Tag : News

2400 ผลลัพธ์
ส่องตลาดคอนโด ชะอำ-หัวหิน-เขาเต่า 5 เดือนแรกปี 63 ในภาวะโควิด-19

ส่องตลาดคอนโด ชะอำ-หัวหิน-เขาเต่า 5 เดือนแรกปี 63 ในภาวะโควิด-19

ตลาดคอนโด ชะอำ-หัวหิน-เขาเต่า 5 เดือนแรกปี 63 เปิดใหม่น้อย ขายได้แค่ 444 ยูนิต เจอผลกระทบในภาวะโควิด-19 โดยพื้นที่ชะอำพบซัพพลายเหลืออื้อ ผู้ประกอบการชะลอแผนเปิดโครงการใหม่ รอจังหวะตลาดอยู่ในภาวะสมดุล   บริเวณชะอำและหัวหิน ถือเป็นพื้นที่หนึ่งที่ได้รับความนิยม จากบรรดานักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เพราะเดินทางได้สะดวกและใกล้กับกรุงเทพฯ ใช้ระยะเวลาเดินทางไม่นาน แถมพื้นที่ดังกล่าว มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน และยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม ทำให้พื้นที่ชะอำและหัวหิน กลายเป็นเมืองพักตากอากาศยอดนิยม และมีโครงการอสังหาริมทรัพย์พัฒนาขึ้นมารองรับจำนวนมาก และหลากหลายรูปแบบ   พื้นที่ชะอำและหัวหิน โครงการอสังหาฯ ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อจับตลาดนักท่องเที่ยว และผู้ต้องการพักอาศัย เป็นบ้านหลังที่ 2 อย่างมากประเภทหนึ่ง คือ โครงการคอนโดมิเนียม ที่มีทั้งผู้ประกอบการจากส่วนกลาง และจากท้องถิ่นเอง เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง และเป็นโครงงการที่มีระดับราคาขายค่อนข้างสูง แทบไม่แตกต่างจากเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมอื่นๆ ของไทย   แต่ในปีนี้สภาพตลาดคอนโด ในพื้นที่อำเภอชะอำ หิวหิน และเขาเต่า ซึ่งเป็นพื้นที่หลักในการพัฒนาโครงการคอนโด สภาพตลาดเป็นอย่างไรบ้าง ท่ามกลางการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ทางบริษัท  ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด ได้จัดทำรายงานตลาดคอนโดในบริเวณชะอำ-หัวหิน-เขาเต่า ช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ โดยระบุว่า  ภาพรวมตลาดคอนโดค่อนข้างชะลอตัว จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19   โดยพบว่าซัพพลายสะสมของคอนโดบริเวณชะอำ-หัวหิน-เขาเต่า ตั้งแต่ปี 2548 ถึง เดือนพฤษภาคม 2563 มีจำนวนทั้งสิ้น 27,459 ยูนิต โดยคอนโดโดยส่วนใหญ่ถึง 54% เป็นคอนโดมิเนียมที่ไม่เห็นวิวทะเล ส่วนคอนโดที่เห็นวิวทะเลมีอยู่ในอัตราส่วน 46% ของซัพพลายทั้งหมด คอนโดชะอำ-หัวหิน ขายได้แค่ 444 ยูนิต โดยพบว่าในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ มีจำนวนยูนิตขายได้ใหม่ อยู่ที่ 444 ยูนิต  ซึ่งในช่วงกลางเดือนมีนาคม ถึง กลางเดือนพฤษภาคม พบว่า การขายคอนโดค่อนข้างชะลอตัว  เนื่องจากการที่ทางรัฐบาลกำหนดนโยบายห้ามการเดินทางข้ามพื้นที่ข้ามจังหวัด ทำให้คนไทยที่อยู่กรุงเทพฯ งดเว้นการเดินทางไปยังต่างจังหวัด อย่างไรก็ดีผู้ประกอบการหลาย ๆ รายต่างพากันทำการขายในช่องทางออนไลน์ และทำโปรโมชั่น ลดแลกแจกแถม เพื่อดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาจอง  โดยเฉพาะโครงการที่คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จภายในปีนี้ ตลาดคอนโดในพื้นที่ชะอำ หัวหิน และเขาเต่า จากผลการวิจัยของไนท์แฟรงค์  พบว่า ช่วง 5 เดือนแรก ขายไปได้แล้วทั้งสิ้น 23,044 ยูนิต จากจำนวนยูนิตคอนโดที่มีอยู่ในตลาดทั้งสิ้น 27,459 ยูนิต คิดเป็นอัตราการขายที่ 84% โดยอัตราการขายเพิ่มขึ้นจากปี 2562 ที่มีอัตราการขายอยู่ที่ 83% เนื่องมาจากซัพพลายใหม่ที่เข้ามาในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้มีเพียง 238 ยูนิต เท่านั้น   โดยโครงการคอนโดที่เปิดขายใหม่ เป็นโครงการที่ทำการบริหารโดยเชนโรงแรมระดับ 5 ดาว จำนวนยูนิตเหลือขายของคอนโดบริเวณชะอำ-หัวหิน-เขาเต่า มีจำนวนยูนิตเหลือขายประมาณ 4,415 ยูนิต ซึ่งคาดว่าหากไม่มีซัพพลายใหม่เกินขึ้น ยูนิตเหลือขายที่เหลือจะใช้เวลาขายอีกประมาณ 3 ปี ขณะที่จำนวนยูนิตขายเฉลี่ยต่อปี ของคอนโดในบริเวณดังกล่าว ในช่วงระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา ขายได้เฉลี่ยปีละประมาณ 1,600 ยูนิต ชะอำคอนโดเหลือขายเพียบ จากผลการสำรวจ ยังพบว่า คอนโดที่เหลือขายอยู่เป็นจำนวนมาก  มีสถานที่ตั้งอยู่บริเวณชะอำ โดยมีจำนวนยูนิตเหลือขายอยู่ที่ 3,119 ยูนิต โดยบริเวณชะอำน่าจะเป็นบริเวณที่มีโครงการใหม่เกิดขึ้นได้ง่าย เนื่องจากที่ดินที่อยู่ติดทะเลในบริเวณนี้ยังมีอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งผู้ประกอบการได้ตระหนักถึงซัพพลายคงเหลือ ของคอนโดที่ตั้งอยู่บริเวณชะอำซึ่งมีจำนวนยูนิตเหลือขายเป็นจำนวนมาก ผู้ประกอบการต่าง ๆ จึงชะลอการเปิดตัวโครงการใหม่ในบริเวณชะอำออกไป  จนกว่าซัพพลายคงเหลือจะเข้าสู่ภาวะสมดุล อย่างไรตาม คอนโดที่มีสถานที่ตั้งอยู่ในบริเวณหัวหินและเขาตะเกียบ มีแนวโน้มที่ดีขึ้น เนื่องจากซัพพลายเหลือขายมีจำนวนน้อยมาก ขณะที่สถานที่ตั้งบริเวณหัวหินและเขาตะเกียบ มีความสมบูรณ์รายล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ร้านค้า ร้านอาหาร โรงพยาบาล และตลาด ความสะดวกสบายดังกล่าวส่งผลให้ผู้ซื้อสนใจซื้อคอนโด ที่มีสถานที่ตั้งอยู่บริเวณหัวหินและเขาตะเกียบมากขึ้น คนกรุงเทพฯ ลูกค้าหลักตลาดคอนโดหัวหิน-ชะอำ กลุ่มผู้ซื้อคอนโดในบริเวณชะอำ หัวหิน และเขาเต่า ส่วนใหญ่เป็นคนกรุงเทพฯ สูงถึง 90% เนื่องจากระยะทางการเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปยังบริเวณดังกล่าวค่อนข้างสั้น นอกจากนี้บริเวณนี้ยังค่อนข้างสมบูรณ์ มีโครงการการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่นห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ร้านอาหาร โรงแรม สวนน้ำ ส่วนชาวต่างชาติมีซื้อบ้างประมาณ 10% ชาวต่างชาติที่นิยมซื้อคอนโดในบริเวณนี้ ส่วนใหญ่เป็นชาวยุโรป ได้แก่ ชาวฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมัน สวิสเซอร์แลนด์ เนเธอร์แลนด์ ชาวจีนมีบ้างแต่ไม่มากนัก   โดยชาวต่างชาติที่ซื้อคอนโดในหัวหิน ประกอบด้วยชาวต่างชาติที่มีภรรยาเป็นคนไทย และซื้อเพื่ออยู่ประจำ และชาวต่างชาติที่ซื้อคอนโดเพื่อเป็นบ้านหลังที่สอง  เพื่อเข้ามาพักผ่อนในช่วงปลายปี ที่เป็นช่วงไฮซีซั่นโดยเข้ามาพักในระยะเวลาประมาณ 2-4 เดือน ส่วนคนไทยที่ซื้อคอนโด ในบริเวณนี้มักเข้ามาพักผ่อนในช่วงวันหยุด ราคาคอนโดวิวทะเลขยับแค่ 0.3% ราคาเสนอขายเฉลี่ยของคอนโดที่เห็นวิวทะเล ในบริเวณนี้มีระดับราคาเสนอขายเฉลี่ยประมาณ 132,000 บาท ต่อตารางเมตร ราคาขายปรับตัวขึ้นในอัตรา 0.3% จากปลายปี 2562 ส่วนราคาเสนอขายเฉลี่ยของคอนโด ที่ไม่เห็นวิวทะเลในบริเวณนี้มีระดับราคาเสนอขายเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 74,000 บาท ต่อ ตารางเมตร ราคาขายปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียงอัตรา 0.4% จากปลายปี  2562 ราคาขายค่อนข้างคงที่ เนื่องจากสถานะการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19  หลาย ๆ โครงการได้ทำราคาโปรโมชั่นในช่วงนี้   นางสาวริษิณี สาริกบุตร ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและที่ปรึกษา บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด  ได้ให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวโน้มของตลาดคอนโดในบริเวณชะอำ หัวหิน และเขาเต่า ว่า  ตลาดในปีนี้ค่อนข้างชะลอตัว  เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 คอนโดที่เหลือขายในบริเวณนี้มักเป็นคอนโดที่ตั้งอยู่บริเวณชะอำ และไม่เห็นวิวทะเล ซึ่งมีซัพพลายหลือขายสูงเกิน 50% ของซัพพลายเหลือขายทั้งหมด ส่วนคอนโดที่ตั้งอยู่บริเวณหัวหิน เขาตะเกียบ และเขาเต่ามีแนวโน้มค่อนข้างดี เนื่องจากซัพพลายเหลือขายมีน้อย ส่งผลให้ระดับราคาขายมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น ในช่วง 7 เดือนที่เหลือ คาดว่าจะไม่มีการเปิดตัวคอนโดในบริเวณนี้    
อสังหาฯ จ.พิษณุโลกปี 63 ซัพพลายเหลือเพียบ แนะชะลอเติมสินค้าใหม่เข้าตลาด

อสังหาฯ จ.พิษณุโลกปี 63 ซัพพลายเหลือเพียบ แนะชะลอเติมสินค้าใหม่เข้าตลาด

จังหวัดพิษณุโลก ถือเป็นหนึ่งจังหวัดสำคัญทางภาคเหนือ ที่มีผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์จากส่วนกลาง ได้เข้าไปปักหมุดพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยกันอย่างต่อเนื่อง รวมถึงนักพัฒนาในท้องถิ่นเอง ก็พัฒนาโครงการขึ้นมารองรับความต้องการภายในจังหวัดด้วย เพราะจังหวัดพิษณุโลกถือเป็นหนึ่งจังหวัดสำคัญด้านเศรษฐกิจ การลงทุน และการค้า รวมถึงศูนย์กลางความเจริญด้านต่าง ๆ ของภาคเหนือในตอนล่าง ไม่แพ้จังหวัดอื่น ๆ   โดยผลการสำรวจของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ หรือ REIC ในช่วงครึ่งปีหลัง 2562 ซึ่งทำการสำรวจตลาดอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก เพียงอำเภอเดียวเพราะถือเป็นศูนย์กลางด้านอสังหาฯ ของจังหวัด  ซึ่งผลจากการสำรรวจเป็นที่น่าสังเกตว่า ช่วงครึ่งหลังปี 2562 จำนวนที่อยู่อาศัยอยู่ระหว่างการขาย มีจำนวนยูนิตลดลงจากช่วงครึ่งแรกของปี 2562  เนื่องจากมีที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่เข้าสู่ตลาดเพียง 180 ยูนิตเท่านั้น     ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ช่วงครึ่งปีหลังปี 2562 จังหวัดพิษณุโลกมีจำนวนที่อยู่อาศัยทั้งหมด 2,595 ยูนิต ลดลงจากครึ่งปีแรก 0.8% จากทั้งหมด 2,615 ยูนิต และมียูนิตเหลือขายในครึ่งปีหลังจำนวน 2,461 ยูนิต แบ่งเป็นคอนโดมิเนียม จำนวน 338 ยูนิต และบ้านจัดสรรจำนวน 2,207 ยูนิต ลดลงจากครึ่งปีแรก 0.2% ที่มีจำนวน 2,466 ยูนิต แต่หากเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2561 พบว่ามีอัตราการเพิ่มขึ้นถึง 20.3% โดยมียูนิตเหลือขายรวม 2,829 ยูนิต แบ่งเป็นบ้านจัดสรร 2,461 ยูนิต และ อาคารชุด 368 ยูนิต เปิด5 ทำเลขายดีในจ.พิษณุโลก สำหรับทำเลที่มีหน่วยเหลือขายมากที่สุด ได้แก่ 1.หัวรอ จำนวน 648 ยูนิต 2.บึงพระ จำนวน 440 ยูนิต 3.ในเมืองพิษณุโลก จำนวน 409 ยูนิต 4.แม่น้ำน่านฝั่งตะวันตก (ทะเลแก้ว) จำนวน 335 ยูนิต 5.ม.นเรศวร จำนวน 293 ยูนิต   ส่วนทำเลขายได้ใหม่สูงสุดของจังหวัดพิษณุโลก ได้แก่ 1.หัวรอ จำนวน 46 ยูนิต มีอัตราดูดซับ 1.1% 2.ในเมืองพิษณุโลก 24 ยูนิต มีอัตราดูดซับ 0.9% 3.แม่น้ำน่านฝั่งตะวันตก (ทะเลแก้ว) จำนวน 18 ยูนิต มีอัตราดูดซับ 0.8% 4.ม.นเรศวร จำนวน 17 ยูนิต มีอัตราดูดซับ 0.9% 5.วัดจันทร์ จำนวน 15 ยูนิต มีอัตราดูดซับ 1.3% อสังหาฯ 63 แนะชะลอเติมซัพพลายใหม่ สำหรับแนวโน้มในปี 2563  ศูนย์ข้อมูลฯ ได้ประมาณการว่า จะมีที่อยู่อาศัยเหลือขาย ในพื้นที่จังหวัดพิษณุโลกอยู่ในตลาดจำนวน 2,521 ยูนิต ประกอบด้วย 1.คอนโด จำนวน 362 ยูนิต 2.บ้านเดี่ยว จำนวน 1,254 ยูนิต 3.บ้านแฝด จำนวน 531 ยูนิต 4.ทาวน์เฮ้าส์ จำนวน 212 ยูนิต 5.อาคารพาณิชย์ จำนวน 162 ยูนิต     เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบกับอัตราดูดซับจะมีอัตราที่ลดต่อลงต่อเนื่องจากปี 2561 โดยในครึ่งหลังปี 2562 อัตราดูดซับปรับลงมาอยู่ที่ 0.9% หากจำนวนที่อยู่อาศัยใหม่เข้ามาในตลาดตามที่ศูนย์ข้อมูลฯ ประมาณการไว้ ภายใต้เงื่อนไขกำลังซื้อที่ลดต่ำลงเช่นในปัจจุบัน คาดว่าในปี 2563 อัตราดูดซับจะเหลือประมาณสูงสุดจะอยู่ในระดับ 1.1%   ด้านการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย คาดการณ์ว่าการโอนกรรมสิทธิ์จะลดลงมาอยู่ที่ 2,085 ยูนิต มูลค่าประมาณ 3,610 ล้านบาท จำนวนยูนิตอาจต่ำกว่าค่าเฉลี่ยแต่ในส่วนของมูลค่ายังสูงกว่าค่าเฉลี่ยซึ่งมีมูลค่า 3,304 ล้านบาท โดยมูลค่าลดลง 9.1% เป็นการปรับตัวลดลงจาก 2561  การโอนกรรมสิทธิ์ในปี 2563 คาดว่าจะมีประเภทคอนโด 180 ยูนิต สัดส่วน 8.6% คิดเป็นมูลค่า 338 ล้านบาท สัดส่วน 9.4% และบ้านจัดสรรร 1,905 ยูนิต สัดส่วน 91.4% คิดเป็นมูลค่า 3,272 ล้านบาท สัดส่วน 90.6%   สำหรับคำแนะนำในการทำตลาดและพัฒนาโครงการอสังหาฯ ในจังหวัดพิษณุโลกนั้น ศูนย์ข้อมูลเห็นว่า ไม่ควรพัฒนาโครงการใหม่ออกมาเพิ่ม เพราะในตลาดมีซัพพลายจำนวนมาก ต้องรอให้มีการกระตุ้นกำลังซื้อในระดับที่เหมาะสม เพื่อให้ตลาดโดยรวมเข้าสู่ภาวะสมดุลก่อน เป็นการลดความเสี่ยง     
3 Mega Trends การอยู่อาศัยหลังผ่านวิกฤตโควิด-19

3 Mega Trends การอยู่อาศัยหลังผ่านวิกฤตโควิด-19

LPN Wisdom เผย  3 Mega Trends พลิกโฉมการออกแบบและพัฒนา โครงการอสังหาริมทรัพย์ไทย หลังการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ต้องมุ่งเน้นใน 3 ประเด็นหลัก  Wellness, Work-Life Balance และ  Virtual Livable Connect แต่มากกว่านั้น ต้องสร้างความยั่งยืนให้กับสังคม   การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิตคนในยุคปัจจุบัน ให้มุ่งเน้นในการคำนึงถึงสุขภาพและความปลอดภัยของการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เพิ่มมากขึ้น ทุก ๆ ส่วนของสังคม ต้องมุ่งเน้นความปลอดภัย และการอยู่ภายใต้มาตรฐานด้านการสาธารณสุข ทำให้ไม่ว่าชีวิตส่วนตัวหรือชีวิตการทำงาน ต้องปรับเปลี่ยนกันใหม่  ไปสู่วิถีชีวิตแบบ New Normal หรือ วิถีชีวิตปกติใหม่   สำหรับธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการอยู่อาศัยของคน อย่างธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ นับว่าเป็นธุรกิจที่ต้องปรับตัวอย่างมาก ไม่เพียงแค่ผลกระทบโดยตรงจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ทำให้การดำเนินธุรกิจต้องปรับเปลี่ยนเท่านั้น แต่กลุ่มลูกค้าหลัก คือ ประชาชนทั่วไป ได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบวิถีชีวิต หรือไลฟ์สไตล์ของการอยู่อาศัยไปด้วย เช่น การทำงานจากที่บ้าน หรือ Work From Home เพราะต้องเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) หรือ การหันมาซื้อสินค้าทางออนไลน์มากขึ้น เพราะลดความเสี่ยงจากการได้รับเชื้อไวรัสโควิด-19 เป็นต้น   การเปลี่ยนแปลงรูปแบบวิชีวิต หรือไลฟ์สไตล์ของคนยุคปัจจุบัน จึงส่งผลให้นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์  ต้องกลับมาตีโจทย์ธุรกิจใหม่ กับการออกแบบและพัฒนาโครงการ เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ซึ่ง LPN Wisdom หรือ บริษัท ลุมพีนี วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด ได้มองว่า การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หลังการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะถูกให้ความสำคัญใน 3 ประเด็นหลัก หรือ 3 Mega Trends ดังนี้ คือ 1.เรื่องสุขภาพ (Wellness) 2.การออกแบบที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตอย่างสมดุล (Work-Life Balance) และ 3.การใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมในการใช้ชีวิต (Virtual Livable Connect) นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ LPN Wisdom  บริษัทด้านการวิจัยและที่ปรึกษาในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ระบุว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา ทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะการอยู่อาศัยที่ให้ความสำคัญในเรื่องของสุขอนามัย (Wellness) และรูปแบบการทำงาน ที่ต้องการความสมดุลในการใช้ชีวิต (Work-Life Balance) ปรับเปลี่ยนจากการทำงานที่สำนักงาน ไปสู่การทำงานที่บ้าน (Work From Home)  หรือการทำงานในที่อื่น ๆ ในแบบ Anytime Anywhere   ในขณะที่รูปแบบการทำงาน และการใช้ชีวิตในปัจจุบัน  ผู้บริโภคสามารถใช้เทคโนโลยีดิจิทัล (Virtual Livable Connect) มาตอบโจทย์การใช้ชีวิตได้มากขึ้นผ่านแอปพลิเคชั่นต่าง ๆ  ที่พัฒนาขึ้นมาเพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิตให้กับผู้บริโภค จนกลายเป็นวิถีปกติใหม่ (New Normal) ในการใช้ชีวิตของผู้คนในปัจจุบัน 3 Mega Trends ในการพัฒนาที่อยู่อาศัย สำหรับรูปแบบการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป ทำให้ความต้องการที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปด้วย  โดยคำนึงถึง 3 ปัจจัยสำคัญที่เราเรียกว่า 3 Mega Trends ในการพัฒนาที่อยู่อาศัย  ซึ่งประกอบด้วย 1.Wellness หรือ การให้ความสำคัญในเรื่องสุขอนามัย การให้ความสำคัญในเรื่องของสุขอนามัย  ซึ่งเป็นเรื่องที่มาพร้อม ๆ กับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 การออกแบบที่อยู่อาศัยและการเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์ ต้องคำนึงถึงเรื่องของสภาพแวดล้อมและสุขอนามัยที่ดีต่อผู้อยู่อาศัย ลดการสัมผัส (Touchless) ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ทั้งในพื้นที่โครงการที่พักอาศัยและเชิงพาณิชย์ เป็นโจทย์ใหม่ในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันและในอนาคต 2.Work-Life Balance หรือ การสร้างสมดุลให้กับการใช้ชีวิต นอกจากเรื่องของสุขอนามัยที่เป็นโจทย์หลักของผู้บริโภคในปัจจุบันแล้ว การออกแบบที่คำนึงถึงประโยชน์ใช้สอยที่สร้างสมดุลให้กับการใช้ชีวิต ในรูปของการทำงานและการใช้ชีวิตที่ต้องดำเนินไปอย่างสมดุล ทำให้การออกแบบที่อยู่อาศัยต้องคำนึงถึงการจัดสรรพื้นที่ที่ลงตัว  ตอบทุกโจทย์ของการใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นที่อยู่อาศัยในแนวราบ หรืออาคารชุดที่มีขนาดเล็ก ต้องมีการจัดฟังก์ชั่นการใช้งานที่มีความหลากหลาย และสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้งาน (Multi-Function) เพื่อรองรับกับรูปแบบการใช้ชีวิตและการทำงานที่บ้านได้   การเว้นระยะห่างในพื้นที่ส่วนกลาง การปรับเปลี่ยนแนวคิดจากสังคมแบ่งปันในรูปแบบของ Co-Working Space มาสู่แนวคิดการใช้พื้นที่ส่วนกลางในรูปแบบของ Co-Separate Space เป็นการใช้พื้นที่ร่วมกันแบบมีระยะห่าง ทำให้การออกแบบการใช้พื้นที่ส่วนกลาง ในโครงการทั้งแนวราบและอาคารชุด ต้องเปลี่ยนแนวคิดในการออกแบบเช่นเดียวกัน 3.Virtual Livable Connect หรือ การนำเอาเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการออกแบบโครงการ การนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการออกแบบโครงการ มีเป้าหมายสำคัญเพื่ออำนวยความสะดวกสบายในการใช้ชีวิต ของผู้อยู่อาศัยในโครงการ  และตอบโจทย์กับแนวคิดการใช้ชีวิตวิถีปกติใหม่ ภายหลังการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เพราะเทคโนโลยีต่างๆ ที่ถูกนำมาใช้ไม่เพียงแต่อำนวยความสะดวกเท่านั้น แต่ยังมีความปลอดภัยจากการต้องติดต่อหรือสัมผัสกันระหว่างมนุษย์ด้วย มากกว่า Mega Trend ต้องสร้างความยั่งยืน นอกเหนือนจากการออกแบบภายใต้วิถีชีวิตปกติใหม่ ภายหลังไวรัสโควิด-19 ที่อาจจะหยุดการแพร่ระบาด หรือเราสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ แต่ไวรัสโควิด-19 ยังคงอยู่กับมนุษย์โดยไม่ได้หายไปไหน แนวทางการออกแบบและพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์  นอกจากจะมีแนวทางที่ต้องตอบโจทย์ Mega Trend ดังกล่าวแล้ว สิ่งสำคัญที่ต้องคิดถึงและจำเป็นต้องนำมาใช้ด้วย คือ แนวคิดในการออกแบบที่เรียกว่า การออกแบบเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Development  Design) แนวคิดดังกล่าว เป็นแนวคิดของการออกแบบ โดยคำนึงถึงการใช้งานอาคารอย่างยั่งยืน ด้วยการออกแบบโดยคำนึงถึงการเลือกใช้วัสดุ การใช้พลังงานและทรัพยากรของอาคารที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมทั้งสร้างสุขอนามัยที่ดีให้กับผู้อยู่อาศัย ลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก หรือ คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2)ในอากาศ   รวมถึงเรื่องของการประหยัดพลังงาน การใช้ทรัพยากรน้ำและทรัพยากรธรรมชาติอื่น ๆ อย่างประหยัด เพื่อตอบโจทย์กับการสร้างสุขอนามัยที่ดีในการอยู่อาศัยทั้งในรูปแบบของ LEED (Leadership in Energy and Environmental Design) เกณฑ์อาคารเขียวของ US Green Building Council และ TREES (Thai’s Rating of Energy and Environmental Sustainability ) ของสถาบันอาคารเขียวไทย   ข้อมูล ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2563 ประเทศไทยมีอาคารที่ได้รับ LEED Certification จาก US Green Building Council ทั้งสิ้น 171 อาคาร และอยู่ระหว่างการพิจารณาอีก 85 อาคาร ในขณะเดียวกันมีอาคารที่ได้รับ TREES Certification จาก สถาบันอาคารเขียวไทย ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2563 ทั้งสิ้น 63 อาคาร และอยู่ระหว่างการพิจารณาอีก 55 อาคาร
การเคหะฯ ช่วยลูกค้าโดนพิษโควิด-19 ขยายเวลาลงทะเบียนถึง 30 มิ.ย.63 นี้

การเคหะฯ ช่วยลูกค้าโดนพิษโควิด-19 ขยายเวลาลงทะเบียนถึง 30 มิ.ย.63 นี้

การเคหะแห่งชาติขยายระยะเวลาลงทะเบียนมาตรการช่วยเหลือลูกค้าถึง 30 มิถุนายน 2563 นี้ พร้อมเน้นย้ำ ขอให้ลูกค้าเร่งลงทะเบียนเพื่อรักษาสิทธิก่อนหมดมาตรการช่วยเหลือดังกล่าว พร้อมร่วมกับกระทรวงแรงงานจัดกิจกรรมนัดพบแรงงานตามพื้นที่ชุมชนต่างๆ ของการเคหะแห่งชาติ       นายวิญญา สิงห์อินทร์ รักษาการผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อประชาชนทั่วประเทศ ปัจจุบันรัฐบาลได้กระจายให้ความช่วยเหลือประชาชนในทุกด้าน รวมทั้งกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ที่มีภารกิจเกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือมนุษย์ในทุกมิติ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) จึงมอบนโยบายให้การเคหะแห่งชาติออกมาตรการช่วยเหลือประชาชนที่เป็นลูกค้าของการเคหะแห่งชาติ เพื่อลดภาระรายจ่ายด้านที่อยู่อาศัยชั่วคราว นายณัฐพงศ์ พันธเกียรติไพศาล ประธานกรรมการการเคหะแห่งชาติ จึงได้การประชุมร่วมกับฝ่ายบริหารระดับสูงของการเคหะแห่งชาติเพื่อติดตามและประเมินสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง และมอบนโยบายให้การเคหะแห่งชาติออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้าของการเคหะแห่งชาติเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 พร้อมทั้งประสานความร่วมมือกับภาคเอกชนช่วยเหลือผู้อยู่อาศัยในด้านสังคมเพื่อให้ผู้อยู่อาศัยในโครงการของการเคหะแห่งชาติมีคุณภาพชีวิตที่ดีในสถานการณ์ปัจจุบัน   สำหรับมาตรการช่วยเหลือลูกค้าของการเคหะแห่งชาติที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 มี 4 มาตรการ ได้แก่ 1.พักชำระหนี้ค่าเช่าซื้อ 2.พักชำระเงินดาวน์ 3.ปลอดค่าเช่า 4.ลดค่าเช่า 50% เป็นระยะเวลา 3 เดือน เริ่มตั้งแต่ 1 เมษายน – 30 มิถุนายน 2563 โดยลูกค้าของการเคหะแห่งชาติสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมพร้อมลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ https://covid.nha.co.th และลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชั่น Line ID : @NHA.THAILAND ได้ถึง 30 มิถุนายน 2563 นี้ พร้อมกันนี้การเคหะแห่งชาติได้ร่วมกับกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน จัดกิจกรรมนัดพบแรงงานตามพื้นที่ต่างๆ ในโครงการของการเคหะแห่งชาติ โดยนำร่องที่โครงการบ้านเอื้ออาทรบ้านหลุมแก้ว 2 จังหวัดปทุมธานี เป็นที่แรก ซึ่งได้รับความร่วมมือจากบริษัท ห้างร้าน และโรงงานต่างๆ มาเปิดรับสมัครงานในตำแหน่งว่างให้กับผู้อยู่อาศัยในชุมชนที่ถูกเลิกจ้างหรือว่างงานจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้เลือกงานที่เหมาะสม ตรงกับถนัด และความต้องการของตนเอง ซึ่งจะนำไปสู่การเกิดรายได้เพิ่มขึ้นในครัวเรือน เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับชุมชน และระดับประเทศต่อไป  
เฟรเซอร์ส ตั้ง “ธนพล ศิริธนชัย” บริหารองค์กรแสนล้าน

เฟรเซอร์ส ตั้ง “ธนพล ศิริธนชัย” บริหารองค์กรแสนล้าน

เฟรเซอร์สแต่งตั้ง “นายธนพล ศิริธนชัย” นั่งเก้าอี้ ซีอีโอ นำทัพองค์กร 1 แสนล้าน  สร้างการเติบโตให้กับแพลตฟอร์มใหม่ ที่รวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร   คณะกรรมการบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ FPT มีมติแต่งตั้งนายธนพล ศิริธนชัย ประธานอำนวยการ บริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ โกลเด้นแลนด์ (GOLD) ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (Country CEO) บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ  FPT  โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 17 สิงหาคม 2563 เป็นต้นไป   โดยนายธนพล ศิริธนชัย จะรับภารกิจสำคัญในการเป็นหัวเรือใหญ่ที่จะสร้างการเติบโตให้กับ เฟรเซอร์ส  พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) รวมถึงการเดินหน้าภายใต้นโยบายการลงทุนของบริษัทฯ ในการเพิ่มศักยภาพที่จะเติบโตอย่างสมดุลให้อยู่ในแพลตฟอร์มเดียวกัน ในการเป็นผู้นำในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีความหลากหลาย ครอบคลุมอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัย (Residential) โครงการเชิงพาณิชย์ (Commercial) และพื้นที่เชิงอุตสาหกรรม (Industrial) จากผู้บริหาร GOLD สู่เก้าอี้ซีอีโอ FPT สำหรับนายธนพล ศิริธนชัย  ถือว่าเป็นผู้มีความรู้ความสามารถ และคร่ำหวอดในแวดวงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ กว่า 30 ปี โดยก่อนร่วมงานกับเฟรเซอร์ส เคยดำรงตำแหน่งประธานอำนวยการ บริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ โกลเด้นแลนด์ ผู้พลิกฟื้นจากที่บริษัทฯขาดทุน ให้กลับมามีกำไรภายใน 3 ปี และก้าวกลับมาสู่ท็อป 5 ของประเทศไทยภายใน 7 ปี  (อ่านข่าวผลประกอบการ 3 เดือนแรกปี 2563) พร้อมพัฒนาโครงการครอบคลุมทั้งอาคารสำนักงาน เซอร์วิส อพาร์ทเม้นท์ โรงแรม และโครงการแนวราบ เช่น บ้านเดี่ยว และทาวน์โฮม และล่าสุด พัฒนาโครงการมิกซ์ยูสใจกลางเมืองสามย่านมิตรทาวน์  ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี   นอกจากนี้ นายธนพล ยังเคยดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ ของ บริษัท ยูนิเวนเจอร์ จำกัด​ (มหาชน)  ผู้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของโครงการอาคารสำนักงานที่ดีที่สุด ด้วยมาตรฐานการอนุรักษ์พลังงานสูงที่สุดระดับโลก กับโครงการปาร์คเวนเชอร์ ดิ อีโคเพล็กซ์ ออน วิทยุ โดยนายธนพลยังได้ปฏิบัติหน้าที่เพื่อสังคมและการกุศลต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง อาทิเช่น ประธานโครงการ IMET Mentorship Academy for Excellent Leaders (IMET MAX) โครงการภายใต้มูลนิธิเพื่อสถาบันการศึกษาวิชาการจัดการแห่งประเทศไทย และรองผู้อำนวยการอาวุโส สถาบันออกแบบนานาชาติชนาพัฒน์   นายธนพล สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี ด้านวิศวกรรมศาสตร์ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท ด้านบริหารธุรกิจ (MBA) จากมหาวิทยาลัยเทกซัส ออสติน ประเทศสหรัฐอเมริกา และสำเร็จการศึกษาหลักสูตร Advanced Management Program มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ประเทศสหรัฐอเมริกา 1+1 เท่ากับสินทรัพย์ 1 แสนล้าน สำหรับ  FPT  เป็นบริษัทในกลุ่มบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้  ซึ่ง FPT ผู้นำการให้บริการแพลตฟอร์มด้านอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรของประเทศไทย  ที่มีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลากหลายประเภท ภายหลังควบรวมกับ  GOLD เป็นบริษัทย่อย ทำให้ภาพรวมการประกอบธุรกิจของ FPT มีสินทรัพย์รวมมากกว่า 100,000 ล้านบาท ก้าวสู่ความเป็นผู้นำในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีความหลากหลาย ครอบคลุมอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัย  พาณิชยกรรมและโรงแรม  และการอุตสาหกรรม   โดยเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2563 GOLD ได้รับคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ของบริษัททั้งหมด  จาก FPT เพื่อเพิกถอนหลักทรัพย์ของกิจการ ออกจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย  ซึ่งเป็นไปตามแผนของบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) ที่ได้ประกาศเริ่มรับซื้อรอบแรกในเดือนมิถุนายนปี 2562 ที่ผ่านมา เพื่อปรับกลยุทธ์ เพิ่มศักยภาพของการเชื่อมโยง ต่อยอด ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของกลุ่มให้อยู่ในแพลตฟอร์มเดียวกัน ในการเป็นผู้นำในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีความหลากหลาย   ทั้งนี้ การขอเพิกถอนหลักทรัพย์ของ GOLD ออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ นั้น ได้รับอนุมัติจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของ GOLD เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2562 และ วันที่ 19 พฤษภาคม 2563 FPT เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ GOLD จำนวน 2,222,623,901 หุ้น คิดเป็นประมาณ 95.65% ของหุ้นที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ GOLD โดย FPT จะทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ที่เหลือทั้งหมดของ GOLD จำนวน 101,096,099 หุ้น คิดเป็นประมาณ 4.35% ของหุ้นที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ GOLD โดยมีราคาเสนอซื้อ 8.50 บาทต่อหุ้น ระยะเวลารับซื้อรวมทั้งสิ้น 45 วันทำการ ตั้งแต่วันที่ 20 พฤษภาคม 2563 – 23 กรกฎาคม 2563   นายธนพล กล่าวว่า ก้าวต่อไปของโกลเด้นแลนด์ คือการก้าวเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในการเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร  ที่มีความหลากหลาย ครอบคลุมอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัย โครงการเชิงพาณิชย์  และพี้นที่เชิงอุตสาหกรรม  แห่งแรกของประเทศไทย ภายใต้นโยบายการลงทุนของเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) ในการเพิ่มศักยภาพที่จะเติบโตอย่างสมดุล และยั่งยืนของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย นอกจากนี้ FPT ยังเป็นผู้สนับสนุนและผู้จัดการกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ หรือ FTREIT ซึ่งปัจจุบันเป็นกองทรัสต์ฯ อุตสาหกรรมที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย  ซึ่งมุ่งเน้นการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ อีกทั้ง FPT ยังเป็นผู้สนับสนุนและผู้จัดการทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์โกลเด้นเวนเจอร์ (GVREIT) ซึ่งมุ่งเน้นการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชยกรรม  ซึ่ง FPT, FTREIT และ GVREIT เป็นบริษัทและกองทรัสต์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย.    
นิปปอนเพนต์ผนึก 3 พันธมิตรระดับโลก เตรียมรับมือตลาดฟื้นตัวหลังหมดโควิด-19

นิปปอนเพนต์ผนึก 3 พันธมิตรระดับโลก เตรียมรับมือตลาดฟื้นตัวหลังหมดโควิด-19

นิปปอนเพนต์ผนึกกำลัง 3 พันธมิตรระดับโลก “เทอร์ราโก้ – เกรโก้ -  เมอร์กา” ลุยตลาดสีกลุ่ม Professional Series รับทิศทางอุตสหกรรมก่อสร้างฟื้นตัว หลังโดนพิษไวรัสโควิด-19 ทุบตลาดติดลบ 10-15% มั่นใจปี 2564 ตลาดโตอีกครั้ง   นายวัชระ ศิริฤทธิชัย ผู้จัดการทั่วไป บริษัท นิปปอนเพนต์ เดคโคเรทีฟ โคทติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสีนิปปอนเพนต์ในประเทศไทย  เปิดเผยว่า  ภาพรวมอุตสาหกรรมก่อสร้างในปีนี้คาดว่าจะลดลง 10-15% จากเดิมที่เคยเติบโต 3-5% ต่อปี  ซึ่งเป็นผลจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด – 19 ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา  และยังส่งผลต่อการใช้สีเพื่อการปรับปรุง (Renovation) เกิดการชะลอตัวของการใช้ตามมาด้วย ทำให้ความต้องการใช้สีในช่วงครึ่งปีแรกลดลง 15-20%   แต่อย่างไรก็ตาม แม้จะมีสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ยังพบว่า ยังมีงานก่อสร้างอาคารใหม่บางส่วนที่ยังคงก่อสร้างอย่างต่อเนื่อง เพราะมีระยะเวลาในการส่งมอบงานที่ชัดเจน โดยประเมินว่าภายหลังจากที่สถานการณ์ต่างๆ คลี่คลายลง  ในปี 2564 ภาพรวมอุตสาหกรรมก่อสร้างจะกลับมาเติบโตอย่างก้าวกระโดดอีกครั้ง สำหรับทิศทางการดำเนินงานของบริษัทนั้น  ล่าสุดได้จับมือเป็นพันธมิตรกับ 3 บริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมก่อสร้างระดับโลก เพื่อร่วมกันพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีส่งเสริมการทำงานอย่างมืออาชีพ ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดต่อผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์, เจ้าของอาคาร, สถาปนิกและนักออกแบบ, ผู้รับเหมาก่อสร้าง รวมถึงช่างสี เป็นต้น ถือเป็นครั้งแรกของโลกที่บริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมก่อสร้าง ได้พัฒนานวัตกรรมเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น   โดยเริ่มจากการพัฒนานวัตกรรมแรกเพื่อผู้ประกอบการผ่านระบบ  Professional Series by Nippon Paint ด้วยการผนึกกำลังกับ 3 แบรนด์ชั้นนำระดับโลกที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านในวงการอุตสาหกรรมก่อสร้าง  ได้แก่ เทอร์ราโก้ (Terraco) จากประเทศสวีเดน เกรโก้ (Graco) จากประเทศสหรัฐอเมริกา และเมอร์กา (Mirka) จากประเทศฟินแลนด์     สำหรับเทอร์ราโก้ (Terraco) ประเทศสวีเดน ถือว่าเป็นผู้นำด้านวัสดุตกแต่งผิว เช่น อะคริลิกฉาบบาง อะคริลิกกันซึม วัสดุอุดโป๊ว ด้วยนวัตกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ก่อตั้งนานกว่า 40 ปี ด้วยวัตถุดิบและเทคโนโลยีการผลิตที่คัดสรรมาอย่างดี ทำให้ผลิตภัณฑ์ของเทอร์ราโก้มีความทนทานสูงตอบโจทย์การออกแบบการตกแต่งผิวที่มีความหลากหลายซับซ้อนมากขึ้น  และเทอร์ราโก้เป็นผู้ผลิตที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและผู้ใช้งานอีกด้วย   ส่วนเกรโก้ (Graco) ประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้นำอันดับหนึ่งของโลกในด้านการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องพ่นสี ด้วยยอดขายทั่วโลกกว่า 2,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี  ซึ่งผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของเกรโก้ผลิตในประเทศสหรัฐอเมริกา จำหน่ายในอุตสาหกรรมต่างๆ อาทิเช่น อุตสาหกรรมก่อสร้าง การประกอบรถยนต์และซ่อมรถยนต์  อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า เกรโก้ทุ่มเทให้กับการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อให้ได้คุณภาพสูงสุดและตอบสนองความคุ้มค่าที่มากที่สุด ปัจจุบันจำหน่ายมากกว่า 100 ประเทศทั่วโลก   ขณะที่เมอร์กา (Mirka) ประเทศฟินแลนด์  ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดาษทรายและผลิตภัณฑ์สำหรับการขัดพื้นผิวที่ไร้ฝุ่น (Net Sanding) รายแรกของโลก  ด้วยนวัตกรรมการสร้างกระบวนการผลิตสารเคลือบผิวที่คิดค้นขึ้นใหม่  อาทิ เครื่องขัดไฟฟ้าไร้ฝุ่น อุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพ คุณภาพสูง ใส่ใจสิ่งแวดล้อม โดดเด่นเหนือคู่แข่งสามารถสร้างประโยชน์ให้กับผู้ใช้ได้อย่างยอดเยี่ยม โดยปัจจุบันผลิตภัณฑ์ของเมอร์กากว่า 90%  ถูกส่งออกไปจำหน่ายในกว่า 80 ประเทศทั่วโลก   ถือเป็นปรากฏการณ์ครั้งแรกของโลก ที่ 4 บริษัทชั้นนำจากอุตสาหกรรมก่อสร้างมาร่วมมือ  เพื่อยกระดับการทำงานของมืออาชีพให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งการทำงานที่เร็วขึ้น ลดต้นทุนการผลิต และเพิ่มคุณภาพงาน โดยการร่วมมือกันในครั้งนี้ บริษัทได้พัฒนาระบบสีเพื่อตอบโจทย์อุตสาหกรรมก่อสร้าง คือ ระบบปิดผิวผนัง โปร-วอลล์ ฟินิช (Pro-Wall Finish) ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อความคุ้มค่า ทั้งการยึดเกาะ ประหยัดค่าใช้จ่าย  ประหยัดเวลา รวมถึงการใช้งานง่ายไม่ซับซ้อน ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์แรกในกลุ่มผลิตภัณฑ์ภายใต้ Professional Series  และในอนาคต นิปปอนเพนต์  มีแผนขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ Professional Series ให้มีความหลากหลายยิ่งขึ้น   นายวัชระ กล่าวในตอนท้ายว่า ภายหลังจากสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 เริ่มคลี่คลายจะทำให้ทิศทางของอุตสาหกรรมในครึ่งปีหลังกลับมาคึกคัก จากกลุ่มลูกค้ารีโนเวตที่จะกลับมามากขึ้น      
ส่องตลาดอสังหาฯ​ เชียงใหม่ 63 ซัพพลายสูง-กำลังซื้อต่ำ

ส่องตลาดอสังหาฯ​ เชียงใหม่ 63 ซัพพลายสูง-กำลังซื้อต่ำ

แนวโน้มตลาดอสังหาฯ เชียงใหม่ 63 ขายได้น้อยลง เหตุซัพพลายในตลาดยังมีมาก กำลังซื้อยังต่ำ ศูนย์ข้อมูลฯ​แนะผู้ประกอบการลงทุนอย่างระมัดระวัง ในกลุ่มตลาดระดับราคา 2-5 ล้าน แม้เป็นตลาดขายดีแต่คู่แข่งยังเยอะ   ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ หรือ REIC  เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดบ้าน-คอนโด ในเชียงใหม่ปี 2563 คาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2563 จะมีบ้าน-คอนโดเหลือขายประมาณ ​9,343 ยูนิต ลดลงจากช่วงสิ้นปี 2562 ที่มีอยู่ 9,149 ยูนิต  ซึ่งยังสูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง (ปี 2558-2562) ที่อยู่ในระดับ 8,694 ยูนิต   โดยจำนวนบ้านและคอนโดเหลือขายในปี 2563 ประกอบด้วยอาคารชุดจำนวน 2,050 ยูนิต บ้านเดี่ยวจำนวน 4,321 ยูนิตทาวน์เฮ้าส์จำนวน 1,814 ยูนิต บ้านแฝดจำนวน 1,025 ยูนิต และอาคารพาณิชย์จำนวน 133 ยูนิต ซึ่งคาดว่าในปีนี้ จะมีการเปิดตัวโครงการใหม่รวม 1,224 โครงการ ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 1,778 โครงการ  แต่ถือว่าเพิ่มขึ้นมากจากปี 2562 ที่มีโครงการเปิดใหม่เพียง 512 โครงการเท่านั้น   สำหรับการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยปี 2563 ในจังหวัดเชียงใหม่  ศูนย์ข้อมูลฯ ประเมินว่าจะมีจำนวน 12,156 ยูนิต คิดเป็นมูลค่าประมาณ 23,141 ล้านบาท ลดลง 14.6% จากปีก่อนหน้าที่มีจำนวน 13,201 ยูนิต มูลค่า 27,091 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยซึ่งมีมูลค่า 26,817 ล้านบาท ถือว่าทั้งจำนวนยูนิตและมูลค่าการโอน เป็นการปรับตัวลดลงต่อเนื่องจาก 2561 ที่ผ่านมา แนะการลงทุนบ้าน-คอนโด จ.เชียงใหม่อย่างระมัดระวัง ขณะที่แนวโน้มการขายบ้าน-คอนโด ในจังหวัดเชียงใหม่ จะมีอัตราการขายได้ลดลง อัตราดูดซับสูงสุดไม่น่าจะเกิน 1.6%  เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงครึ่งปีหลังปี 2562 ซึ่งมีอัตราการดูดซับที่ 3.4%  หากจำนวนที่อยู่อาศัยใหม่เข้ามาในตลาด ตามที่ศูนย์ข้อมูลประมาณการไว้ ภายใต้เงื่อนไขกำลังซื้อที่ลดต่ำลงเช่นในปัจจุบัน   โดยคาดว่าตลาดอสังหาฯ​ เชียงใหม่ ในแต่ละประเภท จะมีอัตราการดูดซับต่อเดือนในช่วงครึ่งปีหลัง 2563 ดังนี้ คอนโด อัตราดูดซับ 1.5%  ทาวน์เฮ้าส์ อัตราดูดซับ 1.6% บ้านเดี่ยว อัตราดูดซับ 1.1% อาคารพาณิชย์ อัตราดูดซับ 0.6% และ บ้านแฝด อัตราดูดซับ 1.2% ดร.วิชัย เสนอแนะว่า ผู้ประกอบการต้องลงทุนอย่างระมัดระวัง ในการพัฒนาโครงการใหม่ เนื่องจากยังมียูนิตสร้างเสร็จเหลืออยู่ในตลาดจำนวนมาก โดยเฉพาะระดับราคา 2-3 ล้านบาท และ 3-5 ล้านบาท แม้กลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มตลาดที่ขายดีก็ตาม   โดยเฉพาะในพื้นที่ทำเลสารภี และหางดง แม้ที่ผ่านมาจะมีอัตราการดูดซับที่สูงขึ้น แต่เป็นเพราะมีสินค้าใหม่เข้าไปในตลาดน้อยมาก   ด้วยภาพรวมดังกล่าวผู้ประกอบการจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์การเสนอขาย โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยว และอาคารชุดพักอาศัย ที่มีอัตราการดูดซับชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่องจากช่วงต้นปี 2562 และคาดว่าจะต่อเนื่องมาถึงปี 2563 เช็คตลาดอสังหาฯ เชียงใหม่ ปี 2562 จังหวัดเชียงใหม่ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2562 มีโครงการอยู่ระหว่างการขายรวมทั้งสิ้น 221 โครงการ รวม 11,465 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 42,820 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงครึ่งปีแรกของปี 2563 อัตรา  7%  ในจำนวนดังกล่าวแบ่งเป็นอาคารชุด 2,582 ยูนิต และบ้านจัดสรร 8,883 ยูนิต ซึ่งถือว่าช่วงครึ่งปีหลังของปี 2562 จังหวัดเชียงใหม่มีการเปิดตัวโครงการใหม่น้อยมาก เมื่อพิจารณาจากยูนิตขายได้ใหม่ จากการสำรวจพบว่า ในช่วงครึ่งหลังปี 2562  พื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ มีที่อยู่อาศัยขายได้ใหม่ จำนวน 2,316 ยูนิต เพิ่มขึ้นจากช่วงครึ่งปีแรก 13.3%  แบ่งเป็น ขายห้องชุด 647 ยูนิต  บ้านจัดสรร 1,669 ยูนิต แต่หากเทียบกับช่วงครึ่งปีหลังของปี 2562 ถือว่าขายได้น้อยกว่า 11.8%   หากดูสินค้าเหลือในตลาด จะพบว่า ช่วงครึ่งปีหลังปี 2562 มียูนิตเหลือขายจำนวน 9,149 ยูนิต เพิ่มขึ้นจากช่วงครึ่งปีแรก 5.5%  ยูนิตเหลือขาย แบ่งเป็น ประเภทคอนโดจำนวน 1,935 ยูนิต บ้านจัดสรรจำนวน 7,214 ยูนิต  จำนวนที่อยู่อาศัยเหลือขายทั้งหมด คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 35,426 ล้านบาท เปิด 5 ทำเลบ้านและคอนโดขายดีในเชียงใหม่ สำหรับทำเลที่อยู่อาศัยขายดีมากที่สุด 5 อันดับแรก โดยพิจารณาจากยูนิตที่ขายได้ใหม่ ได้แก่ 1.ทำเลสารภี จำนวน 560 ยูนิต  มีอัตราดูดซับ 6.9% 2.ทำเลหางดงตอนบน จำนวน 536 ยูนิต มีอัตราดูดซับ 6.7% 3.ทำเลแม่โจ้ จำนวน 229 ยูนิต มีอัตราดูดซับ 2.4% 4.ทำเลสันทราย จำนวน 208 ยูนิต มีอัตราดูดซับ 2.3% 5.ทำเลสันกำแพง จำนวน 187 ยูนิต มีอัตราดูดซับ 2.5%   ส่วนทำเลที่มีที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จเหลือขายมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1.ทำเลสันทราย จำนวน 448 ยูนิต 2.ทำเลหางดงตอนบน จำนวน 430 ยูนิต 3.ทำเล ม.พายัพ จำนวน 426 ยูนิต 4.ทำเลแม่โจ้ จำนวน 317 ยูนิต 5.ทำเล หางดงตอนล่าง จำนวน 190 ยูนิต มีอัตราดูดซับ   รูปภาพจาก วิกิพีเดีย
12 ปรากฎการณ์ “ราคาอสังหาฯ” ท่ามกลางวิกฤตโควิด-19

12 ปรากฎการณ์ “ราคาอสังหาฯ” ท่ามกลางวิกฤตโควิด-19

จะว่าไปแล้ว ตลาดอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะคอนโดมิเนียม เริ่มได้รับผลกระทบมาตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 2562 จากมาตรการ LTV ที่ออกมาบังคับใช้  ส่งผลให้ผู้ประกอบการต่างทำการตลาด แข่งขันกันด้วยแคมเปญการตลาดต่างๆ เพื่อกระตุ้นลูกค้าให้รีบโอนกรรมสิทธิ์  ก่อนมาตรการ LTV  เริ่มใช้อย่างเป็นทางการในไตรมาส 2 ของปีที่ผ่านมา เพราะมาตรการ LTV มีผลทำให้ลูกค้าบางส่วนมีกำลังซื้อลดลง และธนาคารมีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น   พอถึงช่วงต้นปี 2563 ตลาดอสังหาฯ ก็ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลทำให้ตลาดอสังหาฯ ชะลอตัวอย่างมาก ผู้ประกอบการแทบไม่เปิดตัวโครงการใหม่ออกมาทำตลาด แต่มุ่งเน้นการระบายสต็อกสินค้าเก่าในมือ เพื่อไม่ให้เกิดความเสี่ยงจากการลงทุน ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้น จึงเกิดการทำตลาดกันอย่างดุเดือด มีการแข่งขันกันอย่างรุนแรง โดยเฉพาะด้านราคา ซึ่งเป็นสิ่งที่แทบจะไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน อย่างแคมเปญการอยู่ฟรี ที่เห็นทำตลาดมากถึง 5 ปีเลยทีเดียว   ล่าสุด ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ ได้เปิดเผยข้อมูล ตลาดอสังหาฯ ที่เผชิญสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในช่วงไตรมาสแรกและไตรมาส 2 ของปีนี้  ซึ่งพบว่าภาวะราคาของอสังหาฯ ไทย มี 12 ประเด็นสำคัญเกิดขึ้น คือ 1.ไตรมาสแรกของปีนี้ ดัชนีราคาที่อยู่อาศัยปรับตัวลดลงมาต่อเนื่อง เป็นไตรมาสที่ 5 โดยลดลงในอัตรา 1% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และลดลง 9% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา แน่นอนว่าหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ราคาปรับตัวลดลงมา คือ การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19   2.ก่อนหน้าที่ตลาดอสังหาฯ ไทยจะเผชิญกับปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะพบว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ​ มีดัชนีราคาที่เติบโตเพิ่มขึ้นมากถึง 104% จากราคาเฉลี่ยประมาณ​ 60,000 บาทต่อตารางเมตร ในช่วงปี 2558ปรับเพิ่มขึ้นมาเป็น 120,000 บาทต่อตารางเมตร ในปี 2562 ที่ผ่านมา   3.ตลาดคอนโดฯ ค่อนข้างได้รับผลกระทบด้านราคาน้อย เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า โดยลดลงเพียง 0.4% แต่หากเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จะพบว่ามีอัตราการเติบโตลดลงมากถึง 6% ซึ่งเป็นเพราะตลาดคอนโดฯ ได้รับผลกระทบจากมาตรการ LTV มาก่อนหน้านี้แล้ว   4.ตลาดบ้านเดี่ยว เป็นกลุ่มสินค้าเดียวที่มีดัชนีราคาปรับเพิ่มขึ้นในอัตรา 2% เมื่อเปรียบเทียบไตรมาสต่อไตรมาส สาเหตุหลักเป็นเพราะ กลุ่มบ้านเดี่ยวเป็นตลาดเรียลดีมานด์ ซึ่งผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง และในปีนี้ผู้ประกอบการอสังหาฯ ชะลอแผนการพัฒนาโครงการคอนโดฯ และหันมาเน้นตลาดแนวราบเป็นหลัก 5.ตลาดทาวน์เฮ้าส์ เป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่อยู่อาศัย ที่ดัชนีราคาปรับลดลงมา ในอัตรา 2% ซึ่งสาเหตุหลักเป็นเพราะการแข่งขันด้านราคา และการจัดทำโปรโมชั่นกระตุ้นยอดขาย ของผู้ประกอบการ นอกจากนี้ ตลาดทาวน์เฮ้าส์เป็นตลาดแมสที่ระดับราคาอยู่ในช่วง 3-5 ล้านบาท ที่ถือว่ามีการแข่งขันสูง และมีซัพพลายในตลาดจำนวนมาก   6.หากพิจารณาในเรื่องของระดับราคาสินค้า จะพบว่าที่อยู่อาศัยที่ปรับลดลงมากที่สุด คือ ที่อยู่อาศัยราคาต่ำกว่า 3.5 ล้านบาท ปรับลดลงในอัตรา 8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา   7.กลุ่มตลาดที่อยู่อาศัยราคาแพง ในระดับราคา 8.5-15 ล้านบาท มีดัชนีราคาปรับเพิ่มขึ้น 5% และหากมองย้อนไปในช่วงไตรมาส 4 ปี 2559 จะพบว่าบ้านและคอนโดฯ ในกลุ่มระดับราคา 15 ล้านบาทขึ้นไป มีอัตราการเพิ่มขึ้นถึง 35%   8.พื้นที่ในกรุงเทพฯ ที่มีดัชนีราคาเติบโตโดดเด่นที่สุด ในไตรมาสแรกที่ผ่านมา คือ เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย มีราคาที่อยู่อาศัยเฉลี่ยตารางเมตรละ 219,048 บาท ปรับเพิ่มขึ้น 23% จากช่วงไตรมาส 4 ปี 2562 ถือว่าเป็นเขตที่มีราคาปรับเพิ่มสูงสุด สาเหตุหลักมาจาก การเปิดให้บริการส่วนต่อขยายของรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง-หลักสอง 9.สถานีวัดมังกร เป็นพื้นที่ที่มีราคาของที่อยู่อาศัยแพงมากที่สุด ถึงตารางเมตรละ 200,000 บาท และมีการปรับเพิ่มขึ้นถึง 143% ตั้งแต่ช่วงปี 2560 จนถึงปัจจุบัน   10.แนวโน้มราคาในแนวรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินที่เพิ่งเปิดให้บริการในไตรมาสที่ผ่านมา พบว่า ที่อยู่อาศัยในบริเวณสถานีบางอ้อและสถานีบางพลัด มีอัตราการเติบโตของราคาสูงสุดถึง 76% ตั้งแต่ช่วงไตรมาส 4 ปี 2559 ถึงปัจจุบัน โดยมีราคาขายเฉลี่ย 85,009 บาทต่อตารางเมตร   11.บริเวณรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงสถานีไฟฉาย ถือว่าเป็นบริเวณที่มีที่อยู่อาศัย ซึ่งมีราคาขายเฉลี่ยสูงที่สุดของรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงต่อขยายสถานีเตาปูน-จรัญ 13 โดยมีราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 126,471 บาทต่อตารางเมตร ซึ่งปรับลดลงเพียง 1% จากช่วงปี 2560 ที่ผ่านมา  (อ่านเพิ่มเติม...รีวิวคอนโด ส่องทำเลเตาปูน-บางโพ ฉบับอัปเดต 2563) 12.บริเวณรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงสถานีบางขุนนนท์ ถือว่าเป็นบริเวณที่มีราคาของที่อยู่อาศัยถูกที่สุด และอัตราการเติบโตลดลงมากที่สุด ของรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงต่อขยายสถานีเตาปูน-จรัญ 13 โดยมีราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 53,476 บาทต่อตารางเมตร ปรับลดลงมากถึง 56% จากช่วงปี 2560 ที่ผ่านมา   หลังจากนี้ หากประเทศสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ จนไม่พบการแพร่เชื้อ หรือการเกิดขึ้นของผู้ป่วยรายใหม่  รวมถึง หากมีการค้นพบวัคซีน ที่สามารถใช้ได้ผลจริงกับมนุษย์ เชื่อว่าสถานการณ์ต่างๆ จะกลับมาเป็นปกติ แม้ว่าในอนาคตทุกคนอาจจะต้องอยู่ภายใต้วิถีปกติรูปแบบใหม่ หรือ New Normal ก็ตาม   โดยเชื่อว่าตลาดอสังหาฯ ของไทยเอง ก็น่าจะกลับมาเติบโตเป็นปกติ และคาดว่าจะปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้นด้วย เพราะภายใต้สถานการณ์วิกฤต จะเห็นได้ว่าคนไทยเป็นชาติที่ไม่แพ้ใครในโลก สามารถบริหารจัดการการแพร่ระบาดของโลกได้ดี รวมถึงประเทศไทยยังคงเป็นประเทศจุดหมายปลายทางที่ชาวต่างชาติยังต้องการมาท่องเที่ยวและพักอาศัยเป็นอันดับ 1 ของภูมิภาคอาเซียน และอันดับต้นๆ ของโลกอีกด้วย      
ครม. ลดภาษี  90% ช่วยเจ้าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้างโดนพิษโควิด-19

ครม. ลดภาษี 90% ช่วยเจ้าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้างโดนพิษโควิด-19

ครม. เคาะมาตรการช่วย เจ้าของที่ดิน และสิ่งปลูกสร้าง  ลดการจัดเก็บภาษีลง 90% หลังได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 รัฐยอมหั่นรายได้กว่า 3.5 หมื่นล้าน   นับตั้งแต่เดือนมกราคม 2563 เป็นต้นมา ประเทศไทยได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19  ซึ่งส่งผลกระทบแก่ประชาชนและผู้ประกอบการธุรกิจทั่วประเทศ ซึ่งปีนี้เป็นอีกหนึ่งปีที่จะได้เริ่มการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ภายหลังจากที่พระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 (พ.ร.บ. ภาษีที่ดินฯ) ได้มีการประกาศบังคับใช้ในราชกิจจานุเบกษา และมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 13 มีนาคม 2562 เป็นต้นมา   โดยตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ได้ดำเนินการจัดเก็บภาษีตาม พ.ร.บ. ภาษีที่ดินฯ แล้ว โดยได้ทำการสำรวจ จัดทำบัญชีและประเมินภาษีตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนด อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ อปท. มีเวลาดำเนินการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเพิ่มขึ้น กระทรวงมหาดไทย (มท.) จึงได้มีหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัด เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2562 ขยายระยะเวลาดำเนินการของ อปท. เป็นการทั่วไปเป็นระยะเวลา 4 เดือนสำหรับการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างประจำปี  2563 จากเดิมที่ต้องชำระภาษีภายในเดือนเมษายนเป็นเดือนสิงหาคม แต่เนื่องจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ได้ระบาดอย่างรุนแรงขึ้นทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย ทำให้ระบบเศรษฐกิจทั่วโลกและของประเทศไทยหดตัวลงอย่างรุนแรง และรวดเร็วกระทบต่อประชาชนทุกสาขาอาชีพในวงกว้าง จึงสมควรลดภาษีสำหรับที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ที่จะจัดเก็บตามกฎหมายว่าด้วยภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพความจำเป็นทางเศรษฐกิจเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนโดยรวม   ทางกระทรวงการคลัง (กค.) และ มท. จึงได้มีการประชุมหารือและเห็นควรกำหนดมาตรการบรรเทาผลกระทบ โดยการลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และในการประชุมที่นายวิษณุ เครืองามรองนายกรัฐมนตรี  จัดให้มีการประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2563 ได้มีมติเห็นควรเสนอลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในอัตรา 90% เพื่อลดผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 55 แห่ง พ.ร.บ. ภาษีที่ดินฯ ที่กำหนดให้ลดภาษีสำหรับที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างบางประเภทเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพความจำเป็นทางเศรษฐกิจ สังคม เหตุการณ์ กิจการ หรือสภาพแห่งท้องที่ ครม.มีมติ ลดภาษีที่ดิน 90% ล่าสุด เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2563 คณะรัฐมนตรี (ครม.) จึงได้มีมติเห็นชอบตามที่ กค. เสนอดังนี้ 1.เห็นชอบการลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในอัตรา 90% ให้แก่ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้าง ที่ใช้ประโยชน์ในการประกอบเกษตรกรรม ใช้เป็นที่อยู่อาศัย ใช้ประโยชน์อื่นนอกจากประกอบเกษตรกรรมและที่อยู่อาศัย และที่ทิ้งไว้รกร้างว่างเปล่าหรือไม่ได้ทำประโยชน์ตามควรแก่สภาพ สำหรับปีภาษี พ.ศ. 2563 2.เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างบางประเภท พ.ศ. .... (ร่าง พ.ร.ฎ. ลดภาษีที่ดินฯ) ที่กำหนดให้ลดภาษีในอัตรา 90% สำหรับปีภาษี พ.ศ. 2563 หลักการลดภาษีและประเภทที่ดิน ลดภาษี 90% ของจำนวนภาษีที่คำนวณได้ตามมาตรา 42 หรือมาตรา 95 แล้วแต่กรณี หรือสำหรับการจัดเก็บภาษี พ.ศ. 2563สำหรับที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างดังต่อไปนี้   1.ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ใช้ประโยชน์ในการประกอบเกษตรกรรม 2.ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัย 3.ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ใช้ประโยชน์อื่นนอกจาก ข้อ 1 และ 2 4.ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ทิ้งไว้ว่างเปล่าหรือไม่ได้ทำประโยชน์ตามควรแก่สภาพ   สำหรับกการลดภาษีข้างต้นไม่กระทบสิทธิในการบรรเทาภาระภาษีตามมาตรา 96 และมาตรา 97 แห่ง พ.ร.บ. ภาษีที่ดินฯ ตัวอย่างการคำนวณการลดภาษีในอัตรา 90% 1.กรณีที่ดินประกอบการเกษตร ถ้าเจ้าของเป็นบุคคลธรรมดา บทเฉพาะกาลของ พ.ร.บ. ภาษีที่ดินฯ ได้กำหนดให้ 3 ปีแรก (ปี 2563 – 2565) จะได้รับยกเว้นจากการจัดเก็บภาษีแต่ถ้าเจ้าของเป็นนิติบุคคล สำหรับที่ดินมีมูลค่าราคาประเมินทุนทรัพย์ 10 ล้านบาท จะเสียภาษีในอัตราการใช้ประโยชน์ประกอบเกษตรกรรม 0.01% คิดเป็นภาษี 1,000 บาท แต่เมื่อลดภาษีตาม พ.ร.ฎ. ลดภาษีที่ดินฯ ที่เสนอแล้ว จะชำระภาษีเพียง 100 บาท 2.กรณีที่อยู่อาศัย สำหรับบ้านหลังหลักที่เจ้าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นบุคคลธรรมดา และมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน จะได้รับยกเว้นมูลค่าฐานภาษีไม่เกิน 50 ล้านบาท และ 10 ล้านบาท กรณีเป็นเจ้าของสิ่งปลูกสร้างแต่ไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดิน สำหรับบ้านหลังอื่น หากมูลค่าประเมินทุนทรัพย์ 5 ล้านบาท จะเสียภาษีในอัตราที่อยู่อาศัย 0.02% คิดเป็นค่าภาษี 1,000 บาท แต่เมื่อลดภาษีตาม พ.ร.ฎ. ลดภาษีที่ดินฯ ที่เสนอแล้ว จะชำระภาษีเพียง 100 บาท 3.กรณีที่ดินรกร้างว่างเปล่า หรือที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ใช้ประโยชน์ประกอบการพาณิชยกรรมหรืออุตสาหกรรม มูลค่าราคาประเมินทุนทรัพย์ 4 ล้านบาท จะเสียภาษีในอัตรารกร้างว่างเปล่า/อัตราการใช้ประโยชน์อื่น 0.3% คิดเป็นค่าภาษี 12,000 บาท แต่เมื่อลดภาษีตาม พ.ร.ฎ. ลดภาษีที่ดินฯ ที่เสนอแล้ว จะชำระภาษีเพียง 1,200 บาท เป็นต้น รัฐยอมหั่นรายได้กว่า 3.5 หมื่นล้าน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ได้ประมาณการรายได้จากการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างสำหรับปี 2563 จำนวน 39,420 ล้านบาท และในการเสนอลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในอัตรา 90% ตามร่าง พ.ร.ฎ. ลดภาษีที่ดินฯ 2 กรณี จะสูญเสียรายได้ ดังนี้ กรณีที่ 1 กำหนดลดภาษีเฉพาะในปีภาษี พ.ศ. 2563 จะทำให้รายได้จากการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในปี พ.ศ. 2563 ลดลงประมาณ 35,450 ล้านบาท   กรณีที่ 2 ไม่กำหนดระยะเวลาในการลดภาษี จะทำให้รายได้จากการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างลดลงปีละประมาณ 35,450 ล้านบาท จนกว่าจะมีการออกกฎหมายยกเลิกร่าง พ.ร.ฎ. ลดภาษีที่ดินฯ   ทั้งนี้ การลดภาษีสำหรับที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามร่าง พ.ร.ฎ. ลดภาษีที่ดินฯ จะช่วยบรรเทาผลกระทบด้านเศรษฐกิจและสังคมต่อประชาชนและผู้ประกอบการธุรกิจที่ขาดรายได้ เนื่องจากไม่สามารถประกอบกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ตามปกติ อันเนื่องมาจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศไทย   นอกจากนี้ กค. พิจารณาแล้ว เพื่อเป็นการช่วยบรรเทาภาระภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างแก่ประชาชน และผู้ประกอบการทั่วประเทศ ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และเนื่องจากสถานการณ์ดังกล่าวมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ประกอบกับในช่วงที่ผ่านมา กค. ได้มีมาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID-19) ต่อเศรษฐกิจไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น มาตรการเลื่อนเวลาการยื่นแบบแสดงรายการ นำส่ง และชำระภาษี มาตรการทางภาษีอากรและค่าธรรมเนียมเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ โครงการสินเชื่อเพื่อผู้ที่ได้รับผลกระทบ เป็นต้น ซึ่งจะส่งผลให้ประชาชนและผู้ประกอบการกลับมาดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจและมีรายได้ดังเช่นปกติ ทำให้ประชาชนและภาคธุรกิจมีความสามารถในการชำระภาษีในปีถัดไป ตลอดจนไม่เป็นการส่งผลกระทบต่อฐานะการคลังของ อปท. ในระยะยาวจึงเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาดังกล่าว    
5 โซลูชั่น “S-E-N-S-E” การออกแบบการพัฒนาเมือง กับวิถีชีวิต The Next Normal

5 โซลูชั่น “S-E-N-S-E” การออกแบบการพัฒนาเมือง กับวิถีชีวิต The Next Normal

การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ถือเป็นปรากฎการณ์ ของการแพร่ระบาดครั้งใหญ่ของโลก เพราะมีการแพร่กระจายออกไปทั่วทุกมุมโลก ซึ่งส่งผลทำให้วิถีชีวิตของผู้คนในยุคปัจจุบัน ต้องปรับเปลี่ยน และเปลี่ยนแปลงไปในหลายเรื่อง เพื่อที่จะป้องกันตนเองไม่ให้ได้รับเชื้อโรค ซึ่งภายหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ยุติลง  เชื่อว่า วิถีชีวิตของคนนับจากนี้ จะมีการเปลี่ยนแปลงไป กลายเป็นวิถีชีวิตปกติในรูปแบบใหม่ หรือ New Normal หรืออีกคำที่มักมีการพูดถึง คือ The Next Normal ซึ่งมีความหมายไม่แตกต่างกันมากนัก   ไม่เพียงแต่วิถีชีวิตประจำวันที่จะเป็นรูปแบบใหม่ และกลายเป็นวิถีชีวิตปกติของคนเราเท่านั้น  แต่วิถีชีวิตของคนในสายงานและสายอาชีพต่างๆ รวมถึงแวดวงธุรกิจ ก็มีทิศทางเปลี่ยนไปแบบใหม่เช่นกัน อย่างในแวดวงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่เริ่มเห็นความชัดเจน จากการที่ผู้ประกอบการปรับเปลี่ยนวิธีการขาย ด้วยการใช้สื่อออนไลน์และโซเชียลมีเดีย เข้ามาเป็นเครื่องมือสื่อสารถึงผู้บริโภค โดยลดการสัมผัสหรือมีการเว้นระยะห่างกันให้มากที่สุด เป็นต้น ซึ่งเชื่อว่าหลังจากนี้ คงจะมีการเปลี่ยนแปลงแบบใหม่ออกมาอย่างต่อเนื่องแน่นอน   ด้านการออกแบบและการพัฒนาเมืองในอนาคต ก็คงจะไม่แตกต่างกันเท่าไร เพราะสิ่งต่างๆ เหล่านี้คือ ปัจจัย 4 ที่มนุษย์ทุกคนต้องเข้าไปเกี่ยวข้อง และอยู่ร่วมกันแบบสัตว์สังคม ซึ่งตามมุมมองของ นายรติวัฒน์ สุวรรณไตรย์ สถาปนิก ผู้ก่อตั้ง OPENBOX GROUP บริษัทสถาปนิกที่มีผลงานการออกแบบตึกสูง โรงงานไฟฟ้าพลังงานทดแทน รวมถึงที่อยู่อาศัยประเภท Complex Residence ชื่อดังทั้งในและต่างประเทศ ได้อธิบาย The Next Normal ที่อาจจะเกิดขึ้นกับเมืองและชีวิตผู้คน ที่จะมุ่งสู่โซลูชั่นของการพัฒนาเมืองแห่งอนาคต (City of Future) ไว้อย่างน่าสนใจ The Next Normal ของการพัฒนาเมือง โดย โซลูชั่น City of Future นี่เอง จะเป็นเหมือนสูตรสำเร็จ ของการออกแบบการพัฒนาเมืองที่สอดรับกับ The Next Normal ซึ่งไม่เพียงตอบโจทย์การใช้ชีวิตในยุคโควิด-19  ที่จะอยู่กับโลกใบนี้ไปอีกนานเท่านั้น แต่ยังตอบโจทย์วิถีการดำเนินชีวิตใหม่ ซึ่งถูกบังคับให้ต้องเปลี่ยนแปลงจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี (Digital Disruption) และสอดคล้องกับแนวคิดในกระแสโลกยุคใหม่ คือการอยู่ร่วมกันกับธรรมชาติอย่างยั่งยืน   “เมืองที่มีความคิดสร้างสรรค์การออกแบบในด้านต่าง ๆ รวมเข้ามาประกอบกัน ไม่ว่าจะเป็นการจัดการพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ, การออกแบบอาคาร สถานที่ หรือเมืองให้สามารถตอบโจทย์การใช้งานได้ในสถานการณ์ที่หลากหลาย, การให้ความสำคัญกับธรรมชาติและพื้นที่สีเขียว และการใช้พลังงานร่วมกันอย่างประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังมีอีก 2 ปัจจัยที่จะเข้ามาเติมเต็มทำให้เมืองมีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ก็คือ การขนส่ง และนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัย” “S-E-N-S-E”  สำหรับเมืองแห่งอนาคตที่ยั่งยืน  นายรติวัฒน์  ได้เสนอแนวคิดการออกแบบการพัฒนาเมือง  ภายใต้แนวคิด “S-E-N-S-E” ที่รวม 5 โซลูชั่น สำหรับ City of the Future เมืองแห่งอนาคตที่ยั่งยืน ที่ประกอบไปด้วย S - Space Efficiency การจัดการพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด (Space Efficiency) เป็นแนวคิดการจัดการพื้นที่ที่สามารถตอบโจทย์การอยู่อาศัยรูปแบบใหม่ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิมให้แก่ผู้อยู่อาศัย โดยหนึ่งในโซลูชั่นที่จะเข้ามาตอบโจทย์แนวคิดนี้ก็คือ อาคารสูง เช่น คอนโดมิเนียม ซึ่งเชื่อว่าจะเข้ามาแก้ปัญหาการใช้พื้นที่และทรัพยากรที่มีจำกัดให้เกิดประสิทธิภาพ กล่าวคือหากเปลี่ยนการใช้พื้นที่ในแนวราบแบบกระจายตัวมารวบเป็นอาคารสูง จะทำให้มีพื้นที่เหลือในการใช้ประโยชน์อื่น ๆ ได้มากขึ้น โดยเฉพาะการมีพื้นที่สีเขียว หรือพื้นที่ในเชิงเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน อาคารสูงยังตอบโจทย์การใช้ชีวิตในยุคโควิดที่ผู้อยู่อาศัยจะแยกกันอยู่คนละชั้น ได้รับแสงแดดที่เพียงพอ และไม่มีปัญหาเรื่องการใช้อากาศร่วมกัน ให้ความรู้สึกปลอดภัยห่างไกลโควิดได้มากกว่าบ้านที่เป็นแนวราบ E-Energy Sharing การออกแบบเพื่อให้เกิดการใช้พลังงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ (Energy Sharing)  โดยปัจจุบันจะพบว่า คอนโดมิเนียม จะมีการใช้พลังงานสูงสุดในช่วงเวลากลางคืน แต่ช่วงกลางวันการใช้พลังงานจะลดลงไป ขณะที่อาคารสำนักงาน จะใช้พลังงานสูงสุดในช่วงเวลากลางวันเท่านั้น แต่จะลดการใช้ลงในช่วงกลางคืน ซึ่งแต่ละอาคารเหล่านั้นจะติดตั้งอุปกรณ์การจัดการพลังงานของตนเอง อุปกรณ์เหล่านั้นจึงทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ มีพลังงานเหลือเกินความต้องการ ทำให้เกิดแนวคิดใหม่ที่เรียกว่า Energy Blockchain หรือ Digital Energy กรณีมีพลังงานเหลือก็จะนำไปขายให้แก่ตึกที่อยู่ใกล้เคียงและใช้ในแบบเหลื่อมเวลากัน หรืออีกแนวคิดที่เรียกว่า District Cooling ระบบปรับอากาศแบบรวมศูนย์ โดยสามารถส่งความเย็นไปยังสถานที่อื่น ๆ ใกล้เคียงไม่ว่าจะเป็นบ้าน อาคารสำนักงาน  ห้าง และ คอนโดมิเนียม ถือเป็นแนวคิดการลดใช้พลังงาน ลดการใช้อุปกรณ์ที่เกินความจำเป็น N - Nature & Green การให้ความสำคัญกับธรรมชาติและพื้นที่สีเขียว (Nature & Green) เช่น แนวคิดการขยายพื้นที่สวนสาธารณะขนาดย่อม (pocket park) ให้กระจายตัวมากขึ้นในเขตเมือง และให้เพียงพอกับระยะคนเดิน ซึ่งประเทศญี่ปุ่นถือเป็นเจ้าแห่ง pocket park แห่งหนึ่งของโลก หรือในประเทศสิงคโปร์ และสหรัฐอเมริกา ที่นอกจากจะมีสวนสาธารณะขนาดใหญ่แล้วยังมี pocket park อีกหลายแห่ง ส่วนอีกแนวคิดหนึ่งที่น่าสนใจ คือ park network สวนสาธารณะหลาย ๆ แห่งที่ผู้คนสามารถเดิน วิ่ง หรือขี่จักรยาน เชื่อมถึงกันได้โดยไม่ต้องผ่านหรือใช้ถนน ซึ่งแนวคิดเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้ด้วยการออกแบบทั้งสิ้น S – Synchronization of Multi-Functions การออกแบบอาคาร สถานที่ หรือเมือง ให้สามารถตอบโจทย์การใช้งานได้ในสถานการณ์ที่หลากหลาย (Synchronization of Multi-Functions)  สอดคล้องกับลักษณะเฉพาะของเมืองในซีกโลกตะวันออกที่เป็นแบบผสมสาน (Mixed-use) โดยออกแบบให้สามารถปรับเปลี่ยนโหมดของอาคาร สถานที่ หรือเมืองได้ตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น ๆอย่างเช่น คอนโดมิเนียมในช่วงที่มีการระบาดของเชื้อโควิด จะเห็นได้ว่าหลายแห่งจะกำหนดการใช้ลิฟท์แบบจำกัด หรือจำกัดจำนวนของคนใช้ลิฟท์ ซึ่งในอนาคตการออกแบบจะสามารถเข้ามาเพิ่มเติมฟังก์ชั่นต่าง ๆ ให้ทุกชีวิตในยุคโควิดมีความสบายใจมากขึ้น อาทิ ล็อกเกอร์รับ-ส่งอาหาร หรือสิ่งของต่าง ๆ โดยผู้รับและผู้ส่งไม่ต้องเจอหน้ากัน และการออกแบบพื้นที่แบบ space in space ภายในบริเวณพื้นที่ส่วนกลางโดยใช้อุปกรณ์เพื่อแยกความเป็นส่วนตัวให้แก่ผู้อยู่อาศัยมากขึ้น เพื่อไม่เกิดความระแวงในการใช้พื้นที่ส่วนรวม ส่วนในระดับเมือง อาจจะนึกถึงประเทศโมนาโค หรือสิงคโปร์ ที่จะมีการจัดโหมดเมืองสำหรับการแข่งรถ สร้างรายได้ให้กับประเทศได้อีกมาก ขณะที่ประเทศไทยเอง มีโหมดเรื่องการป้องกันน้ำท่วม แต่ยังสามารถออกแบบเมืองให้สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามโหมดอื่น ๆ เช่น โหมดการเฝ้าระวังเชื้อโควิด หรือโหมดการจัดบิ๊กอีเว้นท์ เช่นวันสงกรานต์ เป็นต้น E - Explorations of Innovations การคิดค้น พัฒนาและสร้างสรรค์นวัตกรรมการอยู่อาศัยที่จะเข้ามาช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้คน (Explorations of Innovations) โดยการออกแบบบ้าน คอนโดมิเนียม และอาคารสำนักงาน สามารถดึงนวัตกรรมเหล่านี้เข้ามาเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยตอบโจทย์กับชีวิต New Normal อย่างเช่น ลิฟท์ ปัจจุบันคอนโดมิเนียมหลายแห่งใช้โถงลิฟท์ (private lift) ส่วนตัวเข้ามาใช้มากขึ้น นอกจากจะเป็นโซลูชั่นด้านความปลอดภัยในยุคโควิดแล้ว ยังตอบโจทย์การซื้อคอนโดมิเนียมเพื่อการลงทุนได้ เพราะลิฟท์ที่แยกออกมาต่างหากนั้น จะไม่เป็นการรบกวนกับเจ้าของห้องจริงที่เป็นผู้อาศัยอยู่ในคอนโดมิเนียมนั้น ๆ เลย ปัจจุบันยังพบด้วยว่ามีการคิดค้นลิฟท์ในรูปแบบต่าง ๆ ไว้มากมาย เพื่อรูปแบบการอยู่อาศัยที่หลากหลาย เช่น ลิฟท์ที่เคลื่อนตัวในแนวราบ (double deck lift) เป็นต้น   นอกจากนี้ ยังมีนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ในยุคโควิดได้เป็นอย่างดี อาทิ ประตูสองชั้น ที่ติดตั้งอุปกรณ์ช่วยในการคัดกรองคนเข้าออก และอุปกรณ์ฆ่าเชื้อ, การออกแบบพื้นที่ในสำนักงาน หรือ โค-เวิร์คกิ้ง สเปซ ที่ช่วยลดความเสี่ยงการแพร่กระจายของเชื้อโรค และ Smog-eating surface สีหรือพื้นผิวที่สามารถดูดซับเชื้อโรค ฝุ่นละลองพิษต่าง ๆ เป็นต้นรวมถึงนวัตกรรมด้าน Transportation หรือการขนส่ง โดยเมืองแห่งอนาคตจะสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้นหากมีการจัดการด้านการขนส่งอย่างเหมาะสม ซึ่งการใช้ชีวิตอยู่ในเมืองนั้น ผู้คนยังต้องเดินทาง ต้องติดต่อสื่อสาร และรับ-ส่งสิ่งของระหว่างกัน การออกแบบเมืองจึงสามารถออกแบบให้รองรับกับแนวคิดการขนส่งในรูปแบบใหม่ ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เช่น Hyperloop, drone transportเป็นต้น ทั้งหมดนี้ คือโซลูชั่นใหม่ ๆ ที่จะเข้ามาตอบโจทย์สถานการณ์ในปัจจุบัน และเป็นการเตรียมความพร้อมไปสู่อนาคตนั่นเอง   แนวคิดเหล่านี้เป็นแนวคิดการออกแบบโดยมีคนเป็นศูนย์กลาง ซึ่งเป็นโซลูชั่นที่ต้องการเข้าไปช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของผู้คน เป็นคุณภาพชีวิตที่ดีทั้งด้านสุขภาพและจิตใจ และสำคัญที่สุดคือ เมืองแห่งอนาคตนั้นจะต้องสามารถตอบโจทย์ได้ครบถ้วนทั้งด้านสังคม และเศรษฐกิจ เพื่อให้เป็นเมืองที่ยั่งยืนได้อย่างแท้จริง
ชาวจีน ฝ่าโควิด-19 โอนกรรมสิทธิ์อสังหาฯ ไตรมาสแรกกว่า 5,000 ล้าน

ชาวจีน ฝ่าโควิด-19 โอนกรรมสิทธิ์อสังหาฯ ไตรมาสแรกกว่า 5,000 ล้าน

ในแต่ละปี ประเทศไทยมีชาวจีนเป็น ชาติที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยได้อย่างมหาศาล โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยว เพราะแต่ละปีมีจำนวนนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศไทยกว่า 10 ล้านคน สร้างรายได้คิดเป็นมูลค่ากว่า 4-5 แสน ล้านบาทเลยทีเดียว   ส่วนในปีนี้ ตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนคงจะลดจำนวนลงอย่างมาก เพราะปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา แต่ก็เชื่อว่าประเทศไทยยังคงเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญ ที่นักท่องเที่ยวจีนต้องการจะมาเยือน และหากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สิ้นสุดลง ชาวจีนคงแห่มาเที่ยวเมืองไทยกันแน่นขนัดเหมือนเดิมแน่นอน   ชาวจีน ไม่ได้หอบเงินเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจเฉพาะด้านการท่องเที่ยวของไทยเท่านั้น แต่ในกลุ่มธุรกิจอื่นๆ ชาวจีนก็มีบทบาทสำคัญไม่น้อย โดยเฉพาะในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่ต้องยอมรับว่าเป็นลูกค้าหลักในกลุ่มของลูกค้าชาวต่างชาติเลยทีเดียว เรียกได้ว่า พี่จีนเราซื้ออสังหาฯ ไทย กินตลาดมากกว่าครึ่ง ของกลุ่มชาวต่างชาติที่เข้ามาซื้ออสังหาฯ เมืองไทย ส่องไตรมาสแรก จีนโอนคอนโดฯ กว่า 5,000 ล้าน ในไตรมาสแรกของปีนี้ สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติ ไม่สามารถเดินทางเข้ามาประเทศไทยได้ รวมถึงชาวจีนเองด้วย ซึ่งกระทบทั้งภาคการท่องเที่ยว และตลาดอสังหาฯ เพราะชาวจีนซึ่งเป็นลูกค้าหลักของตลาดอสังหาฯ ไม่สามารถเดินทางเข้ามาซื้อหรือโอนกรรมสิทธิ์ได้   แต่อย่างไรก็ตาม แม้จะเกิดความยากลำบากในการเดินทาง แต่กลุ่มลูกค้าชาวจีนซึ่งเป็นกลุ่มที่ต้องการที่อยู่อาศัยในเมืองไทยอย่างแท้จริงกลุ่มหนึ่ง ก็หาวิธีในการโอนกรรมสิทธิ์ จากการซื้อคอนโดมิเนียมไว้ก่อนหน้านี้แล้ว โดยข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) รายงานว่า ช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา กลุ่มลูกค้าชาวจีนได้โอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ เป็นจำนวน 1,446 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 54.6% จำนวนโอนกรรมสิทธิ์ของกลุ่มลูกค้าต่างชาติทั้งหมด 2,647 ยูนิต ซึ่งคิดเป็นมูลค่า 10,549 ล้านบาท ซึ่งมูลค่าการโอนการมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย ของกลุ่มลูกค้าชาวจีนในไตรมาสแรก จึงมีมูลค่ามากกว่า 5,000 ล้านบาท ชาวจีนเบอร์ 1 ซื้ออสังหาฯ ไทย หากดูตัวเลขย้อนหลังไปในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา จะพบว่า กลุ่มลูกค้าชาวจีนยังคงเป็นอันดับ 1 ในการซื้ออสังหาฯ ของไทยมาอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2562 กลุ่มลูกค้าต่างชาติ มีการโอนกรรมสิทธิ์มากถึง 12,609 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 49,728 ล้านบาท ชาวจีนยังมาเป็นอันดับ 1 ด้วยจำนวนการโอนที่อยู่อาศัย 7,506 หน่วย มูลค่า 28,860 ล้านบาท รองลงมาชาวรัสเซีย โอนกรรมสิทธิ์จำนวน 794 ยูนิต มูลค่า 2,373 ล้านบาท และอันดับ 3 เป็นชาวสหราชอาณาจักร โอนจำนวน 404 ยูนิต มูลค่า 1,627 ล้านบาท   ส่วนในปี 2561 กลุ่มชาวต่างชาติซื้ออสังหาฯ ไทย เป็นจำนวน 13,033 หน่วย มูลค่ารวม 54,659 ล้านบาท โดยชาวจีนยังซื้อมากที่สุดด้วยจำนวน 7,551 ยูนิต มูลค่า 29,446 ล้านบาท รองลงมาเป็นชาวรัสเซีย จำนวน 815 ยูนิต มูลค่า 2,276 ล้านบาท และอันดับ 3 เป็นชาวสหราชอาณาจักร 499 ยูนิต 2,184 ล้านบาท สำหรับภาพรวมการโอนกรรมสิทธิ์ของชาวต่างชาติในไตรมาสที่ผ่านมา ถือว่ามีการขยายตัวดที่ดีมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีจำนวนสัญชาติของชาวต่างชาติเพิ่มเข้ามามากขึ้นด้วย โดยมีจำนวนสัญชาติของชาวต่างชาติ 76 สัญชาติ เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาทั้งปี มีชาวต่างชาติ 74 สัญชาติที่เข้ามาซื้ออสังหาฯ ของไทย ซึ่งชาวต่างชาติที่เพิ่งเริ่มเข้ามาซื้ออสังหาฯ ไทย ได้แก่ ชาวเซอร์เบีย ซื้อจำนวน 4 ยูนิต และชาวเอสโทเนีย ซื้ออสังหาฯ 1 ยูนิต   อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการโอนกรรมสิทธิ์อสังหาฯ ในไตรมาส 2 เชื่อว่าจะลดต่ำลงต่อเนื่อง เพราะชาวต่างชาติยังไม่สามารถเดินทางเข้ามาในไทยได้อย่างปกติ ซึ่งต้องทำให้มีการเลื่อนการโอนกรรมสิทธิ์ออกไปอีกสักระยะ ซึ่งอาจจะส่งผลให้ภาพรวมในปีนี้ การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยของชาวต่างชาติ ลดต่ำลงกว่าช่วง 2 ปีที่ผ่านมาอย่างมาก โดยมีปัจจัยสำคัญ คือ สถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เพราะคงต้องรอให้มีวัคซีนป้องกันโรค ออกมาใช้อย่างเป็นทางการ และมีการควบคุมการแพร่ระบาดได้อย่างเคร่งครัด จึงจะส่งผลให้การเดินทางระหว่างประเทศกลับมาเป็นปกติ
LPN Wisdom คาดอสังหาฯ ครึ่งปีหลัง 63 ฟื้นตัว แต่เปิดโปรเจ็กต์ใหม่ลดลงกว่า 50%

LPN Wisdom คาดอสังหาฯ ครึ่งปีหลัง 63 ฟื้นตัว แต่เปิดโปรเจ็กต์ใหม่ลดลงกว่า 50%

LPN Wisdom ประเมินตลาดอสังหาฯ 63 ติดลบ 15-20% แม้ครึ่งหลังของปีมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น หลังการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งสัญญาณดีขึ้น คาดทั้ง 29 ดีเวลอปเปอร์ในตลาดหลักทรัพย์ หั่นเปิดโครงการใหม่ลงกว่าครึ่งจากปีที่ผ่านมา เหลือเปิดแค่  50,000-55,000 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 175,000-190,000 ล้านบาท      นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลุมพีนี วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด (LPN Wisdom) บริษัทด้านการวิจัยและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน)(LPN) เปิดเผยถึง ทิศทางตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2563 ว่า มีแนวโน้มทิศทางที่ดี มีแนวโน้มฟื้นตัวภายหลังจากเห็นสถานการณ์การแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัส 2019 (โควิด-19) มีแนวโน้มคลี่คลาย บิ๊กอสังหาฯ ยังทำกำไร Q1 กว่า 8,176.88 ล้าน ขณะเดียวกัน ยังพบว่าช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา 29 บริษัทอสังหาริมทรัพย์ ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ยังมีความสามารถในการสร้างรายได้รวม 59,207.66 ล้านบาท ถึงแม้ผลการดำเนินงานจะลดลง 30.43% รวมถึงกำไรสุทธิ 8,176.88 ล้านบาท ปรับตัวลดลง 40.68% เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปี 2562 ก็ตาม  แต่เมื่อเทียบความสามารถในการทำกำไร (Net Profit Margin)ของบริษัทอสังหาฯ ดังกล่าว  ยังคงสามารถรักษาระดับความสามารถในการทำกำไรเฉลี่ยอยู่ที่  13.81% ซึ่งถือว่ายังอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมอื่น   นอกจากนี้  สัดส่วนหนี้สินต่อทุน (Debt to Equity Ratio) ของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ณ สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2563 โดยเฉลี่ยยังต่ำกว่า 2:1 เท่า ซึ่งสะท้อนถึงความแข็งแกร่งทางการเงินของบริษัทอสังหาฯ  ซึ่งแตกต่างจากวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 ที่สัดส่วนหนี้ต่อทุนของบริษัทอสังหาฯ  ในระบบในขณะนั้น มีสัดส่วนสูงเกินกว่า 2:1 ทำให้มีความเสี่ยงในการทำธุรกิจเมื่อเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจหดตัว LPN Wisdom ประเมินอสังหาฯ หดตัว  15-20% ขณะเดียวกันทาง  LPN Wisdom ประมาณการณ์ว่า เศรษฐกิจไทยจะติดลบประมาณ 5-7%  ซึ่งสอดคล้องกับการประมาณการณ์เศรษฐกิจไทยจะติดลบที่ 5-6% ของสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งแม้ว่าผู้ประกอบการจะมีความแข็งแกร่งทางการเงิน แต่การเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจหดตัว  จะส่งผลให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปี 2563 มีแนวโน้มติดลบในสัดส่วน 15-20% เมื่อเทียบกับปี 2562   LPN Wisdom มั่นใจว่าโครงสร้างทางการเงินที่แข็งแกร่งของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะบริษัทที่ดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (Environment, Social, Governance: ESG) ซึ่งอยู่ในบัญชีรายชื่อหุ้นยั่งยืนหรือ Thailand Sustainability Investment (THSI) จะสามารถสร้างรายได้ ยอดขาย และรักษาอัตราการทำกำไร ในห้วงเวลาที่เศรษฐกิจชะลอตัว   ในขณะเดียวกันจากการวิเคราะห์กำลังซื้อในไตรมาสแรกของปี 2563 พบว่า ความต้องการซื้อเพื่อการอยู่อาศัยยังคงมีกำลังซื้ออย่างต่อเนื่องทั้งแนวราบและอาคารชุดเพื่อการอยู่อาศัย รายได้ที่ลดลงของผู้ประกอบการอสังหาฯ โดยเฉลี่ย 30.43% ในไตรมาสแรก เป็นผลมาจากไม่สามารถโอนที่อยู่อาศัยให้กับผู้ซื้อจากต่างประเทศได้ตามแผนที่วางไว้ ซึ่งเป็นผลจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และบางส่วนเป็นกลุ่มลูกค้าที่ซื้อเพื่อการลงทุนที่ชะลอการลงทุนในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัว LPN Wisdom คาดเปิดโปรเจ็กต์ใหม่ลดกว่า 50-55% อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทย  ที่มีแนวโน้มคลี่คลายและคาดว่า  จะสามารถปลดล็อกได้สิ้นไตรมาส 2 ของปี 2563 ทำให้ LPN Wisdom คาดว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์จะค่อยๆ ฟื้นตัว ในไตรมาส 3 และไตรมาส 4ของปี 2563 โดยคาดว่าผู้ประกอบการจะทยอยเปิดตัวโครงการใหม่ในไตรมาส 3 และไตรมาส 4  หลังจากที่ชะลอแผนเปิดตัวโครงการใหม่ในไตรมาส 2 ของปี 2563  ซึ่งคาดว่าจะมีจำนวนการเปิดตัวโครงการใหม่ในปี 2563 จะอยู่ที่ 50,000-55,000 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 175,000-190,000 ล้านบาท  หรือลดลง 50-55% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปี 2562 ภายใต้เงื่อนไขที่ไม่มีการระบาดของไวรัส โควิด-19 ระลอกสอง นายประพันธ์ศักดิ์ กล่าวอีกว่า ถึงแม้ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์จะฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลังของปี 2563 ก็ตามแต่เนื่องจากจำนวนสินค้าคงเหลือและโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ยังคงมีมูลค่าสูง เฉพาะ 29 บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมีจำนวนสินค้าคงเหลือและโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา ณ วันที่ 31 มีนาคม 2562 สูงถึง 576,406 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 6.74% จาก ณ สิ้นปี 2562  ซึ่งต้องใช้เวลาในการขายไม่น้อยกว่า 36 เดือน ทำให้แนวโน้มผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ จะเร่งขายโครงการเดิม แทนการเปิดโครงการใหม่   อย่างไรก็ตาม จะมีบางบริษัทที่ยังคงเปิดโครงการใหม่ในบางทำเลที่มีกำลังซื้อสูง โดยเฉพาะโครงการแนวราบทั้งบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ ที่มีความต้องการสูง ตามพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป  ตามรูปแบบการใช้ชีวิตในวิถีปรกติใหม่ (New Normal) ที่ต้องการพื้นที่ใช้สอยเพิ่มขึ้น ตอบโจทย์การทำงานที่บ้าน (Work From Home) ที่กำลังกลายเป็นรูปแบบการทำงานรูปแบบใหม่ หลังการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ LPN Wisdom เชื่อว่า การทำงานที่บ้านจะยังคงอยู่แม้จะไม่มีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แล้วก็ตาม  
ริชี่ จัดหนักไตรมาส 2 ซื้อบ้านแถมรถเบนซ์ หรืออยู่ฟรี 5 ปี

ริชี่ จัดหนักไตรมาส 2 ซื้อบ้านแถมรถเบนซ์ หรืออยู่ฟรี 5 ปี

ริชี่  จัดหนักอัดโปร Double Choice แรงสุดในรอบ 10 ปี ให้ลูกค้ามี 2 ทางเลือกมากสุดในตลาดอสังหาฯ ซื้อบ้าน-คอนโดฯ ได้รถเบสซ์  หรือไม่ต้องผ่อนนาน 5 ปี ขน 12 โครงการ 12 ทำเลพร้อมอยู่กระตุ้นยอดขายไตรมาส 2 หลังช่วง 3 เดือนแรกของปี กำไรและรายได้ลดตามสภาพตลาด และเจอพิษโควิด-19   ดร.อาภา อรรถบูรณ์วงศ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ริชี่เพลซ 2002 จำกัด (มหาชน) หรือ RICHY เปิดเผยว่า จากสภาวะตลาดอสังหาฯ ที่ปัจจุบันแข่งขันกันสูงมาก  บริษัทมองตอนนี้เป็นโอกาสทองของลูกค้าที่จะเลือกที่อยู่อาศัยดีๆ ในราคาที่จับต้องได้  จึงส่งโปรโมชั่น  “Double Choice” ที่แรงสุด คุ้มสุดในรอบ 10 ปีของบริษัท  และแรงสุดเมื่อเทียบกับทุกเจ้าในตลาดฯ เพื่อช่วยให้ลูกค้ามั่นใจและยังไม่ต้องการแบกภาระในช่วงเวลาแบบนี้ไปอีก 5 ปี โดยให้ทางเลือกลูกค้าดังนี้   ช้อยซ์ที่ 1  ริชี่ให้อยู่ฟรีหรือช่วยผ่อนให้สูงสุด 60 เดือน หรือ 5 ปี เปลี่ยนจากผู้เช่าเป็นเจ้าของได้ทันที ปลอดภาระรายจ่าย หากเป็นลูกค้านักลงทุนเท่ากับจะมีรายได้เพิ่มในการนำไปปล่อยเช่าต่อ ทั้งนี้ขึ้นกับภาระเดิมและอายุของผู้ซื้อประกอบการใช้สิทธิ์ ช้อยซ์ที่ 2 ซื้อคอนโด บ้าน หรือทาวน์โฮม รับฟรีรถยนต์ 1 คัน เหมาะกับลูกค้าที่ต้องการมีทั้งบ้านและรถ แต่ไม่สามารถมีภาระได้พร้อมกัน ริชี่จัดรถยนต์ให้ฟรีๆ ไป 1 คัน อาทิ รถเบนซ์ มินิคูเปอร์ ฮอนด้า ซีวิค ฮอนด้า ซิตี้ และอีกหลายรุ่น ขึ้นกับโครงการที่คุณเลือก   นอกจากนี้ ทุกโครงการลูกค้าจะได้รับผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม WellTech ตามนโยบายของ ริชี่ ที่มุ่งหวังให้ลูกบ้านมีสุขภาวะที่ดีอย่างยั่งยืน อาทิ เครื่องฟอกอากาศ PM 2.5 เครื่องกรองน้ำดื่ม เครื่องกรองน้ำอาบช่วยลดคลอรีนเพื่อผิวพรรณที่ดี เป็นต้น โดยส่วนลดและของแถมทั้งหมดของโปรชั่นดังกล่าว มีมูลค่ากว่า 50 ล้านบาท ซึ่งโปรโมชั่นจะเริ่มตังแต่วันนี้จนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2563   ดร.อาภา กล่าวอีกว่า  โครงการที่ร่วมโปรโมชั่น RICHY Double Choice ทั้งหมด 12 โครงการ ทั้งคอนโดมิเนียมแนวสูง แนวราบ และ ทาวน์โฮม อาทิ The Rich เอกมัย, The Rich เพลินจิต-นานา, The Rich สาทร-ตากสิน, Rich Park @เตาปูนอินเตอร์เชนจ์, Rich Point @BTS วุฒากาศ และ The Rich Ville ราชพฤกษ์-รัตนาธิเบศร์ เป็นต้น   สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกที่ผ่านมา  บริษัทมีรายได้รวม 237.93 ล้านบาท ลดลง 210.19 ล้านบาท หรือลดลง 46.90% เมื่อเทียบกับปีก่อนในงวดเดียวกัน  ปัจจัยหลักมาจากการโอนรับรู้รายได้จากอสังหาริมทรัพย์ ลดลง จำนวน 209.94 ล้านบาท หรือลดลงคิดเป็น 47.33%  เมื่อเทียบกับปีก่อน เป็นผลมาจากปัจจัยหลายอย่าง ทั้งสภาวการณ์ภายในประเทศ และภายนอกประเทศ ที่เกิดการแพร่กระจายของโรคระบาดไวรัสโควิด-19 จึงส่งผลให้การรับรู้รายได้ลดลง   สำหรับในไตรมาสแรก ปี 2563 ที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้จากการขายอาคารชุดจำนวนเงิน 218.10 ล้านบาท ลดลง 199.79 ล้านบาท หรือลดลง  47.81% เนื่องจากยอดโอนกรรมสิทธิ์จากอาคารชุดส่วนใหญ่ รับรู้รายได้น้อยลงกว่า ปี 2562 ซึ่งเป็นรายได้หลักจากการขายอสังหาริมทรัพย์ รายได้จากการขายทาวน์โฮมจำนวนเงิน 15.55 ล้านบาท ลดลง 10.15 ล้านบาท หรือลดลง 39.49%   บริษัทมีกำไรสุทธิสำหรับไตรมาสแรก ปี 2563 เท่ากับ 21.28 ล้านบาทหรือคิดเป็น​ 8.94%  ของรายได้รวม โดยมีกำไรสุทธิลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนเท่ากับ 50.65 ล้านบาทหรือลดลง  70.42% ปัจจัยหลักมาจากรายได้ จากการโอนกรรมสิทธิ์ที่ลดลง  
“พรอสเพค”  เดินหน้าขยายพื้นที่โรงงาน-คลังสินค้ากว่า 150,000 ตร.ม. รับดีมานด์จีน

“พรอสเพค”  เดินหน้าขยายพื้นที่โรงงาน-คลังสินค้ากว่า 150,000 ตร.ม. รับดีมานด์จีน

พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ เดินหน้าขยายพื้นที่โรงงานและคลังสินค้าเพิ่มอีก 150,000 ตารางเมตร รับดีมานด์ต่างชาติ โดยเฉพาะชาวจีน แห่เช่าพื้นที่หลังหนีสงครามการค้า มองหาแหล่งผลิตสินค้าใหม่ ชี้ผลกระทบโควิด-19 น้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ ครึ่งปีหลังเล็งออกกองทรัสต์   นางสาวรัชนี มหัตเดชกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (PD) ในเครือ บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) หรือ MK ผู้พัฒนาและบริหารโครงการบางกอกฟรีเทรดโซน (Bangkok Free Trade Zone : BFTZ) เปิดเผยว่า ได้วางแผนขยายโรงงานและคลังสินค้าให้เช่าเพิ่มขึ้นอีก 2 แห่ง  ในบริเวณ กม.19 ถนนบางนา-ตราด และย่านเทพารักษ์ รวม 150,000 ตารางเมตร  โรงงานและคลังสินค้าให้เช่าทั้ง 2 แห่ง จะเริ่มดำเนินการก่อสร้างในปลายปี 2563 จากปัจจุบัน  พรอสเพค มีพื้นที่อาคารโรงงานและคลังสินค้าประมาณ 220,000 ตารางเมตร ตั้งอยู่ที่ ถนนบางนา-ตราด กม.23 ที่ได้เริ่มพัฒนาโครงการมาตั้งแต่ปี 2559  โดยภายในไตรมาสแรกของปี 2564 พรอสเพค จะมีพื้นที่ทั้งหมด 300,000 ตารางเมตร ตั้งแต่เริ่มพัฒนาโครงการจนปัจจุบัน พรอสเพค มีพื้นที่อาคารโรงงานและคลังสินค้าเติบโตสูงถึง 160% ซึ่งหากมีการพัฒนาเต็มทุกเฟส จะทำให้บริษัทมีพื้นที่อาคารโรงงานและคลังสินค้ากว่า 450,000 ตารางเมตร สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกของปี 2563 ที่ผ่านมา บริษัทสามารถสร้างรายได้แล้ว 101 ล้านบาท จากอัตราการเช่าพื้นที่กว่า 92%  ซึ่งนอกจากแผนการขยายพื้นที่โรงงานและคลังสินค้าเพิ่ม บริษัท ยังมีแผนจัดตั้งกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาฯ ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ด้วย   อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมามีปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่พบว่า ธุรกิจโรงงานและคลังสินค้าให้เช่าของบริษัท ได้รับผลกระทบน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ในเบื้องต้น  แต่ในทางกลับกันพบว่ามีกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติเข้ามาติดต่อขอเช่าพื้นที่โรงงานและคลังสินค้าเพิ่มมากขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าชาวจีนที่เริ่มเห็นสัญญาณชัดเจน  ตั้งแต่มีสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน (Trade war) ส่งผลให้จีนมองหาแหล่งผลิตและฐานกระจายสินค้าใหม่  จึงถือเป็นโอกาสที่ดีของธุรกิจให้เช่าโรงงานและคลังสินค้า สำหรับปัจจัยหลักที่สนับสนุนให้ BFTZ มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เป็นผลมาจากโครงการดังกล่าวมีความ  โดดเด่นอย่างมาก โดยเป็นโครงการที่มีทั้งส่วนที่เป็น Free Zone และ General Zone มีพื้นที่ในการบริการทั้งในส่วนที่เป็นคลังสินค้าและโรงงานให้เช่า มีระบบการดูแลรักษาความปลอดภัยที่สมบูรณ์แบบ บนพื้นที่ขนาดใหญ่กว่า 1,000 ไร่ ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่สีม่วงที่ใหญ่ที่สุดในย่านนี้ สามารถเดินทางเข้าออกได้ 2 เส้นทาง คือ ถนนบางนา-ตราด กม.23 และ ถนนบางนา-ตราด กม.19 และมีการคมนาคมที่สะดวก โดยห่างจากท่าเรือคลองเตยเพียง 23 กิโลเมตร ห่างจากสนามบินสุวรรณภูมิเพียง 17 กิโลเมตร และห่างจากท่าเรือแหลมฉบังเพียง 90 กิโลเมตร   ทั้งนี้ สามารถเดินทางไปยังเขตโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เพียง 50 กิโลเมตร มีบริการเสริมสำหรับอำนวยความสะดวกที่เตรียมไว้ให้ผู้ประกอบการทั้งไทยและต่างชาติ อาทิ Consulting Service เป็นบริการให้คำปรึกษาเรื่องการขออนุญาตประกอบธุรกิจในประเทศไทย ขั้นตอนการเตรียมความพร้อมในการทำธุรกิจ เอกสารประกอบ และให้คำปรึกษาด้านการขอใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบกิจการในเขตปลอดอากร (กศก. 185) เป็นต้น นอกจากนี้ทางโครงการยังมีระบบสาธารณูปโภคภายในโครงการอย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็นระบบการบำบัดน้ำเสีย ระบบป้องกันน้ำท่วม ระบบรักษาความปลอดภัย และการดูแลความสะอาดภายในโครงการ และยังมีโซนร้านค้า ร้านอาหาร และบริการด้านศุลกากรสำหรับการบริการผู้เช่าอีกด้วย   ทั้งนี้  โครงการ Bangkok Free Trade Zone ตั้งอยู่ที่ บางนาตราด กม.23  เป็นพื้นที่โรงงานและคลังสินค้าที่มีการ ขออนุญาตให้เป็น Free Zone สามารถรองรับความต้องการของลูกค้าที่เข้ามาเช่าพื้นที่ โดยสามารถเลือกได้ทั้งส่วนที่เป็น Free Zone หรือ ส่วนที่เป็น General Zone  ซึ่งภายใน Bangkok Free Trade Zone นี้ เรามีอาคาร ให้เช่าแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ 1.อาคารคลังสินค้า และ 2.อาคารโรงงาน เนื่องจากบริเวณที่ตั้งโครงการเป็นพื้นที่  สีม่วง ทำให้ผู้ประกอบการสามารถสร้างโรงงานในพื้นที่นี้ได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการขออนุญาต สำหรับ Bangkok Free Trade Zone พื้นที่ทั้งหมดในโครงการมีทั้งสิ้น 1,000 ไร่ ซึ่ง 700 ไร่ เป็นพื้นที่เพื่อการเช่าหรือ Leasable Area  โดยอีก 300 ไร่ คือ พื้นที่เพื่อการสาธารณูปโภค อาทิ ถนนสาธารณะ โรงบำบัดน้ำเสีย และส่วนการรักษาความปลอดภัยภายในโครงการ เป็นต้น                      
แลนดี้ โฮม จับตลาด “รื้อบ้านเก่า สร้างบ้านใหม่” หวังสร้างยอดขาย 200 ล้านบาท

แลนดี้ โฮม จับตลาด “รื้อบ้านเก่า สร้างบ้านใหม่” หวังสร้างยอดขาย 200 ล้านบาท

แลนดี้ โฮม  บุกตลาด "รื้อบ้านเก่าสร้างใหม่" รับดีมานด์ลูกค้าอยู่ในไพร์มแอเรีย ที่ดินราคาสูง ไม่อยากย้ายทำเล ส่งแคมเปญให้ส่วนลดสูงสุด 30% พร้อมค่ารื้อถอนสูงสุด  65,000 บาท คาดทำยอดขาย 200 ล้าน   นางสาวภัทรา มณีรัตนะพร ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริษัท แลนดี้ โฮม (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ในปีนี้ แลนดี้ โฮม หันมาจับตลาดทุบบ้านเก่าสร้างบ้านใหม่ ซึ่งกำลังได้รับความนิยมในกลุ่มเจ้าของที่ดิน โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีมูลค่าสูง เช่น สุขุมวิท พระราม 4 พัฒนาการ รามคำแหง ศรีนครินทร์ วิภาวดี พหลโยธิน ฯลฯ ซึ่งส่วนใหญ่เจ้าของที่ดินเป็นกลุ่มผู้สูงอายุ ไม่อยากย้ายออกจากทำเลเดิม และไม่ต้องการขายที่ดินให้กับนักพัฒนาที่ดิน  แต่ต้องการอยู่อาศัยเอง หรือต้องการให้เป็นมรดกแก่ลูกหลาน   โดยการรื้อบ้านเก่า สร้างบ้านใหม่ ถือเป็นเทรนด์ใหม่ที่น่าจับตามอง โดยเฉพาะในทำเลไพรม์แอเรีย ที่ตัวบ้านหลังเดิมอาจจะมีสภาพเก่า 30 - 50 ปีขึ้นไป และฟังก์ชั่นการใช้งานอาจจะไม่ตอบโจทย์แล้ว  เจ้าของที่ดินหรือบ้าน ยังผูกพันกับย่านที่อยู่อาศัยเดิม จึงมีแนวคิดที่จะทุบทิ้ง และสร้างบ้านแบบใหม่ที่มีดีไซน์ และฟังก์ชั่นตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ในยุคปัจจุบันมากขึ้น   ประกอบกับในช่วงสถานการณ์โควิด-19  จำเป็นต้องใช้เวลาอยู่บ้านมากขึ้น จึงทำให้หันมาให้ความสำคัญกับตัวบ้าน เกิดการรีโนเวทบ้าน และการสร้างบ้านใหม่ขึ้นมา เพื่อตอบสนองความต้องการในการอยู่อาศัยของสมาชิกในครอบครัวทุกช่วงวัย   อีกทั้งค่าใช้จ่ายในการสร้างบ้านใหม่ กับการรีโนเวทนั้น แทบจะไม่แตกต่างกัน แต่การทุบทิ้งแล้วสร้างใหม่จะทำให้ได้ฟังก์ชั่นการใช้งานที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ได้มากกว่าการรีโนเวท   บริษัทจึงได้ออกแคมเปญพิเศษ “รื้อบ้านเก่า สร้างบ้านใหม่ เป็นมรดกให้ลูกหลาน” เพื่อให้บริการแบบ One Stop Service ที่ทำให้การสร้างบ้านใหม่เป็นเรื่องง่าย โดยมอบสิทธิพิเศษให้กับลูกค้า ด้วยการช่วยสนับสนุนค่ารื้อบ้าน มูลค่าสูงสุด 65,000 บาท และยังช่วยสนับสนุนค่าเช่าในระหว่างรื้อบ้าน และก่อสร้างบ้าน สูงสุด 250,000 บาท โดยบริษัทได้จัดเตรียมแบบบ้านไว้ให้เลือกมากกว่า 300 แบบ พร้อมมอบส่วนลดสร้างบ้านสูงสุด 30% สำหรับลูกค้าที่เข้าร่วมแคมเปญ ซึ่งตั้งเป้าว่าน่าจะทำยอดขายได้ 200 ล้านบาท   นางสาวภัทรา กล่าวอีกว่า ที่ดินในจุดไพรม์แอเรียบางแห่ง ไม่ได้มีขนาดใหญ่มาก แต่มีราคาที่ดินค่อนข้างสูง ซึ่งสามารถส่งต่อเป็นสินทรัพย์ให้ลูกหลานได้ แลนดี้ โฮม เข้าใจถึงความต้องการลูกค้าในส่วนนี้ จึงนำเสนอแบบบ้านที่หลากหลาย เหมาะกับที่ดินรูปแบบต่างๆ ทั้งหน้ากว้าง-ตื้น หรือ หน้าแคบ-ลึก โดยการสร้างบ้านใหม่ลูกค้าสามารถเลือกแบบบ้านได้ตามต้องการ และความเหมาะสม โดยทุกแบบจะได้รับการออกแบบและควบคุมการก่อสร้างโดยสถาปนิกและวิศวกรมืออาชีพ ที่คำนึงถึงความสวยงามและฟังก์ชั่นการใช้งานที่ลงตัวสำหรับทุกคนในบ้าน สำหรับภาพรวมของตลาดรับสร้างบ้านในปีนี้ คาดว่ามูลค่าตลาดในปีนี้อยู่ที่ประมาณ 13,000 – 13,500 ล้านบาท โดยสัดส่วนของตลาดทุบบ้านเก่าสร้างบ้านใหม่นี้ จะอยู่ที่ประมาณ 30% ของตลาดรับสร้างบ้านรวมทั้งหมด
MQDC เตรียมเปิด “เดอะ ฟอเรสเทียร์” เมกะโปรเจกต์ 2.5 แสนล้าน ต้นปี 2564

MQDC เตรียมเปิด “เดอะ ฟอเรสเทียร์” เมกะโปรเจกต์ 2.5 แสนล้าน ต้นปี 2564

MQDC เชื่อมั่นเศรษฐกิจไทย ประกาศเดินหน้าต่อทุกโครงการ  เตรียมเปิดตัว “THE FORESTIAS” เมกะโปรเจกต์ 125,000 ล้านบาท ในต้นปี 2564 ภายใต้ แนวคิด ‘For All Well - Being’  เชื่อหลังวิกฤตโควิด-19 ต่างชาติจะเข้ามาลงทุน เพราะเชื่อมั่นในเรื่องความปลอดภัย และมาตรฐานสาธารณสุขไทย   นายวิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทแมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) เปิดเผยว่า แม้ขณะนี้เกิดวิกฤตโควิด – 19  แต่ MQDC ยังคงเดินหน้าธุรกิจต่อไป ด้วยความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจของประเทศไทยในระยะยาว  และเชื่อว่ารัฐบาลยังคงผลักดันในเกิดเมกะโปรเจกต์ เช่น โครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) เป็นต้น  โดยบริษัทยังคงเปิดขายโครงการที่มีอยู่ในปัจจุบันต่อไป  แต่มีการปรับแผนงานส่วนใหญ่ จะเป็นการปรับแผนระยะสั้นมากกว่าแผนระยะยาว เช่น การเปิดตัวโครงการใหญ่ก็จะชะลอไปเปิดต้นปีหน้า อย่างเช่น โครงการเดอะฟอเรสเทียร์ (THE FORESTIAS) เมกะโปรเจกต์ มูลค่า 125,000 ล้านบาท ที่เตรียมพร้อมเปิดในช่วงต้นปี 2564   สำหรับการเปิดตัวโครงการเดอะ ฟอเรสเทียร์  โดยเฉพาะหลังจากวิกฤตโควิด – 19 ต้องคิดไปถึงคุณภาพชีวิตจนถึงสุขภาพ และความสุขของผู้อยู่อาศัย เพราะผู้คนจะพิถีพิถันในการดำเนินชีวิตมากขึ้น แนวคิดของ THE FORESTIAS คือ “เมืองคู่ป่า” ที่แรกในโลก  ซึ่งโครงการเดอะ ฟอเรสเทียร์  เป็นการดำเนินโครงการตามปรัชญาของ MQDC ที่มุ่งเน้นเรื่องสร้างสรรค์โครงการที่ส่งเสริมความรับผิดชอบต่อสังคม และให้ความสำคัญต่อคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น ตามแนวคิด  "For All Well - Being" โดยโครงการเดอะ ฟอเรสเทียร์ ถูกพัฒนา แบบ Mixed-Use Lifestyle ทั้งที่อยู่อาศัย พื้นที่ค้าปลีก อาคารสำนักงาน ศูนย์สุขภาพ สถานศึกษา อาคารนวัตกรรม พื้นที่สำหรับกิจกรรมการเรียนรู้และสร้างสรรค์ของครอบครัว ที่สามารถครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายได้ทุกกลุ่ม  ได้แก่ คอนโดมิเนียมแบรนด์ Whizdom กลุ่มคอนโดมิเนียมแบรนด์ Mulberry Grove ที่อยู่อาศัยแบรนด์ Mulberry Grove Villas กลุ่มที่อยู่อาศัยแบรนด์ The Aspen Tree และยังมีที่อยู่อาศัยและโรงแรมจากแบรนด์ระดับโลก คือ กลุ่มที่อยู่อาศัยแบรนด์  Six Senses โรงแรมแบรนด์ Six Senses และอื่นๆ   จากผลงานของรัฐบาลและสาธารณสุขไทย ที่เป็นที่ยอมรับทั่วโลก และความร่วมมือร่วมใจ ความมีวินัยของคนไทย ที่ได้แสดงให้ชาวโลกประจักษ์ รวมถึงความมีน้ำใจ ความแบ่งปันของคนไทย เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยให้ประเทศไทยจะเป็นที่น่าที่ลงทุนที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เพราะปัจจัยสำคัญตัวนึงที่เกิดขึ้นหลังเหตุการณ์โควิด-19 สำหรับในการเลือกลงทุนในประเทศใดของนักลงทุนต่างชาติ คือความปลอดภัย และระบบสาธารณสุข นายวิสิษฐ์  กล่าวอีกว่า ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด  เนื่องมาจากยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงการที่ชัดเจน โดยเฉพาะการเป็นผู้ริเริ่มพัฒนาโครงการประเภท Mixed-Use ซึ่งเป็นโครงการขนาดใหญ่ มีมูลค่าโครงการสูง ซึ่งสามารถตอบโจทย์ได้ตรงความต้องการของลูกค้า ทำให้เกิดการตอบรับเป็นอย่างดี และด้วยกลยุทธ์ในการพัฒนาโครงการร่วมกับ Global Partner ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในระดับโลก ทำให้โครงการที่พัฒนามีความโดดเด่น สามารถพัฒนาโครงการให้มีมาตรฐานในระดับโลก เป็นที่สนใจจากลูกค้าจำนวนมากทั้งในและต่างประเทศ   นอกจากบริษัทมีพาทเนอร์ระดับโลก ที่ศึกษาและวิจัยด้านการอยู่อาศัยที่มีความสุขแล้ว บริษัทยังได้จัดตั้งศูนย์วิจัย 2 ศูนย์ ได้แก่  ศูนย์วิจัยอนาคตศึกษา FutureTales Lab ที่มีการหาข้อมูลจากทั่วโลกเพื่อมาประมวลแนวโน้มการอยู่อาศัยในอนาคต โดยมองไปถึงอีก 40 ปีข้างหน้า และแม้แต่จากวิกฤตโควิดในครั้งนี้ ทาง FutureTales Lab ก็ได้มีการออกงานวิเคราะห์ออกมาในเรื่อง ชีวิตหลังโควิด-19 ที่จะมีการเปลี่ยนไปจากเดิม โดยประเด็นหนึ่งคือ ความคิดด้านการซื้อที่อยู่อาศัยจะเปลี่ยนไป จากเดิมที่อยู่แต่ในเมือง โดยยึดการเดินทางแนวทางใกล้รถไฟฟ้าเป็นปัจจัย แต่ด้วยสถานการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลต่อการทำงานในอนาคต สามารถทำงานที่บ้านได้ จึงจะปรับแนวคิดเป็นบ้านนอกเมือง แต่มีพื้นที่มากขึ้น มีสวน มีธรรมชาติ มีการปรับเปลี่ยนบ้านพักตากอากาศมาใช้อาศัยประจำแทน   อีกศูนย์วิจัยในกลุ่มของ MQDC คือ ศูนย์วิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (RISC) ซึ่งเกิดขึ้นจากความมุ่งมั่นของ MQDC ที่ต้องการเป็นผู้นำทางด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อย่างยั่งยืน โดยมีการวิจัยและพัฒนาเป็นพื้นฐานของแนวคิดในมิติต่างๆเพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมที่อยู่อาศัยของ MQDC ผลงานวิจัยที่ได้ศึกษาและค้นคว้าขึ้น ไม่เพียงเพื่อนำมาใช้เฉพาะกับโครงการต่างๆ ขององค์กรเท่านั้น แต่ยังพร้อมเปิดพื้นที่วิจัยนี้ให้กับทุกคน ทุกองค์กร ที่สนใจด้านการพัฒนาและก่อสร้างอย่างยั่งยืน เสมือนห้องค้นคว้าของประชาชน บุคคลภายนอกได้เข้ามาเรียนรู้ นำไปประยุกต์ใช้จริง เพื่อยกมาตรฐานความเป็นอยู่ให้กับวงการอสังหาริมทรัพย์ ตลอดจนสร้างนวัตกรรมต่าง ๆ   MQDC เคยผ่านปัญหาในสมัยวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งมาแล้ว ทำให้เราบริหารงานด้วยความระมัดระวังมาตลอดเวลา ดังนั้นปัญหาจากวิกฤตในโควิด-19 ในครั้งนี้ จึงไม่ได้ทำให้เราหยุดที่จะเดินหน้าต่อ  
ศูนย์ข้อมูลฯ วิเคราะห์ ตลาดอสังหาฯ 2563 โดนพิษโควิด-19 ปรับตัวลดต่ำสุด 15%

ศูนย์ข้อมูลฯ วิเคราะห์ ตลาดอสังหาฯ 2563 โดนพิษโควิด-19 ปรับตัวลดต่ำสุด 15%

ศูนย์ข้อมูลฯ​ เปิดผลสำรวจข้อมูลตลาดที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ  ช่วงไตรมาสแรกของปี 2563 ท่ามกลางการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 คาดได้รับผลกระทบ ทำตลาดอสังหาฯภาพรวมลดต่ำลงมากสุด 15% แต่หากปรับตัวดีขึ้น น่าจะติดลบระดับ 10% แม้ตลาดแย่แต่ยังไม่เท่ากับวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540     ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยไตรมาส 1 ปี 2563 เป็นช่วงเวลาที่สะท้อนผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา หรือ ไวรัส COVID-19 ต่อการลงทุนในภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และการซื้อขายที่อยู่อาศัยอย่างเป็นรูปธรรม โดยภาพรวมชะลอตัวลงทั้งในด้านดีมานด์และซัพพลาย  ซึ่งเป็นการปรับสมดุลของตลาดลดความเสี่ยงปัญหาอุปทานส่วนเกิน โอนกรรมสิทธิ์ปรับตัวลดทั้งจำนวนและมูลค่า สถานการณ์ด้านความต้องการที่อยู่อาศัยไตรมาส 1 ปี 2563 ประเมินจากข้อมูลการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย พบว่าภาพรวมทั่วประเทศในช่วงไตรมาส 1 ปี 2563 มีจำนวนยูนิตการโอนกรรมสิทธิ์จำนวน 89,024 ยูนิต ลดลงจากไตรมาส 4 ปีที่ผ่านมา​ 16.7% แต่เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปี 2562 จะเพิ่มขึ้น  2.5% โดยมีมูลค่ารวม 210,294 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาส 4 ปีที่แล้ว  20.6% แต่เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปี 2562 จะเพิ่มขึ้น 6.4% โดยการโอนกรรมสิทธิ๋ที่อยู่อาศัยประเภทห้องชุดมีสัดส่วนใกล้เคียงกับบ้านเดี่ยว แต่มูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์บ้านเดี่ยวมีสัดส่วนสูงที่สุด ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาภาพรวมการโอนกรรมสิทธิ์เฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล ไตรมาส 1 ปี 2563 พบว่า มีจำนวนรวม 45,678 ยูนิต ลดลงจากไตรมส 4 ปีที่แล้ว 18.3% และลดลง 4.4% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปี 2562 โดยมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์มีจำนวน 129,406 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาส 4 ปีที่แล้ว 24.4% และลดลง 2.7% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปี 2562 ในส่วนของภูมิภาค ไตรมาส 1 ปี 2563 มีจำนวนรวม 43,346 ยูนิต ลดลงจากไตรมาส 4 ปีที่ผ่านมา 14.9% แต่เพิ่มขึ้น 10.9% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปี 2562 โดยมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์มีจำนวน 80,888 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาส 4 ปีที่ผ่านมา 13.5% แต่เพิ่มขึ้น  25.0% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปี 2562   โดยศูนย์ข้อมูลฯคาดการว่าในปี 2563 จะมีการโอนกรรมสิทธิ์ทั่วประเทศจำนวน 311,719 ยูนิต ลดลง 16.7% จากปี 2562 มูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์รวม 746,206 ล้านบาท ลดลง 14.8% จากปี 2562 ในจำนวนดังกล่าวประมาณการเฉพาะพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑลจะมีการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยจำนวน 160,350 ยูนิต มูลค่ารวม 472,401 ล้านบาท ลดลงจากปีที่ผ่านมา 19.1% และลดลง 17.4% ตามลำดับ ประมาณการยูนิตการโอนกรรมสิทธิ์ในภูมิภาครวม 151,369 ยูนิต มูลค่ารวม 273,805 ล้านบาท ลดลงจากปีจากปีที่ผ่านมา 14.0% และลดลง 9.9% ตามลำดับ ด้านภาพรวมสินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลปล่อยใหม่ทั่วประเทศ พบว่าในไตรมาส 1 ปี 2563 มีมูลค่ารวม 138,238 ล้านบาท ลดลง 13.0% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปี 2562 โดยคาดการว่าปี 2563 จะมีจำนวนสินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลปล่อยใหม่ทั่วประเทศรวม 571,196 ล้านบาท ลดลง 10.8% จากปี 2562 ซัพพลายที่อยู่อาศัยลดลงต่ำกว่าค่าเฉลี่ย สำหรับซัพพลายใหม่ในช่วงไตรมาส 1 ปี 2563 พบว่ามีการออกใบอนุญาตก่อสร้างอาคารที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ จำนวน 60,165 ยูนิต ลดลง 17.9% จากไตรมาส 4 ปี 2562 และลดลง 27.7% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปี 2562 ในจำนวนดังกล่าวเป็นการออกใบอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล จำนวน 20,590 ยูนิต ลดลง 18.6% จากไตรมาส 4 ปี 2562 และลดลง 36.5% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปี 2562 ส่วนในภูมิภาคพบว่ามีการออกใบอนุญาตก่อสร้างอาคารที่อยู่อาศัยจำนวน 39,575 ยูนิต ลดลง 27.8% จากไตรมาส 4 ปี 2562 และลดลง 30.9% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปี 2562   โดยศูนย์ข้อมูลฯ คาดการว่าในปี 2563 จะมีการออกใบอนุญาตก่อสร้างอาคารที่อยู่อาศัยทั่วประเทศจำนวน 256,601 ยูนิต ลดลง 16.5% เมื่อเทียบจากปี 2562 โดยในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล จะมีการออกใบอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยจำนวน 97,441 ยูนิต ลดลง 20.7% ในส่วนภูมิภาคคาดว่าจะมีการออกใบอนุญาตก่อสร้างอาคารที่อยู่อาศัยจำนวน 154,160 ยูนิต ลดลง 22.7% นอกจากนี้ จากข้อมูลสำรวจโครงการที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ของศูนย์ข้อมูลฯ พบว่าในช่วงไตรมาส1ปี 2563 ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล มีที่อยู่อาศัยทุกประเภทเปิดขายใหม่จำนวนรวม 15,932 ยูนิต ลดลง 49.3% จากไตรมาส 4 ปี 2562 และลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2562  อัตรา 29.6% โดยประมาณการว่า ปี 2563 เฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล จะมีที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ทุกประเภทรวม 79,408 ยูนิต เป็นโครงการบ้านจัดสรรเปิดตัวใหม่ประมาณ 35,734 ยูนิต และอาคารชุดเปิดขายใหม่ประมาณ 43,674 ยูนิต ลดลง 19. %เมื่อเทียบกับปี 2562 ในขณะที่รายงานที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล ไตรมาส 1 ปี 2563 ก็ลดลงด้วยเช่นกัน โดยมีจำนวน 21,260 ยูนิต ลดลง 24.7% จากไตรมาส 4 ปี 2562 และลดลง 12.3% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปี 2562 โดยคาดการว่าในปี 2563 จะมีที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนจำนวนประมาณ 80,563 ยูนิต ลดลง 27.8% จากปี 2562 ตลาดที่อยู่อาศัย ปี 2563 ติดลบหนักสุด 15%  อย่างไรก็ตาม จากการประเมินสถานการณ์ โดยภาพรวมจากสถิติข้อมูลทั้งในด้านดีมานด์และซัพพลาย ศูนย์ข้อมูลฯคาดการว่าในปี 2563 แม้เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศจะชะลอตัว แต่ในส่วนของตลาดที่อยู่อาศัยจะไม่เกิดปัญหารุนแรงเช่นที่เคยเกิดขึ้นเมื่อปี 2541 เนื่องจากมีการปรับตัวทั้งในด้านดีมานด์และซัพพลาย  ทั้งส่วนกลางและภูมิภาค   โดยคาดการว่าในปีนี้ แม้เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศจะชะลอตัว มีตัวเลขจีดีพีติดลบในอัตรา 5.5% แต่ในส่วนของตลาดที่อยู่อาศัยจะไม่เกิดปัญหารุนแรง ซึ่งประเมินว่าตลาดที่อยู่อาศัยในภาพรวม จะติดลบมากที่สุด 15% หรือหากปรับตัวดีขึ้นจะติดลบ 10% เพราะว่าความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยยังมีอยู่ เพียงแต่ผู้บริโภคยังไม่มั่นใจ และกังวลต่อแนวโน้มรายได้และอาชีพของตนเองในอนาคต แต่ยังมีผู้บริโภคส่วนหนึ่งที่ยังมีรายได้และอาชีพที่มั่นคง ทำให้ผู้ประกอบการหันไปจับตลาดในกลุ่มดังกล่าวมากขึ้น ซึ่งหากปัญหาทุกอย่างคลี่คลายเชื่อว่ากำลังซื้อจะกลับมาเป็นปกติ แต่อาจจะต้องใช้ระยะเวลาหนึ่ง
ดีมานด์บ้านแนวราบยังโต LPN ส่งโปรเจ็กต์ใหม่กวาดยอดทะลุเป้า

ดีมานด์บ้านแนวราบยังโต LPN ส่งโปรเจ็กต์ใหม่กวาดยอดทะลุเป้า

LPN เปิดโปรเจ็กต์ “ลุมพินี ทาวน์วิลล์ พหลโยธิน - สะพานใหม่” แค่ 2 เดือน ยอดทะลุเป้า กวาดยอดขายกว่า 200 ล้าน หลังปั้นโปรดักส์ตอบโจทย์ ราคาเอื้อมถึง ตอบรับโจทย์คนรุ่นใหม่ ในวิถี New Normal     นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) (LPN) เปิดเผยว่า ปีนี้บริษัทได้วางแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์บ้านให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น ตั้งแต่การเฟ้นหาทำเลศักยภาพที่เดินทางสะดวกสบาย ใกล้เขตเมือง ใกล้ระบบขนส่งมวลชนสาธารณะ สามารถเข้า-ออกได้หลายเส้นทางเพื่อลดความแออัดของการจราจรในชั่วโมงเร่งรีบ รวมถึงการกำหนดราคาขาย ที่ทำให้ผู้บริโภคเป็นเจ้าของได้ง่าย (Affordable Price) เพราะราคาเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจซื้อของลูกค้า   โดยช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา LPN เปิดขายบ้านโครงการ “ลุมพินี ทาวน์วิลล์ พหลโยธิน-สะพานใหม่” ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จ เพราะสามารถสร้างยอดขายทะลุเป้าหมายที่วางไว้ได้  โดยมียอดขาย 80 หลัง จากเป้าที่ตั้งไว้  10 หลังต่อเดือน คิดเป็นมูลค่ากว่า 200 ล้านบาท เพียงระยะเวลา 2 เดือน  ซึ่งบ้านที่เปิดขายมีราคาเริ่มต้นเพียง 2.3 ล้านบาท จับกลุ่มคนทำงานที่กำลังขยายครอบครัว นับเป็นความสำเร็จที่สวนกระแสในสภาวะตลาดซบเซาจากวิกฤติไวรัส Covid-19  ระบาด ถือว่า LPN มาถูกทางกับตลาดบ้านในราคาที่ลูกค้าเอื้อมถึง ที่คุ้มค่าทั้งราคา ทำเล การบริหารหลังการขายภายใต้กลยุทธ์ “ชุมชนน่าอยู่” รวมถึงการพัฒนาดีไซน์ให้ตอบโจทย์ผู้บริโภค นอกจากนี้ จากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค ในการอยู่อาศัยที่เรียกว่า New Normal หลังสถานการณ์ Covid-19 เริ่มคลี่คลายและสังคมเข้าสู่สภาวะปกติ ผู้คนในสังคมจะยังคงใช้ชีวิตแบบมีระยะห่าง หรือ Social Distancing เพื่อป้องกันการแพร่ระบาด Covid-19 ระลอกใหม่ ดังนั้นการเลือกซื้อบ้านในยุคปัจจุบันจึงต้องตอบโจทย์ผู้บริโภค ด้วยการเน้นความเป็นพื้นที่ส่วนตัว  ไม่ต้องสัมผัสใกล้ชิดกับบุคคลอื่น มีพื้นที่ใช้สอยอย่างกว้างขวาง รองรับการใช้ชีวิตตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งการพักอาศัยในบ้านก็รองรับการทำงานแบบ Work from Home  ที่สามารถเปลี่ยนวิถีใหม่ในการดำเนินชีวิต   สำหรับโครงการลุมพินี ทาวน์วิลล์ พหลโยธิน-สะพานใหม่  เป็นทาวน์โฮมดีไซน์ใหม่ ภายใต้การออกแบบตามคอนเซ็ปต์ “Modern Casual” ได้รับแรงบันดาลใจจากสีสัน และลวดลายในโลกแฟชั่น มาผสมผสานกับความเรียบง่าย  เป็นโครงการทาวน์โฮม 2 ชั้น หน้ากว้าง 5 และ 5.5 เมตร พื้นที่โครงการกว่า 21 ไร่ จำนวนบ้าน 262 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 755 ล้านบาท มีแบบบ้านให้เลือก 2 แบบ ได้แก่ TYPE A  ทาวน์โฮม 2 ชั้น หน้ากว้าง 5.5 เมตร และ TYPE B ทาวน์โฮม 2 ชั้น หน้ากว้าง 5 เมตร ที่ดินเริ่มต้น 16.8 ตร.ว.ขึ้นไป พื้นที่ใช้สอย เริ่มต้น 110-126.5 ตารางเมตร ขนาด 2 ห้องนอน 2-3 ห้องน้ำ 1 ห้องอเนกประสงค์ พร้อมที่จอดรถ 2 คัน ภายในโครงการยังมีพื้นที่ส่วนกลางจัดสรรสิ่งอำนวยความสะดวกไว้อย่างครบครัน ทั้งสโมสร ห้องออกกำลังกาย สระว่ายน้ำระบบเกลือ พร้อมสระเด็ก สนามเด็กเล่น สวนพักผ่อน และระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชม.ในราคาเริ่มต้น 2.30-2.50 ล้านบาท ยอดขายปัจจุบันกว่า 60% ของจำนวนหลังที่เปิดขาย หรือ กว่า 30% ของทั้งโครงการ โดยปัจจุบันมีโปรโมชั่นฟรีปั๊มน้ำ, แท็งค์น้ำ, เครื่องปรับอากาศ, ค่าส่วนกลาง  2 ปีและค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ ​
สิงห์ เอสเตท ปิดไตรมาส1 3 กลุ่มธุรกิจดันกำไรโตขึ้น 14%

สิงห์ เอสเตท ปิดไตรมาส1 3 กลุ่มธุรกิจดันกำไรโตขึ้น 14%

ไตรมาสแรก สิงห์ เอสเตท ยังทำรายได้รวม 2,186 ล้าน ฝ่าปัจจัยลบโควิด-19 มีกำไรเพิ่มขึ้น 14% ใน 3 กลุ่มธุรกิจ กลุ่มคอนโดฯ เริ่มหลังทยอยโอนหลังก่อสร้างแล้วเสร็จ  ธุรกิจสำนักงานให้เช่า มีรายได้เพิ่มจากการซื้อ อาคารเมโทรโพลิส เข้าพอร์ต ส่วนธุรกิจโรงแรมรายได้เติบโตจากการเปิดโรงแรมใหม่เพิ่ม   นางฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกของปี 2563 ว่า บริษัทมีรายได้รวมจาก 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจที่อยู่อาศัย ธุรกิจสำนักงานให้เช่า และธุรกิจโรงแรม มีรายได้รวม 2,186 ล้านบาท โดยธุรกิจที่พักอาศัยมีรายได้มาจากการโอนคอนโดมิเนียมโครงการ ดิ เอส อโศก (THE ESSE ASOKE) และโครงการ ดิ เอส แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์ (THE ESSE at SINGHA COMPLEX) มูลค่า 752 ล้านบาท  คิดเป็นสัดส่วนรายได้ประมาณ 34% บริษัทยังมีโครงการที่ก่อสร้างใกล้แล้วเสร็จในปีนี้ และพร้อมที่จะเริ่มโอนในไตรมาส 4 คือโครงการ ดิ เอส สุขุมวิท 36 (THE ESSE SUKHUMVIT 36) ซึ่งร่วมทุนกับ ฮ่องกง แลนด์  ปัจจุบันมียอดขายแล้วกว่า 60% โดยเป็นโครงการคอนโดมิเนียมระดับ super luxury มีมูลค่าโครงการ  6,500 ล้านบาท   นอกจากนี้บริษัทได้มีการเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมระดับ Affordable luxury ในทำเลศักยภาพย่านรางน้ำภายใต้ชื่อโครงการ ดิ เอ็กซ์โทร พญาไท-รางน้ำ (THE EXTRO PHAYATHAI – RANGNAM) มีมูลค่าโครงการกว่า 4,100 ล้านบาท ทำให้ภาพรวมธุรกิจที่พักอาศัยสามารถเติบโตได้ในระดับที่บริษัทคาดการณ์ไว้   โดยที่ผ่านมามีมาตรการปิดเมือง (Lock-down)  ซึ่งส่งผลต่อธุรกิจในระดับหนึ่ง อาทิ ลูกค้าชาวต่างชาติไม่สามารถเดินทางมาตรวจรับมอบอาคารชุดได้ด้วยตนเอง และลูกค้าชาวไทยบางส่วนชะลอการเข้าเยี่ยมชมโครงการ และตรวจรับห้องออกไปจนกว่าสถานการณ์จะคลายตัวลงเพื่อรักษาระยะห่างทางสังคม (Social distancing) นอกจากนี้ เพื่อสร้างความปลอดภัย ลดความเสี่ยงจากการแพร่เชื่อโควิด-19 บริษัทจึงได้เพิ่มช่องทางการตลาดออนไลน์แบบ Virtual Tour 360 องศา ที่ทำให้ลูกค้าสามารถชมห้องตัวอย่างได้เปรียบเสมือนมาอยู่ในสถานที่จริง ด้านธุรกิจอาคารสำนักงานปัจจุบันมีทั้งสิ้น 4 อาคารได้แก่ อาคารซันทาวเวอร์ส, อาคารสิงห์ คอมเพล็กซ์, เดอะ ไลท์เฮ้าส์ และอาคารเมโทรโพลิส พื้นที่รวม 140,000 ตารางเมตร มีอัตราปล่อยเช่าเฉลี่ยราว 87% โดยในไตรมาสที่ 1 ปี 2563 บริษัทรับรู้รายได้จำนวน 243 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเนื่องจากการเข้าซื้ออาคารเมโทรโพลิส ซึ่งมีพื้นที่ 13,700 ตารางเมตร และมีอัตราปล่อยเช่าสูงถึง 97% มีโอกาสในการเติบโตสูงเพราะตั้งอยู่ในทำเลใกล้รถไฟฟ้าสถานีพร้อมพงษ์ เป็นแหล่งไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่   ขณะที่ธุรกิจโรงแรม จากพอร์ทรวมทั้งหมด 39 แห่ง มีรายได้ 1,144 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนรายได้ 52% โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้นมานั้น มาจากการเปิดโครงการ Crossroads และได้ดำเนินการ SAii Lagoon Maldives, Hard Rock Hotel Maldives และ The Marina @ CROSSROADS ตั้งแต่ปลายปีก่อนต่อเนื่องถึงต้นปีนี้   อย่างไรก็ตาม จากการเปิดโครงการ Crossroads  ส่งผลทำให้มีค่าใช้จ่ายในการบริหารเพิ่มขึ้น แต่บริษัทยังมีกำไรเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง จากการรับรู้รายได้จากส่วนอื่น ได้แก่ กำไรจำนวน 423 ล้านบาท จากการขายเงินลงทุนในเกาะ 3 ที่โครงการ Crossroads โดยการขายเงินลงทุน 50% ให้กับ Wai Eco World Developer Pte. Ltd ตามสัญญาร่วมทุนเพื่อพัฒนาและบริหารงาน High-end lifestyle resorts ด้วยราคาซื้อขายหุ้นมูลค่า 16.2 ล้านเหรียญสหรัฐ และผลจากมาตรฐานการบัญชี TFRS 9 ทำให้บริษัทสามารถรับรู้กำไรจำนวน 115 ล้านบาทจากส่วนต่างของการ Mark to market อนุพันธ์แฝงจากหุ้นกู้แปลงสภาพ ส่งผลให้กำไรสุทธิของงวดอยู่ที่ 335 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% จากไตรมาสที่ 1 ปี 2562   จากภาวะวิกฤตการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 บริษัทตระหนักดีว่าต้องเผชิญกับความท้าท้ายครั้งสำคัญ รวมทั้งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจมีความไม่แน่นอน ทั้งนี้ บริษัทมั่นใจว่าสามารถรักษาการเติบโตแบบยั่งยืนได้ ด้วยสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง จากอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นที่ 0.86 เท่า ซึ่งต่ำมากเมื่อเทียบกับ covenant ของบริษัทที่ 2.0 เท่า และเพื่อเป็นการคำนึงถึงผลตอบแทนผู้ถือหุ้นของบริษัทเป็นสำคัญ บริษัทจึงคงการจ่ายปันผลระหว่างกาล จากกำไรสุทธิประจำปี 2562 หุ้นละ 0.045 บาท และจ่ายเงินปันผลในวันที่ 21 พฤษภาคม 2563   สำหรับในไตรมาสต่อไปบริษัทมีการปรับแผนกลยุทธ์เพื่อฟื้นฟูธุรกิจเน้นการดำเนินแผนบริหารจัดการต้นทุนที่เคร่งครัด อาทิ การปรับงบประมาณและควบคุมค่าใช้จ่ายด้านการตลาด  การบริหารกระแสเงินสด รวมถึงการสร้าง synergy ระหว่างพันธมิตรธุรกิจ ที่สำคัญบริษัทยังมุ่งมั่นในการพัฒนาโครงการที่มีคุณภาพสร้างคุณค่าที่ยั่งยืนให้แก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในทุกกลุ่มตลอดจนสร้างความยืดหยุ่นให้กับองค์กรเพื่อเตรียมความพร้อมรองรับกับการเปลี่ยนแปลงทุกมิติ และเชื่อมั่นว่าบริษัท จะผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปได้อย่างแข็งแกร่ง
ก้าวต่อไปของ อิเกีย บุกตลาดออนไลน์ หลังโควิด-19 ทุบยอดขายหาย 40%

ก้าวต่อไปของ อิเกีย บุกตลาดออนไลน์ หลังโควิด-19 ทุบยอดขายหาย 40%

นับเป็นข่าวดีในรอบหลายเดือน เมื่อรัฐบาลประกาศคลาดล็อกดาวน์  ให้บรรดาห้างสรรพสินค้า ร้านค้าต่างๆ เริ่มกลับมาเปิดบริการให้กับประชาชนได้ แต่ต้องมีมาตรการรักษาความสะอาด การป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม  รวมถึงการขยายระยะเวลาเคอร์ฟิว  ออกไปเพิ่มมากขึ้น เป็นช่วงเวลา 23.00 – 04.00 น. ตั้งแต่วันที่ 17 พฤษภาคมที่ผ่านมา   ทั้งผู้ประกอบการและประชาชนทั่วไป  ออกการแฮปปี้กับการผ่อนปรนมาตรการดังกล่าว เพราะทำให้ประชาชนทั่วไป สามารถกลับมาใช้ชีวิตเหมือนที่ผ่านๆ มาได้มากขึ้น แม้จะมีข้อจำกัดหลายอย่าง ที่ต้องปฎิบัติตามวิถีชีวิตใหม่ หรือ New Normal และยังต้องเคร่งครัดกับการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ก็ตาม ขณะที่ผู้ประกอบการ ก็จะได้มีเงินกลับเข้ามาหล่อเลี้ยงธุรกิจ หลังหยุดกิจการชั่วคราว หรือต้องปรับรูปแบบธุรกิจไปสู่การตลาดออนไลน์  เป็นเวลานานกว่า 2 เดือนก็ตาม   นอกจาก ห้างสรรพสินค้า และร้านอาหารต่างๆ ที่เห็นภาพประชาชนจำนวนมาก  ต่อแถวเข้าไปใช้บริการในวันแรกที่รัฐบาลคลายล็อกดาวน์แล้ว หนึ่งในสถานที่มีคนไปใช้บริการจำนวนมากไม่น้อยหน้า คือ ร้านจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ขนาดใหญ่ สัญชาติ “สวีเดน” อย่าง “อิเกีย” ที่มีประชาชนแห่ไปใช้บริการจนแน่น ที่สาขาบางนา ทำให้ในวันแรกของการกลับมาเปิดให้บริการเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2563 ต้องมีการหยุดรับคนเข้าใช้บริการภายในสโตร์ชั่วคราว เพราะปริมาณลูกค้ามีจำนวนมากเกินไป วางมาตรฐานความปลอดภัยสู้โควิด-19 อย่างไรก็ตาม อิเกีย ได้วางแนวทาง และเตรียมความพร้อมสำหรับการเปิดให้บริการกับประชาชนทั่วไป  โดยได้วางมาตการด้านรักษาความปลอดภัย ได้แก่ -รักษาระยะห่างทางสังคม ช้อปได้อย่างอุ่นใจ เมื่อมีการเว้นระยะห่างกันอย่างน้อยหนึ่งเมตรทุกพื้นที่ในสโตร์   -ตรวจอุณหภูมิร่างกายก่อนเข้าสโตร์ ทั้งพนักงานและลูกค้าที่เข้ามาในสโตร์ต้องมีอุณหภูมิร่างกายไม่เกิน 37.5 องศาเซลเซียส   -บริการเจลล้างมือในจุดต่าง ๆ ทั่วทั้งสโตร์อิเกีย   -สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาที่อยู่ในสโตร์ ลูกค้าต้องสวมใส่หน้ากากขณะที่อยู่ในสโตร์ของเรา ขณะที่พนักงานอิเกียจะสวมหน้ากากอนามัยคู่กับหน้ากากป้องกันใบหน้าหรือ Face Shield ตลอดเวลา   -จำกัดจำนวนผู้เข้าใช้บริการ เพื่อเป็นการป้องกันและดูแลรักษาระยะห่างอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉลี่ยผู้ใช้บริการหนึ่งท่านต่อพื้นที่ประมาณ 8 ตารางเมตร   -ปิดให้บริการสมอลล์แลนด์ เพื่อรักษาความปลอดภัยและสุขภาพของลูกค้าตัวน้อยของเรา   จะเห็นได้ว่า การหยุดรับลูกค้าของ “อิเกีย” สาขาบางนา เป็นหนึ่งในมาตรการรักษาความปลอดภัย ที่กำหนดจำนวนลูกค้า 1 คน ต่อพื้นที่ 8 ตารางเมตร เช่นเดียวกับสาขาบางใหญ่ โดยสาขาบางใหญ่ในภาวะปกติ สามารถรองรับลูกค้าได้มากสุดถึง 5,000 คน แต่ภายใต้มาตรการดังกล่าว ทำให้ต้องบริการลูกค้าได้สูงสุดไม่เกิน 3,600 คน ขณะที่พื้นที่บริหารร้านอาหาร ได้ลดจำนวนลง 50% เพื่อให้เป็นไปตามมาตรการเว้นระยะทางสังคมเช่นกัน อีก 6 เดือน อิเกียจะมียอดขายออนไลน์ 25% ในด้านธุรกิจ อิเกีย ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เพราะต้องปิดการให้บริการที่สาขาไปนานกว่า 2 เดือน และหันไปเน้นการให้บริการผ่านช่องทางอีคอมเมิร์ซแทน ซึ่งถือว่ายอดขายผ่านช่องทางออนไลน์ เติบโตได้มากกว่า 320% ขณะที่ยอดขายช่องทางปกติ ยอดขายหายไปมากถึง 40% ทำให้ทิศทางต่อไปนับจากนี้ อิเกีย คงจะหันกลับมาให้น้ำหนักและเพิ่มการทำตลาดผ่านช่องทางออนไลน์ให้มากขึ้น เพราะวางเป้าหมายไว้ว่าภายในระยะ 6 เดือนนับจากนี้  สัดส่วนยอดขายทางช่องทางออนไลน์จะเพิ่มสัดส่วนขึ้นเป็น 25% จากปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้ประมาณ 10-12% เพราะเชื่อว่าหลังจากนี้ไป วิถีชีวิตใหม่ของคนไทย จะหันมาเน้นการช้อปปิ้งออนไลน์กันมากขึ้น   ในช่วงที่ผ่านมา อิเกียได้เพิ่มบริการใหม่ๆ เพื่อสร้างเสริมประสบการณ์การช้อปปิ้งให้ลูกค้า ได้แก่ บริการออกแบบออนไลน์ ให้ลูกค้ารับคำแนะนำการออกแบบเฟอร์นิเจอร์จัดเก็บ ตู้เสื้อผ้า PAX/พักซ์ และชุดครัวอิเกีย  ได้โดยไม่ต้องมาที่สโตร์ ยังมีบริการ Click & Collect สั่งซื้อออนไลน์และมารับสินค้าด้วยตนเองที่สโตร์ บริการจัดส่ง และบริการประกอบสินค้า ซึ่งได้รับการปรับให้เป็นบริการแบบไร้สัมผัส เพื่อให้ลูกค้าอุ่นใจได้ยิ่งขึ้น นายทอม ซูเทอร์ ผู้จัดการสโตร์ อิเกีย บางใหญ่ เปิดเผยว่า แนวโน้มยอดขายของอิเกีย น่าจะมียอดขายลดลง 8.4% จากผลกระทบของไวรัสโควิด-19 ซึ่งจะส่งผลให้ภาพรวมของอิเกีย ที่เดิมคาดว่าจะมีรายได้เติบโต 3.5% ลดลงเหลือยอดขายติดลบ 5% และปีต่อไปยังคงติดลบต่อเนื่องอีก 3%  แนวโน้มยอดขายของอิเกีย น่าจะกลับมาเป็นบวกได้ในอีก 2 ปีข้างหน้า แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับภาวการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และการมีวัคซีนป้องกันโรคดังกล่าวด้วย   อย่างไรก็ตาม นับจากนี้ อิเกีย จะเน้นการทำตลาดออนไลน์ให้เพิ่มมากขึ้น และการทำตลาดอื่นๆ เช่น การออกสินค้าใหม่ในช่วงเดือนสิงหาคมนี้ การมีสิค้าคอลเลคชั่นร่วมกับแบรนด์เกรฮาวน์ การจัดโปรโมชั่นลดราคาสินค้าลง 3% และการยกเว้นค่าหยิบสินค้า 200 บาท วันนี้ - 31 สิงหาคม 2563 ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา สโตร์อิเกียออนไลน์มีผู้เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเรามากกว่า 4 ล้านคน ยอดสั่งซื้อออนไลน์เพิ่มขึ้นถึง 320% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้านี้  มาตรการดูแลความปลอดภัยของอิเกีย  https://youtu.be/F2lOj9XrpWY                      
แสนสิริ เจอพิษโควิด-19 ทำกำไรลดเหลือแค่ 62 ล้าน เร่งสปีดธุรกิจปั้มยอดขาย  

แสนสิริ เจอพิษโควิด-19 ทำกำไรลดเหลือแค่ 62 ล้าน เร่งสปีดธุรกิจปั้มยอดขาย  

แสนสิริ ยังทำรายได้ขายอสังหาฯ  ไตรมาสแรกกว่า 5,393 ล้าน แต่กำไรลดฮวบเหลือแค่ 62 ล้าน จากช่วงเดียวกันของปีก่อนทำได้กว่า 400 ล้าน เหตุขาดทุนในกิจการโรงแรม แถมค่าบริหารธุรกิจพุ่งสูง จากผลกระทบโควิด-19 เดินหน้าเร่งสปีดธุรกิจ หวังโกยยอดขายเพิ่ม หลังตุนยอดได้กว่า 21,000 ล้าน   นายอภิชาติ  จูตระกูล ประธานอำนวยการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยว่า ในไตรมาสแรกของปีนี้ บริษัทมีรายได้รวม 6,623 ล้านบาท ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อนแบ่งเป็นรายได้จากการขาย 5,393 ล้านบาท เติบโตขึ้น 10% จากปีก่อน มาจากการโอนโครงการแนวราบและแนวสูงในสัดส่วนใกล้เคียงกัน คือ 59 : 41 % อาทิ โครงการบุราสิริ พัฒนาการ โครงการบ้านแสนสิริ พัฒนาการ  ไทเกอร์ เลน รวมถึงโครงการคอนโดมิเนียม ที่ได้รับการตอบรับโอนที่ดีจากลูกค้า อาทิ โครงการ เดอะ โมนูเมนต์ ทองหล่อ โครงการดีคอนโด ริน เชียงใหม่ และ ลา กาซิตา หัวหิน เป็นต้น   นอกจากนี้ บริษัทยังมีกำไรจากการลงทุนจากการเพิ่มมูลค่าของ JustCo ที่แสนสิริเข้าไปลงทุนถือหุ้น โดย Daito Trust บริษัทด้านอสังหาริมทรัพย์และการก่อสร้างชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่น ได้เล็งเห็นถึงศักยภาพการเติบโตทางธุรกิจของ Justco และได้เข้าซื้อส่วนลงทุนของ Justco มูลค่ากว่า 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในเดือน มกราคม 2563 ที่ผ่านมา ส่งผลให้ Valuation ของ Justco เพิ่มมูลค่าอย่างมาก โดยแสนสิริในฐานะผู้ถือหุ้น สามารถรับรู้กำไรจากการเพิ่มมูลค่าของเงินลงทุนนี้ได้กว่า 703 ล้านบาท อย่างไรก็ดี ตามมาตรฐานการบัญชีนั้น กำไรจากการเพิ่มมูลค่าของเงินลงทุนนี้จะไม่ปรากฏอยู่ในงบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ แต่จะถูกบันทึกเป็นกำไรสะสมในงบดุลโดยตรง สำหรับ JustCo นับเป็น Coworking space & Serviced Office รูปแบบใหม่ ที่มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยถึง 150% ในแต่ละปี ปัจจุบันประกอบด้วย 42 จัสท์โค เซ็นเทอร์ ใน 8 เมืองใหญ่ต่างประเทศ โดยในประเทศไทยจัสท์โคเปิดตัว 4 แห่ง   อย่างไรก็ตาม จากผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา พบว่า แสนสิริมีรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์กว่า 5,382.99 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ​ 10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าที่ทำได้ 4,892.57 ล้านบาท  แม้ว่ารายได้จะเพิ่มขึ้น แต่ความสามารถในการทำกำไรกลับลดต่ำลงอย่างมาก โดยในไตรมาสแรกปีนี้ แสนสิริและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 62 ล้านบาท ซึ่งถือว่าลดต่ำลงอย่างมาก เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งทำกำไรไปกว่า 404.30 ล้านบาท  สาเหตุหลักมาจากการลดลงของอัตรากำไรขั้นต้นจากการขายโครงการ รวมถึงการขาดทุนจากธุรกิจการบริหารโรงแรม ซึ่งได้รับผลกระทบอย่างมากจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ประกอบ กับการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายในการบริหาร   สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจของแสนสิริ เพื่อรองรับความแข็งแกร่งควบคู่ไปกับการสร้างความแข็งแกร่งด้านการเงิน คือ การสานต่อการสร้างแบรนด์แสนสิริให้แข็งแกร่งมากขึ้น  ปัจจุบันแสนสิริมียอดขายล่วงหน้า (Pre-Sale Backlog) โครงการที่อยู่อาศัยต่างๆ เป็นมูลค่ารวมเกือบ 46,900 ล้านบาท ที่จะทยอยรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่องใน 1-3 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ แสนสิริยังมีแผนขยายการพัฒนาธุรกิจที่อยู่อาศัยใหม่ๆ เพื่อรองรับทุกความต้องการของลูกค้า สิ่งที่สำคัญที่สุด คือการมีฐานเงินทุนที่แข็งแกร่ง เพื่อรองรับการขยายธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่มีผลกระทบต่อแผนการลงทุนระยะยาว อันจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ลงทุนและสถาบันการเงินได้เป็นอย่างดี  รวมถึงบริษัทยังมีสภาพคล่องและ Cash flow หรือกระแสเงินสด อีกถึง 10,000 ล้านบาท ที่มีความพร้อมในการดำเนินธุรกิจและมีความแข็งแกร่งในทุกสภาวการณ์   ทั้งนี้ ความสำเร็จจากการออกหุ้นกู้ระยะยาวในช่วงที่ผ่านมา ทำให้บริษัทเล็งเห็นศักยภาพในการรักษาการเติบโตได้ จึงมีการพิจารณาแผนความแข็งแกร่งด้านการเงินระยะยาวโดยการเตรียมความพร้อมสำหรับการเติบโตในอนาคต ด้วยการออก Perpetual Bond 2,500 ล้านบาท เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับแสนสิริ   ปัจจุบันแสนสิริมียอดขายล่าสุดอยู่ที่ 21,000 ล้านบาท จากการดำเนินธุรกิจ ด้วยกลยุทธ์การตลาดที่แข็งแกร่งนำหน้าคู่แข่งในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งภายใต้สถานการณ์โควิด-19 ยังทำให้แสนสิริต้องเร่งการขายโครงการที่อยู่อาศัยต่างๆ ให้เร็วกว่าแผนเดิม เพื่อแข่งขันกับสภาพตลาด (Speed to Market)   ขณะเดียวกัน เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2563 ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ครั้งที่ 6/2563 ได้มีมติอนุมัติแผนเตรียมความพร้อมรองรับการเติบโต ในอนาคตของบริษัท โดยการขออนุมัติออกหุ้นสามัญรวมจำนวน 4,600​ ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.07 บาท ส่งผลให้ทุนจดทะเบียนของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ 16,224,125,722.40 บาท มาเป็นทุนจดทะเบียนใหม่ที่ 21,146,125,722.40 บาท   โดยการเตรียมความพร้อมในครั้งนี้ เพื่อรองรับการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุน (Warrant) ที่ออกให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement) จำนวน 2,500 ล้านหุ้น โดยมีราคาใช้สิทธิที่ 1.10 บาทต่อหุ้น ซึ่งจะจัดสรรให้แก่ผู้ลงทุนที่จองซื้อหุ้นกู้ที่ครบกำหนดไถ่ถอนเมื่อมีการเลิกบริษัท (Perpetual Bond) ที่บริษัทจะออกและเสนอขายโดยมีมูลค่าการเสนอขายรวมไม่เกิน 2,500 ล้านบาท และเพื่อรองรับการใช้สิทธิตามโครงการออกและเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัท (ESOP#8) ให้แก่กรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัท จำนวน 700 ล้านหุ้น โดยมีราคาใช้สิทธิที่ 1.10 บาทต่อหุ้น ทั้งนี้ เพื่อสร้างความมีส่วนร่วมในความเป็นเจ้าของบริษัท ช่วยเสริมสร้างกำลังใจให้แก่ผู้บริหารและพนักงานในการปฏิบัติงาน อีกทั้งยังเป็นการจูงใจและรักษาบุคลากรที่มีความสามารถและมีประสิทธิภาพในการทำงานให้อยู่กับบริษัทต่อไปในระยะยาว อันจะส่งผลดีต่อการปฏิบัติงานและการเติบโตของธุรกิจในอนาคต   นอกจากนี้ จะมีการขออนุมัติกรอบการเพิ่มทุนแบบมอบอำนาจทั่วไป (General Mandate) ไว้จำนวน 1,400 ล้านหุ้น โดยจะมีการดำเนินการขออนุมัติมติที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 24 กรกฎาคม 2563 นี้ สำหรับหุ้นสามัญที่จะออกเพิ่มให้กับนักลงทุนสถาบัน ในวงจำกัด (private placement) มีกลุ่มทุนที่ให้ความสนใจ ได้แก่ กองทุนที่ฮ่องกง ซึ่งจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งทางด้านการเงินและเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับแสนสิริ
ถอดบทเรียนอสังหาฯ ไทย-อาเซียน หลังเผชิญปัญหาโควิด-19

ถอดบทเรียนอสังหาฯ ไทย-อาเซียน หลังเผชิญปัญหาโควิด-19

การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในปัจจุบันส่งผลกระทบไปทั่วโลก ซึ่งรวมถึงประเทศในแถบภูมิภาคอาเซียนด้วย โดยแต่ละประเทศต่างก็มีมาตรการเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้    ในขณะเดียวกันอีกหลายประเทศในภูมิภาคอาเซียนก็เริ่มผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดลดน้อยลง เปิดโอกาสให้หลายธุรกิจกลับมาเปิดกิจการได้ตามปกติ แม้จะยังมีความกังวลหลังจากบทเรียนจากบางประเทศที่มีการกลับมาระบาดของโรคซ้ำสองหลังมีมาตรการผ่อนปรน   จากรายงานของสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN) ระบุว่า การท่องเที่ยว ค้าปลีก และธุรกิจบริการต่าง ๆ จะได้รับผลกระทบหนักสุด เนื่องจากมาตรการล็อกดาวน์ที่ประกาศใช้ ทำให้การดำเนินธุรกิจหยุดชะงัก ทั้งห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) การจ้างงานและอาชีพพื้นฐานที่มีความเสี่ยงต่าง ๆ ในขณะที่ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลง   การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ยังตอกย้ำถึงโอกาสฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ที่ยังคงชะลอตัวทั่วโลก เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยรายงานจากหลายๆ แหล่ง ได้คาดการณ์ไปในทิศทางเดียวกันว่า ในช่วงเริ่มแรกของการระบาดอาจส่งผลเล็กน้อยต่อเศรษฐกิจทั่วโลก แต่เนื่องจากการแพร่ระบาดที่รวดเร็วของไวรัสที่กระจายตัวทั่วโลก ยิ่งตอกย้ำภาพรวมเศรษฐกิจที่จะเติบโตลดลงอย่างต่อเนื่อง ราคาอสังหาฯ ไทยดิ่งติดลบ 9% ทั้งนี้ ภาคอสังหาริมทรัพย์ถือเป็นอีกหนึ่งภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบอย่างมากจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งตลาดอสังหาริมทรัพย์ในภูมิภาคอาเซียนมีการปรับตัว เพื่อตอบรับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ โดย DDproperty.com ได้จัดทำรายงานและวิเคราะห์ความเคลื่อนไหวเพื่อเป็นแนวทางให้ทั้งผู้บริโภคและผู้ประกอบการได้พิจารณาในช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19  ตลาดอสังหาฯ ไทยเปิดโครงการใหม่ลดลง 3% จากรายงาน DDproperty Thailand Property Market Index Q2 2563 พบว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ของไทยในปี 2563 มีแนวโน้มชะลอตัวลง โดยมีสัญญาณมาตั้งแต่ปลายปี 2562 ที่ราคาและอุปทานลดลงอย่างต่อเนื่อง จากปัจจัยท้าทายหลายด้านทั้งสภาพเศรษฐกิจที่ยังชะลอตัว หนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง และยิ่งเห็นได้ชัดเมื่อการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19    โดยดัชนีราคาในไตรมาสแรกของปี 2563 ลดลง 1% จากไตรมาสก่อนหน้า และลดลงถึง 9% ในรอบ 1 ปี ส่วนดัชนีอุปทานแม้จะยังทรงตัว แต่ก็ลดลง 3% ในรอบ 1 ปี   อย่างไรก็ตาม แม้ว่าวิกฤติโควิด-19 จะทำให้ตลาดอสังหาฯ ชะลอตัว แต่จะเห็นได้ว่าราคาคอนโดมิเนียม และทาวน์เฮ้าส์ ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับโปรโมชันลด แลก แจก แถมต่าง ๆ ของผู้ประกอบการอสังหาฯ หลายราย เพื่อเร่งระบายสินค้าคงค้าง จึงเป็นโอกาสที่ดีของผู้ซื้อที่มีความพร้อม ที่จะได้สินค้าในราคาที่เหมือนกับช่วงเปิดตัวโครงการ นอกจากจะเป็นการซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองแล้ว ยังเหมาะกับการซื้อเพื่อลงทุน เนื่องจากราคาอสังหาฯ มีแนวโน้มเติบโตเพิ่มขึ้นอีกเมื่อสถานการณ์กลับมาเป็นปกติ โดยเฉพาะสินค้าระดับกลาง-บน ที่มีการเติบโตของระดับราคาเป็นอย่างมาก อสังหาฯ สิงคโปร์ แห่ลดราคาสู้โควิด-19 ผู้ประกอบการอสังหาฯ จำนวนมากมีแนวโน้มที่จะลดราคาอสังหาฯ ลงอีกในไตรมาสที่ 2 ของปี 2563 หากสถานการณ์ชัตดาวน์ประเทศสิงคโปร์ยังยืดเยื้อ ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากความเชื่อมั่นและการคาดการณ์ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP ที่ลดลง จากรายงาน PropertyGuru Singapore Property Market Index ฉบับล่าสุด พบว่า ดัชนีราคาลดลง 1.1% ในไตรมาสแรกของปี 2563 สอดคล้องกับข้อมูลจาก Urban Redevelopment Authority ที่ระบุว่าราคาอสังหาฯ ที่ไม่ใช่ที่ดินและคอนโดมิเนียมจะปรับตัวลดลง 1% ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ผู้ประกอบการอสังหาฯ จำเป็นต้องลดราคาอย่างเลี่ยงไม่ได้ ด้านผู้ประกอบการอสังหาฯ ในประเทศยังคงมองตลาดอสังหาฯ เป็นบวกและเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด   อย่างไรก็ดี ภาคธุรกิจในประเทศส่วนใหญ่ไม่หวั่นวิตกกับสถานการณ์การแพร่ระบาดมากนัก เนื่องจากเชื่อมั่นในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล รวมทั้งความแข็งแกร่งของภาคอสังหาฯ ที่มีการออกมาตรการคุมภาระหนี้ต่อรายได้ (TDSR) และ มาตรการกำกับควบคุมการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัย (LTV) ตลาดอสังหาฯ มาเลเซีย ราคาเพิ่มสวนกระแสไควิด-19 จากการแพร่ระบาดอย่างรุนแรงของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในมาเลเซียตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา จนภาครัฐต้องใช้มาตรการชัตดาวน์ประเทศ ทำให้ภาคธุรกิจหยุดชะงัก ส่งผลให้เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ภาพรวมตลาดอสังหาฯ ยังคงรักษาการเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งต่อเนื่องมาจากไตรมาสแรกของปี 2563 โดยวัดได้จากดัชนีราคาที่เพิ่มขึ้น   สอดคล้องกับรายงาน PropertyGuru Malaysia Property Market Index ฉบับล่าสุด ที่พบว่า  ดัชนีราคาในไตรมาสแรกของปี 2563 ปรับตัวขึ้นเล็กน้อย หรือเพิ่มขึ้น 0.63% แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคยังมองอสังหาฯ ว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดหากต้องการสร้างความมั่นคง สวนทางกับจำนวนอุปทานใหม่ที่ลดลงถึง 10.47% ซึ่งลดลงมากสุดในรอบ 3 ปี   อย่างไรก็ตาม จากการเปลี่ยนแปลงของดัชนีราคา จำนวนอุปทาน รวมถึงมูลค่าการทำธุรกรรมในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อาจส่งผลกระทบต่อการกำหนดราคาในตลาด ซึ่งเพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบการอสังหาฯ รักษาระดับราคาอสังหาฯ ในพื้นที่สำคัญ ๆ ให้คงที่หรือเพิ่มราคาได้อีก อสังหาฯ อินโดนีเซีย แห่แข่งราคา รับดีมานด์ ตามรายงานของธนาคารแห่งประเทศอินโดนีเซียคาดการณ์ว่า ภาคอสังหาฯ ของประเทศในปีนี้จะเติบโตขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับรายงาน Rumah.com Indonesia Property Market Index ฉบับล่าสุด ที่ชี้ให้เห็นว่า ปี 2563 จะเป็นปีแห่งการฟื้นฟูภาคอสังหาฯ เนื่องจากการสนับสนุนของภาครัฐฯ ที่ออกนโยบายผ่อนปรนมาตรการ LTV สำหรับผู้ซื้อบ้านหลังที่สอง ซึ่งเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับผู้ประกอบการอสังหาฯ นักลงทุน และภาคธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องมากขึ้น   อย่างไรก็ดี จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศชะลอตัวตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นมา ทางด้านภาคอสังหาฯ ในไตรมาสแรกของปี 2563 พบว่า มีจำนวนอุปทานใหม่ลดลง สวนทางการเติบโตของความต้องการซื้อ ทำให้ผู้ที่ขับเคลื่อนตลาดอสังหาฯ ของอินโดนีเซียในไตรมาสที่ผ่านมาเป็นกลุ่มผู้บริโภค   นอกจากนี้ยังพบว่า ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับราคาอสังหาฯ มากกว่าโปรโมชันส่วนลดหรือของแถมอื่น ๆ ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องแข่งขันด้านราคากันอย่างรุนแรง โดยผู้ประกอบการอสังหาฯ รายใดที่นำเสนอราคาได้ถูกกว่า ก็มีโอกาสขายได้   นอกจากนี้ยังจะได้เห็นการปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจและการให้บริการของภาคอสังหาฯ​ ในอาเซียนที่หันมาสร้าง “New Norm” ให้เกิดขึ้น ถือเป็นการพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสได้ โดยใช้โอกาสนี้เข้าถึงลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ผ่านการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ และการเข้าถึงผู้บริโภคด้วยแพลตฟอร์มออนไลน์ ถอดบทเรียนจากโควิด-19  นางกมลภัทร แสวงกิจ ผู้จัดการใหญ่ประจำประเทศไทย ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ ในเครือพร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป กล่าวว่า ธุรกิจอสังหาฯ ทั่วอาเซียนต้องเผชิญกับความท้าทายที่ยิ่งใหญ่จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ภาครัฐต้องออกมาตรการล็อกดาวน์ประเทศ ทำให้ผู้ประกอบการอสังหาฯ หลายราย ต้องพับแผนในการเปิดตัวโครงการใหม่ การก่อสร้างหยุดชะงัก งานแสดงบ้านระดับบิ๊กอีเวนท์ที่โกยรายได้มากมายในแต่ละปีก็ไม่สามารถจัดขึ้นได้ เนื่องจากการ Social Distancing    อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการในอาเซียนต่างเห็นตรงกันว่า กุญแจสำคัญสำหรับการรอดพ้นในช่วงวิกฤติ คือ การวางแผนการเงินสำรองฉุกเฉิน การทำแผนตลาดให้มีความยืดหยุ่นเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่เกินความคาดหมาย ยกระดับการแข่งขันด้วยเทคโนโลยีเพื่อต่อเกมธุรกิจ สร้างประสบการณ์ดิจิทัลแก่พนักงานและลูกค้าได้ต่อเนื่องแม้ทุกอย่างจะหยุดชะงัก ซึ่งอาจจะมีอีกหลากหลายคำตอบที่ใช้เอาชนะความท้าทายต่าง ๆ ได้ เพียงแค่ต้องบริหารจัดการให้เหมาะสม บทเรียนที่วิกฤติโควิด-19 ได้ฝากไว้คือ ภายใต้สถานการณ์ที่ทุกอย่างหยุดชะงัก ผู้บริโภคได้เรียนรู้ที่จะปรับและค้นหาวิธีการใหม่ ๆ ในการจัดการชีวิต การทำงาน รวมทั้งการค้นหาบ้าน แม้จะอยู่ในช่วงวิกฤติโควิด-19 แต่ผู้บริโภคยังคงให้ความสนใจอสังหาฯ อย่างต่อเนื่อง ยืนยันได้ด้วยจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ DDproperty.com พบว่า จำนวนการเข้าชมและทำการค้นหาต่อบนเว็บไซต์ เพิ่มสูงขึ้นถึง 8% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนเคอร์ฟิว   ดังนั้น ผู้ประกอบการอสังหาฯ ที่ปรับตัวได้ก่อน อาทิ การใช้ช่องทางออนไลน์แบบครบวงจร หรือใช้เทคโนโลยี Virtual Tour ในการรีวิวโครงการ แทนการเข้าชมจริง ก็จะสามารถประคองธุรกิจ หรือก้าวไปข้างหน้าได้แม้จะอยู่ในสถานการณ์นี้   ด้านผู้บริโภค ยังยืนยันว่าช่วงนี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ซื้อที่มีความพร้อม ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในทำเลดี ที่ราคาไม่สูง พร้อมโปรโมชันมากมาย ทั้งเพื่ออยู่เอง รวมทั้งการขยายพอร์ตการลงทุนสำหรับผู้ที่มองหาช่องทางการลงทุนที่ดีหลังจากผ่านวิกฤติโควิด-19 เนื่องจากอสังหาฯ ยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต      
พฤกษา พอใจผลงานไตรมาสแรก  เดินหน้าใช้การตลาดดิจิทัลรับไลฟ์สไตล์ New Normal

พฤกษา พอใจผลงานไตรมาสแรก เดินหน้าใช้การตลาดดิจิทัลรับไลฟ์สไตล์ New Normal

พฤกษา เผยผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2563 ดีกว่าที่คาดการณ์ ทำรายได้ 7,143 ล้านบาท ยอดขาย 6,069 ล้านบาท กำไรสุทธิ 922 ล้านบาท เชื่อผู้บริโภคยังมีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยต่อเนื่อง เล็งปรับกลยุทธ์ธุรกิจรับ New Normal  ในทุกมิติ ชูช่องทางขายผ่านดิจิทัล อัดโปรโมชั่นชิงส่วนแบ่งตลาด   นางสุพัตรา เป้าเปี่ยมทรัพย์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน)  เผยถึงผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2563 ว่า  แม้บริษัทฯ จะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19  แต่โดยภาพรวมผลการดำเนินธุรกิจยังอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพึงพอใจกว่าที่คาดไว้ เนื่องจากบริษัทฯ สามารถบริหารจัดการความเสี่ยง และปรับตัวรับมือต่อผลกระทบของสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้เป็นอย่างดี ส่งผลให้บริษัทฯ มีรายได้ 7,143 ล้านบาท ยอดขาย 6,069 ล้านบาท กำไรสุทธิ 922 ล้านบาท  และมียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) อยู่ 26,810 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ 9,000 ล้านบาท พร้อมยังคงสภาวะทางการเงินที่แข็งแกร่งจากการบริหารสภาพคล่องของกระแสเงินสด (Cash Flow) อย่างมีประสิทธิภาพ   โดยสัดส่วนรายได้ในไตรมาส 1 ราว 66% หรือ 4,699 ล้านบาท มาจากกลุ่มสินค้าทาวน์เฮาส์และบ้านเดี่ยว และมีรายได้จากกลุ่มสินค้าคอนโดมิเนียมประมาณ 34% หรือ 2,435 ล้านบาท ด้านสัดส่วนยอดขาย แบ่งเป็นยอดขายมาจาก ทาวน์เฮาส์ 2,808  ล้านบาท  คอนโดมิเนียม 2,081 ล้านบาท และบ้านเดี่ยว 1,180 ล้านบาท ยังคงอัตราการทำกำไรในระดับที่ดี เห็นได้จากอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ที่ 35.9% สูงขึ้นเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันของปีก่อน   ในช่วงไตรมาสแรกบริษัทได้เปิดโครงการใหม่ 5 โครงการ เป็นทาวน์เฮาส์ 3 โครงการ มูลค่า 1,930 ล้านบาท และ คอนโดมิเนียม 2 โครงการ มูลค่า 3,250 ล้านบาท ได้แก่  เดอะทรี วิคทอรี่ โมนูเมนต์ และเดอะ ทรี สุขุมวิท พระรามสี่  มีอัตรายอดขาย (Take Up Rate) ของโครงการเปิดใหม่ที่ 25% สูงกว่าตลาดที่มีอัตรายอดขายอยู่ที่ 16%     สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในช่วงต่อไป จะเน้นการบริหารค่าใช้จ่ายทุกประเภทภายในองค์กรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด  รักษาสภาพคล่อง เร่งแปรสินค้าสต็อก (Inventory) ให้เป็นรายได้ พร้อมออกแคมเปญส่งเสริมการขายด้วยข้อเสนอพิเศษสุด สำหรับลูกค้าที่จองและโอนกรรมสิทธิ์โครงการต่างๆ ของพฤกษาที่เข้าร่วม จำนวนถึง 167 โครงการ ตั้งแต่วันนี้ – 30 มิถุนายน 2563 พฤกษาผ่อนให้นานสูงสุด 2  ปี พร้อมรับส่วนลดสูงสุดถึง 1 ล้านบาท ฟรีค่าใช้จ่ายอื่นๆ อาทิ ฟรีค่าใช้จ่ายวันโอน  ฟรีส่วนกลาง 3 ปี ฟรีค่ามิเตอร์น้ำ-ไฟ และเพิ่มเติมสำหรับทาวน์เฮาส์ รับทองคำสูงสุด 1 บาทหรือเลือกรับส่วนลดมูลค่า 25,000 บาท โดยโปรโมชั่นมีเงื่อนไขตามที่แต่ละโครงการกำหนด   นอกจากนี้ หลังเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้พฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ที่จำกัดการออกจากบ้านของผู้บริโภค เป็นตัวเร่งให้สังคมเข้าสู่จุดที่ทุกคนทุกวัยเชื่อมต่อสู่โลกออนไลน์เร็วขึ้นและเพิ่มขึ้น  ผู้ประกอบการทุกรายจึงต้องปรับกลยุทธ์ด้วยการนำเอาสินค้าของตัวเองเข้าไปอยู่ในโลกดิจิทัลตลอดทุกช่วงของ Customer Journey ให้ได้มากที่สุด     เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการและพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของลูกค้า  พฤกษาจึงเตรียมยกระดับการพัฒนาสินค้า นวัตกรรม และการบริการ แบบบูรณาการในทุกมิติ พร้อมทั้งปรับกลยุทธ์การตลาดและการขาย โดยได้ปรับการขายผ่าน Digital Platform ตั้งแต่ระยะต้น อาทิ Facebook Live พาเยี่ยมชมโครงการ ซื้อสินค้าผ่านทางไลน์แชท (Line Chat) ชมโครงการผ่าน VDO 360 องศา และ VDO Call  การคัดเลือกบ้านยูนิตพิเศษ (Hot Deals)  พร้อมราคาและเงื่อนไขสุดพิเศษ ซึ่งได้ผลตอบรับเป็นอย่างดี   สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งปีหลัง จากแนวโน้มสถานการณ์ผู้ติดเชื้อลดลงในขณะที่คนไทยมีการปรับตัวในการดำเนินชีวิตแบบเว้นระยะห่างทางสังคม  ด้วยแล้ว มองว่าสถานการณ์น่าจะดีขึ้น หลังจากความกังวลลดลง คาดว่าลูกค้าที่มีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยจะกลับมาตัดสินใจซื้อเพิ่มขึ้น        
มั่นคงฯ เจอผลกระทบโควิด-19 ไตรมาสแรกรายได้วูบ 18%

มั่นคงฯ เจอผลกระทบโควิด-19 ไตรมาสแรกรายได้วูบ 18%

มั่นคงเคหะการ  โดยพิษไวรัสโควิด-19 รายได้อสังหาฯ ไตรมาสแรกลด 18% แต่ได้อานิสงค์ธุรกิจเช่าและการบริการ หนุนรายได้ ครึ่งปีหลังเตรียมเปิดตัวโครงการแนวราบอีก 2 โครงการ และธุรกิจเวลเนสส์เซ็นเตอร์    นายวรสิทธิ์ โภคาชัยพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) หรือ MK เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกของปี 2563 ว่า บริษัทและบริษัทย่อยสามารถทำรายได้รวมจากการขายและบริการได้ 640.92 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายอยู่ที่  496.93  ล้านบาท ส่วนธุรกิจเพื่อเช่าและการบริการมีรายได้เติบโตขึ้นเป็นจำนวนถึง 143.99 ล้านบาท เติบโตเพิ่ม 23% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา   ทั้งนี้ จากภาวะเศรษฐกิจไทยที่มีอัตราชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง มาตั้งแต่ปี 2562 ผนวกกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 นับว่าเป็นปัจจัยสำคัญ ที่ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคบางกลุ่ม  ทำให้มีการชะลอการตัดสินใจซื้อ รวมถึงมีความสามารถในการซื้อที่ลดลง ในไตรมาสแรกของปี 2563 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายอสังหาฯ ลดลงประมาณ 18% เมื่อเปรียบเทียบกับรายได้เฉลี่ยต่อไตรมาส ภายหลังมาตรการควบคุมสินเชื่อที่อยู่อาศัยเริ่มมีผลบังคับใช้ในปีที่ผ่านมา   อย่างไรก็ตาม แม้จะอยู่ท่ามกลางวิกฤต แต่บริษัทฯ ก็ยังสามารถสร้างรายได้จากธุรกิจเช่าและบริการ (Recurring Income) ถึง 143.99 ล้านบาท เติบโต  23% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา  โดยรายได้หลักมาจากโครงการ บางกอก ฟรีเทรด โซน ภายใต้การบริหารงานของ บริษัท พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด จำนวน 92.86 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาถึง 29.31 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นถึง 46.12% จากผลการดำเนินงานภาพรวมของ บมจ.มั่นคงเคหะการ จะเห็นได้ว่าธุรกิจให้เช่าและธุรกิจบริการ มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง สามารถสร้างกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นให้กับกลุ่มบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเป็นไปตามแผน  การปรับโครงสร้างรายได้ของกลุ่มบริษัท เพื่อลดความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ และสร้างรายได้ที่สม่ำเสมอ ในระยะยาว โดยสัดส่วนกำไรขั้นต้นของธุรกิจให้เช่าและธุรกิจบริการเมื่อเปรียบเทียบกับกำไรขั้นต้นทั้งหมด ไม่รวมการขายที่ดินเปล่าในไตรมาสนี้ปรับเพิ่มขึ้น 34% จากเดิม 19.5%   นายวรสิทธิ์ กล่าวอีกว่า จะเห็นได้ว่าแผนธุรกิจ 5 ปีของกลุ่มบริษัท ที่มุ่งเน้นสร้างสมดุลรายได้ที่มั่นคง ได้ช่วยลดผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ได้เป็นอย่างดี  รวมถึงกลุ่มบริษัทยังสามารถควบคุมต้นทุน และค่าใช้จ่ายให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และยังสามารถดำเนินงานตามแผนธุรกิจที่วางไว้ได้อย่างต่อเนื่อง   สำหรับแผนการดำเนินงานต่อไป โดยมีแผนเปิดตัวโครงการแนวราบอีก 2 โครงการ และธุรกิจโครงการสถานพยาบาล สถานฟื้นฟูและเวชศาสตร์ชะลอวัย (Wellness Center) ที่มีแผนจะเปิดตัวช่วงปลายปี 2563 นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมีแผนในการจัดตั้งกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาฯ เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งปีหลัง  เพื่อให้เป็นตามแผนโครงสร้างรายได้ 5 ปี ปรับสัดส่วนกำไรของทั้ง 2 ฝั่งอยู่ที่ 50/50 ภายในปี 2564