Tag : News

2400 ผลลัพธ์
“ออริจิ้น” ใช้ตลาดเชิงรุก สร้างผลงานไตรมาสแรก ทำกำไรกว่า 595 ล้าน

“ออริจิ้น” ใช้ตลาดเชิงรุก สร้างผลงานไตรมาสแรก ทำกำไรกว่า 595 ล้าน

“ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้” เปิดผลประกอบการไตรมาสแรก  กวาดกำไรกว่า 595 ล้าน​ หลังรับรู้กำไรจากส่วนแบ่งโครงการร่วมทุน ที่สร้างเสร็จใหม่ 2 โครงการ ทำยอดโอนไปกว่า 1,441 ล้านบาท รับรู้กำไรกิจการร่วมค้ากว่า 141 ล้านบาท (ตามสัดส่วนถือหุ้น 51%) ซึ่ง ชี้ครึ่งปีหลังมีโครงการสร้างเสร็จใหม่พร้อมทยอยโอนเพิ่มอีกกว่า 17,000 ล้าน หนุนระดับรายได้-กำไรในปีแห่งความท้าทาย   นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 2,408 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 595 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาเพียง 17% เนื่องจากสถานการณ์ COVID-19 ที่ทำให้ธุรกรรมต่างๆ ชะลอตัว แต่ภาพรวมสามารถทำได้ดีกว่าตลาดที่คาดว่าจะติดลบ 30-40 %   อย่างไรก็ดี บริษัทยังคงสามารถรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นไว้ได้ที่ 39.9% และเริ่มรับรู้กำไรจากโครงการคอนโดมิเนียมร่วมทุน (Joint Venture) กับบริษัท โนมูระเรียลเอสเตท ที่ก่อสร้างเสร็จใหม่ 2 โครงการเป็นครั้งแรก ได้แก่ โครงการไนท์บริดจ์ ไพร์ม รัชโยธิน และโครงการไนท์บริดจ์ คอลลาจ รามคำแหง ที่มียอดขายมากกว่า 93% จากมูลค่าโครงการรวมกว่า 3,700 ล้านบาท ซึ่งทำยอดโอนไปกว่า 1,441 ล้านบาท รับรู้กำไรกิจการร่วมค้ากว่า 141 ล้านบาท (ตามสัดส่วนถือหุ้น 51%) ซึ่งหากนับรวมรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมดนี้ บริษัทสามารถทำได้ถึง 3,394 ล้านบาท เติบโตขึ้น 13.1%  จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเติบโต 2.9% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อสหน้า ทั้งนี้ บริษัทยังสามารถผลักดันยอดขายได้ดีจากการปรับกลยุทธ์การตลาดเชิงรุก และสร้างทีม Everyone Can Sell ที่แม้ว่าในช่วงไตรมาส 1 ปี 2563 ที่ผ่านมา มีความท้าทายกับสถานการณ์ COVID-19  สามารทำยอดขายอยู่ที่ 4,852 ล้านบาท คิดเป็นประมาณ 23% ของเป้ายอดขายทั้งปี โดยเป็นยอดขายที่มาจากกลุ่มโครงการบ้าน ประมาณ 1,682 ล้านบาท ซึ่งมากกว่าไตรมาส 1/2562 อยู่ 775 ล้านบาท คิดเป็น 86% ซึ่งเป็นไปตามแผนที่กลุ่มบริษัทมีการขยายสัดส่วนโครงการบ้านจัดสรร เนื่องจากการขยายตัวของเครือข่ายเส้นทางรถไฟฟ้าไปยังทำเลเมืองรอบนอกมากขึ้น อีกทั้งลูกค้ากลุ่มนี้มีวัตถุประสงค์การซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง และยังมีความผันผวนของความต้องการที่ต่ำกว่าอาคารชุด จึงถือเป็นการกระจายความเสี่ยงจากการเพิ่มช่องทางของรายได้   โดยการเปิดตัวโครงการใหม่ทั้ง 2 โครงการในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนมีนาคม ได้แก่ โครงการแกรนด์ บริทาเนีย วงแหวน-รามอินทรา และโครงการบริทาเนีย สายไหม ได้รับการตอบรับที่ดีโดยในไตรมาส 1/2563 ทำยอดขายได้กว่า 220 ล้านบาท และยอดขายโครงการคอนโดมิเนียมอีกราว 3,170 ล้านบาท โดยทั้งนี้คิดเป็นโครงการพร้อมอยู่ (Ready to move) ประมาณ 3,733 ล้านบาท จากที่ไตรมาส 1/2563 บริษัทเน้นการขายในโครงการพร้อมอยู่ ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ภายในปีนี้   ในปี 2563 บริษัทมีการปรับรูปแบบการดำเนินงานให้เข้ากับสถานการณ์ด้วยกลยุทธ์การตลาดเชิงรุก แพลทฟอร์มออนไลน์ การขับเคลื่อนทั้งการขายการโอน การดูแลผู้บริโภคและพนักงานได้แบบ Zero-COVID เราจะรักษามาตรฐานและปรับตัวอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถผ่านปีที่ท้าทายนี้ไปได้อย่างมั่นคง   นอกจากนี้ บริษัทยังมีพาร์ทเนอร์ใหม่ คือ บริษัท จีเอส เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น คอร์ปอเรชั่น (GS E&C) จากประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ในแวดวงธุรกิจอุตสาหกรรมก่อสร้าง และอสังหาริมทรัพย์ระดับโลก มาร่วมพัฒนาโครงการคอนโดนิเนียมใหม่ 2 โครงการที่จะเปิดตัวในปีนี้ ได้แก่ 1.โครงการดิ ออริจิ้น ลาดพร้าว 111 (The Origin Ladprao 111) และ 2.โครงการไนท์บริดจ์ สเปซ พระราม 4 (KnightsBridge Space Rama 4) นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า สำหรับไตรมาส 2/2563 บริษัทมุ่งเน้นแผนการตลาดไปที่กลุ่ม Ready to Move และสินค้ารอขาย (Inventory) ด้วยหลากหลายแคมเปญ อาทิ แคมเปญ Keep Your Distance เว้นระยะผ่อน ให้ผู้ซื้ออยู่ฟรีนานสูงสุด 3 ปี ช่วยลดภาระให้ผู้ซื้อได้ในสถานการณ์ COVID-19 พร้อมสิทธิประโยชน์อื่นๆ กับ 23 โครงการในเครือ แคมเปญ Always Online ใช้ 3 แพลทฟอร์ม ทั้ง LINE OA, Lazada, Shopee อำนวยความสะดวกให้แก่ผู้บริโภคในทุกขั้นตอนที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ ทั้งการหาข้อมูล การจอง การตรวจห้อง ไปจนถึงการโอนกรรมสิทธิ์ ซึ่งบริษัทให้ความสำคัญกับเรื่องสุขอนามัย โดยการจัดให้มี Private Visit อำนวยความสะดวกแก่ผู้ที่จำเป็นต้องเข้าไปเยี่ยมชมโครงการ   ทั้งนี้ บริษัทจะเฝ้าติดตามสถานการณ์ COVID-19 อย่างใกล้ชิด และปรับรูปแบบการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ทันต่อสถานการณ์ และสามารถรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ คาดว่าสถานการณ์ภาพรวมในช่วงครึ่งปีหลังจะสดใสกว่าช่วงครึ่งปีแรก โดยบริษัทมีโครงการรอเปิดตัวในช่วงครึ่งปีหลังอีก 12 โครงการ แบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 4 โครงการ และบ้านจัดสรรอีก 8 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 16,700 ล้านบาท   ขณะเดียวกัน บริษัทยังมีแบ็คล็อคขนาดใหญ่ที่จะเปลี่ยนเป็นยอดรับรู้รายได้ จากโครงการคอนโดมิเนียมและบ้านที่จะทยอยสร้างเสร็จในช่วงครึ่งหลังของปีอีก 12 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 17,000 ล้านบาท (รวมโครงการร่วมทุนมูลค่า 5,300 ล้านบาท) ส่งผลให้บริษัทจะมีโอกาสสร้างทั้งยอดขาย รายได้ และกำไรเข้ามาเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลัง ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท มีมติเห็นชอบให้เสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 27 สิงหาคม 2563 จ่ายปันผลสำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทรอบหกเดือนหลัง ของปี 2562 ในอัตรา 0.29 บาทต่อหุ้น เป็นเงินปันผลจ่ายทั้งสิ้นไม่เกิน 711.33 ล้านบาท ทั้งนี้ในปี 2562 บริษัทได้มีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลตามมติคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 8/2562 เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2562 สำหรับงวด 6 เดือนแรกของปี 2562 เป็นเงินสดในอัตราหุ้นละ 0.205 บาท หรือคิดเป็นเงินจำนวนไม่เกิน 502.06 ทั้งนี้คิดเป็น Dividend Yield ทั้งปีกว่า 11% จากราคาปิดเมื่อวานนี้ โดยบริษัทจะจ่ายเงินปันผลเป็นเงินสด ซึ่งจะกำหนดขึ้น XD ในวันที่ 1 กันยายน 2563 และวันที่ 2 กันยายน 2563 เป็นวันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date) โดยกำหนดจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นภายในวันที่ 25 กันยายน 2563    
เอสซีฯ​ รุกตลาดแนวราบ เปิดเดือนเดียว 4 โปรเจ็กต์ มูลค่า 5,000 ล้าน

เอสซีฯ​ รุกตลาดแนวราบ เปิดเดือนเดียว 4 โปรเจ็กต์ มูลค่า 5,000 ล้าน

เอสซีฯ รุกตลาดแนวราบไตรมาส 3 เปิดใหม่เดือนเดียว 4 โปรเจ็กต์  มูลค่ารวม 5,000  ล้าน หลังปรับกลยุทธ์ทำตลาดออนไลน์ได้กระแสตอบรับดี ขณะที่ไตรมาสแรก ยังโชว์ผลงานทำรายได้รวมโต 4% กวาดกำไรกว่า​ 300 ล้าน   นายอรรถพล สฤษฎิพันธาวาทย์ ประธานเจ้าหน้าที่ด้านสนับสนุนองค์กร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC เปิดเผยว่า หลังจากบริษัทได้ปรับกลยุทธ์ทางการตลาด ด้วยการทำตลาดออนไลน์ในโครงบ้านแนวราบ ซึ่งประสบความสำเร็จและได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดี  ในไตรมาส 2 นี้ จึงวางแผนเปิดโครงการบ้านเดี่ยวเพิ่มอีก 4 โครงการ มูลค่ารวม 5,000  ล้านบาท เป็นกลุ่มบ้านระดับราคา 5-50 ล้านบาท   โดย 2 โครงการแรกจะเปิด Pre-sale ในวันที่ 16-17 พฤษภาคมนี้ ได้แก่  1. บางกอก บูเลอวาร์ด วิภาวดี บ้านขนาด 2 ชั้น พื้นที่ 10-2-7.5 ไร่ มูลค่าโครงการ 730 ล้านบาท จำนวน  37 ยูนิต ราคา 13.99 - 26 ล้านบาท  ทำเลถนนวิภาวดีรังสิต ใกล้ทางด่วนศรีรัช (งามวงศ์วาน) เพียง 3.7 กม.  และ 2. บางกอก บูเลอวาร์ด พระราม5 บ้านขนาด 2 ชั้น 3 แบบ พื้นที่ 44 ไร่ มูลค่าโครงการ 2,100 ล้านบาท จำนวน 189 ยูนิต ราคา 8.99-15 ล้านบาทในทำเลใกล้ด่วนศรีรัช นอกจากนี้  ในวันที่ 23-24 พฤษภาคม ยังเตรียมเปิดอีก 2 โครงการใหม่ คือ  โครงการเดอะ เจนริ วิภาวดี วิลล่า 3 ชั้น ขนาด 5 ห้องนอน 6 ห้องน้ำ 4 ที่จอดรถ พร้อมสระส่วนตัวและลิฟท์ส่วนตัว มีจำนวนเพียง 10 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 27-50 ล้านบาท  โครงการมีพื้นที่  4-2-19 ไร่ มูลค่าโครงการ 400 ล้านบาท ​และ โครงการ​ เวนิว โฟลว์ แจ้งวัฒนะ บ้านเดี่ยว 2 ชั้น 3 แบบ พื้นที่โครงการ 68-1-59 ไร่ มูลค่าโครงการ 1,710 ล้านบาท  จำนวน 254 ยูนิต ราคาเริ่ม 5-10 ล้านบาท   สำหรับการเปิดตัวโครงการใหม่  บริษัทได้เตรียมแคมเปญโปรโมชั่นผ่อนหนักให้เป็นฟรี “SC Super Free”เมื่อจองโครงการตั้งแต่วันนี้ – 31 พฤษภาคมนี้  และโอนกรรมสิทธิ์ภายในวันที่ 30 มิถุนายนนี้ นายอรรถพล กล่าวยังได้กล่าวถึงผลการดำเนินงานในไตรมาส 1 ปี 2563 นี้ว่า บริษัทมีรายได้รวม 3,313 ล้านบาท เติบโต 4% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยเป็นรายได้จากการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย 3,071 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 93% ของรายได้รวม  ซึ่งแบ่งเป็นรายได้จากโครงการแนวราบ 1,829 ล้านบาท และรายได้จากโครงการคอนโดมิเนียม 1,243 ล้านบาท   ส่วนสัดส่วนอีก 7% เป็นรายได้จากการให้เช่าและบริการ  มีกำไรสุทธิ 301 ล้านบาท โดยมียอดขายรวม 1,982 ล้านบาท  ณ 31มีนาคม 2563 บริษัทและบริษัทย่อยมีสินทรัพย์และหนี้สินรวม 47,035 ล้านบาท และ 29,142 ล้านบาทตามลำดับ ปัจจุบันมีโครงการที่เปิดขายต่อเนื่อง จำนวน 52 โครงการ มูลค่าคงเหลือเพื่อขายรวมกว่า 41,600 ล้านบาท แบ่งเป็นแนวราบ 44 โครงการ และคอนโด 8 โครงการ ทั้งนี้ บริษัทมีกำหนดจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 15 พฤษภาคม 2563 ในอัตราหุ้นละ  0.19 บาท ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 3/2563 ที่มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล  
“ลิปตภัลลภ” ยุติธุรกิจรับเหมา ดัน PROUD ลุยพัฒนาอสังหาฯ  

“ลิปตภัลลภ” ยุติธุรกิจรับเหมา ดัน PROUD ลุยพัฒนาอสังหาฯ  

ตระกูล “ลิปตภัลลภ” หยุดธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง เหตุกำไรต่ำ  หันมาลุยธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ แทน มั่นใจหลังปลดล็อกดาวน์ PROUD จะทำรายได้และยอดขายเติบโต แบบเทิร์นอะราวด์ เตรียมแลนด์แบงก์ 5 ไร่ที่หัวหิน ปั้นโปรเจ็กต์ 2,500 ล้าน   นายไพสิฐ แก่นจันทน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด(มหาชน) หรือ PROUD เปิดเผยว่า ภายหลังกลุ่มลิปตภัลลภ เข้าลงทุนถือหุ้นใหญ่ บริษัทฯ จึงได้ปรับโครงสร้างธุรกิจด้วยการมุ่งเน้นพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และจะยุติธุรกิจเดิมในการเป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง เนื่องจากมีอัตรากำไรค่อนข้างต่ำ   โดยปัจจุบัน บริษัทฯ มีโครงการภายใต้การพัฒนา 2 โครงการ คือ  “Focus Phloenchit” คอนโดมิเนียมเจาะตลาดระดับบน มูลค่าโครงการ 830 ล้านบาท และโครงการ InterContinental Residences Hua Hin ที่พักอาศัยระดับบนใน อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ มูลค่าโครงการ 3,515 ล้านบาท จำนวน 238 ยูนิต คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในไตรมาส 2 ของ ปี 2563 และจะเริ่มโอนรับรู้เป็นรายได้ปลายปี 2564  โดยเปิดตัวโครงการเมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ขณะนี้มียอดขายแล้ว 66 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 1,200 ล้านบาท คาดว่าในปีนี้จะมียอดขายราว 1,500 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีที่ดินในมือรองรับการพัฒนาโครงการในอนาคตอีก 1 แปลง ขนาดพื้นที่ 5 ไร่ ตั้งอยู่ที่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ มูลค่าโครงการ 2,500  ล้านบาท ในปี 2563 จะเป็นปีแห่งการปรับโครงสร้างทางธุรกิจ  ภาพรวมผลประกอบการจึงอาจยังไม่สะท้อนธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เต็มที่นัก โดยคาดว่าช่วงครึ่งหลังของปี 2563 จึงจะเริ่มรับรู้รายได้จากการขายในโครงการ Focus เพลินจิตเข้ามา และคาดว่าจะเพียงพอที่จะผลักดันให้ผลประกอบการทั้งปีของ PROUD เทิร์นอะราวด์ได้ ส่วนผลประกอบการงวดไตรมาส 1 ของปี 2563 บริษัทฯ มีรายได้ 6.5 ล้านบาท มีผลขาดทุน 17.7 ล้านบาท เนื่องจากรับรู้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตามปกติ นายไพสิฐ กล่าวทิ้งท้าย ถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2563 ว่า การซื้อขายอาจชะงักชั่วคราวด้วยวิกฤตการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้เกิดข้อจำกัดในการเดินทาง แต่คาดว่าภายหลังรัฐบาลปลดล็อกดาวน์  กำลังซื้อจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ เนื่องจากบริษัทฯเจาะกลุ่มลูกค้าระดับบน ซึ่งเป็นกลุ่มที่แทบไม่ได้รับผลกระทบ และกลับมองว่าสถานการณ์โควิด-19 จะเป็นตัวกระตุ้นให้คนมองหาที่พักอาศัยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะที่พักตากอากาศในแหล่งท่องเที่ยว เช่น หัวหิน ซึ่งเป็นพื้นที่หลักในการพัฒนาโครงการของบริษัทฯในปัจจุบัน
SENA ส่ง “ทาวน์โฮมติดโซลาร์” 1 กิโลวัตต์ รับกระแส Work Form Home

SENA ส่ง “ทาวน์โฮมติดโซลาร์” 1 กิโลวัตต์ รับกระแส Work Form Home

“SENA” รุกตลาดแนวราบชิงเปิด “ทาวน์โฮมติดโซลาร์” รายแรกในวงการอสังหาฯ ไทย เตรียมขาย มิ.ย.นี้ ชี้จุดเปลี่ยนหลังโควิดป่วน มาตรการ Work From Home กลายเป็น New Normal แต่โซลาร์จะเป็น Next New Normal ที่ช่วยตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คอนซูมเมอร์ได้ระยะยาว 25 ปี     ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA เปิดเผยว่า ในช่วงการระบาดของโควิด-19 ทำให้คำว่า Work From Home มีการพูดถึงกันมาก จนกลายเป็นความเคยชินของผู้คนทั่วโลกไปโดยปริยาย แนวโน้มการทำงานแบบไม่ต้องเข้าออฟฟิศเป็นสิ่งที่หลายบริษัทหันมาให้ความสนใจมากขึ้น แต่เรื่องค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้นช่วงกลางวันก็จะยังเป็นปัญหาสำหรับคนทำงานที่บ้าน เพื่อเป็นการต่อยอดมาตราการ SENA Zero Covid เสนาจึงพัฒนานิวโปรดักส์ “ทาวน์โฮมติดโซลาร์”  รองรับความต้องการในการลดค่าใช้จ่ายระยะยาวให้กลุ่มลูกค้าที่สนใจสินค้าประเภทนี้ เพิ่มเติมจากเดิมที่ติดตั้งโซลาร์ที่บ้านเดี่ยวทุกหลังและส่วนกลางของคอนโดทุกโครงการ   เสนาดีเวลลอปเม้นท์ นับเป็นดีเวลลอปเปอร์รายแรกและรายเดียวที่มุ่งมั่นติดตั้ง Solar Rooftop ทุกโครงการ พร้อมด้วยบริการหลังการขายครบวงจร โดยเริ่มดำเนินการมาประมาณ 5 ปีแล้ว ช่วงวิกฤติโควิด-19 บริษัทฯ เตรียมพร้อมมาตรการที่จะดูแลลูกค้าทุกกลุ่มอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดประกาศมาตรการ SENA Zero Covid #2 ตอบรับกระแส New Normal คือการทำงานที่บ้าน (Work From Home) จากค่าไฟฟ้าเพิ่ม ในขณะที่บางคนมีรายได้ที่ลดลง จากการที่บางบริษัทมีการปรับลดเงินเดือน หรือแม้กระทั่งเลิกจ้าง โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีรายได้ไม่สูงมาก ยิ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบอย่างมาก การติดตั้งโซลาร์สามารถตอบโจทย์วิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป Next New Normal ที่จะช่วยลูกค้าประหยัด และลดค่าใช้จ่าย ระยะยาว 25 ปี   บริษัทพัฒนารูปแบบสินค้าใหม่และเตรียมเปิดตัวตามแผนงานที่วางไว้ในปี 2563 รุกตลาด “ทาวน์โฮม” ติดโซลาร์รายแรกของวงการอสังหาฯไทย เน้นกลุ่มคอนซูมเมอร์ระดับกลาง - ล่าง ขนาดติดตั้งโซลาร์ 1 กิโลวัตต์ ซึ่งเท่ากับการเปิดแอร์ และคอมพิวเตอร์ทำงาน ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าไฟเพิ่ม ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายสำหรับคนกลุ่มนี้  ภายใต้ชื่อโครงการ “เสนา วิลล์ ลำลูกกา คลอง 6” ทาวน์โฮม 2 ชั้น หน้ากว้าง 5.5 เมตร ที่ดินเริ่ม 22 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 138 ตารางเมตร 4 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ พร้อมที่จอดรถ 1 คัน ราคาเริ่ม 2 ล้านบาท กำหนดเปิดขายเดือนมิถุนายน 2563 ผศ.ดร.เกษรา กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันติดตั้งโซลาร์ทุกหลังทุกโครงการของเสนาฯ ถือเป็นมาตรฐานสินค้า หรือ Standard Product และไม่ใช่เพียงแค่ติดที่หลังคาบ้าน แต่ติดตั้งในพื้นที่ส่วนกลางของหมู่บ้านและคอนโดมิเนียม มากกว่า 400 ครัวเรือน  1,000 กิโลวัตต์   อนึ่ง ทางเสนาดีเวลลอปเม้นท์ มีบริษัทในเครือ คือ บริษัท เสนา โซลาร์ เอนเนอร์ยี่ จำกัด ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับพลังงานแสงอาทิตย์ และเป็นผู้ให้บริการติดตั้งแบบครบวงจร (อีพีซี ) ปัจจุบันอยู่ระหว่างการติดตั้งและการเจรจาสัญญา Private PPA : Private Power Purchase Agreement (สัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่างหน่วยงานเอกชนกับเอกชน)กลุ่มลูกค้าในอุตสาหกรรม  ประกอบด้วย BMW Millennium Auto Ladprao ,CJ supermarket 3 สาขา, สนามกอล์ฟ ริเวอร์เดล ,The nine พระราม 9 สนามกอล์ฟ ริเวอร์เดล MBK HO (มาบุญครอง) เป็นต้น
โกลเด้นแลนด์ ไม่หวั่นโควิด-19 เตรียมเปิดอีก 8 โปรเจ็กต์ 9,400 ล้าน

โกลเด้นแลนด์ ไม่หวั่นโควิด-19 เตรียมเปิดอีก 8 โปรเจ็กต์ 9,400 ล้าน

โกลเด้นแลนด์ ยังรักษาอัตรากำไรและทำรายได้ช่วง 3 เดือนแรกของปี 63  ใกล้เคียงไตรมาสก่อนหน้า แม้อยู่ท่ามกลางวิกฤตโควิด-19 หลังกลุ่มลูกค้าหันมาให้ความสนใจโครงการแนวราบ ทำงานแบบ Work Form Home และมีรายได้จากโครงการเชิงพาณิชย์หนุน  ครึ่งปีหลังยังเดินหน้าตามแผนเตรียมเปิดอีก 8 โครงการ มูลค่า 9,400 ล้านบาท   นายธนพล ศิริธนชัย ประธานอำนวยการ บริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ โกลเด้นแลนด์ เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้มีการปรับกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจในปี 2563 ซึ่งมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับการบริหารกระแสเงินสด และการเพิ่มประสิทธิภาพของการทำงาน ซึ่งตลอดการปรับตัวตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ยังรักษาผลการดำเนินงานไว้ได้ทำให้พนักงาน คู่ค้า และพันธมิตรทางธุรกิจได้รับผลกระทบน้อยที่สุด   โดยโกลเด้นแลนด์ มียอดรับรู้รายได้สำหรับรอบระยะเวลา 3 เดือนแรกของปีนี้  (1 มกราคม 2563 – 31 มีนาคม 2563) จำนวน 3,994 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับไตรมาสก่อนหน้า (1 ตุลาคม 2562 – 31 ธันวาคม 2562) และมีกำไรสุทธิกว่า 351 ล้านบาท แม้อยู่ท่ามกลางวิกฤตโควิด-19  ซึ่งเป็นผลจากการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง  มียอดขายจากโครงการแนวราบ และค่าเช่าจากโครงการเชิงพาณิชย์อย่างต่อเนื่อง สำหรับทิศทางของปี 2563 บริษัทวางแผนเปิดขายโครงการ นีโอโฮม จำนวน 5 โครงการ ทาวน์โฮม จำนวน 7 โครงการ และโครงการในต่างจังหวัด 1 โครงการ มูลค่ารวม 14,000 ล้านบาท และคาดการณ์รายได้จากโครงการเชิงพาณิชย์ 1,000 ล้านบาทจากอาคารสำนักงาน เอฟวายไอ เซ็นเตอร์ และมิตรทาวน์ ออฟฟิศ ทาวเวอร์ ที่ยังคงเปิดให้บริการได้ตามปกติท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19 และศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์ที่คาดว่าจะกลับมาเปิดให้บริการได้เต็มรูปแบบภายในเดือนมิถุนายน 2563   ส่วนภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จะเกิดความท้าทายจากผลกระทบของวิกฤตโควิด-19 ซึ่งจะแสดงให้เห็นชัดเจนจากผลการดำเนินงานในรอบเดือนเมษายน – มิถุนายน 2563 แต่สำหรับบริษัทฯ ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ ยังคงมียอดขายโครงการแนวราบที่ดี เพราะลูกค้าหันมาสนใจโครงการแนวราบมากขึ้น โดยมียอดเข้าชมโครงการเพิ่มขึ้น 40-50% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เนื่องจากลูกค้ามีความจำเป็นต้องใช้จริงจากการปรับรูปแบบทำงานที่บ้าน (Work from home) ที่ต้องการพื้นที่สำหรับการอยู่อาศัย และทำงาน โดยไม่รบกวนกันของสมาชิกในครอบครัว ต้องการพื้นที่ส่วนตัวมากขึ้น ฟังก์ชั่นของโครงการแนวราบจึงตอบโจทย์มากกว่าสินค้าประเภทอื่น   โดยในเดือนเมษายนที่ผ่านมา ยอดขายกลับมามีแนวโน้มดีขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ได้ผลกระทบจากมาตรการ LTV ปัจจุบันบริษัทฯ มียอดขายสะสม (Backlog) ที่ 2,900 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะทยอยรับรู้รายได้ทั้งหมดภายในปี 2563 โดยในครึ่งปีหลัง (กรกฎาคม – ธันวาคม) ของปี 2563 บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าเปิดโครงการนีโอโฮมอีก 4 โครงการ และโครงการทาวน์โฮมอีก 4 โครงการ มูลค่ารวม 9,400 ล้านบาท สำหรับธุรกิจอาคารสำนักงาน ถึงแม้ว่าหลายบริษัทฯ จะปรับตัวตามมาตรการระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ของภาครัฐ โดยการปรับให้พนักงานทำงานที่บ้าน (Work from Home) มากขึ้น แต่บริษัทฯ ยังเชื่อว่าเมื่อสถานการณ์กลับมาเป็นปกติ รูปแบบการทำงานที่ทำงาน (Work at Office) จะกลับมาเช่นเดียวกัน เพราะยังจำเป็นต้องใช้พื้นที่สำหรับการประชุม และการใช้พื้นที่ร่วมกันของพนักงาน โดยจะมีการปรับความยืดหยุ่นในการทำงาน (Work flexibility) มากขึ้น จึงคาดว่าจะไม่ทำให้ภาพรวมความต้องการพื้นที่สำนักงานลดลงจนเกิดผลกระทบ   ส่วนธุรกิจศูนย์การค้า ทางบริษัทฯ มีความพร้อมเปิดให้บริการสามย่านมิตรทาวน์ หากมีการประกาศจากภาครัฐให้สามารถกลับมาดำเนินการได้ตามปกติก็สามารถเปิดให้บริการได้ใน 1-2 สัปดาห์ ซึ่งระหว่างนี้ได้เตรียมความพร้อมในแนวทางการให้บริการให้เป็นไปตามมาตรการระยะห่างทางสังคม  เพิ่มเติมจากปัจจุบันที่มีการคัดกรองผู้ใช้บริการ ตรวจวัดไข้ ทำความสะอาดในจุดสัมผัสต่างๆ เป็นอย่างดีแล้ว   นายธนพล กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้ว่าขณะนี้ สถานการณ์ภาวะวิกฤตโควิด-19 ของประเทศไทยจะดีขึ้น แต่คงต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด  ความท้าทายกลับอยู่ที่การวางแผนหลังจากวิกฤตคลี่คลาย ในการปรับตัวไปสู่ New Normal เช่น มาตรการรองรับรูปแบบการขายอสังหาริมทรัพย์เพื่อจัดการคิวจองซื้อบ้านในวันเปิดโครงการ การเปิดศูนย์การค้าอย่างระมัดระวัง และให้ความสำคัญกับมาตรการระยะห่างทางสังคม  เช่นเดียวกัน   บริษัทฯ มีความพร้อม และมั่นใจในการเดินหน้า ปรับตัวสู่ New Normal ที่สามารถรักษาผลการดำเนินงานของบริษัทให้มีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับที่ไม่เกิดผลกระทบกับพนักงาน คู่ค้า และพันธมิตรทางธุรกิจ  
EVER  โชว์ผลงานไตรมาสแรก  ยังเติบโตทั้งรายได้และกำไร หลังปรับการขายผ่านออนไลน์

EVER  โชว์ผลงานไตรมาสแรก  ยังเติบโตทั้งรายได้และกำไร หลังปรับการขายผ่านออนไลน์

EVER ฝ่ากระแสโควิด-19 ไตรมาสแรกปีนี้กวาดรายได้ 450 ล้าน  กำไรสุทธิ 16 ล้าน หลังได้อานิสงส์ทยอยโอนอสังหาฯ ในมือ ทั้งแนวสูง-แนวราบ  และการปรับกลยุทธ์ขายผ่านช่องทางออนไลน์ ไตรมาส 2 เตรียมเปิดโปรเจ็กต์ใหม่สร้างยอดขายต่อเนื่อง     นายสวิจักร์ โลจายะ ประธานกรรมการ บริษัท เอเวอร์แลนด์ จำกัด (มหาชน) (EVER) เปิดเผยว่า ผลประกอบการงวดไตรมาส1 ปี 2563  ของบริษัทฯ และบริษัทย่อย ยังเติบโตทั้งด้านรายได้และผลกำไรสุทธิ โดย มีรายได้รวม 448 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 19.87 ล้านบาท ซึ่งเป็นกำไรในส่วนของที่เป็นบริษัทใหญ่ แม้จะปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากได้รับผลกระทบจากแพร่ระบาดของไวรัส โควิด-19  ทำให้จำนวนของยอดผู้เข้าชมโครงการลดน้อยลง   โดยรายได้ในไตรมาสแรกที่ผ่านมา  มาจากโครงการ เดอะโพลิแทน รีฟ เฟส 1 ซึ่งเป็นโครงการแนวสูงย่านสนามบินน้ำ ทยอยโอนรับรู้รายได้ในสัดส่วนกว่า 50 %  จากมูลค่าโครงการ 6,000 ล้านบาท และมาจากโครงการแนวราบ ได้แก่ โครงการทาวน์โฮม แบรนด์ “เอเวอร์ ซิตี้” จำนวน 3 โครงการที่ทยอยเปิดขายตั้งแต่ช่วงต้นปี 2562 รวมทั้ง ยังมีการรับรู้รายได้จากการขายโครงการบ้านเดี่ยว แบรนด์  “มายโฮม อเวนิวและมายโฮมซิลเวอร์เลค ฯลฯ เข้ามาสนับสนุนเพิ่มเติม   ทั้งนี้ สถานการณ์วิกฤติไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ยอดผู้เข้าชมโครงการ (Walk in) ลดน้อยลง บริษัทฯจึงได้มีการปรับวิธีการขายด้วยการผ่านช่องทางออนไลน์ และการทำ Re-Marketing เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจให้กับลูกค้า ส่วนในแง่ของการขายเราก็มีการจัดเป็น Conference Call ลูกค้าคุยกับเซลล์ เพื่อดูวิวทิวทัศน์หรือดูบ้านพัก ผ่าน Video call เพื่อง่ายต่อการตัดสินใจของลูกค้า และยังมีภาพวิดีโอการขายแบบ 360 องศาให้ลูกค้าสามารถเก็บไว้ดูได้และเมื่อมีลูกค้าที่สนใจก็สามารถจองและชำระเงินผ่าน E-payment ได้เพื่อความสะดวกและรวดเร็ว อีกทั้งเพื่อสนับสนุนนโยบายของรัฐในเรื่อง Social D   ในส่วนไตรมาส 2 บริษัทเตรียมเปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยว “ซิลเวอร์เลค พาร์ค” เฟส 2  บนถนนสุวินทวงศ์-ฉลองกรุง มูลค่าโครงการ 400 กว่าล้านบาท ราคาขาย 5 - 9 ล้านบาท ที่มีเพียง 67 หลังเท่านั้น  ขณะเดียวกันอยู่ระหว่างการพิจารณาเปิดตัวโครงการแนวราบ “ ทาวน์เฮ้าส์ “เอเวอร์ซิตี้ สุขสวัสดิ์ – พุทธบูชา 30  เฟส 2 เพิ่มเติมด้วย   สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทฯ ในช่วงที่เหลือของปีนี้  คาดว่าน่าจะเติบโตได้ เนื่องจากมียอดขายรอโอน (Backlog) ณ สิ้นมีนาคมปี 2563  ประมาณ 5,000 ล้านบาท โครงการในมือ และโครงการใหม่ ๆ ที่อยู่ระหว่างก่อสร้างเพื่อเปิดขายจะมีการทยอยโอนให้ลูกค้า และยังมีสินค้ารอขายอีกประมาณ 10,000 ล้านบาท   บริษัทฯ คาดหวังว่าภาพรวมตลาดอสังหาฯ หลังผ่านวิกฤติไวรัสโควิด-19 มีโอกาสเกิดภาวะการปรับสู่จุดสมดุลมากขึ้น ทยอยฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลัง  ตลาดทาวน์เฮาส์ราคาไม่เกิน 4 ล้านบาท และตลาดบ้านเดี่ยว ยังเป็นตลาดของผู้ที่มีกำลังซื้อและเป็นตลาด Real Demand   ส่วนการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ก็น่าเริ่มกลับมาแบบค่อยๆเป็นค่อยๆไปมากกว่า เนื่องจากยังมีปัจจัยลบของเศรษฐกิจและการปล่อยสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย ดังนั้นผู้ประกอบพยายามระบายสต็อกที่มีอยู่ และบริษัทฯให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงการใหม่อย่างรอบคอบที่สุด     ขณะเดียวกันที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่​ 11 พฤษภาคม 2563 ที่ผ่านมามีมติอนุมัติให้บริษัทย่อยเพิ่มทุนจดทะเบียน โดยอนุมัติให้บริษัท บางกอก ริว่า ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (“BANGKOK RIVA”) เพิ่มทุนจดทะเบียนอีกจำนวน 500 ล้านบาท จากเดิมที่มีทุนจดทะเบียน 500 ล้านบาท เป็นทุนจดทะเบียนใหม่ภายหลังการเพิ่มทุนจำนวน 1,000 ล้านบาท โดยการออกหุ้นสามัญจำนวน 50 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นละ 10 บาท เพื่อรองรับการลงทุนในธุรกิจการอสังหาฯ  และอนุมัติให้บริษัท เอเวอร์แลนด์ จำกัด (มหาชน) (“EVER”) เข้าเพิ่มทุนในบริษัท บางกอก ริว่า ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (“BANGKOKRIVA”) จำนวน 50 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นละ 10 บาท มูลค่ารวม 500 ล้านบาท  
DRT โชว์ผลงาน Q1 ยังทำกำไร แม้รายได้ลดลงกว่า 7%

DRT โชว์ผลงาน Q1 ยังทำกำไร แม้รายได้ลดลงกว่า 7%

DRT ใช้กลยุทธ์ Product Mix และบริหารต้นทุนสินค้า ฝ่าวิกฤกต COVID-19 ทำกำไรสุทธิไตรมาสแรกได้กว่า  168.20 ล้านบาท  แม้รายได้จะลดลงกว่า 7%  ขณะที่ไตรมาส 2 ลุ้นรัฐผ่อนคลายล็อกดาวน์ ร้านค้าวัสดุกลับมาเปิดบริการอีกครั้ง     นายสาธิต สุดบรรทัด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน) หรือ DRT  ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ตราสินค้า "ตราเพชร" เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกของปี 2563 ที่ผ่านมาว่า บริษัทฯ ทำกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน 168.20 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.56% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่มีกำไร 165.62 ล้านบาท (ไม่รวมกำไรจากการขายที่ดินที่ไม่ใช้ประโยชน์)   แม้ว่าในปีนี้จะมีปัจจัยลบจาก COVID-19 ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมให้ชะลอตัวอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้รายได้จากการขายสินค้าและบริการในไตรมาสนี้อยู่ที่ 1,233.51 ล้านบาท ลดลง 7.20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ที่มีรายได้จากการขายและการบริการ 1,329.18 ล้านบาท ทั้งนี้ กำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้น มาจากการบริหารต้นทุนการผลิตสินค้าต่อหน่วยอยู่ในระดับต่ำ โดยสามารถรักษาอัตราการเดินเครื่องจักรผลิตสินค้าเฉลี่ยมากกว่า 90% ของกำลังการผลิตรวม และบริหาร Product Mix หรือสัดส่วนการขายสินค้าได้ดี  ช่วยสนับสนุนอัตราการทำกำไรขั้นต้นได้ตามแผนงาน ประกอบกับ DRT มีจุดแข็งด้านช่องทางการจัดจำหน่ายที่หลากหลาย โดยร้านค้าตัวแทนจำหน่ายรายย่อยและตลาดส่งออก ที่มีสัดส่วนรวมกัน 70% ของรายได้ทั้งหมด ยังทำยอดขายไตรมาสแรกที่ผ่านมาเป็นที่น่าพอใจ แม้ไตรมาสแรกปีนี้มีวิกฤต COVID-19 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างรุนแรง แต่เรายังสามารถผลักดันการเติบโตของกำไรสุทธิได้ เนื่องจากจุดแข็งของ DRT ที่มีการผลิตด้วยต้นทุนต่อหน่วยที่ต่ำ การบริหารสัดส่วนการขายสินค้าแต่ละประเภทได้ดีช่วยสนับสนุนการทำกำไรขั้นต้นได้ตามเป้า    ส่วนภาพรวมการดำเนินงานไตรมาส 2  ต้องติดตามสถานการณ์กำลังซื้อ  และบรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคอย่างใกล้ชิด หากภาครัฐควบคุมการแพร่ระบาดของ COVID-19 ได้ดี และเริ่มผ่อนคลายการล็อกดาวน์ ธุรกิจบางประเภทเริ่มทยอยกลับมาเปิดดำเนินการได้บางส่วน โดยเฉพาะการเปิดบริการห้างค้าปลีกวัสดุก่อสร้างสมัยใหม่ จะส่งผลดีต่อยอดขายจากช่องทางจำหน่ายดังกล่าวฟื้นตัว ซึ่ง DRT ได้เตรียมสต็อกสินค้าไว้รองรับอย่างเพียงพอ ขณะที่ช่องทางขายผ่านร้านค้าตัวแทนจำหน่ายรายย่อย และตลาดส่งออกในไตรมาสนี้ ยังมีแนวโน้มทำยอดขายอยู่ในเกณฑ์ที่ดีต่อเนื่อง จากความต้องการใช้วัสดุก่อสร้าง เพื่อการปรับปรุงและซ่อมแซ่มบ้าน รวมถึงดีมานด์จากกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านที่เริ่มฟื้นตัว ยกเว้นช่องทางลูกค้าโครงการที่ยังไม่ฟื้นตัวอย่างชัดเจน  
“แอสเสท เวิรด์” โดนพิษโควิด-19 ทุบกำไร-รายได้ไตรมาสแรกลด

“แอสเสท เวิรด์” โดนพิษโควิด-19 ทุบกำไร-รายได้ไตรมาสแรกลด

แอสเสท เวิรด์ เผยผลประกอบการไตรมาสแรก โดนพิษโควิด-19 ทุบรายได้และกำไรลดลง  เหตุนักท่องเที่ยวหาย ปิดโรงแรม-ศูนย์การค้า  มีกำไรลดลง 55.6% เหลือสุทธิ 108.2 ล้านบาท  และมีรายได้รวม 2,512.9 ล้านบาท ลดลง 30.6% จาก 3,623.0 ล้านบาท  พร้อมเดินหน้าธุรกิจต่อเนื่องด้วยมาตรการควบคุมและเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารค่าใช้จ่าย   นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC เปิดเผยว่า ในไตรมาสแรกของปีนี้ เป็นช่วงเวลาที่ท้าทายของทุกภาคส่วน ด้วยผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ ที่มีแนวโน้มลดลงกว่า 80% (ข้อมูลจำนวนนักท่องเที่ยงต่างชาติที่มาเยือนประเทศไทย กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา) และมาตรการเข้มงวดจากทางภาครัฐ ในการปิดสถานประกอบการ ซึ่งรวมถึงโครงการศูนย์การค้า เพื่อป้องกันและลดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19   ผลกระทบที่เกิดขึ้นส่งผลให้ AWC ต้องประกาศมาตรการปิดให้บริการโรงแรม และอสังหาริมทรัพย์เพื่อประกอบกิจการการค้าต่างๆ ชั่วคราว รวมถึงมีมาตรการอื่นๆ เพื่อดูแลช่วยเหลือผู้เช่า ทำให้ AWC มีกำไรในไตรมาสแรกลดลงลดลง 55.6% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน หรือมีกำไรสุทธิ 108.2 ล้านบาท   อย่างไรก็ตาม AWC ยังคงได้รับประโยชน์ จากกลยุทธ์การลงทุนที่หลากหลาย และสมดุลเชิงธุรกิจ (Balanced and Diversified Portfolio) ที่ช่วยกระจายความเสี่ยง ซึ่งเห็นได้ชัดจากธุรกิจอาคารสำนักงาน (Office) ที่ไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนกำไรจากการดำเนินงานของสินทรัพย์ดำเนินงาน (พอร์ททรัพย์สินที่ดำเนินงานและไม่รวม โรงแรมอิมพีเรียล แม่ปิง และโรงแรมอิมพีเรียล หัวหิน ที่หยุดดำเนินงานเพื่อปรับปรุงโรงแรม ช่วงกลางปี 2562 รวมถึงรายได้จากค่าบริหาร และดอกเบี้ยรับจากบริษัทกลุ่มทีซีซี)   โดยในไตรมาส 1 ของปี 2563 AWC ยังคงมีกำไรจากการดำเนินงานของสินทรัพย์ดำเนินงาน อยู่ที่ 1,184.9 ล้านบาท ซึ่งแบ่งสัดส่วนเป็นธุรกิจโรงแรมและการบริการ (Hospitality) 38.8% ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการประกอบกิจการการค้า (Retail) 21.8% และธุรกิจอาคารสำนักงาน (Office) 39.4%   นอกจากนี้ AWC ได้ดำเนินการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารค่าใช้จ่ายอย่างเคร่งครัด (Cost Efficiency Initiatives) ตั้งแต่เดือนมกราคม 2563 ทำให้ค่าใช้จ่ายการบริหารส่วนกลางในช่วงไตรมาสแรก เท่ากับ 127.0 ล้านบาท ลดลง 37.1% จาก 202.0 ล้านบาท ในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานรวมเท่ากับ 1,364.0 ล้านบาท ลดลง 22.1% จาก 1,572.1 ล้านบาท ส่งผลให้ AWC มีอัตราส่วนอีบิทดาต่อรายได้ (EBITDA Margin) เท่ากับ 38.8% ลดลงเพียง 0.7% แม้จะมีรายได้ลดลงจากเหตุผลข้างต้น และมีอัตรากำไรสุทธิ 4.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีอัตรากำไรสุทธิ 6.7% สำหรับผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจต่างๆ กลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ (Hospitality) มีรายได้จากสินทรัพย์ดำเนินงานอยู่ที่ 1,534.6 ล้านบาท ลดลง 36.2% จาก 2,404.0 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศปรับตัวลดลงตั้งแต่ปลายเดือนมกราคม รวมทั้งการจัดประชุมสัมมนาและจัดแสดงสินค้าต่างๆ หยุดชะงักตามนโยบายของรัฐบาล   กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ (Retail & Commercial) มีรายได้จากสินทรัพย์ดำเนินงาน  อยู่ที่ 1,014.3 ล้านบาท ซึ่งลดลง 10.9% จาก 1,138.5 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากมาตรการลดหรือยกเว้นค่าเช่าชั่วคราว เพื่อช่วยเหลือดูแลผู้เช่าที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการเข้มงวดจากทางภาครัฐในการปิดสถานประกอบการต่างๆ เพื่อป้องกันและลดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19   โดย AWC มีนโยบายที่ต้องการให้พันธมิตรผู้เช่าสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ในภาวะที่ยากลำบาก และเป็นพันธมิตรต่อเนื่องร่วมกันไปในระยะยาว อย่างไรก็ตาม กลุ่มอาคารสำนักงานยังคงสร้างกระแสเงินสดที่มั่นคงและต่อเนื่อง และช่วยรักษาระดับรายได้รวมของกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ สะท้อนให้เห็นถึงประโยชน์จากกลยุทธ์หลักของ AWC ที่มุ่งเน้นการลงทุนที่หลากหลายและสมดุลเชิงธุรกิจได้เป็นอย่างดี   นอกจากนี้ AWC ได้เข้าซื้อสินทรัพย์กลุ่ม 3 ณ วันที่ 1 มกราคม 2563 ด้วยมูลค่าลงทุนรวม 25,785.6 ล้านบาท ประกอบด้วยโครงการอสังสหาริมทรัพย์จำนวน 12 โครงการ ตามสัญญาซื้อขายหุ้นสินทรัพย์กลุ่ม 3 ปี 2562 ที่เพิ่มจำนวนห้องพักในโรงแรมที่เปิดดำเนินการแล้วรวม 989 ห้องในทันที และจะเพิ่มห้องพักอีกมากกว่า 2,500 ห้องจากโครงการที่อยู่ระหว่างการปรับปรุงหรือพัฒนา พร้อมทั้งศักยภาพในการพัฒนาโครงการค้าปลีกในอนาคต ทำให้ AWC มีสินทรัพย์รวม ณ วันที่ 31 มีนาคม 2563 มูลค่า 124,921.4 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 14.4% จาก 109,158.0 ล้านบาท เมื่อเทียบกับมูลค่าสินทรัพย์รวม ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 “ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ยังไม่มีความแน่นอน AWC จะยังคงดำเนินมาตรการควบคุมและเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารค่าใช้จ่ายอย่างเข้มงวด ควบคู่ไปกับการปรับโครงสร้างองค์กร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการทำงาน และเพิ่มประสิทธิผลให้สอดคล้องไปกับแผนกลยุทธ์หลักทางธุรกิจขององค์กร รวมทั้งการพัฒนากลยุทธ์การตลาดให้ตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของลูกค้า เพื่อสร้างอนาคตที่ดีกว่าให้กับบริษัท พนักงาน นักลงทุน และผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง สู่เป้าหมายการเป็นกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ก้าวหน้าและเติบโตต่อเนื่องอย่างยั่งยืน และผ่านพ้นวิกฤตโควิด-19 นี้ไปด้วยกันได้อย่างดีที่สุด”    
ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ ชี้พิษโควิด-19 ทุบอสังหาฯ รายเล็ก เสี่ยงปิดตัว-ถูกเทคโอเวอร์

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ ชี้พิษโควิด-19 ทุบอสังหาฯ รายเล็ก เสี่ยงปิดตัว-ถูกเทคโอเวอร์

ดีดี พร็อพเพอร์ตี้ ประเมินตลาดอสังหาฯ  โดนผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 ทุบราคาดิ่ง  ดีเวลลอปเปอร์เร่งระบายสต็อกของเก่า ลดเปิดโปรเจ็กต์ใหม่ ราย เล็ก น่าห่วงอาจปิดตัวหรือโดนเทคโอเวอร์ ชี้หลังผ่านพ้นวิกฤต บ้าน-คอนโดฯ ต้องปรับรูปแบบสอดคล้องกับ New Normal ผู้บริโภค   นางกมลภัทร แสวงกิจ ผู้จัดการใหญ่ ประจำประเทศไทย ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ เปิดเผยว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ ในปี 2563 จะเป็นปีของการระบายสินค้าคงค้าง ซึ่งการแพร่ระบาดของโควิด-19 นอกจากจะส่งผลให้ราคาและจำนวนของอสังหาฯ ลดลงแล้ว ยังจะสร้างจุดเปลี่ยนของทั้งพฤติกรรมการขายของผู้ประกอบการ และพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภค รวมไปถึงความต้องการที่อยู่อาศัยและสินค้าของตลาดอสังหาฯ ด้วย​ เนื่องจากผลกระทบทั้งโควิด-19 ผนวกกับสภาวะเศรษฐกิจ ทำให้ผู้บริโภคหันไปมองตัวเลือกที่ตรงกับความต้องการ  และความเป็นจริงมากที่สุด โดยเมื่อประเมินสถานการณ์อสังหาฯ หากวิกฤติโควิด-19 ยังดำเนินต่อไป จะเป็นงานหนักสำหรับดีเวลลอปเปอร์ โดยเฉพาะรายเล็ก และเมื่อภาคธุรกิจขาดสภาพคล่อง จะเริ่มเห็นแนวโน้มการปิดตัวลงของ ดีเวลลอปเปอร์รายเล็ก รวมถึงการเทคโอเวอร์จากดีเวลลอปเปอร์รายใหญ่ด้วย ในส่วนของผู้บริโภค  จากสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้เม็ดเงินในกระเป๋าของผู้บริโภคลดลง ซึ่งส่งผลให้ผู้บริโภคส่วนใหญ่ชะลอการตัดสินใจซื้ออสังหาฯ  และจะกระทบต่อตลาด อสังหาฯ มากขึ้นตามไปด้วย อย่างไรก็ตาม หากสามารถควบคุมจำนวนผู้ติดเชื้อได้ และจำนวนผู้ติดเชื้อลดลงจนอยู่ในระดับที่น่าพอใจ ประเมินว่าจะเห็นแนวโน้มที่แต่ก็จะค่อย ๆ ดีขึ้นตั้งแต่ในไตรมาส 2 เป็นต้นไป แม้ว่าสภาพตลาดโดยรวมจะไม่สดใสมากนัก   เนื่องจากผู้บริโภคปรับตัวให้รับกับสถานการณ์ แต่จะเห็นว่าทุกอย่างจะกลับมาดีขึ้นอย่างชัดเจนในไตรมาส 3 โดยผู้ประกอบการหลายรายจะดำเนินกิจกรรมทางการตลาด เพื่อกระตุ้นตลาดและธุรกิจ และคาดว่าจะดีที่สุดในไตรมาส 4 เพราะภาครัฐน่าจะหันกลับมาพิจารณาให้ความสำคัญกับภาคอสังหาฯ โดยมีมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติมและผ่อนปรนต่าง ๆ ออกมาเพื่อสนับสนุนให้อสังหาฯ ยังคงเดินต่อไปได้ โควิด-19 ต้นเหตุซัพพลายใหม่-ราคาลด จากการระบายสต๊อกคงค้างที่ต่อเนื่องมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ผนวกกับสถานการณ์โควิด-19 ช็อคทำให้ซัพพลายใหม่ที่จะออกสู่ตลาดลดลงจากเฉลี่ยปีละกว่า 50,000 ยูนิต เหลือเพียงไม่เกิน 30,000 ยูนิต ส่งผลให้ยอดสะสมของคอนโดมิเนียมลดลง ถือเป็นการปรับฐานใหม่อีกครั้งสำหรับอสังหาฯ ในกรุงเทพฯ นอกจากนี้ยังทำให้ราคาอสังหาฯ ปรับตัวลดลงอย่างมากด้วย   สอดคล้องกับรายงาน DDproperty Thailand Property Market Index ฉบับล่าสุด ที่พบว่า ในไตรมาสแรกของปี 2563 ตลาดอสังหาฯ ของไทยชะลอตัวลงทั้งด้านราคาและปริมาณ โดยดัชนีราคาที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ ปรับตัวลดลง 9% ในขณะที่ดัชนีปริมาณลดลง 3% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน   คาดว่าในไตรมาส 2 ผู้ประกอบการอสังหาฯ จะยังคงชะลอการเปิดตัวโครงการใหม่ โดยเฉพาะรายกลางและรายเล็ก เพื่อเร่งระบายสินค้าที่มีอยู่ในตลาดก่อน โดยเฉพาะสินค้าระดับราคา 3 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งมีอยู่ในตลาดถึง 75% ของปริมาณสินค้าทั้งหมด สินค้าใหม่เน้นความเป็นส่วนตัวและตอบโจทย์ WFH นอกจากจำนวนซัพพลายที่ลดลงแล้ว ยังจะทำให้เกิด New Normal หรือสภาวะปกติรูปแบบใหม่ ในภาคอสังหาฯ ด้วย คือการใช้ชีวิตของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปใช้เวลาอยู่บ้านมากขึ้น มีการทำงานที่บ้านหรือ Work From Home ทำให้เห็นโอกาสในการปรับเปลี่ยนฟังก์ชันการใช้งานของที่อยู่อาศัย ไปจนถึงการออกแบบที่อยู่อาศัยให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ใหม่ไปด้วย   ภาพที่จะเห็นในอนาคตคือ การพัฒนาและปรับเปลี่ยนเรื่องฟังก์ชันภายในที่พักอาศัย เช่น ให้ความสำคัญกับห้องทำงานมากพอกับห้องนอน หรือพื้นที่ส่วนกลางของคอนโดฯ ที่ก่อนหน้านี้ให้ความสำคัญกับ Co-working space หรือ Co-kitchen แต่โควิด-19 ทำให้ผู้บริโภครักษาระยะห่างมากขึ้นและใส่ใจเรื่องความสะอาดมากกว่าเดิม   สินค้าใหม่ของดีเวลลอปเปอร์ที่จะผลิตออกมา จะชูจุดขายเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัว เช่น ห้องครัว หรือห้องทำงาน แบบรองรับคนเพียงคนเดียว จะเป็นรูปแบบที่ถูกได้รับความสำคัญมากอย่างยิ่ง รวมถึงการให้น้ำหนักไปกับ Living Room หรือห้องทำงานมากกว่าห้องนอน เพราะเมื่อคนทำงานอยู่ที่บ้าน มักใช้เวลาในห้องเหล่านี้มากกว่าห้องนอน    
“ออริจิ้น” เผยความำกลยุทธ์ Online-Merge-Offline กวาดยอดขาย 1,700 ล้าน

“ออริจิ้น” เผยความำกลยุทธ์ Online-Merge-Offline กวาดยอดขาย 1,700 ล้าน

“ออริจิ้น” เผยความสำเร็จกลยุทธ์ Online-Merge-Offline ขายบ้าน-คอนโด ผ่านสื่อออนไลน์ สร้างยอดขายเดือนเมษายนกว่า 1,700 ล้านบาท สูงสุดของเดือนเมษายนในทุกปีที่ผ่านมา  พร้อมเดินหน้าสร้าง Full Services of Online Journey ต่อเนื่องในไตรมาส 2    นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI  เปิดเผยว่า ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา บริษัทสามารถสร้างยอดขายได้กว่า 1,700 ล้านบาท  ซึ่งถือว่าเป็นยอดขายที่สูงที่สุดของเดือนเมษายนของปีที่ผ่านๆ มา  โดยยอดขายดังกล่าวแบ่งเป็น ยอดขายจากโครงการในกลุ่มธุรกิจคอนโดมิเนียมกว่า 1,100 ล้านบาท และยอดขายจากกลุ่มธุรกิจบ้านจัดสรรกว่า 600 ล้านบาท   “ตามปกติแล้ว เดือน เม.ย.จะเป็นเดือนที่ผู้ประกอบการในธุรกิจอสังหาฯ ไม่ค่อยคาดหวังมากนัก เนื่องจากเป็นเดือนที่มีวันหยุดค่อนข้างมาก ผู้บริโภคนิยมนำเงินไปใช้จ่ายกับเรื่องอื่นๆ ผู้ประกอบการเองก็ไม่สามารถจัดอีเวนท์กระตุ้นการขายได้มากนัก แต่สถานการณ์ COVID-19 ในปีนี้ ทำให้ผู้บริโภคเลือกใช้จ่ายกับสิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตมากขึ้น ยอดขายที่ออกมาสูงเป็นประวัติการณ์ในครั้งนี้ สะท้อนว่าผู้บริโภคยังคงเลือกใช้จ่ายกับที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นปัจจัย 4 และเราสามารถปรับตัวได้ค่อนข้างเร็วในการช่วยให้ผู้บริโภคเข้าถึงที่อยู่อาศัยได้ง่ายขึ้น” ทั้งนี้ ช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา ออริจิ้นได้หันมาใช้กลยุทธ์ Online-Merge-Offline (OMO) นำการขายทั้งออนไลน์และออฟไลน์มาเชื่อมโยงกันแบบไร้รอยต่อ นำโครงการที่อยู่อาศัยของออริจิ้นมาวางจำหน่ายบนแพลทฟอร์มออนไลน์ อาทิ LINE Official Account (LINE OA) ภายใต้ชื่อ @Origin Property และ @PARK LUXURY, Lazada, Shopee พร้อมทั้งจัดแคมเปญ “Always Online” ให้ผู้บริโภคสามารถจองโครงการคอนโดมิเนียมในเครือ 15 โครงการ ในราคาเพียง 1,999 บาท ขณะเดียวกัน ยังเชื่อมโยงทุกประสบการณ์ทั้งการหาข้อมูล การจอง การทำสัญญา การตรวจห้อง การโอนกรรมสิทธิ์ ให้มาทำผ่านแพลทฟอร์มออนไลน์   นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า ในไตรมาส 2 นี้ บริษัทจะยังคงมุ่งมั่นกับการพัฒนาบริการบนช่องทางออนไลน์แบบครบวงจร เพื่อให้เกิด Full Services of Online Journey ตอบโจทย์พฤติกรรมที่เป็นความปกติแบบใหม่ หรือ New Normal ของผู้บริโภค และติดตามสถานการณ์ต่างๆ อย่างใกล้ชิด เพื่อให้พร้อมรับมือได้ทุกสถานการณ์ สร้างทั้งความสุข ความปลอดภัย และความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภค   ที่ผ่านมา นับตั้งแต่เกิดสถานการณ์ COVID-19 ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ได้ออกมาตรการทั้งเชิงรุกและเชิงรับ เพื่อช่วยเหลือสังคมและลูกบ้านออริจิ้นกว่า 20,000 ครอบครัว อาทิ การบริจาคเงินและอุปกรณ์ทางการแพทย์รวมมูลค่ากว่า 1 ล้านบาทให้แก่โรงพยาบาลต่างๆ การออกมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของ COVID-19 ในพื้นที่โครงการ การจับมือกับโรงพยาบาลสมิติเวช เชื่อมโยงระบบ Samitivej Virtual Hospital เข้ากับแอปพลิเคชั่นสำหรับลูกบ้าน Origin Connect เพื่อให้ลูกบ้านสามารถปรึกษาแพทย์ผ่านทางออนไลน์ได้ 24 ชั่วโมง การจับมือกับเชนร้านอาหารชื่อดังตระเวนไปให้บริการแก่ลูกบ้านตามโครงการต่างๆ การบริการฉีดพ่นฆ่าเชื้อไวรัส COVID-19 ขณะเดียวกัน บริษัทยังมีมาตรการดูแลบุคคลที่สนใจจะมาเป็นลูกบ้านออริจิ้น ทั้งการเพิ่มแพลทฟอร์มออนไลน์ให้ทำธุรกรรมต่างๆ ได้อย่างครบวงจร การจัดระบบ Private Visit อำนวยความสะดวกแก่ผู้ที่จำเป็นต้องเข้ามาที่สำนักงานขายโครงการ  
พฤกษา ขน 167 โครงการ จัดแคมเปญอยู่ ฟรี 24 เดือน

พฤกษา ขน 167 โครงการ จัดแคมเปญอยู่ ฟรี 24 เดือน

พฤกษา ขนทาวน์โฮม บ้านเดี่ยว คอนโด 167 โครงการ จัดแคมเปญอยู่ฟรี 24 เดือน พร้อมรับส่วนลดกว่าล้าน และฟรีทุกค่าใช้จ่าย กระตุ้นยอดขายช่วงไวรัสโควิด-19   นางสุพัตรา เป้าเปี่ยมทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 นี้ พบว่า ความต้องการที่อยู่อาศัยในตลาดยังมีสูง  พฤกษาจึงต้องการช่วยแบ่งเบาความกังวลใจของลูกค้าในการซื้อที่อยู่อาศัย จึงได้จัดแคมเปญพิเศษ สำหรับลูกค้าที่จองและโอนกรรมสิทธิ์โครงการทาวน์โฮม บ้านเดี่ยว และคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ของพฤกษา จำนวน 167 โครงการ ที่เข้าร่วมแคมเปญ ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม – 30 มิถุนายน 2563 จะได้โปรโมชั่นฟรีทุกค่าใช้จ่าย โดยหากลูกค้าจองทาวน์โฮมแบรนด์บ้านพฤกษา พฤกษาวิลล์ เดอะคอนเนค และพาทิโอ จำนวน 98 โครงการที่เข้าร่วมรายการ  รับสิทธิ์ พฤกษาผ่อนให้นานสูงสุด 24 เดือน รับส่วนลดเพิ่มสูงสุดกว่า 1 ล้านบาท ฟรีทองคำหนัก 1 บาท ฟรีทุกค่าใช้จ่ายวันโอนกรรมสิทธิ์   หากจองบ้านเดี่ยวแบรนด์เดอะแพลนท์ เนเชอร่า ดีไลท์ ภัสสร  และเดอะปาล์ม และคอนโดมิเนียมแบรนด์ พลัมคอนโด เดอะทรี เดอะไพรเวซี่ แชปเตอร์วัน และเดอะรีเซิร์ฟ จำนวน 69 โครงการที่เข้าร่วมรายการ รับสิทธิ์ พฤกษาผ่อนให้ 24 เดือน รับส่วนลดเพิ่มสูงสุดกว่า 1 ล้านบาท และฟรีทุกค่าใช้จ่ายวันโอนกรรมสิทธิ์ โดยโปรโมชั่นจะเป็นไปตามเงื่อนไขของแต่ละโครงการกำหนด  ทั้งนี้ พฤกษามีโครงการที่อยู่อาศัยที่เข้าร่วมโครงการหลายระดับราคา และมีทำเลที่ครอบคลุมทั่วเขตกรุงเทพและปริมณฑล สำหรับลูกค้าที่มีความกังวลไม่อยากออกจากบ้านในช่วงนี้ ทางบริษัทฯ ได้พัฒนาแพลตฟอร์มทางออนไลน์โดยสามารถเยี่ยมชมโครงการ จอง และชำระเงินทางออนไลน์เสมือนมาที่โครงการได้ หรือหากลูกค้าต้องการชมบ้านตัวอย่างและชมบรรยากาศโครงการจริง สามารถนัดหมายเข้าชมโครงการได้ ทั้งนี้ มุ่งหวังให้คนไทยได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์แบบนี้ จึงได้ออกแคมเปญช่วยให้ลูกค้าสามารถมีบ้านได้ง่ายขึ้นแบบไร้กังวล
แสนสิริ ผ่อนให้ 24 เดือน ดันยอดขายรวม 4 เดือนพุ่ง 17,300 ล้าน

แสนสิริ ผ่อนให้ 24 เดือน ดันยอดขายรวม 4 เดือนพุ่ง 17,300 ล้าน

แสนสิริ ผ่อนให้ 24 เดือน ออกฤทธิ์ ดันยอดขายเดือนเมษายนทะลุ 6,300 ล้านบาท เติบโตสวนกระแสตลาด  คาดครึ่งปีแรกทำยอดขายได้ตามเป้าหมาย 23,000 ล้าน หลัง 4 เดือนแรกตุนยอดไว้แล้วกว่า 17,300 ล้าน  พร้อมเดินหน้าเปิด 7 โปรเจ็กต์ใหม่ 6,000 ล้าน     นายอุทัย  อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยว่า แสนสิริสามารถสร้างยอดขายจากโครงการที่อยู่อาศัยต่างๆ ในเดือนเมษายน 2563 ได้สูงถึง 6,300 ล้านบาท ซึ่งนับว่าเป็นยอดขายที่สูงกว่าระดับปกติ ที่เคยทำได้ในระยะเวลาหนึ่งเดือน รวมทั้ง ยังโตสวนสภาวะตลาดที่มีความผันผวนสูง ในสถานการณ์ที่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด – 19  ส่งผลให้แสนสิริมียอดขายพรีเซลล์รวมล่าสุดอยู่ที่ 17,300 ล้านบาท ในระยะเวลาเพียง 4 เดือน  ใกล้กับเป้ายอดขายครึ่งปีแรกที่วางไว้ 23,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นเป้าหมายที่เติบโตขึ้นกว่า 100% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา   ทั้งนี้ จากการประเมินความสำเร็จที่เกิดขึ้น มาจากการความเชื่อมั่นในแบรนด์ แสนสิริ ที่มุ่งมั่นพัฒนาที่อยู่อาศัยที่เข้าใจความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง รวมทั้ง การการส่งมอบแคมเปญที่เข้าใจใน Customer Insight จากสถานการณ์อสังหาริมทรัพย์  กลุ่มลูกค้ายังคงมีความต้องการที่อยู่อาศัยต่อเนื่อง และมีการตัดสินใจซื้อมากขึ้น   โดยสถานการณ์ โควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบต่อไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต บริษัทจึงได้จัดแคมเปญ “แสนสิริผ่อนให้ 24 เดือน” ที่ถือว่าสามารถตอบรับความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุด เพราะลูกค้าจองซื้อที่อยู่อาศัยแล้ว ไม่ต้องจ่ายทั้งต้นทั้งดอกเป็นเวลา 2 ปี ลูกค้านำเงินไปใช้จ่ายอย่างอื่นตามต้องการได้ ไม่ต้องกังวลกับสภาพเศรษฐกิจ ส่งผลให้ลูกค้าให้การตอบรับสูงและรวดเร็ว ล่าสุด บริษัทยังได้ปิดการขายอีก 7 โครงการต่อเนื่อง ทั้งแนวราบและแนวสูง มูลค่ารวม 6,000 ล้านบาท  แบ่งเป็น 5 โครงการแนวราบ ได้แก่ บ้านเดี่ยวในโครงการบุราสิริ ราชพฤกษ์ – 345 ทาวน์โฮมแบรนด์สิริเพลส โครงการ สิริ เพลส ราชพฤกษ์ – รัตนาธิเบศร์, สิริ เพลส ติวานนท์ และสิริ เพลส กัลปพฤกษ์ – สาทร รวมถึง ช้อปเฮาส์ในโครงการสิริ อเวนิว เพชรเกษม 81   นอกจากนี้ ยังปิดการขาย 2 คอนโดมิเนียม แบรนด์ดีคอนโด ได้แก่ ดีคอนโด แคมปัส รีสอร์ท กู้กู ภูเก็ต และโครงการดีคอนโด กำแพงแสน  ตั้งอยู่ใกล้ ม.เกษตร กำแพงแสน ได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้า  โดยมีสัดส่วนกลุ่มลูกค้าที่ซื้อเพื่อลงทุนสูงถึง 80%  ซึ่งอัตราผลตอบแทนต่อการปล่อยเช่า หรือ Yield คาดว่าจะมีประมาณ 5 – 6.4% ในราคาขายเฉลี่ยเพียง 58,000 บาทต่อตารางเมตร แสนสิริยังเพิ่มความสะดวกให้ลูกค้าซื้อบ้านได้สะดวกที่สุด ในช่วงล็อคดาวน์ โดยทุ่มทำ digital marketing พร้อม Virtual Sales Gallery ดูบ้านตัวอย่างได้ทาง YouTube โดยลูกค้าสามารถ chat ผ่าน Line และ Facebook เพื่อคุยกับเจ้าหน้าที่ และซื้อผ่าน online booking ได้ทันที พร้อมยังมีการยกระดับความสะอาดและความปลอดภัยเพื่อให้ลูกค้าเข้าชมโครงการด้วยความมั่นใจ คุมเข้มด้วยมาตรการ “Sansiri Care for All… เพราะเราห่วงใย” พร้อมบริการ Private Tour เพื่อให้ไม่ต้องปะปนกับผู้อื่น
ESTAR เปิด 5 โครงการ 6,000 ล้าน ชู “ควินทารา” เรือธงปั๊มรายได้

ESTAR เปิด 5 โครงการ 6,000 ล้าน ชู “ควินทารา” เรือธงปั๊มรายได้

ESTAR ปี 2563 เปิดตัวโครงการใหม่ 5 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 6,000 ล้านบาท ทั้งกรุงเทพฯ​ และต่างจังหวัด พร้อมปั้นแบรนด์ “ควินทารา” เรือธงหลักสร้างรายได้ เตรียมปรับแผนรับรู้รายได้ใหม่หลังเจอพิษไวรัสโควิด-19   ดร.ต่อศักดิ์ เลิศศรีสกุลรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ ESTAR เปิดเผยถึงแผนธุรกิจในปี 2563 ว่า บริษัทฯ วางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ ประมาณ 4-5 โครงการ มูลค่ารวม 6,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการในพื้นที่กรุงเทพฯ จำนวน  2-3 โครงการ  เป็นการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ “ควินทารา” (QUINTARA) อาทิ ควินทารา คีเนท รัชดา 12 และ ควินทารา ภูม สุขุมวิท 39  ซึ่งตั้งอยู่บนทำเลแนวเส้นทางรถไฟฟ้าทั้ง BTS และ MRT มีระดับราคา 3-7 ล้านบาท จับกลุ่มเป้าหมายกลาง-บน   นอกจากนี้ ยังมีแผนพัฒนาโครงการแนวราบ ภายใต้แบรนด์ควินทารา อีก 2 โครงการ ในพื้นที่อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยองด้วย  ซึ่งบริษัทฯ วางเป้าหมายที่จะใช้แบรนด์ควินทารา เป็นแบรนด์ที่สร้างรายได้หลักให้กับบริษัทฯ ในปีนี้   ส่วนเป้าหมายรายได้ในปี 2563 เดิมบริษัทตั้งเป้าหมายรายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์โครงการประมาณ 1,500-2,000 ล้านบาท และยอดขายราว 1,500-2,000 ล้นบาท แต่จากผลกระทบของวิกฤตไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้บริษัทฯ อาจจะต้องมาปรับแผนรับรู้รายได้และยอดขายใหม่อีกครั้งอีกครั้ง เบื้องต้นคาดว่าหลังไตรมาส 2 ของปีนี้ น่าจะเห็นความชัดเจนอีกครั้ง   โดยในปี 2562 ที่ผ่านมา บริษัทฯ มียอดขายประมาณ 1,500 ล้านบาท และมียอดรับรู้รายได้รวม 1,300 ล้านบาท ขณะที่มียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) กว่า 2,000 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยโอนกรรมสิทธิ์และรับรู้รายได้ภายในปีนี้มูลค่า 1,500 ล้านบาท  ส่วนที่เหลือจะรับรู้รายได้ในปีต่อไป   ปัจจุบันบริษัทมีโครงการอยู่ระหว่างการขาย อาทิ  โครงการควินทารา อาเท่ สุขุมวิท 52 คอนโดฯ Low Rise สูง 8 ชั้น 1 อาคาร จำนวน 154 ยูนิต ประกอบด้วยห้องชุดแบบ Fully Furnished ขนาด 1 ห้องนอน พื้นที่ตั้งแต่ 28.00-51 ตารางเมตร และขนาด 2 ห้องนอน พื้นที่ 56.00 ตารางเมตร มูลค่าโครงการประมาณ 600 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขาย 80% และแบรนด์เอสทารา จำนวน 1 โครงการ ได้แก่ โครงการเอสทารา เฮเว่น พัฒนาการ 20 เป็นบ้านแฝด 3 ชั้น และทาวน์โฮม 3.5 ชั้น พื้นที่โครงการ 21 ไร่ ขนาดพื้นที่ใช้สอย 200-220 ตารางเมตรต่อหลัง จำนวน 152 ยูนิต ราคาขายเริ่มต้น 7.89 ล้านบาท มูลค่าโครงการกว่า 1,500 ล้านบาท  ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 50%   ดร.ต่อศักดิ์ กล่าวอีกว่า บริษัทฯ กำลังก้าวเข้าสู่ทศวรรษที่ 4 ปีนี้จึงได้เตรียมความพร้อมในการดำเนินธุรกิจ เพื่อสร้างรูปแบบการใช้ชีวิตที่สะดวกสบายครบวงจร และตอบโจทย์ความต้องการของผู้อยู่อาศัย จึงได้ร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ อาทิ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ในการบริการอาหารและเครื่องดื่มผ่านเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ 7-11 และบริษัท บ๊อก 24 จำกัด ในการนำระบบ Smart Locker ที่ให้บริการทั้งการส่งซักรีด ส่งพัสดุ สั่งสินค้าจากซุปเปอร์มาร์เก็ตและการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ ตลอดจนอำนวยความสะดวกในการชำระค่าใช้จ่ายต่างๆ  โดยปัจจุบันได้มีการให้บริการกับลูกบ้านของโครงการควินทารา ทรีเฮ้าส์ สุขุทวิท 42   นอกจากนี้ ภายในปีนี้บริษัทจะเริ่มนำระบบ Car Sharing หรือระบบการเช่ารถใช้เดินทางไปกลับโดยคิดค่าใช้จ่ายเป็นรายวันหรือรายชั่วโมงเพื่อลดความจำเป็นในการมีรถส่วนตัวโดยจอดไว้บริเวณหน้าโครงการเพื่อความสะดวกของลูกบ้านผู้พักอาศัย  ซึ่งเป็นความร่วมมือกับบริษัท ฮ้อปคาร์ จำกัด รวมถึงการร่วมมือกับบริษัท ทเวนตี้โฟร์ ฟิกซ์ จำกัด ในการเข้ามาเป็นพันธมิตรการช่วยดูแล ซ่อมแซม และบำรุงรักษาบ้านหรือห้องชุดให้กับลูกค้าในพื้นที่กรุงเทพฯ ทั้งหมดของบริษัทอย่างครบวงจรโดยสามารถเรียกใช้งานผ่าน Application ตลอด 24 ชม. ส่วนแนวทางการทำตลาดในปีนี้  บริษัทได้เพิ่มช่องทางขายแบบ 24 Hrs. online booking พรีเซลแบบออนไลน์ 100 % เพื่อเปิดขายทางช่องทางออนไลน์ 24 ชม. และมีการทำ VR360 องศา (Virtual Reality) ของห้องตัวอย่างเหมือนจริง ส่งให้ลูกค้าชมห้องตัวอย่างที่บ้านได้ง่าย โดยไม่ต้องเดินทางมาเซลล์ออฟฟิศ เพื่อเป็นการรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของ ไวรัส โควิด-19 ด้วย   ดร.ต่อศักดิ์ กล่าวให้มุมมองต่อทิศทางตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ว่า เป็นปีที่ผู้ประกอบการ ต้องปรับตัวอย่างมากเพราะนอกจากสภาพเศรษฐกิจที่ค่อนข้างซึมเซา ยังมีปัจจัยลบที่ค่อนข้างรุนแรงคือไวรัส โควิด-19 ตั้งแต่ต้น ปีที่ส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวของไทย และอุตสาหกรรมอื่นๆ รวมไปถึงการลงทุนในตลาดคอนโดฯ ของนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะชาวจีนที่หดตัว รวมทั้งความหวาดกลัวต่อสถานการณ์ของลูกค้าชาวไทยเอง   อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าปีนี้จะมีปัจจัยบวกอยู่บ้าง อาทิ การผ่อนปรนมาตรการ LTV , อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำค่อนข้างมาก และมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองเหลือ 0.01% สำหรับบ้านในตลาดเรียลดีมานด์ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท แต่ภาพรวมปีนี้ผู้ประกอบการยังต้องทำงานหนักขึ้น เพราะต้องแข่งขันกับจำนวนยูนิตที่คงค้างอยู่ในตลาด และบรรยากาศความกังวลของลูกค้าโดยทั่วไป   ปีนี้ เป็นโอกาสทองของผู้บริโภคและนักลงทุน  ที่สามารถซื้อที่อยู่อาศัย ในหลายทำเล ที่มีศักยภาพได้ในราคาไม่แพง
เน็กซัสฯ ประเมินตลาดอสังหาฯ 2563  ปีแห่งการระบายสต็อกเก่า

เน็กซัสฯ ประเมินตลาดอสังหาฯ 2563  ปีแห่งการระบายสต็อกเก่า

เน็กซัสฯ คาดปี 63 อสังหาฯ​ เป็นปีแห่งการระบายสต็อก สร้างสมดุลตลาด หลังเจอสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ระบาด ขณะที่กลยุทธ์หลัก ดีเวลลอปเปอร์ ใช้ช่องทางออนไลน์-ลดราคาสูงสุด 30-40% กระตุ้นยอดขายและสร้างรายได้ เน็กซัสฯ เดินหน้าจัดแคมเปญ “รวมพลคอนโด หั่นราคาต่ำกว่าทุน” ขนสต็อกมาระบายสร้างยอด 300 ล้าน   นางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด  เปิดเผยถึงผลการวิจัยตลาดคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ​ ว่า ช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา ดีเวลลอปเปอร์มีการเปิดตัวโครงการใหม่เพียง 23 โครงการ จำนวน 7,100 ยูนิต ลดลงจากปีที่ผ่านมาถึง 30%  การที่ดีเวลลอปเปอร์ตัดสินใจเปิดตัวโครงการใหม่ ท่ามกลางสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 เป็นเพราะต้องดำเนินธุรกิจให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ตั้งแต่ปีที่ผ่านมา   โดยพบว่าใน 23 โครงการที่เปิดตัวใหม่นี้  77% เป็นคอนโดฯ ในกลุ่ม Mid-Market และ City Condo มีเพียง 23% เท่านั้นที่เป็นคอนโดฯ ในกลุ่มระดับไฮเอนด์ขึ้นไป ส่วนในไตรมาส 2 ของปีนี้ คาดว่าจะยังไม่เห็นการเปิดตัวโครงการใหม่ หรือถ้าเปิดก็คงจะน้อยมาก ทำให้คาดว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ตลอดทั้งปีจะมีการเปิดตัวคอนโดฯ ไม่เกิน 30,000 ยูนิต  และจะเป็นปีแห่งการระบายสต๊อกเก่าออกที่ยังมีอยู่มากกว่า 60,000 ยูนิต นางนลินรัตน์ กล่าวว่า ภาวะตลาดเช่นนี้จะทำให้เกิดการสร้างสมดุลย์ให้ตลาดอสังหาฯ อีกครั้ง จากที่เคยกังวลเกี่ยวกับเรื่องซัพพลายล้นตลาด แต่ตอนนี้ซัพพลายกำลังถูกดูดซับออกไป และซัพพลายใหม่ ก็ยังเพิ่มขึ้นไม่มาก ส่งผลให้เกิดการปรับฐานใหม่ของตลาดคอนโดมิเนียมอีกครั้ง   สำหรับยอดขายในไตรมาสแรกพบว่า โครงการใหม่ที่เปิดราคาขายต่ำกว่าราคาตลาด ยังคงสามารถทำยอดขายได้ดี และพบว่าทุกค่ายต่างงัดกลยุทธ์ทางการตลาดมาใช้ในทุกรูปแบบ  เพื่อกระตุ้นยอดขาย โดยเฉพาะกลยุทธ์ด้านราคาถูกนำมาใช้มากที่สุดในรอบ 10 ปี โดยการลดราคาที่เกิดขึ้นในช่วงนี้เฉลี่ยปรับลดถึง 13% โดยในบางทำเลปรับลดไปถึง 18% แล้ว   โดยกลยุทธ์ที่เห็นได้ชัดที่สุด คือ การทำการตลาดออนไลน์ และการนำสินค้ามาลดราคา ซึ่งบางรายลดสูงสุดถึง 30-40%   ดังนั้นเน็กซัสจึงจัดแคมเปญ "รวมพลคอนโด หั่นราคาต่ำกว่าทุน" ซึ่งถือเป็นแคมเปญที่เข้ามาตอบรับความต้องการของทั้งฝั่งผู้ซื้อและผู้ขาย โดยผู้ซื้อสามารถเข้ามาหาคอนโดฯ ผ่านทางเน็กซัสเพียงช่องทางเดียวก็สามารถเลือกซื้อโครงการที่ต้องการได้มากมาย   ในขณะที่ทางฝั่งดีเวลลอปเปอร์ก็มีช่องทางการขายมากยิ่งขึ้น โดยในแคมเปญนี้เน็กซัสได้รวบรวมคอนโดฯ กว่า 1,500 ยูนิต 80 โครงการ จาก 40 ดีเวลลอปเปอร์ดังทั้งทำเล กรุงเทพฯ, พัทยา และหัวหิน  ซึ่งห้องชุดที่นำมาเสนอขายนั้น มีตั้งแต่ระดับราคา 750,000 บาท – 83 ล้านบาท เรียกได้ว่าแคมเปญนี้ครอบคลุมทุกกลุ่มลูกค้า ทุกระดับราคา   นางนลินรัตน์ กล่าวอีกว่า สำหรับโปรโมชั่นที่นำมาเสนอนั้น เรียกได้ว่ามากกว่า ที่ดีเวลลอปเปอร์ลดเองด้วยซ้ำ ตัวอย่างเช่น โครงการจาก ชาญ อิสสระ ที่มอบส่วน ลดสูงสุดถึง 6 ล้านบาท, โครงการในเครืออนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ ให้ส่วนลดมากถึง 38% หรือ โครงการ เอสเพน ลาซาล ​ที่มอบโปรโมชั่นซื้อห้องตัวอย่างในราคาห้องเปล่า และ ลดเพิ่มอีกถึง 20% พร้อมของแถมอีกมากมาย เป็นต้น แคมเปญ “รวมพลคอนโด หั่นราคาต่ำกว่าทุน” เป็นการทำงานแบบ Collaboration กันของคนในวงการ อสังหาฯ อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน และยังเป็นการรวมตัวครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 10 ปี ของเน็กซัส คาดว่าจะสามารถสร้างยอดขายได้ถึง 300 ล้านบาท   สำหรับคอนโดฯ ที่นำมาจัดแคมเปญครั้งนี้ มี 3 ทำเลใหญ่ด้วยกัน คือ 1.ทำเลใจกลางเมือง ครอบคลุม สาทร, หลังสวน, ปทุมวัน, สุขุมวิท-เอกมัย โดยโซนนี้ราคาเฉลี่ยตอนปลายปี 2562 อยู่ที่ 231,000 บาทต่อตารางเมตร แต่ในแคมเปญนี้ผู้ซื้อจะได้สัมผัสราคาที่ 189,000 บาทต่อตารางเมตร หรือลดลง 18% เป็นต้นไป  โครงการที่เข้าร่วมแคมเปญในทำเลนี้ ได้แก่ ศาลาแดง วัน, ลาวิค สุขุมวิท, ณ วรา หลังสวน เป็นต้น 2.ทำเลรอบใจกลางเมือง แบ่งเป็น 5 ทำเลย่อย ได้แก่ 2.1 สุขุมวิท ติดรถไฟฟ้า คือ ทำเลย่านอ่อนนุช แบริ่ง บางนา สมุทรปราการ ราคาคอนโดมิเนียมโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 98,000 บาทต่อตารางเมตร ราคาสินค้าโดยเฉลี่ยที่ลดลงมาอยู่ที่ 12% โดยโครงการที่เข้าร่วมแคมเปญนี้ ได้แก่ เดอะไลน์ สุขุมวิท 101, แอสไปร์ อ่อนนุช,  ไอดิโอ โมบิ สุขุมวิท 66 2.2 พหลโยธิน-จตุจักร เป็นโซนที่ใกล้เมือง มีซัพพลายไม่มากนัก ระดับราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 147,000 บาทต่อตารางเมตร แต่ด้วยภาวะนี้ ราคาในโซนนี้ลดลงมาถึงประมาณ 11% สำหรับโครงการที่เข้าร่วมแคมเปญ ได้แก่ ลุมพินี ซีเลคต์ สุทธิสาร, เดอะไลน์ ประดิพัทธ์ เป็นต้น 2.3 ฝั่งธนบุรี -ริมแม่น้ำ เป็นโซนเกิดใหม่กำลังได้รับความสนใจอย่างมาก เพราะรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินเพิ่งจะเปิดวิ่ง ทำเลนี้มีราคา เฉลี่ยอยู่ที่ 138,000 บาทต่อตารางเมตร แต่ในปัจจุบันทำเลนี้มีคอนโดฯ หลายระดับราคา ทำให้การ ปรับลดราคาค่อนข้างหาค่าเฉลี่ยยาก แต่พบว่า มีบางโครงการปรับลดสูงสุดถึง 18% โดยโครงการที่เข้าร่วม ได้แก่ เดอลาพิส จรัล 81,  เดอะริช สาทร ตากสิน 2.4 รัชดา-ลาดพร้าว-รัชโยธิน ทำเลนี้มีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 107,000  บาทต่อตารางเมตร โดยทำเลนี้มีความต้องการซื้ออย่างต่อเนื่อง ทำให้ส่วนลดเฉลี่ยในปัจจุบันอยู่ที่ 8% 2.5 ลาดพร้าว-สะพานใหม่-รามอินทรา ที่นี่เป็นทำเลใหม่จึงมีสต๊อกส่งเข้ามาร่วมค่อนข้างมาก ส่วนลดเฉลี่ยในโซนนี้อยู่ที่ 4% เพราะว่าราคาตั้ง ของที่นี่ไม่สูง ราคาเฉลี่ยของโซนนี้อยู่ที่เพียง 81,000 บาทต่อตารางเมตรเท่านั้น โดยโครงการที่เข้าร่วม ได้แก่ ดิ ออริจิ้น พหล สะพานใหม่, แอทโมส 71 3.ทำเลรอบนอกเมือง ได้แก่ วงศ์สว่าง-ติวานนท์ ทำเลย่านนี้ลดราคาค่อนข้างมาก จากปกติทำเลนี้ราคาเฉลี่ยจะอยู่ที่  89,000 บาทต่อตารางเมตร พบว่าราคาลดสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 8% โดยโครงการที่เข้าร่วมแคมเปญ ได้แก่ เดอะไลน์ วงศ์สว่าง, เดอะ ทรัส งามวงศ์วาน เป็นต้น “รวมพลคอนโด หั่นราคาต่ำกว่าทุน” เป็นแคมเปญที่เน็กซัสได้นำเสนอดีลพิเศษสำหรับลูกค้าทุกคน โดยสามารถ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปที่ Line Official : @nexusproperty  และในวันเสาร์ที่ 9 พฤษภาคม 2563 ตั้งแต่เวลา 10.00 น. เป็นต้นไป สามารถติดตามการ Live แนะนำสต๊อกพร้อมขายของออนไลน์ ผ่านทางช่องทางเฟสบุ๊คของบริษัท
พิษโควิด-19 ทุบตลาดอสังหาฯ ไตรมาสแรกเปิดขายใหม่ลดลง 30% ต่ำสุดหลังน้ำท่วมใหญ่ปี 2554

พิษโควิด-19 ทุบตลาดอสังหาฯ ไตรมาสแรกเปิดขายใหม่ลดลง 30% ต่ำสุดหลังน้ำท่วมใหญ่ปี 2554

ดูเหมือนสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 จะมีอัตราการเพิ่มขึ้นของผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดลงอย่างต่อเนื่อง เป็นสัญญาณเชิงบวกที่ดี ซึ่งหากจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ไม่มีแล้ว และผู้ติดเชื้อก่อนหน้า รักษาตัวหายเป็นปกติจนน้อยลงมากๆ เชื่อว่าประเทศไทยคงกลับสู่ภาวะปกติได้ในไม่ช้า แต่วิถีชีวิตอาจจะต้องเป็นไปตามรูปแบบการใช้ชีวิตใหม่ หรือ New Normal ที่ยืนอยู่บนการดูแลรักษาความสะอาดและความปลอดภัยจากการได้รับเชื้อไวรัสโควิด-19   ในแวดวงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์  หลังจากปรับตัวกันมาระยะหนึ่งแล้ว ก็ดูเหมือนว่ารูปแบบการตลาดและการขายหลังจากนี้  ก็คงมีวิถีใหม่ที่ไม่ได้ต่างการใช้ชีวิตแบบ New Normal แต่จะเปลี่ยนแปลงไปจากก่อนหน้านี้มากน้อยแค่ไหนนั้น  คงต้องดูกันอีกครั้ง   แต่สิ่งที่เห็นชัดเจนแน่ๆ ในช่วงตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 คือ การทำตลาดด้วยการใช้สื่อออนไลน์ และการระบายสต็อกเก่าที่มีอยู่ในมือ ซึ่งช่วงที่ผ่านมาแทบจะไม่ได้ยินข่าวการเปิดตัวโครงการใหม่ ออกมาทำตลาด แม้ว่าผู้ประกอบการมีแผนการพัฒนาโครงการใหม่  แต่ส่วนใหญ่เลือกที่จะเลื่อนการเปิดตัวโครงการออกไปก่อน และรอดูสภานการณ์ในภาพรวมว่าจะไปในทิศทางไหน   อย่างไรก็ตาม แม้ข่าวการเปิดโครงการใหม่จะเบาบาง แต่เชื่อว่ายังมีผู้ประกอบการหลายราย ที่ยังคงเดินหน้าเปิดโครงการใหม่  ตามแผนที่วางไว้แต่จะมากน้อยขนาดไหนนั้น คงต้องดูจากรายงานที่ทางศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC) ได้จัดทำขึ้นล่าสุด เกี่ยวกับ สถานการณ์โครงการที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ไตรมาส 1 ปี 2563 เปิดตัวใหม่ลดลงเกือบ 30% นายวิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (ศขอ.) รายงานถึงสถานการณ์โครงการที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ไตรมาส 1 ปี 2563 ว่ามีจำนวนโครงการเปิดใหม่  68 โครงการ ลดลงจากช่วงไตรมาส 1 ปี 2562 ในอัตรา 40.4% มีจำนวนหน่วยเปิดใหม่ 15,932 ยูนิต ลดลง  29.6% ซึ่งเป็นการเปิดขายโครงการใหม่ที่น้อยที่สุด นับตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2554 ซึ่งเกิดภาวะน้ำท่วมใหญ่ในกรุงเทพฯ – ปริมณฑล ซึ่งขณะนั้นมีการเปิดขายโครงการใหม่เพียง 67 โครงการ จำนวน 15,858 ยูนิต   โครงการเปิดขายใหม่ในไตรมาสนี้ แบ่งออกเป็น โครงการอาคารชุดคอนโดมิเนียม 23 โครงการ จำนวน 7,111 ยูนิต และโครงการบ้านจัดสรร 45 โครงการ จำนวน 8,821 ยูนิต โดยจำนวนหน่วยอาคารชุด ลดลงมากถึง 42.9% ส่วนบ้านจัดสรร มีจำนวนหน่วยลดลง 13.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน   เมื่อพิจารณาจากค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง ตั้งแต่​ปี 2558 – 2562  ซึ่งโครงการที่อยู่อาศัยจะเปิดขายเฉลี่ยไตรมาสละ 116 โครงการ จำนวน 28,490 ยูนิต จะเห็นได้ว่า ในไตรมาสนี้ โครงการที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเกือบครึ่ง โดยจำนวนโครงการต่ำกว่าค่าเฉลี่ย   41.4% และจำนวนหน่วยต่ำกว่า 44.1% บิ๊กอสังหาฯ ลดเปิดตัวคอนโดฯ  24.4% การเปิดตัวโครงการใหม่ในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา  ส่วนใหญ่ยังคงเป็นบริษัทที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ (Listed Companies) จำนวน 12,206 ยูนิต คิดเป็น 76.6% และบริษัทที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (Non-Listed Companies) จำนวน 3,726 ยูนิต คิดเป็น  23.4%   โครงการที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์  จำนวน 12,206 ยูนิต ส่วนใหญ่จะเป็นการพัฒนาโครงการบ้านจัดสรร มีจำนวนมากถึง  7,190 ยูนิต เพิ่มขึ้น 33.3% ขณะที่การพัฒนาโครงการอาคารชุด มีจำนวน 5,016 ยูนิต ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 24.4%   ส่วนโครงการที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ของบริษัทที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์  พบว่า มีจำนวนลดลงทั้งโครงการอาคารชุดและบ้านจัดสรร เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยโครงการอาคารชุดมีจำนวน 2,095 หน่วย ลดลง  64.0% และโครงการบ้านจัดสรรมีจำนวน 1,631 หน่วย ลดลง 65.9% ราคาต่ำ 3 ล้าน เปิดเยอะสุด โครงการที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ ไตรมาส 1 ปี 2563 จำนวน 15,932 ยูนิต เมื่อแยกตามระดับราคา ที่มีการเปิดขายมากที่สุด 3 อันดับแรก พบว่า 1.ราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาทมากที่สุด มีจำนวน 5,970 ยูนิต มีสัดส่วน  37.5% ส่วนใหญ่เป็นทาวน์เฮ้าส์ 2.ราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาท มีจำนวน 3,586 ยูนิต มีสัดส่วน  22.5% ส่วนใหญ่เป็นทาวน์เฮ้าส์ 3.ราคา 1.51 – 2.00 ล้านบาท มีจำนวน 2,035 ยูนิต มีสัดส่วน 12.8% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอาคารชุด   5โซนเปิดโปรเจ็กต์ใหม่มากสุด หากดูพื้นที่การเปิดตัวโครงการใหม่ ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ จะพบว่า มี 5 โซนที่เปิดตัวโครงการคอนโดฯ​มากที่สุด ได้แก่ 1.โซนธนบุรี-คลองสาน-บางกอกน้อย-บางกอกใหญ่-บางพลัด มีจำนวน 1,653 ยูนิต เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน  57.0% ส่วนใหญ่เป็นอาคารชุดตามแนวรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย (เตาปูน-ท่าพระ) ถนนจรัญสนิทวงศ์ซึ่งเพิ่งเปิดให้บริการในปี 2562 2.โซนเมืองปทุมธานี-ลาดหลุมแก้ว-สามโคก มีจำนวน 978 ยูนิต เพิ่มขึ้นจากที่ไม่มีการเปิดขายใหม่ในช่วงเดียวกันของปีก่อน 3.โซนเมืองนนทุบรี – ปากเกร็ด มีจำนวน 921ยูนิต ลดลง 38.1% 4.โซนบางซื่อ- ดุสิต มีจำนวน 710 ยูนิต เพิ่มขึ้น 46.1% 5.โซนสุขุมวิท มีการเปิดขายใหม่จำนวน 609 ยูนิต ลดลง 68.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนโครงการบ้านจัดสรรเปิดขายใหม่  โซนที่มีการเปิดขายใหม่มากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1.โซนเมืองปทุมธานี-ลาดหลุมแก้ว-สามโคก มีจำนวน 1,976 ยูนิต เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งไม่มีโครงการเปิดขายใหม่เลย 2.โซนหลักสี่-ดอนเมือง-สายไหม-บางเขน มีจำนวน 1,087 ยูนิต เพิ่มขึ้นสองเท่าตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีการเปิดขายใหม่เพียง 330 ยูนิต 3.โซนบางพลี-บางบ่อ-บางเสาธง มีจำนวน 923 ยูนิต เพิ่มขึ้น 13.8% 4.โซนคลองสามวา-มีนบุรี-หนองจอก-ลาดกระบัง มีจำนวน 874 ยูนิตลดลง 2.6% และ 5.โซนลำลูกกา-คลองหลวง-ธัญบุรี-หนองเสือ มีจำนวน 715 ยูนิต ลดลง 31.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
LPN x Shopee จัดแคมเปญ 5.5 Brand Festival ขน 8 คอนโดฯ ลดราคาสูงสุด 70,000 บาท

LPN x Shopee จัดแคมเปญ 5.5 Brand Festival ขน 8 คอนโดฯ ลดราคาสูงสุด 70,000 บาท

LPN ผนึกพันธมิตร Shopee จัดโปรแรงต่อเนื่องผ่านแคมเปญ “LPN Connect x Shopee 5.5 Brands Festival” วันที่ 5 เดือน 5 เพียงซื้อบัตรกำนัลจองซื้อห้องชุด 55 บาท ผ่านแอพพลิเคชั่น Shopee นำไปยืนยันสิทธิในวัน “จองซื้อ-ทำสัญญา” ห้องชุด LPN 8 ทำเลพร้อมรับส่วนลดทันทีสูงสุด 70,000 บาท      แม้สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโรคไวรัส COVID-19 ยังคงสร้างความเสียหายให้แก่ทุกภาคธุรกิจอุตสาหกรรม รวมถึงธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั้งโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบและตึกสูงก็ได้รับผลกระทบจากกำลังซื้อที่ลดลง แต่บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ LPN ไม่เคยหยุดคิดในการเดินหน้าแผนการตลาดที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าห้องชุด หรือคอนโดมีเนียมพร้อมอยู่อาศัยมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนอกจากจะได้รับห้องชุดที่มีคุณภาพแล้ว ยังได้รับราคาที่ลูกค้าสามารถจับต้องได้ ในสถานการณ์ขณะนี้ นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือLPN เปิดเผยว่า ได้จับมือกับพันธมิตรอย่าง Shopee  จัดแคมเปญ “LPN Connect x Shopee 5.5 Brands Festival” เพื่อมอบสิทธิพิเศษให้แก่ลูกค้าที่กำลังมองหา หรือต้องการห้องชุดพร้อมอยู่อาศัย โดยการใช้บัตรกำนัล หรือ Voucher ที่จำหน่ายผ่าน Shopee นำไปใช้เป็นส่วนลดพิเศษเพื่อซื้อห้องชุดของ LPN  เพียงซื้อบัตรกำนัลจองซื้อห้องชุด 55 บาท ผ่านแอพพลิเคชั่น Shopee และนำไปยืนยันสิทธิในวัน “จองซื้อ-ทำสัญญา” พร้อมกับโอนสิทธิ ภายในวันที่ 30 มิ.ย. นี้ จะได้รับส่วนลดทันทีสูงสุด 70,000 บาทต่อยูนิตต่อหนึ่งสิทธิ   “วันที่ 5 เดือน 5 (พฤษภาคม) นี้ LPN เตรียมพร้อมมอบสิทธิพิเศษให้กับทุกท่าน เพียงซื้อ Voucher จากร้าน LPN Connect  บนแอพพลิเคชั่น Shopee ในราคา 55 บาท เพื่อเป็นการจองซื้อห้องชุด ซึ่ง Voucher ดังกล่าว ลูกค้าสามารถนำไปเป็นหลักฐานการยืนยันสิทธิขอรับส่วนลดในการซื้อห้องชุดของ LPN ทั้งหมด 8 โครงการ ซึ่งจะได้รับส่วนลดตั้งแต่ 30,000 บาทและสูงสุดถึง 70,000 บาทต่อยูนิต เมื่อทำการโอนกรรมสิทธิ์ภายในวันที่ 30 มิ.ย. 2563 นี้”   บัตรกำนัลดังกล่าว ลูกค้าสามารถนำมาแสดงสิทธิในวันที่จองซื้อห้องชุด 1 ยูนิต ได้เพียง 1 สิทธิเท่านั้น ส่วนเงื่อนไขการยืนยันสิทธิขอรับส่วนลดจากบัตรกำนัลดังกล่าวจะมีผลเมื่อลูกค้าทำการจองซื้อ ทำสัญญา ชำระเงิน และโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดตามเงื่อนไขที่บริษัทกำหนดภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2563 ครอบคลุม 8 โครงการ ได้แก่   1.โครงการลุมพินี ซีวิว ชะอำ อาคารA และอาคาร B 2.โครงการลุมพินี ทาวน์ชิป รังสิต-คลอง 1 อาคาร E 2 3.โครงการลุมพินี วิลล์ พระนั่งเกล้า-ริเวอร์วิว อาคาร B1 4.โครงการลุมพินี พาร์ค เพชรเกษม 98 อาคาร C และ D 5.โครงการลุมพินี วิลล์ สุขุมวิท 76-แบริ่ง สเตชั่น (2) อาคาร A 6.โครงการลุมพินี พาร์ค วิภาวดี-จตุจักร อาคาร D 7.โครงการลุมพินี วิลล์ สุขสวัสดิ์-พระราม 2 อาคาร A 8.โครงการลุมพินี เพลส พระราม 3 -ริเวอร์ไรน์   โดยราคาขายห้องชุดของทั้ง 8 โครงการดังกล่าวอยู่ระหว่าง 790,000-2,260,000 บาทต่อยูนิต ซึ่งส่วนลดเป็นไปตามสัดส่วนราคาของห้องชุดดังกล่าว สูงสุดที่ 70,000 บาท   นายโอภาส  กล่าวอีกว่า บริษัทได้คัดเลือกห้องชุดมาจาก 8 โครงการ ซึ่งราคาพื้นฐานของลุมพินีเป็นราคาที่ "พอดี" อยู่แล้ว คือ ราคาไม่สูง เมื่อเทียบกับทำเลและคุณภาพห้องชุด เพราะเน้น “ความพอดีที่ดีกว่า” เพื่อมอบประโยชน์ให้กับลูกค้า และในยุคที่โควิด-19 ระบาด การไปตระเวนชมโครงการต่างๆ คงเป็นเรื่องไม่สะดวกสำหรับลูกค้า ดังนั้น 8 โครงการที่นำมาเสนอนี้ น่าจะได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้ที่มองหาห้องชุดในราคาพิเศษ นอกจากนี้ ลูกค้ายังสามารถเลือกชมห้องชุดในโครงการอื่นๆ ของลุมพินี ได้จาก www.lpn.co.th หรือ Facebook : Condo Lumpini อีกด้วย และเมื่อสนใจโครงการใดสามารถนัดเข้าชมโครงการได้ เรามีโครงการในการดูแลถึง 180 โครงการ มีลูกบ้านติดโควิด-19 มาจากที่อื่นบ้าง แต่ไม่มีการแพร่ระบาดในโครงการเพิ่มเติม ปัจจุบันผู้ติดเชื้อรักษาหายกลับมาอยู่ร่วมในชุมชนแล้วและสมัครใจบริจาคพลาสมาเพื่อสภากาชาดนำไปรักษาผู้ป่วยหนักจากการติดเชื้อโควิด-19 สำหรับจุดแข็งของ LPN คือการบริหารหลังการขายภายใต้กลยุทธ์ “ชุมชนน่าอยู่” ที่ให้การดูแลอย่างดีแก่การอยู่อาศัยของเจ้าของร่วม ซึ่งได้รับคำยืนยันจากลูกค้าแฟนพันธุ์แท้ที่บอกปากต่อปาก (Word of Mouth) ไปยังเพื่อนหรือครอบครัวตนเองจนได้รับการยอมรับจากสาธารณชน นอกจากนี้ ในภาวะวิกฤตไวรัส COVID-19 ที่กำลังระบาด  บริษัท ลุมพินี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด บริษัทในเครือ LPN ซึ่งเป็นผู้ดูแลห้องชุดหลังการขาย ได้เพิ่มความเข้มข้นในการดูแลเจ้าของร่วมอย่างใกล้ชิดและสามารถควบคุมการแพร่ระบาดในโครงการได้อย่างดี   ด้านนางสาวอากาธา โซห์ หัวหน้าฝ่ายการตลาด ช้อปปี้ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ความร่วมมือดังกล่าวสะท้อนถึงเจตนารมณ์อันแน่วแน่ของช้อปปี้  ที่ต้องการสนับสนุนให้ภาคธุรกิจดั่งเดิมสามารถขยายธุรกิจมาสู่โลกอีคอมเมิร์ซ อีกทั้ง ยังสามารถสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน และเต็มประสิทธิภาพจากความสามารถ ในการเข้าถึงฐานผู้ใช้งานทั่วทั้งประเทศของช้อปปี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับช่วงเวลาที่ท้าทายเช่นนี้ และเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองการประกาศพันธมิตรอย่างเป็นทางการในแคมเปญ Shopee 5.5 Brands Festival ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 5 เดือน 5 (พฤษภาคม) นี้ พิเศษสำหรับลูกค้า 20 ยูนิตแรกที่ทำการซื้อ Voucher และโอนกรรมสิทธิ์ภายในวันที่ 30 มิ.ย. 2563 รับทันที 3,000 Shopee Coins    สำหรับ การขายผ่าน Shopee ถือว่าเป็นการขายห้องชุดผ่านออนไลน์ เพิ่มความสะดวกต่อการซื้อของลูกค้าซึ่งมีขั้นตอนไม่ยุ่งยาก เพียงลูกค้าเข้า Application Shopee และศึกษาสินค้า พร้อมดูรายละเอียดส่วนลดของแต่ละโครงการตามภาพประกอบ จากร้าน LPN Connect  จากนั้นกดปุ่มซื้อสินค้า กดชำระเงิน ต่อมายืนยันคำสั่งซื้อสินค้า โดยระบบจะทำการเลือกวิธีจัดส่งอัตโนมัติ เลือกวิธีการชำระเงิน และตรวจสอบข้อมูล และกดสั่งซื้อสินค้า และสุดท้ายก็ทำการบันทึกภาพเพื่อยืนยันการสั่งซื้อสินค้า เพื่อใช้เป็นเอกสารยืนยันในวันจองที่โครงการ กรณีที่ลูกค้าผิดเงื่อนไขตามสัญญาที่กำหนดไว้ บริษัทขอสงวนสิทธิในการมอบสิทธิประโยชน์ตาม Voucher นี้ ส่วนเงื่อนไขอื่นๆ เป็นไปตามที่บริษัทกำหนด โดยบริษัทขอสงวนสิทธิในการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขโดยที่ไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า กรณีเกิดข้อโต้แย้งในการพิจารณามอบสิทธิประโยชน์ตาม Voucher นี้ ให้ถือดุลพินิจของบริษัทเป็นที่สิ้นสุด
รวมให้แล้ว !! โปรโมชั่น “ลด แลก แจก แถม” บ้าน-คอนโดฯ เดือนพฤษภาคม 2563

รวมให้แล้ว !! โปรโมชั่น “ลด แลก แจก แถม” บ้าน-คอนโดฯ เดือนพฤษภาคม 2563

นับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ตั้งแต่ต้นปี 2563 ที่ผ่านมา บรรดาดีเวลลอปเปอร์วงการอสังหาริมทรัพย์  ก็ต้องปรับตัวกับภาวะตลาดที่ได้รับผลกระทบ จากการที่รัฐบาลรณรงค์ให้ประชาชน “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” รวมถึงการ Work Form Home เพื่อลดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19   การเปลี่ยนแปลงที่เห็นชัดเจน คือ การหันมาทำการตลาดและเพิ่มช่องทางการขาย ผ่านสื่อออนไลน์ เพื่อให้ธุรกิจยังเดินหน้าไปต่อได้ ท่ามกลางภาวะวิกฤตไวรัสโควิด-19  ไม่นับรวมกับแคมเปญโปรโมชั่นที่ทำกันปกติ แต่เพิ่มระดับดีกรีความแรง ชนิดลดราคาอสังหาฯ แบบ 50% ก็เห็นมาแล้ว   กลยุทธ์โปรโมชั่นบวกกับการใช้สื่อออนไลน์  กลายเป็นกลยุทธ์หลักและสำคัญ ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ยังคงมีอยู่  แม้สถานการณ์และแนวโน้มตัวเลขผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิต จะเป็นตัวเลขที่ดีขึ้น มีแนวโน้มว่าภาครัฐจะผ่อนคลายมาตรการคุมเข้มต่างๆ ลง เพื่อให้คนไทยได้กลับมาใช้ชีวิต แบบปกติรูปแบบใหม่ หรือ New Normal   แต่การทำตลาดด้วยการลด แลก แจก แถม ที่โหมสาดให้ลูกค้าแบบไม่ค่อยได้เห็นมาก่อน ยังคงมีมาอย่างต่อเนื่อง แถมจะเพิ่มมากขึ้นตามมาด้วย เพราะช่วงระยะเวลา 4 เดือนแรกของปีที่ผ่านมา เชื่อว่ายอดขายของดีเวลลอปเปอร์หลายรายคงหดหายลงไปมากพอสมควร  ส่วนรายใดที่ทำการตลาดออนไลน์และอัดโปรโมชั่นหนักๆ  ยอดขายไปได้ ก็คงติดใจเพราะสามารถระบายสต็อกเก่าๆ ในมือออกไป แม้หากดูตัวเลขกำไรอาจจะเบาบาง แต่ได้กระแสเงินสด จากยอดขายยอดจอง มาหล่อเลี้ยงบริษัท ก็เป็นสิ่งที่ช่วยยืดลมหายใจให้องค์กร สามารถก้าวเดินต่อไปได้อีกระยะหนึ่ง   เดือนพฤษภาคม บรรดาดีเวลลอปเปอร์ จึงเหมือนพร้อมใจกันจัดทำแคมเปญการตลาด ออกมากระตุ้นยอดขาย และหวังจะหารายได้กลับเข้ามา ซึ่งในช่วงเวลานี้ เรียกได้ว่าเป็นโอกาสทองของผู้ที่มีเงิน  มีความสามารถในการซื้ออสังหาฯ หรือคนที่ต้องการที่อยู่อาศัยจริงๆ เพราะแต่ละดีลเรียกได้ว่าคุ้มค่าคุ้มราคา แถมอำนาจการตัดสินใจยังอยู่ฝั่งผู้ซื้ออีกต่างหาก ส่วนโปรฯ เด็ดๆของเดือนพฤษภาคมมีอะไรบ้าง เรารวมเอาไว้ให้แล้ว เน็กซัส 9 พ.ค. จัด “รวมพลคอนโด หั่นราคาต่ำกว่าทุน” ใครกำลังมองหาคอนโดฯ เตรียมตัวให้พร้อม เพราะครั้งนี้แม้  จะนั่งอยู่กับบ้าน ก็สามารถเลือก เป็นเจ้าของได้  เพียงปลายนิ้วสัมผัสที่นี่ที่เดียว www.facebook/NexusPropertyThailand ในวันเสาร์ที่ 9 พฤษภาคม นี้ เพราะบริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด จัดงาน “รวมพลคอนโด หั่นราคาต่ำกว่าทุน รวมทำเล TOP ราคากระชากใจ” ครั้งแรกของการรวบรวมคอนโดมิเนียมจากดีเวลลอปเปอร์ชื่อดังกว่า 30 บริษัท อาทิ อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์, แสนสิริ, ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้, เอพี (ไทยแลนด์), เอสซีแอสเสท ฯลฯ ที่พร้อมใจนำโครงการพร้อมอยู่ (Ready to Move in) กว่า 100 โครงการ มากกว่า 1,500 ยูนิต ในราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 1 - 20 ล้านบาท  และยังมีส่วนลดสูงสุดถึง 40% และของสมนาคุณอื่นๆ อีกมากมาย ในวันเสาร์ที่ 9 พฤษภาคม 2563 ตั้งแต่เวลา 10.00 น. เป็นต้นไป ผ่านทาง Live ที่ www.facebook/NexusPropertyThailand   แอล.พี.เอ็น.ขน 8 โปรเจ็กต์หั่นราคา แม้สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโรคไวรัส COVID-19 ยังคงสร้างความเสียหายให้แก่ทุกภาคธุรกิจอุตสาหกรรม รวมถึงธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ทั้งโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบและตึกสูง ต่างก็ได้รับผลกระทบจากกำลังซื้อที่ลดลง แต่บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ LPN ไม่เคยหยุดคิดในการเดินหน้าแผนการตลาดที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ที่ต้องการห้องชุดที่มีคุณภาพ  ในราคาที่สามารถจับต้องได้   โดย LPN ได้จับมือกับพันธมิตรอย่าง Shopee จัดแคมเปญ “LPN Connect x Shopee 5.5 Brands Festival” เพื่อมอบสิทธิพิเศษให้แก่ลูกค้าที่กำลังมองหาหรือต้องการห้องชุดพร้อมอยู่อาศัย โดยการใช้บัตรกำนัล หรือ Voucher ที่จำหน่ายผ่าน Shopee ในราคา 55 บาท นำไปใช้เป็นส่วนลดพิเศษเพื่อซื้อห้องชุดของ LPN  ใน  ​“วันที่ 5 เดือน 5 (พฤษภาคม) นี้ ทั้งหมด 8 โครงการ ซึ่งจะได้รับส่วนลดตั้งแต่ 30,000 บาทและสูงสุดถึง 70,000 บาทต่อยูนิต เมื่อทำการโอนกรรมสิทธิ์ภายในวันที่ 30 มิ.ย. 2563 นี้   บัตรกำนัลดังกล่าว ลูกค้าสามารถนำมาแสดงสิทธิในวันที่จองซื้อห้องชุด 1 ยูนิต ได้เพียง 1 สิทธิเท่านั้น ส่วนเงื่อนไขการยืนยันสิทธิขอรับส่วนลดจากบัตรกำนัลดังกล่าวจะมีผลเมื่อลูกค้าทำการจองซื้อ ทำสัญญา ชำระเงิน และโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดตามเงื่อนไขที่บริษัทกำหนดภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2563 ครอบคลุม 8 โครงการ โดยราคาขายห้องชุดของทั้ง 8 โครงการดังกล่าวอยู่ระหว่าง 790,000-2,260,000 บาทต่อยูนิต ซึ่งส่วนลดเป็นไปตามสัดส่วนราคาของห้องชุดดังกล่าว สูงสุดที่ 70,000 บาท เมเจอร์ หั่นราคา 44% บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)  ได้วิเคราะห์ผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสไควิด -19 อาจจะกินระยะเวลาไปจนหมดไตรมาส 2 บริษัทฯ จึงได้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ทางการขาย โดยหันมาทำการตลาดผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น เป็น 90% จากปกติก็ใช้มากอยู่แล้วถึง 70% เพื่อดันยอดขายเพิ่ม และให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของลูกค้าในปัจจุบัน ที่ใช้เวลาอยู่ที่บ้าน   ดร.สุริยา พูลวรลักษณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า  ปีนี้เป็นปีที่ท้าทายสำหรับสำหรับทุกอุตสาหกรรม ไม่เฉพาะในวงการอสังหารัมทรัพย์เท่านั้น ความยากของปีนี้ คือ หลังจากเกิดการแพร่ของโรคไวรัสโควิด -19 หลาย ๆ ธุรกิจโดนดิสรัป (disrupt) ในส่วนของเมเจอร์ฯ นั้น ช่วงเวลานี้จะเน้นกลยุทธ์ด้านการขาย ระบายของห้องชุดของคอนโดที่สร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่ โดยดึงสื่อออนไลน์ต่าง ๆ เข้ามาช่วย ฝ่ายขายเองก็ต้องปรับตัวไปตามสถานการณ์ตลาดมากยิ่งขึ้น โดยได้นำโครงการพร้อมอยู่ แมเนอร์ สนามบินน้ำ คอนโดไฮซ์ไรซ์ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ใกล้รถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสีม่วง สถานีพระนั่งเกล้า เข้ามาทดลองตลาดในแฟลตฟอร์มออนไลน์ โดยการเปิด เฟสบุ๊กเพจ ‘แมเนอร์ สนามบินน้ำ ถูกกว่าโควิด’ และไลน์ออฟฟิเชี่ยล @manortook เพื่อเป็นช่องทางเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการคอนโดพร้อมอยู่  ด้วยการจัดแคมเปญที่ชื่อ “วิกฤตคือโอกาส” ด้วยโปรโมชั่นหลากหลายทั้งส่วนลดห้องชุด “ลดจริง 44%”  จากราคาปกติ 31 วัน 31 ยูนิต ตลอดเดือน พ.ค. 63 และโปรโมชั่น Golden Week ลด 50% จากราคาปกติวันละ 1 ยูนิต ทุกวันตลอด 7 วัน เริ่ม 1 - 7 มิ.ย. และ 1 - 7 ก.ค. 63  รวม 14 วัน 14 ยูนิต เนอวานาฯ ลดเงินดาวน์สูงสุด 70% วิกฤตการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่เพียงสั่นคลอนภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศ หากแต่ยังส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่และความมั่นใจในการจับจ่ายใช้สอยของคนในสังคมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เป็นการเปิดรับต้นปีที่ร้อนระอุสำหรับทุกฝ่าย ซึ่งธุรกิจอสังหาฯ เองก็เป็นอีกภาคธุรกิจหนึ่งที่ได้รับผลกระทบ ที่ต้องปรับกลยุทธ์การตลาด เพื่อรับมือกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เริ่มลดการใช้เงินและวางแผนเก็บออมมากขึ้น   นายนันทชาติ กลีบพิพัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการสายงานพัฒนาธุรกิจองค์กร บริษัท เนอวานา ไดอิ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เพื่อให้ทุกคนฝ่าฟันวิกฤตนี้ไปด้วยกัน บริษัทได้จัดแคมเปญด้วยการมอบข้อเสนอสุดพิเศษ ส่วนลดเงินจอง เงินทำสัญญา เงินดาวน์ สูงสุดถึง 70% พร้อมผ่อนให้ทั้งเงินต้น และดอกเบี้ยนาน 1 ปี มูลค่าสูงสุด 10 ล้านบาท*  สำหรับทุกคนที่จองซื้อบ้านที่ https://onlinebooking.nirvanadaii.com ตลอด 24 ชั่วโมง พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ผ่อนให้ 30 เดือน นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า  จากสถานการณ์โควิด-19 ที่มีแนวโน้มดีขึ้น ในเดือนพฤษภาคมนี้บริษัทจะเดินหน้าทำการตลาดอย่างเต็มรูปแบบอีกครั้ง ทั้งโครงการแนวราบและคอนโดมิเนียม โดยคอนโดมิเนียมเป็นแคมเปญ “อยู่ฟรีสูงสุด 30 เดือน” โดยบริษัทจะช่วยผ่อนเงินต้นและดอกเบี้ยให้แทนลูกค้าสูงสุด 30 เดือนแรก และมีส่วนลดให้อีกสูงสุด 2 ล้านบาท สำหรับโครงการแนวราบจะมีแคมเปญ “ปลอดดอก ออกต้น” ที่จะช่วยให้ลูกค้าคลายกังวลเรื่องการซื้อบ้าน ด้วยการปลอดดอกเบี้ยนาน 1 ปี และยังมี Cashback เงินคืนให้เพื่อใช้สำหรับผ่อนเงินต้นได้อย่างสบายอีก 50,000-500,000 บาท ขึ้นกับระดับราคาบ้าน  (อ่านข่าวเพิ่มเติม) อนันดาฯ​ จัด MOVE NOW  ปลอดหนี้ 2 ปี สำหรับบริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ANAN ได้ปล่อยโปรโมชั่น “ปลอดหนี้ 2 ปี” กับสิทธิพิเศษผ่อน 0 บาท นาน  2 ปี ฟรีค่าส่วนกลางสูงสุด 2 ปี ฟรีค่าใช้จ่ายวันโอนฯ (เงื่อนไขตามบริษัทฯ กำหนด) กับโครงการพร้อมอยู่ คอนโดใกล้รถไฟฟ้า แบรนด์ ไอดีโอ และ ไอดีโอ โมบิ ราคาเริ่มต้น 2.42 – 6.1 ล้านบาท  ภายใต้แคมเปญ “MOVE NOW!” ซึ่งจัดมาก่อนหน้านี้  และได้รับการตอบรับที่ดี จึงได้ขยายระยะเวลาการจัดแคมเปญต่อไปถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม 2563 เอสซีฯ ปล่อย  ‘SC Super Free’ ผ่อนหนักให้เป็นฟรี   ส่วนบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จัดโปรโมชั่นผ่อนหนักให้เป็นฟรี ‘SC Super Free’ พบ 45 โครงการบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม โฮมออฟฟิศ และคอนโดมิเนียม ราคาเริ่มต้น 2.39 – 60 ล้านบาท อาทิ Grand Bangkok Boulevard , Bangkok Boulevard, The Gentry, Headquarters, Life Bangkok Boulevard, Venue, V Compound, Verve, Chambers,และ Centric พร้อมให้คุณอยู่แบบสบายๆ และรับสิทธิ์อยู่ฟรีสูงสุด 24 เดือน* หรือฟรีค่าส่วนกลาง 5 ปี*  เมื่อจองโครงการตั้งแต่วันนี้ – 31 พ.ค. 2563 และโอนกรรมสิทธิ์ภายในวันที่ 30 มิ.ย. 2563 เท่านั้น สำหรับท่านที่สนใจสามารถเข้าเยี่ยมชมโครงการได้ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 9.00 น. - 18.00 น. แสนสิริ ผ่อนให้ 24 เดือน นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ได้วางมาตรการเชิงรุกด้วยกลยุทธ์การตลาดแบบ Omni-Channel ครบวงจรตอบโจทย์ลูกค้าคนรุ่นใหม่ รวมถึงตอบโจทย์พฤติกรรมการใช้สื่อบนหลากหลายแพลตฟอร์ม เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าเรียลดีมานด์รายใหม่ ที่ยังรองรับในช่วงสภาวการณ์ COVID-19 รวมถึงช่วยเหลือลูกค้าให้ลูกค้ามีบ้านได้ง่ายขึ้นอีกด้วย   Private Tour เยี่ยมชมโครงการ ไม่ปะปนกับลูกค้ารายอื่นโดยมีเว้นระยะห่างตามหลัก Social Distancing   นอกจากนี้ ยังได้จัดแคมเปญ “แสนสิริ ผ่อนให้ 24 เดือน” (ตั้งแต่ 3   เม.ย. – 30 มิ.ย. 63) เพื่อช่วยให้ลูกค้ามีบ้านง่าย ไม่มีภาระค่าใช้จ่ายในการผ่อนที่อยู่อาศัยได้นานตลอดระเวลา 2 ปี  เพราะแสนสิริผ่อนให้ ทั้งต้น ทั้งดอก นานสูงสุด 24 เดือน ครอบคลุมถึง 62 โครงการพร้อมอยู่ ทั่วประเทศ พร้อมฟรีค่าโอนและค่าจดจำนอง ฟรีค่าส่วนกลางพร้อมโปรโมชั่นในทุกโครงการ อาทิ ฟรีค่าส่วนกลางนานสูงสุด 1 ปี พร้อมรับ Gift Voucher สูงสุด 100,000 บาท สำหรับโครงการบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม และฟรีค่าส่วนกลางนาน 2 ปี สำหรับคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ พฤกษา จอง 999 บาท ไม่ต้องดาวน์ นายธีรเดช เกิดสำอางค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจทาวน์เฮาส์ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า  ในช่วงสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้า ที่มีการจำกัดการเดินทางไปที่ต่างๆ พฤกษาวิลล์ ซึ่งเป็นหนึ่งในแบรนด์ทาวน์โฮมคุณภาพจากพฤกษา เรียลเอสเตท ได้คัดเลือกแปลงสวย ในทุกทำเลทั่วกรุงเทพและปริมณฑล  มากกว่า 20 โครงการ กว่า 70 ยูนิต ในโซนต่างๆ อาทิ โซนรังสิต บางนา พระราม 2 นครอินทร์ ฯ จัดแคมเปญ Hot Deal พบทาวน์โฮมแปลงสวย ในราคาสุดพิเศษ จองเพียง 999 บาทเท่านั้น ไม่ต้องดาวน์ พร้อมรับโปรโมชั่นอื่นๆอีกมากมายมูลค่าสูงสุดถึง 500,000 บาท  (ขึ้นอยู่กับรายละเอียดในแต่ละยูนิต) โดยทาวน์โฮม Hot Deal มีราคาเริ่มต้นเพียง 1.6 ล้านบาท โดยสามารถติดต่อเพื่อชมบ้านและรายละเอียดเพิ่มเติมของโครงการได้ผ่านช่องทางออนไลน์ ได้แก่ เว็บไซต์ และ ไลน์แชท  ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ชาญอิสระ เอาใจนักลงทุนจัด “หุ้นแลกคอนโด” นายสงกรานต์ อิสสระ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ออกแคมเปญส่งเสริมการขาย “หุ้นแลกคอนโด” ขึ้น  เพื่อเป็นการเปิดโอกาสกับนักลงทุนที่ต้องการปรับเปลี่ยนพอร์ตการลงทุนเป็นอสังหาริมทรัพย์แทนหลังจากได้เผชิญกับความผันผวนของตลาดหุ้น ในช่วงเกิดเหตุการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด – 19  และช่วยให้นักลงทุนที่ต้องการซื้อห้องชุดได้มี ทางเลือกในการจ่ายเงินด้วยหุ้นแทน  สำหรับโครงการที่บริษัทได้นำมาร่วมในแคมเปญหุ้นแลกคอนโด ประกอบด้วย 4 โครงการ  ทั้งในกรุงเทพและ ต่างจังหวัด มีราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 2 ล้านบาทขึ้นไป  เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม – 30 มิถุนายน 2563  (อ่านข่าวเพิ่มเติม)        
เอพี อัพเกรด “สมาร์ท เวิลด์” ให้ลูกบ้าน 60,000 ครอบครัว ซื้อ-ขาย-แลกเปลี่ยนสินค้า

เอพี อัพเกรด “สมาร์ท เวิลด์” ให้ลูกบ้าน 60,000 ครอบครัว ซื้อ-ขาย-แลกเปลี่ยนสินค้า

เอพี ไทยแลนด์ กรุ๊ป จับมือ สมาร์ท อัพเกรด ‘SMART WORLD’ ดิจิตอลแพลตฟอร์ม เดินหน้าเชื่อมต่อโลกสองใบ ทั้งโลกความเป็นจริง และโลกดิจิตอล พร้อมดึงลูกบ้านกว่า 60,000 ครอบครัวให้สร้างสังคมแห่งการแบ่งปัน พร้อมเปิดตัวแคมเปญ #ฝากร้านบ้านเรา สนับสนุนให้เศรษฐกิจเกิดการหมุนเวียน เพื่อก้าวผ่านวิกฤตนี้ไปร่วมกัน   นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ เอพี ไทยแลนด์ กรุ๊ป เปิดเผยว่า ได้ร่วมมือกับบริษัท สมาร์ท เซอร์วิส แอนด์ แมเนจเม้นท์ จำกัด ซึ่งเป็นพร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์ ในเครือเอพี อัพเกรด SMART WORLD (สมาร์ท เวิลด์) ดิจิตอลแพลตฟอร์ม บริหารคุณภาพชีวิตหลังการเข้าอยู่อาศัย ในโครงการอสังหาริมทรัพย์ เพื่อนำไปสู่การสร้างสังคมแห่งการเชื่อมต่อและแบ่งปันร่วมกัน ภายใต้แนวคิด Sharing Community พร้อมจัดแคมเปญ #ฝากร้านบ้านเรา เพื่อส่งเสริมให้เกิดการได้พบกับผู้คนจากต่างโครงการ ก่อให้เกิด การช่วยเหลือ แลกเปลี่ยนและแบ่งปันเรื่องราวหรือแนวคิดดีๆ จากพันธกิจ ‘EMPOWER LIVING’ ที่พร้อมสนับสนุนให้คนในสังคมสามารถเติมเต็มเป้าหมายชีวิตได้ตามที่ปรารถนา ด้วยนวัตกรรมสินค้าและบริการที่มีคุณค่าและมีความหมายต่อชีวิต จึงได้ร่วมมือกับสมาร์ท  เพื่อให้เราทุกคนผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกัน บริษัทฯ ได้เปิดใช้งานดิจิตอลแพลตฟอร์มสมาร์ท เวิลด์ เมื่อปีที่ผ่านมา ผ่านการบริหารจัดการโดยบริษัท สมาร์ทฯ โดยมีเป้าหมายหลัก เพื่อเติมเต็มความสะดวกสบายหลังการเข้าอยู่อาศัย ช่วยลดทอนความซ้ำซ้อนที่เป็นปัญหาของผู้อยู่อาศัยในวันนี้ และมอบประสบการณ์ใหม่ที่ยกระดับรูปแบบการดำเนินชีวิตให้ดียิ่งขึ้น ผ่านฟังก์ชั่นการใช้งานที่ครอบคลุมทุกเรื่องการอยู่อาศัย ซึ่งการอัพเกรดแพลตฟอร์มใหม่ครั้งนี้ เพื่อรองรับแนวคิดที่เราต้องการสร้างสังคมแห่งการอยู่อาศัยที่มีคุณภาพให้เกิดขึ้น   ปัจจุบันบริษัท สมาร์ทฯ ได้บริหารอสังหาริมทรัพย์รวมแล้วกว่า 250 โครงการ ซึ่งเป็นทั้งโครงการที่พัฒนาโดยเอพีและบริษัทอื่นๆ มีคนใช้งานแพลตฟอร์ม สมาร์ท เวิลด์ กว่า 45,000 ราย   นายเมธา รักธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท สมาร์ทฯ  กล่าวว่า  ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 บริษัทฯ ตระหนักถึงข้อกังวลใจต่างๆ ของลูกบ้านทุกท่านที่บริษัทฯ บริหารจัดการเป็นอย่างดี ซึ่งบริษัทฯ ได้มีการวางมาตรการอย่างเข้มงวดและรัดกุมสูงสุด เพื่อให้ลูกบ้านกว่า 60,000 ครอบครัว ปลอดภัย และห่างไกลจากไวรัส   การอัพเกรดแพลตฟอร์มสมาร์ท เวิลด์ ในครั้งนี้จะเป็นอีกช่องทางหนึ่ง ที่ให้เราทุกคนเชื่อมต่อกันมากขึ้น ทั้งในโลกความเป็นจริงและโลกดิจิตอล ให้ลูกบ้านต่างยูนิต หรือต่างโครงการ ได้เข้ามาร่วมแบ่งปัน แลกเปลี่ยนเรื่องราวดีๆ เพื่อนำไปสู่การอยู่อาศัยที่มีความสุข   โดยการจัดแคมเปญ #ฝากร้านบ้านเรา เพื่อสนับสนุนให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนภายในครอบครัวขึ้น โดยลูกบ้านทุกท่านสามารถมาประชาสัมพันธ์ขายสินค้า บริการ การแลกเปลี่ยน ให้เช่า หรือให้ยืมของใช้ต่างๆ ผ่านแพลตฟอร์มสมาร์ท เวิลด์ ได้ โดยบริษัทฯ พร้อมสนับสนุนและช่วยเหลือลูกบ้านทุกท่านให้ผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปด้วยกัน สำหรับบริการจากแพลตฟอร์มสมาร์ท เวิลด์ อาทิ ระบบการบริหารจัดการสินทรัพย์ บริการแชทตอบทุกคำถามเรื่องการอยู่อาศัยกับนิติบุคคล และสมาชิกในโครงการ แจ้งเตือนผ่าน SMS เมื่อมีพัสดุมาถึง แจ้งซ่อมสินทรัพย์ในพื้นที่ส่วนกลางได้อย่างรวดเร็ว พร้อมระบบติดตามสถานะ ชำระเงินค่าส่วนกลาง ค่าน้ำ และบริการอื่นๆ ผ่านระบบออนไลน์ สร้างสังคมแห่งการอยู่อาศัยในอุดมคติผ่านการแบ่งปันเรื่องราวที่ดีระหว่างกันผ่าน Bulletin Board อำนวยความสะดวกในการติดต่อ รปภ. โรงพยาบาล และสถานีตำรวจได้ในยามฉุกเฉิน และบริการพื้นฐานอื่นๆ อีกมากมาย  
พีดีเฮ้าส์ ลุยการตลาดออนไลน์ เปิดตัวบ้านใหม่ 4 แบบสู้พิษโควิด-19  

พีดีเฮ้าส์ ลุยการตลาดออนไลน์ เปิดตัวบ้านใหม่ 4 แบบสู้พิษโควิด-19  

พีดีเฮ้าส์ ฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจ-โควิด 19 กวาดผลงานไตรมาสแรก 300 ล้านบาท เตรียมรุกตลาดไตรมาส 2-3 หลังสัญญาณการแพร่ระบาดไวรัสยังต่อเนื่อง และปัญหาภัยแล้งรุนแรง  ทั้งการทำตลาดผ่านโซเชียลมีเดีย และเปิดตัว 4 แบบบ้านใหม่ราคาย่อมเยาว์   นายพิศาล ธรรมวิเศษ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ปทุมดีไซน์ ดีเวลลอป จำกัด ศูนย์รับสร้างบ้าน “พีดีเฮ้าส์”  เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา สามารถทำยอดจองปลูกบ้านได้ประมาณ 300 ล้านบาท โดยสัดส่วน 50%  เป็นยอดจองปลูกสร้างบ้านระดับราคา 2-4 ล้านบาท  สัดส่วน 30% เป็นบ้านราคา 4-8 ล้านบาทและสัดส่วน 20%  เป็นบ้านราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป  ซึ่งกลุ่มลูกค้าหลักสัดส่วน 70% ยังเป็นกลุ่มลูกค้าที่ปลูกสร้างบ้านในพื้นที่ต่างจังหวัด และสัดส่วนประมาณ 30% เป็นกลุ่มลูกค้าปลูกสร้างบ้านในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ยอดขายบ้านในไตรมาสแรก เป็นผลการดำเนินงานที่น่าพอใจ ประเมินว่าส่วนหนึ่งลูกค้ามีการออมเงินและวางแผนปลูกบ้านไว้ก่อนแล้ว จึงตัดสินใจโดยไม่ได้กังวลกับสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19   นอกจากนี้ น่าจะเป็นผลจากการที่ลูกค้าในต่างจังหวัดให้ความเชื่อถือ และใช้บริการบริษัทรับสร้างบ้านมืออาชีพมากขึ้น ประกอบกับช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา บริษัทฯ จัดกิจกรรมการตลาด ด้วยการจัดงาน "รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์แฟร์ ครั้งที่ 1" ที่สำนักงานทุกสาขาพร้อม ๆ กันทั่วประเทศ ทำให้สามารถปิดยอดจองได้ประมาณ 100 ล้านบาท ส่งผลให้ภาพรวมของไตรมาสแรกทำยอดขายได้ประมาณ  300 ล้านบาท   สำหรับภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมานั้น  ถือว่ายังได้รับผลกระทบจาสถานการณ์โรคระบาดไวรัสโควิด-19 ไม่รุนแรงมากนัก  แต่หากสถานการณ์ยืดเยื้อต่อไป ผลกระทบน่าจะรุนแรงมากขึ้น และหากปีนี้เกิดปัญหาภัยแล้งด้วย จะส่งผลกระทบต่อตลาดรับสร้างบ้านได้มากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 2 - 3 ปีนี้   นายพิศาล  กล่าวเพิ่มเติมว่า  ช่วงปลายไตรมาสแรกต่อเนื่องช่วงต้นไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ความต้องการสร้างบ้านของผู้บริโภคเริ่มชะลอตัวลง โดยเฉพาะจังหวัดที่มีการประกาศ LOCK DOWN และพีดีเฮ้าส์มีสาขาตั้งอยู่ในจังหวัดนั้น เช่น จังหวัดภูเก็ต สุรินทร์ และบุรีรัมย์ เป็นต้น นอกจากนี้ กลุ่มลูกค้าคนไทยในต่างประเทศและลูกค้าชาวต่างชาติที่มีกำหนดเดินทางกลับเมืองไทย เพื่อมาตกลงทำสัญญาปลูกสร้างบ้านในช่วงไตรมาส 2 นี้ จำเป็นต้องเลื่อนการเดินทางออกไป ทำให้ตัวเลขยอดจองกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติลดลงด้วยเช่นกัน ด้านนางสาวถิรพร สุวรรณสุต กรรมการบริหารสายงานการตลาด บริษัท พีดี เฮ้าส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้บริหารสิทธิ์แฟรนไชส์ศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ กล่าวว่า แนวโน้มตลาดรับสร้างบ้านในปีนี้น่าจะได้รับผลกระทบมากกว่าที่ผ่านมา โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 2-3 นี้ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และปัญหาภัยแล้งที่มีแนวโน้มรุนแรง   สำหรับแนวทางการรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ดังกล่าว บริษัทฯ ได้ปรับกิจกรรมทางการตลาดให้เข้ากับสถานการณ์และเพิ่มความสะดวกแก่ลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย โดยจะเน้นใช้ช่องทาง Social Media มากยิ่งขึ้น เพื่อให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายทั้งในประเทศและต่างประเทศ สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายและสะดวก พร้อมทั้งเตรียมเปิดตัวแบบบ้านใหม่ สู้พิษโควิด-19 จำนวน 4 แบบ ในช่วงเดือนพฤษภาคมนี้ โดยเป็นบ้านระดับราคา 2 - 3 ล้านบาทเศษ  ขนาด 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ จอดรถ 1-2 คัน โดยแนวคิดในการออกแบบจะเน้นความคุ้มค่าและมีฟังก์ชั่นครบในราคาย่อมเยาว์   นอกจากนี้ ยังจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย และกระตุ้นการตัดสินใจของลูกค้าอีกด้วย ล่าสุดจัดโปรโมชั่น "โปรฯ โควิดต้องปิดปาก ซื้อ 1ได้ถึง 5"  รับทันทีประกันโควิด-19 คุ้มครองสูงสุด 1 ล้าน, รับส่วนลดเงินสดสูงสุด 1,400,000 บาท, รับวงเงินอัพเกรดวัสดุสูงสุด 400,000 บาท, รับ Voucher ค่าออกแบบตกแต่งสูงสุด 200,000 บาท และจัดเต็ม ๆ วัสดุคุณภาพเปรียบเทียบรุ่นต่อรุ่นที่เหนือกว่าใคร สำหรับลูกค้าที่จองปลูกสร้างบ้านกับศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ทุกสาขาทั่วประเทศ ตั้งแต่วันนี้ ถึง 31 พฤษภาคม 2563 นี้เท่านั้น      
แสนสิริ จับมือ ชาเม่ สร้างประสบการณ์การตลาด พร้อมขยายฐานลูกค้าแมส ปั้นยอดขายบ้าน

แสนสิริ จับมือ ชาเม่ สร้างประสบการณ์การตลาด พร้อมขยายฐานลูกค้าแมส ปั้นยอดขายบ้าน

แสนสิริ จับมือ ชาเม่ ผนึกกำลังทำการตลาดร่วมกัน สานต่อกลยุทธ์ Unexpected Marketing  หวังใช้ผลิตภัณฑ์สุขภาพและความงาม ขยายฐานลูกค้าเจาะตลาดแมส 250,000 ล้าน อยากมีบ้าน พร้อมกระตุ้นยอดขายไตรมาส 2 ให้ได้ตามเป้า 12,000 ล้าน   นางอรุณภรณ์  ลิ่มสกุล ประธานผู้บริหารสายงานการตลาดองค์กร บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยว่า ได้จับมือกับ “ชาเม่” (CHAME’) ผู้ดำเนินธุรกิจด้านสุขภาพและความงามของไทย  เพื่อเป็นพันธมิตรร่วมกันทำการตลาดและสร้างแบรนด์  ภายใต้กลยุทธ์ Unexpected Marketing ผ่านกิจกรรมส่งเสริมการตลาดในรูปแบบต่างๆ ทั้งออนไลน์ ออฟไลน์ และดิจิทัล มาร์เก็ตติ้ง เพื่อส่งมอบประสบการณ์ด้าน Beauty & Health Solution   โดยเริ่มต้นจากความร่วมมือจัดกิจกรรม Knock Door Surprise ภายใต้แคมเปญ Sansiri Care #เพราะเราห่วงใยแจกชุดผลิตภัณฑ์ ชาเม่ มอยซ์เจอร์ไรซิ่ง แฮนด์ เจล และ แฮนด์ สเปรย์ นำโดย “เชียร์-ทิฆัมพร ฤทธิ์ธาอภินันท์” ให้แก่ลูกบ้านครอบครัวแสนสิริ เพื่อส่งมอบความห่วงใยในช่วงเวลาที่ทุกคนอยู่บ้าน เริ่มต้นที่ สิริ เพลส อณาสิริ และ เดอะ เบส   นอกจากนี้ แสนสิริยังได้มอบสิทธิพิเศษแก่ลูกค้าชาเม่ กับโปรโมชั่น On Top เมื่อจองโครงการแสนสิริรับส่วนลดสูงสุด 500,000 บาท สำหรับบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม  รวมกว่า 50 โครงการ เริ่ม 1.99-20 ล้าน* และคอนโดมิเนียม ฟรี! ค่าส่วนกลางเพิ่ม 1 ปี ทุกโครงการพร้อมอยู่ โดยแสนสิริ ยังมี แคมเปญ “แสนสิริ ผ่อนให้ สูงสุดถึง 24 เดือน”* ที่บ้านเดี่ยวทาวน์โฮม และคอนโดฯ พร้อมอยู่ 62 โครงการ  เริ่มต้นเพียง 990,000 บาท พร้อมฟรีค่าโอนและค่าจดจำนอง ฟรีค่าส่วนกลาง  พร้อมโปรโมชั่นในทุกโครงการ   จากวิสัยทัศน์ Speed-to-market และคิดนอกกรอบ แสนสิริ สร้างเซอร์ไพรส์ใหม่ให้แก่วงการอสังหาฯ ในแบบที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะมาร่วมมือกันได้ สำหรับการจับมือกับพันธมิตรรายล่าสุด “ชาเม่” ซึ่งเป็นธุรกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็วในตลาด Mass และ Premium mass นับเป็นการข้ามวงการอสังหาฯ–สุขภาพและความงาม  โดยนำผลิตภัณฑ์สุขภาพและความงาม สู่การสร้างประสบการณ์การอยู่อาศัย (Living Experience) ตอบโจทย์กระแสคนรักสุขภาพและ Well-Being มากขึ้น รุกเจาะฐานการตลาดลูกค้าระดับแมส เซ็กเมนต์ เรียลดีมานด์ที่แท้จริง ผ่านแบรนด์และฐานการตลาดที่แข็งแกร่งของชาเม่   นอกจากนี้ ถือเป็นการต่อยอดยุทธศาสตร์ของบริษัทฯ ในปีนี้ ภายใต้ “Made for Life…Made for Everyone” สู่การเป็นแบรนด์ที่ทุกคนเข้าถึงได้ เพื่อสร้างภาพแบรนด์ที่จับต้องง่ายขึ้น โดยสร้างเซอร์ไพรส์ความแปลกใหม่ส่งเสริมสีสันการทำการตลาด ให้แสนสิริ สร้างการรับรู้และจดจำ แก่กลุ่มฐานลูกค้าระดับแมสได้มากขึ้น ควบคู่กับการทำแคมเปญการตลาดของแสนสิริร่วมกัน   ในปีที่ผ่านมา แสนสิริ สร้างยอดขายโครงการระดับ Mass segment รวมมูลค่ากว่า 8,700 ล้านบาท และมุ่งมั่นเดินหน้า​สู่การเป็นผู้นำตลาดแนวราบใน 3 ปี ผ่านกลยุทธ์ที่มุ่งพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยคุณภาพ ครอบคลุมความต้องการที่หลากหลาย ทั้งการโฟกัสในตลาดกลุ่มใหญ่ที่มีดีมานต์ (Mass Market) ด้วยการพัฒนาโครงการภายใต้แบรนด์ สิริ เพลส อณาสิริ และ สราญสิริ เจาะกลุ่มเรียล ดีมานต์ และคนที่อยากมีบ้านหลังแรก   นางอรุณภรณ์  กล่าวอีกว่า  ยังใช้กลยุทธ์ Multi-Channel ซื้อขายครบในทุกช่องทาง ซื้อและเยี่ยมชมโครงการง่ายแค่ปลายนิ้ว ด้วยศักยภาพของตลาดอสังหาฯ ระดับ Mass Market  ที่มีดีมานด์เฉลี่ยปีละสูงถึง 250,000 ล้านบาท จึงทำให้แสนสิริ มองเห็นโอกาสในการรุกขยายฐานลูกค้าเพื่อช่วงชิงสัดส่วนการตลาดที่เพิ่มขึ้น เพื่อมุ่งสู่เป้ายอดขายโครงการแนวราบ 15,900 ล้านบาท และเป้ายอดโอน 15,400 ล้านบาทภายในสิ้นปีนี้   ทั้งนี้ แสนสิริ มีแผนเปิดตัวโครงการแนวราบในปี 2563 ทั้งหมด 12 โครงการ รวมมูลค่า 15,200 ล้านบาท แบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 6 โครงการ มูลค่ารวม 8,600 ล้านบาท ทาวน์โฮมและมิกซ์โปรเจคต์อีก 6  โครงการ มูลค่ารวม 6,600 ล้านบาท และมิกซ์โปรดักส์อีก 1 โครงการ   จากข้อมูลการศึกษาพฤติกรรมของตลาดแมส เซ็กเมนท์พบว่า โมเดลธุรกิจของแบรนด์สุขภาพและความงามนั้นมีอัตราการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในทุกๆปี ซึ่งเทรนด์คนรักสุขภาพและความงามจะกลายเป็นอีกหนึ่ง New Normal ช่วงหลังไวรัสโควิด ปัจจุบัน แบรนด์ ชาเม่ มีกลุ่มฐานลูกค้ากว่า 7,000,000 ราย ทั่วประเทศ แสนสิริ เตรียมวางแผนและออกแบบกลยุทธ์การตลาดรูปแบบใหม่เพื่อสร้างเซอร์ไพรส์ที่เคยไม่มีก่อนในเมืองไทย ผ่านการสร้างประสบการณ์และกิจกรรมการตลาดหรือแคมเปญการตลาดใหม่ๆ เอาใจคนรักสุขภาพและความงามขยายฐานการตลาดเจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ร่วมกับชาเม่   นางอรุณภรณ์   กล่าวเพิ่มเติมว่า ได้วางแผนทำการตลาดและสร้างยอดขายในไตรมาส 2 ให้ได้ตามเป้าที่วางไว้ 12,000 ล้านบาท ผ่านช่องทางการขายใหม่ ในทุกช่องทางการตลาด ครอบคลุมการสื่อสารทั้ง Omni-Channel และทุก Touch points ซึ่งแบรนด์ ชาเม่  จะกลายเป็นกลยุทธ์หัวหอกสำคัญทางการตลาด ควบคู่กับการทำแคมเปญการตลาด และโปรโมชั่นของแสนสิริร่วมกัน รวมถึงพริวิเล็จใหม่ๆ สำหรับครอบครัวแสนสิริ แฟมิลี่ กว่า 100,000 ครอบครัว   ด้านนางสาวนันท์ฐณิชา ศิริปรีดาวัชร์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ชาร์มมิ่ง เวิลด์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงามภายใต้แบรนด์ชาเม่ กล่าวว่า   ความร่วมมือกันในครั้งนี้ จะช่วยเสริมแกร่ง และขยายฐานการตลาดให้กับชาเม่ได้มากขึ้น ผ่านกิจกรรมทางการตลาดใหม่ๆ   ชาเม่ มองว่าเรื่องสุขภาพเป็นเรื่องใกล้ตัว ประกอบกับไลฟสไตล์ของคนในปัจจุบันที่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากขึ้น เนื่องด้วยปัญหาสภาวะแวดล้อมต่างๆ จึงทำให้การมีสุขภาพที่ดีเป็นหนึ่งในสิ่งที่ผู้บริโภคล้วนต้องการ            
ชาญอิสสระ จัดแคมเปญ หุ้นแลกคอนโด เอาใจนักลงทุน

ชาญอิสสระ จัดแคมเปญ หุ้นแลกคอนโด เอาใจนักลงทุน

ชาญอิสสระออกแคมเปญใหม่ “หุ้นแลกคอนโด” เปลี่ยนการลงทุนจากตลาดหุ้นมาลงทุนในตลาดอสังหาฯ  เอาใจนักลงทุนช่วงตลาดหุ้นผันผวน  ลดความเสี่ยงกระจายพอร์ตการลงทุน  มั่นใจตลาดอสังหาฯ มีแนวโน้มความต้องการ  ที่ดินปรับราคาสูงขึ้น     นายสงกรานต์ อิสสระ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ CI เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ออกแคมเปญส่งเสริมการขาย “หุ้นแลกคอนโด” ขึ้นมา เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้กับนักลงทุน ที่ต้องการปรับเปลี่ยนพอร์ตการลงทุนเป็นอสังหาริมทรัพย์แทน หลังจากได้เผชิญกับความผันผวนของตลาดหุ้น ในช่วงเกิดเหตุการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด – 19  และช่วยให้นักลงทุนที่ต้องการซื้อห้องชุดได้มี ทางเลือกในการจ่ายเงินด้วยหุ้นแทน “แคมเปญ หุ้นแลกคอนโด นี้ นักลงทุนสามารถนำหุ้นของท่านที่มีการซื้อขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่ง ประเทศไทย มาแลกซื้อคอนโดมิเนียมของเราที่ร่วมในแคมเปญนี้ได้เลย  ซึ่งนับเป็นอีกทางเลือกหนึ่งให้กับนักลงทุนที่ ต้องการจะกระจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุน จากความผันผวนของตลาดหุ้นเป็นการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่มี แนวโน้มในเชิงบวกทั้งด้านความต้องการและมูลค่าที่ดินที่เพิ่มขึ้น”       สำหรับโครงการที่บริษัทได้นำมาร่วมในแคมเปญ “หุ้นแลกคอนโด” ทั้งในกรุงเทพฯ  และ ต่างจังหวัด มีราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 2 ล้านบาทขึ้นไป ประกอบด้วย 4 โครงการ  คือ 1.โครงการคอนโดมิเนียมตากอากาศบ้านทิวทะเล บลู แซฟไฟร์ (Blue Sapphire)  โลว์ไรส์ และไฮไรส์ คอนโดมิเนียม 4 ชั้น 2 อาคาร และ 15 ชั้น 1 อาคาร พร้อมทั้ง Clubhouse อยู่หน้าหาด   2.โครงการคอนโดมิเนียมตากอากาศบลู (blu) ไฮไรส์ คอนโดมิเนียมสูง 21 ชั้น ซึ่งทั้ง 2 โครงการนี้อยู่ภายใต้อาณาจักทิวทะเลเอสเตทชะอำ – หัวหิน โครงการมิกส์ยูส (Mixed-use) ที่มีทั้งคอนโดมิเนียมตากอากาศ โรงแรม บ้านเดี่ยว (Residence Villa) ร้านอาหาร และ คอมมูนิตี้   3.โครงการคอนโดมิเนียมพักอาศัย ดิ อิสสระ เชียงใหม่ ตั้งอยู่ใน อ.เมือง จ.เชียงใหม่ โลวไรส์คอนโดมิเนียม 7 ชั้น 2 อาคาร   4.โครงการคอนโดมิเนียมพักอาศัย อิซซี่ คอนโด สุขสวัสดิ์ กรุงเทพมหานคร ไฮไรส์คอนโดมิเนียม 24 ชั้น   โดยโครงการที่เข้าร่วมแคมเปญ "หุ้นแลกคอนโด" ครั้งนี้ เป็นโครงการที่สร้างเสร็จเรียบร้อยพร้อมโอนและสามารถเข้าอยู่ได้ทันที และเริ่มแคมเปญตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม – 30 มิถุนายน 2563
เผยบทวิเคราะห์ ดัชนีราคาที่อยู่อาศัยใหม่ ท่ามกลางวิกฤตโควิด-19

เผยบทวิเคราะห์ ดัชนีราคาที่อยู่อาศัยใหม่ ท่ามกลางวิกฤตโควิด-19

ปีนี้ต้องยอมรับว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ เหนื่อยสุดเพราะเจอผลกระทบจากปัจจัยลบสารพัด โดยเฉพาะปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และยังมีปัจจัยลบก่อนหน้าที่กระทบต่อตลาดอสังหาฯ อย่างมาก คือ มาตรการ LTV เพราะทำให้กำลังซื้อลดลง กลุ่มนักลงทุนหายออกจากตลาด     ผลกระทบที่มีต่อตลาดอสังหาฯ อย่างมากในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ ได้ส่งผลต่อราคาอสังหาฯ ไม่ว่าจะเป็นบ้าน ทาวน์เฮ้าส์ หรือคอนโดมิเนียมอย่างไรบ้างนั้น คงต้องอ่านบทวิเคราะห์จากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เพราะหากประเมินจากสถานการณ์ปัจจุบัน ดูเหมือนว่าความต้องการที่อยู่อาศัยจะลดน้อยลง และช่วงที่ผ่านมาเห็นการจัดโปรโมชั่น การทำตลาดด้วยกลยุทธ์ลด แลก แจก แถมมากมาย เพื่อกระตุ้นยอดขายต่างๆ บางรายออกมาลดราคาห้องชุดคอนโดฯ​ มากถึง 50% ซึ่งในความเป็นจริงราคาที่อยู่อาศัยในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมาเป็นอย่างไร ต้องลองอ่านบทวิเคราะห์ของศูนย์ข้อมูลฯ ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ หรือ REIC  เปิดเผยว่า  ได้จัดทำรายงานดัชนีราคา ที่อยู่อาศัยใหม่ ที่อยู่ระหว่างการขาย ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ไตรมาส 1 ปี 2563 พบว่า ดัชนีราคาบ้านจัดสรรใหม่ที่อยู่ระหว่างการขาย มีการขยายตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่ดัชนีราคาห้องชุดคอนโดมิเนียม ที่อยู่ระหว่างการขาย ไตรมาส 1 ปี 2563 ขยายตัวต่ำสุดนับจากปี 2555 ที่เริ่มจัดทำดัชนีห้องชุดคอนโดฯ บ้านจัดสรรใหม่ราคายังเพิ่มฝ่าปัจจัยลบ สำหรับดัชนีราคาบ้านจัดสรรใหม่ที่อยู่ระหว่างการขาย ทั้งบ้านเดี่ยว และทาวน์เฮ้าส์ ในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา มีการขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยมีค่าดัชนีเท่ากับ 128.4 จุด เพิ่มขึ้น 2.6% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) และเพิ่มขึ้น 0.6% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) ในพื้นที่กรุงเทพฯ มีค่าดัชนีเท่ากับ 127.4 จุด เพิ่มขึ้น  2.4% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) และเพิ่มขึ้น 0.6% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) ส่วนในพื้นที่จังหวัดปริมณฑล มีค่าดัชนีเท่ากับ 129.2 จุด เพิ่มขึ้น 2.8% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) และเพิ่มขึ้น 0.7% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ)   ราคาที่อยู่อาศัยแนวราบทั้งบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ยังมีการปรับราคาเพิ่มขึ้น  ถึงแม้ว่าตลาดที่อยู่อาศัย แนวราบจะประสบกับปัจจัยลบรุมเร้ามากกว่าปัจจัยบวก ทั้งทางเศรษฐกิจและโรคระบาดจากไวรัส COVID-19 เนื่องจากต้นทุนในการพัฒนาที่อยู่อาศัยแนวราบ ทั้งราคาที่ดิน ราคาวัสดุและค่าแรงในการก่อสร้าง  ประกอบกับที่อยู่อาศัยแนวราบ เป็นมีผู้ต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงมากกว่าการซื้อเพื่อลงทุน จึงส่งผลให้มีความต้องการที่อยู่อาศัยประเภทนี้ซึ่งมีอยู่มาก ทาให้ราคายังคงมีการปรับตัวเพิ่ม แต่ในอัตราที่น้อยตามสถานการณ์ ตลาดที่อยู่อาศัยในปัจจุบัน สำหรับ ดัชนีราคาบ้านเดี่ยวในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ไตรมาส 1 ปี 2563 มีค่าดัชนีเท่ากับ 126.7 จุด เพิ่มขึ้น 2.9% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) และเพิ่มขึ้น 0.7% เมื่อเทียบกับไตรมาส ก่อนหน้า (QoQ)  แต่หากพิจารณาแยกพื้นที่ จะพบว่า ในพื้นที่กรุงเทพฯ มีค่าดัชนีเท่ากับ 126.3 จุด เพิ่มขึ้น 2.9% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของ ปีก่อน (YoY) และเพิ่มขึ้น 0.9% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) ส่วนพื้นที่ปริมณฑล มีค่าดัชนีเท่ากับ 126.8 จุด เพิ่มขึ้น 3.0% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) และเพิ่มขึ้น 0.6% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ)   ขณะที่ดัชนีราคาทาวน์เฮ้าส์ ในกรุงเทพฯ – ปริมณฑล ไตรมาส 1 ปี 2563 มีค่าดัชนีเท่ากับ 130.3 จุด เพิ่มขึ้น 2.3% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) และเพิ่มขึ้น  0.6% เมื่อเทียบกับ ไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) โดยเมื่อแบ่งพื้นที่กรุงเทพฯ มีค่าดัชนีเท่ากับ 128.5 จุด เพิ่มขึ้น  2.1% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกัน ของปีก่อน (YoY) และเพิ่มขึ้น 0.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ)  ส่วนพื้นที่จังหวัดปริมณฑล มีค่าดัชนีเท่ากับ 132.2 จุด เพิ่มขึ้น 2.6% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) และเพิ่มขึ้น 0.8%  เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) ดัชนีราคาคอนโดฯ ต่ำสุดรอบ 9 ปี ส่วนดัชนีราคาห้องชุดคอนโดฯ ใหม่  ที่อยู่ระหว่างการขาย พบว่ามีค่าดัชนีเท่ากับ 153.4 จุด เพิ่มขึ้นเพียง 2.7% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2555 ซึ่งเป็นปีที่มีการริเริ่มจัดทำดัชนี แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) พบว่า ดัชนีมีอัตราการขยายตัวที่ลดลงเป็นไตรมาสแรก 0.3%   ทั้งนี้ ตลาดที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดฯ  ได้รับผลกระทบเชิงลบมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2562 ตั้งแต่การประกาศใช้มาตรการ LTV ภาวะสงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐอเมริกา และล่าสุดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ที่มีผลกระทบรุนแรง และฉุดกำลังซื้อห้องชุดคอนโดฯ ให้ลดลงอย่างรวดเร็วในไตรมาสแรกนี้ ทั้งกำลังซื้อคนไทยและคนต่างชาติ  โดยเฉพาะชาวจีนซึ่งเป็นกลุ่มคนต่างชาติ ที่เป็นผู้ซื้อหลักของตลาดคอนโดฯ ในกรุงเทพฯ – ปริมณฑล งัดโปรโมชั่นระบายสต็อกคอนโดฯ จากราคาคอนโดฯ​ ที่ลดต่ำลงในรอบหลายปี  ทำให้ผู้ประกอบการ อัดโปรโมชั่นพร้อมจัดรายการส่งเสริมการขายห้องชุดคอนโดฯ ที่อยู่ระหว่างการขายในไตรมาสนี้ ส่วนใหญ่เป็นการลดราคาขายให้กับ ลูกค้าเป็นส่วนลดเงินสด ซึ่งมีสัดส่วนมากถึง  41.8% รองลงมาเป็นกลยุทธ์การเร่งรัดการตัดสินใจของผู้ซื้อด้วยของแถมสัดส่วน 40.9%  เช่น เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ฯลฯ และการช่วยผู้ซื้อจ่ายค่าใช้จ่ายในวันโอนกรรมสิทธิ์ด้วยสัดส่วน 17.3%   สำหรับรายการส่งเสริมการขายโครงการบ้านจัดสรรใหม่ที่อยู่ระหว่างการขายในไตรมาสนี้ส่วนใหญ่  41.5% จะช่วยผู้ซื้อจ่ายค่าใช้จ่ายในวันโอนกรรมสิทธิ์ และ/หรือ ฟรีค่าส่วนกลาง รองลงมา  41.2% เสนอของแถม เช่น เครื่องปรับอากาศ เฟอร์นิเจอร์ ผ้าม่าน ปั๊มน้า แท้งก์น้า ฯลฯ และ  17.3% จะให้เป็นส่วนลดเงินสด ในขณะที่ไตรมาส 4 ปี 2562 ส่วนใหญ่  41.0% จะช่วยผู้ซื้อจ่ายค่าใช้จ่ายในวันโอนกรรมสิทธิ์ และ/หรือ ฟรีค่าส่วนกลาง รองลงมา  39.1% เสนอของแถม เช่น เครื่องปรับอากาศ เฟอร์นิเจอร์ ผ้าม่าน ปั๊มน้า แท้งก์น้า ฯลฯ และ  19.9%  จะให้เป็นส่วนลดเงินสด    
PF เตรียมรุกการตลาดเต็มรูปแบบ ดีเดย์ 1 พ.ค.นี้ รับสถานการณ์โควิด-19 ดีขึ้น

PF เตรียมรุกการตลาดเต็มรูปแบบ ดีเดย์ 1 พ.ค.นี้ รับสถานการณ์โควิด-19 ดีขึ้น

พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค เตรียมแผนรุกทำการตลาดเต็มรูปแบบ เริ่ม 1 พฤษภาคมนี้ หลังสถานการณ์ โควิด-19 มีแนวโน้มดีขึ้น เปิดแนวโน้มผลงานไตรมาสแรกคาดว่ามียอดโอน 2,900 ล้านบาท ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ และยังจะมีรายได้ต่อเนื่องเข้ามาในเดือนเมษายน พร้อมเตรียมวงเงินไว้แล้วเพื่อชำระคืนหุ้นกู้ที่ครบกำหนดไถ่ถอนมิถุนายนนี้   นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) หรือ PF เปิดเผยว่า แม้ว่าสถานการณ์แพร่ระบาดอย่างรุนแรงของไวรัสโคโรนา เป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมในไตรมาสแรกของปี อย่างไรก็ดี ผลการดำเนินงานของบริษัทไตรมาสแรกของปีนี้  มีแนวโน้มไปในทิศทางที่ดีกว่าที่ประมาณการไว้   คาดว่าจะมียอดโอนกรรมสิทธิ์บ้านและคอนโดประมาณ 2,900 ล้านบาท  ลดลงประมาณ 22% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่ผ่านมาซึ่งทำได้ 3,733 ล้านบาท   สำหรับภาพรวมในไตรมาสแรกบริษัทมียอดโอนเพิ่มขึ้นทุกเดือน และคาดว่าในเดือนเมษายนยังจะมียอดโอนเพิ่มอย่างต่อเนื่อง เพราะแม้ว่าเดือนเมษายนจะมีมาตรการล็อคดาวน์ แต่บริษัทยังสามารถทำยอดขายได้เป็นที่น่าพอใจ จากการเน้นย้ำในมาตรการป้องกัน  การดูแลลูกค้าให้ปลอดภัยและสะดวกสบายในช่วงที่มีการระบาดของไวรัส อาทิ การเปิดจุดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคราคาพิเศษในสโมสร ดำเนินการโดยออลล์ดี เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อจากการไปจับจ่ายในห้างสรรพสินค้า การมอบประกันโควิด-19 ให้กับลูกค้า การทำความสะอาดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อในพื้นที่ส่วนกลางทั้งหมด การตรวจคัดกรองบุคคลเข้าโครงการ เป็นต้น "ภาพรวมโครงการยังได้รับการตอบรับอย่างดีจากลูกค้า เพราะสินค้าของบริษัทสามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้ทุกกลุ่ม โดยมีเรื่องของทำเลที่ตั้งเป็นจุดแข็ง ทั้งในโซนตะวันออกและตะวันตกของกรุงเทพ รวมทั้งเรื่องของพื้นที่ส่วนกลางที่เป็นจุดขายหลักของบริษัท ซึ่งเรายังเดินหน้าตามแผนงานในการเปิดตัวแบบบ้านใหม่ และจะเพิ่มการพัฒนาสินค้าทั้งโครงการใหม่และในโครงการเดิม ให้รองรับกับพฤติกรรมผู้ซื้อบ้านที่คาดว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปเนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ด้วย”   โดยจากสถานการณ์โควิด-19 ที่มีแนวโน้มคลี่คลาย บริษัทจึงเตรียมเดินหน้าทำการตลาดเต็มรูปแบบอีกครั้งในเดือนพฤษภาคมนี้ ทั้งโครงการแนวราบและคอนโดมิเนียม แคมเปญที่ออกมาจะเน้นการช่วยผ่อนคลายความกังวลของลูกค้าที่มีความต้องการที่อยู่อาศัย แต่ยังไม่มั่นใจในผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อเนื่อง จากสถานการณ์โรคระบาด โดยจัดทำแคมเปญ “อยู่ฟรีสูงสุด 30 เดือน” ในกลุ่มโครงการคอนโดมิเนียม ซึ่งบริษัทจะช่วยผ่อนเงินต้นและดอกเบี้ยให้แทนลูกค้าสูงสุด 30 เดือนแรก และมีส่วนลดให้อีกสูงสุด 2 ล้านบาท ส่สนโครงการแนวราบจะมีแคมเปญ “ปลอดดอก ออกต้น” ที่จะช่วยให้ลูกค้าคลายกังวลเรื่องการซื้อบ้าน ด้วยการปลอดดอกเบี้ยนาน 1 ปี  มี Cashback เพื่อใช้สำหรับผ่อนเงินต้นได้อย่างสบายอีก 50,000-500,000 บาท ขึ้นกับระดับราคาบ้าน และผ่อนต่ำสุดเพียงล้านละ 1,000 บาทในปีแรก และล้านละ 2,000 บาทในปีที่ 2  ซึ่งจะช่วยลดภาระการผ่อน ทำให้เกิดความมั่นใจในการซื้อที่อยู่อาศัยในสถานการณ์ที่เป็นอยู่ ณ ปัจจุบัน นอกจากนี้บริษัทยังตระหนักถึงความทุ่มเทเสียสละของบุคลากรทางการแพทย์ ในการรักษาและควบคุมการระบาดของไวรัสตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา  เพื่อเป็นการขอบคุณจึงได้มีส่วนลดท็อปอัพ เพิ่มเติมจากแคมเปญให้ในทุกยูนิตทุกโครงการอีกด้วย   สำหรับเดือนมิถุนายนนี้ บริษัทยังได้เตรียมความพร้อมในการชำระคืนหุ้นกู้ที่ครบกำหนดไถ่ถอน  โดยบริษัทมีหุ้นกู้ที่ต้องชำระคืน มูลค่า 1,450 ล้านบาท ซึ่งได้เตรียมสำรองเงินสดเพื่อรองรับไว้ก่อนหน้าแล้ว  สำหรับไตรมาส 3-4 บริษัทมีหุ้นกู้ที่ครบกำหนดไถ่ถอน จำนวน 2 ชุด มูลค่ารวม 1,635.1 ล้านบาท ซึ่งบริษัทมีแผนการจัดเตรียมวงเงินไว้รองรับการไถ่ถอนตามกำหนดไว้แล้วเช่นกัน
LPN Wisdom คาดการณ์ที่อยู่อาศัยปี 63 เปิดโปรเจ็กต์ใหม่ติดลมากสุด 70%

LPN Wisdom คาดการณ์ที่อยู่อาศัยปี 63 เปิดโปรเจ็กต์ใหม่ติดลมากสุด 70%

LPN Wisdom ประเมินพิษโควิด-19 ทุบดีเวลลอปเปอร์เปิดตัวโครงการใหม่ปี 2563 ติดลบ 30-70% สาเหตุจากกำลังซื้อที่ลดลง  ความไม่แน่นอนในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย   นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลุมพีนี วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด (LPN Wisdom) บริษัทวิจัยและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือ แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ กรุ๊ป เปิดเผยว่า ตั้งแต่เดือนมกราคมจนถึงปัจจุบัน การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเติบโตของเศรษฐกิจของประเทศ โดยล่าสุด ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้มีการปรับประมาณการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไทย จากที่คาดว่าจะเติบโตในอัตรา 2.8% ลงมาอยู่ที่ติดลบ 5.3%  (ยังไม่รวมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่จะออกมา) การชะลอตัวของเศรษฐกิจ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อกำลังซื้อภายในประเทศ และการเติบโตของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ทำให้แนวโน้มการเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ ของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ในปี 2563  มีแนวโน้มลดลง ทำให้  LPN Wisdom ปรับการคาดการณ์แนวโน้มการเปิดตัวโครงการใหม่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่คาดว่าจะปรับตัวลดลง 6% มาอยู่ที่ปรับตัวลดลง 30 – 70% ขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยแบ่งแนวทางการศึกษาไว้ 3 แนวทาง กล่าวคือ 1.สถานการณ์ คลี่คลายในไตรมาส 2 ปี 2563 กรณีที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 คลี่คลายลงในไตรมาส 2 ของปี 2563 เศรษฐกิจฟื้นตัวในไตรมาส 3 ของปี  2563 LPN Wisdom คาดว่าจำนวนการเปิดตัวโครงการใหม่ในปี 2563 จะอยู่ที่ 70,000-75,000 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 250,000-270,000 ล้านบาท หรือลดลง  30-35% เมื่อเทียบกับปี 2562 2.สถานการณ์ คลี่คลายในไตรมาส 3 ปี 2563 กรณีที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 มีแนวโน้มดีขึ้นในไตรมาส 3 ของปี 2563 เศรษฐกิจฟื้นตัวในไตรมาส 4 ของปี 2563  LPN Wisdom คาดว่าจำนวนการเปิดตัวโครงการใหม่ในปี 2563 จะอยู่ที่ 50,000-55,000 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 175,000-190,000 ล้านบาท หรือลดลง 50-55% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปี 2562 3.สถานการณ์ ยืดเยื้อถึงสิ้นปี 2563 กรณีที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ยืดเยื้อไปจนถึงสิ้นปี 2563 LPN Wisdom คาดว่าในปี 2563 จะมีจำนวนที่อยู่อาศัยเปิดใหม่ 35,000-40,000 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 120,000-135,000 ล้านบาท หรือลดลง 65-70% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปี 2562 ในขณะที่ไตรมาสแรกของปี 2563 บริษัทอสังหาริมทรัพย์ มีการเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งสิ้น 66 โครงการลดลง 23% จากการเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 86 โครงการในปี 2562 คิดเป็นจำนวนยูนิตที่เปิดใหม่ในไตรมาสแรกของปี 2563 17,180 ยูนิต ลดลง 38% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปี 2562 คิดเป็นมูลค่าโครงการเปิดใหม่ในไตรมาสแรกของปี 2563 จำนวน 61,950 ล้านบาท ลดลง 27% เมื่อเทียบกับมูลค่าการเปิดโครงการใหม่ 86,359 ล้านบาทในไตรมาสแรกของปี 2562   ทิศทางการเปิดตัวโครงการใหม่ของผู้ประกอบการอสังหาฯ ในไตรมาสแรกของปี 2563 เน้นการเปิดตัวโครงการในแนวราบเป็นหลัก ทำให้มีจำนวนการเปิดตัวที่อยู่อาศัยในแนวราบทั้งบ้านเดียว บ้านแฝด และทาวน์เฮ้าส์ 8,630 ยูนิต ในไตรมาสแรกปี 2563  เพิ่มขึ้น 11% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปี 2562 ขณะที่การเปิดตัวอาคารชุดในไตรมาสแรกของปี 2563 มีจำนวนทั้งสิ้น 8,512 ยูนิต หรือ ลดลง 56% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปี 2562   ทำเลที่มีการเปิดตัวโครงการอาคารชุดในไตรมาสแรกของปี 2563 อยู่ในแนวรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (circle line) ที่มีการเดินรถเชื่อมต่อกันเมื่อปลายปี 2562  และ ตามแนวรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ลาดพร้าว-ศรีนครินทร์-สำโรง ที่จะเปิดใช้งานปี 2564 ขณะที่แนวราบจะอยู่ในย่านรังสิต-ปทุมธานี และบางนา-ศรีนครินทร์ เนื่องจากเป็นทำเลที่มีเส้นทางคมนาคมได้สะดวก การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้ผู้ประกอบการต้องระมัดระวังในการเปิดตัวโครงการใหม่ เนื่องจากมีข้อจำกัดในการดำเนินธุรกิจภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน อย่างไรก็ตามในช่วงที่ผ่านมาผู้ประกอบการ  มีการปรับกลยุทธ์การขายโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เข้ามาช่วยในการสื่อสารการตลาดและการขายมากขึ้น เป็นการสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ให้กับผู้ประกอบการที่น่าสนใจ ถ้ากลยุทธ์ดังกล่าวได้รับการตอบรับที่ดีจากตลาด ก็จะเป็นการเปลี่ยนกลยุทธ์การขายของผู้ประกอบการในช่วงวิกฤติ  และอาจจะมีส่วนทำให้ความมั่นใจของผู้ประกอบการในการเปิดตัวโครงการใหม่ดีขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องจับตามอง