Tag : Lifestyle

408 ผลลัพธ์
ดูไอเดีย การดีไซน์ ร้านนวด-สปา ยุค New Normal ให้ปลอดภัยห่างไกล โควิด-19

ดูไอเดีย การดีไซน์ ร้านนวด-สปา ยุค New Normal ให้ปลอดภัยห่างไกล โควิด-19

แม้ว่าขณะนี้ประเทศไทยจะมีมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนไม่พบการผู้ติดเชื่อรายใหม่ภายในประเทศ  ติดต่อกันหลายสิบวันแล้วก็ตาม  แต่เรื่องของความปลอดภัย ยังคงเป็นหัวใจสำคัญสูงสุด ไม่อย่างนั้น การแพร่ระบาดระรอก 2 จะเกิดขึ้น และอาจรุนแรงจนเกินจะรับมือได้เหมือนกัน   การใช้ชีวิตภายหลังจากนี้ พูดกันว่าต้องอยู่ภายใต้ความปกติวิถีใหม่ หรือ New Normal ซึ่งก็คือการใช้ชีวิตปกติเหมือนที่เคยเป็นมา แต่อยู่ภายใต้มาตรฐานการควบคุม และเข้มงวดเรื่องของความปลอดภัย ไม่เป็นผู้แพร่เชื้อโรคไวรัสโควิด-19 หรือเป็นผู้ป่วยที่ไปได้รับเชื้อไวรัสโควิด-19 เข้ามา   ไม่เพียงแต่เราทุกคนจะต้องปฏิบัติตัวเองให้อยู่ภายใต้วิถีชีวิตแบบ New Normal เท่านั้น  ธุรกิจและสถานประกอบการต่าง ๆ ก็ต้องปรับตัวเอง จัดการธุรกิจให้อยู่ในมาตรฐานความปลอดภัยด้วยเช่นกัน  อย่างเช่น ธุรกิจร้านนวดแผนไทย-สปา ที่นับว่าเป็นธุรกิจเสี่ยงต่อการติดต่อของไวรัสโควิด-19 เป็นลำดับต้น ๆ เพราะผู้ให้บริการและผู้รับบริการ ต้องสัมผัสร่างกายและอยู่ใกล้ชิดกัน แถมยังเป็นสถานที่มีผู้เข้ามาใช้บริการจำนวนมาก กลุ่มสถานประกอบการประเภทนี้จึงต้องเข้มงวดอย่างมากในการดูแลสภาพแวดล้อม   โดยภาครัฐได้กำหนดมาตรฐานข้อปฏิบัติสำหรับผู้ให้บริการ ซึ่งผู้ให้บริการต้องผ่านการประเมินความพร้อมก่อนจึงจะสามารถกลับมาให้บริการได้ หลังจากช่วงก่อนหน้าได้มีการล็อกดาวน์ ปิดการให้บริการเป็นการชั่วคราว เพื่อความเชื่อมั่นและความปลอดภัยต่อสุขอนามัยของผู้ใช้บริการ และจากข้อปฏิบัติด้านการจัดการสถานที่โดยกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ได้มุ่งเน้นเรื่องความปลอดภัย ลดการสัมผัส การคัดกรอง เว้นระยะห่างระหว่างบุคคล   วันนี้ เรามีไอเดียในการออกแบบร้านนวดแผนไทยและสปา จากอาจารย์ธนิต จึงดำรงกิจ และ ดร.ศรีดารา ติเพียร อาจารย์ประจำหลักสูตรออกแบบภายในคณะศิลปกรรมศาสตร์ และ RDI มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิต มาฝาก เพื่อให้ร้านนวดไทยและสปา ภายใต้ยุค New Normal มีความปลอดภัย อยู่ภายใต้มาตรฐานของภาครัฐ   โดยอาจารย์ทั้ง 2 ท่าน  ได้ให้ความเห็นว่า ในด้านของการออกแบบร้านนวดแผนไทยและสปา  มีทั้งแนวทางการออกแบบและจัดการร้านได้ 2 แนวทาง คือ แบบระยะสั้น (Short Term) และแบบระยะยาว (Long Term) การออกแบบร้านในระยะสั้น (Short  Term) การปรับปรุงร้านในระยะสั้น  (Short Term) ได้แก่ การจัดการกับพื้นที่ ที่มีผลกับความปลอดภัยของผู้ใช้บริการโดยตรง ซึ่งมีพื้นที่ 3 ส่วนหลัก ๆ ที่จำเป็นต้องให้ความสำคัญ ดังนี้ 1.พื้นที่ต้อนรับและรอรับบริการ เป็นพื้นที่บริเวณส่วนหน้าร้าน ประกอบด้วยส่วนต้อนรับ จุดนั่งพักรอรับบริการ ให้คำปรึกษาคอร์สบริการ แสดงตัวอย่างผลิตภัณฑ์เพื่อจำหน่าย เคาท์เตอร์ประชาสัมพันธ์ รับชำระเงิน สามารถปรับปรุงได้โดยแยกสัดส่วนพื้นที่ -สำหรับจุดคัดกรอง พื้นที่รอรับบริการ หากไม่มีพื้นที่ด้านนอกอาคาร ให้กันพื้นที่ต้อนรับส่วนหนึ่งไว้เป็นจุดคัดกรอง และมีฉากกั้นก่อนเข้าสู่พื้นที่นั่ง   -พื้นที่รอรับบริการ ควรมีไม่เกิน 2 ที่นั่ง และจะต้องเว้นระยะห่างต่อที่นั่ง 1.50 เมตร และควรเป็นที่นั่งเดี่ยว   -พื้นที่ให้คำปรึกษา เคาท์เตอร์ประชาสัมพันธ์ แคชเชียร์ ให้วางตำแหน่งของผู้ใช้บริการด้านหน้าเคาท์เตอร์ มีระยะห่าง 1.50 เมตร พร้อมติดตั้งฉากกั้นระหว่างผู้ใช้บริการ และผู้ให้บริการ 2.พื้นที่ให้บริการนวด -พื้นที่บริการนวด หากเป็นพื้นที่รวม ให้เว้นระยะห่างระหว่างเตียงนวด อย่างน้อย 1.50 เมตร และติดตั้งฉากกั้นซึ่งเป็นวัสดุที่ทำความสะอาดง่าย แต่ควรใช้ผ้าเนื่องจากเป็นวัสดุที่จับติดกับสิ่งสกปรกและสะสมเชื้อโรคได้ง่าย   -ห้องนวดสปา ควรจัดเป็นห้องเตียงเดี่ยว และมีพื้นที่บริเวณรอบเตียงกว้างพอเหมาะ เหมาะสมกับการเคลื่อนไหวของผู้ใช้งาน 3.พื้นที่เก็บอุปกรณ์   -พื้นที่จัดเก็บอุปกรณ์ทำความสะอาด 1-2 จุด เพื่อความสะดวกในการหยิบใช้งาน เนื่องจากเป็นข้อกำหนดที่สถานบริการต้องทำความสะอาดทุกครั้ง หลังให้บริการ   -พื้นที่เก็บอุปกรณ์ ควรแยกพื้นที่เก็บอุปกรณ์และผ้าที่ยังไม่ได้ใช้และที่ใช้แล้วห่างจากกัน และมิดชิด 3 องค์ประกอบ จัดการร้านนวด-สปา แบบระยะยาว (Long Term ) จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 สามารถคาดการณ์ได้ว่าจะส่งผลกระทบต่อการออกแบบพื้นที่ในอนาคต ดังนั้นสถานประกอบการจึงควรมีแผนการปรับตัวและการจัดเตรียมสถานที่รับรองผู้ใช้บริการในระยะยาว (Long Term) ทั้งนี้ วงการวิชาชีพสถาปนิกต้องสามารถคิดค้นการออกแบบที่สร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้ใช้บริการให้รู้สึกปลอดภัยต่อสุขอนามัย โดยผสมผสานศิลปะการออกแบบเข้ากับจิตวิทยาสภาพแวดล้อม ซึ่งควรออกแบบบนพื้นฐานที่ตอบสนองทางสรีระวิทยา และจิตวิทยา ปลอดภัยต่อสุขอนามัยของผู้ใช้งาน ดังนั้นในมุมมองของนักออกแบบเอง จะมีอยู่ 3 องค์ประกอบที่ผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญ ได้แก่   องค์ประกอบที่ 1. การจัดการเชิงพื้นที่ในสถานบริการ ควรคำนึงถึงหลักการจัดวางพื้นที่ ทางเดินสัญจรภายใน ขนาด ระยะห่างของพื้นที่ที่เหมาะสม พื้นที่ใช้สอยภายใน ควรแยกกลุ่มการใช้งานอย่างชัดเจน จำกัดพื้นที่ของผู้ใช้บริการแต่ละคน รวมทั้งการสัญจรภายในร้าน ต้องแยกชัดเจนระหว่างผู้ให้บริการและผู้ใช้บริการ แบ่งเส้นทางในการเก็บสิ่งของที่ใช้งานแล้ว เช่น ผ้าปูที่นอน เสื้อผ้า เพิ่มขนาดทางเดิน ขนาดเฟอร์นิเจอร์ ที่แยกการใช้งานเฉพาะบุคคล เน้นความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้บริการ ซึ่งการจัดการเชิงพื้นที่มี  3 ส่วนที่ควรให้ความสำคัญ คือ 1.พื้นที่ต้อนรับและจุดรอรับบริการ -จุดคัดกรองด้านนอก เพิ่มจุดล้างมือในตำแหน่งที่เหมาะสม เพื่อความปลอดภัยก่อนผู้ใช้บริการจะเข้าสู่พื้นที่ต้อนรับหรือจุดรอรรับบริการ   -จุดรอรับบริการ ควรใช้เก้าอี้แบบเดียว และมีการเว้นระยะห่าง หรือขั้นด้วยโต๊ะข้าง   -จุดให้คำปรึกษา ควรจัดเป็นพื้นที่แยกต่างหาก เป็นชุดละ 2 ที่นั่ง และแบ่งขอบเขตพื้นที่ชัดเจน -เคาท์เตอร์ประชาสัมพันธ์และแคชเชียร์ ควรเพิ่มระยะห่างระหว่างพื้นที่ของผู้ให้บริการและผู้ใช้บริการ พร้อมจัดระยะห่างระหว่างที่นั่งอย่างน้อย 1.50 เมตร 2.พื้นที่ให้บริการนวด -พื้นที่นวดเท้าและนวดไทย หากเป็นพื้นที่นวดรวม ให้เว้นระยะของเตียงนวด 1.50 เมตรและติดตั้งฉากกั้นระหว่างเตียง สามารถปิดเปิดได้ แต่ต้องมีส่วนของผนังยื่นออกมา 1.00 เมตร และควรใช้เป็นประตูบานเลื่อนที่เชื่อมพื้นที่ได้แทนผ้าม่าน -พื้นที่นวดสปา ควรเป็นพื้นที่เตียงเดี่ยว หากจะออกแบบให้เป็นห้องเตียงคู่ ควรจัดวางตำแหน่งให้หันด้านปลายเท้าเข้าหากัน 3.พื้นที่สุขอนามัยในสถานบริการ -จัดวางพื้นที่ส่วนเก็บของที่ยังไม่ได้ใช้งานไว้ส่วนกลางของสถานบริการ และแยกพื้นที่ส่วนเก็บอุปกรณ์ที่ใช้แล้วไว้ส่วนด้านหลังสถานบริการ จัดการให้เป็นพื้นที่ปิดมิดชิด   องค์ประกอบที่ 2. การตกแต่งด้วยวัสดุปิดผิว การเลือกใช้วัสดุภาย ควรเลือกใช้วัสดุลักษณะผิวเรียบ ไม่กักเก็บสิ่งสกปรกและเชื้อโรค เช่นวัสดุที่มีพื้นผิวเป็นรูพรุนเพื่อง่ายต่อการทำความสะอาด เช่น การใช้กระเบื้องเซรามิคผิวเรียบที่ผ่านการอบด้วยความร้อนสูง หรือใช้วัสดุปูพื้นด้วยไวนิล หรือกระเบื้องยางแบบม้วน อาจนำมาใช้สำหรับเป็นพื้นห้องนวด เนื่องจากเป็นวัสดุที่มีรอยต่อน้อย ลดการกักเก็บความชื้น ลดเสียงสะท้อน หลีกเลี้ยงการใช้วัสดุจากผ้าเนื่องจากจับกับสิ่งสกปรกได้ง่าย และกักเก็บเชื้อไวรัสได้นานถึง 8-12 ชั่วโมง (ข้อมูลจากกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค) ยกเว้นกรณีผ้าปูเตียง ส่วนเฟอร์นิเจอร์ที่บุด้วยผ้า ควรเปลี่ยนวัสดุเป็นเบาะ PVC หรือหนังแทน   องค์ประกอบที่ 3. การระบายอากาศภายใน หากสถานประกอบเอื้ออำนวย ควรจัดระบบระบายอากาศให้ไหลเวียนได้ดี ด้วยการมีช่องระบายอากาศให้ไหลเวียนได้ดีด้วยช่องเปิดรับอากาศจากภายนอกสู่ภายใน ยกเว้นกรณีที่สภาพภูมิอากาศรอบอาคารไม่เอื้ออำนวย อาจจำเป็นต้องใช้ระบบปรับอากาศช่วยเพื่อให้เกิดการไหลเวียน และต้องกำหนดจุดติดตั้งที่เหมาะสม เช่น ยึดติดฝาพนัง แขวนฝ้าเพดาน หรือวางกับพื้น เพื่อให้อากาศที่สะอาดไหวเวียนไปยังพื้นที่ที่มีการใช้งาน  และต้องมีระบบดูดอากาศเพื่อการไหลเวียนที่ดี   อย่างไรก็ดี การปรับปรุงสภาพแวดล้อมของสถานบริการร้านนวดแผนไทย - สปา ต้องอาศัยความเข้าใจต่อการรับรู้สภาพแวดล้อมของตัวผู้ประกอบการเอง ซึ่งสภาพแวดล้อมส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของผู้ใช้บริการ ในด้านการออกแบบสถานบริการจึงต้องสื่อสารบางอย่างให้ผู้ใช้บริการรู้สึกปลอดภัยและมั่นใจในสุขลักษณะของสถานประกอบการนั้น ๆ ด้วย    
รีวิว Dyson V11 Absolute จากเรื่องจริงที่ใช้แล้วฟินเลยต้องบอกต่อ

รีวิว Dyson V11 Absolute จากเรื่องจริงที่ใช้แล้วฟินเลยต้องบอกต่อ

รีวิว Dyson V11 Absolute จากเรื่องจริงที่ใช้แล้วฟินเลยต้องบอกต่อ เอาล่ะ ถ้าคุณมีความคิดว่าการทำความสะอาดบ้านเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย ยุ่งยาก แล้วก็ไม่สนุกเลยซักนิด ที่ต้องกลายร่างมาเป็นนางแจ๋วหน้ามัน หัวกระเซิงเพื่อกำจัดฝุ่นภายในบ้านให้หมดเกลี้ยง.... เราขอให้คุณเปลี่ยนความคิดซะใหม่ แล้วตามเราไปดูกันว่า เราจะช่วยให้ “งานทำความสะอาดบ้าน” เป็นเรื่องสวยๆ ชวนพิสมัยได้อย่างไร   เกิดเป็นผู้หญิงในยุคนี้ งานนอกบ้านก็ต้องเริ่ด งานในบ้านก็ต้องให้เป๊ะ ดังนั้นการทำความสะอาดบ้านสำหรับแม่บ้านยุคใหม่แบบเราที่เวลาก็รีบเร่ง จะต้องบริหารเวลาสำหรับงานบ้านให้มีประสิทธิภาพมากที่สุดค่ะ เริ่มจากหาผู้ช่วยคนสำคัญ อย่าง “Dyson V11 Absolute” เพื่อให้งานทุกอย่างสะดวกรวดเร็ว ได้บ้านสะอาดเอี่ยมในพริบตา     ด้วยประสิทธิภาพพลังดูดของ Dyson V11 Absolute ตัวล่าสุดนี้ บวกกับขนาดของแบตเตอรี่ที่ทรงพลังที่สุดที่ Dyson เคยมีมา ทำให้ระยะเวลาในการทำงานสูงสุด 60 นาทีนี้ เป็น 60 นาทีที่คุ้มค่าที่สุดในการทำความสะอาดบ้านสำหรับเรา ยิ่งเป็นคอนโดมิเนียมขนาดไม่เกิน 300 ตร.ม. แบบที่เราอยู่ด้วยแล้ว รับรองว่าสบายหายห่วงได้เลย   เริ่มต้นการทำความสะอาดบ้านวันนี้ด้วย การจิบกาแฟนิดๆ เช็คเมลซักหน่อย พร้อมกับดูดฝุ่นไปด้วยก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร เพราะว่า Dyson V11 Absolute เป็นเครื่องดูดฝุ่นไร้สายที่มีน้ำหนักกำลังพอดี สามารถถือและทำงานสะดวกได้ด้วยมือเพียงข้างเดียว     เมื่อเป็นแม่บ้านในยุคดิจิตอลแล้ว ทุกอย่างก็ต้องดูทันสมัยจริงมั้ยคะ แน่นอนว่า Dyson V11 Absolute นี้ทำงานเต็มกำลังได้แรงสุดๆ แบบไม่เคยงอแง เพราะ Dyson ดิจิตอลมอเตอร์ V11 มีพลังดูดที่เพิ่มกว่ารุ่นก่อนๆ ถึง 20% แถมยังมีหน้าจอ LCD เพิ่มความไฮโซเข้าไปอีก ซึ่งหน้าจอ LCD นี้จะแสดงโหมดการทำความสะอาดให้เห็นอย่างชัดเจน แล้วก็ยังง่ายต่อการสลับโหมดด้วยนะ ไม่ว่าจะเป็นโหมด Eco แบบประหยัดพลังงาน, โหมด Auto แบบสวยๆ และ Boost ที่พลังดูดแรงสะใจ   เอาจริงๆ แล้วสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน แค่โหมด Eco หรือ Auto ก็ทำให้บ้านเราสะอาดเรียบร้อยได้แล้วค่ะ แต่บางพื้นผิว หรือพื้นที่ที่ต้องการแรงดูดอันทรงพลังมากๆ อย่างพื้นพรมหนาๆ หรือต้องการกำจัดไรฝุ่นบนที่นอนและโซฟา โหมด Boost ก็พร้อมจะเป็นผู้ช่วยมือหนึ่งได้อย่างไม่มีเกี่ยงงอนเลยทีเดียว     ความไฮเทค ไฮโซของการมีหน้าจอ LCD ไม่ได้มีดีแค่การบอกโหมดการใช้งานเท่านั้นนะจ๊ะ เพราะหน้าจอเล็กๆ นี้ยังสามารถแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพการทำงานปัจจุบัน พลังงาน และเวลาที่คงเหลือ เพื่อให้เราวางแผนการทำความสะอาดได้ง่ายขึ้น แถมยังช่วยแจ้งเตือนเมื่อถึงเวลาต้องทำความสะอาดตัวกรองให้อีกด้วย   คุยเรื่องสเปคต่างๆ ของตัวเครื่องอย่างเดียวเดี๋ยวจะหาว่าโม้ งานนี้บอกเลยว่า เราได้ทดลองใช้จริงไรจริงไม่พึ่งสแตนอินนะจ๊ะ เรียกว่าแกะกล่องแล้วก็เอามาดูดๆๆๆๆ กันให้ครบทุกซอกทุกมุมในบ้านให้รู้กันไปเลย ก็ Dyson เค้าเป็นตัวจริงเรื่องเครื่องดูดฝุ่นที่หมกมุ่นพัฒนามานานกว่า 25 ปีเลยนี่นา แล้วจะต้องไปง้อยัยแจ๋วจอมอู้อีกทำไม   "รีวิว Dyson V11 Absolute จากเรื่องจริงที่ใช้แล้วฟินเลยต้องบอกต่อ" จากประสบการณ์ใช้จริง ข้อแรกเราเห็นว่า Dyson V11 Absolute ตัวนี้ จับได้ถนัดมือขึ้นกว่ารุ่นก่อนๆ ควบคุมทิศทางได้ง่าย ถึงแม้น้ำหนักของตัวเครื่องจะไม่ได้เบาหวิวจนสามารถยกดูดฝุ่นบนที่สูงๆ ได้คราวละนานๆ แต่ชะนีออกกำลังกายแบบเราก็สามารถอยู่ค่ะ ถือว่าเป็นการเวทเทรนนิ่งเบาๆ ซึ่งในชีวิตจริงแล้ว เราก็ไม่ได้จับเครื่องดูดฝุ่นมายกดูดผ้าม่านกันทุกวันหรอกจริงมั้ย     จุดเด่นต่อมาของ Dyson V11 Absolute คือ หัวแปรงดูด และอุปกรณ์เสริมที่ให้มาเยอะแยะมากมายจนบางทีก็แอบงงว่าตัวเองเลือกใช้ถูกประเภทอยู่รึเปล่า ซึ่ง Highlight ของรุ่นนี้คือ หัวดูดแบบ High Torque ที่เป็นหัวแปรงแรงบิดสูงพร้อมเซ็นเซอร์โหลดแบบไดนามิก (Dynamic Load Sensor - DLS) โดยระบบนี้จะช่วยตรวจจับแรงต้านของพื้นผิว เพื่อทำการเปลี่ยนโหมดพลังดูดให้เหมาะสมโดยอัตโนมัติ ทำให้แม่บ้านสมัยใหม่อย่างเราไม่ต้องคอยกังวลว่าจะกดโหมดถูกๆ ผิดๆ จนทำให้การทำความสะอาดบ้านขาดความเนี้ยบแล้วต้องเหนื่อยทำซ้ำอีกรอบ     ส่วนหัวดูดแบบอื่นๆ ก็คล้ายกับรุ่นก่อนเลยค่ะ มีทั้งหัวดูดลูกกลิ้งนุ่ม, หัวดูดมอเตอร์ขนาดเล็ก, หัวดูดปากแคบ, หัวดูด 2 in 1, และแปรงปัดฝุ่นขนนุ่ม ซึ่งหัวดูดแต่ละอันก็มีคุณสมบัติเฉพาะที่ต่างกันออกไป ทำให้ไม่ว่าจะเป็นฝุ่นผงขนาดเล็ก ขนาดใหญ่ เศษขนม เส้นผม ขนสัตว์เลี้ยง ฝุ่นฝังแน่น หรือแม้แต่สารก่อภูมิแพ้อย่างไรฝุ่นตัวจิ๋ว ก็เก็บได้เรียบโดยไม่ทำลายพื้นผิวแต่อย่างใด ที่สำคัญหัวดูดทุกตัว ข้อต่อทุกชิ้นสามารถถอดเปลี่ยนได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่คลิกเดียว ทำให้แม่บ้านสวยๆ แบบเราไม่ต้องออกแรงเยอะเลยค่ะ     พูดถึงฝุ่นผงขนาดเล็ก รวมถึงสารก่อภูมิแพ้แล้ว หลายคนอาจจะกลัวว่า มอเตอร์ที่ดูดแรงทรงพลังอย่างนี้ แรงลมที่ออกมาทางท้ายเครื่องจะพาอะไรต่อมิอะไรฟุ้งกระจายเต็มอากาศในห้องมั้ย เรื่องนี้ทาง Dyson เค้าเคลมว่า Dyson V11 Absolute มีระบบการกรองที่ปิดผนึกอย่างแน่นสนิท สามารถดักจับอนุภาคฝุ่นที่มีขนาดเล็กระดับ 0.3 ไมครอน ได้ถึง 99.97% เลยทีเดียว ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นเกสรดอกไม้ หรือแบคทีเรียต่างๆ ที่ว่าอนุภาคเล็กจนต้องมองด้วยกล้องจุลทรรศน์ ก็จะถูกเก็บเข้าไปในถังฝุ่นจนหมดเกลี้ยง   แล้วถ้าถังฝุ่นเต็มล่ะ? เราต้องสัมผัสกับถังเก็บฝุ่น ต้องกลั้นหายใจใส่หน้ากากสิบชั้นอีกรึเปล่า? ลืมภาพถุงเก็บฝุ่นที่มีแต่ฝุ่นผงนานาชนิดจนเกรอะกรังเทเท่าไหร่ก็หลุดไม่หมดไปได้เลย เพราะ Dyson มีการออกแบบวิธีการเทถังฝุ่นแบบที่เราไม่ต้องสัมผัสโดนฝุ่นเลยยยยยย ซึ่งในรุ่น V11 Absolute นี้พัฒนามาดีกว่ารุ่นเก่าเยอะ ด้วยระบบ Point and Shoot แค่เรายื่นฝาถังเก็บฝุ่นลงไปในถุงขยะ แล้วก็ปลดสลักตัวล็อค ฝุ่นทั้งหมดก็จะลงไปกองอยู่ในถุงขยะแล้ว เหลือแค่ผูกปากถุงให้เรียบร้อย แล้วก็ปิดฝาถังเก็บฝุ่นแค่นี้พร้อมใช้งานครั้งต่อไปได้สวยๆ     เรื่องการจัดเก็บเครื่องก็เป็นอีกเรื่องที่มักจะกวนใจแม่บ้านสายเนี้ยบอย่างเรา เพราะหลายครั้งอุปกรณ์ทำความสะอาดต่างๆ ก็ไม่ได้สวยงามชวนให้เอามาอวดโชว์ซักเท่าไหร่ แต่เรื่องนี้ไม่ได้เป็นปัญหากับ Dyson ไหนๆ ก็ซื้อมาตั้งแพงแล้ว ถ้าอยากจะแอบวางไว้อวดเบาๆ ก็ไม่น่าจะแปลกเกินไปหรอกเนอะ ก็ในกล่องเค้ามีตัวแขวนยึดกับผนังพร้อมแท่นชาร์จมาให้ด้วยค่ะ ทำให้การจัดเก็บเครื่องดูเป็นระเบียบเรียบร้อยจนอยากจะอวดชาวโลกให้รับทราบโดยทั่วกัน นอกจากจะทำให้หยิบใช้งานได้ง่าย พร้อมใช้งานได้ตลอดเวลาแล้ว ก็ไม่ได้ทำให้ขัดตาอะไรถ้าจะมีเครื่องดูดฝุ่นอย่าง Dyson แขวนไว้ในห้องกับเค้าด้วย     เชื่อว่าเครื่องดูดฝุ่น Dyson น่าจะเป็นไอเทมในฝันของแม่บ้านยุคใหม่หลายๆ คนเลยแหละ ยิ่งโดนเราป้ายยาแบบนี้คงต้องอยากได้กันบ้างไม่มากก็น้อย แต่ถ้าลังเลยังไม่ปักใจเชื่อรีวิวของเรา ลองไปทดลองเล่นเครื่องจริงกันได้ที่ร้าน Dyson Demo สยามพารากอน และไอคอนสยามก่อนได้นะคะ รวมถึงห้างสรรพสินค้าชั้นนำในแผนกเครื่องใช้ไฟฟ้าก็มีหลายแห่งเลยจ้า แต่ถ้าการป้ายยาของเราได้ผล นอกจากการเดินไปช็อปปิ้งด้วยตัวเอง ยื่นบัตรให้พนักงานรูดปรื้ดๆ แล้ว เรายังสามารถเข้าไปคลิกสั่งซื้อแบบออนไลน์ให้สมกับเป็นแม่บ้านยุคใหม่กันได้ที่ เว็บไซต์ https://www.dyson.co.th/ เชื่อเถอะว่า มันจะเป็นการลงทุนเงินหมื่น ที่คุ้มแสนคุ้มเลยทีเดียว   แล้วถ้าอยากได้ห้องชุดสวยๆ อยู่ใจกลางเมือง มีวิวดีๆ ติดริมน้ำ หรืออยากมาเป็นเพื่อนบ้านกับเรา เชิญชมห้องตัวอย่างได้ที่ Park Court Sukhumvit 77 เลยจ้า   บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ไรฝุ่น ผู้ร้ายบนที่นอน (Dyson V8) รีวิว PARK COURT สุขุมวิท 77 คอนโดหรูห้องใหญ่ใจกลางเมือง เทคนิคทำความสะอาดบ้านแบบง๊ายง่าย ห่างไกล “ภูมิแพ้” บ้านสะอาดไร้ฝุ่นด้วย BOSCH Flexxo Serie 4  
5 โซลูชั่น “S-E-N-S-E” การออกแบบการพัฒนาเมือง กับวิถีชีวิต The Next Normal

5 โซลูชั่น “S-E-N-S-E” การออกแบบการพัฒนาเมือง กับวิถีชีวิต The Next Normal

การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ถือเป็นปรากฎการณ์ ของการแพร่ระบาดครั้งใหญ่ของโลก เพราะมีการแพร่กระจายออกไปทั่วทุกมุมโลก ซึ่งส่งผลทำให้วิถีชีวิตของผู้คนในยุคปัจจุบัน ต้องปรับเปลี่ยน และเปลี่ยนแปลงไปในหลายเรื่อง เพื่อที่จะป้องกันตนเองไม่ให้ได้รับเชื้อโรค ซึ่งภายหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ยุติลง  เชื่อว่า วิถีชีวิตของคนนับจากนี้ จะมีการเปลี่ยนแปลงไป กลายเป็นวิถีชีวิตปกติในรูปแบบใหม่ หรือ New Normal หรืออีกคำที่มักมีการพูดถึง คือ The Next Normal ซึ่งมีความหมายไม่แตกต่างกันมากนัก   ไม่เพียงแต่วิถีชีวิตประจำวันที่จะเป็นรูปแบบใหม่ และกลายเป็นวิถีชีวิตปกติของคนเราเท่านั้น  แต่วิถีชีวิตของคนในสายงานและสายอาชีพต่างๆ รวมถึงแวดวงธุรกิจ ก็มีทิศทางเปลี่ยนไปแบบใหม่เช่นกัน อย่างในแวดวงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่เริ่มเห็นความชัดเจน จากการที่ผู้ประกอบการปรับเปลี่ยนวิธีการขาย ด้วยการใช้สื่อออนไลน์และโซเชียลมีเดีย เข้ามาเป็นเครื่องมือสื่อสารถึงผู้บริโภค โดยลดการสัมผัสหรือมีการเว้นระยะห่างกันให้มากที่สุด เป็นต้น ซึ่งเชื่อว่าหลังจากนี้ คงจะมีการเปลี่ยนแปลงแบบใหม่ออกมาอย่างต่อเนื่องแน่นอน   ด้านการออกแบบและการพัฒนาเมืองในอนาคต ก็คงจะไม่แตกต่างกันเท่าไร เพราะสิ่งต่างๆ เหล่านี้คือ ปัจจัย 4 ที่มนุษย์ทุกคนต้องเข้าไปเกี่ยวข้อง และอยู่ร่วมกันแบบสัตว์สังคม ซึ่งตามมุมมองของ นายรติวัฒน์ สุวรรณไตรย์ สถาปนิก ผู้ก่อตั้ง OPENBOX GROUP บริษัทสถาปนิกที่มีผลงานการออกแบบตึกสูง โรงงานไฟฟ้าพลังงานทดแทน รวมถึงที่อยู่อาศัยประเภท Complex Residence ชื่อดังทั้งในและต่างประเทศ ได้อธิบาย The Next Normal ที่อาจจะเกิดขึ้นกับเมืองและชีวิตผู้คน ที่จะมุ่งสู่โซลูชั่นของการพัฒนาเมืองแห่งอนาคต (City of Future) ไว้อย่างน่าสนใจ The Next Normal ของการพัฒนาเมือง โดย โซลูชั่น City of Future นี่เอง จะเป็นเหมือนสูตรสำเร็จ ของการออกแบบการพัฒนาเมืองที่สอดรับกับ The Next Normal ซึ่งไม่เพียงตอบโจทย์การใช้ชีวิตในยุคโควิด-19  ที่จะอยู่กับโลกใบนี้ไปอีกนานเท่านั้น แต่ยังตอบโจทย์วิถีการดำเนินชีวิตใหม่ ซึ่งถูกบังคับให้ต้องเปลี่ยนแปลงจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี (Digital Disruption) และสอดคล้องกับแนวคิดในกระแสโลกยุคใหม่ คือการอยู่ร่วมกันกับธรรมชาติอย่างยั่งยืน   “เมืองที่มีความคิดสร้างสรรค์การออกแบบในด้านต่าง ๆ รวมเข้ามาประกอบกัน ไม่ว่าจะเป็นการจัดการพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ, การออกแบบอาคาร สถานที่ หรือเมืองให้สามารถตอบโจทย์การใช้งานได้ในสถานการณ์ที่หลากหลาย, การให้ความสำคัญกับธรรมชาติและพื้นที่สีเขียว และการใช้พลังงานร่วมกันอย่างประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังมีอีก 2 ปัจจัยที่จะเข้ามาเติมเต็มทำให้เมืองมีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ก็คือ การขนส่ง และนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัย” “S-E-N-S-E”  สำหรับเมืองแห่งอนาคตที่ยั่งยืน  นายรติวัฒน์  ได้เสนอแนวคิดการออกแบบการพัฒนาเมือง  ภายใต้แนวคิด “S-E-N-S-E” ที่รวม 5 โซลูชั่น สำหรับ City of the Future เมืองแห่งอนาคตที่ยั่งยืน ที่ประกอบไปด้วย S - Space Efficiency การจัดการพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด (Space Efficiency) เป็นแนวคิดการจัดการพื้นที่ที่สามารถตอบโจทย์การอยู่อาศัยรูปแบบใหม่ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิมให้แก่ผู้อยู่อาศัย โดยหนึ่งในโซลูชั่นที่จะเข้ามาตอบโจทย์แนวคิดนี้ก็คือ อาคารสูง เช่น คอนโดมิเนียม ซึ่งเชื่อว่าจะเข้ามาแก้ปัญหาการใช้พื้นที่และทรัพยากรที่มีจำกัดให้เกิดประสิทธิภาพ กล่าวคือหากเปลี่ยนการใช้พื้นที่ในแนวราบแบบกระจายตัวมารวบเป็นอาคารสูง จะทำให้มีพื้นที่เหลือในการใช้ประโยชน์อื่น ๆ ได้มากขึ้น โดยเฉพาะการมีพื้นที่สีเขียว หรือพื้นที่ในเชิงเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน อาคารสูงยังตอบโจทย์การใช้ชีวิตในยุคโควิดที่ผู้อยู่อาศัยจะแยกกันอยู่คนละชั้น ได้รับแสงแดดที่เพียงพอ และไม่มีปัญหาเรื่องการใช้อากาศร่วมกัน ให้ความรู้สึกปลอดภัยห่างไกลโควิดได้มากกว่าบ้านที่เป็นแนวราบ E-Energy Sharing การออกแบบเพื่อให้เกิดการใช้พลังงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ (Energy Sharing)  โดยปัจจุบันจะพบว่า คอนโดมิเนียม จะมีการใช้พลังงานสูงสุดในช่วงเวลากลางคืน แต่ช่วงกลางวันการใช้พลังงานจะลดลงไป ขณะที่อาคารสำนักงาน จะใช้พลังงานสูงสุดในช่วงเวลากลางวันเท่านั้น แต่จะลดการใช้ลงในช่วงกลางคืน ซึ่งแต่ละอาคารเหล่านั้นจะติดตั้งอุปกรณ์การจัดการพลังงานของตนเอง อุปกรณ์เหล่านั้นจึงทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ มีพลังงานเหลือเกินความต้องการ ทำให้เกิดแนวคิดใหม่ที่เรียกว่า Energy Blockchain หรือ Digital Energy กรณีมีพลังงานเหลือก็จะนำไปขายให้แก่ตึกที่อยู่ใกล้เคียงและใช้ในแบบเหลื่อมเวลากัน หรืออีกแนวคิดที่เรียกว่า District Cooling ระบบปรับอากาศแบบรวมศูนย์ โดยสามารถส่งความเย็นไปยังสถานที่อื่น ๆ ใกล้เคียงไม่ว่าจะเป็นบ้าน อาคารสำนักงาน  ห้าง และ คอนโดมิเนียม ถือเป็นแนวคิดการลดใช้พลังงาน ลดการใช้อุปกรณ์ที่เกินความจำเป็น N - Nature & Green การให้ความสำคัญกับธรรมชาติและพื้นที่สีเขียว (Nature & Green) เช่น แนวคิดการขยายพื้นที่สวนสาธารณะขนาดย่อม (pocket park) ให้กระจายตัวมากขึ้นในเขตเมือง และให้เพียงพอกับระยะคนเดิน ซึ่งประเทศญี่ปุ่นถือเป็นเจ้าแห่ง pocket park แห่งหนึ่งของโลก หรือในประเทศสิงคโปร์ และสหรัฐอเมริกา ที่นอกจากจะมีสวนสาธารณะขนาดใหญ่แล้วยังมี pocket park อีกหลายแห่ง ส่วนอีกแนวคิดหนึ่งที่น่าสนใจ คือ park network สวนสาธารณะหลาย ๆ แห่งที่ผู้คนสามารถเดิน วิ่ง หรือขี่จักรยาน เชื่อมถึงกันได้โดยไม่ต้องผ่านหรือใช้ถนน ซึ่งแนวคิดเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้ด้วยการออกแบบทั้งสิ้น S – Synchronization of Multi-Functions การออกแบบอาคาร สถานที่ หรือเมือง ให้สามารถตอบโจทย์การใช้งานได้ในสถานการณ์ที่หลากหลาย (Synchronization of Multi-Functions)  สอดคล้องกับลักษณะเฉพาะของเมืองในซีกโลกตะวันออกที่เป็นแบบผสมสาน (Mixed-use) โดยออกแบบให้สามารถปรับเปลี่ยนโหมดของอาคาร สถานที่ หรือเมืองได้ตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น ๆอย่างเช่น คอนโดมิเนียมในช่วงที่มีการระบาดของเชื้อโควิด จะเห็นได้ว่าหลายแห่งจะกำหนดการใช้ลิฟท์แบบจำกัด หรือจำกัดจำนวนของคนใช้ลิฟท์ ซึ่งในอนาคตการออกแบบจะสามารถเข้ามาเพิ่มเติมฟังก์ชั่นต่าง ๆ ให้ทุกชีวิตในยุคโควิดมีความสบายใจมากขึ้น อาทิ ล็อกเกอร์รับ-ส่งอาหาร หรือสิ่งของต่าง ๆ โดยผู้รับและผู้ส่งไม่ต้องเจอหน้ากัน และการออกแบบพื้นที่แบบ space in space ภายในบริเวณพื้นที่ส่วนกลางโดยใช้อุปกรณ์เพื่อแยกความเป็นส่วนตัวให้แก่ผู้อยู่อาศัยมากขึ้น เพื่อไม่เกิดความระแวงในการใช้พื้นที่ส่วนรวม ส่วนในระดับเมือง อาจจะนึกถึงประเทศโมนาโค หรือสิงคโปร์ ที่จะมีการจัดโหมดเมืองสำหรับการแข่งรถ สร้างรายได้ให้กับประเทศได้อีกมาก ขณะที่ประเทศไทยเอง มีโหมดเรื่องการป้องกันน้ำท่วม แต่ยังสามารถออกแบบเมืองให้สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามโหมดอื่น ๆ เช่น โหมดการเฝ้าระวังเชื้อโควิด หรือโหมดการจัดบิ๊กอีเว้นท์ เช่นวันสงกรานต์ เป็นต้น E - Explorations of Innovations การคิดค้น พัฒนาและสร้างสรรค์นวัตกรรมการอยู่อาศัยที่จะเข้ามาช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้คน (Explorations of Innovations) โดยการออกแบบบ้าน คอนโดมิเนียม และอาคารสำนักงาน สามารถดึงนวัตกรรมเหล่านี้เข้ามาเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยตอบโจทย์กับชีวิต New Normal อย่างเช่น ลิฟท์ ปัจจุบันคอนโดมิเนียมหลายแห่งใช้โถงลิฟท์ (private lift) ส่วนตัวเข้ามาใช้มากขึ้น นอกจากจะเป็นโซลูชั่นด้านความปลอดภัยในยุคโควิดแล้ว ยังตอบโจทย์การซื้อคอนโดมิเนียมเพื่อการลงทุนได้ เพราะลิฟท์ที่แยกออกมาต่างหากนั้น จะไม่เป็นการรบกวนกับเจ้าของห้องจริงที่เป็นผู้อาศัยอยู่ในคอนโดมิเนียมนั้น ๆ เลย ปัจจุบันยังพบด้วยว่ามีการคิดค้นลิฟท์ในรูปแบบต่าง ๆ ไว้มากมาย เพื่อรูปแบบการอยู่อาศัยที่หลากหลาย เช่น ลิฟท์ที่เคลื่อนตัวในแนวราบ (double deck lift) เป็นต้น   นอกจากนี้ ยังมีนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ในยุคโควิดได้เป็นอย่างดี อาทิ ประตูสองชั้น ที่ติดตั้งอุปกรณ์ช่วยในการคัดกรองคนเข้าออก และอุปกรณ์ฆ่าเชื้อ, การออกแบบพื้นที่ในสำนักงาน หรือ โค-เวิร์คกิ้ง สเปซ ที่ช่วยลดความเสี่ยงการแพร่กระจายของเชื้อโรค และ Smog-eating surface สีหรือพื้นผิวที่สามารถดูดซับเชื้อโรค ฝุ่นละลองพิษต่าง ๆ เป็นต้นรวมถึงนวัตกรรมด้าน Transportation หรือการขนส่ง โดยเมืองแห่งอนาคตจะสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้นหากมีการจัดการด้านการขนส่งอย่างเหมาะสม ซึ่งการใช้ชีวิตอยู่ในเมืองนั้น ผู้คนยังต้องเดินทาง ต้องติดต่อสื่อสาร และรับ-ส่งสิ่งของระหว่างกัน การออกแบบเมืองจึงสามารถออกแบบให้รองรับกับแนวคิดการขนส่งในรูปแบบใหม่ ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เช่น Hyperloop, drone transportเป็นต้น ทั้งหมดนี้ คือโซลูชั่นใหม่ ๆ ที่จะเข้ามาตอบโจทย์สถานการณ์ในปัจจุบัน และเป็นการเตรียมความพร้อมไปสู่อนาคตนั่นเอง   แนวคิดเหล่านี้เป็นแนวคิดการออกแบบโดยมีคนเป็นศูนย์กลาง ซึ่งเป็นโซลูชั่นที่ต้องการเข้าไปช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของผู้คน เป็นคุณภาพชีวิตที่ดีทั้งด้านสุขภาพและจิตใจ และสำคัญที่สุดคือ เมืองแห่งอนาคตนั้นจะต้องสามารถตอบโจทย์ได้ครบถ้วนทั้งด้านสังคม และเศรษฐกิจ เพื่อให้เป็นเมืองที่ยั่งยืนได้อย่างแท้จริง
MQDC เตรียมเปิด “เดอะ ฟอเรสเทียร์” เมกะโปรเจกต์ 2.5 แสนล้าน ต้นปี 2564

MQDC เตรียมเปิด “เดอะ ฟอเรสเทียร์” เมกะโปรเจกต์ 2.5 แสนล้าน ต้นปี 2564

MQDC เชื่อมั่นเศรษฐกิจไทย ประกาศเดินหน้าต่อทุกโครงการ  เตรียมเปิดตัว “THE FORESTIAS” เมกะโปรเจกต์ 125,000 ล้านบาท ในต้นปี 2564 ภายใต้ แนวคิด ‘For All Well - Being’  เชื่อหลังวิกฤตโควิด-19 ต่างชาติจะเข้ามาลงทุน เพราะเชื่อมั่นในเรื่องความปลอดภัย และมาตรฐานสาธารณสุขไทย   นายวิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทแมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) เปิดเผยว่า แม้ขณะนี้เกิดวิกฤตโควิด – 19  แต่ MQDC ยังคงเดินหน้าธุรกิจต่อไป ด้วยความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจของประเทศไทยในระยะยาว  และเชื่อว่ารัฐบาลยังคงผลักดันในเกิดเมกะโปรเจกต์ เช่น โครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) เป็นต้น  โดยบริษัทยังคงเปิดขายโครงการที่มีอยู่ในปัจจุบันต่อไป  แต่มีการปรับแผนงานส่วนใหญ่ จะเป็นการปรับแผนระยะสั้นมากกว่าแผนระยะยาว เช่น การเปิดตัวโครงการใหญ่ก็จะชะลอไปเปิดต้นปีหน้า อย่างเช่น โครงการเดอะฟอเรสเทียร์ (THE FORESTIAS) เมกะโปรเจกต์ มูลค่า 125,000 ล้านบาท ที่เตรียมพร้อมเปิดในช่วงต้นปี 2564   สำหรับการเปิดตัวโครงการเดอะ ฟอเรสเทียร์  โดยเฉพาะหลังจากวิกฤตโควิด – 19 ต้องคิดไปถึงคุณภาพชีวิตจนถึงสุขภาพ และความสุขของผู้อยู่อาศัย เพราะผู้คนจะพิถีพิถันในการดำเนินชีวิตมากขึ้น แนวคิดของ THE FORESTIAS คือ “เมืองคู่ป่า” ที่แรกในโลก  ซึ่งโครงการเดอะ ฟอเรสเทียร์  เป็นการดำเนินโครงการตามปรัชญาของ MQDC ที่มุ่งเน้นเรื่องสร้างสรรค์โครงการที่ส่งเสริมความรับผิดชอบต่อสังคม และให้ความสำคัญต่อคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น ตามแนวคิด  "For All Well - Being" โดยโครงการเดอะ ฟอเรสเทียร์ ถูกพัฒนา แบบ Mixed-Use Lifestyle ทั้งที่อยู่อาศัย พื้นที่ค้าปลีก อาคารสำนักงาน ศูนย์สุขภาพ สถานศึกษา อาคารนวัตกรรม พื้นที่สำหรับกิจกรรมการเรียนรู้และสร้างสรรค์ของครอบครัว ที่สามารถครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายได้ทุกกลุ่ม  ได้แก่ คอนโดมิเนียมแบรนด์ Whizdom กลุ่มคอนโดมิเนียมแบรนด์ Mulberry Grove ที่อยู่อาศัยแบรนด์ Mulberry Grove Villas กลุ่มที่อยู่อาศัยแบรนด์ The Aspen Tree และยังมีที่อยู่อาศัยและโรงแรมจากแบรนด์ระดับโลก คือ กลุ่มที่อยู่อาศัยแบรนด์  Six Senses โรงแรมแบรนด์ Six Senses และอื่นๆ   จากผลงานของรัฐบาลและสาธารณสุขไทย ที่เป็นที่ยอมรับทั่วโลก และความร่วมมือร่วมใจ ความมีวินัยของคนไทย ที่ได้แสดงให้ชาวโลกประจักษ์ รวมถึงความมีน้ำใจ ความแบ่งปันของคนไทย เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยให้ประเทศไทยจะเป็นที่น่าที่ลงทุนที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เพราะปัจจัยสำคัญตัวนึงที่เกิดขึ้นหลังเหตุการณ์โควิด-19 สำหรับในการเลือกลงทุนในประเทศใดของนักลงทุนต่างชาติ คือความปลอดภัย และระบบสาธารณสุข นายวิสิษฐ์  กล่าวอีกว่า ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด  เนื่องมาจากยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงการที่ชัดเจน โดยเฉพาะการเป็นผู้ริเริ่มพัฒนาโครงการประเภท Mixed-Use ซึ่งเป็นโครงการขนาดใหญ่ มีมูลค่าโครงการสูง ซึ่งสามารถตอบโจทย์ได้ตรงความต้องการของลูกค้า ทำให้เกิดการตอบรับเป็นอย่างดี และด้วยกลยุทธ์ในการพัฒนาโครงการร่วมกับ Global Partner ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในระดับโลก ทำให้โครงการที่พัฒนามีความโดดเด่น สามารถพัฒนาโครงการให้มีมาตรฐานในระดับโลก เป็นที่สนใจจากลูกค้าจำนวนมากทั้งในและต่างประเทศ   นอกจากบริษัทมีพาทเนอร์ระดับโลก ที่ศึกษาและวิจัยด้านการอยู่อาศัยที่มีความสุขแล้ว บริษัทยังได้จัดตั้งศูนย์วิจัย 2 ศูนย์ ได้แก่  ศูนย์วิจัยอนาคตศึกษา FutureTales Lab ที่มีการหาข้อมูลจากทั่วโลกเพื่อมาประมวลแนวโน้มการอยู่อาศัยในอนาคต โดยมองไปถึงอีก 40 ปีข้างหน้า และแม้แต่จากวิกฤตโควิดในครั้งนี้ ทาง FutureTales Lab ก็ได้มีการออกงานวิเคราะห์ออกมาในเรื่อง ชีวิตหลังโควิด-19 ที่จะมีการเปลี่ยนไปจากเดิม โดยประเด็นหนึ่งคือ ความคิดด้านการซื้อที่อยู่อาศัยจะเปลี่ยนไป จากเดิมที่อยู่แต่ในเมือง โดยยึดการเดินทางแนวทางใกล้รถไฟฟ้าเป็นปัจจัย แต่ด้วยสถานการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลต่อการทำงานในอนาคต สามารถทำงานที่บ้านได้ จึงจะปรับแนวคิดเป็นบ้านนอกเมือง แต่มีพื้นที่มากขึ้น มีสวน มีธรรมชาติ มีการปรับเปลี่ยนบ้านพักตากอากาศมาใช้อาศัยประจำแทน   อีกศูนย์วิจัยในกลุ่มของ MQDC คือ ศูนย์วิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (RISC) ซึ่งเกิดขึ้นจากความมุ่งมั่นของ MQDC ที่ต้องการเป็นผู้นำทางด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อย่างยั่งยืน โดยมีการวิจัยและพัฒนาเป็นพื้นฐานของแนวคิดในมิติต่างๆเพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมที่อยู่อาศัยของ MQDC ผลงานวิจัยที่ได้ศึกษาและค้นคว้าขึ้น ไม่เพียงเพื่อนำมาใช้เฉพาะกับโครงการต่างๆ ขององค์กรเท่านั้น แต่ยังพร้อมเปิดพื้นที่วิจัยนี้ให้กับทุกคน ทุกองค์กร ที่สนใจด้านการพัฒนาและก่อสร้างอย่างยั่งยืน เสมือนห้องค้นคว้าของประชาชน บุคคลภายนอกได้เข้ามาเรียนรู้ นำไปประยุกต์ใช้จริง เพื่อยกมาตรฐานความเป็นอยู่ให้กับวงการอสังหาริมทรัพย์ ตลอดจนสร้างนวัตกรรมต่าง ๆ   MQDC เคยผ่านปัญหาในสมัยวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งมาแล้ว ทำให้เราบริหารงานด้วยความระมัดระวังมาตลอดเวลา ดังนั้นปัญหาจากวิกฤตในโควิด-19 ในครั้งนี้ จึงไม่ได้ทำให้เราหยุดที่จะเดินหน้าต่อ  
รวมคอนเทนต์  เคล็ดลับคลีนบ้าน เวลาว่าง ช่วง Work Form Home

รวมคอนเทนต์ เคล็ดลับคลีนบ้าน เวลาว่าง ช่วง Work Form Home

เชื่อว่าหลายตอนนี้หลายคนที่ทำงานจากที่บ้าน หรือ Work From Home คงได้ใช้พื้นที่ต่างๆ ของบ้านหรือห้องพักครบทุกมุมกันแล้ว เพราะสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ระบาด ส่งผลให้ทุกคนต้อง “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” ซึ่งระยะเวลาการทำงานจากบ้านก็กินเวลายาวนานมาพอสมควร   นอกจากการทำงานที่บ้านแล้ว เรื่องของการทำความสะอาด ปัด กวาด เช็ด ถู บ้านให้สะอาด ก็นับเป็นเรื่องจำเป็น และควรทำ หลังจากที่ทำงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว เพราะจะช่วยทำให้ห้องหรือบ้านของเรา สะอาด ถูกสุขลักษณะ ดีต่อสุขภาพของเราเอง ที่สำคัญยังช่วยทำให้บรรยากาศการทำงานที่บ้านดีขึ้นด้วย ไม่ใช่นั่งทำงานไปได้กลิ่นอับ กลิ่นเห็น หรือมีฝุ่นผง ทำให้เสียบรรยากาศการทำงาน และจะทำให้เสียสุขภาพ อาจจะเป็นโรคภูมิแพ้ หรือระบบทางเดินหายใจเป็นของแถมได้ง่าย   ที่ผ่านมา www.reviewyourliving.com ได้นำเสนอ คอนเทนต์ที่เป็นประโยชน์ต่างๆ มากมายอย่างต่อเนื่อง รวมถึงคอนเทนต์เกี่ยวกับการทำความสะอาด การดูแลบ้าน เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยมีคุณภาพชีวิตที่ดี ในจังหวะที่หลายคน Work From Home เชื่อว่าน่าจะนำเอาข้อมูลมานำเสนออีกครั้ง เพื่อเป็นประโยชน์และนำเอาไปประยุกต์ใช้กัน   ดูแลแอร์ ให้ปล่อยอากาศสดชื่น เมื่อ Work From Home เครื่องใช้ไฟฟ้าที่น่าจะต้องรับบทหนัก คงเป็นเครื่องปรับอากาศหรือแอร์ เพราะเราต้องเปิดใช้งานทั้งในช่วงเวลากลางวัน ขณะที่นั่งทำงาน และเวลากลางคืนช่วงเวลานอนหลับ ซึ่งคงต้องให้ความสำคัญกับการดูแลทำความสะอาดแอร์เป็นอันดับต้นๆ เพราะหากแอร์ปล่อยอากาศไม่บริสุทธิ์ หรือมีฝุ่น เราอาจจะมีสิทธิ์เป็นโรคภูมิแพ้เอาได้ง่ายๆ   หากแอร์ถึงกำหนดระยะเวลาจำเป็นต้องทำการล้าง อาจจะต้องเรียกช่างที่ชำนาญการมาช่วย แต่ช่วงนี้อาจจะลำบากสักหน่อย เพราะเราต้องเว้นระยะห่างทางสังคม อาจจะทำความสะอาดเบื้องต้น เช่นเอาแผ่นกรองมาทำความสะอาด ตามคู่มือการใช้งาน แต่หากช่วงนี้แอร์เกิดปัญหาเรื่องของ “กลิ่นไม่พึงประสงค์” เรามีเทคนิคและวิธีการทำความสะอาดมานำเสนอ เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้ ต้องอ่าน 2 คอนเทนต์นี้ คือ -ต้องรีบกำจัด ! วิธีแก้ปัญหาแอร์มีกลิ่นเหม็นสุดจะดม ก่อนคนในบ้านจะทนอยู่ไม่ไหว -แอร์ส่งกลิ่นเหม็นอับ ทำไงดี ดับทุกกลิ่นอับ กลิ่นไม่พึงประสงค์ในบ้าน   นอกเหนือจากแอร์จะสามารถส่งกลิ่นไม่พึงประสงค์ ทำลายสุขภาพกาย และสุขภาพจิตของคนอยู่อาศัยแล้ว พื้นที่อื่นๆ ของบ้านก็ยังมีแหล่งที่ทำให้เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้อีกหลายจุด ไม่ว่าจะเป็น “ห้องน้ำ” ซึ่งมักประสบปัญหาเรื่องของกลิ่นอับ กลิ่นเหม็น เพราะความชื้นภายในห้อง และเราต้องเข้าไปปล่อยของเสีย จึงทำให้เกิดกลิ่นเหม็นได้มากมาย เรามีคอนเทนต์นำเสนอให้นำเอาไปปรับใช้ ได้แก่   -วิธีดับกลิ่นเหม็นจากท่อน้ำ ด้วยสิ่งของใกล้ตัว -10 วิธีดับกลิ่นฉี่ในห้องน้ำ ฉุนแค่ไหนก็จัดการได้   นอกจากนี้ บริเวณห้องครัว แม้อาจจะไม่ใช่กลิ่นเหม็นเพราะของเสียเป็นหลัก แต่ห้องครัวเป็นพื้นที่รวมสารพัดกลิ่นของอาหารที่เราทำกิน ซึ่งบางครั้งก็เป็นกลิ่นไม่พึงประสงค์ และกลิ่นเหล่านี้มักจะติดอยู่เป็นระยะเวลานาน ทำให้เราต้องใส่ใจและดูแลเป็นพิเศษไม่แพ้พื้นที่อื่น ต้องเอาเทคนิคจากบทความนี้ “เทคนิคดีๆ 5 เคล็ดลับ จัดการกลิ่นในห้องครัว”   และไม่เพียงแต่เรื่องกลิ่นเท่านั้น ห้องครัวเราต้องดูแลเรื่องความสะอาดต่างๆ โดยรวมด้วย เพราะเป็นพื้นที่ของการประกอบการ ที่เราจะต้องทำให้ถูกสุขลักษณะ เพื่อสุขภาพของตัวเราเอง คอนเทนต์ที่น่าสนใจ ต้องลองอ่านเรื่องนี้ “ห้องครัว เรื่องหลังบ้านที่ต้องดูแล”   ถ้าต้องการเคล็ดลับการกำจัดกลิ่นต่างๆ ที่ไม่ได้เกิดในบริเวณห้องน้ำ หรือห้องครัว แต่เป็นพื้นที่อื่นๆ ภายในบ้าน ต้องลองอ่าน “เคล็ดลับกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ในบ้าน” ก็จะช่วยทำให้การ Work From Home ปราศจากกลิ่นเหม็นได้     นอกจากนี้ www.reviewyourliving.com ยังมีคอนเทนต์อื่นๆ ที่น่าสนใจเกี่ยวกับการทำความสะอาดบ้าน ซึ่งสามารถนำเอาไปปรับใช้ได้จริง อีกหลายคอนเทนต์ สนใจเรื่องไหน คลิ๊กอ่านกันได้ตามสะดวก อาทิ -4 วิธีกำจัดสิ่งสกปรกในเครื่องซักผ้า -ทำความสะอาดโซฟาผ้า ไม่ยากอย่างที่คิด -เทคนิคทำความสะอาดบ้านแบบง๊ายง่าย ห่างไกล “ภูมิแพ้” -9 ความสกปรกสุดยี้ในห้องนอน รู้แล้วรีบทำความสะอาดด่วน! -เคล็ดลับทำความสะอาดห้องน้ำ สะอาดวิ้ง ไร้คราบแบบง่ายๆ -วิธีทำความสะอาดกระจกห้องน้ำ  
How to #save ประหยัดค่าไฟช่วงหน้าร้อน

How to #save ประหยัดค่าไฟช่วงหน้าร้อน

ฤดูร้อนปีนี้แวะมาทักทายกันตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ และดูท่าจะอยู่กับเราไปอีกหลายเดือน เชื่อว่าหลายคนต้องรู้สึกแบบเดียวกันแน่เลย ว่าฤดูร้อนปีนี้อากาศร้อนกว่าปีที่ผ่านมาอย่างชัดเจน แค่ก้าวพ้นหลังคาก็เหงื่อแตกแสบผิวไปหมด แถมด้วยสถานการณ์ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ (COVID-19) ทำให้แทบไม่อยากออกจากบ้านไปไหน ยิ่งอยู่บ้านนานๆ ช่วงอากาศร้อนแบบนี้ ค่าไฟก็ยิ่งทวีคูณ เรียกได้ว่าโลกร้อนขึ้นไม่พอ ยังต้องเสียเงินเพิ่มขึ้นอีกต่างหาก! แต่เรามี วิธีประหยัดค่าไฟฟ้าในบ้าน และประหยัดเงินในกระเป๋าคุณด้วย   8 เครื่องใช้ไฟฟ้า กับ วิธีประหยัดค่าไฟในบ้าน หลอดไฟ หลอดไฟที่ให้แสงสว่างในบ้านเรา มักมีอายุการใช้งานยาวนานจนลืมใส่ใจดูแล แต่หารู้ไม่ว่า! ควรเป็นสิ่งแรกที่ต้องหันกลับมาสำรวจ เพราะเราต้องกดสวิตซ์เปิดไฟทุกวัน และเป็นส่วนหนึ่งในการประหยัดค่าไฟได้ โดยเริ่มจาก   เลือกหลอดไฟที่ได้รับการรับรองมาตรฐานว่าประหยัดไฟ และกำลังวัตต์เหมาะสมกับการใช้งาน อาทิ หลอดฟลูออเรสเซนต์แบบผอม หลอดคอมแพ็กฟลูออเรสเซนต์ (หลอดตะเกียบ) โคมไฟแบบสะท้อนแสง เป็นต้น หลอดไฟ LED จะใช้พลังงานไฟฟ้าต่ำให้แสงสว่างเท่าหลอดไฟแบบฟลูออเรสเซนต์-หลอดไส้ ให้ความร้อนน้อยกว่าหลอดฟลูออเรสเซนต์ และอายุการใช้งานยาวนาน ทำความสะอาดอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง เพราะฝุ่นอาจเกาะจนทำให้ประสิทธิภาพการส่องสว่างลดลง สังเกตบริเวณขาหลอดไฟ หากเริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล สีดำ ให้รีบเปลี่ยนหลอดไฟ เพื่อป้องกันไฟฟ้าลัดวงจร ตู้เย็น ทุกบ้านต้องมีตู้เย็นแน่นอน เพียงแค่ขนาดจะแตกต่างกันออกไปตามความต้องการใช้งานของแต่ละครอบครัว นอกจากจะเลือกใช้ตู้เย็นแบบประหยัดไฟแล้ว เมื่ออายุการใช้งานนานขึ้นก็ต้องคอยตรวจสอบประสิทธิภาพการทำงานด้วย   วางตู้เย็นให้ห่างจากผนังอย่างน้อย 15 เซนติเมตร เพื่อช่วยระบายความร้อนได้ดีกว่า และทำให้ประหยัดไฟได้มากกว่า ตรวจสอบการทำงานของตู้เย็น เช่น ขอบยางประตูตู้ปิดสนิท ข้างตู้เย็นถ้ามีมีไอน้ำเกาะ หรือมีหยดน้ำเกาะแสดงว่าฉนวนเสื่อม ตั้งอุณภูมิช่องธรรมดาประมาณ 3-6 องศาเซลเซียส และช่องฟรีซไม่ต่ำกว่า -15 องศาเซลเซียส หลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้ตู้เย็นทำงานหนักขึ้น อาทิ ปล่อยให้น้ำแข็งเกาะช่องฟรีซหนาเกินไป นำของร้อนแช่ในตู้เย็น เปิด-ปิดตู้เย็นบ่อย และเก็บอาหารในตู้เย็นจนแน่นตู้มากเกินไป เครื่องซักผ้า หากเป็นเครื่องซักผ้าส่วนตัวที่บ้านเราเอง ก็จะดูเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ถูกใช้งานไม่บ่อยมากนักเมื่อเทียบกับเครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดอื่นๆ ที่เปิดใช้กันทุกวัน แต่ถ้าใช้แบบไม่ถูกวิธีก็กินไฟเหมือนกันครับ เรามาดูวิธีประหยัดค่าไฟสำหรับเครื่องซักผ้ากัน   ปริมาณผ้าที่ซักพอเหมาะกับขนาดถังของเครื่อง ไม่มากและไม่น้อยจนเกินไป เครื่องซักผ้าบางรุ่นจะสามารถเลือกซักระบบน้ำอุ่นได้ เพื่อใช้สำหรับผ้าที่เปื้อนไขมันมากๆ แต่ถ้าเป็นการซักผ้าธรรมดาแนะนำให้ใช้น้ำอุณภูมิปกติจะประหยัดไฟมากกว่าการซักด้วยน้ำอุ่น หลีกเลี่ยงอบผ้า เพราะกินไฟมาก ให้เลี่ยงไปใช้การตากผ้าปกติแทน โทรทัศน์ บ้านไหนต้องเปิดโทรทัศน์รับชมข่าวสารและความบันเทิงต่างๆ ทุกวันบ้างครับ? ไม่ว่าจะมีจอเล็กหรือจอใหญ่ก็มีวิธีประหยัดค่าไฟเหมือนกัน ดังนี้   ไม่ปรับจอสว่างจนเกินไป เปิดระดับเสียงที่พอดี ถ้าไม่มีคนดูก็ปิด ไม่เปิดควรเปิดทิ้งไว้ เตารีด เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้ความร้อนถือเป็นเครื่องที่กินไฟมากในการใช้งานแต่ละครั้ง ดังนั้นควรจะรู้จักวิธีการใช้งานอย่างถูกต้อง เพื่อให้เราประหยัดค่าไฟได้มากที่สุด   เสียบปลั๊กเตารีดในเตารับที่แน่นหนา ฉนวนยางที่หุ้มสายไฟต้องอยู่ในสภาพสมบูรณ์ เพราะเตารีดต้องใช้กระแสไฟฟ้าจำนวนมาก ควรรีดผ้าครั้งเดียวหลายชิ้นจนเสร็จครั้งเดียว จะช่วยประหยัดไฟได้มากกว่าการรีดผ้าครั้งละไม่กี่ชิ้น โดยขณะที่เตารีดยังไม่ร้อนมากให้เริ่มรีดจากผ้าเนื้อบางก่อน ไม่ควรพรมน้ำบนผ้ามากเกินไปจนแฉะ เพราะจะทำให้เตารีดต้องใช้ความร้อนหนักขึ้น ก่อนรีดผ้าเสร็จประมาณ 2-3 นาที ให้ดึงปลั๊กออกก่อน เพราะกว่าเตารีดจะเย็นลงต้องใช้เวลาสักระยะ ไมโครเวฟ เตาอบ หนึ่งในเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้ความร้อน หากใช้งานไม่ถูกวิธีก็จะเสียความร้อนโดยเปล่าประโยชน์ อาหารสุกช้าลง และยังต้องใช้ไฟเพิ่มขึ้นด้วย โดยวิธีใช้ให้ประหยัด คือ   ควรใช้ภาชนะ ก้นแบน เนื้อโลหะ เพราะจะรับความร้อนได้ดี ทำให้อาหารสุกง่ายขึ้น ขณะอบอาหารอย่าเปิดตู้อบบ่อย ๆ ถอดปลั๊กออกทันทีเมื่อใช้งานเสร็จ เตาไฟฟ้า กระทะไฟฟ้า นิยมใช้กันมากในคอนโดฯ หรืออพาร์ทเม้นท์ เพราะใช้งานสะดวก ประหยัดพื้นที่ แต่ก็ได้ขึ้นชื่อว่ากินไฟมากพอตัวเลยครับ แต่พอจะมีวิธีใช้ให้กินไฟไม่มากเกินไปอยู่บ้าง ได้แก่   เลือกใช้รุ่นที่มีระบบตัดไฟอัตโนมัติ สายไฟ เต้าเสียบ ต้องอยู่ในสภาพสมบูรณ์ก่อนใช้งาน เนื่องจากจะมีการนำความร้อนมาก ปิดเตาก่อนอาหารสุก 5 นาที ถอดปลั๊กออกทันทีเมื่อใช้งานเสร็จ เครื่องปรับอากาศ สุดท้ายจะไม่เอ่ยถึงเลยไม่ได้เด็ดขาด สำหรับเครื่องปรับอากาศที่ทุกบ้านต้องใช้งานกันอย่างหนักหน่วง โดยเฉพาะช่วงหน้าร้อน แม้จะแลกมากับค่าไฟที่เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวก็ตาม แม้จะเลี่ยงการใช้งานไม่ได้ก็มาดูวิธีใช้อย่างประหยัดกันครับ   เลือกเครื่องปรับอากาศขนาดเหมาะสมกับพื้นที่ห้อง และเป็นเครื่องที่ได้รับการรับรองมาตรฐานประหยัดไฟ ติดตั้งเครื่องปรับอากาศเว้นระยะห่างจากเพดานให้พอดี เพื่อระบายความร้อนจากตัวเครื่องได้ดีขึ้น ทำความสะอาดฟิลเตอร์แอร์ และบำรุงรักษาเครื่องอยู่เสมอ จะช่วยลดการทำงานหนักของเครื่องปรับอากาศได้ ตั้งอุณหภูมิไม่ควรต่ำกว่า 26 องศาเซลเซียส ปิดประตู หน้าต่างให้มิดชิด เพื่อไม่ให้ความเย็นรั่วไหลออกนอกห้อง และยังช่วยไม่ให้ความร้อนจากภายนอกเข้ามา ช่วยลดภาระการทำงานของเครื่องปรับการ   วีธีการเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยเรื่องของการประหยัดค่าไฟบ้านเท่านั้น แต่ยังช่วย #Save ความปลอดภัยให้บ้านเราได้อีกทางหนึ่งด้วยนะครับ เพราะหากเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหลายในบ้านเราได้มาตรฐาน มีความปลอดภัย ก็จะป้องกันการเกิดไฟฟ้าลัดวงจร สาเหตุหลักของกาเกิดอัคคีภัยได้อีกด้วย และอย่าลืม! หลังการใช้งานปิดสวิตซ์ ถอดปลั๊กทุกครั้งด้วยนะครับ   ลองไปดูวิธีการอื่นๆ เพื่อการประหยัดไฟในบ้านกัน จัดห้องนอนให้เย็นสบายโดยไม่เปิดแอร์ สาเหตุหลักที่ทำให้แอร์ไม่เย็นฉ่ำ คำนวน BTU แอร์ ให้เหมาะกับขนาดห้อง    
อสังหาฯ ไทยจะเปลี่ยนไปอย่างไร?  หลังวิกฤตโควิด-19

อสังหาฯ ไทยจะเปลี่ยนไปอย่างไร? หลังวิกฤตโควิด-19

เน็กซัส ชี้โควิด-19 สร้าง Covid Shock จุดเปลี่ยนอสังหาฯ พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแบบพลิกฝ่ามือ ทุกคนถูก Fast Forward เข้าสู่โลกอนาคตเพียงพริบตา ปีนี้ซัพพลายเก่าจะถูกเร่งขาย ในขณะที่ซัพพลายใหม่  จะเข้าสู่ตลาดไม่เกิน 30,000 ยูนิต   ถือเป็นโอกาสทองของคนเงินเย็นที่พร้อมช้อนซื้อสินค้าดีราคาประหยัด  ส่งสัญญาณไปยังภาครัฐช่วยพิจารณามาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ทั้งมาตรการการโอน ผ่อนปรนภาษีธุรกิจเฉพาะ และ LTV พร้อมเสนอผ่อนปรนกฎการถือครองกรรมสิทธิ์ ชาวต่างชาติเพื่อช่วยดีเวลลอปเปอร์ไทย   นางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด  ประเมินสถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์หลังวิกฤตโควิด-19  ว่า ในช่วงปีนี้เป็นช่วงเวลาแห่งการระบายสต๊อกเก่า ข้อมูลจากเน็กซัสพบว่าซัพพลายของคอนโดมิเนียมคงค้างในกรุงเทพฯ ตั้งแต่ปลายปี 2562 มีประมาณ 60,000 ยูนิต คาดว่าในปีนี้ตลาดจะสามารถดูดซับไปได้ประมาณ 80% โดยเราจะเริ่มเห็นการลดราคาจากดีเวลลอปเปอร์ ซึ่งราคาที่ลดลงจะอยู่ในเรทเหมาะสมและค่อนข้างดี เป็นระดับราคาที่ดีเวลลอปเปอร์ยอมรับได้และคุ้มค่าที่จะซื้อในฝั่งผู้บริโภค   คาดการณ์ว่ากลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่จะกลับมาได้รับความสนใจเร็วที่สุดหลังวิกฤติโควิด-19 คือ คอนโดฯ​ ราคาไม่เกิน 4 ล้านบาท เพราะเป็นระดับราคาที่คนกรุงเทพฯ​ ส่วนใหญ่รับได้ และเป็นเรียลดีมานด์ที่ต้องการอยู่อาศัยเลย ส่วนอีกตลาดที่จะฟื้นตัวเร็ว คือ สินค้าในระดับลักซ์ชัวรี ที่ถึงแม้คนส่วนใหญ่จะมีเงินลดลง แต่ยังมีกำลังซื้อมากพอที่จะจ่ายได้ โดยตัวผู้บริโภคเองจะเลือกซื้อสินค้าที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ใหม่ของตัวเอง และมีฟังก์ชั่นที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการ เช่น การปรับให้มีห้องทำงานที่เหมาะกับการทำงานที่บ้านได้ เป็นต้น อสังหาฯ ไทยหลังวิกฤตโควิด-19     หากประเมินภาพเชิงลบที่สุด คือ หากวิกฤติโควิด-19 ยังดำเนินต่อไปและไม่สามารถลดปริมาณผู้ติดเชื้อได้ ผู้ประกอบการภาคเอกชนจะอยู่ได้ยาวที่สุดอีกเพียงแค่ 3 เดือนเท่านั้น และจะเป็นงานหนักสำหรับดีเวลลอปเปอร์ เพราะเมื่อภาคธุรกิจขาดสภาพคล่อง จะเริ่มเห็นแนวโน้มการปิดตัวลงของผู้ประกอบการจำนวนมาก ทำให้เม็ดเงิน ในกระเป๋าของผู้บริโภคลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลต่อการตัดสินใจชะลอการซื้อ จะกระทบต่อตลาด อสังหาริมทรัพย์มากขึ้นตามไปด้วย   หากประเมินในภาพบวกเพิ่มขึ้น คือ หากเราสามารถควบคุมจำนวนผู้ติดเชื้อได้  และจำนวนผู้ติดเชื้อค่อยๆ ลดลงจนอยู่ในระดับที่น่าพอใจ ประเมินว่าในช่วงไตรมาส 2 นี้ ตลาดก็อาจจะ ยังไม่สดใสนัก แต่จะเห็นแนวโน้มที่จะค่อยๆ ดีขึ้นตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มปรับตัว กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้บ้าง แต่จะเห็นว่าทุกอย่างจะกลับมาดีขึ้นอย่างจริงจังในไตรมาส 3 โดยผู้ประกอบการ หลายรายจะเริ่มกลับมามีกิจกรรมทางการตลาด เพราะอย่างไรก็ตามธุรกิจต้องดำเนินไป   ไตรมาสที่4 จะดีที่สุด และคาดว่าจะเป็นไตรมาสที่รัฐบาลหันกลับมาพิจารณาให้ความสำคัญกับภาคอสังหาฯ โดยมีมาตรการช่วยเหลือ และผ่อนปรนต่างๆ ออกมาเพื่อสนับสนุนให้อสังหาฯ ยังคงเดินต่อไปได้ ในไตรมาส 4 หากภาครัฐออกมาตรการเพื่อสนับสนุนภาคอสังหาฯ  จะเห็นตลาดรีบาวด์กลับมาอย่างชัดเจน  ไม่ว่าจะเป็น มาตรการลดค่าโอน ที่ขยายให้ครอบคลุมทั้งตลาดอสังหาฯ การยืดหยุ่นภาษีธุรกิจเฉพาะ การผ่อนปรนมาตรการ LTV รวมถึงการผ่อนคลายกฎเกณฑ์การถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดินของชาวต่างชาติ โดยอาจปรับให้สามารถซื้อที่ดินหรือบ้านในโครงการจัดสรรที่พัฒนาเพื่อที่อยู่อาศัยได้ ซึ่งกำลังซื้อจากต่างชาติจะช่วยให้ตลาดอสังหาฯ ไทยกลับมาได้เร็วมากยิ่งขึ้น เทรนด์การอยู่อาศัยในปี 2564   เนื่องจากปีนี้ ผู้ประกอบการจำเป็นต้องเร่งระบายสต๊อกเก่า ดังนั้นจะส่งผลให้ซัพพลายใหม่ที่จะออกมา น่าจะไม่เกิน 30,000 ยูนิต จากปกติในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ตลาดคอนโดฯ ในกรุงเทพฯ จะมีซัพพลายใหม่ออกมาเฉลี่ยปีละ 52,000 ยูนิต และเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 11%ทุกปี ซึ่งผลจาก Covid Shock ในครั้งนี้ส่งผลให้ยอดสะสมของคอนโดฯ จะลดลง ถือเป็นการปรับฐานใหม่อีกครั้งสำหรับอสังหาฯ ในกรุงเทพฯ   การปรับฐานในครั้งนี้  ไม่เพียงแค่เรื่องจำนวนคอนโดฯ เท่านั้น แต่ยังปรับไปถึงเรื่องการเปลี่ยนฟังก์ชั่นการใช้งานในคอนโดฯ หรือบ้านด้วย เพราะการใช้ชีวิตของคนเปลี่ยนไป ทำให้การออกแบบที่อยู่อาศัยต้องตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ใหม่ อาทิ การเริ่มคุ้นชินกับการทำงานที่บ้าน ดังนั้นดีเวลลอปเปอร์จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเรื่องฟังก์ชั่นภายในบ้านหรือคอนโดฯ เช่น ให้ความสำคัญกับห้องทำงานมากพอกับห้องนอน เป็นต้น   ในส่วนกลางที่เคยให้ความสำคัญกับการมี Co-working space หรือ Co-kitchen แต่ด้วยสถานการณ์โควิด-19 ทำให้คนเรามีระยะห่างมากขึ้น มีความนิ่ง อยู่กับตัวเอง และรักความสะอาดมากกว่าเดิม ดังนั้นสินค้าใหม่ของดีเวลลอปเปอร์ที่จะผลิตออกมา จะชูจุดขายเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัว เช่น ห้องครัว หรือห้องทำงาน แบบรองรับคนเพียงคนเดียวจะเป็นรูปแบบที่ถูกได้รับความสำคัญมากอย่างยิ่ง เพราะคนใช้ชีวิตกับตัวเองมากขึ้น รวมถึงการให้น้ำหนักไปกับ Living Room หรือห้องทำงานมากกว่าห้องนอน เพราะเมื่อคนทำงานอยู่ที่บ้าน มักใช้เวลาในห้องเหล่านี้มากกว่าห้องนอน โดยคาดว่าจะเห็นสินค้าใหม่ๆ รูปแบบนี้ออกมาจากดีเวลลอปเปอร์ในช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า ตลาดรีเทล-อาคารสำนักงานกระทบหนัก กลุ่มรีเทลเป็นอีกกลุ่มสำคัญที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ผู้เช่าที่เคยเช่าพื้นที่ขายของในห้างสรรพสินค้า อาคารสำนักงาน หรือแม้แต่คอมมูนิตี้มอลล์ต่างๆ จะเริ่มคุ้นชินกับการขายของผ่านออนไลน์ ดังนั้น ต่อจากนี้ไปหน้าร้านจะถูกลดบทบาทความสำคัญลง ผู้เช่าคุ้นชินกับการขายของผ่านโลกออนไลน์มากยิ่งขึ้น มีทักษะด้านออนไลน์เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้การมีหน้าร้านหรือการเช่าพื้นที่ขนาดใหญ่จะถูกลดทอนขนาดการเช่าลง แต่เน้นเรื่องการให้บริการออนไลน์ และการส่งเดลิเวอรี่หรือให้ลูกค้าไปรับสินค้าที่หน้าร้านแทนมากยิ่งขึ้น   ทำให้กลุ่มธุรกิจส่วนนี้ ต้องวางแผนการปรับตัวอย่างมากเพื่อให้พื้นที่เช่ายังคงเป็นที่ต้องการอยู่ ร้านค้าจะเป็นดิสเพลย์ที่ให้ประสบการณ์หลังจากศึกษาข้อมูลออนไลน์ หรือเข้ามาเพื่อรับบริการหลังการขายต่างๆ มากกว่า การตกแต่งภายในของพื้นที่อาจมีความจำเป็นน้อยลง นอกจากนี้พื้นที่ค้าปลีกอาจมี Stand alone เพื่อบริการเดลิเวอรี่มากขึ้น ไม่จำเป็นต้องอยู่ในห้างสรรพสินค้าใหญ่อีกต่อไป   สำหรับตลาดอาคารสำนักงานนั้น เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ได้รับผลกระทบเช่นกัน เนื่องจากปีที่ผ่านมาและอีก 2 ปีข้างหน้า ตลาดอาคารสำนักงานในกรุงเทพฯ จะมีซัพพลายใหม่ออกมาอีกนับเป็นล้านตารางเมตร จากอาคารที่กำลังก่อสร้าง กว่า 40 อาคาร พื้นที่ประมาณ 1.61 ล้านตารางเมตร และจะแล้วเสร็จพร้อมกันในปี 2564 - 2566 แต่พฤติกรรมของคนได้ถูกปรับเปลี่ยนไปแล้ว เพราะการทำงานที่บ้านเริ่มได้รับการยอมรับ และมีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดเทรนด์ต่อไป แม้ว่าเหตุการณ์โควิดจะผ่านไปแล้วก็ตาม ส่งผลให้บริษัทต้องการพื้นที่ออฟฟิศลดลง ทั้งจำนวนที่นั่ง โต๊ะทำงาน และห้องประชุม และจะส่งผลกระทบต่อเจ้าของอาคารอย่างชัดเจน เทรนด์ที่เปลี่ยนไปเหล่านี้ล้วนเป็นไลฟ์สไตล์ใหม่  เทรนด์ใหม่ที่ออกมาท้าทายโลกของเราอย่าง Fast Forward แบบที่เราเองก็ไม่นึกมาก่อน ผู้ประกอบการต้องเตรียมความพร้อมที่จะรับมือและต้องปรับตัว อาทิเช่น 1.Facilities ปรับปรุงระบบ Facilities ของอาคารให้สามารถสนับสนุนการทำงาน  ข้ามไปข้ามมาระหว่างที่อาคารสำนักงาน (Head Office) กับการทำงานนอกสถานที่ (Home) โดย Facilities ที่สำคัญ ได้แก่ ระบบทางด้าน IT ที่จะต้องมีความพร้อมในขั้นสูงสุด และพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนระบบให้ได้อย่างรวดเร็วตามกระแสการใช้งาน 2.Flexibility เนื่องจากเทรนด์สมัยใหม่ ผู้เช่าหลายๆ รายต้องการความยืดหยุ่นในการใช้พื้นที่ ปรับลด-เพิ่ม ได้ตามความต้องการ ผู้ประกอบการที่เข้าใจในรูปแบบของผู้เช่า อาจจะต้องปรับรูปแบบของสัญญาเช่าและพื้นที่เช่าให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น 3.Fair Price จากการที่ Supply & Demand กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งยิ่งใหญ่ ในขณะที่ Supply กำลังจะมีคู่แข่งเข้ามาในตลาดที่มากขึ้น ทางด้าน Demand ก็กำลังจะเปลี่ยนรูปแบบของความต้องการ แน่นอนเลยคือตลาด จะพบกับการแข่งขันที่ดุเดือด สิ่งที่จะเห็นได้คือ สงครามราคา ดังนั้นผู้ประกอบการที่ปรับตัวและพร้อมที่จะแข่งขัน ในเรื่องราคาและบริการได้ก่อนผู้ประกอบการรายอื่น ก็จะสามารถผ่านช่วงเวลาท้าทายช่วงนี้ไปได้อย่างไม่ลำบาก  
5 ไอเดียจัดพื้นที่ทำงาน Work From Home สไตล์ “อิเกีย”

5 ไอเดียจัดพื้นที่ทำงาน Work From Home สไตล์ “อิเกีย”

ในสถานการณ์ปัจจุบันที่หลายๆ คน ปรับเข้าสู่โหมด Work From Home รวมถึงการรณรงค์ให้ Stay At Home และ Social Distancing เพื่อความปลอดภัย และลดความเสี่ยงจากการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส ยิ่งตอนนี้  มีประกาศเคอร์ฟิวด้วย อาจจะทำให้หลายบริษัทและออฟฟิศหลายแห่ง คงให้พนักงานอยู่บ้าน เพื่อทำงานจากที่บ้านกันมากขึ้น   แต่การทำงานที่บ้าน หลายคนอาจจะขาดแรงจูงใจ หรือไม่ค่อยมีสมาธิในการทำงาน เพราะอยู่บ้านจะมีสิ่งยั่วใจให้ต้องเสียสมาธิ ไม่ว่าจะเป็นที่นอนนุ่มๆ อาหารอร่อยๆ ที่สั่งมาตุนไว้ หรืออาจจะเป็นซีรีย์เรื่องโปรด ที่เฝ้ารอดู   เพื่อให้การทำงานที่บ้าน หรือ Work Form Home มีประสิทธิภาพเหมือนกับทำงงานที่ออฟฟิศ  ทาง “อิเกีย”  ได้นำเสนอไอเดียการจัดพื้นที่ในบ้าน ให้เป็นมุมทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ให้ทุกคนสามารถนำไปปรับใช้ตามสไตล์และพื้นที่ในบ้าน เพื่อจะได้ Work From Home กันอย่างมีความสุข และมีประสิทธิภาพ   สิ่งที่สำคัญในการทำงานที่บ้านอย่างมีประสิทธิภาพและดีต่อสุขภาพของเราในระยะยาวนั้น เริ่มจาก 1.การจัดตำแหน่งและลักษณะท่านั่งในการทำงานที่เหมาะสม เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงการเกิด office syndrome ซึ่งคำแนะนำในการจัดวางโต๊ะทำงานที่ถูกต้องมีดังนี้ -ตำแหน่งการวางแขนและพนักพิงหลังมีส่วนสำคัญในการรองรับสรีระขณะนั่งทำงาน จึงควรปรับพนักเก้าอี้ทำงานให้ตรง เลือกเก้าอี้ที่นั่งแล้วสบายและรองรับกระดูกสันหลัง โดยให้ที่วางแขนอยู่ในระนาบเดียวกับขอบโต๊ะ หรือใกล้เคียงมากที่สุด เพื่อให้สามารถวางมือและข้อมือลงไปตรงๆ โดยไม่รู้สึกเมื่อยช่วงไหล่ -เมื่อนั่งลงแล้วต้นขาควรจะขนานกับพื้นและวางเท้าบนพื้นได้พอดี หากความสูงของเก้าอี้ไม่ได้ระดับและเท้าลอย ควรใช้ที่วางเท้ามาช่วยรองรับ -หน้าจอคอมพิวเตอร์ควรอยู่ห่างจากตัวหนึ่งช่วงแขน ขอบบนของหน้าจอควรอยู่ระดับสายตาพอดีหรือต่ำกว่าระดับสายตาเล็กน้อย และวางคีย์บอร์ดให้ตรงกับหน้าจอ   เมื่อรู้หลักการจัดวางเฟอร์นิเจอร์และคอมพิวเตอร์แล้ว มาพบกับไอเดียเนรมิตมุมทำงานในฝันให้มีความสุขกับการทำงานยิ่งขึ้นกว่าเดิม   2.เลือกโทนสี Monochrome เรื่องของสีใครว่าไม่มีผลต่ออารมณ์และความรู้สึก สีมีส่วนสำคัญอย่างมาก เพราะสีแต่ละสีต่างให้ผู้ที่พบเห็น มีอารมณ์และความรู้สึกแตกต่างกันไป  หากนำเอาสีมาใช้เป็นกับมุมทำงาน ไม่ว่าจะเป็นเฟอร์นิเจอร์ อุปกรณ์ หรือสิ่งต่างๆ รอบตัว หากเลือกได้ถูกต้อง ก็จะช่วยเสริมทำให้การทำงานได้อย่างราบรื่น และมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย   ตัวอย่างเช่น สีขาวและดำ ยังคงเป็นโทนสีคลาสสิก ที่ทำให้มุมทำงานมีความเป็นมืออาชีพ และให้ความรู้สึกใกล้เคียงกับที่สำนักงาน และยังเป็นระเบียบสะอาดตาอีกด้วย หรือหากตกแต่งห้องในโทนสีเย็นๆ สีหม่นที่ให้ความรู้สึกสบายตา จะช่วยให้มีสมาธิในการทำงานยิ่งขึ้นได้เช่นกัน  3.จัดระเบียบมุมทำงาน การมีโต๊ะทำงาน ที่เป็นระเบียบ ช่วยทำให้การทำงานมีสมาธิ และยังสามารถหาสิ่งของ อุปกรณ์สำนักงานต่างๆ ที่ต้องใช้ได้ง่าย การทำให้โต๊ะทำงานมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยจึงเป็นสิ่งจำเป็น  หากมีอุปกรณ์สำนักงานเยอะ หรือกองเอกสารจำนวนมาก  ลองจัดหาอุปกรณ์จัดเก็บ เข้ามาช่วยจัดการให้ทุกอย่างเป็นระเบียบ ประเภทกล่องเก็บของ หรือชั้นจัดเก็บสิ่งของแบบติดผนัง ช่วยให้มุมทำงานมีความเรียบร้อย เติมความคิดสร้างสรรค์ในการตกแต่งมุมทำงาน   การตกแต่งหรือเลือกใช้อุปกรณ์ช่วยจัดระเบียบ  ยังสามารถบ่งบอกความเป็นตัวตน หรือบอกสไตล์ของคนทำงานได้ด้วย เพราะเดี๋ยวนี้อุปกรณ์ต่างๆ มีให้เลือกหลากหลาย ทั้งวัสดุที่นำมาใช้ รวมถึงสีสันต่างๆ ก็มีให้เลือกมากมาย   ตัวอย่าง ห้องทำงานพนักงานสายไอที สำหรับคนทำงานในสายงานที่ต้องใช้อุปกรณ์หลายอย่าง เช่น งานสายช่างภาพ นักออกแบบ ควรมีพื้นที่ให้กับอุปกรณ์ต่างๆ และไม่วางของตกแต่งอื่นๆ มาปะปนกัน ลองหาโต๊ะหน้ากว้างเพื่อจัดวางอุปกรณ์หรือหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ต้องใช้เพิ่มเติม และควรจัดมุมเสียบปลั๊กอุปกรณ์ต่างๆ ให้เป็นระเบียบ    4.มุมสร้างแรงบันดาลใจ สำหรับสายงานที่ต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์เป็นพิเศษ  ลองนำสิ่งต่างๆ รอบตัวที่เป็นแรงบันดาลใจ หรือสิ่งที่เห็นแล้วมีความสุขมาใส่กรอบแล้วตกแต่งผนัง อาจเติมโคมไฟเพื่อกระตุ้นความคิด รวมถึงอาจเลือกใช้โต๊ะไม้เพื่อให้รู้สึกผ่อนคลาย ก็เป็นไอเดียที่ทำได้ไม่ยาก   หรือแม้พนักงานสายอาชีพทั่วไป ก็สามารถหาของที่ชื่นชอบ ไม่ว่าจะเป็นของสะสม หรือของที่เห็นแล้วมีความสุขนำมาตกแต่ง ประดับโต๊ะทำงาน เพื่อให้หลังจากเคร่งเครียดอยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์  หรือกองเอกสารต่างๆ จำนวนมากแล้ว หันไปมองหรือเห็นสิ่งที่ตัวเองชื่นชอบ นอกจากจะเป็นการพักสายตาแล้ว ยังช่วยให้เกิดความสุขกับสิ่งของที่รักได้อีกด้วย  5.เลือกวิวที่เหมาะ เวลาทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ หรือการต้องอ่านเอกสารกองโต เราจำเป็นต้องพักสายตา เพื่อดูแลสุขภาพดวงตา และยังทำให้ไม่เหนื่อยล้าจากการทำงานด้วย  ดังนั้น การเลือกมุมทำงาน หากเป็นไปได้ควรเลือกอยู่ในมุมที่ใกล้กับวิวนอกห้องบ้าง เพื่อให้เห็นบรรยากาศของภายนอก อาจจะมองเห็นต้นไม้สีเขียว หรือวิวเมืองทั่วไป   การจัดโต๊ะทำงานใกล้หน้าต่างที่เห็นทิวทัศน์ภายนอก จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลยหรือมองข้าม แต่ก็ต้องมั่นใจว่าแสงแดดช่วงเที่ยงและบ่ายจะไม่กระทบสายตาของคุณโดยตรง ควรเลือกมุมที่หันหลังหรือหันข้างให้แสง หรือหากอยู่ในคอนโดฯ ลองเลือกจัดมุมทำงานที่ข้างหน้าต่างหรือใกล้ระเบียงห้อง ให้ความรู้สึกที่ปลอดโปร่งความคิดแล่นเร็วสามารถทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่างได้ เพราะจะดีทั้งสุขภาพดวงตา และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้มากขึ้น   อีกสิ่งที่ไม่ควรละเลย คือ การใกล้ชิดธรรมชาติด้วยสีเขียว การตกแต่งมุมทำงานด้วยไม้ประดับที่ดูแลง่าย และเป็นเครื่องกรองอากาศแบบธรรมชาติไปในตัว อาทิ ลิ้นมังกร พลูด่าง ว่านหางจระเข้ เดหลี สับปะรดสี กล้วยไม้ จั๋ง และเฟิร์น เป็นต้น ทั้งยังเอาไว้พักสายตามามองสีเขียว เมื่อเริ่มรู้สึกตึงเครียดจากการทำงาน นี่คงเป็น 5 Tips ง่ายๆ ทำได้ไม่ยาก แถมยังสร้างบรรยากาศ และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้กับพนักงานออฟฟิศ และผู้ที่ต้อง Work From Home ในช่วงบรรยากาศเคอร์ฟิว และโลกภายนอกยังเต็มไปด้วยไวรัสโควิด-19 เป็นกำลังใจให้กับทุกคนผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” เราจะรอดไปด้วยกัน    
8 วิธีจัดบ้านช่วง Work From Home ทำงานสบาย-ไม่เครียด

8 วิธีจัดบ้านช่วง Work From Home ทำงานสบาย-ไม่เครียด

ตอนนี้คนส่วนใหญ่ คง Work From Home เพราะต้อง “อยู่บ้าน เพื่อชาติ” ลดเสี่ยงการติด-การแพร่เชื้อไวรัสโควิด-19 เพราะสถานการณ์ตอนนี้ ยังไม่รู้ว่าการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะจบลงเมื่อไร   เมื่อจำเป็นต้องทำงานจากที่บ้าน แล้วจะมีวิธีทำอย่างไรให้ประสิทธิภาพการทำงาน ไม่ลดลงหรือแตกต่างจากการทำงานที่ออฟฟิศ   วันนี้เรามีเทคนิคในการจัดบ้าน จากบริษัท คิงส์เมน ซี.เอ็ม.ที.ไอ. จำกัด (มหาชน) เพื่อมาเป็นไอเดีย นำไปใช้ช่วยสร้างบรรยากาศให้น่าทำงาน ไม่น่าเบื่อ แถมยังจะช่วยให้ทำงานได้มีอย่างมีประสิทธิภาพ  ทั้งทางความคิด อีกทั้งยังช่วยลดความตรึงเครียดเพิ่มความผ่อนคลายได้อีกด้วย มาดู 8 วิธีเปลี่ยนบ้านให้กลายเป็นออฟฟิศที่น่าทำงาน 1.หาต้นไม้ขนาดเล็กมาตั้งไว้บนโต๊ะทำงาน ต้นไม้เล็กๆ อย่างแค็กตัสหรือตะบองเพชร นี่แหละเหมาะที่สุด เพราะขนาดกะทัดรัด ไม่เกะกะ  นอกจากนี้ยังมีสีสันสวยงาม ดูแลง่าย ไม่ต้องรดน้ำบ่อย หรือจะเป็นต้นไม้ชนิดอื่นๆ ดูขนาดให้เหมาะกับโต๊ะ หรือมุมบ้าน เพราะสีเขียวจะทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลายจากการทำงานได้ ยิ่งหากใส่ในกระถางสวยๆ เก๋ๆ ตามสไตล์ที่เราชื่นชอบ ก็จะทำให้เป็นโต๊ะที่น่าทำงาน แถมสร้างบรรยากาศสดชื่นอีกต่างหาก 2.เลือกห้องที่เงียบๆ หรือมุมโปรดเป็นที่ทำงาน ถ้าคิดไม่ออกว่าห้องไหนดี แนะนำว่าให้เลือกนั่งเล่นจะเหมาะที่สุด เพราะไม่อุดอู้ บรรยากาศสบายๆ นั่งทำงานทั้งวันก็ไม่เบื่อ แต่สำหรับใครที่ชอบความเงียบ ความเป็นส่วนตัว แนะนำให้เลือกห้องนอน เพราะความเงียบจะช่วยให้คุณมีสมาธิกับการทำงาน แล้วหากอยู่คอนโดมิเนียม หรือห้องเช่า ที่เป็นห้องสตูดิโอ ไม่ได้มีการแบ่งห้องอื่นๆ ไว้ แนะนำให้เลือกหามุมใดมุมหนึ่ง ที่คิดว่าเป็นมุมสงบของห้อง และเป็นมุมที่ตัวเองชื่นชอบ อาจจะเป็นมุมริมหน้าต่าง ที่สามารถพักสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ออกไปมองวิวรอบนอกได้ หรือมุมที่ห่างไกลจากทีวี เพราะจะได้ไม่ต้องเสียสมาธิจากการอยากเปิดทีวีดู ที่สำคัญอยากเลือกมุมทำงานใกล้เตียงนอน เพราะที่นอนจะดึงดูดให้เราหันไปเอนตัวลงนอนได้ทุกเมื่อ ควรเว้นระยะห่างจากที่นอนเป็นดีที่สุด 3.มีของกินบนโต๊ะทำงาน (แต่พอประมาณ) ลองหาขนม กาแฟ หรือผลไม้เตรียมไว้ที่โต๊ะทำงานสักหน่อยก็จะช่วยให้คลายเครียดได้ แต่อย่ามากเกินไปจนเกินไป เพราะจะทำให้เราเสียสมาธิ เอาเวลาแต่ไปกินอาหาร ที่สำคัญอาหารที่อยู่บนโต๊ะควรเป็นอาหารหยิบกินง่าย ไม่ใช่อาหารมื้อหลัก เพราะแทนที่จะเป็นโต๊ะทำงานก็อาจจะกลายเป็นโต๊ะกินข้าวไปแทน 4.ควรแยกมุมทำงานออกจากสัตว์เลี้ยง ถ้าบ้านใครเลี้ยงสัตว์เลี้ยงไว้  ควรจะหามุมทำงานที่ห่างไกลจากสัตว์เลี้ยงแสนรัก เพราะอย่างน้อยก็ถ้าหมาแมวของคุณมีนิสัยซุกซน ชอบเล่นเสียงดัง ชอบมากวนคุณเวลาคุณทำงาน ก็ขอแนะนำให้ใช้มุมอื่นทำงานจะดีกว่า เพราะไม่งั้นคุณอาจจะรำคาญและเสียสมาธิได้ แต่ถ้าคุณเคยชินกับการที่มีสัตว์เลี้ยงอยู่ล้อมรอบเวลาทำงานอยู่แล้ว ก็ไม่มีปัญหา เพราะแบบนั้นอาจทำให้คุณผ่อนคลายมากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ 5.ควรเลือกเก้าอี้ขนาดใหญ่ นั่งสบาย ดีที่สุดคือควรเป็นเก้าอี้แบบที่ใช้ในสำนักงาน เพราะเบาะและพนักพิงจะนุ่มมาก นั่งสบาย แต่ถ้าหากพื้นห้องเป็นพื้นปาร์เก้ ไม่สามารถใช้เก้าอี้แบบล้อเลื่อนได้ ก็ให้ใช้เก้าอี้ขนาดใหญ่แล้วเอาเบาะรองนั่งนิ่มๆ มาวางไว้แทนก็ได้ การนั่งทำงานบนเก้าอี้ที่นั่งสบาย ไม่เพียงแต่ช่วยให้เราทำงานได้อย่างมีสมาธิ ทำงานได้ต่อเนื่อง ไม่ปวดเมื่อยเมื่อต้องนั่งนาน ลดเสี่ยงจากปัญหาโรคออฟฟิศซินโดรมให้น้อยลงด้วย 6.หลีกเลี่ยงการใช้โต๊ะเตี้ยนั่งทำงานกับพื้น การใช้โต๊ะเตี้ยนั่งทำงานกับพื้น คุณจะต้องนั่งท่าขัดสมาธิเสียส่วนใหญ่ ทำให้เจ็บเข่าได้ ปวดเมื่อยได้ง่าย ทำให้หงุดหงิดง่าย เบื่อง่ายไปด้วย ไม่สามารถทำงานต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ ได้ เมื่อปวดเมื่อยก็จะมีโอกาสเป็นโรคออฟฟิศซินโดรม แถมประสิทธิภาพงานอาจจะไม่ได้เต็มที่ ทางที่ดีควรนั่งโต๊ะและเก้าอี้แบบปกติจะดีกว่า 7.กลิ่นหอมช่วยผ่อนคลาย การสร้างบรรยากาศของห้องให้สดชื่น จะส่งผลให้อารมณ์ความรู้สึกของเราผ่อนคลาย หนึ่งในการสร้างบรรยากาศที่ดี คือ การสร้างกลิ่นหอม อาจจะเป็นการใช้น้ำหอมปรับอากาศ หรือจะฉีดน้ำหอมในห้องก็ตามสะดวก เพราะกลิ่นหอมๆ จะช่วยให้คุณผ่อนคลายสบายใจขึ้นได้ 8.อากาศถ่ายเทสะดวก การทำงานในห้องที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก จะช่วยทำให้สมองปลอดโปร่ง เกิดความคิดสร้างสรรค์  หากเป็นไปได้ควรเลือกห้องทำงาน  ที่สามารถเปิดหน้าต่าง ให้มีลมพัดหรือมีอากาศถ่ายเทสะดวก เป็นสิ่งที่ดีที่สุด  โดยไม่ต้องเปิดแอร์ หรืออาจจะใช้วิธีเปิดพัดลมช่วยแทน  นอกจากช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าแล้ว ยังทำให้ไม่รู้สึกอุดอู้ กับการนั่งทำงานในห้องสี่เหลี่ยม  แต่สำหรับหลายคนที่ทำงานในห้อง ซึ่งจำเป็นต้องเปิดแอร์ แนะนำให้เปิดแอร์ในอุณหภูมิที่ไม่เย็นจนเกินไป และอย่าให้ทิศทางของแอร์พัดลงมาโดนร่างกายโดยตรง  เพราะอาจจะทำให้ไม่สบายได้   เทคนิคเหล่านี้ เป็นเทคนิคที่ทุกคนสามารถนำไปปรับใช้ ให้เหมาะสมกับสภาพของห้อง และไลฟ์สไตล์การทำงานของแต่ละคนได้ตามสะดวก ในยามที่จะต้อง Work From Home เพื่อให้การทำงานจากที่บ้านไม่ดูน่าเบื่อ และเกิดประสิทธิภาพการทำงานมากที่สุดด้วย
Work from home อย่างไรให้ได้งาน

Work from home อย่างไรให้ได้งาน

สถานการณ์ไวรัสโควิด 19 แพร่กระจายเป็นวงกว้างอย่างรวดเร็ว มีผู้ติดเชื้อเพิ่มทุกวันอย่างไม่มีทีท่าว่าจะลดลงในเร็ววันนี้ ทำให้รัฐบาลประกาศปิดหลายสถานที่ เพื่อลดการแพร่กระจายเชื้อโรค ทำให้ห้างร้านต่างๆ ต้องปิดตัวกันระยะหนึ่ง บริษัทเอกชนก็พร้อมใจปรับเปลี่ยนมา Work from home แต่ด้วยสภาพแวดล้อมของการทำงานอยู่บ้าน ก็ชวนให้รู้สึกเบื่อหน่าย หรือไม่ก็ทำให้รู้สึกง่วงนอน กินขนมจุกจิกไปเรื่อย ส่งผลเสียต่อสมาธิเวลาทำงานได้ง่ายมาก จะปล่อยเป็นแบบนี้ก็เสียงานไปเปล่าๆ ถ้าอย่างนั้นเรามาลองดูวิธี "Work from home อย่างไรให้ได้งาน" โควิด19 จะมาหยุดมนุษย์เงินเดือนอย่างเราไม่ได้!! ตั้งนาฬิกาปลุก ก่อนอื่นเลย เราต้องตั้งนาฬิกาปลุกให้ตัวเราตื่นจากที่นอนแสนสบายในวันที่ไม่ต้องเร่งรีบเดินทางไปออฟฟิศเช่นนี้ เพราะถ้าเราปล่อยเวลาให้หลับยาวไปเรื่อยๆ กว่าจะรู้ตัวตื่นขึ้นมาอีกที จะเสียเวลางานไปหลายชั่วโมงเลยครับ อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เมื่อลุกขึ้นมาจากเตียงได้แล้ว อย่ารอช้า! อาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟันให้เรียบร้อย แล้วต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดนอนเดิมด้วยนะครับ เพราะสมองของเราจะตื่นตัวขึ้น แล้วรู้สึกว่า "ต้องทำงานแล้วนะ" เป็นเหมือนแรงกระตุ้นให้เราเริ่มต้นทำงานอย่างจริงจัง วางแผนงานให้ดี ไม่ว่าคุณจะทำงานคนเดียวหรือทำงานเป็นทีม สิ่งที่ต้องทำคือการวางแผนงานอย่างรอบคอบ ทำอะไรก่อน-หลัง ต้องประสานงานกับใครบ้าง แล้วติดต่อกันช่องทางไหน นัดแนะประชุมงานกันเวลาไหน ต้องส่งงานกับหัวหน้าอย่างไร อย่างทีม ReviewYourLiving ของเรา จะใช้แอปพลิเคชั่น Trello, Zoom, Telegram และ Google calendar ครับ อย่านั่งทำงานบนเตียง หลายคนที่อยู่คอนโดหรืออพาร์ทเม้นท์ อาจจะชอบนั่งทำงานบนเตียงกับโต๊ะญี่ปุ่นตัวเล็กๆ แต่ถ้าอยู่ในท่านั่งทำงานบนเตียงนานๆ จะเกิดอาการง่วงนอน แถมยังนั่งได้ไม่นานเท่าที่ควรก็ปวดขา เป็นเหน็บชา ดังนั้นควรมีโต๊ะทำงาน นั่งเก้าอี้ เพราะเป็นท่านั่งทำงานที่ถูกต้องมากที่สุด ทำให้นั่งได้นาน โดยไม่เกิดอาการปวดเนื้อปวดตัวภายหลัง กำหนดเวลาพัก ความแตกต่างระหว่างทำงานอยู่บ้านกับออฟฟิศที่เห็นได้ชัดเลยคือ เราจะพักกินข้าว กินขนมเวลาไหนก็ได้ ตามใจปากกันเต็มที่! นอกจากต้องระวังน้ำหนักที่จะเพิ่มขึ้นแล้ว ก็ต้องคำนึงถึงเวลาทำงานด้วยนะครับ เดี๋ยวงานจะไม่เสร็จเอา ฉะนั้นควรกำหนดเวลาพักทานข้าวให้เป็นเวลาที่แน่นอน เพื่องานจะได้เดินต่อ และอาจจะเพิ่มเติมเวลาพักยืดเส้นยืดสายจากการนั่งอยู่กับที่นานๆ เช่น พัก 10 นาที ทุกๆ 2 ชั่วโมงเพื่อไปห้องน้ำ หรือพักสายตา เป็นต้น   ทั้งหมดนี้เป็นวิธีที่ต้องอยู่ในความมีวินัยในตัวเองเป็นสำคัญ เพื่อให้ได้งานตามแผนที่วางไว้อย่างไม่มีสะดุด ไม่ว่าจะ work ที่ไหนก็ได้งานแน่นอนครับ ไหนๆ ก็ Work from home แล้ว มีเวลาเหลือก็จัดบ้านกันสักหน่อย เทคนิคทำความสะอาดบ้านแบบง๊ายง่าย ห่างไกล “ภูมิแพ้” จัดหิ้งพระในบ้าน ให้เป็นสิริมงคลกับเจ้าของ แอร์ส่งกลิ่นเหม็นอับ ทำไงดี
หนีไปไกลๆ!! ไวรัส COVID-19

หนีไปไกลๆ!! ไวรัส COVID-19

สถานการณ์ไวรัส COVID-19 แพร่ระบาดลุกลามไปทุกทวีปทั่วโลกแล้วนะครับ (เว้นเพียงทวีปแอนตาร์กติกา) โดยความน่ากลัวของไวรัสนี้คือ บางคนที่ติดเชื้อ แต่ไม่แสดงอาการผิดปกติใดๆ เลย แม้จะถูกกักตัวมากกว่า 14 วัน และตรวจเช็คร่างกายจากแพทย์ก่อนจะถูกปล่อยตัวแล้วก็ตาม นั่นหมายความว่าเมื่อไรก็ตามที่เราก้าวออกจากบ้านก็ย่อมมีความเสี่ยงอยู่เสมอ ซึ่งหลายคนก็เลี่ยงไม่ได้ที่มีความจำเป็นจะต้องออกจากบ้าน ฉะนั้นควรป้องกันตัวเองไว้ก่อนดีกว่าครับ ด้วยวิธีดังนี้ ล้างมือบ่อยๆ ป้องกัน COVID-19 ได้ดีที่สุด  เป็นวิธีที่ทาง องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำครับ เพราะเราใช้มือในการจับทุกอย่างมากที่สุด หากเผลอไปสัมผัสใบหน้าต่อก็มีโอกาสติดเชื้อได้ง่ายมาก ซึ่งควรจะล้างด้วยสบู่หรือเจลล้างมือทุกครั้งหลังจากสัมผัสอะไรมาก็ตาม หลีกเลี่ยงการสัมผัส ก็ลดความเสี่ยง COVID-19 ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสต่างๆ ในที่สาธารณะ อาทิ ราวบันไดเลื่อน ราวจับต่างๆ โดยเฉพาะในห้องน้ำ ซึ่งแน่นอนว่าเราไม่มีทางเลี่ยงได้อยู่แล้ว ฉะนั้นก็ควรสัมผัสให้ได้น้อยที่สุด รวมถึงไม่ควรสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ที่เสี่ยงติดเชื้อ ไม่ว่าจะเป็นทาง ตา จมูก ปาก รวมถึงไม่ควรสัมผัสสัตว์โดยไม่ได้มีการป้องกันด้วยเช่นกัน ใส่หน้ากากอนามัย หน้ากากอนามัยเป็นสิ่งที่ควรใส่ทุกครั้งเมื่อต้องออกจากบ้าน เพราะนอกจากจะป้องกันตัวเองจากเชื้อโรค ฝุ่นต่างๆ ยังช่วยป้องกันการแพร่เชื้อจากตัวเราเองด้วย ไม่ใช้ของร่วมกับผู้อื่น งดการใช้สิ่งของร่วมกัน เพราะเสี่ยงต่อการสัมผัสสารคัดหลั่งโดยไม่รู้ตัว เช่น ผ้าเช็ดตัว แก้วน้ำ ช้อนส้อม ฯลฯ แล้วอย่าลืม! ใช้ช้อนกลางเวลารับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่นด้วยนะครับ อยู่ในที่อากาศถ่ายเท แม้จะหลีกเลี่ยงการเข้าไปอยู่ในที่คนเยอะไม่ได้ แต่ก็พยายามเอาตัวเองไปอยู่ในจุดที่อากาศสามารถถ่ายเทได้ดี เพราะถ้าเป็นพื้นที่ปิด ก็มีความเสี่ยงสูงที่เชื้อโรคจะหมุนเวียนอยู่ในสถานที่นั้น ไม่กินอาหารดิบ ไม่ควรรับประทานเนื้อสัตว์สุกๆ ดิบๆ แต่ควรจะปรุงให้สุกไปเลย เพื่อให้มั่นใจว่าความร้อนจะช่วยฆ่าเชื้อโรคออกไป ท่องไว้  #กินร้อน #ช้อนกลาง #ล้างมือบ่อยๆ ป้องกัน COVID-19 แม้ว่าไวรัส COVID-19 จะมีความรุนแรงอยู่ไม่น้อย แต่ก็ไม่อยากให้ทุกคนถึงกับตื่นตระหนกกัน สิ่งสำคัญคือการป้องกันตัวเองด้วยวิธีเหล่านี้ ซึ่งไม่ยากเลยใช่ไหมครับ เพิ่มความใส่ใจกันอีกสักนิด ไม่ใช่แค่ปลอดภัยกับตัวเอง แต่เพื่อสังคมและคนรอบข้างของเราด้วยนะครับ Infographic เรื่องอื่น ๆ ที่น่าสนใจ วิธีเลือกหน้ากากกันฝุ่น PM 2.5 Update รถไฟฟ้า ปี 2563 ลดหย่อนภาษี สำหรับมนุษย์เงินเดือน
5 เหตุผลที่ทำให้ “สามย่าน มิตรทาวน์” ซัคเซส แค่ 4 เดือนคนเข้ากว่าแสนคนต่อวัน

5 เหตุผลที่ทำให้ “สามย่าน มิตรทาวน์” ซัคเซส แค่ 4 เดือนคนเข้ากว่าแสนคนต่อวัน

โกลเด้นแลนด์เผย 5 ปัจจัยความสำเร็จ ส่งให้ “สามย่านมิตรทาวน์” โปรเจ็กต์มิกซ์ยูส 9,000 ล้าน คนเข้าใช้บริการนับแสนคนต่อวัน แม้เปิดให้บริการแค่ 5 เดือน  พร้อมเดินหน้าทุ่ม 200 ล้านบาท ทำการตลาดในปี 63 สร้างความสำเร็จต่อเนื่อง “สามย่านมิตรทาวน์” โครงการมิกซ์ยูส ของ โกลเด้นแลนด์ มูลค่า 9,000 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วยสำนักงาน โรงแรม คอนโดมิเนียม และศูนย์การค้า ที่เปิดให้บริการเต็มรูปแบบ ตั้งแต่ช่วงเดือนกันยายน 2562 ที่ผ่านมา รวมระยะเวลาที่เปิดให้บริการกว่า 5 เดือน  แต่ต้องถือว่าโครงการสามย่านมิตรทาวน์  โดยเฉพาะศูนย์การค้าเป็นโครงการที่ประสบความสำเร็จเกินกว่าที่คาดหมายเอาไว้   ความสำเร็จที่เห็นได้อย่างชัดเจน คือ ปัจจุบันสามย่านมิตรทาวน์มีผู้เช่าพื้นที่ เพื่อเปิดให้บริการร้านค้าต่างๆ กว่า 95% ขณะที่ผู้ใช้บริการภายในศูนย์การค้า ในช่วง 4 เดือนแรกก็มีมากกว่า 70,000 คนในวันธรรมดา และมากกว่า 80,000 คนในวันเสาร์-อาทิตย์ และหากเป็นช่วงที่มีการกิจกรรมพิเศษ จะมีผู้เข้ามาใช้บริการมากกว่า 100,000 คนต่อวัน​เลยทีเดียว นางธีรนันท์ กรศรีทิพา รองกรรมการผู้จัดการสายงานพัฒนาธุรกิจรีเทล บริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ โกลเดนแลนด์  เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวยังคงท้าทายการดำเนินธุรกิจของสามย่านมิตรทาวน์ แต่ด้วยการจัดสรรร้านค้าของศูนย์ฯ ที่ตั้งเป้าหมายจะเป็น ศูนย์การค้าที่ใช้บริการได้ทุกวัน กลยุทธ์การตลาดผ่านซิกเนเจอร์อีเว้นท์ ร้านค้าแม่เหล็กที่มีที่นี่ที่เดียว และพันธมิตรที่แข็งแกร่ง จะเป็นส่วนช่วยให้สามย่านมิตรทาวน์สามารถดำเนินธุรกิจได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ปัจจัยลบจากการท่องเที่ยวกระทบต่อธุรกิจรีเทล โดยตลาดนักท่องเที่ยวจีน-เกาหลี-ญี่ปุ่น-ฮ่องกง ยังคงเป็นตลาดใหญ่ที่สุดที่มาใช้บริการรีเทลในประเทศไทย สำหรับปัจจัยลบด้านปัญหาสุขภาพในจีน เชื่อว่าจะส่งผลเพียงระยะสั้น เนื่องจากทางการจีนได้ควบคุมขอบเขตการระบาดของโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับสามย่านมิตรทาวน์ยอดผู้ใช้บริการ ที่มาใช้บริการในศูนย์ฯ และเข้าพักที่โรงแรมทริปเปิ้ลวายโฮเทล ยังคงเป็นผู้ใช้บริการสัญชาติไทยป็นอันดับ 1 ขณะที่สัดส่วนผู้ใช้บริการที่เป็นสัญชาติจีนเมื่อเทียบกับสัญชาติไทย คิดเป็นเพียง 2% เท่านั้น ปัจจัยลบดังกล่าวนี้จึงแทบไม่กระทบกับยอดลูกค้าของสามย่านมิตรทาวน์   โครงการสามย่านมิตรทาวน์อยู่บนทำเลหัวมุมถนนพญาไท-พระราม 4 เนื้อที่กว่า 14 ไร่ พื้นที่ใช้สอยรวม 222,000 ตารางเมตร แบ่งเป็นโซนที่อยู่อาศัย  โซนอาคารสำนักงาน และโซนรีเทลหรือ Urban Life Library สูง 6 ชั้น พื้นที่ให้เช่ารวม 36,000 ตารางเมตร  พัฒนาจากแนวคิดเรื่อง “การเรียนรู้ จะเกิดขึ้นได้ ถ้าทุกอย่างถูกสร้างขึ้นอย่างเป็นมิตร”   โดยออกแบบให้พื้นที่ส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้ใช้งาน (Smart) และ เป็นมิตรกับผู้ใช้งาน (Friendly) ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Urban Life Library” หรือ “คลังแห่งอาหารและการเรียนรู้”  รีเมคตำนานสามย่านบทใหม่ ถือเป็นหนึ่งในไฮไลต์ที่จะเติมเต็ม Urban Life Library ของทุก ๆ คน คีย์ความสำเร็จของ “สามย่านมิตรทาวน์” 1.พันธมิตรร้านค้าเปิดให้บริการที่นี่ที่เดียว (One and Only) สามย่านมิตรทาวน์ ถือได้ว่าเป็นโครงการค้าปลีกน้องใหม่ ที่เข้ามาในตลาด จึงต้องสร้างความแตกต่าง และจุดขายเพื่อดึงดูดกลุ่มลูกค้าให้เข้ามาใช้บริการ ร้านค้าพันธมิตรที่เข้ามาเปิดบริการจำนวนมาก เป็นร้านค้าที่ไม่เคยเปิดให้บริการในศูนย์การที่ไหนมาก่อน อาทิ -ทิม ฮอร์ตัน (Tim Hortons) เชนร้านกาแฟแบรนด์ดังจากแคนาดา -ดินส์ (Din’s) ร้านอาหารนีโอไต้หวัน -เม่ย เว้ย หว่าน (Mei Wei Wan) ต้นตำรับก๋วยเตี๋ยวเนื้อไต้หวัน -สไปซี่ เฮ้าส์ (Spicy House) ร้านอาหารรัสเซียสูตรต้นตำหรับ -โคกิดา (Gogida) ต้นตำรับปิ้งย่างส่งตรงจากเกาหลี -มีเค สตรีท (K-StrEAT) ศูนย์รวมอาหารเปิดประสบการณ์และวัฒนธรรมเกาหลี (เตรียมเปิดบริการเมษายน 2563) -แองกริซ (Angkriz) โรงเรียนสอนภาษาอังกฤษโดยครูลูกกอล์ฟ -โรงเรียนแซฮุน (Zaehoon Korean Language School) โรงเรียนสอนภาษาเกาหลีด้วยหลักสูตรเอาใจวัยรุ่นให้ได้เรียนกับเจ้าของภาษาอย่างใกล้ชิด -โรงภาพยนตร์เฮ้าส์สามย่าน (House Samyan) โรงภาพยนตร์สำหรับกลุ่ม Moviegoers ที่ใหญ่ที่สุดของกรุงเทพฯ รวมถึงการอัพเดทร้านค้าที่ศูนย์ดำเนินการเองอย่างเช่น -มีเดียม แอนด์ มอร์ (Medium and More) ศูนย์รวมงานอาร์ตแอนด์คราฟท์ และเวิร์คช็อป -แอพรอน วอล์ค (Apron walk) ศูนย์รวมวัตถุดิบ และสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการทำอาหารครบวงจร ซึ่งการปรับเปลี่ยนสินค้าและบริการให้มีความทันสมัย เป็นทางเลือกในการช้อปปิ้งที่เหมาะสมกับผู้บริโภคยุคใหม่อยู่เสมอ สามย่านมิตรทาวน์ ปัจจุบันมีพื้นที่เช่าแล้ว 95% หรือ 85 ร้านค้า ซึ่งพื้นที่ที่เหลืออีก 5% เป็นพื้นที่ขนาดเล็ก ที่จะเต็มพื้นที่ในช่วงเดือนกันยายนปีนี้2.การเปิดพื้นที่ 24 ชั่วโมง ไม่เพียงแต่พันธมิตรร้านค้าที่มาเปิด จะเป็นร้านค้าที่ไม่เคยเปิดในห้างค้าปลีกที่ไหนมาก่อนแล้ว ส่วนหนึ่งที่เป็นจุดขายแตกต่างจาก ศูนย์การค้าอื่นๆ คือ การเปิดพื้นที่โซน 24 ชั่วโมง ที่มีร้านค้าต่างๆ ถึง 25 ร้านค้า เป็นการสร้างจุดแตกต่างและดึงให้คนเข้ามาใช้บริการจำนวนมาก จำนวน 5,000-15,000 คน โดยมีช่วงเวลาพีค คือ 24.00-01.00 น. กลุ่มผู้ที่มาใช้บริการมากสุด ต้องยอมรับว่าเป็นกลุ่มนักเรียน นักศึกษา สัดส่วน 65% รองลงมาเป็นกลุ่มคนวัยทำงาน สัดส่วน 34%   ร้านค้าต่างๆ ที่เปิดให้บริการในพื้นที่โซน 24 ชั่วโมง ส่วนใหญ่จะประสบความสำเร็จ กลายเป็นร้านที่สร้างยอดขายติดอันดับต้นๆ หลายร้านติดอันดับ Top 3 ของจำนวนสาขาทั้งหมดที่มีด้วย สาเหตุเป็นเพราะการมีชั่วโมงการขายที่นานขึ้น อาทิ KFC, ชาบูชิ, ก๋วยเตียวเรือพระนคร และสเวนเซ่น ซึ่งมีหลายร้านเตรียมพร้อมนำเอาโมเดลการเปิดให้บริการ 24 ชั่วโมงไปเปิดเพิ่มในพื้นที่อื่นๆ อีกด้วย 3.การจัดอีเว้นต์รูปแบบเฉพาะ “สามย่าน” การทำให้คนเข้ามาใช้บริการในศูนย์การค้าอย่างต่อเนื่อง เรื่องของกิจกรรมการตลาดเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ แต่ถ้าเป็นกิจกรรมในรูปแบบทั่วไปที่ไหนก็มี คนอาจจะสนใจแต่อาจจะไม่สร้างกระแสมากพอ สามย่านมิตรทาวน์ จึงปั้นอีกเว้นท์ซึ่งมีรูปแบบเฉพาะตัวไม่เหมือนใคร เป็นซิกเนเจอร์อีเว้นท์ (Signature Event) แบบฉบับของตนเอง อาทิ   -ลานนมสามย่าน การร่วมกับเครื่องดื่มไมโล เปิดบริการในรูปแบบลานนม ซึ่งต้นแบบเคยเกิดขึ้นมาแล้วที่ประเทศสิงคโปร์ เกิดเป็นกระแสพูดถึงในออนไลน์จนโด่งดังเป็น Talk of the Town ด้วยจุดเด่นที่เป็นกิจกรรมเฉลิมฉลองปราศจากแอลกอฮอล์ โดยมีอาหารคาวหวานที่มีส่วนผสมของนมเป็นซิกเนเจอร์   -Happy New Me การเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ด้วยการเป็นคนที่ดีขึ้นให้กับตัวเอง ในปี 2020   -สามย่านมิตรทาวน์ ไชนีส นิวเยียร์ 2020 เทศการตรุษจีน ล่าสุดที่เพิ่งจัดไป โดยนำเอาเอกลักษณ์ที่แตกต่างจากงานตรุษจีนของศูนย์อื่นมาไว้ในงาน อย่างเช่นการจัดแสดงงิ้วโบราณ “งิ้วเปลี่ยนหน้า” เป็น และได้นำการแสดงงิ้วโบราณมาแสดงกลางศูนย์ฯ   -Happy Single Me 2020 เทศกาลที่เกิดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ เพื่อฉลองเดือนแห่งความรัก กับเทศกาลฉลองวาเลนไทน์ที่ไม่เหมือนใคร ด้วยการจัดงานฉลองให้กับคนโสด ไม่ต้องเหงาและเปล่าเปลี่ยวในเทศกาลแห่งความรัก 4.ผนึกพาร์ทเนอร์ (Mitr Partnership) จัดกิจกรรม ในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมาสามย่านมิตรทาวน์ได้ผนึกพาร์ทเนอร์ชั้นนำ ในการจัดกิจกรรมต่างๆ มากมาย อาทิ -สามย่านมิตรทาวน์-เอไอเอส ขนทัพ 5G ให้คนไทยได้สัมผัส กิจกรรมประกาศความพร้อมของการให้บริการ 5G พร้อมทัพพรีเซนเตอร์และกิจกรรมส่งเสริมการขายอัดแน่นตลอดกิจกรรม   -สามย่านมิตรทาวน์-อมรินทร์ กับการร่วมมือจัดมหกรรมนิยายนานาชาติ ครั้งที่ 1 งานบุ๊คแฟร์ที่รวบรวมหนังสือนิยายเอาไว้มากที่สุด   -สามย่านมิตรทาวน์-การีน่า Free Fire Pro League การแข่งขันลีกสำหรับมืออาชีพครั้งแรกของเกม Free Fire ที่จะเฟ้นหาสุดยอดฝีมือของประเทศไทย   ในปี  2563 นี้ทางศูนย์การค้ายังคงเปิดรับพาร์ทเนอร์ต่างๆ ที่สนใจจัดกิจกรรมที่จะเป็นผู้สร้างตำนานใหม่ให้กับสามย่านได้กลับมารุ่งเรืองอีกครั้งไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งขณะนี้ได้เริ่มมีการพูดคุยกับพาร์ทเนอร์แล้วหลายราย โดยแผนการตลาดของสามย่านมิตรทาวน์ในปีนี้ ได้วางแผนใช้งบ 200 ล้านบาท เพื่อปั้นซิกเนเจอร์อีเว้นท์อย่างต่อเนื่อง  อย่างน้อยไตรมาสละ 1 ครั้ง 5.ลงทุน 300 ล้านบาท สร้างอุโมงค์ทางเชื่อมรถไฟฟ้าใต้ดิน การสร้างอุโมงค์ทางเชื่อมระหว่างโครงการ กับการเดินทางด้วยรถไฟฟ้าใต้ดิน เป็นอีกหนึ่งปัจจัยช่วยทำให้ ศูนย์การค้ามีผู้ใช้บริการจำนวนมาก เพราะทำให้บรรดาผู้อยู่อาศัยในระแวกใกล้เคียง โดยเฉพาะบุคลากร อาจารย์ นิสิต นักเรียน และพนักงานของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เดินทางได้สะดวก ขณะที่ลูกค้าทั่วไปก็เดินทางสะดวกรถไฟฟ้าใต้ดิน สถานีสามย่าน  แต่ผลการตอบรับจากการใช้บริการอุโมงค์ในปัจจุบัน เป็นอะไรที่มากกว่าเส้นทางเชื่อมต่อระหว่างสถานีรถไฟฟ้า กับตัวโครงการ เพราะอุโมงค์ได้กลายเป็นสถานที่เช็คอิน และถ่ายรูปของคนทั่วไปในทุกเพศทุกวัย แถมทางสามย่านมิตรทาวน์ ยังตกแต่งอุโมงค์ตามเทศกาล และโอกาสสำคัญด้วย ยิ่งทำให้อุโมงค์แห่งนี้ กลายเป็นอีกหนึ่งกิมมิคของโครงการสามย่านมิตรทาวน์ไปแล้ว  
ของแต่งบ้านเสริมฮวงจุ้ย ความรัก หาคู่แท้

ของแต่งบ้านเสริมฮวงจุ้ย ความรัก หาคู่แท้

พอเริ่มพลิกปฏิทินเข้าสู่เดือนกุมภาพันธ์เมื่อไร จะไม่เอ่ยถึงวันวาเลนไทน์คงไม่ได้เลยใช่มั้ยล่ะครับ เมื่อใกล้ถึงวันแห่งความรักทีไร ไม่ว่าจะเดินไปที่ไหนก็จะเต็มไปด้วยดอกกุหลาบสีแดงและเหล่าของขวัญให้ความรู้สึกหวานๆ ที่มอบให้กัน แต่กลับกันคนโสดก็แทบจะอยากหลับตานอนแล้วตื่นข้ามวันกันไปเลย เพราะไม่ว่าจะใคร เพศใด อายุเท่าไร ก็อยากจะมีความรักด้วยกันทั้งนั้น จริงมั้ยล่ะครับ? และเชื่อว่าหลายคนจะต้องหันไปเพิ่งสายมูเตลูกันมาบ้างแน่ๆ เลย ไม่ว่าจะไปไหว้สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็แล้ว บูชาเครื่องรางของขลังก็แล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ลองมาดูศาสตร์ทางฮวงจุ้ยกันดูบ้างครับ ว่าเราจะสามารถปรับเปลี่ยน หรือหาของตกแต่งบ้านของเราให้ช่วยเสริมฮวงจุ้ย หาคู่แท้ ได้อย่างไรกันบ้าง วางของเป็นคู่ คือฮวงจุ้ย ความรักแท้ คนยังอยากมีคู่ แล้วข้าวของเครื่องใช้ของเราจะไม่อยากมีคู่บ้างเหรอครับ? เรามาเริ่มต้นเสริมฮวงจุ้ย หาคู่แท้ ซึ่งวิธีนี้เหมาะมากสำหรับคนโสดที่อยากเริ่มต้นมีความสัมพันธ์ที่ดี ด้วยการใช้ของตกแต่งและเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ให้มีเป็นคู่กันเอาไว้ อาทิ เก้าอี้ โต๊ะหัวเตียง โคมไฟ แจกัน เป็นต้น ให้ซื้อมาเป็นคู่ หรือถ้ามีอันเดียวอยู่แล้วก็ซื้อมาเพิ่มแล้ววางเป็นคู่กันได้ ปลูกต้นไม้มงคล เสริมฮวงจุ้ย ความรักโดยเฉพาะ มาปลูกต้นไม้กันเถอะครับ ไม่ว่าคุณจะอยู่บ้านหรืออยู่คอนโดก็ปลูกได้เหมือนกัน แถมให้ความร่มรื่น สร้างบรรยากาศรอบตัวเราให้ดูสดชื่นมีชีวิตชีวาขึ้นอีกต่างหาก เพียงแค่ต้องเลือกขนาดของต้นให้เหมาะสมกับพื้นที่ของเราด้วยเท่านั้น ซึ่งก็มีหลากหลายพันธุ์ไม้ที่จะมาช่วยดึงดูดความรัก นำคนดีๆ เข้ามาในชีวิต อาทิ   ว่านเสน่ห์จันทร์ขาว เพิ่มเสน่ห์ ช่วยดึงดูดความรักสำหรับคนโสด และเพิ่มความสดชื่นหวานแหววให้แก่คนมีคู่ ว่านเสน่ห์กาหลง อีกหนึ่งว่านที่ว่ากันว่าจะช่วยเพิ่มเมตตามหานิยม คนชมชอบ ต้นส้ม ในที่นี้จะเป็นส้มชนิดไหนก็ได้นะครับ ถ้าใครอาศัยอยู่คอนโดก็ปลูกพันธุ์เล็กๆ ในกระถางก็ได้ นอกจากจะมีความหมายที่ดีด้านเงินทองแล้ว ยังช่วยเรื่องความรัก ให้มีคนดีๆ เข้ามาด้วย กล้วยไม้ นอกจากจะมีดอกสวยงามแล้ว ยังมีความหมายในการช่วยเพิ่มเสน่ห์ มีคนรักใคร่เอ็นดู คอยช่วยเหลือ   และที่สำคัญจะต้องหมั่นดูแลและรักษาให้เจริญเติบโต อย่าปล่อยให้เหี่ยวเฉา เสริมฮวงจุ้ย ความรัก ด้วยคริสตัลสีชมพู คริสตัล เครื่องประดับและของตกแต่งบ้านที่ส่องประกายสวยงามเมื่อแสงตกกระทบ และยังช่วยให้บ้านดูหรูหรามีระดับขึ้นด้วยนะครับ ในแง่ของการเสริมฮวงจุ้ยความรักก็มักจะใช้คริสตัลสีชมพู มาวางไว้ในห้องนอนของเรา ช่วยให้พ้นจากความเจ็บปวด ความผิดหวัง และกระตุ้นหาเนื้อคู่ให้เข้ามาด้วยนะครับ ภาพแขวนผนังก็เสริมฮวงจุ้ย ความรัก ภายในบ้านหรือห้องนอนของคนมีคู่ก็มักจะมีรูปคู่กับคนรักอยู่มุมใดมุมหนึ่งของห้อง แต่สำหรับคนโสดที่อยากจะมีคู่ ให้ลองมองหาภาพดอกโบตั๋น เหมาะสำหรับผู้หญิงโสด นำไปติดไว้ภายในห้องนอนบริเวณบานประตูหรือทิศตะวันตกเฉียงใต้ และควรเป็นภาพที่มีดอกเป็นช่อ ใบไม้ กิ่งก้านที่สวยงาม เพราะดอกโบตั๋นถือเป็นดอกไม้แห่งความรัก แต่สำหรับผู้ชายโสดจะเหมาะกับการนำภาพไปแขวนไว้ที่ห้องนั่งเล่น สีผ้าปูที่นอนก็สำคัญสำหรับเสริมฮวงจุ้ย ความรักแท้ เตียงนอนถือเป็นสิ่งสำคัญมากในทางฮวงจุ้ย ทุกห้องนอนจะต้องมีเตียงกันอยู่แล้วใช่ไหมครับ ซึ่งก็จะตามมาด้วยเรื่องของผ้าปูเตียงที่ก็สำคัญมากเช่นกัน หากอยากให้มีความรักที่สมหวังดังใจ ไม่ว่าจะเป็นคนมีคู่หรือคนโสด โดยแต่ละปีเกิดก็จะมีสีที่ถูกโฉลกแตกต่างกันออกไป ดังนี้ ปีชวด : ขาว เทา ฟ้า ปีฉลู : เหลือง ส้ม น้ำตาล ม่วง ปีขาล : ฟ้า เขียว ปีเถาะ : ฟ้า เขียว เหลือง ปีมะโรง : เหลือง ส้ม ม่วง ปีมะเส็ง : ส้ม ม่วง เหลืองอมเขียว ปีมะเมีย : เหลือง เขียว ม่วง ปีมะแม : ส้ม น้ำตาล ม่วง ปีวอก : ครีม ทอง น้ำตาล ปีระกา : ครีม เหลือง ทอง ปีจอ : เหลือง ส้ม น้ำตาล ม่วง ปีกุน : เทา ทอง เงิน ฟ้า นอกจากนี้จะต้องดูแลทำความสะอาดอย่าสม่ำเสมอ ผ้าปูที่นอนไม่ควรยับ และสำหรับคนโสดไม่ว่าจะเกิดในปีนักษัตรใดก็ไม่ควรใช้ผ้าปูที่นอนสีแดงและสีขาว   สุดท้ายเราจะแอบบอกกันอีกเคล็ดลับเสริมฮวงจุ้ย หาคู่แท้ นั่นคือ ในห้องนอนของเรา แม้ว่าจะเป็นโสดอยู่ตัวคนเดียว เราก็มักจะจัดของวางจนเต็มพื้นที่ แต่ถ้าอยากมีใครสักคนข้างกายก็ลองขยับอีกนิด เว้นให้มีพื้นที่ว่างเอาไว้บ้าง สำหรับเผื่อมีใครสักคนเข้ามาครับ   ทั้งหมดนี้เป็นความเชื่อทางฮวงจุ้ย ที่จะมาช่วยเสริมดวงด้านความรักให้ประสบพบเจอเนื้อคู่ และช่วยเสริมขาเตียงของคู่รักให้มั่นคงแข็งแรงยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังจะช่วยด้านอื่นๆ ได้อีกด้วย เช่น เรื่องงาน เรื่องเงิน สุขภาพ ฯลฯ ซึ่งสามารถนำไปใช้ได้อยู่ตลอดเลยครับ  Infographic เสริมฮวงจุ้ย อื่นๆ  ฮวงจุ้ยตำแหน่งเตียงนอน เสริมรักรุ่ง เงินพุ่ง ฮวงจุ้ยตู้เย็น วางตรงไหนเสริมดวง สีอะไรถูกโฉลก 9 วิธีจัดห้องนอนเสริมดวง  
รวมอีเว้นท์ประจำเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2563

รวมอีเว้นท์ประจำเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2563

ส่งท้ายเดือนแรกของปีกันด้วยอีเว้นท์ที่น่าสนใจหลายงานเลยค่ะ แต่ละงานก็แตกต่างไปตามไลฟ์สไตล์ และยังถือเป็นงานระดับบิ๊กเปิดต้นปี 2563 กันอย่างคึกคักสวนกระแสเศรษฐกิจกันไปเลยค่ะ   งานเกษตรแฟร์ ประจำปี 2563 "นวัตกรรมใหม่ เพื่อเกษตรไทยยั่งยืน" คือแนวคิดของงานในปีนี้ ภายในงานพบกับสินค้า OTOP งานฝีมือท้องถิ่นผลิตภัณฑ์ผ้าฝ้ายแปรรูป (เครื่องแต่งกาย) ผ้าไหม ผ้าฝ้าย แปรรูป เสื้อสำเร็จรูป สมุนไพรเพื่อสุขภาพ เครื่องมือทางการเกษตร สินค้าทางการเกษตรทั้งอุปโภคและบริโภค ไม้ดอก ไม้ประดับนานาพันธุ์ ผัก ผลไม้ตามฤดูกาล สัตว์เลี้ยงและอุปกรณ์ อาหารคาวหวานพื้นเมือง อุปกรณ์ทางการเกษตร ฯลฯ โดยแบ่งเป็น 13 โซน เช่น ตลาดน้ำนนทรี เทคโนโลยีการเกษตร ต้นไม้ และอุปกรณ์การเกษตร สินค้า DIY and IDEA และอุปกรณ์ตกแต่งบ้าน สัตว์เลี้ยงและอุปกรณ์ สินค้าจากบริษัทห้างร้านต่าง ๆ สวนสนุก ฯลฯ   ปีนี้ อย่าลืม! งดการใช้พลาสติกด้วยการนำถุงผ้าและภาชนะใช้ซ้ำมาด้วย สามารถติดตามโปรโมชั่นหลากหลายภายในงานได้ที่ Application : Kaset Fair และข้อมูลกิจกรรมต่างๆ ที่ Application : insideKU   วัน เวลา : 31 มกราคม- 8 กุมภาพันธ์ 2563 สถานที่ : มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน Thailand Mobile Expo 2020  งานมหกรรมโทรศัพท์มือถือที่หลายคนรอคอย มีทั้งสินค้าลดราคาจัดเต็ม ของแถมเพียบ พร้อมเปิดตัวนวัตกรรมล่าสุดครั้งแรกในประเทศไทย   วัน เวลา : 30 มกราคม-2 กุมภาพันธ์ 2563 เวลา 10.00-20.00 น. สถานที่ : ฮอลล์ 98-99 ไบเทค บางนา Thailand Street Food Festival 2020 กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจัดงาน Thailand Street Food Festival 2020 เพื่อส่งเสริมศักยภาพของประเทศไทยในฐานะ Street Food อันดับ 1 ของโลก และติดอันดับ 3 เมืองที่มีการใช้จ่ายด้านอาหารมากที่สุด อีกทั้งเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวและกระตุ้นภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งโครงการนี้ เบื้องต้น จะมีทั้งสิ้น 6 ครั้ง ได้แก่   ครั้งที่ 1 : 1 - 2 กุมภาพันธ์ 2563 ณ บริเวณถนนสีลม ครั้งที่ 2 : 29 กุมภาพันธ์ – 1 มีนาคม 2563 ณ จ.พระนครศรีอยุธยา ครั้งที่ 3 : 3 – 6 เมษายน 2563 ณ พัทยา จ.ชลบุรี ครั้งที่ 4 : 25 - 26 เมษายน 2563 ณ จ.เชียงใหม่ ครั้งที่ 5 : 1 - 3 พฤษภาคม 2563 ณ จ.ขอนแก่น ครั้งที่ 6 : 30 – 31 พฤษภาคม 2563 ณ จ.ภูเก็ต   นอกจากนี้ยังมีการเชิญกินเนสเวิลด์เร็คคอร์ด มาร่วมบันทึกสถิติของกระทะ ผัดไทที่ยาวที่สุดในโลก โดยกระทะมีความกว้าง 99 เซนติเมตร มีความยาว 110 เมตร แก๊ส 110 ท่อ พร้อมคนผัด 110 คน มีน้ำหนักผัดไทย 2200 กิโลกรัม และสามารถเสิร์ฟให้คนทานได้มากกว่า 22,000 ชุด และภายในงานคัดสรร STREET FOOD ระดับ 5 ดาว จำนวนกว่า 100 ร้านค้า มาร่วมในงานนี้ พร้อมทั้ง 400 ร้านดังจากการคัดเลือกทั่วประเทศ และ 60 Food Truck ระดับแนวหน้า อีกไฮไลต์คือการลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์และแอพพลิเคชั่น ลุ้นรับคูปองอิเล็คทรอนิกส์ (e-coupon) สำหรับทานฟรีทุกวันของการจัดงาน โดยแต่ละวัน ประชาชนและนักท่องเที่ยวมีสิทธิ์ทานฟรี มูลค่า 200 บาท ต่อคน/จำนวน 2,000 สิทธิ์ต่อวัน   วัน เวลา : 1-2 กุมภาพันธ์ 2563 สถานที่ : ถนนสีลม   Japan Expo Thailand 2020 งานมหกรรมญี่ปุ่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเอเชีย จัดต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 6 ภายใต้ธีม TOGETHER WE ARE ONE เตรียมต้อนรับเข้าสู่ปีแห่งกีฬาโอลิมปิคที่จะจัดขึ้นในประเทศญี่ปุ่น โดยแบ่งเป็น 17 โซน พร้อมกิจกรรมไฮไลท์ตลอดงาน อาทิ Japan Expo Thailand Stage พบกับศิลปินชื่อดังจากประเทศญี่ปุ่น, Meet&Greet Artist Zone เตรียมใกล้ชิดสุด Exclusive กับศิลปิน, Culture Zone สัมผัสศิลปะ และวัฒนธรรมขนานแท้จากศิลปินญี่ปุ่น, ร้านอาหารบินตรงจากทั่วประเทศญี่ปุ่น, กิจกรรม Cosplay Parade, B2B ZONE หรือโซนเจรจาธุรกิจ โดยภายในงานจะมีตัวแทนจากบริษัทชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่น, ข้อมูลเรียนต่อ ณ ประเทศญี่ปุ่น, Travel&Prefecture Zone แพ็กเกจท่องเที่ยวญี่ปุ่นสุดคุ้ม โปรโมชั่นตั๋วเครื่องบิน เช่ารถขับเที่ยวญี่ปุ่น ตั๋ว JR Pass หรือตั๋วเข้าสวนสนุกต่างๆ ในราคาพิเศษ ฯลฯ   วัน เวลา : 31 มกราคม-2 กุมภาพันธ์ 2563 10.00-21.00 น. สถานที่ : ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ Thailand Game Expo 2020 สายเกมเมอร์ห้ามพลาดเด็ดขาด กับงาน Thailand Game Expo 2020 มหกรรมเกมและอุปกรณ์เกมมิ่งที่ใหญ่ที่สุดเมืองไทย พร้อมด้วยพันธมิตรยักษ์ใหญ่ชั้นนำจากทุกวงการ ทั้งค่ายโทรศัพท์มือถือ ไอทีช้อป ผู้จัดจำหน่ายโน้ตบุ๊ก คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์เกมมิ่งเกียร์ และเกมชื่อดังจากทุกแฟลตฟอร์ม ร่วมชมการแข่งขันเกมส์ชื่อดังมากมาย   วัน เวลา : 30 มกราคม-2 กุมภาพันธ์ 2563 10.00-21.00 น. สถานที่ : EH 100 ไบเทค บางนา   บางกอกแหวกแนว 2020 เปลี่ยนวันหยุดสุดสัปดาห์ให้มีความหมาย ท้าทายความคิด และมีคุณค่า กับเรียนรู้แนวคิดใหม่ๆ การพูดคุยถึงความท้าทายต่างๆ ที่เป็นกระแสโลก เปิดไอเดียบันดาลใจสำหรับชีวิตในเมืองและสนุกสนานไปกับกิจกรรมสันทนาการมากมาย มีกิจกรรมมากกว่า 50 กิจกรรมตลอดสุดสัปดาห์ อาทิ การเสวนา เวิร์กช็อป กิจกรรมสาธิต กิจกรรมสำหรับเด็ก นิทรรศการ การฉายภาพยนตร์กลางแจ้ง การแสดง ดนตรีจากศิลปินชั้นนำ การออกร้าน กิจกรรมเวิร์กช็อป และเวทีเสวนาแลกเปลี่ยนความรู้ ภายใต้แนวคิด “กรุงเทพฯ อนาคตสำหรับทุกคน”   วัน เวลา : 1-2 กุมภาพันธ์ 2563 13.00-23.00 น. สถานที่ : มิวเซียมสยาม Glowfish Creators´ Lab 2020 เปลี่ยนออฟฟิศให้เป็นอาร์ตแกลอรี่กลางย่านสาทร ชวนศิลปินรุ่นใหม่ถ่ายทอดงานศิลป์ภายใต้คอนเซปความรักและออฟฟิศ ตอบโจทย์แนวคิดหลัก ‘Work : Play : Glow’ โชว์ผลงานของศิลปินไทยรุ่นใหม่กว่า 15 ท่าน ไม่ว่าจะเป็น NYYY Design, Banana Blah Blah, Viput A., MIG MIG, Lily Lockwood, Give Me Museum, 22mm.t, The Pigeon Post, Chubbynida, In flower Lesson, CE’ HALO และ Char T. โดยจัดแสดงผลงานหนึ่งห้องออฟฟิศต่อศิลปินหนึ่งท่าน  นอกจากนี้ยังจัดกิจกรรมพิเศษเอาใจสายอาร์ตให้ได้ร่วมเวิร์คชอปกับอีกหนึ่งศิลปินคนรุ่นใหม่ เจ้าของลายเส้นและตัวละครอันเป็นเอกลักษณ์ ‘Sundae Kids’ ทุกเสาร์-อาทิตย์ตลอดทั้งเดือนกุมภาพันธ์    วัน เวลา : 31 มกราคม-29 กุมภาพันธ์ 2563 สถานที่ : ชั้น 20 ตึกสาทรนคร Pinkoi Market in Bangkok 2020 Pinkoi คือเว็บไซต์ซื้อขายงานดีไซน์เอเชียชั้นนำ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าดีไซน์ ไฟล์กราฟฟิก ไปจนถึงคลาสเวิร์คช็อป เรารวบรวมดีไซเนอร์คุณภาพจากทั้งในและต่างประเทศ ตามสโลแกน “Design the way you are” ซึ่งครั้งนี้ได้จัดงานในกรุงเทพฯ พบกับดีไซน์เนอร์จากศิลปินเอเชียและชาวไทยที่จะเติมเต็มชีวิตและแรงบันดาลใจ จาก 50 แบรนด์ทั่วเอเชีย ตามด้วย workshop ที่จะมาช่วยแต่งแต้มไอเดียใหม่ๆ ไม่ซ้ำใคร และยังมีกิจกรรมลุ้นของรางวัล มุมถ่ายรูป และร้านอาหาร ครบในงานเดียว   วัน เวลา : 1-2 กุมภาพันธ์ 2563 14:00-21:30 น. 3-4 กุมภาพันธ์ 2563 14:00-20:00 น. สถานที่ : Warehouse 30 มหกรรมแฟรนไชส์สร้างอาชีพ ครั้งที่ 34 ใครที่กำลังมองหาช่องทางทำธุรกิจก็ลองมาเดินงานแฟร์แสดงแฟรนไชส์แรกของปี 2563 ภายในงานพบกับบูธธุรกิจแฟรนไชส์ชั้นนำกว่า 200 บูธ อาทิ ธุรกิจเครื่องหยอดเหรียญ โรงงานรับผลิตสร้างแบรนด์ OEM สินค้ารับตัวแทนจำหน่าย บรรจุภัณฑ์อาหารเครื่องดื่ม ผู้นำเข้าวัตถุดิบ อุปกรณ์ ร้านชา กาแฟ เบเกอรี่ อาหาร ฯลฯ พร้อมโปรโมชั่นส่วนลดสุดพิเศษ นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมเสริมสร้างความรู้ ความมั่นใจ ในการทำธุรกิจ   วัน เวลา : 30 มกราคม-2 กุมภาพันธ์ 2563 สถานที่ : ชั้น 5 BBC Hall เซ็นทรัลลาดพร้าว รายละเอียดงานอีเว้นท์เพิ่มเติม งานเกษตรแฟร์ ประจำปี 2563 Thailand Mobile Expo 2020  Japan Expo Thailand 2020 Thailand Game Expo 2020 บางกอกแหวกแนว 2020 มหกรรมแฟรนไชส์สร้างอาชีพ ครั้งที่ 34 บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ พาชม “อินเตอร์คอนติเนนตัล เรสซิเดนเซส หัวหิน” ชมออฟฟิศใหม่ “เจียไต๋” ก้าวสู่ปีที่ 100 6 วิธีเลี่ยงปัญหาฝุ่น
รวมอีเว้นท์สัปดาห์ที่ 3 เดือนมกราคม 2563

รวมอีเว้นท์สัปดาห์ที่ 3 เดือนมกราคม 2563

งานอีเว้นท์ช่วงต้นปีแบบนี้ เทศกาลแรกๆ ของปีคงจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากเทศกาลตรุษจีน ที่แม้ว่าจะเริ่มวันกันจริงๆ ช่วงปลายสัปดาห์หน้า แต่หลายแห่งก็เริ่มมีการจัดงานเฉลิมฉลองกันตั้งแต่สัปดาห์นี้แล้วนะคะ ทุกงานจัดได้ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน ซึ่งนอกจากเริ่มมีงานฉลองเทศกาลตรุษจีนแล้ว ยังมีงานอีเว้นท์อื่นๆ ที่น่าเดินไม่น้อยทีเดียวเชียว    งานอีเว้นท์ เที่ยวทั่วไทย ไปทั่วโลก ครั้งที่ 26 Thai International Travel Fair 2020 (TITF) งานเที่ยวทั่วไทย ไปทั่วโลก ครั้งที่ 26 มหกรรมท่องเที่ยวครั้งยิ่งใหญ่ที่รวบรวมเอาสายการบิน เอเย่นต์ทัวร์ชั้นนำ โรงแรมที่พัก รีสอร์ท เรือสำราญ เช่าไวไฟ รถเช่า บัตรท่องเที่ยว อาหาร เครื่องดื่ม อุปกรณ์ท่องเที่ยว องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยว ทั้งในและต่างประเทศ มานำเสนอในดีลพิเศษที่น่าสนใจมาไว้ในงานเดียวในราคาสุดคุ้ม   วัน เวลา : 16-19 มกราคม 2563 เวลา 10.00-21.00 น. สถานที่ : ชาเลนเจอร์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี   Bangkok Motorbike Festival 2020 เตรียมพบกับเทศกาลมอเตอร์ไซค์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีผู้เข้าร่วมชมงานมากกว่า 200,000 คนต่อปี ครั้งนี้จัดภายใต้คอนเซ็ปต์ “Culture of Ride” ภายในงานอัดแน่นไปด้วยค่ายมอเตอร์ไซค์ชั้นนำระดับโลก อาทิ Benelli, BMW, Cup House by AP Honda, ETRAN, Edison Motors, Ducati, Harley-Davidson, Indian, Kawasaki, MV Agusta, Royal Enfield, Triumph, Victory, Yamaha และ Zero Engineering รวมถึงร้านจำหน่ายอะไหล่ อุปกรณ์ตกแต่ง เครื่องแต่งกาย และบริการต่างๆ กับหลากหลายกิจกรรมเพื่อคนรักมอเตอร์ไซค์ อาทิ การประกวด Bangkok Custom Bike Competition ครั้งที่ 3 สัมผัสกับตำนานและความคลาสสิกของมอเตอร์ไซค์ เจแปนิสเรโทร เป็นต้น   วัน เวลา : 15-19 มกราคม 2563 สถานที่ : ลานด้านหน้า CentralWorld   KRAFT KRAFT MARKET ตลาดที่ทุกคนรอคองานที่รวบรวมงานคราฟท์ + กล้องฟิล์ม + สินค้า art and crafts ดีไซน์สวย ๆ มาให้ช้อปกันสนุกในที่เดียว กว่า 30 ร้าน   วัน เวลา : 17-19 มกราคม 2563 11.00 - 20.00 น. สถานที่ : Lido Connect   Central Embassy Chinese New Year Festival 2020 เซ็นทรัล เอ็มบาสซี ไชนีส นิวเยียร์ เฟสติวัล 2020 ร่วมเฉลิมฉลองตรุษจีนมหามงคลรับศักราชใหม่ พร้อมกิจกรรมเสริมความมงคลให้ได้ร่วมสนุก ซึ่งจะเนรมิตชั้น G ให้กลายเป็นสนามเด็กเล่นกลิ่นอายยุค 60 ภายใต้บรรยากาศการตกแต่งและกิจกรรมต่าง ๆ ที่ผสมผสานป๊อปคัลเจอร์เข้ากับวัฒนธรรมจีนได้อย่างลงตัว ร่วมเขียนคำอวยพรติดบนต้นส้มและสนุกไปกับกิจกรรมถ่ายภาพชุดจีนโบราณ ที่บริเวณชั้น 2 บริเวณชั้น 5 Dargon Market รวบรวมร้านค้ากว่า 20 ร้านให้ผู้ร่วมงานได้ช้อปของขวัญ ของกิน ของใช้ และพิเศษสำหรับวันแรกของการจัดงาน โชว์สุดอลังการ มหาเทพมังกรทอง และการเชิดสิงโตกระโดดเสาดอกเหมย พร้อมเสริมความเป็นสิริมงคลด้วย สิงโต 9 สีมงคล การแสดงรำจีนร่วมกับศิลปนดารา ที่ ชั้น G ในเวลา 18.00   วัน เวลา : 16-26 มกราคม 2563 สถานที่ : Central Embassy   งานอีเว้นท์ Chinese New Year 2020 ร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีน ช้อป ชมการแสดง เสริมดวงชะตา ท่ามกลางบรรยากาศ ที่เนรมิตให้เป็นดั่งมหานคร ท่ามกลางบรรยากาศความรุ่งเรืองในยุคอดีตของเมือง “เซี่ยงไฮ้” ตื่นตาตื่นใจและเพลิดเพลินไปกับกายกรรม การเชิดสิงโต มังกร การแสดงระดับโลกที่หาดูได้ยาก อาทิ การแสดงกังฟู จากวัดเส้าหลิน งิ้วหุ่นกระบอกไหหลํา งิ้วเสฉวนเปลี่ยนหน้ากาก ร่วมสักการะขอพร 10 เทพเจ้าอันศักดิ์สิทธิ์ที่อัญเชิญมาจากเกาะฮ่องกง  เปิดให้ดูดวง เสริมชะตา กับเจ้าพ่อโหราศาสตร์คนดัง อาจารย์ลักษณ์ เรขานิเทศ และหมอช้าง ทศพร ศรีตุลา นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมแจกส้มมงคล, แจกอั่งเปา, โปรโมชั่นสุดพิเศษ พร้อมสินค้าและอาหารมงคลสำหรับเทศกาลตรุษจีน มารอให้ช้อปและชิมมากมาย   วัน เวลา : 17-27 มกราคม 2563  เวลา 10.00 - 22.00 น. สถานที่ : เทอร์มินอล21 อโศก, เทอร์มินอล21 พัทยา, เทอร์มินอล21 โคราช, แฟชั่นไอส์แลนด์ และ เดอะ พรอมานาด รามอินทรา   เทศกาลตรุษจีนนครสวรรค์ งานประเพณีอันยิ่งใหญ่ของชาวจังหวัดนครสวรรค์ แห่เจ้าพ่อ-เจ้าแม่ปากน้ำโพ ประจำปี 2563 เฉลิมฉลองงานเทศกาลตรุษจีนนครสวรรค์ "104 ปี อัตลักษณ์ ประเพณี วิถี แห่งศรัทธา" ปีนี้จัดขึ้น 12 วัน มีการแสดงสดตลอด 12 คืน พบแสดงจากศิลปินชื่อดัง และการแสดงจากนักเรียนนักศึกษาในจังหวัดนครสวรรค์ ท่ามกลางบรรยากาศ อาณาจักร เมืองจีนโบราณ จำลอง ขนาดเท่าของจริงบนถนนสายวัฒนธรรม อิ่มท้องอิ่มใจกับถนนสายวิถีนักชิม วิถีนักช็อป มีลานบุญ ลานแก้ชงที่ยิ่งใหญ่ ตระการตา ขนาดกว่า 1,600 ตารางเมตร ประติมากรรมทรายบนหาดทรายริมแม่น้ำเจ้าพระยา พร้อมร่วมสนุกกับกิจกรรม RC ค้นหาขุมสมบัติ พร้อมชิง iphone11 และร่วมสักการะและขอพรในวันตรุษจีนนี้กับองค์เจ้าแม่กวนอิมองค์ ต้นแบบจากสาธารณรัฐ ประชาชนจีนที่จะประดิษฐาน ณ อาคารพาสาน Landmark แห่งใหม่ของนครสวรรค์   วัน เวลา : 18-29 มกราคม 2563 แห่กลางคืน วันจันทร์ที่ 27 มกราคม 2563 แห่กลางวัน วันอังคารที่ 28 มกราคม สถานที่ : จ.นครสวรรค์   งานอีเว้นท์ กวางตุ้งกว๋องสิวแฟร์ สมาคมกว๋องสิวแห่งประเทศไทยจัดงานสืบสานวัฒนธรรมจีนกวางตุ้งครั้งแรก ภายในงานมีการรวบรวมการแสดงวัฒนธรรมกวางตุ้งที่หาชมยาก อาทิ พิธีการเบิกฤกษ์ปีใหม่จีนด้วยการแห่สิงโต ชมงิ้วอุปรากรจีน นอกจากนี้ยังมีการเสวนาขนบธรรมเนียมดั้งเดิมของชาวกวางตุ้ง อาทิเช่น พิธีแต่งงาน-ยกน้ำชาของบ่าวสาว เพลงกล่อมเด็ก พิธีโกนผมเด็กครบเดือน เพลงอวยพรในโอกาสต่างๆ ชมบูธสินค้า 70 ร้านค้า อาทิ อาหารจีน เจ้าอร่อยชื่อดังในตำนาน อาทิเช่น สุกี้แคนตัน ภัตตาคารแชงกรีล่า (สีลม) ภัตตาคารท่องกี่ ภัตตาคารก๊อกใจ๋ ฯลฯ พร้อมอาหารที่หารับประทานได้ยาก อาทิเช่น จี๊หม่าหวู๋ - ห่งเต๋าโจ๊ก – บ๊ะจ่างกวางตุ้ง สมุนไพร ยารักษาโรคตามแบบฉบับจีนกวางตุ้ง ชมการแสดงเชิดสิงโต งิ้ว และกิจกรรมสาธิตการทำอาหารกวางตุ้ง ฯลฯ   วัน เวลา : 18-20 มกราคม 2563 สถานที่ : โรงเรียนกว่างเจ้า KCS ถนนสีลม ซอย 9 รายละเอียด งานอีเว้นท์ เพิ่มเติม เที่ยวทั่วไทย ไปทั่วโลก ครั้งที่ 26 KRAFT KRAFT MARKET Central Embassy Chinese New Year Festival 2020 Chinese New Year 2020
รวมอีเว้นท์ สัปดาห์ที่ 2 เดือนมกราคม 2563

รวมอีเว้นท์ สัปดาห์ที่ 2 เดือนมกราคม 2563

สัปดาห์ที่ 2 เดือนมกราคม ใครๆ ก็ทราบดีว่าพอถึงวันเสาร์จะเป็นวันเด็กของทุกปี หลายๆ สถานที่ทั้งภาครัฐและเอกชนก็จะจัดงาน มีกิจกรรม โชว์ต่างๆ มีของรางวัลแจกกันตลอดทั้งวัน แต่สำหรับคอลัมน์รวมอีเว้นท์ในสัปดาห์นี้ ไม่ได้มีแค่งานวันเด็กเพียงอย่างเดียวนะคะ เพราะงานอีเว้นท์อื่นๆ ที่เราคัดสรรนำมาเสนอกันก็น่าสนใจเช่นเคยค่ะ   The Earth God-Solo Exhibition by Ngamnade Pongrakananon นิทรรศการที่สร้างสรรค์มาจากแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่ของ “งามเนตร พงศ์เรขนานนท์” ที่สะสมประสบการณ์ผ่านงานโฆษณามากว่า 20 ปี ซึ่งได้มีโอกาสทำงานเกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ยิ่งสืบค้น ยิ่งรู้รายละเอียด พอยิ่งรู้รายละเอียด ก็ยิ่งทำให้รักท่าน ด้วยเหตุผลนี้จึงได้ถ่ายทอดออกมาเป็นภาพวาด ในงาน The Earth God-Solo Exhibition by Ngamnade Pongrakananon   "แค่การที่เราได้เห็นภาพท่านในแต่ละโมเม้น ได้วาดรูปบุคคลที่เรารัก ก็เพียงพอที่จะทำให้เราสุขใจ"   วัน เวลา : เปิดงานอย่างเป็นทางการวันที่ 11 มกราคม-29 กุมภาพันธ์ 2563 (เปิดงานร่วมสนทนา วันที่ 11 มกราคม 2563 เวลา 14.00-16.00 น.) สถานที่ : โรงแรมนันทา ซอยสุขุมวิท 33 แยก 5    สุนทรียะปฏิวัติ Aesthetic Revolt นิทรรศการภาพวาด เพื่อเข้าใจคุณค่าที่แท้จริงของชีวิต สุนทรียะแห่งศิลปะและปรากฏการณ์ทางความรู้สึก สะท้อนถึงความคิดอารมณ์ความรู้สึกและเรื่องราวต่าง ๆ ที่เข้ามาในชีวิต ผสมผสานจินตนาการผูกโยงเรื่องราวนำมาเรียงร้อยในองค์ประกอบที่ก่อให้เกิดเรื่องราวใหม่ เปรียบเหมือนภาพบันทึกประวัติศาสตร์ของปัจจุบัน ผ่านฝีมือของ “วีรพงษ์ ศรีตระกูลกิจการ” ที่มีประสบการณ์การจัดแสดงผลงานมาแล้วมากมายทั้งภายในประเทศและต่างประเทศกว่าร้อยครั้ง นอกจากนี้ยังเคยร่วมแสดงผลงานศิลปะในหลายประเทศทั่วโลก   วัน เวลา : 4–30 มกราคม 2563 (พิธีเปิดนิทรรศการ วันที่ 10 มกราคม 2563 เวลา 18.00 น.) สถานที่ : พีเพิ่ลส์แกลเลอรี่ ชั้น 2 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร     Greenery Market #23 ชม ช้อป ชิมสินค้าอาหารปลอดภัย ผัก ผลไม้อินทรีย์สดใหม่ส่งตรงจากสวน ข้าวดีพันธุ์ท้องถิ่นที่ใครได้ชิมต้องติดใจ อาหารทะเลไร้สารฟอร์มารีนจากพี่ๆ ชาวประมงพื้นบ้าน ผ้าทอเส้นใยทำมือธรรมชาติจากชุมชน ช่วยกันสนับสนุนกิจการเพื่อสังคมที่มีความตั้งใจดีๆ และเรียนรู้วิถีกินดี กรีนดีผ่านนิทรรศการและเวิร์กช็อปอีกมากมาย ร่วมฟังเรื่องราวดีๆ ในเสวนาเล็กๆ อันแสนอบอุ่น และเพลินไปกับดนตรีสดในบรรยากาศสบายๆ งานนี้หากนำถุงผ้า กระบอกน้ำ ภาชนะอาหาร มาเอง นอกจากที่จะได้ช่วยโลกแล้วยังได้ส่วนลดจากร้านค้าด้วย   วัน เวลา : 11-12 มกราคม 2563 เวลา 08:00-17:00 น. สถานที่ : Park@Siam สวนข้างศูนย์หนังสือจุฬาฯ   The Great Chinese New Year 2020 CPN ต้อนรับเทศกาลมหามงคลของชาวไทยเชื้อสายจีนทั่วประเทศ จัดงานฉลองเทศกาลตรุษจีน ภายใต้คอนเซ็ปต์ The Great China Bazaar ฉลองความยิ่งใหญ่ในโอกาสครบรอบ 45 ปี ความสัมพันธ์ทางการฑูตไทย-จีน ด้วยไฮไลท์มากมาย โดยได้จำลองให้เป็นตลาด Bazaar ในธีมต่างๆ ที่รวมสุดยอดสินค้าพื้นเมือง ของไหว้ และของมงคลล้ำค่าหายากจากประเทศจีนมาไว้ด้วยกัน อาทิ หยกมงคลล้ำค่า เครื่องปั้นดินเผา ถ้วยชามจีน ไม้แกะสลัก ถั่งเช่าคัดพิเศษ และชาจีนหายากต่างๆ เป็นต้น พร้อมลิ้มรสความอร่อยจากสุดยอดอาหารจีนจากมณฑลต่างๆ ตระการตาไปกับการแสดงระดับโลกที่หาชมได้ยากจากประเทศจีน และพลาดไม่ได้กับโปรโมชั่นร่ำรวย มงคล ลุ้นโชคมากมาย รวมมูลค่ากว่า 9 ล้านบาท   วัน เวลา : 10 มกราคม-9 กุมภาพันธ์ 2563 สถานที่ : ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์, เซ็นทรัลพลาซา เซ็นทรัลเฟสติวัล เซ็นทรัลภูเก็ต และเซ็นทรัล วิลเลจ รวม 33 สาขาทั่วประเทศ     Home Mega Show 2020 งานแสดงสินค้า เพื่อคนรักบ้าน ยิ่งใหญ่สุดในรอบปี 36 ปี บนพื้นที่กว่า 47,000 ตารางเมตร ภายในงานมีสินค้าครบครัน อาทิ เฟอร์นิเจอร์, สินค้าแต่งบ้าน, เครื่องใช้ในครัวเรือน, เครื่องใช้ไฟฟ้า, ระบบไฟฟ้า, สุขภัณฑ์, วัสดุก่อสร้าง, อุปกรณ์เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง, ต้นไม้และการจัดสวน ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับอาหาร, บริษัทรับสร้างบ้าน รวมถึงสินค้าเพื่อสุขภาพ, ความงาม, แฟชั่นมากมาย เป็นต้น   วัน เวลา : 11-19 มกราคม 2563 เวลา 11.00 - 21.00 น. สถานที่ : ฮอลล์ 5-12 อิมแพ็ค เมืองทองธานี   Central Kids Day 2020-Smart Kids Wonderland สนุกกับการผจญภัยในดินแดนมหัศจรรย์ เซ็นทรัลจัดแคมเปญวันเด็ก Central Kids Day 2020 ด้วยคอนเซ็ปต์ "Smart Kids Wonderland" ฉลองเทศกาลวันเด็กแห่งชาติประจำปี 2563 มอบความสุขด้วยกิจกรรมมากมายที่จะปลุกพลังแห่งการเล่นอย่างสร้างสรรค์ให้เด็กรุ่นใหม่ได้เปิดโลกการเรียนรู้ผ่านจินตนาการที่ไร้ขีดจำกัด กระตุ้นให้เกิดการคิด วิเคราะห์และการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เพื่อการพัฒนาทั้งทางด้านสมอง, กล้ามเนื้อ, และ Social Interaction Skills เช่น เซ็นทรัลเวิลด์ ร่วมลับสมองครั้งสำคัญกับดาวินชี่ เกมถอดรหัสเด็กตอนพิเศษ รายการเด็กชื่อดังจากช่อง 3 เปิดโลกแห่งการเรียนรู้กับ wall of books playland ห้องสมุดแสนสนุก พร้อมชมแฟชั่นโชว์ ร่วมรับของขัวญฟรี! มากกว่า 5,000 ชิ้นตลอดทั้งงาน เซ็นทรัลพลาซา พระราม 2  Meet & Greet กับเหล่าโดราเอม่อนและผองเพื่อนในบรรยากาศสี่ฤดูกาล เซ็นทรัลภูเก็ต จำลองบ้านบอลขนาดยักษ์ และทะเลบอลกว่า 100,000 ลูก ให้เด็กๆ ได้สนุกพร้อมเสริมสร้างจินตนาการอย่างไร้ขีดจำกัด ฯลฯ   วัน เวลา : 6-31 มกราคม 2563 สถานที่ : เซ็นทรัลฯ ทุกสาขาทั่วประเทศ    “ไทยบรรเจิด เกิดไอเดีย” ที่มิวเซียมสยาม วันเด็กปีนี้ มิวเซียมสยามได้หยิบยกความเป็นไทยในห้องนิทรรศการ “ไทย Only” มาให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ความเป็นไทยจากการเป็นคนช่างคิดช่างประดิษฐ์ ปรับปรุง ดัดแปลง และแก้ปัญหาได้อย่างดี เพื่อนำไปใช้ในการดำเนินชีวิต ผ่านฐานกิจกรรมสนุกๆ 4 ฐานกิจกรรม หาก เล่นครบทุกฐานได้รับของรางวัล ยังมีกิจกรรมสำหรับเด็กที่ไม่ต้องแข่งขัน อาทิ กิจกรรมทดลองดอกไม้ พันธุกรรม  กิจกรรมลากเส้นเขาวงกต   วัน เวลา : 11 มกราคม 2563 เวลา 10:00 - 16:00 น. สถานที่ : มิวเซียมสยาม   THE ICONIC CHILDREN’S PLAYGROUND AT ICONSIAM พบกับปรากฏการณ์ความสุขสุดมหัศจรรย์เต็มรูปแบบครั้งแรกในประเทศไทย ยกขบวนสุดยอดคาแร็กเตอร์การ์ตูนดังที่ครองใจเด็กๆ จากทั่วโลก อาทิ My Little Pony, Transformers, NERF, Play-Doh, Jenga และ Twister กับกิจกรรม Meet & Greet กับ Bumblebee หุ่นยนต์แปลงร่างจาก Transformers และเหล่าสมาชิกจาก My Little Pony ณ เจริญนคร ฮอลล์ ชั้น M พร้อมช้อปสินค้าคอลเล็กชั่นพิเศษและคอลเล็กชั่นล่าสุดที่ Hasbro Pop Up Shop บริเวณ รัษฎา ฮอลล์ ชั้น 1 และบริเวณ คิดส์ อเวนิว ชั้น 5 ยังมีเหล่าบรรดา Joker และ Fantasy Balloon Twisting สลับหมุนเวียนตามช่วงเวลามามอบเสียงหัวเราะและความบันเทิงให้กับน้องๆ ตลอด 4 วันเต็มอีกด้วย นอกจากนี้ ยังมีการแสดงการละเล่นพื้นบ้านของเด็กไทย และนิทรรศการของจิ๋ว 4 ภาค พร้อมการสาธิตปั้นของจิ๋ว ใน “คิดส์สนุกสุขสยาม ปี 2” ณ เมืองสุขสยาม ชั้น G อีกด้วย   วัน เวลา : 9-12 มกราคม 2563 สถานที่ : ไอคอนสยาม    KING POWER THAI POWER พลังคนไทย แจกลูกฟุตบอล ฟรี! วันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2563 KING POWER ชวนน้อง ๆ มารับลูกฟุตบอล ฟรี! เพียงแค่อายุระหว่าง 3–15 ปี โดยน้อง 1 คน จะได้รับลูกฟุตบอล 1 ลูก เท่านั้น   กำหนดรอบเวลา การแจกลูกฟุตบอล รอบที่ 1 บัตรคิว สีเขียว เวลา 09.00 น. ถึง 10.00 น. รอบที่ 2 บัตรคิว สีเหลือง เวลา 11.00 น. ถึง 12.00 น. รอบที่ 3 บัตรคิว สีน้ำเงิน เวลา 13.00 น. ถึง 14.00 น. รอบที่ 4 บัตรคิว สีแดง เวลา 15.00 น. ถึง 16.00 น. (หรือจนกว่าลูกฟุตบอลจะหมด)   สถานที่รับลูกฟุตบอล 1. ทำเนียบรัฐบาล จ.กรุงเทพฯ 2. การกีฬาแห่งประเทศไทย (สนามกีฬาราชมังคลากีฬาสถาน) จ.กรุงเทพฯ 3. คิง เพาเวอร์ รางน้ำ จ.กรุงเทพฯ 4. กองบิน 6 ฝูงบิน 601 ท่าอากาศยานดอนเมือง จ.กรุงเทพ 5. กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (สนามเป้า) จ.กรุงเทพฯ 6. กองบิน 4 อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ 7. โรงเรียนการบินกำแพงแสน จ.นครปฐม 8. กองบิน 2 จ.ลพบุรี 9. กองบิน 41 จ.เชียงใหม่ 10. กองบิน 46 จ.พิษณุโลก 11. คิง เพาเวอร์ ภูเก็ต จ.ภูเก็ต 12. กองบิน 7 จ.สุราษฎร์ธานี 13. กองทัพเรือภาคที่ 2 จ.สงขลา 14. ค่ายจุฬาภรณ์ กองพันทหารราบที่ 9 รักษาพระองค์ จ.นราธิวาส 15. ท่าเรือจุกเสม็ด ฐานทัพเรือสัตหีบ จ.ชลบุรี 16. ที่ทำการอำเภอบางละมุง จ.ชลบุรี 17. ศาลากลางเมืองพัทยา จ.ชลบุรี 18. กองบินทหารเรือ กองเรือยุทธการ (สนามบินอู่ตะเภา) 19. กองบิน 23 จ.อุดรธานี 20. กองบิน 1 จ.นครราชสีมา 21. มณฑลทหารบกที่ 23 ค่ายศรีพัชรินทร จ.ขอนแก่น   สยามอะเมซิ่งพาร์ค จัดกิจกรรมงานวันเด็ก สยามอะเมซิ่งพาร์ค จัดกิจกรรมความบันเทิงชมฟรีตลอดทั้งวัน อาทิ โชว์พิเศษจากมาสคอตขวัญใจเด็กๆ อะเมซิ่งโชว์ โชว์ระดับประเทศที่หาชมได้ยาก และการแสดงความสามารถบนเวทีของนักเรียนในเขตกรุงเทพฯกว่า 1,000 คน   โปรโมชั่นเฉพาะวันเด็ก เด็กสูงไม่เกิน 130 ซม. ลด 50% เหลือเพียง 75 บาท/คน (ปกติ 150 บาท) เล่นสวนน้ำ, เครื่องเล่นในสมอลล์เวิลด์และแฟมิลี่เวิลด์ไม่อั้นทั้งวัน ซื้อที่สยามอะเมซิ่งพาร์คได้เลย เด็กสูงไม่เกิน100 ซม. เข้าฟรี   วัน เวลา : 11 มกราคม 2563 เวลา 10.00 น.-18.00 น. สถานที่ : สยามอะเมซิ่งพาร์ค    
Update รถไฟฟ้า ปี 2563

Update รถไฟฟ้า ปี 2563

ทุกวันนี้ไม่ว่าจะเดินทางไปย่านไหนของกรุงเทพฯ ก็มักจะพบเจอกับการก่อสร้างรถไฟฟ้าอยู่หลายสาย ซึ่งตั้งแต่ปีที่แล้วก็เริ่มมีการเปิดให้ใช้บริการเพิ่มขึ้น ยิ่งทำให้การเดินทางเป็นไปได้อย่างสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งภายในปี 2563 นี้ ก็จะมีการเปิดให้ใช้บริการเพิ่มขึ้นอีก เราจึงชวนมาอัพเดทกันครับว่า จะมีเส้นทางไหนที่ทั้งเปิดให้บริการอย่างเต็มรูปแบบไปแล้ว และกำลังจะเปิดให้ใช้บริการในอนาคตอันใกล้นี้ เผื่อเป็นตัวเลือกในการเดินทางเพิ่มเติม สำหรับกรุงเทพฯ เมืองที่ประสบปัญหารถติดอยู่เกือบทุกเมื่อเชื่อวันเช่นนี้ รถไฟฟ้า สายสีเขียวเข้ม สุขุมวิท BTS สายสีเขียวทั้งเขียวสุขุมวิท และเขียว สีลม เป็นรถไฟฟ้าสายแรกในประเทศไทยที่เปิดให้บริการมาตั้งแต่วันที่ 5 ธันวาคม 2542 ซึ่งยังคงเป็นเส้นทางหลักในบ้านเรามาจนปัจจุบัน เพราะผ่านใจกลางเมืองแหล่งทำงานอยู่หลายโซน ไม่ว่าจะเป็นช่วงห้าแยกลาดพร้าว อารีย์ อโศก พร้อมพงษ์ ทองหล่อ สีลม สาทร ฯลฯ เมื่อดูจากเส้นทางทั้งหมดแล้วจะเป็นรถไฟฟ้าสายหนึ่งที่ชัดเจนมากในแง่ของการขนส่งคนจากนอกเมืองเข้าสู่ใจกลางเมืองได้อย่างรวดเร็วที่สุดในบรรดาการคมนาคมในเมืองหลวงเช่นนี้ และเนื่องจากสายนี้มีเส้นทางทั้งหมดยาวมากทีเดียวครับ เราจึงแบ่งออกเป็น 2 เส้นทาง คือสายสีเขียวเหนือ กับสายสีเขียวใต้ ดังนี้   รถไฟฟ้า สายสีเขียวเหนือ ภาพของผู้คนแน่นขนัดที่ยืนรอรถเมล์อยู่ใต้สถานีหมอชิต ฝั่งขาออกทุกเย็นวันทำงาน หลังจากนี้อาจจะเบาบางลงบ้างนะครับ เพราะสายสีเขียวเหนือ ซึ่งเปิดให้บริการไปจนถึงสถานีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และเตรียมเปิดให้บริการเต็มรูปแบบตลอดสายไปจนถึงสถานีคูคต ในช่วงปลายปี 2563 นี้ จะทำให้การเดินทางสะดวกสบายขึ้นอีกเยอะ เพียงแต่ก็ยังต้องพิจารณากันดีๆ ในแง่ของค่าใช้จ่ายที่จะต้องเพิ่มขึ้นแน่นอน สำหรับใครที่ตัดสินใจนั่งรถไฟฟ้าต่อออกไป รถไฟฟ้า สายสีเขียวใต้ ปัจจุบันเปิดให้บริการตลอดสายแล้วครับ โดยที่สถานีสำโรง จะเป็นจุด Interchange ต้องลงเพื่อเปลี่ยนขบวน เพื่อต่อออกไปยังสถานีปู่เจ้า-เคหะฯ ซึ่งค่าใช้จ่ายตลอดสาย หากเริ่มจากสถานีสยามไปจนถึงเคหะฯ ก็มีราคาปกติอยู่ที่ 59 บาท ใช้เวลาเดินทางประมาณ 42 นาที รถไฟฟ้า สายสีเขียวอ่อน สีลม รถไฟฟ้าสายแรกที่สร้างข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาจากใจกลางเมืองข้ามไปฝั่งธนฯ โดยราคาจากสถานีสนามกีฬาไปจนถึงบางหว้าอยู่ที่ 59 บาท ใช้เวลาประมาณ 23 นาที รถไฟฟ้า สายสีน้ำเงิน รถไฟฟ้าใต้ดิน MRT สายแรกในบ้านเราครับ ซึ่งเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการครั้งแรกตั้งแต่วันที่ 3 กรกฎาคม 2547 จากเดิมเริ่มจากสถานีบางซื่อ-หัวลำโพง แต่ในปัจจุบันได้เปิดเพิ่มขึ้น โดยแบ่งเป็น 2 สาย คือ ช่วงหัวลำโพง-หลักสอง เปิดให้ใช้บริการตั้งแต่ปีที่แล้ว และช่วงเตาปูน-ท่าพระ จะให้บริการอย่างเป็นทางการ วันที่ 30 มีนาคม 2563 นี้แล้ว เมื่อสายสีน้ำเงินเดินรถอย่างเต็มรูปแบบก็จะกลายเป็นวงแหวนล้อมรอบกรุงเทพ ผ่านสถานที่สำคัญหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นย่านที่อยู่อาศัย แหล่งออฟฟิศ และสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ จนกลายเป็นอีกหนึ่งสายหลักที่น่าจับตามองทีเดียวครับ   ช่วงเตาปูน-หลักสอง จากเดิมเปิดให้บริการเตาปูน-หัวลำโพง แต่ปัจจุบันสามารถเดินทางกันยาวๆ ไปจนถึงสถานีหลักสอง โดยไม่ต้องเปลี่ยนขบวนครับ โดยที่เตาปูนจะเป็นสถานีแบบยกระดับ ส่วนช่วงสถานีบางซื่อจะเป็นการเดินรถใต้ดินก่อนจะมายกระดับที่สถานีท่าพระ-หลักสอง ซึ่งอัตราค่าโดยสารสูงสุด 42 บาท ใช้เวลาเดินทางตั้งแต่สถานีเตาปูน-หลักสอง ประมาณ 57 นาที ช่วงเตาปูน-ท่าพระ เป็นช่วงที่ใช้รถไฟฟ้าแบบยกระดับตลอดสาย โดยตอนนี้ยังเป็นช่วงทดลองวิ่ง ซึ่งเปิดให้บริการ 10.00-16.00 น. และจะให้บริการอย่างเป็นทางการ วันที่ 30 มีนาคม 2563 มีอัตราค่าโดยสารสูงสุด 42 บาท ใช้เวลาเดินทางตั้งแต่สถานีเตาปูน-ท่าพระ ประมาณ 44 นาที รถไฟฟ้า สายสีม่วง MRT สายสีม่วง ถือว่าได้รับกระแสตอบรับดีทีเดียวสำหรับชาวนนทบุรี ซึ่งมักจะใช้เดินทางเข้าไปทำงานในเมืองโดยเปลี่ยนขบวนเป็นสายสีน้ำเงินที่สถานีเตาปูน เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการครั้งแรกวันที่ 6 สิงหาคม 2559 เป็นช่วงเตาปูน-บางใหญ่ โดยมีราคาสูงสุดที่ 42 บาท ใช้เวลาเดินทางประมาณ 28 นาที ส่วนสายสีม่วงใต้ ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ มีกำหนดเปิดให้บริการภายในปี 2569 รถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิ้งค์ รถไฟฟ้าที่เป็นหัวใจหลักของผู้ที่ต้องการเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิ รวมถึงผู้ที่พักอาศัยอยู่ในโซนตะวันออกของกรุงเทพฯ เข้าเมืองที่สถานีพญาไท ในราคาสูงสุด 45 บาท ใช้เวลาเดินทางทั้งสายประมาณ 26 นาที ที่สำคัญเลยคือ ในอนาคตสายนี้จะเป็นส่วนหนึ่งของโครงการรถไฟความเร็วสูง เชื่อม 3 สนามบิน ซึ่งหากเปิดให้บริการอย่างสมบูรณ์เมื่อไร เราจะสามารถเดินทางจากกรุงเทพฯ-มาบตาพุด ได้ภายในเวลา 2 ชั่วโมงเท่านั้น   Infographic เรื่องอื่นๆ ลดหย่อนภาษี สำหรับมนุษย์เงินเดือน บ้านกับรถ ซื้ออะไรก่อนดี ? เคล็ดลับผ่อนบ้านให้หมดเร็ว ดอกเบี้ยลด หมดหนี้ไว
Airbnb เผย 5 เมืองที่คนไทยนิยม “เคาท์ดาวน์” มากสุด

Airbnb เผย 5 เมืองที่คนไทยนิยม “เคาท์ดาวน์” มากสุด

คืนวันที่ 31 ธันวาคมของทุกปี นับเป็นช่วงเวลาสำคัญที่หลายคน ต่างเฝ้ารอเพื่อจะทำการ “เคาท์ดาวน์” เพื่อส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ เป็นช่วงเวลาของการเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ดีกว่า คนส่วนใหญ่จะเลือกสถานที่สำคัญๆ ที่สวยงามหรือชื่นชอบ เป็นจุดหมายปลายทางเพื่อการ “เคาท์ดาวน์” นอกเหนือจากการกลับไปยังบ้านเกิดเพื่อร่วมฉลองปีใหม่กับครอบครัว   นอกจากการเฉลิมฉลอง และการเตรียมส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ภายในประเทศแล้ว เมืองท่องเที่ยวหลายแห่งในต่างประเทศ ก็ถูกเลือกเป็นสถานที่สำคัญ สำหรับการเคาท์ดาวน์ด้วยเช่นกัน ซึ่งคนไทยนิยมไปประเทศไหนบ้าง เพื่อใช้เป็นสถานที่ส่งท้ายปีเก่าและต้อนรับปีใหม่ กับคนรักหรือคนพิเศษนั้น ทาง Airbnb ได้เปิดเผยผลสำรวจให้ได้รู้กัน   กรุงโซล เมืองยอดฮิตคนไทย "เคาท์ดาวน์" หากวัดจากผลสำรวจของ Airbnb จากการจองห้องพักมากที่สุดของคนไทย ในช่วงระหว่างวันหยุดยาวปีใหม่ เมื่อเทียบกับจำนวนผู้เข้าพักในปีที่แล้ว เมืองที่มีอัตราการเติบโตมากที่สุดก็คือ “กรุงโซล” ประเทศเกาหลีใต้ เหตุผลสำคัญ คงเป็นเพราะการมีเที่ยวบินไปมากขึ้น และคนชนชั้นกลางที่มีจำนวนเพิ่มขึ้น ทำให้คนไทยนิยมเดินทางไปต่างประเทศ เพื่อท่องเที่ยวในสถานที่ใหม่และเรียนรู้วัฒนธรรมใหม่ๆ     ถึงแม้กรุงโซลจะเป็นเมืองจุดหมายปลายทางที่ได้รับความนิยมมากที่สุด แต่การเดินทางท่องเที่ยวไปยังต่างประเทศในช่วงปีใหม่ของคนไทยนั้น ประเทศญี่ปุ่น นับว่ามีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะมีถึง 3 เมืองใหญ่อย่าง “โตเกียว โอซาก้า และฮอกไกโด” ติดโผ 5 อันดับแรก โดยอ้างอิงจากยอดการเข้าพักในช่วงปีใหม่มีการเติบโตขึ้นเมื่อเปรียบเทียบระหว่างปี 2561 กับปี 2562 ดังนี้   1.ลอนดอน  มีการเติบโตเพิ่มขึ้น 164% 2.เซี่ยงไฮ้  มีการเติบโตเพิ่มขึ้น 162% 3.โตเกียว มีการเติบโตเพิ่มขึ้น 87% 4.โอซาก้า มีการเติบโตเพิ่มขึ้น 70% 5.ฮอกไกโด มีการเติบโตเพิ่มขึ้น 61%   “เชียงใหม่” เมืองที่คนไทยไปมากสุดในประเทศ  สำหรับคนที่เลือกที่จะท่องเที่ยวภายในประเทศไทย พบว่า จุดหมายปลายทางที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในช่วงปีใหม่ยังคงเป็นภูเขากับความหนาวเย็นทางภาคเหนือ โดย “เชียงใหม่” ยังรักษาตำแหน่งสถานที่ยอดนิยมของนักท่องเที่ยวชาวไทย จากการมียอดจองห้องพักสูงถึง 90% เมื่อเทียบกับปีก่อน ทำให้เชียงใหม่ มีอัตราการเติบโตมากที่สุด โดย 3 อันดับเมืองยอดนิยมในประเทศไทยของนักท่องเที่ยวไทย ได้แก่ 1.เชียงใหม่ มีการเติบโตเพิ่มขึ้น 90% เมื่อเทียบกับปีก่อน 2.ภูเก็ต มีการเติบโตเพิ่มขึ้น 82% เมื่อเทียบกับปีก่อน 3.กรุงเทพฯ มีการเติบโตเพิ่มขึ้น 64% เมื่อเทียบกับปีก่อน     หากดูภาพรวมของการจองห้องพักทั้งหมดของ Airbnb ทั้งจากในประเทศและต่างประเทศแล้ว เมืองที่คนไทยนิยมไปเฉลิมฉลองมากที่สุดนั้น 5 อันดับแรก เป็นเมืองที่อยู่ภายในประเทศ ได้แก่ 1.กรุงเทพฯ 2.เชียงใหม่ 3.พัทยา 4.ภูเก็ต 5.สมุย สรุปแล้วปีนี้ ไปเคาท์ดาวน์ที่ไหนกันบ้าง แต่ไม่ว่าจะอยู่สถานที่ใดก็ตาม ขอให้ทุกช่วงเวลานับจากนี้ มีแต่สิ่งดีดีให้กับทุกคน เพื่อการเริ่มชีวิตในปีใหม่ที่สดใส และเต็มไปด้วยความสุข
ส่องเทรนด์พื้นที่ “ออฟฟิศ-รีเทล” ปี 63 จะไปทางไหน?

ส่องเทรนด์พื้นที่ “ออฟฟิศ-รีเทล” ปี 63 จะไปทางไหน?

ตลาดอสังหาริมทรัพย์ นอกจากการพัฒนาที่อยู่อาศัย ประเภทบ้านและคอนโดมิเนียมแล้ว โครงการประเภทคอมเมอร์เชียล ในส่วนของโครงการค้าปลีกและพื้นที่สำนักงาน ก็เป็นโครงการอสังหาฯ​ ที่ถูกพัฒนาออกมาจำนวนมาก และยังเป็นอีกหนึ่งประเภทสำคัญของธุรกิจอสังหาฯ ด้วย   โดยเฉพาะเทรนด์การพัฒนาโครงการประเภทมิกซ์ยูส ซึ่งภายในโครงการประกอบด้วยอสังหาฯ หลายประเภทรวมอยู่ด้วยกัน เป็นเทรนด์ที่ถูกพัฒนาออกมาจำนวนมาก โดยโครงการได้เริ่มเสร็จและเปิดให้บริการตั้งแต่ปีนี้  ต่อเนื่องไปในอีกหลายปีข้างหน้า ส่งผลให้พื้นที่ค้าปลีกและสำนักงานให้เช่า จะมีเพิ่มออกมาอย่างต่อเนื่องด้วย   อีก 5 ปี พื้นที่ออฟฟิศเช่าทะลุ 10 ล้านตร.ม. รายงานล่าสุด จาก บริษัท เน็กซัส เรียลเอสเตท แอ็ดไวเซอรี่ จำกัด ระบุว่า ปัจจุบันพื้นที่อาคารสำนักงานในกรุงเทพฯ มีทั้งสิ้นประมาณ 9 ล้านตารางเมตร โดยเป็นอาคารเกรด เอ และ บี จำนวน 6.08 ล้านตารางเมตร ยังคงมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งเรื่องของราคาค่าเช่าที่มีการปรับตัวสูงขึ้น และอัตราว่างของพื้นที่ที่อยู่ในระดับต่ำมาตลอดหลายปี  ทำให้ในปัจจุบันเริ่มมีการพัฒนาอาคารสำนักงานให้เช่าเพิ่มมากขึ้น  โดยคาดการณ์ว่าจะมี  ซัพพลายใหม่จ่อเข้าตลาดกว่า 1.78 ล้านตารางเมตร ในอีก 5 ปีข้างหน้า  ทำให้มีพื้นที่โดยรวมกว่า 10.78 ล้านตารางเมตร   อัตราการเช่าพื้นที่เฉลี่ยทั้งกรุงเทพฯ มีประมาณ 94% และมีราคาค่าเช่าเฉลี่ยที่ 800 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน แต่หากพิจารณาเฉพาะอาคารสำนักงานเกรดเอ ที่อยู่ในย่านศูนย์กลางธุรกิจเท่านั้น พบว่า ค่าเช่าเฉลี่ยในปีนี้ปรับตัวขึ้นประมาณ 5% จากสิ้นปีที่แล้ว ไปอยู่ที่ประมาณ 1,080 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน และอัตราการเช่าพื้นที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยเล็กน้อยที่ 95% และจากการสำรวจยังพบความต้องการในการเช่าอาคารสำนักงานเกรดเอ ในย่านศูนย์กลางธุรกิจอีกมาก ทำให้ราคาค่าเช่าของบางอาคารพุ่งสูงขึ้น เช่น เกษร ทาวเวอร์ มีราคาค่าเช่าแพงที่สุดที่ 1,600 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน ซึ่งในย่านเพลินจิต พระราม 1 และวิทยุ ยังคงได้รับความสนใจจากผู้เช่าสูงอย่างต่อเนื่อง   เทรนด์ออฟฟิศให้เช่าในอนาคต นายธีระวิทย์ ลิ้มทองสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส เรียลเอสเตท แอ็ดไวเซอรี่ จำกัด เปิดเผยว่า เนื่องจากอาคารสำนักงานส่วนใหญ่ในกรุงเทพฯ มีอายุอาคารมากกว่า 20 ปี ซัพพลายใหม่ๆ ที่กำลังจะเข้ามาในตลาดจะช่วยทำให้ตลาดมีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น พื้นที่สำนักงานใหม่ที่กำลังจะเข้ามาในตลาด  โดยส่วนมาก จะถูกพัฒนาในรูปแบบโครงการอสังหาฯ มิกซ์ยูส มีการเพิ่มพื้นที่รีเทลในชั้นล่าง เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้เช่าให้มากขึ้น รวมถึงการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ มีส่วนประกอบของโครงการที่หลากหลาย     โดยตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นไป จะได้เห็นโครงการสำคัญ ๆ หลายโครงการพร้อมใช้งาน อาทิ ศุภาลัย ไอคอน  บนพื้นที่สถานทูตออสเตรเลียเดิม,  วัน แบงค็อก อภิมหาโปรเจกต์จาก TCC, เดอะ ฟอเรสเทียส์ โครงการเมืองในป่าแห่งแรกของเมืองไทย, แบงค็อกมอลล์ เมกะโปรเจกต์ จาก เดอะมอลล์ กรุ๊ป, และ เอ็มสเฟียร์ จิ๊กซอว์ส่วนสุดท้ายของ ดิ เอ็มดิสทริค ทั้งหมดนี้จะช่วยยกระดับมาตรฐานอาคารสำนักงานในไทยมากยิ่งขึ้น   ส่วนเทรนด์ตลาดพื้นที่ออฟฟิศให้เช่าในปีหน้านั้น  จะมีโครงการเดอะปาร์ค (The PARQ) เปิดเข้ามาเพิ่ม ซึ่งโครงการ เดอะ ปาร์ค  บริษัท ทีซีซี แอสเซ็ท (ประเทศไทย) จำกัด เป็นเจ้าของโครงการ มีพื้นที่อาคารรวม 320,000 ตารางเมตร ประกอบด้วยสำนักงานระดับพรีเมี่ยมเกรดเอ พื้นที่ร้านค้า ร้านอาหาร และโรงแรม มูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาท   สำหรับแนวโน้มตลาดออฟฟิศในปี 2563 นั้น คาดว่าจะเติบโตทั้งในส่วนของความต้องการ และราคาค่าเช่า รวมถึงปริมาณพื้นที่จากการเปิดตัวโครงการใหม่ของโครงการเดอะ   พื้นที่ค้าปลีกได้ “นักท่องเที่ยวจีน” หนุนตลาด   ด้านพื้นที่ศูนย์การค้า  พบว่า ยังคงเติบโตอย่างสม่ำเสมอ  มีพื้นที่ใหม่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง  ขณะที่อัตราการเช่าพื้นที่ร้านค้ายังคงอยู่ในอัตราที่สูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในย่านศูนย์กลางทางการค้าใจกลางเมือง อย่าง สยาม-ราชประสงค์-พร้อมพงษ์ ที่แม้จะมีการแข่งขันสูง แต่ยังคงเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ  เนื่องจากย่านศูนย์กลางทางการค้ายังคงเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญ ​ของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้มีอัตราการเช่าพื้นที่เฉลี่ยสูงกว่า 95%   โดยปัจจุบันจะพบว่า ภาวะหนี้ครัวเรือนในไทย จะยังคงสะสมอยู่ในระดับสูง และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคภายในประเทศจะมีตัวเลขที่ลดลง  แต่การใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ยังเข้ามาเป็นแรงสนับสนุนตลาดค้าปลีกให้เติบโตในช่วงปีที่ผ่านมา โดยครึ่งปีหลัง สถิตินักท่องเที่ยวที่เติบโตขึ้นทั้งในแง่ของจำนวนนักท่องเที่ยว และรายรับจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ   นักท่องเที่ยวจีนยังคงเป็นกลุ่มหลัก  ที่เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย โดยมีผลมาจากการขยายระยะเวลามาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมการตรวจลงตรา (Visa on Arrival) ออกไปอีก 6 เดือน การประท้วงที่ยืดเยื้อของฮ่องกง รวมถึงการขึ้นภาษีของญี่ปุ่น ส่งผลให้ตัวเลขนักท่องเที่ยวดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง จากสถิติกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พบว่า 9 เดือนแรกมีนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวน  29.47 ล้านคน ขยายตัว 3.51% และมีรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติรวม 1.42 ล้านล้านบาท ขยายตัว 3 - 4% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีที่ผ่านมา   พื้นที่ใหม่เข้าสู่ตลาด 280,000 ตารางเมตร จากการแข่งขันที่สูงมากขึ้นในปัจจุบัน ทำให้ร้านค้า หรือแม้แต่ผู้ประกอบการศูนย์การค้า หันมาให้ความสนใจในการเรียกเก็บค่าเช่าแบบ GP (Gross Profit) มากขึ้น โดยการเรียกเก็บค่าเช่าแบบ GP จะช่วยแบ่งเบาภาระค่าเช่าให้กับร้านค้าได้ในระดับหนึ่ง แต่ทั้งนี้ ศูนย์การค้าใหญ่ ๆ จะมี Minimum guarantee หรือ Based rent กำหนดให้แก่ร้านค้าเมื่อทำสัญญาเช่า ทำให้ร้านค้าจำเป็นจะต้องทำยอดขายให้ได้ ซึ่งเป็นผลดีทั้งต่อร้านค้าและศูนย์การค้า และจากการสำรวจ  พบว่าราคาค่าเช่าเฉลี่ยชั้น G ในย่านศูนย์กลางทางการค้าปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 3,915 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน สูงขึ้นจากปีที่แล้วเล็กน้อย   แต่อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการพื้นที่ศูนย์การค้ายังคงต้องเผชิญกับความท้าทายจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งจากตลาดสินค้าออนไลน์ การบริการส่งอาหารที่ปัจจุบันมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว และรวมไปถึงพื้นที่ใหม่ที่จะแบ่งกำลังซื้อออกไป ทำให้ผู้ประกอบการจำเป็นจะต้องสร้างสิ่งดึงดูด สร้างประสบการณ์ใหม่ให้แก่ผู้บริโภค ซึ่งเชื่อว่าเป็นสิ่งที่ท้าทายอย่างมากสำหรับผู้ประกอบการ   ขณะเดียวกันร้านค้าแบรนด์ไทยก็ยังต้องเผชิญความท้าทายจากแบรนด์ต่างชาติที่ให้ความสนใจเข้ามาเปิดในเมืองไทยอย่างต่อเนื่อง โดยในปีที่ผ่านมา มีแบรนด์ใหม่ๆ เข้ามาเปิดอย่างหลากหลาย อาทิ ดองกิ มอลล์ (Donki Mall), ทิม ฮอร์ตันส์ (Tim Horton), อี้ ฟาง (Yi Fang), ทาโก้ เบลล์ (Taco Bell), ไทเกอร์ชูก้า (Tiger Sugar), ดิ แอลลี่ (The Alley), และ ซิง ฝู่ ถัง (Xing Fu Tang) เป็นต้น   ในปีนี้มีพื้นที่ค้าปลีกใหม่ เข้ามาสู่ตลาดหลายแห่งกว่า 280,000 ตารางเมตร เช่น วัน-โอ-วัน เดอะเทิร์ด เพลส (101 the third place), ดอง ดอง ดองกิ (Don Don Donki), เดอะ มาร์เก็ต แบงคอก (The Market Bangkok), สามย่านมิตรทาวน์ (Samyan Mitrtown), เซ็นทรัล วิลเลจ (Central Village) และ แอม ไชน่าทาวน์ (I’m Chinatown) และคาดว่าจะมีโครงการใหม่ ๆ ทยอยเข้ามาสู่ตลาดในอีก 3 ปีข้างหน้าอย่างต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 400,000 ตารางเมตร โดยมีโครงการที่น่าจับตามองหลายโครงการ อาทิ เอ็มสเฟีร์ย (EmSphere), วันแบงค็อก (One Bangkok),  และ สยาม พรีเมียม เอ้าท์เล็ต แบงค็อก (Siam Premium Outlets Bangkok)   ส่องเทรนด์พื้นที่ค้าปลีกปี 63   โดยภาพรวมแล้ว ตลาดพื้นที่ศูนย์การค้าของกรุงเทพฯ ยังคงอยู่ในเกณฑ์ที่ดีและยังคงมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการจำเป็นจะต้องเน้นการสร้างประสบการณ์ให้กับผู้บริโภค ที่หาไม่ได้จากโลกออนไลน์ หรือการเดลิเวอรี่ การตอบสนองที่ตรงใจลูกค้าและความรวดเร็วในการบริการ รวมไปถึงการสร้างและรักษาความสัมพันธ์แก่ลูกค้า และการรักษาพร้อมพัฒนาสินค้าให้อยู่ในระดับแข่งขันได้อีกด้วย   ขณะที่ปริมาณพื้นที่ค้าปลีก ที่จะเข้ามาเพิ่มในปี 2563  เป็นพื้นที่ในส่วนของโครงการเดอะปาร์ค  ที่จะมีเข้ามาอีกประมาณ 12,000 ตารางเมตร ทั้งในส่วนพื้นที่ร้านค้าปลีก ร้านอาหาร ซูเปอร์มาร์เก็ต และศูนย์อาหาร ภายใต้แนวคิด ‘Eat Well and Shop Well’ รวมไปถึงการนำเสนอบริการด้านสุขภาพและความงาม ตลอดจนร้านค้าที่ดำเนินธุรกิจอย่างรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ซูเปอร์มาร์เก็ตภายในโครงการจะมุ่งเน้นการจำหน่ายผลิตภัณฑ์และอาหารปลอดสารพิษ อาหารเพื่อสุขภาพ รวมถึงอาหารมังสวิรัติที่หลากหลายกว่าซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วไป   นอกจากนี้ ยังมีพื้นที่โครงการสยาม พรีเมียม เอ้าท์เล็ต แบงค็อก มีพื้นที่อาคารรวมทั้งหมด (GFA) ประมาณ 50,000 ตารางเมตรจะเป็นโครงการที่เน้นสภาพแวดล้อมภายนอกอาคาร ธรรมชาติ พื้นที่สีเขียว และสายน้ำ นอกจากนี้ยังมีพื้นที่สำหรับกินดื่ม พื้นที่พักผ่อนหย่อนใจ และความบันเทิงอยู่ในโครงการด้วย ซึ่งภายในโครงการจะประกอบไปด้วยร้านค้าประมาณ 200 ร้าน  และสีลมคอมเพล็กซ์ จะมีพื้นที่อีกประมาณ 10,000 ตารางเมตร   โดยแนวโน้มราคาค่าเช่าพื้นที่ค้าปลีกในปี 2563 มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ขณะที่ความต้องการและปริมาณพื้นที่ใหม่ก็น่าจะมีเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเช่นกัน อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง เน็กซัสชี้ ปี 2019 คือ ปีแห่งการก้าวกระโดดของธุรกิจ Co- Working Office เน็กซัสเผย 7 ประเด็นอสังหาฯ Q1 + แนวโน้มธุรกิจหลังการเลือกตั้ง
เศรษฐกิจแย่ คนไทยรัดเข็มขัด การใช้จ่ายช่วงปีใหม่ ต่ำสุดรอบ 12 ปี

เศรษฐกิจแย่ คนไทยรัดเข็มขัด การใช้จ่ายช่วงปีใหม่ ต่ำสุดรอบ 12 ปี

ตอนนี้หลายคนคงเดินทางกลับบ้านต่างจังหวัด หรือไม่ก็เดินทางท่องเที่ยวตามแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ กันบ้างแล้ว บรรยากาศปีนี้หลายคนบ่นว่าไม่คึกครื้น เพราะสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำเอาเงินในกระเป๋าไม่ฟูเหมือนหลายปีก่อน เลยจะฉลองแบบจัดเต็มกันได้ไม่เต็มที่ การใช้จ่ายช่วงปีใหม่เลยดูไม่คึกคัก แถมยังมีโรงงานหรือสถานประกอบการบางแห่งปิดกิจการลงด้วย ทำเอาบรรดาลูกจ้างและพนักงานอยู่ในภาวะหมดกำลังใจกันไปตามๆ กัน   แล้วจริงๆ บรรยากาศปีใหม่ และการใช้จ่ายช่วงปีใหม่ของคนไทยเป็นอย่างไรบ้าง คงต้องมาดูผลการสำรวจของศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้า ซึ่งจัดทำออกมาทุกปี เพื่อให้เห็นภาพของการใช้จ่ายช่วงปีใหม่ของคนไทย  ว่ามีสถานการณ์อย่างไร ใช้ไปกับเรื่องอะไรมากน้อยแค่ไหน มีเงินสะพัดเป็นมูลค่าเท่าไร คนไทยใช้จ่ายช่วงปีใหม่  ต่ำสุดในรอบ12ปี   นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย  เปิดเผยว่า  ผลการสำรวจการพฤติกรรมการใช้จ่ายเงินในช่วงปีใหม่ของคนไทย ซึ่งสำรวจช่วงวันที่ 11-20 ธันวาคม 2562 จำนวน 1,223 คนทั่วประเทศ พบพว่า แม้การใช้จ่ายจะมีการขยายตัว แต่เป็นการขยายตัวที่ต่ำที่สุดในรอบ 12 ปี   โดยค่าใช้จ่ายที่ประชาชนใช้ในช่วงปีใหม่ 2563  เงินสะพัดรวมประมาณ 137,809 ล้านบาท แบ่งเป็นในกรุงเทพฯ 58,000 ล้านบาท และต่างจังหวัด 79,000 ล้านบาท  ขยายตัวเพิ่มขึ้นเพียง 1.9% จากปี 2562 ที่มีมูลค่า 135,279 ล้านบาท ถือว่าการใช้จ่ายเงินช่วงปีใหม่ ที่ขยายตัวต่ำสุดในรอบ 12 ปี  ซึ่งสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจไทยที่อัตราการเติบโต หรือจีดีพีขยายตัวเพียง 2.6% เท่านั้น   “เนื่องจากประชาชนกังวลภาวะเศรษฐกิจจึงใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง ส่วนผลสำรวจพฤติกรรมการใช้จ่ายช่วงปีใหม่  พบว่า กลุ่มตัวอย่าง 76.8%  มีการวางแผนออกนอกพื้นที่ในช่วงปีใหม่ เพื่อเดินทางท่องเที่ยวและกลับภูมิลำเนาในต่างจังหวัด โดย 84.7 % มีการวางแผนท่องเที่ยวในประเทศ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายรวมคนละ 15,615 บาท 15.3%  วางแผนท่องเที่ยวต่างประเทศ โดยมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยคนละ 58,842 บาท   โดยคาดว่าประชาชนจะออกเดินทางไปท่องเที่ยวในช่วงวันที่ 28 ธ.ค. 2562  และกลับวันที่  1 ม.ค. 2563 เฉลี่ยประมาณ 3-5 วัน ไปเที่ยวเฉลี่ย 2-4 คนต่อกลุ่ม   การใช้จ่ายช่วงปีใหม่ คนไทยซื้อของฟุ่มเฟือย   นอกจากนี้ยังมีการวางแผนซื้อของขวัญทั้งให้ตนเอง เช่น ซื้อสินค้าฟุ่มเฟือย เครื่องประดับ ทอง 16,362  บาทต่อคน เสี่ยงโชคคนละ  1,115 บาทต่อคน  ซื้อสินค้าโอท็อปต่อคน 1,062 บาท  และซื้อของให้ผู้อื่น เช่น สินค้าฟุ่มเฟือย เครื่องประดับ ทอง 5,981 บาทต่อคน ซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาล 241 บาทต่อคน สินค้าคงทน (เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องเรือน)  3,803 บาทต่อคน   กลุ่มตัวอย่างมีพฤติกรรมการใช้จ่ายช่วงปีใหม่ ส่วนใหญ่ 91.1% จะทำบุญทางศาสนา รองลงมา 90.7% สังสรรค์ /จัดเลี้ยง ท่องเที่ยว 76.8% ส่วนของขวัญยอดนิยมในช่วงปีใหม่ คือ ของประรับประทาน สินค้าคงทน เครื่องดื่มบำรุงกำลัง  กระเช้าของขวัญ เป็นต้น  โดยมีปัจจัยในการเลือกซื้อของขวัญให้กับตนเองและผู้อื่นคือคุณภาพ ราคา และประโยชน์การนำไปใช้   คนไทยอยากให้ของขวัญ “ลุงตู่” มากสุด ความเห็นของกลุ่มตัวอย่างต่อปัญหาที่รัฐบาลควรแก้ไขอย่างเร่งด่วนที่สุด คือ เศรษฐกิจโดยรวม ปัญหาสังคม เสถียรสภาพทางการเมือง  ปัญหาทุจริต  และการเตรียมความพร้อมรับมือภัยธรรมชาติ และปัจจัยที่น่าห่วงในปี 2563 ยังเป็นปัญหาเศรษฐกิจ  การศึกษา สุขอนามัย ค่าครองชีพ ปัญหาเยาวชน เป็นต้น   ส่วนการให้คะแนนในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ของรัฐบาลในรอบปีที่ผ่านมา หากคะแนนเต็ม 10  จะให้คะแนนรัฐบาล ดังนี้ การเตรียมความพร้อมรับมือภัยธรรมชาติ ได้ 7.67 คะแนน ปัญหาสังคม 6.23 คะแนน ปัญหาคอร์รัปชั่น 5.81 คะแนน ปัญหาเศรษฐกิจ 5.56 คะแนน ปัญหาโดยรวม 5.44 คะแนน ปัญหาความขัดแย้ง 5.34 คะแนน   กลุ่มตัวอย่างอยากให้ชองขวัญเป็นกำลังใจนายกรัฐมนตรี ประยุทธ์ จันทร์โอชา มากที่สุด 58.8% นายอนุทิน ชาญวีรกุล 21.5% พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ 9.0% นายวิษณุ เครืองาม 5.6%  และอยากเดินทางท่องเที่ยวกับนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ 20.2% พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา 18.5% นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ 10.4% นายทักษิณ ชินวัตร 8.5%   ส่วนนักแสดงชาย ที่ประชาชนอยากให้ของขวัญมากที่สุดคือ ณเดชน์ คูกิมิยะ เกรท วรินทร มาริโอ เมาเร่อ  ฝ่ายหญิงคือ ญาญ่า อุรัสยา อั้ม พัชราภา ใหม่ ดาวิกา  นักร้องชาย ตูน บอดี้สแลม เบริ์ด ธงไชย ไผ่ พงศธร นักร้องหญิง ต่ายอรทัย ปาล์มมี่ อาม ชุติมา  คำอวยพรให้กับประเทศไทยอันดับหนึ่งคือขอให้สมเด็จพระราชินีในร 9 และร.10 ทรงมีพลานามัยแข็งแรง ขอให้เศรษฐกิจดีขึ้น ขอให้ค้าขายดี ๆ เป็นต้น    
รวมงาน COUNTDOWN 2020

รวมงาน COUNTDOWN 2020

ค่ำคืนข้ามปีจากทั่วทุกมุมโลกต่างก็ร่วมเฉลิมฉลองต้อนรับปีใหม่ไปพร้อมกัน ซึ่งในบ้านเราเองก็มีการจัดงาน COUNTDOWN 2020 กันหลายแห่งให้ได้สนุกไปด้วยกัน เอาแค่ในกรุงเทพฯ ก็เลือกกันไม่ถูกว่าจะไปที่ไหนกันดี  แต่รับรองว่างานที่เรานำมาฝากกันครั้งนี้ต้องมันส์สุดแน่นอน!!   AIS Bangkok Countdown 2020 ร่วมนับถอยหลังเข้าสู่ปีใหม่ ปี 2020 ไปกับ AIS Bangkok Countdown 2020 จัดเต็มด้วยเวทีไฮโดรลิก 4 ชั้น ยาว 220 เมตร ซึ่งยาวที่สุดใน Southeast Asia อลังการกับทะเลบอลลูนและซีนแสงสีเสียงสุดตระการตา ไฮไลท์การแสดงจากจากศิลปินระดับท็อป อาทิ The Toys , เป๊ก ผลิตโชค , ปาล์มมี่ , Getsunova , Slot Matchine , โจอี้บอย , Thaitanium , Twopee และโชว์จาก ดารานักแสดงจากไทยทีวีสีช่อง 3   วัน เวลา : 31 ธันวาคม 2562 สถานที่ : ลานด้านหน้าเซ็นทรัลเวิลด์ Amazing Thailand Countdown 2020 เฉลิมฉลองส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่สุดยิ่งใหญ่ตระการตาตลอดคืน ภายใต้แนวคิด ´มหัศจรรย์พร 7 ประการ´ ท่ามกลางบรรยากาศการตกแต่งสถานที่สวยงามด้วยไฟประดับประดาสว่างไสวอลังการริมสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา และพบการแสดงทางศิลปวัฒนธรรมอันวิจิตรงดงามที่ถ่ายทอดมรดกวัฒนธรรมไทยอันทรงคุณค่า พร้อมจัดเตรียมไฮไลท์การแสดงพลุทำจากข้าวเหนียวไทย นวัตกรรมการสร้างสรรค์พลุแบบรักษ์โลกจากญี่ปุ่นซึ่งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมบนโค้งน้ำเจ้าพระยาระยะทาง 1,400 เมตร ซึ่งปีนี้ได้เพิ่มพื้นที่จุดชมพลุ บนชั้น 7 ไอคอนสยาม ทั้งหมด 7 ชุดการแสดง อีกทั้งยังขนเหล่าดาราศิลปินดังร่วมสร้างความสุขในคืนเคาท์ดาวน์ พบการแสดงและมินิคอนเสิร์ตเต็มรูปแบบจากศิลปินชื่อดัง อาทิ ตู่ ภพธร, B5, นนท์ ธนนท์, ตี๋ AF, ต้น AF, จินตหรา พูนลาภ, โต้ง Twopee Southside, ณเดชน์ คูกิมิยะ ฯลฯ   วัน เวลา : 31 ธันวาคม 2562 เริ่ม 17.00 น. เป็นต้นไป สถานที่ : ริเวอร์พาร์ค ไอคอนสยาม CDC Countdown 2020 เฉลิมฉลองเคาท์ดาวน์ไปกับฟรีคอนเสิร์ต กับศิลปินที่ดีที่สุดในเมืองไทย Zeal, Cocktail, นิว-จิ๋ว, Paradox และ Joeyboy ด้วยบรรยากาศเหมือนอยู่ท่ามกลางจตุรัส "ไทม์สแควร์ แห่งมหานครนิวยอร์ก" ตระการตากับเทคโนโลยีแสงสีเสียงสุดอลังการ และการจัดเต็มความบันเทิงสุดมันส์ตลอดคืน และเมนูติดล้อฟู๊ดทรัค (Food Truck) พร้อมเสิร์ฟตลอดคืน   พิเศษ! ลงทะเบียนล่วงหน้ารับเครื่องดื่มฟรี และลุ้นรางวัล iphone 11 รวมมูลค่ากว่า 120,000 บาท คลิก https://bit.ly/2OUoAlu   วัน เวลา : 31 ธันวาคม 2562 เริ่ม 18.00 น. เป็นต้นไป สถานที่ : Event Park CDC เอกมัย-รามอินทรา ASIATIQUE Thailand Countdown 2020 ปีนี้ ASIATIQUE Thailand Countdown 2020 มาในคอนเซปต์ “Boost Your Energy Up”  ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยมิตรภาพ ตื่นตาไปกับเวที แสง สี เสียง ด้วยโปรดักชั่นมืออาชีพระดับสากล สนุกสุดเหวี่ยงไปกับมหกรรมคอนเสิร์ต จากศิลปินแถวหน้าของเมืองไทย อาทิ ดา เอ็นโดรฟิน, Urboy TJ, สครับ, อะตอม, แสตมป์, มาเรียม, วงมายด์, แบล็คเฮด ฯลฯ และการแสดงพลุจากทีม PYRO 2000 แชมป์โลกจากประเทศอังกฤษ ที่กวาดแชมป์มาแล้วทั่วโลก   วัน เวลา : 31 ธันวาคม 2562 เริ่ม 17.00 น. เป็นต้นไป สถานที่ : เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ The Forestias by MQDC Presents Mega Countdown 2020 นับถอยหลังไปกับงาน The Forestias by MQDC Presents Mega Countdown 2020 จัดเต็มความมันส์และศิลปินอัดแน่น ให้ได้สนุกสุดมันส์ข้ามปีกับคอนเสิร์ตยิ่งใหญ่เต็มรูปแบบจากศิลปินดัง ได้แก่ Getsunova, โปเตโต้, SlotMachine, PolyCat, URBoyTJ, นนท์ ธนนท์ และกอล์ฟ ฟักกลิ้งฮีโร่ ในธีมงานสไตล์ BOHO   วัน เวลา : 31 ธันวาคม 2562 เริ่ม 17.00 น. เป็นต้นไป สถานที่ : เมกา บางนา The Street Countdown 2020 ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่งาน "The Street Countdown 2020" ร่วมปาร์ตี้เคาน์ดาวส่งท้ายปีเก่าใจกลางถนนรัชดา พร้อมพบกับศิลปินที่คุณชื่นชอบ ไม่ว่าจะเป็น ACTART, เต-นิว, VARINZ, Z TRIP, KANOM, NONNY9 มาร่วมถ่ายรูปกับต้นคริสต์มาสขนาดใหญ่ พร้อมชมพลุฉลองสุดพิเศษ   วัน เวลา : 31 ธันวาคม 2562 เริ่ม 17.00 น. เป็นต้นไป สถานที่ : ลานหน้า เดอะ สตรีท รัชดา One Siam The Magical Tale เปิดประสบการณ์เฉลิมฉลองท่ามกลางโลกแห่งเทพนิยายสุดมหัศจรรย์ รวมความตื่นตาตื่นใจ ความแปลกใหม่ไม่เหมือนใคร  และไอเดียสุดบรรเจิดเลิศล้ำ ให้ทุกคนได้มาฉลองความสุขครบ ทุกโมเมนท์สุดต้องมนต์ กับสุดยอดอีเวนท์ โชว์ระดับโลก และยังมีการแสดงพิเศษตลอดเดือน ธ.ค. และ “The World Magical Countdown 2020” ไปกับศิลปินดัง อาทิ ปาล์มมี่, ทอย The Toys, 4 โพดำ-กัน แก้ม โดม และตั้ม, เจ-เจตริน กับเจ้านาย และโจอี้บอย ที่ "พาร์ค พารากอน" ในคืนวันที่ 31 ธ.ค.นี้ และครั้งแรกในเมืองไทย!! แดนซ์ฉลองข้ามปีไปกับดีเจ Hello Kitty จากญี่ปุ่นอีกด้วย   วัน เวลา : 21 พฤศจิกายน 2562–12 มกราคม 2563 สถานที่ : สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ และสยามดิสคัฟเวอรี่ Central Westgate Countdown 2020 คอนเสิร์ตส่งท้ายปีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในนนทบุรี กับศิลปินช่อง ONE อาทิ 4 โพดำ, แกงส้ม, กั้ง, เต๋า เศรษฐพงศ์, ตงตง กฤษกร ฯลฯ รวมถึง BNK48, พาราด็อกซ์, โอ๊ต ปราโมทย์ และวงฟลัวร์   วัน เวลา : 31 ธันวาคม 2562 สถานที่ : ลานด้านหน้าเซ็นทรัลพลาซา เวสต์เกต Future Park & Zpell Countdown 2020 พบกับพิธีกร แทค ภรัณยู และซาร่า โฮเลอร์ ศิลปินในงาน อาทิ YOUNGOHM, LAZYLOXY, OG-ANIC, 25 Hours, Modern Dog, Cocktail และของอร่อยสไตล์ Food Truck และบูธหลากสไตล์พร้อมเสิร์ฟ   วัน เวลา : 31 ธันวาคม 2562 เริ่ม 17.00 น. เป็นต้นไป สถานที่ : ลานด้านข้าง ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต SEACON COUNTDOWN CONCERT 2020 ต้อนรับปี 2020 ไปกับฟรีคอนเสิร์ตตลอด 3 คืน โดยมีตารางคอนเสิร์ต ดังนี้   วันอาทิตย์ที่ 29 ธันวาคม 2562 20.30 น. - 21.30 น. วง Scarlett. 21.45 น. - 22.45 น. วง Cocktail 23.00 น. – 24.00 น. ปาล์มมี่ วันจันทร์ที่ 30 ธันวาคม 2562 20.30 น. - 21.30 น. วง Acolix 21.45 น. - 22.45 น. วง Paradox 23.00 น. – 24.00 น. วง Clash วันอังคารที่ 31 ธันวาคม 2562 20.30 น. - 21.30 น. วง Earth Band ft. P Pirapat 21.45 น. - 22.45 น. วง ETC 23.00 น. – 24.00 น. วง Mild   วัน เวลา : 29-31 ธันวาคม 2562 เวลา 20.30-24.00 น. สถานที่ : ลานหน้าซีคอนสแควร์ ศรีนครินทร์    
10 ของแต่งบ้าน เสริมโชค รับปีหนู

10 ของแต่งบ้าน เสริมโชค รับปีหนู

ใกล้เข้าสู่ปีใหม่ 2563 ทุกที บางสิ่งที่ไม่ดีเกิดขึ้นก็อยากจะทิ้งไปกับปีเก่า แล้วต้อนรับสิ่งดีๆ เข้ามาพร้อมกับปีใหม่นี้ เริ่มต้นง่ายๆ จากการหาของตกแต่งบ้านเสียใหม่ เพื่อเสริมสิริมงคลตามความเชื่อฮวงจุ้ย เพื่อความร่ำรวย เสริมโชค เพิ่มพูนความสุขให้กับสมาชิกในครอบครัวไปพร้อมๆ กับปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง โมบายกระดิ่ง โมบายกระดิ่งมักเกิดเสียงไพเราะยามต้องลม ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย อีกทั้งตามหลักฮวงจุ้ยจะช่วยขจัดพลังงานด้านลบให้ออกไป แถมยังช่วยเรียกเงินทองเข้าบ้าน เพียงแค่นำไปแขวนไว้หน้าบ้าน โดยมีเคล็ดลับในการเลือกโมบายกระดิ่งให้มีจำนวน 6 หรือ 8 แท่ง จะยิ่งช่วยเสริมด้านเงินทองได้ดียิ่งขึ้น เทียนหอม นอกจากจะช่วยสร้างกลิ่นหอม ไล่กลิ่นอับไม่พึงประสงค์แล้ว ตามหลักฮวงจุ้ยยังถือเป็นพลังชีวิตจากพืช เพิ่มพลังบวกมีแต่สิ่งดีเกิดขึ้นกับบ้านเรา พัด หลายครั้งที่เราเห็น “พัด” เข้ามามีบทบาทในภาพยนตร์จีนหลายต่อหลายเรื่อง เพราะมีความสำคัญมาตั้งแต่ในอดีตกาล โดยเราสามารถนำมาประดับตกแต่งห้องรับแขก จะช่วยพัดข่าวดีเข้าบ้านเสมอ นำพามิตรสหายที่ดีเข้ามาสู่ชีวิต และยังช่วยให้คู่รักร่มเย็นเป็นสุข กระจกเงา ตามความเชื่อแล้ว กระจกเงาจะช่วยสะท้อนพลังงานให้ไหลเวียนในบ้านได้ดีขึ้น เสริมโชคลาภและความร่ำรวย ไม่ว่าจะเป็นกระจกทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า สี่เหลี่ยมจัตุรัส หรือทรงกลม โดยจะต้องหมั่นทำความสะอาดอยู่เสมอ ไม่บิ่น หรือแตกร้าว และติดตั้งให้ถูกทิศทาง เช่น ติดกระจกตรงข้ามบริเวณที่มีทิวทัศน์สวยงาม, ติดในห้องรับประทานอาหาร เป็นต้น เรือสำเภา ในอดีตเรือสำเภามีความสำคัญอย่างมากสำหรับการขนส่งสินค้ารวมถึงการทูตกับเมืองต่างๆ เรือสำเภาจึงกลายเป็นตัวแทนของความเชื่อทางฮวงจุ้ยว่าเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ ความสำเร็จ และการสมความปรารถนา รูปปั้นช้าง “ช้าง” ถือเป็นหนึ่งในสัตว์มงคลมาช้านาน แม้จะมีรูปร่างใหญ่โต แต่กลับอ่อนโยนและเป็นมิตร ตามหลักฮวงจุ้ยจะเปรียบเหมือนกับภูเขาสูง จึงเชื่อกันว่าจะช่วยปัดเป่าภัยอันตรายทั้งปวงไม่ให้เข้าบ้าน และยังช่วยให้เกิดความมั่นคง จึงแนะนำให้นำรูปปั้นช้างวางไว้บนโต๊ะทำงาน ด้านหลังเป็นผนังทึบ นกยูง สัญลักษณ์แห่งความมีชื่อเสียงเกียรติยศ อำนาจ ความสำเร็จ รวมถึงช่วยเสริมด้านความรัก และการเงิน ฉะนั้นหากมีภาพนกยูงตกแต่งห้องเอาไว้ก็จะดีไม่น้อย โดยเฉพาะภาพนกยูงรำแพนหางที่จะมีลายเสมือนดวงตาพันดวง จะช่วยปกป้องจากโชคร้ายและอันตรายรอบตัวได้อีกด้วย ต้นไม้มงคล นอกจากจะช่วยสร้างบรรยากาศให้สดชื่น “ต้นไม้” ยังสามารถมอบเป็นของขวัญปีใหม่ที่ให้ความหมายอันเป็นมงคล โดยเฉพาะด้านโชคลาภได้ด้วยนะครับ ซึ่งก็มีอยู่มากมายหลายหลากพันธุ์ อาทิ พลูด่าง ไผ่กวนอิม ต้นวาสนา ต้นนางกวัก ต้นกวนอิม มะยม กล้วยไม้ จำปา โป๊ยเซียน เป็นต้น โดยแนะนำว่าให้ปลูกต้นไม้มงคลเหล่านี้เอาไว้ทางทิศเหนือของบ้าน เลี้ยงปลามงคล คำว่าปลาในภาษาจีนอ่านว่า “หยู” ซึ่งพ้องเสียงกับคำที่แปลว่าอุดมสมบูรณ์ ทำให้เชื่อกันว่าการเลี้ยงปลาจะช่วยเสริมด้านการเงินให้ร่ำรวย มีความอุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะการเลี้ยง “ปลาคาร์ฟ” โดยภาษาจีนออกเสียงว่า “หยูหลี่” พ้องเสียงกับคำที่แปลว่ามั่งคั่ง น้ำตกหรือน้ำพุ “น้ำ” คือตัวแทนของเงินทองในทางฮวงจุ้ย การที่มีน้ำไหลเวียนอยู่เสมอจึงหมายถึงการดึงดูดโชคลาภ และเสริมสิริมงคล ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะแนะนำให้วางหน้าประตูบ้าน   เสริมดวงตามฮวงจุ้ยด้านอื่นๆ ฮวงจุ้ยตำแหน่งเตียงนอน เสริมรักรุ่ง เงินพุ่ง 9 วิธีจัดห้องนอนเสริมดวง ฮวงจุ้ยตู้เย็น วางตรงไหนเสริมดวง สีอะไรถูกโฉลก
5 ทำเลฮอต คนสนใจค้นหามากที่สุดประจำปี 2019

5 ทำเลฮอต คนสนใจค้นหามากที่สุดประจำปี 2019

ปี 2019 นับเป็นปีแห่งความลุ้นระทึกของตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย โดยเฉพาะกลุ่มที่พักอาศัย จากรายงาน DDproperty Property Market Outlook ฉบับล่าสุด พบว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังคงทรงตัว ซึ่งเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจทั้งในประเทศและทั่วโลกที่ชะลอตัว มาตรการ LTV ควบคุมสินเชื่อบ้านจากธนาคารแห่งประเทศไทย รวมถึงหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง แต่ด้วยความที่ที่อยู่อาศัยเป็นปัจจัยสี่ที่สำคัญ จึงเชื่อว่ายังมีความต้องการอย่างต่อเนื่องในตลาด รอเพียงการกระตุ้นจากภาครัฐ หรือโอกาสที่เหมาะสมเท่านั้น   สังเกตได้จากการค้นหาที่อยู่อาศัยในเว็บไซต์ DDproperty.com ที่ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในทำเลสำคัญ ๆ ของกรุงเทพฯ  แล้วทำเลไหนที่คนยังคงมองหา และค้นหามากที่สุดกัน ลองมาดูว่าตลอดทั้งปี 2019 มีทำเลไหนที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่ค้นหาที่อยู่อาศัยมากที่สุด 5 อันดับแรก 5 ทำเลฮอตคนหามากสุดในรอบปี 1.อ่อนนุช อ่อนนุช ถือเป็นทำเลยอดฮิต ติดอันดับต้น ๆ ของยอดค้นหามากที่สุด มาตลอดแทบจะทุกครั้ง โดยเฉพาะบริเวณรถไฟฟ้า BTS สถานีอ่อนนุช ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากราคาอสังหาริมทรัพย์ยังไม่แพงเกินไป ถือเป็นช่วงราคาที่คนทำงาน หรือผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นทำงาน (First Jobber) ยังสามารถซื้อเป็นเจ้าของเองได้ นอกจากนี้ยังเดินทางสะดวกสบาย ใกล้รถไฟฟ้า BTS เชื่อมต่อใจกลางเมืองและศูนย์กลางธุรกิจทั้งทองหล่อ อโศก สยาม หรือสีลม สาทร ได้ไม่ยาก และใช้เวลาไม่นาน รายล้อมด้วยห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ ตลาด และแหล่งแฮงก์เอ้าท์มากมาย มีสีสันในการใช้ชีวิตที่ครบจบในที่เดียว ทำไมอ่อนนุชถึงน่าอยู่ ใกล้สิ่งอำนวยความสะดวก อาทิ ตลาดอ่อนนุช, เทสโก้ โลตัส สุขุมวิท 50, บิ๊กซี อ่อนนุช, ฮาบิโตะมอลล์, พิคอะเดลี่ เดินทางง่ายใกล้รถไฟฟ้า BTS สถานีอ่อนนุช และเชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีเหลือง สถานีศรีนุช (อนาคต) จุดเด่นสำคัญ ตลาดเช่าใหญ่ของกลุ่มชาวต่างประเทศที่มาทำงานในเมืองไทย (Expat) โดยมีชาวต่างชาติเช่าห้องชุดเพื่ออยู่อาศัยในย่านนี้สูงถึงประมาณ 70% ราคาค่าเช่าคอนโดมิเนียมสูงขึ้นถึง 10% ในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา 2.อารีย์ อีกหนึ่งทำเลที่ได้รับความนิยมในการค้นหาสูงสุดเป็นอันดับที่ 2 ในปี 2019 คือ อารีย์ หากถามว่าทำเลนี้มีอะไรดี คงต้องบอกว่าทำเลนี้แต่เดิมเป็นทำเลขุนนางเก่า ที่มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง และมีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด หลังจากมีรถไฟฟ้า BTS เปิดให้บริการ ทำให้ทำเลนี้กลายเป็นทำเลที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่ โดยเฉพาะรูปแบบคอนโดมิเนียมที่มีเพิ่มมากขึ้นทุกวัน รวมถึงยังเป็นแหล่งงานขนาดใหญ่ทั้งภาครัฐและเอกชน มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายทั้งตลาด ร้านค้า ร้านอาหาร แหล่งช้อปปิ้ง เดินทางเชื่อมต่อสะดวก ไม่ไกลจากใจกลางเมือง และสถานีกลางบางซื่อ ทำไมอารีย์ถึงน่าอยู่ ใกล้สถานีกลางบางซื่อ เชื่อมต่อใจกลางเมือง-ปริมณฑลได้สะดวก ด้วยรถไฟฟ้า BTS โดยไม่ต้องเปลี่ยนสาย จุดเด่นสำคัญ ศูนย์กลางอาคารสำนักงานแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ ทั้งภาครัฐและเอกชน มีคนทำงานมากกว่า 6,000 คนต่อวัน 3.พระราม 9 ทำเลที่มียอดการค้นหามากเป็นอันดับที่ 3 คงหนีไม่พ้น พระราม 9 เพราะที่ผ่านมามีการพัฒนาในทำเลนี้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะบริเวณรถไฟฟ้า MRT สถานีพระราม 9 ซึ่งมีทั้งห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ขนาบข้างทั้ง 2 ฟากฝั่งถนน ได้แก่ ฟอร์จูน และเซ็นทรัลพลาซา แกรนด์ พระราม 9 ไม่ไกลกันนักก็มีทั้งเอสพลานาด ซีนีเพล็กซ์ รัชดาภิเษก และเดอะ สตรีท รัชดา แม้ว่าซุปเปอร์ทาวเวอร์จะพับโครงการไปแล้ว แต่ยังมีอาคารสำนักงาน และแหล่งงานขนาดใหญ่จำนวนมากในย่านนี้ และมีโครงการใหม่ ๆ รอจ่อคิวพัฒนาเป็นจำนวนมาก จึงไม่น่าแปลกใจที่พระราม 9 ได้ชื่อว่าเป็นทำเลศูนย์กลางธุรกิจแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ หรือ New CBD โดยโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ในทำเลนี้มียอดขายเฉลี่ยสูงถึงเกือบ 90% ทำไมพระราม 9 ถึงน่าอยู่ ทำเลใกล้ห้าง ใกล้แหล่งงาน ใกล้รถไฟฟ้า MRT สถานีพระราม 9 เชื่อมต่อรถไฟฟ้า BTS ได้สะดวก อนาคตจะเชื่อมต่อเป็นวงแหวนกับรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงเตาปูน-ท่าพระ และช่วงหัวลำโพง-หลักสอง จุดเด่นสำคัญ เป็นทำเลที่กลุ่มชาวจีนเข้ามาอยู่อาศัยเป็นจำนวนมาก เพราะใกล้สถานทูตจีน ราคาที่อยู่อาศัยปรับตัวสูงขึ้นปีละประมาณ 10-20% ผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าอยู่ที่ประมาณ 5% ต่อปี 4.บางนา มาถึงอันดับที่ 4 ทำเลบางนา ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจุบันมีการพัฒนาต่อเนื่องทั้งด้านการเดินทางที่มีรถไฟฟ้า BTS พาดผ่านช่วงบริเวณแยกบางนา และยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ มากมาย จากแต่เดิมที่การพัฒนากระจุกตัวอยู่บริเวณแยกบางนา อาทิ ห้างสรรพสินค้าอย่างเซ็นทรัลพลาซา บางนา และศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา แต่ปัจจุบันการพัฒนาเริ่มกระจายตัวออกไปจากบริเวณอื่นมากขึ้น ซึ่งปัจจัยหลักมาจากห้างสรรพสินค้าใหม่อย่างอิเกีย บางนา และเมกาบางนา ส่วนรูปแบบที่อยู่อาศัยก็มีหลากหลายทั้งคอนโดมิเนียม ทาวน์เฮ้าส์ บ้านเดี่ยว โดยเฉพาะบ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี บริเวณแนวถนนกาญจนาภิเษก ทำไมบางนาถึงน่าอยู่ มีตัวเลือกการเดินทางที่หลากหลายทั้งถนนบางนา-ตราด และสุขุมวิท ใกล้ทางด่วนอย่างทางพิเศษเฉลิมมหานคร ทางพิเศษบูรพาวิถี และถนนกาญจนาภิเษก และใกล้รถไฟฟ้า BTS จุดเด่นสำคัญ อนาคตบริเวณแยกบางนาจะมีโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ของเดอะมอลล์กรุ๊ปอย่างแบงค็อกมอลล์ ซึ่งจะช่วยผลักดันให้ทำเลนี้เติบโตเพิ่มขึ้นไปอีก บางนา เป็นเพียงไม่กี่ทำเลในกรุงเทพฯ ที่มีราคาอสังหาฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นตลอดปี 2019 5.สะพานควาย มาถึงทำเลสุดท้าย ไม่ไกล้ ไม่ไกล ยังอยู่ในแนวรถไฟฟ้า BTS คือทำเลสะพานควาย ทำเลนี้เป็นทำเลก่อนหน้าจตุจักรเพียง 1 สถานี จึงเชื่อมต่อสถานีกลางบางซื่อได้ไม่ยาก เดินทางสะดวกด้วยรถไฟฟ้า BTS สถานีสะพานควาย โดยปัจจุบันเป็นแหล่งงานสำคัญอีกแห่งหนึ่ง เชื่อมต่อกับถนนวิภาวดีรังสิต และรัชดาภิเษกได้สะดวก และใช้ถนนพหลโยธินเดินทางได้สะดวกเช่นกัน มีตลาด ร้านค้า ร้านอาหาร Co-working space และแหล่งแฮงก์เอ้าท์มากมาย ทำไมสะพานควายถึงน่าอยู่ ใกล้รถไฟฟ้า ใกล้สถานีกลางบางซื่อ มีแหล่งแฮงก์เอ้าท์ ร้านค้า ร้านอาหาร จำนวนมาก และใกล้สวนจตุจักร จุดเด่นสำคัญ ใกล้สวนสาธารณะขนาดใหญ่อย่างอุทยานจตุจักร มีเนื้อที่ประมาณ 727 ไร่ อนาคตจะมีโครงการมิกซ์ยูสเกิดขึ้น ซึ่งมีทั้งอาคารสำนักงาน พื้นที่ค้าปลีก และโรงแรม รถไฟฟ้า ผลักดันทำเลฮอต จะเห็นได้ว่าทำเลที่มียอดค้นหามากที่สุดทั้ง 5 อันดับ ล้วนแล้วแต่เป็นทำเลในแนวรถไฟฟ้าทั้งสิ้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าความต้องการของผู้อยู่อาศัยส่วนใหญ่ไม่ว่าซื้อหรือเช่านั้น มองเรื่องทำเลเป็นสำคัญสอดคล้องกับผลการสำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภคต่อสภาพตลาดอสังหาริมทรัพย์ (DDproperty Consumer Sentiment Survey) รอบล่าสุด ที่ระบุว่าทำเลยังเป็นปัจจัยหลักที่ผู้เลือกซื้อที่อยู่อาศัยให้ความสำคัญ เชื่อว่าในอนาคตเมื่อกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีเส้นทางรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอีกหลายสาย จะยิ่งทำให้เห็นภาพการเลือกที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคกระจายตัวออกไปสู่เส้นทางสายต่าง ๆ มากขึ้น   โดยพบว่า 1 ใน 3 ของผู้ที่ตอบแบบสอบถาม หรือ 32% มองว่าระยะทาง 400-500 เมตร จากที่พักอาศัยถึงระบบขนส่งสาธารณะ เป็นระยะห่างที่ยอมรับได้   นอกจากนี้ยังพบว่า ระยะทางจากสิ่งอำนวยความสะดวกที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญ ได้แก่ 60% ใกล้ระบบขนส่งสาธารณะ 51% ใกล้สถานที่ทำงาน 34% ใกล้จากแหล่งช้อปปิ้ง 33% ใกล้สถานพยาบาล   ขณะเดียวกันยังพบว่า 35% ของผู้ตอบแบบสอบถามให้ความสนใจกับการซื้ออสังหาฯ ในพื้นที่รอบนอกกรุงเทพฯ เนื่องจากราคาที่ดินและอสังหาฯ ในบริเวณดังกล่าวยังมีราคาไม่สูงมากนัก รวมทั้งโครงการรถไฟฟ้าหลายสายที่ใกล้เปิดใช้บริการและอยู่ในระหว่างการก่อสร้างหลายเส้นทางทำให้การเดินทางเชื่อมต่อจากเขตกรุงเทพฯ รอบนอก เข้าสู่ใจกลางเมืองได้สะดวกเช่นกัน   รองลงมาจำนวน 16% ให้ความสนใจในทำเลรัชดา ลาดพร้าว พระราม 9 และอีก 15% ยังเทใจให้กับพื้นที่สุขุมวิทชั้นใน ขณะที่ทำเลสุขุมวิทรอบนอก อย่าง บางนา แบริ่ง และย่านอารีย์กับพหลโยธิน ได้รับความสนใจในจำนวน 11% เท่ากัน อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง เปิดทำเลฮอต !! คอนโดฯ ที่จะออกสู่ตลาดกว่า 20,000 ยูนิตในไตรมาส 3 ที่ดิน 4 ทำเลฮอตราคาพุ่ง 20-30%
[PR News] ศุภาลัย จับตลาดสูงวัยเปิดบ้านอายุวัฒนะ “ศุภวัฒนาลัย” เพื่อคนวัย 50+

[PR News] ศุภาลัย จับตลาดสูงวัยเปิดบ้านอายุวัฒนะ “ศุภวัฒนาลัย” เพื่อคนวัย 50+

ศุภาลัย ลงทุน 300 ล้าน เปิดโปรเจ็กต์บ้านอายุวัฒนะ “ศุภวัฒนาลัย” จับตลาดสังคมผู้สูงวัย กลุ่มคนอายุ 50 ปีขึ้นไป ให้พักอาศัยตลอดชีวิต ในราคา 1.3-1.5 ล้านบาท   ดร.ประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากการเล็งเห็นถึงสังคมไทยที่กำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย ซึ่งจะมีสัดส่วน 20% ของจำนวนประชากรทั้งหมด  บริษัทจึงได้พัฒนาโครงการ “ศุภวัฒนาลัย” (Supalai Wellness Valley) โครงการเพื่อสังคมคุณภาพของผู้ที่มีอายุ 50+ (อายุ 50 ปีขึ้นไป) เป็นโครงการแรกจำนวนกว่า 100 ยูนิต มูลค่ากว่า 300 ล้านบาท ประกอบกับตลอดระยะเวลา  3 ทศวรรษที่ผ่านมา บริษัทได้พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยประเภทต่างๆ ทั้งโครงการแนวราบและคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด รวมถึงการลงทุนโครงการอสังหาฯในต่างประเทศ เป็นที่พักอาศัยรองรับไลฟ์สไตล์ของผู้พักอาศัยทุกคนในครอบครัว ด้วยประสบการณ์ความเชี่ยวชาญด้านการออกแบบโครงการอสังหาฯ มาอย่างยาวนาน จึงพัฒนาโครงการดังกล่าว  เพื่อเป็นโครงการส่งเสริมสังคมให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี   โดยมุ่งออกแบบและพัฒนาที่อยู่อาศัย ที่คำนึงถึงความสะดวกสบายของทุกเพศทุกวัย หรือการออกแบบเพื่อทุกคน (Universal Design) อาทิ เด็ก ผู้ใหญ่ คนชรา สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข สอดคล้องกับนโยบาย  “ศุภาลัย ใส่ใจ…สร้างสรรค์ สังคมไทย” สู่การเปิดตัวโครงการ “ศุภวัฒนาลัย” เพื่อสังคมคุณภาพของวัย 50 ปีขึ้นไป บ้านสำหรับวัยแห่งความสุขที่ลูกหลานไปเยี่ยมเยียนและพักอยู่ด้วยกันได้ โครงการ “ศุภวัฒนาลัย” (Supalai Wellness Valley) ชูแนวคิด “สังคมคุณภาพของวัย 50+ เพื่อคุณค่าการมีชีวิตอยู่อย่างยั่งยืน”  มุ่งสร้างการใช้ชีวิตอย่างสุขสงบงดงามในสังคมคุณภาพปลอดภัย ในอ้อมกอดของธรรมชาติ ตั้งอยู่บนที่ดินรวมกว่า 180 ไร่   ใกล้โค้งแม่น้ำป่าสักที่สวยที่สุด อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี   โดยแบบบ้านทันสมัยสไตล์โมเดิร์น ออกแบบฟังก์ชั่นการใช้งานตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และความปลอดภัยของผู้สูงวัย บ้านพัก ขนาดประมาณ 55 ตารางเมตร  1 ห้องนอน 1 ห้องนั่งเล่น/อาหาร และ 1 ห้องน้ำ พร้อมพื้นที่ หน้าบ้าน-หลังบ้าน ที่จะทำสวนส่วนตัว และชื่นชมสวนป่าใหญ่ในโครงการด้วยพรรณไม้กลิ่นหอม หลากหลายชนิด  มีระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง กล้อง CCTV เข้า-ออก   ภายในโครงการ อีกทั้งติดตั้งอุปกรณ์ช่วยเหลือฉุกเฉิน ตลอดจนศูนย์ Service Center พร้อมเจ้าหน้าที่พยาบาลให้การดูแลและบริการกิจกรรมความรู้ทั้งด้านสุขภาพ ทำอาหาร ศิลปะ บันเทิง เกษตรกรรม ท่องเที่ยว ฯลฯ  สิ่งอำนวยความสะดวกของโรงแรมศุภาลัย ป่าสัก รีสอร์ท แอนด์ สปา อาทิ สระว่ายน้ำ ฟิตเนส  ห้องสปานวดผ่อนคลาย ห้องอาหารรสเลิศ ห้องคาราโอเกะ สนุกเกอร์ มินิมาร์ท ร้านกาแฟ สวนนก  หอชมวิว ฯลฯ เพื่อเสริมสร้างคุณค่าการมีชีวิตอยู่อย่างยั่งยืนของผู้พักอาศัยตามแนวคิดหลักของโครงการ สำหรับข้อกำหนดของผู้พักอาศัยต้องมีอายุ 50 ปีขึ้นไป มีสิทธิพักอาศัยภายในโครงการตลอดชีพ*  ราคาเช่าซื้อระยะยาว โปรโมชั่นพิเศษเพียง 1.3 ล้านบาท สำหรับผู้พักอาศัย 1 ท่าน และราคา 1.5 ล้านบาท สำหรับผู้พักอาศัย 2 ท่าน  (*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด)