Tag : Innovation

72 ผลลัพธ์
3 Mega Trends การอยู่อาศัยหลังผ่านวิกฤตโควิด-19

3 Mega Trends การอยู่อาศัยหลังผ่านวิกฤตโควิด-19

LPN Wisdom เผย  3 Mega Trends พลิกโฉมการออกแบบและพัฒนา โครงการอสังหาริมทรัพย์ไทย หลังการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ต้องมุ่งเน้นใน 3 ประเด็นหลัก  Wellness, Work-Life Balance และ  Virtual Livable Connect แต่มากกว่านั้น ต้องสร้างความยั่งยืนให้กับสังคม   การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิตคนในยุคปัจจุบัน ให้มุ่งเน้นในการคำนึงถึงสุขภาพและความปลอดภัยของการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เพิ่มมากขึ้น ทุก ๆ ส่วนของสังคม ต้องมุ่งเน้นความปลอดภัย และการอยู่ภายใต้มาตรฐานด้านการสาธารณสุข ทำให้ไม่ว่าชีวิตส่วนตัวหรือชีวิตการทำงาน ต้องปรับเปลี่ยนกันใหม่  ไปสู่วิถีชีวิตแบบ New Normal หรือ วิถีชีวิตปกติใหม่   สำหรับธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการอยู่อาศัยของคน อย่างธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ นับว่าเป็นธุรกิจที่ต้องปรับตัวอย่างมาก ไม่เพียงแค่ผลกระทบโดยตรงจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ทำให้การดำเนินธุรกิจต้องปรับเปลี่ยนเท่านั้น แต่กลุ่มลูกค้าหลัก คือ ประชาชนทั่วไป ได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบวิถีชีวิต หรือไลฟ์สไตล์ของการอยู่อาศัยไปด้วย เช่น การทำงานจากที่บ้าน หรือ Work From Home เพราะต้องเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) หรือ การหันมาซื้อสินค้าทางออนไลน์มากขึ้น เพราะลดความเสี่ยงจากการได้รับเชื้อไวรัสโควิด-19 เป็นต้น   การเปลี่ยนแปลงรูปแบบวิชีวิต หรือไลฟ์สไตล์ของคนยุคปัจจุบัน จึงส่งผลให้นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์  ต้องกลับมาตีโจทย์ธุรกิจใหม่ กับการออกแบบและพัฒนาโครงการ เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ซึ่ง LPN Wisdom หรือ บริษัท ลุมพีนี วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด ได้มองว่า การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หลังการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะถูกให้ความสำคัญใน 3 ประเด็นหลัก หรือ 3 Mega Trends ดังนี้ คือ 1.เรื่องสุขภาพ (Wellness) 2.การออกแบบที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตอย่างสมดุล (Work-Life Balance) และ 3.การใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมในการใช้ชีวิต (Virtual Livable Connect) นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ LPN Wisdom  บริษัทด้านการวิจัยและที่ปรึกษาในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ระบุว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา ทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะการอยู่อาศัยที่ให้ความสำคัญในเรื่องของสุขอนามัย (Wellness) และรูปแบบการทำงาน ที่ต้องการความสมดุลในการใช้ชีวิต (Work-Life Balance) ปรับเปลี่ยนจากการทำงานที่สำนักงาน ไปสู่การทำงานที่บ้าน (Work From Home)  หรือการทำงานในที่อื่น ๆ ในแบบ Anytime Anywhere   ในขณะที่รูปแบบการทำงาน และการใช้ชีวิตในปัจจุบัน  ผู้บริโภคสามารถใช้เทคโนโลยีดิจิทัล (Virtual Livable Connect) มาตอบโจทย์การใช้ชีวิตได้มากขึ้นผ่านแอปพลิเคชั่นต่าง ๆ  ที่พัฒนาขึ้นมาเพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิตให้กับผู้บริโภค จนกลายเป็นวิถีปกติใหม่ (New Normal) ในการใช้ชีวิตของผู้คนในปัจจุบัน 3 Mega Trends ในการพัฒนาที่อยู่อาศัย สำหรับรูปแบบการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป ทำให้ความต้องการที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปด้วย  โดยคำนึงถึง 3 ปัจจัยสำคัญที่เราเรียกว่า 3 Mega Trends ในการพัฒนาที่อยู่อาศัย  ซึ่งประกอบด้วย 1.Wellness หรือ การให้ความสำคัญในเรื่องสุขอนามัย การให้ความสำคัญในเรื่องของสุขอนามัย  ซึ่งเป็นเรื่องที่มาพร้อม ๆ กับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 การออกแบบที่อยู่อาศัยและการเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์ ต้องคำนึงถึงเรื่องของสภาพแวดล้อมและสุขอนามัยที่ดีต่อผู้อยู่อาศัย ลดการสัมผัส (Touchless) ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ทั้งในพื้นที่โครงการที่พักอาศัยและเชิงพาณิชย์ เป็นโจทย์ใหม่ในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันและในอนาคต 2.Work-Life Balance หรือ การสร้างสมดุลให้กับการใช้ชีวิต นอกจากเรื่องของสุขอนามัยที่เป็นโจทย์หลักของผู้บริโภคในปัจจุบันแล้ว การออกแบบที่คำนึงถึงประโยชน์ใช้สอยที่สร้างสมดุลให้กับการใช้ชีวิต ในรูปของการทำงานและการใช้ชีวิตที่ต้องดำเนินไปอย่างสมดุล ทำให้การออกแบบที่อยู่อาศัยต้องคำนึงถึงการจัดสรรพื้นที่ที่ลงตัว  ตอบทุกโจทย์ของการใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นที่อยู่อาศัยในแนวราบ หรืออาคารชุดที่มีขนาดเล็ก ต้องมีการจัดฟังก์ชั่นการใช้งานที่มีความหลากหลาย และสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้งาน (Multi-Function) เพื่อรองรับกับรูปแบบการใช้ชีวิตและการทำงานที่บ้านได้   การเว้นระยะห่างในพื้นที่ส่วนกลาง การปรับเปลี่ยนแนวคิดจากสังคมแบ่งปันในรูปแบบของ Co-Working Space มาสู่แนวคิดการใช้พื้นที่ส่วนกลางในรูปแบบของ Co-Separate Space เป็นการใช้พื้นที่ร่วมกันแบบมีระยะห่าง ทำให้การออกแบบการใช้พื้นที่ส่วนกลาง ในโครงการทั้งแนวราบและอาคารชุด ต้องเปลี่ยนแนวคิดในการออกแบบเช่นเดียวกัน 3.Virtual Livable Connect หรือ การนำเอาเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการออกแบบโครงการ การนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการออกแบบโครงการ มีเป้าหมายสำคัญเพื่ออำนวยความสะดวกสบายในการใช้ชีวิต ของผู้อยู่อาศัยในโครงการ  และตอบโจทย์กับแนวคิดการใช้ชีวิตวิถีปกติใหม่ ภายหลังการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เพราะเทคโนโลยีต่างๆ ที่ถูกนำมาใช้ไม่เพียงแต่อำนวยความสะดวกเท่านั้น แต่ยังมีความปลอดภัยจากการต้องติดต่อหรือสัมผัสกันระหว่างมนุษย์ด้วย มากกว่า Mega Trend ต้องสร้างความยั่งยืน นอกเหนือนจากการออกแบบภายใต้วิถีชีวิตปกติใหม่ ภายหลังไวรัสโควิด-19 ที่อาจจะหยุดการแพร่ระบาด หรือเราสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ แต่ไวรัสโควิด-19 ยังคงอยู่กับมนุษย์โดยไม่ได้หายไปไหน แนวทางการออกแบบและพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์  นอกจากจะมีแนวทางที่ต้องตอบโจทย์ Mega Trend ดังกล่าวแล้ว สิ่งสำคัญที่ต้องคิดถึงและจำเป็นต้องนำมาใช้ด้วย คือ แนวคิดในการออกแบบที่เรียกว่า การออกแบบเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Development  Design) แนวคิดดังกล่าว เป็นแนวคิดของการออกแบบ โดยคำนึงถึงการใช้งานอาคารอย่างยั่งยืน ด้วยการออกแบบโดยคำนึงถึงการเลือกใช้วัสดุ การใช้พลังงานและทรัพยากรของอาคารที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมทั้งสร้างสุขอนามัยที่ดีให้กับผู้อยู่อาศัย ลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก หรือ คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2)ในอากาศ   รวมถึงเรื่องของการประหยัดพลังงาน การใช้ทรัพยากรน้ำและทรัพยากรธรรมชาติอื่น ๆ อย่างประหยัด เพื่อตอบโจทย์กับการสร้างสุขอนามัยที่ดีในการอยู่อาศัยทั้งในรูปแบบของ LEED (Leadership in Energy and Environmental Design) เกณฑ์อาคารเขียวของ US Green Building Council และ TREES (Thai’s Rating of Energy and Environmental Sustainability ) ของสถาบันอาคารเขียวไทย   ข้อมูล ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2563 ประเทศไทยมีอาคารที่ได้รับ LEED Certification จาก US Green Building Council ทั้งสิ้น 171 อาคาร และอยู่ระหว่างการพิจารณาอีก 85 อาคาร ในขณะเดียวกันมีอาคารที่ได้รับ TREES Certification จาก สถาบันอาคารเขียวไทย ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2563 ทั้งสิ้น 63 อาคาร และอยู่ระหว่างการพิจารณาอีก 55 อาคาร
รีวิว Dyson V11 Absolute จากเรื่องจริงที่ใช้แล้วฟินเลยต้องบอกต่อ

รีวิว Dyson V11 Absolute จากเรื่องจริงที่ใช้แล้วฟินเลยต้องบอกต่อ

รีวิว Dyson V11 Absolute จากเรื่องจริงที่ใช้แล้วฟินเลยต้องบอกต่อ เอาล่ะ ถ้าคุณมีความคิดว่าการทำความสะอาดบ้านเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย ยุ่งยาก แล้วก็ไม่สนุกเลยซักนิด ที่ต้องกลายร่างมาเป็นนางแจ๋วหน้ามัน หัวกระเซิงเพื่อกำจัดฝุ่นภายในบ้านให้หมดเกลี้ยง.... เราขอให้คุณเปลี่ยนความคิดซะใหม่ แล้วตามเราไปดูกันว่า เราจะช่วยให้ “งานทำความสะอาดบ้าน” เป็นเรื่องสวยๆ ชวนพิสมัยได้อย่างไร   เกิดเป็นผู้หญิงในยุคนี้ งานนอกบ้านก็ต้องเริ่ด งานในบ้านก็ต้องให้เป๊ะ ดังนั้นการทำความสะอาดบ้านสำหรับแม่บ้านยุคใหม่แบบเราที่เวลาก็รีบเร่ง จะต้องบริหารเวลาสำหรับงานบ้านให้มีประสิทธิภาพมากที่สุดค่ะ เริ่มจากหาผู้ช่วยคนสำคัญ อย่าง “Dyson V11 Absolute” เพื่อให้งานทุกอย่างสะดวกรวดเร็ว ได้บ้านสะอาดเอี่ยมในพริบตา     ด้วยประสิทธิภาพพลังดูดของ Dyson V11 Absolute ตัวล่าสุดนี้ บวกกับขนาดของแบตเตอรี่ที่ทรงพลังที่สุดที่ Dyson เคยมีมา ทำให้ระยะเวลาในการทำงานสูงสุด 60 นาทีนี้ เป็น 60 นาทีที่คุ้มค่าที่สุดในการทำความสะอาดบ้านสำหรับเรา ยิ่งเป็นคอนโดมิเนียมขนาดไม่เกิน 300 ตร.ม. แบบที่เราอยู่ด้วยแล้ว รับรองว่าสบายหายห่วงได้เลย   เริ่มต้นการทำความสะอาดบ้านวันนี้ด้วย การจิบกาแฟนิดๆ เช็คเมลซักหน่อย พร้อมกับดูดฝุ่นไปด้วยก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร เพราะว่า Dyson V11 Absolute เป็นเครื่องดูดฝุ่นไร้สายที่มีน้ำหนักกำลังพอดี สามารถถือและทำงานสะดวกได้ด้วยมือเพียงข้างเดียว     เมื่อเป็นแม่บ้านในยุคดิจิตอลแล้ว ทุกอย่างก็ต้องดูทันสมัยจริงมั้ยคะ แน่นอนว่า Dyson V11 Absolute นี้ทำงานเต็มกำลังได้แรงสุดๆ แบบไม่เคยงอแง เพราะ Dyson ดิจิตอลมอเตอร์ V11 มีพลังดูดที่เพิ่มกว่ารุ่นก่อนๆ ถึง 20% แถมยังมีหน้าจอ LCD เพิ่มความไฮโซเข้าไปอีก ซึ่งหน้าจอ LCD นี้จะแสดงโหมดการทำความสะอาดให้เห็นอย่างชัดเจน แล้วก็ยังง่ายต่อการสลับโหมดด้วยนะ ไม่ว่าจะเป็นโหมด Eco แบบประหยัดพลังงาน, โหมด Auto แบบสวยๆ และ Boost ที่พลังดูดแรงสะใจ   เอาจริงๆ แล้วสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน แค่โหมด Eco หรือ Auto ก็ทำให้บ้านเราสะอาดเรียบร้อยได้แล้วค่ะ แต่บางพื้นผิว หรือพื้นที่ที่ต้องการแรงดูดอันทรงพลังมากๆ อย่างพื้นพรมหนาๆ หรือต้องการกำจัดไรฝุ่นบนที่นอนและโซฟา โหมด Boost ก็พร้อมจะเป็นผู้ช่วยมือหนึ่งได้อย่างไม่มีเกี่ยงงอนเลยทีเดียว     ความไฮเทค ไฮโซของการมีหน้าจอ LCD ไม่ได้มีดีแค่การบอกโหมดการใช้งานเท่านั้นนะจ๊ะ เพราะหน้าจอเล็กๆ นี้ยังสามารถแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพการทำงานปัจจุบัน พลังงาน และเวลาที่คงเหลือ เพื่อให้เราวางแผนการทำความสะอาดได้ง่ายขึ้น แถมยังช่วยแจ้งเตือนเมื่อถึงเวลาต้องทำความสะอาดตัวกรองให้อีกด้วย   คุยเรื่องสเปคต่างๆ ของตัวเครื่องอย่างเดียวเดี๋ยวจะหาว่าโม้ งานนี้บอกเลยว่า เราได้ทดลองใช้จริงไรจริงไม่พึ่งสแตนอินนะจ๊ะ เรียกว่าแกะกล่องแล้วก็เอามาดูดๆๆๆๆ กันให้ครบทุกซอกทุกมุมในบ้านให้รู้กันไปเลย ก็ Dyson เค้าเป็นตัวจริงเรื่องเครื่องดูดฝุ่นที่หมกมุ่นพัฒนามานานกว่า 25 ปีเลยนี่นา แล้วจะต้องไปง้อยัยแจ๋วจอมอู้อีกทำไม   "รีวิว Dyson V11 Absolute จากเรื่องจริงที่ใช้แล้วฟินเลยต้องบอกต่อ" จากประสบการณ์ใช้จริง ข้อแรกเราเห็นว่า Dyson V11 Absolute ตัวนี้ จับได้ถนัดมือขึ้นกว่ารุ่นก่อนๆ ควบคุมทิศทางได้ง่าย ถึงแม้น้ำหนักของตัวเครื่องจะไม่ได้เบาหวิวจนสามารถยกดูดฝุ่นบนที่สูงๆ ได้คราวละนานๆ แต่ชะนีออกกำลังกายแบบเราก็สามารถอยู่ค่ะ ถือว่าเป็นการเวทเทรนนิ่งเบาๆ ซึ่งในชีวิตจริงแล้ว เราก็ไม่ได้จับเครื่องดูดฝุ่นมายกดูดผ้าม่านกันทุกวันหรอกจริงมั้ย     จุดเด่นต่อมาของ Dyson V11 Absolute คือ หัวแปรงดูด และอุปกรณ์เสริมที่ให้มาเยอะแยะมากมายจนบางทีก็แอบงงว่าตัวเองเลือกใช้ถูกประเภทอยู่รึเปล่า ซึ่ง Highlight ของรุ่นนี้คือ หัวดูดแบบ High Torque ที่เป็นหัวแปรงแรงบิดสูงพร้อมเซ็นเซอร์โหลดแบบไดนามิก (Dynamic Load Sensor - DLS) โดยระบบนี้จะช่วยตรวจจับแรงต้านของพื้นผิว เพื่อทำการเปลี่ยนโหมดพลังดูดให้เหมาะสมโดยอัตโนมัติ ทำให้แม่บ้านสมัยใหม่อย่างเราไม่ต้องคอยกังวลว่าจะกดโหมดถูกๆ ผิดๆ จนทำให้การทำความสะอาดบ้านขาดความเนี้ยบแล้วต้องเหนื่อยทำซ้ำอีกรอบ     ส่วนหัวดูดแบบอื่นๆ ก็คล้ายกับรุ่นก่อนเลยค่ะ มีทั้งหัวดูดลูกกลิ้งนุ่ม, หัวดูดมอเตอร์ขนาดเล็ก, หัวดูดปากแคบ, หัวดูด 2 in 1, และแปรงปัดฝุ่นขนนุ่ม ซึ่งหัวดูดแต่ละอันก็มีคุณสมบัติเฉพาะที่ต่างกันออกไป ทำให้ไม่ว่าจะเป็นฝุ่นผงขนาดเล็ก ขนาดใหญ่ เศษขนม เส้นผม ขนสัตว์เลี้ยง ฝุ่นฝังแน่น หรือแม้แต่สารก่อภูมิแพ้อย่างไรฝุ่นตัวจิ๋ว ก็เก็บได้เรียบโดยไม่ทำลายพื้นผิวแต่อย่างใด ที่สำคัญหัวดูดทุกตัว ข้อต่อทุกชิ้นสามารถถอดเปลี่ยนได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่คลิกเดียว ทำให้แม่บ้านสวยๆ แบบเราไม่ต้องออกแรงเยอะเลยค่ะ     พูดถึงฝุ่นผงขนาดเล็ก รวมถึงสารก่อภูมิแพ้แล้ว หลายคนอาจจะกลัวว่า มอเตอร์ที่ดูดแรงทรงพลังอย่างนี้ แรงลมที่ออกมาทางท้ายเครื่องจะพาอะไรต่อมิอะไรฟุ้งกระจายเต็มอากาศในห้องมั้ย เรื่องนี้ทาง Dyson เค้าเคลมว่า Dyson V11 Absolute มีระบบการกรองที่ปิดผนึกอย่างแน่นสนิท สามารถดักจับอนุภาคฝุ่นที่มีขนาดเล็กระดับ 0.3 ไมครอน ได้ถึง 99.97% เลยทีเดียว ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นเกสรดอกไม้ หรือแบคทีเรียต่างๆ ที่ว่าอนุภาคเล็กจนต้องมองด้วยกล้องจุลทรรศน์ ก็จะถูกเก็บเข้าไปในถังฝุ่นจนหมดเกลี้ยง   แล้วถ้าถังฝุ่นเต็มล่ะ? เราต้องสัมผัสกับถังเก็บฝุ่น ต้องกลั้นหายใจใส่หน้ากากสิบชั้นอีกรึเปล่า? ลืมภาพถุงเก็บฝุ่นที่มีแต่ฝุ่นผงนานาชนิดจนเกรอะกรังเทเท่าไหร่ก็หลุดไม่หมดไปได้เลย เพราะ Dyson มีการออกแบบวิธีการเทถังฝุ่นแบบที่เราไม่ต้องสัมผัสโดนฝุ่นเลยยยยยย ซึ่งในรุ่น V11 Absolute นี้พัฒนามาดีกว่ารุ่นเก่าเยอะ ด้วยระบบ Point and Shoot แค่เรายื่นฝาถังเก็บฝุ่นลงไปในถุงขยะ แล้วก็ปลดสลักตัวล็อค ฝุ่นทั้งหมดก็จะลงไปกองอยู่ในถุงขยะแล้ว เหลือแค่ผูกปากถุงให้เรียบร้อย แล้วก็ปิดฝาถังเก็บฝุ่นแค่นี้พร้อมใช้งานครั้งต่อไปได้สวยๆ     เรื่องการจัดเก็บเครื่องก็เป็นอีกเรื่องที่มักจะกวนใจแม่บ้านสายเนี้ยบอย่างเรา เพราะหลายครั้งอุปกรณ์ทำความสะอาดต่างๆ ก็ไม่ได้สวยงามชวนให้เอามาอวดโชว์ซักเท่าไหร่ แต่เรื่องนี้ไม่ได้เป็นปัญหากับ Dyson ไหนๆ ก็ซื้อมาตั้งแพงแล้ว ถ้าอยากจะแอบวางไว้อวดเบาๆ ก็ไม่น่าจะแปลกเกินไปหรอกเนอะ ก็ในกล่องเค้ามีตัวแขวนยึดกับผนังพร้อมแท่นชาร์จมาให้ด้วยค่ะ ทำให้การจัดเก็บเครื่องดูเป็นระเบียบเรียบร้อยจนอยากจะอวดชาวโลกให้รับทราบโดยทั่วกัน นอกจากจะทำให้หยิบใช้งานได้ง่าย พร้อมใช้งานได้ตลอดเวลาแล้ว ก็ไม่ได้ทำให้ขัดตาอะไรถ้าจะมีเครื่องดูดฝุ่นอย่าง Dyson แขวนไว้ในห้องกับเค้าด้วย     เชื่อว่าเครื่องดูดฝุ่น Dyson น่าจะเป็นไอเทมในฝันของแม่บ้านยุคใหม่หลายๆ คนเลยแหละ ยิ่งโดนเราป้ายยาแบบนี้คงต้องอยากได้กันบ้างไม่มากก็น้อย แต่ถ้าลังเลยังไม่ปักใจเชื่อรีวิวของเรา ลองไปทดลองเล่นเครื่องจริงกันได้ที่ร้าน Dyson Demo สยามพารากอน และไอคอนสยามก่อนได้นะคะ รวมถึงห้างสรรพสินค้าชั้นนำในแผนกเครื่องใช้ไฟฟ้าก็มีหลายแห่งเลยจ้า แต่ถ้าการป้ายยาของเราได้ผล นอกจากการเดินไปช็อปปิ้งด้วยตัวเอง ยื่นบัตรให้พนักงานรูดปรื้ดๆ แล้ว เรายังสามารถเข้าไปคลิกสั่งซื้อแบบออนไลน์ให้สมกับเป็นแม่บ้านยุคใหม่กันได้ที่ เว็บไซต์ https://www.dyson.co.th/ เชื่อเถอะว่า มันจะเป็นการลงทุนเงินหมื่น ที่คุ้มแสนคุ้มเลยทีเดียว   แล้วถ้าอยากได้ห้องชุดสวยๆ อยู่ใจกลางเมือง มีวิวดีๆ ติดริมน้ำ หรืออยากมาเป็นเพื่อนบ้านกับเรา เชิญชมห้องตัวอย่างได้ที่ Park Court Sukhumvit 77 เลยจ้า   บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ไรฝุ่น ผู้ร้ายบนที่นอน (Dyson V8) รีวิว PARK COURT สุขุมวิท 77 คอนโดหรูห้องใหญ่ใจกลางเมือง เทคนิคทำความสะอาดบ้านแบบง๊ายง่าย ห่างไกล “ภูมิแพ้” บ้านสะอาดไร้ฝุ่นด้วย BOSCH Flexxo Serie 4  
SENA แนะติดระบบโซลาร์ แก้ปัญหาค่าไฟพุ่ง

SENA แนะติดระบบโซลาร์ แก้ปัญหาค่าไฟพุ่ง

SENA แนะบ้านติดระบบโซลาร์ แก้ปมค่าไฟเพิ่ม – คุ้มทุน - ประหยัดค่าใช้จ่าย ช่วงไวรัสโควิด – 19 ป่วน  บิลค่าไฟพุ่ง กระทบกลุ่ม Work from home พร้อมชูเซอร์วิส “โซลาร์สเกลอัพ” ช่วยคำนวณค่าไฟ ปรับเพิ่ม – ลดตามพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์ผู้อยู่อาศัย   ผลมาจากวิกฤตโควิด-19 ที่ทำให้หลายชีวิตต้องอยู่หยุดแต่ในบ้าน หยุดกิจกรรมนอกบ้าน กลับมาใช้ชีวิตอยู่กับบ้านมากขึ้น รวมถึงหลายบริษัท หรือหลายอาชีพปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานหันมาใช้มาตรการ Work from home  ทำให้ต้องใช้ไฟฟ้าที่บ้านทั้งวันทั้งคืน  ส่งผลให้เกิดปัญหา”ค่าไฟฟ้าดีดตัวเพิ่ม” ตามมาอย่างน่าตกใจ   สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ค่าไฟแพงในช่วงนี้ เนื่องจากการไฟฟ้ามีการคิดคำนวณ "ค่าไฟแบบอัตราก้าวหน้า" หากใช้เยอะก็จ่ายเยอะ โดยมีตัวแปรสำคัญก็คือ "หน่วยไฟฟ้าที่ใช้" ซึ่งจะมีการคิดค่าไฟเป็นขั้นบันไดโดยแต่ละขั้นก็มีราคาที่แตกต่างกัน หากใช้ไฟฟ้ามากขึ้นก็จะถูกนำไปคิดราคาในช่วงหน่วยไฟฟ้าที่สูงขึ้น ค่าไฟจึงแพงแบบก้าวกระโดด   ประกอบกับสภาพอากาศในช่วงเดือนเมษายนเป็นฤดูร้อนอบอ้าวอยู่แล้ว ส่งผลให้เกิดการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ทั้งเครื่องปรับอากาศพร้อมคอมเพรสเซอร์,เครื่องฟอกอากาศ,พัดลมไอน้ำและตู้เย็นที่ใส่ของเยอะ ทำให้คอมเพรสเซอร์ยิ่งทำงานหนักกว่าปกติ ด้านผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)  เสนอว่า ให้ประชาชนศึกษาและทำการติดตั้งระบบโซลาร์  ซึ่งจะช่วยทำให้ประหยัดค่าไฟฟ้าได้มากในช่วงเวลากลางวัน โดยเฉพาะกลุ่มคนทำงานที่บ้านหรือฟรีแลนซ์   โดยผู้ซื้อบ้านของเสนาทุกหลัง จะได้ใช้ค่าไฟฟ้าที่ถูกลงตลอดระยะเวลา 25 ปี  เนื่องจากมีการติดตั้งแผงโซลาร์บนหลังคา ทำให้ได้พลังงานสะอาดมาใช้ เป็นการลดการซื้อไฟฟ้าจากระบบของรัฐ  นอกจากนี้ ยังมีบริการ “โซลาร์สเกลอัพ” (Solar Scale up) ที่เป็นนวัตกรรมคำนวณสเกลการใช้งานเป็นตัวช่วยเซอร์วิสลูกบ้านอีกทางหนึ่ง โดยลูกบ้านสามารถปรับ – ลดเพิ่มจำนวนแผงโซลาร์ได้ตามลักษณะการใช้งานของเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน และสามารถเลือกช่วงเวลาการใช้ไฟฟ้าได้ตามพฤติการหรือไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัยในบ้าน ยกตัวอย่าง หากมีการใช้ไฟ 4 ชั่วโมงช่วง 10.00-14.00 น. ระบบโซลาร์ผลิตไฟฟ้าได้ 2.1 กิโลวัตต์ เท่ากับมีการใช้ไฟฟ้า 8 หน่วย คูณค่าไฟของรัฐหน่วยละ 4 บาท จะประหยัดไฟวันละ 32 บาท หรือ 960 บาทต่อเดือน อย่างไรก็ตาม การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์เพื่อผลิตไฟฟ้าใช้ในครัวเรือนของประเทศไทย ยังถือว่าน้อยมาก เนื่องจากต้นทุนในเรื่องอุปกรณ์และระบบไฟฟ้าที่ซับซ้อน ทำให้ประชาชนทั่วไปยังลังเลในเรื่องนี้อยู่ ซึ่งปัจจุบันนี้ แผงโซลาร์เซลล์ได้รับการพัฒนาคุณภาพดีขึ้น ราคาถูกลงแล้ว ที่ผ่านมาผู้บริโภคยังมองไม่ประโยชน์มากเท่าที่ควร แต่เหตุการณ์วิกฤตโควิดที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ เชื่อว่าผู้บริโภคที่ต้องทำอยู่บ้าน “Work From Home"  มากขึ้นจะเห็นประโยชน์และความคุ้มค่าในการติดตั้งโซลาร์   ปัจจุบันบริษัทได้ติดตั้งโซลาร์ทุกหลังทุกโครงการ ซึ่งถือเป็นมาตรฐานสินค้า หรือ Standard Product และไม่ใช่เพียงแค่ติดที่หลังคาบ้าน แต่ติดตั้งในพื้นที่ส่วนกลางของหมู่บ้านและคอนโดมิเนียมด้วย ปัจจุบันมากกว่า 400 ครัวเรือน  1,000 กิโลวัตต์  
7 เรื่องต้องรู้ “GREE” แอร์เบอร์ 1 ของโลก

7 เรื่องต้องรู้ “GREE” แอร์เบอร์ 1 ของโลก

  ถึงวันนี้ ประเทศไทยได้เข้าสู่ฤดูร้อนอย่างเป็นทางการแล้ว จากการประกาศของกรมอุตุวิทยา ว่าประเทศไทยสิ้นสุดฤดูหนาวและได้เริ่มต้นเข้าสู่ฤดูร้อนตั้งแต่วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2563 ที่ผ่านมา ประเทศไทยจะมีอุณหภูมิสูงขึ้น และมีอากาศร้อนในตอนกลางวันอย่างต่อเนื่อง คาดว่าฤดูร้อนจะสิ้นสุดในช่วงกลางเดือนพฤษภาคมนี้   แม้ว่าเมืองไทยจะมีอากาศร้อนเป็นปกติ  ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงฤดูหนาวหรือฤดูฝน แต่หากเข้าสู่ฤดูร้อน อากาศเมืองไทยจะร้อนมากขึ้นกว่าปกติ ทำให้คนส่วนใหญ่ต้องมองหา อุปกรณ์สิ่งจำเป็นที่จะช่วยคลายร้อน ทำให้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในแต่ละวัน โดยเฉพาะการพักอาศัยอยู่ภายในบ้าน ซึ่งก็คือ การติดตั้งเครื่องปรับอากาศ นั่นเอง     ตอนนี้ในท้องตลาดมีเครื่องปรับอากาศสารพัดแบรนด์ วางขายและทำตลาดให้ผู้บริโภคได้เลือก ตามความต้องการ ซึ่งแต่ละแบรนด์แต่ละรุ่น ต่างก็มีคุณสมบัติหลากหลาย แล้วแต่เจ้าของแบรนด์จะพัฒนาออกมา ซึ่งนับวันเครื่องปรับอากาศถูกพัฒนาออกมาให้มีเทคโนโลยีทันสมัย และตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนยุคปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความสะดวกสบาย หรือทำให้ผู้ที่ใช้มีสุขภาพดี ห่างไกลจากมลภาวะทางอากาศต่างๆ ด้วย   เมื่อเครื่องปรับอากาศในท้องตลาดมีมากมายหลากหลายแบรนด์ หลายรุ่น หลายขนาด และราคา แล้วเราจะมีหลักเกณฑ์การเลือกแอร์สักเครื่องอย่างไร เพื่อให้ได้ทั้งคุณสมบัติที่ดี มีคุณภาพ คุ้มค่า และคุ้มราคา สำหรับคำแนะนำเบื้องต้น   การเลือกแอร์สักเครื่อง เราควรพิจารณาใน  6 ประเด็นหลัก 1. เลือกขนาดของ BTU ให้พอเหมาะกับขนาดของห้อง การเลือกขนาด BTU (British Thermal Unit) ของแอร์ให้เหมาะสมกับขนาดของห้องที่จะติดตั้ง จะช่วยทำให้เราได้แอร์ที่ทำงานเต็มประสิทธิภาพ ไม่ทำงานหนักไป หรือทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ ข้อดีของการเลือก BTU ที่เหมาะสม ยังทำให้ประหยัดไฟฟ้า และแอร์มีอายุการใช้งานที่ยาวนานด้วย   2. แบรนด์ และชื่อเสียงของแบรนด์ เรื่องแบรนด์ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลย หรือมองข้าม แม้ว่าหลายคนอาจจะบ่นว่าเลือกได้ยาก เพราะทุกแบรนด์ล้วนแต่บอกว่า แบรนด์ของตนเองดี มีคุณภาพมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับ ซึ่งหลักเกณฑ์การพิจารณาง่ายๆ คงดูได้จากหลายเรื่อง อาทิ ดูจากยอดขาย มากน้อยแค่ไหน วางขายสินค้าที่ใดบ้าง ระยะเวลาการดำเนินธุรกิจ  เพราะข้อมูลเหล่านี้จะบอกได้ว่า ผู้บริโภคให้การตอบรับกับแบรนด์นั้นๆ มากน้อยเพียงใด   3. คุณสมบัติของแอร์ เดี๋ยวนี้เครื่องปรับอากาศ ถูกพัฒนาให้มีคุณสมบัติ คุณภาพ และประสิทธิภาพ ด้วยเทคโนโลยีล้ำหน้าไปจากอดีต แอร์ไม่ได้มีคุณสมบัติแค่ ให้อุณหภูมิที่เย็นสบายเท่านั้น แอร์ยังฟอกอากาศให้บริสุทธิ์ ฆ่าเชื้อโรค ดับกลิ่นเหม็นได้  เป็นต้น ซึ่งคุณสมบัติองแอร์ปัจจุบันยังมีอีกมากมายหลายเรื่อง ซึ่งผู้บริโภคสามารถเลือกได้ตามที่ตนเองต้องการ เพื่อคุณภาพการใช้ชีวิตในบ้าน   4. โรงงานและมาตรฐานการผลิต เรื่องของมาตรฐานการผลิต  เป็นการรับประกันได้ว่า เราจะได้เครื่องปรับอากาศที่มีคุณภาพ ตรงตามที่แบรนด์นั้นโฆษณาไว้ รวมถึงเราจะได้ใช้แอร์ที่มีอายุการใช้งานยาวนาน ด้วยมาตรฐานการผลิตที่ได้รับการยอมรับ   5. จุดขายและการบริการหลังการขาย การหาซื้อสินค้าได้ง่ายกับจุดจำหน่ายหลากหลาย และการมีศูนย์บริการหลังการขาย รวมถึงการรับประกันคุณภาพสินค้า จะช่วยสร้างความอุ่นใจให้กับลูกค้า เมื่อเกิดปัญหากับสินค้าที่ซื้อไปนั้น บางครั้งก็กลายเป็น “คำตอบสุดท้าย” ที่ผู้บริโภคใช้ในการตัดสินใจ ว่าจะเลือกซื้อสินค้านั้นหรือไม่  เพราะแม้ว่าแอร์แบรนด์นั้นจะมีประสิทธิภาพ มีคุณสมบัติที่ดีแค่ไหนก็ตาม แต่การบริการหลังการขายไม่ดี หรือหาศูนย์บริการได้ยาก ผู้บริโภคก็อาจจะไม่เลือกซื้อสินค้าแบรนด์นั้นเลยก็ได้   6. ราคาคุ้มค่า เรื่องของราคา ก็เป็นปัจจัยสำคัญไม่แพ้เรื่องอื่นๆ เพราะหากสินค้ามีประสิทธิภาพ คุณสมบัติดีแค่ไหน แต่ราคาผู้บริโภคเอื้อมไม่ถึง ไม่สามารถซื้อได้  ก็คงไม่เกิดประโยชน์อะไร ราคาจึงต้องสมเหตุสมผล คุ้มค่าคุ้มราคา และผู้บริโภคส่วนใหญ่ต้องซื้อได้     7 เรื่องต้องรู้เกี่ยวกับแอร์กรี (GREE) ปัจจุบันท้องตลาดมีแอร์สารพัดแบรนด์วางขายอยู่ แต่ผู้บริโภคส่วนใหญ่อาจจะไม่รู้ว่า สินค้าหลายๆ แบรนด์ที่วางขายอยู่นั้น มาจากโรงงานผลิตที่มีเจ้าของคนเดียว ซึ่งวันนี้เราจะมาแนะนำแบรนด์กรี (GREE) ซึ่งคือแบรนด์ยักษ์ใหญ่ระดับโลก ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของเครื่องปรับอากาศหลายแบรนด์ที่วางจำหน่ายอยู่ในปัจจุบัน ผ่านเรื่องราวและข้อมูล 7 เรื่องสำคัญ 1.แบรนด์เบอร์ 1 ของโลก สิ่งที่ยืนยันและบอกว่าแอร์ แบรนด์กรี เป็นแบรนด์แอร์อันดับ 1 ของโลก คือ  ยอดขายที่ถูกส่งออกไปทั่วโลก มากว่า 160 ประเทศ  ซึ่งในปี 2557  ผลิตภัณฑ์แอร์สามารถทำยอดขายมากถึง 10,000 ล้านหยวน จากยอดขายโดยรวมในกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้า ของบริษัทซึ่งมีมากถึง 140,000 ล้านหยวน และช่วงปี 2561 ยอดขายของบริษัทพุ่งไปกว่า 200,000 ล้านหยวน เติบโตจากปีก่อนหน้ากว่า 33.33% ที่สำคัญ EUROMONITOR INTERNATIONAL ยังให้การรับรองว่าบริษัท GREE มียอดขายอันดับ 1 ของโลก ในช่วงปี 2560 อีกด้วย  ไม่เพียงแต่ยอดขายที่สูงมากแล้ว บริษัทยังได้รับการจัดอันดับ จาก Forbes Global 2000 ว่าเป็นบริษัทมหาชนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก อันดับที่ 294 ใช่วงปี 2561 2. แอร์ดีต้องไม่มี “เชื้อโรค” ประเด็นสำคัญของสังคมไทย รวมถึง สังคมโลก ในขณะนี้คงหนีไม่พ้นเรื่องของ “ไวรัส” หรือแม้แต่ปัญหาฝุ่นระดับ PM 2.5 ซึ่งกำลังคุกคามสุขภาพของคนไทย ซึ่งเทรนด์ความใส่ใจในเรื่องสุขภาพ เกิดขึ้นมาหลายปีแล้ว ทำให้สินค้าต่างๆ ต้องมีคุณสมบัติทำให้ผู้ใช้งานมีสุขภาพดี หรือไม่สร้างปัญหากับผู้ใช้งาน เครื่องปรับอากาศในยุคปัจจุบันจึงต้องเสริมคุณสมบัติ ที่ทำให้อากาศบริสุทธิ์ ปราศจากเชื้อโรค หรือสิ่งแปลกปลอมในอากาศ ที่จะมาทำร้ายสุขภาพคนในบ้าน แอร์กรีจึงมีแผ่นกรองอากาศ (Catechin Filter) ซึ่งมีคุณสมบัติต้านเชื้อ แบคทีเรียเอสเคอริเคีย โคไล ในอัตรา 99.99 และต้านเชื่อแบคทีเรียสแตฟิโลค็อกคัส ออเรียส ในอัตรา 97.06 ซึ่งแผ่นกรองอากาศของแอร์กรี ได้ผ่านการตรวจสอบที่ศูนย์ตรวจสอบจุลชีวะแห่งเมืองกวางตุ้ง เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2557 3. แอร์ดีมีประสิทธิภาพ ต้องมีระบบ Inverter แอร์ระบบ Inverter ดีกว่าแอร์ระบบเดิม คือ สามารถควบคุมความเย็นได้ตามที่กำหนดไว้ ที่สำคัญคือ ประหยัดไฟ และเครื่องปรับอากาศทำงานเบา โดยแอร์กรี มีระบบ Cooling Inverter ซึ่งช่วยทำให้ห้องเย็นเร็วตามอุณหภูมิที่ต้องการ และประหยัดค่าไฟได้เต็มประสิทธิภาพ 4. มาตรฐานการผลิต เครื่องพิสูจน์คุณภาพแอร์ คุณสมบัติสำคัญอีกประการที่ผู้บริโภคคำนึงถึง ในการใช้เป็นเกณฑ์เลือกซื้อแอร์ คือ คุณภาพการผลิต ซึ่งหลักเกณฑ์ที่ผู้บริโภคใช้เลือก คงเป็นมาตรฐานของโรงงานว่ามีมาตรฐานอย่างไร ใช้เทคโนโลยีอะไรมาช่วยในการผลิตสินค้า ซึ่งแบรนด์แอร์กรีเองนั้น ใช้เทคโนโลยีโรบอท จาก GREE ELECTRIC APPLIANCES, INC.OF ZHUHAI ซึ่งไม่ใช่แค่เทคโนโลยีที่มีหุ่นยนต์มาคอยควบคุมการผลิต มีความแม่นยำในการผลิต ได้มาตรฐานและคุณภาพ 100% แล้ว ทางโรงงานยังมีทีมวิศวกรอีกกว่า 5,000 คน คอยควบคุมการผลิต และเป็นทีมพัฒนาสินค้าให้มีเทคโนโลยีล้ำหน้าอย่างต่อเนื่องด้วย ปัจจุบันแอร์กรี มีฐานการผลิตกระจายหลายมุมของโลก อยู่มากถึง 9 โรงงาน ซึ่งมาตรฐานและเทคโนโลยีการผลิตของแอร์กรี ที่บอกว่ามีมาตรฐานและทันสมัยนั้น คงวัดได้จากการให้การตอบรับจากผู้บริโภคทั่วทุกมุมโลกมากกว่า 250 ล้านคนหรือพูดได้ว่าแอร์กรี ครองส่วนแบ่งการตลาดของตลาดแอร์มากถึง 1 ใน 3 ของตลาดแอร์ทั่วโลก นอกจากผลตอบรับของผู้บริโภคที่มีต่อแอร์กรีแล้ว หลายคนอาจจะไม่รู้ข้อมูลเชิงลึกของแอร์กรี คือ การเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของแบรนด์แอร์ชั้นนำมากถึง 9 แบรนด์ ที่วางจำหน่ายอยู่ในประเทศไทยและกระจายอยู่ทั่วโลกด้วย 5. ผู้บริโภคยุคใหม่ เลือกใช้สินค้าประหยัดไฟเบอร์ 5 เรื่องการประหยัดไฟ ประหยัดพลังงาน เป็นเรื่องที่ผู้บริโภคยุคใหม่ให้ความใส่ใจ และความสำคัญ เพราะไม่ใช่แค่การร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการอนุรักษ์พลังงานของโลกใบนี้เท่านั้น แต่เป็นสิ่งที่สะท้อนมาถึงตัวผู้บริโภคเอง เพราะช่วยในเรื่องการประหยัดไฟฟ้า ทำให้ไม่ต้องจ่ายค่าไฟสูงเกินความจำเป็น ทำให้ผู้บริโภคเลือกที่จะซื้อแอร์ที่ช่วยประหยัดไฟฟ้า ผู้บริโภคหลายคนมีการเปรียบเทียบแอร์แต่ละแบรนด์แต่ละรุ่น เพื่อเลือกซื้อแอร์ที่ช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าได้มากที่สุด สำหรับแอร์กรี ถือว่าได้ผ่านเกณฑ์มาตรฐานการประหยัดไฟฟ้า จนได้รับฉลากเบอร์ 5 3 ดาว ซึ่งเป็นค่าการประหยัดไฟฟ้าสูงสุด ซึ่งเดิมเครื่องใช้ไฟฟ้าจะมีฉลากที่บ่งบอกการประหยัดไฟด้วยเลข 1-5 เท่านั้น ต่อมาเพิ่มเติมข้อมูลในฉลากด้วยดาว ซึ่งมีตั้งแต่ 1-3 ดวง ซึ่งฉลากที่มีดาว 3  ดวง คือ เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีมาตรฐานประหยัดไฟสูงสุด 6. เสริมเทคโนโลยี เพื่อผู้บริโภคยุคดิจิทัล เพราะในโลกยุคปัจจุบันเป็นโลกของ “ดิจิทัล” ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่มีอุปกรณ์มือถือเป็นของจำเป็นประจำตัวที่ขาดไม่ได้ อุปกรณ์และเครื่องใช้ไฟฟ้าส่วนใหญ่ จึงพัฒนาเทคโนโลยีให้สามารถเชื่อมต่อกับโลกดิจิทัล เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถใช้มือถือ เป็นอุปกรณ์ที่ควบคุมการทำงานของเครื่องใช้ไฟฟ้านั้น ไม่ว่าจะผ่านเครือข่ายสัญญาณ WiFi หรือ bluetooth แอร์กรี ก็ไม่ละเลยที่จะให้ความสำคัญกับการตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคปัจจุบัน ด้วยการนำเทคโนโลยี WiFi เข้ามาใช้  ทำให้ลูกค้าสามารถใช้สมาร์ทโฟนควบคุมการทำงานของแอร์กรีได้ เปรียบเสมือนกับเป็นรีโมทคอนโทรล ผ่านฟังก์ชั่น Mobile Controller 7. มั่นใจในคุณภาพคอมเพรสเซอร์ รับประกันนานนับ 10 ปี สิ่งที่เป็นการตอกย้ำให้ผู้บริโภคมั่นใจในคุณภาพ และประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์  เพื่อทำให้ผู้บริโภคเกิดความ “อุ่นใจ” หากซื้อสินค้ากลับไปใช้ที่บ้าน คงเป็นเรื่องของการ “รับประกัน” ซึ่งแอร์กรี มีการประกันคอมเพรสเซอร์ ที่ถือเป็นหัวใจของเครื่องปรับอากาศ นานถึง 10 ปี ขณะเดียวกันยังรับประกันอะไหล่นานถึง 5 ปีอีกด้วย ซึ่งเงื่อนไขและรายละเอียดของการรับประกัน ลูกค้าสามารถสอบถามได้ที่พนักงานและตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ     เรื่องราวทั้ง 7 ข้อ คงเป็นข้อมูลที่ทำให้เราได้รู้จักกับเครื่องปรับอากาศ แบรนด์กรี กันมากขึ้น และคงเป็นข้อมูลสำคัญในการใช้พิจารณาเลือกซื้อเครื่องปรับอากาศสักเครื่องมาใช้ ได้ตรงตามความต้องการของลูกค้ามากที่สุด    
“แสงฟ้าก่อสร้าง” วางเป้าหมาย 5-10 ปี  พร้อมเป็นบริษัทรับเหมามาตรฐานญี่ปุ่น

“แสงฟ้าก่อสร้าง” วางเป้าหมาย 5-10 ปี พร้อมเป็นบริษัทรับเหมามาตรฐานญี่ปุ่น

ภาพของกรุงเทพมหานครในปัจจุบัน กับในอดีตหลายสิบปีก่อน คงเป็นภาพที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะตอนนี้กรุงเทพมหานครทุกมุมเมือง เต็มไปด้วยตึกสูงและอาคารขนาดใหญ่มากมาย โดยเฉพาะคอนโดมิเนียม เนื่องจากคนจำนวนมากหลั่งไหลเข้ามาทำมาหากินในกรุงเทพฯ  จึงเกิดความต้องการในที่อยู่อาศัยตาม    แต่เพราะที่ดินมีจำกัดแต่ความต้องการที่อยู่อาศัยมากกว่า  ราคาที่ดินจึงมีราคาแพง ไม่เหมาะในการนำมาพัฒนาเป็นบ้านเดี่ยวหรือทาวน์เฮ้าส์  แต่เหมาะสมในการพัฒนาคอนโดฯ มากกว่า  เพราะมีราคาที่คนส่วนใหญ่เอื้อมถึง   การก่อสร้างโครงการคอนโดฯ หรืออาคารสูง ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ เป็นใครไปไม่ได้นอกจากบริษัทรับเหมาก่อสร้าง ซึ่งต้องยอมรับว่าทุกวันนี้บริษัทคนไทยมีฝีมือด้านการก่อสร้าง ไม่ได้แพ้ชาติใดในโลกเลย เพราะสามารถก่อสร้างอาคารขนาดสูงได้มากมาย และเป็นอาคารที่มีมาตรฐานอาคารสูง  เทียบเท่าหลายอาคารที่เกิดขึ้นทั่วโลก และนับวันบริษัทก่อสร้างของไทยจะสร้างอาคารที่มีความสูงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ หนึ่งในบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่ถือว่ามีชื่อเสียง  และความชำนาญในด้านการก่อสร้างอาคารสูง  ต้องมีชื่อบริษัท แสงฟ้า ก่อสร้าง จำกัด เป็นหนึ่งในทำเนียบนั้น เพราะก่อสร้างอาคารสูงมามากมาย แถมยังเป็นอาคารสูงติดอันดับ Top 10 อาคารสูงสุดในไทยด้วย  ซึ่งบริษัท แสงฟ้าฯ ถือได้ว่าเป็นบริษัทเหมาก่อสร้าง ที่อยู่คู่กับเมืองไทยมายาวนานกว่า 50 ปีแล้ว นับตั้งแต่เริ่มต้นธุรกิจมาตั้งแต่ปี 2510 (เดิมชื่อห้างหุ้นส่วนจำกัดแสงฟ้าการช่าง ก่อนเปลี่ยนชื่อในปี 2512) ซึ่งปัจจุบันอยู่ภายใต้การบริหารงานของทายาทรุ่นที่ 2 แล้ว   ปัจจุบันนายแพทย์เชิดศักดิ์ อัมพรสุขสกุล เข้ามารับผิดชอบในการดูแลบริษัท บริษัท แสงฟ้าก่อสร้าง จำกัด ในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ ซึ่งถือเป็นทายาทรุ่นที่ 2 ต่อจากบิดา ตั้งแต่ปี 2540 หลังจากได้เรียนจบจาก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล และทำงานในด้านที่เรียนมาเป็นระยะเวลา 2 ปี  ก็ก้าวเข้ามารับผิดชอบดูแลบริษัท จุดเปลี่ยนจากอุตสาหกรรมสู่อาคารสูง จุดเริ่มต้นแรกบริษัท แสงฟ้าฯ  ไม่ได้รับงานด้านการก่อสร้างอาคารสูงเป็นหลัก เพราะงานส่วนใหญ่จะเป็นงานโครงสร้าง งานเหล็ก งานหลังคา งานก่อสร้างไซโล โรงงานเกษตร โรงงานปูนซีเมนต์ ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่ทำธุรกิจด้านการเกษตร แต่จุดเปลี่ยนสำคัญครั้งแรก เกิดขึ้นในช่วงปี 2524 บริษัท ปูนซีเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน)  ได้เปิดประมูลก่อสร้างสำนักงานใหญ่ บางซื่อ จึงได้เชิญบริษัทเข้าร่วมประมูลงานก่อสร้าง เนื่องจากบริษัทมีความเชี่ยวชาญด้านการก่อสร้างไซโลปูนซีเมนต์ และโรงปูนในจังหวัดสระบุรีหลายแห่ง บริษัทจึงเข้าร่วมงานและเป็นผู้ชนะการประมูล ได้ก่อสร้างอาคารของปูนซีเมนต์ไทย ซึ่งมีมูลค่าการก่อสร้างกว่า 100 ล้านบาท หลังจากนั้นจึงได้รับงานก่อสร้างอาคารมาอย่างต่อเนื่อง   จุดเปลี่ยนสำคัญอีกครั้ง เกิดขึ้นในช่วงปี 2543 บริษัทได้ถูกเชิญให้เข้าร่วมประมูลงานก่อสร้างโครงการแฮมป์ตัน ทองหล่อ 10 ของบริษัท เมเจอร์ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งถือว่าเป็นโครงการคอนโดฯ ลักชัวรี่โครงการแรกๆ ของกรุงเทพฯ ซึ่งบริษัทเป็นผู้ชนะการประมูล และได้ก่อสร้างจนแล้วเสร็จ ซึ่งงานก่อสร้างเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ทำให้บริษัทมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับในการก่อสร้างอาคารสูง ถือเป็นจุดเปลี่ยนอีกครั้ง ประกอบกับช่วงเวลานั้นงานก่อสร้างอุตสาหกรรมเริ่มลดลง และงานส่วนใหญ่ก็เป็นการก่อสร้างคอนโดฯ ซึ่งทำมาอย่างต่อเนื่อง 5-6 โครงการ วางระบบ “Loop Construction” สร้างการเติบโต ธุรกิจของบริษัทดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง แต่มีการเติบโตแบบไม่หวือหวา ซึ่งนายแพทย์เชิดศักดิ์ เห็นว่าเพื่อสร้างให้บริษัทเติบโตแบบก้าวกระโดด จะต้องนำเอาระบบการบริหารงานแบบอุตสาหกรรมเข้ามาใช้ เพื่อให้ระบบงานก่อสร้างทำงานแบบเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ  ช่วงปี 2550 จึงนำเอาระบบงานที่เรียกว่า  Loop Construction เข้ามาใช้  โดยเป็นระบบงานที่เน้น  2  ขบวนการสำคัญคือ การวางแผนที่ดี และ การควบคุมติดตามงานที่ดี ส่งผลให้บริษัทมีผลประกอบการเติบโตเป็นเท่าตัว การสูญเสียลดน้อยละ และมีผลกำไรดีขึ้น นอกจากนี้ สิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงระบบการทำงานที่ถูกวางไว้อย่างดี คือ การได้กก่อสร้างอาคารสูงอย่างต่อเนื่องมากว่า 100 โครงการ และผลงานที่สร้างชื่อเป็นสิ่งที่บริษัทภาคภูมิใจ คือ 3 อาคารที่บริษัทเป็นผู้ก่อสร้าง ติดอันดับ 10 อาคารที่สูงที่สุดในประเทศ อันได้แก่ ตึก Four Season Private Residence, Magnolia Ratchadamri Boulevard, และ Menam Residences จากการการจัดอันดับ 10 อาคารที่สูงที่สุดในประเทศไทย โดย www.terrabkk.com ในปี 2561 ปัจจุบันบริษัทยังได้รับงานก่อสร้างธนาคารออมสิน ขนาด 100,000 ตารางเมตร มูลค่า 3,000 ล้านบาท ที่จะแล้วเสร็จภายในระยะ 3 ปี ซึ่งถือเป็นโครงการมีมูลค่าสูงสุดที่บริษัทก่อสร้างมา วางแผนธุรกิจสู่เป้าหมายหมื่นล้าน ในปี 2563 บริษัทวางเป้าหมายรายได้ 7,000 ล้านบาท เติบโต 10%  จากปีที่ผ่านมามีรายได้ 6,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามสภาพเศรษฐกิจ จากปกติจะเติบโตในอัตรา 30-40% ต่อปี ปัจจุบันบริษัทมีแบ็กล็อกมูลค่า 10,000 ล้านบาท รับรู้รายได้ภายใน 2 ปี โดยหากเศรษฐกิจกลับมาดี คาดว่าบริษัทจะทำรายได้ 10,000 ล้านบาทได้ภายในระยะ 3 ปี   สมัยก่อนปี 2555-2560 บริษัทเติบโตเยอะมาก หลายปีเติบโตเป็นเท่าตัว  ปี 2559 ทำรายได้  2,000 ล้านบาท ปี 2560 ทำรายได้ 3,000 ล้านบาท และปี 2561 ทำรายได้ 4,000 ล้านบาท ส่วนโครงการคอนโดฯ ภายใต้แบรนด์  "ยู ศรีราชา" ที่บริษัทลงทุน 100% จะเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ในปีนี้ หลังจากมียอดขายแล้ว 50% ซึ่งบริษัทยังมีที่ดินในบริเวณดังกล่าวเพื่อพัฒนาโครงการในอนาคตด้วย และในปีนี้บริษัทยังมีร่วมกับพันธมิตรธุรกิจ  พัฒนาโครงการคอนโดฯ มูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท เป้าหมาย 5-10 ปีเทียบชั้นบริษัทญี่ปุ่น ในระย 5-10 ปี นับจากนี้  บริษัทจะมุ่งโฟกัสด้านการก่อสร้างโฟกัส  ซึ่งมีโจทย์สำคัญคือการพัฒนาคุณภาพภายใน ด้านการบริหารจัดการ เป้าหมายสำคัญต้องการเห็นไซส์ก่อสร้างมีความสะอาด เป็นระเบียบ มีคุณภาพการจัดการเหมือนกับบริษัทญี่ปุ่น  และหากมีโอกาสจะไปรับงานในต่างประเทศ ในกลุ่มประเทศ CLMV เนื่องจากบริษัทไทยมีศักยภาพสูงกว่า อยากเห็นบริษัท ก่อสร้างเทียบเท่ากับบริษัทญี่ปุ่น บริษัทญี่ปุ่นถูกจ้างแพง อยากเบลนมาร์ค บริษัทในต่างประเทศ คนญี่ปุ่น เกิดขึ้นมาจากความมีระเบียบ ส่วนวิสัยทัศน์ในการดำเนินธุรกิจในยุค 2020 คือ  “Better is better than Best” ซึ่งแปลว่า “ดีกว่า นั้นดีกว่าดีที่สุด” แต่ความหมายในเชิงธุรกิจก็คือ ในยุค Disruption  บริษัทต้องพัฒนาธุรกิจให้เท่าทันตลอดเวลา เพราะถ้าคิดว่าดีที่สุดแล้ว เราอาจจะพึงพอใจและหยุดพัฒนา  ซึ่งสิ่งที่บริษัทต้องพัฒนาเพื่อจะนำไปสู่วิสัยทัศน์ดังกล่าว คือกลยุทธ์ 3 เสาหลักในการขับเคลื่อน ได้แก่ -เสาหลักที่ 1 การพัฒนาศักยภาพของบุคลากร ส่งเสริมและผลักดันให้ผู้ที่มีความสามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำ สร้างองค์ความรู้ใหม่ ๆ เพื่อให้บริษัทเดินหน้าและบรรลุเป้าหมายได้ -เสาหลักที่ 2 การพัฒนาด้านเทคโนโลยีในการก่อสร้าง ซึ่งไม่ได้เน้นว่าจะต้องมีเทคโนโลยีหรืออุปกรณ์ที่ล้ำหน้าทันสมัยที่สุด แต่เราเรียนรู้ว่าความคิดสร้างสรรค์ในการแก้ปัญหา หาขบวนการทำงานในแบบใหม่ นั้นมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผลไม่แพ้การพึ่งพาเทคโนโลยี ที่ล้ำสมัย เพียงอย่างเดียว -เสาหลักที่ 3 การพัฒนาระบบการทำงานในทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นการ วิถีการทำงานแบบ Single Team และ การ reinforce ขบวนการทำงานแบบ Loop Construction โดยการทำซ้ำ ๆ จนเกิดเป็นนิสัย แ ละฝังอยู่จนกลายเป็น DNA  ของชาวแสงฟ้าทุกคน   3 สิ่งนี้ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญ ที่จะใช้พัฒนาบริษัทให้เติบโตอย่างยั่งยืนเพื่อก้าวต่อไปในอีกศตวรรษต่อ ๆ ไป  
“ฮาวทูเคลียร์..ตู้เย็น” ไม่ให้เหลือทิ้ง ลดปริมาณขยะตามแบบฉบับของเบโค

“ฮาวทูเคลียร์..ตู้เย็น” ไม่ให้เหลือทิ้ง ลดปริมาณขยะตามแบบฉบับของเบโค

ข้อมูลจาก ThaiHealth Watch สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) ระบุถึงปัญหา 10 พฤติกรรมสุขภาพคนไทยที่ต้องจับตาในปี 2563 ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ เรื่องขยะอาหาร อาหารส่วนเกิน เนื่องจากไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคนเมืองที่ต้องแข่งกับเวลาที่เร่งด่วน และการซื้ออาหารที่อาจมากเกินความจำเป็น ทำให้เก็บรักษาอาหารในตู้เย็นที่ผู้บริโภคอาจละเลยความใส่ใจหรือเก็บชนิดของอาหารในช่องเก็บของตู้เย็นที่ไม่เหมาะสมทำให้คุณภาพหรืออายุของอาหารสั้นลงเร็วยิ่งขึ้น ส่งผลให้มีปริมาณอาหารที่ถูกลืมหรือถูกทิ้งขว้างในบ้านเป็นจำนวนมาก   ปีใหม่นี้ บริษัท เบโค ไทย จำกัด จึงอยากชวนทุกคนมาใส่ใจเรื่องสุขภาพ และอาหารการกินด้วย 5 เคล็ดลับง่าย ๆ กับ ’ฮาวทูเคลียร์..ตู้เย็น’ ไม่ให้เหลือทิ้งสไตล์คนยุคใหม่ ตามแบบฉบับของเบโค เพื่อเป็นแนวทางให้ทุกคนสามารถปรับพฤติกรรมการซื้ออาหารและการจัดระเบียบตู้เย็นให้เรียบร้อยสะอาดใหม่อยู่เสมอ และที่สำคัญสามารถช่วยประเทศรวมถึงช่วยโลกในการลดปริมาณขยะอาหารที่เหลือทิ้งหรือ Food Waste ที่กำลังเป็นปัญหาใหญ่ในปัจจุบันได้อีกด้วย โดยเคล็ดลับที่ทุกคนสามารถทำตามหรือนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันนั้น ประกอบไปด้วย เช็คตู้เย็นทุกครั้ง ก่อนออกไปช็อป เริ่มต้นง่ายๆ ด้วยการเปิดตู้เย็นเช็คว่ามีของอะไรที่ยังเหลือบ้าง แล้วมีอาหารหมดอายุหรือไม่ มีอะไรขาดถึงต้องซื้อใหม่ เพราะถ้าไม่เช็คดูให้ดีก็จะทำให้ตู้เย็นมีแต่อาหารที่มากเกินความจำเป็น นอกจากจะเป็นการเพิ่มปริมาณขยะอาหารแล้ว ยังเป็นการสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายอีกด้วย และถ้าเราได้รับประทานแต่ของสดใหม่ก็จะช่วยให้เรามีสุขภาพที่ดี และช่วยลดปริมาณขยะอาหารในโลกอีกด้วย แยกประเภท เก็บใส่ตู้เย็นให้เป็นหมวดหมู่ เมื่อซื้อของเข้าบ้านแล้ว การจัดวางของให้เป็นระเบียบในตู้เย็น นอกจากจะทำให้ตู้เย็นเรียบร้อยแล้ว ยังสามารถหยิบของได้สะดวกยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการแยกเก็บของให้เป็นหมวดหมู่ ไม่ว่าจะเป็นของสด อาทิ ผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ เครื่องดื่ม หรือแม้กระทั่งครีม เครื่องสำอางค์ต่างๆ  เป็นต้น ก็จะทำให้ไม่เกิดกลิ่นปะปนในตู้เย็น รวมถึงลดปัญหาการเก็บลืมจนอาหารหมดอายุและกลายเป็นขยะอาหารที่ถูกทิ้งในที่สุด เลี่ยงคำว่า เสียดาย หลายคนไม่กล้าทิ้งของเพียงเพราะคำว่า "เสียดาย" ไม่ว่าจะเป็นอาหารประเภท ขนมปัง นม โยเกิร์ต ผัก ผลไม้ หรือแม้กระทั่งเครื่องสำอางและน้ำหอม ที่มีราคาสูงหรืออาจเพิ่งหมดอายุไปเพียงไม่กี่วันก็ถือเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของการเสียดาย จนทำให้เก็บลืมและทำให้เกิดขยะอาหารนั่นเอง เพราะฉะนั้นการที่เรายอมทิ้งของหมดอายุในตู้เย็นไปบ้างนั้น จะช่วยให้ตู้เย็นเป็นระเบียบ สะอาดน่าเปิดใช้งาน เปิดตู้เย็น โชว์สกิลฝีมือตัวเอง  ลองหัดทำอาหารไม่ว่าจะทำเพื่อทานที่บ้านหรือเอาไปทานที่ออฟฟิศก็ตาม นอกจากจะช่วยประหยัดค่ามื้ออาหารของเราได้แล้ว ยังทำให้รับประทานได้อย่างสบายใจหายห่วง เพราะเราใช้วัตถุดิบที่สะอาดปลอดภัยจากตู้เย็นของเราเอง อีกทั้งช่วยลดปริมาณขยะอาหารในบ้าน รวมถึงขยะพลาสติกหรือกล่องโฟมได้อีกด้วย เพราะการซื้ออาหารกล่องหรือถุงข้าวแกงเป็นอีกหนึ่งสาเหตุของการเพิ่มปริมาณขยะพลาสติกหรือกล่องโฟมและเป็นการทำร้ายโลกของเราด้วย เลือกตู้เย็นที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ เราทุกคนต่างต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเองและคนที่เรารักเสมอ หนึ่งในของใช้ในบ้านที่ขาดไม่ได้เลยก็คือตู้เย็น ซึ่งเราก็ต้องเลือกรุ่นที่ดีที่สุดและสามารถเก็บรักษาอาหารให้คงความสดและคงคุณค่าได้ยาวนานที่สุด ซึ่งเบโคได้คิดค้นนวัตกรรมเทคโนโลยีระบบทำความเย็นอัจฉริยะแยกส่วนอิสระ 3 โซนอย่าง Triple Cooling ที่ช่วยลดปัญหากลิ่นปะปนภายในตู้เย็น และเทคโนโลยีในช่องแช่ผักและผลไม้แบบพิเศษอย่าง EverFresh+ ที่ช่วยคงคุณค่าวิตามิน รักษาความสดและยืดอายุของผักและผลไม้ได้ยาวนานขึ้นกว่าเดิม 3 เท่า หรือนานกว่า 30 วัน ทำให้สามารถลดปริมาณขยะอาหารได้อย่างมากเลยทีเดียว ทั้งนี้เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ที่ชอบความหรูหรามีสไตล์ โดยเฉพาะนักสะสมไวน์หรือสายปาร์ตี้ที่รักการทำอาหารในบ้าน พลาดไม่ได้กับ Beko Multi-Door Wine Cooler ตู้เย็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดจากยุโรปที่ถูกออกแบบให้มีความหรูหรา พร้อมช่องแช่ไวน์ที่สามารถแช่ไวน์ได้สูงสุดถึง 28 ขวด อีกทั้งประตูกระจกป้องกันแสงยูวีที่ช่วยรักษารสชาติของไวน์ และสามารถปรับอุณหภูมิสำหรับแช่ทั้งไวน์ขาวหรือไวน์แดงได้ตั้งแต่ 5-20 องศา ถือเป็นอุณหภูมิที่ดีที่สุดในการแช่ไวน์ เพื่อคงคุณภาพไวน์ขวดโปรดของคุณได้อย่างดีเยี่ยม ซึ่งรับประกันว่าสามารถแบ่งแยกประโยชน์ให้ตรงกับไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ได้อย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นช่องจัดเก็บที่เป็นหมวดหมู่ ดีไซน์ที่หรูหรา เทคโนโลยีต่าง ๆ รวมถึงช่วยประหยัดไฟเบอร์ 5 อีกด้วย   เพียงนำแนวทางของเคล็ดลับทั้ง 5 กับ "ฮาวทูเคลียร์..ตู้เย็น" ไม่ให้เหลือทิ้งสไตล์คนยุคใหม่ ตามแบบฉบับของเบโค มาปรับพฤติกรรมการซื้ออาหารและการจัดระเบียบตู้เย็นในบ้าน ก็สามารถช่วยลดปริมาณขยะอาหารและพลาสติกลงไปได้อย่างมาก สำหรับคนยุคใหม่ที่กำลังมองหาตู้เย็นเทคโนโลยีที่ครบวงจรใหม่ล่าสุดจากยุโรป มาพร้อมการออกแบบที่หรูหราพร้อมช่องแช่ไวน์อย่างรุ่น Beko Multi-Door Wine Cooler สามารถติดต่อได้ที่จุดจำหน่ายต่าง ๆ อาทิ ศูนย์การค้าสยาม พารากอน, เซ็นทรัล ชิดลม, เซ็นทรัล อีสวิลล์, เซ็นทรัล ลาดพร้าว, เมกา บางนา, โฮมโปร ราชพฤกษ์, โฮมโปร พระราม2, โฮมโปร รามอินทรา และโฮมโปร รังสิต ติดตามรายละเอียดตู้เย็นเทคโนโลยีจาก Beko ได้ทางเว็บไซต์  Beko บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง วิธีเก็บผักผลไม้ในตู้เย็น ให้สดอร่อยและอยู่นานมากขึ้น ฮวงจุ้ยตู้เย็น วางตรงไหนเสริมดวง สีอะไรถูกโฉลก ตำแหน่งการวางเตาครัว เตาอบ ไมโครเวฟ และตู้เย็น ถอดรหัสกระแสบ้านอัจฉริยะ    
[PR News] NOSTRA MAP จัดทำแผนที่ฟรี  เพื่ออำนวยความสะดวกประชาชน เข้าร่วมพระราชพิธีบรมราชาภิเษก

[PR News] NOSTRA MAP จัดทำแผนที่ฟรี เพื่ออำนวยความสะดวกประชาชน เข้าร่วมพระราชพิธีบรมราชาภิเษก

นอสตร้า แมพ (NOSTRA Map) แอพพลิเคชันแผนที่นำทาง โดย บริษัท โกลบเทค จำกัด จัดทำแผนที่พิเศษ อำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนที่สนใจในการเดินทางไปร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการชื่นชมงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกการเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนคร โดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ในวันที่ 12 ธันวาคมนี้ เพียงเปิดกดแอพ NOSTRA Map ได้ฟรี เรียลไทม์ 24 ชม.   นายวิชัย แสงหิรัญวัฒนา ผู้จัดการทั่วไป บริษัท โกลบเทค จำกัด เปิดเผยว่า ทาง NOSTRA Map ได้จัดทำแผนที่แสดง จุดเฝ้ารับเสด็จ จุดคัดกรอง จุดพื้นที่แก้มลิง จุดบริการ Shuttle bus จุดบริการจุดจอดรถ และเส้นทางปิดถนน ดูง่ายผ่านแอพฯ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนที่มีความประสงค์จะร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการชื่นชมการเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนคร โดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ในวันที่ 12 ธันวาคม 2562 โดยริ้วขบวนจะเริ่มจากท่าวาสุกรีไปยังท่าราชวรดิฐ เป็นระยะทาง 3.4 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 15 นาที เพื่อชื่นชมความงดงามของประวัติศาสตร์ของไทยที่มีมายาวนาน   เพื่อให้ประชาชนเตรียมความพร้อม และวางแผนการเดินทางในวันที่ 12 ธันวาคม 2562 สามารถใช้งานแอพฯ แผนที่ NOSTRA Map ได้ง่ายและสะดวก เพียงเลือกชั้นข้อมูล 2 ส่วน ดังนี้  “จุดอำนวยความสะดวกงานพระราชพิธีฯ 12 ธันวา”   หรือกดแผนที่ NOSTRA Map ซึ่งรายละเอียดแผนที่อำนวยความสะดวก ประกอบด้วย 1.จุดเฝ้ารับเสด็จ แสดงพื้นที่ 6 จุดที่ประชาชนสามารถร่วมรับเสด็จในการพระราชดำเนินฯ ครั้งนี้อย่างใกล้ชิด 2.จุดคัดกรอง รอบบริเวณพื้นที่ทั้งฝั่งพระนครและฝั่งธนบุรี จำนวน 19 จุด โดยจุดคัดกรองจะเป็นจุดที่ประชาชนจะสามารถเดินทางเข้าสู่พื้นที่บริเวณจัดงานได้ 3.จุดพื้นที่แก้มลิง จุดให้บริการประชาชนด้านอาหารเครื่องดื่ม ด้านการแพทย์ และพักรอเพื่อเข้าสู่พื้นที่รับเสด็จต่อไป 4.จุดบริการ Shuttle bus รถ Shuttle bus ให้บริการกับประชาชน จำนวน 9 จุดเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนในการเข้าพื้นที่งาน 5.จุดบริการจุดจอดรถ สำหรับประชาชนที่จะเข้าร่วมงานสามารถไปจอดรถตามจุดที่กำหนดไว้ซึ่งสามารถรองรับรถได้ถึง 18,200 คัน 6.แผนที่แสดงการปิดถนน เพื่อหลีกเลี่ยงการเดินทาง พร้อมเส้นทางแนะนำสำหรับประชาชน “แผนที่แสดงข้อมูลการปิดถนน” หรือกดแผนที่ปิดถนนงานพระราชพิธี 12 ธันวาฯ เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนในส่วนของการจราจรในบริเวณโดยรอบ   ประชาชนที่สนใจแผนที่ดังกล่าว สามารถดาวน์โหลดแอพพลิเคชันแผนที่ และใช้งานได้ฟรี ตั้งแต่วันนี้ ทั้งบน App Store และ Google Play   นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลการเดินทาง การปฏิบัติตน และร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการชื่นชมงานพระราชพิธี โดยประชาชนสามารถติดตามข้อมูลอื่น ๆ ดังกล่าวเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
พร็อพเพอร์ตี้ กูรู ดึงนักคิดทั่วโลก ต่อยอด “พร็อพเทค-ฟินเทค” อสังหาฯ ไทย

พร็อพเพอร์ตี้ กูรู ดึงนักคิดทั่วโลก ต่อยอด “พร็อพเทค-ฟินเทค” อสังหาฯ ไทย

พร็อพเพอร์ตี้ กูรู ดึงผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายวงการทั่วโลก ทั้ง Tim Kobe ผู้สร้างสรรค์ต้นแบบของ Apple Store, Chales Reed Anderson ผู้ก่อตั้ง CRA & Associates ผู้นำด้านนวัตกรรม Proptech Andrew Staples นักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำระดับโลก ร่วมชี้แนะพร้อมผลักดันนวัตกรรม Prop Tech พัฒนาวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย หวังพาไทยสู่ผู้นำเมืองอัจฉริยะ เมืองนวัตกรรมแห่งภูมิภาคอาเซียน พร็อพเพอร์ตี้ กูรู จัดงานเอเชีย เรียลเอสเตท ซัมมิท 2019 นายจูลส์ เคย์ กรรมการผู้จัดการ PropertyGuru Asia property Awards และ Asia Real Estate Summit เปิดเผยว่า การจัดงานเอเชีย เรียลเอสเตท ซัมมิท 2019 ครั้งนี้ ถือเป็นการรวมตัวของผู้เชี่ยวชาญด้านนวัตกรรม Proptech จากหลากหลายสาขาที่มาร่วมแบ่งปันวิสัยทัศน์ทั่วโลก ซึ่งสถานการณ์ของโลกในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปมาก ส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจในทุกภาคส่วน รวมถึงภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ รวมไปถึงเทคโนโลยีต่างๆ ที่จะเข้ามามีอิทธิพลต่อการดำรงชีวิตประจำวัน ไม่ใช่แค่สมาร์ทโฮม หรือแค่ระบบความปลอดภัยภายในบ้านเท่านั้น สำหรับผู้ประกอบการไทย หรือนักลงทุนจะต้องรู้เท่าทันเพื่อที่จะสามารถวางแผนรับมือ ต่อสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในโลกปัจจุบันและอนาคตอันใกล้ รวมไปถึงการลงทุนเพื่อรองรับกับโลกยุคใหม่ยุค 5G ความก้าวหน้าของ Internet of Things (IoT) ทุกอย่างจะถูกปรับเปลี่ยนเป็น 3 มิติ เช่น บ้านหรือห้องตัวอย่างจะต้องเป็นรูปแบบ 3 มิติ ลูกค้าสามารถดูห้องตัวอย่างได้ทุกซอกมุมโดยไม่จำเป็นต้องมีห้องตัวอย่างจริง ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นในต่างประเทศแล้ว และเทคโนโลยีอื่นๆ มีโอกาสที่ถูกนำเข้ามาใช้ประเทศไทย เช่น ฟินเทค ระบบการประเมินคุณสมบัติผู้กู้ซื้ออสังหาฯ ผ่านช่องทางออนไลน์ หรือ Home Loan Pre Approval Online เป็นต้น   รวมถึงการพัฒนานวัตกรรม AI ผ่านรูปแบบของหุ่นยนต์อัจฉริยะที่สามารถกลายเป็นผู้ช่วยของมนุษย์ได้จริง เพื่อรองรับการสร้างเมืองอัจฉริยะและสังคมยุค Smart Cities ในอนาคต และการนำ Blockchain เทคโนโลยีแห่งอนาคตทางด้านการเงิน ที่ช่วยปรับปรุงความโปร่งใสและความเป็นส่วนตัวจากการใช้จ่ายในรูปแบบเดิม   นอกจากนี้ ยังคงมุ่งเน้นเรื่อง สมาร์ทซิตี้ การสร้างเมืองอัจฉริยะและเมืองแห่งนวัตกรรม ต้องอาศัยองค์ประกอบหลายปัจจัย ทั้งการวางผังเมือง การออกแบบสิ่งปลูกสร้างที่สามารถตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัยในยุคปัจจุบันอย่างชาญฉลาด รวมถึงการหยิบเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ สร้างความสะดวก สบาย และปลอดภัยให้กับประชาชน โดยเมืองอัจฉริยะและเมืองนวัตกรรมจะเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญให้ประเทศไทยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารและจัดการเมือง ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ทั้งด้านที่อยู่อาศัยที่สะดวกสบาย สร้างเศรษฐกิจที่ก้าวหน้า รวมถึงมีสังคมและมีความสุขอย่างยั่งยืน tēmi หุ่นยนต์อัจฉริยะ ภายงานนี้ได้มีการโชว์นวัตกรรมหุ่นยนต์ tēmi เป็นหุ่นยนต์ในบ้านรูปแบบใหม่ที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ทำทุกอย่างที่อุปกรณ์อัจฉริยะต่างๆ สามารถทำได้ หนึ่งในหุ่นยนต์อัจฉริยะตัวแรกของโลก ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็นหนึ่งใน "สิ่งประดิษฐ์ที่ดีที่สุดของปี 2019" จาก นิตยสาร TIME โดยมี Mr. Lim Wee Chiang ผู้จัดการประจำประเทศไทยของ VOV International Co., Ltd หุ้นส่วนสำคัญของ tēmi ในประเทศไทยขึ้นแนะนำหุ่นยนต์ด้วยปัญญาประดิษฐ์ ระบบสั่งการด้วยเสียง (Voice Assistant) เทคโนโลยีพื้นฐานที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) ในการพัฒนาระบบการจดจำเสียง ซึ่งถือว่าเป็นนวัตกรรมใหม่ที่จะมาเข้ามาเปลี่ยนโฉมอสังหาริมทรัพย์อย่างสิ้นเชิง   สำหรับวิทยากรและผู้เชี่ยวชาญระดับโลก อาทิ Tim Kobe ผู้สร้างสรรค์ต้นแบบของ Apple Store ได้มาแชร์ประสบการณ์ด้านการออกแบบที่เป็นสากลพร้อมแนวคิดด้านวิวัฒนาการของเทคโนโลยีที่สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของมนุษย์ ส่วน Chales Reed Anderson ผู้นำนวัตกรรม Proptech ได้นำเสนอการพัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถเข้าถึงเพื่อการสร้างสมาร์ทซิตี้ การให้ความสำคัญของ Internet of Things (IoT) ที่จะเข้ามาช่วยพัฒนาอสังหาฯ ของไทย และ Andrew Staples นักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำระดับโลก ได้เผยถึงข้อมูลอัพเดทเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน รวมถึงความแตกต่างทางเศรษฐกิจและสังคมของ “Digital Iron Curtain” การจัดงาน PropertyGuru Asia Real Estate Summit 2019 ครั้งนี้ เต็มไปด้วยข้อมูลและมุมมองใหม่ๆ จากผู้เชี่ยวชาญจากหลายแวดลงที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเวทีที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดความคึกคักในตลาดอสังหาริมทรัพย์ เพิ่มช่องทางในการเข้าถึงของนักลงทุนและผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ได้มองเห็นโอกาสในการนำเอาเทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่เข้ามาผสมผสานกับธุรกิจเกิดเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อนำเสนอไปยังกลุ่มเป้าหมายทางธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพตลอดจนให้สอดรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคดิจิทัลต่อไป   ข้อมูลเพิ่มเติมจาก Asia Real Estate Summit ติดตามความเคลื่อนไหวของ PropertyGuru Asia property Awards  ข้อมูลเกี่ยวกับหุ่นยนต์ tēmi  
[PR News] SC Asset จับมือ 6 พันธมิตร เพิ่มบริการผ่านแอป “บ้านรู้ใจ”

[PR News] SC Asset จับมือ 6 พันธมิตร เพิ่มบริการผ่านแอป “บ้านรู้ใจ”

SC Asset จับมือ 6 พันธมิตร ปล่อยบริการใหม่ ที่ไม่ได้จำกัดแค่เรื่องที่อยู่อาศัย ทั้งการรีไฟแนนซ์ ประกันภัย และส่งแก๊ซ ผ่านแอปพลิเคชัน “บ้านรู้ใจ” ตอบโจทย์ human-centric สู่การเป็น “Living Solutions Provider”   แอปพลิเคชัน "บ้านรู้ใจ" ของ SC Asset  ได้ถูกออกแบบและพัฒนาไว้บนแพลตฟอร์มหนึ่งเดียว โดยรวบรวมทุกสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าทั้งบ้านและคอนโด ด้วยฟีเจอร์ใหม่ Rue Jai Subscription “ช่วยเรื่องบ้าน จัดการเรื่องชีวิต” โดยรูปแบบ คือ บริการแพ็กเกจดูแลที่อยู่อาศัยแบบรายเดือน ครอบคลุมตั้งแต่การทำความสะอาดบ้าน ดูแลสวน ซัก-รีด ฯลฯ    SC Asset จับมือพันธมิตร เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ในแอปพลิเคชั่น นายดิเรก ตยาคี Head of Living Solutions บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC Asset เปิดเผยว่า ได้จับมือกับ 6 พันธมิตรทั้งกลุ่มธนาคาร ประกันภัย และ บริษัทแก๊สชั้นนำ เปิดบริการใหม่ในแอปพลิเคชัน "บ้านรู้ใจ"  ของ SC Asset  ได้แก่ บริการรีไฟแนนซ์ ซึ่งได้ร่วมกับ 4 องค์กรพันธมิตร ได้แก่  ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารยูโอบี  ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ และ Refinn  “ปัจจุบันผลตอบรับบริการรีไฟแนนซ์ดีมาก มีลูกบ้านยื่นเรื่องรีไฟแนนซ์ผ่านแอปพลิเคชั่นกว่า 400 ล้านบาท และดำเนินการยื่นเรื่องจดจำนองเรียบร้อยคิดเป็นมูลค่า 100 ล้านบาท สำหรับอนาคตจะมีการขยายการให้บริการด้านการเงินต่างๆ เพิ่มมากขึ้น อาทิ เปลี่ยนบ้านให้เป็นเงิน การกู้เงินเพื่อตกแต่งบ้าน และการดูแลในเรื่อง Wealth Management ด้วย” ประกันเดินทางร่วมกับการประกันบ้าน นอกจากนี้ ยังมีบริการ “ประกันภัย” จากบริษัท ชับบ์สามัคคีประกันภัย จำกัด ที่ร่วมนำเสนอแพ็คเก็จประกันเดินทางแบบใหม่ร่วมกับการประกันบ้านในระยะเวลาที่ต้องการ ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกของวงการประกันภัย และเป็นบริการพิเศษเฉพาะสำหรับลูกบ้านของ SC เท่านั้น เพื่อให้ลูกบ้านรู้สึกสบายใจ ไร้กังวล เวลาเดินทางไปท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นทริปสั้นๆ หรือทริปยาว และในอนาคตก็จะมีบริการด้านประกันภัยอื่นๆ เช่น พรบ.รถยนต์ เป็นต้น บริการส่งแก๊สถังใหม่ทุกเดือน นายดิเรก กล่าวอีกว่า แอปพลิเคชั่น บ้านรู้ใจ ยังมีบริการจัดส่งแก๊ส โดยความร่วมมือกับบริษัท ดับบลิวพี เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) ผู้นำในการจัดจำหน่ายแก๊ส LPG ที่ร่วม co-creation สร้างสรรค์บริการใหม่ๆ โดยจัดบริการส่งแก๊สถังใหม่ให้เป็นประจำทุกเดือน หมดปัญหาความยุ่งยากที่อาจเกิดขึ้นเมื่อแก๊สหมดระหว่างทำกับข้าว โดยแผนในอนาคต คือการร่วมกับ SC จะนำต้นแบบจากประเทศญี่ปุ่นมาพัฒนาให้เป็นมาตรฐานเดียวกันให้เกิดความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกในการเปลี่ยนถังแก๊สเพิ่มขึ้น “จุดเด่นที่สำคัญของแอปพลิเคชัน บ้านรู้ใจ นอกจาก Conversation การสนทนาผ่านเจ้าหน้าที่รู้ใจ ด้วยบริการตลอด 24 ชั่วโมง คือ การมีฟีเจอร์ “Rue Jai Subscription” ช่วยเรื่องบ้าน จัดการเรื่องชีวิตรวมไปถึงการร่วมมือกับพันธมิตรผู้เชี่ยวชาญมอบบริการที่พิเศษหลากหลายไว้บนฟีเจอร์ โดยไม่ได้จำกัดแค่เรื่องที่อยู่อาศัยเท่านั้น ยังตอบโจทย์ human-centric สำหรับชีวิตประจำวันอีกด้วย” ลูกบ้านสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน "บ้านรู้ใจ" ผ่าน IOS และ Google Play ได้ฟรี    
พร็อพเพอร์ตี้ กูรู เปิด 7 เทรนด์อสังหาฯ ปี 63

พร็อพเพอร์ตี้ กูรู เปิด 7 เทรนด์อสังหาฯ ปี 63

พร็อพเพอร์ตี้กูรู เตรียมจัดงาน Asia Real Estate Summit 2019 ระดมกูรูด้านอสังหาฯ และวิทยากรชั้นนำทั่วโลก ชี้เทรนด์อสังหาฯ ในปีหน้า ชูไฮไลท์เรื่องเทคโนโลยี กำลังจะเข้ามาผลิกโฉมวงการที่อยู่อาศัย พร้อมเปิด 7 เทรนด์อสังหาฯ​ ไทยในปี 63      นายเจสัน เกรกอรี กรรมการผู้จัดการ พร็อพเพอร์ตี้ กูรู อินเตอร์ชันแนล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทได้เตรียมจัดงานสัมมนาให้ความรู้ด้านอสังหาริมทรัพย์  "Asia Real Estate Summit 2019" ระหว่างวันที่ 21-22 พฤศจิกายน 2562  โรงแรม The Athenee Hotel, a Luxury Collection Hotel, Bangkok โดยภายในงานวิทยากรผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจอสังหาฯ  และที่เกี่ยวข้องระดับโลก มาร่วมบรรยายสถานการณ์ตลาดในปัจจุบัน พร้อมอัพเดทเทรนด์การเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ ต่อวงการอสังหาฯ ในอนาคต   สำหรับหัวข้อที่น่าสนใจ อาทิ การออกแบบให้เหมาะกับมนุษย์ : โซลูชั่นที่ชาญฉลาดและการบูรณาการแบบครบวงจรที่มนุษย์ต้องการ บรรยายโดย Tim Kobe ผู้ก่อตั้ง Eight,lnc และผู้สร้างต้นแบบของ Apple Store หรือ Charles Reed Anderson ผู้ก่อตั้ง CRA & Associates บรรยายในหัวข้อ “การสร้างอาคารที่ปลอดภัยและระบบนิเวศที่ชาญฉลาด สำหรับบ้านของคนเอเชีย” ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับ วิธีการพัฒนาเทคโนโลยี ที่สามารถตระหนักถึงการสร้างเมืองอัจฉริยะที่แท้จริง เป็นระยะต่อไปของ Internet of Things (IoT) ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคอสังหาฯ ในเอเชีย ทั้งปัจจุบันและอนาคตอย่างไร   นายเจสัน กล่าวอีกว่า ภายในงานยังมีการอภิปรายเกี่ยวกับเทคโนโลยี 5G ในหัวข้อ "5G การปลดปล่อยคลื่นลูกใหม่แห่งการเชื่อมต่อ" เป็นการนำเสนอประเด็น ความก้าวหน้าของ Internet of Things (IoT) ในอาคารและบ้านอัจฉริยะของคนเอเชีย การแนะนำและการปรับใช้เทคโนโลยี 5G สามารถพัฒนาเมืองอัจฉริยะได้อย่างไร ความน่าเชื่อถือของอุปกรณ์ที่รองรับ Bluetooth 5.1 และ Wi-Fi 6 และคุณสมบัติการเชื่อมต่อในภูมิภาค ซึ่งจะมีผู้ร่วมอภิปราย ได้แก่ นายอัศนีย์ วิภาตเวทย์ หัวหน้าส่วนงานผลิตภัณฑ์ลูกค้าองค์กร และบริการระหว่างรประเทศ AIS ดร.เจษฎา ศิวรักษ์ หัวหน้าฝ่ายรัฐกิจและธุรกิจสัมพันธ์ บริษัท อีริคสัน (ประเทศไทย) จำกัด และ Look Fan หัวหน้ากลุ่มทุน TechNode “ไฮไลท์ของงานครั้งนี้ จะเป็นเรื่องเทคโนโลยี และเทรนด์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งเทรนด์ที่เกิดขึ้นในการพัฒนาอสังหาฯ ปัจจุบัน คือ การพัฒนาโครงกางการไปตามแนวเส้นทางการเดินทางของคน เช่น ระบบรถไฟฟ้า จากเมื่อก่อนอสังหาฯ จะถูกพัฒนาในเขตซีบีดี ในใจกลางเมืองธุรกิจ แต่วันนี้ไม่ใช่ซีบีดีอาจจะอยู่พื้นที่รอบนอก แต่เดินทางเข้ามาในเมืองได้”สำหรับเทรนด์ตลาดอสังหาฯ ประเทศไทยที่จะเกิดขึ้นในปี 2563 กูรูพร็อพเพอร์ตี้ มองว่าจะมี 7 เรื่องดังนี้   1.ผู้บริโภคยุคมิลเลนเนียล เลือกซื้ออสังหาฯ โดยมองเรื่องการลงทุนเป็นหลัก ต่างจากผู้บริโภคในอดีตที่ต้องการซื้ออสังหาฯ เพื่อการอยู่อาศัยร่วมกับคนในครอบครัว   2.ตลาดอสังหาฯ​ในเมืองไทย มีความหลากหลายมากที่สุด ด้านราคามีตั้งแต่ราคาต่ำสุดไปจนถึงแพงสุด โดยตลาดที่เป็นกลุ่มใหญ่ คือ ตลาดระดับราคาที่คนส่วนใหญ่เข้าถึงได้ ในราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทลงมา   3.ทำเลการพัฒนาอสังหาฯ ยังมุ่งเน้นตามแนวรถไฟฟ้า แต่มีการพัฒนาพื้นที่ใหม่สำหรับตลาดอสังหาฯ อย่างเช่น พื้นที่อีอีซี ทำให้มีการขยายพื้นที่การพัฒนาออกไปรองรับ เช่น โซนบางนา     4.ผู้ประกอบการหันมาพัฒนาโครงการในรูปแบบมิกซ์ยูสเพิ่มมากขึ้น เพื่อสร้างจุดขาย และตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนในยุคปัจจุบันมากขึ้น   5.ทิศทางการพัฒนาอสังหาฯ ในปี 2563 ผู้ประกอบการยังลงทุนต่อเนื่อง แม้ว่าภาพรวมตลาดจะยังไม่เติบโต แต่ไม่ถึงกับติดลบ ซึ่งรูปแบบการพัฒนาจะมีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น มีการพัฒนารูปแบบใหม่ เช่น การพัฒนาที่อยู่อาศัยรวมกับโรงแรม ซึ่งผู้ประกอบการแต่ละรายจะพัฒนารูปแบบโครงการ ตามความถนัดของตนเอง ในแต่ละเซ็กเมนต์   6.ดีเวลลอปเปอร์จะพัฒนาโครงการ โดยขยายตลาดไปสู่กลุ่มเป้าหมายชาวต่างชาติเพิ่มมากขึ้น จากเดิมที่โฟกัสตลาดคนไทยเป็นหลัก โดยเฉพาะในพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญ อาทิ พัทยา และจังหวัดภูเก็ต   7.การนำเอาเทคโนโลยี เข้ามาช่วยในด้านการขายอสังหาฯ เช่น การใช้เทคโนโลยี 3D เพื่อดูห้องตัวอย่างและโครงการ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นในต่างประเทศแล้ว รวมถึงเทคโนโลยีอื่นๆ มีโอกาสที่ถูกนำเข้ามาใช้ประเทศไทย เช่น ฟินเทค ระบบการประเมินคุณสมบัติผู้กู้ซื้ออสังหาฯ ผ่านช่องทางออนไลน์ หรือ Home Loan Pre Approval Online เป็นต้น   “ปีหน้าตลาดอสังหาฯ ยังมีความเคลื่อนไหวอยู่ แต่จะมีความไดนามิกซ์มาก ยังมีการเปิดโปรเจ็กต์ใหม่ แม้จะน้อยลง ผู้ประกอบการแต่ละราย จะปรับตัวไปตามความถนัดของตัวเอง”        
[PR NEWS] มหาจักรเปิดตัว Wisdom Audio : The Sound of Modern  Living  เครื่องเสียงระดับไฮเอนด์

[PR NEWS] มหาจักรเปิดตัว Wisdom Audio : The Sound of Modern Living เครื่องเสียงระดับไฮเอนด์

บริษัท มหาจักรดีเวลอปเมนท์ จำกัด ผู้นำเข้าแบรนด์สินค้าคุณภาพระดับพรีเมียม ในอุตสาหกรรมเครื่องเสียง นำโดย คุณกิตติศักดิ์ กาญจนชัยภูมิ ผู้อำนวยการฝ่าย Consumer ร่วมกับ มร.ลุค กรี-ยม กรรมการผู้จัดการ จาก Wisdom Audio แบรนด์เครื่องเสียงชั้นนำระดับโลกจากประเทศสหรัฐอเมริกา จัดงานเปิดตัว “Wisdom The Sound of Modern Living” ด้วยการนำเสนอประสบการณ์ใหม่ของความบันเทิงระดับไฮเอนด์ จาก Wisdom Audio ณ M-Hall อาคารมหาจักร พร้อมตอบโจทย์ทุกการออกแบบภายในและฟังก์ชันการใช้งานภายในงานได้รับเกียรติจากเซเลบริตี้แถวหน้าของเมืองไทย อาทิ สู่ขวัญ บูลกุล, วสุ วิรัชศิลป์, วริษฐา พรหมมาสา และบุรินทร์ บุญวิสุทธิ์ เข้าร่วมงาน ณ M-Hall อาคารมหาจักรกรุงเทพฯ   มร.ลุค กรี-ยม กรรมการผู้จัดการ จาก บริษัท Wisdom Audio Corporation จำกัด กล่าวว่า “Wisdom Audio เป็นแบรนด์เครื่องเสียงชั้นนำระดับโลก จากประเทศสหรัฐอเมริกา ก้าวล้ำด้วยเทคโนโลยีที่ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างประสบการณ์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยสุดยอดผู้เชี่ยวชาญด้านซาวน์ เอ็นจิเนียร์ สถาปนิก นักออกแบบภายใน และวิศวกรชื่อดังระดับโลก เพื่อให้คุณได้สัมผัสถึงขีดสุดของความสมบูรณ์แบบด้านความบันเทิงอย่างใกล้ชิด ซึ่งคุณอาจจะไม่เคยได้ยินที่โรงภาพยนต์ทั่วไป แต่คุณจะได้ยินที่นี่”   นายกิตติศักดิ์ กาญจนชัยภูมิ ผู้อำนวยการฝ่าย Consumer บริษัท มหาจักรดีเวลอปเมนท์ จำกัด กล่าวว่า “เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ บริษัท มหาจักรดีเวลอปเมนท์ จำกัด ได้รับความไว้วางใจ จากแบรนด์เครื่องเสียงระดับโลกให้เป็นตัวแทนจัดจำหน่าย เพื่อต้องการให้กลุ่มลูกค้าที่รักในเสียงเพลงและชื่นชอบกับการชมภาพยนตร์ ได้สัมผัสกับประสบการณ์พลังเสียงที่สมจริง ได้อรรถรสความบันเทิงระดับไฮเอนด์ที่เหนือกว่าโรงภาพยนตร์ทั่วไป พร้อมตอบโจทย์กับทุกการออกแบบทั้งภายในบ้าน หรือคอนโดมิเนียม ซึ่งเราวางกลุ่มเป้าหมายเป็นลูกค้าระดับไฮเอนด์ที่ต้องการ Customize เพื่อให้เข้ากับ Personalize ของลูกค้าแต่ละคน” ด้วยระบบเสียงที่ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษเอกลักษณ์เฉพาะของ Wisdom Audio ที่ใช้เทคโนโลยี Planar Magnetic Driver เป็นเทคโนโลยีเฉพาะ ที่แบรนด์ Wisdom Audio ได้ประดิษฐ์ขึ้นมา ซึ่งมีน้ำหนักเบา ต่างจาก Driver ทั่วไป ช่วยให้เสียงที่ส่งออกมามีคุณภาพสูง และให้เสียงที่ธรรมชาติสมจริง เพิ่มอรรถรสในทุกไลฟ์สไตล์ต่อการใช้งาน ทั้งฟังเพลงและชมภาพยนตร์ เหมาะสำหรับคนรุ่นใหม่ที่ต้องการความบันเทิงเหนือขีดจำกัด โดยพลังเสียงสุดยอดจากชุดเครื่องเสียง Wisdom 2 Channel และ Wisdom Atmos 9.4.4 Channel ซึ่งเป็นระบบเสียง Surround 9.4.4 Channel ตัวแรกของประเทศไทย มาพร้อมกับ Power Amp, System Controller, Decoder และ Speaker เพื่อการสร้างประสบการณ์เสียงเหนือระดับในแบบทุกทิศทาง 360 องศาอย่างลงตัว ตัวเครื่องผลิตจากวัสดุ Aluminum-Airplane Grade คุณภาพพรีเมียมระดับโลก ช่วยเสริมความแข็งแกร่ง คงทน ทันสมัยและหรูหราไปพร้อมกัน เพื่อให้เครื่องเสียงสุด Luxury เป็นเสมือนเฟอร์นิเจอร์ชิ้นเด่นที่ชูให้บ้านของคุณดูมีระดับกว่าที่เคยเป็นมา  
สรุปข่าวอสังหาริมทรัพย์รอบสัปดาห์ วันที่ 4-10 พฤศจิกายน 2562

สรุปข่าวอสังหาริมทรัพย์รอบสัปดาห์ วันที่ 4-10 พฤศจิกายน 2562

นับตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา วงการอสังหาริมทรัพย์ก็มีข่าวดี หลังจากรอคอยมาตรการกระตุ้นธุรกิจอสังหาฯ ด้วยการลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนการโอนจากเดิม 2% เหลือ 0.01% และลดค่าจดทะเบียนจดจำนองอสังหาริมทรัพย์จากเดิม 1% เหลือ 0.01% สำหรับการซื้อขายที่อยู่อาศัยที่ดินพร้อมอาคารหรือห้องชุด ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ให้มีผลบังคับใช้เสียที หลังจากเดิมที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบมาก่อนหน้า  แต่ยังไม่ได้ระบุว่าจะให้มีผลเมื่อไร โดยมาตรการดังกล่าวได้ประกาศกระทรวงมหาดไทยในราชกิจจานุเบกษา ให้มีผลบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ 2 พฤศจิกายน 2562 เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 24 ธันวาคม 2563 ถือว่าเป็นข่าวดีที่รอคอย ซึ่งทำให้เกิดบรรยากาศความคึกคักมากขึ้น  และเป็นสัญญาณที่ดีต่อภาพรวมของตลาดอสังหาฯ เพราะดีเวลลอปเปอร์หลายราย เริ่มทำแคมเปญออกมารองรับ เพื่อสร้างยอดขายในช่วงเวลาสุดท้ายของปีนี้  แม้ระยะเวลาจะสร้างผลงานเหลือน้อยเต็มทีก็ตาม   ส่วนรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา มีความเคลื่อนไหวอะไรเกิดขึ้นบ้าง ในแวดวงอสังหาฯ​ ตลาดบ้านและคอนโดฯ  ไปอัพเดทกันเลย เปิดทรู ไอคอน ฮอลล์ 2,000 ล้าน หลังการเดินทางของ “ไอคอนสยาม” ศูนย์การค้าบิ๊กโปรเจ็กต์ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ครบรอบ 1 ปี  สิ่งต่างๆ ที่ได้ประกาศว่าจะดำเนินการออกมา ก็เป็นไปตามแผน ล่าสุด ได้เปิด “ทรู ไอคอน ฮอลล์” อย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นศูนย์การประชุมและการจัดแสดงงาน และความบันเทิงต่างๆ แห่งใหม่ของประเทศไทย บนพื้นที่ 12,000 ตารางเมตร ครอบคลุมพื้นที่ชั้น 7 และชั้น 8 ของโครงการไอคอนสยาม โดยถือเป็นศูนย์การประชุมที่ทันสมัยขนาดใหญ่แห่งแรกในพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา   นายสุพจน์ ชัยวัฒน์ศิริกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอคอนสยาม จำกัด เปิดเผยว่า ทรู ไอคอน ฮอลล์ ซึ่งเป็นหนึ่งใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของไอคอนสยาม คืออีกหนึ่งสถานที่ที่เป็นความภาคภูมิใจของชาติ และเป็นศูนย์การประชุม การจัดแสดงงานและความบันเทิงที่ล้ำสมัยที่สุดเท่าที่ประเทศไทยเคยมีมา ซึ่งจะดึงดูดงานประชุมและการแสดงที่สำคัญและเหนือระดับอย่างไม่เคยมีมาก่อน เข้าสู่ประเทศไทย โดยความโดดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์ของ ทรู ไอคอน ฮอลล์ อยู่ที่ทัศนียภาพที่สวยงามอลังการแบบพาโนรามาของแม่น้ำเจ้าพระยา”   “การเปิดทรู ไอคอน ฮอลล์ จะเป็นตัวขับเคลื่อนที่ทรงพลังตัวใหม่ ที่มาช่วยกระตุ้นอุตสาหกรรมไมซ์ (Meetings, Incentives, Conventions & Exhibitions: MICE) ของไทยให้เติบโต รวมทั้งช่วยกระตุ้นการพัฒนาพื้นที่ฝั่งธนบุรีด้วย นอกจากนั้น ยังช่วยให้โรงแรมระดับ 4-5 ดาวริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยามีอัตราการเข้าพักสูงขึ้น ตอกย้ำความเป็นจุดหมายปลายทางระดับโลกแห่งใหม่ของแม่น้ำเจ้าพระยาได้เป็นอย่างดี”   กลุ่มทุนไต้หวันเดินหน้าลุยอสังหาฯ การเปิดตัวโครงการใหม่ ยังมีออกมาอย่างต่อเนื่อง และไม่ใช่เฉพาะผู้ประกอบการคนไทยเท่านั้น โครงการจากกลุ่มทุนต่างชาติก็มีออกมาต่อเนื่องเช่นกัน  เพราะยังคงมั่นใจในตลาดอสังหาฯ  เมืองไทย ล่าสุด กลุ่มทุนจากไต้หวัน ‘พีทีเอฟ เรียลตี้’ เปิดโครงการ  “MAYFAIR PLACE VICTORY MONUMENT ” มูลค่าโครงการ 1,200 ล้านบาท ด้วยการชูจุดขายในเรื่องการันตีผลตอบแทน Yield 5% นาน 2 ปี นายถงหยุ่ย โทนี่ ยิ่ง กรรมการผู้บริหาร บริษัท พีทีเอฟ เรียลตี้ (2018) จํากัด ในเครือ พีทีเอฟ เรียลตี้ เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในไทยว่า แม้ในปีนี้ตลาดจะอยู่ในภาวะชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจ แต่ก็ยังเชื่อมั่นว่าในอนาคตจะกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นในอีก 1-2 ปี ข้างหน้า ในขณะเดียวกันตลาดผู้บริโภคยังมีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัย และประเทศไทยมีแนวโน้มการลงทุนที่ดี เมื่อเทียบกับหลายประเทศในภูมิภาคอาเซียนด้วยกัน   สำหรับในส่วนของกลุ่มบริษัทพีทีเอฟ เรียลตี้นั้น ได้มีการลงทุนในธุรกิจอสังหาฯมาอย่างต่อเนื่องตลอดกว่า 10 ปีที่เข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศไทย แต่การลงทุนพัฒนาอสังหาฯของบริษัทฯนั้นจะเป็นในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป ไม่หวือหวาซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมมาแล้ว 4 โครงการรวมมูลค่ากว่า 5,400 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการคอนโด เดอะ ราชดำริ, โครงการเมแฟร์ เพลส สุขุมวิท 64 ,โครงการเมแฟร์ เพลส สุขุมวิท 50 โดยทั้ง 3 โครงการดังกล่าวปิดการขายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนโครงการที่ 4 คือโครงการDEFINE by Mayfair สุขุมวิท 50 ปัจจุบันมียอดขายกว่า 60% จากมูลค่าโครงการ 800 ล้านบาท เริ่มก่อสร้าง ปี 2562 คาดว่าจะแล้วเสร็จปลายปี 2563 (อ่านข่าวเพิ่มเติม) เปิดตัว “สมาคมไทยบิม” รับมือดิจิทัล เป็นเพราะเทคโนโลยี และดิจิทัลได้เข้ามามีส่วนสำคัญในชีวิตของคนปัจจุบันในทุกเรื่อง ส่งผลให้ทุกวงการต้องปรับตัวรับมือให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว รวมถึงวงการก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ไทยด้วย  โดยเฉพาะในเรื่องการออกแบบและการก่อสร้าง เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญ  อย่างเช่นการออกแบบ 3 มิติ ที่ใช้คอมพิวเตอร์อย่าง “BIM” (Building Information Modeling) แต่เพื่อเป็นมาตรฐานและการยอมรับในระดับสากล จำเป็นต้องมีคนมาคอยตรวจสอบและกำกับดูแล ทำให้เกิดมีการจัดตั้งเป็นสมาคมแบบจำลองสารสนเทศอาคาร (TBIM) ขึ้นมา   ศ.ดร.อมร พิมานมาศ ศาสตราจารย์สาขาวิศวกรรมโยธา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในฐานะนายกสมาคมแบบจำลองสารสนเทศอาคาร (TBIM) เปิดเผยว่า ในอนาคตเทคโนโลยีจะเข้ามา Disrupt ธุรกิจก่อสร้างมากยิ่งขึ้น ทำให้อุตสาหกรรมก่อสร้างและงานออกแบบของไทยต้องเร่งพัฒนาศักยภาพและเพิ่มประสิทธิภาพด้านงานออกแบบรองรับเศรษฐกิจยุคไทยแลนด์ 4.0 เป็นการปฏิรูปหรือปฏิวัติอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยโฉมใหม่ทั้งระบบ เพื่อสามารถแข่งขันกับต่างชาติได้ทุกรูปแบบและองค์กรเติบโตก้าวทันกระแสการพัฒนาของโลก   เนื่องจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ต่างชาติในปัจจุบันนี้กำลังเปลี่ยนโฉมงานออกแบบใหม่ไปสู่ระบบ 3 มิติ ด้วยการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า “BIM” (Building Information Modeling)  ซึ่งในขณะนี้กระบวนการ BIM ในประเทศไทย ยังไม่มีมาตรฐานการทำงานที่ชัดเจน จึงมีความจำเป็นที่จะต้องมีองค์กรกลาง คือ สมาคมแบบจำลองสารสนเทศอาคาร (Thai Building Information Modeling Association; TBIM) เพื่อช่วยสร้างกรอบการทำงาน และมาตรฐานให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน   โดยระบบ BIM จะสร้างแบบจำลองเสมือนจริงใน Computer ทำให้ผู้ทำงานเกี่ยวข้องสามารถเห็นส่วนประกอบทุกส่วนตรงกัน โดย BIM จะสร้างเป็นโมเดล 3 มิติขึ้นมาพร้อมกับ Intelligent Information อาทิ รายละเอียดวัสดุ เพื่อคำนวนปริมาณวัสดุก่อสร้าง ปรับปรุงกระบวนการออกแบบก่อสร้างและคำนวนพลังงานที่จะใช้ในอาคาร สร้างแบบจำลอง หรือ Digital Prototype Model ที่เสมือนจริง และเปลี่ยนจากการสร้างแบบบนกระดาษมาสู่เทคโนโลยีดิจิทัลและประสานข้อมูลบน Cloud สะดวกในการทำงานนอกสถานที่โดยสามารถใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อย่าง Tablet ได้อีกด้วย ซึ่งจะนำไปสู่การส่งมอบอาคารที่มีคุณภาพสูงขึ้นจากมาตรฐานของตลาดในปัจจุบัน (อ่านข่าวเพิ่มเติม)   เมืองไทยประกันชีวิต ลุยธุรกิจอสังหาฯ ดูเหมือนธุรกิจอสังหาฯ จะเป็นตลาดที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนเป็นที่น่าพอใจ ทำให้หลายคนอยากเข้ามาเป็นผู้ประกอกบการด้านอสังหาฯ ไม่เว้นแม้กระทั้งเมืองไทยประกันชีวิต ที่ได้กระโดดเข้ามาพัฒนาโครงการสำนักงานให้เช่า เพราะมองเห็นโอกาสจากความต้องการที่มีอยู่มากมาย ประกอบกับเคยมีประสบการณ์บริหารอาคารเมืองไทยภัทรมาก่อน ล่าสุด จึงเปิดตัวโครงการอาคารสำนักงาน 66 Tower (ซิคตี้ซิกส์ ทาวเวอร์)    นายสาระ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ MTL เปิดเผยว่า ได้ขยายธุรกิจมาสู่อสังหาริมทรัพย์  ด้วยการลงทุนพัฒนาโครงการอาคารสำนักงานเกรด A ภายใต้ชื่อ 66 Tower (ซิคตี้ซิกส์ ทาวเวอร์) มูลค่า 3,800 ล้านบาท บนเนื้อที่ 4 ไร่ อยู่บริเวณถนนสุขุมวิท 66 ห่างจากสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส อุดมสุข 150 เมตร ปัจจุบันได้ก่อสร้างแล้ว 15% มีกำหนดแล้วเสร็จในไตรมาส 2 ปี 2564 (อ่านข่าวเพิ่มเติม) “ASA” จัดงาน ASA Real Estate Forum 2019 ปิดท้ายกับการจัดงานอาษา เรียลเอสเตท ฟอรัม 2019 ( ASA Real Estate Forum 2019 ) โดยสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ (ASA) ภายใต้คอนเซ็ปต์งาน  “เมืองอัจฉริยะ เมืองนวัตกรรม เมืองเพื่อทุกคน” ชวนทุกภาคส่วนร่วมวางรากฐานสร้างเมืองอัจฉริยะเมืองนวัตกรรม ชูการสร้างเอกลักษณ์เมือง (City Identity) เน้นความต่างเป็นจุดขายเพื่อพัฒนาเมืองแห่งอนาคตที่ยั่งยืน   นายอัชชพล ดุสิตนานนท์ นายกสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดเผยว่า ในการสร้างเมืองอัจฉริยะและเมืองนวัตกรรมมีจุดมุ่งหมายเพื่อยกระดับคุณภาพของประชาชนอย่างตรงจุด โดยการนำเทคโนโลยีเข้าไปปรับใช้ พร้อมกับการออกแบบโครงสร้างอาคาร ที่อยู่อาศัยให้เกิดประโยชน์การใช้สอยอย่างเต็มประสิทธิภาพ และตอบสนองความต้องการของประชาชนในแต่ละพื้นที่ เนื่องจากในแต่ละพื้นที่ มีอาชีพและวิถีชีวิตที่ต่างกัน ในการพัฒนาเมืองอัจฉริยะและเมืองนวัตกรรม จึงต้องสร้างเมืองที่มีความโดดเด่นเฉพาะตัว (City Identity) กำหนดทิศทางที่ชัดเจนและสอดรับกับความต้องการในพื้นที่   โดยที่ผ่านมาภาครัฐได้มีการวางองค์ประกอบของเมืองอัจฉริยะใน 7 ด้าน ที่ช่วยให้แต่ละพื้นที่ มีทิศทางการพัฒนาที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ประกอบด้วย 1. Smart Environment สิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ 2. Smart Government การปกครองอัจฉริยะ 3. Smart Mobility การสัญจรอัจฉริยะ 4. Smart Energy พลังงานอัจฉริยะ 5. Smart Economy เศรษฐกิจอัจฉริยะ 6. Smart Living การใช้ชีวิตอัจฉริยะ และ 7. Smart People ประชาชนอัจฉริยะ   ภายในงานมีการถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ผ่านงานสัมมนา อาทิ สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย สมาคมการผังเมืองไทย สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) อีกทั้งในการจัดงานครั้งนี้ยังได้รับเกียรติจาก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี บรรยายในหัวข้อ อนาคตประเทศไทย อนาคตเมืองนวัตกรรมสำหรับทุกคน และนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีตรองนายกรัฐมนตรี บรรยายในหัวข้อ Thailand : Country of Opportunities & Equality    
[PR News] ตั้งสมาคม TBIM รับมือเทคโนโลยี Disrupt

[PR News] ตั้งสมาคม TBIM รับมือเทคโนโลยี Disrupt

รัฐ-เอกชน จับมือตั้ง สมาคม TBIM รับมือธุรกิจอสังหาฯ -ก่อสร้าง เจอเทคโนโลยี Disrupt หวังสร้างมาตรฐานการออกแบบ BIM พร้อมยกระดับคนในวงการ เพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขัน   ศ.ดร.อมร พิมานมาศ ศาสตราจารย์สาขาวิศวกรรมโยธา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในฐานะนายกสมาคมแบบจำลองสารสนเทศอาคาร (TBIM) เปิดเผยว่า  จากการที่เทคโนโลยีเข้ามา Disrupt ธุรกิจมากยิ่งขึ้น รวมถึงธุรกิจก่อสร้าง ทำให้อุตสาหกรรมก่อสร้างและงานออกแบบ ต้องเร่งพัฒนาศักยภาพและเพิ่มประสิทธิภาพ เพื่อรับมือกับการ Disrupt ของเทคโนโลยี  รวมถึงเพิ่มความสามารถด้านการแข่งขันให้กับธุรกิจ เพื่อแข่งขันกับต่างชาติได้ทุกรูปแบบ   โดยเฉพาะปัจจุบันการออกแบบในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์  ได้พัฒนานำเอาเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการออบแบบ ด้วยระบบคอมพิวเตอร์แบบ 3 มิติ  ที่เรียกว่า “BIM” (Building Information Modeling) แต่พบว่ากระบวนการ BIM ในประเทศไทย ยังไม่มีมาตรฐานการทำงานที่ชัดเจน  จึงมีความจำเป็นที่จะต้องมีองค์กรกลาง คือ สมาคมแบบจำลองสารสนเทศอาคาร (Thai Building Information Modeling Association; TBIM) เพื่อช่วยสร้างกรอบการทำงาน และมาตรฐานให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน   สำหรับสมาคมแบบจำลองสารสนเทศอาคาร  ประกอบด้วย คณะกรรมการที่มาจากหลากหลายสาขาวิชาชีพและหลากหลายองค์กร เช่น สถาปนิกและวิศวกรผู้ทรงคุณวุฒิจากภาครัฐ ภาคการศึกษา และภาคเอกชนที่มีความสนใจ BIM มาใช้ในการทำงานให้สอดคล้องไปในทางเดียวกันภายใต้มาตรฐานและข้อกำหนดต่างๆ ที่ใช้สำหรับการทำงานให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน  โดยมีการจัดตั้งคณะอนุกรรมการร่างมาตรฐานการทำงานด้วยระบบ BIM ขึ้น ซึ่งคาดว่าจะสามารถใช้งานมาตรฐานดังกล่าวได้ภายในปี 2563   ขณะเดียวกัน เพื่อเป็นการเผยแพร่ความรู้  และพัฒนาความสามารถในการทำงาน ของผู้ที่ทำงานด้วยระบบ BIM ทั้งกับสมาชิกและบุคคลภายนอก ทางสมาคมจึงเตรียมพัฒนาหลักสูตรอบรม-สัมมนา เพื่ออบรมให้ความรู้ในช่วงต้นปี 2563 ด้วย   สำหรับการทำงานของระบบ BIM จะสร้างแบบจำลองเสมือนจริงในคอมพิวเตอร์ ทำให้ผู้ทำงานเกี่ยวข้องสามารถเห็นส่วนประกอบทุกส่วนตรงกัน โดย BIM จะสร้างเป็นโมเดล 3 มิติขึ้นมาพร้อมกับ Intelligent Information อาทิ รายละเอียดวัสดุ เพื่อคำนวนปริมาณวัสดุก่อสร้าง ปรับปรุงกระบวนการออกแบบก่อสร้างและคำนวนพลังงานที่จะใช้ในอาคาร สร้างแบบจำลอง หรือ Digital Prototype Model ที่เสมือนจริง และเปลี่ยนจากการสร้างแบบบนกระดาษมาสู่เทคโนโลยีดิจิทัลและประสานข้อมูลบน Cloud สะดวกในการทำงานนอกสถานที่โดยสามารถใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อย่าง Tablet ได้อีกด้วย ซึ่งจะนำไปสู่การส่งมอบอาคารที่มีคุณภาพสูงขึ้นจากมาตรฐานของตลาดในปัจจุบัน   ปัจจุบันมีผู้พัฒนาโครงการก่อสร้างทั้งภาครัฐและเอกชนของไทยได้นำเทคโนโลยีระบบ BIM เข้ามาใช้ในงานก่อสร้างแล้ว อาทิ สถานีโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสายสีส้ม ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย และโครงการ แอชตัน อโศก ของบริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ส่วนในภูมิภาคอาเซียนมีประเทศสิงคโปร์เป็นผู้นำในการใช้ BIM ในการพัฒนาโครงการก่อสร้าง “การนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาช่วยในการสร้างโมเดล พิมพ์เขียวโครงการก่อสร้าง 3 มิติ หรือ BIM จะเข้ามามีบทบาทในอุตสาหกรรมโครงการก่อสร้างหรืออาคารประเภทต่างๆ มากขึ้น และเห็นแนวโน้มชัดเจนขึ้นภายใน 5 ปีข้างหน้านี้ทันทีที่เทคโนโลยี 5G เกิดขึ้นในประเทศไทย”  ศ.ดร.อมร กล่าว  
[PR News] ESRI จับมือ ม.ธรรมศาสตร์ ผลิตบุคลากรด้าน GIS ป้อนตลาดอสังหาฯ

[PR News] ESRI จับมือ ม.ธรรมศาสตร์ ผลิตบุคลากรด้าน GIS ป้อนตลาดอสังหาฯ

อีเอสอาร์ไอ จับมือ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี ม.ธรรมศาสตร์ นำความรู้ด้าน GIS บรรจุในหลักสูตรปริญญาโท เพิ่มทักษะนักศึกษา ป้อนสู่ตลาดแรงงานในธุรกิจอสังหาฯ หลังพบเป็นทักษะที่ตลาดแรงงานต้องการมากที่สุด ตั้งเป้าผลิตบุคลากรปีละกว่า 100 คน   นางสาวธนพร ฐิติสวัสดิ์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท อีเอสอาร์ไอ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ ESRI เปิดเผยว่า ปัจจุบันเทคโนโลยีได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจ ซึ่งธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ติดอันดับ 1 ที่มีความต้องการบุคลากรที่มีทักษะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) สูงสุดในตลาดแรงงาน อาทิ เว็บไซต์ Indeed.com มีความต้องการบุคลากรด้าน GIS มากถึง 11,000 ตำแหน่ง ซึ่งแนวโน้มความต้องการแรงงานดังกล่าวในประเทศไทยก็มีเพิ่มสูงมากเช่นกัน จากแนวโน้มความต้องการแรงงานดังกล่าว บริษัทจึงร่วมมือกับคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี  มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นำความรู้ด้าน GIS บรรจุในหลักสูตรปริญญาโท ภาควิชาอสังหาริมทรัพย์ ในวิชาเทคโนโลยีกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยจะเน้นการเรียนการสอนไปที่การทำความรู้จักกับเทคโนโลยี GIS ArcGIS Pro การวิเคราะห์ด้วย ArcGIS Pro, Site Selection การวิเคราะห์ทำเลที่เหมาะสมสำหรับด้านอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น เพื่อมุ่งสร้างความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน  และขีดความสามารถในการผลิตบุคลากรที่มีศักยภาพสู่อุตสาหกรรมอสังหาฯ   นางสาวธนพร กล่าวว่า หลักสูตรดังกล่าวได้เริ่มเปิดสอนแล้ว โดยเป็นการบรรยายเกี่ยวกับ GIS นับเป็น 6 คลาสเรียน ต่อ 1 คอร์ส จากทั้งหมด 14 คลาสเรียน โดยมีเนื้อหาการบรรยาย คือ แนะนำระบบภูมิสารสนเทศ การใช้งานซอฟต์แวร์ ArcGIS การนำเข้าข้อมูล การสร้างข้อมูลเชิงพื้นที่ การสร้างเว็บแอปพลิเคชันสำหรับการติดตาม แก้ไขข้อมูลแปลงที่ดิน การประยุกต์ใช้เครื่องมือเพื่อวางแผน จัดการโครงการอสังหาริมทรัพย์ การวิเคราะห์เชิงพื้นที่เพื่อหาความเหมาะสมกับข้อมูลประชากร (Suitability Analysis) การวิเคราะห์เชิงพื้นที่เพื่อหาความเหมาะสมของที่ตั้งของอสังหาริมทรัพย์ การใช้เครื่องมือภูมิสารสนเทศ  เพื่อสร้างแผนที่ และจัดทำระวางแผนที่ และส่งออกข้อมูลในรูปแบบตาราง การสร้าง Operations Dashboard เพื่อสรุปผลการวิเคราะห์ข้อมูลในรูปแบบของกราฟต่างๆ โดยหลังเปิดหลักสูตรมีบุคลากรสายงานอสังหาฯ สนใจสมัครเรียนแล้วถึง 79% นักศึกษาทั่วไป 11% และคนที่ทำงานสาขาอื่น 10% ซึ่งทางมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตั้งเป้าผลิตบุคลากรด้าน GIS สู่แวดวงอสังหาฯ เพิ่มปีละกว่า 100 คน   ด้าน รองศาสตราจารย์ ดร. พิภพ อุดร คณบดี คณะพาณิชย ศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า เทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทอย่างมากกับวงการอสังหาฯ ตลอดจนหน่วยงานต่างๆ ระดับประเทศ ก็ใช้เทคโนโลยีมาขับเคลื่อน ด้านการศึกษา การนำเทคโนโลยี GIS มาปรับเข้ากับการเรียนการสอน เป็นโอกาสที่ให้ผู้เรียนได้มีโอกาสลงมือจริง ได้ใช้เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพมาใช้งานจริง ไม่จำเป็นต้องออกไปข้างนอกหรือลงเห็นสถานที่จริง เป็นการลดต้นทุนในเรื่องของเวลา เพิ่มศักยภาพในการใช้เทคโนโลยี หรือเครื่องมือ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นการเพิ่มมูลค่าของผู้เรียนในสภาพการแข่งขันของธุรกิจและแรงงานคน ซึ่งนำไปต่อยอดสำหรับการทำงานในอนาคตได้จริง   ภาควิชาเทคโนโลยีกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์  เปิดการเรียนการสอนมาแล้ว 30 ปี ซึ่งทางมหาวิทยาลัยได้ปรับปรุงคุณภาพการเรียนการสอนอยู่เสมอ และการตัดสินใจนำเทคโนโลยี GIS เข้ามาใช้ในการเรียนการสอนในครั้งนี้ เพื่อปูทางสู่การเรียนการสอนแบบลงมือปฏิบัติจริง practical learning มากยิ่งขึ้น โดยมองเห็น 3 สิ่งสำคัญคือ Innovative, Practical, Connected.   สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้ จะช่วยให้นักศึกษาได้เรียนรู้จากข้อมูลเรียลไทม์ ในแบบจำลองที่เสมือนจริง เสมือนได้ทำงานจริง เห็นปัญหาและการแก้ไขปัญหาที่แท้จริง นำมาสู่ความคิดที่เป็น Innovative กล้าคิด กล้าทำ ลงมือทำจริง เกิดเป็น Practical Knowledge และส่งผลให้เค้าเหล่านี้เป็นตัวเชื่อมระหว่างภาคการศึกษา ภาคธุรกิจ และสังคม ในภาพกว้าง คือการสร้างสรรค์ผลงานจากความรู้ ที่มีประสิทธิภาพต่อการดำเนินงาน และส่งผลให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาสังคมต่อไป
ทำความรู้จัก Hybrid Living นวัตกรรมที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิต

ทำความรู้จัก Hybrid Living นวัตกรรมที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิต

  แน่นอนว่า “บ้าน” คือ 1 ในปัจจัย 4 ที่จำเป็นในการใช้ชีวิต หน้าที่หลักของบ้าน คือ สถานที่พักอาศัย เป็นสถานที่ “กิน-อยู่-หลับนอน” แต่บ้านที่ดีไม่ได้มีคุณค่าแค่ทำให้การพักอาศัยมีความสะดวกสบาย และความปลอดภัยเท่านั้น แต่บ้านที่ดีต้องสามารถสร้างคุณค่าของความเป็นอยู่โดยรวม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความสุข ความอบอุ่น ความสบายใจ และเป็นสถานที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับชีวิต ไปจนถึงการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีของการอยู่อาศัยด้วย   แนวคิดในการพัฒนาที่อยู่อาศัยในปัจจุบัน จึงไม่ได้มุ่งตอบโจทย์แค่เรื่อง “ฟังก์ชั่น” การใช้งาน เพื่อการอยู่อาศัยเท่านั้น แต่มุ่งตอบสนองความต้องการใช้ชีวิต ที่มีคุณภาพของผู้อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นการอยู่ภายในบ้าน หรือภายในชุมชนรอบข้าง ด้วยการยึดเอาไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัยเป็นหัวใจสำคัญ โดยเฉพาะคนในยุคปัจจุบัน ซึ่งมีไลฟ์สไตล์หลากหลาย ไม่ได้มีบทบาทและหน้าที่เพียงอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น แต่มีบทบาทและหน้าที่หลากหลายในคนๆ เดียว บ้านที่ดีจึงต้องตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของผู้อยู่อาศัย     การพัฒนาที่อยู่อาศัย ผู้ประกอบการจึงต้องตอบสนองความต้องการเหล่านั้นให้ครบ และยังต้องมีคุณภาพที่ดีด้วย โดยเฉพาะกับการอยู่อาศัยในโครงการบ้านเดี่ยว เพราะเป็นการอยู่อาศัยกับคนหลายเจเนอเรชั่น คนแต่ละช่วงอายุ มีความต้องการหลากหลาย และไลฟ์สไตล์ที่แตกต่าง แต่ทุกคนต้องอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข และมีคุณภาพชีวิตที่ดี   AP หรือ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย ได้เห็นถึงความต้องการของคนในยุคปัจจุบัน ซึ่งมุ่งหวังการใช้ชีวิตภายในบ้าน ที่สามารถเติมเต็มคุณภาพชีวิตได้ในทุกไลฟ์สไตล์ของทุกคน จึงได้พัฒนาบ้านเดี่ยวภายใต้แนวคิด Hybrid Living นวัตกรรมบ้านเดี่ยวที่เข้าใจชีวิต จากการศึกษาค้นคว้าข้อมูลของคนยุคปัจจุบัน ซึ่งพบว่า มีความต้องการที่หลากหลาย ต้องการความสะดวกสบาย โดยเฉพาะความสะดวกสบายจากเทคโนโลยี   Hybrid Living นวัตกรรมบ้านเดี่ยวที่เข้าใจชีวิต คือ การนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ใช้ กับโครงการบ้านเดี่ยวของ AP ทั้งภายในตัวบ้านและภายนอกบ้าน ทำให้ทุกฟังก์ชั่นของบ้าน สร้างสรรค์ประโยชน์สูงสุดให้กับผู้อยู่อาศัย มีการผสมผสานฟังก์ชั่นบ้าน ให้เข้ากับเทคโนโลยีพลังงานทดแทน และระบบสมาร์ทโฮม ถือเป็นนวัตกรรมของการใช้ชีวิตในรูปแบบ Hybrid Living อย่างแท้จริง     Hybrid Living ตอบโจทย์การใช้ชีวิตได้อย่างไร?   หากมองไปในท้องตลาดตอนนี้ใครๆ ก็พูดถึงระบบสมาร์ทโฮม หรือ โฮมออโตเมชั่น ด้วยการนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาทำให้การอยู่อาศัยสะดวกสบาย กับเทคโนโลยีสารพัด เป็นจุดขายของโครงการอสังหาริมทรัพย์ แต่สำหรับ AP แนวคิด Hybrid Living นวัตกรรมบ้านเดี่ยวที่เข้าใจชีวิต พัฒนาโครงการบนแนวคิดที่เชื่อว่า ตัวตนคุณไม่ได้มีแค่หนึ่งคำจำกัดความ ความต้องการของการอยู่อาศัยจึงไม่ได้มีเพียงด้านเดียว บางคนอยากทำงาน แต่ก็อยากเที่ยว บางคนอยากหลีกหนีความวุ่นวาย แต่ก็อยากเชื่อมต่อกับโลกออนไลน์ บางคนอยากอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ แต่ก็ชอบความสะดวกสบายของเมือง และบางคนอยากพักผ่อนที่บ้าน แต่ก็อยากสังสรรค์กับเพื่อนๆ เป็นต้น     เมื่อโจทย์ความต้องการของคนยุคปัจจุบันมีความหลากหลายเช่นนี้ แนวคิดของ Hybrid Living นวัตกรรมบ้านเดี่ยวที่เข้าใจชีวิต จึงถูกพัฒนาบน 4 องค์ประกอบหลักสำคัญ เพื่อให้ทุกความต้องการได้รับการตอบสนอง   1. Cost-saving-ค่าใช้จ่ายส่วนกลางถูกลงด้วยเทคโนโลยี ในยุคที่คนเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้ง่าย ทำให้คนยุคปัจจุบันมุ่งเน้นเรื่องของ “ความคุ้มค่า” โดยเฉพาะการใช้จ่าย ผู้บริโภคยุคปัจจุบันมีทางเลือกมากมาย ในการซื้อสินค้าหรือบริการ ทำให้ทุกการใช้จ่ายยืนอยู่บนเหตุผลมากกว่าอารมณ์ ซึ่ง AP เข้าใจในเรื่องความคุ้มค่านี้ดี จึงเลือกพัฒนาสาธารณูปโภคภายในโครงการบ้านเดี่ยว ด้วยนวัตกรรมที่ช่วยให้ลูกบ้านประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากที่สุด อาทิ นวัตกรรมพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Power system) และระบบกำจัดน้ำเสีย (Greywater Recycle system) ซึ่งนำน้ำมาบำบัดเพื่อใช้รดต้นไม่ในโครงการ เป็นต้น ทำให้ค่าใช้จ่ายส่วนกลางลดลง เมื่อเทียบกับโครงการที่ไม่ได้ติดตั้งระบบนี้   2. Security-ความปลอดภัยในทุกไลฟ์สไตล์ บ้านแค่อยู่อาศัยแล้วสบายคงไม่เพียงพอ แต่ต้องมีความปลอดภัย ทั้งทรัพย์สินและชีวิตของผู้อยู่อาศัยภายในบ้าน นอกจากระบบรักษาความของโครงการ ไม่ว่าจะเป็น รปภ. กล้องวงจรปิด ระบบคีย์การ์ด ฯลฯ สิ่งเหล่านี้มีเป็นเรื่องพื้นฐานจำเป็นอยู่แล้ว แต่แนวคิดของ Hybrid Living ของ AP ต้องตอบโจทย์การดูแลความปลอดภัยได้มากกว่า ไม่ว่าจะเป็น   ระบบเซ็นเซอร์ประตู หน้าต่าง และเซ็นเซอร์ตรวจจับ ความเคลื่อนไหว ให้เจ้าของบ้านได้มั่นใจ แม้ว่าจะออกไปทำงานหรือเดินทางท่องเที่ยว เพราะจะมีระบบจะแจ้งเตือนผ่าน Application พร้อมส่งเสียงเตือนเมื่ออยู่ในโหมด “Alarm” ช่วยแจ้งเตือนเมื่อตรวจพบการเปิด-ปิดของประตูหรือหน้าต่าง หรือตรวจเจอการเคลื่อนไหวในบ้าน หรือจะดูความเป็นไปของคนภายในบ้าน สามารถทำได้ด้วยการดูผ่านกล้อง IP Camera จาก Application ได้แบบ Live Stream     แม้แต่ปัญหาประจำที่ทุกคนจะต้องเจอ เช่น การลืมกุญแจบ้าน ก็ไม่ใช่ปัญหาต้องจ้างช่างมาไขประตูเข้าบ้านอีกต่อไป เพราะระบบ Digital Door Lock ช่วยแก้ปัญหาได้ สามารถสั่งงานผ่าน Application ได้ หรือจะสั่งเปิดประตูให้กับแม่บ้านเพื่อเข้ามาทำความสะอาด ระบบก็มี Pin Code ชั่วคราวที่ใช้ได้ครั้งเดียวให้ เจ้าของบ้านอยู่ที่ไหนก็ใช้งานได้สะดวก เหมาะกับการวิถีชีวิตคนยุค 4.0   ที่สำคัญการพักอาศัยอยู่กับคนหลายเจเนอเรชั่น โดยเฉพาะผู้สูงอายุ บางครั้งลูกหลานออกไปทำงาน หรือเดินทางท่องเที่ยว ต้องให้ผู้สูงอายุอยู่โดยลำพัง ก็หมดห่วงกับสิ่งที่ AP คิดมาให้ เพื่อดูแลผู้สูงอายุ กับปุ่มเรียกฉุกเฉินในยามคับขัน พร้อมทั้งมีเซนเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหวที่เตียงนอน เพื่อเปิดไฟทางเดินสู่ห้องน้ำแบบอัตโนมัติในตอนกลางคืน หรือการดูแลที่ดีขึ้นไปอีก กับการส่งสัญญาณเตือนและภาพ Live Stream จาก IP Camera ไปยัง Application ในโทรศัพท์มือถือ หากไม่พบการเคลื่อนไหวของผู้อยู่อาศัยในห้อง เพื่อขอความช่วยเหลือในกรณีที่ผู้สูงอายุเกิดล้ม ถือเป็นแนวทางการพัฒนาที่สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนได้ทุกเจเนอเรชั่นจริงๆ   3. Comfort-ความสบายแค่ปลายนิ้วสั่งงาน เรื่องความสะดวกสบายในการอยู่อาศัย แม้จะเป็นเรื่องพื้นฐานที่บ้านต้องตอบโจทย์ แต่เพราะปัจจุบันเป็นยุคที่มีเทคโนโลยีดิจิทัล ทำให้ความสะดวกสบายต้องเป็นเรื่องที่พัฒนามากขึ้น โดยเฉพาะการนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาผสมผสานการดูแลบ้าน และให้ผู้อยู่อาศัยสั่งงานผ่านสมาร์ทโฟนได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้าน ที่ AP นำระบบควบคุมอุปกรณ์ ไฟฟ้าอัจฉริยะในบ้าน Smart Home Gateway and Security Module มาดูแลความสบายของคุณและครอบครัว   การใช้ระบบควบคุมไฟแสงสว่าง Lighting Control ที่สามารถเปิด-ปิด ผ่านสวิตช์ และ Application ทำงานคู่กับระบบ Motion Sensor ช่วยตรวจจับความเคลื่อนไหว และความสว่างในบ้าน และระบบพัดลม Air Flow ระบบควบคุมเครื่องกรองอากาศอัจฉริยะ แม้แต่ชีวิตนอกบ้าน เทคโนโลยีก็ยังเข้ามาทำให้มีความสะดวกสบาย อาทิ ระบบตั้งเวลา Sprinkle รดน้ำต้นไม้ ผ่านสวิตช์ และ Application ระบบ Gate Controller ควบคุมเปิด-ปิด มอเตอร์ประตูรั้วบ้าน ผ่าน Application ระบบ Digital Door Lock เป็นต้น   4. Community-ดูแลชุมชนปลอดภัย 24 ชั่วโมง การอยู่อาศัยภายในบ้าน แม้ว่าจะได้รับความสะดวกสบาย และความปลอดภัย ด้วยเทคโนโลยีซึ่งเติมเต็มให้กับการอยู่อาศัย สิ่งที่ละเลยไม่ได้กับการอยู่อาศัยภายในโครงการบ้านเดี่ยว AP คือ การสร้างสรรค์ให้เกิดสังคมแห่งความสงบสุข จากการอยู่ร่วมกันของผู้อยู่อาศัยในโครงการ เพราะ AP เชื่อว่า “เพื่อนบ้านที่ดี” คือ ปัจจัยสำคัญของการอยู่ร่วมกันในชุมชน จึงได้สร้างสรรค์ Katsan Application เพื่อสื่อสารกับพนักงานรักษาความปลอดภัยหน้าโครงการ เมื่อมีแขกมาเยือน ระบบจะส่งการแจ้งเตือนไปยังมือถือของคุณ   นอกจากนี้ ยังช่วยคัดแยกรถต้องสงสัย และแจ้งเตือนพนักงานรักษาความปลอดภัย เมื่อมีรถสาธารณะอยู่เกินเวลา ในกรณีฉุกเฉินยังสามารถใช้กดเรียกพนักงานรักษาความปลอดภัย ตำรวจ หรือรถพยาบาลได้แค่ปลายสัมผัส ทำให้การอยู่ร่วมกันของคนในชุมชนได้รับความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง เป็นชุมชนที่น่าอยู่อาศัย และสามารถสร้างคุณภาพชีวิตให้กับทุกคนในโครงการบ้านเดี่ยวของ AP     องค์ประกอบทั้งหมดที่ AP นำมาใช้พัฒนาโครงการบ้านเดี่ยว ภายใต้แนวคิด Hybrid Living นวัตกรรมบ้านเดี่ยวที่เข้าใจชีวิต จึงเป็นคำตอบของการอยู่อาศัยในยุคดิจิทัล 4.0 ที่ไม่ได้ต้องการแค่ความสะดวกสบายเมื่ออยู่ในบ้านเท่านั้น แต่หมายถึงการเติมเต็มคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้กับผู้อยู่อาศัยในทุกเจเนอเรชั่นด้วย   อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.apthai.com/HybridLiving/  
[PR News] พฤกษา ผนึก 4 พันธมิตร  สร้างการใช้ชีวิตที่เป็นมิตรกับธรรมชาติ  

[PR News] พฤกษา ผนึก 4 พันธมิตร สร้างการใช้ชีวิตที่เป็นมิตรกับธรรมชาติ  

ปัญหาภาวะโลกร้อนที่ทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่ทุกวันนี้ เราทุกคนต่างทราบกันดีว่าสาเหตุหลักมาจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน ถ่านหิน รวมไปถึงการคมนาคมขนส่ง และการผลิตสินค้าในโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ซึ่งล้วนแล้วแต่ส่งผลให้อุณหภูมิโลกของเราสูงขึ้น ได้ยินกันแบบนี้แล้วทุกภาคส่วนคงต้องเริ่มปรับตัวและลงมือทำกันอย่างจริงจังเพื่อช่วยให้โลกของเราให้น่าอยู่ไปนานๆ    พฤกษา เรียลเอสเตท ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทย ได้ใส่ใจถึงปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมมาโดยตลอด และพร้อมร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทยในการช่วยลดปัญหาภาวะโลกร้อนผ่านเทคโนโลยีการอยู่อาศัยเพื่อสังคมสิ่งแวดล้อมในด้าน Green หนึ่งในแกนหลักของ Pruksa Livng Tech ที่นำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาผสมผสานกับความเป็นธรรมชาติเอามารวมกันไว้ด้วยกันอย่างลงตัว มาใช้ในการพัฒนาโครงการต่างๆ เพื่อให้คนรุ่นหลังมีคุณภาพชีวิตที่ดีภายใต้สิ่งแวดล้อมที่ดีต่อไป     ล่าสุด พฤกษาได้จับมือร่วมกับ 4 บริษัทพันธมิตรใหญ่ เพื่อร่วมกันพัฒนาและผลิตเรือพลังงานไฟฟ้าระบบ BEV (BATTERY ELECTRIC VEHICLE) เพื่อให้บริการ SHUTTLE BOAT รับ - ส่งลูกบ้านในคอนโด “แชปเตอร์ เจริญนคร – ริเวอร์ไซด์” ได้แก่ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน), ห้างหุ้นส่วนจำกัด นาวาเลียน คอมโพสิท, มหาวิทยาลัยมหิดล และสำนักนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) NIA   นอกจากลูกบ้านจะได้รับความสะดวกสบายในการเดินทางเรือบนแม่น้ำเจ้าพระยาแล้ว ในด้านสิ่งแวดล้อมยังช่วยลดปัญหามลพิษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหา PM 2.5 ที่ยังเกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบัน เนื่องจากเรือพลังงานไฟฟ้าระบบ BEV จะไม่มีไอเสียหรือเขม่าควันที่ถูกปล่อยออกมา มีเสียงเบา และก่อให้เกิดคลื่นน้อย แถมยังช่วยลดการใช้พลังงานโลกอีกด้วย   ปัจจุบันพบว่ามีแนวโน้มการใช้รถยนต์ไฮบริดและรถยนต์ไฟฟ้าสูงขึ้นเกือบ 50% ต่อปี เพื่อเป็นการตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคใหม่ รวมถึงเพื่อเป็นการช่วยสนับสนุนและส่งเสริมให้คนไทยหันมาใช้พลังงานสะอาดกันมากขึ้น พฤกษาจึงได้มีการติดตั้งสถานีชาร์จไฟรถยนต์ไฟฟ้าปลั๊กอินไฮบริด หรือ EV STATION ไว้ภายในโครงการ “แชปเตอร์ เจริญนคร – ริเวอร์ไซด์”   โดยเปิดให้ลูกค้าและบุคคลทั่วไปที่ใช้รถยนต์ไฟฟ้าสามารถเข้ามาใช้บริการฟรีได้ตั้งแต่วันนี้ – 31 มี.ค. 2563 ที่สำนักงานขาย และในอนาคตจะมีการขยายการติดตั้ง EV Station ไปยังโครงการอื่นๆ เริ่มจากโครงการ “เดอะรีเซิร์ฟ พหลฯ – ประดิพัทธ์” ที่เตรียมจะโอนปลายปี 2562 นี้ และโครงการ แชปเตอร์วัน โฟลว์ บางโพ ในอนาคต     นอกจากนี้ ในส่วนของโครงการทาวน์เฮาส์ของพฤกษายังมีระบบ Pruksa Fresh Air ช่วยเรื่องการหมุนเวียนอากาศ ทำให้อุณหภูมิภายในบ้านเย็นกว่าข้างนอก การติดตั้งระบบ Solar Cell System เพื่อนำมาในพื้นที่ส่วนกลาง เช่น บ่อบำบัดน้ำเสีย คลับเฮาส์ รวมไปถึงการติดตั้ง SKYLIGHT ฝ้าเพดานโปร่งแสง เพื่อนำแสงสว่างเข้ามาสู่ตัวบ้านในเวลากลางวัน ทั้งหมดนี้เป็นความใส่ใจที่พฤกษาได้นำเอาเทคการอยู่อาศัยเพื่อสังคมสิ่งแวดล้อมในด้าน Green หนึ่งในแกนหลักของ Pruksa Livng Tech มาช่วยตอบโจทย์เทรนด์การอยู่อาศัยภายใต้สิ่งแวดล้อมที่ดี            
เปิดข้อมูล 5 แอปเรียกรถโดยสารในประเทศไทย

เปิดข้อมูล 5 แอปเรียกรถโดยสารในประเทศไทย

ในยุคที่ใครๆ ก็มีสมาร์ทโฟนอยู่ในมือ จะทำอะไรชีวิตก็ดูง่ายไปหมด รวมถึงการมี Application เรียกรถโดยสาร จะไปไหนก็สะดวก บริการรับ-ส่งถึงหน้าบ้าน ไม่ต้องต่อรองใดๆ แต่ในบ้านเราก็มีบริการแบบเดียวกันอยู่หลายเจ้า วันนี้เรานำข้อมูลจาก 5 Application มาเปรียบเทียบกันให้ดูครับ เผื่อจะเป็นทางเลือกให้ตัดสินใจลองใช้บริการกันได้   Grab เจ้าของ : 75% สัญชาติไทย โดยมีกลุ่มเซ็นทรัลเป็นนักลงทุนใหญ่ รูปแบบการให้บริการรถ : รถยนต์ส่วนบุคคลทั่วไป, แท็กซี่, บริการสั่งอาหาร, บริการจ่ายเงินออนไลน์ และบริการส่งของ จำนวนจังหวัดให้บริการ : 18 จังหวัด แพลตฟอร์มการเรียก : แอปพลิเคชั่น ราคา : ใช้ระบบ Dynamic Pricing รถยนต์ส่วนบุคคลทั่วไป เริ่มต้น 30 บาท และ 9 บาท/กม. แท็กซี่ ราคาตามมิเตอร์ + ค่าเรียก 20 บาท   Line Thailand เจ้าของ : 50.02% สัญชาติไทย (บริษัทแม่จากประเทศเกาหลีใต้) รูปแบบการให้บริการรถ : แท็กซี่, บริการสั่งอาหาร และพัสดุ จำนวนจังหวัดให้บริการ : กรุงเทพฯ แพลตฟอร์มการเรียก : แอปพลิเคชั่น ราคา : ราคาตามมิเตอร์ + ค่าเรียก 20 บาท   All Thai Taxi เจ้าของ : นครชัยแอร์ (ทำแบบธุรกิจเช่าซื้อ) รูปแบบการให้บริการรถ : แท็กซี่จากนครชัยแอร์ (Toyota Prius) จำนวนจังหวัดให้บริการ : กรุงเทพฯ และเชียงใหม่ แพลตฟอร์มการเรียก : Call Center, Line@ ราคา : มิเตอร์เริ่มต้น 35 บาท + ค่าบริการเรียกผ่านแอปพลิเคชั่น และ Call Center 40 บาท   Smart Taxi เจ้าของ : บริษัท สมาร์ทแท็กซี่ จำกัด รูปแบบการให้บริการรถ : แท็กซี่ทั่วไป จำนวนจังหวัดให้บริการ : กรุงเทพฯ แพลตฟอร์มการเรียก : Call Center และแอปพลิเคชั่น ราคา : มิเตอร์เริ่มต้น 35 บาท + ค่าบริการเรียกผ่านแอปพลิเคชั่น 25 บาท หรือ Call Center 20 บาท   Taxi OK เจ้าของ : บริษัท แท็กซี่ โอเค จำกัด รูปแบบการให้บริการรถ : Taxi ทั่วไป จำนวนจังหวัดให้บริการ : กรุงเทพฯ แพลตฟอร์มการเรียก : แอปพลิเคชั่น ราคา : มิเตอร์เริ่มต้น 35 บาท + ค่าบริการเรียกผ่านแอปพลิเคชั่น 20 บาท     ข้อมูลจาก CONC Thammasat  
เปิด Fresh Taiwan สินค้าไลฟ์สไตล์ สุดล้ำจากไต้หวัน

เปิด Fresh Taiwan สินค้าไลฟ์สไตล์ สุดล้ำจากไต้หวัน

ช่วงปลายปีแบบนี้เชื่อว่าหลายคนจะต้องหาซื้อของขวัญกันเอาไว้บ้างแล้วใช่ไหมคะ แต่ถ้าใครอยากจะหาของขวัญหรือสินค้าที่เป็นนวัตกรรม ดีไซน์สวย ไม่ต้องกลัวว่าจะซื้อไปซ้ำกับใครแล้วล่ะก็ ต้องไม่พลาดที่จะไปเดินงาน Style Bangkok Fair 2019 ซึ่งหนึ่งในไฮไลท์ของงานนั่นคือการนำเอาสินค้าจากต่างประเทศมาไว้ในงานด้วย โดยครั้งนี้เราจะพาไปทำความรู้จักสินค้า Fresh Taiwan จากไต้หวัน ที่เห็นแล้วจะต้องรู้สึกอยากจะได้เป็นเจ้าของสักชิ้นแน่นอนค่ะ   Fresh Taiwan คือโครงการที่กระทรวงวัฒนธรรมไต้หวัน จัดขึ้นเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมการออกแบบผลิตภัณฑ์และการสร้างแบรนด์ของ Designer ชาวไต้หวัน แล้วผลักดันไปไกลระดับโลก ซึ่งการมาร่วมจัดพาวิลเลี่ยนภายในงาน Style Bangkok Fair 2019 ถือเป็นครั้งที่ 6 แล้ว โดยในแต่ละปีก็มีหลากหลายแบรนด์ใหม่ๆ มาโชว์ผลงานที่สามารถซื้อกลับไปเป็นของขวัญแบบไม่ซ้ำใคร หรือจะเจรจาธุรกิจก็น่าสนใจไม่น้อยเลยนะคะ   สำหรับปีนี้ไต้หวันพาวิลเลี่ยนจะมาในธีม “ไฮไลท์” (HIGHTLIGHT) เน้นสินค้าที่เป็นนวัตกรรมคุณภาพ ความสร้างสรรค์ และฟังก์ชันที่ล้ำสมัย สะท้อนไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ ทั้งหมด 10 แบรนด์ ซึ่ง 8 ใน 10 แบรนด์จะเป็นครั้งแรกที่มาร่วมงานนี้ ได้แก่ 49101 Electronics, Vinaera, Eye Candle, Singular Concept, Conquer Casa, Hands, Dilio, และ CLARECHEN รวมถึงแบรนด์ที่กลับมาอีกครั้งอย่าง bi.du.haev และ Fyber Forma จะมีสินค้าตัวไหนน่าสนใจบ้าง เรานำมาฝากกันค่ะ   Dilio สินค้าตกแต่งบ้านที่ไม่ใช่แค่วางประดับไว้เท่านั้น แต่ยังเป็นที่รองน้ำมันหอมระเหย ด้วยส่วนผสมเฉพาะจากวัสดุหลักที่เป็นซีเมนต์พิเศษ จะช่วยให้กลิ่นของน้ำมันหอมระเหยฟุ้งกระจายและคงทนอยู่ได้นานขึ้นด้วย   bi.du.haev (Biduhaev cold brew system) ใครที่ชื่นชอบกาแฟสกัดเย็น หรือที่เรียกกันว่า cold brew จะต้องอยากมีเครื่องนี้ไว้ครองครองค่ะ ด้วยวัสดุของทั้งตัวเครื่องทำมาจากแก้ว ทำให้การแฟ cold brew แก้วโปรดได้รสชาติกลมกล่อมยิ่งขึ้น   Vinaera เครื่องเติมอากาศในไวน์ สำหรับคอไวน์โดยเฉพาะจะต้องสะดุดตากับเจ้าเครื่องเติมอากาศในไวน์ครั้งแรกของโลก สินค้าตัวนี้จะมีอยู่ 2 รุ่นด้วยกันค่ะ Vinaera Classic กังหันน้ำไวน์ไฟฟ้า และ Vinaera Pro เครื่องเติมอากาศไฟฟ้าแบบปรับได้   49101 Electronics หูฟังบลูทูธ คนรักเสียงเพลงก็ย่อมจะต้องหาหูฟังดีๆ ไว้สักอันใช่ไหมคะ โดยหูฟังแบรนด์ 49101 มีความโดดเด่นตรงที่เป็นหูฟังบลูทูธสามารถเปลี่ยนเป็นสายชาร์จความเร็วสูงได้ และยังสามารถเปลี่ยนแบตเตอรี่ในตัวได้ด้วย   Fyber Forma กระเป๋ากันน้ำ กระเป๋าหลากหลายดีไซน์ มีคุณสมบัติพิเศษด้านนอกกันน้ำ ผิวสัมผัสนุ่มละเอียดคล้ายหนัง น้ำหนักเบา ด้านในกรุด้วยผ้าอ่อนนุ่ม เพิ่มความทนทาน     หากใครอยากจะสัมผัสของจริง แล้วซื้อเก็บไว้เป็นของขวัญในช่วงสิ้นปีก็แนะนำให้รีบมาในงาน Style Bangkok Fair 2019 ในวันที่ 17-21 ตุลาคม 2562 นี้เท่านั้นนะคะ รับรองว่าไม่เหมือนใครแน่นอน    
7 ฟังก์ชั่น “จระเข้ เทอร์โบ พลัส” ประโยชน์มากกว่า ในราคาสุดคุ้ม

7 ฟังก์ชั่น “จระเข้ เทอร์โบ พลัส” ประโยชน์มากกว่า ในราคาสุดคุ้ม

  การสร้างหรือการซ่อมแซมบ้าน ปัจจัยหนึ่งที่มักทำให้งบประมาณบานปลาย  คือ ขาดการวางแผนและเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์ที่ไม่มีคุณภาพ  คำนึงแต่เรื่องราคาถูกเป็นหลัก ทำให้เวลาเอามาใช้งานจริง ไม่ได้ตามมาตรฐานของงาน ผลงานจึงออกมาไม่มีคุณภาพ หรือเมื่อใช้ไปได้สักระยะก็ต้องมาเจอปัญหาเดิม  ต้องมานั่งรื้อนั่งซ่อมกันใหม่  ทำให้ต้องเสียทั้งเงิน เสียทั้งเวลา และอารมณ์  หงุดหงิดกับปัญหาซ้ำซากที่ต้องเจอบ่อยๆ   การเลือกใช้วัสดุจึงควรจะเน้นเรื่องคุณภาพมาเป็นอันดับแรก และพิจารณาเรื่องของความคุ้มค่าคุ้มราคา อายุการใช้งานยาวนาน ไม่ต้องมาเสียอารมณ์ เสียเวลาแก้ไขปัญหาที่ตามมาภายหลัง แม้ว่าอาจจะต้องจ่ายเงินเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย  แต่ถ้าคำนวณแล้วคุ้มค่ากับเม็ดเงินที่เสียไป  ก็น่าจะดีกว่าเลือกซื้อแต่ของถูกเท่านั้น   อย่างห้องน้ำหรือห้องครัวที่มีการปูกระเบื้อง ปัญหาสำคัญที่มักพบเสมอ เมื่อใช้งานไปได้สักระยะหนึ่ง คือ ยาแนวของกระเบื้องหลุดล่อน เกิดเปราะแตก น้ำรั่วซึม เกิดปัญหาราดำ ซึ่งสาเหตุหลักเกิดจากการใช้ยาแนวที่ไม่มีคุณภาพที่ดีมากพอ ไม่เหมาะกับประเภทกระเบื้อง ทำให้มีปัญหาภายหลังมากวนใจ กวนเงินในกระเป๋าเจ้าของบ้าน ให้ต้องตามแก้ตามซ่อมกันเสมอๆ   5 เทคนิคเลือกใช้ยาแนวเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด ถ้าไม่อยากให้เกิดปัญหาเรื่องยาแนวกระเบื้องในภายหลัง  ลองใช้ 5 เทคนิคนี้เป็นแนวทาง ในการเลือกใช้ยาแนวให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด   1.เลือกใช้ยาแนวให้เหมาะกับประเภทของกระเบื้อง เริ่มต้นของการเลือกยาแนวที่ทำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด คือต้องเลือกให้เหมาะสมกับประเภทกระเบื้อง เช่น กระเบื้องแกรนิตโต้นิยมปูชิดเพื่อความสวยเนียน มีขนาดร่องเพียง 0.2-2 มม. ส่วนกระเบื้องเซรามิคทั่วไปมีร่องขนาด 3 มม. การเลือกยาแนวจึงต้องมีคุณสมบัติไหลลึกเหมาะกับร่องของกระเบื้องร่องเล็กปูชิด     2.เลือกใช้ยาแนวให้เหมาะสมกับสภาพการใช้งานของกระเบื้อง กระเบื้องที่ปูในห้องต่างๆ ไม่ว่าจะห้องน้ำ ห้องครัว หรือห้องทั่วไป ลักษณะการใช้งานก็แตกต่างกันไป เพราะสภาพแวดล้อมแตกต่างกัน ห้องน้ำและห้องครัวอาจจะต้องเจอกับน้ำและความชื้นมากเป็นพิเศษ ทำให้อาจจะเกิดเชื้อรา หรือราดำตามร่องยาแนวได้ การเลือกใช้ยาแนวจึงต้องเลือกที่มีคุณสมบัติป้องกันราดำ และทนต่อกรดหรือสารเคมีในน้ำยาทำความสะอาดได้ดีกว่า เป็นต้น แต่ถ้าเป็นห้องทั่วไปภายในอาคาร ก็ควรเลือกกาวยาแนวที่มีสารระเหยที่เป็นพิษต่ำ (Low VOC) ทำให้เกิดสภาพอากาศที่ดีทั้งระหว่างการก่อสร้างและการอยู่อาศัย   3.เลือกสินค้าจากแบรนด์หรือผู้ผลิตที่มีมาตรฐานการผลิต เป็นที่ยอมรับ สินค้ายาแนวที่จำหน่ายในท้องตลาดมีอยู่มากมาย หลากหลายยี่ห้อ  และผู้ผลิต เหตุผลง่ายๆ ที่เราจะต้องเลือกสินค้าจากแบรนด์และผู้ผลิตที่มีมาตรฐานการผลิต เป็นที่ยอมรับ เพราะสินค้าจะมีคุณภาพและมาตรฐานตามที่เราต้องการใช้งานจริงๆ หากไปใช้สินค้าที่แบรนด์ไม่เป็นที่รู้จัก แล้วเราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าสินค้ามีคุณภาพตรงตามที่ได้โฆษณาไว้     4.เลือกสินค้าที่มีคุณสมบัติพิเศษเพิ่ม เดี๋ยวนี้การผลิตสินค้ามีเทคโนโลยี และการพัฒนาที่ล้ำหน้าไปไกล ผู้ผลิตจึงมักเสริมคุณสมบัติพิเศษของสินค้า  เพื่อให้สินค้ามีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับลูกค้านำไปใช้งาน ดังนั้นเราจึงควรเลือกสินค้าที่มีคุณสมบัติพิเศษ ที่เหนือกว่าสินค้าที่มีแค่คุณสมบัติพื้นฐาน หากราคาไม่แตกต่างกันมากนัก   5.ไม่เลือกสินค้าโดยพิจารณาแต่ราคาเป็นหลัก เรื่องราคาอาจจะเป็นปัจจัยหลักของหลายคนในการเลือกสินค้า แต่หากคิดให้รอบครอบ การเลือกสินค้าโดยคิดแต่เอาเรื่องราคาถูกเข้าไว้ก่อน นานไปก็ต้องมีปัญหาตามมาให้แก้ไข เพราะสินค้าราคาถูกก็ย่อมจะมากับคุณภาพพอประมาณ ถ้าคิดเฉพาะราคาสินค้าถูกก็อาจจะเป็นทางเลือกที่ดี แต่อย่าลืมถ้ามีปัญหาต้องเสียเวลา และหาช่างมาซ่อมแซมเพิ่มเติม นี่คือต้นทุนที่เพิ่มขึ้น เผลอๆ คิดแล้วอาจจะแพงกว่าการเลือกซื้อสินค้าคุณภาพดี ที่อาจมีราคาสูงกว่าเล็กน้อยด้วยซ้ำ และการเลือกจากขนาดถุงใหญ่กว่าก็อาจไม่ใช่คำตอบ ขนาดบรรจุควรเป็นขนาดที่เหมาะสมต่อการใช้งาน ไม่เหลือเศษทิ้งจนต้องจ่ายเกินจำเป็น     ถ้าพูดถึงเทรนด์การใช้กระเบื้อง สำหรับใช้ปูห้องต่างๆ ต้องยอมรับว่าเดี๋ยวนี้กระเบื้องประเภทแกรนิตโต้ ได้รับความนิยมถูกนำมาใช้ในบ้านและคอนโดมิเนียมมากมาย เพราะมีทั้งความสวยงามและมีรูปแบบให้เลือกหลากหลายประเภทในการใช้งาน แต่การเลือกใช้กระเบื้องแกรนิตโต้ให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งความสวยงามและอายุการใช้งานยาวนาน คงต้องมีกาวยาแนวที่มีประสิทธิภาพควบคู่กันด้วย   บริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ในฐานะผู้นำด้านการผลิตภัณฑ์กาวยาแนว  จึงได้ทำตลาดผลิตภัณฑ์ กาวยาแนว จระเข้ เทอร์โบ พลัสเพื่อสนองตอบความต้องการของลูกค้า ที่หันมาปูกระเบื้องแกรนิตโต้และกระเบื้องตัดขอบปูชิดกันเพิ่มมากขึ้นด้วย และยังเป็นการแก้ไขปัญหาต่างๆ ของลูกค้าที่ใช้ผลิตภัณฑ์กาวยาแนวไม่มีคุณภาพ หรือไม่เหมาะกับกระเบื้องแกรนิตโต้  ทำให้ห้องที่ปูกระเบื้องแกรนิตโต้ ประสบปัญหาภายหลังมากมาย อาทิ ปัญหาราดำ  น้ำซึม และเปราะแตก เป็นต้น  ซึ่งสาเหตุสำคัญคือยาแนวไม่ลงลึกไปในร่องของกระเบื้องได้เต็มประสิทธิภาพ  ดังนั้น ถ้าไม่อยากให้ต้องมาตามแก้ไขปัญหาภายหลัง จึงต้องเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพจริงๆ   ลองมาดูกันว่าผลิตภัณฑ์กาวยาแนว จระเข้ เทอร์โบ พลัส มีอะไรดีบ้าง  เพราะแม้ว่าจะมีขนาดถุงเล็กๆ แต่เต็มด้วยประสิทธิภาพ เรียกได้ว่า แก้ได้หมดจบทุกปัญหา   7 ฟังก์ชั่น “จระเข้ เทอร์โบ พลัส” ที่ให้ประโยชน์มากกว่าในราคาสุดคุ้ม 1. กาวยาแนว จระเข้ เทอร์โบ พลัส มี Deep Active Molecule ทำให้เนื้อกาวไหลตัวได้ลึก ยึดเกาะเต็มร่องเล็ก สำหรับร่องยาแนว ขนาด 0.2-5 มม. โดยเฉพาะกระเบื้องแกรนิตโตที่นิยมปูชิด แต่เต็มประสิทธิภาพที่เรียกได้ว่า “เล็กแต่แรง” จริงๆ หมดปัญหาที่จะเกิดขึ้นภายหลัง เพราะสามารถไหลลึกกว่า 8 มม. หรือเต็มความหนาของกระเบื้องแกรนิตโต้ จึงไม่เกิดโพรงช่องว่างหมดปัญหาน้ำซึมผ่านได้ หากเป็นยาแนวธรรมดาทั่วไป จะยึดเกาะร่องเล็กสุดตั้งแต่ 1-5 มิลลิเมตรเท่านั้น จึงมีโอกาสเปราะแตกง่ายกว่าสร้างปัญหาตามมาอีกมากมาย      2. กาวยาแนว จระเข้ เทอร์โบ พลัส มีเทคโนโลยีไมโครแบน ทำให้มีคุณสมบัติยับยั้งราดำและตะไคร่น้ำ ที่ถือเป็นปัญหาสกปรกกวนใจ แถมยังเป็นแหล่งเชื้อโรคอีกด้วย ซึ่งสาเหตุของการเกิดราดำ เป็นเพราะเราละเลยและเลือกกาวยาแนวไม่ถูกประเภท ซึ่งส่งผลให้ยาแนวเปราะแตก มีน้ำซึม เกิดราดำในที่สุด     และเมื่อยาแนวหลุดล่อน น้ำจะซึมผ่านใต้แผ่นกระเบื้อง หากเป็นห้องน้ำชั้น 2 จะทำให้ฝ้ารั่ว ฝ้าพังเกิดความเสียหาย น้ำหยดลงเฟอร์นิเจอร์ และหยดลงพื้น จากปัญหาเล็กๆ กลายเป็นปัญหาใหญ่ในที่สุด  ทำให้ทุกอย่างพังหมด ต้องหาช่างมาซ่อมแซม เสียค่าใช้จ่ายบานปลาย เสียทั้งเงิน ทั้งเวลา เพียงเพราะมองข้ามเรื่องเล็กๆ เหล่านี้     3. กาวยาแนว จระเข้ เทอร์โบ พลัส ยังมีคุณสมบัติในเรื่องการแห้งตัวเร็ว สามารถเปิดใช้พื้นที่ได้ภายใน 6 ชั่วโมงเท่านั้น ซึ่งปกติยาแนวทั่วไปนั้นกว่าจะแห้งสนิท หรือเปิดพื้นที่ใช้งานได้ ต้องใช้ระยะเวลา 12-24 ชั่วโมง เหมาะมากกับบ้านหรือคอนโดที่มีห้องน้ำเดียวและต้องใช้ทุกวัน     4. คุณสมบัติด้านการทนกรด และสารเคมีมากกว่ากาวยาแนวทั่วไป ทำให้หมดปัญหาและข้อกังวลใจหากใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ที่มีสารเคมีหรือกรดซึ่งไม่ต้องกังวลใจว่ายาแนวจะซึกกร่อนได้ เพราะหากเป็นยาแนวปกติทั่วไปนั้น มีคุณสมบัติพื้นฐานเพียงแค่ปิดร่องกระเบื้อง แต่ไม่ได้พัฒนาให้กาวยาแนวมีคุณสมบัติทนกรด ทำให้เมื่อใช้ไปได้ไม่นานก็เกิดปัญหาหลุดล่อน เพราะถูกกรดหรือสารเคมีจากผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดทำลายยาแนว   5. นอกจากกาวยาแนว จระเข้ เทอร์โบ พลัส จะมีเทคโนโลยีไมโครแบน ลดปัญหาราดำแล้ว ยังมีสารไฮโดรโฟบิก ที่ช่วยลดคราบสกปรกฝังแน่น และลดการซึมน้ำ ซึ่งเป็นต้นเหตุการณ์ทำให้กระเบื้องหลุดล่อนอีกด้วย หากเป็นยาแนวธรรมดา ที่ไม่ได้มีสารไฮโดรโฟบิก สิ่งที่เรามักพบเสมอคือ คราบสกปรกฝังแน่น เป็นคราบดำ เนื่องจากยาแนวนั้นเน้นแต่เพียงการปิดร่องกระเบื้อง เป็นคุณสมบัติพื้นฐานหลักเท่านั้น     6. กาวยาแนว จระเข้ เทอร์โบ พลัส ยังมี WCAC Technology ซึ่งช่วยในเรื่องของลดการเกิดคราบขาวได้ในหนึ่งเดียว เป็นคุณสมบัติพิเศษ   7. ผลิตภัณฑ์กาวยาแนว จระเข้ เทอร์โบ พลัส ใช้เทคโนโลยีและมาตรฐานการผลิตสินค้าเป็นที่ยอมรับในระดับสากล โดยได้รับการทดสอบควบคุมตามมาตรฐาน ANSI A 118.6 (Unsanded), A 118.7 (Unsanded) มาตรฐานยุโรป EN 13888 CG2 และผ่านเกณฑ์การทดสอบตามมาตรฐานการประเมินอาคารเขียว หรืออาคารที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม LEED v4 ในหัวข้อ Indoor Environmental Quality – IEQ (คุณภาพสภาพแวดล้อมในอาคาร) ด้วยวัสดุที่มีสารระเหยที่เป็นพิษต่ำ   จะเห็นว่าผลิตภัณฑ์กาวยาแนวมีความสำคัญมากต่อการปูกระเบื้อง และไม่ใช่แค่ผลิตภัณฑ์ยาแนวอุดร่องกระเบื้องเท่านั้น แต่มีความสำคัญมากต่อการป้องกันปัญหาจุดเล็กๆ ที่อาจจะบานปลายเป็นปัญหาใหญ่ ต้องใส่ใจเลือกผลิตภัณฑ์กาวยาแนวจระเข้ เทอร์โบ พลัส ไม่ต้องกังวลกับปัญหาที่จะมากวนใจภายหลัง แม้ว่าอาจจะมีราคาสูงกว่าสินค้าในท้องตลาด และมีขนาดบรรจุต่อถุงเพียง 0.5 กิโลกรัม แต่ก็ครอบคลุมพื้นที่ได้มาก ประสิทธิภาพสูง บรรจุขนาดเหมาะกับพื้นที่ใช้งาน  เรียกว่าจ่ายครั้งเดียวคุ้มค่าในระยะยาวถือได้ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ “เล็กแต่แรง” เต็มไปด้วยประสิทธิภาพ และคุ้มค่าคุ้มราคามากเลยทีเดียว   หมายเหตุ : LEED (Leadership in Energy and Environmental Design) มีต้นกำเนิดจากสหรัฐอเมริกาเป็นที่ยอมรับใช้ในประเทศต่างๆ ทั่วโลกในการก่อสร้างปรับปรุงอาคารที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม   ข้อมูลสินค้าเพิ่มเติม : http://bit.ly/2B0ANyw  
สิริ เวนเจอร์ส ผนึก สวทช. โชว์ 3 นวัตกรรมใหม่แห่งอนาคต รถยนต์ไร้คนขับ-โดรนเดลิเวอร์รี่-ระบบเซนเซอร์รักษาความปลอดภัยด้วยเสียง

สิริ เวนเจอร์ส ผนึก สวทช. โชว์ 3 นวัตกรรมใหม่แห่งอนาคต รถยนต์ไร้คนขับ-โดรนเดลิเวอร์รี่-ระบบเซนเซอร์รักษาความปลอดภัยด้วยเสียง

สิริ เวนเจอร์ส เปิดตัว 3 นวัตกรรมใหม่ จาก 3 สตาร์อัพแห่งอนาคต รถยนต์ไร้คนขับ โดรนเดลิเวอร์รี่ และระบบเซนเซอร์รักษาความปลอดภัยด้วยเสียง ภายใต้แผน SIRI VENTURES Private PropTech Sandbox เริ่มทดลองใช้จริงไตรมาส 4 ภายในโครงการ T77 พร้อมลงทุนช่วงครึ่งปีหลังกับสตาร์ทอัพ 4 ด้าน รวมมูลค่าการลงทุนกว่า 600 ล้านบาท   นายจิรพัฒน์ จันทร์เจิดศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่เทคโนโลยี บริษัท สิริ เวนเจอร์ส จำกัด (SIRI VENTURES) เปิดเผยเกี่ยวกับนวัตกรรมเหล่านี้ว่า หลังจากเมื่อปลายปีที่ผ่านมาได้ประกาศแผนการจัดพื้นที่เฉพาะสำหรับทดสอบ พัฒนา และประมวลเสมือนจริงของเหล่าสตาร์ทอัพ เพื่อต่อยอดนวัตกรรมสำหรับการพักอาศัยสำหรับลูกบ้านแสนสิริ ภายใต้ชื่อ “SIRI VENTURES Private PropTech Sandbox” ล่าสุดก็ได้ร่วมมือกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และ 3 สตาร์ทอัพ 3 นวัตกรรม ที่จะมาเริ่มทดลองใช้จริงในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ ภายในโครงการ T77 ดังนี้    1.รถยนต์ไร้คนขับ (Autonomous Car) ภายใต้ความร่วมมือกับ AIROVR สตาร์ทอัพสัญชาติไทย ผู้พัฒนาระบบในการขนส่งผู้โดยสารจากโครงการไปยังรถไฟฟ้า และขนส่งจากรถไฟฟ้ากลับมายังโครงการ ร่วมกับ สวทช. เข้ามาช่วยพัฒนาระบบ Drive-by-Wire การบูรณาการเซนเซอร์สำหรับรถยนต์ไร้คนขับ ระบบบ่งชี้ตำแหน่งและการนำทาง ระบบควบคุมและสั่งการ และ แผนที่ 3D ความละเอียดสูง โดยมีการคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้โดยสารเป็นหัวใจสำคัญ เช่น การควบคุมความเร็ว เพื่อไม่ให้ผู้โดยสารได้รับอันตรายหากเกิดอุบัติเหตุ   ดร.เจนกฤษณ์ คณาธารณา รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวถึงนวัตกรรมรถยนต์ไร้คนขับว่า นอกจากเรื่องของแพลตฟอี์มเทคโนโลยีที่จะเข้ามาช่วยพัฒนาแล้ว ยังมีในแง่ของความร่วมมือกับกระทรวงคมนาคม เพื่อผลักดันนโยบายและกฎระเบียบต่างๆ ในการสนับสนุนและเตรียมความพร้อมประเทศไทยต่อการเข้ามาของเทคโนโลยีรถยนต์ไร้คนขับในอนาคตอันใกล้นี้ อีกทั้งเรายังได้เตรียมโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ เช่น ศูนย์เฉพาะทางด้านระบบรางและการขนส่งสมัยใหม่ (Focused Center on Rail and Modern Transport) ศูนย์ทดสอบแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าและศูนย์ทดสอบรถยนต์ไร้คนขับที่เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EECi) เป็นต้น   2.โดรน เดลิเวอรี่ (Drone Delivery) ภายใต้ความร่วมมือกับ Fling สตาร์ทอัพผู้พัฒนาโดรนสัญชาติไทย โดยจะนำโดรนมาใช้ทดลองส่งสินค้าจาก Habito Mall ไปยังโครงการคอนโดมิเนียมของแสนสิริในพื้นที่โครงการ T77 ภายในเวลาเพียง 45 วินาที คาดว่าจะเริ่มทดลองบินจริงประมาณไตรมาสแรกของปี 2020    3.การดูแลรักษาความปลอดภัย (Security) ภายใต้ความร่วมมือกับ SoundEye สตาร์ทอัพผู้พัฒนาแพลตฟอร์มปัญญาประดิษฐ์ (AI) พร้อมเทคโนโลยีเรียนรู้เสียงต่างๆ เพื่ออาคารอัจฉริยะ (Smart Building) รายแรกของโลก ที่ผ่านมา ไมโครโฟนเซนเซอร์ของ SoundEye ได้เข้าไปมีส่วนช่วยตรวจจับเสียงผิดปกติจากการวิเคาระห์เสียง Deep Learning อาทิ เสียงร้องขอความช่วยเหลือ เสียงน้ำรั่วซึม เสียงปืน ในอาคารประเภทต่าง ๆ มาแล้วหลายแห่งในสิงคโปร์ รวมถึงในสนามบินชางฮี โดยจะเริ่มทดลองในพื้นที่โครงการ T77 ในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ ซึ่งถือเป็นการทดลองใช้ระบบของ SoundEye ครั้งแรกในโครงการที่อยู่อาศัยซึ่งจับสามารถเสียงภาษาไทยได้อีกด้วย    ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาถือว่าบริษัทมีความคืบหน้าอย่างมากในหลายด้าน โดยฉพาะการขยายความร่วมมือไปยังสตาร์ทอัพทั่วโลก อาทิ ด้านการลงทุน (Investment) ได้สตาร์ทอัพ Semtive ผู้พัฒนากังหันลมพลังงานไฟฟ้าสำหรับที่อยู่อาศัยได้เริ่มทยอยส่งมอบกังหันลมสำหรับใช้ในครัวเรือนมาให้กับบริษัทแล้ว Neuron สตาร์ทอัพสัญชาติสิงคโปร์ ผู้ผลิต e-Scooter เริ่มมีให้บริการแล้วในโครงการดีคอนโด พิงค์ และขยายการให้บริการไปในพื้นที่พร้อมพงษ์-อ่อนนุช ตลอดจนในพื้นที่รอบตัวเมืองเชียงใหม่ และสตาร์ทอัพ OnionShack ได้พัฒนา “น้องแสนรู้” หุ่นยนต์พนักงานคนใหม่ของแสนสิริ ปัจจุบันคอยให้บริการอยู่ที่ The Cloud ชั้น 3 สยามพารากอน ด้านระบบนิเวศสตาร์ทอัพและพันธมิตร (Ecosystem Partners) ได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ (NUS) สถานที่กำเนิดเหล่าสตาร์ทอัพมากมาย พาสตาร์ทอัพที่โดดเด่นของไทยไปร่วมโชว์เคสและขึ้นพูดบนเวทีระดับภูมิภาค ช่วยส่งเสริมระบบนิเวศสตาร์ทอัพของไทยด้าน PropTech และ LivingTech และ ด้านการวิจัยและพัฒนา (Lab Development) มุ่งเน้นการเติมเต็มไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยผ่านฟังก์ชั่นใน Sansiri Home Service Application (HSA) เป็นต้น    สำหรับครึ่งปีหลังนี้บริษัทยังมีแผนจะลงทุนในสตาร์ทอัพใน 4 ด้าน ภายใต้งบลงทุน 600 ล้านบาท ได้แก่ 1.เทคโนโลยีด้านการก่อสร้าง (ConsTech) ในสัดส่วน 20% ของงบลงทุนมุ่งเน้นเทคโนโลยีที่ช่วยควบคุมคุณภาพการก่อสร้าง (QC) 2.เทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืน (Sustainablity) ในสัดส่วน 30% มุ่งเน้นด้านการใช้ทรัพยากรอย่างฉลาดและการกำจัดของเสียที่มีประสิทธิภาพ 3.เทคโนโลยีด้านอสังหาริมทรัพย์ (PropTech) ในสัดส่วน 20% มุ่งเน้นด้านรูปแบบการใช้ชีวิตแบบใหม่และ Tokenization และ 4.เทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัยและสุขภาพ (LivingTech HealthTech) ในสัดส่วน 30% มุ่งเน้นด้านความปลอดภัย ความสะดวกสบาย โดยเฉพาะเรื่องการใช้เสียง ปัจจุบันมีสตาร์ทอัพหลายรายที่ผ่านการพิจารณามาถึงขั้นทดสอบความเป็นไปได้ (Proof of Concept)      
ล็อกซเล่ย์ ส่ง “LET care” บุกตลาดรักษาความปลอดภัย บ้าน-ออฟฟิศ-ร้านทอง

ล็อกซเล่ย์ ส่ง “LET care” บุกตลาดรักษาความปลอดภัย บ้าน-ออฟฟิศ-ร้านทอง

การพักอาศัยอยู่ในบ้าน นอกจากบ้านจะตอบโจทย์เรื่องของความสะดวกสบายแล้ว เดี๋ยวนี้ผู้ประกอบการยังได้ใส่ฟังก์ชั่นพิเศษ เพื่อคุณภาพการอยู่อาศัยที่ดีอีกหลายอย่างภายในบ้าน อาทิ ระบบระบายอากาศ เพื่อให้บ้านปลอดโปร่ง เย็นสบาย ระบบแสงจากธรรมชาติเข้าสู่ตัวบ้าน ระบบการควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้าและเครื่องใช้ ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล การนำระบบ IoT เข้ามาพัฒนาให้บ้านเป็น Smart Home เป็นต้น แต่ไม่ว่าบ้านจะมีฟังก์ชั่นพิเศษอะไรก็ตาม หากผู้อยู่อาศัยไม่มีความปลอดภัยจากการโจรกรรม หรือบรรดามิจฉาชีพ ฟังก์ชั่นของบ้านที่ดีแค่ไหนก็คงไม่มีประโยชน์   “ระบบรักษาความปลอดภัย” จึงเป็นอีกหัวใจสำคัญของการอยู่อาศัย ที่ให้ทั้งความ “อุ่นใจ” และ “สบายใจ” ทั้งในขณะที่พักอาศัยอยู่ในบ้านหรือออกไปทำงานนอกบ้าน ซึ่งระบบความปลอดภัยพื้นฐานที่ผู้ประกอบการมักจะนำเอามาใส่ไว้ในโครงการ  คือ ระบบรปภ. ระบบกล้องวงจรปิด และสมาร์ทคีย์การ์ด แต่ในยุคปัจจุบันคงไม่เพียงพอ  เพราะเจ้าของบ้านต้องการความสบายใจมากกว่านั้น  ทางเลือกของเจ้าของบ้านจึงต้องหาอุปกรณ์  และระบบรักษาความปลอดภัยมาติดตั้งไว้ในบ้านของตนเอง ซึ่งส่วนใหญ่ก็ไม่พ้นระบบกล้องวงจรปิด  เพื่อเพิ่มความมั่นใจมากขึ้นแม้ว่าจะไม่ได้พักอาศัยอยู่ภายในบ้านก็ตาม ​ ธุรกิจกล้องวงจรปิดและระบบรักษาความปลอดภัยในบ้าน จึงเป็นหนึ่งทางเลือกที่เจ้าของบ้านหลายราย เลือกจะนำเอามาใช้สร้างความอุ่นใจ  และปกป้องบ้านของตัวเอง รวมถึงใช้ประโยชน์ด้านอื่นๆ ด้วย เช่น การเฝ้าดูผู้สูงอายุภายในบ้าน เพราะเดี๋ยวนี้ระบบกล้องวงจรปิด สามารถจะมอนิเตอร์ดูภาพของกล้องได้แบบเรียลไทม์ตลอด 24 ชั่วโมงแล้ว ไม่ว่าเจ้าของบ้านจะอยู่ที่ใดบนโลกนี้ ก็สามารถตรวจดูบ้านของตนเองได้ ขอเพียงแต่มีสัญญาณอินเตอร์เน็ตกับโทรศัพท์มือถือเท่านั้นก็พอ  ส่งผลให้ตลาดอุปกรณ์กล้องวงจรปิดเติบโตอย่างต่อเนื่อง และมีผู้ประกอบการเข้ามาจับตลาดนี้เพิ่มมากขึ้น   ว่าที่ร้อยตรีนำพล ใคร้วานิช  ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ  บริษัท ล็อกซเล่ย์ อีโวลูชั่น เทคโนโลยี จำกัด ในกลุ่มล็อกซเล่ย์  เปิดเผยว่า แต่ละปีตลาดระบบและอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยน่าจะเติบโตประมาณ 5% เพราะปัจจุบันผู้บริโภคให้ความสำคัญกับการรักษาความปลอดภัยมากขึ้น ประกอบกับอุปกรณ์มีความทันสมัย เป็นระบบ IoT ที่เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆ เข้าด้วยกันทำให้เกิดความสะดวกสบายในการใช้งาน ขณะเดียวกันดีเวลลอปเปอร์พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ได้นำระบบรักษาความปลอดภัยเข้ามาติดตั้งภายในโครงการ และใช้เป็นจุดขายของโครงการด้วย   “ปัจจุบันบ้านระดับ 3-5 ล้านบาท หันมาให้ความสนใจในการติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัยสำเร็จรูปมากขึ้น เพราะต้องการความสะดวกสบายในการควบคุมและดูแล”   สำหรับแผนธุรกิจของบริษัทในช่วงครึ่งปีหลังนี้  ได้เตรียมขยายตลาดระบบรักษาความปลอดภัย LET care จับตลาดกลุ่มลูกค้าทั่วไป หรือ B2C จากที่ผ่านมามุ่งจับตลาดลูกค้า B2B เป็นหลัก เช่น ร้านวัตสัน และธนาคารฮ่องกง รวมถึงกลุ่มลูกค้าโครงการขนาดใหญ่และหน่วยงานภาครัฐ โดยกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่บริษัทจะขยายตลาด คือ ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์  ร้านทอง สำนักงาน และลูกค้าทั่วไปที่ต้องการติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัย โดยแนวทางการทำตลาดจะใช้สื่อออนไลน์เพื่อสร้างการรับรู้ และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย รวมถึงการใช้ตัวแทนจำหน่ายและทีมขายของบริษัทในการทำตลาด โดยคาดว่าในปีแรกจะมียอดขาย LET care ประมาณ​ 200 ล้านบาท หรือมีสัดส่วนประมาณ​ 20% จากยอดขายรวมของทั้งบริษัท 1,000 ล้านบาท ​   โดยชุดระบบรักษาความปลอดภัย LET care  วางจำหน่ายในราคาเริ่มต้น 29,900 บาท ​โดยยังได้ร่วมมือกับบริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) มอบกรมธรรม์ให้สูงสุด 1 ล้านบาท ระยะเวลาคุ้มครอง 1 ปีด้วย ภายในชุดรักษาความปลอดภัยจะประกอบด้วย กล้องวงจรปิด IP CCTV กล่องควบคุมสัญญาณ เซ็นเซอร์ประตู หน้าต่าง เซ็นเซอร์จับการเคลื่อนไหว ระบบควบคุมไฟฟ้า สัญญาณเตือนภัย และรีโมทคอนโทรล ซึ่งจะมี Application LET care ในการแจ้งเตือนผู้บุกรุกหรือดูไลฟ์วิดีโอผ่านสมาร์ทโฟน การตรวจจับความผิดปกติทั้งความร้อน อุณหภูมิ กลุ่มควันภายในบ้าน รวมถึงสามารถควบคุมแสงสว่าง เปิด/ปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าในพื้นที่อยู่อาศัย พร้อมส่งสัญญาณแจ้งเตือนหน่วยงานฉุกเฉินที่เกี่ยวข้อง อาทิ แจ้งสถานีตำรวจหากมีผู้บุกรุก แจ้งทีมแพทย์ฉุกเฉินหากเกิดอุบัติเหตุกับผู้พักอาศัย ผสานกับการให้บริการของทีมตรวจสอบความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมงผ่าน CCC (Command Control Communication)   นอกจากนี้ บริษัทยังมีแพลทฟอร์มเป็นของตนเอง มีชื่อว่า บียอน แพลทฟอร์ม (Beyond Platform) ซึ่งร่วมมือกับ บริษัทบราเซ็นท์ ประเทศสิงคโปร์ ในการพัฒนาแพลทฟอร์มอัจฉริยะด้านรักษาความปลอดภัย ผ่านบิ๊กดาต้าและการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาผสานเข้ากับ กล้องโทรทัศน์วงจรปิด โดรน-อากาศยานไร้คนขับ ระบบเซ็นเซอร์ตรวจจับต่างๆ ในระดับเมือง จังหวัด และภูมิภาค บริหารจัดการแบบศูนย์รวมผ่านห้องปฏิบัติการ Single Command Control Center ภายใต้คอนเซ็ปต์ 3P : Predict, Prepare, Prevent และ 1M : Manage โดยบริการบริษัทประกอบด้วย 4 กลุ่มงานเทคโนโลยีด้านความปลอดภัย ซึ่งสามารถออกแบบและให้บริการได้ตามความต้องการของลูกค้า ทั้งในด้านอุปกรณ์ เทคโนโลยี ระบบงานและงบประมาณ  ได้แก่ 1.กลุ่มงานระบบเทคโนโลยีความมั่นคงเพื่อความปลอดภัยระดับเมืองและเขตชุมชนขนาดใหญ่ (Public Safety) 2.กลุ่มงานเทคโนโลยีไร้มนุษย์ควบคุมและระบบบริหารจัดการล้ำอนาคต (Beyond Platform & Unmanned Security)  3.กลุ่มงานเทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อระบบท่าอากาศยาน (Airport Technology) และ 4.กลุ่มงานเทคโนโลยีขั้นสูง (Special Technology)   สำหรับผลงานที่บริษัทดำเนินการติดตั้งและส่งมอบเสร็จเรียบร้อยแล้ว ได้แก่ ระบบบูรณาการรักษาความปลอดภัยของตำรวจภูธรภาค 5 เฟสหนึ่ง ครอบคลุมพื้นที่ภาคเหนือ 4 จังหวัด จากทั้งหมด 8 จังหวัด เป็นต้น ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถติดตามอาชญากรรมต่างๆ ได้ภายในเวลาไม่ถึง 10 นาที นอกจากนี้ยังมีที่สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (สถานีขนส่งหมอชิต) ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ท่าอากาศยานหาดใหญ่  
“ซีแพนแนล” รับผลบวกมาตรการ LTVหลังดีเวลลอปเปอร์ หันมาขยายตลาดบ้านแนวราบ

“ซีแพนแนล” รับผลบวกมาตรการ LTVหลังดีเวลลอปเปอร์ หันมาขยายตลาดบ้านแนวราบ

การออกมาตรการ LTV หรือ อัตราส่วนสินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ลดระดับความร้อนแรงของตลาดอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะการสกัดกลุ่มนักลงทุนและเก็งกำไร ในตลาดคอนโดมิเนียม ผู้ประกอบการหลายรายต่างก็ส่งเสียงไปในทิศทางเดียวกันว่า ทำให้ภาพรวมตลาดชะลอตัวลง ลูกค้าซื้อที่อยู่อาศัยได้ยากขึ้น เพราะต้องหาเงินมาดาวน์บ้านเพิ่มมากขึ้นกว่าแต่ก่อน แต่ก็ไม่ใช่ผู้ประกอบการในวงการอสังหาฯ ทุกราย ที่ได้รับผลกระทบในเชิงลบ ยังมีคนในวงการบางรายที่ได้รับผลบวกจากมาตรการ  อย่างเช่นบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายผนังคอนกรีตสำเร็จรูป หรือระบบพรีคาสท์ เพราะลูกค้าตลาดบ้านแนวราบขยายตัวเพิ่มมากขึ้น   นายชาคริต ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีแพนเนล จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผนังคอนกรีตสำเร็จรูป เปิดเผยว่า จากการออกมาตรการ LTV ในปีนี้ ส่งผลให้ตลาดอสังหาฯ ประเภทโครงการแนวราบ มีอัตราการเติบโตอย่างเห็นได้ชัดเจน เพราะผู้ประกอบการปรับตัว หันมาพัฒนาโครงการแนวราบกันจำนวนมากขึ้น  เนื่องจากเป็นตลาดเรียลดีมานด์ นอกจากนี้ ยังพบว่าแผนขยายเส้นทางรถไฟฟ้าที่มีความชัดเจน และออกมาจำนวนมากนั้น  ส่งผลดีต่อโครงการอสังหาฯ  แนวราบ โดยเชื่อว่าจะทำให้ตลาดบ้านแนวราบเติบโตต่อเนื่องถึง 10 ปี     “ตลาดบ้านแนวราบเมื่อ 4-5 ปีก่อนหน้า ไม่เติบโตชัดเจนขนาดนี้ สาเหตุเป็นเพราะมาตรการ LTV และผังเส้นทางรถไฟฟ้า ที่ทำให้คนไม่จำเป็นต้องอาศัยอยู่ในเมืองเท่านั้น”   ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนลูกค้าโครงการคอนโดฯ​ ประมาณ​ 5% เท่านั้น จากช่วงเริ่มต้นธุรกิจใน 2ปีแรกมีสัดส่วนลูกค้าโครงการคอนฯ ประมาณ 20% ซึ่งบริษัทมีลูกค้าอยู่ประมาณ 15 ราย มียอดขายรอรับรู้รายได้ หรือ Backlog มูลค่า 500 ล้านบาท ที่จะทยอยรับรู้รายได้จนถึงปี 2563   นายชาคริต กล่าวอีกว่า บริษัทยังอยู่ระหว่างการเจรจากับลูกค้าอีก 4-5 ราย ซึ่งมีมูลค่างานเฉลี่ย 100-200 ล้านบาท โดยหากได้ลูกค้าดังกล่าวเพิ่มจะสร้างการเติบโตให้กับบริษัทอีกจำนวนมาก จากปีนี้ที่คาดว่าจะสร้างรายได้ 318-330 ล้านบาท หรือเติบโต 30-40% จากปีที่ผ่านมารับรู้รายได้มูลค่า 240ล้านบาท   “ถ้าลูกค้าที่อยู่ระหว่างการเจรจาเข้ามา จะเป็นรายได้พิเศษเพิ่ม ซึ่งปีหน้าจะทำให้บริษัทเติบโต 70-80%”   สำหรับภาพรวมธุรกิจระบบพรีคาสท์  ปัจจุบันมีคาดว่าจะมีมูลค่ากว่า 70,000- 1 แสนล้านบาท จากมูลค่าการก่อสร้างโครงการอสังหาฯ ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลที่มีมูลค่ากว่า 3.7 แสนล้านบาท  ซึ่งยังถือว่าปริมาณการใช้ระบบพรีคาสท์ในการก่อสร้างยังอยู่ในอัตราที่ไม่สูง  เมื่อเทียบกับในกลุ่มประเทศยุโรปที่ใช้กว่า 70-80%ของการก่อสร้าง   ส่วนกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจปีนี้ บริษัทยังคงเน้นการรักษาฐานลูกค้าเดิม และทำตลาดแนะนำผลิตภัณฑ์กับลูกค้ารายใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยจะเน้นกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย และกลุ่มโครงการก่อสร้างงานภาครัฐ
“SANSIRI SERVICE” พาไปชม “บ้านที่ได้มากกว่าบ้าน” จากบริการที่ใส่ใจจากแสนสิริ

“SANSIRI SERVICE” พาไปชม “บ้านที่ได้มากกว่าบ้าน” จากบริการที่ใส่ใจจากแสนสิริ

“บ้านที่ได้มากกว่าบ้าน” ด้วยบริการที่ใส่ใจจากแสนสิริ เพราะความปลอดภัยเป็นอีกหนึ่งเรื่องสำคัญของการอยู่อาศัย "SANSIRI SERVICE" พร้อมให้บริการที่จะทำให้ลูกบ้านทุกคนอุ่นใจได้ตลอด 24 ชม. เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับระบบรักษาความปลอดภัยที่ทันสมัย และครอบคลุมรอบด้าน แล้วคุณจะว้าวกับชีวิตดี๊ดี ที่ได้เป็นลูกบ้านแสนสิริ   #บ้านที่ได้มากกว่าบ้าน #SansiriService #CompleteYourLivingExperience สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://siri.ly/gn7 ----------------------------------------------------------- ติดตามเรื่องราวต่างๆ ที่น่าสนใจได้ที่ Website : https://www.reviewyourliving.com Facebook : https://www.facebook.com/reviewyourliving Youtube : http://bit.ly/2CCTMBk
คิดยังไงก็คุ้ม กับ 5 วิธีเลือกแอร์สุดคูล !!

คิดยังไงก็คุ้ม กับ 5 วิธีเลือกแอร์สุดคูล !!

ดูเหมือนว่าตอนนี้เมืองไทยเราเข้าสู่ฤดูร้อนอย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว เพราะอากาศภายนอกอาคารร้อนจนทำเอาหน้ามันเยิ้มได้เลยทีเดียว แต่จะว่าไปแม้ช่วงฤดูหนาวที่ผ่านมาอากาศเมืองไทยก็ไม่ได้หนาวอย่างที่คิดไว้ หากอยากจะสัมผัสกับอากาศเย็นๆ เราก็คงต้องขึ้นไปอยู่บนภูเขาหรือบนดอยสูง แต่ถ้าอยู่ในเมืองโดยเฉพาะกรุงเทพฯ หากอยากจะสัมผัสความเย็นแบบชุ่มฉ่ำ ทำได้ดีที่สุดก็คงต้องอยู่ในบ้านเปิดเครื่องปรับอากาศให้เย็นชุ่มฉ่ำหัวใจเท่านั้น เครื่องปรับอากาศหรือแอร์จึงเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าจำเป็นประจำบ้านประจำห้องของคนในยุคปัจจุบัน ยิ่งตอนนี้ปัญหามลพิษนอกบ้าน ฝุ่นควันอันตรายระดับ PM 2.5 ฟุ้งกระจายอยู่ทั่วไป การอยู่ในบ้านกับแอร์ที่มีประสิทธิภาพสร้างอากาศสะอาดให้ได้สูดอากาศกันแบบเต็มปอดและเย็นสัมผัสผิวกาย ถือเป็นทางเลือกที่แฮปปี้สุดๆ   เมื่อแอร์เป็นเครื่องไฟ้ฟ้าจำเป็นแบบขาดไม่ได้ แล้วเราจะมีวิธีเลือกอย่างไรให้ได้ทั้งประสิทธิภาพความคุ้มค่าไม่ใช่แค่เรื่องเงิน แต่คุ้มค่าในประสิทธิภาพของแอร์ และในทุกๆ เรื่องให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์คนยุคดิจิทัลแบบนี้ ซึ่งเราก็มี 5 เทคนิคและวิธีการเลือกแบบสุดคูล ที่คิดยังไงก็คุ้มมาแนะนำ   1.เริ่มต้นด้วยหลักเกณฑ์พื้นฐาน (Basic Need) การเลือกแอร์สักเครื่องมาติดในบ้านหรือห้องต่างๆ สิ่งแรกคงต้องพิจารณา คือ ขนาดของห้องว่าใหญ่เล็กแค่ไหน เพื่อเลือกขนาด Btu/h ของแอร์ให้เหมาะสมกับแต่ละห้องการเลือกแอร์ให้เหมาะสมกับขนาดของห้องก็ไม่ได้ต่างจากการเลือกซื้อเสื้อให้พอดีกับตัวคนใส่ เล็กไปก็คับ ใหญ่ไปก็หลวม แต่ถ้าเลือกให้พอดีกับตัวคนใส่ก็จะสบายแถมดูดีอีกต่างหาก เลือกแอร์ก็เช่นกัน เพราะถ้าเลือกได้พอดีและเหมาะสมก็จะได้ความคุ้มค่ากับเม็ดเงินที่จ่ายไป ทั้งการประหยัดพลังงานและอายุการใช้งานนั่นเอง ซึ่ง BTU (British Thermal Unit) คือ หน่วยบอกความสามารถในการทำความเย็นภายในห้องต่อ 1 ชั่วโมง จากการถ่ายเทหรือดึงความร้อนออกจากห้อง โดยคำนวณจากปริมาตรของห้อง ความกว้าง คูณ ความยาว คูณกับจำนวน Btu ต่อตารางเมตร ก็จะได้ขนาด Btu/h ของแอร์ที่เหมาะสม เช่น ห้องทั่วไปก็คูณด้วย 750 Btu ต่อตารางเมตร ห้องเพดานสูงเกิน 2.5 เมตร คูณด้วย 800-1,000 Btu ต่อตารางเมตร หรือห้องที่มีคนอยู่เยอะๆ ประเภทออฟฟิศ หรือร้านอาหาร ก็ต้องคูณมากหน่อยไปถึง 1,200 Btu ต่อตารางเมตร เลยทีเดียว   ตัวอย่างการคำนวณ : ห้องทั่วไปมีขนาด 3×4 เมตร = 12 ตารางเมตร ให้นำปริมาตรของห้องไปคูณกับจำนวน Btu/h ต่อตารางเมตรดังนี้ 12 ตารางเมตร x 750 Btu/ตารางเมตร = 9,000 Btu/h หมายความว่าห้องดังกล่าว ควรใช้เครื่องปรับอากาศขนาด 9,000 Btu/h นั่นเอง ทั้งนี้ก่อนที่จะเลือกขนาดเครื่องปรับอากาศที่เหมาะสม ควรต้องพิจารณาจากลักษณะการใช้งานและประมาณความร้อนที่เกิดขึ้นจากจำนวนคนหรือแดดที่ส่องเข้ามาในห้องเพิ่มเติมด้วย แต่ไม่ต้องกังวลใจเรื่องนี้ เพราะสามารถปรึกษาพนักงานขายหรือช่างแอร์ได้ไม่ยาก แค่ให้รู้ขนาดกับสภาพห้องก็พอ   นอกจากเรื่องของขนาดแล้วประเภทของแอร์ที่จะติดตั้งก็ไม่ควรมองข้าม ซึ่งแอร์ที่นิยมติดตามบ้านเรือนหรือคอนโดมิเนียมทั่วไป ก็คงหนีไม่พ้นแอร์ติดผนัง เพราะมีความเหมาะสมทั้งรูปลักษณ์ การดีไซน์ขนาดใช้งาน แถมยังประหยัดพลังงานและดูแลง่ายด้วย นอกจากนี้ ยังมีแอร์ประเภทฝังในฝ้า แอร์แขวนใต้ฝ้า และแอร์ตู้ตั้งพื้น ซึ่งสามารถเลือกได้ตามความเหมาะสมของแต่ละคน   2.เลือกแอร์มีฟังก์ชั่นประหยัดพลังงาน Energy Saving เรื่องประหยัดพลังงานเป็นเกณฑ์พิจารณาจำเป็นอีกเรื่อง เนื่องจากเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเงินในกระเป๋าของเราที่จะต้องถูกจ่ายไปใน แต่ละเดือน เพราะเมื่อเสียเงินค่าแอร์เป็นหลักหมื่นต่อปีแล้ว ต้องมามีภาระจ่ายค่าไฟอีกเดือนละหลายพันบาทก็คงไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องแน่ๆ ยิ่งตอนนี้รัฐบาลรณณงค์ให้ช่วยกันประหยัดพลังงาน เพื่อให้ประเทศชาติเรามีความมั่นคงด้านพลังงานด้วยแล้ว เราจึงจำเป็นต้องช่วยกันคนละไม้คนละมือ ซึ่งเราทำได้ไม่ยากเลย แค่เลือกแอร์ที่มีฟังก์ชั่นหรือระบบประหยัดพลังงานต่างๆ เท่านั้นเอง นอกเหนือจากการเลือกพิจารณาแอร์ฉลากเบอร์ 5   และตอนนี้แอร์หลายรุ่นก็มีฟังก์ชั่นที่ช่วยประหยัดพลังงานมาเป็นทางเลือกให้เราได้ซื้อไปใช้มากมาย อย่างเช่น ระบบ ECONOMY MODE ฟังก์ชั่นประหยัดพลังงานและช่วยป้องกันไม่ให้อุณภูมิเย็นหรือร้อนจนเกินไป AUTO OFF ฟังก์ชั่นปิดการทำงานอัตโนมัติ เมื่อตรวจพบว่าไม่มีความเคลื่อนไหวภายในห้องเป็นระยะเวลา 1 ชั่วโมง เครื่องจะเข้าสู่โหมด Standard และเมื่อตรวจไม่พบความเคลื่อนไหวเกินกว่า 12 ชั่วโมง เครื่องจะปิดการทำงานโดยอัตโนมัติ (สามารถปรับตั้งค่าระยะเวลาการตรวจจับได้ตามความเหมาะสมของการงาน) โดยเป็นการทำงานของระบบ MOTION SENSOR ซึ่งจะมีเซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหว (Motion Sensor)   ที่จะคอยจับความเคลื่อนไหวภายในห้องและปรับอุณหภูมิโดยอัตโนมัติ กรณีที่ตรวจไม่พบความเคลื่อนไหวใดๆ เลยในห้องภายใน 1 ชั่วโมงแรก เครื่องจะเข้าสู่โหมด Stand by ถ้ามีคนเดินเข้ามาในห้องเครื่องจะกลับมาทำงานอีกครั้ง แต่หากตรวจไม่พบการเคลื่อนไหวเลยภายในระยะเวลา 12 ชั่วโมง เครื่องจะปิดเองโดยอัตโนมัติ (Auto off) นั่นเอง ถือเป็นลดการใช้พลังงานไฟฟ้าที่เกินความจำเป็น เป็นต้น ซึ่งถ้าเราเลือกซื้อแอร์ที่มีระบบอัจฉริยะแบบนี้ เราก็ประหยัดเงินในกระเป๋าไปได้มากโข แถมยังช่วยประหยัดพลังงานให้กับประเทศได้อีกทางด้วย   3.แอร์ดีต้องมีระบบทำความสะอาดและมีแผ่นฟอกอากาศที่มีประสิทธิภาพ (CLEAN OPERATION & FILTER) สงสัยไหม ว่าทำไมต้องเลือกแอร์ที่มีระบบทำความสะอาดแผ่นกรองอากาศก็ในเมื่อเราต้องล้างแอร์อยู่เป็นประจำเมื่อใช้งานไปสักพักอยู่แล้ว   คำตอบเรื่องนี้ง่ายมาก เพราะสุขภาพของเราเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เดี๋ยวนี้ลองป่วยต้องเข้านอนรักษาตัวในโรงพยาบาลเอกชนสัก 3-4 คืนดูซิ เผลอๆ ค่ารักษาพยาบาลแพงกว่าค่าซื้อแอร์ใหม่ด้วยซ้ำ แล้วทำไมเราต้องรอให้ร่างกายย่ำแย่จากปัญหาอากาศที่ไม่ดีในบ้านด้วยล่ะ เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าแอร์ที่เปิดมาใช้งาน 4-5 เดือนโดยยังไม่ถึงกำหนดเวลาล้างแอร์จะยังมีประสิทธิภาพการทำงานให้เกิดอากาศที่สะอาดภายในบ้านเราได้   จะดีกว่าไหมหากเลือกแอร์ที่มีฟังก์ช่วยเรื่องทำความสะอาดแผ่นกรองอากาศ รวมถึงระบบอื่นๆ ที่เสริมประสิทธิภาพให้อากาศสะอาดบริสุทธ์ให้สูดเข้าไปได้เต็มปอด อาทิ อุปกรณ์ที่มีการเคลือบสารต่อต้านเชื้อราและเชื้อโรคทำให้อากาศสะอาดและไม่มีกลิ่น ฟังก์ชั่นที่ทำให้คอยล์เย็นแห้งเพื่อยับยั้งการเติบโตของเชื้อรา แผ่นฟอกอากาศที่ประกอบด้วยเอ็นไซม์ยูเรีย (Emzyme-urea) มีคุณสมบัติต่อต้านเชื้อที่ก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้ และมีคุณสมบัติดับกลิ่นโดยการขจัดโมเลกุล ที่ก่อให้เกิดกลิ่น รวมถึงมีส่วนประกอบของเอ็นไซม์ธรรมชาติที่สามารถทำลายผนังของเชื้อโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ   เมื่อเราอยู่นอกบ้านต้องเจอกับมลพิษ ฝุ่นควัน ระดับ PM 2.5 ซึ่งอาจจะหลีกเลี่ยงได้ยาก แต่เมื่อเข้ามาอยู่ในบ้านแล้ว การมีแอร์ที่มีประสิทธิภาพสร้างอากาศบริสุทธิ์ แถมป้องกันการเกิดเชื้อรา เชื้อโรคต่างๆ จึงเป็นสิ่งที่เราไม่ควรละเลยในการพิจารณาเลือกซื้อแอร์ที่มีฟังก์ชั่นเหล่านี้ด้วย   4.ต้องตอบโจทย์ความสบาย กระจายอากาศได้ดี ติดแอร์แล้วไม่เย็นสบาย คงไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้อง นี่ก็เป็นเรื่องพื้นฐานที่สำคัญ ไม่น้อยกว่าเรื่องอื่นๆ ที่ต้องพิจารณา ซึ่งฟังก์ชั่นหลายอย่างถูกพัฒนาและเติมเข้าใส่มาไว้ในแอร์ให้ผู้บริโภคได้เลือกเพื่อให้ได้สัมผัสกับความเย็นสบาย เช่น ระบบการปรับบานสวิงอัตโนมัติในแนวขึ้น-ลง และสามารถกำหนดมุมตามที่ต้องการได้ด้วย ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็มีความอัจฉริยะของเครื่อง เพราะสามารถจดจำตำแหน่งของบานสวิงเดิมก่อนปิดเครื่องได้ด้วย เมื่อเปิดใหม่ตำแหน่งก็จะกลับมาอยู่ที่เดิม เจ๋งสุดๆ ระบบส่งลมที่ช่วยให้กระจายลมไปได้ในระยะไกล เพราะใช้เทคโนโลยีเดียวกับใบพัดในเครื่องยนต์เจ็ต เป็นต้น   5.เลือกซื้อทั้งที เอาที่ทนทานใช้นานจนลืมเรื่องสุดท้ายที่หลายคนอาจจะมองข้าม แต่เป็นเรื่องสำคัญไม่น้อยเช่นกัน คือ เรื่องอายุการใช้งานและความทนทาน เพราะแอร์ที่ซื้อมาต่อให้ดีมีคุณสมบัติเลอเลิศหรือดีเพียงใด แต่ถ้าใช้ไปไม่เท่าไรก็พังเสียแล้ว หรือต้องซ่อมกันบ่อยๆ ก็ไม่ไหวนะ มันไม่คุ้มค่ากับเม็ดเงินที่ได้จ่ายเลยจริงๆ ดังนั้น จะเลือกซื้อทั้งทีต้องเลือกชนิดที่ทนทาน ชนิดเปิดเครื่องได้ต่อเนื่องนานๆ ก็ไม่ได้ส่งผลให้เครื่องต้องชำรุดเสียหาย แล้วเลือกแอร์อย่างไรให้ทน คุ้มค่า และอยู่คู่บ้านเราไปได้นาน ไม่มีปัญหาจุกจิกกวนใจ หลักเกณฑ์พิจารณาคงมีหลายองค์ประกอบ อาทิ   -แบรนด์ ชื่อเสียงของแบรนด์ก็มีส่วนสำคัญ หากเลือกพิจารณาจากแบรนด์ ซึ่งมีประวัติมายาวนาน และพัฒนาสินค้าออกมาอย่างต่อเนื่อง   -เทคโนโลยีและนวัตรรมสินค้า แอร์แต่ละรุ่นต่างก็มีนวัตกรรมการพัฒนาสินค้าออกมา ให้มีมาตรฐานและความคงทนแข็งแรงแตกต่างกัน แต่แอร์ส่วนใหญ่ในปัจจุบัน ต่างพัฒนาให้มีคุณสมบัติ ความคงทนแข็งแรง และผ่านการพิสูจน์มาแล้วว่า สามารถเปิดต่อเนื่องได้เป็นระยะเวลานานๆ อย่างล่าสุด แบรนด์มิตซูบิชิ เฮฟวี่ ดิวตี้ ที่เปิดตัวสินค้าใหม่ออกมาทำตลาด มีจำนวนรุ่นให้เลือกมากมาย เช่น รุ่น Super Deluxe Inverter : ZSXS Series  ซึ่งมาพร้อมกับคุณสมบัติจำเป็นครบถ้วน แต่เพิ่มเติมคุณสมบัติเรื่องความคงทนแข็งแรง   โดยในรุ่นดังกล่าว ถืออยู่ในกลุ่ม Super Deluxe inverter ซึ่งมีคุณสบัติสำคัญที่น่าสนใจในการเลือกซื้อ อาทิ Jet Flow เทคโนโลยีการกระจายอากาศ ส่งผลให้เย็นเร็ว และส่งลมได้ไกล 15-17 เมตร Hi Power การทำงานแบบพลังสูง ช่วยให้ได้ตามอุณหภูมิตามที่ต้องการอย่างรวดเร็ว 3D auto โปรแกรมควบคุมการกระจายลม สามารถกระจายทิศทางลมได้มากถึง 6 รูปแบบในแนวตั้ง และ 8 รูปแบบในแนวนอน เพียงแค่กดปุ่มเดียวเท่านั้น   Solar Filter การป้องกันกลิ่นเหม็นและกลิ่นต่างๆ ที่ไม่พึงประสงค์ จากแผ่นกรอง Natual Solar Filter ทำให้อากาศในห้องมีความสดชื่น   Allergen Clear Filter แผ่นฟอกอากาศมีคุณสมบัติต่อต้านเชื้อก่อภูมิแพ้และแบคทีเรีย สามารถทำลายเชื้อโรค และสารก่อภูมิแพ้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากการทำงานของแผ่นฟอกที่ประกอบด้วยเอ็นไซม์ยูเรีย (Enzyme-urea)   Self Clean Operation ฟังก์ชั่นช่วยทำให้คอยล์เย็นแห้ง ยับยั้งการเติบโตของเชื้อรา   นอกจากนี้ ยังมีฟังก์ชั่นการทำงานที่ช่วยประหยัดพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย ทั้ง Motion Sensor ช่วยจับความเคลื่อนไหวและเข้าสู่โหมดประหยัดพลังงานอัตโนมัติ หรือ Auto off ที่เครื่องจะเข้าสู่โหมด Stand by หรือปิดการทำงานเมื่อไม่พบความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นภายในห้อง รับรองได้ว่าประหยัดเงินในกระเป๋าได้มากอย่างแน่นอน   คุณสมบัติของแอร์มิตซูบิชิ เฮฟวี่ ดิวตี้ จึงยืนยันถึงประสิทธิภาพของแอร์ที่เปิดตัวและวางจำหน่ายเป็นที่เรียบร้อย แล้วในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ที่ผ่านมา สามารถเปิดได้นาน 24 ชั่วโมง ต่อเนื่องถึง 5 ปีเลยทีเดียว  และนี่คือ 5 วิธีในการเลือกพิจารณาซื้อแอร์แบบสุดคุ้ม เพราะจะได้แอร์ที่มีคุณสมบัติช่วยเติมคุณภาพชีวิต และครบทุกความต้องการเพื่อคุณภาพการอยู่อาศัย ได้แอร์ที่มีความคงทนแข็งแรงอยู่คู่บ้านไปนาน เรียกได้ว่า ถ้าใช้หลักเกณฑ์เหล่านี้มาเป็นตัวเลือกซื้อแอร์คุณจะได้แอร์ที่คุ้มค่าแบบสุดคูล!!! เลยทีเดียว