ภาคการก่อสร้าง ถือว่ามีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ และการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างมาก ไม่เพียงขนาดอุตสาหกรรมที่มีขนาดใหญ่ ที่มูลค่าคิดเป็นสัดส่วนราว 8% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศเท่านั้น สามารถสร้างผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศได้ราว 200,000 บาท/คน/ปี ในอุตสาหกรรมยังนี้ยังมีความเชื่อมโยงกับธุรกิจอื่น ๆ อีกจำนวนมาก และมีแรงงานที่เกี่ยวข้องมากมาย แต่การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่มีมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบกับภาคการก่อสร้างไม่ต่างจากอุตสาหกรรมอื่น ๆ แต่ผลกระทบดังกล่าวที่เกิดขึ้น มีมากน้อยแค่ไหน และทิศทางจากนี้จ ภาคการก่อสร้างจะเป็นไปในทิศทางใด EIC (Economic Intelligence Center) ธนาคารไทยพาณิชย์ ได้ทำการวิเคราะห์และประเมินอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยช่วงที่เหลือของปี 2564 และแนวโน้มปี 2565 เพื่อสะท้อนให้มองเห็นอุปสรรคและโอกาสที่จะเกิดขึ้น EIC คาดมูลค่าการก่อสร้างภาครัฐปี 2564 มีมูลค่าประมาณ 806,000 ล้านบาท ขยายตัว 6% จากปีที่ผ่านมา และเป็นการขยายตัวอย่างต่อเนื่องจากปี2563 ที่ขยายตัว 5% จากปี 2562 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากความคืบหน้าของโครงการเมกะโปรเจกต์ อย่างไรก็ดี การระบาดของไวรัสโควิด-19 ในแคมป์คนงานก่อสร้าง รวมถึงการดำเนินกิจกรรมก่อสร้างภายใต้มาตรการ Bubble and seal สร้างแรงกดดันต่อภาคก่อสร้างในช่วงที่เหลือของปี
การก่อสร้างภาครัฐครึ่งปีแรกโต 17%
-ครึ่งปีแรกปี 2564 มูลค่าการก่อสร้างภาครัฐอยู่ที่ 438,295 ล้านบาท เติบโต 17% เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของปี 2563 โดยเป็นผลจาก 2 ปัจจัยสำคัญ คือ 1.จากความคืบหน้าของโครงการเมกะโปรเจกต์ ทั้งโครงการที่เพิ่งเริ่มก่อสร้างในปีนี้ และโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้างมาจากในอดีต -การเริ่มก่อสร้างโครงการเมกะโปรเจกต์ เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง เฟส 3 โครงการเมืองการบินภาคตะวันออก เฟส 1 โครงการสนามบินสุวรรณภูมิ รันเวย์ที่ 3 -โครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้างมาจากในอดีต และมีความคืบหน้า เช่น ทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางใหญ่-กาญจนบุรี สายบางปะอิน-นครราชสีมา 2.งบประมาณ 4 หน่วยงานหลัก เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า งบประมาณในปี 2564 ของหน่วยงานหลักที่ลงทุนภาคก่อสร้าง ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า และมูลค่าการเบิกจ่ายงบลงทุนในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 ที่อยู่ในระดับสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ส่งผลให้มีเม็ดเงินทยอยเข้าสู่การก่อสร้างภาครัฐอย่างต่อเนื่องและตเติบโตในอัตรา 17% สำหรับงบประมาณในปีงบประมาณ 2564 ของ 4 หน่วยงานหลักที่ลงทุนภาคก่อสร้าง ได้แก่ -กรมทางหลวง ได้รับงบประมาณกว่า 126,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% ใช้ก่อสร้าง ปรับปรุงทางหลวงและสะพาน -กรมชลประทาน ได้รับงบประมาณกว่า 74,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% ซึ่งส่วนใหญ่ใช้ก่อสร้างขยายพื้นที่ชลประทาน -กรมทางหลวงชนบท ได้รับงบประมาณกว่า 49,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% -กรมโยธาธิการและผังเมือง ได้รับงบประมาณกว่า 29,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% มูลค่าการเบิกจ่ายงบลงทุนในเดือนกรกฎาคม 2564 ลดลงมาอยู่ที่ 33,966 ล้านบาท ลดลง 15% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 มีคำสั่งปิดแคมป์คนงานก่อสร้างในเดือนกรกฎาคม 2564 ที่ผ่านมา ส่งผลให้โครงการก่อสร้างภาครัฐในกรุงเทพฯ และปริมณฑลหยุดชะงัก มีแนวโน้มมูลค่าการก่อสร้างภาครัฐครึ่งปีหลังปี 2564 คาดว่าหดตัวลง 5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เพราะในช่วงครึ่งหลังของปี 2563 มูลค่าการก่อสร้างภาครัฐยังขยายตัวในอัตราสูงถึง 11% จากการเร่งเบิกจ่ายงบลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ฐานในช่วงครึ่งหลังของปีที่ผ่านมาอยู่ในระดับสูง การก่อสร้างภาคเอกชนปี 64 ลดลง 7%
EIC คาดว่ามูลค่าการก่อสร้างภาคเอกชนในปี 2564 มีประมาณ 514,000 ล้านบาท ลดลง 7% เมื่อเทียบกับปี 2563 โดยเป็นการปรับลดลงทั้งในส่วนของการก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัย และเชิงพาณิชย์ -จำนวนที่อยู่อาศัยขายได้ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลในปีนี้อยู่ที่ 57,300 ยูนิต ลดลง 12% ลดลงต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา ซึ่งปี 2563 ที่ผ่านมาจำนวนที่อยู่อาศัยขายได้อยู่ที่ 65,279 ยูนิต ลดลง 35% จากปี 2562 นับเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 11 ปี เ และตั้งแต่เดือนเมษายน 2564 การระบาดของไวรัสโควิด-19 รุนแรงขึ้น สร้างแรงกดดันให้หน่วยที่อยู่อาศัยขายได้ในปีนี้ไม่สามารถฟื้นตัวได้ สถานการณ์ดังกล่าว ส่งผลให้ผู้ประกอบการที่อยู่อาศัยยังต้องเน้นการระบายสต็อก และเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่อย่างระมัดระวัง โดยผู้ประกอบการยังชะลอเปิดโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ออกไปในช่วงที่เหลือของปีนี้ -EIC คาดว่า จำนวนที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลในปี 2564 อยู่ที่ 47,000 ยูนิต ลดลง 36% จากปี 2563 หดตัวอย่างต่อเนื่องจากปี 2563 เพราะผู้ประกอบการเน้นการระบายสต็อก และเปิดโครงการใหม่อย่างระมัดระวัง ซึ่งชะลอการเปิดโครงการใหม่ออกไปในช่วงที่เหลือของปีนี้ โดยปีที่ผ่านมามีจำนวนที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่อยู่ที่ 73,043 ยูนิต ลดลง 39% จากปี 2562 -ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ก็ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ด้วยเช่นกัน โดยการปิดกิจการของภาคธุรกิจ และมาตรการให้พนักงานทำงานที่บ้าน ทำให้ภาคธุรกิจยกเลิกหรือลดการเช่าพื้นที่อาคารสำนักงาน ส่งผลให้การขออนุญาตก่อสร้างอาคารสำนักงานยังหดตัวอย่างต่อเนื่องในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2564 การขออนุญาตก่อสร้างพื้นที่ค้าปลีกในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2564 สามารถฟื้นตัวจากฐานที่ต่ำมากในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2563 ที่หดตัว 47% (YTD) แต่ยังถือว่าสถานการณ์ยังไม่ดีขึ้น โดยอัตราการเช่าพื้นที่ลดลงมาก รวมถึงผู้ประกอบการไม่สามารถปรับขึ้นค่าเช่าได้ เนื่องจากที่ผ่านมาพื้นที่ค้าปลีกได้รับผลกระทบจากคำสั่งล็อกดาวน์ โดยสามารถเปิดบริการเฉพาะซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านอาหารแบบซื้อกลับบ้านและเดลิเวอรี่ ทำให้ผู้เช่าพื้นที่บริเวณอื่น ๆ ที่ไม่สามารถแบกรับต้นทุนค่าเช่าได้ยกเลิกสัญญาเช่าพื้นที่ไป แม้ว่าจะมีการผ่อนคลายคำสั่งล็อกดาวน์ให้พื้นที่ค้าปลีกเปิดให้บริการได้แล้วก็ตาม แต่ผู้ประกอบการยังมีความท้าทายจากจากความนิยมซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ที่อาจทำให้การเดินทางมาซื้อสินค้าที่หน้าร้านลดลง ซึ่งผู้ประกอบการต้องปรับกลยุทธ์เพื่อดึงดูดการเดินทางมาซื้อสินค้าที่หน้าร้านต่อไป สำหรับในปีหน้า มูลค่าการก่อสร้างภาคเอกชนจะยังมีแนวโน้มทรงตัว เนื่องจากยังเผชิญความท้าทายจากภาคอสังหาฯ ที่ฟื้นตัวได้ช้า ทั้งภาคธุรกิจยังคงมาตรการให้พนักงานทำงานที่บ้าน สลับกับการเข้ามาทำงานที่ออฟฟิศ รวมถึงความนิยมซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจส่งผลกระทบให้ผู้ประกอบการอสังหาฯ เชิงพาณิชย์ มีแนวโน้มชะลอหรือทบทวนการก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ ขณะที่ผู้ประกอบการที่อยู่อาศัยมีแนวโน้มพัฒนาโครงการขนาดเล็กลง เพื่อให้สามารถปิดการขายได้รวดเร็ว
แนวโน้มอุตสาหกรรมก่อสร้างปี 65
EIC คาดว่ามูลค่าการก่อสร้างภาครัฐในปี 2565 มีมูลค่าประมาณ 858,000 ล้านบาท เติบโต 6% เมื่อเทียบจากปีนี้ โดยเป็นผลมา 1.จากการก่อสร้างโครงการเมกะโปรเจกต์ ที่มีความต่อเนื่องและคืบหน้าจากที่ผ่านมา เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง เฟส 3 โครงการเมืองการบินภาคตะวันออก เฟส 1 โครงการสนามบินสุวรรณภูมิ รันเวย์ที่ 3 2.การเริ่มประมูลและเริ่มก่อสร้างโครงการเมกะโปรเจกต์ใหม่ ๆ ทั้งโครงการขยายเส้นทางรถไฟฟ้า รถไฟทางคู่ รถไฟความเร็วสูง โครงการขยายสนามบิน และโครงการทางถนน จะทำให้มีเม็ดเงินทยอยเข้าสู่ภาคก่อสร้างภาครัฐ
ในปี 2565 อย่างต่อเนื่องเช่นกัน แต่อย่างไรก็ตาม ยังต้องจับตาการประมูลและลงนามสัญญาโครงการใหม่ ๆ ที่อาจมีความล่าช้า และส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของมูลค่าการก่อสร้างภาครัฐในปี 2565 ได้เช่นกัน
5 ความท้าทายธุรกิจก่อสร้างปี 65
1.งบภาครัฐลดลง
ในปีงบประมาณ 2565 หน่วยงานหลักที่ลงทุนภาคก่อสร้าง มีการลดงบประมาณลงในบางหน่วยงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรมทางหลวงชนบท ที่หดตัวจากปีก่อนหน้า ซึ่งอาจส่งผลกระทบให้โครงการก่อสร้างในภูมิภาค มีแนวโน้มชะลอหรือหยุดชะงักไป ทำให้ผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็กสูญเสียโอกาสในการเข้าประมูลและก่อสร้างโครงการขนาดกลางและเล็กในภูมิภาคตามมา ทั้งนี้ งบประมาณของหน่วยงานหลักที่ลงทุนภาคก่อสร้าง ได้แก่ กรมทางหลวง หดตัว -8%YoY และกรมทางหลวงชนบท ลดลง -5%YoY
2.ภาวะต้นทุนราคาเหล็กสูง
โดยการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของจีนทำให้ความต้องการใช้เหล็กยังขยายตัวอย่างต่อเนื่องจากปีนี้ ต้นทุนสินแร่เหล็กที่มีแนวโน้มลดลงจากปริมาณการผลิตจากสหรัฐอเมริกา และบราซิลที่เพิ่มสูงขึ้น จะช่วยบรรเทาความร้อนแรงของราคาเหล็กจีนลงได้ส่วนหนึ่ง ซึ่ง EIC คาดว่า ในปีหน้าราคาเหล็กทรงยาวจีนจะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 733 บาท/ตัน จากในปีนี้อยู่ที่ 785 บาท/ตัน อย่างไรก็ดี ระดับราคาดังกล่าว ยังถือว่ายังอยู่ในระดับสูงกว่าในอดีตที่ราว 500-600 บาท/ตัน โดยราคาเหล็กทรงยาวจีนที่ยังมีแนวโน้มอยู่ในระดับสูงนี้ ส่งผลให้ราคาเหล็กไทยจะยังอยู่ในระดับสูงตามไปด้วย
3.ขาดแรงงาน-ต้นทุนค่าแรงสูงขึ้น
คำสั่งปิดแคมป์คนงานก่อสร้างในเดือนกรกฎาคม 2564 ที่ผ่านมา ส่งผลให้แรงงานข้ามชาติ และแรงงานต่างจังหวัด ออกจากกรุงเทพฯ และปริมณฑล และยังไม่กลับเข้าพื้นที่ได้ทั้งหมด ขณะที่ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โครงการภาครัฐ ต้องเร่งดำเนินการก่อสร้างให้ทันตามกำหนดการส่งมอบงานในช่วงเดือนสิงหาคม และกันยายนนี้ ซึ่งเป็นช่วงโค้งสุดท้ายของปีงบประมาณ 2564 ทำให้ผู้ประกอบการเผชิญภาวะขาดแคลนแรงงาน และต้นทุนแรงงานพุ่งสูงขึ้น ซึ่งปัญหานี้อาจจะต่อเนื่องไปถึงปี 2565 อีกด้วย นอกจากนี้ การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุยังทำให้จำนวนแรงงานในภาคก่อสร้างมีแนวโน้มลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แรงงานอายุ 15-40 ปี ที่ในปี 2557 คิดเป็นสัดส่วน 48% ของจำนวนแรงงานในภาคก่อสร้างโดยรวม ค่อย ๆ ลดลงมาอยู่ที่ 45% ของจำนวนแรงงานในภาคก่อสร้างโดยรวมในปี 2563 อีกทั้ง ค่าจ้างแรงงานพื้นฐานของภาคก่อสร้างยังอยู่ในระดับต่ำกว่าภาคธุรกิจอื่น ๆ โดยค่าจ้างแรงงานพื้นฐานของภาคก่อสร้างในปี 2563 โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 7,529 บาท/เดือน ขณะที่ค่าจ้างแรงงานพื้นฐานของภาคธุรกิจอื่น ๆ อย่างค้าส่ง/ค้าปลีก การผลิต และโรงแรม/ร้านอาหารจะอยู่ในระดับสูงกว่า โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 8,499 บาท/เดือน 8,845 บาท/เดือน และ 9,034 บาท/เดือน ตามลำดับ กล่าวได้ว่าค่าจ้างแรงงานพื้นฐานของภาคก่อสร้างที่อยู่ในระดับต่ำ ทำให้ภาคก่อสร้างเผชิญสถานการณ์การไหลออกของแรงงานไปยังภาคธุรกิจอื่น ๆ อย่างต่อเนื่อง ประกอบกับสัดส่วนแรงงานอายุน้อยในภาคก่อสร้างที่ค่อย ๆ ลดลงจากเทรนด์การเข้าสู่สังคมสูงอายุ ท่ามกลางความต้องการใช้แรงงานพื้นฐานอย่างเข้มข้นของภาคก่อสร้าง ทำให้ภาคก่อสร้างยังต้องพึ่งพาแรงงานต่างชาติจำนวนมาก โดยในปีนี้จำนวนแรงงานต่างชาติคิดเป็นสัดส่วนราว 17% ของจำนวนแรงงานในภาคก่อสร้างทั้งหมด
4.การเปลี่ยนแบบก่อสร้าง จากวิถี New normal
ผลกระทบอย่างต่อเนื่องจากการระบาดของโควิด-19 ทำให้เกิดรูปแบบการดำเนินชีวิตวิถีใหม่ (New normal) ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องติดตามแนวโน้มที่จะเกิดขึ้น เพื่อนำมาสู่การปรับรูปแบบการก่อสร้างให้ตอบโจทย์วิถีชีวิตผู้บริโภค และภาคอสังหาริมทรัพย์ที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างทันท่วงที ไม่ว่าจะตลาดที่อยู่อาศัย ที่มีความนิยมซื้อที่อยู่อาศัยแนวราบ และการก่อสร้างก็จะต้องตอบโจทย์แนวโน้มที่ผู้คนใช้ชีวิตอยู่กับบ้านมากขึ้น อีกทั้ง มาตรการให้พนักงานทำงานที่บ้านสลับกับการเข้ามาทำงานที่ออฟฟิศ จะทำให้รูปแบบการก่อสร้างอาคารสำนักงานเปลี่ยนแปลงไป จากเดิมที่มุ่งเน้นพื้นที่สำหรับที่นั่งทำงานประจำของพนักงาน ไปสู่การปรับที่นั่งทำงานของพนักงานให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น ให้ความสำคัญกับการขยายพื้นที่ส่วนกลาง รวมถึงการให้ความสำคัญกับระบบติดต่อสื่อสารมากขึ้น เพื่อรองรับการทำงานแบบ remote work แม้แต่พื้นที่ค้าปลีก ที่อาจต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการก่อสร้างให้มีสัดส่วนของพื้นที่ outdoor มากขึ้น นอกจากนี้ เทรนด์สิ่งปลูกสร้างยุคใหม่ ยังต้องให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยี อย่างระบบอัตโนมัติ และเซ็นเซอร์มาใช้มากขึ้น เพื่อลดการสัมผัส ควบคู่ไปกับการคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม อย่างการก่อสร้างอาคารหรือที่อยู่อาศัยประหยัดพลังงาน และการใช้วัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
5.Productivity ต่ำ-พึ่งพาแรงงาน
ภาคก่อสร้างคิดเป็นสัดส่วนราว 8% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ถือว่ามีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ แรงงานก่อสร้างสามารถสร้างผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศได้ราว 200,000 บาท/คน/ปี แต่จะพบว่า การเพิ่มผลิตภาพ (Productivity) ในปัจจุบันยังไม่สามารถปรับตัวดีขึ้นจากในอดีตได้มากนัก ภาคก่อสร้างยังเป็นภาคธุรกิจที่มีความต้องการแรงงานพื้นฐานอย่างเข้มข้น ขณะที่การนำเทคโนโลยีมาใช้ยกระดับ productivity ยังอยู่ในระดับต่ำ โดยเป็นผลมาจากการกระจายงานก่อสร้างขนาดใหญ่ ที่มีกิจกรรมและขั้นตอนการทำงานที่หลากหลายไปยังผู้รับเหมาช่วง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็กที่ยังขาดองค์ความรู้และเงินทุนในการเข้าถึงเทคโนโลยีก่อสร้าง ทำให้การใช้เทคโนโลยีส่วนใหญ่ยังกระจุกตัวอยู่ในผู้ประกอบการขนาดใหญ่ และผู้ประกอบการขนาดกลางบางส่วนเท่านั้น อีกทั้ง ในช่วงที่ผ่านมา แม้ภาคก่อสร้างจะเผชิญภาวะขาดแคลนแรงงาน แต่ก็ยังสามารถพึ่งพาแรงงานต่างชาติได้ จึงยังไม่มีความจำเป็นหรือมีแรงจูงใจในการนำเทคโนโลยีมาใช้ยกระดับ productivity หรือทดแทนแรงงานมากนักทั้งนี้ปัจจุบันการใช้เทคโนโลยีในภาคก่อสร้างส่วนใหญ่จะเป็นการนำมาใช้เฉพาะในบางขั้นตอนเท่านั้น เช่น ขั้นตอนการก่อสร้างแบบสำเร็จรูป อย่าง Prefabrication และ Modular การบริหารจัดการโครงการก่อสร้างที่มีการใช้ Building Information Modeling (BIM) และ Enterprise Resource Planning (ERP) โดยการใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ยังจำกัด ในผู้ประกอบการขนาดใหญ่ และผู้ประกอบการขนาดกลางบางส่วนเท่านั้น ขณะที่เมื่อพิจารณา supply chain ของภาคก่อสร้าง จะพบว่ามีขั้นตอนและกิจกรรมการทำงานที่หลากหลาย ตั้งแต่การจัดหาวัสดุก่อสร้าง การสำรวจพื้นที่การก่อสร้าง การส่งมอบงาน ไปจนถึงการบริการดูแลรักษาระบบต่าง ๆ หลังการส่งมอบงาน EIC มองว่า การนำเทคโนโลยีก่อสร้างมาใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้น จะช่วยเพิ่ม productivity ภาคก่อสร้าง โดยผู้ประกอบการขนาดใหญ่และกลาง ซึ่งมีความพร้อมทั้งด้านองค์ความรู้และเงินทุนในการเข้าถึงเทคโนโลยีก่อสร้าง อาจขยายการใช้เทคโนโลยีจากที่ใช้เฉพาะขั้นตอนการก่อสร้าง และบริหารจัดการโครงการก่อสร้างเป็นหลัก ไปสู่การใช้เทคโนโลยีตลอด supply chain ตั้งแต่จัดหาวัสดุก่อสร้าง สำรวจพื้นที่ ส่งมอบงาน ไปจนถึงบริการดูแลรักษาระบบต่าง ๆ หลังการส่งมอบงาน ขณะที่ผู้ประกอบการขนาดเล็กอาจเริ่มต้นจากการใช้ BIM และ ERP ก่อน นอกจากนี้ ภาครัฐอาจเข้ามามีบทบาทสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีก่อสร้างผ่านมาตรการต่าง ๆ เช่น การส่งเสริมการลงทุนด้านเทคโนโลยีก่อสร้าง การลดภาษีนำเข้าเทคโนโลยีก่อสร้าง การลดภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับผู้ประกอบการที่ลงทุนด้านเทคโนโลยีก่อสร้าง การสนับสนุนเงินทุนสำหรับผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก โดยการนำเทคโนโลยีก่อสร้างมาใช้อย่างแพร่หลายจะสามารถลดการใช้แรงงานพื้นฐาน ส่งผลให้ผู้ประกอบการสามารถ upskill แรงงานพื้นฐานให้ไปทำงานที่ทักษะสูงขึ้นแทน ทั้งงานควบคุมเทคโนโลยี และงานที่ใช้ฝีมือ ซึ่งจะนำไปสู่การยกระดับ productivity แรงงาน และเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานของผู้ประกอบการในระยะยาว
4 กลยุทธ์รับมือการก่อสร้างชะลอตัวปี 65
1.การหันมารับงานก่อสร้างภาครัฐ รวมถึงร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (Public Private Partnerships : PPP) มากขึ้นโดยเฉพาะผู้ประกอบการรายใหญ่ ที่ได้รับแรงกดดันจากภาคอสังหาฯ ฟื้นตัวได้ช้า 2.การให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพขององค์กร เพื่อให้สามารถเข้าร่วมประมูลงานก่อสร้างภาครัฐได้อย่างหลากหลาย 3.ผู้ประกอบการที่เน้นการรับงานภาคเอกชนเป็นหลัก อาจต้องปรับกลยุทธ์หันไปรับงานประเภทรีโนเวท โดยยังมีโอกาสจากการที่ผู้ประกอบการโครงการอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์บางราย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พื้นที่ค้าปลีก มีการรีโนเวทพื้นที่เพื่อรองรับการฟื้นตัวของธุรกิจ หากการระบาดของไวรัสโควิด-19 บรรเทาลง 4.การหันมาเป็นผู้รับเหมาช่วงงานก่อสร้างภาครัฐมากขึ้น โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก ซึ่งได้รับผลกระทบจากการฟื้นตัวได้ช้าของภาคอสังหาฯ เช่นกัน บทความต้นฉบับ