทธ์การตลาดที่บริษัท วางไว้ได้อย่างถูกต้อง และจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 บริษัทได้ตระหนักและให้ความสำคัญด้านความปลอดภัยกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วน จึงได้ซื้อประกันภัยโควิด-19 มอบให้กับพนักงาน และผู้เข้าเยี่ยมชมโครงการของอัลติจูด ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โดยผู้ต้องการเข้าชมโครงการต้องลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ของบริษัท www.altiude.co.th แสนสิริ จัดโปรลื่นปรื้ด แสนสิริ เปิดเกมส์รุกหนักไตรมาสแรกปี 63  ยกทัพโครงการพร้อมอยู่และเปิดขายใน 55 โครงการทั่วประเทศ จัดแคมเปญใหญ่ “โปรลื่นปรื้ด”  ตั้งเป้ากวาดยอดขายแคมเปญ 3,000 ล้านบาท กระตุ้นตลาดอสังหาฯ คึกคัก ดันยอดขายปิดไตรมาสแรก   นายอุทัย  อุทัยแสงสุข  ประธานผู้บริหารสายงานปฎิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ได้ลุยสร้างยอดขายและกระตุ้นตลาดอสังหาฯ ตั้งแต่ไตรมาสแรก ด้วยราคาและและข้อเสนอพิเศษแบบไม่เคยมีใครให้มาก่อน กับแคมเปญ “โปรลื่นปรื้ด” ล้มทุกโปร ลื่นทุกข้อเสนอ ยกทัพโครงการพร้อมอยู่และเปิดขายใน 55 โครงการทั่วประเทศ ทั้งบ้านเดี่ยว คอนโดมิเนียม และทาวน์โฮม มาจัดราคาพิเศษ พร้อมข้อเสนอพิเศษทางการเงินจาก 3 ธนาคารชั้นนำ ทั้งธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกรุงไทย และธนาคารออมสิน ที่จะร่วมมอบอัตราดอกเบี้ยสุดพิเศษเฉพาะลูกค้าแสนสิริอีกด้วย   ตัวอย่างโครงการที่ร่วมแคมเปญ อาทิ ดีคอนโด แคมปัส กำแพงแสน เริ่มต้นเพียง 890,000 บาท  ดีคอนโด แคมปัส โดม รังสิต เริ่มต้นเพียง 1.69 ล้านบาท ทาวน์โฮมแบรนด์สิริ เพลส ราชพฤกษ์ – 346  ราคาพิเศษเริ่มเพียง 1.89 ล้านบาท มิกซ์โปรดักส์ รวมบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮมไว้ในโครงการเดียว อณาสิริ มะลิวัลย์ ขอนแก่น ราคาพิเศษเริ่มเพียง 2.29 ล้านบาท และคณาสิริ บนหลายทำเล อาทิ บางนา, พระราม 2, ราชพฤกษ์ – 346 ราคาพิเศษเริ่มเพียง 3.99 ล้านบาท สราญสิริ โคราช ราคาพิเศษเริ่ม 4.99 ล้านบาท และบ้านเดี่ยวแบรนด์บุราสิริ ราคาพิเศษเฉพาะในงาน เริ่ม 4.99 บ้านเดี่ยวแบรนด์เศรษฐสิริ ราคาพิเศษเฉพาะในงาน เริ่ม 5.99 ล้านบาท   ไฮไลท์ที่น่าสนใจของแคมเปญ ยังลุ้นเป็นเจ้าของยูนิตราคาสุดพิเศษ ใน 12 คอนโดฯ พร้อมอยู่ อาทิ ลา กาซิต้า หัวหิน ลุ้นรับราคาพิเศษ 1.79 ล้านบาท เดอะ เบส ไฮท์ อุดรธานี ลุ้นรับราคาพิเศษเพียง 1.39 ล้านบาท  เดอะ เบส เพชรเกษม ลุ้นรับราคาพิเศษเพียง 1.79 ล้านบาท และเดอะ เบส สุขุมวิท 50 ลุ้นรับราคาพิเศษ 1.99 ล้านบาท สำหรับโครงการบ้านเดี่ยว และทาวน์โฮม นอกจากพบแปลงสวยราคาพิเศษในทุกโครงการ ทุกทำเลแล้ว ยังมีโปรโมชั่นจัดเต็มส่วนลดสูงสุดกว่า 1 ล้านบาท ให้คุณเป็นเจ้าของบ้านได้ง่ายที่สุด เพราะแสนสิริจ่ายให้ทั้งหมด ทั้งค่าจดจำนอง ค่าโอนกรรมสิทธิ์ และค่าส่วนกลางสูงสุด ถึง 10 ปี   คาดว่าแคมเปญนี้จะได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า และสามารถทำยอดขายได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ 3,000 ล้านบาท และยังจะช่วยผลักดันให้ยอดขายในช่วงไตรมาสแรกเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้  
LPN ปรับกลยุทธ์การขาย รับมือ โควิด-19 ปั้นยอดขาย750 ล้าน

LPN ปรับกลยุทธ์การขาย รับมือ โควิด-19 ปั้นยอดขาย750 ล้าน

LPN ปรับกลยุทธ์การขายโครงการ “ลุมพีนี เพลส เตาปูน อินเตอร์เชนจ์” โปรเจ็กต์แรกที่เปิดขายของปี 63 ใช้ระบบ  Telesales สร้างยอด 750 ล้าน รับมือปัญหา โควิด-19 ระบาด    นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า  จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้บริษัทปรับกลยุทธ์การขายโครงการ  “ลุมพีนี เพลส เตาปูน-อินเตอร์เชนจ์” ระหว่างวันที่ 5-8 มีนาคมที่ผ่านมา ด้วยการติดต่อกับลูกค้าที่เยี่ยมชมโครงการและลงทะเบียนแสดงความสนใจซื้อโครงการก่อนหน้านี้ทางโทรศัพท์ (Telesales) ในระหว่างวันที่ 5-6 มีนาคมที่ผ่านมา เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าและป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จากการที่ลูกค้าจำนวนมากมาชุมนุมกันที่สำนักงานขายของโครงการในวันเปิดขายจริงวันที่ 7-8 มีนาคม 2563   “การนำระบบการติดต่อกับลูกค้าทางโทรศัพท์มาใช้ในช่วงวันที่ 5-6 มีนาคม ช่วยลดปริมาณของลูกค้าที่เดินทางไปที่สำนักงานขายในวันที่เปิดขายระหว่างวันที่ 7-8 มีนาคมลงไปได้มาก และยังสามารถสร้างยอดขายได้สูงถึง 300 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน  70% ของจำนวนยูนิตที่เปิดขาย สร้างยอดขายขายกว่า 750 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงกำลังซื้อในตลาดที่ยังคงมีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัย ในทำเลที่ใกล้กับแนวรถไฟฟ้า ในระดับราคาที่เหมาะสม ถึงแม้เศรษฐกิจจะมีแนวโน้มชะลอตัว”      โครงการลุมพีนี เพลส เตาปูน อินเตอร์เชนจ์ เป็นโครงการคอนโดมิเนียมโครงการแรกที่ LPN เปิดขายในปี 2563  เพราะมองเห็นศักยภาพของทำเลเตาปูน - บางซื่อ ที่เป็นทำเลที่ยังคงมีความต้องการที่อยู่อาศัยเป็นจำนวนมาก จากการสำรวจของบริษัทพบว่า ย่านนี้มีบริษัทขนาดใหญ่ที่มีพนักงานมากกว่า 12,500 คน รวมทั้งทำเลที่ตั้งอยู่ใกล้กับรัฐสภาใหม่ที่มีเจ้าหน้าที่ทำงานอยู่มากกว่า 2,000 คน ประกอบกับทำเลนี้อยู่ติดกับแนวรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ส่วนต่อขยายช่วงสถานีบางซื่อ-ท่าพระ และการก่อสร้างสถานีกลางบางซื่อที่คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ภายในต้นปี 2564 ที่คาดว่าจะมีผู้มาใช้บริการไม่น้อยกว่า 200,000 คนต่อวัน ทำให้บริษัทมั่นใจว่าจะมีลูกค้าให้ความสนใจซื้อที่อยู่อาศัยที่อยู่โดยรอบพื้นที่เตาปูน ที่เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยและมีชุมชนโดยรอบเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะที่อยู่อาศัยที่ระดับราคาไม่เกิน 2.5 ล้านบาทต่อยูนิต   เมื่อสถานีกลางบางซื่อเปิดให้บริการในปี 2564 สถานีกลางบางซื่อจะกลายเป็นสถานีศูนย์กลางระบบขนส่งมวลชนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยจะมีรถไฟฟ้าถึง 4 สายที่เชื่อมต่อกับสถานีกลางบางซื่อในอนาคต ได้แก่ สายสีน้ำเงิน สายสีม่วง สายสีแดงเข้ม และสายสีแดงอ่อน รวมทั้งยังเป็นสถานีต้นทางของรถไฟฟ้าความเร็วสูง 2 เส้นทาง ได้แก่ กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ระยะทาง 670 กิโลเมตร และกรุงเทพฯ-หนองคาย ระยะทาง 615 กิโลเมตร อีกทั้งยังมีส่วนต่อขยายแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ 5 สถานี จากสถานีพญาไทเชื่อมต่อไปยังสนามบินดอนเมืองกับสนามบินสุวรรณภูมิ   “เตาปูนเป็นทำเลที่ใกล้กับสถานีกลางบางซื่อ และมีรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินผ่าน ทำให้เป็นทำเลที่เหมาะทั้งการซื้อเพื่ออยู่อาศัย และเพื่อการลงทุน โดยการซื้อเพื่อการลงทุนให้ผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่  5% ต่อปี โดยมีการปล่อยเช่าเฉลี่ยอยู่ที่ 8,000 – 10,000 บาทต่อเดือนสำหรับห้องที่มีพื้นที่ประมาณ 22-28 ตารางเมตร ในแบบสตูดิโอ และ 1 ห้องนอน ถือว่าเป็นอีกหนึ่งทำเลที่เหมาะสำหรับการซื้อเพื่ออยู่อาศัยและการลงทุน”       โครงการลุมพีนี เพลส เตาปูน อินเตอร์เชนจ์ เป็นคอนโดสูงขนาด 30 ชั้น 1 อาคาร บนพื้นที่โครงการขนาด 3 ไร่ จำนวนห้อง 710 ยูนิต มีห้องพักให้เลือก 3 รูปแบบ ได้แก่ 1. รูปแบบสตูดิโอ ขนาด 22.50 – 23.00 ตารางเมตร 2.รูปแบบ 1 ห้องนอน ขนาด 28.00 – 34.00 ตารางเมตร 3. รูปแบบ 2 ห้องนอน ขนาด 43.00 ตารางเมตร มูลค่าโครงการรวม 1,780 ล้านบาท  ปัจจุบันโครงการได้รับอนุมัติรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากคณะกรรมการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมเรียบร้อยแล้ว   โครงการ ลุมพีนี เพลส เตาปูน-อินเตอร์เชนจ์ อยู่บนถนนกรุงเทพ-นนทบุรี  ใกล้รถไฟฟ้าสถานีเตาปูนเพียง 100 เมตร พร้อมเชื่อมต่อทุกการเดินทางได้อย่างรวดเร็วด้วยทางด่วนศรีรัชฯ ภายในโครงการออกแบบสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบครัน อาทิ โถงพักผ่อน ห้องอเนกประสงค์ ห้องคุณหนู สระว่ายน้ำ ห้องเฮ้าส์เวิร์ก สวนอินฟินิตี้ ฟิตเนสและสวนดาดฟ้า พร้อมที่จอดรถ 278 คัน พร้อมระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง ราคาเริ่มต้น 1.98 ล้านบาท
ไซมิสฯ วางโรดแมปธุรกิจ ลุยต่างจังหวัด-ต่างประเทศ

ไซมิสฯ วางโรดแมปธุรกิจ ลุยต่างจังหวัด-ต่างประเทศ

ไซมิส แอทเสท วาง 3 กลยุทธ์ พร้อมปั้นธุรกิจใหม่ ต่อยอดแนวคิด Asset of Life ก่อนระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ เตรียมปั้นโปรเจ็กต์มิกซ์ยูส 4,000-5,000 ​ล้าน สร้างรายได้ต่อเนื่อง พร้อมวางโรดแมปธุรกิจ 5-10 ปี บุกตลาดต่างจังหวัดและต่างประเทศ   นายขจรศิษฐ์ สิ่งสรรเสริญ กรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไซมิส แอทเสท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2563 ว่า ได้เตรียมพัฒนาโครงการใหม่ 1 โครงการ มูลค่า 4,000-5,000 ล้านบาท เป็นโครงการมิกซ์ยูสในย่านแฟชั่นไอแลนด์ ภายในโครงาการจะมีประกอบไปด้วย คอนโดมิเนียมเพื่อพักอาศัย 1 อาคาร คอนโดฯ เพื่อให้เช่า 1 อาคาร และโรงแรม 1 อาคาร บนเนื้อที่ 5 ไร่ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการออกแบบโครงการ   นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างการเจรจา เพื่อร่วมทุนกับเจ้าของที่ดินขนาด 17 ไร่ถนนบางนา-ตราด เพื่อพัฒนาโครงการร่วมกัน ซึ่งหากไม่สามารถเจรจาได้ลงตัว บริษัทยังมีแผนซื้อที่ดินในทำเลใกล้เคียงประมาณ 10 ไร่ เพื่อการพัฒนาโครงการในอนาคตด้วย   สำหรับทิศทางการเติบโตในปีนี้ บริษัทคาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา ซึ่งสามารถสร้างรายได้ 3,430 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 629 ล้านบาท ซึ่งมีกำไรเติบโตเฉลี่ย 3 ปีย้อนหลังมากกว่า 100% โดยการพัฒนาโครงการภายใจ้แนวคิด Asset of Life สร้างกำไรให้กับการใช้ชีวิต เพิ่ม 3 ธุรกิจต่อยอดสร้างรายได้เพิ่ม นายขจรศิษฐ์  กล่าวว่า ช่วง 10 ปีที่แล้วบริษัทเริ่มต้นธุรกิจด้วยเงินทุนจดทะเบียนเพียง 200 ล้านบาท ปัจจุบันสามารถพัฒนาโครงการจนมีมูลค่าร่วม 47,000 ล้านบาท และเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 1,200 ล้านบาท เพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จึงเตรียมนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อระดมทุนมาพัฒนาธุรกิจ โดยปัจจุบันแม้บริษัทยังไม่ได้เงินทุนมาพัฒนาโครงการ แต่บริษัทได้เริ่มวางแผนและขยายธุรกิจใหม่เพื่อสร้างการเติบโตแล้ว   สำหรับแนวทางการพัฒนาและขยายธุรกิจ บริษัทได้วาง 3 กลยุทธ์สำคัญ​ คือ 1.พัฒนาโครงการในรูปแบบ Branded Residence เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับโครงการ และสร้างจุดขาย ซึ่งจะร่วมมือกับเครือโรงแรมชั้นนำ ในการเข้ามาบริหารโครงการ อาทิ ไฮแอท บันยันทรี ดุสิต และฮิลล์ตัน เป็นต้น โดยทำราคาให้เหมาะสม เพื่อให้กลุ่มลูกค้าที่ซื้อโครงการของบริษัท สามารถนำเอาห้องชุดไปสร้างมูลค่าเพิ่มได้ ทั้งจากการปล่อยเช่าหรือการขายต่อเมื่อมูลค่าทรัพย์สินเพิ่มขึ้น 2.ขยายธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม (Food and Beverage) โดยในปีที่ผ่านมาได้เปิดร้านอาหาร แบรนด์ โรสแมรี่ 1 สาขา และร้านกาแฟ ภายใต้แบรนด์ Kafeology 2 สาขา นอกจากนี้ ยังเตรียมวางแผนเปิดธุรกิจจัดส่งอาหารเดลิเวอรี่ ภายใต้บริการ Cloud Kitchen ซึ่งจะมีการดึงร้านอาหารที่มีชื่อเสียงมาไว้ด้วยกัน และมีครัวกลางสำหรับการจัดเตรียมอาหาร เพื่อจัดส่งให้กับลูกค้าผ่านบริการจัดส่งผ่านแอปพลิเคชั่น เช่น แกร็บฟูด เป็นต้น โดยวางเป้าหมายภายใน 3-5 ปี จะขยายจุดให้บริการ 100 แห่ง  แต่ละแห่งจะมีร้านอาหารเข้าร่วมประมาณ 6-8 ร้าน เพื่อบริการลูกค้าในรัศมีไม่เกิน 8 กิโลเมตร ซึ่งปัจจุบันมีร้านอาหารเข้าร่วมแล้ว 6 ร้าน   นอกจากนี้ การพัฒนาโครงการใหม่ของบริษัททุกโครงการจะมีเลาจ์ เพื่อบริการอาหารและเครื่องดื่มให้กับลูกบ้านและลูกค้าทั่วไป ส่วนบางโครงการจะเปิดพื้นที่ร้านอาหารบนชั้นดานฟ้า (Rooftop Restaurant) เช่น โครงการไซมิส เอ๊กซ์คลูซีพ ควีนส์ (Siamese Exlusive Queens) 3.ขยายสู่ธุรกิจการดูแลสุขภาพ (Wellness) นอกจากธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม บริษัทยังขยายไปสู่ธุรกิจการดูแลสุขภาพ ซึ่งเป็นไปตามเทรนด์ของสังคมไทยที่กำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ซึ่งบริษัทจะร่วมกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขในเชิงการป้องกัน (Preventive Medicine) ซึ่งแพทย์ดังกล่าวมีแพลตฟอร์มด้านการให้บริการ และมีจำนวนผู้ติดตามในสื่อออนไลน์มากกว่า 50,000 คน โดยการให้บริการจะเป็นรูปแบบครบวงจร ซึ่งมีทั้งอาหารสุขภาพ บริการสปา และบริการเสริมความงาม เล็งบุกหัวเมืองท่องเที่ยว-ต่างประเทศ นอกจากการขยายตลาดในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลแล้ว บริษัทยังวางแผนพัฒนาโครงการในต่างจังหวัด ซึ่งเป็นหัวเมืองหลักด้านารท่องเที่ยว โดยการนำเอาโมเดลธุรกิจการพัฒนาโครงกคอนโดฯ เพื่ออยู่อาศัย และคอนโดฯ เพื่อปล่อยเช่า ไปพัฒนาในต่างจังหวัด รวมถึงการพัฒนาโครงการในตลาดต่างประเทศ ซึ่งมองเมืองเป้าหมาย ได้แก่ มะนิลา จาร์กาต้า และบังคลาเทศ เนื่องจากเป็นเมืองที่มีประชากรจำนวนมาก   โดยบริษัทวางแผนในระยะ 5 ปีนับจานี้จะพัฒนาโครงการตามหัวเมืองใหญ่ด้านการท่องเที่ยว และภายใน 5-10 ปี จะขยายตลาดไปยังต่างประเทศดังล่าว ซึ่งถือว่าทั้ง 2 ตลาดเป็นบลูโอเชียนที่ยังมีคู่แข่งน้อย และที่ผ่านมายังไม่มีผู้ประกอบการคนไทยประสบความสำเร็จ ในการพัฒนาโครงกอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศเลย   เราจะไปหาบลูโอเชี่ยน ไทยยังไม่มีใครซัคเซสในต่างประเทศ เราจะไปให้ได้
สรุปผลงานบิ๊กอสังหาฯ ปี 2562 ทำรายได้รวมกว่า 2.77 แสนล้าน

สรุปผลงานบิ๊กอสังหาฯ ปี 2562 ทำรายได้รวมกว่า 2.77 แสนล้าน

รอบปี 2562 ที่ผ่านมา ต้องยอมรับเลยว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์เมืองไทย ต้องเผชิญภาวะชะลอตัวอย่างชัดเจน จากปัจจัยลบสำคัญ คือ ผลกระทบจากมาตรการ LTV ที่มาซ้ำเติมกับภาวะกำลังซื้อของคนส่วนใหญ่ชะลอตัวลง เพราะภาพโดยรวมไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจโลก หรือเศรษฐกิจไทย ต่างก็มีปัญหามาก่อนหน้านี้ เมื่อกำลังซื้อมีจำกัด มาเจอกับการเข้มงวดจากการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน และวงเงินการปล่อยกู้ที่ลดลง ตลาดอสังหาฯ จึงได้รับผลกระทบแบบเต็มๆ   จากการสำรวจผลประกอบการของบริษัทอสังหาฯ ที่จะทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ประมาณ 30 บริษัท ซึ่งดำเนินธุรกิจพัฒนาโครงการอสังหาฯ ประเภทที่อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม หรือคอนโดมิเนียม พบว่ารายได้เมื่อสิ้นปี 2562 ต่างได้รับผลกระทบ ตัวเลขรายได้และกำไรต่างลดลงจากปี 2561 ส่วนใหญ่เหตุผลมาจาก ลูกค้าไม่สามารถกู้เงินซื้อบ้านได้  เพราะมีข้อจำกัดเรื่อง LTV แม้ลูกค้าที่มีความสามารถในการซื้อ แต่ความมั่นใจก็ลดลง จึงชะลอแผนการซื้อที่อยู่อาศัยไปก่อน ขณะที่ฝั่งผู้ประกอบการเอง ยังชะลอการเปิดตัวโครงการใหม่ออกไปก่อน และบางรายก็ลดจำนวนโครงการที่เปิดใหม่ในปีที่ผ่านมาด้วย 30 ดีเวลลอปเปอร์ทำรายได้ลด 4.07% หากดูตัวเลขจากการสำรวจข้อมูลในปี 2562 ที่ผ่านมาพบว่า ผู้ประกอบการอสังหาฯ 30 รายหลัก มีรายได้จากการพัฒนาอสังหาฯ ซึ่งเป็นประเภทที่อยู่อาศัย มีรายได้รวมกว่า 277,810 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนหน้า 4.07% ซึ่งมีรายได้รวม 289,607 ล้านบานท ขณะที่กำไรในส่วนที่บริษัทได้รับมีมูลค่ารวม  50,144 ล้านบาท ลดลง 6.37% จากปีก่อนหน้าที่มีกำไร 53,558 ล้านบาท แต่หากพิจาณาจากรายได้รวมทั้งหมด ของผู้ประกอบการอสังหาฯ ในปีที่ผ่านมา จะพบว่า มีรายได้เติบโตเล็กน้อย ประมาณ 1.49% จากรายได้รวมจำนวน 332,651 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่มีจำนวน 327,766.65 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิรวม 50,438 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยในอัตรา 0.51% จากปีก่อนหน้าที่มีกำไรสุทธิรวม 50,698 ล้านบาท   เหตุผลที่บริษัทอสังหาฯ ส่วนใหญ่ยังทำรายได้รวมเพิ่มขึ้น และกำไรลดลงเล็กน้อย ซึ่งเรียกได้ว่ายังรักษาความสามารถในการทำกำไรได้ดี ในภาวะและสถานการณ์ที่มีแต่ปัจจัยลบนั้น เป็นเพราะการขยายพอร์ตธุรกิจไปสูตลาดอสังหาฯ ประเภทอื่นๆ ที่ไม่ได้จำกัดตัวเองไว้แต่เฉพาะตลาดที่อยู่อาศัยเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นตลาดสำนักงานให้เช่า ศูนย์การค้า โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ ธุรกิจบริการ คลังสินค้า หรือแม้แต่โรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งหลายธุรกิจไม่ได้รับผลกระทบจากกำลังซื้อที่ชะลอตัวลง แถมยังเป็นธุรกิจทำกำไรได้ดีกว่าธุรกิจที่อยู่อาศัยด้วยซ้ำ ดีเวลลอปเปอร์ Top10 ครองตลาดกว่า 73% ถ้าพิจารณาบรรดาผู้ประกอบการรายใหญ่ 10 อันดับแรก ยังพบว่าเป็นผู้ประกอการที่สามารถสร้างรายได้จากธุรกิจอสังหาฯ เพื่ออยู่อาศัยได้ระดับหมื่นล้านบาทขึ้นไป และยังเป็นกลุ่มผู้ประกอบการที่ครองส่วนแบ่งการตลาดรวมกันมากกว่า 73% อีกด้วย โดยกลุ่มพฤกษา โฮลดิ้ง (PSH) ยังคงเป็นแชมป์ทำรายได้สูงสุดถึง 39,885.21 ล้านบาท แม้ว่าจะลดลง 11.17% จากปีก่อนหน้าที่ทำได้ 44,900.70 ล้านบาทก็ตาม โดยกลุ่มออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI) เป็นกลุ่มผู้ประกอบการ Top10 ที่ทำรายได้น้อยสุดด้วยรายได้ 12,278.60 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนหน้า 15.5% ที่ทำรายได้ 14.523.10 ล้านบาท   หากมาดูการเปลี่ยนแปลงของรายได้จากธุรกิจอสังหาฯ เพื่ออยู่อาศัย 7 ใน 10 บริษัท มีรายได้ลดลงทั้งหมด ที่ลดลงมาก็คือ กลุ่มแลนด์แอนด์เฮ้าส์ (LH) ลดงถึง 17.57%  รายได้ที่ทำได้ในปี 2561 จำนวน 30,513.63 ล้านบาท ลดลงเหลือ 25,15137 ล้านบาท ส่วนบริษัทที่มีรายได้ลดลงเพียงเล็กน้อย คือ กลุ่มศุภาลัย (SPALI) ที่มีรายได้จากการขายอสังหาฯ เพื่อที่อยู่อาศัยดลง 7.85% จากปี 2561 มีรายได้ 25,203.08 ล้านบาท เหลือ 25,151.37 ล้านบาท ในปีที่ผ่านมา   ขณะที่ดีเวลลอปเปอร์ซึ่งติด Top10 สามารถฝ่าปัจจัยลบ สร้างยอดขายเติบโตได้ดี คือ กลุ่มโนเบิล ดีเวลลอปเปอร์ (NOBLE) ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจาก การรับรุ้รายได้จากการขายที่ดินรอการพัฒนา มูลค่า 8,680.7 ล้านบาท รวมถึงการขายสินทรัพย์เข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาฯ จำนวน 210 ล้านบาท ซึ่งอาจจะถือว่าเป็นรายได้จากการขายที่พิเศษขึ้นมา หากหักรายการพิเศษนี้ออกไป กลุ่มโนเบิลฯ จะมีรายได้ประมาณ 6,000 ล้านบาท ซึ่งคงไม่ได้ติดอันดับ Top10 แต่ยังคงมีรายได้เติบโตจากปีที่ผ่านมา ซึ่งทำได้ประมาณ 4,974.20 ล้านบาท   ส่วนอีก 2 บริษัทที่สามารถสร้างรายได้จากการขายเติบโต คือ บริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (GOLD) ที่ทำรายได้ในช่วง ปี 2562 (มกราคาถึงธันวาคม 2562) จำนวน 15,299.99 ล้านบาท เติบโต 9.02% จากปีที่ผ่านมามีรายได้ 14,034.33 ล้านบาท และอีกบริษัท คือ กลุ่มพร็อพเพอร์ตี้ เฟอร์เฟค (PF) ที่สามารถสร้างการเติบโตได้ 5.01% ด้วยรายได้ 16,367.10 ล้านบาท จากปีก่อนหน้าทำได้ 15,586.60 ล้านบาท   Top10 โกยกำไรกว่า 4 หมื่นล้าน สำหรับปีที่ผ่านมาบิ๊กดีเวลลอปเปอร์รายใหญ่ ยังคงความสามารถในการทำกำไรในส่วนของบริษัท ได้ใกล้เคียงกับปีก่อนหน้า โดย 10 บริษัทรายใหญ่ทำกำไรในส่วนของบริษัทได้มากถึง 40,088.45 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยเพียง 2.76% จากปี 2561 ที่ทำได้จำนวน 41,224.19 ล้านบาท บริษัทที่ทำกำไรได้สูงสุด และแตะระดับหมื่นล้านบาทนั้น ยังคงเป็นบริษัท แลนด์แอนด์เฮ้าส์ฯ ที่มีกำไร 10,024.90 ล้านบาท ลดลง 4.30% จากปีก่อนหน้าทำได้ 10,475.42 ล้านบาท ส่วนบริษัทที่กำไรลดลงมากสุด คือ บริษัท ควอลิตี้ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) (QH) โดยกำไรลดลง 24.86% จากกำไรในปี 2561 จำนวน 3,797.85 ล้านบาท เหลือจำนวน 2,853.86 ล้านบาท ในปีที่ผ่านมา แม้บริษัทส่วนใหญ่จะกำไรลดลง แต่ยังพบว่ากลุ่ม Top10 มี 3 บริษัทที่กำไรเติบโต คือ บริษัท โนเบิลฯ มีกำไรเติบโต 211.18% จากกำไรจำนวน 986.97 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็น 3,071.21 ล้านบาท. ซึ่งเป็นผลจากการขายรายการพิเศษนั่นเอง ส่วนอีก 2 บริษัทที่มีกำไรเติบโต คือ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) (SIRI) มีกำไรเติบโต 16.93% จากกำไร 2,045.97 ล้านบาท ในปี 2561  เพิ่มขึ้นเป็น 2,392.44 ล้านบาท ในปีที่ผ่านมา และบริษัท แผ่นดินทองฯ เป็นอีกหนึ่งบริษัทในกลุ่ม Top10 ที่มีกำไร โดยกำไร 2,093.92 ล้านบาท เติบโต 7.27% จากปี 2561 ซึ่งมีกำไร 1,951.97 ล้านบาท 3 บริษัทกำไรเติบโตเกิน 100% ส่วนภาพรวมในรอบปี 2562 บริษัทอสังหาฯ ในตลาดหลักทรัพย์ประมาณ 30 บริษัท สามารถทำกำไรในส่วนของบริษัทรวม  50,144.63 ล้านบาท ลดลง 6.37% จากปี 2561 ที่ทำกำไรได้ 53,558.26 ล้านบาท โดยบริษัทที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่ม Top10 มีกำไรเติบโตโดดเด่น มี 3 บริษัท  คือ  บริษัท ไรมอนแลนด์ จำกัด (มหาชน) (RML)  มีกำไรเติบโต 228.30% จากกำไรในปี 2561 จำนวน 17.67 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็น 79.30 ล้านบาท ในปีที่ผ่านมา และบริษัท ชาญอิสสระดีเวล็อปเนท์ จำกัด (มหาชน) (CI) ซึ่งทำกำไรเติบโตถึง 228.39% จากกำไรจำนวน 82.4 ล้านบาท ในปี 2561 เพิ่มขึ้นเป็น 270.59 ล้านบาท เป็นผลจากการโอนกรรมสิทธิ์จากโครงการต่างๆ ที่เปิดขายมาก่อนหน้า   ส่วนอีกบริษัทที่มีกำไรเติบโตโดดเด่น ไม่พูดถึงไม่ได้ เพราะสามารถผลิกฟื้นธุรกิจจากขาดทุนมาเป็นกำไร คือ บริษัท เอเวอร์แลนด์ จำกัด (มหาชน) (EVER)  ที่สามารถผลิกจากการขาดทุนในปี 2561 จำนวน  340.86 ล้านบาท มาเป็นกำไรได้ 323.84 ล้านบาท หรือเติบโตถึง 195% ซึ่งเป็นผลมาจาก การโอนกรรมสิทธิ์โครงการต่างๆ อาทิ  เดอะโพลิแทน รีฟ เฟส 1 และโครงการทาวน์โฮม แบรนด์เอเวอร์ ซิติ้ สุขสวัสดิ์ 30-พุทธบูชา โครงการเอเวอร ซิตี้ ศรีนครินทร์-หนามแดง และโครงการมายโอม อเวนิว เป็นต้น ถือว่าทำผลงานได้ดีที่สุดในรอบ 7 ปีเลยทีเดียว   บทสรุป ของปี 2562 ที่ผ่านมา คงเห็นภาพได้ชัดเจนว่า ตลาดอสังหาฯ​ ได้รับผลกระทบจากมาตรการ LTV ภาวะเศรษฐกิจ และกำลังซื้อ และน่าจะยังคงส่งผลกระทบต่อเนื่องมาถึงปี 2563 ยิ่งสถานการณ์ตอนนี้ เกิดปัญหาไวรัสโควิด-19 อีกด้วย เชื่อว่าตลาดอสังหาฯ ปีนี้ ก็คงชะลอตัวต่อเนื่องเช่นกัน แต่จะมากน้อยแค่ไหนนั้น คงต้องวัดผลกันอีกครั้งในช่วงสิ้นปี                        
รีวิวคอนโด อ่อนนุช “Chambers อ่อนนุช สเตชั่น” คอนโดอารมณ์บ้าน ติดรถไฟฟ้า

รีวิวคอนโด อ่อนนุช “Chambers อ่อนนุช สเตชั่น” คอนโดอารมณ์บ้าน ติดรถไฟฟ้า

SC asset หนึ่งในผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ใครหลายคนหมายปองอยากจะเป็นเจ้าของให้ได้สักโครงการ เพราะชื่อเสียงด้านคุณภาพงานก่อสร้างที่ออกมาประณีตเรียบร้อยในทุกมุมตารางเมตร การใช้วัสดุที่ดี งานดีไซน์สวย ไปจนถึงการดูแลลูกบ้านในทุกโครงการภายใต้แบรนด์มากมายทั้งคอนโดมิเนียมและโครงการแนวราบ สิ่งเหล่านี้เกิดจากการหล่อหลอมทุกดีเทลจนเกิดเป็นความเชื่อมั่นของลูกค้า   Chambers (แชมเบอร์ส) แบรนด์คอนโดมิเนียมพร้อมอยู่แบบ Low Rise ที่ชูคอนเซป "คอนโดอารมณ์บ้าน" เมื่อลอดผ่านอาคาร A เข้าสู่โครงการเข้าไปก็ให้ความรู้สึกเหมือนเดินผ่านสวนสีเขียว มีมุมนั่งเล่นพักผ่อนท่ามกลางความเงียบสงบก่อนเข้าถึงตัวอาคารผ่าน Double Space Lobby ที่ได้แสงธรรมชาติเข้ามาทำให้ดูโปร่งโล่ง สร้างบรรยากาศให้ดูอบอุ่นด้วยโทนสีเบจ ใช้เฟอร์นิเจอร์สีอ่อนสลับด้วยสีเข้มแบบเอิร์ธโทน ประดับตกแต่งด้วยไม้ประดับต้นเล็กกระจายอยู่ทั่วทั้งล็อบบี้ ภาพรวมทั้งภายในและนอกอาคารออกมาโทนเดียวกันอย่างกลมกลืน ไม่มีอะไรที่ดูฉูดฉาดหวือหวาแต่คงคอนเซปของอารมณ์เหมือนอยู่บ้านได้อย่างดีทีเดียว   ส่วนกลางหลักจะอยู่ที่อาคาร C ด้านในสุดของพื้นที่โครงการ ซึ่งจะเป็นที่ตั้งของฟิตเนสและสระว่ายน้ำระบบเกลือลักษณะ L shape มีมุม Jacuzzi ให้ได้นั่งแช่ผ่อนคลายใต้ร่มไม้ใหญ่ริมสระ และ Sunken ให้ได้นั่งเล่นกลางสระว่ายน้ำ ทำเลคอนโด อ่อนนุช Chambers อ่อนนุช สเตชั่น โครงการนี้ SC asset เลือกปักหมุดย่านอ่อนนุช ในซอยสุขุมวิท 81 ถือเป็นสุขุมวิทช่วงกลางที่ถูกจับตามองในแง่ของการพัฒนารอบด้านมาได้สักระยะ เห็นได้จากโครงการคอนโดมิเนียมจากหลาย Developer ค่ายใหญ่ในบ้านเรามาร่วมกันสร้างอ่อนนุชให้คึกคัก ประกอบกับสิ่งอำนวยความสะดวก อาทิ โลตัส อ่อนนุช เซ็นจูรี่ บิ๊กซี อ่อนนุช เดอะฟิล รวมถึงสถานีรถไฟฟ้า สถานีอ่อนนุช ในระยะเดินได้ แค่ 230 เมตร และยังใกล้กับทางด่วนถึง 3 สาย ทั้งทางด่วนเฉลิมมหานคร ทางด่วนฉลองรัช และทางด่วนบูรพาวิถี ไม่ว่าจะเดินทางเข้าใจกลางเมืองหรือออกนอกเมืองโซนบางนา-สุวรรณภูมิ ก็สะดวก ภาพโครงการ "Chambers อ่อนนุช สเตชั่น" Facilities "Chambers อ่อนนุช สเตชั่น" ห้องตัวอย่าง รายละเอียดคอนโดเพิ่มเติม Chambers อ่อนนุช สเตชั่น โครงการอื่นจาก SC asset CENTRIC RATCHAYOTHIN Bangkok Boulevard Rama 9 Grand Bangkok Boulevard Ramintra-Seritha    
5 ปัจจัยหนุนทำเลเตาปูน สู่ย่านใจกลางธุรกิจแห่งใหม่

5 ปัจจัยหนุนทำเลเตาปูน สู่ย่านใจกลางธุรกิจแห่งใหม่

ถ้าพูดถึงทำเลที่มีการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมหนาแน่น  นอกจากทำเลพื้นที่ย่านใจกลางเมือง หรือ ย่านใจกลางธุรกิจ อีกทำเลที่มีการพัฒนาคอนโดฯ​ อย่างหนาแน่น ก็คงเป็นทำเลตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้า ทั้งเส้นทางรถไฟฟ้าที่เปิดให้บริการแล้ว และกำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต  เพราะคนจะเลือกที่อยู่ทำเลไหน การเดินทางต้องมีความสะดวกสบายด้วย ซึ่งเรื่องของความสะดวกในการเดินทาง ถือเป็นตัวตัดสินใจอันดับแรกๆ ในการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยเลยก็ว่าได้   สำหรับแนวเส้นทางรถไฟฟ้า ซึ่งมีการพัฒนาโครงการคอนโดฯ หนาแน่นแห่งหนึ่ง คงเป็นทำเลเตาปูน บริเวณรถไฟฟ้าสถานีเตาปูน อินเตอร์เชนจ์ ต่อเนื่องไปถึงสถานีบางโพ ยิ่งเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย จากสถานีเตาปูน-ท่าพระ ได้เริ่มทดลองวิ่งแล้ว ทำเลนี้น่าสนใจและเป็นที่จับตามอง ดีเวลลอปเปอร์หลายราย มองว่าทำเลนี้ในอนาคตจะถูกพัฒนาและกลายเป็นย่านใจกลางธุรกิจแห่งใหม่ จากปัจจัยบวกหลายประการ   หากพิจารณาถึงเหตุผลตอกย้ำทำเลเตาปูน คือ ย่านใจกลางธุรกิจแห่งใหม่ในอนาคตนั้น  คงจะมาจากเหตุผลสำคัญ 5 ประการ คือ 1.การพัฒนาโครงการ “สถานีกลางบางซื่อ” สถานีกลางบางซื่อ เป็นโครงการของการรถไฟแห่งประเทศไทย มีเป้าหมายสำคัญเพื่อใช้เป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงเส้นทางรถไฟ และรถไฟฟ้า ซึ่งมีการริเริ่มโครงการมาตั้งแต่ปี 2553 โดยขณะนั้นสถานีกลางบางซื่อ ถือเป็นส่วนหนึ่งของโครงการถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง ซึ่งเดิมกำหนดให้มีโครงสร้างสถานีจำนวน 2 ชั้น ได้แก่ ชั้นรถไฟทางไกล และชั้นสำหรับรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง และรถไฟฟ้าเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิส่วนต่อขยาย   ต่อมาในปี  2557 รัฐบาล คสช. และกระทรวงคมนาคมได้ดำเนินโครงการต่อมา จากก่อนหน้าโครงการล่าช้าเพราะมีการปรับแบบก่อสร้างมาโดยตลอดเวลา  ซึ่งแบบสถานีกลางบางซื่อใหม่ที่ถูกปรับขึ้น ล่าสุด จะประกอบด้วย ชั้นที่ 1 เป็นพื้นที่สำหรับห้องจำหน่ายตั๋วโดยสาร ชั้นที่ 2 เป็นชั้นชานชาลาสำหรับรถไฟที่ใช้รางขนาด 1.000 เมตร ประกอบด้วยรถไฟทางไกล 8 ชานชาลา และรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง 4 ชานชาลา และชั้นที่ 3 เป็นชั้นชานชาลาสำหรับรถไฟที่ใช้รางขนาด 1.435 เมตร ประกอบด้วย รถไฟฟ้าเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ  (Airport Rail Link) และรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน 2 ชานชาลา รถไฟฟ้าความเร็วสูงสายตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 4 ชานชาลา รถไฟฟ้าความเร็วสูงสายเหนือ และรถไฟฟ้าความเร็วสูงสายใต้ จำนวนสายละ 2 ชานชาลา รวมทั้งสิ้น 10 ชานชาลา (ข้อมูลจาก วิกิพีเดีย)   ความสำคัญของสถานีกลางบางซื่อ คือ การเป็นศูนย์กลางด้านคมนาคมขนส่งระบบรางที่เชื่อมโยงการเดินทางด้วยรถไฟฟ้า รถไฟทางคู่ และรถไฟความเร็วสูง จากกรุงเทพฯ สู่ภูมิภาค และภายในเขตกรุงเทพฯ​ และปริมณฑลเอง  ซึ่งมีขนาดใหญ่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สถานีกลางบางซื่อจึงเป็นปัจจัยสำคัญในการผลักให้พื้นโดยรอบกลายเป็นศูนย์กลางธุรกิจแห่งใหม่ ที่สร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจและการอยู่อาศัย เพราะคาดว่าสถานีกลางบางซื่อจะมีผู้ใช้บริการ หมุนเวียนต่อวันมากถึง 200,000 คนเลยทีเดียว 2.จุดเชื่อมต่อรถไฟฟ้าสี “น้ำเงิน-ม่วง” นับตั้งแต่รถไฟฟ้าสายสีม่วง เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ ในช่วงปี 2560 ทำเลเตาปูน ก็ได้รับความสนใจจากบรรดาดีเวลลอปเปอร์อย่างต่อเนื่อง หลายรายเข้ามาปักหมุดขึ้นโครงการ  นับตั้งแต่รู้ข่าวว่าจะมีเส้นทางรถไฟฟ้าด้วยซ้ำ และเมื่อมีการพัฒนาเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีม่วง มาเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน บริเวณสถานีเตาปูน อินเตอร์เชนจ์ ทำเลเตาปูน จึงกลายเป็นจุดเชื่อมต่อของเส้นทางรถไฟฟ้า ทั้งสองสีอย่างมีนัยสำคัญต่อการเดินทางของคนในกรุงเทพฯ และจังหวัดนนทบุรี   ที่สำคัญ การเริ่มเปิดให้บริการเดินรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงเตาปูน-ท่าพระ ตั้งแต่ปลายปี 2562 แม้จะเป็นช่วงเวลา 10.00-16.00 น. ก่อนจะขยายระยะเวลาให้บริการเป็น 06.00-24.00 น. ตั้งแต่วันที่ 15 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งแม้จะยังไม่ได้จัดเก็บค่าโดยสาร และจะเริ่มจัดเก็บค่าโดยสารและเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการวันที่ 30 มีนาคม 2563 นี้  ทำเลเตาปูนจึงถือเป็นจุดเชื่อมต่อของการเดินทาง  ซึ่งทำให้คนมีความสะดวก ไม่ว่าจะไปทางทิศตะวันออก หรือไปทางทิศตะวันตกของกรุงเทพฯ 3.การเดินทางครบเชื่อมโยงทั้งระบบ “ราง-รถ-เรือ” นอกจากย่านเตาปูน จะเป็นจุดเชื่อมต่อของเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน และสายสีม่วงแล้ว ในอนาคต ยังมีการพัฒนาระบบคมนาคม เชื่อมโยงระหว่างกันทั้งระบบราง รถ และเรือ  ซึ่งเป็นปัจจัยทำให้ทำเลเตาปูน  จะกลายเป็นทำเลย่านใจกลางธุรกิจแห่งใหม่ในอนาคตได้ไม่ยาก ซึ่งแผนการพัฒนาระบบคมนาคม ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต ได้แก่ -การพัฒนาเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ เส้นทาง เตาปูน-ราษฎร์บูรณะ นอกจากเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-บางใหญ่ (สถานีคลองบางไผ่) ซึ่งเชื่อมโยงคนจากจังหวัดนนทบุรีเข้าสู่ใจกลางเมืองกรุงเทพฯ ได้สะดวกสบายแล้วรถไฟฟ้าสายสีม่วง ยังมีแผนพัฒนาเส้นทางต่อเนื่องจากสถานีเตาปูน อินเตอร์เชนจ์ คือ เส้นทางรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก) ระยะทาง 23.6 กิโลเมตร เงินลงทุน 101,112 ล้านบาท   แนวเส้นทางโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน–ราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก) เริ่มต้นจากจุดเชื่อมต่อรถไฟฟ้า สถานีเตาปูน อินเตอร์เชนจ์ เลี้ยวขวาเข้าสู่ถนนทหารผ่านแยกเกียกกาย ผ่านแยกบางกระบือ, แยกศรีย่าน เชื่อมต่อกับโครงการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงอ่อน โครงข่ายในเมือง ช่วงบางบำหรุ–มักกะสันเข้าสู่ถนนสามเสนผ่านอาคารรัฐสภาใหม่ โรงเรียนราชินีบน กรมชลประทาน โรงพยาบาลวชิรพยาบาล หอสมุดแห่งชาติ คลองบางลำพู เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนพระสุเมรุ ถนนราชดำเนินกลาง เลียบคลองรอบกรุงไปเชื่อมต่อกับโครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายสีส้มที่สถานีผ่านฟ้าลีลาศ เชิงสะพานผ่านฟ้าลีลาศ ลอดใต้แม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณสะพานพระปกเกล้า เข้าสู่ถนนประชาธิปก ผ่านสี่แยกบ้านแขก เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงเข้มช่วงหัวลำโพง–มหาชัยที่สถานีรถไฟวงเวียนใหญ่ และรถไฟฟ้าบีทีเอส สายสีลม ที่สถานีวงเวียนใหญ่ ลอดใต้วงเวียนใหญ่ เข้าสู่ถนนสมเด็จพระเจ้าตากสิน ลอดใต้แยกมไหสวรรย์ จากนั้นแนวเส้นทางจะเปลี่ยนยกระดับวิ่งไปตามกลางถนนสุขสวัสดิ์ ข้ามสะพานข้ามแยกพระราม 2 ผ่านสามแยกพระประแดงและสิ้นสุดที่ครุใน   -การพัฒนาท่าเรือบางโพ โฉมใหม่ เดิมบริเวณบางโพ มีท่าเรือบางโพคอยให้บริการอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว แต่ได้หยุดการใช้งานไป เพราะมีการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน  หลังจากเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ได้ก่อสร้างแล้วเสร็จ ทางกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม ผู้ดูแลและรับผิดชอบโดยตรง จึงวางแผนปรับปรุงท่าเรือให้สอดรับกับระบบรถไฟฟ้า  และบริการประชาชนให้สามารถเดินทางเชื่อมต่อได้แบบครบวงจร  ทั้งทางถนน ระบบราง และทางเรือ   โดยกรมเจ้าท่าได้เตรียมขอจัดสรรงบประมาณปี 2564- 2565 ปรับปรุงท่าเรือบางโพ  ประกอบด้วยงาน 3 ส่วน คือการปรับปรุงและก่อสร้างท่าเทียบเรือ พร้อมโป๊ะเทียบเรือ ขนาด 6x12 เมตร จำนวน 2 ตัว การก่อสร้างอาคารพักผู้โดยสารรูปแบบไทยประยุกต์ 1 หลัง และลานหลังท่าเรือขนาด 200 ตารางเมตร  ซึ่งคาดว่าน่าจะดำเนินการก่อสร้างและแล้วเสร็จ พร้อมเปิดให้บริการได้ในเดือนมิถุนายนปี 2565  ท่าเรือบางโพจึงถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ ผลักดันให้ทำเลเตาปูนได้รับความสนใจมากขึ้น -การพัฒนาถนน เพิ่มช่องทางการเดินรถ ในช่วงปี 2565 บริเวณใกล้เคียงกับทำเลเตาปูน ยังจะมีการขยายถนนช่วงสามเสน-ประชาราษฎร์สาย 1 ขยายถนนทหาร เป็น 8  ช่องจารจร การสร้างถนนใหม่ ขนานกับถนนสามเสนเดิม ต่อเนื่องจากถนนกรุงเทพ-นนทบุรี บริเวณแยกเตาปูนไปบรรจบกับถนนพิชัย ซึ่งเป็นแนวเส้นทางเดียวกับเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ ซึ่งจะทำให้ในอนาคตทำเลเตาปูน มีโครงข่ายของถนนเชื่อมโยงไปยังทำเลหรือพื้นที่อื่นๆ ได้มากมาย เป็นการเพิ่มทางเลือกในการเดินทางให้กับคนในพื้นที่ หรือผู้ที่ต้องเดินทางเข้ามาในทำเลเตาปูน 4.แหล่งงาน สำคัญทั้งรัฐและเอกชน ทำเลเตาปูน ที่ผ่านมา อาจจะไม่ใช่ย่านใจกลางธุรกิจหนาแน่น เมื่อเปรียบเทียบกับย่านธุรกิจในทำเลอื่นๆ เพราะทำเลนี้ เป็นทำเลของการพักอาศัย ที่มีบ้านเรือนของคนกระจายอยู่ทั่วไป และเป็นแหล่งการค้าเก่าแก่ อย่างตลาดไม้บางโพ แหล่งค้าไม้และอุปกรณ์ ซึ่งอยู่มาอย่างยาวนาน  แต่ขณะเดียวกันย่านเตาปูน ก็มีสำนักงานเก่าแก่ ซึ่งก่อตั้งบริษัทมานานนับ 100 ปี อย่างเครือซีเมนต์ไทย  สำนักงานใหญ่ ซึ่งมีพนักงานจำนวนมาก ถือได้ว่าเป็นแหล่งงานสำคัญ ใกล้กับย่านเตาปูนเลยก็ว่าได้   ในอนาคตย่านเตาปูน จะกลายเป็นทำเลใกล้กับแหล่งงานขนาดใหญ่ ทั้งภาครัฐและเอกชน  เพราะปัจจุบันมีโครงการและหน่วยงาน ที่เปิดให้บริการและกำลังจะเปิดบริการในอนาคต  ไม่ว่าจะเป็นรัฐสภาแห่งใหม่  สถานีกลางบางซื่อ  ศูนย์การค้าเกตเวย์ แอท บางซื่อ และสำนักงานเขตบางซื่อ นี่ยังไม่นับรวมกับหน่วยงานภาครัฐอื่นๆ โรงเรียน มหาวิทยาลัย โรงพยาบาลต่างๆ ที่ตั้งอยู่โดยรอบของทำเลเตาปูนอีกมากมายด้วย 5.ชุมชนเก่าสู่โลกการค้ายุคใหม่ ย่านเตาปูน มีตลาดเก่าแก่ที่อยู่ในพื้นที่ คือ ถนนสายไม้ ซึ่งอยู่ในซอยประชานฤมิตร  แหล่งรวมของสินค้าประเภทไม้ เฟอร์นิเจอร์ และอุปกรณ์  ซึ่งเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป หากนึกถึงหรือต้องการจะซื้อสินค้าประเภทไม้  มักจะต้องเดินทางมาที่ซอยประชานฤมิตร  บรรดาร้านค้าไม้และสินค้าประเภทไม้ ในซอยประชานฤมิตร คาดว่าจะอยู่คู่กับทำเลเตาปูนมายาวนานมากว่า 50 ปี   แต่จากการพัฒนาของระบบคมนาคม โดยเฉพาะเส้นทางรถไฟฟ้า ซึ่งทำให้การเดินทางสะดวกสบาย เกิดแหล่งชุมชนที่พักอาศัยใหม่เพิ่มขึ้น  ซึ่งเป็นปัจจัยผลักดันให้เกิดการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกออกมารองรับ  อย่างที่เห็นได้ชัดเจน คือ ศูนย์การค้า หรือช้อปปิ้งมอลล์ เพราะเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ ของคนอยู่ในทำเลนั้น ต้องใช้บริการเพื่อซื้อสินค้าใช้หรือบริโภค   ตอนนี้ทำเลเตาปูนมีศูนย์การค้าขนาดใหญ่เกิดขึ้นแล้ว คือ ศูนย์การค้าเกตเวย์ แอท บางซื่อ (Gateway at Bangsue) ที่บริษัท แอสเสท เวิรด์ รีเทล จำกัด ในเครือของ แอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น ได้ลงทุน 4,000 ล้านบาท พัฒนาโครการขึ้นมาบนเนื้อที่กว่า 10 ไร่ รองรับการมาของเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินและสายสีม่วง จุดเชื่อมต่อสำคัญของทำเลเตาปูน ซึ่งศูนย์การค้าเกตเวย์ แอท บางซื่อเปิดให้บริการมาตั้งแต่ช่วงปลายปี 2561   อนาคตไม่นานจากนี้ คนที่อยู่ในทำเลเตาปูน ยังจะมีแหล่งช้อปปิ้งใหม่ ซึ่งอยู่ในบริเวณสถานีกลางบางซื่อ เพราะภายในโครงการนอกจากจะเป็นจุดเชื่อมต่อของเส้นทางคมนาคมต่างๆ แล้ว ยังมีพื้นที่เชิงพาณิชย์ ซึ่งจะมีร้านค้าต่างๆ เปิดให้บริการด้วย ส่วนจะมีร้านค้าอะไรบ้างนั้น อดใจรออีกไม่นานคงได้เห็นกัน   และนี่คงเป็น 5 ปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้ทำเลเตาปูน มีศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางธุรกิจแห่งใหม่ในอนาคต หากโครงการต่างๆ ทั้งของรัฐและเอกชนพัฒนาออกมาแล้วเสร็จ  โฉมหน้าของย่านเตาปูน รวมถึงทำเลใกล้เคียงคงเปลี่ยนแปลงไปจากปัจจุบันอย่างมาก
สิงห์ เอสเตท ได้ยอดขายบ้านและคอนโดฯ ดันรายได้รวมปี 62 พุ่งกว่า 1.2 หมื่นล้าน

สิงห์ เอสเตท ได้ยอดขายบ้านและคอนโดฯ ดันรายได้รวมปี 62 พุ่งกว่า 1.2 หมื่นล้าน

สิงห์ เอสเตท เผยผลประกอบการปี 62 เติบโตสูงต่อเนื่อง ทำรายได้รวมโต 63% จำนวนกว่า12,275 ล้าน หลังจากยอดขายบ้านและคอนโดฯ สูงขึ้น 104% ขณะที่สร้างกำไรสุทธิราว 1,200 ล้าน   นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ “S” เปิดเผย ถึงผลการดำเนินงานประจำปี 2562 ว่า สิงห์ เอสเตท มีรายได้รวมทั้งสิ้น 12,275 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ประกอบด้วยบ้าน ทาวน์เฮ้าส์ และคอนโดมิเนียมรวม 7,385 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 104% รายได้จากการให้เช่าและบริการ 4,805 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% และรายได้จากการขายสินค้า 85 ล้านบาท ลดลง 32%   โดยรายได้จากการให้เช่าและบริการ ส่วนใหญ่มาจากธุรกิจโรงแรม 3,818 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 48%จากปีก่อน เนื่องจากการรับรู้รายได้เต็มปีของโรงแรมภายใต้แบรนด์ Outrigger จำนวน 6 แห่ง ที่บริษัทฯ ซื้อกิจการเข้ามาเมื่อเดือนมิถุนายน 2561 และการเปิดโรงแรมใหม่ 2 แห่งในโครงการ CROSSROADS (ครอสโร้ดส์) ที่มัลดีฟส์  ขณะเดียวกัน รายได้จากการเช่าพื้นที่สำนักงานและพื้นที่ค้าปลีกเพิ่มขึ้น 13% เป็น 759 ล้านบาท จากการเปิดอาคารสิงห์ คอมเพล็กซ์ ช่วงปลายปี 2561 สิงห์ เอสเตท มีกำไรขั้นต้นจากการดำเนินงาน 5,033 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 55% จากปี 2561 และอัตรากำไรขั้นต้นสำหรับปี 2562 เท่ากับ 41% ลดลงจาก 43% ในปี 2561 เป็นผลจากธุรกิจโรงแรมที่อัตรากำไรในช่วงแรกของโรงแรมในโครงการ CROSSROADS ที่มัลดีฟส์ ยังไม่สูงนัก เนื่องจากการเปิดธุรกิจโรงแรมใหม่ซึ่งปกติอัตรากำไรขั้นต้นจะค่อยๆ สูงขึ้นตามลำดับ และใช้เวลาในการดำเนินธุรกิจประมาณ 2-3 ปี จึงจะเห็นอัตรากำไรสำหรับการดำเนินกิจการในระยะยาว   ในขณะที่สิงห์ เอสเตท มีกำไรสุทธิในปี 2562 เท่ากับ 1,209 ล้านบาท ลดลง 16% เนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้นที่ลดลง ดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มสูงขึ้นจากการขยายกิจการและภาษีสูงขึ้นจากการโอนโครงการที่อยู่อาศัยมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ SHR ได้คืนเงินกู้เพื่อซื้อกิจการโรงแรม Outrigger จำนวน 5,357.8 ล้านบาท จากการเพิ่มทุนได้สำเร็จเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2562 ส่งผลให้หนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยของบริษัทฯ ลดลง   “ปี 2562 เป็นปีที่ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยของสิงห์ เอสเตท เติบโตมากกว่าเท่าตัว ถึงแม้ว่าสภาวะตลาดอสังหาฯ โดยรวมยังคงเผชิญความท้าทายในหลายๆ ด้าน บริษัทเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดในโครงการ ดิ เอส แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์ เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา และโอนโครงการ ดิ เอส อโศก และบันยันทรี เรสซิเดนซ์ ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ ที่พัฒนาโดยบริษัทในเครืออย่าง เนอวานา ไดอิ ได้อย่างต่อเนื่องอีกด้วย นอกจากนี้เรายังมี Backlog ที่จะโอนในปี 2563 มากกว่า 6,000 ล้านบาท” ส่วนธุรกิจโรงแรมทั้งหมดของบริษัทอยู่ภายใต้การบริหารงานของ SHR ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของสิงห์ เอสเตท สามารถระดมทุนจากการขายหุ้นเพิ่มทุนให้ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (Initial public offering) และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อ 12 พฤศจิกายน 2562   SHR ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 มีการลงทุนในโรงแรม 39 แห่ง มีจำนวนห้องพัก 4,647 ห้อง ครอบคลุม 5 ประเทศ ได้แก่ ไทย มัลดีฟส์ ฟิจิ มอริเชียส และสหราชอาณาจักร โดยอัตราการเข้าพักเฉลี่ยของโรงแรมที่บริหารเองในปี 2562 เท่ากับ 72% กลุ่มโรงแรม Outrigger 78% โรงแรมในสหราชอาณาจักร 70% และโรงแรมในโครงการ CROSSROADS 34% และรายได้ต่อห้องพักต่อคืน (Revenue per available rooms) ของโรงแรมที่บริหารเองในปี 2562 เท่ากับ 5,591 บาท กลุ่มโรงแรม Outrigger 4,691 บาท โรงแรมในสหราชอาณาจักร 1,851 บาท และโรงแรมในโครงการ CROSSROADS 4,262 บาท   เมื่อปลายปี 2562 SHR ได้ลงนามในสัญญาร่วมทุนกับบริษัท Wai Eco World Developer Pte Ltd (WEWD)  กลุ่มธุรกิจใหญ่จากประเทศเมียนมาร์ที่ดำเนินธุรกิจหลากหลาย อาทิ อสังหาริมทรัพย์ โรงแรม อาหารและเครื่องดื่ม และเหมืองแร่ เพื่อพัฒนาไลฟสไตล์รีสอร์ทระดับไฮเอนด์ (High-end Lifestyle Resort) บนเกาะ 3 ในโครงการ CROSSROADS ประเทศมัลดีฟส์ โดยรีสอร์ทแห่งใหม่นี้จะมีห้องพักในรูปแบบวิลล่า 80 ห้อง ระดับราคา 900-1,000 เหรียญสหรัฐต่อคืน คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในปี 2563 และเปิดดำเนินการในปี 2565 ทั้งนี้การจำหน่ายหุ้น 50% ของบริษัท Prime Location Management 3 Limited ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนได้แล้วเสร็จไปเมื่อ 19 กุมภาพันธ์ 2563 การได้พันธมิตรที่ดีอย่าง WEWD มาเสริมความแข็งแกร่งทั้งในด้านธุรกิจและด้านการเงินในครั้งนี้ ทำให้เรามั่นใจว่าโครงการ CROSSROADS  ประเทศมัลดีฟส์ เกาะ 3 จะประสบความสำเร็จและเปิดดำเนินการตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้อย่างแน่นอน   นอกจากนี้ บริษัท ได้รับโอนสิทธิการเช่าที่ดินและเข้าซื้ออาคารสำนักงานเมโทรโพลิส บริเวณใกล้กับสถานี BTS พร้อมพงษ์ ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 26,157 ตารางเมตร มูลค่า 1,725 ล้านบาท เมื่อต้นเดือนมกราคม ที่ผ่านมา และมีความประสงค์จะขายสิทธิการเช่าที่ดินและอาคารดังกล่าวให้กองทรัสต์ S Prime Growth Leasehold Real Estate Trust (SPRIME) ในลำดับถัดไป   “ปี 2563 ถือเป็นก้าวสำคัญของสิงห์ เอสเตท ที่จะต่อยอดการเติบโตจากฐานธุรกิจในรูปแบบ Global Holding Company อย่างสมบรูณ์แบบ นอกเหนือจากการลงทุนขยายธุรกิจในทุกมิติอย่างยั่งยืนแล้ว (Sustainable Growth)สิงห์ เอสเตท จะเริ่มพัฒนาธุรกิจใหม่อย่างพลังงานทดแทน (Renewable Energy) ที่จะเริ่มดำเนินการในปีนี้ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการในตลาดโลกและสร้างความยั่งยืนให้กับสิ่งแวดล้อม”     ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 สิงห์ เอสเตท มีสินทรัพย์รวม 67,681 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8,751 ล้านบาท จากสิ้นปี 2561 แบ่งเป็น สินทรัพย์หมุนเวียน 24,087 ล้านบาท และสินทรัพย์ไม่หมุนเวียน 43,594 ล้านบาท ในส่วนของหนี้สินรวม มีมูลค่า 40,085 ล้านบาท โดยมีอัตราหนี้สินทีมีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่เพียง 0.77 เท่า ด้วยอัตราหนี้สินที่ต่ำเช่นนี้ ถือได้ว่าบริษัทมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งและพร้อมสำหรับการเติบโตอย่างต่อเนื่อง   ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 2/2562 วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2563 อนุมัติการนำเสนอการจ่ายเงินปันผลในอัตรา 0.045 บาทต่อหุ้น จากกำไรสุทธิของผลประกอบการระหว่างวันที่ 1 มกราคม - 31 ธันวาคม 2562 โดยมีกำหนด Record Date วันที่ 7 พฤษภาคม 2563 และจ่ายเงินปันผลในวันที่ 21 พฤษภาคม 2563 ซึ่งมติการจ่ายเงินปันผลนี้ จะต้องได้รับการพิจารณาและอนุมัติจากที่ประชุมใหญ่สามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2563 ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 27 เมษายน 2563  
ริสแลนด์ ลุยเปิด 4 โปรเจ็กต์กว่า 3 หมื่นล้าน ไม่หวั่นไวรัสโควิด 

ริสแลนด์ ลุยเปิด 4 โปรเจ็กต์กว่า 3 หมื่นล้าน ไม่หวั่นไวรัสโควิด 

ริสแลนด์ ประเทศไทย เดินหน้าปั้น 4 โปรเจ็กต์ใหม่กว่า 30,000 ล้าน ไม่หวั่นปัจจัยลบรอบด้าน มั่นใจเงินทุนหนา สามารถทำตลาดได้ต่อเนื่องจนกว่าไวรัสโควิด-19 จะแก้ไขได้ วางเป้าลุยตลาดไทยสร้างการเติบโตปีละ 50%   นายเนี่ย ซงเชียน  ผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายการขายและการตลาด ประจำภูมิภาคไทย บริษัท ริสแลนด์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ได้เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ 4 โครงการมูลค่ารวมกว่า 30,400 ล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดเนียม 2 โครงการ และโครงการ Mixed use 2 โครงการ โดยมุ่งเน้นเปิดโครงการในทำเลที่มีศักยภาพ การคมนาคมสะดวกสบาย ในระดับราคาที่เอื้อมถึง ตอบสนองกลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการอย่างแท้จริง   สำหรับโครงการคอนโดฯ ที่เปิดตัวในปีนี้ ได้แก่ 1. โครงการ คลาวด์ เรสซิเดนซ์ สุขุมวิท 23 มูลค่ากว่า 3,600 ล้านบาท เป็นคอนโดฯ  High Rise ตกแต่งพร้อมอยู่ 1 อาคาร สูง 43 ชั้น มีห้องชุดรวม 372 ยูนิต มีห้องพัก 5 รูปแบบ  ได้แก่  ขนาด 1 ห้องนอนขนาด 29 - 30 ตารางเมตร ขนาด 1 ห้องนอน เอ๊กซ์ตร้าขนาด 41 - 43 ตารางเมตร ขนาด 2 ห้องนอนขนาด 57 - 60 ตารางเมตร ขนาดดับเบิ้ลสเปซขนาด 47 - 95 ตารางเมตร และเพนท์เฮ้าส์ ขนาด 79 - 99 ตารางเมตร โครงการตั้งอยู่ใจในซอยสุขุมวิท 23  ซึ่งจะเปิดขายอย่างเป็นทางการ (FIRST CALL) ในวันที่ 20 – 21 มีนาคม 2563 นี้ นอกจานี้ ยังเตรียมเปิดตัวโครงการคอนโดฯ อีก 1 โครงการในช่วงไตรมาส 3 คือ โครงการ เดอะ ลิฟวิน รามคำแหง (The Livin Ramkhamhaeng) มูลค่า 5,000 ล้านบาท จำนวน 1,938 ยูนิต ส่วนโครงการมิกซ์ยูสที่เตรียมเปิดในปีนี้ ได้แก่ 1.สกาย ไรส์ อเวนิว (Sky Rise Avenue) โครงการคอนโดฯ 7 อาคาร รวม 3,000 ยูนิต และพื้นที่ออฟฟิศให้เช่า 4 ชั้นขนาด 2,000 ตารางเมตร โดยจะแบ่งการพัฒนาออกเป็น 3 เฟส ซึ่งเฟสแรกจะเปิดตัวก่อน 1,000 ยูนิต  ในช่วงไตรมาส 2   ขณะที่ในไตรมาสที่ 4 บริษัทเตรียมเปิดตัวโครงารมิกซ์ยูสอีก 1 โครงการ มูลค่ามากกว่า 10,000 ล้านบาท  ในจังหวัดภูเก็ต ประกอบด้วยที่พักอาศัยประเภทคอนโดฯ และวิลล่า ซึ่งจะใช้เชนโรงแรมมาบริหาร หรือแบรนด์เด็ดเรสซิเดนซ์ ซึ่งเฟสแรกจะเปิดตัวที่อยู่อาศัยจำนวน 650 ยูนิต  มูลค่า 5,800 ล้านบาท   นายเนี่ย กล่าวอีกว่า สถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ ในปี 2563 นี้ ต้องเผชิญกับความท้าทายในหลายๆด้าน ทั้งการชะลอตัวของเศรษฐกิจในระดับโลก จากสงครามการค้าที่ส่งผลไปยังหลายประเทศรวมถึงประเทศไทยค่าเงินบาทที่แข็งตัวอย่างต่อเนื่อง และการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ยังซ้ำเติมให้เศรฐกิจยิ่งซบเซา แต่แผนการดำเนินธุรกิจของบริษัทยังดำเนินอย่างต่อเนื่อง  เพราะมีความมั่นใจในสถานะการเงินของบริษัท  ที่สามารถรองรับสภาวะตลาดที่ไม่เอื้ออำนวยได้นาน  จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย   สำหรับปีผ่านมา ริสแลนด์ ประเทศไทย เปิดตัวโครงการไป 2 โครงการ ได้แก่ คลาวด์ ทองหล่อ-เพชรบุรี ปัจจุบันปิดการขายไปได้แล้วกว่า 50% และโครงการ The LIVIN เพรชเกษม ซึ่งมียอดจองจากการเปิดขาย เฟสแรกมูลค่ารวม 750 ล้านบาท และสามารถขายไปได้มากถึง 700 ล้านบาท ทำให้ปีที่ผ่านมา บริษัทฯ มียอดขายเพิ่มขึ้นจาก 2 โครงการรวมกว่า 2,400 ล้านบาท   ปัจจุบัน ริสแลนด์ มีโครงการอสังหาฯ อยู่ใน 7 ประเทศ รวม 15 โครงการ อาทิ ประเทศสหรัฐอเมริกา นิวซีแลนด์ อินเดีย อังกฤษ เวียดนาม และประเทศไทย รวมมูลค่าโครงการทั่วโลกประมาณ 100,000 ล้านบาท โดยในปี 2563 นี้ ริสแลนด์ตั้งเป้ารายได้จากทั่วโลก เพิ่มขึ้น 50%  โดยใช้กลยุทธ์ "Think Global, Act Local” ดำเนินงานภายใต้แนวคิด “Be the Change, Create the Future” กล้าที่จะเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลง กล้าที่จะสร้างอนาคตด้วยการลองผิดลองถูก ล้มเร็วลุกเร็ว เรียนรู้จากอดีต และนำมาแก้ไข เพื่อพัฒนาอนาคต   ด้านนางสาวมณีกานต์ อิสรีย์โกศล ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การตลาดและสื่อสารภาพลักษณ์องค์กร ประจำภูมิภาคไทย บริษัท ริสแลนด์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมตลาดคอนโดฯ ในโซนสุขุมวิท  ที่มีราคามากกว่ายูนิตละ 5 ล้านบาท มีการเปิดขายใหม่จำนวน 8,795 ยูนิต ปรับตัวลดลงจากปี 2561 ที่มีการเปิดขายอยู่ที่ 19,691 ยูนิต มียูนิตคงค้างลดลงจากปี 2561 ในอัตรา 3% ในปี 2563 นี้คาดการณ์ว่า ตลาดคอนโดมิฯ ระดับราคายูนิตละ 5 ล้านบาทขึ้นไป จะมีสัดส่วนในตลาดอยู่ที่ 17% เท่ากับปี 2561  แสดงให้เห็นว่าภาพรวมตลาดคอนโดฯ ลักซ์ชัวรี ยังคงไปได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทำเลอโศก ที่ยังมีอัตราการดูดซับของตลาดกว่า 82% และมีโครงการใหม่ที่เข้ามาในตลาดน้อยลง ทำให้คอนโดฯ ในกลุ่มนี้มีการตอบรับที่ค่อนข้างดี   ส่วนพฤติกรรมผู้บริโภคในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่จะเป็นการซื้อเพื่อการอยู่อาศัยอย่างแท้จริง แต่การซื้อเพื่อการลงทุนลดลงพอสมควร และในช่วง 1-2 ปีนี้ กลุ่มนักลงทุนนักเก็งกำไรได้หายไปจากตลาดบางส่วน จากปัจจัยภาวะเศรษฐกิจโลก และนโยบายของภาครัฐที่ส่งผลกระทบทางตรงกับลูกค้ากลุ่มนี้   ขณะที่กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีอายุในช่วง 25-35 ปี จะมีพฤติกรรมชอบและเลือกซื้อคอนโดฯ ใจกลางเมือง ที่มีการออกแบบที่มีอัตลักษณ์เฉพาะตัว สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์การทำงานและการใช้ชีวิต ซึ่งนิยมพักอาศัยอยู่ใจกลางเมือง ส่งผลให้คอนโดฯ ลักซ์ชัวรี ในเขตกลางเมือง กลายเป็นตัวเลือกแรกๆ ในการเลือกซื้อที่อยู่อาศัย   นอกจากนี้ จากการท่องเที่ยวไทยที่มีการขยายตัวสูง ได้รับความนิยมจากกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศจีน ที่หลั่งไหลเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศอย่างต่อเนื่อง จนส่งผลให้ในช่วง 3 ถึง 5 ปีที่ผ่านมา มียอดนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยมากกว่า 30 ล้านคนต่อปี ทำให้ชาวต่างชาติเข้ามาทำธุรกิจและซื้อที่อยู่อาศัยในบ้านเราจำนวนไม่น้อย โดยมีเม็ดเงินต่อปีประมาณ 37,561 ล้านบาทในกรุงเทพฯ ซึ่งไม่นับการซื้อเพื่อการลงทุน เก็งกำไร รวมถึงการซื้อเพื่อลงทุนปล่อยเช่าในรูปแบบอื่นๆ