Tag : News

2400 ผลลัพธ์
พัทยา โอกาสทางตลาด “บ้านหลังที่ 2” แหล่งหลบภัยสังคมไฮเอนด์

พัทยา โอกาสทางตลาด “บ้านหลังที่ 2” แหล่งหลบภัยสังคมไฮเอนด์

ในบรรดาเมืองชายทะเล สำหรับเป็นสถานที่พักตากอากาศของไทยยอดนิยม หนึ่งในนั้นต้องมี “เมืองพัทยา” ติดอยู่ในลำดับต้น ๆ โดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวของคนที่อยู่ในจังหวัดกรุงเทพฯ และปริมณฑล เพราะสามารถเดินทางได้สะดวก รวดเร็ว ที่สำคัญเมืองพัทยามีความครบถ้วนของสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ หรือวันหยุดยาวผู้คนจำนวนมากจึงเดินทางมาพักผ่อนและท่องเที่ยว   เมืองพัทยาไม่ได้มีความสำคัญเฉพาะด้านการท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ยังมีความสำคัญในการเป็นที่อยู่อาศัยระยะยาว ทั้งกลุ่มผู้เกษียณอายุ หรือผู้ที่ต้องการที่พักผ่อน  แม้แต่เป็นสถานที่หลบภัยชั่วคราว อย่ากรณีน้ำท่วมใหญ่ในพื้นที่กรุงเทพฯ​ ช่วงปี 2554 ซึ่งมีหลายครอบครัวเลือกจะมาพักอาศัยหนีน้ำท่วม  เรียกได้ว่า เมืองพัทยากลายเป็นบ้านหลังที่ 2 ของหลายครอบครัวไปแล้ว   นายณพงศ์ ปริพนธ์พจนพิสุทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วงน้ำท่วมใหญ่กรุงเทพฯ ปี 2554 พบว่ามีกลุ่มลูกค้าของบริษัท ได้อพยพมาพักอาศัยที่โครงการโอเชี่ยน พอร์โตฟิโน่ จอมเทียน-พัทยา เป็นจำนวนมาก เพราะไม่มีปัญหาน้ำท่วม ขณะที่ปัจจุบันเกิดปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งทำให้ไม่สามารถเดินทางท่องเที่ยวไปในต่างประเทศได้ กลุ่มลูกค้าระดับไฮเอนด์จึงเลือกที่จะมาพักอาศัยอยู่ที่พัทยาแทน ส่งผลให้ตลาดคอนโดมิเนียมลักชัวรี่มีอัตราการเติบโตเพิ่มมากขึ้น และถูกใช้เป็นบ้านหลังที่ 2 มากขึ้นด้วย โดยโครงการโอเชี่ยน พอร์โตฟิโน่ จอมเทียน-พัทยา เป็นโครงการคอนโดมิเนียมไฮไรส์ สูง 37 ชั้น มีจำนวน 268 ยูนิต บนเนื้อที่กว่า 120 ไร่ มูลค่า 3,000 ล้านบาท ปัจจุบันเหลือขายประมาณ 30 ยูนิต ซึ่งช่วงหลังจากมาตรการล็อคดาวน์ พบว่ากลุ่มลูกค้าให้ความสนใจในการซื้อคอนโดไว้สำหรับเป็นบ้านที่ 2 กันมากขึ้น เฉพาะเดือนที่ผ่านมาสามารถทำยอดขายได้ถึง 120 ล้านบาท ภายในระยะเวลาเพียง 1 สัปดาห์เท่านั้น  เนื่องจากกลุ่มลูกค้าต้องการซื้อเพื่อใช้เป็นบ้านหลังที่ 2 เพราะส่วนใหญ่จะซื้อห้องที่มีขนาดใหญ่ ตั้งแต่ 2 ห้องนอนขึ้นไป จากปกติมียอดขายเฉลี่ยเดือนละ 1-2 ห้องเท่านั้น   ปัญหาน้ำท่วมใหญ่ ปัญหาฝุ่น PM 2.5 และไวรัสโควิด-19 ทำให้คนทั่วไปมีการวางแผนสำรอง รับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่ไม่คาดคิดจะเกิดขึ้น จึงหาซื้อบ้านหลังที่สองไว้พัก อสังหาฯ ทั่วไปไม่ค่อยดี แต่กลุ่มไฮเอนด์ยังเติบโตได้ดี นายณพงศ์  กล่าวอีกว่า  ไม่เพียงแต่กลุ่มลูกค้าชาวไทยเท่านั้น ที่วางแผนมีบ้านหลังที่สอง เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอน แต่ชาวต่างชาติยังวางแผนสำรองลักษณะเดียวกันด้วย โดยมองว่าประเทศไทย เป็นประเทศที่มีศักยภาพด้านความปลอดภัยสูง โดยเห็นได้จากการรับมือกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19  จึงมองว่าประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางในการเข้ามาพักระยะยาว โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าชาวจีน และยุโรป  ซึ่งเห็นได้จากโครงการโอเชียนฯ มีลูกค้าที่พักอาศัยแบบระยะยาวมากถึง 20 ห้อง ทั้งลูกค้าชาวไทยและต่างชาติ ปัจจัยสำคัญที่ส่งเสริมให้เมืองพัทยา เป็นสถานที่การท่องเที่ยวและพักอาศัยในระยะยาวนั้น 1.การเดินทางสะดวกและรวดเร็ว ปัจจุบันการเดินทางมาเมืองพัทยา สามารถเดินทางได้โดยรถโดยสาร รถไฟ และรถส่วนตัว ซึ่งมีความสะดวกและรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางปกติหรือทางหลวงพิเศษ (มอเตอร์เวย์) ขณะที่ในอนาคตยังจะมีการพัฒนาเส้นทางทั้งถนน เส้นทางรถไฟ และการเปิดใช้สนามบินอู่ตะเภา ซึ่งยกระดับเป็นสนามบินนานาชาติเชิงพาณิชย์แห่งที่ 3 ของกรุงเทพฯ ซึ่งยังจะมีการพัฒนาเส้นทางรถไฟความเร็วสูง เชื่อมทั้งสนามบินสุวรรณภูมิ และดอนเมืองด้วย ทำให้การเดินทางมาเมืองพัทยาทั้งสะดวกและรวดเร็วกว่าเดิม 2.พื้นที่เมืองเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม เมืองพัทยามีความเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง เป็นเมืองที่มีบทบาทสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจ และยังเป็นเมืองอุตสาหกรรมสำคัญของประเทศ ส่งผลให้เศรษฐกิจของเมืองพัทยาเติบโตมาโดยตลอด จึงทำให้ราคาของที่อยู่อาศัยและอสังหาฯ เติบโตตามด้วย กลุ่มผู้ซื้ออสังหาฯ ส่วนหนึ่งจึงมองเรื่องโอกาสการเพิ่มขึ้นของราคาอสังหาฯ ในอนาคต ประกอบการพิจารณาเลือกซื้อด้วย 3.ที่ดินขึ้นโครงการใหม่มีจำกัด แม้ว่าที่ผ่ามาเมืองพัทยาจะมีการพัฒนาโครงการอสังหาฯ ออกมาจำนวนมาก แต่ปัจจุบันจะพบว่าตลาดเริ่มมีซัพพลายออกมาน้อย เนื่องจากที่ดินมีจำกัด โดยเฉพาะที่ดินบริเวณริมชายหาด ซึ่งปัจจุบันถูกจับจองจากผู้ประกอบการรายใหญ่ไว้หมดแล้ว โอกาสการพัฒนาโครงการใหม่ในทำเลศักยภาพจึงมีน้อยลงด้วย  การพัฒนาโครงการส่วนใหญ่ในระยะหลัง จึงขยายออกไปไกลกว่าบริเวณชายหาด   ข้อมูลจากคอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ระบุว่า ช่วงครึ่งแรกของปี 2563 มีโครงการคอนโดเปิดขายใหม่ในพื้นที่พัทยาเพียง 1 โครงการ จำนวน 319 ยูนิตเท่านั้น เพราะภาพรวมของตลาดคอนโดในพัทยายังคงมีจำนวนที่ก่อสร้างแล้วเสร็จก่อนหน้านี้เหลือขายอยู่ในตลาดพอสมควร บวกกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เกิดการชะลอตัว   ขณะที่ขนาดของคอนโดที่อยู่ระหว่างการขายในพื้นที่พัทยาทั้งหมด  พบว่ามีห้องชุดขนาดต่ำกว่า 50 ตร.ม.พัฒนาออกมามากสุดสัดส่วน 84.2% และขายไปแล้ว 66.3% ส่วนห้องชุดขนาดมากกว่า 100 ตร.ม.ขึ้นไปเหลือจำนวนแค่ 1% เท่านั้น ซึ่งพฤติกรรมของกลุ่มลูกค้าระดับไฮเอนด์จะเลือกซื้อห้องขนาดใหญ่ มากกว่าห้องขนาดเล็ก เพราะพักอาศัยแบบครอบครัว “โอเชี่ยน” เล็งปั้นโปรเจ็กต์พื้นที่ 100 ไร่ สำหรับพื้นที่บริเวณโครงการโอเชี่ยน พอร์โตฟิโน่ จอมเทียน-พัทยา ยังมีที่ดินเหลืออีกกว่า 100 ไร่ ​ ที่บริษัทสามารถนำมาพัฒนาโครงการใหม่ได้อย่างต่อเนื่อง ​ซึ่งคาดว่าน่าจะใช้ระยะเวลาพัฒนาประมาณ 2-3 ปี หลังจากคาดว่าโครงการโอเชี่ยน พอร์โตฟิโน่ จอมเทียน-พัทยา จะสามารถปิดการขายได้ภายในปีนี้   โดยโครงการใหม่ยังคงจับตลาดกลุ่มลักชัวรี่ เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง และเป็นกลุ่มลูกค้าที่มองหาบ้านหลังที่ 2 และไม่มีผลกระทบกับสภาพเศรษฐกิจ ขณะที่ตลาดระดับกลางลงล่าง ในราคา 1-3 ล้านบาท จะอ่อนไหวต่อสภาพเศรษฐกิจ และทำตลาดได้ยาก ซึ่งกลุ่มดังกล่าวมักเป็นลูกค้าที่ซื้อบ้านหลังแรก โดยส่วนใหญ่จะต้องขอวงเงินกู้จากสถาบันเป็นหลัก แต่หากเป็นกลุ่มลักชัวรี่ส่วนใหญ่จะซื้อด้วยเงินสด และไม่มีปัญหาด้านการกู้เงิน   มองจากปัจจัยต่าง ๆ ที่มีการเปลี่ยนแปลง สถานกาณ์ของโลกที่ไม่แน่นอน ทำให้เทรนด์การมีบ้านหลังที่สอง จะกลายเป็น New Normal หรือความปกติใหม่ของการปรับตัวของผู้คนในยุคปัจจุบัน ยุคที่ทุกคนต้องเจอกับความเสี่ยงที่มีมากขึ้น และจะกลายเป็นเทรนด์ที่เติบดตขึ้นในตลาดอสังหาฯ นับจากนี้    
1 ปี SANSIRI BACKYARD จากพื้นที่สีเขียว สู่สวนผักทานได้ ปลูกง่ายในบ้าน

1 ปี SANSIRI BACKYARD จากพื้นที่สีเขียว สู่สวนผักทานได้ ปลูกง่ายในบ้าน

แสนสิริ ต่อยอดโปรเจ็กต์ SANSIRI BACKYARD จากการปั้นพื้นที่ว่างเปล่าเป็นพื้นที่สีเขียว สู่สวนผักทานได้  กระตุ้นลูกบ้านกว่า 120,000 ครอบครัว หันมาดูแลตนเองใช้พื้นที่ว่างปลูกพืชผักไว้กินเอง แสนสิริ ได้เริ่มต้นวิสัยทัศน์ For Greater Well-being ที่ใส่ใจสุขภาพและสิ่งแวดล้อมเพื่อตอบโจทย์ความต้องการคุณภาพชีวิตที่ดีของคนเมือง จากการมองเห็นเทรนด์การใช้ชีวิตของผู้บริโภค ที่เปลี่ยนแปลงไปโดยเฉพาะเทรนด์การรักษ์โลก ด้วยการปลูกต้นไม้ไว้ในบ้านหรือห้องพักตามคอนโดมิเนียม จึงได้สานต่อวิสัยทัศน์ดังกล่าว เปิดตัว Sansiri Backyard (แสนสิริ แบคยาร์ด) คอมมูนิตี้สีเขียวในเมือง ซึ่งปัจจุบันโครงการดังกล่าวได้เดินทางมาครบ 1 ปีแล้ว   โครงการ Sansiri Backyard นำที่ดินรอการพัฒนาพื้นที่รวมกว่า 14 ไร่ ของ T77 บริเวณสุขุมวิท77 ให้เป็นฟาร์มผักปลอดสาร เพื่อกระตุ้นให้ผู้คนในเมืองใหญ่เห็นความสำคัญการใช้ชีวิตใกล้ชิดธรรมชาติและคุณภาพชีวิตที่ดีที่มาจากการทานอาหารสดใหม่ ปลอดสารและไม่ปรุงแต่ง  ซึ่งแสนสิริคาดหวังว่าโครงการนี้ จะช่วยจุดประกายและสร้างแรงบันดาลใจ ให้ผู้คนเริ่มต้นสร้างพื้นที่สีเขียวบนพื้นที่ว่างเปล่าใกล้ตัว และปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ทำให้เกิดคุณภาพชีวิตที่ดี ทั้งต่อตนเองและสิ่งแวดล้อมได้     ขณะที่ช่วงเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 สถานการณ์ดังกล่าวได้ส่งผลให้ผู้คนหันมาดูแลสุขภาพเชิงป้องกันเพิ่มมากขึ้น จากผลสำรวจของดุสิตโพลล่าสุดชี้ว่าประชากร 45.39% ปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์หันมาให้ความสำคัญกับการออกกำลังกาย และเลือกบริโภคอาหารปลอดภัย ด้วยความคิดที่ว่าการดูแลสุขภาพให้ดีอยู่เสมอจะช่วยป้องกันไวรัส และการบริโภคอาหารที่ปลอดภัยจะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันได้   นางจริยา จันทร์เจิดศักดิ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตลอด 1 ปีที่ผ่านมาโครงการ SANSIRI BACKYARD ภายใต้หลัก 3GS หรือ GREEN-GROW-GIVE นั้น ไม่ได้มองเฉพาะเรื่องของการให้ความร่มรื่นในที่อยู่อาศัยเท่านั้น แต่ต้องใช้พื้นที่ในบ้านให้เป็นประโยชน์ด้วยการเป็นแหล่งอาหารที่ปลอดภัยของครอบครัว จึงเกิดเป็นแนวคิด “SANSIRI BACKYARD: EAT-ABLE GARDEN (แสนสิริ แบคยาร์ด: อีท-เอเบิ้ล การ์เด้น) สวนผักทานได้ ปลูกง่ายในบ้าน” สนับสนุนให้ลูกบ้านใช้พื้นที่ว่างบางส่วน เช่นสวนหลังบ้านหรือริมระเบียงคอนโด มาทำสวนผักทานได้ และสามารถเป็นผู้ผลิตอาหารด้วยตัวเอง (FOOD PRODUCER)   โดย SANSIRI BACKYARD: EAT-ABLE GARDEN ได้จัดโชว์เคสในโชว์ยูนิต ทั้งโครงการบ้านและคอนโด ได้แก่ คาวะ เฮาส์ (kawa HAUS), อณาสิริ ชัยพฤกษ์–วงแหวนและอณาสิริ กรุงเทพ-ปทุมธานี ควบคู่ไปกับการจัดกิจกรรมสนับสนุนให้ลูกค้าและ SANSIRI FAMILY กว่า 120,000 ครอบครัว สามารถปลูกสวนผักทานได้ในบ้านให้เกิดขึ้นจริงภายใต้คอนเซ็ปต์ GREEN INSPIRE-GROW COMMUNITY-GIVE EXPERIENCE ตั้งแต่ ส่งมอบชุดปลูกผักทานได้ (EDIBLE PLANT KIT) แบ่งปันทิปส์เกี่ยวกับ EDIBLE PLANT ทั้งผัก สมุนไพรไทยและต่างประเทศ รวมถึงดอกไม้ และจัดป๊อปอัพสวนทานได้ รวมถึงไลน์อัพสิทธิพิเศษอีกมากมายจากไร่กำนันจุล, ท็อปส์ มาร์เก็ต  และวิลล่า มาร์เก็ต พร้อมผลักดัน ZTHEGARDEN หนึ่งในผู้ชนะจาก THE FOUNDER โปรเจคปั้นพนักงานสู่สตาร์ทอัพ เพื่อส่งมอบบริการจัดสวนทานได้ถึงที่พักอาศัย     ในครึ่งปีหลังของแสนสิริพร้อมเดินหน้าสานต่อความสำเร็จของ SANSIRI BACKYARD ทั้งบนพื้นที่ส่วนกลางและพื้นที่รอพัฒนาเป็นแหล่งอาหารของชุมชน ขยายพื้นที่สีเขียวรวมเป็น 17 ไร่ของ SANSIRI BACKYARD x CHUL FARM ที่ T77 COMMUNITY เพิ่มนาข้าวไรซ์เบอร์รี่ และเลี้ยงเป็ดในแปลงนา เพื่อกำจัดวัชพืช ศัตรูข้าว รวมทั้งเพิ่มปุ๋ยให้ต้นข้าว โดยอยู่ภายใต้การดูแลอย่างของไร่กำนันจุล หนึ่งใน CO-GROWING PARTNER พันธมิตรธุรกิจรักษ์โลกของแสนสิริ   พร้อมกันนี้ยังมีการเพิ่มลู่วิ่งออกกำลังกายความยาว 1.5 ก.ม. รอบโครงการ T77 COMMUNITY ที่ผ่านเข้าไปชมความอุดมสมบูรณ์ของ SANSIRI BACKYARD x CHUL FARM และงานศิลปะ WALL ART  ขณะที่วางเป้าสร้าง SANSIRI BACKYARD เป็นสวนผักทานได้และแหล่ง FOOD SUPPLY บนพื้นที่ส่วนกลางรวม 160 โครงการคอนโดฯ บ้านเดี่ยว ทาวน์โฮมและทาวน์เฮาส์ภายในปีนี้   “SANSIRI BACKYARD: EAT-ABLE GARDEN เป็นการปรับปัจจัยแวดล้อมของการพัฒนาโครงการของแสนสิริให้เข้ากับเทรนด์ปัจจุบันของการใช้ชีวิตของผู้บริโภค ที่หันมาใส่ใจต่อการใช้ชีวิตเพื่อสุขภาพดีอย่างยั่งยืน รวมถึงใช้ชีวิตแบบเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ผู้บริโภคใช้จ่ายอย่างมีจิตสำนึกเรื่องความยั่งยืน การอยู่ร่วมกับธรรมชาติ และการกินอยู่ที่ปลอดภัย ปลอดสารมากขึ้น”   นางจริยา กล่าวตอนท้ายว่า ตลอดช่วงที่รัฐบาลประกาศล็อคดาวน์ ที่ทุกคนใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในบ้านและคอนโด SANSIRI BACKYARD ได้ทำหน้าที่เป็น FOOD SUPPLY หรือแหล่งอาหารแก่ชุมชนทั้งที่หัวหินและชุมชนลูกบ้านใน T77 COMMUNITY และอีก 30 โครงการ มากกว่า 15,000 ครอบครัวรวมไปถึงชุมชนใกล้เคียง ที่เชื่อมั่นในความสะอาดปลอดภัยจากการปลูกผักแบบปลอดสารของ SANSIRI BACKYARD    
5 กลยุทธ์ “โฮมโปร” ลุยตลาดครึ่งปีหลัง สู่เป้าหมายรายได้ 69,000 ล้าน

5 กลยุทธ์ “โฮมโปร” ลุยตลาดครึ่งปีหลัง สู่เป้าหมายรายได้ 69,000 ล้าน

ผลกระทบจากมาตรการล็อคดาวน์ประเทศ เพราะการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้หลายธุรกิจต่างต้องหยุดการดำเนินธุรกิจชั่วคราว คนส่วนใหญ่จำเป็นต้อง “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” การใช้ชีวิตและการทำงานต้องเปลี่ยนเป็น Work From Home หลาย ๆ ธุรกิจต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ และวิธีการทำตลาดใหม่ หันมามุ่งเน้นช่องทางตลาดออนไลน์ แทนการเปิดร้านขายแบบปกติ   การปิดสาขา หรือร้านขายสินค้าปกติ แน่นอนกระทบต่อยอดขายที่ต้องหายไป  แม้การเปิดขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์จะสามารถสร้างยอดขายให้เพิ่มขึ้น แต่เชื่อว่าอาจจะไม่ทดแทนกับยอดขายที่หายไปได้อย่างแน่นอน เพราะสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่เกิดขึ้น ไม่มีใครคาดคิดและเตรียมแผนรับมือเอาไว้ล่วงหน้า   “โฮมโปร”  ศูนย์จำหน่ายสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ ของตกแต่ง และวัสดุก่อสร้าง ก็ได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อกคดาวน์  ซึ่งทำให้ผลการดำเนินงานในรอบครึ่งปีแรกของปี 2563 นี้ ชะลอตัวลงในอัตรา 12% แม้ว่ายอดขายผ่านช่องทางออนไลน์จะเพิ่มสูงขึ้น 350% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาก็ตาม นางสาวศิริวรรณ เปี่ยมเศรษฐสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กลุ่มการตลาด บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ยอดขายออนไลน์ของโฮมโปรเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างมาก เฉพาะช่วงเดือนเมษายน มียอดขายเติบโตถึง 500%  โดยปกติยอดขายออนไลน์เฉลี่ยต่อวันจะมีประมาณ 2-3 ล้านบาท แต่ช่วงโควิด-19 สามารถขายได้สูงถึง 20 ล้านบาทต่อวัน และหากวันไหนมีการจัด Live Facebook ขายสินค้าได้สูงถึงวันละ 30 ล้านบาท   อย่างไรก็ตาม แม้ว่ายอดขายออนไลน์จะเติบโตเพิ่มสูงขึ้น แต่ผลการดำเนินงานโดยรวมของช่วงครึ่งปีแรก ยังลดต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งช่วงครึ่งปีหลังโฮมโปรเตรียมแผนการตลาด เพื่อกระตุ้นยอดขายให้กลับมาเติบโต และคาดหวังว่าจะสามารถทำผลประกอบการให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ว่าจะมีรายได้ 69,000 ล้านบาทในปีนี้ สำหรับแผนการตลาดในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งโฮมโปรได้วางแผนไว้ ประกอบด้วย 1.การขยายสาขาใหม่เพิ่มอีก 2 แห่ง ในช่วงครึ่งปีหลังโฮมโปรวางแผนขยายสาขาขนาดใหญ่ 2 แห่ง ที่ย่านรังสิต และย่านสุขสวัสดิ์ ซึ่งตามแผนเดิมโฮมโปรจะขยายสาขาในรูปแบบโฮมโปร เอส ซึ่งเป็นาขาขนาดเล็ก อยู่ในพื้นที่ศูนย์การค้าหรือคอมมูนิตี้มอลล์ แต่จากสถานการณ์ของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ ศูนย์การค้าหรือคอมมูนิตี้มอลล์ที่จะเข้าไปขยายสาขา ยังไม่เปิดให้บริการ ทางโฮมโปรจึงต้องเลื่อนกำหนดการขยายสาขาออกไปเป็นปีหน้าแทน 2.จัดอีเวนต์ 5 งานใหญ่ ในช่วงครึ่งปีหลังโฮมโปรวางแผนจัดงานอีเวนต์ 5 งานหลัก ได้แก่ งานโฮมโปร แฟร์ จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งจัดไปแล้วในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม ที่ผ่านมา งานโฮมโปรเอ็กซ์โป เมืองทองธานี ช่วงจัดขึ้นใน วันที่ 24 กรกฎาคม – 2 สิงหาคม 2563 นี้ และอีก 3 งานที่กำลังจะจัดขึ้นต่อไป ได้แก่  งานโฮมโปร เอ็กซ์โป จ.เชียงใหม่  งานโฮมโปร เอ็กซ์โป จ.ขอนแก่น และงานโฮมโปร เอ็กซ์โป เมืองทองธานี ช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้ ซึ่งนอกเหนือจากงานอีเวนต์หลักดังกล่าวแล้ว ยังมีการจัดกิจกรรมภายในสาขา เช่น งานวันครบรอบ การจัดโปรโมชั่นประจำปี และการไปร่วมกับพันธมิตรในการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ด้วย   3.เปิดตัว Homepro Mobile  Application สำหรับช่องทางตลาดออนไลน์ ปัจจุบันโฮมโปรมีการจำหน่ายสินค้าผ่านเว็บไซต์ www.homepro.co.th  และ  Application Line “SHOP4YOU” และการสั่งซื้อสินค้าผ่านโทร 1284 เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า ที่ไม่สามารถเดินทางมาซื้อสินค้าที่สาขาได้ และเป็นการเสริมช่องทาง Omni Channel ของโฮมโปรให้มีความสมบูรณ์มากขึ้น  จึงเตรียมเปิดตัว Homepro Mobile Application ในวันที่ 1 กันยายน 2563 นี้ โดยโฮมโปรตั้งเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนรายได้จากช่องทางออนไลน์ จากปัจจุบันประมาณ​ 3% ให้ได้ประมาณ 5% ตามเป้าหมายในปีนี้   4.พัฒนาระบบโลจิสติกส์ ระบบโลจิสติกส์  ถือว่าเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญของการทำตลาดออนไลน์ ซึ่งปัจจุบันโฮมโปรมีการจัดส่งสินค้าให้กับลูกค้าในพื้นที่สาขาตั้งอยู่รัศมี 30 กิโลเมตร เมื่อสั่งซื้อสินค้าครบ 3,000 บาท แต่ในช่วงเกิดภาวะโควิด-19 ลูกค้าสั่งซื้อสินค้าเพียง 500 บาท ก็สามารถได้รับบริการจัดส่งสินค้าได้เช่นกัน โดยบริษัทมีแผนที่จะพัฒนาระบบการจัดส่งสินค้า ให้มีความสะดวกรวดเร็วและมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น ด้วยบริการ “SAMEDAY Delivery” หรือการบริการจัดส่งสินค้าภายในวันเดียวกับที่สั่งซื้อสินค้า ซึ่งเริ่มต้นทดลองระบบดังกล่าวในงานโฮมโปร เอ็กซ์โป ครั้งที่ 31 ก่อน หากประสบความสำเร็จจะนำมาใช้จริง   นอกจากนี้ ทางโฮมโปร ยังได้ขยายระยะเวลาการให้บริการจัดส่งสินค้า  จากเดิมจัดส่งภายในเวลา 18.00 น. เป็นการจัดส่งภายในเวลา 21.00 น. ซึ่งแผนการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ โฮมโปรยังทำอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การส่งสินค้ามีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น ในอนาคตจะขยายศูนย์กระจายสินค้าให้เพิ่มมากขึ้นด้วย 5.เพิ่มความหลากหลายสินค้า รับ New Normal สินค้า คือ ความสำเร็จของการดำเนินธุรกิจ ซึ่งต้องมีทั้งความหลากหลาย และตรงกับความต้องการของลูกค้า โดยเฉพาะการเข้าสู่ความปกติวิถีใหม่ หรือ New Normal ของลูกค้าในยุคโควิด-19 โดยโฮมโปรมองว่าสินค้าที่จะนำมาจำหน่าย ต้องมีความหลากหลาย  จึงได้ปรับสินค้าให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคยุคปัจจุบัน ภายใต้แนวคิด Happy Home Healthy Living ยิ่งอยู่บ้าน ยิ่งรู้ว่าบ้านต้องการอะไร  ซึ่งเป็นการจัดกลุ่มสินค้าเพื่อตอบโจทย์ความเป็น Total Home Solution  ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม   -ลูกค้าที่ต้องทำงานที่บ้าน (Work from Home) เช่น เฟอร์นิเจอร์, โต๊ะ, เก้าอี้ -ลูกค้าที่ต้องการความบันเทิงภายในบ้าน (Entertainment Home) เช่น Smart TV. -กลุ่มนักเรียน นักศึกษาที่ต้องเรียนออนไลน์ (Learning at Home)  -กลุ่มที่ทำอาหารเอง (Cooking at Home) เช่น หม้อทอด, เครื่องครัว, เครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก -กลุ่มสินค้าสุขอนามัย (Hygienic) เช่น เครื่องอบจาน, เครื่องซักผ้า, เครื่องอบผ้า, เครื่องฟอกอากาศ, เครื่องกรองน้ำ -สินค้าจำเป็นในการดูแลบ้าน ซ่อมแซม ปรับปรุง และบริการด้าน Home Service การันตีด้วยทีมช่างมืออาชีพ   บทสรุปสุดท้าย ภายใต้สถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ซึ่งปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โฮมโปร จะยังสามารถกอบกู้ยอดขายที่หดหายไปในช่วงครึ่งปีแรก ให้กลับมาได้ตามเป้าหมายรายได้ปีนี้ 69,000 ล้านบาท หรือไม่ ต้องรอดูว่ากลยุทธ์ต่าง ๆ ที่วางแผนออกมานั้น มีประสิทธิภาพมากน้อยแค่ไหน
เปิด 5 ทำเล ราคาที่ดินเปล่า ปรับเพิ่มสูงสุด

เปิด 5 ทำเล ราคาที่ดินเปล่า ปรับเพิ่มสูงสุด

REIC เปิด 5 ทำเล แนวรถไฟฟ้า ดัชนีราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ไตรมาส 2 ปี 2563 ปรับเพิ่มขึ้นกว่า 30%  แนวรถไฟฟ้าสายสีเขียวเหนือ (คูคต - ลำลูกกา) ที่ยังไม่ก่อสร้าง ครองแชมป์ราคาปรับเพิ่มสูงสุด 5 ไตรมาสติดต่อกัน   ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์  หรือ REIC เปิดเผยว่า ศูนย์ข้อมูลฯ  ได้จัดทำดัชนีราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ในไตรมาส 2 ปี 2563  พบว่า มีค่าดัชนีเท่ากับ 308.6  เพิ่มขึ้น  5.2%  เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งมีค่าดัชนีเท่ากับ 293.3 และปรับเพิ่มขึ้น 30.3% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีค่าดัชนีเท่ากับ 236.9 จุด   การปรับเพิ่มขึ้นของดัชนีราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาในไตรมาสนี้ ทำเลที่มีการปรับเพิ่มขึ้นมากกว่าทำเลอื่นๆ ส่วนใหญ่ยังคงเป็นพื้นที่ปลายสายรถไฟฟ้า ที่เป็นส่วนต่อขยายและมีแผนจะก่อสร้างในอนาคต  โดยทำเลที่มีเส้นทางรถไฟฟ้าผ่าน 5 อันดับแรกที่มีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นสูงสุด เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ได้แก่   ดัชนีราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาตามเส้นทางรถไฟฟ้าที่มีการเปลี่ยนแปลงสูงสุด 5 อันดับแรก ในไตรมาส 2 ปี 2563 1.สายสีเขียวเหนือ (คูคต - ลำลูกกา) เป็นเส้นทางรถไฟฟ้าที่ยังไม่เริ่มก่อสร้าง ซึ่งเป็นส่วนต่อขยายของสายสีเขียว ในไตรมาส 2 ปี 2563 เปิดให้บริการ 4 สถานี ได้แก่ สถานีกรมป่าไม้ สถานีบางบัว สถานีกรมทหารราบที่ 11 และสถานีวัดพระศรีมหาธาตุ ส่งผลให้ราคาที่ดินในบริเวณตามแนวรถไฟฟ้านี้มีอัตราขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้น 61.4 และเป็นทำเลที่มีการเพิ่มขึ้นของราคาที่ดินมากที่สุดต่อเนื่องมา 5 ไตรมาส   2.สายสีชมพู (แคราย - มีนบุรี) เป็นเส้นทางรถไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง มีความคืบหน้าการก่อสร้างโดยรวมอยู่ที่ 57% มีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้น  53.6%   3.สายสีน้ำเงิน (บางแค - พุทธมณฑลสาย 4) เป็นโครงการที่มีแผนจะก่อสร้างในอนาคต มีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้น  28.5% อัตราขยายตัวของดัชนีราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาในกรุงเทพฯ – ปริมณฑล 4.สายสีแดงอ่อน (ตลิ่งชัน - ศาลายา) เป็นโครงการที่มีแผนจะก่อสร้างในอนาคต มีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้น  26.5%   5.สายสีเขียวใต้ (สมุทรปราการ - บางปู) เป็นโครงการที่มีแผนจะก่อสร้างในอนาคต และสายสีเขียวใต้ (แบริ่ง - สมุทรปราการ) ซึ่งก่อสร้างเสร็จและเปิดให้บริการแล้ว มีอัตราขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นเท่ากัน  23.1%
ริสแลนด์ ยักษ์อสังหาฯ จีนไม่หยุด ปั้นโปรเจ็กต์คอนโด 15,000 ล้าน

ริสแลนด์ ยักษ์อสังหาฯ จีนไม่หยุด ปั้นโปรเจ็กต์คอนโด 15,000 ล้าน

ริสแลนด์ ยักษ์อสังหาฯ จีน ไม่หวั่นตลาดคอนโดไทยหดตัว เดินหน้าปั้นโปรเจ็กต์ปีละ 10,000 ล้าน มั่นใจตลาดยังมีดีมานด์ ขณะที่ชาวต่างชาติยังชอบเมืองไทย จาก 2 ปัจจัยสำคัญ ทั้งปลอดภัยและคนไทยนิสัยดี ล่าสุด เปิดโปรเจ็กต์ใหม่ มูลค่ารวม 15,000 ล้าน ต่อยอดการเติบโตทุกปีในอัตรา 5-8%    ดร.หยาน จู้ ผู้อำนวยการโครงการสกายไรซ์ อเวนิว สุขุมวิท 64 บริษัท  ริสแลนด์ (ประเทศไทย) จำกัด (RISLAND Thailand) เปิดเผยว่า  ริสแลนด์เป็นกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่ฮ่องกง ดำเนินธุรกิจด้านการพัฒนาที่อยู่อาศัย อาคารพาณิชย์ และการบริหารจัดการอาคาร มีโครงการอสังหาริมทรัพย์อยู่ในหลากหลายประเทศ ทั้งสหรัฐอเมริกา นิวซีแลนด์ อินเดีย อินโดนีเซีย เวียดนาม และประเทศไทย รวมมูลค่าโครงการทั่วโลกประมาณ 550,000 ล้านบาท สำหรับประเทศไทย ได้เริ่มเข้ามาดำเนินธุรกิจตั้งแต่ปี 2560 และในปี 2561 เป็นต้นมา ริสแลนด์ ประเทศไทย ได้เปิดตัวโครงการหลากหลายแบรนด์ ครอบคลุมทุกเซกเมนต์ รวม 5 โครงการ ได้แก่ โครงการ Artisan Ratchada, โครงการ Lake Serene Rama II, โครงการ CLOUD Thonglor-Phetchaburi, โครงการ The Livin Phetkasem, และโครงการ CLOUD Residences – SKV23     ด้านนายเกษมศักดิ์ สุนทโรทก ผู้อำนวยการฝ่ายการขายและการตลาด ริสแลนด์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดคอนโดมิเนียมในปีนี้อยู่ในภาวะที่ชะลอตัว มีหลายบริษัทเลื่อนการเปิดตัวโครงการออกไป แต่บริษัทยังคงเดินหน้าเปิดโครงการใหม่ตามแผนที่วางไว้  เนื่องจากมีความมั่นใจว่าตลาดยังมีความต้องการ ทั้งกลุ่มคนไทยและต่างชาติ โดยเฉพาะฐานลูกค้าหลักเป็นกลุ่มชาวจีน เนื่องจากประเทศไทยมีศักยภาพ และเป็นที่ต้องการเข้ามาอยู่อาศัยของกลุ่มลูกค้าชาวจีน   โดยในสายตาของชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวจีน มองว่าประเทศไทย มีจุดเด่นใน 2 เรื่อง คือ 1.เป็นประเทศที่มีความปลอดภัยสูง และ 2.ลักษณะนิสัยของคนไทย ซึ่งต้องรับการเข้ามาของชาวต่างชาติ จึงถือว่าประเทศไทยเป็นเมืองที่น่าอยู่ ขณะเดียวกันอสังหาริมทรัพย์ของไทย ยังมีราคาต่ำกว่าหลายเมืองในต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นฮ่องกง หรือสิงค์โปร์ ดีเอ็นเอของริสแลนด์ บริษัทแม่มองว่าการเข้ามาทำตลาดยังเพิ่งเริ่มต้น จึงเปิดโอกาสให้ทีมงานในไทยสามารถทำงานแบบลองผิดลองถูกได้เต็มที่ แม้ว่าจะมีปัจจัยลบ แต่คนริสแลนด์จะต้องไม่ทิ้งเป้าหมายในการทำธุรกิจ   อย่างไรก็ตาม แม้ว่าภาวะตลาดในปีนี้จะชะลอตัว แต่บริษัทยังคงทำการตลาดและสร้างแบรนด์อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้กลุ่มลูกค้าคนไทยเป็นที่รู้จัก ด้วยการปรับกลยุทธ์การทำตลาดและการขายให้สอดคล้องกับสถานการณ์ เช่น การทำตลาดออนไลน์ การให้ทีมงานฝ่ายขายทำตลาดเชิงรุก ซึ่งบริษัทมั่นใจว่าจะสามารถสร้างการเติบโตและยอดขายได้ตามเป้าหมาย   นายเกษมศักดิ์ กล่าวอีกว่า การดำเนินธุรกิจในประเทศไทย บริษัทได้วางเป้าหมายการเปิดโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มียอดขายปีละ 10,000 ล้านบาท พร้อมกับสร้างการเติบโตต่อเนื่องปีละ 5-8% ซึ่งในปีนี้ได้วางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 3 โครงการ โดยเปิดตัวไปแล้ว 1 โครงการ คือ โครงการ Cloud Residences สุขุมวิท 23 มูลค่าโครงการกว่า 3,600 ล้านบาท เป็นคอนโดมิเนียมไฮไรส์ สูง 43 ชั้น บริเวณซอยสุขุมวิท 23 ล่าสุด เปิดตัวโครงการ สกายไรซ์ อเวนิว สุขุมวิท 64 บนพื้นที่กว่า 22 ไร่ใกล้รถไฟฟ้า BTS สถานีปุณณวิถี ในรูปแบบ Mixed-Use ซึ่งเปิดตัวเฟสแรก เป็นคอนโดแบบไฮไรส์ จำนวน 4 อาคาร ประกอบด้วย อาคารสูง 46 ชั้น 1 อาคาร, อาคารสูง 48 ชั้น จำนวน 2 อาคาร และอาคารสูง 49 ชั้น จำนวน 1 อาคาร มีจำนวนยูนิตทั้งหมด 1,961 ยูนิต ในเฟสแรกมีมูลค่าโครงการ  9,060 ล้านบาท จากมูลค่ารวมทั้งโครงการกว่า 15,000 ล้านบาท โดยมีราคาขายเริ่มต้น 2.49 ล้านบาท หรือเฉลี่ยตารางเมตรละ 125,000 บาท   ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 700 ล้านบาท เป็นลูกค้าคนไทย 500 ล้านบาทและลูกค้าต่างชาติอีก 200 ล้านบาท  โดยคาดว่าภายในสิ้นปีจะสามารถทำยอดขายได้ประมาณ 1,800 ล้านบาท   โดยโครงการสกายไรซ์ อเวนิว สุขุมวิท 64 จะเริ่มก่อสร้างในช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 2564 และจะเริ่มเปิดขายโครงการในเฟสที่ 2 หลังจากโคงการแรกมียอดขาย 80% ซึ่งคาดว่าโครงการจะแล้วเสร็จสมบูรณ์ทั้งสองเฟสภายใน 8 ปี สำหรับโครงการที่ 3 จะเปิดตัวโครงการ Lavin Ramkhamhaeng ซึ่งมีระดับราคาเริ่มเฉลี่ยยูนิตละ 1.5 ล้านบาท
สิงห์ เอสเตท เจอพิษโควิด-19 ปรับเป้ารายได้ลง 50% เหลือ 9,000 ล้าน

สิงห์ เอสเตท เจอพิษโควิด-19 ปรับเป้ารายได้ลง 50% เหลือ 9,000 ล้าน

สิงห์ เอสเตท หั่นเป้ารายได้ 50% เหลือ 9,000 ล้าน แต่ยังทุ่มงบลงทุน 5,000 ล้าน พร้อมเดินหน้าตามแผนธุรกิจ 5 ปี เพิ่มโรงแรมทั่วโลกแห่ง 80 แห่ง สร้างการเติบโตและมุ่งหน้าสู่ “โกลบอล โฮลดิ้ง คอมปานี”   แม้ว่าปีนี้ประเทศไทยจะเผชิญกับปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจที่ทำให้ ต้องหยุดการทำธุรกรรมต่าง ๆ แน่นอนว่าต้องทำให้ยอดขายและรายได้ลดลง แต่อาจจะมีบางธุรกิจหรือบางบริษัทที่ยังคงรักษาการเติบโตและรายได้เอาไว้ได้  หลังจากปรับตัวและปรับกลยุทธ์แสวงหาโอกาสภายใต้วิกฤตที่เกิดขึ้น   สำหรับบริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ S ก็ได้รับผลกระทบจากวิกฤตดังกล่าวเช่นกัน ทำให้จำเป็นต้องปรับเป้าหมายรายได้รวมในปี 2563 ลดลงประมาณ 50% หรือมีมูลค่า 9,000 ล้านบาท จากเป้าหมายที่คาดว่าจะทำได้ 18,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ลดลงมาจากช่วงต้นปี ที่ได้ประกาศก่อนหน้านี้ว่าจะทำรายได้ 20,000 ล้านบาท     นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตทฯ เปิดเผยว่า สิงห์ เอสเตท ยังคงเดินหน้าลงทุนตามแผนธุรกิจเดิมในระยะเวลา 5 ปี (2563 – 2567) ด้วยงบลงทุน 68,000 ล้านบาท ด้วยกลยุทธ์เติบโตอย่างยั่งยืน  แต่เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปในปัจจุบัน จึงได้มีการปรับเป้ารายได้รวมในปีนี้ลดลง ซึ่งคาดว่าสถานการณ์ภาพรวมตลาด จะกลับมาฟื้นตัวได้ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้   บริษัทหวังเป็นอย่างยิ่งว่าวิกฤตโควิด-19 จะผ่านพ้นไปโดยเร็ว และภายหลังวิกฤต เราเห็นถึงโอกาสทางธุรกิจและการลงทุนใหม่ๆที่น่าสนใจพร้อมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยเราจะพิจารณาลงทุนตามความเหมาะสมและมีเกณฑ์ที่เข้มงวดในการตัดสินใจลงทุน เพื่อให้ได้สินทรัพย์ที่มีคุณภาพและโอกาสเพิ่มมูลค่าในอนาคต โดยแผนการลงทุนระยะ 5 ปี จะมุ่งเน้นใน 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจที่พักอาศัย ธุรกิจอาคารสำนักงาน และธุรกิจโรงแรม 1.เดินแผนปั้นโปรเจ็กต์ปีละ 5-7 โครงการ โดยแผนการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในระยะ 5 ปี บริษัทยังพัฒนาโครงการปีละ 5-7 โครงการ และยังมุ่งขยายการพัฒนาโครงการที่พักอาศัย ไปในทำเลรอบเมือง  ภายใต้คอนเซปต์ “New Living and Working” เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงความต้องการของกลุ่มลูกค้าในอนาคต เนื่องจากมองเห็นโอกาสในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย ที่จะขยายตัวออกจากเมืองไปยังทำเลใหม่ๆ ตามการขยายตัวของระบบขนส่งมวลชน และโครงข่ายถนน ซึ่งจะเป็นโครงการแนวราบในรูปแบบมิกซ์ยูส อันประกอบไปด้วย บ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม รีเทล ออฟฟิศแนวราบ  ตลอดจนโครงการที่อยู่อาศัยแบบ Wellness จะเป็นสิ่งใหม่ๆ ที่มีโอกาสเกิด 2.เพิ่มพื้นที่สำนักงาน 300,000 ตร.ม. ใน 5 ปี โดยในช่วงไวรัสโควิด-19 ธุรกิจนี้ได้รับผลกระทบไม่มากนัก ซึ่งบริษัทได้ลดค่าเช่าให้กับผู้เช่าที่ได้รับผลกระทบ และการปรับปรุงคุณภาพด้านสุขอนามัย โดยติดตั้ง Touchless Solution และ UV ในระบบปรับอากาศเพื่อตอบโจทย์ New Normal ให้กับผู้เช่าอาคาร  รวมถึงมองหาผู้เช่าใหม่ๆ ที่อยู่ในธุรกิจที่มีการเติบโตดี เช่น E-commerce, Technology และ Consumer Product   ขณะเดียวกันยังคงเป้าหมายขยายพื้นที่สำนักงาน 300,000 ตารางเมตร ในระยะเวลา 5 ปี  ซึ่งเชื่อว่าในอนาคตจะยังคงมีความต้องการพื้นที่สำนักงานอยู่ในรูปแบบต่าง ๆ โดยบริษัทเตรียมนำเสนอพื้นที่สำนักงานรูปแบบใหม่ “Workspace Solution” ซึ่งมีหลายรูปแบบและหลายทำเล ทั้งอาคารขนาดใหญ่ อาคารขนาดกลาง  ออฟฟิศแนวราบ 3.ขยายโรงแรมเป็น 80 แห่ง สำหรับธุรกิจโรงแรมยังตั้งเป้าขยายจำนวนโรงแรมจาก 39 โรงแรมเป็น 80 โรงแรม ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ในระยะ 5 ปี โดยมุ่งเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวในระดับบน (Upper Upscale Segment) และมอบประสบการณ์การพักผ่อน ในรูปแบบที่แตกต่างและสร้างสรรค์ให้กับลูกค้า   นอกจากนี้ ยังได้พัฒนาแบรนด์ใหม่ที่จะเปิดตัวในเร็ว ๆ นี้ เป็นโมเดลธุรกิจในแบบ Asset Light Model หรือการเข้าไปลงทุนในโรงแรมที่มีศักยภาพ โดยไม่จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนสูง แต่ใช้แบรนด์ที่บริษัทพัฒนาขึ้นเข้าบริหาร เช่น แบรนด์ซายด์ (SAii) ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้ประจำให้มากขึ้น และเพิ่มการเติบโตของพอร์ตโฟลิโอของบริษัท เดินหน้าแผนธุรกิจครึ่งปีหลัง สำหรับแผนในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจ และสร้างการเติบโตต่อเนื่อง 1.จะทยอยรับรู้รายได้จากโครงการที่อยู่อาศัยที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ ได้แก่ โครงการดิเอส สุขุมวิท 36 (THE ESSE Sukhumvit 36) ซึ่งมีมูลค่าโครงการกว่า 6,500 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายประมาณ 60% จะเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ได้ในไตรมาส 3 ซึ่งคาดว่าน่าจะมียอดรับรู้รายได้ 1,400 ล้านบาท และปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอรับรู้รายได้ 5,500 ล้านบาท   2.ทำตลาดโครงการ ดิ เอ็กซ์โทร พญาไท-รางน้ำ (The EXTRO Phayathai-Rangnam) ใหม่อีกครั้ง หลังจากหยุดทำตลาดไปเพราะสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ซึ่งปัจจุบันมียอดขายแล้ว 15% 3.การปรับปรุงอาคารสำนักงาน นำเสนอพื้นที่สำนักงานรูปแบบใหม่ “Workspace Solution” โดยมีหลายรูปแบบและหลายทำเล และ Co-Working Space ในทำเลใหม่ โดยเน้นเชื่อมโยงการทำงานผ่านระบบ IT ให้ลูกค้าในทุกที่ และการขยายธุรกิจโรงแรมต่อเนื่อง ภายใต้งบประมาณรวม 5,000 ล้านบาท   4.เริ่มเดินหน้าธุรกิจพลังงานทางเลือก (Renewable Energy) ในช่วงปลายปี ที่ประเทศมัลดีฟส์ มีขนาด 5 เมกะวัตต์ ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นในธุรกิจอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และการขยายธุรกิจต่อเนื่องจากธุรกิจอสังหาฯ รวมถึงการสร้างรายได้ประจำเพิ่มขึ้น   ตลาดคอนโดอาจจะอืด ๆ ส่วนตลาดแนวราบ เราก็มอง แต่เราคงทำไม่เหมือนคนอื่น ซึ่งเชื่อว่าโควิด-19 จะผ่านไปในปีนี้ และกลับสู่โหมดเดิมในปีหน้า  คือ การแข่งขันที่รุนแรงเหมือนเดิม ตอกย้ำการเป็น Global Holding Company สิงห์ เอสเตท ยังคงเดินหน้าตามกลยุทธ์การเป็น Global Holding Company ตามแผนที่วางไว้ปี 2020  พร้อมกับการสร้างความเชื่อมั่นแบรนด์ของบริษัท ให้เป็น Most Trusted Brand ซึ่งนอกจากการพัฒนาโครงการให้มีคุณภาพสูงสุดแล้ว ยังต่อยอดความเชี่ยวชาญจากกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน รวมทั้งยกระดับการบริการของกลุ่มธุรกิจทั้งหมดให้เป็นไปตามมาตรฐานด้านสุขอนามัยและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในระดับสากล  
3 ทางรอดอสังหาฯ สู้วิกฤตปี 63-64

3 ทางรอดอสังหาฯ สู้วิกฤตปี 63-64

ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์  นับว่ามีบทบาทสำคัญต่อภาพรวมเศรษฐกิจของไทย เพราะเป็นธุรกิจที่มีมูลค่ามหาศาล และยังก่อให้เกิดธุรกิจที่เกี่ยวข้องมากมายตามมา  หากธุรกิจอสังหาฯ เกิดปัญหา ย่อมส่งผลกระทบในวงกว้างและต่อภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศ อย่างในอดีตเกิดวิกฤตฟองสบู่ในปี 2540   ในปีนี้ประเทศไทยต้องเผชิญกับปัญหาการแพร่ระบดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศ และแน่นอนธุรกิจอสังหาฯ ก็โดนไปเต็ม ๆ เช่นกัน เพราะการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้ธุรกรรมต่าง ๆ ต้องหยุดชะงัก ผู้บริโภคต้องหยุดการทำงาน “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ”   จะว่าไปแล้วธุรกิจอสังหาฯ เริ่มชะลอความร้อนแรงมาตั้งแต่ปี 2562 ที่ผ่านมา จากการออกมาตรการ LTV ทำให้ปีที่ผ่านมาธุรกิจอสังหาฯ เติบโตเพียง 4% แม้ว่าจะมีขนาดธุรกิจคิดเป็นสัดส่วน 3% ของ GDP ก็ตาม โดยธุรกิจอสังหาฯ ชะลอตัวลงต่อเนื่อง ในไตรมาสแรกของปีนี้ มีอัตราการเติบโตเพียง 2% เท่านั้น จึงถึงว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้ธุรกิจอสังหาฯ อยู่ในภาวะที่ยากลำบาก 15 ประเด็นอสังหาฯ ท่ามกลางวิกฤตโควิด-19 ล่าสุด ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย ได้ทำการประเมินภาพรวมธุรกิจอสังหาฯ ในปี 2563 พร้อมกับมองแนวโน้มธุรกิจในปี 2564 จากผลกระทบของการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ซึ่งมีบทสรุปสำคัญ ดังนี้   1.ปี 2563 เศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 มีแนวโน้มหดตัวอย่างรุนแรง ในอัตรา 8.8% ส่งผลทำให้กิจกรรมต่าง ๆ ทางเศรษฐกิจหยุดชะงัก อัตราการจ้างงานลดลง ผู้บริโภคมีรายได้ลดลง จำเป็นต้องเอาเงินออมออกมาใช้จ่าย ทำให้ความสามารถในการซื้อสินค้าขนาดใหญ่ อย่างรถยนต์หรืออสังหาริมทรัพย์ หดตัวลงตาม 2.ยอดพรีเซลล์มีแนวโน้มหดตัวอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ในไตรมาส 4 ปี 2562 มียอดพรีเซลล์  20% ไตรมาสแรก ยอดพรีเซลล์ลดลงเหลืออัตรา 15% และไตรมาส 2 ซึ่งได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 และมีมาตรการล็อกดาวน์ ทำให้ยอดพรีเซลล์ลดลงมีอัตราเพียง 12% ซึ่งเป็นหนึ่งในเครื่องชี้วัดว่าตลาดอสังหาฯ หดตัวอย่างรุนแรง   3.ผลสำรวจจาก Wunderman Thompson พบว่า ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สัดส่วน 80% จะเลื่อนกำหนดการซื้อที่อยู่อาศัยอย่างไม่มีกำหนด เนื่องจากต้องสำรองเงินไว้ใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็น และยังมองว่าการลงทุนอสังหาฯ ในเวลานี้ให้ผลตอบแทนไม่มากพอ และ 20% จะเลื่อนการซื้ออสังหาฯ ออกไปอย่างน้อย 1 ปี   4.ผู้บริโภคที่มีรายได้น้อยกว่า 40,000 บาทต่อเดือน ต้องสำรองเงินไว้ใช้จ่ายกับสินค้าที่จำเป็นต่อการบริโภค ส่วนผู้บริโภคที่มีรายได้มากกว่า 40,000 บาทต่อเดือน มองว่าการลงทุนในอสังหาฯ ให้ผลตอบแทนไม่ดีเท่าที่ควร เลยเลื่อนการซื้ออสังหาฯ ออกไปก่อน   5.อสังหาฯ กลุ่ม Economy ซึ่งมีระดับราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท และกลุ่ม Middle ราคา 3-10 ล้านบาท ยอดพรีเซลล์ช่วงเดือนเมษายนและพฤษภาคม จะมีอัตราต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในรอบ 1 ปีคอนข้างมาก เพราะกลุ่มลูกค้าหลักเป็นกลุ่มที่มีระดับรายได้ต่อครัวเรือนต่ำกว่า 100,000 บาท มีความอ่อนไหวต่อสภาพเศรษฐกิจ รวมถึงเป็นกลุ่มที่มีอาชีพอิสระ และจ้างงานตัวเองค่อนข้างมาก 6.อสังหาฯ กลุ่ม Luxury ระดับราคา 10-20 ล้านบาท และกลุ่ม Super Luxury ราคามากกว่า  20 ล้านบาท  ยอดพรีเซลล์ช่วงเดือนเมษายนและพฤษภาคม ยังถือว่ายังดี โดยเฉพาะกลุ่ม Super Luxury สูงกว่าค่าเฉลี่ยในรอบ 1 ปีด้วย  เพราะกลุ่มลูกค้าหลักเป็นกลุ่มที่มีรายได้เกิน 100,000 บาทต่อครัวเรือนขึ้นไป มีความมั่นคงทางด้านรายได้ และส่วนใหญ่จะมีความมั่นคงทางอาชีพ มีสัดส่วนอาชีพราชการค่อนข้างมาก ซึ่งเป็นอาชีพที่มีความมั่นคงจึงทำให้ การซื้อที่อยู่อาศัยในกลุ่ม Luxury  และกลุ่ม Super Luxury ไม่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 เท่าที่ควร   7.แม้ว่าการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะส่งผลต่อธุรกิจอสังหาฯ แต่มีอสังหาฯ บางประเภทและบางราคาที่ไม่ได้รับผลกระทบ เช่น กลุ่มคอนโด ระดับราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท มีผลตอบรับที่ดี มียอดพรีเซลล์ 35% กลุ่มทาวน์เฮ้าส์ระดับราคา 3-10 ล้านบาท มียอดพรีเซลล์ 40% ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะ การเปลี่ยนจากการซื้อคอนโดมาซื้อทาวน์เฮ้าส์แทน เพราะผู้บริโภคต้องการพื้นที่มากขึ้น แต่ระดับราคาเดียวกัน ส่วนกลุ่ม Super Luxury จะพบว่าอสังหาฯ ทุกประเภทยังมียอดพรีเซลล์ที่สูง   8.ความต้องการที่ซื้อลดลง ส่งผลต่อจำนวนที่อยู่อาศัย ทั้งโครงการเปิดตัวแล้วและอยู่ระหว่างการก่อสร้าง โดยโครงการที่เปิดตัวแล้วและอยู่ระหว่างการก่อสร้าง จะได้รับผลกระทบเรื่องการขาดเงินทุนในการก่อสร้าง เพราะยอดพรีเซลล์ที่ต่ำทำให้ไม่สามารถได้รับเงินกู้จากสถาบันการเงิน ทำให้ดีเวลลอปเปอร์ต้องใช้เงินทุนของตนเองเข้ามาพัฒนา แต่ในสถานการณ์ปัจจุบันแนวทางนี้เป็นไปได้ยาก เพราะต้องมีสภาพคล่องเพื่อต่อสู่กับวิกฤตเศรษฐกิจมากกว่า ทำให้แนวทางที่เป็นไปได้ ดีเวลลอปเปอร์จะชะลอการก่อสร้าง 9.ความต้องการซื้อที่ลดลง ยังส่งผลทำให้ดีเวลลอปเปอร์เลื่อนการเปิดตัวโครงการใหม่ โดยแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ในปีนี้ จากการสำรวจดีเวลลอปเปอร์รายใหญ่ 8 บริษัท ที่วางแผนเปิดตัวโครงการในปีนี้  จะเห็นว่าก่อนเกิดโควิด-19 วางแผนเปิดโครงการใหม่มูลค่า 195,500 ล้านบาท โดยโครงการบ้านแนวราบมีมูลค่า 139,100 ล้านบาท และคอนโดมูลค่า 56,400 ล้านบาท ภายหลังจากเกิดเหตุการณ์โควิด-19 ในไตรมาส 2 ดีเวลลอปเปอร์ได้ปรับแผน และเลื่อนเปิดโครงการใหม่ออกไป โดยวางแผนเปิดมูลค่า 137,800 ล้านบาท แบ่งเป็นบ้านแนวราบมูลค่า 116,800 ล้านบาท และคอนโด มูลค่า 21,000 ล้านบาท   การเปิดตัวใหม่ในปี 2563 คาดว่าจะมีที่อยู่อาศัยเปิดใหม่ 72,000 ยูนิต ลดลง 40%  โดยมีแรงกดดันหลักจากการที่ดีเวลลอปเปอร์เลื่อนแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ออกไป เฉพาะ 5 เดือนแรกของปีนี้ ดีเวลลอปเปอร์เปิดตัวใหม่ลดลงแล้ว 54%   10.มูลค่าโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในปีนี้ คาดว่าจะลดลง 27% มีมูลค่า 420,000 ล้านบาท บ้านจัดสรรมีมูลค่า ลดลง 24% คอนโด ลดลง 30%   11.สต็อกที่อยู่อาศัยเหลือขายสะสมปีนี้ น่าจะเพิ่มขึ้น 5% มีจำนวน 185,000 ยูนิต โดยสต็อกคอนโด กระจายอยู่ในหลายทำเล ขณะที่บ้านจัดสรรจะอยู่ที่ทำเลบางบัวทอง และรังสิต-ปทุมธานี เป็นหลัก 12.คาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจในปี 2564 เศรษฐกิจฟื้นตัวได้อัตรา 6.1%   13.มูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ ที่อยู่อาศัยในปี 2564 น่าจะเติบโต 12% มีมูลค่า 470,000 ล้านบาท   14.ในปี 2564 คาดว่าดีเวลลอปเปอร์จะเปิดตัวโครงการใหม่ จำนวน 85,000 ยูนิต เติบโต 18%   15.โครงการที่อยู่อาศัยเหลือขาย ปี 2564 คาดว่ามีจำนวน 192,000 ยูนิต 3 แนวทางการปรับตัวของดีเวลลอปเปอร์ เพื่อรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคในยุค New Normal   1.การซื้ออสังหาฯ ผ่านออนไลน์ อาจกลายเป็นเรื่องปกติ มีสถิติการเยี่ยมชมเว็บไซต์ของดีเวลลอปเปอร์ชั้นนำ มีจำนวนผู้เข้าชมเพิ่มขึ้น 40% ในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19  ซึ่งเดือนมกราคมมียอดเข้าชมเว็บไซต์ 8,400 ครั้งต่อวันต่อเว็บไซต์ และเพิ่มขึ้นเป็น 11,700 คนต่อวันต่อเว็บไซต์ หรือเพิ่มขึ้น 40% ในเดือนพฤษภาคม ซึ่งช่วงการแพร่ระบาด หลายดีเวลลอปเปอร์ได้ทำโปรโมชั่น โปรโมทการซื้อขายอสังหาฯ จึงส่งผลให้อัตราเข้าชมเว็บไซต์เพิ่มสูงขึ้นมาก โดนแนวทางการปรับตัวของดีเวลลอปเปอร์ คือ การมีกลยุทธ์และศึกษาพฤติกรรมกลุ่มลูกค้า ว่าทำอย่างไรให้ผู้บริโภคเข้าชมโครงการผ่านช่องทางออนไลน์ได้ เช่น การโฆษณาผ่านอินฟลูเอนเซอร์ การสร้างความเชื่อมั่นให้ผุ้บริโภค ด้วยการพัฒนาระบบ Virtual Visits ให้กับผู้บริโภคสามารถชมโครงการเสมือนจริง และการยกระดับระบบหลังบ้าน (Back-office) ให้กับผู้บริโภคสามารถชำระเงิน และดำเนินการเรื่องเอกสารผ่านเว็บไซต์ได้เลย 2.ปัจจัยด้านทำเล อาจไม่สำคัญเท่า “ขนาดของที่อยู่อาศัย” เพื่อรองรับการการใช้ชีวิตในที่อยู่อาศัยที่นานขึ้น โดยเฉพาะ Work From Home  ซึ่งแนวทางการปรับตัวของดีเวลลอปเปอร์ คือ พิจารณาความเป็นไปได้ที่จะลดสัดส่วนห้อง Studio และเพิ่มห้อง One Bed+ ของโครงการคอนโดในบางทำเล และหันมาพัฒนาโครงการแนวราบแทนการพัฒนาคอนโด 3.อยากใช้พื้นที่ส่วนกลางแบบมี “พื้นที่ส่วนตัว” ดีเวลลอปเปอร์ ต้อง Re-design พื้นที่ส่วนกลาง และติดตั้งอุปกรณ์ Touchless เพื่อตอบโจทย์ความปลอดภัยของบริโภค เช่น Touchless door, Private Fitness, Touchless life และ Private Working Space ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย กล่าวสรุปว่า  ตลาดที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล สำหรับปี 2563 จะถูกกดดันจากการแพร่ระบาดของ ไวรัสโควิด -19 เป็นอย่างมาก ผ่านสภาพเศรษฐกิจที่หดตัว รายได้ของผู้บริโภคที่หายไป และการ ไม่สามารถเดินทางเข้ามาดูโครงการและโอนกรรมสิทธิ์ของผู้ซื้อต่างชาติในช่วง Lockdown ซึ่งจะส่งผลให้มูลค่าตลาดหดตัว 27%YoY และแม้เศรษฐกิจไทยจะมีแนวโน้มทยอยฟื้นตัวในปี 2021 แต่กว่าตลาดที่อยู่อาศัยจะกลับมาอยู่ในระดับเดียวกับช่วงก่อนเกิดวิกฤติไวรัสโควิด-19 (ปี 2562) ก็อาจต้องใช้เวลาอีก 4-5 ปี (ปี 2567-2568) อย่างไรก็ดี ผู้พัฒนาอสังหาฯ ควรติดตามพฤติกรรมการอยู่อาศัยของผู้บริโภค ที่อาจเปลี่ยนไปหลังเกิดวิกฤติ ไวรัสโควิด -19 เพื่อนำมาปรับปรุงการออกแบบ และพัฒนาที่อยู่อาาศัยให้เหมาะสม    
โควิด-19 ทุบความมั่นใจดีเวลลอปเปอร์ ลดต่ำต่อเนื่อง 5 ไตรมาส

โควิด-19 ทุบความมั่นใจดีเวลลอปเปอร์ ลดต่ำต่อเนื่อง 5 ไตรมาส

ผู้ประกอบการอสังหาฯ ไม่มั่นใจตลาด หลังเจอวิกฤตโควิด-19 ดัชนีความเชื่อมั่นลดลงต่อเนื่อง 5 ไตรมาส ขณะที่แนวโน้มอีก 6 เดือนข้างหน้าผู้ประกอบการมองตลาดบวกเล็กน้อย   ปัจจัยที่มีผลต่อการเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์  นอกเหนือจากปัจจัยด้านเศรษฐกิจ กำลังซื้อ และความต้องการของผู้บริโภคแล้ว ทัศนคติและแนวคิดของผู้ประกอบการ ก็นับว่ามีผลสำคัญต่อการสร้างการเติบโตให้กับตลาดอสังหาฯ ไม่น้อย แม้ว่าปัจจัยที่กล่าวมาจะเป็นตัวคาดการณ์ทิศทางของตลาด แต่หากผู้ประกอบการเกิดไม่มั่นใจต่อปัจจัยต่างๆ ดังกล่าวแล้ว ส่วนของซัพพลายหรือจำนวนที่อยู่อาศัยที่ผู้ประกอบการจะพัฒนาออกมาคงไม่เกิดขึ้น   โดยปกติการที่ผู้ประกอบการ พัฒนาโครงการออกมาทำตลาด มักจะเกิดขึ้นจากการนำเอาข้อมูลทางการตลาด มาวิเคราะห์ร่วมกับสภาพเศรษฐกิจโดยรวม แล้วจึงพัฒนาโครงการออกมาตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค นั่นหมายถึงว่า ผู้ประกอบการมีความมั่นใจแล้วว่า ตลาดมีความต้องการ แต่การจะให้การตอบรับกับโครงการนั้น ๆ นั้นหรือไม่ ก็อาจจะมีอีกหลายปัจจัยมาสนับสนุน ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียงของผู้ประกอบการเอง ทำเลในการเลือกพัฒนา แนวทางการทำตลาด และการจับกลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสมหรือไม่ เรื่องของความมั่นใจในตลาดอสังหาฯ ของกรุงเทพฯ และปริมณฑลนั้น  ทางศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) หรือ REIC ได้มีการจัดทำออกมาอย่างต่อเนื่อง  โดยล่าสุด ได้เปิดเผยรายงานดัชนีความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย ในกรุงเทพฯ – ปริมณฑล ในภาวะปัจจุบัน (Current Situation Index) ณ ไตรมาส 2 ปี 2563   โดยรายงาน ระบุว่า ดัชนีคามเชื่อมั่นของผู้ประกอบการมีเท่ากับ 42.6   ลดลงต่ำกว่าค่ากลางที่ 50.0 แต่มีสัญญาณดีขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งมีค่าดัชนีอยู่ที่ 41.2 ดัชนีความเชื่อมั่นฯ ในภาวะปัจจุบันของผู้ประกอบการธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย ลดต่ำกว่าค่ากลางที่ 50.0 ติดต่อกัน 5 ไตรมาส นับตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2562 ซึ่งมีการประกาศใช้มาตรการ Macroprudential หรือมาตรการ LTV ของธนาคารแห่งประเทศไทย ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า ผู้ประกอบการธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยยังมีมุมมองเชิงลบต่อสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการฯ ในไตรมาสนี้เพิ่มขึ้นกว่าไตรมาสก่อนหน้า สาเหตุจากการที่รัฐบาลได้ดำเนินการมาตรการผ่อนคลายการล็อคดาวน์ให้ธุรกิจสามารถกลับมาดำเนินการได้ตามปกติ   แต่ทั้งนี้ ดัชนีก็ยังคงต่ำกว่าค่ากลางที่ระดับ 50.0  โดยเฉพาะกลุ่มบริษัทรายกลางและรายย่อยซึ่งไม่ได้จดทะเบียนบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ มีความเชื่อมั่นต่อสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยในปัจจุบันลดลงอย่างมาก เมื่อแยกกลุ่มผู้ประกอบการฯ ตามประเภทบริษัทพบว่า ความเชื่อมั่นในภาวะปัจจุบันของผู้ประกอบการกลุ่ม Listed Companies มีค่าดัชนีเท่ากับ 45.7 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งมีค่าดัชนีอยู่ที่ 41.7 แต่ยังคงต่ำกว่าค่ากลางที่ระดับ 50.0 ขณะที่ผู้ประกอบการกลุ่ม Non-listed Companies มีค่าดัชนีเท่ากับ 38.0 ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าที่มีค่าดัชนีอยู่ที่ 40.5 และต่ำกว่าค่ากลางที่ระดับ 50.0 สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นในอีก 6 เดือนข้างหน้า (Expectations Index) มีค่าเท่ากับ 51.8 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนหน้า  ซึ่งอยู่ที่ระดับ 51.5  และสูงกว่าค่ากลางที่ระดับ 50.0 สะท้อนให้เห็นว่าผู้ประกอบการคาดว่าอีก 6 เดือนข้างหน้าธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยจะปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย แม้ว่าภาคธุรกิจจะกลับมาดำเนินการได้ตามปกติมากขึ้น และรัฐบาลได้ออกมาตรการต่างๆ เพื่อกระตุ้นภาวะเศรษฐกิจ แต่ผู้ประกอบการยังคงกังวลเกี่ยวกับการระบาดรอบที่สองของเชื้อไวรัสโควิด-19   ผู้ประกอบการฯ กลุ่ม Listed Companies มีค่าดัชนีความเชื่อมั่นในอีก 6 เดือนข้างหน้าเท่ากับ 57.0 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนซึ่งอยู่ที่ระดับ 54.8 แต่ผู้ประกอบการฯ กลุ่ม Non-listed Companies มีค่าดัชนีเท่ากับ 44.1 จุด ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ระดับ 46.4            
เอพี ลุยตลาดอสังหาฯครึ่งปีหลัง เปิด 26 โปรเจ็กต์แนวราบ มูลค่า 26,000 ล้าน

เอพี ลุยตลาดอสังหาฯครึ่งปีหลัง เปิด 26 โปรเจ็กต์แนวราบ มูลค่า 26,000 ล้าน

เอพี ลุย 26 โปรเจ็กต์แนวราบ มูลค่า 26,000 ล้าน ในช่วงครึ่งปีหลัง พร้อมปักหมุด 5 จังหวัดในภูธร ชิมลางทำตลาด ปั้นแบรนด์ใหม่ “อภิทาวน์” มั่นใจทั้งปียังคงทำยอดขาย 33,500 ล้าน และ รายได้ 40,550 ล้าน ตามเป้าหมาย แม้ครึ่งปีแรกมีสถานการณ์โควิด-19 แต่ยังเติบโตสวนกระแส มีลุ้นไตรมาส 2 ทำสถิติสร้างรายได้สูงสุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท   แม้ว่าประเทศไทยต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน ที่ทำให้หลายธุรกิจได้รับผลกระทบอย่างหนัก บางแห่งต้องปิดกิจการและเลิกจ้างพนักงาน หรือไม่ก็เปิดกิจการชั่วคราว แต่ดูเหมือนว่าในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ปีนี้  ในวิกฤตที่เกิดขึ้นกลับกลายเป็นโอกาสทางการตลาดอย่างที่ผู้ประกอบการหลายรายคาดคิดมาก่อน  เพราะผู้ประกอบการหลายราย แม้ว่าจะได้รับผลกระทบ ต้องปรับแผนธุรกิจและปรับตัวหาหนทางการอยู่รอด แต่ในมุมบวกกลับสามารถทำยอดขายและยอดโอนได้จำนวนมาก มากชนิดที่ทุบสถิติยอดขายและยอดโอนในภาวะสภาพตลาดปกติด้วยซ้ำ ​   หนึ่งในผู้ประกอบการที่สามารถสร้างยอดขายและยอดโอนเติบโตได้ดีนั้น คือ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ AP ที่สามารถสร้างยอดขายในช่วงครึ่งปีแรกได้มากถึง 15,085 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 45% ของเป้าหมายยอดขายในปีนี้ที่คาดว่าจะทำได้ 33,500 ล้านบาท โดยส่วนรายได้น่าจะทำได้สูงกว่าผลการดำเนินงานในอดีตที่ผ่านมา โดยเฉพาะไตรมาส 2 ซึ่งปกติจะเป็นไตรมาสที่ทำรายได้ได้ต่ำสุดในรอบปี  แต่ปีนี้คาดว่าจะเป็นไตรมาสที่สร้างรายได้ได้สูงที่สุดกว่าไตรมาส 2 ของทุกปีที่ผ่านมา และอาจจะสูงสุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมาเกือบ 30 ปีด้วยซ้ำ     นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บริษัท  เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า  วิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เปรียบเหมือนเป็นซูเปอร์โนวาที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก สร้างผลกระทบที่ใหญ่และรุนแรงกว่าวิกฤตครั้งไหนในอดีต ซึ่งตลอด 6 เดือนที่ผ่านมาบริษัทดำเนินงานด้วยความระมัดระวัง ควบคู่ไปกับการปรับแผนงานให้สอดรับกับสถานการณ์ในแต่ละช่วงเวลา โดยมี EMPOWER LIVING เป็นจุดมุ่งหมายสำคัญขององค์กร   โดยแนวโน้มการโอนกรรมสิทธิ์ในไตรมาส 2 ของปีนี้ คาดว่าจะดีกว่าทุกไตรมาส 2 ที่บริษัทเคยทำได้ ซึ่งไตรมาส 2 ที่มียอดโอนกรรมสิทธิ์สูงสุด คือ ปี 2561 มีมูลค่า 10,000 ล้านบาท และน่าจะมียอดโอนกรรมสิทธิ์สูงสุดในประวัติศาสตร์การก่อตั้งบริษัท ซึ่งเคยทำยอดโอนสูงสุดในช่วงไตรมาส 4 ปี 2559 มูลค่า 11,500 ล้านบาท สำหรับความสำเร็จในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา น่าจะเกิดจากการปรับตัวของบริษัท ในการตอบสนองความต้องการของลูกค้า แม้ว่าจะอยู่ในช่วงโควิด-19 แต่ลูกค้ายังสามารถตรวจห้องผ่านระบบออนไลน์ได้ การชมห้องตัวอย่างหรือโครงการได้ผ่านออนไลน์ รวมถึงการนำเอาเทคโนโลยีมาช่วย  และการจัดโปรโมชั่นเกือบทุกสัปดาห์ มาสร้างความสำเร็จดังกล่าว ​ นายวิทการ กล่าวอีกว่า ในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทไม่ได้เปิดตัวคอนโดมิเนียมโครงการใหม่  แต่ขายโครงการเดิมที่มีอยู่ ซึ่งตลาดยังให้การตอบรับที่ดี มียอดขายกว่า 2,200 ล้านบาท ขณะที่บางกอก ซิตี้สมาร์ท (BC) บริษัทในเครือ ยังสามารถทำยอดขายกลุ่มคอนโดได้สูงกว่า 4,200 ล้านบาท แสดงให้เห็นถึงการตอบรับของตลาดคอนโดว่ายังมีต่อเนื่อง และยังคาดว่าภายในสิ้นปีนี้บีซี จะสามารถสร้างยอดขายคอนโดได้ถึง 10,000 ล้านบาทด้วย   ในปีนี้บริษัทจึงมั่นใจว่าจะสามารถรักษาเป้าหมายการเติบโตของบริษัทตามแผนธุรกิจไว้ได้ โดยคาดว่าจะทำยอดขายได้ 33,500 ล้านบาท รายได้ 40,550 ล้านบาท ซึ่งในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทยังเตรียมเปิดตัวโครงการใหม่อีก 26 โครงการ  มูลค่า 26,000 ล้านบาท โดยเป็นโครงการแนวราบทั้งหมด แบ่งเป็นโครงการในเขตกรุงเทพฯ 21 โครงการ  มูลค่า 21,300 ล้านบาท และในพื้นที่ 5 จังหวัด มูลค่า 4,700 ล้านบาท   ครึ่งปีหลังบริษัทยังไม่มีแผนเปิดโครงการคอนโดมิเนียม เนื่องจากสถานการณ์ปัจจุบันยังไม่เหมาะสมในการเปิดตัวโครงการใหม่ แต่มีที่ดิน 4-5 แปลงสำหรับพัฒนาโครงการไว้พร้อมแล้ว  โดยจะพิจารณาตามความเหมาะสมของตลาด แต่คาดว่าน่าจะเลื่อนการเปิดตัวโครงการคอนโดไปในปีหน้าแทน     สำหรับการพัฒนาโครงการในต่างจังหวัด ได้พัฒนาโครงการภายใต้แบรนด์ อภิทาวน์ เป็นโครงการรูปแบบมิกซ์โปรดักส์ ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม ระดับราคา 1.5-9 ล้านบาท ซึ่งจะเริ่มต้นพัฒนาโครงการแรกที่จังหวัดนครราชสีมา ในเดือนกันยายน หลังจากนั้นจะเปิดตัวอีก 4 โครงการใน 4 จังหวัด ได้แก่ ระยอง อยุธยา ขอนแก่น และเชียงราย   ครึ่งปีหลังมีอีก 2 โครงการคอนโดที่จะก่อสร้างแล้วเสร็จ และรับรู้รายได้  ตั้งแต่เดือนสิงหาคมนี้. ได้แก่ LIFE อโศก-พระราม 9 มูลค่า 9,800 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 94% และ ASPIRE อโศก-รัชดา มูลค่า 2,900 ล้านบาท ปัจจุบันมีขาย 95%   บริษัทมีโครงการคอนโดอยู่ระหว่างการขาย 18 โครงการ มูลค่า 21,000 ล้านบาท  ซึ่ง ณ วันที่ 31 มิถุนายน 2563 บริษัทมีสินค้ารอรับรู้รายได้รวมโครงการร่วมทุน (Backlog) มูลค่า 56,149 ล้านบาท เป็นโครงการแนวราบ มูลค่า 13,234 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะรับรู้ทั้งหมดภายในปีนี้ และคอนโด มูลค่า 42,915 ล้านบาท จะทยอยรับรู้ในปีนี้ประมาณ 15,602 ล้านบาท ส่วนที่เหลือทยอยรับรู้ไปจนถึงปี 2566
MJD ลุยตลาดบ้านซูเปอร์ลักชัวรี่รอบ 20 ปี ปักหมุด 2 ทำเลสุขุมวิท-อารีย์

MJD ลุยตลาดบ้านซูเปอร์ลักชัวรี่รอบ 20 ปี ปักหมุด 2 ทำเลสุขุมวิท-อารีย์

เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ลุยโปรเจ็กต์แนวราบ รอบ 20 ปี เปิดตัว “Malton Private Residences” จับตลาดซูเปอร์ลักชัวรี่  2 ทำเลใจกลางเมือง  สุขุมวิท และอารีย์ ราคาเริ่มต้น 62 ล้านบาท พร้อมเลื่อน 3 โปรเจ็กต์คอนโดไปปี 64 หนีสถานการณ์ไวรัสโควิด-19   นางสาวเพชรลดา พูลวรลักษณ์ กรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ MJD เปิดเผยว่า แผนธุรกิจในปี 2563 เดิมได้เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ 5 โครงการ มูลค่าประมาณ 20,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียม 3 โครงการ และโครงการแนวราบ 2 โครงการ แต่จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้บริษัทต้องเลื่อนการเปิดตัวโครงการคอนโดไปในปี 2564 แทน     โดยเป้าหมายรายได้ในปีนี้ บริษัทคาดว่าจะใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ซึ่งในปี 2562 บริษัทมีรายได้รวม 6,279.91 ล้านบาท ซึ่งแม้ว่าปีนี้จะเลื่อนการเปิดตัวโครงการใหม่ออกไปในปีหน้า แต่ไม่ส่งผลกระทบต่อรายได้ของบริษัท เนื่องจากยังมีโครงการอยู่ระหว่างการขายประมาณ​ 11,000 ล้านบาท เป็นโครงการอยู่ระหว่างการก่อสร้าง 3,000 ล้านบาท   คิดว่าโควิด-19 น่าจะอยู่ระยะยาว ปีนี้ทั้งปี เราจะโฟกัส เน้นระบายสต็อกให้ได้มากและเร็วที่สุด เท่าที่จะทำได้   ขณะที่แนวโน้มผลประกอบการในช่วงไตรมาสที่ 2 คาดว่าจะทำได้ดีกว่าหรือใกล้เคียงกับผลประกอบการในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ ที่มีรายได้รวม 2,023.64 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปี 2562 ในอัตรา 40% เนื่องจากมีการจัดแคมเปญการตลาด โดยเฉพาะแคมเปญ Secret Deal โปรลับ!! ดีลพิเศษ ที่สามารถสร้างยอดขายได้กว่า 700 ล้านบาท   นางสาวเพชรลดา กล่าวอีกว่า สำหรับแผนการเปิดตัวแนวราบ 2 โครงการในปีนี้ ได้เปิดตัวโครงการ “Malton Private Residences” แบรนด์บ้านระดับซูเปอร์ลักชัวรี่  2 ทำเล ได้แก่สุขุมวิทและอารีย์  มูลค่ารวมกว่า 1,150  ล้านบาท  ซึ่งโครงการแรก  คือ โครงการ Malton Private Residences Sukhumvit 31 มูลค่า 550 ล้านบาท ตั้งอยู่บนพื้นที่ 1-1-98.8 ไร่ ในทำเลใจกลางสุขุมวิทที่มีความเป็นส่วนตัวอย่างซอยสวัสดี ประกอบด้วยบ้านระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ 4 ชั้น จำนวนเพียง 7 ยูนิต ขนาดพื้นที่ดิน 52.4-72.3 ตร.ว. ขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 451-555 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 68 ล้านบาท   ส่วนโครงการที่ 2 ได้แก่ โครงการ Malton Private Residence Ari มูลค่า 600 ล้านบาท ตั้งอยู่บนพื้นที่ 1-1-97.7 ไร่ ใน ซ.พหลโยธิน 8 (ซอยสายลม) ย่านอารีย์ อีกหนึ่งย่านที่เป็นย่านอยู่อาศัยที่มีลักษณะเฉพาะตัวเพราะเป็นทั้งแหล่งงานและแหล่งไลฟ์สไตล์ ประกอบด้วยบ้านระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ 5 ชั้น จำนวนเพียง 8 ยูนิต ขนาดพื้นที่ดิน 50.1-64.0 ตร.ว. ขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 489-526 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 62 ล้านบาท   สำหรับการเปิดตัวโครงการแนวราบครั้งนี้ ถือว่าเป็นการหันมาพัฒนาโครงการแนวราบในรอบเกือบ 20 ปี และเป็นแบรนด์ที่ 2 ต่อจากแบรนด์แรก คือ โครงการการ์เด้นท์ วิลล์ คสัสเตอร์โฮม ​​ซึ่งในอนาคตบริษัทยังวางแผนพัฒนาโครงการแนวราบอย่างต่อเนื่อง โดยปีนี้บริษัทวางงบประมาณในการซื้อที่ดิน เพื่อพัฒนาโครงการต่อเนื่อง 2,000-3,000 ล้านบาท   น.ส.เพชรลดา กล่าวเพิ่มเติมว่า ตลาดระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ ถือเป็นตลาดที่ยังมีความต้องการสูง และเป็นตลาดที่ยังสามารถขับเคลื่อนไปได้ในทุกสภาวะเศรษฐกิจ เพราะกลุ่มลูกค้าเป้าหมายมีความอ่อนไหวต่อปัจจัยภายนอกค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับตลาดเซ็กเมนท์อื่นๆ ขณะเดียวกัน ยังเป็นตลาดที่ไม่ค่อยมีซัพพลายใหม่ เนื่องจากที่ดินในการพัฒนาโครงการใหม่ค่อนข้างหายาก โดยเฉพาะบ้านจัดสรรที่มีซัพพลายใหม่ค่อนข้างน้อย แต่คุ้มค่ากว่าเพนท์เฮาส์ด้วยพื้นที่ใช้สอยและความเป็นส่วนตัวที่มากกว่า  
เสนา ลุยทำเล ลำลูกกาคลอง 6 ขึ้นโปรเจ็กต์ทาวน์โฮมติดโซลาร์รายแรก

เสนา ลุยทำเล ลำลูกกาคลอง 6 ขึ้นโปรเจ็กต์ทาวน์โฮมติดโซลาร์รายแรก

เสนา ปักหมุดโปรเจ็กต์ ทาวน์โฮมติดโซลาร์ รายแรกของไทย พร้อมลุยตลาดย่านลำลูกกาคลอง 6 โปรเจ็กต์แรกของปีนี้ หลังมองเห็นศักยภาพของทำเล และดีมานด์ยังเพิ่มสูง ตลาดเหลือขายไม่ถึง 1,000 ยูนิต เปิดพรีเซลล์อย่างเป็นทางการ 18-19 ก.ค.นี้ หวังยอดขาย 20 ล้าน   นายประกิต อัครเสรีนนท์ ผู้ช่วย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (SENA)เปิดเผยว่า ได้เตรียมเปิดตัวพรีเซลล์อย่างเป็นทางการ โครงการเสนา วิลล์ ลำลูกกา คลอง 6 มูลค่า 800 ล้านาท ในวันที่ 18-19 กรกฎาคมนี้ ซึ่งว่าจะทำยอดขายได้ประมาณ 20 ล้านบาท จากปัจจุบันมียอดขายโครงการแล้วประมาณ​80 ล้านบาท โดยโครงการดังกล่าวเป็นโครงการทาวน์โฮมติดโซลาร์โครงการแรกของประเทศไทย ในรูปแบบทาวน์โฮมขนาด 2 ชั้น ติดตั้งระบบโซลาร์ขนาด 1.28 กิโลวัตต์ สำหรับโครงการเสนา วิลล์ ลำลูกกา คลอง 6 ถือเป็นโครงการแรกที่เปิดตตัว หลังจากนี้วางแผนจะเปิดตัวโครงการในรูปแบบดังกล่าวอีก 1 โครงการในช่วงปลายปี ภายใต้แบรด์เสนา วีว่า บริเวณพุทธมณฑลสาย 7 ซึ่งเป็นรูปแบบทาวน์โฮมขนาด 2 ชั้น เนื้อที่เริ่มต้น 18 ตารางวา ซึ่งเป็นโครงการทาวน์โฮมติดโซลาร์เช่นกัน   การที่บริษัทหันมาพัฒนาโครงการทาวน์โฮมขนาด 2 ชั้น หลังจากหยุดพัฒนาโครงการขายมานานนับ 10 ปี เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการอยู่อาศัยของคนในยุคปัจจุบัน ที่สนใจบ้านแนวราบมากขึ้น เพราะต้องการพื้นที่สำหรับการทำงานที่บ้าน และกำลังซื้อที่ชะลอตัวลงจึงต้องทำบ้านขนาดเล็ก ขณะที่การเปิดตัวโครงการในย่านลำลูกกาคลอง 6 ซึ่งถือเป็นโครงการเดียวในย่านดังกล่าว ที่เปิดตัวในปีนี้ ส่วนใหญ่โครงการที่เปิดการขาย เป็นโครงการเก่าซึ่งเปิดตัวมาก่อนหน้าแล้วหลายปี เป็นเพราะบริษัทมองว่าเป็นทำเลที่ยังมีศักยภาพ ตลาดยังมีความต้องการ และเป็นทำเลที่มีการเดินทางสะดวกสบาย  ปัจจุบันในทำเลดังกล่าวมีสินค้าเหลือในตลาดประเภทบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมไม่ถึง 1,000 ยูนิต   กลุ่มเป้าหมายที่บริษัทมอง เป็นกลุ่มผู้ทำงานในย่านสายไหม หทัยราษฎร์ และลำลูกกา มีรายได้เฉลี่ยต่อครัวเรือน 25,000-30,000 บาท ซึ่งที่ผ่านมาพบว่าย่านนี้มีอัตราการขายที่ดีต่อเนื่องเฉลี่ย 4-5 ยูนิตต่อเดือน สำหรับแผนที่ในปีนี้ บริษัทจะเปิดโครงการทั้งหมด 10 โครงการ มูลค่า 7,500 ล้านบาท โดยในไตรมาส 3 และไตรมาส 4 จะเปิด 7 โครงการ ดังนี้  1.เดอะ คิทท์ พลัส พหลโยธิน-คูคต (เฟส 2) 2.เสนา วิลเลจ รังสิต-ติวานนท์ 3.เสนา เวล่า เทพารักษ์-บางบ่อ 4.เสนา คิทท์ เทพารักษ์-บางบ่อ 5.โครงการ ปีติ สมเด็จเจ้าพระยา 6. นิช ไพรด์ บางโพ และ 7. เสนา วีว่า เทพารักษ์  โดยในปีนี้บริษัทยังคงตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 11,500 ล้านบาท และรายได้ 10,600 ล้านบาท ส่วนผลการดำเนินงานในช่วง  6 เดือนแรกของปีนี้ กลุ่มบ้านแนวราม บริษัทมียอดขายแนวราบ 500 ล้านบาท จากที่ตั้งเป้าหมายในปีนี้ไว้ 1,800 ล้านบาท  ซึ่งรายได้จากกลุ่มแนวราบ ปัจจุบันมีสัดส่วน 15-16% จากรายได้รวม ในอนาคตบริษัทจะเพิ่มสัดส่วนแนวราบมากขึ้น ตามแนวโน้มและความต้องการของสภาพตลาด   สำหรับโครงการ เสนา วิลล์ ลำลูกกา คลอง 6 พัฒนาทาวน์โฮม 2 ชั้น หน้ากว้าง 5.5 เมตร ที่ดินเริ่ม 22 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 138 ตารางเมตร 4 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ พร้อมที่จอดรถ 1 คัน ราคาเริ่ม 2.49 ล้านบาท  
“ทริปเปิ้ล วายโฮเทล” เปิดแผนครึ่งปีหลังดึงลูกค้าเข้าพักตามเป้า 40%

“ทริปเปิ้ล วายโฮเทล” เปิดแผนครึ่งปีหลังดึงลูกค้าเข้าพักตามเป้า 40%

"ทริปเปิ้ล วายโฮเทล" เปิดแผนครึ่งปีหลัง  ทำการตลาดอัดโปรโมชั่น พร้อมร่วมมือกับพันธมิตรทั้งในและนอกบริษัท จับตลาดกลุ่มลูกค้าองค์กร ดึงยอดอัตราเข้าพักให้ได้ตามเป้า 40%     การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19  ที่เกิดขึ้น ได้ส่งผลกระทบทั้งชีวิตความเป็นอยู่ของคน และการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการจำนวนมาก ซึ่งหนึ่งในธุรกิจที่ถือว่าได้รับผลกระอย่างหนัก คือ ธุรกิจโรงแรม เพราะส่วนใหญ่ต้องปิดกิจการชั่วคราว เนื่องจากไม่มีลูกค้าเข้าพัก โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าต่างชาติ  ซึ่งไม่สามารถเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยได้  เพราะธุรกิจโรงแรมจะพึ่งพากลุ่มลูกค้าหลัก คือ กลุ่มนักท่องเที่ยว   ช่วงที่ผ่านมาหลาย ๆ โรงแรม ได้พยายามปรับตัว และหาหนทางในการเปิดดำเนินธุรกิจ เพื่อให้พนักงานยังคงมีการทำงาน และได้รับค่าจ้างตามปกติ แม้ว่าอัตราเข้าพักจะน้อย และบางช่วงเวลาไม่มีลูกค้าเข้าพักเลยก็ตาม  สำหรับโรงแรมทริปเปิ้ล วาย โฮเทล ธุรกิจโรงแรมในของบริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งอยู่ในโครงการสามย่านมิตรทาวน์  ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน นายวิทวัส คุตตะเทพ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานโครงการเชิงพาณิชยกรรม บริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วง 4 เดือนแรกของการเปิดให้บริการ ตั้งแต่เดือนกันยายน 2562 - มกราคม 2563 ก่อนเกิดวิกฤตไวรัสโควิด-19 โรงแรมมียอดใช้บริการเฉลี่ยกว่า 75% แม้เพียงเป็นการเปิดในปีแรก แต่หลังจากเริ่มมีการล็อคดาวน์จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และการออกมาตรการเข้มงวดของภาครัฐ ทำให้ยอดผู้ใช้บริการลดลงเหลือเพียง 8%   ปัจจุบันสถานการณ์เริ่มปรับตัวดีขึ้น โรงแรมมีจำนวนผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นเป็น 20% โดยคาดว่าภายในสิ้นเดือนอัตราเข้าพักจะเพิ่มขึ้นเป็น 25% ซึ่งคาดว่าภายในสิ้นปีนี้ อัตราเข้าพักน่าจะมีค่าเฉลี่ยประมาณ 40% ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายที่คาดว่าอัตราเข้าพักจะเป็น 50% ​เนื่องจากยังไม่แน่ใจสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะเกิดรอบ 2 หรือไม่ รวมถึงต้องดูสถานการณ์ในช่วงครึ่งปีหลัง และมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวของภาครัฐ นายวิทวัส กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาโรงแรมฯ ได้ปรับตัวและปรับรูปแบบการให้บริการหลายส่วน โดยยึดมั่นให้ความสำคัญการประคับประคอง ลูกค้า พนักงาน และพันธมิตรทางการค้า ให้ผ่านพ้นไวรัสโควิด-19 ไปด้วยกัน ซึ่งยังคงเปิดทำการได้อย่างเต็มรูปแบบ ไม่มีการลดหรือปิดส่วนใดของโรงแรมตลอดวิกฤตการณ์  รวมถึงยังจัดทำแคมเปญกระตุ้นตลาด อาทิ ช่วงเดือนมิถุนายน ขาย Voucher ห้องพักแบบ Deluxe ในราคาพิเศษ 999 บาทไม่รวมอาหารเช้า ซึ่งสามารถเข้าพักได้ถึง 31 ตุลาคม 2563   ขณะที่เดือนกรกฎาคม ที่ภาครัฐปลดล็อคเต็มที่มากขึ้น โรงแรมได้จัดโปรโมชั่นต่อเนื่อง  โดยจัดแคมเปญขาย Voucher ห้องพักแบบ Deluxe ในราคา 1,299 บาท ไม่รวมอาหารเช้า พร้อมกับโปรโมชั่นซื้อครบ 5 ใบ แถม 1 ใบฟรี และยังสามารถเข้าพักได้ถึง 31 ตุลาคม 2563   โดยแผนช่วงครึ่งปีหลัง โรงแรมยังวางแผนการทำตลาด ด้วยการจับมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ อาทิ  วิคเตอร์คลับ (Victor Club) ห้องประชุมของกลุ่มโกลเด้นแลนด์ และสามย่านมิตรทาวน์ฮอลล์ (Samyan Mitrtown Hall) ห้องประชุม และฮอลล์อเนกประสงค์ของสามย่านมิตรทาวน์ ในการทำตลาดร่วมกัน เช่น ผู้ที่มาจัดงานอีเวนต์หรืองานประชุมสัมมนา ให้เข้าพักในโรงแรม การร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในลักษณะเช่นเดียวกัน นอกจากนี้  ทางโรงแรมยังวางแผนเข้าทำตลาดกับกลุ่มเป้าหมายบริษัท และองค์กรที่ต้องการใช้พื้นที่จัดงานประชุม สัมมนา และงานอีเวนต์ต่าง ๆ ให้เข้ามาใช้พื้นที่ของโครงการสามย่านมิตรทาวน์และโรงแรมทริปเปิ้ลวาย รวมถึงกลุ่มผู้ป่วยชาวต่างชาติที่เข้ามารับการรักษาพยาบาลในประเทศไทย ซึ่งทางโรงแรมเริ่มเข้าไปติดต่อกับโรงพยาบาลใกล้เคียงบ้างแล้ว   นายวิทวัส กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันโรงแรมส่วนใหญ่ยังไม่ได้กลับมาเปิดให้บริการปกติ โดยเฉพาะโรงแรมระดับ 5 ดาว เนื่องจากโรงแรมต้องมีค่าบริหารจัดการจำนวนมาก ทำให้ยังต้องรอให้ตลาดกลับมาฟื้นตัว ส่วนแนวโน้มตลาดโรงแรมน่าจะกลับมาฟื้นตัวอย่างชัดเจนภายในปี 2565 เพราะเชื่อว่าปีหน้าการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะยังไม่หายไปจากประเทศไทย หรือจนกว่าจะมีการค้นพบวัคซีน  
โควิด-19 ทุบตลาดอสังหาฯ คอนโด – บ้านจัดสรร ลดราคาขาย 36%

โควิด-19 ทุบตลาดอสังหาฯ คอนโด – บ้านจัดสรร ลดราคาขาย 36%

โควิด-19 ทุบราคาขายคอนโด - บ้านจัดสรร ไตรมาส 2 ลดลงต่อเนื่องสูงถึง 36% แม้แต่คอนโดสร้างเสร็จติดรถไฟฟ้า หลังผู้บริโภคไม่มั่นใจเศรษฐกิจและถูกเลิกจ้าง  หวั่นเกิดสงครามราคา หากดีเวลลอปเปอร์ยังลดราคาต่อเนื่อง   ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และมาตรการล็อกดาวน์ประเทศเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรค ส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจจำนวนมาก หลายธุรกิจต้องหยุดดำเนินการชั่วคราว แต่ก็มีหลายธุรกิจที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจนถึงขั้นต้องปิดกิจการลงเลยก็มี  ผลกระทบต่อเนื่อง ก็คงเป็นการเลิกจ้างแรงงานจำนวนมาก   การเลิกจ้างแรงงาน ยังส่งผลกระทบต่อเนื่อง ไปยังหลายธุรกิจด้วยกัน หนึ่งในนั้น คือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เพราะทำให้กำลังซื้อในตลาดที่อยู่อาศัยลดลง หรือแม้แต่พนักงานที่ไม่ได้ถูกเลิกจ้าง ก็เกิดความกังวลใจในอาชีพและรายได้ในอนาคต  ผู้ที่วางแผนจะซื้อที่อยู่อาศัยจึงชะลอการตัดสินใจซื้อออกไปก่อน ทำให้ผู้ประกอบการอสังหาฯ  ต้องออกแคมเปญการตลาดมากระตุ้น เพื่อให้มียอดขายและสร้างรายได้ต่อเนื่อง   แคมเปญการตลาดช่วงที่ผ่านมา จึงถือว่าผู้ประกอบการ “จัดหนัก” มากที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา หรือแทบจะเรียกได้ว่า ไม่เคยจัดแคมเปญมากมายขนาดนี้มาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการผ่อนให้ก่อน ให้ผู้ซื้อได้อยู่ฟรีมากสุดถึง 5 ปี หรือแม้แต่การลดราคาขาย ซึ่งมากที่สุดก็คือ ลดราคากันไปเลย 50%  ทำให้ราคาขายบ้านและคอนโดมิเนียมช่วงที่ผ่านมา ลดต่ำลงจากก่อนหน้านี้อย่างมาก จากปกติราคาอสังหาฯ จะต้องปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง  ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ รักษาผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ หรือ REIC  เปิดเผยรายงานดัชนีราคาที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างการขาย ในกรุงเทพฯ - ปริมณฑล ไตรมาส 2 ปี 2563 พบว่า โครงการอาคารชุด มีการลดราคาขายมากที่สุดถึง 36%  โครงการทาวน์เฮ้าส์มีการลดราคาขายมากที่สุดถึง 32% ขณะที่โครงการบ้านเดี่ยวมีการลดราคาขายมากที่สุดถึง 12%   ทั้งนี้ หากสถานการณ์การลดราคาขายที่อยู่อาศัยสร้างใหม่ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง จนเกิดสงครามราคา (Price war) อาจส่งผลกระทบต่อตลาดบ้านมือสองที่ต้องลดราคาขายเพื่อแข่งขันกับที่อยู่อาศัยสร้างใหม่ และจะมีผลต่อมูลค่าทรัพย์สินของสถาบันการเงิน และวงเงินกู้ของผู้ซื้อบ้านที่จะต้องลดลงตามราคาขาย   ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และมาตรการล็อกดาวน์ประเทศ เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรค มีการปิดกิจการและลดการจ้างแรงงานในหลายธุรกิจ ส่งผลต่อกำลังซื้อที่อยู่อาศัยมีการชะลอตัวเป็นอย่างมาก ทำให้ผู้ประกอบการต้องเร่งระบายสต็อกหน่วยสร้างเสร็จเหลือขาย ด้วยการลดราคาขาย   สำหรับในไตรมาส 2 ปี 2563  ดัชนีราคาบ้านจัดสรรใหม่ที่อยู่ระหว่างการขาย ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีค่าดัชนีเท่ากับ 128.3 เพิ่มขึ้น 1.9% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน  แต่ลดลง 0.1 % เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ดัชนีราคาบ้านจัดสรรลดลงเป็นครั้งแรก ตั้งแต่ปี 2555 ซึ่งศูนย์ข้อมูลฯ ได้เริ่มจัดทำดัชนีราคาบ้านจัดสรร   ส่วนดัชนีราคาบ้านเดี่ยวที่อยู่ระหว่างการขาย  มีค่าดัชนีเท่ากับ 126.6 เพิ่มขึ้น 2.3% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา แต่ลดลง 0.1% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และดัชนีราคาทาวน์เฮ้าส์ที่อยู่ระหว่างการขาย มีค่าดัชนีเท่ากับ 130.2  เพิ่มขึ้น 1.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 0.1% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า   ขณะที่ดัชนีราคาคอนโดใหม่ที่อยู่ระหว่างการขาย ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ในไตรมาส 2 ปี 2563 มีค่าดัชนีเท่ากับ 153.2 เพิ่มขึ้น 1.8% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า แต่ลดลง 0.1% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งดัชนีราคาคอนโดลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 2 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า โดยโครงการคอนโดที่ปรับลดราคาลงมากที่สุด เป็นโครงการคอนโดสร้างเสร็จเหลือขายทำเลปลายสายรถไฟฟ้าสายสีเขียวในจังหวัดสมุทรปราการ ส่วนทำเลที่โครงการอาคารชุดปรับราคาเพิ่มขึ้น เป็นโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างทำเลแนวเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีเหลือง และสายสีส้มที่อยู่ระหว่างก่อสร้างในขณะนี้    
“แอสเซทไวส์” แบ่งเฟสขาย “โมดิซ ไรห์ม รามคำแหง” รับมือโควิด-19

“แอสเซทไวส์” แบ่งเฟสขาย “โมดิซ ไรห์ม รามคำแหง” รับมือโควิด-19

แอสเซทไวส์ ปรับแผนขาย “โมดิซ ไรห์ม รามคำแหง” รับมือโควิด-19 แบ่งเป็น 2 เฟส พร้อมออกแบบสอดคล้องกับวิถีชีวิต New Normal พร้อมเดินหน้าลุย 2 โปรเจ็กต์ใหม่ ครึ่งปีหลัง ปั้นรายได้สิ้นปี 3,500 ล้าน  ขณะที่แผนระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ เดินหน้ายื่นไฟลิ่ง   นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภายหลังจากเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 บริษัทได้ปรับแผนการพัฒนาโครงการ “โมดิซ ไรห์ม รามคำแหง” (Modiz Rhyme Ramkhamhaeng) ใหม่ จากเดิมจะพัฒนาเป็นโครงการขนาดสูงเพียง 1 อาคาร มูลค่าประมาณ ​5,000 ล้านบาท และเปิดตัวขายในครั้งเดียว แต่ได้ปรับแผนใหม่ ด้วยการพัฒนาเป็นอาคารสูง 2 อาคาร และแบ่งการขายออกเป็น 2 เฟส แต่ยังคงมีมูลค่าประมาณ 5,000 ล้านบาท และจำนวนยูนิตใกล้เคียงเดิม โดยเริ่มต้นเปิดการขายโครงการ “โมดิซ ไรห์ม รามคำแหง” เฟสแรกในเดือนกรกฏาคมนี้ ด้วยการขายอาคารด้านหน้า ที่ประกอบด้วยคอนโดมิเนียมไฮไรส์สูง 30 ชั้น ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 2 ไร่ แบ่งเป็นที่พักอาศัย จำนวน 546 ยูนิต และไลฟ์สไตล์ รีเทล จำนวน 9 ยูนิต มูลค่าโครงการรวมกว่า 1,790 ล้านบาท ซึ่งมีราคาเริ่มต้น 1.89 ล้านบาท ในขนาด 23.38 ตารางเมตร โดยอาคารเฟสแรกคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในช่วงไตรมาส 4 ปี 2565   ส่วนโครงการในเฟสที่ 2 บริษัทจะเปิดการขาย โดยดูจากกระแสตอบรับจากการขายในเฟสแรกก่อน ซึ่งบริษัทคาดว่าภายในระยะเวลา 4-6 เดือนน่าจะมียอดพรีเซลล์ประมาณ 50% แต่กำหนดการก่อสร้างของเฟส 2 ยังเป็นไปตามแผน ซึ่งคาดว่าจะก่อนสร้างแล้วเสร็จในช่วงปี 2567 นอกจากการปรับรูปแบบการพัฒนาโครงการและการขายแล้ว บริษัทยังได้ปรับงานดีไซน์และรูปแบบห้อง ให้มีความเหมาะสมกับการอยู่อาศัยของผู้บริโภคในยุค New Normal ด้วย โดยเน้นใน 3 เรื่องหลัก ได้แก่ 1.Multi-Living Space New Normal  การออกแบบให้พื้นที่ต่าง ๆ สามารถใช้ได้จริง และมีความหลากหลายในการใช้งาน 2.Residence Utilization การเพิ่มพื้นที่ตามความต้องการของผู้อยู่อาศัย  โดยเฉพาะในด้านสุขภาพ จึงมีการเพิ่มพื้นที่ Health Station สำหรับการบริการด้านสุขภาพ 3.Virtual Community การนำแอปพลิเคชั่น หรือเทคโนโลยีต่าง ๆ  เข้ามาปรับใช้ เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายแก่ลูกค้า เช่น การนำ Telemedicine มาบริการภายในโครงการ เป็นต้น   ส่วนแผนธุรกิจของบริษัทในปีนี้ ยังเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยช่วงครึ่งปีหลัง ยังเตรียมเปิดตัวอีก 2 โครงการ ได้แก่ โครงการโมดิช ธรรมศาสตร์ รังสิต มูลค่า 1,200 ล้านบาท และโครงการบ้านภูริปุรี พัฒนาการ มูลค่า 500 ล้านบาท โดยในปีนี้คาดว่าบริษัทจะมีรายได้ 3,500 ล้านบาท โดยช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมายังทำรายได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ ซึ่งในช่วงปลายปีจะมีโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จ และรับรู้รายได้ในปีนี้ต่อเนื่องไปถึงปีหน้าอีก 2 โครงการ มีมูลค่าโครงการรวม 3,400 ล้านบาทด้วย สำหรับแผนการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ยังคงเป็นไปตามแผนที่วางไว้ ซึ่งล่าสุดได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวน (Filing) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อขอเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน ให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) เรียบร้อย เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคมที่ผ่านมา และน่าจะได้รับการพิจารณาภายใน 120 วัน โดยการเข้าระดมทุนและจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ครั้งนี้ บริษัทต้องการเพิ่มศักยภาพการเติบโตให้บริษัท ซึ่งในแต่ละปีวางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ปีละ 4-6 โครงการ มูลค่า 4,000-5,000 ล้านบาท      
ตลาดคอนโด จ.ภูเก็ต ปี 63  ซัพพลายเหลือเพียบ ฉุดตลาดชะลอตัว

ตลาดคอนโด จ.ภูเก็ต ปี 63  ซัพพลายเหลือเพียบ ฉุดตลาดชะลอตัว

บรรดาเมืองท่องเที่ยวชายทะเล ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ  อันดับแรก ๆ ของเมืองไทย  ในการเข้ามาทั้งท่องเที่ยวระยะสั้น และการพักอาศัยอาศัยระยะยาว  คงหนีไม่พ้น จ.ภูเก็ต เพราะถือว่ามีความสวยงามทางธรรมชาติ และความพร้อมด้านสาธารณูปโภคครบ ส่งผลให้จ.ภูเก็ต เกิดการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ หลากหลายรูปแบบ ทั้งโครงการวิลล่า โรงแรม คอนโดมิเนียม หรือบ้านจัดสรรจำนวนมาก เพื่อรองรับกับความต้องการที่เกิดขึ้น   เช็คสต็อกที่อยู่อาศัยจ.ภูเก็ต คอนโดเหลือเพียบ ตัวเลขจากการสำรวจของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ในช่วงครึ่งหลังปี 2562 พบว่า  ที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างการขาย ในพื้นที่จ.ภูเก็ต  มีจำนวนทั้งสิ้น 133 โครงการ จำนวน 9,291 ยูนิตลดลงจากช่วงครึ่งปีแรก 13.5% แบ่งเป็นคอนโด จำนวน 5,978 ยูนิต บ้านจัดสรร จำนวน 3,313 ยูนิต ได้แก่ บ้านเดี่ยวจำนวน 812 ยูนิต  ทาวน์เฮ้าส์ 1,602 ยูนิต  บ้านแฝด 839 ยูนิต และอาคารพาณิชย์ 60 ยูนิต สัดส่วนการพัฒนาในพื้นที่จ.ภูเก็ต ส่วนใหญ่ยังเป็นผู้ประกอบการ ที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ จะมีเฉพาะประเภททาวน์เฮ้าส์ที่พบว่า บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์  เข้ามาพัฒนามากกว่าผู้ประกอบการในท้องถิ่น โดยมีสัดส่วนการพัฒนา 58% ส่วนที่เหลือเป็นบริษัทที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์  ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการในท้องถิ่นของจ.ภูเก็ตเป็นหลัก   การพัฒนาโครงการในจ.ภูเก็ตระยะหลัง จะพบว่า ส่วนใหญ่จะพัฒนาโครงการคอนโด มากกว่าบ้านแนวราบเป็นหลัก แต่สัดส่วนไม่ได้แตกต่างกันมากนัก อย่างเช่นในจำนวน 133 โครงการ พบว่าเป็นโครงการคอนโด 69 โครงการ และบ้านแนวราบ 64 โครงการ สาเหตุที่แนวโน้มการพัฒนาโครงการคอนโดมากขึ้น เป็นเพราะที่ดินในจ.ภูเก็ตมีต้นทุนราคาที่สูงมาก โครงการส่วนใหญ่จึงพัฒนาเป็นคอนโด  โดยโครงการที่เปิดขายใหม่ในช่วงครึ่งปีหลังก็ยังคงมีสัดส่วนอาคารชุดเปิดขายใหม่สูงกว่าเช่นกัน ซึ่งจากจำนวนยูนิตเปิดขายใหม่ 1,207 ยูนิต ประกอบด้วยอาคารชุด 868 ยูนิต และบ้านจัดสรร 339 ยูนิต ส่วนปริมาณที่อยู่อาศัยเหลือขายในช่วงครึ่งหลังปี 2562 พบว่า มีจำนวน 7,741 ยูนิต มูลค่า 37,409 ล้านบาท แบ่งเป็นคอนโด จำนวน 4,918 ยูนิต  คิดเป็นสัดส่วสน 77% และบ้านจัดสรร จำนวน 2,823 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 23% ซึ่งแบ่งเป็น บ้านเดี่ยว จำนวน 709 ยูนิต บ้านแฝด 746 ยูนิต ทาวน์เฮ้าส์ 1.321 ยูนิต และอาคารพาณิชย์ 47 ยูนิต ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยในช่วงครึ่งปีหลัง 2562 จะพบว่าโครงการคอนโดเหลืออยู่ในตลาดจำนวนมาก ทำให้ REIC มีคำแนะนำผู้ประกอบการให้ลงทุนอย่างระมัดระวัง ในการเปิดตัวใหม่ประเภทคอนโด   เปิดทำเลบ้าน-คอนโด เหลือขายและขายดี ในจ.ภูเก็ต สำหรับทำเลบ้านและคอนโด ใน จ.ภูเก็ต ช่วงครึ่งปีหลัง 2562 ซึ่งเหลือขายจำนวน 7,741 ยูนิต มูลค่า 37,409 ล้านบาทนั้น  พบว่า ทำเลที่เหลือขายมากที่สุด จะเป็นทำเลหาดบางเทา-สุรินทร์ เหลือขาย 1,922 ยูนิต รองลงมาเป็นทำเลเทพกระษัตรี-ศรีสุนทร 1,380 ยูนิต ทำเลหาดในยาง-หาดไม้ขาว 1,148 ยูนิต  ทำเลหาดกมลา 867 ยูนิต และทำเลเกาะแก้ว-รัษฎา 706 ยูนิต   โดยระดับราคาบ้านและคอนโด จ.ภูเก็ต เหลือขายมากที่สุด จะเป็นกลุ่มระดับราคา 3.01-5.00 ล้านบาท เหลือขาย จำนวน 3,002 ยูนิต รองลงมาเป็นราคา 2.01-3.00 ล้านบาท เหลือขาย 1,884 ยูนิต  ราคา 5.01-7.50 ล้านบาท เหลือขาย 1,620 ยูนิต  ราคา 7.51-10.00 ล้านบาท ​เหลือขาย 499 ยูนิต และราคา 1.51-2.00 ล้านบาท  เหลือขาย 327 ยูนิต   อัตราการขายบ้านและคอนโด จ.ภูเก็ต ในช่วงครึ่งหลังของปี 2562 จะพบว่า มีอัตราการดูดซับที่ลดต่ำลงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี ที่มีอัตราดูดซับเฉลี่ย 4.4% โดยมีอัตราการดูดซับเพียง 2.8% เท่านั้น เป็นเพราะปริมาณสินค้าเหลือขายในตลาดจำนวนมาก รวมถึงภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ซึ่งทำเลที่มีอัตราการขายได้ใหม่นั้น อันดับแรกจะอยู่ในทำเลหาดบางเทา-หาดสุรินทร์ ขายได้จำนวน 365 ยูนิต รองลงมาเป็นทำเลเกาะแก้ว-รัษฎา จำนวน 214 ยูนิต ทำเลหาดราไวย์ จำนวน 183 ยูนิต  ทำเลหาดกมลา จำนวน 171 ยูนิต และทำเลเทพกระษัตรี-ศรีสุนทร จำนวน 127 ยูนิต โดยในช่วงสิ้นปี 2562 พบว่า บ้านและคอนโด จ.ภูเก็ต ซึ่งมีการก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมโอนกรรมสิทธิ์ มีอยู่ในตลาดจำนวน 1,037 ยูนิต มูลค่า 4,645 ล้านบาท แบ่งเป็น คอนโด จำนวน 626 ยูนิต บ้านเดี่ยว 94 ยูนิต บ้านแฝด 85 ยูนิตทาวน์เฮ้าส์ 219 ยูนิต และอาคารพาณิชย์ 13 ยูนิต   ทำเลบ้านและคอนโด จ.ภูเก็ต ที่สร้างเสร็จเหลือขายมากที่สุด อันดับแรกเป็นทำเลเกาะแก้ว-รัษฎา จำนวน 268 ยูนิต  รองลงมาเป็นทำเลหาดในยาง-หาดไม้ขาว จำนวน 221 ยูนิต  ทำเลหาดป่าตอง จำนวน 131 ยูนิต ทำเลเทพกระษัตรี-ศรีสุนทร จำนวน 100 ยูนิต  และทำหาดบางเทา-หาดสุรินทร์ จำนวน 86 ยูนิต  โดยระดับ ราคาบ้านและคอนโด จ.ภูเก็ต สร้างเสร็จเหลือขายมากที่สุด ได้แก่ กลุ่มระดับราคา 3.01-5.00 ล้านบาท เหลือขาย 436 ยูนิต ราคา 2.01-3.00 ล้านบาท เหลือขาย 273 ยูนิต ราคา 5.01-7.50 ล้านบาท เหลือขาย 121 ยูนิต ราคา 1.51-2.00 ล้านบาท เหลือขาย 69 ยูนิต และราคา 1.01-1.50 ล้านบาท เหลือขาย 41 ยูนิต แนวโน้มตลาดอสังหาฯ จ.ภูเก็ต ปี 63 ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ มองแนวโน้มตลาดอสังหาฯ ในปี 2563 จะมีที่อยู่อาศัยเหลือขายอยู่ในตลาดจำนวน 8,966 ยูนิต ประกอบด้วยคอนโด จำนวน 5,679 ยูนิต ทาวน์เฮ้าส์จำนวน 1,510 ยูนิต บ้านเดี่ยวจำนวน 937 ยูนิต บ้านแฝดจำนวน 786 ยูนิต และอาคารพาณิชย์จำนวน 54 ยูนิต มีโครงการเปิดขายใหม่จำนวน 2,700 ยูนิต ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 2 ปีที่มีการเปิดขายปีละประมาณ 4,800 ยูนิต   คาดว่าในปี 2563 อัตราดูดซับจะลดทุกกลุ่มประเภทที่อยู่อาศัย โดยลดเหลือประมาณ 1.1-1.8%  และที่อยู่อาศัยเหลือขายจะยังคงเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะกลุ่มคอนโด  จึงต้องเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุน     ส่วนการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย  ซึ่งแสดงถึงความต้องการที่แท้จริงคาดการณ์ในปี 2563 ก็จะลดลงมาอยู่ที่ 6,553 ยูนิต ลดลง​18.1%  มีมูลค่าประมาณ 14,401 ล้านบาท ลดลง 40.2% เมื่อเทียบกับปี 2562 ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยที่มีมูลค่า 19,157 ล้านบาท ด้วยภาพรวมดังกล่าวผู้ประกอบการจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์การเสนอขาย โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยประเภทคอนโด ที่มีอัตราการดูดซับชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่องจากช่วงต้นปี 2562 และคาดว่าจะต่อเนื่องมาถึงปี 2563 ด้วย
5 เหตุผลที่ทำให้ ห้าแยกลาดพร้าว เป็นทำเลศักยภาพของปัจจุบันและอนาคต

5 เหตุผลที่ทำให้ ห้าแยกลาดพร้าว เป็นทำเลศักยภาพของปัจจุบันและอนาคต

ในบรรดาทำเลจุดตัดถนนสำคัญของกรุงเทพฯ สิ่งที่มักเป็นปรากฎการณ์ให้เห็นอย่างชัดเจน คือ ความเจริญเติบโตของการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์บริเวณจุดตัดนั้น ๆ ไม่ว่าจะเป็นอาคารสำนักงานขนาดใหญ่ ศูนย์การค้าและพื้นที่รีเทลจำนวนมาก รวมถึงการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมอย่างหนาแน่น   โดยหนึ่งในจุดตัดถนนสำคัญของกรุงเทพฯ ลำดับต้นๆ ที่มีความเจริญด้านการพัฒนาโครงการอสังหาฯ รูปแบบต่าง ๆ คงต้องยกให้บริเวณห้าแยกลาดพร้าว  เพราะเต็มไปด้วยโครงการจำนวนมาก ทั้งอาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า และโครงการคอนโดฯ ที่สำคัญยังเป็นจุดเชื่อมต่อระบบคมนาคมสำคัญของเมือง ทั้งรถไฟฟ้าบีทีเอสสายสีเขียว กับรถไฟฟ้าใต้ดินสายสีน้ำเงินอีกด้วย 5 ปัจจัยผลักดันให้ห้าแยกลาดพร้าวทำเลทอง ข้อมลจากบริษัท บางกอกซิตี้สมาร์ท จำกัด (บีซี) ระบุว่า ทำเลลาดพร้าวปี 2563 นี้ ถือเป็นทำเลแห่งอนาคตของวันนี้อย่างแท้จริง (Ladprao 2020 – The Future is Now) เพราะมี 5 ปัจจัยหลักสำคัญ ที่เข้ามาสนับสนุน ทำให้โซนห้าแยกลาดพร้าว เป็นแม่เหล็กดึงดูดทั้งผู้ประกอบการให้เข้ามาลงทุนจำนวนมาก รวมถึงกระตุ้นความคึกคักตลาดคอนโดฯ ทั้งลูกค้าเรียลดีมานด์ รวมถึงกลุ่มนักลงทุน ที่ยังสามารถเข้ามาสร้างโอกาสได้จากผลตอบแทนที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตลอดเวลา ปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนให้ทำเลห้าแยกลาดพร้าวมีศักยภาพ คงมาจาก 5 ปัจจัย ดังนี้ 1.ศูนย์กลางของการเดินทางและระบบขนส่งมวลชน นอกจากการเป็นจุดเชื่อมต่อของรถไฟฟ้าสำคัญ 2 สาย คือ รถไฟฟ้าวบีทีเอสสายสีเขียว และรถไฟใต้ดินสายน้ำเงิน  ซึ่งปัจจุบันมีการขยายการเดินรถออกไปเพิ่มมากขึ้น รถไฟฟ้าบีทีเอสสายสีเขียว เปิดเดินรถต่อไปถึงสถานีวัดพระศรีฯ​ ขณะที่รถไฟฟ้าใต้ดินสายสีน้ำเงิน สามารถเดินทางเชื่อมต่อไปได้ถึงท่าพระหรือสถานีหลักสอง นอกจากนี้  ในพื้นที่ห้าแยกลาดพร้าว ยังตั้งอยู่ใกล้กับสถานีกลางบางซื่อ ศูนย์กลางสายรถไฟที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียนที่กำลังจะสร้างเสร็จและเปิดให้บริการในช่วงต้นปี 2564 นี้อีกด้วย ทำให้พื้นที่โดยรอบของสถานีกลางบางซื่อ เจริญเติบโตเพิ่มขึ้นตามมาด้วย ไม่ว่าจะเป็นในด้านปริมาณหรือด้านราคาอสังหาฯ   2.ศูนย์กลางเศรษฐกิจแห่งใหม่ พื้นที่ห้าแยกลาดพร้าว และพื้นที่โดยรอบ ปัจจุบันมีการพัฒนาขยายตัวของบรรดา อาคารสำนักงานเกรดเอและบีครอบคลุมกว่า 300,000 ตารางเมตร และยิ่งไปกว่านั้น เมื่อสถานีกลางบางซื่อสร้างเสร็จ จะส่งผลให้เกิดพื้นที่อาคารสำนักงานแห่งใหม่อีกกว่า 100,000 ตารางเมตร ซึ่งคาดการณ์ว่าจะส่งผลให้มีการเพิ่มขึ้นของพนักงานออฟฟิศทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติรวมกว่า 40,000 คน ทำให้มีผู้สนใจลงทุนในย่านนี้จำนวนมาก จึงปฏิเสธ ไม่ได้ว่าพื้นที่บริเวณห้าแยกลาดพร้าว กำลังเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจและธุรกิจแห่งใหม่ที่มีความสำคัญ  อีกหนึ่งโซนของพื้นที่กรุงเทพฯ   3.ศูนย์กลางสิ่งอำนวยความสะดวก  บริเวณห้าแยกลาดพร้าว  แม้ว่าจะไม่ใช่พื้นที่ธุรกิจใจกลางเมือง หรือ CBD แต่ถือเป็นย่านที่มีความเจริญและความสะดวกครบถ้วน โดยเฉพาะการมีศูนย์การค้าขนาดใหญ่ อย่างศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซ่า ที่มีผู้ใช้บริการมากกว่า 150,000 คนต่อวัน นอกจากนี้ ยังมีศูนย์การค้าอื่นอีก ไม่ว่าจะเป็นยูเนี่ยนมอลล์ หรือเทสโก้ โลตัส ที่สำคัญในโซนห้าแยกลาดพร้าว ใกล้กับแหล่งช้อปปิ้งขนาดใหญ่ของกรุงเทพฯ ที่มีชื่อเสียงดังไปทั่วโลก คือ ตลาดนัดจตุจักร ที่มีการเปิดขายสินค้าหมุนเวียนแทบจะทุกวันตลอดสัปดาห์ ไม่ว่าจะเป็นประเภทต้นไม้ สัตว์เลี้ยง หรือสินค้าทั่วไป ในพื้นที่ติดตลาดนัดจตุจักร ยังมีศูนย์การค้าเปิดให้บริการอีก 2 แห่ง คือ ศูนย์การค้ามิกซ์​จตุจักร และเจเจมอลล์  นี่ยังไม่นับรวมตลาดนัดเล็ก ๆ น้อย ๆ ตามพื้นที่สำนักงานใหญ่ๆ ที่อยู่โดยรอบให้ผู้คนได้ช้อปปิ้งกันอีกมากมายด้วย   4.มีพื้นที่สีเขียวที่เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ถึง 3 แห่ง บริเวณห้าแยกลาดพร้าว ยังใกล้กับปอดขนาดใหญ่ของกรุงเทพฯ  เพราะมีสวนสาธารณะขนาดใหญ่ถึง 3 แห่ง ได้แก่ สวนวชิรเบญจทัศ หรือสวนรถไฟ ขนาด 375 ไร่  สวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ ขนาด 196 ไร่ และสวนจตุจักร ขนาด 155 ไร่  เมื่อนับพื้นที่รวมกันมีขนาดพื้นที่มากถึง 726 ไร่ หรือ 1.12 ล้านตารางเมตรเลยทีเดียว   5.ตลาดคอนโด เติบโตและมีราคาที่คุ้มค่า   ตลาดคอนโด ในย่านทำเลห้าแยกลาดพร้าว นับว่าเติบโตต่อเนื่อง แม้จะมีปริมาณไม่มาก แต่ก็เพิ่มขึ้นโดยตลาด ที่สำคัญยังมีราคาขายที่สามารถจับต้องได้ และมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้น จึงเหมาะสำหรับกลุ่มผู้อยู่อาศัยจริง และกลุ่มนักลงทุน สำหรับข้อมูลย้อนหลัง 5 ปี ของบีซีตั้งแต่ช่วงปี 2558-2562  พบการเปิดตัวของโครงการคอนโด ติดถนนหลักเส้นพหลโยธิน ตั้งแต่สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินพหลโยธิน-สถานีรถไฟฟ้ารัชโยธิน ทั้งสิ้น 11 โครงการ จำนวน 8,263 ยูนิต ในราคาขายเฉลี่ย 145,000 บาทต่อตารางเมตร  มียอดขายรวมแล้วกว่า 74% โดยหากเจาะข้อมูลดีมานด์ในแต่ละสถานีพบว่า สถานีที่ได้รับความนิยมสูงสุดคือ สถานีบีทีเอสห้าแยกลาดพร้าวที่มีอัตราการตอบรับที่ดีที่สุด ด้วยยอดขายรวมกว่า 82% มียูนิตคงเหลือขายประมาณ 490 ยูนิตเท่านั้น สาเหตุหลักเพราะเป็นทำเลที่ดีที่สุดเปรียบเสมือนศูนย์กลางของย่านนี้   ขณะที่คอนโด ในกลุ่มสินค้ารีเซล ก็พบการปรับตัวของราคาขึ้นมาปีละประมาณ 8% เช่นกัน นอกจากนี้ ผู้ซื้อที่ต้องการลงทุนในการปล่อยเช่าและขายต่อให้ความสนใจในตลาดโซนนี้ไม่แพ้กัน เพราะผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าระยะยาว (Rental Yield) ของคอนโด ในย่านนี้ พบอัตราการเติบโตที่เพิ่มขึ้นอยู่ที่ประมาณ 4-5% ซึ่งคอนโด ในทำเลนี้ ยังมีราคาเหมาะสมในการซื้อ ทั้งเพื่ออยู่อาศัยและเพื่อการลงทุนระยะยาว   บิ๊กเนมแห่ปักหมุดผุดโปรเจ็กต์ สำหรับความเคลื่อนไหวการพัฒนาโครงการคอนโดฯ ในย่านห้าแยกลาดพร้าว นับว่ามีมาอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลามากกว่า 10 ปี เพราะในบริเวณห้าแยกลาดพร้าว เป็นจุดตัดถนนสำคัญถึง 3 เส้น ได้แก่ ถนนพหลโยธิน ถนนลาดพร้าว และถนนวิภาวดี-รังสิต ซึ่งสามารถเดินทางไปยังจุดต่าง ๆ ได้ทั่วกรุงเทพฯ ขณะเดียวกันยังใกล้กับสถานที่สำคัญ ทั้งหน่วยงานราชการ อาคารสำนักงาน บริษัทเอกชน ศูนย์การค้า หรือแม้แต่การเชื่อมต่อไปยังต่างจังหวัด เพราะใกล้กับสถานีขนส่งหมอชิต ยิ่งแผนการพัฒนาระบบรถไฟฟ้าทั้งบนดินและใต้ดิน ผ่านบริเวณห้าแยกลาดพร้าว ดีเวลลอปเปอร์รายใหญ่จึงแห่กันมาจับจองที่ดินขึ้นโครงการกันมากมาย   โดยปัจจุบันยังพบว่า มีหลายโครงการที่ยังเปิดการขาย หรือเป็นโครงการพร้อมเข้าอยู่ รวมถึงกำลังก่อสร้าง แต่ยังไม่เปิดการขายหลายโครงการ โดยเฉพาะบนถนนพหลโยธิน  ช่วงสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินสถานีพหลโยธิน และรถไฟฟ้าบีทีเอสสถานีห้าแยกลาดพร้าว ซึ่งมีโครงการที่น่าสนใจ ได้แก่   1.โครงการเดอะเครสท์ พาร์ค เรสซิเดนซ์ (The Crest Park Residences) เป็นโครงการภายใต้การร่วมทุนระหว่างบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กับ Nishitetsu Group ยักษ์ใหญ่และผู้นำในภูมิภาค คิวชูของประเทศญี่ปุ่น โดยตั้งอยู่บนถนนพหลโยธิน ตรงข้ามห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลพลาซ่า ใกล้กับห้าแยกลาดพร้าว มีระยะห่างเพียง 75 เมตร ถึง รถไฟฟ้าใต้ดินสถานีพหลโยธิน และใกล้กับบีทีเอสสถานีห้าแยกลาดพร้าว ตั้งอยู่บนเนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ จำนวน 429 ยูนิต มูลค่าโครงการ 3,500 ล้านบาท ซึ่งราคาขายเฉลี่ยกว่า 2-2.5 แสนบาทต่อตารางเมตร  ซึ่งโครงการอยู่ระหว่างการก่อสร้าง และวางแผนเปิดการขายในปีนี้   2.โครงการไลฟ์ ลาดพร้าว (LIFE LADPRAO) คอนโดพร้อมอยู่ จากบริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน)หรือ เอพี นับเป็นหนึ่งในไฮไลท์โปรเจคร่วมทุนระหว่างเอพีและพันธมิตรญี่ปุ่น มิตซูบิชิ เอสเตท เรสซิเดนซ์ (บริษัทในเครือมิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป) ตั้งอยู่ใกล้กับรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีห้าแยกลาดพร้าว มากที่สุด มีมูลค่าโครงการ 8,000 ล้านบาท จำนวน 1,615 ยูนิต     3.โครงการไลฟ์ ลาดพร้าว แวลลีย์ (Life Ladprao Valley) อีกหนึ่งโครงการของค่ายเอพี ซึ่งตั้งอยู่บนถนนพหลโยธิน ใกล้กับรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีห้าแยกลาดพร้าวอีกหนึ่งโครงการ บนพื้นที่โครงการกว่า 5 ไร่ ปัจจุบันงานก่อสร้างโครงสร้างคืบหน้ากว่า 73% มีจำนวนยูนิต 1,140 ห้อง และร้านค้า 1 ร้าน 4.โครงการไลฟ์ ลาดพร้าว สเตชั่น (Life Ladprao Station) เป็นโครงการที่ 3 ของค่ายเอพี ที่อยู่ระหว่างการพัฒนาและก่อสร้าง เป็นโครงการบนพื้นที่กว่า 2 ไร่ ขนาดอาคารสูง 42 ชั้น จำนวน 636 ยูนิต น่าจะมีมูลค่าโครงการประมาณ 2,100 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันยังไม่เปิดการขาย คาดว่าจะเปิดขายได้ภายในช่วงปี 2564 ถือเป็นโครงการล่าสุดที่เข้ามาปักหมุดในทำเลห้าแยกลาดพร้าว 5.โครงการเดอะ ไลน์ พหลโยธิน พาร์ค (The Line Phahonyothin Park) โครงการคอนโดฯ ภายใต้การร่วมทุนระหว่างแสนสิริและบีทีเอส กรุ๊ป เป็นอาคารขนาดสูง 32 ชั้น มีจำนวน 880 ยูนิต มูลค่าโครงการ 4,900 ล้านบาท ในความเป็นจริงแล้ว บริเวณห้าแยกลาดพร้าว ทุกถนนที่วิ่งตัดผ่าน ต่างมีโครงการคอนโด พัฒนาขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งติดถนนใหญ่และตามซอยแยกเข้าไปมากมาย เพราะด้วยปัจจัยสนับสนุนต่างๆ ข้างต้น จึงไม่แปลกใจที่จะส่งผลให้ที่ดินบริเวณนี้มีราคาเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง บางแปลงพุ่งทะลุไปกว่า 1 ล้านบาทต่อตารางวาก็เคยมีให้เห็นมาแล้ว และเป็นทำเลที่ได้รับความนิยมจากดีเวลลอปเปอร์ไม่แพ้ในโซนใจกลางเมืองเลยทีเดียว เชื่อว่าหลังจากโครงการขนาดใหญ่ อย่างสถานีกลางบางซื่อ ก่อสร้างเสร็จแล้วและเปิดให้บริการ ศักยภาพของทำเลห้าแยกลาดพร้าว คงได้รับอานิสงค์และมีการเติบโตมากขึ้นอีกหลายเท่าตัวอย่างแน่นอน  
3 บิ๊กอสังหาฯ ฝ่าวิกฤตโควิด-19 กับยอดขายครึ่งปีแรกที่ดีเกินคาด !!

3 บิ๊กอสังหาฯ ฝ่าวิกฤตโควิด-19 กับยอดขายครึ่งปีแรกที่ดีเกินคาด !!

เริ่มต้นปี 2563 เชื่อว่าหลายคนคงไม่คาดคิดว่า ปีนี้ประเทศไทยจะต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงไปเกือบทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัว เรื่องการทำงาน หรือทำธุรกิจ ทุกคนต้องปรับตัว ปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตและการทำงานกันแทบทั้งหมด   ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ก็เกิดปรากฏการณ์หลายอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการขายและการตลาดออนไลน์ เพราะผู้บริโภคไม่ออกจากบ้าน ต้องอยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ รูปแบบการขายจึงมุ่งเน้นไปที่การไลฟ์สด การขายผ่านออนไลน์ช่องทางต่าง ๆ ผสมกับแคมเปญการตลาด ลด แลก แจก แถม ที่กระหน่ำใส่กันเข้ามา โดยเฉพาะการหั่นราคาขายหนักสุดเท่าที่เคยมีมาก่อน หรือแม้แต่กลยุทธ์ช่วยผ่อนก่อนมากถึง 5 ปี เพื่อทำให้ลูกค้าที่อยากมีที่อยู่แล้วเกิดลังเล กล้าจะตัดสินใจซื้อ   ช่วงเกิดการแพร่ระบาดช่วงแรก ๆ ดีเวลลอปเปอร์หลายราย วิตกและกังวล กลัวว่าปีนี้ธุรกิจอาจจะไม่เป็นไปตามเป้าหมาย อาจจะย่ำแย่จากปัจจัยที่ไม่ได้คาดคิดว่าจะเกิดขึ้น แต่ผลจากการทำตลาดอย่างหนัก บวกกับการปรับตัวที่รวดเร็วของดีเวลลอปเปอร์ ในการทำตลาดและรับมือกับเหตุการณ์ที่เกิด ทำให้ช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา หลายบริษัทยังรักษาการเติบโต สามารถกวาดยอดขายมาตุนไว้ในมือ ซึ่งหลายรายทำได้ดีเกินกว่าที่คาดเอาไว้ด้วยซ้ำ ORI โชว์พรีเซลครึ่งปีแรก 11,200 ล้าน นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI  เปิดเผยว่า ในไตรมาส 2 ที่ผ่านมาบริษัทมียอดพรีเซลล์กว่า 6,400 ล้านบาท สูงกว่าในไตรมาสแรกกว่า 32% แบ่งเป็นยอดขายจากกลุ่มบ้านจัดสรร 30% และคอนโดมิเนียม 70% ยอดขายดังกล่าวส่งผลให้ภาพรวมในช่วงครึ่งปีแรก บริษัทมียอดขายสะสมแล้วกว่า 11,200 ล้านบาท แบ่งสัดส่วนเป็น บ้านจัดสรร 32% และคอนโดมิเนียม 68%   ยอดขายครึ่งปีแรก คิดเป็นกว่า 52% ของเป้าหมายทั้งปีที่ตั้งไว้ 21,500 ล้านบาท  ทำให้มีโอกาสที่ภาพรวมทั้งปีนี้  จะสามารถทำยอดขายได้มากกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ สาเหตุสำคัญที่ผลักดันยอดขายของบริษัทให้เติบโตโดดเด่นต่อเนื่อง มาจากการกลยุทธ์การขายที่ตอบสนองกับสถานการณ์ตลาด ควบคู่ไปกับการปรับเดินเกมการตลาดเชิงรุก เพิ่มช่องทางขายสินค้าบุกแพลตฟอร์มออนไลน์มากขึ้น อาทิ การเปิด Official Store บนแพลตฟอร์ม Shopee และ Lazada รวมทั้งการผลักดันพนักงานให้ก้าวสู่ Micro Influencer ขายสินค้าผ่านช่องทางสื่อสารส่วนบุคคล ภายใต้โปรเจ็คท์ Everyone can sell เพื่อเพิ่มการเข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายโดยตรง สำหรับภาพรวมครึ่งปีหลัง  บริษัทจะมีโครงการสร้างเสร็จ  พร้อมทยอยโอนกรรมสิทธิ์เพิ่มเติมอีก 6 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 10,000 ล้านบาท เริ่มจากไตรมาส 3 จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ 1.โครงการไนท์บริดจ์ ไพร์ม อ่อนนุช และ 2.โครงการ ไนท์บริดจ์ คอลลาจ สุขุมวิท 107 และในช่วงไตรมาสสุดท้ายอีก 4 โครงการ ได้แก่ 1.โครงการ ดิ ออริจิ้น สุขุมวิท 105, 2.โครงการ เคนซิงตัน ระยอง, 3.โครงการ ไนท์บริดจ์ เกษตร โซไซตี้ และ 4.โครงการ ไนท์บริดจ์ สเปซ รัชโยธิน โดยภาพรวมโครงการต่างๆ มียอดขายเฉลี่ยประมาณ 80-90% คาดว่าหลังก่อสร้างเสร็จแล้ว จะช่วยสร้างทั้งยอดขายใหม่และยอดโอนกรรมสิทธิ์อย่างต่อเนื่อง แสนสิริ ปรับเป้าใหม่ พร้อมตุนยอดขาย 65% นายอภิชาติ จูตระกูล ประธานอำนวยการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เผยว่า  ช่วงครึ่งปีแรกบริษัทสามารถทำยอดขายได้จำนวน 22,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 63% จากเป้าหมายยอดขาย 35,000 ล้านบาท  โดยเป้าหมายยอดขาย 35,000 ล้านบาท เป็นเป้าหมายยอดขายใหม่ที่บริษัทได้ปรับเพิ่มจากช่วงต้นปี ที่ประกาศว่าจะทำยอดขายได้ 29,000 ล้านบาท ซึ่งไม่เพียงแต่เป้าหมายยอดขายเท่านั้น แต่ยังปรับเป้ายอดโอนด้วย  โดยวางเป้าหมายยอนในปีนี้ใหม่เป็น 39,000 ล้านบาท จากแผนเดิมวางเป้าหมายยอดโอน 33,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นเป้าหมายที่เติบโตสูงกว่าปีที่ผ่านมา 26% ความสำเร็จของแสนสิริดังกล่าว คงมาจากหลายปัจจัย ที่สำคัญคงเป็นเรื่องของกลยุทธ์การทำตลาด ซึ่งทำให้สามารถสร้างยอดขายได้ในท่ามกลางภาวะการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 (อ่านข่าวประกอบ .. 8 เหตุผลที่แสนสิริ ประกาศปรับเป้าเพิ่มทั้ง “รายได้-ยอดขาย”) “อนันดา” ตุนยอดขาย 7,500 ล้าน สำหรับบริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ในปีนี้มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่เพียง 1 โครงการเท่านั้น ซึ่งเป็นโครงการคอนโด  ไอดีโอ พหล-สะพานควาย (IDEO Phahol-Saphankwai) ซึ่งเป็นโครงการที่ปรับแผนการเปิดตัวมาจากช่วงปี 2562 ส่วยยอดขายและรายได้สำหรับปีนี้ จะมาจากโครงการที่เปิดขายก่อนหน้า และโครงการที่จะก่อสร้างแล้วเสร็จในปีนี้   ดร. ชัยยุทธ ชุณหะชา ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการเงิน บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า  บริษัททำยอดขายช่วง 6 เดือนแรก ได้ประมาณ 7,500 ล้านบาท หรือคิดเป็นเกือบ 50% ของเป้ายอดขายทั้งปีที่ตั้งไว้ 16,600 ล้านบาท ซึ่งแนวโน้มยอดขายไตรมาส 2/2563 ค่อนข้างดีกว่าที่คาด โดยเฉพาะเดือนเมษายน-พฤษภาคม ที่ทำยอดขายสูงถึง 3,000 ล้านบาท ส่วนแนวโน้มรายได้ในครึ่งหลังของปี 2563 คาดว่าจะสูงกว่าครึ่งปีแรก   โดยช่วงครึ่งปีหลังจะมีการโอนคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จใหม่ทั้งหมด 5 โครงการ ในไตรมาส 3 มีจำนวน 4 โครงการ  ประกอบด้วย Ashton  Asoke-Rama 9, Ideo Q Sukhumvit 36 , Ideo Mobi Sukhumvit Eastpoint และ Ideo Ratchada-Sutthisan และไตรมาส 4 จะเริ่มทยอยโอนโครงการ Elio Sathorn-Wutthakat ขณะที่แนวโน้มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ จะมีสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจนมาก โดยเฉพาะยอดขายและยอดโอน หลังจากสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศเริ่มคลี่คลายลง และมีการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ ส่งผลให้ภาพรวมของกิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับเข้าสู่สภาวะปกติ โดยสัญญาณดังกล่าวมีแนวโน้มดีขึ้นตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน ที่ยอดการเข้าเยี่ยมชมโครงการของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 300-400 คนต่อวัน จากช่วงก่อนหน้าที่ 100 คนต่อวัน ซึ่งสะท้อนว่ากลุ่มลูกค้ากลับมาให้ความสนใจซื้อที่อยู่อาศัยมากขึ้น ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังได้ปรับกลยุทธ์การตลาดและเพิ่มการขายผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดี และสามารถสร้างยอดขายได้เป็นอย่างดี  
12 บทสรุปราคาคอนโด ท่ามกลางวิกฤต COVID-19

12 บทสรุปราคาคอนโด ท่ามกลางวิกฤต COVID-19

ปรากฏการณ์ หั่นราคาคอนโด ในช่วงภาวะวิกฤต COVID-19 ของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ที่บางรายยอมลดราคามากถึง 50% สะท้อนให้เห็นถึง ความไม่มั่นใจต่อสภาพเศรษฐกิจว่าจะฟื้นตัวดีขึ้น จากก่อนหน้านี้สภาพเศรษฐกิจโดยทั่วไปก็ชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ตลาดอสังหาฯ  โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมเอง ก็มีผลกระทบจากมาตรการ LTV ทำให้กำลังซื้อชะลอตัวลงด้วย   การลดราคาของผู้ประกอบการ ก็เพื่อต้องการกระตุ้นตลาด กระตุ้นยอดขายให้กลับฟื้นขึ้นมา ขณะเดียวกันก็เพื่อรักษาสภาพคล่องทางธุรกิจให้ยังสามารถเดินหน้าต่อไปได้ จากปัจจัยลบแวดล้อมจำนวนมาก ทำให้ราคาคอนโด ที่เคยปรับตัวสูงขึ้น ต้องมีอัตราการเติบโตที่ลดลง อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  ล่าสุด ทาง EIC นำเสนอบทความ "เศรษฐกิจทรุด ฉุดราคาคอนโดฯ โตไม่แรงเหมือนเคย" เพื่อฉายภาพของราคาคอนโด ในภาวะที่ต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดของ COVID-19    EIC ทำการ web scraping ข้อมูลคอนโดมิเนียมบนเว็บไซต์ Hipflat.co.th เพื่อนำมาวิเคราะห์แนวโน้มราคาคอนโด พบว่า ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ราคาคอนโดเฉลี่ยต่อตารางเมตรที่ประกาศขาย ในภาพรวมเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอลง อย่างต่อเนื่อง และมีราคาในบางพื้นที่เริ่มปรับลดลงเมื่อเข้าสู่ปี 2563 ตามภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาและผลกระทบจาก COVID-19 ข้อมูลคอนโดบนเว็บไซต์ Hipflat.co.th ที่ประกาศขาย มีจำนวนมากกว่า 60,000 โพสต์ จาก 2,416 โครงการ (ข้อมูล ณ วันที่ 27 มิ.ย. 2563) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการขายมือสอง โดยกว่า 70% เป็นโครงการในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่เหลือเป็นโครงการคอนโด ในต่างจังหวัดที่กระจุกตัวในแหล่งท่องเที่ยวเป็นสำคัญ เช่น พัทยา ภูเก็ต เป็นต้น   EIC มองว่า ข้อมูลชุดนี้สามารถบ่งชี้ความต้องการขายจากเจ้าของคอนโด หรือนักลงทุนได้อย่างเป็นปัจจุบันและมีความครอบคลุมในหลายทำเล จึงถือเป็นอีกหนึ่งข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการติดตามภาวะของตลาดคอนโดในไทย และบทควาทที่ทาง EIC นำเสนอนั้น สามารถบทสรุปออกมาได้เป็น 11 ประเด็นสำคัญของราคาคอนโด ที่เกิดขึ้นในช่วง 2 ไตรมาสแรกที่ผ่านมา ดังนี้   1.อัตราการเติบโตของราคาคอนโด ทั้งประเทศเฉลี่ย 3.3% ต่อปี ในช่วงปี 2561-2562 ลดลงจากค่าเฉลี่ย 5 ปี (ปี 2556-2560) ก่อนหน้า ที่ราคาเคยปรับเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 4.9% ต่อปี   2.ปี 2563 ราคาคอนโด  ต่อตารางเมตรในภาพรวมยังคงมีแนวโน้มชะลอลงต่อเนื่อง ในไตรมาส 1 ราคาชะลอลงมาอยู่ที่ 1.2% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และซบเซาลงต่อเนื่องในไตรมาสที่ 2 จากราคาที่ปรับลดลงมาที่ 0.02% เทียบจากช่วงเดียวกันขอปีก่อน ซึ่งถือเป็นการลดลงครั้งแรกนับตั้งแต่ไตรมาส 1 ปี 2553 และไตรมาส 2 ถือว่าราคาคอนโดในกรุงเทพฯ​ และปริมณฑลเติบโตต่ำสุดในรอบหลายปี 3.ปัจจุบันราคาเฉลี่ยของคอนโดอยู่ที่ประมาณ 97,000 บาทต่อตารางเมตร  แต่โครงการคอนโดในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นใน พื้นที่เขตปทุมวัน วัฒนา ราชเทวี พญาไท และสาธร  มีราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตร อยู่ที่ 140,000 บาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนเพียง 1.3%  แต่ยังถือว่าเป็นอัตราการขยายตัวที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาสที่ 1 ปี 2552   4.โครงการคอนโดในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นนอกและปริมณฑล มีแนวโน้มในลักษณะเดียวกัน โดยราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตรในไตรมาสที่ 2 ปีนี้อยู่ที่ 89,000 บาท ขยายตัวในระดับต่ำที่ 0.3% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นการชะลอตัวมา 4 ไตรมาสติดต่อกัน และเป็นอัตราการเติบโตของราคาของย่านนี้ที่ต่ำที่สุดในรอบ 9 ปี   5.แนวโน้มราคาที่ชะลอตัวของโครงการคอนโด ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล เกิดขึ้นทั้งในโครงการที่ใกล้และไกลสถานีรถไฟฟ้า   6.ในไตรมาสที่ 2 นี้ ราคาคอนโดใกล้สถานีรถไฟฟ้ารัศมีไม่เกิน 500 เมตร ทั้ง BTS MRT หรือ Airport Link (เฉพาะสถานีที่เปิดให้บริการแล้ว) มีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 130,000 บาทต่อตารางเมตร  ราคาลดลง 0.1% เมื่อเปรียบเทียบจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา  นับเป็นการหดตัวครั้งแรกเท่าที่มีข้อมูลนับตั้งแต่ปี 2552   7.สำหรับคอนโดที่อยู่ไกลกว่า 500 เมตร มีราคาเฉลี่ย 90,000 บาทต่อตารางเมตร ราคาเพิ่มขึ้น 1.3% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา แต่เป็นการขยายตัวที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง จากในไตรมาสก่อนหน้าและเป็นอัตราการเติบโตที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาส 1 ปี 2556   8.ราคาคอนโดในต่างจังหวัดติดลบ 2 ไตรมาสติดต่อกัน สำหรับโครงการคอนโดในต่างจังหวัด ซึ่งส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในเมืองท่องเที่ยวเป็นหลัก ได้แก่ ชลบุรี ภูเก็ต และ ประจวบคีรีขันธ์  โดยมีการเปลี่ยนแปลงของราคาในทิศทางที่ซบเซากว่าในเขตกรุงเทพฯ โดยในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ ราคาคอนโดในต่างจังหวัดมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 73,000 บาทต่อตารางเมตร ลดลงที่ 3.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และยังเป็นการหดตัวที่เร่งขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า  ที่มีอัตราเติบโตลดลง 1.6% ซึ่งถือเป็นการหดตัวครั้งแรกในรอบ 4 ปีนับตั้งแต่ไตรมาส 3 ปี 2557   9.ปัจจัยสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่ส่งผลให้เม็ดเงินจากนักลงทุนชาวจีนในตลาดอสังหาฯ ไทยลดลง สะท้อนจากราคาคอนโด เฉลี่ยต่อตารางเมตรในบริเวณสถานีรถไฟฟ้าพระราม 9 และรัชดาภิเษก ซึ่งเป็นทำเลยอดนิยมของนักลงทุนชาวจีน มีอัตราการเติบโตของราคาที่ปรับลดลงชัดเจน จากที่เคยเติบโตที่ 7.8% ต่อปี ในช่วงปี 2557-2561 ลดเหลือเพียงเติบโต 1.6% ในปี 2562   โดยมีการหดตัวในไตรมาสที่ 4 ปี 2562 และยังติดลบต่อเนื่องมายัง 2 ไตรมาสแรกของปี 2563 ซึ่งในไตรมาสล่าสุดลดลง 4.6%  ซึ่งปัจจุบันราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 110,000 บาทต่อตารางเมตร 10.ราคาคอนโดในทำเล MRT สายสีม่วงที่ประสบปัญหาซัพพลายล้นเกิน มีการชะลอตัวมาในช่วงหลายปีก่อนหน้าเช่นกัน โดยอัตราการเติบโตของราคาเฉลี่ยรายปีของย่านนี้ปรับลดมาในทุกปีตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นมา และมีการติดลบในทั้ง 2 ไตรมาสแรกของปี 2563 ซึ่งปัจจุบันราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 69,000 บาทต่อตารางเมตร ทั้งนี้จาก 7 ไตรมาสล่าสุด ราคาต่อตารางเมตรในย่านนี้มีการปรับลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อนหน้า (หรือ ติดลบ %YOY) ไปถึง 6 ไตรมาสด้วยกัน   11.ราคาคอนโด ในเมืองท่องเที่ยวหดตัวลงต่อเนื่อง  เช่น ราคาคอนโดพัทยา ในไตรมาสที่ 1 มีราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตรลดลง 3.3% และลดลงต่อเนื่องในอัตรา 4.5% ในไตรมาสที่ 2  เป็นสัญญาณบ่งชี้ของผลกระทบทางเศรษฐกิจของ COVID-19 ที่เริ่มส่งผ่านมายังตลาดคอนโด   12.ตลาดคอนโดมือสอง มีทิศทางของราคาที่ชะลอตัวลง สะท้อนถึงกำลังซื้อและการเก็งกำไรที่ลดลง ทำให้คอนโด ขายยากขึ้น โดยเฉพาะในทำเลที่มีซัพพลายล้นเกิน  นอกจากนี้ ยังมีผลจากการลดราคาคอนโดมือหนึ่ง ของผู้ประกอบการหลายราย เพื่อระบายจำนวนยูนิตเหลือขาย ซึ่งส่งผลทำให้ราคาคอนโดมือสองมีข้อจำกัด ในการปรับเพิ่มราคาขายมากขึ้น หรือกระทั่งต้องลดราคาลง 2 แนวทางทำธุรกิจอสังหาฯ หลัง COVID-19   EIC มองว่า หลายปัจจัยลบกดดันราคาคอนโด มาตั้งแต่ช่วงก่อน COVID-19  ไม่ว่าจะเป็นการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว สงครามการค้า ภาวะซัพพลายล้นเกิน (oversupply) และมาตรการ LTV เป็นปัจจัยลบต่อภาคอสังหาฯ ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงก่อน COVID-19 ส่งผลให้แนวโน้มราคาคอนโดไม่สามารถปรับเพิ่มขึ้นได้รวดเร็วเหมือนในอดีต   ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ยังเพิ่มแรงกดดันให้กับตลาดคอนโด ที่กำลังซบเซา การแพร่ระบาดของ COVID-19 ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาทางเศรษฐกิจเป็นวงกว้าง ส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลงอย่างมีนัยสำคัญ รวมไปถึงยังมีมาตรการ lockdown และมาตรการควบคุมการระบาดด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะการจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศที่ส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวโดยตรง ผลกระทบดังกล่าวจะส่งผลให้ภาวะตลาดคอนโดฯ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดที่ชะลอตัวมาอยู่แล้วนั้นต้องเผชิญกับแรงกดดันเพิ่มเติม โดยเฉพาะในเมืองท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มได้รับผลกระทบมากเป็นพิเศษ ตามความรุนแรงของผลกระทบในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว อีกทั้งยังมีแนวโน้มในการฟื้นตัวที่ช้า ดังนั้น EIC จึงมีคำแนะนำ สำหรับผู้ประกอบการอสังหาฯ  ในการทำธุรกิจในภาวะที่ต้องเผชิญกับปัจจัยลบต่างๆ ดังนี้ 1.ผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญกับสภาพคล่อง และเสถียรภาพทางการเงิน EIC มองว่า กำลังซื้อของผู้บริโภค สำหรับตลาดคอนโดมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวช้า ตามภาวะเศรษฐกิจ ภาพรวมที่คาดว่าจะใช้เวลานาน (ฟื้นตัวแบบ U-shape) ประกอบกับในตลาดยังมีซัพพลายส่วนเกินที่ต้องใช้เวลาในการดูดซับ ผู้ประกอบการจึงควรเตรียมตัวสำหรับภาวะความซบเซาดังกล่าว 2.ผู้ประกอบการควรติดตามการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคหลัง COVID-19 พฤติกรรมผู้บริโภคภายหลังจาก COVID-19 ที่อาจเป็นภาวะปกติใหม่ หรือ New Normal ซึ่งจะมีผลต่อการซื้ออสังหาฯ เพื่ออยู่อาศัย เช่น แนวโน้มของการทำงานที่บ้าน (work from home) ที่อาจมีมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับลักษณะการใช้งานและพื้นที่ของที่อยู่อาศัยมากขึ้น และให้น้ำหนักกับการเลือกทำเลที่สะดวกเดินทางหรือใกล้ที่ทำงานน้อยลง หรือแนวโน้มความตื่นตัวด้านสุขอนามัยที่ผู้บริโภคอาจเริ่มให้ความสำคัญมากขึ้น โดยเฉพาะในการพิจารณาเลือกที่อยู่อาศัยประเภทคอนโด  ซึ่งเป็นลักษณะการอยู่อาศัยร่วมกันกับคนหมู่มาก เป็นต้น  
สำรวจตลาดอสังหาฯ ชลบุรี ปี 63 “คอนโด-ทาวน์เฮ้าส์” แนวโน้มชะลอตัว

สำรวจตลาดอสังหาฯ ชลบุรี ปี 63 “คอนโด-ทาวน์เฮ้าส์” แนวโน้มชะลอตัว

พื้นที่ภาคตะวันออก นับว่ามีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ มาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน เพราะเป็นพื้นที่สำคัญทั้งด้านการท่องเที่ยว การเกษตร และเมืองอุตสาหกรรม พื้นที่ภาคตะวันออก ยิ่งมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยมากขึ้น เมื่อรัฐบาลจัดทำโครงการการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor) หรืออีอีซี (EEC)  ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ 3 จังหวัด  ได้แก่ จังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง   เมื่อพื้นที่ดังกล่าว ได้ถูกวางให้เป็นอีกหนึ่งศูนย์กลางเศรษฐกิจของประเทศ ทำให้พื้นที่ดังกล่าวหนาแน่นไปได้ด้วยจำนวนประชากร  ทั้งที่ย้ายมาเพื่อทำงาน และอยู่อาศัย จึงทำให้เกิดการพัฒนาธุรกิจอื่นๆ ออกมารองรับ หนึ่งในนั้นคือการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์  เพื่อการอยู่อาศัย เป็นการสร้างซัพพลายออกมารองรับ กับจำนวนประชากรที่ย้ายถิ่นเข้ามาทำงานในพื้นที่ดังกล่าว และในบรรดาจังหวัดที่มีโคงการอสังหาฯ เกิดขึ้นอย่างหนาแน่น และเพิ่มจำนวนมาต่อเนื่อง คือ จังหวัดชลบุรี   โดยจากผลการสำรวจล่าสุด ในช่วงครึ่งหลังปี 2562 ในพื้นที่ภาคตะวันออก ของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) พบว่า จังหวัดชลบุรีมีจำนวนที่อยู่อาศัยเสนอขายมากที่สุดในกลุ่มจังหวัด EEC ซึ่งคาดว่าในปี 2563 นี้จะมีที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่ จำนวน 6,689 ยูนิต แม้จะลดลงจากช่วงปี 2562 ที่มีเปิดตัวโครงการใหม่ 17,295 ยูนิต  ก็ตาม  โดยจะเป็นการเปิดตัวใหม่ในช่วงครึ่งปีแรก 3,651 ยูนิต และเปิดตัวใหม่ในช่วงครึ่งปีหลัง จำนวน 3,038 ยูนิต ขณะที่ยูนิตเหลือขายทั้งหมดคาดว่าจะมี 88,644 ยูนิต เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมามีจำนวน 85,481 ยูนิต ปี 63 ยอดขาชะลอตัวอัตรดูดซับเหลือ 1.1-1.3% ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า แนวโน้มที่อยู่อาศัยในจังหวัดชลบุรีในปี 2563 จะเหลือขายอยู่ในตลาดจำนวน 44,060 ยูนิต  ซึ่งเมื่อพิจารณาเปรียบเทียบกับอัตราดูดซับที่ลดต่ำลงมาอยู่ที่  2.1%  ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2562 และคาดว่าในปี 2563 อัตราดูดซับจะเหลือประมาณ 1.1-1.3% และคาดการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยก็จะลดลงมาอยู่ที่ 30,141 ยูนิต มูลค่าประมาณ  59,293 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าค่ามาตรฐานซึ่งมีมูลค่า 64,095 ล้านบาท ลดลง 20.0% โดยช่วงครึ่งปีหลังปี 2563 มีที่อยู่อาศัยเหลือขายอยู่ในตลาดจำนวน 44,060 ยูนิต ประกอบด้วย คอนโด  19,348 ยูนิต ทาวน์เฮ้าส์  12,699 ยูนิต บ้านเดี่ยว  5,730 ยูนิต บ้านแฝด  4,979 ยูนิต อาคารพาณิชย์  1,304 ยูนิต ในปี 2563 คาดว่าอัตราดูดซับจะเหลือประมาณ  1.1-1.3%  โดยคาดว่าที่อยู่อาศัยในแต่ละประเภท จะมีอัตราดูดซับในปี 2563 ดังนี้ คอนโด  มีอัตราดูดซับ 1.2% บ้านแฝด  มีอัตราดูดซับ 1.3% ทาวน์เฮ้าส์  มีอัตราดูดซับ 1.3% อาคารพาณิชย์   มีอัตราดูดซับ 1.2% บ้านเดี่ยว  มีอัตราดูดซับ 1.1% อสังหาฯ ชลบุรีโอนกรรมสิทธิ์ลดลง 12.9% การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในปี 2563 คาดว่า จะลดลงมาอยู่ที่ 30,141 ยูนิต หรือลดลง 12.9% จากปี 2562 ที่มีจำนวนการโอนกรรมสิทธิ์ 34,593 ยูนิต  ซึ่งปีนี้การโอนกรรมสิทธิ์ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยช่วง 5 ปีตั้งแต่ปี 2558-2562 ที่มีระดับการโอนกรรมสิทธิ์อยู่ที่ 33,812 ยูนิต  ส่วนมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์คาดว่าจะมีมูลค่าประมาณ  59,293 ล้าน  บาท ซึ่งต่ำกว่าค่ามาตรฐานซึ่งมีมูลค่า 64,095 ล้านบาท ซึ่งลดลง 20.0% จากปี 2562 ที่มีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ 74,106 ล้านบาท   ด้วยภาพรวมดังกล่าวผู้ประกอบการจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์การเสนอขาย โดยเฉพาะ คอนโด และทาวน์เฮ้าส์ที่มีอัตราการดูดซับชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่องจากช่วงต้นปี 2562 และคาดว่าจะต่อเนื่องมาถึงปี 2563 มองตลาดอสังหาฯ ชลบุรี ครึ่งหลังปี 62 สำหรับผลการสำรวจตลาดที่อยู่อาศัยในพื้นที่จังหวัดชลบุรี ช่วงสิ้นปี 2562 มีจำนวนที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างเสนอขายจำนวนทั้งสิ้น 675 โครงการ  แบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร 510 โครงการ โครงการคอนโด 165 โครงการ  จำนวนรวม 50,655 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 176,116 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงครึ่งปีแรกที่มีจำนวน 49,750 ยูนิต  ในจำนวนที่อยู่อาศัยทั้งหมด แบ่งเป็น คอนโด  21,806 ยูนิต บ้านเดี่ยว  6,534 ยูนิต บ้านแฝด  5,747 ยูนิต ทาวน์เฮ้าส์  15,053 ยูนิต อาคารพาณิชย์  1,515 ยูนิต โดยมีโครงการที่เปิดขายใหม่ในช่วงครึ่งปีหลังเพียง 6,593 ยูนิต แบ่งเป็นอาคารชุด 3,700 ยูนิต และบ้านจัดสรร 2,893 ยูนิต เมื่อพิจารณาจากยูนิตขายได้ใหม่จากการสำรวจพบว่าในช่วงครึ่งหลังปี 2562 มียูนิตขายได้ใหม่จำนวน 6,270 ยูนิต ลดลงจากช่วงครึ่งปีแรก 27.5% ในจำนวนดังกล่าวเป็นการขายคอนโด  2,535 ยูนิต และเป็นบ้านจัดสรร 3,735 ยูนิต และมียูนิตเหลือขายจำนวน 44,385 ยูนิต เพิ่มขึ้นจากช่วงครึ่งปีแรก  8% มูลค่ารวม 155,838 ล้านบาท โดยมียูนิตเหลือขายประเภทโครงการคอนโดจำนวน 19,271 ยูนิต บ้านจัดสรรจำนวน 25,114 ยูนิต   โดยบ้านจัดสรรที่เหลือขาย จำนวน 25,114 ยูนิต ยังแบ่งออกเป็นที่อยู่ประเภทต่างๆ ได้แก่ บ้านเดี่ยว  5,789 ยูนิต บ้านแฝด  5,002 ยูนิต ทาวน์เฮ้าส์  12,923 ยูนิต อาคารพาณิชย์  1,400 ยูนิต จากการที่จำนวนยูนิตขายได้ใหม่มีอัตราการขายได้ลดลงถึงร้อยละ 27.5% จึงส่งผลให้จำนวนที่อยู่อาศัยเหลือขายมีอัตราเพิ่มขึ้น 8% เปิด 5 ทำเลอสังหาฯ ขายดีในจังหวัดชลบุรี สำหรับทำเลที่อยู่อาศัยขายดี ของจังหวัดชลบุรี ได้แก่ 1.ทำเลพัทยา-เขาพระตำหนัก จำนวน 7,185 ยูนิต 2.ทำเลหาดจอมเทียน จำนวน 6,864 ยูนิต 3.ทำเลนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร-บายพาส จำนวน 3,798 ยูนิต 4.ทำเลนิคมอุตสาหกรรมบ่อวิน จำนวน 3,729 ยูนิต 5.ทำเลบางแสน-หนองมน-บางพระ จำนวน 3,306 ยูนิต   ระดับราคาที่เหลือขายมากที่สุด ใน 5 อันดับแรก ได้แก่ 1.ระดับราคา 3.01-5.00 ล้านบาท เหลือขาย 13,411 ยูนิต 2.ระดับราค 2.01-3.00 ล้านบาท เหลือขาย 13,352 ยูนิต 3.ระดับราคา 1.51-2.00 ล้านบาท เหลือขาย 8,739 ยูนิต 4.ระดับราคา 5.01-7.50 ล้านบาท เหลือขาย 3,662 ยูนิต 5.ระดับราคา 1.01-1.50 ล้านบาท เหลือขาย 1,801 ยูนิต บทสรุปอสังหาฯ​ ชลบุรี ณ สิ้นปี 62 ส่วนตลาดที่อยู่อาศัยในจังหวัดชลบุรี มียูนิตเหลือขายในช่วงสิ้นปี 2562 จำนวน 44,385 ล้านบาท มูลค่า 155,838 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการยังไม่ได้ก่อสร้าง 20,219 ล้านบาท อยู่ระหว่างการก่อสร้าง 14,639 ล้านบาท และโครงการที่ก่อสร้างเสร็จ 9,527 ล้านบาท  ซึ่งเป็นโครงการพร้อมโอน  หรือเป็น Inventory ในตลาด คิดเป็นมูลค่า 31,501 ล้านบาท  แบ่งเป็น คอนโด  4,608 ยูนิต บ้านเดียว  963 ยูนิต บ้านแฝด   691 ยูนิต ทาวน์เฮ้าส์   2,639 ยูนิต อาคารพาณิชย์  626 ยูนิต สำหรับทำเลที่มียูนิตสร้างเสร็จเหลือขายมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1.ทำเลหาดจอมเทียน จำนวน 1,496 ยูนิต 2.ทำเลพัทยา-เขาพระตำหนัก จำนวน 1,311 ยูนิต 3.ทำเลศรีราชา-อัสสัมชัญ จำนวน 1,209 ยูนิต 4.ทำเลนิคมอุตสาหกรรมบ่อวิน จำนวน 1,145 ยูนิต 5.ทำเลแหลมฉบัง จำนวน 1,051 ยูนิต   โดยระดับราคาที่อยู่อาศัย ซึ่งเหลือขายมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1.ระดับราคา 2.01-3.00 ล้านบาท จำนวน 2,958 ยูนิต 2.ระดับราคา 3.01-5.00 ล้านบาท จำนวน 2,377 ยูนิต 3.ระดับราคา 1.51-2.00 ล้านบาท จำนวน 1,779 ยูนิต 4.ระดับราคา 5.01-7.50 ล้านบาท จำนวน 678 ยูนิต 5.ระดับราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท จำนวน 670 ยูนิต   ทำเลขายได้ใหม่สูงสุด 5 อันดับได้แก่ 1.ทำเลหาดจอมเทียน จำนวน 1,037 ยูนิต มีอัตราดูดซับ 2.2% 2.ทำเลพัทยา-เขาพระตำหนัก จำนวน 718 ยูนิต มีอัตราดูดซับ 1.5% 3.ทำเลนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร-บายพาส จำนวน 712 ยูนิต มีอัตราดูดซับ 2.6% 4.ทำเลบางแสน-หนองมน-บางพระ จำนวน 703 ยูนิต มีอัตราดูดซับ 2.9% 5.ทำเลศรีราชา-อัสสัมชัญ จำนวน 581 ยูนิต มีอัตราดูดซับ 2.7%
ส่องตลาดคอนโด ชะอำ-หัวหิน-เขาเต่า 5 เดือนแรกปี 63 ในภาวะโควิด-19

ส่องตลาดคอนโด ชะอำ-หัวหิน-เขาเต่า 5 เดือนแรกปี 63 ในภาวะโควิด-19

ตลาดคอนโด ชะอำ-หัวหิน-เขาเต่า 5 เดือนแรกปี 63 เปิดใหม่น้อย ขายได้แค่ 444 ยูนิต เจอผลกระทบในภาวะโควิด-19 โดยพื้นที่ชะอำพบซัพพลายเหลืออื้อ ผู้ประกอบการชะลอแผนเปิดโครงการใหม่ รอจังหวะตลาดอยู่ในภาวะสมดุล   บริเวณชะอำและหัวหิน ถือเป็นพื้นที่หนึ่งที่ได้รับความนิยม จากบรรดานักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เพราะเดินทางได้สะดวกและใกล้กับกรุงเทพฯ ใช้ระยะเวลาเดินทางไม่นาน แถมพื้นที่ดังกล่าว มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน และยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม ทำให้พื้นที่ชะอำและหัวหิน กลายเป็นเมืองพักตากอากาศยอดนิยม และมีโครงการอสังหาริมทรัพย์พัฒนาขึ้นมารองรับจำนวนมาก และหลากหลายรูปแบบ   พื้นที่ชะอำและหัวหิน โครงการอสังหาฯ ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อจับตลาดนักท่องเที่ยว และผู้ต้องการพักอาศัย เป็นบ้านหลังที่ 2 อย่างมากประเภทหนึ่ง คือ โครงการคอนโดมิเนียม ที่มีทั้งผู้ประกอบการจากส่วนกลาง และจากท้องถิ่นเอง เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง และเป็นโครงงการที่มีระดับราคาขายค่อนข้างสูง แทบไม่แตกต่างจากเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมอื่นๆ ของไทย   แต่ในปีนี้สภาพตลาดคอนโด ในพื้นที่อำเภอชะอำ หิวหิน และเขาเต่า ซึ่งเป็นพื้นที่หลักในการพัฒนาโครงการคอนโด สภาพตลาดเป็นอย่างไรบ้าง ท่ามกลางการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ทางบริษัท  ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด ได้จัดทำรายงานตลาดคอนโดในบริเวณชะอำ-หัวหิน-เขาเต่า ช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ โดยระบุว่า  ภาพรวมตลาดคอนโดค่อนข้างชะลอตัว จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19   โดยพบว่าซัพพลายสะสมของคอนโดบริเวณชะอำ-หัวหิน-เขาเต่า ตั้งแต่ปี 2548 ถึง เดือนพฤษภาคม 2563 มีจำนวนทั้งสิ้น 27,459 ยูนิต โดยคอนโดโดยส่วนใหญ่ถึง 54% เป็นคอนโดมิเนียมที่ไม่เห็นวิวทะเล ส่วนคอนโดที่เห็นวิวทะเลมีอยู่ในอัตราส่วน 46% ของซัพพลายทั้งหมด คอนโดชะอำ-หัวหิน ขายได้แค่ 444 ยูนิต โดยพบว่าในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ มีจำนวนยูนิตขายได้ใหม่ อยู่ที่ 444 ยูนิต  ซึ่งในช่วงกลางเดือนมีนาคม ถึง กลางเดือนพฤษภาคม พบว่า การขายคอนโดค่อนข้างชะลอตัว  เนื่องจากการที่ทางรัฐบาลกำหนดนโยบายห้ามการเดินทางข้ามพื้นที่ข้ามจังหวัด ทำให้คนไทยที่อยู่กรุงเทพฯ งดเว้นการเดินทางไปยังต่างจังหวัด อย่างไรก็ดีผู้ประกอบการหลาย ๆ รายต่างพากันทำการขายในช่องทางออนไลน์ และทำโปรโมชั่น ลดแลกแจกแถม เพื่อดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาจอง  โดยเฉพาะโครงการที่คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จภายในปีนี้ ตลาดคอนโดในพื้นที่ชะอำ หัวหิน และเขาเต่า จากผลการวิจัยของไนท์แฟรงค์  พบว่า ช่วง 5 เดือนแรก ขายไปได้แล้วทั้งสิ้น 23,044 ยูนิต จากจำนวนยูนิตคอนโดที่มีอยู่ในตลาดทั้งสิ้น 27,459 ยูนิต คิดเป็นอัตราการขายที่ 84% โดยอัตราการขายเพิ่มขึ้นจากปี 2562 ที่มีอัตราการขายอยู่ที่ 83% เนื่องมาจากซัพพลายใหม่ที่เข้ามาในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้มีเพียง 238 ยูนิต เท่านั้น   โดยโครงการคอนโดที่เปิดขายใหม่ เป็นโครงการที่ทำการบริหารโดยเชนโรงแรมระดับ 5 ดาว จำนวนยูนิตเหลือขายของคอนโดบริเวณชะอำ-หัวหิน-เขาเต่า มีจำนวนยูนิตเหลือขายประมาณ 4,415 ยูนิต ซึ่งคาดว่าหากไม่มีซัพพลายใหม่เกินขึ้น ยูนิตเหลือขายที่เหลือจะใช้เวลาขายอีกประมาณ 3 ปี ขณะที่จำนวนยูนิตขายเฉลี่ยต่อปี ของคอนโดในบริเวณดังกล่าว ในช่วงระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา ขายได้เฉลี่ยปีละประมาณ 1,600 ยูนิต ชะอำคอนโดเหลือขายเพียบ จากผลการสำรวจ ยังพบว่า คอนโดที่เหลือขายอยู่เป็นจำนวนมาก  มีสถานที่ตั้งอยู่บริเวณชะอำ โดยมีจำนวนยูนิตเหลือขายอยู่ที่ 3,119 ยูนิต โดยบริเวณชะอำน่าจะเป็นบริเวณที่มีโครงการใหม่เกิดขึ้นได้ง่าย เนื่องจากที่ดินที่อยู่ติดทะเลในบริเวณนี้ยังมีอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งผู้ประกอบการได้ตระหนักถึงซัพพลายคงเหลือ ของคอนโดที่ตั้งอยู่บริเวณชะอำซึ่งมีจำนวนยูนิตเหลือขายเป็นจำนวนมาก ผู้ประกอบการต่าง ๆ จึงชะลอการเปิดตัวโครงการใหม่ในบริเวณชะอำออกไป  จนกว่าซัพพลายคงเหลือจะเข้าสู่ภาวะสมดุล อย่างไรตาม คอนโดที่มีสถานที่ตั้งอยู่ในบริเวณหัวหินและเขาตะเกียบ มีแนวโน้มที่ดีขึ้น เนื่องจากซัพพลายเหลือขายมีจำนวนน้อยมาก ขณะที่สถานที่ตั้งบริเวณหัวหินและเขาตะเกียบ มีความสมบูรณ์รายล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ร้านค้า ร้านอาหาร โรงพยาบาล และตลาด ความสะดวกสบายดังกล่าวส่งผลให้ผู้ซื้อสนใจซื้อคอนโด ที่มีสถานที่ตั้งอยู่บริเวณหัวหินและเขาตะเกียบมากขึ้น คนกรุงเทพฯ ลูกค้าหลักตลาดคอนโดหัวหิน-ชะอำ กลุ่มผู้ซื้อคอนโดในบริเวณชะอำ หัวหิน และเขาเต่า ส่วนใหญ่เป็นคนกรุงเทพฯ สูงถึง 90% เนื่องจากระยะทางการเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปยังบริเวณดังกล่าวค่อนข้างสั้น นอกจากนี้บริเวณนี้ยังค่อนข้างสมบูรณ์ มีโครงการการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่นห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ร้านอาหาร โรงแรม สวนน้ำ ส่วนชาวต่างชาติมีซื้อบ้างประมาณ 10% ชาวต่างชาติที่นิยมซื้อคอนโดในบริเวณนี้ ส่วนใหญ่เป็นชาวยุโรป ได้แก่ ชาวฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมัน สวิสเซอร์แลนด์ เนเธอร์แลนด์ ชาวจีนมีบ้างแต่ไม่มากนัก   โดยชาวต่างชาติที่ซื้อคอนโดในหัวหิน ประกอบด้วยชาวต่างชาติที่มีภรรยาเป็นคนไทย และซื้อเพื่ออยู่ประจำ และชาวต่างชาติที่ซื้อคอนโดเพื่อเป็นบ้านหลังที่สอง  เพื่อเข้ามาพักผ่อนในช่วงปลายปี ที่เป็นช่วงไฮซีซั่นโดยเข้ามาพักในระยะเวลาประมาณ 2-4 เดือน ส่วนคนไทยที่ซื้อคอนโด ในบริเวณนี้มักเข้ามาพักผ่อนในช่วงวันหยุด ราคาคอนโดวิวทะเลขยับแค่ 0.3% ราคาเสนอขายเฉลี่ยของคอนโดที่เห็นวิวทะเล ในบริเวณนี้มีระดับราคาเสนอขายเฉลี่ยประมาณ 132,000 บาท ต่อตารางเมตร ราคาขายปรับตัวขึ้นในอัตรา 0.3% จากปลายปี 2562 ส่วนราคาเสนอขายเฉลี่ยของคอนโด ที่ไม่เห็นวิวทะเลในบริเวณนี้มีระดับราคาเสนอขายเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 74,000 บาท ต่อ ตารางเมตร ราคาขายปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียงอัตรา 0.4% จากปลายปี  2562 ราคาขายค่อนข้างคงที่ เนื่องจากสถานะการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19  หลาย ๆ โครงการได้ทำราคาโปรโมชั่นในช่วงนี้   นางสาวริษิณี สาริกบุตร ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและที่ปรึกษา บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด  ได้ให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวโน้มของตลาดคอนโดในบริเวณชะอำ หัวหิน และเขาเต่า ว่า  ตลาดในปีนี้ค่อนข้างชะลอตัว  เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 คอนโดที่เหลือขายในบริเวณนี้มักเป็นคอนโดที่ตั้งอยู่บริเวณชะอำ และไม่เห็นวิวทะเล ซึ่งมีซัพพลายหลือขายสูงเกิน 50% ของซัพพลายเหลือขายทั้งหมด ส่วนคอนโดที่ตั้งอยู่บริเวณหัวหิน เขาตะเกียบ และเขาเต่ามีแนวโน้มค่อนข้างดี เนื่องจากซัพพลายเหลือขายมีน้อย ส่งผลให้ระดับราคาขายมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น ในช่วง 7 เดือนที่เหลือ คาดว่าจะไม่มีการเปิดตัวคอนโดในบริเวณนี้    
อสังหาฯ จ.พิษณุโลกปี 63 ซัพพลายเหลือเพียบ แนะชะลอเติมสินค้าใหม่เข้าตลาด

อสังหาฯ จ.พิษณุโลกปี 63 ซัพพลายเหลือเพียบ แนะชะลอเติมสินค้าใหม่เข้าตลาด

จังหวัดพิษณุโลก ถือเป็นหนึ่งจังหวัดสำคัญทางภาคเหนือ ที่มีผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์จากส่วนกลาง ได้เข้าไปปักหมุดพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยกันอย่างต่อเนื่อง รวมถึงนักพัฒนาในท้องถิ่นเอง ก็พัฒนาโครงการขึ้นมารองรับความต้องการภายในจังหวัดด้วย เพราะจังหวัดพิษณุโลกถือเป็นหนึ่งจังหวัดสำคัญด้านเศรษฐกิจ การลงทุน และการค้า รวมถึงศูนย์กลางความเจริญด้านต่าง ๆ ของภาคเหนือในตอนล่าง ไม่แพ้จังหวัดอื่น ๆ   โดยผลการสำรวจของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ หรือ REIC ในช่วงครึ่งปีหลัง 2562 ซึ่งทำการสำรวจตลาดอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก เพียงอำเภอเดียวเพราะถือเป็นศูนย์กลางด้านอสังหาฯ ของจังหวัด  ซึ่งผลจากการสำรรวจเป็นที่น่าสังเกตว่า ช่วงครึ่งหลังปี 2562 จำนวนที่อยู่อาศัยอยู่ระหว่างการขาย มีจำนวนยูนิตลดลงจากช่วงครึ่งแรกของปี 2562  เนื่องจากมีที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่เข้าสู่ตลาดเพียง 180 ยูนิตเท่านั้น     ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ช่วงครึ่งปีหลังปี 2562 จังหวัดพิษณุโลกมีจำนวนที่อยู่อาศัยทั้งหมด 2,595 ยูนิต ลดลงจากครึ่งปีแรก 0.8% จากทั้งหมด 2,615 ยูนิต และมียูนิตเหลือขายในครึ่งปีหลังจำนวน 2,461 ยูนิต แบ่งเป็นคอนโดมิเนียม จำนวน 338 ยูนิต และบ้านจัดสรรจำนวน 2,207 ยูนิต ลดลงจากครึ่งปีแรก 0.2% ที่มีจำนวน 2,466 ยูนิต แต่หากเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2561 พบว่ามีอัตราการเพิ่มขึ้นถึง 20.3% โดยมียูนิตเหลือขายรวม 2,829 ยูนิต แบ่งเป็นบ้านจัดสรร 2,461 ยูนิต และ อาคารชุด 368 ยูนิต เปิด5 ทำเลขายดีในจ.พิษณุโลก สำหรับทำเลที่มีหน่วยเหลือขายมากที่สุด ได้แก่ 1.หัวรอ จำนวน 648 ยูนิต 2.บึงพระ จำนวน 440 ยูนิต 3.ในเมืองพิษณุโลก จำนวน 409 ยูนิต 4.แม่น้ำน่านฝั่งตะวันตก (ทะเลแก้ว) จำนวน 335 ยูนิต 5.ม.นเรศวร จำนวน 293 ยูนิต   ส่วนทำเลขายได้ใหม่สูงสุดของจังหวัดพิษณุโลก ได้แก่ 1.หัวรอ จำนวน 46 ยูนิต มีอัตราดูดซับ 1.1% 2.ในเมืองพิษณุโลก 24 ยูนิต มีอัตราดูดซับ 0.9% 3.แม่น้ำน่านฝั่งตะวันตก (ทะเลแก้ว) จำนวน 18 ยูนิต มีอัตราดูดซับ 0.8% 4.ม.นเรศวร จำนวน 17 ยูนิต มีอัตราดูดซับ 0.9% 5.วัดจันทร์ จำนวน 15 ยูนิต มีอัตราดูดซับ 1.3% อสังหาฯ 63 แนะชะลอเติมซัพพลายใหม่ สำหรับแนวโน้มในปี 2563  ศูนย์ข้อมูลฯ ได้ประมาณการว่า จะมีที่อยู่อาศัยเหลือขาย ในพื้นที่จังหวัดพิษณุโลกอยู่ในตลาดจำนวน 2,521 ยูนิต ประกอบด้วย 1.คอนโด จำนวน 362 ยูนิต 2.บ้านเดี่ยว จำนวน 1,254 ยูนิต 3.บ้านแฝด จำนวน 531 ยูนิต 4.ทาวน์เฮ้าส์ จำนวน 212 ยูนิต 5.อาคารพาณิชย์ จำนวน 162 ยูนิต     เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบกับอัตราดูดซับจะมีอัตราที่ลดต่อลงต่อเนื่องจากปี 2561 โดยในครึ่งหลังปี 2562 อัตราดูดซับปรับลงมาอยู่ที่ 0.9% หากจำนวนที่อยู่อาศัยใหม่เข้ามาในตลาดตามที่ศูนย์ข้อมูลฯ ประมาณการไว้ ภายใต้เงื่อนไขกำลังซื้อที่ลดต่ำลงเช่นในปัจจุบัน คาดว่าในปี 2563 อัตราดูดซับจะเหลือประมาณสูงสุดจะอยู่ในระดับ 1.1%   ด้านการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย คาดการณ์ว่าการโอนกรรมสิทธิ์จะลดลงมาอยู่ที่ 2,085 ยูนิต มูลค่าประมาณ 3,610 ล้านบาท จำนวนยูนิตอาจต่ำกว่าค่าเฉลี่ยแต่ในส่วนของมูลค่ายังสูงกว่าค่าเฉลี่ยซึ่งมีมูลค่า 3,304 ล้านบาท โดยมูลค่าลดลง 9.1% เป็นการปรับตัวลดลงจาก 2561  การโอนกรรมสิทธิ์ในปี 2563 คาดว่าจะมีประเภทคอนโด 180 ยูนิต สัดส่วน 8.6% คิดเป็นมูลค่า 338 ล้านบาท สัดส่วน 9.4% และบ้านจัดสรรร 1,905 ยูนิต สัดส่วน 91.4% คิดเป็นมูลค่า 3,272 ล้านบาท สัดส่วน 90.6%   สำหรับคำแนะนำในการทำตลาดและพัฒนาโครงการอสังหาฯ ในจังหวัดพิษณุโลกนั้น ศูนย์ข้อมูลเห็นว่า ไม่ควรพัฒนาโครงการใหม่ออกมาเพิ่ม เพราะในตลาดมีซัพพลายจำนวนมาก ต้องรอให้มีการกระตุ้นกำลังซื้อในระดับที่เหมาะสม เพื่อให้ตลาดโดยรวมเข้าสู่ภาวะสมดุลก่อน เป็นการลดความเสี่ยง     
3 Mega Trends การอยู่อาศัยหลังผ่านวิกฤตโควิด-19

3 Mega Trends การอยู่อาศัยหลังผ่านวิกฤตโควิด-19

LPN Wisdom เผย  3 Mega Trends พลิกโฉมการออกแบบและพัฒนา โครงการอสังหาริมทรัพย์ไทย หลังการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ต้องมุ่งเน้นใน 3 ประเด็นหลัก  Wellness, Work-Life Balance และ  Virtual Livable Connect แต่มากกว่านั้น ต้องสร้างความยั่งยืนให้กับสังคม   การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิตคนในยุคปัจจุบัน ให้มุ่งเน้นในการคำนึงถึงสุขภาพและความปลอดภัยของการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เพิ่มมากขึ้น ทุก ๆ ส่วนของสังคม ต้องมุ่งเน้นความปลอดภัย และการอยู่ภายใต้มาตรฐานด้านการสาธารณสุข ทำให้ไม่ว่าชีวิตส่วนตัวหรือชีวิตการทำงาน ต้องปรับเปลี่ยนกันใหม่  ไปสู่วิถีชีวิตแบบ New Normal หรือ วิถีชีวิตปกติใหม่   สำหรับธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการอยู่อาศัยของคน อย่างธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ นับว่าเป็นธุรกิจที่ต้องปรับตัวอย่างมาก ไม่เพียงแค่ผลกระทบโดยตรงจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ทำให้การดำเนินธุรกิจต้องปรับเปลี่ยนเท่านั้น แต่กลุ่มลูกค้าหลัก คือ ประชาชนทั่วไป ได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบวิถีชีวิต หรือไลฟ์สไตล์ของการอยู่อาศัยไปด้วย เช่น การทำงานจากที่บ้าน หรือ Work From Home เพราะต้องเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) หรือ การหันมาซื้อสินค้าทางออนไลน์มากขึ้น เพราะลดความเสี่ยงจากการได้รับเชื้อไวรัสโควิด-19 เป็นต้น   การเปลี่ยนแปลงรูปแบบวิชีวิต หรือไลฟ์สไตล์ของคนยุคปัจจุบัน จึงส่งผลให้นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์  ต้องกลับมาตีโจทย์ธุรกิจใหม่ กับการออกแบบและพัฒนาโครงการ เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ซึ่ง LPN Wisdom หรือ บริษัท ลุมพีนี วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด ได้มองว่า การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หลังการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะถูกให้ความสำคัญใน 3 ประเด็นหลัก หรือ 3 Mega Trends ดังนี้ คือ 1.เรื่องสุขภาพ (Wellness) 2.การออกแบบที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตอย่างสมดุล (Work-Life Balance) และ 3.การใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมในการใช้ชีวิต (Virtual Livable Connect) นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ LPN Wisdom  บริษัทด้านการวิจัยและที่ปรึกษาในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ระบุว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา ทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะการอยู่อาศัยที่ให้ความสำคัญในเรื่องของสุขอนามัย (Wellness) และรูปแบบการทำงาน ที่ต้องการความสมดุลในการใช้ชีวิต (Work-Life Balance) ปรับเปลี่ยนจากการทำงานที่สำนักงาน ไปสู่การทำงานที่บ้าน (Work From Home)  หรือการทำงานในที่อื่น ๆ ในแบบ Anytime Anywhere   ในขณะที่รูปแบบการทำงาน และการใช้ชีวิตในปัจจุบัน  ผู้บริโภคสามารถใช้เทคโนโลยีดิจิทัล (Virtual Livable Connect) มาตอบโจทย์การใช้ชีวิตได้มากขึ้นผ่านแอปพลิเคชั่นต่าง ๆ  ที่พัฒนาขึ้นมาเพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิตให้กับผู้บริโภค จนกลายเป็นวิถีปกติใหม่ (New Normal) ในการใช้ชีวิตของผู้คนในปัจจุบัน 3 Mega Trends ในการพัฒนาที่อยู่อาศัย สำหรับรูปแบบการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป ทำให้ความต้องการที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปด้วย  โดยคำนึงถึง 3 ปัจจัยสำคัญที่เราเรียกว่า 3 Mega Trends ในการพัฒนาที่อยู่อาศัย  ซึ่งประกอบด้วย 1.Wellness หรือ การให้ความสำคัญในเรื่องสุขอนามัย การให้ความสำคัญในเรื่องของสุขอนามัย  ซึ่งเป็นเรื่องที่มาพร้อม ๆ กับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 การออกแบบที่อยู่อาศัยและการเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์ ต้องคำนึงถึงเรื่องของสภาพแวดล้อมและสุขอนามัยที่ดีต่อผู้อยู่อาศัย ลดการสัมผัส (Touchless) ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ทั้งในพื้นที่โครงการที่พักอาศัยและเชิงพาณิชย์ เป็นโจทย์ใหม่ในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันและในอนาคต 2.Work-Life Balance หรือ การสร้างสมดุลให้กับการใช้ชีวิต นอกจากเรื่องของสุขอนามัยที่เป็นโจทย์หลักของผู้บริโภคในปัจจุบันแล้ว การออกแบบที่คำนึงถึงประโยชน์ใช้สอยที่สร้างสมดุลให้กับการใช้ชีวิต ในรูปของการทำงานและการใช้ชีวิตที่ต้องดำเนินไปอย่างสมดุล ทำให้การออกแบบที่อยู่อาศัยต้องคำนึงถึงการจัดสรรพื้นที่ที่ลงตัว  ตอบทุกโจทย์ของการใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นที่อยู่อาศัยในแนวราบ หรืออาคารชุดที่มีขนาดเล็ก ต้องมีการจัดฟังก์ชั่นการใช้งานที่มีความหลากหลาย และสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้งาน (Multi-Function) เพื่อรองรับกับรูปแบบการใช้ชีวิตและการทำงานที่บ้านได้   การเว้นระยะห่างในพื้นที่ส่วนกลาง การปรับเปลี่ยนแนวคิดจากสังคมแบ่งปันในรูปแบบของ Co-Working Space มาสู่แนวคิดการใช้พื้นที่ส่วนกลางในรูปแบบของ Co-Separate Space เป็นการใช้พื้นที่ร่วมกันแบบมีระยะห่าง ทำให้การออกแบบการใช้พื้นที่ส่วนกลาง ในโครงการทั้งแนวราบและอาคารชุด ต้องเปลี่ยนแนวคิดในการออกแบบเช่นเดียวกัน 3.Virtual Livable Connect หรือ การนำเอาเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการออกแบบโครงการ การนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการออกแบบโครงการ มีเป้าหมายสำคัญเพื่ออำนวยความสะดวกสบายในการใช้ชีวิต ของผู้อยู่อาศัยในโครงการ  และตอบโจทย์กับแนวคิดการใช้ชีวิตวิถีปกติใหม่ ภายหลังการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เพราะเทคโนโลยีต่างๆ ที่ถูกนำมาใช้ไม่เพียงแต่อำนวยความสะดวกเท่านั้น แต่ยังมีความปลอดภัยจากการต้องติดต่อหรือสัมผัสกันระหว่างมนุษย์ด้วย มากกว่า Mega Trend ต้องสร้างความยั่งยืน นอกเหนือนจากการออกแบบภายใต้วิถีชีวิตปกติใหม่ ภายหลังไวรัสโควิด-19 ที่อาจจะหยุดการแพร่ระบาด หรือเราสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ แต่ไวรัสโควิด-19 ยังคงอยู่กับมนุษย์โดยไม่ได้หายไปไหน แนวทางการออกแบบและพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์  นอกจากจะมีแนวทางที่ต้องตอบโจทย์ Mega Trend ดังกล่าวแล้ว สิ่งสำคัญที่ต้องคิดถึงและจำเป็นต้องนำมาใช้ด้วย คือ แนวคิดในการออกแบบที่เรียกว่า การออกแบบเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Development  Design) แนวคิดดังกล่าว เป็นแนวคิดของการออกแบบ โดยคำนึงถึงการใช้งานอาคารอย่างยั่งยืน ด้วยการออกแบบโดยคำนึงถึงการเลือกใช้วัสดุ การใช้พลังงานและทรัพยากรของอาคารที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมทั้งสร้างสุขอนามัยที่ดีให้กับผู้อยู่อาศัย ลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก หรือ คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2)ในอากาศ   รวมถึงเรื่องของการประหยัดพลังงาน การใช้ทรัพยากรน้ำและทรัพยากรธรรมชาติอื่น ๆ อย่างประหยัด เพื่อตอบโจทย์กับการสร้างสุขอนามัยที่ดีในการอยู่อาศัยทั้งในรูปแบบของ LEED (Leadership in Energy and Environmental Design) เกณฑ์อาคารเขียวของ US Green Building Council และ TREES (Thai’s Rating of Energy and Environmental Sustainability ) ของสถาบันอาคารเขียวไทย   ข้อมูล ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2563 ประเทศไทยมีอาคารที่ได้รับ LEED Certification จาก US Green Building Council ทั้งสิ้น 171 อาคาร และอยู่ระหว่างการพิจารณาอีก 85 อาคาร ในขณะเดียวกันมีอาคารที่ได้รับ TREES Certification จาก สถาบันอาคารเขียวไทย ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2563 ทั้งสิ้น 63 อาคาร และอยู่ระหว่างการพิจารณาอีก 55 อาคาร
การเคหะฯ ช่วยลูกค้าโดนพิษโควิด-19 ขยายเวลาลงทะเบียนถึง 30 มิ.ย.63 นี้

การเคหะฯ ช่วยลูกค้าโดนพิษโควิด-19 ขยายเวลาลงทะเบียนถึง 30 มิ.ย.63 นี้

การเคหะแห่งชาติขยายระยะเวลาลงทะเบียนมาตรการช่วยเหลือลูกค้าถึง 30 มิถุนายน 2563 นี้ พร้อมเน้นย้ำ ขอให้ลูกค้าเร่งลงทะเบียนเพื่อรักษาสิทธิก่อนหมดมาตรการช่วยเหลือดังกล่าว พร้อมร่วมกับกระทรวงแรงงานจัดกิจกรรมนัดพบแรงงานตามพื้นที่ชุมชนต่างๆ ของการเคหะแห่งชาติ       นายวิญญา สิงห์อินทร์ รักษาการผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อประชาชนทั่วประเทศ ปัจจุบันรัฐบาลได้กระจายให้ความช่วยเหลือประชาชนในทุกด้าน รวมทั้งกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ที่มีภารกิจเกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือมนุษย์ในทุกมิติ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) จึงมอบนโยบายให้การเคหะแห่งชาติออกมาตรการช่วยเหลือประชาชนที่เป็นลูกค้าของการเคหะแห่งชาติ เพื่อลดภาระรายจ่ายด้านที่อยู่อาศัยชั่วคราว นายณัฐพงศ์ พันธเกียรติไพศาล ประธานกรรมการการเคหะแห่งชาติ จึงได้การประชุมร่วมกับฝ่ายบริหารระดับสูงของการเคหะแห่งชาติเพื่อติดตามและประเมินสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง และมอบนโยบายให้การเคหะแห่งชาติออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้าของการเคหะแห่งชาติเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 พร้อมทั้งประสานความร่วมมือกับภาคเอกชนช่วยเหลือผู้อยู่อาศัยในด้านสังคมเพื่อให้ผู้อยู่อาศัยในโครงการของการเคหะแห่งชาติมีคุณภาพชีวิตที่ดีในสถานการณ์ปัจจุบัน   สำหรับมาตรการช่วยเหลือลูกค้าของการเคหะแห่งชาติที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 มี 4 มาตรการ ได้แก่ 1.พักชำระหนี้ค่าเช่าซื้อ 2.พักชำระเงินดาวน์ 3.ปลอดค่าเช่า 4.ลดค่าเช่า 50% เป็นระยะเวลา 3 เดือน เริ่มตั้งแต่ 1 เมษายน – 30 มิถุนายน 2563 โดยลูกค้าของการเคหะแห่งชาติสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมพร้อมลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ https://covid.nha.co.th และลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชั่น Line ID : @NHA.THAILAND ได้ถึง 30 มิถุนายน 2563 นี้ พร้อมกันนี้การเคหะแห่งชาติได้ร่วมกับกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน จัดกิจกรรมนัดพบแรงงานตามพื้นที่ต่างๆ ในโครงการของการเคหะแห่งชาติ โดยนำร่องที่โครงการบ้านเอื้ออาทรบ้านหลุมแก้ว 2 จังหวัดปทุมธานี เป็นที่แรก ซึ่งได้รับความร่วมมือจากบริษัท ห้างร้าน และโรงงานต่างๆ มาเปิดรับสมัครงานในตำแหน่งว่างให้กับผู้อยู่อาศัยในชุมชนที่ถูกเลิกจ้างหรือว่างงานจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้เลือกงานที่เหมาะสม ตรงกับถนัด และความต้องการของตนเอง ซึ่งจะนำไปสู่การเกิดรายได้เพิ่มขึ้นในครัวเรือน เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับชุมชน และระดับประเทศต่อไป  
เฟรเซอร์ส ตั้ง “ธนพล ศิริธนชัย” บริหารองค์กรแสนล้าน

เฟรเซอร์ส ตั้ง “ธนพล ศิริธนชัย” บริหารองค์กรแสนล้าน

เฟรเซอร์สแต่งตั้ง “นายธนพล ศิริธนชัย” นั่งเก้าอี้ ซีอีโอ นำทัพองค์กร 1 แสนล้าน  สร้างการเติบโตให้กับแพลตฟอร์มใหม่ ที่รวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร   คณะกรรมการบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ FPT มีมติแต่งตั้งนายธนพล ศิริธนชัย ประธานอำนวยการ บริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ โกลเด้นแลนด์ (GOLD) ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (Country CEO) บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ  FPT  โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 17 สิงหาคม 2563 เป็นต้นไป   โดยนายธนพล ศิริธนชัย จะรับภารกิจสำคัญในการเป็นหัวเรือใหญ่ที่จะสร้างการเติบโตให้กับ เฟรเซอร์ส  พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) รวมถึงการเดินหน้าภายใต้นโยบายการลงทุนของบริษัทฯ ในการเพิ่มศักยภาพที่จะเติบโตอย่างสมดุลให้อยู่ในแพลตฟอร์มเดียวกัน ในการเป็นผู้นำในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีความหลากหลาย ครอบคลุมอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัย (Residential) โครงการเชิงพาณิชย์ (Commercial) และพื้นที่เชิงอุตสาหกรรม (Industrial) จากผู้บริหาร GOLD สู่เก้าอี้ซีอีโอ FPT สำหรับนายธนพล ศิริธนชัย  ถือว่าเป็นผู้มีความรู้ความสามารถ และคร่ำหวอดในแวดวงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ กว่า 30 ปี โดยก่อนร่วมงานกับเฟรเซอร์ส เคยดำรงตำแหน่งประธานอำนวยการ บริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ โกลเด้นแลนด์ ผู้พลิกฟื้นจากที่บริษัทฯขาดทุน ให้กลับมามีกำไรภายใน 3 ปี และก้าวกลับมาสู่ท็อป 5 ของประเทศไทยภายใน 7 ปี  (อ่านข่าวผลประกอบการ 3 เดือนแรกปี 2563) พร้อมพัฒนาโครงการครอบคลุมทั้งอาคารสำนักงาน เซอร์วิส อพาร์ทเม้นท์ โรงแรม และโครงการแนวราบ เช่น บ้านเดี่ยว และทาวน์โฮม และล่าสุด พัฒนาโครงการมิกซ์ยูสใจกลางเมืองสามย่านมิตรทาวน์  ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี   นอกจากนี้ นายธนพล ยังเคยดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ ของ บริษัท ยูนิเวนเจอร์ จำกัด​ (มหาชน)  ผู้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของโครงการอาคารสำนักงานที่ดีที่สุด ด้วยมาตรฐานการอนุรักษ์พลังงานสูงที่สุดระดับโลก กับโครงการปาร์คเวนเชอร์ ดิ อีโคเพล็กซ์ ออน วิทยุ โดยนายธนพลยังได้ปฏิบัติหน้าที่เพื่อสังคมและการกุศลต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง อาทิเช่น ประธานโครงการ IMET Mentorship Academy for Excellent Leaders (IMET MAX) โครงการภายใต้มูลนิธิเพื่อสถาบันการศึกษาวิชาการจัดการแห่งประเทศไทย และรองผู้อำนวยการอาวุโส สถาบันออกแบบนานาชาติชนาพัฒน์   นายธนพล สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี ด้านวิศวกรรมศาสตร์ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท ด้านบริหารธุรกิจ (MBA) จากมหาวิทยาลัยเทกซัส ออสติน ประเทศสหรัฐอเมริกา และสำเร็จการศึกษาหลักสูตร Advanced Management Program มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ประเทศสหรัฐอเมริกา 1+1 เท่ากับสินทรัพย์ 1 แสนล้าน สำหรับ  FPT  เป็นบริษัทในกลุ่มบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้  ซึ่ง FPT ผู้นำการให้บริการแพลตฟอร์มด้านอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรของประเทศไทย  ที่มีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลากหลายประเภท ภายหลังควบรวมกับ  GOLD เป็นบริษัทย่อย ทำให้ภาพรวมการประกอบธุรกิจของ FPT มีสินทรัพย์รวมมากกว่า 100,000 ล้านบาท ก้าวสู่ความเป็นผู้นำในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีความหลากหลาย ครอบคลุมอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัย  พาณิชยกรรมและโรงแรม  และการอุตสาหกรรม   โดยเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2563 GOLD ได้รับคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ของบริษัททั้งหมด  จาก FPT เพื่อเพิกถอนหลักทรัพย์ของกิจการ ออกจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย  ซึ่งเป็นไปตามแผนของบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) ที่ได้ประกาศเริ่มรับซื้อรอบแรกในเดือนมิถุนายนปี 2562 ที่ผ่านมา เพื่อปรับกลยุทธ์ เพิ่มศักยภาพของการเชื่อมโยง ต่อยอด ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของกลุ่มให้อยู่ในแพลตฟอร์มเดียวกัน ในการเป็นผู้นำในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีความหลากหลาย   ทั้งนี้ การขอเพิกถอนหลักทรัพย์ของ GOLD ออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ นั้น ได้รับอนุมัติจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของ GOLD เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2562 และ วันที่ 19 พฤษภาคม 2563 FPT เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ GOLD จำนวน 2,222,623,901 หุ้น คิดเป็นประมาณ 95.65% ของหุ้นที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ GOLD โดย FPT จะทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ที่เหลือทั้งหมดของ GOLD จำนวน 101,096,099 หุ้น คิดเป็นประมาณ 4.35% ของหุ้นที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ GOLD โดยมีราคาเสนอซื้อ 8.50 บาทต่อหุ้น ระยะเวลารับซื้อรวมทั้งสิ้น 45 วันทำการ ตั้งแต่วันที่ 20 พฤษภาคม 2563 – 23 กรกฎาคม 2563   นายธนพล กล่าวว่า ก้าวต่อไปของโกลเด้นแลนด์ คือการก้าวเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในการเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร  ที่มีความหลากหลาย ครอบคลุมอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัย โครงการเชิงพาณิชย์  และพี้นที่เชิงอุตสาหกรรม  แห่งแรกของประเทศไทย ภายใต้นโยบายการลงทุนของเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) ในการเพิ่มศักยภาพที่จะเติบโตอย่างสมดุล และยั่งยืนของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย นอกจากนี้ FPT ยังเป็นผู้สนับสนุนและผู้จัดการกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ หรือ FTREIT ซึ่งปัจจุบันเป็นกองทรัสต์ฯ อุตสาหกรรมที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย  ซึ่งมุ่งเน้นการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ อีกทั้ง FPT ยังเป็นผู้สนับสนุนและผู้จัดการทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์โกลเด้นเวนเจอร์ (GVREIT) ซึ่งมุ่งเน้นการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชยกรรม  ซึ่ง FPT, FTREIT และ GVREIT เป็นบริษัทและกองทรัสต์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย.